แบบฝกึ กจิ กรรมท ่ี 13 งานเครือ่ งลา่ งรถยนต์ 193 เรอ่ื ง หม้อสญุ ญากาศเบรกและการตรวจซ่อม ตอนท่ี 1 จงต่อวงจรเบรกรถยนต์แบบวงจรค ู่ วงจรท่ี 1 เขียนสีแดง วงจรที่ 2 เขียนสีน้ำเงนิ หรอื เส้นประ พรอ้ มเตมิ คำในช่องว่างต่อไปน้ี วงจรที่ 1 สำหรบั ........................................................ วงจรท่ี 2 สำหรบั ........................................................ ข้อดแี บบแยกวงจร แบบแยกวงจรหน้าหลัง ............................................................................ ........................................................................... แบบทแยงซ้ายขวา วงจรที่ 1 สำหรับ 13 ....................................................... วงจรที่ 2 สำหรับ ....................................................... ข้อดีแบบทแยง .......................................................................... ........................................................................ แบบคู่ขนานทั้งหนา้ และหลัง วงจรที่ 1 สำหรับ วงจรทงั้ ค่เู บรกท้ังหนา้ และหลงั ...................................................... ทุกลอ้ เป็นเบรกดสิ ก์แบบ 4 ลอ้ วงจรที่ 2 สำหรับ ...................................................... ข้อดีแบบคู่ขนาน .......................................................................... .........................................................................
194 งานเครอื่ งลา่ งรถยนต์ ตอนที่ 2 จงทำเครื่องหมายถูก (P) ลงหน้าข้อความที่ถูกต้องที่สุด 1. เหยียบเบรกด้วยเท้าได้แรงเบรกเท่าใด 7. กรณีแรงหม้อสุญญากาศเบรกไม่พอควรแก้ไข ก. 20 กก. ข. 40 กก. อย่างไร ก. เพิ่มขนาดท่อสุญญากาศ ค. 60 กก. ง. 80 กก. ข. เพิ่มขนาดหม้อสุญญากาศ 2. เครื่องยนต์ดีเซลใช้สุญญากาศเบรกจากที่ใด ค. เพิ่มขนาดแม่ปั๊มเบรก ก. ท่อไอดี ข. ท่อร่วมไอดี ง. ใช้หม้อสุญญากาศแบบลูกสูบคู่ ค. ปั๊มสุญญากาศ ง. ปั๊มลม 8. ท่อยางเข้าปั๊มสุญญากาศเบรกเป็นท่ออะไร 3. แขนแรงเหยียบคันเบรกเพิ่มแรงเบรกเป็นเท่าใด ก. ท่อลม ก. 100 กก. ข. 200 กก. ข. ท่อสุญญากาศ ค. 300 กก. ง. 400 กก. ค. ท่อกรองอากาศ 4. แรงที่ได้จากหม้อสุญญากาศเบรกจะเพิ่มเป็นเท่าใด ง. ท่อน้ำมันหล่อลื่นปั๊ม ก. 2 เท่า ข. 3 เท่า 9. ลิ้นกันกลับที่ท่อสุญญากาศเบรกทำหน้าที่อะไร ค. 4 เท่า ง. 5 เท่า ก. ควบคุมสุญญากาศ 5. หม้อสุญญากาศเบรกไม่ทำงานต้องเพิ่ม ข. ป้องกันสุญญากาศรั่ว แรงเหยียบเบรกเท่าใด ค. รักษาสุญญากาศไว้เมื่อเครื่องดับ ก. 2 เท่า ข. 3 เท่า ง. เพิ่มกำลังเบรก ค. 4 เท่า ง. 5 เท่า 10. ตรวจสุญญากาศหม้อสุญญากาศเบรก 6. สุญญากาศในหม้อสุญญากาศเบรกมีประมาณ ได้เมื่อใด เท่าใด ก. ติดเครื่องเดินเบา ก. 350 มม.-ปรอท ข. หลังดับเครื่อง 1-2 นาที ข. 400 มม.-ปรอท ค. หลังดับเครื่อง 10-20 นาที ค. 450 มม.-ปรอท ง. เร่งเครื่อง 2,000 รอบ/นาที ง. 500 มม.-ปรอท ตอนที่ 3 จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้ใจความสมบรู ณ์ 1. ทำไมต้องใช้หม้อสุญญากาศเบรกรถยนต์ 2. ลิ้นกันกลับหม้อสุญญากาศเบรกติดตั้งไว้ที่ใด และมีหน้าที่อะไร 3. จงแนะนำการตรวจสภาพท่อสุญญากาศและลิ้นกันกลับหม้อสุญญากาศเบรกรถยนต์ 4. จงเขียนข้อแนะนำการตรวจการทำงานหม้อสุญญากาศเบรกมา 2 ข้อ 5. จงสเกตช์ภาพการทำงานหม้อสุญญากาศเบรกอย่างง่าย ตำแหน่งยังไม่เหยียบเบรกและตำแหน่ง เหยียบเบรก พร้อมแสดงทิศทางอากาศไหลผ่าน
14งานเคร่ืองลา่ งรถยนต์ 195 ศนู ยล์ อ้ และการตง้ั ศนู ยล์ อ้ สาระการเรียนรู้ 14.1 มุมแคสเตอร์และมุมแคมเบอร์ 14.2 ระยะโทอนิ -โทเอาตแ์ ละผลการตอ่ คันส่งเปน็ สเ่ี หลย่ี มคางหมู 14.3 การตรวจตงั้ ศูนย์ล้อหน้าแบบรองรบั ด้วยปกี นก 14.4 การตรวจตง้ั ศูนย์ล้อหน้าแบบรองรบั ดว้ ยโชค้ อพั คำ้ 14.5 การตั้งศนู ยล์ ้อรถยนตด์ ้วยเกจวัดศูนย์ล้อแบบระดับน้ำ ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. อธบิ ายมมุ แคสเตอร์และมุมแคมเบอร์ได้ 2. อธิบายระยะโทอนิ -โทเอาตแ์ ละผลการต่อคนั ส่งเปน็ สเี่ หลีย่ มคางหมูได้ 3. อธิบายการตรวจต้ังศนู ย์ลอ้ หน้าแบบรองรบั ด้วยปีกนกได้ 4. ปฏิบตั ิการตรวจตัง้ ศูนย์ลอ้ หนา้ แบบรองรบั ดว้ ยโช้คอพั คำ้ ได้ 5. ปฏบิ ัตกิ ารตัง้ ศูนย์ลอ้ รถยนต์ด้วยเกจวัดศนู ยล์ ้อแบบระดบั นำ้ ได้ 6. เพ่อื ใหม้ ีกจิ นิสัยในการทำงานดว้ ยความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย ประณีต รอบคอบและตระหนกั ถงึ ความปลอดภัย
196 งานเครื่องล่างรถยนต์ 14 ศูนยล์ ้อ และการต้งั ศูนยล์ อ้ บทนำ ศูนย์ล้อ หมายถึง ความสัมพันธ์มุมต่าง ๆ ที่ช่วยให้ขับขี่รถอย่างมีเสถียรภาพคงตัวด้วยความ ปลอดภัย ยางรถเกาะถนนได้ดีขณะเลี้ยวโค้ง จุดประสงค์ศูนย์ล้อคือ 1) เพื่อให้ล้อหมุนราบรื่น (Pure Rolling) โดยยางรถไม่มีการลากถู การครูด หรือการลื่นไถลบน ผิวจราจรทุกสภาพ ดังนั้น ศูนย์ล้อจึงลดการสึกหรอของยาง เพื่อให้มีอายุการใช้งานยืนนาน ยิ่งขึ้น 2) ช่วยควบคุมรถให้รถเคลื่อนที่หน้าตรง หรือควบคุมทิศทางของรถแนวตรงไปข้างหน้าได้ อัตโนมัติ 3) ช่วยให้เลี้ยวได้ง่าย พวงมาลัยเบาและยางลื่นไถลบนผิวถนนน้อยที่สุดในขณะเลี้ยว 4) ช่วยให้ล้อและพวงมาลัยหันกลับ (ตีกลับ) มาสู่แนวหน้าตรงโดยอัตโนมัติหลังจากเลี้ยวเสร็จแล้ว 5) ช่วยลดความเค้น (Stress) ในชิ้นส่วนที่ยึดเหนี่ยวล้อ คือทุกส่วนทำงานได้อย่างอิสระ เสน้ ศนู ย์แกนหมนุ เล้ยี ว เสน้ ดง่ิ มุมแคมเบอร์ ศูนยร์ วม รศั มีหมุนเลยี้ ว รูปท่ี 14.1 ภาพรวมศนู ยล์ อ้ รถเคร่อื งหนา้ ขบั หน้า (โฟลก์ สวาเกน)
งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 197 14.1 มุมแคสเตอร์และมุมแคมเบอร์ มุมแคสเตอร์ 14.1.1 มุมแคสเตอร ์ (Caster Angle) หน้ารถ หน้ารถ แกนหมนุ เลี้ยว มุมแคสเตอรค์ อื มุมแกนหมนุ เลย้ี วทเี่ อยี ง ออกจากแนวดงิ่ ไปตามแนวยาวของรถ หรอื ระยะเสน้ ศูนย์กลางแกนหมุนเลี้ยวกับเส้นศูนย์ยางสัมผัสพื้นที่ อยู่ห่างกับพื้นบนระนาบ เช่น มุมแคสเตอร์ล้อรถ จักรยาน แกนหมุนเลีย้ วส่วนบนเอียงไปทางหลังรถ แกนหมนุ เล้ยี ว ระยะแคสเตอร ์ แกนดิง่ ระยะแคสเตอร์ เรียกว่า มุมแคสเตอร์บวก ซึ่งเป็นแบบที่ใช้กันมาก ถ้าเอียงไปด้านตรงกันข้ามเรียกว่า มุมแคสเตอร์ลบ รปู ที่ 14.2 มุมแคสเตอร์แกนเอยี งและแกนดง่ิ ใช้สำหรับรถขับล้อหน้าและรถโดยสารในเมือง มุม แคสเตอร์มากจะมีแรงกระทบพวงมาลัยให้หมุนกลับ มมุ แคสเตอร์ลบ มมุ แคสเตอร์บวก เองมาก ล้อหน้ารถจึงรักษาเสถียรภาพการเคลื่อนที่ ทางตรงได้ ข้อควรจำ ล้อรถเขน็ ท่วั ไปใช้ลอ้ แคสเตอร ์ 2 ล้อ และ ล้อธรรมดา 2 ลอ้ จึงทำใหเ้ ขน็ บังคบั เลยี้ วใน หน้ารถ เส้นทางทตี่ ้องการได้ หากใชล้ อ้ แคสเตอร์ ทั้ง 4 ล้อ จะบังคับทิศทางยาก ถ้าใช้ล้อ ธรรมดาทง้ั 4 ลอ้ จะบังคับเลยี้ วไมไ่ ด้ ระยะแคสเตอร์บวก ระยะแคสเตอรล์ บ รปู ท่ี 14.3 มมุ แคสเตอร์และระยะแคสเตอร์ n หน้าที่มุมแคสเตอร์ 14 แคสเตอร์บวก 1) เพอ่ื ใหข้ บั รถไดม้ น่ั คง โดยรถพยายามเคลอ่ื นท่ี คงทิศทางตรงตลอดเวลา 2) เพอ่ื ใหพ้ วงมาลยั หมนุ กลบั คนื ไดเ้ อง หลงั จาก บังคับเลี้ยว 3) เพื่อชดเชยความเอียงของถนน ป้องกัน เคลื่อนที่สั่น ขอ้ ควรจำ มุมแคสเตอร์กว้าง แรงคืนตัวของล้อจะมาก แต่ถ้ากว้างมากต้องออกแรงบังคับเลี้ยวมาก รูปที่ 14.4 มมุ แคสเตอรล์ ้อหน้าจกั รยานยนต์
