งานเครอื่ งล่างรถยนต์ 43 4.2 การรองรบั แบบปกี นกคใู่ ชท้ อรช์ นั บาร์ 1. คุณลกั ษณะปกี นกค่ใู ชท้ อรช์ ันบาร์ ระบบรองรบั แบบนใ้ี ชอ้ ยใู่ นรถกระบะ (Pickup) โคนทอรช์ นั บารย์ ดึ ตดิ กบั โครงรถ ปลายทอรช์ นั บาร์ ยึดติดอยกู่ ับโคนปกี นกตัวบน โดยใช้แทนสปรงิ ขดหรือแหนบ ดา้ นหนา้ รถ ปีกนกตวั บน ทอร์ชันบาร์ 4 แขนรับแรงบิด ขาเกยี่ ว เหล็กกันโคลง สกรปู รบั ตัง้ ขาเก่ยี ว โช้คอัพ รอ่ งฟัน ปกี นกตัวล่าง บุช ทอร์ชันบาร์ แขนแรงบดิ ปีกนกตวั บน รปู ที่ 4.8 ระบบรองรบั หน้ารถแบบปกี นกคู่ ใช้ทอรช์ นั บาร์ทปี่ กี นกตัวบน บชุ เกลยี ว แกนเพลาปีกนกตัวบน บชุ เกลยี ว 2. ส่วนประกอบ ปีกนกตวั บนมีรูปทรงเปน็ รปู ตวั A และ ตอ่ ร่วมกับเพลาปกี นกตัวบนด้วยบุชยาง ทอร์ชันบาร์ แขนรับแรงบิดต่ออยู่กับโคนของปีกนก ตวั บนดว้ ยสกรู 2 ตวั และมีทอรช์ นั บารส์ วมอยูก่ ับ แขนรับแรงบดิ ปีกนกตัวบน แขนรบั แรงบิด หัวของทอร์ชันบาร์สวมอยู่กับแขนรับ แรงบดิ ของปกี นกตวั บน และปลายทอรช์ นั บารส์ วม อยใู่ นขาเกย่ี ว ซง่ึ ตอ่ อยกู่ บั คานโครงรถดว้ ยสกรปู รบั รปู ท่ี 4.9 ปีกนกตัวบนรองรบั ดว้ ยทอรช์ ันบาร์ ตง้ั ขาเกย่ี วทอรช์ นั บาร์ ดังน้นั จึงเปน็ การงา่ ยที่จะ ปรบั ต้งั ความสูงของตวั รถโดยการใชส้ กรปู รับ หวั และปลายทอร์ชันบารจ์ ัดให้มที ีก่ นั ฝุ่น เพื่อป้องกัน ส่งิ สกปรก ข้อควรจำ เครื่องหมาย เครื่องหมาย R หรือ L ป้องกันการ รูปที่ 4.10 หวั ทอร์ชันบารต์ อกเคร่ืองหมาย “R” ประกอบผิดด้านซ้ายหรือขวา
44 งานเครื่องล่างรถยนต์ กจิ กรรมท ่ี 4 ให้ผู้เรยี นแบง่ กล่มุ ศึกษาจากของจริง แล้วเตมิ ขอ้ ความใน ชอ่ งวา่ งต่อไปนี้ 1. จงเขียนชอ่ื และคณุ สมบัตชิ ้ินส่วนลูกหมากปีกนกทเ่ี ส้นกำหนด จาระบหี ล่อลืน่ ระบายดว้ ยสีแดง …………………….................................................................................. ..................................... ........................................... ..................................... .......................................... ..................................... ................................... ............................................................................................................. ..................................................................................................................................... ร่องยาง 2. จงแนะนำคุณลักษณะยางเหล็กหนวดกุ้ง 98.5 มม. และการขันแน่น เพื่อให้การบังคับและการขับขี่เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ จึงใช้บุชยางของเหล็กหนวดกุ้งอย่างมี รอ่ ง ดังนั้น การประกอบบชุ ยางตอ้ ง ……………………….................................................................. และ ……………………………………….......................……..
งานเครอื่ งลา่ งรถยนต์ 45 3. จากระบบรองรบั แบบปกี นกยาวไมเ่ ท่ากนั จงเขียนตำแหน่งล้อปนี ทางเท้าจนแขนโยก ลอ้ เอียงขน้ึ 20o แสดงมมุ แคมเบอร์และระยะห่างล้อ (Track) ท่ีเปลย่ี นไปจากเดิม 4
46 งานเครือ่ งลา่ งรถยนต์ 4.3 ความปลอดภยั ในงานเครอ่ื งลา่ งรถยนต์ 4.3.1 การใชเ้ คร่อื งมอื พิเศษและการทำงานใหป้ ลอดภยั 1. การใชเ้ ครื่องมอื พิเศษ เคร่อื งมือพิเศษ (SST = Special Service Tools) ออกแบบมาใหใ้ ช้งานปลอดภยั และรวดเรว็ กบั งาน แต่ละชนดิ บางอยา่ งทำใชเ้ องได้ ควรใชต้ ามคำแนะนำในหนังสือคู่มือซอ่ มของรถแตล่ ะรุ่น ใหจ้ ุดยกอย่ตู รงกลางแปน้ ยกของแม่แรง แป้นยกของแมแ่ รง รูปที่ 4.11 จดุ รองรับแม่แรงด้านหน้ารถ (หนนุ ล้อหลงั กันรถไหล) ใหจ้ ดุ ยกอยู่ตรงกลางแปน้ ยกของแม่แรง แป้นยกของแมแ่ รง รูปท่ี 4.12 จุดรองรับแม่แรงด้านทา้ ยรถ (เขา้ เกียร์ถอยหลังหรือเกยี ร์ P กนั รถไหล)
งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 47 ไมห้ นนุ ล้อ 2. หลกั การรองรบั รถให้ลอยท่ปี ลอดภยั 4 ขาตั้ง แม่แรง 1) ก่อนยกหน้ารถต้องดึงเบรกมือ และหนุน ล้อหลังไว้ทั้ง 2 ด้าน รปู ท่ี 4.13 การรองรับรถป้องกันอุบัตเิ หตุ 2) ยกหน้ารถที่จุดรองรับไม่ได้รับอันตราย 3) รองรับตัวรถด้วยขาตั้งให้ถูกที่ ไม่ทำให้ เกิดการเสียหาย หรือเกิดอันตรายในการ ทำงาน 4) ลดระดบั แมแ่ รงลง ใหร้ ถลอยอยบู่ นขาตัง้ อย่างมัน่ คง ถอดขว้ั 3. หลกั การทำงานใตท้ อ้ งรถให้ปลอดภัย แบตเตอรี่ 1) ดึงเบรกมอื ให้แนน่ ไม้หนุนลอ้ 2) หนนุ ลอ้ หลงั ทง้ั 2 ดา้ น โคมไฟ 3) ถอดขั้วแบตเตอร่ี ขาตัง้ 4) ยกหน้ารถขึน้ ตั้งบนขาตั้ง รถนอน รปู ท่ี 4.14 การทำงานใต้ทอ้ งรถให้ปลอดภยั ข้อควรจำ อยา่ เขา้ ไปใต้รถกอ่ นตัง้ รถบนขาตั้ง อยา่ เขา้ ไปทำงานใตร้ ถขณะยกรถดว้ ย แม่แรง ตรวจความปลอดภัยด้วยการโยกตัว รถแรง ๆ หลังปล่อยรถค้างอยู่บน ขาตั้ง อย่าเข้าใต้ท้องรถ ขณะเครื่องยนต์ ทำงาน 4. การถอดลูกหมากคันสง่ 1) ถอดปิน้ และถอดนอต 2) ใชเ้ หลก็ ดดู ลกู หมากคันสง่ ถอดลูกหมาก คนั ส่ง ข้อควรจำ อย่าถอดลูกหมากคันส่งด้วยค้อน รูปที่ 4.15 การถอดลูกหมากคนั สง่ ด้วยเหลก็ ดูด
48 งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ ท่อเหล็ก 4.3.2 ความปลอดภยั ในการใชเ้ ครอื่ งมอื และ นำ้ มัน 1. หลักการถอดท่อนำ้ มันเบรก แผ่นล็อกท่อ 1) ถอดแผน่ ลอ็ กทอ่ นำ้ มนั เบรก น้ำมันเบรก ขอ้ ควรจำ ทอ่ ยาง การถอดหรือประกอบท่อน้ำมันเบรก รูปที่ 4.16 ถอดแผน่ ลอ็ กท่อนำ้ มันเบรก ใหใ้ ช้ประแจ 2 ตัวเสมอ ประแจทอ่ น้ำมนั เบรก 2) ใช้ประแจปากตายจับยึดท่อยางไว้ 3) ใช้ประแจท่อน้ำมันเบรก คลายนอตหัวท่อ เหล็ก ขอ้ ควรจำ การประกอบทอ่ ใหห้ มนุ เขา้ ดว้ ยมอื กอ่ น ใช้ประแจขัน 4) หลังถอดท่อเบรก ให้อุดปลายที่เปิดเพื่อ ปอ้ งกนั การรั่วไหลของน้ำมนั เบรก รูปท่ี 4.17 คลายนอตท่อนำ้ มันเบรกดว้ ยประแจท่อนำ้ มันเบรก และประแจปากตาย 2. หลกั การใชน้ ้ำมนั เบรก รปู ที่ 4.18 การเตมิ นำ้ มนั เบรก 1) เติมดว้ ยนำ้ มนั เบรกยห่ี อ้ เดิม 2) อย่านำน้ำมันเบรกท่ถี ่ายออกกลบั มาใชอ้ ีก 3) น้ำมันเบรกก่อความเสียหายให้สี และพื้น พลาสตกิ ได ้ ถา้ พลาดพลั้งทำหกใส่ให้รีบใช้ นำ้ ล้างออกจากสีหรือพ้ืนพลาสติก 4) ทำความสะอาดชิ้นส่วนแม่ปั๊มเบรก และ ชน้ิ สว่ นกระบอกเบรกทถ่ี อดออกมาทกุ ชน้ิ ใน น้ำมันเบรกท่ีสะอาดเทา่ นนั้ 3. การใชน้ ำ้ มนั หรือจาระบหี ล่อลื่น 1) ใช้แต่นำ้ มันเครอ่ื งเบอร์เดมิ ตามกำหนด 2) ใชแ้ ต่น้ำมันเกียรเ์ บอรเ์ ดมิ ตามกำหนด 3) ใช้แต่จาระบีตัวเดิมตามกำหนด 4) ระวงั สง่ิ ปนเปือ้ นสารหลอ่ ลื่น 5) ระวงั นำ้ มันหรอื จาระบถี ูกท่อยาง รูปที่ 4.19 การใชน้ ำ้ มนั หล่อล่ืน
งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 49 4.3.3 การยกรถด้วยลิฟตย์ กรถให้ปลอดภยั 1) ปรบั แปน้ ยกของลิฟตใ์ หต้ รงจดุ รองรับลฟิ ตด์ า้ นหนา้ และด้านหลงั ที่ใตท้ อ้ งรถให้ตรงกนั 2) ยกรถขนึ้ ให้รถลอย 5-6 ซม. ทดลองโยกตวั รถเพ่ือให้แนใ่ จในความม่นั คง 3) ยกลิฟตข์ นึ้ จนสดุ ตรวจจดุ รองรับ ดคู วามมน่ั คงในการรบั น้ำหนกั 4) ใส่เหลก็ กันลฟิ ตเ์ ลอ่ื นท่ีเสาลฟิ ตท์ ุกตวั 5) ปลอ่ ยลฟิ ต์ลงใหน้ ่งั สนิทบนเหลก็ กนั ลฟิ ตเ์ ล่อื น 4 จดุ รองรับลฟิ ตด์ ้านหน้า แปน้ ยกของลฟิ ต์ จดุ รองรับลิฟตด์ า้ นหลงั รูปที่ 4.20 จดุ รองรับลิฟตย์ กรถทใี่ ต้ท้องรถและแป้นยกของลิฟตต์ อ้ งตรงกนั กอ่ นยกรถ
50 งานเครื่องล่างรถยนต์ 4.4 การตรวจลกู หมากปกี นกระบบรองรบั ดว้ ยทอรช์ นั บาร์ 4.4.1 ส่วนประกอบระบบรองรับดว้ ยทอรช์ นั บาร์ ปลอกปรบั ความสูง แขนดงึ ทอรช์ นั บาร์ ทอรช์ นั บาร์ สกรปู รบั ความสงู ปลอกสวมทอรช์ นั บาร์ ปีกนกบน โช้คอัพ เหล็กกนั โคลง เหล็กหนวดกงุ้ ปีกนกลา่ ง ลูกหมากปีกนกบน 4.4.2 การตรวจสภาพลูกหมากปีกนก 1. การตรวจสภาพการยึดแนน่ 1) ตรวจสกรยู ดึ ลกู หมากปีกนก 2) ตรวจลูกหมากปีกนกหลวมคลอน ยางรองเหล็กกันโคลง ลกู หมากปีกนกล่าง 2. การตรวจสภาพยางกนั ฝนุ่ 1) ตรวจยางกนั ฝนุ่ ฉกี ขาด 2) ตรวจจาระบรี ว่ั ซมึ
งานเครือ่ งล่างรถยนต์ 51 3. การตรวจความหลวมคลอนของ 4 ลกู หมากปีกนกตวั ล่าง 1) ยกด้านหน้ารถให้ล้อลอยขึ้นรองรับไว้ด้วย ขาตั้ง 2) ใหล้ อ้ หนา้ อยใู่ นตำแหนง่ ตรงไปขา้ งหนา้ และ เหยยี บเบรก 3) ขยับปีกนกตัวล่างขึ้นและลงได้ไม่เกิน 2.3 มม. 4. การตรวจความหลวมคลอนของ ลูกหมากปกี นกตัวบน 1) ตรวจตอ่ จากตรวจปกี นกตัวล่าง 2) ขยับล้อรถขึ้นและลง และตรวจลูกหมาก ปกี นกตวั บนระยะคลอนตอ้ งไมเ่ กนิ 2.3 มม. ประแจทอร์ก 5. การตรวจสภาพการหมุนของลกู หมาก ลูกบอ๊ ก 1) ตรวจความหนดื เรม่ิ หมนุ ของลกู หมากทย่ี งั ยึดกับปีกนกด้วยประแจทอร์ก 2) ถอดลูกหมากออกยึดติดกับปากกา โยก สลกั ลกู หมากไปขา้ งหนา้ และหลงั 4-5 ครง้ั กอ่ นการประกอบนอตใชป้ ระแจทอรก์ หมนุ นอตไปหนึ่งรอบทุก 2-4 วินาที และอ่าน ค่าแรงบิดในการหมุนครั้งที่ 5 ลูกหมากปีกนกตัวล่าง 0.5-2.5 Nm ลูกหมากปีกนกตัวบน 0.5-2.0 Nm
52 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 4.5 การถอดประกอบทอรช์ นั บารแ์ ละเหลก็ หนวดกงุ้ 4.5.1 ลำดบั การถอดทอร์ชนั บารแ์ ละเหลก็ หนวดกุ้ง 4.5.2 งานถอดทอร์ชันบาร์ 1. การถอดนอตลอ็ ก 1) ยกรถขึ้นและรองรับโครงรถไว้ด้วยขาตั้ง 2) ถอดนอตล็อกและวัดส่วนยื่น A ของ ปลายสกรู ดังแสดงในรูป ข้อแนะนำ ใช้การวัดนี้สำหรับการปรับตั้งความ สงู ของรถดว้ ย 3) ถอดครอบกนั ฝุ่น 4) คลายนอตปรับตั้ง จนกระทั่งไม่มีความตึง ของทอรช์ นั บาร์ 2. การถอดแขนปรับแรงบิดทอรช์ ันบาร์ 1) ถอดนอตยึดแขนรบั แรงบดิ ออก 2) ถอดแขนเก่ียวออกจากสกรปู รบั ตงั้ และ จากนน้ั ถอดทอรช์ นั บารอ์ อกพรอ้ มกบั แขน รบั แรงบดิ และแขนเก่ียว
