- 198 - 2) อทุ ธรณใ์ นปัญหาขอ้ กฎหมายอน่ื ในกรณีท่ีผู้อุทธรณ์มีการอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. จะต้องพจิ ารณาและมีความเหน็ ในปัญหาข้อกฎหมายของผอู้ ุทธรณ์เป็นรายประเดน็ ด้วย เมอ่ื กศจ. อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นวา่ กระบวนการ ดำเนินการทางวินยั ชอบด้วยกฎหมายแลว้ จะต้องพจิ ารณาในข้อเท็จจริงตอ่ ไป แต่หากเห็นวา่ กระบวนการดำเนินการ ทางวินัยข้ันตอนใดไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือคำอุทธรณ์ฟังข้ึนในปัญหาข้อกฎหมายจะต้องพิจารณามีมติให้ไป ดำเนินการใหม่ใหถ้ ูกต้องต่อไป โดยในช้นั น้ยี งั ไมจ่ ำตอ้ งพจิ ารณาข้อเท็จจรงิ 2.2 การนงั่ พิจารณา องค์ประชุมในการน่ังพิจารณาอุทธรณ์ของ กศจ. อ.ก.ค.ศ.ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. ต้อง ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ โดยต้องไม่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการพิจารณาทางปกครอง และไม่มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณา ทางปกครองไม่เป็นกลางด้วย เช่น เคยเป็นคณะกรรมการสอบสวนวินัย หรือเคยเป็นคณะกรรมการสืบสวน ขอ้ เท็จจริงในกรณี ๆ นั้นมากอ่ น 2.3 การพจิ ารณาวินจิ ฉยั ขอ้ เทจ็ จรงิ กศจ. อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. จะตอ้ งพิจารณาอทุ ธรณ์จากสำนวนการสืบสวน หรือการพิจารณาเบ้ืองต้นของผู้บังคับบัญชา สำนวนการสอบสวนทางวินัยหรือสำนวนของ ป.ป.ช. หรือองค์กร ตรวจสอบตามกฎหมายอ่ืนท่ีปรากฏในสำนวนและในกรณีจำเป็นอาจขอเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานอื่น หรือให้ บุคคลใด หรือหน่วยงานใด มาช้ีแจงเพื่อนำไปประกอบการพิจารณาได้ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับหนังสือ อทุ ธรณน์ ำมาพิจารณาหกั ลา้ งชั่งน้ำหนกั พยาน (ขอ้ 13 วรรคหนึ่ง ของกฎ ก.ค.ศ.) ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ขอแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อที่ประชุม กศจ. อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. ให้นัดให้ผู้อุทธรณ์มาแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อที่ประชุม โดยให้แจ้งให้ผู้ส่ังลงโทษทราบด้วยว่า ถ้าประสงค์จะแถลงแก้ก็ให้มาแถลงด้วยตนเองหรือมอบหมายเป็นหนังสือให้ข้าราชการที่เก่ียวข้องเป็นผู้แทน มาแถลงแก้ต่อที่ประชุมครั้งนั้นได้ (ข้อ 13 วรรคสาม) แต่อย่างไรก็ดี หาก กศจ. อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ตั้งหรอื ก.ค.ศ. พิจารณา เหน็ ว่า การแถลงการณ์ดว้ ยวาจาไม่จำเป็นแก่การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณจ์ ะให้งดการแถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้ (ขอ้ 13 วรรคสอง ของกฎ ก.ค.ศ.) ทั้งน้ี หากให้ผู้อุทธรณ์แถลงการณ์ก็ให้นำคำแถลงการณ์ด้วยวาจามาประกอบ การพจิ ารณาโดยถอื วา่ เป็นสว่ นหนึง่ ของคำอุทธรณด์ ้วย ในการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษจะต้องพิจารณาถงึ การใชด้ ลุ พินจิ ของผบู้ ังคบั บัญชา ในการพิจารณาความผิดนั้น ซ่ึงประกอบด้วยเหตุผลท่ีได้วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงโดยละเอียดถี่ถ้วน จากพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายว่ามีน้ำหนักเพียงพอท่ีจะรับฟังได้ว่าผู้อุทธรณ์กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ผู้บังคับบัญชาจะต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่มีอคติหรือความลำเอียง และการส่ังลงโทษเหมาะสมกับความผิด ตามท่ีกฎหมายกำหนดและตามมาตรฐานโทษ นอกจากนี้จะต้องนำหลักนิติธรรมและหลักมโนธรรมมาประกอบ การพจิ ารณาดว้ ย กลา่ วคอื - หลักนิติธรรม ได้แก่ การพิจารณาโดยยึดกฎหมายเป็นหลัก การกระทำใดจะเป็น ความผิดทางวินัยกรณีใด ต้องมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางวินัย หากไม่มีกฎหมายบัญญัติ ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางวินัย ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัย ในการพิจารณาว่าการกระทำใดเป็น ความผดิ วนิ ัยกรณีใด ตอ้ งพจิ ารณาใหเ้ ข้าองค์ประกอบของการกระทำความผดิ กรณนี ้นั ดว้ ย ถ้าข้อเท็จจริงบง่ ชวี้ ่า เขา้ องค์ประกอบความผดิ ตามมาตราใด กป็ รบั บทความผดิ ไปตามมาตรานั้น และลงโทษไปตามความผิดน้นั
- 199 - - หลักมโนธรรม ได้แก่ การพิจารณาให้เป็นไปโดยถูกต้องเที่ยงธรรมตามความเป็นจริงและ ตามเหตุและผลท่ีควรจะเป็น หมายถึง การพิจารณาความผิดไม่ควรคำนึงถงึ แต่ความถูกผดิ ตามกฎหมายเท่าน้ัน แต่ควรคำนึงถึงความยุติธรรมด้วย โดยจะต้องคำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของเรื่องนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรแล้ว พจิ ารณาความผดิ ไปตามสภาพความเป็นจรงิ 2.4 การพิจารณามมี ติ เมื่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์วินัยไม่ร้ายแรงแล้ว เสรจ็ สามารถมมี ติไดต้ ามข้อ 14 ของ กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพจิ ารณาอุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ดงั น้ี (1) ถา้ เหน็ ว่าการส่งั ลงโทษถูกต้องและเหมาะสมกับความผิดแลว้ ใหม้ มี ติใหย้ กอทุ ธรณ์ (2) ถ้าเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด และเห็นว่า ผอู้ ุทธรณ์ไดก้ ระทำผดิ ควรไดร้ ับโทษหนกั ขน้ึ ให้มมี ติให้เพมิ่ โทษเป็นสถานโทษท่ีหนกั ขึน้ (3) ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด และเห็นว่า ผู้อุทธรณ์ไดก้ ระทำผิดวินัยไมร่ า้ ยแรง ควรได้รับโทษเบาลง ใหม้ ีมติใหล้ ดโทษเปน็ สถานโทษทเ่ี บาลง (4) ถ้าเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิด และเห็นว่า ผู้อุทธรณ์ได้กระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง ซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ ให้มีมติให้ส่ัง งดโทษโดยใหท้ ำทณั ฑ์บนเป็นหนังสอื หรอื ว่ากล่าวตกั เตอื นก็ได้ (5) ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้อง และเห็นว่าการกระทำของผู้อุทธรณ์ไม่เป็น ความผดิ วนิ ัยหรอื พยานหลักฐานยังฟังไม่ไดว้ ่าผ้อู ทุ ธรณก์ ระทำผิดวนิ ัย ให้มีมติใหย้ กโทษ (6 )ถ้าเห็นว่าข้อความในคำสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้มีมติให้แก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อความใหเ้ ปน็ การถกู ตอ้ งเหมาะสม (7) ถ้าเห็นว่าการส่ังลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิดและเห็นว่า กรณีมมี ลู ทคี่ วรกล่าวหาวา่ ผู้อทุ ธรณ์กระทำผิดวินยั อยา่ งรา้ ยแรง ใหม้ ีมติให้ผ้บู ังคบั บัญชาแต่งต้งั คณะกรรมการ สอบสวนตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง และดำเนนิ การตามกฎหมายตอ่ ไป (8) ในกรณีท่ีเห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงกรณีความผิดท่ีปรากฏชัดแจ้ง ตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ. หรือเห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงและได้มีการดำเนินการทางวินัย ตามมาตรา ๙๘ วรรคสองแล้ว ใหม้ มี ติให้เพ่ิมโทษเป็นปลดออกหรอื ไล่ออกจากราชการ (9) ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิดและเห็นว่า ผู้อุทธรณ์ มีกรณีที่สมควรแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนหรือให้ออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๐ (๔) มาตรา ๑๑๑ หรือมาตรา ๑๑๒ ใหม้ ีมตใิ ห้ผู้บงั คับบญั ชาแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน และดำเนนิ การตามกฎหมายต่อไป (10) ถ้าเห็นสมควรดำเนินการโดยประการอ่ืนใด เพื่อให้มีความถูกต้องตามกฎหมาย และมีความเป็นธรรมให้มมี ติให้ดำเนนิ การได้ตามควรแก่กรณี ในกรณีท่ี กศจ. อ.ก.ค.ศ.ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วเห็นสมควร ที่จะต้องสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อประโยชน์แห่งความถูกต้องและเหมาะสมตามความเป็นธรรม ก็มีอำนาจสอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพิ่มเติมในเรื่องน้ันได้ตามความจำเป็น โดยจะสอบสวนเองหรือแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนให้สอบสวนใหม่หรือสอบสวนเพ่ิมเติมแทนก็ได้ หรือกำหนดประเด็นหรือข้อสำคัญ ท่ีตอ้ งการทราบสง่ ไปให้ผ้สู อบสวนเดมิ ทำการสอบสวนเพ่ิมเติมได้ (ขอ้ 13 วรรคส่ี ของกฎ ก.ค.ศ.)