198 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ บวก 14.1.2 มมุ แคมเบอร ์ (Camber Angle) มุมแคมเบอรบ์ วก ลบ ประมาณ 1° มุมแคมเบอร์คือ มุมเส้นศูนย์กลางยางเอียงทำมุม กับแนวดิ่ง แบ่งเป็นมุมแคมเบอร์บวกและลบ มุม แคมเบอร์ลบ ช่วยให้ยางตอบสนองการเอียงของรถขณะ เข้าทางโค้งได้ดี มุมแคมเบอร์บวกทำให้ล้อเอียง แต่ช่วย ให้รถขับขี่ทางตรงได้ดี n หน้าที่มุมแคมเบอร์ 1) ต้านการเอียงข้างของรถขณะขับขี่ในทางโค้ง 2) ลดรัศมีหมุนเลี้ยวเพื่อให้พวงมาลัยเบา 3) ไม่ให้เกิดการคลอนตัวลูกปืนล้อรถที่มีระยะฟร ี 4) ลดอาการล้อสั่น รัศมหี มนุ เลยี้ ว รปู ท่ี 14.5 มุมแคมเบอร์ 14.1.2 มุมแกนหมุนเลี้ยว รัศมลี ้อหมุน รูปท่ี 14.6 มมุ เอยี งสลักล้อหนา้ มุมแกนหมนุ เลย้ี วคอื คงิ พิน (มมุ เอยี งสลกั ล้อหน้า = King Pin Inclination) หรือมมุ เอยี งลูกหมากปีกนกบนล่าง ที่เอียงจากแนวดิ่งเข้าหาตัวรถแนวขวาง การบังคับให้รถหมุนเลี้ยว มุมแกนหมุนจะมีผล ทำให้รถถูกยกขึ้นระหว่างที่ล้อเลี้ยว เพราะปลายเพลาล้อ นั้นจะกดลงต่ำตามแนวแกนหมุนเลี้ยวที่ด้านบนเอียงเข้า หาตัวรถ พวงมาลัยจึงหมุนกลับเองหลังจากเลี้ยว คือ น้ำหนักตัวรถกดลงให้ล้อกลับที่เดิม ศูนย์กลางล้อ แนวดิ่ง แกนหมนุ เลย้ี ว n หน้าที่มุมแกนหมุนเลี้ยว ศนู ยก์ ลางล้อ 1) ลดรัศมีหมุนเลี้ยว (มุมแคมเบอร์ขึ้นอยู่กับระยะ รปู ที่ 14.7 มุมแคมเบอร์และมมุ แกนหมุนเล้ียว รัศมีมุมเลี้ยว) 2) ทำให้พวงมาลัยหมุนกลับเอง ด้วยแรงน้ำหนัก ตัวรถและขับขี่คงทิศทาง 3) เพื่อให้น้ำหนักรถลงใกล้จุดกึ่งกลางยางที่สุด 4) เพื่อให้ความฝืดจุดหมุนของยางน้อยลง จะได้ บังคับเลี้ยวเบา
งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 199 14.2 ระยะโทอนิ -โทเอาตแ์ ละผลการตอ่ คนั สง่ เปน็ สเ่ี หลย่ี มคางหมู หน้ารถ 14.2.1 ระยะโทอิน (Toe-In) รูปที่ 14.8 ระยะโทอิน ระยะโทอิน คือผลต่างระหว่างด้านหน้ายาง และดา้ นหลงั ยางตามทศิ ทางหนา้ รถ ปกตมิ คี า่ เปน็ บวก (Positive Toe-In) ประมาณ 1-2 มม. ยกเว้นรถขับล้อ หน้าและรถโดยสารซึ่งอาจมีค่าเป็น 0 หรือเป็นลบ ข้อควรจำ ระยะโทอินกำหนดเป็นมุม (องศา) ได้ด้วย n หน้าที่โทอิน 1) แรงต้านยางด้านข้าง ทำให้รักษาโทอินไว้ได้ 2) ป้องกันยางสึก 3) ไม่ให้ล้อสั่นจากความต้านทานกลิ้ง 4) ลดระยะหลวมตัวลูกหมากคันส่ง 5) ล้อรถเคลื่อนที่ขนานคงที่ เส้นศูนย์กลางยาง 14.2.2 มุมโทเอาต์ (Toe-Out) 14 จดุ หมุนเล้ยี ว โทเอาต์คือ ผลต่างมุมเลี้ยวล้อหน้าที่ล้อ ด้านนอกหมุนเลี้ยวได้น้อยกว่าล้อด้านใน เพราะล้อ ด้านในรัศมีการเลี้ยวสั้นกว่าล้อด้านนอก กำหนดเมื่อ ล้อด้านในหมุนเลี้ยวไป 20° ขนาดมุมโทเอาต์เป็นมุม ที่มีผลต่อการสึกหรอของยางและเป็นมุมที่ปรับไม่ได้ n หน้าที่มุมโทเอาต์ 1) เพื่อให้ล้อทุกล้อหมุนเลี้ยวราบรื่น 2) เพื่อให้จุดศูนย์กลางการหมุนเลี้ยวของแต่ละ ล้อร่วมกัน ป้องกันยางสึกหรอและป้องกัน ยางสัมผัสถนนมีเสียงดังขณะเลี้ยว รูปที่ 14.9 มุมโทเอาต์
200 งานเครอ่ื งลา่ งรถยนต์ 14.2.3 ผลการต่อคันส่งเป็น 4 เหลี่ยม คางหมู หน้ารถ แขนบงั คบั เลย้ี วและคนั สง่ ทต่ี อ่ เปน็ 4 เหลย่ี ม รูปที่ 14.10 คันส่งต่อ 4 เหลี่ยมคางหมู คางหมู การเลี้ยวรถระหว่างล้อทุกล้อจะเลี้ยว ไถลลื่นล้อหน้า สัมพันธ์กัน จุดศูนย์การหมุนเลี้ยวจะร่วมกัน ดังรูปที ่ ไถลลื่นล้อหลัง 14.9 รูปที่ 14.11 ไถลลื่นล้อหน้าและล้อหลัง n หน้าที่คันส่งต่อแบบ 4 เหลี่ยมคางหมู รูปที่ 14.12 นอตล็อกคันส่ง 1) บังคับล้อขนานเคลื่อนที่ระหว่างขับขี่ 2) ทำให้เกิดมุมโทเอาต์ระหว่างเลี้ยว 3) ลดระยะฟรีลูกหมากคันส่ง 4) สมดุลแรงด้านข้างของแคมเบอร์ 5) ลดการสั่นของล้อ 14.2.3 การลืน่ ไถลของล้อ ความสัมพันธ์มุมต่าง ๆ ที่ช่วยให้ขับขี่ด้วย ความปลอดภัย ยางรถเกาะถนนได้ดีขณะเลี้ยวโค้ง และยางสึกหรอไม่ผิดปกติ ขณะเร่งล้อหน้าเลี้ยวโค้ง มีแรงดันข้าง ทำให้ยางบิดตัวไปจากรอยสัมผัสผิว ถนนเป็นมุมไถลลื่น (Slip Angle) ที่ล้อหน้าและล้อ หลังเกิดไม่เท่ากัน ลักษณะดังนี้ 1) ไถลลื่นล้อหน้า (Under Steer) คือล้อหน้า ไถลลื่นมากกว่าล้อหลังที่เรียกว่า หลุดโค้ง 2) ไถลลื่นล้อหลัง (Over Steer) คือล้อหลัง ไถลลื่นมากกว่าล้อหน้า 3) ไถลลื่นสมดุล (Neutral Steer) คือล้อหน้า และล้อหลังไถลลื่นเท่ากัน ข้อควรจำ ถ้าหากนอตล็อกคันส่งคลายตัว ให้ปรับตั้ง โทอินใหม่ แล้วขันนอตล็อกให้แน่น คันส่งหรือปีกนกคดมีผลกระทบต่อศูนย์ล้อ ไม่มากก็น้อย
กจิ กรรมท ่ี 14 ให้เขียนภาพด้านข้าง (ภาพซ้ายมือ) ตำแหน่งปีนก้อนหิน ล้อจึงดันลอยตัวขึ้นสูงเท่ากับ F แสดงเส้นศูนย์กลางล้อ ใหม่ พร้อมเส้นระหว่างจุดศูนย์กลางตามแนวจุดกลางเคลื่อนที่เป็นลูกศร และให้เขียนตำแหน่งยกล้อขึ้นนั้นที่ ภาพด้านหน้าด้วยเส้นสีน้ำเงิน ผลกระทบต่อ : โทอนิ .......................................................... โครงฐาน จุดหมุน : แคมเบอร์ .................................................. : ช่วงลอ้ ...................................................... เคลื่อนที่ปกติ งานเคร่อื งล่างรถยนต์ 201โทอิน ล้อปีนก้อนหิน 14
202 งานเครือ่ งล่างรถยนต์ 14.3 การตรวจตง้ั ศนู ยล์ อ้ หนา้ แบบรองรบั ดว้ ยปกี นก 1. การตรวจก่อนตั้งศูนย์ล้อ 1) ตรวจดอกยางและลมยาง 2) ตรวจความบดิ เบย้ี วลอ้ ไมเ่ กนิ 1.2 มม. 3) ตรวจความหลวมคลอนของลกู ปนื ลอ้ 4) ตรวจความหลวมกา้ นตอ่ บงั คบั เลย้ี ว 5) ตรวจการทำงานโชค้ อพั หนา้ รูปที่ 14.13 ตรวจความหลวมคลอนลูกปืนล้อ 2. การปรับตั้งมุมแคมเบอร์และมุมแคสเตอร์ ลูกหมากปีกนกตัวล่างเลื่อนจาก ด้วยลูกเบี้ยว ศูนย์กลางเมื่อปรับลูกเบี้ยว ตั้งด้วยลูกเบี้ยวเย้ืองศูนย์ท่ีปลายด้านในของ เหล็กหนวดกุ้ง ปกี นกลา่ ง กระทำไดด้ ว้ ยการหมนุ สกร ู ใหเ้ ลื่อนศนู ย ์ ปีกนกล่าง กลางของปีกนกล่างไปทางด้านซ้ายและขวา เน่อื งจาก ปีกนกลา่ งยดึ ไว้ด้วยเหล็กหนวดกงุ้ การปรบั ต้ังจงึ เปน็ ลูกเบี้ยวปรับ การปรับตั้งมุมได้ท้ังมุมแคมเบอร์และมุมแคสเตอร์ใน มุมแคมเบอร์ เวลาเดยี วกนั รูปที่ 14.14 ปรับตั้งศูนย์ล้อด้วยลูกเบี้ยว แคมเบอร์ : 0o 45′ ± 30′ แคสเตอร์พวงมาลยั ธรรมดา : 0o 50′ ± 45′ พวงมาลัยเพาเวอร์ : 1o 50′ ± 45′ แผ่นชิม 3. การปรับมุมแคมเบอร์และมุมแคสเตอร์ ปีกนกตัวบน หน้ารถ ระบบปีกนกคู่ด้วยแผ่นชิม เพลาปีกนก ตำแหน่งของลูกหมากตัวบนจะเปล่ียนไปโดย โครงรองรับ การเพมิ่ หรอื ลดจำนวนและขนาดของแผน่ ชิม ทแี่ กน ของปีกนกบนทย่ี ดึ ตดิ อยกู่ บั โครงรถจำนวน 2 จดุ จึง มีผลให้มุมแคมเบอร์และมุมแคสเตอร์สามารถปรับต้ัง ไดใ้ นเวลาเดยี วกัน รูปที่ 14.15 ปรับตั้งศูนย์ล้อด้วยแผ่นชิม
งานเครอื่ งล่างรถยนต์ 203 14.4 การตรวจตง้ั ศนู ยล์ อ้ แบบรองรบั ดว้ ยโชค้ อพั คำ้ เบ้าโช้คอัพ 1. การตรวจปกี นกและโช้คอัพคำ้ ลูกยางโคนปีกนก นอตแกน 1) ตรวจการสกึ หรอและขนาดยาง บังคับเลี้ยว 2) ตรวจความดนั ลมยางขณะเยน็ 3) ตรวจการหลวมคลอนของลกู ปนื ลอ้ สกรูยึดเหล็กกันโคลง 4) ตรวจการหลวมคลอนคนั ชกั คนั สง่ รูปที่ 14.16 ตรวจปีกนกและโช้คอัพค้ำ 5) ตรวจการหลวมคลอนของเบา้ โชค้ อพั สเกลปรับตั้งมุมแคมเบอร์ 6) ตรวจสภาพยางโคนปกี นก ลูกเบี้ยว 7) ตรวจการยดึ แนน่ ของแกนบงั คบั เลย้ี ว ปรับนอตให้ได้ 8) ตรวจการทำงานของโชค้ อพั 9) ตรวจการรว่ั ซมึ ของนำ้ มนั โชค้ อพั ตามค่าที่กำหนด 10) ตรวจลกู ยางและสกรยู ดึ เหลก็ กนั โคลง 2. การปรับมุมแคมเบอร์ที่โคนโช้คอัพค้ำ เป็นวิธีการปรับตั้งมุมแคมเบอร์โดยใช้ลูกเบี้ยวที่ ถูกยึดไว้ที่ข้อต่อระหว่างโช้คอัพค้ำและแกนบังคับเลี้ยว การปรับตั้งมุมแคมเบอร์เป็นการเปลี่ยนมุมที่สัมพันธ์กัน ระหว่างโช้คอัพค้ำกับแกนบังคับเลี้ยว กำหนดให้ : -30′± 45′ 3. การปรับมุมแคสเตอร์ที่ปีกนกตัวล่าง รูปที่ 14.17 ปรับมุมแคมเบอร์ที่โคนโช้คอัพค้ำ มุมแคสเตอร์ปรับได้ด้วยความยาวเหล็กหนวดกุ้ง 14 นอ ต ป ร ับ แผ่นยึดเหล็กหนวดกุ้ง ระหว่างปีกนกล่างกับแผ่นยึดเหล็กหนวดกุ้ง ด้วยการปรับ นอตเหล็กหนวดกุ้ง ซึ่งมีเหล็กหนวดกุ้งติดตั้งอยู่ทั้งด้าน เหล็กหนวดกุ้ง หน้าหรือด้านหลังปีกนกตัวล่าง ในระบบรองรับแบบ ปีกนกคู่หรือแบบโช้คอัพค้ำ ความยาว กำหนดให้ : 55′± 30′ ขอ้ สังเกต ปีกนกล่าง มุมแคมเบอร์ มุมแคสเตอร์และมุมแกนหมุน ลูกหมากปีกนกตัวล่างเคลื่อนที่เมื่อ เลี้ยวไมส่ ามารถปรับตง้ั ได้อีกแลว้ ให้ตรวจการ ชำรุดเกิดขึ้นกับชิ้นส่วนระบบรองรับและ/หรือ ความยาวเหลก็ หนวดกงุ้ เปลย่ี นแปลง การสึกหรอของชิ้นส่วน และเปลี่ยนถ้าจำเป็น รูปที่ 14.18 ปรับมุมแคมเบอร์ปีกนกล่าง