งานเครื่องล่างรถยนต์ 53 4.5.3 การประกอบทอรช์ ันบาร์ ข้อแนะนำ มีเครื่องหมายซ้ายและขวา แสดงให้ เห็นที่ปลายของทอร์ชันบาร์ ระวัง อย่าสลับกัน 1. การประกอบทอรช์ ันบาร์ แขนเกีย่ วและ 4 แขนรับแรงบดิ 1) ทาจาระบีอเนกประสงค์บาง ๆ ที่ร่องเฟือง ของทอร์ชันบาร์ 2) จัดส่วนที่ไม่มีร่องฟันให้ตรงกัน และ ประกอบแขนเกี่ยวเข้ากับทอร์ชันบาร์ 3) จัดส่วนที่ไม่มีร่องฟันให้ตรงกัน และ ประกอบแขนรบั แรงบดิ เขา้ กบั ทอรช์ นั บาร์ 4) ประกอบทอรช์ นั บารด์ า้ นแขนรบั แรงบดิ และ ประกอบแขนเก่ียวเขา้ กบั สกรูปรับต้ัง 5) ขันนอตแขนรับแรงบิด ค่าแรงขัน: 500 กก.-ซม. (36 ฟุต-ปอนด์) 6) ขันนอตปรับตั้ง จนได้ส่วนยื่นของสกรู เท่ากันก่อนที่จะถอดออก 2. การขนั สกรเู พ่ือปรบั ระดับความสูงของรถ ดา้ นหน้า 1) จอดรถบนพ้นื ท่ีราบเรยี บ เตมิ ลมยางให้ได้ กำหนด 2) ตรวจระยะแตกต่างระหว่างกึ่งกลางล้อถึง ขอบบังโคลน 3) ตรวจระยะความสูงของแถบซา้ ยและขวา ค่าแตกต่างความสูงแถบซ้าย-ขวา ไม่เกิน 10 มม. 4) ประกอบครอบกนั ฝ่นุ
54 งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 4.5.4 การถอดและประกอบเหลก็ หนวดกุง้ เครื่องหมาย 1. การถอดเหลก็ หนวดก้งุ เครอ่ื งหมาย 1) ทำเครอ่ื งหมายการประกอบบนเหลก็ หนวดกงุ้ เพื่อให้ประกอบกลับได้ความยาวเดิม 2) ถอดนอตตัวหน้าออกจากเหล็กหนวดกุ้ง 3) ถอดเหล็กหนวดกุ้งออกจากปีกนกตัวล่าง 4) ถอดนอตยึดเหล็กหนวดกุ้งกับปีกนกตัวล่าง ออก 5) ถอดเหล็กหนวดกุ้งออกพร้อมยางรอง 2. การประกอบเหล็กหนวดกุ้ง 1) ประกอบนอตตัวหน้าและจัดเครื่องหมายบน เหลก็ หนวดกุ้งให้ตรงกนั 2) ประกอบแหวนรองและบชุ เขา้ กบั เหลก็ หนวด กงุ้ และประกอบเหล็กหนวดกุ้งเขา้ กับที่ยึด 3) ประกอบปลอกบชุ และแหวนรอง 4) ขนั นอตตวั หน้าเข้าด้วยมือ 5) ประกอบเหล็กหนวดกุ้งเขา้ กับปีกนกตัวล่าง ค่าแรงขนั : 970 กก.-ซม. (70 ฟตุ -ปอนด)์ 3. ขนั นอตตวั หน้า 1) ถอดขาตัง้ ขย่มรถให้ระบบรองรับเขา้ ท่ี 2) ขนั นอตตัวหน้า 1,250 กก.-ซม. 4. ตรวจศนู ยล์ ้อหน้า 1) ตรวจระยะโทอนิ 2) ตรวจมมุ แคมเบอร์ 3) ตรวจมมุ แคสเตอร์
งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ 55 แบบฝกึ กจิ กรรมท ่ี 4 เรือ่ ง ระบบรองรับหนา้ ด้วยปกี นกและการ ตรวจซอ่ ม ตอนท่ี 1 จงเติมคำในช่องว่างตอ่ ไปน้ี 1. เพราะเหตใุ ดจงึ ใหเ้ ลือกใชแ้ ตเ่ ครอ่ื งมอื สภาพดแี ละเหมาะสมกบั งาน ...................................................................................................................................................................................................... 2. เพราะเหตุใดจงึ ต้องรกั ษาเคร่ืองมือใหส้ ะอาด เรยี บร้อยและสมบรู ณ์ ...................................................................................................................................................................................................... 3. รถใชป้ ีกนกคยู่ าวเทา่ กนั เมอื่ ล้อเตน้ ระยะห่างระหวา่ งล้อเปน็ อย่างไร ...................................................................................................................................................................................................... 4. รถใช้ปีกนกคู่ยาวไมเ่ ทา่ กนั เมอ่ื เล้ยี วโค้งมุมแคมเบอร์เปลีย่ นมีผลอยา่ งไร ...................................................................................................................................................................................................... 5. ข้อดีที่ใชบ้ ุชปีกนกเป็นยางคอื อะไร ...................................................................................................................................................................................................... 6. ทอร์ชนั บาร์ใชแ้ ทนอะไรได้ ...................................................................................................................................................................................................... 7. หวั ทอรช์ นั บารย์ ึดตดิ กับอะไร ...................................................................................................................................................................................................... 8. หวั ทอร์ชันบารต์ อกเครื่องหมาย R หรือ L เพ่ืออะไร ...................................................................................................................................................................................................... 9. สกรปู รับตั้งขาเกยี่ วทอร์ชันบารม์ คี วามสำคัญอยา่ งไร ...................................................................................................................................................................................................... 10. ทอรช์ ันบารม์ ใี ชม้ ากในรถอะไร ...................................................................................................................................................................................................... ตอนท ี่ 2 จงทำเครอ่ื งหมายถกู ( P) ลงหนา้ ขอ้ ความทีถ่ กู ตอ้ งท่สี ดุ 1. เพราะเหตใุ ดตอ้ งเลอื กใชแ้ ตอ่ ะไหล่ของแท้ ก. ตามคำแนะนำของช่าง ข. เป็นของดมี ีคณุ ภาพ ค. เป็นของดแี ละสวยงาม ง. เมอ่ื ขายไดร้ าคาแพง
56 งานเครือ่ งลา่ งรถยนต์ 7. เพราะเหตุใดต้องเก็บชิน้ ส่วนที่ถอดออกมาไว้ อยา่ งเปน็ ระบบ 2. การป้องกันอุบัติภัยในงานซ่อมเครื่องลา่ ง ก. เพอื่ ความปลอดภัย ควรทำอย่างไร ข. เพอ่ื ความเรยี บร้อย ก. ดึงเบรกมือ ข. หนนุ ลอ้ ท่ีไม่ได้ยก ค. เพือ่ การประกอบกลับถกู ต้องตามเดมิ ค. ยกรถสูงเท่าทจี่ ำเป็น ง. รองรับรถดว้ ยขาต้ัง ง. เพื่อการประหยัดพลงั งาน 3. เพราะเหตใุ ดต้องใชเ้ ครื่องมือพิเศษ 8. การตรวจการหลวมคลอนลกู หมากปกี นก ก. เพื่อความปลอดภัยของงาน ตัวบนทำอย่างไร ข. เพือ่ ความเหมาะสมของงาน ก. โยกล้อซา้ ยขวา ค. เพอ่ื ความคงทนของงาน ข. โยกลอ้ บนลา่ ง ง. เพื่อความแขง็ แรงของงาน ค. ยกลอ้ ลอยแล้วขยบั ปีกนกตวั ลา่ งขน้ึ ลง 4. เครอื่ งมอื พิเศษ SST ย่อมาจากอะไร ง. ยกล้อลอยแล้วขยับล้อรถขน้ึ ลง ก. Service Special Tools 9. การตรวจการหลวมคลอนลูกหมากปกี นก ข. Special Service Tools ตวั ลา่ งทำอย่างไร ค. Servise Special Tools ก. โยกล้อซา้ ยขวา ง. Special Servise Tools ข. โยกล้อบนล่าง 5. เพราะเหตใุ ดถอดทอ่ นำ้ มนั เบรกตอ้ งใชป้ ระแจ 2 ตวั ค. ยกลอ้ ลอยแล้วขยบั ปกี นกตวั ลา่ งขนึ้ ลง ก. ทำงานไดร้ วดเร็ว ง. ยกล้อลอยแลว้ ขยับล้อรถขน้ึ ลง ข. ทำงานได้ปลอดภัย 10. ก่อนถอดเหล็กหนวดกุ้งให้ทำอะไรกอ่ น ค. เปน็ หลักปฏบิ ตั ิทวั่ ไป ก. ทำความสะอาดเกลยี ว ง. ป้องกนั บาดเจบ็ ข. ทำเครอ่ื งหมายการประกอบ 6. ควรใชป้ ระแจทอรก์ ขนั แนน่ อย่างไร ค. หล่อลืน่ เกลียวดว้ ยสเปรย์ ก. ขนั สกรสู ลับกันตรงข้าม ง. ตรวจยางรอง ข. ขนั สกรูสลบั ทแยง ค. ขนั สกรูใหแ้ นน่ ทีละตัว ง. ขันพอแน่นแล้วขนั ด้วยประแจทอรก์ ตอนท ่ี 3 จงตอบคำถามต่อไปนี้ใหไ้ ด้ใจความสมบูรณ์ 1. จงเขียนหลักการรองรบั ท่ีปลอดภัยมา 4 ข้อ 2. จงเขยี นหลกั การทำงานใตท้ อ้ งรถที่ปลอดภยั มา 4 ข้อ 3. จงเขยี นหลกั การถอดท่อนำ้ มนั เบรกมา 4 ข้อ 4. จงเขยี นหลกั การยกรถด้วยลิฟตย์ กรถให้ปลอดภยั มา 4 ข้อ 5. จงสเกตช์ภาพการติดตงั้ ทอรช์ ันบารใ์ นเครื่องล่างรถยนต์อย่างง่าย 1 ภาพ
5 งานเครือ่ งล่างรถยนต์ 57 ระบบรองแรลบัะกหานรา้ตหรลวงัจดซว้ อ่ ยมโชค้ อพั คำ้ สาระการเรียนรู้ 5.1 ลักษณะระบบรองรบั ดว้ ยโชค้ อัพค้ำ 5.2 โชค้ อัพค้ำกระบอกคแู่ ละโชค้ อพั คำ้ แกส๊ ความดนั ตำ่ 5.3 การเปลี่ยนโชค้ อพั ค้ำรองรับหนา้ รถ 5.4 การติดต้งั โชค้ อพั ค้ำรองรับหนา้ รถ ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. อธบิ ายลกั ษณะระบบรองรบั ด้วยโช้คอพั ค้ำได้ 2. อธิบายโช้คอัพค้ำกระบอกคู่และโชค้ อพั คำ้ แก๊สความดันต่ำได้ 3. ปฏิบตั ิการเปล่ียนโช้คอพั ค้ำรองรับหนา้ รถได้ 4. ปฏิบตั ิการติดตัง้ โชค้ อพั ค้ำรองรบั หนา้ รถได้ 5. เพ่อื ให้มกี ิจนสิ ยั ในการทำงานด้วยความเป็นระเบยี บเรียบร้อย ประณีต รอบคอบและตระหนกั ถงึ ความปลอดภัย
58 งานเครื่องล่างรถยนต์ 5 แระลบะกบารรอตงรรวบั จหซนอ่ า้มหลงั ดว้ ยโชค้ อพั คำ้ บทนำ ระบบรองรบั ด้วยโช้คอัพค้ำ (Mcpherson Strut Type) เปน็ ระบบรองรับน้ำหนักอสิ ระแบบหนึง่ ท่ี มใี ช้แพร่หลายในปจั จุบัน ประกอบด้วยโชค้ อพั สปริงขดและแกนหมนุ เลย้ี วรวมอยู่ในชุดเดียวกันเป็นตวั รบั น้ำหนกั ชุดรองรับนำ้ หนกั ประกอบดว้ ยปกี นกลา่ งจะไม่มปี ีกนกบน แตจ่ ะมีสตรตั (Strut) ทำเป็นท่อกลวง แข็งแรง ทำหนา้ ทรี่ องรับสปรงิ ขดเชือ่ มติดกับท่อซ่งึ เรียกว่า ปลอกโชค้ อพั คำ้ โชค้ อพั คำ้ มีชุดลูกสบู ลิน้ และ น้ำมันอยใู่ นท่อ โดยกา้ นโช้คอพั คำ้ ทำหน้าท่ีแทนแกนหมนุ เล้ยี ว โช้คอัพค้ำทำเป็นแบบสำเรจ็ รูป น่นั คือสวม อยูใ่ นท่ออัดแนน่ โดยสามารถเปล่ยี นได้ ดา้ นบนของกระบอกใส่สปรงิ มีแผน่ รองสปริงยึดติดกับกา้ นโช้คอพั และมีลูกปืนหรือมีบุชรองที่ปลายด้านบน เมื่อประกอบสปริงเข้ากับโช้คอัพค้ำแล้ว สามารถยกเป็นชุดเข้า ประกอบกับโครงรถได้ทันที ด้านล่างของกระบอกโช้คอัพค้ำเชื่อมติดอยู่กับแกนหมุนเลี้ยว และมีลกู หมาก และแขนบังคับเลี้ยวต่อกับปีกนกตัวล่าง การที่สปริงขดและชุดโช้คอัพค้ำรวมอยู่ในกระบอกเดียวกัน ทำให้ ประหยัดเนื้อที่และลดจำนวนช้นิ สว่ นตา่ ง ๆ ลงไดม้ าก สปริงหน้า สปรงิ หลัง โช้คอพั คำ้ โช้คอพั คำ้ หลงั หนา้ แขนควบคุม เหล็กกันโคลงหลงั เหล็กกันโคลงหนา้ รปู ที่ 5.1 สว่ นประกอบการรองรับรถดว้ ยโช้คอพั คำ้ ทัง้ หนา้ และหลัง
