๘๒ ภิกษุสงฆ์ตามจำนวนที่ต้องการ ให้ไปประกอบพิธีในงานมงคล หรืองานอวมงคล ซึ่งไต้กำหนดจะจัดทำขึ้น ณ ลถานที่ใดลถานที่ หนึ่ง เช่น นิมนต์พระภิกษุลงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์งานมงคล ลมรลที่บ้าน เป็นต้น การนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพทธมนต์ งานมงคลฑวไป - การนิมนต์พระลงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์พิธีทำบุญงาน มงคลทั่วไป นิยมนิมนต์พระภิกษุลงฆ์จำนวนอย่างน้อยไม่ดรกว่า ๕ รูป คือ พระลงฆ์บ้ญจวรรค ส่วนจำนวนพระภิกษุลงฆ์ข้างมาก ไม่มีกำหนดดามกำลังศรัทธาฃองเจ้าภาพ ยิ่งมีจำนวนมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มบุญกุศลมากขึ้นเท่านั้น นั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่ลับกำลังทรัพย์ และพอเหมาะแกํลถานที่ซึ่งจะอำนวยให้ เป็นประการสำคัญ การนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ งานมงคลสมรส - การนิมนต์พระลงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์พิธีทำบุญงาน มงคลลมรลนั้น แต่เดิมมานิยมนิมนต์พระภิกษุลงฆ์จำนวนคู่ คือ ๖ รูป ๘ รูป ๑๐ รูป ๑๒ รูป เป็นต้น เพื่อกำหนดแปงให้ ฝ่ายเจ้าปาวและฝ่ายเจ้าลาว เสือกนิมนต์พระภิกษุที่มีความรู้จัก มักต้นลับดระถูลของดนฝ่ายละเท่าๆ ลัน จะไต้ไม่ไต้เปรืยบและ ไม่เสืยเปรืยบลันและลัน www.kalyanamitra.org
๘๓ - แด่ในสมัยฟ้จจุบันนี้ พิธีทำ บุญงานมงคลทุกประเภท รวมทั้งพิธีทำบุญงานมงคลสมรสด้วย โดยมากมักนิยมนิมนต์ พระภิกษุสงฆใปเจริญพระพุทธมนต์จำนวน ๙ รูป บังนี้ เพราะ ชาวบ้านโดยมากถือกันว่า เลช ๙ นั้นการออกเสืยงใกล้เคียงกับ คำว่า \"ล้าว\" คีอ ล้าวหบ้า หมายถืง ความเจริญรุ่งเรือง และถยทนค เมทพพ เงพไเะทุ71ฃฑ 1ฅไ4 I J I ItlU พ, นพ เท II1บ นวหรคุณ ๙ ประการ อันเป็นสิริมงคลอย่างสูง และเทำกับ โลคุดดรธรรม ๙ ประการ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ซึ่งเป็นผลที่ยอดเยี่ยมสูงสุดในพระพุทธศาสนา การนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ งานทำบุญอายุ - การนิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์งานทำบุญอายุ นั้น นิยมนิมนต์พระภิกษุสงฆ์จำนวนเภินกว่าอายุของเจ้าภาพ ขึ้นไป ๑ รูป เช่น - ทำ บุญอายุ ๔๘ ปี นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๙๙ รูป - ทำ บุญอายุ ๖๐ ปี นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๖๑ รูป - ทำ บุญอายุ ๗๒ ปี นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๗๓ รูป - ทำ บุญอายุ ๘๔ ปี นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๘๕ รูป เป็นด้น www.kalyanamitra.org
๘๔ การนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ งานทำบญสะเดาะเคราะห์ <1 C# - การนิมนต์พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์งานทำบุญสะเดาะ เคราะห์นั้น นิยมนิมนต์พระสงฆ์จำนวนเท่ากำลังพระเคราะห์ ที่เข้าเสวยอายุ ดังนี้:- ๑. พระอาทิตย์ มีกำลัง ๖ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๖ รูป ๒. พระจันทร์ มีกำลัง ๑๕ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๑๕ รูป ๓. พระอังคาร มีกำลัง ๘ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๘ รูป ๔. พระพุธ มีกำลัง ๑๗ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๑๗ รูป ๕. พระพฤหัสบดี มีกำลัง ๑๙ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๑๙ รูป ๖.พระศุกร์ มีกำลัง ๒๑ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๒๑ รูป ๗. พระเสาร์ มีกำ ลัง ๑๐ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๑๐ รูป ๘. พระราห มีกำลัง ๑๒ เข้าเสวยอายุ นิยมนิมนต์ พระสงฆ์จำนวน ๑๒ รูป www.kalyanamitra.org
๘๔ การนิมนต์พระสงฆ์ประกอบพิธีงานอวมงคล - การนิมนต์พระสงฆ์ไปประกอบพิธีงานอวมงคลIกี่ยวเนื่อง กับศพนั้น นิยมนิมนต์พระสงฆ์มีจำนวน ดังนี้:- ๑. พิธีสวดพระอภิธรรม นิยมนิมนต์จำนวน ๔ รูป เป็น อย่างน้อย ๒. พิธีสวดหน้าไฟ เวลาเผาศพ นิยมนิมนต์จำนวน ๔ รูป เป็นอย่างน้อย ๓. พิธีสวดพระพุทธมนต์งานบำเพ็ญกุศลศพ เช่น งาน ทำ บุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เป็นต้น นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๕ รูป ๗ รูป ๑๐ รูป ๒๐ รูป หรือ ดามกำลังศรัทธา และ พอเหมาะแก่สถานที่นั้น ๆ ๔. พิธีสวดแจงงานฌาปนภิจศพ นิยมนิมนต์พระสงฆ์ จำ นวน ๒๐ รูป ๒๕ รูป ๕๐ รูป ๑๐๐ รูป ๕๐๐ รูป หรือ นิมนต์หมดทั้งวัด ๕. พิธีสวดมาติกาบังสุกุลศพ นิยมนิมนต์พระสงฆ์จำนวน เทำอายุฃองผู้ตายที่บำเพ็ญกุศลอุทิศให้นั้น เช่น ผู้ดายอายุ ๗๕ ปี ก็นิยมนิมนต์พระสงฆ์ ๗๕ รูป สวดมาติกาบังสุกุล เป็นต้น หรือจะนิมนต์จำนวนน้อยกว่าอายุผู้ดายก็ไต้ ดามกำลัง ศรัทธา ไม่มีฃ้อห้ามแด่ประการใด www.kalyanamitra.org
๘๖ วิธีนิมนต์พระสงฆ์ - การนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ไปประกอบพิธีในงานมงคลหรือ งานอวมงคลต่าง ๆ นัน นิยมปฎิบ้ตกันทั่วไปทั้งการนิมนต์ด้วย วาจา และการนิมนต์ด้วยการทำหนังสือฎีกานิมนต์เป็นลายลักษณ์ ลักษร - ถ้าฟ็นงานพิธีทำบุญส่วนตัว เช่น งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานทำบุญบ้านประจำปี เป็นด้น ก็นิยมนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ด้วย วาจา โดยไปติดต่อนิมนต์ด้วยตนเอง - ถ้าเป็นงานพิธีทำบุญเกยวกับทางราชการ เช่น งานทำบุญ พิธีวางสืลาฤกษ์สถานที่ราชการ งานทำบุญพิธีเป็ดอาคารสถานที่ ราชการ เป็นด้น ก็นิยมทำหนังสือฎีกานิมนต์เป็นลายลักษณ์- ลักษร เพื่อพระสงฆ์จะได้ทราบกำหนดเวลาที่แน่นอนและเพื่อ ป้องกันความหลงลืมอีกด้วย - การนิมนต์พระสงฆ์ไปประกอบพิธีในงานมงคลและงๅน อวมงคลทุกประเภทนั้น นิยมกราบเรืยนให้พระสงฆ์ทราบโดยย่อ ตังนี้:- ๑. พิธีทำบุญปรารภงานอะไร? ๒. กำหนดงานวันที่ เดือน พ,ศ. ตรงกับวันขึ้น-แรม เดือนอะไร? ๓. สถานที่ไหน? ๔. ด้องการพระสงฆ์จำนวนเท่าไร? www.kalyanamitra.org
๘๗ ๕. จะจัดรถมารับ หรือ จะให้พระสงฆ์ไปเอง? ๖. จะจัดรถมารับ เวลาเท่าไร? ฯลฯ ฃ้อที่ควรระวังเกี่ยวกับการนิมนต์พระ - การนิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์แล้วฉันเช้า หรือฉันเพลนั้น มีพระวินัยพุทธบัญญ้ตเป็นธรรมเนิยมที่ถือปฎิบ้ด กันสิบมาว่า ทายกนิมนต์ออกชื่อโกชนะ เช่น นิมนต์ฉันขนมเบื้อง หรือขนมจีน เป็นต้น พระสงฆ์ไม่รับนิมนต์ ล้ารับนิมนต์แล้วฉัน เป็นอาบ้ตปาจีดตีย์ทุกคำกลืน - ทายกผู้เช้าใจพระวินัยพุทธนัญฤ5'ติ จีงนิยมนิมนต์แต่ เพียงว่า นิมนต์รับบิณฑบาต หรือรับภิกษา หรือนิมนต์ฉันเช้า หรือฉันเพล ดังบื้ พระสงฆ์จีงรับนิมนต์ไต้ ไม่มีโทษทางพระวินัย www.kalyanamitra.org
๘๘ ตัวอยางฎีกานิมนต์พระสงฆ์ ฎีกาอาราธนา ขออาราธนา วัด 1จริญพระพุทธมนต์ (สวดพระพุทธมนต์ ใช้เฉพาะงานศพ) แล้ว ฉันกัดดาหารเช้า (หรือเพล) ในงาน วันที่ เดือน พ.ศ เวลา น. ณ บ้าน ตรงกับวันขึ้น แรม ดร เดือน ตำ บล (เลขที่ หรือ หมู่ที่) ถนน อำ เภอ จังหวัด ลงนาม ผู้อาราธนา / /I www.kalyanamitra.org