204 งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 4. ลำดับการตรวจตั้งระยะโทอิน 1. ทำเครื่องหมายตั้งโทอินที่หน้ายาง เครื่องหมายตั้งโทอิน เหล็กขึด 1) ยกล้อหน้าให้ลอยทั้งคู่บนขาตั้ง 2) หันล้อหน้าตั้งตรงไปข้างหน้า เกจโทอิน 3) ใช้เหล็กกรีดหน้ายางเป็นเครื่องหมาย ตั้ง โทอินที่ล้อหน้าทั้ง 2 ด้าน A ข้อควรจำ B ตรวจตั้งโทอินหลังปรับตั้งมุมแคมเบอร์และ มุมแคสเตอร์เสมอ เครื่องหมาย 2. การวัดระยะโทอิน 1) ใช้เกจวัดโทอิน (Toe-in Gauge) วัดที่ เคร่อื งหมายโทอนิ ที่ทำข้ึนทหี่ น้ายาง A ระดับ ความสูงแกนล้อ 2) ใช้เกจวัดที่หลังยาง B กำหนดให้ A - B = 1 ± 1 มม. ข้อควรจำ การตรวจระยะโทอินดังวิธีข้างบน เป็นการ วดั ระยะดว้ ยเกจโทอนิ มคี า่ ประมาณ 1 ± 1 มม. หรือจะตรวจด้วยเครื่องตั้งศูนย์ล้อ จะวัด โทอินเป็นมุมโทอินและมุมโทเอาต์ มีค่า ประมาณ 1° ± 0.1° ก็ได้ 3. การปรับระยะโทอินรถขับล้อหน้า A 1) คลายสกรูยึดปลอกรัดคันส่งออก B 2) ปรับตั้งโทอิน โดยการหมุนคันส่งด้านซ้าย และขวาเข้าหรือออกเป็นจำนวนเท่า ๆ กัน A = B ข้อแนะนำ ปรับความยาวของคันส่งเท่ากันทั้ง 2 ด้าน ปรับตั้งคันส่งรถขับล้อหน้า (กระปุกพวงมาลัยแบบเฟืองสะพาน)
งานเครื่องล่างรถยนต์ 205 14.5 การตง้ั ศนู ยล์ อ้ รถยนตด์ ว้ ยเกจวดั ศนู ยล์ อ้ แบบระดบั นำ้ 1. การติดตั้งเกจวัดศูนย์ล้อ 1) ถอดตัวล็อกเกจวัดรัศมีมุมเลี้ยวออก เกจวัดศูนย์ล้อ 2) จัดให้กึ่งกลางของแกนเกจวัดศูนย์ล้อตรง กึ่งกลางของตัวยึดและประกอบตัวล็อก ขอ้ ควรจำ เกจวัดรัศมีมุมเลี้ยว การติดตั้งเกจวัดศูนย์ล้อให้แน่นกับตัวยึด เกจด้วยกำลังแม่เหล็กถาวร 2. การวัดมุมแคมเบอร์ 1) ปรับให้ลูกน้ำบนเกจอยู่ระดับ “0” 2) อ่านลูกน้ำจากสเกลบนเกจวัดมุมแคมเบอร์ เกจวัดศูนย์ล้อ ข้อควรจำ สเกลบนเกจวัดมุมแคมเบอร์แบ่งเป็นส่วน ใน 30 ลิปดา อ่านภายในช่องละ 5 ลิปดา ตัวล็อกเกจวัดรัศมีมุมเลี้ยว 0′ ลูกน้ำเลื่อนช้า ๆ ภายในเส้นสเกลเป็น 14 จำนวนเท่ากัน ลูกน้ำ เกจวัดมุมแคมเบอร์ 5′ ลูกน้ำอยู่บนเส้นสเกลทางด้านซ้าย 10′ มีช่องเล็ก ๆ ระหว่างลูกน้ำและเส้นสเกล ทางด้านซ้าย 15′ มีช่องว่างเท่ากันระหว่างลูกน้ำและเส้น บนสเกลทั้ง 2 ด้าน 20′ มีช่องว่างเล็ก ๆ ระหว่างลูกน้ำและบน เส้นสเกลทางด้านขวา 25′ ลูกน้ำอยู่บนเส้นสเกลทางด้านขวา 30′ ลูกน้ำเลื่อนช้า ๆ อยู่บนเส้นสเกลทั้งสอง เป็นจำนวนเท่ากัน
206 งานเครือ่ งล่างรถยนต์ ด้านหน้า 3. การวัดมุมแคสเตอร์และมุมแกนหมุนเลี้ยว มุมปรับตั้ง (คิงพิน) เกจมุมแคสเตอร์ การจะวดั มมุ น้ีไดถ้ กู ต้อง จะต้องวดั ภายหลงั วดั มุมแคมเบอรแ์ ล้ว ล้อขวา 1) เตรียมหมุนล้อหน้าไป 20o เพื่อทำการวัด 2) หมุนปุ่มปรับตั้งด้านหลังเกจเพื่อปรับลูกน้ำ ล้อซ้าย ให้อยู่ที่ “0” บนสเกล เพื่อวัดมุมแคสเตอร์ เกจคิงพิน และมุมแกนหมุนเลี้ยว ข้อควรจำ เรือนเกจต้องยึดติดแน่นไม่เคลื่อนที่ระหว่าง ที่มีการวัด ถ้าเกจเคลื่อนที่ต้องปรับระดับ ใหม่ 3) หมุนล้อเลี้ยว 20o จากตำแหน่งหน้าตรง 4) อ่านค่าลูกน้ำบนสเกลของมุมแคสเตอร์และ มุมแกนหมุนเลี้ยว ขอ้ ควรจำ ความสัมพันธ์ระหว่างสเกลและลูกน้ำ สามารถใช้อ่านค่าละเอียด 15 ลิปดา 0′ ลูกน้ำระหว่างเส้นบนสเกลทั้ง 2 ด้าน 5′ ลูกน้ำเลื่อนออกไปผ่านเส้นสเกลทั้ง 2 ด้าน 10′ ลูกน้ำเลื่อนออกจากเส้นสเกลทั้ง 2 ด้าน ด้านหน้า 4. การวัดมุมแคมเบอร์ มุมแคสเตอร์และมุม แกนหมุนเลี้ยวทางด้านตรงข้ามของรถแบบ เดียวกัน
งานเครือ่ งล่างรถยนต์ 207 แบบฝกึ กจิ กรรมท ่ี 14 เรอ่ื ง ศนู ยล์ อ้ และการตง้ั ศนู ยล์ อ้ ตอนที ่ 1 จงเตมิ ขอ้ ความในชอ่ งวา่ งตอ่ ไปน้ี ปัญหา สาเหตุที่เป็นไปได้ การแก้ไข 1) ยางสกึ หรอหรอื ยางไม่ถกู ตอ้ ง 1) ...................................................................................... 2) ศนู ยย์ างล้อไม่ถูกต้อง 2) ...................................................................................... u รถดงึ ไปขา้ งใด 3) ลูกปืนล้อชำรดุ 3) ...................................................................................... ขา้ งหน่ึง 4) ระบบรองรบั ชำรุดหรอื สึกหรอ 4) ...................................................................................... 5) ก้านตอ่ พวงมาลยั หลวมหรอื 5) ...................................................................................... สกึ หรอ ...................................................................................... 6) ชุดพวงมาลยั ปรบั ตั้งไม่ถกู ต้อง 6) ...................................................................................... v รถทรดุ 1) บรรทกุ นำ้ หนกั มากเกนิ ไป 1) ...................................................................................... 2) โช้คอพั ชำรุด 2) ...................................................................................... 3) สปริงอ่อนตวั 3) ...................................................................................... w รถส่าย 1) ลมยางไมถ่ ูกต้อง 1) ...................................................................................... 2) เหลก็ กันโคลงชำรุด 2) ...................................................................................... 3) โช้คอัพชำรดุ 3) ...................................................................................... x ลอ้ หนา้ สัน่ 1) ยางสึกหรอหรอื ลมยาง 1) ...................................................................................... 14 ไมถ่ กู ต้อง ...................................................................................... 2) ล้อไม่สมดุล 3) โช้คอพั ชำรดุ 2) ...................................................................................... 4) ศูนยล์ ้อไมถ่ กู ตอ้ ง 3) ...................................................................................... 5) ลกู ปืนล้อชำรุด 4) ...................................................................................... 6) ลูกหมากหรือบชุ ชำรุด 5) ...................................................................................... 7) ก้านตอ่ พวงมาลยั สกึ หรอ 6) ...................................................................................... 8) ชุดพวงมาลยั ปรับตงั้ ไม่ถกู ตอ้ ง 7) ...................................................................................... 8) ...................................................................................... 1) ลมยางไม่ถกู ต้อง 1) ...................................................................................... y ยางสึกผิดปกติ 2) โชค้ อัพชำรุด 2) ...................................................................................... 3) ศนู ยล์ ้อไม่ถูกตอ้ ง 3) ...................................................................................... 4) ช้ินส่วนระบบรองรบั ไมถ่ ูกตอ้ ง 4) ......................................................................................