งานเครอื่ งล่างรถยนต์ 59 5.1 ลกั ษณะระบบรองรบั ดว้ ยโชค้ อพั คำ้ เบ้าโช้คอพั 1. คา่ นยิ มระบบรองรับดว้ ยโชค้ อัพค้ำ ยางรถ การรองรับอิสระแบบนี้ นิยมใช้สำหรับการ โชค้ อพั คำ้ รองรับหน้าและรองรับหลังของรถยนต์น่ังขนาดเล็กและ ขนาดกลาง 2. สว่ นประกอบโชค้ อพั ค้ำ 5 รปู ที่ 5.2 การรองรบั ดว้ ยโช้คอพั คำ้ ลอ้ หน้ารถขับหนา้ การรองรับด้วยโช้คอัพค้ำประกอบด้วยปีกนก ตัวล่าง เหล็กหนวดก้งุ เหล็กกันโคลง และแขนควบคุม สปรงิ ช่วงยดื สปริงขดติดตัง้ อยบู่ นชดุ โชค้ อพั และตวั โช้คอัพอยภู่ ายใน แกนหมุนเลย้ี ว ปลอกโชค้ อพั โคนของปกี นกตวั ลา่ งเชอ่ื มตอ่ กบั คานโครง เกลียวยดึ ฐานการรองรับ ผ่านทางบุชยาง และสามารถเคลื่อนไหว โชค้ อพั ค้ำ โช้คอัพ ขึ้นลงได้โดยอิสระ ปลายปีกนกด้านหนึ่งยึดติดกับแกน ปลอกโชค้ อัพ บงั คบั เล้ียวดว้ ยลูกหมากปีกนก รูปท่ี 5.3 ชุดรองรบั ดว้ ยโช้คอัพค้ำ เมอ่ื โชค้ อพั ทำหนา้ ทเ่ี ปน็ เสมอื นกา้ นตอ่ สว่ นหนง่ึ ของการรองรับ นอกจากจะต้องสลายการสั่นสะเทือน ยางเบา้ โช้คอพั และการเต้นจากถนนแลว้ โช้คอัพยังต้องมคี วามแข็งแรง พอที่จะรับน้ำหนักในแนวดิ่งท่ีกระทำลงที่โช้คอัพได้อีก ยางกนั กระแทก ด้วย ปลายด้านบนของโช้คอัพยึดติดอยู่กับเบ้าโช้คอัพ ซึ่งประกอบด้วยยางกันสะเทือนและลูกปืน โช้คอัพจึง สามารถหมุนตวั ไปได้อยา่ งอสิ ระ ปลายดา้ นลา่ งยดึ อย่กู ับ แกนบงั คบั เลีย้ ว 3. ยางเบ้าโชค้ อพั และยางกนั กระแทก (Rubber Spring) ยางกันกระแทกทำจากยางธรรมชาติและวัสดุ สังเคราะห์ทีม่ ีคุณสมบัติยืดหยุ่นสงู ทำหนา้ ท่ีสลายการ สน่ั สะเทอื นผา่ นความฝดื ภายใน เมอ่ื รปู ทรงเปลย่ี นแปลง ไปเพราะแรงกระทำจากภายนอก จงึ ต้องมคี ณุ สมบตั ดิ ังน้ี 1) สามารถทำขนึ้ รปู ไดต้ ามแบบทีต่ อ้ งการ 2) ไม่เกิดเสยี งและไม่ตอ้ งหลอ่ ล่นื ขณะที่ใช้งาน รูปท่ี 5.4 ยางเบา้ และยางกนั กระแทก
60 งานเครื่องล่างรถยนต์ 4. เหลก็ หนวดกุ้ง (Strut Bar) คานโครงรถ เหล็กหนวดกุ้งทำหน้าที่ต้านรับแรงที่ กระทำจากล้อในแนวตามยาว ปลายด้านหนึ่งยึด ยดึ ตดิ กบั โครงรถ แน่นอยู่กับปีกนกตัวล่าง ปลายอีกด้านหนึ่งยึดเข้า กับขายึดหนวดกุ้ง ซึ่งเชื่อมติดกับคานโครงตัวรถ เหลก็ หนวดกงุ้ โดยผ่านลูกยางกันสะเทือนทั้ง 2 ด้าน รปู ท่ี 5.5 การรองรับดว้ ยโชค้ อัพค้ำพรอ้ มเหล็กหนวดกุ้ง 5. คุณลักษณะโช้คอัพค้ำ นำ้ มันรั่ว 1) โครงสร้างของระบบไม่ยุ่งยาก 2) มีจำนวนชิ้นส่วนน้อยจึงเบา สามารถลด รูปท่ี 5.6 ตรวจน้ำมันโชค้ อัพรว่ั น้ำหนักที่ไม่ถูกรองรับลงได้ โช้คอัพค้ำ 3) ใช้พื้นที่สำหรับระบบรองรับน้อย จึงทำ ปกี นก ใหส้ ามารถใชพ้ น้ื ภายในหอ้ งเครอ่ื งยนตไ์ ด้ รปู ท่ี 5.7 ตรวจการโยกคลอนเบา้ โชค้ อัพ เพิ่มขึ้น 4) สามารถปรับมุมแคสเตอร์ได้อย่างละเอียด นอตเบา้ โช้คอัพ ด้วยการเปลี่ยนแปลงความยาวของเหล็ก หนวดกุ้ง 5) ระยะหา่ งระหวา่ งจดุ รองรบั ของระบบรอง รับมีมาก จึงมีผลกระทบต่อศูนย์ล้อหน้า บ้าง เนื่องจากค่าเผื่อความผิดพลาดใน การติดตั้ง หรือค่าเผื่อความผิดพลาดของ ชิ้นส่วนจากโรงงาน ดังนั้น โดยปกติจึง ไมม่ คี วามจำเปน็ ตอ้ งปรบั ศนู ยล์ อ้ หนา้ ยกเวน้ มุมโทอิน (Toe-in) 6. การตรวจสภาพโช้คอัพค้ำ 1) ตรวจนำ้ มนั โชค้ อพั รว่ั ออกจากกา้ นโชค้ อพั 2) ตรวจการโยกคลอนของเบ้าโช้คอัพ ด้วย การดึงและดันส่วนบนของยางรถด้วยมือ ทั้ง 2 ข้าง 3) ตรวจสภาพภายนอกเบ้าโช้คอัพ สภาพ ยางเบา้ โชค้ อัพ และการแตกรา้ วของตวั ถัง รถที่ยึด รูปที่ 5.8 ตรวจสภาพเบ้าโชค้ อัพ
งานเครื่องล่างรถยนต์ 61 5.2 โชค้ อพั คำ้ กระบอกคแู่ ละโชค้ อพั คำ้ แกส๊ ความดนั ตำ่ ฝาปดิ ตัวกันกระแทก 5.2.1 ส่วนประกอบโชค้ อัพค้ำกระบอกคู่ 5 ปะเกน็ ซลี น้ำมนั เปลือกโช้คอพั ปลอกก้านโชค้ อพั ภายในเปลือกโช้คอัพ (ท่อตัวนอก) มี กระบอกโช้คอัพ (ท่อความดัน) และลูกสูบ ซึ่ง ห้องสำรองน้ำมัน กา้ นโช้คอัพ เคลอ่ื นท่ขี น้ึ ลงตามกา้ นโชค้ อพั มีล้ินลูกสบู ซ่งึ ให้ ลูกสบู กระบอกสบู เกิดแรงตา้ น เม่ือโช้คอัพยืดตัวในขณะกระเด้งขึ้น ที่ก้นของกระบอกโช้คอัพมีลิ้นก้นกระบอก ซึ่ง ลิ้นกน้ กระบอก ตวั กันกระแทก ให้เกดิ แรงต้านเม่อื กดโช้คอพั ลง ลนิ้ ลกู สบู ภายในกระบอกสูบมีน้ำมันบรรจุไว้เต็ม แต่ห้องสำรองน้ำมันจะบรรจุน้ำมันไว้เพียง 2/3 สว่ นทเ่ี หลอื บรรจอุ ากาศทม่ี คี วามดนั เทา่ กบั อากาศ ภายนอก ห้องสำรองน้ำมันทำหน้าที่เป็นห้อง สะสมน้ำมนั สำหรับนำ้ มันที่จะเขา้ และออกจาก กระบอกสูบ รปู ท่ี 5.9 ส่วนประกอบโช้คอพั กระบอกคู่ 5.2.2 การทำงานตำแหนง่ ยบุ ตวั ของ โช้คอัพค้ำกระบอกคู่ ห้อง Bฺ แกนโช้คอพั ลน้ิ กนั กลับ บา่ ลน้ิ 1. ลูกสูบเคล่อื นทด่ี ้วยความเร็วสงู รู เมื่อลูกสูบเลื่อนลง ความดันภายใน ห้อง A ใต้ลูกสูบจะสูงขึ้น น้ำมันจะไปดันลิ้นกัน ลกู สบู และลน้ิ ลกู สูบ กลบั ของลน้ิ ลกู สบู ใหเ้ ปดิ โดยไมม่ คี วามตา้ นทาน แผ่นลิ้น การไหลเข้าไปในห้อง B (ไม่มีแรงต้านเกิดขึ้น) ในเวลาเดียวกัน ปริมาณของน้ำมันที่ถูกแทนที่ ห้องสำรองนำ้ มนั โดยลูกสูบตามที่ถูกกดลงไปในกระบอกโช้คอัพ หอ้ ง A จะไปดันผ่านแผ่นลิ้นในก้นกระบอกและไหลเข้า ไปในห้องสำรองน้ำมัน นั่นคือ การเกิดแรงต้าน ล้ินกันกลับ จากความต้านทานการไหลน้ำมันโช้คอัพ แผ่นลิ้น ลิน้ กน้ กระบอก รูปที่ 5.10 การทำงานขณะยบุ ตัว ลกู สูบเคล่ือนท่ีด้วยความเรว็ สงู
62 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 2. ลกู สบู เคลื่อนที่ดว้ ยความเรว็ ต่ำ ลน้ิ กันกลับ ถา้ ความเรว็ ของลกู สบู ตำ่ มาก ลน้ิ กนั กลบั แผน่ ล้นิ ในลิ้นลูกสูบและแผ่นลิ้นก้นกระบอกจะยังคงปิด อยู่ทั้งคู่ เพราะว่าความดันภายในห้อง A ต่ำ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมีรูเล็ก ๆ อยู่ในลิ้นลูกสูบ และลิ้นก้นกระบอก น้ำมันภายในห้อง A ก็จะ แผน่ ล้นิ ไหลผ่านเข้าไปในห้อง B และห้องสำรองน้ำมัน ลนิ้ ลูกสบู ลน้ิ ก้นกระบอก ดังนั้น จึงเกิดแรงต้านขึ้นเพียงเล็กน้อย รูปที่ 5.11 การทำงานขณะยบุ ตวั ลูกสูบเคลอื่ นท่ีดว้ ยความเรว็ ตำ่ ห้อง ฺB แกนลูกสูบ 5.2.3 การทำงานตำแหน่งยดื ตวั ของ ลน้ิ กนั กลบั บา่ ลน้ิ โชค้ อพั ค้ำกระบอกคู่ รู ลิ้นกันกลบั 1. ลกู สบู เคลอ่ื นท่ีดว้ ยความเรว็ สงู ลูกสูบและลิน้ ลกู สูบ เมอ่ื แกนลกู สบู เลอ่ื นขน้ึ ความดนั ภายใน แผ่นล้ิน ห้อง B เหนือลูกสูบจะสูงขึ้น น้ำมันภายในห้อง B จะไปดันแผ่นลิ้นในลิ้นลูกสูบให้เปิดและไหล ห้องสำรองนำ้ มนั เขา้ ไปในหอ้ ง A ในขณะน้ี ความตา้ นทานการไหล หอ้ ง A ของน้ำมันจะกระทำตัวเป็นแรงต้านในเมื่อลูกสูบ เลื่อนขึ้น และมีส่วนที่เลื่อนออกจากกระบอกสูบ ลิ้นกันกลบั เกดิ ขน้ึ ดงั นน้ั จงึ เกดิ ชอ่ งวา่ งจากการแทนทน่ี ำ้ มนั โดยลูกสูบเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการชดเชยในการนี้ แผ่นล้นิ น้ำมันจะไหลผ่านลิ้นกันกลับของล้ินก้นกระบอก ลิ้นก้นกระบอก จากห้องสำรองน้ำมัน โดยทางปฏิบัติการไหล เข้าไปในห้อง A จะไม่มีความต้านทาน แผ่นลิน้ ขอ้ ควรจำ ล้นิ ลกู สบู ล้ินกน้ กระบอก โช้คอัพทำหน้าที่สลายการสั่นสะเทือน เพอื่ ให้ขบั ขรี่ ถด้วยความสบาย ยงั ช่วย การทรงตวั ของรถขณะเลย้ี วไมใ่ หเ้ ซหรอื ล่ืนไถล เพม่ิ ความปลอดภยั ในการขบั ขี่ รูปท่ี 5.12 การทำงานขณะยดื ตวั ลกู สบู เคลอ่ื นทดี่ ้วยความเร็วสูง
รู งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 63 5 รู 2. ลูกสูบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ ลนิ้ ลูกสบู ลิน้ ก้นกระบอก รูปท่ี 5.13 ลกู สูบเคล่อื นทด่ี ้วยความเรว็ ตำ่ เมื่อลูกสูบมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ แผน่ ลน้ิ ในลน้ิ ลกู สบู และลน้ิ กนั กลบั ในลน้ิ กน้ กระบอก จะยงั คงปดิ ท้งั คู่เพราะความดนั ภายในห้อง B เหนอื ลูกสบู ต่ำ ดังน้นั นำ้ มนั ภายในห้อง B จะไหลผ่านรู เล็ก ๆ ในล้ินกน้ กระบอกน้ำมันภายในหอ้ ง B จะไหล ผ่านรเู ลก็ ๆ ในลกู สบู และไหลเข้าไปในห้อง A ใน ทำนองเดยี วกัน นำ้ มนั ในห้องสำรองนำ้ มนั จะไหล ผา่ นรเู ลก็ ๆ ในลน้ิ กน้ กระบอกและไหลเขา้ ไปในหอ้ ง A ดงั นนั้ จงึ เกิดแรงต้านขึน้ เพียงเลก็ นอ้ ย แกส๊ 5.2.4 การทำงานโช้คอพั แก๊สความดนั ตำ่ ลิ้นลกู สบู โช้คอัพแก๊สความดันต่ำเป็นโช้คอัพแบบ ท่อคู่ ซ่งึ บรรจแุ กส๊ ความดนั ตำ่ 10-15 บาร์ ทง้ั นีก้ เ็ พ่อื เป็นการป้องกันการเกิดเสียงดังผิดปกติเนื่องจากการ เกิดโพรงอากาศและการอดั ของอากาศ(ดูตอนต่อไป) ซ่ึงสามารถเกิดข้ึนได้ในโช้คอัพท่ีใช้น้ำมันเพียงอย่าง เดียว การลดการเกดิ โพรงอากาศและการอัดอากาศ ให้มีน้อยที่สุด จะทำให้สามารถได้แรงต้านที่มี เสถยี รภาพดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความสะดวกสบายใน การขับขี่และเสถียรภาพในการควบคุมจึงดีขึ้นไป ดว้ ยเชน่ กัน โครงสร้างและการทำงานของโช้คอัพแก๊ส ความดันตำ่ มพี น้ื ฐานเชน่ เดียวกับโชค้ อพั กระบอกคู่ แตใ่ นโชค้ อพั แกส๊ ความดนั ตำ่ บางแบบลน้ิ กน้ กระบอก เป็นแบบจำกัด แรงต้านจึงเกิดขึ้นจากลิ้นลูกสูบ ทั้งขณะกระแทกและขณะกระเดง้ นำ้ มนั ลิน้ ก้นกระบอก การอดั ตัวของอากาศ การอัดตัวของอากาศ เป็นการอดั อากาศ กบั นำ้ มนั โชค้ อพั สาเหตนุ อ้ี าจนำไปสกู่ ารเกดิ เสยี งดงั ความดนั ไม่คงที่ และสูญเสยี ความดนั รูปที่ 5.14 ส่วนประกอบโช้คอัพแกส๊