๘๙ ระเบียบปฎิบัตการใช้ด้ายสายสิญจน์ ความหมายของด้ายสายสิญจน์ - คำ ว่า \"สายสิญจน์\" หรือ \"ด้ายสายสิญจน์\" หมายถึง เสันด้ายที่นำมาใช้ในพิธีรดนํ้าเพื่อความเป็นสิริมงคลในงานพิธี มงคลด่าง ๆ - คำ ว่า \"สิญจน์\" แปลว่า การรดนํ้า การเทนํ้า การราดนํ้า การสาดนํ้า ได้แก่ การทำพิธีรดนํ้าที่ประกอบด้วยการร่ายเวท- มนตร์คาถา เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความนิยมเชื่อถึอฃองลัทธิ ศาสนาพราหมณ์ - ด้ายสายสิญจน์นี้ นิยมใช้ด้ายดิบ นำ มาจับทบเช้าตาม แบบของการจับด้ายสายสิญจน์ เมื่อจับครั้งแรกสำเร็จเป็นด้าย สายสิญจน์ ๓ เสิน นิยมใช้วงในการทำพิธีเนิกโลงสำหรับใส่ศพ ครั้นจับอีกครั้งสำเร็จเป็นด้านสายสิญจน์ ๙ เสัน นิยมใช้ในงาน พิธีมงคลทั้งหลายทั่วไป - การใช้ด้ายสายสิญจน์ในงานพิธีมงคลด่างๆ นั้น แม้จะ เป็นความนิยมเชื่อถึอตามลัทธิศาสนาพราหมณ์ก็ดาม แด่ในทาง พระพุทธศาสนาก็ไม่ทรงห้าม คงอนุโลมคล้อยดามประเพณีนิยม ของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายในยุคนั้นๆ ซึ่งเคยเป็นผู้เคารพ นํบถึอลัทธิศาสนาพราหมณ์มาก่อน - ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ขัดด่อโลก คือ ไม่ขัดขวางความนิยมเชื่อถือ ของชาวโลกที่ประพฤดิปฎิใ3ดสืบด่อกันมาหลายชั่วอายุคน ทั้งความ www.kalyanamitra.org
Ho นิยม1ชื่อถือแบบนี้ก็ไม่สิงกับเป็นการแนธรรม คือ ไม่ใช่ความ เชื่อสิอที่ขัดแย้งต่อหลักสัจธรรมในทางพระพุทธศาสนาโดยตรง เป็นเพียงแต่ความเชื่อสิอเช่นนี้ ยังห่างจากหลักสัจธรรมเท่านั้น - ความจริง ความนิยมเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องพีธีกรรมต่างๆ เช่น พีธีเริยกขวัญ พิธีเชิญขวัญ พิธีทำขวัญ พิธีโกนจุก พิธี ทำขวัญนาค เป็นต้น ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายนิยมประพฤติ ปฏิบัติจัดทำสืบต่อกันมาแต่โบราณกาลจนกระทั้งสิงฟ้จจุบันนี้ ล้วนเป็นเรื่องของลัทธีศาสนาพราหมณ์ทั้งสิน ไม่ใช่คำสอนทาง พระพุทธศาสนา ไม่ใช่เนี้อหาสาระ ไม่ใช่แก่นไม่ใช่สัจธรรม จัดไต้ว่าเป็นเพียงเปลือก เป็นเพียงกระพี้ของพระพุทธศาสนา แม้โดยแท้ - สิงกระนั้น พิธีกรรมต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย นิยมเชื่อถือเหล่านั้น ก็นบไต้ว่านิความสำคัญไม่ม้อย และนิความ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพุทธศาสนิกชนทั้งหลายผู้ที่นิศรัทธายังไม่ ทั้นคง ยังง่อนแง่นคลอนแคลน ยังนิกำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จึงจำเป็นจะต้องอาคัยเกาะพิธีริตองต่างๆ ไปพลางๆ ก่อน - อุปมาเหนิอนบรรตาบุคคลทั้งหลายที่เดินขึ้นบันไดอาคาร บ้านเริอน บุคคลที่นิกำลังกายอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ไต้แก่ เด็ก และคนทุพพลภาพ หริอคนชราทุพพลภาพ ย่อมนิความจำเป็น จะต้องอาคัยเกาะราวบันไดขึ้นลง ส่วนบุคคลที่นิร่างกายแข็งแรง ก็ไม่นิความจำเป็นจะต้องอาคัยเกาะราวบันได ขึ้นลงไต้อย่าง สะดวกสบาย ฉันใด www.kalyanamitra.org
๙๑ - ในบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายผู้นิยมเชื่อถือพิธีรีตอง ต่างๆ ก็ฉันทั้นเหมือนกัน พุทธศาสนิกชนผู้ได้รับการสืกษาอบรม ในทางพระพุทธศาสนายังน้อย ยังเช้าไม่ถึงสัจธรรมชื่อว่ายังเป็น ผู้มืกำ สังใจไม่เช้มแข็ง ยังมืจิคใจไม่มั่นคง จึงจำเป็นจะต้องอาสัย เกาะพิธีรีตองต่างๆ ไปพลางๆ ก่อน ส่วนพุทธศาสนิกชนผู้ที่ ได้รับการสิกษาอบรมจนมืความ!เช้าถึงสัจธรรมแล้ว ก็ไม่มืความ จำเป็นจะต้องอาสัยเกาะพิธีรีตองเหล่านั้นอีกต่อไป ฉันนั้น ประโยชน์ของพิธีกรรมต่าง ๆ - ธรรมตาด้นไน้ที่มืแก่นทั้งหลาย ใช่ว่าจะมืแก่นมาแต่เริ่ม เกิตฃี้นเป็นลำด้น ก็หามิได้ แก่นย่อมเกิตมืชึ้นภายหลังทั้งสิน และก่อนที่จะมืแก่นเกิตขึ้นภายไนลำด้นได้ก็จำเป็นจะต้องอาลัย เปลือก อาลัยกระพี้ ห่อทุ้มป็องกันอยู่ภายนอก ล้าด้นไม้ ปราศจากเปลือกและกระพี้เสืยแล้ว จะมืแก่นเกิดขึ้นไม่ได้เลย ฉันใด - สัจธรรมทางพระพุทธศาสนา ก็ฉันนั้นเหมือนกัน กล่าวคือ พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนด้นไม้มืแก่น สัจธรรมเปรียบ เสมือนแก่นชองด้นไม้ พิธีรีตองต่าง ๆ ซึ่งเนื่องมาจากลัทธิศาสนา พราหมณ์เปรียบเสมือนเปลือกและกระพี้ชองด้นไม้ - ล้าพุทธศาสนิกชนทั้งหลายผู้มืจิตใจยังไม่เช้มแข็งพอ ไม่ อาลัยเกาะพิธีรีตองเป็นเคริ่องอีตเหนื่ยวจิตใจให้หันเช้าหาพระ- พทธศาสนาแล้ว ก็ไม่มืโอกาสจะได้รับการสิกษาอบรมทางพระ- www.kalyanamitra.org
๙๒ พุทธศาสนา และไม่มีโอกาสจะประพฤติปฎิบ้ตตนเข้าถึงสัจธรรม ทางพระพุทธศาสนาได้เลย ฉันนั้น ความนิยมในการใช้ด้ายสายสิญจน์ - การไข้ด้ายสายสิญจน์ เกี่ยวกับพิธีบำเพ็ญกุศลทางพระ- พุทธศาสนานั้น นิยมไข้ทั้งงานพิธีมงคลและงานพิธีอวมงคล - ในงานพิธีอวมงคลเกี่ยวกับศพ ไม่นิยมไข้ด้ายสายสิญจน์ วงรอบอาคารบ้านเรือน แต่นิยมไข้เป็นสายโยงจากศพมาถึงอาสน์- สงฆ์ เพื่อไห้พระสงฆ์พิจารณาบ้งสุกุลเท่านั้น - ส่วนไนงานพิธีมงคลต่างๆ เช่น งานพิธีท่าบุญขึ้นบ้านไหม่ งานพิธีทำบุญบ้านเรือนประจำปี เป็นด้น นิยมไข้ด้ายสายสิญจน์ วงรอบตัวอาคารบ้านเรือนด้วย โดยมีความนิยมไนการวงด้าย- สายสิญจน์ ตังนี้ะ- - ถ้าอาคารบ้านเรือน มีรั้วหรือกำแพงถ้อม นิยมวงด้ายสาย สิญจน์รอบรั้วหรือกำแพงรอบบริเวณทั้งหมด - ถ้าบ้านเรือนไม่มีรั้ว หรือกำแพงล้อม หรือมีแต่บริเวณ กว้างขวาง หรือมีอาคารสิงปลูกสร้างที่ไม่เกี่ยวกับพิธีมงคล อยู่ไนบริเวณนั้นด้วย นิยมวงสายสิญจน์เฉพาะรอบตัวอาคาร บ้านเรือนที่ประกอบพิธีมงคลเท่านั้นก็พอ - ถ้างานพิธีมงคลนั้น ไม่เกี่ยวกับพิธีท่าบุญอาคารบ้านเรือน โดยตรง เช่น งานมงคลสมรส เป็นด้น ทั้งเจ้าภาพก็ไม่ประสงค์ www.kalyanamitra.org
Sen จะวงด้ายสายสิญจน์รอบตัวอาคารบ้านเรือนด้วย ก็นิยมวงด้าย สายสิญจน์เฉพาะรอบฐานพระพุทธรูปที่โต๊ะหม่บุชาในบ้องประกอบ พิธีแล้วโยงมาวงรอบภาชนะนํ้ามนต์ วางกลุ่มด้ายสายสิญจน์ใส่พาน ไว้ด้านซ้ายของโต๊ะหมู่บชา ด้านขวาของอาสน์สงฆ์ เพียงเท่านี้ กได การวงด้ายสายสิญจน์รอบบ้านเรือน - การวงด้ายสายสิญจน์รอบอาคารบ้านเรือนนั้น นิยมใช้ ในพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ พิธีทำบุญบ้านประจำปี และพิธีทำบุญ บำบัดความเสนียดจัญไร เปีนด้น - การวงด้ายสายสิญจน์ในพิธีทำบุญตังกส่าวนี้ นิยมวงไว้ ดลอดไปโดยไม่ด้องเก็บ เพราะถือกันว่า ด้ายสายสิญจน์นั้น เป็นด้ายพระปรืดรสำหรับเป็นเครื่องด้มครองป้องกันกัยพิบัติ อุบัทวันดรายทุกประการที่จะพิงเกิดนี - ส่วนพิธีทำบุญงานมงคลอื่นๆ เช่น พิธีทำบุญงานมงคล สมรส เป็นด้น นิยมวงด้ายสายสิญจน์เฉพาะบริเวณบ้องพิธีนั้นๆ หรือเฉพาะโยงจากพระพุทธรูปมาใบ้พระสงฆ์ถือเจริญพระพุทธมนต์ เพิยงเท่านั้นก็พอ วิธีการวงด้ายสายสิญจน์ - การวงด้ายสายสิญจน์รอบอาคารบ้านเรือน หรือรอบ บริเวณงานนั้น นิยมเริ่มวงด้ายสายสิญจน์ตั้งแต่โต๊ะหมู่บูชา www.kalyanamitra.org
Hd พระพุทธรูปที่ห้องประกอบพิธีนั้นเป็นด้นไป แต่ยังไม่ด้องวงรอบ พระพุทธรูปนั้น เมื่อวงรอบอาคารบ้านเรือน หรือวงรอบบริเวณ งานแล้ว จึงนำมาวงรอบพระพุทธรูปภายหลัง - การวงด้ายสายสิญจน์นั้น นิยมวงเวียนทักษิณาวัฎ คือ เวียนขวาไปตามลำดับ และยกขึ้นไห้อยู่ที่สูงมากที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพื่อป้องกันนิให้ผู้ไดข้ามกรายหรือทำขาด - เมื่อวงรอบดัวอาคารบ้านเรือน หรือวงรอบบริเวณบ้าน แล้วก็นำมาวงรอบฐานพระพุทธรูปโดยวงเวียนขวา ๑ รอบ หรือ ๓ รอบ แล้วนำมาวงเวียนขวารอบภาชนะนั้ามนต์ ๑ รอบ หรือ ๓ รอบ แล้วนำกลุ่มด้ายลายสิญจน์ที่เหลือใส่พานตั้งไว้ด้านซ้าย ของโต๊ะหม่บูชาพระพุทธรูป - กลุ่มด้ายลายสิญจน์ที่เหลือนั้น นิยมนิขนาดความยาว เพิยงพอสำหรับพระลงฆ์จำนวน ๙ รูป ลือเจริญพระพุทธมนต์ ได้ละดวก การใช้ด้ายสายสิญจน์ทอดบังสูกุล - งานทำบุญบำเพ็ญกุศลศพทุกชนิด ไม่นิยมวงด้ายลายสิญจน์ รอบอาคารบ้านเรือน รอบบริเวณงาน หรือโยงจากพระพุทธรูป มาไห้พระลงฆ์ลือลวดพระพุทธมนต์ - แด'นิยมไข้ด้ายลายสิญจน์โยงจากศพ จากโกศอ้ฐิจากรูป ของผู้ดาย หรือจากรายนามของผู้ดาย มาทอดให้พระลงฆพิจารณา บังสุกุลเท่านั้น www.kalyanamitra.org