208 งานเคร่อื งล่างรถยนต์ ตอนท ี่ 2 จงทำเครื่องหมายถูก (P) ลงหน้าขอ้ ความทถ่ี กู ตอ้ งท่ีสุด 1. เพราะเหตใุ ดจึงต้องต้งั ศนู ยล์ อ้ รถ 6. เกจวัดรศั มมี มุ เล้ียวกำหนดหมนุ เทา่ ใด ก. เพ่ือการขบั ขปี่ ลอดภัย ก. 20o ข. 30o ข. เพ่ือเพ่ิมความเรว็ รถ ค. 40o ง. 50o ค. เพราะผผู้ ลิตกำหนด ง. เพราะถึงกำหนดบริการ 7. การปรับตั้งมมุ แคมเบอรข์ นาดแผน่ ชมิ 1 มม. 2. อะไร ไม่ใช่ ผลกระทบศนู ย์รถยนตไ์ มถ่ ูกตอ้ ง จะเปลี่ยนไปกีอ่ งศา ข. 15o ก. ยางสกึ หรอเรว็ ก. 10o ข. รถยนตส์ า่ ยไปมาขณะเดนิ ทาง ค. 20o ง. 25o ค. เคร่อื งยนต์สั่นตลอดขณะเดินทาง ง. ยางรถถูถนนเกดิ เสยี งดัง 8. ระยะโทอินท่ัวไปกำหนดไวเ้ ท่าใด 3. มุมท่ีไม่สามารถปรับตงั้ ไดค้ อื มมุ อะไร ก. มมุ แคสเตอร ์ ข. มมุ เอยี งสลกั ลอ้ หนา้ ก. 1 ± 1 มม. ข. 2 ± 1 มม. ค. มมุ แคมเบอร ์ ง. โทอิน 4. มุมอะไรทีไ่ ม่มผี ลตอ่ การสกึ หรอของยาง ค. 3 ± 1 มม. ง. 4 ± 1 มม. ก. มมุ แคมเบอร์ ข. โทอิน ค. โทเอาตอ์ อนเทนิ ง. มมุ แคสเตอร์ 9. มุมแคมเบอรศ์ ูนยล์ ้อหน้าแบบรองรับดว้ ย 5. เกจตั้งศนู ย์ลอ้ แบบระดับนำ้ เรยี กอีกอยา่ งว่าอะไร ก. เกจวดั สองมมุ ข. เกจวดั สามมมุ ปกี นกกวา้ งเท่าใด ข. 2o 45′ ± 40′ ค. เกจวัดส่ีมุม ง. เกจวดั หา้ มมุ ก. 5o 45′ ± 40′ ง. 0o - 0′ ± 30′ ค. 0o 45′ ± 30′ 10. มมุ แคสเตอรศ์ ูนย์ลอ้ หน้าแบบรองรบั ดว้ ย โช้คอัพค้ำกวา้ งเทา่ ใด ก. 2o 20′ ± 40′ ข. 1o 5′ ± 40′ ค. 55′ ± 30′ ง. 25′ ± 30′ ตอนท่ี 3 จงตอบคำถามต่อไปนีใ้ ห้ไดใ้ จความสมบูรณ์ 1. จงเขียนหน้าที่มุมแคมเบอร์รถยนต์มา 4 ข้อ 2. จงเขียนหน้าที่มุมแคสเตอร์รถยนต์มา 3 ข้อ 3. จงเขียนหน้าที่โทอินรถยนต์มา 5 ข้อ 4. ก่อนตั้งศูนย์ล้อรถยนต์ต้องตรวจอะไรก่อน 8 ข้อ 5. จงสเกตช์ภาพระยะโทอิน AB มุมแคสเตอร์และมุมแคมเบอร์บวกแคมเบอร์ลบมาอย่างละ 1 ภาพ
15งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ 209 ยางรถยนตแ์ ละการบำรงุ รกั ษา สาระการเรียนรู้ 15.1 ประเภทและรหัสของยางรถยนต์ 15.2 ความดนั ลมยางและการสลบั ยางรถยนต์ 15.3 การตรวจสภาพยางนอกและการปะยางแบบไมใ่ ช้ยางใน 15.4 การถอดประกอบยางและการเติมลมยางรถยนต์ 15.5 คุณลกั ษณะกระทะล้อเหลก็ และล้อแม็ก 15.6 เคร่ืองถ่วงล้อและการถว่ งล้อรถยนต์ ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. อธบิ ายประเภทและรหสั ของยางรถยนต์ได้ 2. อธบิ ายความดันลมยางและการสลับยางรถยนตไ์ ด้ 3. ปฏบิ ัตกิ ารตรวจสภาพยางนอกและการปะยางแบบไมใ่ ช้ยางในได้ 4. ปฏิบตั กิ ารถอดประกอบยางและการเตมิ ลมยางรถยนต์ได้ 5. อธิบายคณุ ลักษณะกระทะล้อเหล็กและลอ้ แม็กได้ 6. อธิบายเคร่ืองถว่ งลอ้ และการถ่วงล้อรถยนตไ์ ด้ 7. เพอ่ื ให้มีกจิ นสิ ยั ในการทำงานด้วยความเปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ย ประณตี รอบคอบและตระหนักถึงความปลอดภยั
210 งานเครอ่ื งลา่ งรถยนต์ 15 ยางรถยนต์ และการบำรงุ รกั ษา บทนำ ยางรถยนต์เป็นยางเติมลม (Pneumatic Tire) มีหน้าที่ดังต่อไปนี้ 1) ยางต้องรับน้ำหนักรถยนต์ได้ 2) ให้ความปลอดภัยในการยึดเกาะผิวถนน 3) ทนต่อแรงขับ แรงเบรกและแรงด้านข้างได้ 4) ยืดหยุ่นให้ขับขี่ได้นิ่มนวล 5) มีความคงทนดี ไม่แตกระเบิด 6) มีประสิทธิภาพการขับขี่ดี ดอกยาง ไหลย่ าง เส้นใยโครงยาง ผ้าใบ แผน่ รองรับ แก้มยาง ยางใน ช้ันยางเคลือบ ยางเสรมิ กำลงั เส้นขอบ ยางธรรมดา ยางเรเดียล สว่ นตดิ กระทะ ขอบเสน้ ลวด ส่วนตดิ กระทะ รูปท่ี 15.1 เปรียบเทียบยางธรรมดาใช้ยางในและยางเรเดยี ลไมใ่ ชย้ างใน
งานเครื่องล่างรถยนต์ 211 15.1 ประเภทและรหสั ของยางรถยนต์ ผ้าใบรองรบั 15.1.1 ยางธรรมดา เ(สต้นามใยทโแคยรงง)ยาง (Bias หรือ Conventional Tire) เสน้ ลวด เสน้ ใยโครงยางวางซอ้ นกัน 2-6 ช้นั (Ply) แต่ รปู ที่ 15.2 สว่ นประกอบยางธรรมดา ละชัน้ วางเรยี งทำมุมกบั เสน้ รอบวงยางประมาณ 35° ถึง 40° การวางซ้อนกนั เป็นมมุ ยงิ่ แคบ ยางจะย่งิ รับแรง ผ้าใบรองรบั ดา้ นข้างไดด้ ี มีความต้านทานกลิ้งนอ้ ย มีผ้าใบรองรบั เส้นใยโครงยาง หนา้ ยาง ยางประเภทนจ้ี งึ แขง็ และสปริงตัวนอ้ ย (ตามรศั ม)ี เส้นใยโครงยางใช้เส้นไนลอน หรือเส้นโปลี - เอสเตอร ์ เส้นใยโครงยางวางจากข้างหนง่ึ ไปยังอีกขา้ ง ผ้าเสริม หนง่ึ และพบั รดั เสน้ ลวดขอบยางไวใ้ หเ้ กดิ ความแขง็ แรง หนา้ ยาง คณุ สมบตั ิมีดงั นี้ เสน้ ลวด 1) ใหค้ วามนุ่มนวลได้ดที ี่ความเรว็ รถตำ่ รูปที่ 15.3 สว่ นประกอบยางเรเดยี ล 2) มคี วามตา้ นทานกลิ้งจากยางบวมมาก 3) มีเสน้ ใยโครงยางหลายชั้นทำให้เกิดความรอ้ น เพิ่มขึ้น 15.1.2 ยางเรเดยี ล (Radial Tire) 15 เส้นใยโครงยางวางทำมุมกับเส้นรอบวงยาง 80° ถงึ 90° ส่วนมากใช้ 2 ชน้ั ตรงกลางมีผ้าใบรองรบั หลายชน้ั เพ่ือใหด้ อกยางสัมผสั พืน้ ถนนไดม้ าก ความ แข็งผา้ ใบทำให้เกดิ ความต้านทานกล้ิงนอ้ ย และลดการ ยืดหยนุ่ หนา้ ยาง ผ้าใบยังทำใหเ้ กิดความรอ้ นไดน้ ้อย และสกึ หรอชา้ ดอกยางทห่ี น้ายางเป็นรอ่ งเปิดจงึ เกาะ ผิวถนนได้ด ี แม้ผิวจราจรจะเปียกหรือมีนำ้ ยางเรเดียล ให้ความยืดหยุ่นระบายที่ความเร็วรถสูงดีกว่ายาง ธรรมดา คณุ สมบัตมิ ีดงั น้ี 1) ขบั ขีด่ ้วยความเรว็ สูง ๆ ปลอดภัย 2) รับแรงดา้ นขา้ งได้ด ี เกาะถนนได้ดี 3) มคี า่ ความตา้ นทานกลงิ้ นอ้ ย ชว่ ยใหป้ ระหยดั น้ำมันเชื้อเพลงิ 4) หนา้ ยางเหนิ นำ้ นอ้ ยตอ่ ผวิ จราจรเปยี กหรอื มนี ำ้ 5) ไมย่ ืดตวั ตามแรงเหวย่ี งในแนวรัศมี 6) ที่ความเรว็ รถตำ่ จะรสู้ ึกสะเทอื นมาก