- 200 - ในการสอบสวนใหมห่ รอื สอบสวนเพ่มิ เติม ถา้ กศจ. อ.ก.ค.ศ.ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรอื ก.ค.ศ. หรือคณะกรรมการสอบสวนท่ีได้รับแต่งตั้งดังกล่าวข้างต้น เห็นสมควรส่งประเด็นหรือข้อสำคัญใดท่ีต้องการทราบ ไปสอบสวนพยานหลักฐานซึ่งอยู่ต่างท้องที่หรือต่างเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ให้มีอำนาจกำหนดประเด็นหรือข้อสำคัญน้ัน สง่ ไปเพือ่ ใหห้ วั หน้าสว่ นราชการ หรอื หัวหนา้ หน่วยงานในท้องทหี่ รือเขตพ้ืนที่การศึกษาน้ันทำการสอบสวนแทนได้ (ขอ้ 13 วรรคหา้ ของกฎ ก.ค.ศ.) 3. การแจง้ ผลการพิจารณาอทุ ธรณแ์ ละการแจง้ สทิ ธิแกผ่ ู้อุทธรณ์ 3.1 เม่ือ กศจ. อ.ก.ค.ศ.ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ได้พิจารณาอุทธรณ์แล้วมีมติเป็นประการใด แล้ว ใหผ้ ู้มอี ำนาจตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และ ทแ่ี ก้ไขเพม่ิ เตมิ ต้องสั่งหรอื ปฏิบตั ิใหเ้ ป็นไปตามนั้น (ขอ้ 15 ของกฎ ก.ค.ศ. ) 3.๒ แจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์พร้อมแจ้งสิทธิการฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายในกำหนด ระยะเวลาท่ีกำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองให้ผู้อุทธรณ์ทราบ ดว้ ย และผูอ้ ทุ ธรณจ์ ะอทุ ธรณ์ต่อไปอกี ไมไ่ ด้ (กรณที ่ผี ู้อุทธรณถ์ ูกต้ังกรรมการสอบสวนวนิ ัยไมร่ ้ายแรง) 3.3 สำหรับกรณีที่ต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ผู้อุทธรณ์ และ ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้สั่งลงโทษวินัยไม่ร้ายแรง เมื่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง พจิ ารณาอทุ ธรณ์คำสัง่ ลงโทษวนิ ยั ไม่รา้ ยแรง แลว้ เพม่ิ โทษผอู้ ทุ ธรณ์จากโทษภาคทณั ฑ์ ตัดเงินเดอื น หรือลดเงนิ เดอื น เป็นโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ หรือให้ออกท่ีไม่ใช่โทษทางวินัย ให้แจ้งสิทธิการอุทธรณ์หรือรอ้ งทุกข์ แล้วแต่กรณีตอ่ ก.ค.ศ. ได้อีกครั้งหน่ึง (ข้อ 16 ของกฎ ก.ค.ศ. ) ภายใน 30 วัน นับแต่วนั ได้รับแจ้งผลการพิจารณา อทุ ธรณ์ 4. การขอถอนอทุ ธรณ์ เมื่อผู้อุทธรณ์ได้มีการย่ืนอุทธรณ์ไว้แล้ว หากประสงค์จะถอนอุทธรณ์ สามารถขอถอน อทุ ธรณ์กอ่ นทีจ่ ะมีการพิจารณาวนิ ิจฉัยอุทธรณ์ โดยทำเป็นหนังสือย่ืนตอ่ ศกึ ษาธกิ ารจงั หวัด หรอื ประธาน กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตัง้ หรอื ก.ค.ศ. การพิจารณาอุทธรณ์ใหเ้ ป็นอันระงบั หมายเหตุ การพิจารณาอุทธรณ์กรณีผู้อุทธรณ์ย้ายจากสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาเดิมไปสังกัด ต่างเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ซ่ึงอยู่ในอำนาจหน้าท่ีของ กศจ. แห่งใหม่ ให้ดำเนินการตามข้อ ๑๒ ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการอทุ ธรณ์และการพจิ ารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2550 ดงั น้ี 1. กรณีท่ีผู้ถูกลงโทษได้ย้ายไปสังกัดเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ซึ่งตั้งอยู่ต่าง กศจ. โดยยังไม่ได้ย่ืนอุทธรณ์ คำสง่ั ลงโทษ ให้ย่ืนอทุ ธรณต์ ่อ กศจ. ท่ีหน่วยงานการศกึ ษาแห่งใหม่ของผูอ้ ุทธรณ์ตั้งอยู่ในพน้ื ที่ 2. กรณีท่ีผู้อุทธรณ์ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว ต่อมาไดย้ ้ายไปสังกัดเขตพื้นที่การศกึ ษาซึ่งตั้งอยูต่ ่าง กศจ. และ กศจ. (อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษา) เดมิ น้นั ยังมไิ ดม้ ีมตใิ ห้สง่ เร่อื งอุทธรณ์และเอกสารหลักฐานไปให้ กศจ. ทห่ี นว่ ยงานการศึกษาแห่งใหม่ของผ้อู ทุ ธรณ์ตั้งอยู่เปน็ ผู้พจิ ารณาวินจิ ฉยั อุทธรณต์ ่อไป 3. กรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้ย้ายไปสังกัดเขตพื้นท่ีการศึกษา ซึ่งต้ังอยู่ต่าง กศจ. หลังจาก กศจ. ได้มีมติแลว้ แต่ผู้บังคับบัญชาผู้มอี ำนาจยังมิได้สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมติน้ัน ให้ส่งเรอื่ งอุทธรณ์และเอกสารหลักฐาน ท่ีเก่ียวข้องพร้อมทั้งรายงานการประชุม และมติ กศจ. ไปให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจใหม่เป็นผู้ส่ังหรือปฏิบัติ ใหเ้ ป็นไปตามมตนิ ้ัน ทัง้ น้ี กรณีผู้อทุ ธรณ์ย้าย หรือโอนไปสังกัดสว่ นราชการอ่ืน ให้ยื่นอุทธรณ์ ต่อ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง ทผี่ ู้อุทธรณ์โอนหรือยา้ ยไปสงั กัด
- 201 - การอุทธรณ์ ผู้อทุ ธรณ์ สงั กัดเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา โทษภาคทณั ฑ์ โทษภาคทณั ฑ์ โทษปลดออก/ไลอ่ อก ตัดเงนิ เดือน ตัดเงินเดอื น จากราชการ ลดเงนิ เดอื นของ ลดเงินเดือนของ - ผอู้ ำนวยการสำนักงาน เขตพน้ื ท่ีการศึกษา - นายกรฐั มนตรี - ผ้อู ำนวยการสถานศึกษา - รัฐมนตรีเจ้าสังกัด - เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา ขัน้ พ้ืนฐาน - คำส่ังของผบู้ งั คับบัญชาซง่ึ ส่ังการ ตามมติ กศจ. กศจ. ก.ค.ศ. พจิ ารณามมี ติ ผู้อทุ ธรณ์จะอุทธรณต์ อ่ ไปไม่ได้ ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ สั่งหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมติ
- 202 - การอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์ ไม่สงั กดั เขตพืน้ ท่ีการศึกษา โทษภาคทณั ฑ์ โทษภาคทณั ฑ์ โทษ ปลดออก/ ตัดเงินเดือน ตัดเงินเดอื น ไล่ออกจากราชการ ลดเงนิ เดอื น ลดเงนิ เดือน ของ ของ - ปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ - นายกรัฐมนตรี - เลขาธิการ - รฐั มนตรีเจ้าสังกัด - อธิบดี - ปลัดกระทรวง - ศึกษาธิการจงั หวดั - คำส่ังของผูบ้ ังคับบัญชา - ผอู้ ำนวยการสถานศึกษา ซงึ่ สั่งการตามมติ อ.ก.ค.ศ.ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ.ตั้ง ก.ค.ศ. พิจารณามมี ติ ผูอ้ ทุ ธรณจ์ ะอุทธรณ์ตอ่ ไปไม่ได้ ใหผ้ ้มู ีอำนาจตามมาตรา 53 สง่ั หรือปฏิบัตใิ ห้เป็นไปตามมติ