64 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ กา้ น เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางของสปริง 5.2.5 ระยะเยื้องศูนย์สปริงและความ โช้คอัพ ปลอดภัยในการเปลี่ยนโช้คอัพ a ซลี b 1. ระยะเยอ้ื งศูนย์ของสปรงิ ขดโช้คอพั คำ้ A เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางยาง ระบบรองรับแบบโช้คอัพค้ำ โชค้ อพั ทำหน้าที่ เพลา เปน็ เสมอื นกา้ นต่อสว่ นหนึง่ ของระบบรองรบั รับภาระ B ทางแนวตั้ง เพราะโชค้ อพั ไดร้ ับภาระจากยาง เปน็ เหตุ ให้เกิดการเต้นขึ้นที่ส่วน A และ B ดังในรูปที่ 5.15 ลกู สบู สร้างความฝืดให้แก่ก้านโช้คอัพกับซีลกันน้ำมัน และ เปลอื กตัวใน ระหว่างลูกสูบกับเปลือกภายใน เป็นเหตุให้เกิดเสียง ผดิ ปกติ และมผี ลกระทบตอ่ ความสะดวกสบายในการ ขับขี่ ปัญหานี้สามารถลดให้น้อยลงได้ด้วยการทำให้ สปรงิ เยอ้ื งศนู ยจ์ ากเสน้ ศนู ยก์ ลางของกา้ นโชค้ อพั ดงั นน้ั แรงปฏิกิรยิ า a และ b จงึ เกิดขนึ้ ในทางตรงกนั ข้ามกบั แรง A และ B ภาระ รูปที่ 5.15 ระยะเยื้องศูนยข์ องสปรงิ ขดโชค้ อพั ค้ำ 2. ความปลอดภัยในการเปลย่ี นโชค้ อพั แก๊ส หลกั ปฏิบัติการเปลย่ี นโชค้ อพั แกส๊ โช้คอพั บรรจแุ ก๊สความดันสูง เปน็ แบบไม่สามารถแยกถอดได้ นอกจากโชค้ อพั แก๊สความดนั ตำ่ เป็น แบบที่สามารถถอดแยกได้ ใหป้ ฏิบัตติ ามข้อควรระวังพเิ ศษ ดังตอ่ ไปน้ี 1) อยา่ ถอดแยกโช้คอัพแบบถอดแยกไมไ่ ด้ เพราะภายในกระบอกสูบบรรจไุ ว้ด้วยแก๊สความดนั สูง 2) ใช้ความระมัดระวังในการจับถือโช้คอัพ ห้ามทำให้มีรอยแผลบนแกนโช้คอัพที่เป็นส่วนที่ยื่นออก และห้ามปา้ ยสหี รอื ทาน้ำมันลงบนแกนโช้คอพั 3) อย่าหมนุ แกนโช้คอัพเม่ือแกนโชค้ อพั ยดื ตัวออกนอกจนสุด 4) โช้คอัพแบบกระบอกเดี่ยว ถ้ากระบอกโช้คอัพบิดเบี้ยวจากการบริการจะเป็นอุปสรรคต่อการ เคลือ่ นตัวของลูกสบู และลูกสบู อิสระ 5) การประกอบโช้คอัพที่มีแผ่นกระบังหิน เพื่อป้องกันหินที่จะกระเด็นมาถูก ให้หันแผ่นกระบังหิน ไปทางด้านหนา้ รถเสมอ
งานเครอ่ื งลา่ งรถยนต์ 65 การระบายแกส๊ ออกจากโชค้ อัพคำ้ แบบแยกไมไ่ ด้ เมอ่ื ถอดโชค้ อพั ทเ่ี สยี ออกใหเ้ จาะรขู นาด 2-3 มม. สูงจากสว่ นลา่ งของกระบอกสบู โชค้ อพั ที่ถอด ออกมาประมาณ 10 มม. กอ่ นที่จะทิง้ ไป เพือ่ ระบาย ถุงพลาสติก ยางรัด ความดนั แกส๊ ออกจากโชค้ อพั กอ่ น แกส๊ โชค้ อพั ไมเ่ ปน็ พิษ ไมม่ ีสแี ละไมม่ ีกลิ่น ใหร้ ะวงั เศษโลหะอาจปลิว รู ลกู สบู อสิ ระ กระเด็นออกมาได้ในขณะเจาะ ฉะนั้นจงปฏิบัติงาน 5 ด้วยความระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยในการ ดอกสวา่ น 10 มม. ปฏบิ ตั งิ านใหส้ วมถงุ พลาสตกิ ไวร้ อบ ๆ และรดั ใหแ้ นน่ (∅ 2-3 มม.) แก๊ส ด้วยยางรัด สอดดอกสว่านผ่านรูถงุ พลาสตกิ เข้าเจาะ 10 มม. เปลอื กโชค้ อพั แกส๊ ทั้งแกส๊ และเศษโลหะทีเ่ จาะออก รูปที่ 5.16 สวมถงุ พลาสตกิ ก่อนเจาะรรู ะบายแก๊สจากโช้คอพั จะได้ไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ ตนเองและผู้อ่นื ตัวเกา่ กอ่ นโยนท้ิง ขอ้ ควรระวงั การระบายแก๊สออกจากโช้คอพั ค้ำ เครื่องมือพิเศษ แบบถอดแยกได้ 1) ยดึ โช้คอพั ไวก้ บั ปากกา 2) คลายนอตวงแหวน 3 หรือ 4 รอบ จนกว่า แกส๊ เริ่มรั่วออก 3) ปล่อยออกช้า ๆ จนหมด รปู ท่ี 5.17 งานคลายนอตวงแหวน ขอ้ ควรจำ ถา้ ปลอ่ ยใหแ้ กส๊ รว่ั ออกเรว็ เกนิ ไป นำ้ มนั โช้คอัพอาจรั่วออกมาด้วย ตัวใหม่ 4) ต้องแน่ใจว่า ไม่มีแก๊สตกค้างอยู่ในโช้คอัพ กอ่ นทง้ิ ซง่ึ จะทราบไดโ้ ดยการยกแกนลกู สบู ขึ้นจนสุดและปล่อยมือ ถ้าลูกสูบตกลงใน กระบอกสูบโดยน้ำหนักตัวมันเอง แสดงว่า แก๊สระบายออกไปหมดแล้ว ข้อควรจำ ถ้าเปลี่ยนโช้คอัพค้ำใหม่ ให้เจาะรูที่ เปลือกโช้คอัพเก่าก่อนทิ้ง เพื่อระบาย ตัวเก่า แก๊สออกก่อนที่จะทิ้ง รูปที่ 5.18 ถอดเปลี่ยนโช้คอัพค้ำ
66 งานเครอื่ งล่างรถยนต์ 5.3 การเปลย่ี นโชค้ อพั คำ้ รองรบั หนา้ รถ 5.3.1 ส่วนประกอบโช้คอัพค้ำโตโยต้า โคโรลล่า 40 Nm สปริงขด ฝาครอบนอต โช้คอัพค้ำ 47 Nm เบา้ โช้คอัพ ซลี กันฝ่นุ บ่ารองสปริง ยางรองสปรงิ ตวั บน 280 Nm สปริงขด 30 Nm ยางกันกระแทก ยางรองสปรงิ ตวั ลา่ ง โชค้ อพั คำ้ จานเบรก หมายเหตุ สีเ่ หล่ยี มขนมเปียกปนู ทึบ = ช้นิ สว่ นเก่า ไมน่ ำกลับมาใช้อกี
เบ้าโช้คอัพ งานเครื่องล่างรถยนต์ 67 ท่อน้ำมันเบรก 5.3.2 การถอดโช้คอัพค้ำรองรับหนา้ รถ นอตยึดฐานโช้คอัพ 1. การตรวจสภาพโชค้ อพั ค้ำก่อนถอด 1) ตรวจสภาพเบา้ โช้คอพั 2) ตรวจนำ้ มันโชค้ อัพรวั่ ซึม 2. การถอดท่อนำ้ มนั เบรก 5 1) คลายนอตลอ้ 2) ยกรถใหส้ ูงและรองรบั ดว้ ยขาต้ัง 3) ถอดลอ้ หนา้ ออก 4) ถอดสกรแู ละทอ่ นำ้ มนั เบรกออกจากโชค้ อพั 3. การคลายนอตยดึ ฐานโช้คอัพค้ำ 1) ยึดแกนบังคับเลี้ยวด้วยปากกาตั้งโต๊ะ 2) คลายนอตยึดฐานโช้คอัพ 4. การถอดโช้คอัพออกจากแกนหมนุ เลีย้ ว 1) ถอดนอตและสกรู 2 ตวั 2) ถอดโชค้ อพั ออกจากแกนหมุนเลี้ยว 5. ถอดโชค้ อพั พรอ้ มขดสปริง 1) ถอดนอตยดึ ดา้ นบนของเบา้ รบั โชค้ อพั 3 ตวั ออกไป 2) ถอดโช้คอัพพร้อมขดสปริง เบ้าโช้คอัพ
68 งานเคร่อื งล่างรถยนต์ 6. การถอดขดสปริง เหล็กรัดสปรงิ 1) ประกอบสกรูและนอต 2 ตัวเข้ากับขา ยดึ ฐานของโช้คอพั 2) จบั ให้แน่นด้วยปากกา 3) รัดสปรงิ ดว้ ยเหลก็ รดั สปริง ดึง 7. การถอดเบา้ โช้คอพั และอน่ื ๆ กด 1) ยึดเบ้าขดสปริงดว้ ยเหลก็ ยึด SST แลว้ ถุงพลาสตกิ ยางรดั ถอดนอตออก เจาะ ลูกสูบอิสระ 2) ถอดเบา้ โชค้ อพั และซีลกันฝุ่น รู (∅ 2-3 มม.) แก๊ส 3) ถอดยางรองสปริงตัวบนและขดสปริง 4) ถอดยางกันกระแทก และยางรองสปริง 10 มม. ตวั ลา่ ง 5.3.3 การตรวจและการทิ้งโช้คอัพคำ้ รองรบั หน้ารถ 1. การตรวจสภาพโชค้ อัพค้ำ กดและดึงแกนโช้คอัพ ตรวจความต้าน ทาน หรือเสยี งการทำงานท่ีผดิ ปกติ ขอ้ ควรจำ ถ้ามีความผิดปกติให้เปลี่ยนใหม่ทั้งชุด 2. การท้ิงโช้คอัพคำ้ ใหป้ ลอดภัย 1) สวมถุงพลาสติกด้านลา่ งโชค้ อพั 2) ดึงแกนโช้คอพั ข้ึนใหส้ ดุ 3) ใชส้ วา่ นเจาะรกู ระบอกโชค้ อพั ตรงบรเิ วณ ฐานโช้คอัพ เพอ่ื ระบายแก๊ส ขอ้ ควรระวงั แกส๊ ทร่ี ะบายออกมาไมม่ พี ษิ แตต่ อ้ ง ระวงั เศษโลหะ ซง่ึ อาจกระเดน็ ออก ขณะเจาะรู
งานเคร่ืองลา่ งรถยนต์ 69 5.4 การตดิ ตง้ั โชค้ อพั คำ้ รองรบั หนา้ รถ ยางรองสปรงิ 1. การประกอบยางรองสปรงิ เข้ากับโช้คอพั 1) ยดึ แกนบงั คับเลี้ยวกบั ปากกาต้งั โตะ๊ 2) หันยางรองสปรงิ ให้ถูกด้าน 3) วางยางรองสปรงิ เขา้ ร่อง ยางกันกระแทก 2. การประกอบยางกนั กระแทกเขา้ กับกา้ น ก้านโช้คอัพ โชค้ อัพ 1) หันยางกันกระแทกให้ถูกด้าน 2) อัดยางกันกระแทกสวมก้านโช้คอัพ 3. การประกอบสปริงขดและเบา้ โช้คอัพ 1) ประกอบเหลก็ อัดสปริงเข้ากบั ขดสปรงิ 2) ขันสกรูอัดสปริงให้หดสั้นพอเหมาะกับ การประกอบเข้ากับโช้คอัพค้ำได้ เหล็กอัดสปริง เหล็กอดั สปริง 4. การประกอบสปริงขดเข้ากับโชค้ อพั 1) ตรวจร่องยางรองปลายสปริงให้เข้าที่ 2) ประกอบปลายล่างของสปริงให้เข้าร่อง ยางรองปลายสปริง 3) ประกอบยางรองสปริงตัวบน
70 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ ยางรอง ด้านนอก 5. การประกอบเบ้าโชค้ อพั เดือย 1) ประกอบยางของสปรงิ ตวั บน เหล็กยดึ เบ้าสปริง 2) ประกอบบา่ รองสปริงดา้ นบน 3) ประกอบซีลกันฝุ่นและเบา้ โช้คอพั ขอ้ ควรจำ จัดเครื่องหมาย OUT ของบ่ารอง สปริงไปทางด้านนอกของตัวรถ 6. การประกอบนอตก้านโช้คอพั 1) ยึดเบ้าสปริงด้วยเหล็กยึดเบ้าสปริง 2) ประกอบนอตก้านโช้คอัพตัวใหม่ ค่าแรงขัน: 47 นิวตัน-เมตร (475 กก.- ซม., 34 ฟุต-ปอนด์) 3) ถอดเหล็กยึดเบ้าสปริง จาระบีอเนกประสงค์ 7. การอัดจาระบเี บ้าโชค้ อัพ 1) อดั จาระบอี เนกประสงคเ์ ขา้ ในเบา้ โชค้ อพั 2) ประกอบฝาครอบกันฝุ่น เบ้าโช้คอัพ 8. ประกอบโชค้ อพั พร้อมขดสปรงิ 1) ประกอบโช้คอัพเข้ากับตัวถัง 2) ขันนอตยึดเบ้าโช้คอัพ 3 ตัว ค่าแรงขัน: 39 นิวตัน-เมตร (400 กก.- ซม., 29 ฟุต-ปอนด์)