ร^ - ในพิธีทำบุญงานมงคล เช่น งานทำบุญบ้านประจำปี เป็นต้น มักนิยมอัญเชิญโกศอ้เท)องบรรพบุรุษมาตั้งร่วมบำเพ็ญ กุศลต้วย เมื่อจะนิมนต์พระสงฆ์ให้พิจารณาบังสุกุล นิยมใช้ ต้ายสายสิญจน์อีกกลุ่มหนึ่งด่างหาก จากต้ายสายสิญจน์กลุ่มที่ พระสงฆ์ถือเจริญพระพุทธมนต์ - ถ้ามิไต้เตริยมต้ายสายสิญจน์กลุ่มอื่นไว้ นิยมเด็ดต้าย- สายสิญจน์กลุ่มนั้นให้ท)าดออกจากพระพุทธรูปเสืยก่อน แล้วจีง นำ ไปเชื่อมโยงกับโกศอ้เให้พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุล การใช้ด้ายสายสิญจน์ทำมงคล - การทำมงคล เช่น มงคลคู่สมรส เป็นต้น นิยมใช้ ต้ายดิบที่อังมิไต้ทำเป็นด้ายสายสิญจน์ ชึ่งมิจำหน่ายในห้องตลาด โดยซื้อด้ายดิบเป็นไจๆ (บ้วนๆ) ไปถวายให้พระเถระรูปใด รูปหนึ่งซึ่งเป็นที่เคารพมับถือของดระกุลช่วยทำพิธีปลุกเสกทำเป็น มงคลสำหรับคู่ปาวสาว - เพื่อให้พระเถระท่านไต้มีเวลาทำพิธีปลุกเสกด้วยพระ- พุทธมนต์ให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่คู่ปาวสาวมากยิ่งๆ ขึ้น จีง นิยมนำไปถวายทำนก่อนถืงวันงานกัก ๒ วัน หริอ ๓ วัน เป็น อย่างน้อย www.kalyanamitra.org
๙๖ ระเบียบปฏิบตคารมอบเทียนชนวนแค่ผู้เหญ' การเตรืยมลุปกรณ์เครื่องใช้ - ผู้เป็นพิธีกรทำหน้าที่มอบเทียนชนวนแก่ผู้ใหญ่ผู้เป็น ประทานพิธีงานนั้นๆ เบื้องด้น จะด้องเตรียมจัดหาธุปกรณ เครื่องใช้ไว้ให้พร้อม คือะ- ๑. เชิงเทียนขนาดกลาง ๑ ที่(ควรเป็นเชิงเทียนทองเหลือง เพราะติดเทียนได้มั่นคงดี) ๒. เทียนฃี้ผึ้ง ขนาดใหญ่พอสมควร ๑ เล่ม (ควรหา เทียนที่มีไสืใหญ่ๆ เพื่อไฟไม่ดับง่าย) ๓. นั้ามันยาง หรีอนั้ามันก๊าด หรีอนั้ามันเบนชิน พร้อม ทั้งสำลืสำหรับใช้เป็นชนวนติดไว้ที่ธูปและเทียนที่บูชา เพื่อสะดวก แก่การจุดไฟติดได้เร็ว วิธีการถือเชิงเทียนชนวน - การลือเชิงเทียนชนวนมอบให้แก่ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นประธานพิธี งานนั้นๆ นิยมลือด้วยมือขวา โดยหงายฝ่ามือ นิ้วมือทั้ง ๔ นิ้ว รองรับเชิงเทียน หัวแม่มือจับอยู่เบื้องบนของเชิงเทียน - ไม่นิยมจับกึ่งกลางเชิงเทียน เพราะจะทำให้ผู้ไหญ่รับ เชิงเทียนชนวนไม่สะดวก หรีอทำให้ผู้!หญ่ด้องเลืยภูมิ เพราะจับ เชิงเทียนชนวนภายใด้มือของพิธีกรผู้สํงให้ แสดงว่าไม่ร้ระเบียบ www.kalyanamitra.org
^๗ วิธีการมอบเชิงเทียนชนวน - เมื่อถงเวลาดามกำหนดการแล้ว พิธีกรพึงจุดเทียนชนวน ถือด้วยมือขวา (มือซ้ายควรถือไม้ขีดไฟติดมือไปด้วย เมื่อเทียน ชนวนดับ จะได้จุดได้ทันท่วงที) เตินเข้าไปหาท่านผู้เป็นประธาน พิธี ยืนดรงโด้งคำนับท่าน หรือ - เมื่อพิธีกรเริ่มจุดเทียนชนวน ท่านผู้เป็นประธานพิธีเห็น แล้ว ลุกจากที่นั่งเตินไปที่โต๊ะหมู่บูชาพระรัดนดรัยเอง พิธีกร พึงเดินดามหลังท่านไป โดยเดินดามไปทางด้านซ้ายมือของท่าน - ประธานพิธีหยุดยืนที่ข้างหน้าที่บูชา พิธีกรพึงนั่งชันเข่า ล้าประธานพิธีนั่งคุกเข่า พิธีกรพึงนั่งคุกเข่าทางด้านซ้ายมือของท่าน ยื่นมือขวาส่งเชิงเทียนชนวนมอบให้ท่าน ส่วนมือซ้ายห้อยอยู่ข้างดัว - เมื่อมอบเชิงเทียนชนวนให้ท่านประธานพิธีแล้วนิยมถอย หลังออกมาให้ห่างจากท่านพอสมควร เพี่อไม่ให้ขัดขวางการ ถ่ายรูปของช่างภาพ โดยถอยห่างออกมานั่งชันเข่า หรือนังคุกเข่า ดามควรแก่กรณี พร้อมกับคอยลังเกดดู ล้าเทียนชนวนดับ พึงรืบเข้าไปจุดได้ทันที วิธีการรบเชิงเทียนชนวนจากผู้!หญ่ - เมื่อผู้ใหญ่จุดเครื่องลักการบูชาพระรัดนดรัยเสร็จแล้ว พิธีกรพึงเข้าไปทางด้านซ้ายมือของท่าน ล้าท่านยืนจุดพิธีกรพึง นั่งชันเข่ารับ ล้าท่านนั่งคุกเข่าจุด พิธีกรพึงนั่งคุกเข่ารับเชิง เทียนชนวน www.kalyanamitra.org
๙๘ - การรับเชิงเทียนชนวนจากผู้ใหญ่นั้น นิยมยื่นมือขวา แบมือเข้าไปรองรับเชิงเทียนชนวนจากท่าน เมื่อรับแล้วนิยม ถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อย แล้วเดินกลับไปได้ ข้อควรสังวรระวัง - อย่าจับเชิงเทียนชนวนเหนือมือท่านผู้ใหญ่ทท่านจับอยู่ ถือว่าเป็นการแสดงความไม่เคารพท่าน ทั้งเป็นการแสดงว่าตน เป็นคนไม่ร้ระเบียบอีกด้วย - ขณะส่งเชิงเทียนชนวนมอบให้ท่านผู้ใหญ่ อย่าถือ ถืงกลางเชิงเทียนส่งมอบให้ท่าน เพราะจะท่าให้ท่านรับเชิงเทียน ชนวนไม่สะดวก - ด้องเตรียมไม้ขีดไฟ เป็นด้น ดิดมือไปด้วย เพื่อเตรียม พร้อมที่จะจุดได้ทันทีเมื่อไฟเทียนชนวนดับ - ด้องกำหนดดทีศทางของลมที่พัดมา โดยเฉพาะคือ ทีศทางลมที่เกิดจากพัดลม จะทำให้ไฟเทียนชนวนดับ หรือจะ ทำ ให้การจุดไฟเครื่องลักการบูชาไม่ดิด หรือจุดไฟดิดได้ยาก - ล้าเป็นงานมงคลที่มืพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ถืงบทมงคลสูตรว่า (อเสวนา จ พาลานํ) พิธีกรจะด้องจุดเทียนชนวนเข้าไปเชิญท่านผู้เป็นประราน พิธี ให้ท่านมาจุดเทียนนำมนต์อีกครังหนี่ง โดยมืวิธีปฎิบ้ต เช่นเดียวลับที่กล่าวมาแล้ว www.kalyanamitra.org
๙๙ ระเบียบปฎิบ้ตการจดเครื่องสักการบูชา พิธีทำ บุญงานมงคล - เมื่อถึงเวลาดามกำหนดการแล้ว พิธีกรถือเทียนชนวน เข้ามาเชิญไปจุดเครื่องสักการบชาพระรัตนตรัย ผู้เป็นประธานพิธี หรือเจ้าภาพงาน นิยมปฎิป้ตดังนี้ะ- - ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ ล้าโต๊ะหมู่ บูชาพระตั้งอยู่ที่สูง นิยมยืน ล้าโต๊ะหมู่บูชาพระตั้งอยู่ที่ไมํสูงนัก พอนั่งคุกเข่าจุดถึง ก็นิยมนั่งคุกเข่าลงแล้วรับเชิงเทียนชนวนจาก พิธีกร แด่ไม่นิยมรับเชิงเทียนชนวนจากพิธีกรมาก่อนที่ยังไม่ถึง หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ - นิยมจุดเทียนเล่มขวาของพระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเทียน เล่มซ้ายด่อไป ล้ามีเทียนตั้งอยู่หลายคู่ นิยมจุดเทียนคู่บนก่อน แล้วจุดเทียนคู่ล่างๆ ลงมาดามลำดับ จนครบทุกคู่แล้วจึงจุดธูป - ล้ามีสายชนวนเชื่อมโยงจากธูปไปยังเทียนทุกคู่แล้วก็นิยม จุดธูปเป็นอันดับแรก ล้าธูปนิได้จุ่มนํ้านันเดรืยมไว้ นิยมถอนธูป มาจุดกับเทียนชนวน ล้าธูปจุ่มนํ้ามันเดรืยมไว้แล้ว ก็จุดโดย ไม่ด้องถอนมาจุดกับเทียนชนวน - เมื่อจุดธูปเสร็จแล้ว ก็ล่งเทียนชนวนคืนใน้แก่พิธีกร แล้ว ป'กธูปไว้ดามเดิม - วิธีปกธูปนั้น นิยมปกเรืยงหนึ่งเป็นแถวเดียวกัน โดยเว้น ระยะห่างเท่าๆ กัน ให้ธูปแด่ละดอกสูงดรพอๆ กัน หรือ www.kalyanamitra.org
๑๐๐ - นิยมฟ้'กธูปเป็นสามเสัาก็ได้ และนิยมฟ้'กธูปไว้กึ่งกลาง กระถางธูป โดยนิกธูปทุกดอกให้ตังตรง อันเป็นการแสดงสืงนิสัย อัธยาสัยของผู้นั้นว่าเป็นคนมีระเบียบเรียบร้อย เป็นคนซื่อตรง ไม่ใช่คนมักง่าย คำ บูชาพระรัตนตรย - เมื่อนิกธูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว นิยมตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย โตยนั้งคุกเข่าประณมมีอ กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย (เพียงแด่ นิกในใจ) ว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาลัมพุท สัสสะฯ (กล่าว ๓ หน) อิมินา สัคคา!รนะ พุทสัง อะภิปูชะยามิ อิมินา สัคคา!รนะ สัมมัง อะภิปูชะยามิ อิมินา สัคคา!รนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิฯ (ข้าพเจ้าขอนอบห้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมา- สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น) (ข้าพเจ้า ขอบูชาอย่างยิ่ง ซื่งพระพุทธเจ้า ด้วยเครื่อง สักการะนี้) (ข้าพเจ้า ขอบูชาอย่างยิ่ง ซื่งพระธรรม ด้วยเครื่อง สักการะนี้) (ข้าพเจ้า ขอบูชาอย่างยิ่ง ซื่งพระสงฆ์ ด้วยเครื่อง สักการะนี้) www.kalyanamitra.org