212 งานเคร่ืองล่างรถยนต์ หน้ายาง ดบอา่ กยยางาง 15.1.3 ยางใช้ยางใน (Tube Type) เสน้ ใย เพ่อื ความปลอดภัยในการรั่วซมึ ของอากาศในยาง ยาง ฉาบผวิ รถยนต์จงึ มยี างในอกี ชนั้ หนึ่ง รหัสท่แี ก้มยางประเภทนีเ้ ป็น แกม้ ยาง Tube Type การเลือกใช้ยางในตอ้ งให้ถูกต้องกบั ประเภท ขรยหาา้ งงสั ใยนใาสงย่ าง กระทะลอ้ มคี ณุ สมบตั ดิ ังตอ่ ไปนี้ เยขสาอ้นงรบลอนวงดูน 1) ปอ้ งกันการร่วั ซมึ ได้ด ี เพราะเป็นวงห่วงปิด วงล้อ หัวจบุ๊ 2) ไม่ต้องใช้ร่องกระทะล้อที่กันอากาศรั่วซมึ รูปท่ี 15.4 ยางใช้ยางใน 3) ตอ้ งใช้ยางรองขอบกระทะล้อสำหรับยางขนาดใหญ่ 4) ร่วั ซึมเรว็ เม่อื ถกู สิ่งแปลกปลอมทม่ิ แทงทะลุ หน้ายาง ดอกยาง 15.1.4 ยางไมใ่ ชย้ างใน (Tubeless Type) บา่ ยาง เยสาน้งเใคยลอื บ รหัสยางประเภทนีเ้ ปน็ Tubeless คือยางท่ีผลิตใหม้ ี ฉาบผิว ยางเคลือบภายในกันอากาศรั่วซึม จึงไม่ตอ้ งใชย้ างในอีก มี แก้มยาง คุณสมบัติดังต่อไปนี้ ข้างยาง 1) ให้ความปลอดภัยในการรั่วซึมดี เพราะแผ่นเส้นใย รหสั ใสย่ าง ขเสอ้นบลนวูนด โครงยางมียางฉาบกันอากาศร่วั เมอ่ื ถูกสงิ่ แปลกปลอม หัวจุ๊บ ท่มิ แทงทะลุ วงล้อรอ่ งลึก 2) เกิดความร้อนน้อย เพราะไม่มีการเสียดสีระหว่างยาง รปู ที่ 15.5 ยางไม่ใช้ยางใน นอกและยางใน รหัสจำกัดความเร็ว 3) ต้องใช้กระทะล้อและหวั จบุ๊ เตมิ ลมท่ีอากาศไม่ร่ัวซึม รหัสรับน้ำหนักบรรทุก 4) ขอบกระทะลอ้ ท่ีสัมผัสขอบยางตอ้ งเปน็ บา่ ที่สมบูรณ์ ขนาดกระทะล้อ (นิ้ว) โครงยางแบบเรเดียล 5) ต้องใชค้ วามระมดั ระวังในการถอด และประกอบยาง อัตราส่วนของยาง ความกว้างยาง (มม.) เปน็ พิเศษ เพื่อไมใ่ ห้ขอบยางชำรุด ทำให้อากาศรวั่ ซมึ ขอ้ ควรจำ รหสั ไดไ้ มเ่ กนิ รหสั ไดไ้ มเ่ กนิ ตวั เลข (กก.) ตวั เลข (กก.) รหัสเดือนปีที่ผลิตยางที่ตอกไว้แก้มยางเซิน 4608 52 200 82 475 46 08 54 212 84 500 ปีที่ผลิต 2008 (2551) 56 224 87 545 สัปดาห์ที่ 46 ของป ี 2008 58 236 89 580 60 250 92 630 รูปท่ี 15.6 รหสั ยางและรหสั รับน้ำหนกั 15.1.5 รหัสยางรถ รหสั ตัว Q S T H VW ตวั เลขชุดแรกเปน็ ความกว้างยางหนว่ ย มม. หรือนวิ้ หนงั สอื ตวั ถัดไปเป็นรอ้ ยละของอัตราส่วนของยาง (ความสงู H: ความ กว้าง B x 100) สำหรบั ยางเรเดียลมีตัว R หลงั ตวั R เป็นขนาด ความเร็ว เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางกระทะล้อ ขณะเดิน ตวั เลขชดุ หลงั แสดงขดี ความสามารถในการรบั นำ้ หนกั ทาง 160 180 190 210 240 270 บรรทกุ และตัวอกั ษรแสดงขีดจำกัดความเร็วท่ใี ชไ้ ด้ (กม./ชม.) รปู ท่ี 15.7 รหัสจำกดั ความเร็ว
งานเครอื่ งลา่ งรถยนต์ 213 15.2 ความดนั ลมยางและการสลบั ยางรถยนต์ รปู ท่ี 15.8 ความดันลมยางพอดี 15.2.1 การเตมิ ลมยาง รปู ที่ 15.9 ความดันลมยางมากเกนิ ไป ความดันลมยางที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญ เพื่อความปลอดภัย และเป็นตัวกำหนดสมรรถนะใน การขับขี่ ดังนั้นควรตรวจวัดลมยางอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนออกเดินทางไกล และควรทำในขณะ ที่ยางยังมีอุณหภูมิปกติ อย่างไรก็ตาม ความดันลมยาง ของรถแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน และขึ้นอยู่กับการใช้งาน ฉะนั้นควรเติมลมยางตามอัตราที่ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำ การรักษาความดันลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัย ยืดอายุการใช้งานและประหยัด พลังงานได้อย่างสูงสุด ถ้าหากใช้ความดันลมยางไม่ถูกต้อง จะเกิด ปัญหาต่าง ๆ ดังนี้ รปู ที่ 15.10 ความดันลมยางนอ้ ยเกินไป 1) อายุการใช้งานของยางจะสั้นลง 2) เป็นการลดสมรรถนะการขับขี่ ล้นิ ยาง ฝาครอบ ฝาครอบ 3) หากความดันลมยางมากเกินไป จะทำให้ เกิดการลื่นไถล หรือยางแตกได้ง่าย ล้นิ ยางเรียว 4) ถา้ หากความดนั ลมตำ่ เกนิ ไปโครงยางจะโคง้ งอ บา่ ยาง เกิดความร้อนสูง สึกหรอมากผิดปกติที่ขอบ สปรงิ ทั้ง 2 ด้านหน้ายาง 5) ถ้าความดันลมยางแต่ละเส้นไม่เท่ากัน การ ขับขี่จะเกิดอันตราย เนื่องจากการทรงตัว ของตัวรถในยามเหยียบเบรกฉุกเฉินโดยแรง รอ่ งยึด หัวจบุ๊ เตมิ ลมยาง 15 กระทะลอ้ สปรงิ หัวจุ๊บเติมลมยาง (Schrader Valve) มี 2 แบบ คือแบบสำหรับยางไม่ใช้ยางในและแบบสำหรับยางใช้ ยางใน ภายในเป็นลิ้นบรรจุลมทางเดียว ประกอบด้วย ลิ้นยางทรงกรวย บ่ายางและสปริง หากต้องการ ปล่อยลม กดให้เดือยลิ้นปล่อยลมได้ ส่วนบนเป็น ฝาครอบกันฝุ่น รปู ท่ี 15.11 หวั จบุ๊ สำหรบั ยางไม่ใชย้ างใน (ซ้าย) และสำหรบั ใชย้ างใน (ขวา)
214 งานเครอื่ งล่างรถยนต์ 15.2.2 การสลบั ยางรถยนตแ์ ละอัตรา การบรรทุกน้ำหนกั รปู ท่ี 15.12 การสลับยางธรรมดา 4 ลอ้ 1. ความจำเป็นในการสลับยางรถยนต์ การใช้ยางรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพ ควร สับเปลี่ยนยางอยู่เสมอ ทุกระยะการใช้งาน 5,000- 10,000 กิโลเมตร เพื่อให้ยางทุกเส้นมีโอกาสใช้งานได้ อย่างเท่าเทยี มกนั ซ่งึ จะชว่ ยยดื อายกุ ารใช้งานและรักษา ประสิทธิภาพในการบังคับรถ รวมถึงช่วยลดความ สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แม้ว่ารถยนต์บางคันจอดไว้มากกว่าใช้งาน แต ่ ดอกยางไม่สึกหรือสึกน้อยมาก ทำให้ดูเสมือนว่าสภาพ ยางยังดีอยู่ แต่ความจริงยางหมดอายุการใช้งาน หรือ เรียกว่ายางตาย สภาพยางจะแข็ง อาจเกิดอันตรายได้ รูปที่ 15.13 การสลับยางเรเดยี ล 4 ล้อ 2. การสลับยางเรเดียล การสลับยางเรเดียล ถ้าสลับกันโดยสลับ ด้านตรงข้ามกันของตัวรถ จะทำให้เกิดเสียงดัง และ การหักเหออกนอกทิศทาง หลังจากการเปลี่ยนช่องทาง จราจรชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากยางจะเปลี่ยนทิศทาง การหมุนเป็นด้านตรงข้ามกันกับการหมุนก่อนสลับยาง ดังนั้น เมื่อเป็นยางเรเดียลจะต้องสลับกันภายในด้าน เดียวกันของตัวรถ ดังแสดงในรูปซ้ายมือ 200 3. อัตราการบรรทุกน้ำหนักกับอายุยาง 180 160 บรรทกุ นำ้ หนักตามพกิ ดั อายุการใช้งาน 140 (%) (%) 120 อายุยาง (%)100 เพยี ง 80 % ถึง 160 % 80 เตม็ 100 % ถงึ 100 % 60 เกิน 30 % เหลอื 60 % 40 80 90 100 110 120 130 140 150 เกนิ 50 % เหลือ 40 % อตั ราการบรรทกุ (%) รปู ที่ 15.14 กราฟอตั ราการบรรทุกน้ำหนักกบั อายุยาง
งานเคร่อื งล่างรถยนต์ 215 15.3 การตรวจสภาพยางนอกและการปะยางแบบไม่ใชย้ างใน เครือ่ งหมายการสกึ ของดอกยาง 15.3.1 การตรวจสภาพยางและเครอื่ งมอื บรกิ ารยางรถ ดอกยางใหม ่ ดอกยางสึกหรอ รปู ท่ี 15.15 เครือ่ งหมายการสกึ ดอกยาง 1. เครื่องหมายการสึกดอกยาง เครื่องหมาย 3 เหลี่ยม แสดงการสึกของ ดอกยางคือ แนวของสันซึ่งสูงกว่าพื้นผิวของยาง ประมาณ 1.6 มม. ถึง 1.8 มม. มีอยู่ 4 ถึง 6 จุด ตามแนว เส้นรอบวงของยาง แสดงถึงค่าจำกัดของการสึกหรอ ของดอกยาง เมื่อเครื่องหมายแสดงขึ้นจะต้องเปลี่ยน ยางใหม่ รปู ท่ี 15.16 เครอื่ งมือบรกิ ารยางรถ 2. เครื่องมือบริการยางรถ 1) แปรงทาน้ำสบู่หล่อลื่น 2) กระป๋องน้ำสบู่หล่อลื่น 3) ค้อนยางสำหรับตอกยาง 4) เหล็กงัดยางปลายงอและปลายแหลม 13 15.3.2 การปะยางแบบไม่ใช้ยางใน 15 52 6 1. เครื่องมือปะยางนอกแบบไม่ใช้ยางใน 4 j กล่องแท่งยางปะ รูปที่ 15.17 เครอื่ งมือปะยางรถ k เหล็กสอดแท่งยางปะ l เข็มสอดแท่งยางปะ ถอดตะปู m เหล็กเกลียวทำความสะอาดรูรั่ว n น้ำยางประสาน o ประแจสำหรับถอด-ใส่เหล็กสอดแท่งยาง 2. การถอดตะปูหรือวัตถุตกค้างออก 1) เอาวัตถุที่ค้างอยู่ออกจากยาง 2) ทำเครื่องหมายจุดที่เป็นแผลไว้ รปู ท่ี 15.18 การถอดตะปูออกจากยางรถ