งานเคร่อื งล่างรถยนต์ 71 แบบฝกึ กจิ กรรมท ่ี 5 เรื่อง ระบบรองรับหนา้ หลังดว้ ยโชค้ อพั คำ้ และการตรวจซอ่ ม ตอนที่ 1 จงเติมคำในช่องว่างตอ่ ไปนี้ 1. ระบบรองรับด้วยโชค้ อัพค้ำเปน็ ระบบรองรับแบบใด ...................................................................................................................................................................................................... 2. ขอ้ ดขี องการทส่ี ปริงขดและชุดโชค้ อัพคำ้ รวมอย่ใู นชุดเดียวกันคืออะไร ...................................................................................................................................................................................................... 3. การรองรับดว้ ยโชค้ อพั ค้ำมใี ช้ในรถอะไร ...................................................................................................................................................................................................... 4. การรองรับดว้ ยโชค้ อพั คำ้ เหมาะสำหรบั การรองรบั หน้าหรอื รองรบั หลงั ...................................................................................................................................................................................................... 5. สาเหตหุ ลักที่ต้องเปลย่ี นโช้คอัพคำ้ คอื อะไร ...................................................................................................................................................................................................... 6. การองรับดว้ ยโชค้ อัพคำ้ ประกอบด้วยสว่ นประกอบหลกั 4 อย่าง คืออะไร ...................................................................................................................................................................................................... 7. โชค้ อัพค้ำทำหนา้ ทีส่ ลายการส่ันสะเทอื นแลว้ ต้องรบั ภาระอะไรอีก ...................................................................................................................................................................................................... 8. ผวิ กา้ นโช้คอพั ค้ำมีรอยแผลชำรุด มผี ลกระทบอะไร ...................................................................................................................................................................................................... 9. เพราะเหตใุ ดมุมแคมเบอร์ระบบรองรบั ด้วยโชค้ อพั ค้ำจึงเปลี่ยนแปลงนอ้ ย ...................................................................................................................................................................................................... 10. เหล็กหนวดกุ้งและแขนควบคมุ ในระบบรองรบั ทำหนา้ ที่อะไร ...................................................................................................................................................................................................... ตอนท ่ี 2 จงทำเคร่ืองหมายถกู ( P) ลงหน้าขอ้ ความท่ีถกู ต้องทส่ี ดุ 1. อะไร ไม่ใช่ สว่ นประกอบระบบรองรับด้วยโชค้ อัพค้ำ ก. ปีกนกตวั ลา่ ง ข. ปกี นกตวั บน ค. แกนหมนุ เล้ยี ว ง. สปรงิ ขด
72 งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 2. เบ้าโช้คอพั คำ้ ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง 7. อะไรคอื ขอ้ ปฏิบัตกิ ารเจาะรูปล่อยแก๊ส โชค้ อัพกอ่ นทง้ิ ก. ยางกันสะเทอื น ก. ตรวจรอยนำ้ มันโช้คอัพร่ัวซึม ข. ลูกปืนหรอื บชุ ข. ดงึ โชค้ อพั ออกจนสุด ค. บบี สปรงิ ดว้ ยเหล็กบีบสปริง ค. หนา้ แปลนยดึ ง. บบี สปริงด้วยคมี เหลก็ 8. โชค้ อัพแก๊สความดันตำ่ บรรจุแก๊สเทา่ ใด ง. สปรงิ ขด ก. ความดัน 1-5 บาร์ ข. ความดนั 5-10 บาร์ 3. กอ่ นท้ิงโชค้ อพั แกส๊ ให้เจาะรูระบายแกส๊ ทข่ี นาด ค. ความดัน 10-15 บาร์ ง. ความดัน 15-20 บาร์ ก่ีมลิ ลเิ มตร 9. ขันสกรูอัดสปรงิ ขดให้หดส้นั เพยี งไร ก. หดสน้ั ทีส่ ดุ ก. 2-3 มม. ข. 3-4 มม. ข. พอแนน่ ด้วยมือ ค. พอประกอบเข้ากับโช้คอัพได้ ค. 5-6 มม. ง. 7-8 มม. ง. พอแน่นดว้ ยประแจแหวน 10. อะไร ไม่ใช่ การประกอบสปรงิ ขดเขา้ กบั 4. อะไร ไมใ่ ช่ ข้อควรระวังเกย่ี วกบั การระบายแกส๊ โชค้ อพั ก. ตรวจรอ่ งยางรองสปริงให้เข้าท่ี โชค้ อพั แกส๊ ข. วางสปรงิ ใหส้ ่วนล่างลงรอ่ งรองรบั ค. ประกอบยางรองสปรงิ ตวั บน ก. ยึดโช้คอัพไว้กับปากกา ง. ประกอบทอ่ ออ่ นออกจากขายดึ โชค้ อัพ ข. อยา่ มีรอยแผลบนแกนโช้คอพั ค. คลายนอตวงแหวนออกช้า ๆ ง. ปล่อยแก๊สออกชา้ ๆ 5. อะไร ไมใ่ ช ่ การถอดเบา้ โชค้ อพั เพอ่ื ถอดโชค้ อพั คำ้ ก. ถอดเบา้ กนั ฝุ่น ข. ถอดนอตกา้ นโช้คอัพออก ค. ถอดนอตเบ้าโชค้ อพั ง. กดและดงึ โช้คอพั 6. การประกอบนอตกา้ นโช้คอัพขันแนน่ กี่นวิ ตันเมตร ก. 30 Nm ข. 40 Nm ค. 47 Nm ง. 55 Nm ตอนท ่ี 3 จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ีให้ไดใ้ จความสมบูรณ์ 1. คา่ นยิ มระบบรองรบั ด้วยโช้คอัพค้ำเป็นอย่างไร 2. จงเขียนคุณลักษณะโชค้ อพั ค้ำมา 4 ขอ้ 3. จงเขียนหลักปฏิบัตกิ ารเปล่ยี นโช้คอพั แกส๊ มา 4 ข้อ 4. จงเขยี นลำดบั การตรวจสภาพโช้คอัพคำ้ มา 3 ข้อ 5. จงสเกตชภ์ าพการรองรบั ลอ้ หลังด้วยโช้คอัพค้ำแบบใดแบบหนึ่งมา 1 ภาพ
6 งานเครื่องล่างรถยนต์ 73 แรละะบกบารรอตงรรวบัจหซลอ่ งัม สาระการเรียนรู้ 6.1 การรองรับหลังรถขับหลงั แบบคานแขง็ ใช้แหนบคขู่ นาน 6.2 การรองรับหลงั รถขับหลังแบบอสิ ระใช้สปรงิ ขด 6.3 การรองรับล้อหลงั แบบอิสระใช้ปีกนกล่างคู่ 6.4 การตรวจซอ่ มช้นิ ส่วนรองรับหลงั และลกู ปนื ลอ้ หลัง ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. อธบิ ายการรองรบั หลงั รถขบั หลังแบบคานแขง็ ใชแ้ หนบคขู่ นานได้ 2. อธิบายการรองรับหลังรถขบั หลังแบบอสิ ระใช้สปริงขดได้ 3. อธบิ ายการรองรบั ลอ้ หลงั แบบอิสระใชป้ ีกนกลา่ งคูไ่ ด้ 4. ปฏบิ ตั กิ ารตรวจซ่อมชน้ิ ส่วนรองรบั หลังและลกู ปนื ลอ้ หลังได้ 5. เพือ่ ใหม้ กี ิจนิสัยในการทำงานดว้ ยความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย ประณตี รอบคอบและตระหนักถงึ ความปลอดภัย
74 งานเครอื่ งลา่ งรถยนต์ 6 แรละบะกบารรอตงรรวับจหซลอ่ ังม บทนำ การรองรบั หลัง (Rear Axle Suspension) ตอ้ งรองรับนำ้ หนักพิเศษ นอกเหนือจากน้ำหนักตัวรถ เชน่ ผู้โดยสารและสัมภาระ ซง่ึ นำไปสปู่ ญั หาที่ยุ่งยาก เชน่ ถา้ ทำให้สปรงิ รองรบั หลงั แขง็ หรอื แข็งแรงพอที่ จะรบั นำ้ หนกั พเิ ศษน ี้ การรองรบั หลงั จะกระดา้ งเมอื่ ใชส้ ำหรบั การขบั ข่เี พยี งอย่างเดียว ในทางตรงกนั ข้าม ถ้าทำให้นิ่มนวลเพียงพอสำหรับการขับขี่อย่างเดียว การรองรับหลังจะอ่อนเกินไปเมื่อใช้บรรทุกน้ำหนัก เต็มท่ี และจะเปน็ ปัญหาแกโ่ ช้คอพั ดว้ ย การรองรับหลงั ออกแบบเพอ่ื รักษาเพลาใหอ้ ยูใ่ นตำแหนง่ ที่กำหนด ในขณะท่ียอมให้ล้อเต้นกระดอนได้ โดยปราศจากผลกระทบต่อคณุ สมบัติในการบังคับเลย้ี วของลอ้ หนา้ เนอ่ื งจากการรองรบั หลงั มสี ว่ นประกอบและความซบั ซอ้ นของชน้ิ สว่ นนอ้ ยกวา่ การรองรบั หนา้ การ ซอ่ มและการบำรงุ รกั ษาสว่ นประกอบการรองรับหลงั จึงมีนอ้ ยกวา่ การรองรับหน้า 6.1 การรองรบั หลงั รถขบั หลงั แบบคานแขง็ ใชแ้ หนบคขู่ นาน 1. ลักษณะการรองรับหลังรถขับหลงั การรองรบั หลงั แบบคานแขง็ ใช้แหนบคู่ขนาน (Parallel Leaf Spring Type) คือการรองรับคานหน้า หรือเพลาท้ายของรถโดยสารหรือรถบรรทกุ เพือ่ รองรับนำ้ หนักตัวรถ น้ำหนกั บรรทกุ ต้านแรงการเบรกรถ และตา้ นแรงการขบั เคลอ่ื นท่กี ระทำต่อเพลาทา้ ยของรถโดยสารหรือรถบรรทกุ หูแหนบ สาแหรกแหนบ โตงเตงหูแหนบ โช้คอพั สกรูและบชุ หแู หนบ แหนบ รปู ที่ 6.1 การรองรบั หลังแบบแหนบคู่ เส้ือเพลาทา้ ยเป็นคานแข็ง
งานเครอ่ื งล่างรถยนต์ 75 โตงเตง 2. ความยาวของแหนบเปลย่ี นไปตามภาระ 6 ไมม่ ีภาระ ทไ่ี ดร้ บั มีภาระเต็มที่ โดยทั่วไปปลายแหนบด้านหน้าจะยึด โตงเตงเอียงโดยการยดื ตวั ของแหนบ ติดกบั หแู หนบทคี่ านโครงรถ มบี ุชหูแหนบเป็น ภายใต้ภาระทีไ่ ดร้ ับ ยางรองรบั สลักหแู หนบ ส่วนปลายดา้ นหลังยดึ รูปที่ 6.2 ความยาวของแหนบเปลยี่ นไปตามภาระทีไ่ ดร้ บั อยกู่ บั โตงเตงหแู หนบดว้ ยบชุ ยางและสลกั หแู หนบ เมือ่ แหนบมกี ารสปริงตวั ตามความยาว เนื่องจาก รูปที่ 6.3 บชุ หูแหนบ การเปลย่ี นแปลงของภาระที่ได้รับ โตงเตงแหนบ จะสามารถชดเชยการเปลี่ยนแปลงความยาวของ รูปท่ี 6.4 การตดิ ตง้ั โตงเตงแหนบ แหนบได้ 3. การตดิ ตงั้ บชุ หูแหนบ (Rubber Bushing) บุชหูแหนบมีหน้าที่อยู่ 2 ประการ คือ สลายการส่นั สะเทอื น ไม่ใหก้ ารสนั่ สะเทือนถา่ ย ทอดไปถึงตัวถังรถ และยอมให้หแู หนบเคล่ือนที่ ไปข้างหน้าและข้างหลังได้ตามการสปริงตัวของ แหนบ ส่วนกลางของแหนบยึดตดิ กบั เสื้อเพลา ด้วยสาแหรกแหนบ 2 ตวั 4. การตดิ ต้ังโตงเตงแหนบ (Shackle) การติดตั้งโตงเตงแหนบมีอยู่ 2 วิธี คือ การติดต้งั โตงเตงแบบอัดตัวและแบบยดึ ตวั เม่ือ มแี รงอัดหรือแรงดึงมากระทำต่อแหนบ คา่ คงที ่ ของสปริงจะเปล่ียนแปลงไปตามมุมการเปลี่ยน แปลงของโตงเตง การเปลย่ี นแปลงค่าคงที่ของ แหนบจะแตกตา่ งตามชนิดของโตงเตง มุมการ ติดต้ังและความยาวของโตงเตง
76 งานเครื่องล่างรถยนต์ แหนบ สาแหรก 5. ผลจากการรองรับหลงั แบบคานแขง็ ใช้ เสือ้ เพลา แหนบคู่ รูปที่ 6.5 แหนบตดิ ตง้ั ใตเ้ สอื้ เพลาลดความสงู ของรถได้ 1) แหนบทำหนา้ ทเ่ี ปน็ เสมอื นกา้ นตอ่ เพอ่ื ยึดตำแหน่งเพลา โดยทั่วไปจึงไม่มี แหนบ สาแหรก ความจำเป็นต้องมีก้านต่อแยกต่างหาก เสือ้ เพลา อีก ดังนั้นจึงเป็นแบบง่าย แต่มีความ รปู ที่ 6.6 แหนบตดิ ตง้ั เหนอื เสอ้ื เพลารบั ภาระบรรทกุ ไดม้ าก แขง็ แรงมาก 2) การยึดตำแหน่งของเพลา กระทำโดย ท้ายยบุ ตัวลง แหนบ จึงเป็นการยากทจ่ี ะใชส้ ปริงทีม่ ี ความนุ่มนวล ดังนั้นระบบรองรับ แหนบโก่งจากการ ชนิดนี้ยังขาดความนุ่มนวล ให้ความ เร่งเครื่อง สะดวกสบายในการขบั ข่ีได้น้อย ทา้ ยหงายหลงั จากการเรง่ เคร่ือง 3) ความนมุ่ นวลและความสะดวกสบายใน การขับขี่ ที่เกิดจากความฝืดระหว่าง แหนบโคง้ ปกต ิ แหนบโค้งปกติ แผน่ ของแหนบจึงเกิดได้น้อย การขับขี่ตามปกติ 4) การเรง่ และการเบรกจะทำใหเ้ กดิ แรงบดิ พยายามทม่ี ว้ นตวั แหนบและการสน่ั ขน้ึ แหนบคว่ำจากการเบรก ท้ายเงยขน้ึ การมว้ นตวั นเ้ี ปน็ เหตใุ หท้ า้ ยรถเกดิ การ ยุบตัวลง หรือเงยขึ้นตามทิศทางแรงที่ ได้รบั 6. การมว้ นตัวของแหนบคู่ การม้วนตัวเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน จากแรงบดิ ขณะมกี ารเรง่ หรอื การเบรกไปกระทำ ต่อแหนบ โดยพยายามทจี่ ะมว้ นแหนบไปรอบ เพลา ตัวอย่างการเกิดการมว้ นตวั โดยแรงบดิ จากการเรง่ เครอ่ื งยนต์เปน็ ดังน้ี 1) แรงบิดของเครื่องยนต์ส่งถ่ายไปยังล้อ เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ไปข้างหน้าจาก กระปกุ เกยี รถ์ งึ ล้อรถ 2) เมอ่ื มแี รงการหมนุ เกดิ ขน้ึ เฟอื งเดอื ยหมู ซึ่งรองรับอยู่ด้วยเรือนเฟืองท้ายจะเกิด แรงตา้ นการหมนุ ในทางตรงกนั ขา้ มกบั ข้อ 1) ขา้ งตน้ ทันที ท้ายเงยขน้ึ จากการเบรก รปู ที่ 6.7 เปรียบเทียบการม้วนตัวของแหนบ