๑๐๑ วิธีกราบพระร้ตนตรัย - เมื่อกล่าวคำบูชาพระรัดนตรัยจบแล้ว นิยมกราบพระ- รัตนตรัยแบบเบญจางคประดิษฐ์ (คือ การดังหน้าผากฝ่ามือ ทั้งสองและเช่าทั้งสอง ลงจรตพื้น) ๓ ครัง และในชณะที่ หมอบกราบพระรัตนตรัยแต่ละครั้งนั้น นิยมระลึกถึงพระรัตน- ตรัย ดังนี้ะ- คำ ระลึกถึงพระรัตนตรัยขณะกราบ กราบครั้งที่ ๑ ระลึกว่า \"ทุทโธ เม นาโถ\" พระทุทธเจ้า เป็นที่พึ่ง ของข้าพเจ้า กราบครั้งที่ ๒ ระลึกว่า \"ธัมโม เม นาโถ\" พระธรรม เป็นที่พึ่ง ของข้าพเจ้า กราบครั้งที่ ๓ ระลึกว่า \"สังโฆ เม นาโถ\" พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ของข้าพเจ้า - กริยาอาการที่กราบนั้น นิยมไม่เร็วหรือข้าเกินไป และ นิยมกราบให้ลูกต้องแบบเบญจางคประดิษฐ์จริงๆ ทุกครังที่กราบ พระรัตนตรัย ทั้งนี้ เพึ่อเป็นทิฎฐานุคดิแก่อนุชนรุ่นหลัง จะไต้ ถือเป็นแบบอย่างปฎบ้ตตามไต้ลูกต้องสืบไป การชุดเทียนนํ้ามนต์ - ผู้เป็นประธานพิธี หรือผู้เป็นเจ้าภาพงานทำบุญนั้นนิยม รอคอยเวลาจุตเทียนนํ้ามนต์ถวายพระสงฆ์อีกครั้งหนึ่ง แม้จะมื ธุระอย่างใด ก็ควรงดไว้ก่อน www.kalyanamitra.org
ools) - เมอพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ถึงบทมงคลสูตรว่า (อเสวนา จ พาลานํ-) พิธีกรจุดเทียนชนวนเข้าไปเชิญประธาน พิธี หรือเข้าภาพงาน ไปจุดเทียนนํ้ามนต์ซึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าชอง พระเถระผู้เป็นประธานสงฆ์ - เมื่อจะจุดเทียนนำมนต์นัน นิยมหยดนํ้าดาเทียนชนวน ลงที่ไข้ชองเทียนนํ้ามนต์นั้นก่อน ซึ่งจะทำให้การจุดไฟติดได้ง่าย และไข้เทียนนั้ามนต์นั้นจะไม่ถูกไฟไหม้หมดไปเถึยก่อน - เมื่อจุดเทียนนั้ามนต์แล้ว ก็ส่งเทียนชนวนคืนให้แก่พิธีกร แล้วยกภาชนะนั้ามนต์ถวายแก่พระเถระประธานสงฆ์นั้น - เมื่อยกภาชนะนั้ามนต์ถวายแล้ว นิยมยกมือไหว้พระเถระ ประธานสงฆ์ แล้วกลับไปนั่งที่เติม - ต่อจากนั้น ถ้ามืธุรกิจจำเป็น ก็พอปถึกตัวไปได้บ้าง แต่ดามความนิยมแล้ว ผู้เป็นประธานพิธี หรือเข้าภาพงานนั้น ไม่นิยมปถึกตัวไปไหนในชณะที่พระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทฐมมต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ประธานพิธี หรือแก่เข้าภาพนั้น นิยม นั่งอยู่เป็นประธานงานจนกว่าจะเสร็จพิธีจึงจะเป็นการถูกด้องและ เหมาะสมทุกประการ พิธีบำ เพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม - ผู้เป็นประธานพิธี หรือเป็นเข้าภาพในงานบำเพ็ญกุศล สวดพระอภิธรรมนั้น นิยมปฎิบ้ดในการจุดเครื่องลักการบูชาตาม ลำตับ ตังนี้:- www.kalyanamitra.org
๑๐๓ - จุดIครองสักการบูชาที่โต๊ะหม่บูชาพระพุทธรูปก่อน แล้ว ส่งเทียนชนวนคืนให้แก่พิธีกร และนั่งคุกเข่าประณมมือ กล่าวคำ บูชาพระรัดนตรัยดังกล่าวมาแล้ว กราบพระรัดนตรัย ๓ ครัง - เดินไปจุดเครื่องสักการบูชาพระธรรม ที่โต๊ะบูชาพระธรรม ช้างหน้าอาสน์สงฆ์ พระสงฆ์สวดพระอภิธรรมแล้วล่งเทียนชนวน คืนให้แก่พิธีกร น้อมดัวลงยกมือไหว้นอบน้อมพระธรรม - เดินไปจุดเครื่องสักการบูชาศพ ที่โต๊ะเครื่องตั้งหน้าศพ โดยจุดเทียน ๑ คู่ และจุดธูป ๑ ดอก นั่งคุกเข่าประณมมือ พร้อมตั้งธูปยกขึ้นจบบูชาศพ โดยนิวชี้อยู่ระหว่างคิว พร้อมกับ กล่าวคำขมาโทษต่อศพ (ดังจะกล่าวต่อไปช้างหน้า ในระเบียบ ปฎิปตการไปงานศพ) แล้วปกธูปไว้ ณ กระถางธูป - ล้ามืเครื่องทองน้อยล่าหรับผู้ตายบูชาพระธรรมตั้งอยู่ที่ หน้าเครื่องตั้งศพตั้นด้วย ก็นิยมจุดเครื่องสักการบูชาที่เครื่อง ทองน้อย แล้วล่งเทียนชนวนคืนให้แก่พิธีกร แล้วหันหน้าเครื่อง ทองน้อยนั่น (หันด้านที่ตั้งดอกไม้) ออกไปทางพระสงฆ์สวด พระอภิธรรม เพื่อให้ผู้ดายสักการบูชาพระธรรม แล้วหมอบ กราบศพ ๑ ครั้ง โดยกระพุ่มมือกราบ (ดังจะกล่าวต่อไปช้างหน้า ในระเบียบปฎิบดการไปงานศพ) แล้วกสับไปนั่งที่เดิม พิธีบำ เพ็ญกุศลโดยมีพระธรรมเทศนาและพระ สวดรับเทศน - การบำเพ็ญกุศลงานศพ เช่น งานทำบุญสัตดมวาร (ทำบุญ ๗ วัน) งานทำบุญฟ้ญญาสมวาร (ทำบุญ ๕๐ วัน) www.kalyanamitra.org
๑๐๔ และงานทำบุญสดมวาร (ทำบุญ ๑๐๐ วัน) ซึ่งนิยมจัดให้มี การบำเพ็ญกุศลต่างๆ ดังนี้ คือ:- ๑. มีพระเทศน์และพระสวดรับเทศน์ (ในเวลาเย็น) ๒. มีพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ (ต่อจากพระเทศน์) และ ๓. มีพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม (ต่อจากพระสงฆ์สวด พระพุทธมนต์) ในวันรุ่งขึ้น มีการถวายดัดดาหารเพล และมีพระสงฆ์ สวดมาติกาบังสุกุล โดยมากนิยมมีจำนวนเท่าอายุของผู้ดาย - ดามรายการบำเพ็ญกุศลนี้ มีวิธีปฏิบัติในการจุดเครื่อง สักการบุชา ดังต่อไปนี้:- วิธีการปฎิบตเมื่อพระเทศน์ - จุดเครื่องสักการบุชาที่โต๊ะหบุ่บุชาพระพุทธรูปเIล้ว มั่ง กุกเข่าประณมมือกล่าวคำบุชาพระรัดมดรัย และกราบ ๓ หม - จุดเทฺยนบุชาพระธรรม แล้วมอบให้พิธีกรนำไปตั้งไว้บน ธรรมาสน์ เพื่อบุชาพระธรรม - จุดเครองสักการบุชาศพ และจุดเครื่องทองน้อยที่ตั้งอยู่ ช้างหน้าศพ แล้วหันหน้าเครื่องทองน้อยไปทางพระ1ทศน์ เพื่อ ให้ผู้ตายบุชาพระธรรมเทศนา แล้วมั่งกุกเข่าหมอบกราบศพ ๑ ครั้ง แล้วกสับไปมั่งที่เติม - พิธีกรกล่าวอาราธนาสืล ๕ พระเทศน์ให้สืล รับสืลจบ แล้วพิธีกรกล่าวอาราธนาพระธรรม ต่อไป www.kalyanamitra.org
๑๐๕ - พาภาพหรือประธานพิธี จุดIครื่องทองน้อยชี่งดั้งอยู่ข้างหน้า ด้านขวามือนั้น หันหน้าเครื่องทองน้อยไปทางพระเทศน์ เพื่อ บุชาพระธรรมเทศนา แล้วประณมมือฟ้'งพระธรรมเทศนาต่อไป พ< จนจบกณฑ - เมอพระเทศน์จบแล้ว เจ้าภาพหรือประธานพิธีเดินไป จุดเครื่องสักการบุชาพระธรรมที่ดั้งอยู่ข้างหน้าอาสน์สงฆ์ พระสงฆ์ สวดรบเทศน์ เมื่อจุดเสร็จแล้ว น้อมตัวลงยกมือไหว้พระธรรม กสับไปนั้งที่เดิม ประณมมือฟังพระสงฆ์สวดพระคาถาธรรม บรรยายต่อไป - เมื่อพระสงฆ์สวดพระคาถาธรรมบรรยายจบแล้ว เจ้าภาพ หรือประธานพิธีลุกขึ้นไปถวายเครื่องกัณฑ์เทศน์และถวายเครื่อง ไทยธรรมแก่พระสงฆ์สวดรับเทศน์ แล้วกลับไปนั้งที่เดิม - พิธีกรทอดผ้าภษาโยง หรือทอดด้ายสายโยงที่โยงมาจากศพ เพื่อเดรืยมทอดผ้าบังสุกุล เจ้าภาพหรือประธานพิธีลุกขึ้นไป ทอดผ้าบังสุกุล แล้วเดินกลับไปนั้งที่เดิม - ขณะที่พระสงฆ์กล่าวคำพิจารณาผ้าบังสุกุล เจ้าภาพ หรือ ประธานพิธีประณมมือฟัง เมื่อพระสงฆ์เริ่มอนุโมทนา (ยถา-) นิยมกรวดนั้าอุฑิศล่วนกุศลแก่ผ้ตาย เมื่อพระสงฆ์ขึ้น (สัพพื- ดโย,..) กรวดนั้าเสร็จแล้ว ประณมมือรับพรต่อไปจนจบ วิธีการปฏิบตเมื่อพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ - เมื่อพระสงฆ์ที่ได้รับอาราธนามาสวดพระพุทธมนต์นั้งบน www.kalyanamitra.org
๑๐๖ อาสน์สงฆ์เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องจุดเครื่องสักการบูชาอีก เพราะ พิธีบำเพ็ญกุศลต่อเนื่องกันมาจากการมีเทศน์ - พิธีกรเริ่มกล่าวอาราธนาพระปริตรต่อไป ไม่ต้องกล่าว อาราธนาสืลอีก เพราะไต้รับสิลมาแล้วจากพระเทศน์ - เมื่อพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบแล้ว เจ้าภาพหรือ ประธานพิธีทอดผ้าบังสกุล (โดยมากนิยมใช้ผ้าไดร) เมื่อพระสงฆ์ พิจารณาผ้าบังสุกุลแล้ว นิยมยังไม่ต้องให้พร เพราะวันพรุ่งนี้ ยังจะต้องมาฉันกัดดาหารอีกครั้งหมื่ง วิธีการปฏิบตเมื่อพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม - เมื่อพระสงฆ์มานั่งบนอาสน์สงฆ์สำหรับสวดพระอภิธรรม เรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพหรือประธานพิธีจุดเครื่องสักการบูชาพระ- ธรรมที่โต๊ะหน้าอาสน์สงฆ์ พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม - ในการสวดพระอภิธรรมนี้ บางห้องถิ่นนิยมให้พิธีกรกล่าว คำ อาราธนาพระธรรมก่อนเริ่มสวด และนิยมให้เจ้าภาพ หรือ ประธานพิธี หรือวงต์ญาติ ผ้ใคผ้หมื่ง ต้องจุดธูปบูชาพระธรรม ก่อนสวดทุกจบ เพื่อเป็นการอาราธนาให้พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม - เมื่อพระสงฆ์สวดพระอภิธรรม โดยมาก นิยมเพ็ยง ๔ จบ แล้วพิธีกรก็เก็บเครื่องสักการบูชาพระธรรมและต้พระ- อภิธรรม แล้วยกเครื่องไทยธรรมมาตั้งบนอาสน์สงฆ์ดรงช้างหน้า พระสงฆ์แต่ละฐป www.kalyanamitra.org