- 203 - การรอ้ งทุกข์ การร้องทุกข์ เป็นวิธีการหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาท่ีเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีความคับข้องใจในการปฏิบัติของผูบ้ ังคับบัญชาเก่ียวกบั การบริหารงานบุคคลท่ีได้ปฏบิ ัติต่อตนวา่ เป็นการกระทำที่ ไม่ถูกต้อง ได้ร้องขอให้ผู้บังคับบัญชาได้ทบทวนการปฏิบัติต่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และแก้ไขในส่ิงที่ไม่ถูกต้อง หรือชแี้ จงเหตผุ ลความถูกต้องท่ีได้ปฏิบัติไปใหผ้ ู้ร้องทุกขท์ ราบและเข้าใจ หรอื ให้ผู้มีอำนาจหน้าท่ีตามกฎหมาย หรือผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปได้พิจารณาให้ความเป็นธรรมตามสมควร ซึ่งจะก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่าง ผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา โดยกระบวนการร้องทุกข์กำหนดให้มีการร้องทุกข์ด้วยวาจาเพื่อได้ทำ ความเข้าใจกันก่อน หากไม่เป็นที่พอใจจึงให้ร้องทุกข์เป็นหนังสือ ต่อองค์กรการบริหารงานบุคคล อันได้แก่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ังหรือ ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี นอกจากนั้นการร้องทุกข์ยังเป็นช่องทางให้มีการตรวจสอบและ ถว่ งดุลการใช้อำนาจ ของผู้บังคับบัญชาให้เปน็ ไปโดยถกู ต้องและเป็นธรรมด้วย ความหมายและวัตถปุ ระสงคข์ องการร้องทุกข์ การร้องทุกข์ หมายถึง การร้องขอให้แก้ไขปัญหาท่ีเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีความ คับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาในเร่ืองเก่ียวกับการบริหารงานบุคคลที่ไม่ใช่การโต้แย้งคำสั่ง ลงโทษทางวนิ ยั หรือการแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัย วัตถุประสงค์ (๑) เพอื่ ตรวจสอบและถว่ งดลุ การใชอ้ ำนาจของผู้บังคับบัญชาให้เปน็ ไปโดยถกู ต้อง 2) เพื่อให้การบริหารราชการเกิดความโปร่งใสและเป็นธรรม ซ่ึงเป็นการสร้างขวัญและ กำลังใจแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อันจะนำไปสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติ ราชการและกอ่ ใหเ้ กดิ ความสัมพันธ์อันดรี ะหว่างผบู้ งั คับบญั ชาและผู้อยใู่ ตบ้ ังคบั บญั ชา (๓) เพื่อให้ผ้บู งั คับบัญชาไดท้ ราบปญั หาของหน่วยงานและหาหนทางแก้ไขปญั หาได้ทนั ทว่ งที ผมู้ สี ิทธิร้องทุกข์ ผู้มสี ทิ ธิร้องทกุ ข์ ได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 1) ไม่ได้รับความเป็นธรรม 2) คับข้องใจ เน่อื งจากการกระทำของผู้บงั คบั บญั ชา 3) ถูกส่ังแต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน 4) ถูกสัง่ พักราชการ 5) ถูกส่ังใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น 6) ถกู สง่ั ให้ออกจากราชการ
- 204 - เหตุทจี่ ะร้องทุกข์ เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 ได้กำหนดไว้ ดงั น้ี 1. ไมไ่ ดร้ ับความเปน็ ธรรม เช่น - การบรรจุและแต่งตงั้ - การช่วยราชการ - การยา้ ย หรอื การโอน - การมหี รอื เลือ่ นวทิ ยฐานะ - การเล่อื นเงนิ เดอื น ฯลฯ 2. คับขอ้ งใจจากการกระทำของผบู้ งั คบั บัญชา เช่น - การบรหิ ารงานบุคคลโดยการเลือกปฏบิ ัติอยา่ งไมเ่ ปน็ ธรรม เพราะเหตุแหง่ ความแตกตา่ ง ในเร่ืองถน่ิ กำเนดิ เชอ้ื ชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสขุ ภาพ สถานะของบุคคล ฯลฯ - ไมม่ อบหมายใหป้ ฏบิ ตั งิ าน - ประวงิ เวลา หรอื หน่วงเหนยี่ วใหไ้ ม่ไดป้ ระโยชน์หรือรับสทิ ธิอนั พงึ มพี งึ ได้ 3. ถกู ต้งั คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั ตามมาตรา 98 4. ถูกส่ังพักราชการ ตามมาตรา 103 กรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้ง คณะกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำ โดยประมาทหรอื ความผิดลหโุ ทษ 5. ถกู สง่ั ให้ออกจากราชการไว้กอ่ น ตามมาตรา 103 6. ถกู สัง่ ใหอ้ อกจากราชการ ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาอาจถูกสั่งให้ออกจากราชการได้หลายกรณี เช่น (1) ถูกสั่งให้ออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติทั่วไป หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับ ตำแหนง่ อย่กู อ่ นบรรจุ (มาตรา 49) (2) ถูกส่ังให้ออกจากราชการเพราะทดลองปฏิบัติหน้าท่ีราชการ หรือเตรียมความพร้อมและ พัฒนาอย่างเข้ม แล้วปรากฏว่าไม่เหมาะสมท่ีจะให้รับราชการต่อไป เน่ืองจากผลการประเมินการปฏิบัติหน้าที่ ราชการ หรือเตรียมความพรอ้ มและพัฒนาอย่างเขม้ ตำ่ กว่าเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด (มาตรา 56) (3) ถูกสั่งใหอ้ อกจากราชการเพราะเหตรุ บั ราชการนาน (มาตรา 110) (4) ถูกสั่งให้ออกจากราชการเพอื่ รบั บำเหนจ็ บำนาญเหตทุ ดแทน (มาตรา 110) (5) ถูกสงั่ ใหอ้ อกจากราชการเพราะเหตเุ จบ็ ปว่ ยไม่อาจปฏบิ ตั หิ น้าทรี่ าชการได้ (มาตรา 110) (6) ถกู ส่ังใหอ้ อกจากราชการเพราะสมัครไปปฏิบตั ิงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการ (มาตรา 110) (7) ถูกส่ังให้ออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติทั่วไปตามมาตรา 30 (1) (4) (5) (7) (8) หรอื (9) (มาตรา 110) (8) ถูกสั่งให้ออกจากราชการเพราะเหตุทางราชการเลิกหรือยบุ ตำแหน่ง (มาตรา 110) (9) ถูกส่งั ใหอ้ อกจากราชการตามมาตรา 30 (3) (มาตรา 110)
- 205 - (10) ถูกสั่งให้ออกจากราชการเพราะหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ หรือบกพรอ่ งในหนา้ ที่ราชการ หรอื ประพฤติตนไม่เหมาะสมกบั ตำแหน่งหน้าทร่ี าชการ (มาตรา 111) (11) ถกู สงั่ ใหอ้ อกจากราชการเพราะมีมลทนิ มัวหมองในกรณที ่ีถูกสอบสวน (มาตรา 112) (12) ถกู ส่ังให้ออกจากราชการเพราะตอ้ งรับโทษจำคกุ โดยคำสง่ั ศาล หรอื โดยคำพพิ ากษาถงึ ที่สดุ ให้จำคุก โดยศาลไม่รอการลงโทษในความผิดท่ีได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ซ่ึงยังไม่ถึงกับ จะต้องถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ซ่ึงผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการเพ่ือรับ บำเหนจ็ บำนาญเหตุทดแทนได้ (มาตรา 113) (13) ถูกสัง่ ใหอ้ อกจากราชการเพอื่ ไปรับราชการทหาร (มาตรา 114) (14) ถูกส่ังให้ออกจากราชการเพราะมีเหตุสมควรให้ออกจากราชการอยู่ก่อนวันโอนมาบรรจุ (มาตรา 118) (15) ถูกสงั่ ให้ออกจากราชการเพราะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพ ตามมาตรา 109 รอ้ งทุกข์ อยา่ งไร 1. การร้องทุกข์กรณีถูกส่ังให้ออกจากราชการ มาตรา 122 ให้ร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ.ภายใน 30 วันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้งคำสั่ง โดยให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการอุทธรณ์ และการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ พ.ศ. 2550 มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม 2. การร้องทุกข์ตาม มาตรา 123 ให้ร้องทุกข์ต่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ังหรือ ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี ท้ังนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ.ศ. 2551 วิธีการรอ้ งทุกข์ ถา้ ผู้รอ้ งทกุ ขไ์ มป่ ระสงค์จะปรกึ ษาหารือ หรือปรึกษาหารอื แลว้ ไม่เปน็ ทพี่ อใจกอ็ าจดำเนินการ ตอ่ ไปได้ ดงั น้ี 1. ทำหนังสอื รอ้ งทุกขล์ งลายมือชอ่ื พร้อมท่ีอยขู่ องผูร้ อ้ งทกุ ข์ 2. หนังสือร้องทุกข์ต้องมีสาระสำคัญท่ีแสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลให้เห็นว่า ไม่ได้รับความ เป็นธรรมหรือมคี วามคับขอ้ งใจอย่างไร และแจง้ ความประสงค์ของการร้องทุกขพ์ ร้อมพยานหลกั ฐานท่ีมี 3. ย่ืนภายใน 30 วนั นบั แต่วันท่ไี ด้ทราบหรือควรทราบเหตุแหง่ การรอ้ งทกุ ข์ 4. ร้องทุกข์ไดส้ ำหรบั ตนเองเทา่ นนั้ จะร้องทุกขแ์ ทนผ้อู นื่ หรอื ให้ผ้อู ่ืนร้องทุกข์แทนไมไ่ ด้ 5. การย่ืนหนังสือร้องทุกข์ ผู้ร้องทุกข์อาจนำไปยื่นเองหรือส่งทางไปรษณีย์ก็ได้ โดยถือวันที่ ท่ไี ปรษณียป์ ระทับตรารบั ทีซ่ องเปน็ วันส่งหนังสือร้องทุกข์ 6. ผู้ร้องทุกข์จะย่ืนหรือส่งหนังสือร้องทุกข์ พร้อมกับสำเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับผ่าน ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ก็ได้ และให้ผู้บังคับบัญชาน้ันส่งหนังสือร้องทุกข์พร้อมทั้งเอกสาร หลักฐานท่ีเกี่ยวข้อง โดยให้มีคำชี้แจงประกอบด้วย เพ่ือประกอบการพิจารณาของผู้มีอำนาจพิจารณาร้องทุกข์ ภายใน 7 วนั ทำการ นบั แตว่ นั ท่ีได้รบั หนังสือร้องทุกข์
- 206 - การยืน่ หรอื ส่งหนงั สอื รอ้ งทกุ ข์/ถอนคำรอ้ งทกุ ข์ การยื่นหนังสือร้องทุกข์ต้องทำหนังสือถึงประธาน กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. หรือ ศึกษาธิการจังหวดั หรือส่วนราชการทที่ ำหน้าทเ่ี ลขานกุ าร อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรอื ก.ค.ศ. (ข้อ 5 และข้อ ๖ วรรคหนง่ึ ) การร้องทุกข์เพ่ิมเติม เม่ือได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ฉบับแรกต่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ไว้โดยชอบแล้ว หากผู้ร้องทุกข์ยื่นเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. เร่มิ การพจิ ารณาร้องทกุ ข์กใ็ ห้ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั หรอื ก.ค.ศ. รบั ไวพ้ จิ ารณา (ขอ้ 6 ) การขอถอนคำร้องทกุ ข์ ในกรณีทีผ่ ู้ร้องทุกข์ไม่ประสงค์จะให้มีการพิจารณาเรื่องร้องทกุ ขต์ ่อไป จะขอถอนเรื่องร้องทุกข์ก่อนที่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. จะพิจารณาเสร็จส้ินก็ได้ โดยทำเป็น หนังสือย่ืนหรือส่งต่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. เม่ือได้ถอนเร่ืองร้องทุกข์แล้ว การพิจารณาเรื่อง รอ้ งทกุ ข์นัน้ เป็นอันระงับ (ข้อ 1๐) ผ้มู ีอำนาจพิจารณาร้องทุกข์ 1. การร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีสังกัดเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ใหร้ ้องทกุ ขไ์ ด้ ดังนี้ (1) ในกรณีทเ่ี หตรุ ้องทุกขเ์ กิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ หรือคำสั่งของผูบ้ ังคบั บญั ชา ซึ่งสั่งการตามมติของ กศจ. หรือกรณีเหตุร้องทุกข์ เกิดจากการถูกสั่งพักราชการตามมาตรา 103 ให้ร้องทุกข์ ตอ่ ก.ค.ศ. และให้ ก.ค.ศ. เป็นผู้พิจารณา (2) ในกรณีท่ีเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนที่ การศกึ ษาลงมาให้รอ้ งทุกข์ตอ่ กศจ. และให้ กศจ. เปน็ ผูพ้ ิจารณา 2. ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาท่ีมิไดส้ ังกัดเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาใหร้ ้องทุกข์ได้ดังน้ี (1) ในกรณีที่เหตุร้องทุกข์เกิดจากนายกรฐั มนตรี รัฐมนตรเี จ้าสังกัด ปลัดกระทรวง หรือ คำสง่ั ของผูบ้ ังคับบัญชาซงึ่ ส่ังการตามมตขิ อง อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรือกรณีเหตุรอ้ งทกุ ขเ์ กดิ จากการถูกส่ังพัก ราชการตามมาตรา 103 ใหร้ อ้ งทุกขต์ ่อ ก.ค.ศ. และให้ ก.ค.ศ. เป็นผู้พิจารณา (2) ในกรณีที่เหตุร้องทุกข์เกิดจากปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการ อธิบดีหรือตำแหน่ง ที่เรยี กช่ืออย่างอื่นทมี่ ีฐานะเทียบเท่า อธกิ ารบดหี รือตำแหนง่ ที่เรยี กชื่ออย่างอืน่ ที่มีฐานะเทียบเท่าผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการกอง ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือตำแหน่งที่เรียกช่ืออย่างอื่นท่ีมีฐานะเทียบเท่า ให้ร้องทุกข์ ตอ่ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั และให้ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั เปน็ ผู้พจิ ารณา กรณีการร้องทุกข์ของข้าราชการท่ีปฏิบัติงานในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดน้ัน ให้ร้องทุกข์ต่อ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง และให้ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง เป็นผู้พิจารณา เน่ืองจากเป็นการร้องทุกข์ของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาทมี่ ิได้สังกัดเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา จึงไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของ กศจ. (ข้อ 8 (2) ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการรอ้ งทุกขแ์ ละการพิจารณารอ้ งทุกข์ พ.ศ. 2551)