งานเครื่องล่างรถยนต์ 77 แรงขบั 3) จากผลอนั น ้ี เสอ้ื เพลาซง่ึ รองรบั เรอื น 6 แรงตา้ น เฟืองท้ายจะเกิดแรงต้านการหมุนใน ทิศทางตรงกันข้ามกับล้อและแหนบ รปู ที่ 6.8 แสดงแรงรวมท่เี กิดข้นึ ในระบบรองรับล้อหลงั ซึ่งติดอยู่กับเสื้อเพลา ก็พยายามทจ่ี ะ มว้ นตัวเองรอบเพลา 4) แรงบดิ ในการขบั เคลอ่ื นจะเปลย่ี นแปลง ไปตามแรงบดิ ของเครอื่ งยนต ์ ดังนนั้ แรงตา้ นจะเปลย่ี นแปลงไปตามการตอบ สนองนีเ้ ช่นเดียวกัน เป็นเหตุให้การ ยืดหยุ่นตัวของสปริงเปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกัน เป็นผลให้เกิดการสั่น กระพอื ขึน้ (การส่ันจากการม้วนตัว) 7. การแก้ไขป้องกนั การม้วนตวั เมอ่ื การสน่ั จากการมว้ นตวั ไมเ่ ปน็ ผลดี ต่อความสะดวกสบายในการขบั ข ่ี จงึ จำเป็น ตอ้ งมกี ารแกไ้ ขเพอ่ื ปอ้ งกนั การมว้ นตัว ดงั นี้ รปู ที่ 6.9 ตำแหน่งติดตั้งโชค้ อัพหลงั 1) เล่อื นตำแหนง่ เพลาท้าย โชค้ อัพ การมว้ นตัวจะลดลงได ้ โดยการเลื่อน เส้อื เพลาท้าย ตำแหน่งเพลาทา้ ย ดงั นัน้ จึงมกี ารตดิ ต้ังเพลา เลยสว่ นกลางของแหนบไปขา้ งหน้า การทำเชน่ น ้ี เพอ่ื ชว่ ยเปน็ การตา้ นการ โครงรถ เตน้ ข้ึนลงของตวั ถงั รถ ในขณะขับเคล่ือนและ การเบรกได้ด้วย 2) เลอ่ื นตำแหน่งโชค้ อัพ การมว้ นตัวสามารถลดลงได้ โดยการ ติดตั้งโช้คอัพให้ห่างออกจากศูนย์กลางของ การม้วนตวั และโดยการติดตงั้ ให้เอียง นน่ั คอื ติดต้ังตัวหน่ึงให้ปลายอยู่ด้านหน้าเพลาและอีก เบ้ายึดหแู หนบ โตงเตง ตัวหนง่ึ ปลายอย่ดู ้านหลงั เพลา แหนบ รปู ท่ี 6.10 ติดตงั้ เพลาเยอื้ งไปขา้ งหนา้ และติดตั้งโชค้ อพั เอียง เพอื่ ให้ เกิดความสบายในการขบั ขี่รถ
78 งานเครอื่ งล่างรถยนต์ 6.2 การรองรบั หลงั รถขบั หลงั แบบอสิ ระใชส้ ปรงิ ขด เหลก็ กันโคลง 1. การรองรบั หลงั รถขบั หลงั แบบอสิ ระ ใชแ้ ขนลาก (Trailing Arm Type) แขนลาก รูปที่ 6.11 การรองรบั หลงั แบบอสิ ระใชแ้ ขนลาก การรองรับหลังแบบอิสระใช้แขนลาก ปกี นกอยแู่ นวขนานกบั ตวั รถ แนวแกนการหมนุ ปีกนกตั้งฉากกับเส้นศูนย์กลางตัวรถ ปีกนกรับ แรงตามยาวตัวรถได้ดีกว่าแนวขวางตัวรถ การรองรบั แบบน ้ี รองรบั ดว้ ยสปรงิ ขด หรือทอร์ชันบาร์ การหมุนหรือการกระดกของ ปีกนกมีผลกระทบต่อมุมเพลาขับล้อบ้าง 2. การรองรับหลังแบบอสิ ระใชก้ งึ่ แขนลาก (Semi Trailing Arm Type) กง่ึ แขนลากหรือเรยี กวา่ ก่งึ แขนตาม คือการรองรบั หลงั อสิ ระ ออกแบบมาเพื่อความแขง็ แรงต่อการ รับภาระแนวขวาง มีการเปลี่ยนแปลงศูนย์ล้อเล็กน้อย คือระยะโทอินและมุมแคมเบอร์ ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจาก การเคล่ือนที่ข้ึนลงของล้อนอ้ ยท่สี ุด สว่ นประกอบไมม่ ากและใช้พนื้ ท่ีเพียงเลก็ นอ้ ย ดังนน้ั จึงเหมาะกบั ระบบรองรับหลังของรถยนตน์ ัง่ ขนาดเล็กทั่วไป แกนการหมุนปีกนก สปริงขด รูปท่ี 6.12 การรองรบั หลงั แบบอิสระใชก้ ึ่งแขนลาก คือจดุ หมุนแขนลากทำมุมเอียงกับตัวรถ
งานเครอ่ื งล่างรถยนต์ 79 แขนลาก 3. คณุ ลักษณะแบบอิสระใช้กึง่ แขนลาก แกนการหมุน แนวแกนการหมุนปีกนกอยู่ทางด้าน แขนลาก หนา้ ของลอ้ ตัวปกี นกติดต้ังเขา้ กับคานระบบ รองรับด้วยบชุ แนวแกนการหมุนปีกนกไมต่ ้งั เพลาขบั ข้อต่อแบบความเร็วคงท่ี ฉากกบั เสน้ ศนู ย์กลางตวั รถ เส้นผา่ นศูนย์กลางตามยาวของรถ เฟืองท้ายพยุงไว้ด้วยคานบนตัวถัง โดยรองรับดว้ ยบุช เพลาขบั ล้อใชข้ ้อตอ่ แบบ ความเร็วคงทท่ี ง้ั 2 ดา้ น รปู ท่ี 6.13 แนวแกนการหมนุ ตวั ปกี นกทำมมุ กบั ศนู ยก์ ลางตามยาวของรถ 4. การรองรบั หลงั แบบคานแข็งใช้ 6 โชค้ อัพ แขนควบคมุ สปริง แขนควบคุมขวาง การรองรับหลังใช้สปริงขด (Coil แขนควบคุม Spring Rear Suspension) รถยนตท์ ่ีขับลอ้ หลัง บน ยรอางง ใชส้ ปริงขดรับนำ้ หนักลงบนคานรถ การใช ้ สปรงิ ขดจะเกิดปัญหาเรื่องแรงตา่ ง ๆ น้ำหนัก ของรถจะกดลงบนสปรงิ ผา่ นเสอ้ื เพลาทา้ ยไปยงั เหล็กกันโคลง ลอ้ โดยมแี ขนควบคมุ 2 หรอื 4 ตวั แขนควบคมุ บุชยาง ทำหน้าที่ 3 อยา่ ง ดังต่อไปน้ี แขนควบคมุ ล่าง 1) ส่งถ่ายกำลงั ให้ล้อขบั เคลื่อนตัวรถ รูปท่ี 6.14 การรองรับหลงั แบบคานแข็งใช้แขนควบคมุ 2) เปน็ ตวั ปอ้ งกนั แรงปฏกิ ิรยิ าท่ีลอ้ 3) เป็นตัวกำหนดตำแหน่งของเสื้อเพลา การเต้น ทา้ ยและลอ้ ใหอ้ ยทู่ แ่ี นน่ อน ซง่ึ ประการ คานบิด สุดท้ายนี้ จะทำหน้าที่ได้ดีกว่าการใช้ การกระแทก แหนบ เพราะแหนบจะตอ้ งบิดตวั ได้ ทำใหต้ ำแหนง่ เสอ้ื เพลาทา้ ยเคลอ่ื นไหว ไปจากตำแหนง่ เดิม ทำให้ทา้ ยปัด หนา้ รถ รปู ท่ี 6.15 คานบิดทำงานระหวา่ งการเต้นและการกระแทก 5. การรองรบั หลงั แบบแขนลากพร้อมคานบิด (Trailing Arm Type with Twist Beam) เมอื่ ล้อรถกระแทกและกระดอนในทิศทางตรงกนั ข้าม การเคลือ่ นไหวในการบิดตวั ของปลายปกี นก จะถา่ ยทอดไปเปน็ การบิดตัวของคานบดิ ซึ่งตดิ ต้ังอยภู่ ายในเสอ้ื คานและปกี นกหลัง การบดิ ตวั ของคานบิด และเหล็กกนั โคลงจะทำให้เกดิ แรงปฏกิ ริ ิยาทศิ ทางตรงกันขา้ มกบั การบดิ ตัวของปกี นก เปน็ การช่วยใหม้ ีแรง ตา้ นการโคลงตวั เพอื่ ให้ตัวถังรถมีการโคลงตัวนอ้ ยทสี่ ดุ เพ่อื ให้เสถยี รภาพในการเล้ียวดมี ากขึ้น
80 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 6.3 การรองรับล้อหลงั แบบอิสระใชป้ กี นกล่างคู่ เบา้ โชค้ อพั บน 6.3.1 การรองรับปกี นกคู่ ปีกนกตวั ที ่ 2 ระบบรองรับล้อหลังแบบอิสระใช้ปีกนก ลา่ งค ู่ หรอื เรียกว่าแบบใชโ้ ชค้ อัพค้ำ หรอื ปกี นกค ู่ ปกี นกตวั ท ี่ 1 ขนาน (Dual Link Strut Type) ระบบรองรบั แบบน ้ี แขนควบคมุ ใชก้ บั รถยนตเ์ ครื่องยนตห์ นา้ และขบั ล้อหนา้ โดย ลอ้ รถรองรบั ไวด้ ว้ ยปกี นกค ู่ ซึ่งอยู่แนวตง้ั ฉากกับ รปู ที่ 6.16 แบบอสิ ระใช้ปีกนกคู่ เส้นผ่านศนู ย์กลางตามความยาวของตวั รถ เหล็ก หนวดกุ้งเป็นแกนค้ำยันให้ต้ังฉากกับเส้นผ่านศูนย์ กลางรถ ภาระจากการเคลือ่ นทข่ี นึ้ ลงของล้อรถใน แนวตามยาว แนวขวางและแนวตั้งต่างถกู รองรบั โดยส่วนประกอบทแี่ ตกตา่ งกนั ดังนัน้ จงึ สามารถ ออกแบบแต่ละชิ้นให้เหมาะสมกับหน้าที่ได้มาก ที่สดุ สมรรถนะในการบังคับควบคมุ รถและความ สะดวกสบายในการขับขไี่ ด้ดีมาก แรงและภาระจากทศิ ทางตา่ ง ๆ กระทำตอ่ ส่วนประกอบดังตอ่ ไปนี้ โทอิน โทเอาต์ แนวตง้ั g สปรงิ ขด เส้นก่งึ กลาง โช้คอัพ ยางกนั กระแทกตัวบน สปรงิ ขด แนว g เหลก็ หนวดกงุ้ และบชุ ตามยาว แนวขวาง g ปีกนกและบุช ทป่ี กี นกตัวท่ ี 2 มลี ูกเบ้ียวปรับตง้ั โทอิน สามารถปรับตั้งโทอินได้จากการหมุนลูกเบี้ยว ดังรปู ซ้ายมือ แขนควบคุม รูปที่ 6.17 ลกู เบีย้ วปรบั ตงั้ โทอนิ และโทเอาต์
หน้ารถ งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ 81 โช้คอพั คำ้ 6.3.2 การทำงานโช้คอัพค้ำปีกนกคู่ ปกี นกตวั ท ่ี 1 1. เมื่อขับขี่ทางตรง เมอ่ื ขบั ขร่ี ถยนตใ์ นทางตรงบนถนนทร่ี าบเรยี บ แรงตา้ นการโคลงจากการปะทะลอ้ รองรบั โดยโชค้ อพั คำ้ เมื่อปีกนกตัวที่ 1 และตัวที่ 2 มีความยาวเท่ากัน และมี รูปทรง 4 เหลยี่ มด้านขนาน ดงั น้นั เสน้ ศนู ย์กลางลอ้ รถ จะยังคงขนานกันกับเส้นศูนย์กลางตัวรถยนต์ ปกี นกตวั ท ี่ 2 6 รปู ท่ี 6.18 เส้นผ่านศนู ย์กลางลอ้ และตวั รถขนานกัน โชค้ อัพคำ้ 2. ขณะกระแทกและกระดอน ภาพด้านบน เมอ่ื ลอ้ รถกระแทกและกระดอนกลับเน่อื งจาก รปู ที่ 6.19 ล้อถกู กระแทก (ซา้ ย) และล้อกระดอน (ขวา) โช้คอัพค้ำเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวโค้ง โดยมีจุดยึดกับ ภาระ ตัวถังเป็นจุดหมุน ล้อรถจะมีการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า และข้างหลังเป็นระยะ d เมื่อปีกนกมีความยาวเท่ากัน จึงมีรูปทรง เป็นรูป 4 เหลี่ยมด้านขนานเสมอ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหว อย่างไร ล้อรถจะเคลื่อนไปข้างหลังและข้างหน้า โดย ขนานไปกับเส้นผ่านศูนย์กลางตามความยาวของรถ เพราะเป็นผลของรูปทรง 4 เหลี่ยมด้านขนาน 3. เมื่อมีภาระกระทำไปทางด้านหลัง ขณะล้อถูกกระแทกให้เคลื่อนที่ไปทางด้าน หลงั ของรถ แตป่ กี นกทง้ั คเู่ คลอ่ื นทไ่ี ปในรปู ทรงของ 4 เหลี่ยมด้านขนาน ล้อจะเคลื่อนที่ขนานไปกับเส้นผ่าน ศนู ยก์ ลางตามความยาวของรถ จงึ ไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลง โท-อินเกิดขึ้น ดังนั้น สามารถนำเอาบุชยางมาใช้ใน ทิศทางตามความยาวของรถได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อ คณุ ลกั ษณะการบงั คบั เลย้ี ว หรอื ลน่ื ไถลออกจากวงเลย้ี ว เป็นต้น รปู ที่ 6.20 ลอ้ รถถูกกระทบหรอื ขณะเบรก