๑๐๗ - เจ้าภาพหรือประธานพิธีหรือวงส์ญาติช่วยกันถวายเครื่อง- ไทยธรรมแก่พระสงฆ์ แล้วกลับมานั่งที่เติม - พิธีกรทอดผ้าภูษาโยง หรือทอดด้ายสายโยง แล้วเชิญ เจ้าภาพหรือประธานพิธีให้ทอดผ้าบังสุกุล - เมื่อพระสงฆ์พิจารณาผ้าบังสุกุลเสร็จแล้ว เริ่มอนุโมทนา (ยถา-) เจ้าภาพหรือประธานพิธีกรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศลแก่ผ้ล่วงลับ ไปแล้ว เป็นเสร็จพิธี วิธีการปฎิบตเมื่อพระสงฆ์สวดถวายพรพระ - ในวันรุ่งขึ้นท)องการบำเพ็ญกุศล เวลาใกล้เพลเมื่อพระ- สงฆ์มานั่งพร้อมกันบนอาสน์สงฆ์เรืยบร้อยแล้ว เจ้าภาพหรือ ประธานพิธีจุดเคริ่องลักการบูชาพระรัดนตรัย และปฏิบัติการด่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว - จุดเครื่องลักการบูชาศพ และปฏิฟ้ตการด่างๆ ดังกล่าว มาแล้ว พิธีกรกล่าวอาราธนาสืล ๕ พระเถระประธานสงฆ์ให้สืล รับสืล พระสงฆ์สวดถวายพรพระจบแล้ว ถวายกัดดาหาร - เมื่อพระสงฆ์ฉันกัดตาหารเพลเสร็จแล้ว เจ้าภาพหรือ ประธานพิธีถวายเครื่องไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพ หรือประธานพิธีกรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศลแล้ว เป็นเสร็จพิธี วิธีการปฏิบตเมื่อพระสงฆ์สวดมาติกาบงสุกล - เมื่อพระสงฆ์ที่ได้รับอาราธนามานั่งบนอาสน์สงฆ์เรืยบร้อย www.kalyanamitra.org
๑๐๘ แล้ว ก็ตั้งพัดสวดมาติกา จบแล้ว ฝ่ายเจ้าภาพก็ช่วยกันถวาย เครื่องไทยธรรม (ล้ามี) - พิธีกรทอดผ้าภูษาโยง หรือทอดด้ายสายโยงเดรียมทอด ผ้าบังสุกล เชิญเจ้าภาพหรือประธานพิธี พร้อมตั้งวงศาคณาญาติ และฟานผ้มาร่วมพิธีบำเพ็ญคุศล ให้ช่วยกันทอดผ้าบังสุกุล - การทอดผ้าบังสุกุลนี้ นิยมทอดตามขวางผ้าภูษาโยง หรือ ขวางด้ายสายโยง ล้าอาสน์สงฆ์แคบ ก็นิยมทอดผ้าบังสุกุลไปดาม ยาวของภูษาโยง หรือดามยาวของด้ายสายโยง - การทอดผ้าบังสุกุลนี้ นิยมไม่ด้องยกถวายแด่พระสงฆ์ เพฑะถือว่าเป็นการวางผ้าถวายไว้ โดยทอดอาลัยไม่มีความเสียดาย ห่วงใยในผ้านั้น - เมื่อทอดผ้าบังสุกุลเสร็จแล้ว จะกลับไปนั้งที่เติมหรือ จะนั้งอยู่ข้างหน้าพระสงฆ์นั้นก็ได้ - เมื่อพระสงฆ์ตั้งพัดพิจารณาผ้าบังสุกุลเสร็จแล้วอนุโมทนา เจ้าภาพหรือประธานพิธีกรวดนั้าอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ดายอีกครั้งหนึ่ง - ล้าอาสน์สงฆ์ไม่เพ็ยงพอสำหรับพระสงฆ์ที่อาราธนามาสวด มาติกาบังสุกุลพร้อมกันตั้งหมดได้ ก็นิยมจัดนิมนต์พระสงฆ์ ขึ้นบังสุกุลเป็นชุดๆ ไป จนกว่าจะครบดามจำนวนที่นิมนต์มา www.kalyanamitra.org
๑๐๙ ;เบียบปฎิบตการอาราธนาศีลเป็นต้น พิธีทำ บุญงานมงคล - ในพิธีทำบุญงานมงคลทุกชนิด นิยมกล่าวอาราธนาสีลก่อน แล้วจึงกล่าวอาราธนาพระปริตร ในภายหลังจากรับสืลเสร็จแล้ว - เมื่อเจ้าภาพหรือประธานพิธีจุดเครื่องลักการบูชาพระ- รัดนดรัยเสร็จเรืยบร้อยแล้ว พิธีกรพิงกล่าวคำอาราธนาสืลเป็น อันดับแรก วิธีปฏิบตในการอาราธนา - พิธีกรผู้ฑำหน้าที่อาราธนาสืลและพระปริดรนั้นนิยมปฎิบ้ด ให้เหมาะสมลับสถานที่นั้นๆ ดังนี้ะ- - ล้าเขาจัดปูลาดอาสน์สงฆ์อยู่ลับพื้น และผ้มาร่วมพิธี บำเพ็ญกุศลทั้งหมดก็นั้งลับพื้น พิธีกรนิยมนั้งคุกเข่าประณมมือ กราบพระรัดนดรัย ๓ ครั้ง แล้วกล่าวคำอาราธนาสืล - ล้าเขาจัดอาสน์สงฆ์ยกขึ้นสูงจากพื้น แด่เจ้าภาพหรือ ประธานพิธีและผู้มาร่วมงานทั้งหลายนั่งอยู่ลับพื้น พิธีกรก็นิยม นั่งคุกเข่าประณมมือกล่าวคำอาราธนาเหมือนลัน - ล้าเขาจัดอาสน์สงฆ์ยกขึ้นสูงจากพื้น เจ้าภาพหรือประธาน พิธี และผู้มาร่วมงานทั้งหลายนั่งเก้าอี้ พิธีกรนิยมยืนทางท้าย www.kalyanamitra.org
๑๑๐ อาสน์สงฆ์ ประมาณข้างหน้าพระสงฆ์รูปที่ ๔-๕ ท้ายแถว หันหน้า ไปทางพระเถระประธานสงฆ์ ประณมมือกล่าวคำอาราธนาสืล - ลักษณะการกล่าวอาราธนาสืลนั้น นิยมกล่าวคำอาราธนา อย่างชัดถ้อยชัดคำ ชังหวะที่กล่าวไม่เร็วหรือข้าเกินไป นิยมหยุด ทอดเสียงเป็นระยะๆ ดังนี้ คือะ- ๑. มะย้ง ภ้นเต วิสุง วิสุง รักขะณัดถายะ, ๒. ติสะระเณนะ สะหะ, ผ. ป็ญจะ สีลานิ ยาจามะ ฯ แม้เที่ยวที่ ๒ และเที่ยวที่ ๓ ก็นิยมหยุดทอดเสียงเป็นระยะๆ เช่นเดียวลันนี้ คำ อาราธนาศีล ๕ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักฃะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ป้ญจะ สีลานิ ยาจามะ. ทุติยัมริเ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักฃะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ป็ญจะ สีลานิ ยาจามะ. ตะติยัมริเ มะยัง กันเต วิสุง วิสุง รักฃะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, นิญจะ สีลานิ ยาจามะ ฯ คำ อาราธนาศีล ๕ อีกแบบหนึ่ง มะยัง กันเต ติสะระเผนะ สะหะ, ป็ญจะ สีถานิ ยาจามะ. www.kalyanamitra.org
๑๑๑ ฑุดิยัม!! มะยัง ภฬเต ติละระเณนะ สะหะ, ปืญอ: ลีลานิ ยาจามะ. ตะติยัม!! มะยัง ยันเต ติละระเณนะ ละหะ, นิญจ: ลีลานิ ยาจามะ ฯ ในชนบทบางท้องถิ่น ถ้าวันงานนั้นเป็นวันพระ ๘-๑๔-๑๕ คร นิยมอาราธนาสืล ๘ ดังนี้:- คำ อาราธนาศีล ๘ มะยัง ยันเต วิสุง วิสุง รักขะรนัตถายะ, ติละระเณนะ ละหะ, อัฏฐะ ลีลานิ ยาจามะ. ทุติยัม!! มะยัง ยันเต าสุง ริลุง รักฃะณัตถายะ, ติละระเณนะ ละหะ, อัฏฐะ ลีลานิ ยาจามะ. ตะติยัม!! มะยัง ยันเต ริลุง ริลุง รักฃะณัตถายะ, ติละระเผนะ ละหะ, อัฏฐะ ลีลานิ ยาจามะ 1 วิธีการรับศีล - การรับสืลนั้น คือ วิธีการประกาศสมาทานสืลว่าตนจะ เป็นผู้ตั้งใจงดเว้นจากการประพฤติทุจริตทางกาย และทางวาจา ดามสิกขาบทนั้นๆ ด้วยความสมัครใจของตนเอง ไม่ใช่เป็นเรื่อง ที่พระสงฆ์ท่านท้ามไม่ให้ประพฤติทุจริต - เพราะการสมาทานสืลนี้ เป็นเรื่องของความสมัครใจ งดเว้นจากความชั่วของคฤหัสถ์แต่ละบุคคลโดยตรง ดังจะพิจารณา ผู้ได้จากคำสมาทานสืลแต่ละสิกขาบท เช่น สิกขาบทที่ ๑ ว่า www.kalyanamitra.org
๑๑๒ \"ปาฌาติปาตา ทรมณี สิกฺฃาปทํ สมาฑิยามิ\" แปลความว่า \"ข้าพเจ้าสมาทาน ซึ่งสิกขาบท คือ เจตนางดเว้นจากการ ยังสัตว์มีลมปราณให้ตกล่วงไป คือ งดเว้นจากการฆ่าสัตว์\" - การสมาทานสืลนี้จึงเป็นเรื่องของชาวบ้านสมัครใจตั้งใจ งดเว้นเอง ไม่ใช่เป็นคำห้ามของพระสงฆ์ ทั้งไม่ใช่วิสัยของ พระสงฆ์ที่จะมังคับให้ชาวบ้านประพฤติเช่นนั้นได้ แต่เพราะชาวบ้านไม่สามารถจะทรงจำคำประกาศสมาทาน คืลได้ด้วยตนเอง จึงด้องขอร้องให้พระสงฆ์ท่านช่วยกล่าวนำให้ด้วย เช่นเดียวกับกล่าวถวายสังฆทาน โดยมากผู้ถวายมักจำคำถวาย ไม่ได้ จึงด้องขอร้องให้พระสงฆ์ท่านช่วยกล่าวนำให้ด้วยฉะนั้น - เพราะเหตุนี้ บุคคลผู้รับคืล คือ บุคคลผู้สมาทานคืล ทุกคน จึงนิยมด้องกล่าวคำประกาศสมาทานรับคืลให้พระสงฆ์ ได้ยินอย่างชัดเจน เพื่อพระสงฆ์จะได้เป็นสักขีพยานในการตั้งใจ งดเว้นจากความชั่ว และตั้งใจประกอบความดีต่อไป คำ สมาทานศีล ๕ นะโม ดัสสะ ภะคะวะโด อะระหะโต สัมมาสัมพุท- ธสสะ ฯ (กล่าว ๓ หน) พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระล่เง สัจฉามิ สังฆัง สะระณัง สัจฉามิ www.kalyanamitra.org