- 207 - การคดั คา้ นกรรมการผ้พู จิ ารณาร้องทกุ ข์ ผรู้ อ้ งทกุ ขม์ ีสิทธิคัดคา้ นอนุกรรมการหรอื กรรมการ ผู้พจิ ารณารอ้ งทุกขถ์ ้าผูน้ น้ั มีเหตอุ ยา่ งหน่ึงอยา่ งใด ดงั ต่อไปนี้ ๑) เปน็ ผบู้ งั คบั บัญชาผ้เู ปน็ เหตุแหง่ การรอ้ งทุกข์ ๒) มีสว่ นได้เสียในการกระทำท่ที ำใหเ้ กดิ การรอ้ งทกุ ข์ ๓) มสี าเหตโุ กรธเคืองผู้ร้องทกุ ข์ ๔) เป็นคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพ่ีน้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดาหรือมารดา กบั ผู้บังคบั บญั ชาผู้เปน็ เหตุแห่งการรอ้ งทกุ ข์ การคัดค้านอนุกรรมการหรือกรรมการผู้พิจารณาร้องทุกข์น้ัน ผูร้ ้องทุกข์ต้องแสดงข้อเท็จจริง ที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสือร้องทุกข์ หรือแจ้งเพิ่มเติมเป็นหนังสือ ก่อนท่ี กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ.เริม่ พจิ ารณาร้องทกุ ข์ เมื่อมีเหตุหรือมีการคดั ค้านแล้ว อนุกรรมการหรือกรรมการผู้นั้นจะขอถอนตัวไม่รว่ มพิจารณา รอ้ งทุกข์น้ันก็ได้ ถ้าอนุกรรมการหรอื กรรมการผู้นั้นมิได้ขอถอนตัว ให้อนุกรรมการหรือกรรมการที่เหลืออยู่ นอกจาก อนุกรรมการหรือกรรมการผู้ถกู คัดคา้ น พจิ ารณาข้อเทจ็ จรงิ ท่คี ัดคา้ นหากเห็นว่าข้อเท็จจรงิ นน้ั นา่ เช่ือถือ ใหแ้ จ้ง อนุกรรมการหรือกรรมการผู้น้ันทราบและมิให้ร่วมพิจารณาร้องทุกข์นั้น เว้นแต่จะพิจารณาเห็นว่า การให้ อนุกรรมการหรือกรรมการผู้น้ันร่วมพิจารณาร้องทุกข์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะจะทำให้ได้ความจริง และเป็นธรรม จะให้อนกุ รรมการหรอื กรรมการผ้นู นั้ รว่ มพิจารณาเร่อื งร้องทุกขน์ นั้ ก็ได้ (ข้อ 9 ) การพิจารณารอ้ งทุกข์ การพิจารณาร้องทกุ ข์ตอ้ งดำเนินการใหเ้ ปน็ ไปตามกฎ ก.ค.ศ. วา่ ด้วยการรอ้ งทกุ ขแ์ ละการพิจารณา รอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในการพิจารณาร้องทุกข์ของ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ.ต้องถือปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ โดยตอ้ งไม่เป็นผู้มี ลักษณะต้องห้ามในการพิจารณาทางปกครอง และไม่มีสภาพร้ายแรง อันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครอง ไม่เป็นกลางด้วย เม่ือได้รับหนังสือร้องทุกข์ท่ียื่นต่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ.แล้ว ในการพิจารณา มแี นวดำเนนิ การ ดังนี้ ๑. การพิจารณาตรวจสอบหนงั สอื ร้องทกุ ข์ ๑.๑ การร้องทุกข์ตอ้ งทำเปน็ หนงั สอื - จะรอ้ งทกุ ขด์ ้วยวาจาหรอื จะร้องทกุ ข์ด้วยวธิ อี ่นื โดยไมท่ ำเป็นหนังสอื ไม่ได้ ๑.๒ สาระในหนงั สอื ร้องทุกข์ - ต้องเป็นการร้องทุกข์สำหรับตนเองเท่าน้ันจะร้องทุกข์แทนผู้อ่ืนหรือมอบหมาย ให้ผู้อน่ื ร้องทุกข์แทนไม่ได้ - ต้องมีลายมือช่ือ ทอี่ ยู่ (ทสี่ ามารถตดิ ตอ่ ได)้ และตำแหนง่ ของผู้รอ้ งทุกข์
- 208 - - ต้องมีสาระสำคัญที่แสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลให้เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีความคับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย อยา่ งไร มขี ้อโต้แย้งคดั ค้านอยา่ งไร และประสงคใ์ ห้ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรอื ก.ค.ศ. มมี ติอย่างไร เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์มีสาระสำคัญถูกต้องครบถ้วน และอยภู่ ายในกำหนดระยะเวลาร้องทุกข์กใ็ ห้รบั เร่ืองร้องทุกขด์ ังกลา่ วไว้พิจารณาวนิ ิจฉยั ห า ก ห นั ง สื อ ร้ อ ง ทุ ก ข์ มี ส า ร ะ ไม่ ค ร บ ถ้ ว น แ ล ะ ยั ง อ ยู่ ใน ก ำ ห น ด ร ะ ย ะ เว ล า ร้ อ ง ทุ ก ข์ ให้ เจ้ า ห น้ า ท่ี แ น ะ น ำ ให้ ด ำ เนิ น ก า ร แ ก้ ไข เพ่ิ ม เติ ม ให้ ถู ก ต้ อ ง ต า ม พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ วิ ธี ป ฏิ บั ติ ร า ช ก า ร ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗ มาตรา ๒๗ - การขอแถลงการณ์ด้วยวาจา ถ้าผู้ร้องทุกข์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจา ต่อที่ประชุมต้องแสดงความประสงค์ไว้ในหนังสือร้องทุกข์หรือจะทำเป็นหนังสือต่างหากก็ได้โดยย่ืนหรือส่งตรง ตอ่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรอื ก.ค.ศ. ก่อนเริม่ พจิ ารณาเรอื่ งร้องทกุ ข์ ๒. การตรวจสอบกำหนดเวลาร้องทุกขแ์ ละการนบั เวลาในการรอ้ งทุกข์ การตรวจสอบกำหนดเวลาในการยื่นหนังสือร้องทุกข์และการนับเวลาในการร้องทุกข์ ต้องตรวจสอบจากหลักฐานการได้รับทราบคำส่ังหรือเร่ืองอันเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ว่าได้รับทราบคำสั่ง หรอื เรอื่ งอันเป็นเหตุแห่งการรอ้ งทกุ ขเ์ มื่อใด และมีการแจง้ สทิ ธใิ นการรอ้ งทกุ ข์ตอ่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. หรอื ไม่ การร้องทุกข์ ผู้ร้องทุกข์ต้องร้องทุกข์ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบเร่ืองอันเป็นเหตุ แห่งการร้องทุกข์ (ข้อ ๕ วรรคหนง่ึ ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าดว้ ยการรอ้ งทกุ ข์และการพจิ ารณาร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) ๒.๑ กรณีมีการแจ้งสิทธใิ ห้ร้องทุกข์ ตอ่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. ต้องตรวจสอบว่าผู้ร้องทุกข์ได้ย่ืนหนังสือร้องทุกข์ภายในสามสิบวันนับแต่ได้รับแจ้งคำสั่ง หรือทราบเรื่องอันเป็นเหตุแหง่ การร้องทุกข์ หรอื ไม่ ๒.๒ กรณีไม่มีการแจ้งสิทธิให้ร้องทุกข์ ต่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. กรณีผู้บังคับบัญชาไม่แจ้งสิทธิในการร้องทุกข์ให้ทราบจะทำให้ระยะเวลาในการใช้สิทธิ ร้องทุกข์ขยายออกไปอีก ถ้ามีการแจ้งสิทธิให้ร้องทุกข์ใหม่ ผู้ร้องทุกข์มีสิทธิร้องทุกข์ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ี ได้รับแจ้งสิทธิครั้งใหม่ แต่ถ้าไม่มีการแจ้งสิทธิให้ร้องทุกข์ใหม่ให้สิทธิการร้องทุกข์ขยายเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ ไดร้ ับแจง้ คำสั่ง (มาตรา ๔๐ แหง่ พระราชบญั ญัตวิ ิธีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ๒.๓ การนบั เวลาในการรอ้ งทุกข์ - การนับเวลาเร่ิมตน้ ให้นับวันถัดจากวันที่ได้รับทราบเร่ืองอันเป็นเหตแุ ห่งการร้องทุกข์น้ัน เป็นวันแรกหรือวันท่ีหนึ่งแห่งการเริ่มนับเวลา ท้ังนี้ ในกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์นำหนังสือร้องทุกข์มายื่นเอง ให้ถือวันท่ีรับหนังสือเป็นวันย่ืนหนังสือร้องทุกข์ ส่วนกรณีท่ีส่งหนังสือร้องทุกข์ทางไปรษณีย์ ให้ถือวันที่ ที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางออกใบรับฝาก หรือวันที่ที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับที่ซองหนังสือ เปน็ วนั ส่งหนงั สือร้องทุกข์