82 งานเคร่อื งล่างรถยนต์ 6.4 การตรวจซอ่ มชิน้ สว่ นรองรบั หลงั และลูกปนื ลอ้ หลัง 1. การตรวจซอ่ มช้ินส่วนรองรับหลัง 1) ยกรถให้ล้อลอย 2) ตรวจชิ้นสว่ นทหี่ ลวม สกึ หรอและเสียหาย 3) ขยับลอ้ หลงั เพ่ือตรวจระยะฟรีของล้อ 4) ตรวจรอยรว่ั นำ้ มนั โชค้ อพั 5) ตรวจความเสียหายของโช้คอพั 2. การตรวจสภาพลกู ปืนล้อหลงั 1) ตรวจระยะฟรดี มุ ลอ้ 0.05 มม. หรอื นอ้ ยกวา่ 2) ตรวจความคลอ่ งตวั ของดุมล้อ 3) ตรวจแรงขันนอตหัวเพลา 19-26 กก.-ซม. 4) ถา้ ระยะของดมุ ลอ้ คลอนมาก เสยี งดงั ดมุ ลอ้ หมุนฝดื หรือสะดุด เปล่ียนลกู ปนื ทง้ั ชุด นาฬกิ าวดั ดา้ นรศั มี 3. การตรวจสภาพยางและกระทะลอ้ ด้านนอก ด้านใน 1) ตรวจความสึกดอกยางและลมยาง 2) ตรวจลกู ปนื ลอ้ และความบดิ เบย้ี วกระทะลอ้ 3) ตรวจเพลาหลังและชิ้นส่วนอ่ืน ๆ
แบบฝกึ กจิ กรรมท ่ี 6 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 83 เร่อื ง ระบบรองรบั หลงั และการตรวจซ่อม ตอนที ่ 1 จงเตมิ ขอ้ ความวธิ ีการแกไ้ ขขอ้ ขัดข้องในช่องว่างใหถ้ กู ตอ้ ง ขอ้ ขดั ขอ้ ง สาเหตทุ ีเ่ ป็นไปได้ การแก้ไข u รถดึงไปดา้ น 1) ยางสกึ หรอหรือความดัน 1) .................................................................................. 6 ใดด้านหน่งึ ลมยางไมถ่ กู ตอ้ ง 2) ศนู ยล์ ้อไมถ่ กู ตอ้ ง .................................................................................. 3) กา้ นต่อพวงมาลัยหลวม 2) .................................................................................. 3) .................................................................................. 1) บรรทุกน้ำหนักมากเกินไป 1) .................................................................................. v รถทรุด 2) โชค้ อพั ชำรุด 2) .................................................................................. 3) สปริงลา้ หรือแหนบล้า 3) .................................................................................. 1) ความดนั ลมยางไม่ถูกตอ้ ง 1) .................................................................................. w รถส่าย 2) เหลก็ กนั โคลงคดงอหรือหกั 2) .................................................................................. 3) โชค้ อพั ชำรดุ 3) .................................................................................. x ลอ้ หนา้ ส่นั 1) ยางสกึ หรอหรือความดัน 1) .................................................................................. ลมยางไมถ่ ูกต้อง 2) ล้อไมส่ มดุล .................................................................................. 3) ศูนย์ลอ้ ไม่ถกู ต้อง 2) .................................................................................. 3) .................................................................................. 1) ความดนั ลมยางไมถ่ กู ต้อง 1) .................................................................................. y ยางสึกหรอผดิ ปกติ 2) โชค้ อพั ชำรดุ 2) .................................................................................. 3) .................................................................................. 3) ศนู ย์ล้อไมถ่ ูกต้อง
84 งานเครือ่ งลา่ งรถยนต์ ตอนท่ี 2 จงทำเครอ่ื งหมายถกู ( P) ลงหน้าข้อความที่ถูกตอ้ งท่สี ดุ 1. ระบบรองรับหลงั มีส่วนประกอบอยา่ งไร 7. Dual Link Strut Type เป็นระบบ ก. น้อยกว่าระบบรองรับหน้า รองรับหลังแบบใด ข. เทา่ กับระบบรองรับหน้า ก. แบบปีกนกเอยี ง ค. มากกว่าระบบรองรับหนา้ ข. แบบแหนบคู่ขนาน ง. แลว้ แต่ออกแบบ ค. แบบปกี นกคูข่ นาน 2. ระบบรองรับหลงั ออกแบบใหเ้ พลาอยอู่ ย่างไร ง. แบบ 4 กา้ นต่อ ก. อยคู่ งท่ ี ข. ตำแหนง่ กำหนด 8. ตรวจระบบรองรับแบบปีกนก ค. อยู่ตรงขนาน ง. อยตู่ รงฉาก เร่มิ ตรวจอะไร 3. รถยนต์ขบั ล้อหลังส่วนใหญ่ใชป้ กี นกล่างเปน็ แบบใด ก. น้ำมนั เครือ่ งร่ัว ก. ปีกนกล่างเดย่ี ว ข. ปกี นกล่างค่ ู ข. นำ้ มนั โช้คอพั รัว่ ค. ปกี นกขนาน ง. ปีกนกอนุกรม ค. นำ้ มันเกยี ร์ 4. การรองรับหลงั แบบกึง่ แขนลากมีขอ้ ดคี ืออะไร ง. น้ำมันเฟืองท้ายรั่ว ก. แข็งแรง ข. ไม่มเี สยี งดงั 9. เปลีย่ นตลับลูกปนื ดมุ ล้อหลังเมือ่ ใด ค. ใช้พื้นทนี่ ้อย ง. ไมต่ อ้ งบำรงุ รักษา ก. ตามกำหนด 5. ระบบรองรบั หลงั รถยนต ์ ระบบขบั หลงั เปน็ แบบใด ข. สัน่ ก. แบบคานอ่อน ข. แบบคานขนาน ค. เสียงดงั ค. แบบคานแข็ง ง. แบบคานโยก ง. เพลาขาด 6. ระบบรองรับแบบ Trailling Arm Type เรียกวา่ อะไร 10. ระยะฟรดี ุมล้อกำหนดไวเ้ ท่าใด ก. แบบปีกนกเอยี ง ข. แบบปีกนกคู่ ก. 0.35 มม. ข. 0.25 มม. ค. แบบกงึ่ แขนลาก ง. แบบแขนลาก ค. 0.15 มม. ง. 0.05 มม. ตอนท ี่ 3 จงตอบคำถามตอ่ ไปนีใ้ หไ้ ด้ใจความสมบูรณ์ 1. แหนบทำหนา้ ทอ่ี ะไรในการรองรบั หลงั แบบคานแข็งใชแ้ หนบคู่ 2. การรองรบั หลงั แบบอิสระใชแ้ ขนลากมีอิสระเปน็ อยา่ งไร 3. การรองรบั หลังแบบแขนลากพรอ้ มการบดิ ทำงานอย่างไร 4. จงเขียนลำดับการตรวจสภาพลกู ปนื ล้อหลังมา 4 ข้อ 5. จงสเกตช์ภาพการรองรบั หลังแบบคานแข็งใชแ้ หนบคพู่ รอ้ มล้อรถทั้งคู่
7 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 85 กระบแวลนะกกาารรกตลรไวกจบซงั อ่คมบั เลย้ี ว สาระการเรียนรู้ 7.1 หนา้ ทีร่ ะบบและกลไกบงั คบั เล้ียวรถยนต์ 7.2 แกนพวงมาลัยและกญุ แจลอ็ กพวงมาลัย 7.3 กา้ นตอ่ บงั คบั เลี้ยวและคนั ชักคันส่ง 7.4 การตรวจซอ่ มกลไกบงั คบั เลยี้ ว ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. อธิบายหน้าที่ระบบและกลไกบงั คับเลีย้ วรถยนต์ได้ 2. อธิบายแกนพวงมาลยั และกุญแจล็อกพวงมาลัยได้ 3. อธบิ ายกา้ นตอ่ บงั คบั เลย้ี วและคันชักคนั ส่งได้ 4. ปฏิบตั กิ ารตรวจซ่อมกลไกบังคบั เลย้ี วได้ 5. เพ่ือใหม้ ีกิจนสิ ยั ในการทำงานด้วยความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย ประณตี รอบคอบและตระหนักถึงความปลอดภัย
86 งานเคร่อื งลา่ งรถยนต์ 7 กระบวนการกลไกบงั คบั เลย้ี ว และการตรวจซอ่ ม บทนำ ระบบบังคับเลี้ยว (Steering System) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมทิศทางการเคลื่อนที่ของรถยนต์ ผขู้ บั ข่ีสามารถควบคมุ ทศิ ทางของลอ้ หนา้ รถได้ด้วยการบงั คบั พวงมาลัย (Steering Wheel) การบังคับเลี้ยว จะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขดังนี้ 1. แรงบังคับเลี้ยวที่เหมาะสม แรงบังคับพวงมาลัยต้องควบคุมได้อย่างสม่ำเสมอในขณะที่ขับรถไปในทางตรง และต้องแรงพอ ที่จะบังคับเลี้ยวได้ขณะที่รถเลี้ยวโค้ง 2. ความสามารถในการบังคับเลี้ยว เมื่อเลี้ยวรถเสร็จแล้ว ระบบบังคับเลี้ยวจำเป็นต้องส่งแรงไปบังคับให้พวงมาลัย หมุนกลับคืนสู่ ตำแหน่งตรง เมื่อปล่อยพวงมาลัย 3. เมื่อรถเกิดชนกัน ระบบพวงมาลยั ควรมีโครงสร้างแกนพวงมาลยั นิรภัย ช่วยลดการกระแทกรุนแรง ลดการบาดเจบ็ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ j ระบบบังคับเลี้ยวรถขับล้อหน้า พวงมาลยั แกนพวงมาลยั พวงมาลัย แกนพวงมาลัย กระปกุ พวงมาลยั แบบลกู ปืนหมนุ วน กระปกุ พวงมาลยั แบบเฟอื งบรรทดั คันสง่ รูปท่ี 7.1 สว่ นประกอบกลไกบังคับเลี้ยวรถขบั ลอ้ หน้าและรถขับล้อหลัง k ระบบบังคับเลี้ยวรถขับล้อหลัง
งานเครื่องล่างรถยนต์ 87 7.1 หนา้ ทร่ี ะบบและกลไกบงั คบั เลย้ี วรถยนต์ 7.1.1 หนา้ ทขี่ องระบบบงั คับเล้ียวรถยนต์ หน้าที่สำคัญของระบบบังคับเลี้ยวพร้อมด้วยระบบรองรับก็คือ ช่วยให้การขับขี่เกิดความสะดวก สบายในทุกสภาวะ จากย่านความเร็วต่ำไปถึงย่านความเร็วสูง ระบบส่งกำลังจะส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไป ขบั ลอ้ เพอื่ ให้รถยนต์เคล่อื นที่ไปขา้ งหนา้ ระบบบงั คับเลยี้ วจะบังคบั ทิศทางการเคลื่อนท่ขี องรถตามความ ต้องการ และระบบเบรกจะช่วยทำใหเ้ กดิ ความมัน่ ใจในเสถียรภาพการทรงตัว การชะลอความเร็วและการ หยุดรถ ความสำคัญของระบบบังคับเล้ียวมีดงั น้ี 1. ความคล่องตัวสูง เมื่อรถยนต์มีการหันเลี้ยวในที่แคบ ๆ หรือถนนที่คดเคี้ยว ระบบบังคับเลี้ยวต้องสามารถควบคุม 7 ทศิ ทางการเคลือ่ นท่ีของล้อหน้าได้อย่างง่ายและคลอ่ งตวั พวงมาลยั 2. ความเหมาะสมของการบงั คับเล้ียว ชุดสวติ ชไ์ ฟ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการบังคับ เลี้ยว ขณะรถจอดอยู่กับที่ต้องออกแรงหรือกำลัง ในการบังคับเลี้ยวมาก และลดลงเมื่อความเร็ว รถยนตเ์ พม่ิ ขน้ึ ดงั นน้ั เพอ่ื ใหบ้ รรลถุ งึ วตั ถปุ ระสงค ์ ในการบังคับเลี้ยว การบังคับเลี้ยวควรจะทำให ้ สะดวก คือเบาแรงเมื่อรถยนต์มีความเร็วต่ำและ หนักแรงเมื่อรถยนต์มีความเร็วสูง เฟอื งบังคบั เลีย้ ว 3. การคนื ตวั หลงั จากหนั เล้ยี ว ขอ้ ตอ่ บังคับเลีย้ ว รปู ที่ 7.2 พวงมาลยั และกลไกบงั คับเลย้ี ว ขณะรถยนต์กำลงั เล้ียว ผขู้ บั ขจ่ี ะต้องถือ พวงมาลัยไว้อยา่ งมั่นคง หลังจากการเลี้ยวอย่าง สมบูรณแ์ ล้ว พวงมาลัยต้องมแี รงหมุนคนื ตวั กลับ มาสู่แนวตรงไปข้างหน้าของล้อท้ังคู่ต้องเกิดขึ้น อย่างคล่องตัวเสมอ เมื่อผู้ขับขี่ผ่อนแรงคลาย พวงมาลยั หลงั การหนั เลย้ี วบงั คบั ทศิ ทางการเคลอ่ื น ท่ขี องรถยนต์ รูปที่ 7.3 พวงมาลัยคนื ตัวหลังจากหันเลย้ี ว 4. มแี รงกระทบจากสภาพถนนน้อยท่สี ดุ การสูญเสียการควบคุมพวงมาลัย และ การส่งผ่านกำลังงานในการบังคับเลี้ยว เนื่องจาก ผิวหน้าถนนที่ขรุขระ ไม่ควรเกิดในระบบบังคับ เลี้ยวของรถยนต์