๑๑๓ ทุดิยัม!) พฑธัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยัม!! ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ทุติยม!! สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ตะติยัม!! พุทธง สะระณัง คัจฉามิ ตะติย้ม!! ธ้มมัง สะระผัง คัจฉามิ ตะติยัม!! ส้งฆัง สะระผัง ค้จฉามิฯ ๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิ ยามิ ฯ ๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ๕. สุรา เมระยะ, มัชชะ, ปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ «1 คำ สมาทานศีล ๘ ๑. ปาณาติปาตา เวระมะฌี สิกขาปะทัง สะมา- ทิยามิ «1 ๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมา- ทิยามิ 1 ๓. อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมา- ทิยามิ ฯ (ออกเสียงว่า \"อะพรำมะจะริยา\") ๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ «1 www.kalyanamitra.org
๕. สุรา, เมระยะ, มัชชะ, ปะมาฑัฎฐานๆ เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ «1 ๖. วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมา- ทยามิ 'า ๗. นัจจะ, คืตะ, วาทิตะ, วิสูกะ, ทัสสะนา มาลา, ทันระ, วิเลปะนะ, ธาระณะ, มัณฑะนะ วิภูสะมัฎ ฐานา เวระมะเร สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ ๘. อุจจาสะยะนะ, มะหาสะยะนา, เวระมะณี สิกขา- ปะทัง สะมาทิยามิ ฯ การอาราธนาพระปริตร - ฌื่อรับสีลเสร็จแล้ว พิธีกรพึงกล่าวคำอาราธนาพระปริตร สืบต่อไป โดยประณมมือกล่าวคำอาราธนาอย่างชัดล้อยชัดคำ จังหวะที่กล่าวนั้นไม่เร็วหรือช้าอืดอาดIกินไป จังหวะที่กล่าวคำ อาราธนาพระปริดรนี้ นิยมหยุดทอดเสียงเป็นวรรค ๆ ดังต่อไปนี้:- คำ อาราธนาพระปริตร วิป้ตติปะฎิพาหายะ, สัพพะสัมป็ดติสิทธิยา, สัพพะทุกขะวินาสายะ, ปะริฅตัง พรูถะ มังคะสัง. วิป้ฅติปะฎิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสิทธิยา, สัพพะภะยะวินาสายะ, ปะริตตัง พรูถะ มังคะสัง. วิป้ฅติปะฎิพาหายะ, สัพพะสัมปตติสิทธิยา, สัพพะโรคะวินาสายะ, ปะรีตตัง พรถะ มังคะสัง. www.kalyanamitra.org
- เมื่อกล่าวคำอาฑธนาพระปริตรนี้จบแล้ว นิยมกราบ ๓ ครั้ง หรือน้อมตัวลงยกมือไหว้ ดามควรแก่กรณี เป็นเสร็จพิธีอาราธนา ในงานมงคล พิธีทำ บุญงานอวมงคล - ในพิธีบำเพ็ญกุศลงานศพ เช่น งานทำบุญสัตตมวารศพ (ทำบุญ ๗ วัน) เป็นต้น มักนิยมจัตให้มืรายการทำบุญกุศล ต่างๆ เช่น ๑. มืสวดพระพุทธมนต์ จบแล้ว มืเทศน์ หรือ ๒. มืเทศน์ จบแล้ว มืสวตพระพุทธมนต์ ฯลฯ ลำ ดับการกล่าวคำอาราธนา - งานบำเพ็ญกุศลที่มืพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์จบแล้ว มืเทศน์ต่อใบํนั้น พิธีกรนิยมกล่าวคำอาราธนาตังนี้ะ- - ก่อนที่พระสงฆ์จะเริ่มสวดพระพุทธมนต์ นิยมกล่าวคำ อาราธนาพระปริตรอย่างเดียว - ก่อนที่พระจะเทศน์ นิยมกล่าวคำอาราธนาสืลเมื่อรับสืล แล้ว ก็กล่าวคำอาราธนาพระธรรมสืบใป ตังต่อใปนี้ะ- คำ อาราธนาพระธรรม พรัหมา (พรำมา) จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ, กัดอัญชะลี กันธิวะรัง อะยาจะละ, สันตีธะ สัตตาปปะระชักชะชาติกา, เทเสต รมมัง อะนกัมรืเมัง ปะชัง <1 www.kalyanamitra.org
๑๑๖ - งานบำเพ็ญคุศลที่มีเทศนก่อนแล้วมีพระสงฆ์สวดพระ- พุทธมนต์ภายหลัง พิธีกรนิยมกล่าวคำอาราธนาดังนี้ะ- - ก่อนที่พระจะเทศน์ นิยมกล่าวคำอาราธนาสืล เมื่อรับสิล แล้วก็กล่าวคำอาราธนาพระธรรม - ก่อนที่พระสงฆ์จะสวดพระพุทธมนต์ นิยมกล่าวคำอาราธนา เฉพาะพระปริดรอย่างเดียว ไม่ต้องกล่าวคำอาราธนาดีลอีก วิธบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม - พิธีบำเพ็ญกุศลศพสวดพระอภิธรรมนั้น พิธีกรนิยมกล่าว คำ อาราธนาสืลก่อน เมื่อรับสืลเสร็จแล้ว จึงกล่าวคำอาราธนา พระธรรมสืบต่อไป ระเบียบปฎิบตการจัดข้าวบูชาพระพทธ เหตุผลในการจัดข้าวบูชาพระพุทธ - สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนน์อย่ พุทธศาสนิกชนทั้งหลายนิยมนิมนต์พระพุทธเจ้าทรงเป็นประราน พระภิกษุสงฆ์ในพิธีบำเพ็ญกุศลดามบ้านเรือนของดน ๆ ดังมี บาลีว่า \"พุทฺธปฺปมุโฃ ภิกฺฃุสงฺโฆ\" แปลว่า \"พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน\" ดังนี้ - เมื่อลีงเวลาถวายภัตดาหาร ก็นิยมจัดภัตตาหารถวายแต่ พระพุทธเจ้าเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง เช่นเดียวภับบ้จจุบันนี้ที่นิยม www.kalyanamitra.org
๑๑๗ นิมนต์สมเด็จพระสังฆราชไปเป็นประธานสงฆ ในพิธีทำบุญงาน มงคลตามบ้านเรือนคฤหบดี เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหารก็นิยม จัตภัตตาหารถวายสมเด็จพระสังฆราชเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง จัด ภัตตาหารถวายพระภิกษสงฆ์นอกนั้นอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้น - เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับจันธปรืนิพพานแล้ว พุทธ- ศาสนิกชนนั้งหลายก็ยังนิยมอัญเชิญพระพุทธรูปมาตั้งเป็นประธาน สงฆ์แทนพระพุทธองต์ในพิธีบำเพ็ญบุญต่าง ๆ ทุกอย่างเช่นเดียว ภันภับสมัยพุทธกาล - เมื่อถึงเวลาถวายภัตตาหารก็ยังนิยมจัดภัตตาหารถวาย พระพุทธรูปเป็นพิเศษส่วนหนึ่ง และจัดภัตตาหารถวายพระภิกษุ สงฆ์อีกส่วนหนึ่ง เช่นเดียวภันภับสมัยพุทธกาลนั้นเอง ความฝุงหมายฃองการจัดฃ้าวบูชาพระพุฑธ - การจัดภัตตาหารถวายพระพุทธรูปนี้ มิใช่จัดไปถวายให้ พระพุทธรูปฉันเหมือนอย่างจัดถวายให้พระภิกษุสงฆ์ฉันหรือไม่ใช่ จัดไปเซ่นพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างจัดอาหารไปเซ่นภูตผีปีศาจ - การจัดภัตตาหารไปถวายพระพุทธรูปนั้น เป็นการจัดไป ถวายเพื่อบุชาพระพุทธเจ้า เช่นเดียวภับการจัดเครื่องสักการบุชา พระรัตนตรัย มืดอกไม้ ธูป เทียน เป็นด้น - การจัดเครื่องสักการบุชาพระรัตนตรัย มืดอกไม้ ธูป เทียน เป็นด้นนั้น ไม่ใช่จัดถวายให้พระรัตนตรัยสูดดมกลิ่นธูป ควันเทียน และกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่จัดไปเพื่อบุชาพระคุณ www.kalyanamitra.org
๑๑๘ ของพระรัตนตรัย ฉันใด การจัตภัตตาหารถวายพระพุทธรูป ก็เพื่อบูชาพระคุณของพระพุทธIจ้า ฉันนั้น - การจัตภัตตาหารบูชาพระพุทธรูปนั้น โตยมีความมุ่งหมาย ด้วยผลานิสงส์แห่งการบูชาด้วยภัตตาหารนี้ต่อไปในภายหน้าตน จะได้ไม่มีความขาดแคลนด้วยอาหาร ไม่ด้องอดอยาก จะมีความ สมบูรณ์พูนสุขด้วยเรื่องอาหาร การบริโภคทุกประการ วิธีการจัดภัตตาหารบูชาพระพุทธ - ความจริงพระพุทธรูปนั้น เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นสังฆบิดร คือ ทรงเป็น พ่อของพระภิกษุสงฆ์ - การจัดสำรับคาวหวานบูชาพระพุทธ จึงนิยมจัดด้วยสำรับ ใหญ่ๆ จัดใน้ดีกว่า ประณีตยิ่งกว่าจัดถวายพระภิกษุสงฆ์ เพราะ เป็นการบูชาพ่อ ควรจะดีกว่า ประณีตกว่าจัดถวายลูกหรืออย่าง น้อยก็นิยมจัดแบบเดียวภันภับจัดถวายพระภิกษุสงฆ์ - การจัดภัตตาหารคาวหวานสิงละเล็กละน้อย ใส่ภาชนะ เล็กๆ เช่นเดียวภับจัดอาหารไปเซ่นภูตผีปีศาจนั้น เป็นการ ไม่สมควรอย่างยิ่ง จะเป็นเหตุให้บุคคลที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และ เยาวชนทั้งหลาย อาจเภิดความเข้าใจผีดคืดไปว่าเป็นการจัด อาหารไปเซ่นพระพุทธเจ้า เพราะจัดอย่างเดียวภับจัตไปเซ่นผี - สำ หรับภัตตาหารที่จัดไปบูชาพระพุทธนี้ ถ้าจัดเป็นสำรับ ใหญ่ มีคาวหวานสมบูรณ์อย่างดี อย่างประณีตแล้ว เมื่อลากลับ www.kalyanamitra.org