- 209 - - การนับเวลาสิ้นสุด ถ้าวันสุดท้ายแห่งการนับเวลาตรงกับวันหยุดราชการให้นับ วันเร่ิมเปิดทำการใหม่เป็นวันสุดท้ายแห่งการนับเวลาน้ัน (ข้อ 17 ) 3. การดำเนินการพิจารณารอ้ งทกุ ข์ เมื่อตรวจสอบหนังสือร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ที่ยื่นต่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แล้วเห็นว่า เป็นคำร้องทุกข์ท่ีรับไว้พิจารณาต่อไปได้แล้ว ให้ดำเนินการมีหนังสือแจ้งพร้อมส่งสำเนาหนังสือ ร้องทุกขใ์ ห้ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ทราบ และให้จัดส่งคำชี้แจงและเอกสารหรือหลักฐาน ทเ่ี ก่ียวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. โดยเม่ือได้รบั คำช้แี จงและ เอกสารหรือหลักฐานที่เก่ียวข้องแล้ว จะต้องพิจารณาตรวจสอบคำร้องทุกข์ทั้งในประเด็นข้อกฎหมายและ ประเดน็ ข้อเท็จจริง โดยการพิจารณาคำร้องทุกข์จะต้องพิจารณาข้อกฎหมายเป็นอันดับแรก เพราะการร้องทุกข์ จะตอ้ งดำเนินการใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารท่ีกฎหมายกำหนด ได้แก่ (๑) รอ้ งทุกขภ์ ายในเวลาที่กำหนด หรือไม่ (๒) มีการลงลายมือช่อื ผูร้ ้องทกุ ข์ หรอื ไม่ (๓) หนงั สือร้องทกุ ข์มีสาระสำคญั หรือไม่ (๔) ระบทุ ี่อยู่ของผู้รอ้ งทกุ ข์ หรอื ไม่ (๕) มีการขอแถลงการณด์ ว้ ยวาจา หรือไม่ (๖) มกี ารคัดค้านผ้พู ิจารณารอ้ งทุกข์ หรือไม่ หรือเจา้ หนา้ ท่ผี ู้พจิ ารณาร้องทกุ ขเ์ ป็นผมู้ ีลักษณะ ตอ้ งหา้ ม หรือมีสว่ นไดเ้ สยี หรอื มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำใหก้ ารพจิ ารณาไมเ่ ป็นกลาง หรือไม่ นอกจากนก้ี ารพิจารณาคำร้องทุกข์ ให้ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาถึง เหตุแห่งการไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเหตุแห่งความคับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือ เหตแุ หง่ การแตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัย และมีอำนาจขอเอกสารหรือหลักฐานทเี่ กี่ยวข้องเพม่ิ เติม รวมท้ัง คำช้แี จงจากหนว่ ยงานหรือขอให้ผู้แทนหน่วยงาน หรือบุคคลใด ๆ มาช้ีแจง เพือ่ ประกอบการพิจารณาได้ กรณี ท่ีผู้ร้องทุกข์ขอแถลงการณ์ด้วยวาจา หาก กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. เห็นว่าการแถลงการณ์ ด้วยวาจาไม่จำเป็นแก่การพิจารณาเรื่องร้องทุกข์จะให้งดแถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีที่นัดให้ผู้ร้องทุกข์ มาแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อที่ประชุม ให้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ทราบ ด้วยว่า ถ้าประสงคจ์ ะแถลงแกก้ ใ็ หม้ าแถลงหรือจะมอบหมายเปน็ หนังสอื ใหผ้ ู้แทนมาแถลงต่อทีป่ ระชุมก็ได้ (ข้อ ๑๒ ) การพจิ ารณาวินิจฉัยเรอ่ื งรอ้ งทกุ ข์ 1. ให้ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ให้แล้วเสร็จ ภายใน 30 วัน นบั แตว่ นั ไดร้ บั หนังสือรอ้ งทุกข์ และเอกสารหลักฐานคำช้แี จงจากผูบ้ ังคบั บัญชาแล้ว แตถ่ า้ มี ความจำเป็นไม่อาจพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเวลาดังกล่าว ให้ขยายเวลาพิจารณาได้อีกไม่เกิน 30 วัน และ ใหบ้ นั ทกึ แสดงเหตุผลความจำเป็นท่ีตอ้ งขยายเวลาไว้ด้วย 2. เมอ่ื ครบกำหนดขยายเวลา 30 วันแลว้ การพิจารณายงั ไม่แล้วเสร็จใหข้ ยายเวลาพิจารณา ได้อีกไม่เกิน 30 วัน แต่ท้ังน้ีให้พิจารณากำหนดมาตรการท่ีจะทำให้การพิจารณาแล้วเสร็จโดยเร็ว และบันทึก ไวเ้ ปน็ หลกั ฐานในรายงานการประชมุ ดว้ ย
- 210 - 3. การพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ให้ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาถึงเหตุ แห่งการไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเหตุแห่งความคับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือเหตุ แหง่ การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และ ในกรณีจำเป็นและสมควรอาจขอเอกสารและหลักฐานท่เี ก่ียวขอ้ ง เพ่ิมเติม รวมท้ังคำช้ีแจงจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ หรือขอให้ผู้แทนหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ หา้ งหุ้นส่วน บรษิ ัท หรอื บุคคลใด ๆ มาให้ ถอ้ ยคำหรอื ช้แี จงข้อเทจ็ จริง เพื่อประกอบการพจิ ารณาได้ ผลการวินจิ ฉัยร้องทุกข์ เม่ือ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. พจิ ารณาวินิจฉยั เรือ่ งร้องทุกข์ แล้วเสร็จ สามารถมมี ติได้ตามข้อ 14 ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าดว้ ยการรอ้ งทกุ ข์และการพจิ ารณารอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดงั น้ี 1. ถ้าเห็นว่าเหตุท่ีทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเหตุแห่งความคับข้องใจ หรือการแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยนั้น ผู้บงั คบั บญั ชาได้ใช้อำนาจหนา้ ท่ีปฏิบัตติ อ่ ผู้รอ้ งทุกขช์ อบด้วยกฎหมายแล้ว ใหม้ มี ติยกคำร้องทกุ ข์ 2. ถ้าเห็นว่าเหตุที่ทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเหตุแห่งความคับข้องใจ หรือการแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยน้ัน ผู้บังคับบัญชาได้ใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ร้องทุกข์โดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมายให้มีมติเพิกถอนหรือยกเลิกการปฏิบัติหรือให้ข้อแนะนำตามที่เห็นสมควรเพ่ือให้ผู้บังคับบัญชา ปฏบิ ตั ใิ ห้ถกู ต้องตามระเบยี บและแบบธรรมเนียมของทางราชการ 3. ถ้าเห็นสมควรดำเนินการโดยประการอ่ืนใด เพ่ือให้มีความถูกต้องตามกฎหมายและ มีความเป็นธรรมใหม้ มี ติให้ดำเนินการได้ตามควรแกก่ รณี 4. ถ้าเห็นว่าการร้องทุกข์ไม่เปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ในขอ้ 5 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือขอ้ 7 หรือข้อ ๘ ใหม้ ีมตไิ ม่รบั คำรอ้ งทกุ ข์ 5.การพิจารณามีมติเร่ืองร้องทุกข์ดังกล่าวข้างต้น ให้บันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉัย ไวใ้ นรายงานการประชมุ ด้วย 6. การแจ้งผลพิจารณารอ้ งทุกข์และการแจ้งสิทธแิ ก่ผู้รอ้ งทกุ ข์ - เม่ือ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ได้พิจารณาร้องทุกข์แล้ว ให้แจ้งผลการพิจารณา ร้องทุกขไ์ ปยังผู้บงั คับบัญชาผเู้ ปน็ เหตุแห่งทุกข์ หรอื ผมู้ อี ำนาจตามมาตรา 53 ของผรู้ อ้ งทกุ ข์ - แจ้งผลการพจิ ารณารอ้ งทุกข์พรอ้ มท้ังแจ้งสิทธิการฟ้องคดีปกครองภายในกำหนดระยะเวลา ท่ี ก ำห น ด ไว้ ใน ก ฎ ห ม าย ว่ าด้ ว ย ก า ร จั ด ตั้ งศ า ล ป ก ค ร อ งแ ล ะ วิ ธี พิ จ าร ณ าค ดี ป ก ค ร อ งให้ ผู้ ร้ อ งทุ ก ข์ ท ร า บ รวมถงึ แจ้งดว้ ยว่าผ้รู ้องทกุ ข์จะรอ้ งทกุ ข์ต่อไปไม่ได้ (เปน็ ทส่ี ุด) การดำเนนิ การตามผลการพิจารณารอ้ งทกุ ข์ เมื่อ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ.ได้พิจารณามีมติแล้ว ให้ผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 แห่ง พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม สั่งหรือปฏิบัติ ให้เปน็ ไปตามมตนิ น้ั และมตขิ อง กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตง้ั หรอื ก.ค.ศ. ให้เป็นท่สี ุด (ข้อ ๑๕ และขอ้ 16 )