216 งานเครอ่ื งลา่ งรถยนต์ 3. การทำความสะอาดรอยแผลยางรถ หมุนเขา้ 1) ทำความสะอาดรอยแผล โดยเอาเหล็กเกลียว เจาะหมุนลงไปตรงตำแหน่งแผลจนสุด รูปท่ี 15.19 การทำความสะอาดรอยแผลยางรถ 2) หมุนเหล็กเกลียวออก แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำยาง ประสานทาลงไปอีก ทำอย่างนี้จนครบ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้คาเหล็กเกลียวไว้ หมายเหตุ การหมุนเหล็กเกลียวเข้าและออกจากยางต้อง หมุนตามเข็มนาฬิกาเท่านั้น เหล็กสอดแทง่ ยางปะ 4. การสอดแท่งยางใส่เหล็กสอดแท่งยางปะ แทง่ ยางปะ 1) สอดแทง่ ยางปะเขา้ ตรงปลายของเหลก็ สอดแทง่ รูปที่ 15.20 การสอดแทง่ ยางใส่เหล็กสอดแท่งยาง ยางปะ จนกระทั่งเหล็กสอดแท่งยางปะอยู่ กึ่งกลางของแท่งยางปะ 2) ทาน้ำยางประสานลงบนแท่งยางปะจนทั่ว 5. การใส่แท่งยางปะในรูรั่ว 1) หมุนเหล็กเกลียวออก 2) ดันเข็มสอดแท่งยางปะลงไปพร้อมแท่งยางปะ จนกระทง่ั แทง่ ยางปะเหลอื ประมาณ 10 มม. ให้ ดึงเข็มสอดแท่งยางปะออก รูปที่ 15.21 การใสแ่ ทง่ ยางในรูรั่ว 6. การตัดปลายท่อยางปะ รปู ที่ 15.22 การตดั ปลายท่อยางปะ 1) ตัดปลายท่อยางปะออก 2) ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จึงเติมลม ขอ้ ควรจำ ถ้ารอยแผลใหญ่ใช้แท่งยางปะ 2-3 แท่ง โดย ทำตามวิธีข้างต้น ถ้ารอยแผลใหญม่ ากต้องใช้วธิ ปี ะร้อน (Steam)
งานเคร่ืองลา่ งรถยนต์ 217 15.4 การถอดประกอบยางและการเติมลมยางรถยนต์ 1. การกดขอบยางใหห้ ลุดจากขอบกระทะลอ้ 1) ถอดตะกั่วที่ติดกับกระทะล้อออกให้หมดทั้ง 2 ด้าน 2) คลายลูกศรออกจากจุ๊บ ปล่อยลมในยางออกให้ หมด 3) กลิ้งยางเข้าหาช่องกดขอบ แล้วกดขอบยางให้ หลุด พลิกอีกด้านหนึ่งเข้าหาจานกดขอบยาง และปฏิบัติเช่นเดียวกับครั้งแรก จนยางหลุดจาก ขอบกระทะล้อทั้ง 2 ด้านโดยรอบ รปู ที่ 15.23 เคร่ืองถอดประกอบยางรถยนต์ 2. การถอดยางออกจากกระทะล้อ 15 งดั ขอบบน 1) ยกยางทข่ี อบหลดุ แลว้ ขน้ึ วางบนแทน่ กลมหมนุ ใช้ งดั ขอบลา่ ง เท้าเหยียบคันวาล์วลมให้ปากกาจับยึดกระทะล้อ 2) ลากตัวหัวกดออกมาให้ได้ระยะแนวดิ่ง ตรงกับ รปู ที่ 15.24 การถอดยางออกจากขอบกระทะล้อ ขอบกระทะล้อ ใชน้ ิ้วหวั แม่มือกดปุ่มจังหวะแรก ประกอบขอบยางล่าง ลมจะดันตัวหวั กลมลงทข่ี อบกระทะล้อจนปะทะ แก้มยาง ประกอบขอบยางบน 3) ใช้แปรงจุ่มน้ำสบู่ทาบริเวณขอบยางโดยรอบเพื่อ รูปที่ 15.25 การใสย่ างเขา้ กระทะลอ้ ให้ลื่นสะดวกต่อการถอด 4) ใช้เหล็กงัดยางด้านที่มีปลายมน งัดขอบยางด้าน บนให้เผยอขึ้นทาบลงตัวหัวกดด้านขวาตรงส่วน ที่เป็นแหลมยื่นออกมา 5) ดงึ เหล็กงัดยางออก เหยียบคนั สวิตชใ์ ห้แทน่ หมนุ ตามเข็มนาฬิกา ขอบยางจะค่อย ๆ เลื่อนหลุด 6) ถ้าเป็นยางชนิดที่มียางใน ให้ดึงยางในออกหลัง จากที่ถอดขอบด้านบนของยาง ออกจากกระทะ แล้ว หลังจากดึงยางในออกจึงถอดขอบยางด้าน ล่างดังข้างต้น 3. การใส่ยางเข้ากระทะล้อ 1) วางกระทะล้อลงบนแท่นหมุน แล้วเหยียบคัน วาล์วให้ปากกาจับยึดกระทะล้อ 2) วางยางทาบบนกระทะลอ้ แลว้ ใสย่ างเขา้ กระทะลอ้ ดังเดิม
218 งานเครื่องล่างรถยนต์ 15.5 คณุ ลกั ษณะกระทะลอ้ เหลก็ และลอ้ แม็ก กวา้ ง ขนาดกระทะ ้ลอ 15.5.1 หนา้ ที่กระทะลอ้ (Wheel) ขอบกระทะ (เส้น ่ผาน ูศน ์ยกลาง) 1) รองรับน้ำหนักรถและแรงกระแทกจากสิ่ง กีดขวาง 2) รับแรงขับ แรงเบรกและแรงด้านข้าง 3) ให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำตามรัศมีหมุนเลี้ยว (รัศมีถู) 4) ถ่ายเทความร้อนที่เกิดในยางได้ 5) ร่องขอบกระทะล้อกันลมรั่วออกจากยางที่ ไม่ใช้ยางในได้ ชว่ งวดั รูปทรง 15.5.2 พิกัดกระทะล้อ รูปท่ี 15.27 พิกดั ขนาดกระทะลอ้ ร่องกระทะล้อ 5, 51/2, 6, 61/2 = กระทะล้อกว้างเป็นนิ้ว J, K, JK = รูปร่างขอบกระทะ จานล้อ 13, 14, 15 = ขนาดกระทะล้อเป็นนิ้ว รปู ท่ี 15.28 กระทะล้ออัดขนึ้ รูป A = รูปทรงสมมาตร B = รูปทรงไม่สมมาตร (Offset) BOSS MILLENNIUM 15 x 7 นว้ิ มีท้งั เกง๋ และกระบะ 15.5.3 ประเภทกระทะ รปู ที่ 15.29 กระทะลอ้ หล่อ 15.5.3.1 กระทะล้อเหล็ก (Dise Wheel) กระทะล้อเหล็กเหนียวคือกระทะล้ออัดขึ้นรูป ใช้กับรถนั่งและรถบรรทุกเล็ก ประกอบด้วยขอบล้อ (Rim) กับหน้าแปลน (Dish) ยึดติดกันด้วยการเชื่อม เจาะช่องเว้าที่หน้าแปลน เพื่อลดน้ำหนักและให้ระบาย ความร้อนได้ดีขึ้น ข้อดีของวงล้อแบบนี้คือผลิตง่ายและ ขอบวงแหวนปิดสนิท ไม่มีการรั่วซึม 15.5.3.2 กระทะล้อแม็ก (Magnesium Wheel) กระทะล้อโลหะเบาหล่อหรือล้อแม็ก น้ำหนัก น้อยและนำความร้อนได้ดี ส่งผลให้ระบบขับเคลื่อนด ี ขึ้น เบรกและยางจะทนกว่า ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า กรรมวิธีการผลิตต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ราคาจึงแพง แบ่งเป็นแบบชิ้นเดียว 2 ชิ้น 3 ชิ้น ออกแบบให้ตบแต่ง สวยงามได้
งานเครื่องล่างรถยนต์ 219 15.6 เคร่อื งถ่วงล้อและการถว่ งล้อรถยนต์ ล้อหมนุ เดือยรบั สเกล 15.6.1 เครอ่ื งถว่ งลอ้ แบบตง้ั พน้ื และแบบประชดิ สปริง ลูกปืน 1. ความจำเป็นในการถ่วงล้อรถยนต์ มอเตอร์ การผลิตยางที่จะให้มีความหนาของยาง และความ หนาแนน่ เนอ้ื ยางเทา่ เทยี มกนั อยา่ งสมำ่ เสมอตลอดทง้ั เสน้ เปน็ รปู ที่ 15.30 เคร่อื งถว่ งล้อแบบต้ังพืน้ ระบบกลไก ไปยากยง่ิ ยอ่ มมสี ว่ นหนาสว่ นบางบา้ ง การควบคมุ คณุ ภาพ กระปกุ เกจ ก่อนสง่ ออกจากโรงงาน ต้องสมดุลสถิตและสมดุลจลนใ์ ห ้ เรยี บรอ้ ย แลว้ ทำเครอ่ื งหมายสว่ นทข่ี าดสมดลุ ไว ้ เมอ่ื ประกอบ กับวงลอ้ ให้ประกอบเคร่ืองหมายนัน้ ตรงหัวจ๊บุ (Tire Valve) เตมิ ลม การถว่ งลอ้ เกา่ ใหท้ ำความสะอาดยาง กำจดั กอ้ นหนิ หรอื ส่ิงแปลกปลอมทต่ี ิดอยกู่ ับดอกยางออกให้หมด ทำความ สะอาดกระทะลอ้ ถอดตะกว่ั ของเดมิ ออก ถา้ ขอบกระทะลอ้ บิดเบ้ียวให้เคาะดัดให้เรยี บร้อย เพราะทำให้ผลการถว่ งล้อ ผดิ พลาดได้ รปู ที่ 15.31 เกจเครอื่ งถว่ งล้อแบบตงั้ พื้นระบบ 2. เครื่องถ่วงล้อแบบตั้งพื้น 15 อิเลก็ ทรอนิกส์ ใชถ้ ว่ งลอ้ ทถ่ี อดออกมาจากรถยนต ์ หรอื เมอ่ื เปลย่ี