๑๑๙ คืนมา ภัตดาหารนั้นย่อมเป็นสิริมงคล น่ารับประทาน ถ้าจัดใส่ ภาชนะเล็ก ๆ มีคาวหวานสิงละเล็กละน้อยคล้ายภับจัดเซ่นฝ็แถ้ว เมื่อลากลับคืนมา ความรูสีกของคนเราว่า ไม่ใช่ของสิริมงคล ไม่มีใครต้องการรับประทาน วิธีการถวายข้าวบูชาพระพฑธ - เมื่อพระภิกษุสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จวนจะจบ หรือ จบแล้ว พิธีกรนิยมยกสำรับคาวหวานไปดั้งที่หน้าบูชาพระโดยดั้ง บนโต๊ะที่มีผ้าขาวปูรอง หรือดั้งที่พื้นมีผ้าขาวปูรอง แล้วเชิญ เจ้าภาพหรือประธานพิธีมาทำพิธีบูชา พิธีกรไม่ควรจัดทำการบูชา เสิยเอง - 1จ้าภาพหรือประธานพิธีพิงนั้งคุกเข่าจุดธูป ๓ ดอก ฟ้'กที่ กระถางธูปแล้วประณมมีอ กล่าวคำบูชาข้าวพระดังนี้:- คำ บูชาข้าวพระทุทธ อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมป้นนัง สาลียัง โภชะยัง สะอุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิฯ (ข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ลันสมบูรณ์ต้วยแกงและภับข้าวพร้อม ภับนั้า ลันประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า) ฯ เมื่อกล่าวคำบูชาข้าวพระพุทธจบแล้ว นิยมกราบแบบ เบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง www.kalyanamitra.org
๑๒๐ การลาข้าวพระพทธ - เมื่อพระภิกษุสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เจ้าภาพหรือ พิธีกร นิยมจัตการลาจ้าวพระพทธ โดยการนั่งคุกเข่าประณมมือ กล่าวคำลาจ้าวพระพทธ ดังนี้:- คำ ลาข้าวพระพทธ เสสัง มังคะลัง ยาจามิ ฯ (จ้าพเจ้าพูลฃอสิงที่เหลืออันเป็นมงคล) - เมื่อกล่าวอำลาจ้าวพระพุทธจบแล้ว นิยมกราบแบบ เบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง แล้วยกสำรับไปได้ ระเบียบปฏิบ้ตการประเคนพระสงฆ์ การประเคนพระ - การประเคนพระ คือ การยกสิงท)องอันสมควรแก่สมณ- บริโภค (สมควรที่พระภิกษุสงฆ์จะบริโภคใช้สอยได้ ไม่มืโทษทาง พระวินัยพุทธบัญญ้ต) น้อมถวายให้แด่พระสงฆ์ ด้วยกิริยาอาการ ที่แสดงถึงความมืศรัทธาเลื่อมใส มืความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อพระสงฆ์ผู้รับประเคนนั้นเป็นอย่างคื ลักษณะการประเคนพระที่ถูกต้อง - การประเคนสิงของอันสมควรแก่สมณบริโภค เช่น ภัตตา- www.kalyanamitra.org
๑๒๑ หารคาวหวาน เป็นต้น แก่พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนานัน มีพระวินัยพุทธบัญญ้ตทรงกำหนดไว้ให้ประกอบต้วยองค์ ๕ คือะ- ๑. สิงของที่จะประเคนนั้น ต้องไม่ใหญ่โตหรือหนัก เกินไป ขนาดคนปานกลางคนเดียวยกไหว และต้องยกสิงของ นั้นให้ขึ้นพ้นจากพื้นที่สิงของนั้นดั้งอยู่ ๒. ผู้ประเคนต้องเข้ามาอยู่ในหัตถบาล คือ ผู้ประเคนต้อง อยู่ห่างจากพระภิกษุผู้รับประเคนประมาณ ๑ ศอกเป็นอย่างมาก ๓. ผู้ประเคนน้อมสิงของนั้นเข้ามาให้ต้วยกิริยาอาการ แสดงความเคารพอ่อนน้อมต่อพระภิกษุผู้รับประเคน ๔. กิริยาอาการที่น้อมสิงของเข้ามาให้นั้น จะส่งให้ต้วยมีอ ก็ไต้ หรือจะส่งให้ต้วยของเนื่องต้วยกาย เช่น ใข้หัพพีตักถวาย กได . ๕. พระภิกษุผู้รับประเคนนัน จะรับต้วยมีอก็ไต้ จะรับ ต้วยของเนื่องต้วยกาย เช่น จะใช้ผ้าทอดรับก็ไต้ จะใช้บาตรรับ ก็ไต้ จะใช้จานรับก็ไต้ ล้กษณะการประเคนพระที่ไม่ถูกต้อง ๑. สิงของที่จะประเคนนั้นใหญ่โต หรือหนักเกินไป คนเดียวยกไม่ไหว ต้องช่วยกันยกถวาย เช่น ช่วยกันยกโต๊ะ อาหารทั้งโต๊ะถวาย เป็นต้น ๒. ผู้ประเคนอยู่นอกหัดถบาล คือ ผู้ประเคนอยู่ห่างจาก พระภิกษุผู้รับประเคนเกินกว่า ๑ สอกออกไป จนพระภิกษุ www.kalyanamitra.org
นังดังดัวตรงรับด้วยมือไม่ถึง หรือการประเคนโดยวิธีวางภาชนะ ต่อๆ กันออกไป เป็นด้น ๓. ผู้ประเคนไม่ยกสิงชองที่จะประเคนนั้นให้พ้นจากพื้น เช่นการประเคนถวายด้วยวิธีเสือกไสให้เลื่อนไปตามพื้น หรือการ ประเคนด้วยวิธีใช้มือแตะสิงของถวาย เป็นด้น ๔. ผู้ประเคนสิงชองให้พระ ส่งให้ด้วยกิริยาอาการที่แสดง ความไม่เคารพ เช่น ให้ด้วยกิริยาอาการดุจทิ้งเสิย เป็นด้น ๕. พระภิกษุผู้รับประเคนยังไม่ทันรับสิงชองนั้น ผู้ประเคน วางสิงชองนั้นลงเสืยก่อน ๖. สิงชองที่ประเคนนั้น เป็นชองไม่สมควรแก่สมณบริโภค เช่น เงิน ทอง หรือสิงชองที่ทำด้วยเงิน ทอง ได้แก่ พานเงิน พานทอง ชันเงิน เป็นด้น ๗. นำ เอาวัตถุสิงของประเภทอาหารคาวหวานไปถวายให้ พระภิกษุรับประเคนในเวลาวิกาล คือ ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันไปแล้ว วิธีการประเคนพระ - วิธีการประเคนพระนั้น ล้าผู้ประเคนเป็นชาย นิยมยกส่ง ให้ถึงมือพระภิกษุผู้รับประเคน ล้าผู้ประเคนเป็นหญิง นิยมวาง ถวายบนผ้าที่พระภิกษุทอตรับประเคนนั้น และด้องรอให้พระ ภิกษุทำนจับที่ผ้าทอตรับนั้นก่อน จึงวางสิงชองลงบนผ้าที่ทอด รับนั้น www.kalyanamitra.org
๑๒๓ - ถ้าพระภิกษุนั่งอยู่กับพื้น ผู้ประเคนนิยมนั่งคุกฟาประเคน สิงของ ถ้าพระภิกษุนั่งเถ้าอี้ เช่น นั่งเถ้าอี้ฉันกัตตาหารที่วาง บนโต๊ะ ผู้ประเคนนิยมยืนประเคนสิงของ - ในการถวายกัดตาหารคาวหวานแด่พระภิกษุสงฆ์นั้น นิยม ถวายเฉพาะสิงของที่พระภิกษุสงฆ์จะฟ็งฉันได้เท่านั้น ส่วนสิงของ เครื่องใช้ด่างๆ เช่น กระโถน จาน ชาม ช้อน แก้ว เป็นด้น นิยมไม่ด้องยกประเคนพระเพียงแด่วางมอบให้เท่านั้น - กัตตาหารคาวหวานทุกชนิต ที่ประเคนพระภิกษุสงฆ์แล้ว นิยมไม่ให้คฤหัสถ์ทั้งชายและหญิงจับด้องอีก ถ้าเผลอไปจับด้อง เช้า นิยมให้ยกประเคนแก่พระภิกษุเสียใหม่ทุกครั้งไป - เมื่อประเคนกัตตาหารคาวหวานครบทุกอย่างแล้ว นิยม ทำ ความเคารพพระภิกษุสงฆ์ คือ ถ้านั่งคุกเข่าประเคน ก็นิยม กราบ ๓ ครั้ง ถ้ายืนประเคน ก็นิยมห้อมตัวลงยกมือไหว้ ๑ ครั้ง เป็นเสร็จพีธีการประเคนพระ ระเบียบปฏิบตการจ้ดภัตตาหารถวายพระสงฆ์ อาหารที่ต้องห้ามสำหรับพระภิกษุสงฆ์ - อาหารที่ด้องห้ามสำหรับพระภิกษุ คือ อาหารที่เป็น อกัปปียะไม่สมควรแก่สมณบริโภคขบฉัน ได้แก่ เนื้อ ๑๐ ชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อ ๑๐ ชนิด เหล่านื้ คือ:- www.kalyanamitra.org
๑๒๔ ๑. ฌื้อมนุษย์ รวมทั้งเลือดมนุษย์ด้วย ๒. เนื้อช้าง ๓. เนื้อม้า ๔. เนื้อสุใ!'ข ๕. เนื้อง ๖. เนื้อราชลืห์ (สิงโต) ๗. เนื้อเลือโคร่ง ๘. เนื้อเลือเหลือง ๙. เนื้อหมี ๑๐. เนื้อเลือดาว - เนื้อสัตว์นอกจาก ๑๐ ชนิดนื้ ไม่ทรงห้าม แต่ทรงห้าม ของดิบ ลือ เนื้อที่ยังไม่ได้ทำให้สุกด้วยไฟ เช่น เนื้อดิบ ปลาดิบ เป็นด้น ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุขบฉัน - เนื้อสัตว์ที่ฆ่าเจาะจง เช่น ฆ่าปลา ฆ่าไก่ เป็นด้น เพื่อทำอาหารถวายแต่พระภิกษุสามเณรโดยตรง ซึ่งเรียกว่า \"ลุฑฑิสสะมังสะ'' แปลว่า เนื้อเจาะจง เป็นของห้ามไม่ให้พระ ภิกษุสามเณรขบฉัน ถ้าพระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้ สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเป็นของเฉพาะเจาะจงแก่ตน ฉันได้ ไม่มีโทษ - ผลไม้ที่มีเมล็ดอาจเพาะเป็น ลือ ผลไม้ที่ใช้เมล็ดปลูกได้ เช่น เงาะ ลำไย เป็นด้น และเหง้าที่ปลูกเป็น ลือพวกเผือก มัน แห้ว เป็นด้น ทรงอนุญาตให้อนุปสัมบัน ลือ บุคคลที่ไม่ใช่ พระภิกษุ ได้แก่ สามเณร และคฤหัสถ์ ทำ ให้เป็นกัปปียะ www.kalyanamitra.org
๑๒๕ เสียก่อน คือ ทำให้เปีนของสมควรแก่สมณะเสียก่อนแล้วฉันได้ ไม่เปีนอาบ้ต - อาหารที่ปรุงด้วยสุราจนมีสี มีกลิ่น หรือมีรส ปรากฎ ร้ได้ว่ามีสุราเจือปน ทรงห้ามไม่ให้พระภิกษุขบฉัน ล้าไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หรือไม่มีรสปรากฎ ฉันได้ ไม่เปีนอาบ้ต อาหารที่สมควรแก่พระภิกษุสงฆ์ - เนื้อสัตว์ (นอกจากเนื้อที่ทรงห้าม ๑๐ ชนิดดังกล่าว แล้ว) ทุกชนิด ซึ่งเปีนเนื้อที่เขาฆ่าเพื่อนำมาขายเปีนอาหารคน พื้นเมีองดามร้านดลาด เรืยกว่า \"ปะวัดดะมังสะ\" แปลว่า เนื้อมีอย่แล้ว เนื้อที่เปีนไปอยู่ดามปกติที่เขาทำให้สุกด้วยไฟแล้ว อนุญาดให้พระภิกษุฉันได้ ไม่เปีนอาบ้ติ - สัดว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อทำอาหารถวายแด่พระภิกษุโดยดรง แด่พระภิกษุไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้สงสัยว่าเขาฆ่าเปีนการ เฉพาะเจาะจงแก่ดน เช่นนื้ อนุญาดให้พระภิกษุฉันได้ ไม่เปีน อาปด วิธีการจัดภ้ตตาหารถวายพระสงฆ์ - การจัดกัดดาหารถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ในเวลาเช้า นิยม จัดอาหารประเภทอาหารเบา เช่น ช้าวด้ม โจ๊ก กาแฟ ขนมมัง เปีนด้น เพื่อสะดวกแก่เจ้าภาพที่ไม่ด้องดระเดรืยมมากและเพื่อ พระภิกษุจะได้มีโอกาสฉันกัดดาหารเพลได้คื ทำให้ไม่เกิดความ หิวในเวลาเย็นและคาคืน www.kalyanamitra.org