ระยะ ่หางเพลา88 งานเคร่อื งล่างรถยนต์ 7.1.2 กลไกบังคับเล้ียวรถยนต์ แกนพวงมาลัย การบังคับเลี้ยวรถยนต์ใช้กลไกบังคับเลี้ยวแบบ กระปกุ พวงมาลยั 4 เหลย่ี มคางหม ู ซง่ึ เรยี กวา่ ระบบบงั คบั เลย้ี วแบบอคั เคอรม์ าน เป็นระบบที่ใช้ชื่อของผู้ออกแบบคือ รูดอล์ฟ อัคเคอร์มาน คนั สง่ คันชัก (Rudolf Ackerman) ที่เป็นวิศวกรยานยนตช์ าวเยอรมนั โดย แขนบงั คบั เลย้ี ว ได้พัฒนารูปแบบของการบังคับเลี้ยวแบบเก่าที่มุมเลี้ยว ของลอ้ หนา้ ทง้ั สองดา้ นทเ่ี ทา่ กนั โดยแกไ้ ขปรบั ปรงุ จดั เพม่ิ แกนหมุนเล้ียว กลไกของแขนบงั คบั เลย้ี ว คนั ชกั คนั สง่ และแกนเพลาหนา้ รูปที่ 7.4 กลไกบังคบั เลี้ยวรถยนต์ ให้มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับ 4 เหลี่ยมคางหมู ซึ่งจะทำ เล้ยี วมากสุด ให้มุมเลี้ยวสุดของล้อด้านนอกและมุมเลี้ยวล้อด้านในที่ แตกต่างกันประมาณ 23 กับ 20 องศา แกนหมนุ เลย้ี ว จดุ หมุน วธิ กี ารบังคบั เลี้ยวแบบ 4 เหล่ียมคางหมู การหมนุ เลี้ยวของเพลาล้อหน้าต้องมศี ูนยก์ ลางร่วมกนั ศูนย์กลางก ็ รปู ที่ 7.5 การหมนุ เลยี้ วของแกนบงั คบั เล้ียว คือจุดตัดท่ีจะต้องทับกันของเพลาล้อหน้าตัดกับเส้นศูนย์ กลางของเพลาหลัง ดังนั้นเพลาล้อหน้าที่จะหมุนเป็น แขนบังคับ ศูนย์กลางเดียวกันได้นั้น มุมล้อด้านในจะต้องมีมากกว่า เลีย้ ว มุมล้อด้านนอก คนั สง่ จะเห็นได้ว่า โครงสร้างของระบบเครื่องล่างมี ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันดังนี้คือ ระบบรองรับน้ำหนัก จดุ หมุน เป็นระบบที่ช่วยลดการสั่นสะเทือน ฉะนั้นถ้าระบบนี ้ จดุ หมุน ชำรุด จะส่งผลไปยังระบบบงั คับเลีย้ ว พวงมาลัยจะมีอาการ รปู ที่ 7.6 กลไกบังคับเลีย้ วแบบ 4 เหลยี่ มคางหมู สั่นสะท้าน ระบบล้อและยางจะรับภาระหนักขึ้นจากการ สั่นสะเทือนร่วมกับน้ำหนักทั้งคันรถ ระบบศูนย์ล้อหน้า ทำให้ศูนย์ล้อหน้าผิด ยางรถจะสึกเร็ว และระบบเบรกจะ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หน้าที่กลไกบังคับเลี้ยวมีดังนี้ 1) บังคับรถเลี้ยวง่ายและเบาแรง ไม่มีแรงกระทบ กระเทือนถึงพวงมาลัย 2) การทรงตัวของรถดี ทั้งขณะขับขี่ทางตรงและ ทางเลี้ยว 3) รถจะพยายามเคลอ่ื นทท่ี างตรงเมอ่ื ปลอ่ ยพวงมาลยั หลังเลี้ยวโค้งพวงมาลัยจะหมุนกลับเอง 4) ไม่ทำให้ยางสึกหรอผิดปกติ และทำให้ยางรถมี อายุใช้งานทนทาน
งานเคร่ืองล่างรถยนต์ 89 7.2 แกนพวงมาลยั และกุญแจลอ็ กพวงมาลยั ข้อตอ่ อ่อนแบบกากบาท 7.2.1 แกนพวงมาลัยธรรมดา กระปุกพวงมาลัย (Steering Column) พวงมาลยั กลไกบังคับเลี้ยวพวงมาลัยประกอบด้วย แกนพวงมาลัย ส่งแรงหมุนจากพวงมาลัยไปยัง แกนพวงมาลยั เฟอื งกระปุกพวงมาลัย ด้านปลายบนสดุ ของแกน เป็นเรียวและมีรอ่ งฟันเฟอื ง สำหรับสวมรูพวงมาลยั เหลก็ กันโคลง ไม่ให้หมุนฟรี แกนพวงมาลัยประกอบด้วยกลไก สลายแรงกระแทก เพื่อไม่ให้ไปกระทบกับผู้ขับขี ่ รปู ท่ี 7.7 แกนพวงมาลัยธรรมดารถขับล้อหนา้ ในขณะขบั ข่ี 7 ส่วนล่างสุดของแกนพวงมาลัยต่ออยู่กับ กระปุกพวงมาลัยดว้ ยขอ้ ตอ่ แบบกากบาท เพอ่ื ลด อาการส่ันสะเทือนจากสภาพถนนที่ส่งผ่านกระปุก พวงมาลยั มายงั พวงมาลยั ใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะเปน็ ได ้ ข้อตอ่ กากบาทยงั ทำใหห้ มุนสง่ กำลงั บังคับเล้ยี วเปน็ มมุ เพอื่ ออกแบบตดิ ตั้งพวงมาลัยให้เหมาะสมกับ การควบคุมพวงมาลยั 7.2.2 กลไกปรับความสูงพวงมาลัย แขนปรับความสงู การปรบั ตำแหนง่ ของพวงมาลยั สงู ขน้ึ หรอื ต่ำลง ตามความเหมาะสมของผู้ขับขี่ มีกลไกปรับ รูปท่ี 7.8 พวงมาลยั ปรบั ความสงู ต่ำได้ ความสูงเฉพาะ ปลอกเพลาเล่ือน เพลาเลื่อนและปลอกเพลาเลอ่ื นต่ออยู่ด้วย แกนพวงมาลัย กนั เลอ่ื นขน้ึ ลงไดภ้ ายในเสอ้ื แกนพวงมาลยั ทอ่ นบน เพลาเลอ่ื น เพลาเลอ่ื นมพี วงมาลยั สวมตดิ อยดู่ ว้ ย มรี อ่ งฟนั เฟอื ง สวมอยกู่ บั แกนพวงมาลยั ทอ่ นบน และสง่ กำลงั จาก การหมนุ พวงมาลยั ไปยงั แกนพวงมาลยั ทอ่ นบนได้ ปลอกเพลาเลื่อนจะเคลื่อนตัวไปพร้อม ๆ ส ก ร ูย ัน คนั ลอ็ ก กับเพลาเลื่อน สามารถเลื่อนไปทางด้านบนและ ดา้ นล่างได้ แต่ไม่สามารถหมุนได้ เพราะสลักยัน สลกั ยัน ของปลอกเพลาเลื่อนสวมอยู่ในร่องของเสื้อแกน ปลอกแกนตัวนอก พวงมาลัยท่อนบน รูปท่ี 7.9 สว่ นประกอบกลไกปรับความสูงพวงมาลยั
90 งานเครอ่ื งลา่ งรถยนต์ 7.2.3 แกนพวงมาลยั นิรภยั (Steering Column with Collapse) เมื่อรถยนต์ชนกัน กลไกนิรภัยจะป้องกันแกนพวงมาลัยกระแทกผู้ขับขี่ใน 2 ลักษณะ โดยการ หักในขณะที่เกิดการชนกัน (ด้วยแรงกระแทกเริ่มต้น) และลดแรงกระแทกที่เหลือที่จะเป็นอันตรายกับตัว ผู้ขบั ข่ี เมอ่ื มากระแทกกับพวงมาลยั อันเน่ืองจากแรงเฉอ่ื ยน้ัน แกนพวงมาลัยแบบนิรภยั จำแนกได้หลายแบบ แบบที่รู้จักกันดีคือ แบบแกนพวงมาลัยแบบยุบตัวได้ ดังต่อไปนี้ แกนพวงมาลัยทอ่ นบน 1. แกนพวงมาลยั นิรภยั แบบข้อต่อเย้อื งศนู ย ์ แกนพวงมาลยั ทอ่ นลา่ ง (Offset Coupling) แกนพวงมาลัยรน่ เขา้ หากนั 1) แกนพวงมาลยั ทอ่ นบนและทอ่ นลา่ งตอ่ กนั รูปที่ 7.10 แกนพวงมาลัยนริ ภยั แบบขอ้ ตอ่ เยอ้ื งศูนย์ ด้วยข้อต่อเยื้องศนู ยท์ ี่แข็งแรง แต่เลอื่ นได้ เมอื่ ได้รับแรงกระแทก 2) เมื่อได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง เช่น รถชนสิ่งกีดขวางอย่างรุนแรง แกน พวงมาลัยจะร่นเข้าหากัน โดยยังบังคับ เลย้ี วได้ เหล็กตาขา่ ยปกติ 2. แกนพวงมาลัยนิรภัยแบบตาข่าย เหลก็ ตาข่ายยบุ 1) ระหว่างแกนพวงมาลัยท่อนบนและท่อน รูปที่ 7.11 แกนพวงมาลัยนริ ภัยแบบเหลก็ ตาข่าย ล่าง เชื่อมต่อด้วยเหล็กตาข่ายพิเศษ เมื่อ ได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง เหล็ก ตาข่ายจะยุบได้แนวทางอัดตรง 2) เหลก็ ตาขา่ ยยบุ เมอ่ื รถชนสง่ิ กดี ขวางอยา่ ง รนุ แรง จนความยาวแกนพวงมาลยั ลดลง ลดความรุนแรงอุบัติเหตุลงได้ แผงหน ้าปดั คอเอยี งได้ สวติ ช์แตร ตัวยึด 3. แกนพวงมาลยั นริ ภัยแบบทอ่ ย่น แกนกลาง แกนพวงมาลัยนิรภัยแบบท่อย่น เป็นท่อ ที่ยุบตัวได้เมื่อได้รับแรงกระแทกด้วยแรงที่เกิน ปกติ ท่อย่นอาจคดไปด้านข้างได้ แต่ท่อย่นจะ ไม่ขาด โดยยังสามารถบังคับรถได้ ทอ่ ยน่ ท ่อห้มุ แกนพวงมาลยั ข้อตอ่ อ่อน รูปท่ี 7.12 แกนพวงมาลยั นริ ภยั แบบทอ่ ยน่
งานเครื่องล่างรถยนต์ 91 7.2.4 ก(Sลtไeกerลiอ็nกg พLวoงcมk)าลัยรถยนต ์ กดปุ่ม กลไกลอ็ กพวงมาลัยมีไว้เพอ่ื ปอ้ งกันขโมย กลไกน้ีจะล็อกแกนพวงมาลัยเข้ากับเส้ือแกน กดปุม่ j ลงแล้วหมนุ ลกู กญุ แจไป k เพอ่ื ล็อกพวงมาลัย พวงมาลัย เมื่อดึงลูกกุญแจออกจากสวิตช์กุญแจ จึงจะถอดลกู กุญแจได้ พวงมาลยั จะไมส่ ามารถหมนุ เลย้ี วได ้ ถงึ แมส้ ามารถ รูปที่ 7.13 กดป่มุ ก่อนถอดลูกกุญแจ ตดิ เครอ่ื งยนตไ์ ดโ้ ดยไมใ่ ชล้ กู กญุ แจ แตเ่ พอ่ื ปอ้ งกนั พวงมาลยั ล็อกในขณะขับข ี่ ปกตติ อ้ งออกแบบให้ ปุ่มปลดลอ็ ก ตัวยันลอ็ ก สวิตช์กุญแจมกี ลไกกันไมใ่ หท้ ำงาน คอื จะตอ้ งกด 7 ก่อนจึงจะสามารถหมุนลูกกุญแจจากตำแหน่ง แขนปลดลอ็ ก สวิตชจ์ ดุ ระเบิด ACC (Accessories Position) ไปยงั ตำแหน่งลอ็ กได ้ ระบบลอ็ กพวงมาลยั มอี ยดู่ ว้ ยกัน 2 แบบ ตามรปู ด้านซ้ายมือ คือแบบกดป่มุ (Button-push Type) และแบบกดลูกกุญแจ (Ignition Key-push Type) ทง้ั 2 แบบต้องกดปมุ่ หรอื กดลกู กญุ แจก่อนจึงจะ ถอดลกู กุญแจออกได้ กระบอกลกู กญุ แจ เส้ือแกนพวงมาลัย สลกั ล็อก ลกู เบย้ี ว แกนพวงมาลยั รปู ท่ี 7.14 กลไกลอ็ กพวงมาลยั แบบกดปุ่ม แกนพวงมาลัย สลกั ล็อก ลูกเบย้ี ว กดลกู กญุ แจ j ลงแล้วหมนุ ลูกกญุ แจ k เพ่ือล็อก ตวั กน้ั พวงมาลยั จึงจะถอดลูกกญุ แจได้ กระบอกกุญแจ แผน่ กญุ แจ สวติ ชจ์ ดุ ระเบดิ รปู ที่ 7.15 กดลกู กญุ แจกอ่ นถอดลกู กญุ แจ รปู ท่ี 7.16 กลไกล็อกพวงมาลยั แบบกดลูกกญุ แจ
92 งานเครื่องลา่ งรถยนต์ 7.3 กา้ นต่อบังคับเลย้ี วและคนั ชกั คนั ส่ง รูปที่ 7.17 การเลี้ยวดว้ ยคนั สง่ ท่อนเดียว 7.3.1 ประเภทก้านต่อบังคับเลี้ยว รปู ที่ 7.18 การเลี้ยวด้วยคันส่ง 2 ท่อน ก้านต่อบังคับเลี้ยว (Steering Linkages) ส่งแรงจาก โชค้ อัพพวงมาลัย กระปกุ พวงมาลยั ไปยังล้อด้วยคันสง่ จำแนกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท รปู ท่ี 7.19 การเลย้ี วด้วยคนั ส่ง 3 ทอ่ น ดังต่อไปนี้ รปู ท่ี 7.20 การตรวจสภาพโชค้ อพั พวงมาลัย 1. การเลี้ยวด้วยคันส่งท่อนเดียว ใช้กับรถที่คานหน้าเป็นคานแข็ง หัวคันส่งทั้ง 2 ด้าน ต่อเกลยี วกบั ขาลกู หมากคันส่งหมนุ เข้าออกปรบั ระยะโทอินได้ 2. ก(Cารenเลtี้eยrว ดA้วrยmค Sันtสee่งr 2in ทg)่อน หรือเลี้ยวตรงกลาง ใช้ระบบรองรับน้ำหนกั อสิ ระ แรงกระทบพวงมาลัย จากล้อขณะสปรงิ ยืดหดตัวน้อยลง ระยะโทอนิ เปลย่ี นแปลง ไดข้ ณะลอ้ เต้น 3. การเลี้ยวด้วยคันส่ง 3 ท่อน รถยนต์เกือบทุกคันที่มีระบบรองรับน้ำหนักแบบ อิสระ ใช้การหมุนเลี้ยวด้วยคันส่ง 3 ท่อน ระยะโทอินเกือบ ไม่เปลี่ยนแปลงขณะล้อเต้น ความยาวคันส่งใกล้เคียงกับความ ยาวแขนโยกลอ้ ลอ้ เตน้ จงึ ดงึ คนั สง่ นอ้ ย แรงกระทบพวงมาลยั จากล้อขณะสปริงยืดหดตัวเกิดขึ้นน้อยมาก แต่มีชิ้นส่วนมาก การสึกหรอทำให้ระยะโทอินเปลี่ยน 7.3.2 โช้คอัพพวงมาลัยรถยนต์ 1. หน้าที่โช้คอัพพวงมาลัยรถยนต์ โชค้ อพั พวงมาลยั เปน็ กระบอกชน้ั เดยี ว มคี วามกดดนั ในหอ้ งแกส๊ เลก็ นอ้ ย มคี วามหนว่ งทางกดและทางดงึ เทา่ กนั มหี นา้ ทด่ี งั ตอ่ ไปน้ี 1) ป้องกันอาการสั่นกระทบระบบบังคับเลี้ยว 2) ป้องกันไม่ให้ล้อแล่นสะบัด 3) ลดการสึกหรอระบบรองรับน้ำหนัก 2. การตรวจสภาพโช้คอัพพวงมาลัยรถยนต์ 1) ตรวจน้ำมันโช้คอัพรั่วซึม 2) ตรวจการทำงาน 3) ตรวจยางหูโช้คอัพและการยึดแน่น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235