น เกจวดั ความส่ัน ยางแลว้ ประกอบลอ้ เขา้ กบั เครอ่ื งถว่ งลอ้ และขนั สกรยู ดึ แนน่ ไฟวาบ เปดิ สวติ ชใ์ หย้ างหมนุ ดว้ ยความเรว็ รอบของเครอ่ื งถว่ งลอ้ เครอื่ งถว่ งลอ้ แบบน้ ี สปรงิ ในเครอื่ งถ่วงล้อจะเป็น ลกู กลง้ิ สมั ผสั ตัวยึดเพลาเคร่ืองถ่วงล้อให้อยู่ในภาวะสมดุลและรับแรงสั่น รูปท่ี 15.32 เคร่อื งถว่ งล้อแบบประชิด รอบลกู ปนื (Ball Bearing) ถา้ ล้อรถไมส่ มดลุ ลอ้ รถจะสนั่ พา เพลาเคร่ืองส่ันไปดว้ ย ให้ปรับปรงุ ล้อจนกวา่ จะพบตำแหน่ง ที่เหวี่ยงตัวสงู สุด เปน็ ตำแหนง่ ทข่ี าดสมดลุ ในแนวน้นั ขนาด ท่เี ข็มเกจเคร่อื งถ่วงลอ้ แสดงน้ำหนกั ท่ีขาดสมดลุ ของยางรถ ตำแหน่งของล้อหมุนแสดงตำแหน่งขาดสมดุลด้วย 3. เครื่องถ่วงล้อแบบประชิด ไมใ่ ชถ่ ว่ งลอ้ อยา่ งเดยี วเทา่ นน้ั มผี ลตอ่ สว่ นประกอบ อน่ื ทย่ี ดึ ลอ้ ดว้ ยคอื ดมุ ลอ้ จานเบรกหรอื กระทะเบรก เปน็ การ สมดุลที่เดียวพร้อมกันหมด ลูกกลิ้งสัมผัสของเครื่องถ่วง ล้อจะหมนุ ขับลอ้ รถทตี่ ดิ อยูก่ บั เพลารถใหม้ คี วามเร็วเท่า 150 กม./ชม. ตำแหน่งไม่สมดุลจะได้จากไฟวาบ และขนาด น้ำหนักถ่วงได้จากสเกลเกจเป็นกรัม
220 งานเครอื่ งลา่ งรถยนต์ รปู ที่ 15.33 เคร่อื งถ่วงล้อ 15.6.2 ประโยชนข์ องการถว่ งล้อและ A B A B การถว่ งลอ้ C D C D 1. ประโยชน์ของการถ่วงล้อ A + B = C + D B = C เมื่อล้อเริ่มไม่สมดุล หรือมีการซ่อมหรือ เปลี่ยนยาง ต้องมีการถ่วงล้ออีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะ รปู ที่ 15.34 สมดุลสถิต ได้อยู่ในค่ามาตรฐาน จำนวนของล้อ (ที่ริมขอบ) จำนวนของล้อที่ไม่สมดุล 0.2 นิวตัน (20 กรัม) หรือ A D C D น้อยกว่า C D A B 1) ขบั รถปลอดภยั ไรก้ ังวลทุกสภาพความเรว็ เพราะพวงมาลัยจะไม่สั่น ไม่มีผลกระทบ ต่อการสึกหรอของคันชักคันส่ง 2) ยืดอายุการใช้งานของยางรถ 3) ขับขี่สบาย ล้อไม่สั่น 2. การสมดุลสถิต (Static Balance) คอื การสมดลุ ในแนวรัศมขี องล้อ (กึ่งกลาง ยาง) เม่อื หมุนลอ้ หยดุ อย ู่ ณ จุดใด ล้อจะหยดุ อยู่จุด นนั้ ได้ เพราะน้ำหนกั แนวรศั มีเท่ากันทกุ จุด 3. การสมดุลจลน์ (Dynamic Balance) คอื การสมดลุ แบบเคลอ่ื นท ่ี หมายถงึ นำ้ หนกั ของยางดา้ นขา้ งแตล่ ะจดุ ไมเ่ ทา่ กนั เมอ่ื ลอ้ หมนุ ดว้ ย ความเรว็ ณ จดุ หนง่ึ การสลดั เหวย่ี งตวั ของสว่ นทข่ี าด สมดลุ จะเปน็ ตวั ทำใหล้ อ้ สน่ั พวงมาลยั และเครอ่ื งลา่ ง รถยนตส์ น่ั มผี ลกระทบตอ่ ความมน่ั คงในการขบั ข ่ี และการสกึ หรอดว้ ย ตอ้ งถว่ งลอ้ ดว้ ยเครอ่ื งถว่ งลอ้ รปู ที่ 15.35 สมดุลจลน์
แบบฝกึ กจิ กรรมท ่ี 15 งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ 221 เรอ่ื ง ยางรถยนตแ์ ละการบำรงุ รกั ษา ตอนท ่ี 1 จงเตมิ คำในช่องวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง 1. ยางรถยนต์ประกอบด้วยเส้นใยถักติดกับขดลวดขอบยางและมียางหุ้ม แยกประเภทเป็นยางธรรมดา และยางเรเดียลตามลักษณะการถักเส้นใย ความแตกต่างเป็นอย่างไร ยางธรรมดา ยางที่ใช้ผ้าเสริมหน้ายาง หรือยาง …………....……... หรือยาง ………………...... มุมเส้นใย …………....…... มุมเส้นใย ……………...... ยางเรเดียลใช้ผ้าเสริมหน้ายางให้แข็งแรงขึ้น จากกรรมวิธีนี้จึงแบ่งยาง ตามวัสดุเป็น 2 ประเภท คืออะไร ผ้าเสริม ……………………………..….. และ ……………………….……...................….. หน้ายาง 2. ข้อดีของยางแบบใช้ผ้า คืออะไร 1) ……………………………………………........…..... 3) …………………………................................................ 2) ………………………………………….....……........ 4) ………………………………………………................. 3. จงเขียนชื่อส่วนประกอบยางรถประเภทไม่ใช้ 15 ยางใน j ................................................................................ k ................................................................................. l ................................................................................ m ................................................................................. n ................................................................................. 4. จงเขียนความหมายรหัสยางต่อไปนี้ รหสั ยาง ประเภทยาง ยางกว้าง ขนาดกระทะ ความเรว็ สงู สดุ 5.90-13 165 SR 14 185 HR 14 185 VR 15
222 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 5. จงเติมวิธีการแก้ไขปัญหาของยางรถตามหัวข้อต่อไปนี้ ปญั หาของยางรถ สาเหตุ วิธกี ารแกไ้ ข u สึกมากทีข่ อบ ความดันลม ............................................................. ทัง้ 2 ดา้ น ไมพ่ อหรอื หมุนเลีย้ วมาก ............................................................. ............................................................. v สึกมากท่ี ความดันลม ............................................................. กงึ่ กลางยาง มากเกนิ ............................................................. w แตกรา้ วตาม ความดนั ลมยางไมพ่ อ แนวร่องยาง x สกึ มากท่ีขอบ มมุ แคมเบอร์ผดิ ยางดา้ นขา้ ง y สึกเปน็ แนว โทอินผดิ ฟันเล่อื ย z สึกเปน็ จดุ ๆ ยางไม่สมดุล ............................................................. สึกเปน็ บง้ั ๆ 1) ยางรับความฝืดกับพื้นถนนมาก 1) ...................................................... ดา้ นใดดา้ นหนง่ึ 2) ศูนยล์ ้อไมด่ ี 2) ...................................................... 3) ชว่ งล่างหนา้ หลวม 3) ...................................................... ขันแน่น 6. จงเติมข้อความการคลายและการขันนอตสกรูล้อ คลาย 1) การคลายขณะล้อสัมผัสพื้นโดย ............................................. 2) การขันขณะล้อลอย ให้ขันด้วย ............................................. 3) การขันแน่น ให้ขันเมื่อ .......................................................... สลับขันตรงข้าม ขันแน่นด้วย ............................................... ......................................................................................................... .........................................................................................................
งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 223 ตอนท ี่ 2 จงทำเครอ่ื งหมายถูก (P) ลงหนา้ ข้อความทถ่ี ูกตอ้ งทสี่ ุด 1. สัมประสิทธิ์ความฝืดสูงสุดของยางกับถนน 6. การเติมลมยางน้อยมีผลกระทบอะไร คิดเมื่อใด ก. ขับขี่ยางไม่ร้อน ข. ขับขี่ยางร้อนสูง ค. ขับขี่ปลอดภัย ง. ยางสึกหรอน้อย ก. ก่อนยางเคลื่อนที่ 7. การปะยางรถแผลใหญ่ควรใช้วิธีใด ข. ก่อนยางเริ่มลื่นไถล ก. ใส่แท่งยาง 2 แท่ง ค. หลังยางหยุดเคลื่อนที่ ข. ใส่แท่งยาง 3 แท่ง ง. หลังยางเริ่มลื่นไถล ค. ปะยางวิธีเย็น 2. ยางเหินน้ำหมายถึงอะไร ง. ปะยางวิธีร้อน 8. รหัสกระทะล้อรถ J หรือ K คืออะไร ก. ยางลอยน้ำเพราะเติมลมน้อย ก. รูปร่างกระทะล้อ ข. ยางลอยน้ำเพราะเติมลมมาก ข. รูปร่างขอบกระทะล้อ ค. ยางลอยน้ำไม่เกาะถนน ค. รูปร่างรูกระทะล้อ ง. ยางลอยน้ำเพราะสึกหรอ ง. รูปร่างการขึ้นรูปกระทะล้อ 3. ยางธรรมดาใช้รหัส 14 หมายถึงอะไร 9. ข้อดีกระทะล้อแม็กคืออะไร ก. ความกว้างของยาง ข. ความเร็วสูงสุด ก. แข็งแรง ค. ขนาดของกระทะล้อ ง. อัตราส่วนรูปร่าง ข. คงทน 4. รหัสยาง 185/70R ความหมาย 185 คืออะไร ค. ถ่ายเทความร้อนดี ก. ความกว้างยาง (มม.) ง. มีให้เลือกมากแบบ ข. ความกว้างยาง (นิ้ว) 10. จำเป็นอย่างไรต้องถ่วงล้อรถยนต์ ค. อัตราส่วนความสูง/กว้าง ก. เพื่อลดการสึกหรอของยาง ง. ยางเรเดียล ข. เพื่อลดการสึกหรอของเครื่องล่าง 5. รหัสยาง 185/70R ความหมาย R คืออะไร ค. ตามการบำรุงรักษาตามระยะ ก. ความกว้างยาง (มม.) ง. เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ข. ความกว้างยาง (นิ้ว) ค. อัตราส่วนความสูง/กว้าง ง. ยางเรเดียล ตอนท่ี 3 จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ได้ใจความสมบูรณ์ 15 1. จงเขียนคุณสมบัติของยางรถยนต์ที่เป็นยางเรเดียลมา 5 ข้อ 2. จงเขียนคุณสมบัติยางไม่ใช้ยางในมา 5 ข้อ 3. เพราะเหตุใดจึงต้องสลับยางรถยนต์ตามกำหนด 4. การสมดุลจลน์ของยางรถยนต์หมายถึงอะไร 5. จงสเกตช์ภาพยางไม่สมดุล ยางขาดสมดุลสถิตและยางขาดสมดุลจลน์มาอย่างละ 1 ภาพ
224 งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ โตโยต้ามอเตอร ์ ประเทศไทย, บรษิ ทั จำกดั . คมู่ อื การอบรมระบบรองรบั . (เล่ม 10 ระดับ 2). . คู่มอื การอบรมระบบบงั คับเลีย้ ว. (เล่ม 11 ระดบั 2). . ค่มู อื การอบรมระบบเบรก. (เล่ม 13 ระดบั 2). . คู่มอื การซ่อมแชสซีสโตโยตา้ ไฮลักซ์. (No. 00038). และคมู่ อื ซอ่ มแซมแชสซีสโตโยต้า โคโรลล่า (No.000444). ไทยบริดจ์สโตน, บรษิ ัทจำกัด. คมู่ อื ความรูเ้ ก่ียวกบั ยางรถยนต.์ เอกสารทางวชิ าการ, 2537. อำพล ซอ่ื ตรง. ทฤษฎีเครอื่ งลา่ งรถยนต์ 1. กรงุ เทพฯ: สำนักพิมพศ์ ูนยส์ ง่ เสรมิ วชิ าการ, 2545. . ปฏิบัตเิ คร่ืองลา่ งรถยนต์ 1. กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์ศนู ย์ส่งเสริมวิชาการ, 2545. . แชสซสี และตวั รถ. กรงุ เทพฯ: สำนักพิมพส์ ถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ, 2545. ฮอนดา้ คาร์ส (ประเทศไทย), บรษิ ัทจำกัด. Shop Manual Honda Accord, Construction and Function 9. 2537. Erich Renner, Werkstoff-und Arbeitskunde Kfz.-Technik, Fachtheorie Kfz. Paul Kieser Verlag 8901, Neusäss Best. Nr 02 4055 L. Holland & Josenhans Verlag. Fachkunde Kraftfahrtechnik. Stuttgart 1, 2. Auflage 1982. Handwerk und Technik Verlag. Fachkenntnisse Kraftfahrzeugmechaniker. Hamburg, 1968. Toyota Motor Sales Co. LTD. Brake, Technical Service Training Aid. W. Schwoch, Das Fachbuch vom Automobil, Fahrwerk, Georg Westermann Verlag, 1969. พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ 43 ซอยกาญจนาภิเษก 003 แขวงหลักสอง เขตบางแค กรุงเทพฯ 10160
การประมาณราคาค่าบริการ 1. งานซ่อมช่วงล่าง หน้า-หลัง เป็ นงานสาคัญต่อเนื่อง ท้ังรถระบบขับล้อหน้า และล้อหลัง ง า น ซ่ อ ม ช่ ว ง ล่ า ง จ ะ มี ค่ า แ ร ง ป ร ะ ม า ณ 3 , 0 0 0 – 4 , 0 0 0 บ า ท จะต้องต้ังศูน ย์ล้อด้วยห ลังจาก ซ่ อม ช่ วงล่ างเส ร็ จ (Wheels alignment) 300 – 500 บ าท แลว้ จะตอ้ งถ่วงลอ้ -สลบั ยางดว้ ย (Wheel Balance) 2. กรณีซ่อมระบบเบรก รถทวั่ ๆ ไปจะมีค่าบริการระบบเบรกท้งั ระบบ ค่าบริการ 3,000 – 4,000 บาท ไมร่ วมอะไหล่ (หมอ้ ลมเบรกตอ้ งเปลี่ยนท้งั ลูก) 3. ระ บ บ พ ว งม าลัย ข อ งรถ ท่ัว ๆ ไ ป จ ะ มี ท้ัง 2 ร ะ บ บ คื อ Manual แ ล ะ ร ะ บ บ Power และมีระบบพวงมาลยั ท้งั ระบบ Rack Power และระบบ Steering Box Power และระบบธรรมดา คา่ แรงซ่อมระบบ Rack Power ค่าแรง 1,500 – 2,500 บาท ซ่ึงระบบธรรมดาราคาเท่ากนั ส่วนระบบ Steering box และ Steering Box Power คา่ แรงถูกกวา่ คือ 1,000 – 1,500 บาท 4. อุปกรณ์กันสะเทือนอีกอย่างคือ โช้คอัพ-สปริ ง-แหนบ-โช้คอัพหน้า-หลัง จะมีอยู่ 2 อย่าง โช้คอัพระบบ แท่นส ตาร์ ท ซ่ึ งจะมีท้ังโช้คอัพส ปริ ง และแหนบจะอยู่ในระบบ เส ร็ จ ราคาซ่อมโช้คอพั ชนิดน้ีประมาณ 1,000 – 1,500 ต่อขา้ ง โชค้ อพั ชนิดอิสระ-แยก ค่าแรงประมาณ 500 – 1,000 บาท ลูกปื นหลอ้ หนา้ 560 – 860 บาท ซีลลอ้ หนา้ 200 – 300 บาท คนั ส่งกลาง 1,500 – 2,500 บาท บุชขาไก่ 700 – 900 บาท ยางกนั โคลน 500 - 750 บาท ยางเบา้ โชค้ อพั 1,800 – 2,200 บาท ยางกนั กระแทกโชค้ 700 – 900 บาท โชค้ อพั หนา้ 5,000 – 7,000 บาท แขนอาร์มหลงั 1,000 – 1,200 บาท
1300500501 แหวนล็อก T90,200,210 51 ชุดแมป่ ั๊มเบรก 131988 ชุดแผน่ คลตั ช์ A20-A82(COLT) 2,055 1350221071 สลกั แหนบหลงั T620,T653 4,726 1375404800 สายพาน BUSES 366 1376342301 ชุดสลกั คานหนา้ BUSES 1,147 1400124301 ชุดสลกั คานหนา้ NP117,T390 2,921 1400124400 ชุดสกรู NP117,T390 2,921 1402700701 แหวน FN527’89 DUMP 179 1402700801 ลูกหมาก RP118,FN 1402707203 NP117,T390 62 สปริงเบรกมือ 1,448 1242216301 สายเบรกมือ NP117,T390 1274803000 กล่องยางหมอ้ กรองอากาศ NP117,T390 611 1276750101 ชุดกา้ นลูกหมาก NP117,T390 1,472 1285702103T สกรู FN516-7,526-7 3,011 1285706300 บูช๊ โตงเตงแหนบหลงั FN215K,FN225K 7,265 1285710600 แผน่ ล็อกสกรู FN215,225KR 309 1285715400 แผน่ ชิมปรับ FN516-7,526-7 1,517 1285715500 ปะเกน็ รองแกนพวงมาลยั FN516-7,526-7 828 1285716501 FN215,225KR ซีล 76 1285716700 ยางกนั ฝ่ นุ แร็กพวงมาลยั FN516-7,526-7 145 46023 T เฟื องพวงมาลยั CB2’95 (M/CHA) 46504A T CB2’95 (M/CHA) 642 531 46,668
57 สลกั คานหนา้ CWM430 3,990 201 58 สกรูลอ้ หนา้ ซา้ ย CWM430 201 16,610 59 สกรูลอ้ หนา้ ขวา CWM430 2,650 336 60 กระทะลอ้ 700x20-162 ALL MODEL 400 150 61 ผา้ เบรกหนา้ (Non Asbastos) CWM430,431,CWM454,432 275 275 62 ผา้ เบรกหนา้ PKB211,214, CPA87, CDA12 3,690 541 63 ผา้ เบรกหนา้ CWM454HTNA, CWB450,520 JA450,JP252 (BUS) 390 225 64 ผา้ เบรกหนา้ MKA120,121, CBF87 12,900 12,900 65 สกรูลอ้ หลงั ซา้ ย CWM430 12,900 2,350 66 สกรูลอ้ หลงั ขวา CWM430 2,350 67 ผา้ เบรกหลงั (Non Asbastos) CWM430,431,CWM454,432 68 ผา้ เบรกหลงั CWM454HTNA, CWB450,520 JA450,JP252 (BUS) 69 ผา้ เบรกหลงั PKB211,214, CPA87, CDA12 70 ผา้ เบรกหลงั MKA120,121, CBF87 71 เบรกวาลว์ PKB211 72 เบรกวาลว์ PKB 214 73 เบรกวาลว์ CWM430 74 ชุดซ่อมเบรกวาลว์ CWM430 75 ชุดซ่อมเบรกวาลว์ PKB211
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235