๑๒๖ - ถ้าจัดภัตตาหารถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ในเวลาเพล นิยม จัดอาหารประเภทอาหารหนัก จัดแบบเต็มยศ และโดยมากนิยม จัดอาหารประเภทอาหารไทย ซึ่งถูกภับรสนิยมของพระภิกษุสงฆ์ ที่เป็นคนไทย และควรเป็นอาหารประเภทพื้นเมืองเป็นหลัก อาจมือาหารพิเศษแทรกบ้างลักอย่างสองอย่าง ระเบียบปฏิบตการจดเครื่องไทยธรรมถวายพระสงฆ์ เครื่องไทยธรรม - เครื่องไทยธรรม คือ วัดถุส์งของต่างๆ ที่สมควรถวาย แก่พระสงฆ์ ได้แก่ บ้จจัย ๔ และสิงของที่นับเนื่องในบ้จจัย ๔ คือ:- ๑. เครื่องนุ่งห่มประเภทเครื่องผ้าทุกชนิดที่มืสีสมควรแก่ พระภิกษุสามเณรใช้สอยได้ ซึ่งมืสีไม่ถูดฉาดบาดตา เป็นของ ไม่กาววาว เช่น ผ้าลายตอกไม้ เป็นด้น เป็นของไม่สมควรใช้ นุ่งห่มสำหรับสมณะ ๒. เครื่องขบฉันด่างชนิด ทั้งอาหารคาวหวานและเครื่อง ดื่มนานาชนิด ยกเว้นเครื่องดองของเมา เช่น สุราเมรัย และ ยาเสพย์ติดให้โทษทุกชนิด ๓. เครื่องอุปกรณ์ที่อผู่อาลัย ซึ่งรวมเรียกว่า เครื่อง สุขภัณฑ์ ได้แก่ ด้ เต็ยง โต๊ะ เถ้าอี้ ที่นอน เส์อ หมอน มุ้ง www.kalyanamitra.org
๑๒๗ พรม ฟ้นต้น รวมทั้ง1ครื่องชำระมลทินกาย เช่น สบ่คูตัว ผงซักฟอก แปรงและยาสีฟ้น เป็นต้น ๔. เครื่องยาบำบัดความป่วยไข้ทุกชนิดและเภสัช ๕ คือ เนยใส เนยข้น นํ้าบัน นํ้าผึ้ง นํ้าอ้อย (นํ้าดาล) รวมทังหมาก พลู บุหรื่ ชา เป็นต้น สิ่งของที่ประเคนถวายพระได้เวลาiช้าชํ่วเที่ยง - เครื่องไทยธรรมประเภทอาหารคาวหวานทุกชนิด ทั้ง อาหารสด อาหารแห้ง และอาหารเครื่องกระป่องทุกประเภท เช่น ๑. อาหารสด ไต้แก่ อาหารคาวและหวาน รวมทั้งผลไม้ ทุกชนิด ๒. อาหารแห้ง ไต้แก่ เครื่องเสบียงกรังทุกชนิด เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ข้าวสาร เป็นต้น ๓. อาหารเครื่องกระป่องทุกประเภท เช่น นม โอวัลดิน เป็นต้น - สิงของเหล่านื้ทั้งหมด นิยมประเคนถวายพระสงฆ์ไต้ เฉพาะเช้าชั่วเที่ยงเท่านั้น เมื่อเลยเที่ยงวันไปแล้ว มีพระวิบัย พุทธบัญญัดิห้ามนิให้พระภิกษุสงฆ์รับประเคน ถ้ารับประเคน ต้องอาบัดโทษ - ถ้าคฤหัสถ์ชายหญิงนำสิงของเหล่านื้ไปถวายแด่พระภิกษุ สงฆ์ไนเวลาหสังเที่ยงวันไปแล้ว นิยมเพยงแด่แข้งให้พระภิกษุ www.kalyanamitra.org
๑๒๘ รับทราบ แล้วมอบสิงของเหล่านั้นให้ไว้แก่สืษย์ฃองท่าน ให้สิษย์ เก็บรักษาไว้นำถวายท่านในวันต่อไป สิ่งฃองที่ประเคนถวายพระได้ตลอดทลา - ส่วนเครื่องไทยธรรมนอกจากประเภทอาหารดังกล่าวแล้ว เช่น ประเภทเครื่องดื่มทุกชนิด ประเภทเครื่องยานำปัดความ ป่วยไข้ทุกชนิด และประเภทเภสัช เช่น นั้าตาล นั้ๆผึ้ง นั้ๆอ้อย หมากพลู บุหรื่ หรือสิงของที่ไม่ใช่ของล่าหรับขบฉันนิยมปรทคน ถวายพระสงฆ!ด้ตลอดเวลา ไม่มีข้อกำหนดห้าม สิงของที่ทรงห้ามมิให้พระภิกษุด้บด้อง - สิงของที่ทรงห้ามมีให้พระภิกษุสงฆ์จับต้องเรืยกว่า \"วัตลุ อนามาส\" ไต้แก่ วัดลุสิงของดังต่อไปนี้:- ๑. ผู้หญิง รวมทั้งเครื่องแต่งกายหญิง รูปภาพหญิง หรือ รูปฟ้'นของผู้หญิงทุกชนิด ๒. รัดนะ ๑๐ ประการ คือ ทอง เงิน แก้วมกดา แก้วมณี แก้วประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์ (ที่เลี่ยมทอง) สืลา เช่น หยก และโมรา เป็นต้น ๓. เครื่องศาสดราวุธทุกชนิด อันเป็นเครื่องท่าลายชีวิต ๔. เครื่องดักสัตว์บกและสัดว์นั้าทุกชนิด ๕. เครื่องประโคมดนตรืทุกอย่าง ๖. ข้าวเปลือกและผลไม้อันเภิดอยู่ทับที่ www.kalyanamitra.org
๑๒๙ - สิงท)องที่ฟ้นวัดถอนามาสเหล่านี้ทุกชนิด ไม่นิยมนำไป ประเคนถวายพระภิกษ เพราะผิดพระวินัยพุทธบัญญัติทำให้ พระภิกษุต้องอาบัติโทษ สิ่งของที่ไม่สมควรประเคนถวายพระสงฆ์ - สิงของที่ไม่สมควรประเคนถวายพระ ไต้แก่ รูปียะ คือ เงิน และวัตถุสำหรับใช้แทนเงิน เช่น ธนบัตร เป็นต้น ไม่นิยมประเคนถวายพระภิกษุสงฟ้โดยตรง เพราะผิดพระวินัย พุทธบัญญัติ ถ้าพระภิกษุสงฆ์รับประเคนต้องอาบัติโทษ - ในการถวายบัจจัยนั้น นิยมใช้ใบปวารณาแทนตัวเงิน สํวนตัวเงิน นิยมมอบไว้ตับไวยาวัจกรของพระภิกษุนั้นโดยเช้ยน ใบปวารณาถวายบัจจัย ตังนี้:- ตัวอย่างในการเขียนใบปวารณาถวายป้ถถัย ช้าพเจ้าขอน้อมถวายบัจจัย ๔ แด่พระคุณเจ้า เป็นมูลค่า เท่าราคา บาท สตางค์ ไต้มอบไว้แก่ไวยาวัจกร ของพระคุณเจ้าแล้ว หากพระคุณเจ้ามีความประสงค์จำนงหมาย สิงใด อนควรแก่สมณบริโภค โปรดเรียกร้องไต้จากไวยาวัจกร ของพระคุณเจ้านั้น เทอญ (ลงนาม) ผู้ถวาย วันที่ เดือน พ.ศ www.kalyanamitra.org
OCDO ระเบียบปฎิบตการกรวดนํ้าอ ส่วนnffล เหตุผลในการกรวดนํ้า - นํ้าที่ใสสะอาดบริสุทธิ้ เปรยบเสมือนนํ้ๅใจที่ใสบริสุทฐิ้ของ คนเรา สายนํ้าที่เทหลั่งไหลลงนั้น เปรียบเสมือนสายนาใจของ คนเรา ที่หลั่งไหลออกมาให้ปรากฎแก่ประชาขนนั้งหลๅย - การจะให้วัตถุสิงของที่เป็นอสังหาริมทรัพย์นำเคลื่อนที่ ไปไม่ได้ เช่น พระเจ้าพิมฟ็สารทรงมอบถวายพระราชอทอาน เวฬุวันแด่พระพุทธเจ้า ก็ทรงใช้นำเทหลั่งลงถวายพระพุทธองค์ แทนนั้าพระทัยที่ทรงมอบถวายด้วยพระราชครัทฐา - การที่จะให้สิงที่ใหญ่โดไม่สามารถจะหยิบยกให้ได้ เช่น พระเวสสันดรทรงพระราชทานช้างมงคลแก่พราหมญ่นั้ง ๘ ค์ทรง ไชนำเทหสังลงเปนสายไหแก่พราหมถเทัง ๘ แทนนำพระทัยของ พระองค์ที่ทรงพระราชทาน - การประกาศความตกลงใจ ซึ่งเป็นนามธรรมไม่มืรูปร่าง เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพ ค์ทรง ไชนำฒุหสังลงเป็นสาย อันเป็นนิมิตหมายแห่งสายนั้าพระทัย เด็ดเดี่ยวที่ทรงแสดงออกให้ปรากฏแก่ประชาชนทั้งหลาย ฉันใด - การจะให้ส่วนบุญส่วนถุศลซึ่งเป็นนามธรรม ก็เช่นเดียวกัน นิยมใช้นั้าที่ใสสะอาดบริสุทฐิ้เทหลั่งลงเป็นสาย อันเป็นนิมิตหมาย แห่งสายนำใจอันใสสะอาดบริสุทธิ ที่ตังใจอทิศส่วนบุญส่วนถุศล ให้แก่ท่านผ้ล่วงสับไปแล้ว ฉันนั้น www.kalyanamitra.org
๑๓๑ ความมุ่งหมายของการกรวดนํ้า - การกรวดนํ้านั้น เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลที่ตนได้ น่าเพ็ญแล้ว แผ่ไปให้แก่ผู้ส่วงส์บดับขันธ์ไปแล้ว - ล้าผู้กรวดนั้าอุทิศส่วนกุศลนั้น มีอาๅโสสูงกว่าผู้ล่วงลับ ไปแล้ว เช่น พ่อ แม่ กรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศลให้แก่บุตรธิดา ผู้ส่วงลับไปแล้ว หรือผู้บังดับน่ญชากรวดนั้าอุทิศให้แก่ผู้อยู่ใน บังคับบัญชาผู้ล่วงลับไปแล้ว เช่นนี้ ชื่อว่าเป็นการแผ่เมตตา กรุณาแก่ผู้ล่วงลับไปแล้วเหส่านั้น ให้มีความสุฃดามควรแก'คติ วิสัยสัมปรายภพนั้น ๆ - ล้าผู้กรวดนั้าอุทิศส่วนกุศลนั้น มีฐานะดรกว่าท่านผู้ล่วงลับ ไปแล้ว เช่น บุตรธิดากรวดนั้าอุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดามารดา ผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือผู้อยู่ได้บังดับบัญชากรวดนั้าอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ท่านผู้บังคับบัญชาผู้ล่วงลับไปแล้ว เช่นนี้ ชื่อว่าเป็นการ แสดงกดัญญกดเวทิดาธรรมแก่ท่านเหล่านั้น เพื่อช่วยส่งเสริม บุญบารมีของท่านให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น วิธีปฏิบตในการกรวดนํ้า - การกรวดนั้านี้ นิยมกระทำในงานท่าบุญทุกชนิดทั้งงาน มงคลและอวมงคล เพื่ออุทิศส่วนกุศลที่ดนได้น่าเพ็ญแล้วนั้น ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว - นั้าส่าหรับใช้ในการอุทิศส่วนกุศลนั้น นิยมใช้นั้าที่ใส สะอาดบริสุทธิ้ โดยไม่มีสิงใดเจือปนทั้งสิน www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216