- 211 - การรอ้ งทกุ ข์ - ไม่ไดร้ ับความเปน็ ธรรม - ความคบั ข้องใจจากการกระทำ ของผู้บังคบั บัญชา - ถูกแตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวน (มาตรา 123) สงั กัดเขตพื้นท่ีการศึกษา ไม่สงั กัดเขตพนื้ ท่ีการศึกษา สังกัด/ไม่สังกัดเขตพืน้ ที่การศกึ ษา - ผ้อู ำนวยการ - ปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร - นายกรัฐมนตรี สถานศึกษา - เลขาธิการ - รฐั มนตรี - ผูอ้ ำนวยการสำนักงาน - อธิบดี - ปลัดกระทรวง* (ไม่สังกดั เขต) เขตพ้นื ท่ีการศึกษา - อธิการบดี - เลขาธิการ กพฐ. - ผู้อำนวยการสำนัก - คำส่ังของผ้บู ังคบั บัญชาท่สี ง่ั ตามมติ - ผอู้ ำนวยการกอง กศจ./อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง - ผู้อำนวยการสถานศึกษา กศจ. อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตงั้ ก.ค.ศ. พจิ ารณามมี ติ - ยกคำร้องทุกข์ - เพกิ ถอนหรอื ยกเลิก - ให้ดำเนินการตามควรแก่กรณี - ไม่รบั คำร้องทุกข์ ผมู้ ีอำนาจตามมาตรา 53 ปฏิบัติตามมติ * ปลัดกระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม หรือปลัดกระทรวงอ่ืนท่ีมีข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศกึ ษาในสังกัด
- 212 - เอกสารอเิ ล็กทรอนิกส์ (QR Code) รายการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เอกสาร กฎ ก.ค.ศ.วา่ ด้วยกรณีความผิดทปี่ รากฏชดั แจ้ง พ.ศ. 2549 กฎ ก.ค.ศ.ว่าดว้ ยการสอบสวนพจิ ารณา พ.ศ. 2550 ระเบยี บ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยวธิ กี ารออกคำสัง่ เก่ยี วกับการลงโทษทางวนิ ยั ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2548 ระเบยี บ ก.ค.ศ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2548 กฎ ก.ค.ศ.วา่ ด้วยการสง่ั พกั ราชการและการสงั่ ใหอ้ อกจากราชการ ไว้ก่อน พ.ศ. 2555 ระเบียบ ก.ค.ศ.ว่าดว้ ยการรายงานเกย่ี วกับการดำเนินการทางวนิ ัย และการออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2561 ระเบยี บ ก.ค.ศ.วา่ ดว้ ยการลาออกจากราชการของขา้ ราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2548 กฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการสงั่ ให้ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ออกจากราชการกรณีไม่สามารถปฏบิ ัติราชการให้มีประสิทธิภาพ เกดิ ประสิทธิผล พ.ศ. 2553
- 213 - เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (QR Code) เอกสาร กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอำนาจการสง่ั ลงโทษภาคทัณฑ์ ตดั เงนิ เดือน หรอื ลดเงินเดือน พ.ศ. 2561 กฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการอทุ ธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2550
11. การรอ้ งทุกขแ์ ละการพิจารณารอ้ งทุกข์ การร้องทุกข์ หมายถึง การร้องขอให้แกไ้ ขปัญหาท่ีเห็นว่าตนไม่ไดร้ ับความเปน็ ธรรมหรอื มีความคับข้องใจ เนื่องจากการกระทำของผูบ้ ังคับบัญชาในเร่ืองเกีย่ วกบั การบรหิ ารงานบุคคลท่ีไม่ใช่การโต้แยง้ คำสง่ั ลงโทษทางวินัย การร้องทุกข์ เป็นวิธีการหน่ึงที่เปิดโอกาสให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาท่ีเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือ มี ค ว า ม คั บ ข้ อ ง ใจ ใน ก า ร ป ฏิ บั ติ ข อ งผู้ บั งคั บ บั ญ ช า เกี่ ย ว กั บ ก า ร บ ริ ห า ร ง า น บุ ค ค ล ที่ ได้ ป ฏิ บั ติ ต่ อ ต น ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกตอ้ ง ได้ร้องขอให้ผู้บังคบั บัญชาได้ทบทวนการปฏิบัติต่อผู้อยใู่ ต้บังคับบัญชา และแกไ้ ข ในส่ิงท่ีไม่ถูกต้อง หรือชี้แจงเหตุผลความถูกต้องท่ีได้ปฏิบัติไปให้ผู้ร้องทุกข์ทราบและเข้าใจ หรือให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายหรือผู้บังคับบัญชาเหนือข้ึนไปได้พิจารณาให้ความเป็นธรรมตามสมควร ซ่ึงจะก่อให้เกิด ความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้อยใู่ ต้บังคับบัญชา โดยกระบวนการร้องทุกข์กำหนดให้มีการร้องทุกข์ ด้วยวาจาเพ่อื ได้ทำความเข้าใจกันก่อน หากไม่เป็นท่ีพอใจจงึ ให้ร้องทกุ ขเ์ ป็นหนงั สือ ต่อองค์กรการบริหารงานบุคคล อันได้แก่ กศจ. อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี นอกจากน้ันการร้องทุกข์ยังเป็นช่องทาง ใหม้ กี ารตรวจสอบและถว่ งดลุ การใช้อำนาจของผูบ้ งั คับบัญชาให้เปน็ ไปโดยถูกต้องและเป็นธรรมดว้ ย วตั ถุประสงค์ ๑. เพือ่ ตรวจสอบและถ่วงดุลการใชอ้ ำนาจของผู้บงั คับบญั ชาใหเ้ ป็นไปโดยถกู ต้อง 2. เพ่ือให้การบริหารราชการเกิดความโปร่งใสและเปน็ ธรรม ซ่ึงเป็นการสร้างขวญั และกำลังใจแก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อันจะนำไปสู่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติราชการและ ก่อให้เกดิ ความสัมพันธ์อันดีระหวา่ งผูบ้ งั คบั บัญชาและผู้อย่ใู ตบ้ ังคบั บญั ชา ๓. เพอ่ื ให้ผู้บังคับบัญชาได้ทราบปัญหาของหนว่ ยงานและหาหนทางแก้ไขปัญหาไดท้ นั ทว่ งที กฎหมาย กฎ ระเบยี บ หลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารท่ีเกย่ี วข้อง 1. พระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2547 และท่แี ก้ไขเพิม่ เตมิ มาตรา 123 ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีความคับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชาหรือการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ให้ผู้น้ันมีสิทธิร้องทุกข์ต่อ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี มาตรา 124 หลักเกณฑ์และวิธีการในเร่ืองท่ีเก่ียวกับการอุทธรณ์และพิจารณาอุทธรณ์และ การร้องทุกข์และพิจารณาร้องทุกข์ ตามมาตรา 121 มาตรา 122 และมาตรา 123 ให้เป็นไปตาม ท่กี ำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ในการพจิ ารณาอุทธรณ์หรือรอ้ งทกุ ข์ เมือ่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา หรอื อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แล้วแตก่ รณี ไดม้ ีมติเปน็ ประการใดแลว้ ให้ผมู้ ีอำนาจตามมาตรา 53 สั่งหรอื ปฏิบัตไิ ปตามนั้น 2. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗
- 215 - 3. กฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการร้องทุกข์และการพจิ ารณารอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑ 4. คำส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/๒๕60 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษา ในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ สั่ง ณ วันท่ี 3 เมษายน 2560 ข้อ 7 ประกอบข้อ 8 (๑) กำหนดให้ ในแต่ละจังหวัดมีคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) มีอำนาจหน้าที่ในเขตจังหวัดน้ันตามท่ีกฎหมายว่าด้วย การศึกษาแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ และกฎหมายว่าด้วยระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเขตพื้นท่ีการศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา มีผลทำให้มีการโอนอำนาจหน้าท่ีของ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา ไปเป็น อำนาจของ กศจ. นอกจากน้ี ในข้อ 13 ยังได้กำหนดให้ศึกษาธิการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 (3) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติม โดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 โดยความเห็นชอบของ กศจ. ดังนั้น จึงทำให้การพิจารณาการดำเนินการทางวินัย การออกจากราชการ การอทุ ธรณ์ และการรอ้ งทุกข์ เป็นอำนาจหนา้ ทขี่ อง กศจ. ผูม้ สี ทิ ธิรอ้ งทกุ ข์ ผู้มสี ทิ ธิร้องทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา 1. ไม่ได้รับความเปน็ ธรรม 2. คบั ข้องใจ เน่อื งจากการกระทำของผูบ้ ังคบั บัญชา 3. ถูกสัง่ แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน 4. ถูกสัง่ พกั ราชการ 5. ถูกส่งั ให้ออกจากราชการไวก้ ่อน 6. ถกู ส่ังให้ออกจากราชการ เหตทุ ่ีจะร้องทกุ ข์ เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติระเบยี บขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. 2547 ได้กำหนดไว้ ดังน้ี 1. ไมไ่ ดร้ ับความเปน็ ธรรมหรอื คบั ข้องใจจากการกระทำของผู้บงั คบั บัญชา เช่น - การบริหารงานบคุ คลโดยการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เพราะเหตุแห่งความแตกต่างใน เร่อื งถ่ินกำเนดิ เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรอื สุขภาพ สถานะของบุคคล ฯลฯ - ไม่มอบหมายให้ปฏิบัติงาน - ประวงิ เวลา หรอื หน่วงเหนย่ี วใหไ้ ม่ได้ประโยชน์หรือรบั สทิ ธอิ นั พงึ มพี งึ ได้ 2. ถกู ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนทางวินยั ตามมาตรา 98
- 216 - อำนาจในการพจิ ารณาร้องทุกข์ กศจ. มีอำนาจพิจารณาเรอ่ื งร้องทุกขก์ รณีท่ีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดเห็นว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความคับข้องใจเนื่องจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือการแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ท้ังนี้ เหตุแห่งการร้องทุกข์ต้องเป็นการกระทำของผู้บังคับบัญชา ตั้งแต่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลงมา (ข้อ ๓ ประกอบ ข้อ 7 (2) ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกข์ และการพจิ ารณาร้องทกุ ข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) หมายเหตุ 1. กรณีร้องทุกข์คำสั่งให้ออกจากราชการ คำสั่งพักราชการ และคำส่ังของผู้บังคับบัญชาที่ส่ังการ ตามมติของ กศจ. กศจ. ไม่มีอำนาจพิจารณา ต้องร้องทุกข์ต่อ ก.ค.ศ. (ข้อ ๒ และข้อ ๗ (๑) ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วย การร้องทุกขแ์ ละการพิจารณาร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) 2. กรณีการร้องทุกข์ของข้าราชการท่ีปฏิบัติงานในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ให้ร้องทุกข์ ต่อ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง และให้ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง เป็นผู้พิจารณา เน่ืองจากเป็นการร้องทุกข์ของ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีมิได้สังกัดเขตพ้ืนที่การศึกษา จึงไม่อยู่ในอำนาจการพิจารณาของ กศจ. (ข้อ 8 (2) ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าดว้ ยการร้องทกุ ข์และการพจิ ารณาร้องทกุ ข์ พ.ศ. 2551)
- 217 - การรอ้ งทุกข์ และการพิจารณาร้องทุกข์ ผู้ร้องทกุ ข์ เห็นวา่ ตนไม่ได้รบั ความเป็นธรรมหรือมีความคับข้องใจเน่ืองจาก การกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือการแต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนทางวินัย และต้องเป็นการกระทำของผู้บังคับบัญชา ต้ังแต่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาลงมา ร้องทุกข์ ตอ่ กศจ. ศกึ ษาธิการจงั หวัดตรวจสอบ หนงั สือร้องทุกข์เบื้องต้น ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ท่จี ะรับไว้พิจารณา ทจี่ ะรับไว้พจิ ารณา กศจ. รอ้ งทกุ ขฟ์ ังไมข่ น้ึ รอ้ งทุกขฟ์ งั ขึน้ ไมร่ ับไวพ้ จิ ารณา แจ้งผู้ร้องทุกข์ทราบ ผมู้ อี ำนาจตามมาตรา 53 สำนกั งานศึกษาธิการจังหวัด ส่ังหรือปฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ ไปตามมติ แจ้งผู้ร้องทุกข์ทราบ หมายเหตุ เม่ือ กศจ. ได้วนิ ิจฉัยร้องทุกข์แล้ว หากผู้ร้องทุกข์เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้ร้องทุกข์มีสิทธิฟ้องคดี ตอ่ ศาลปกครองภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดปี กครอง
- 218 - คำอธบิ ายแผนผังการรอ้ งทุกข์ และการพิจารณาร้องทุกข์ การพจิ ารณาร้องทกุ ข์ของ กศจ. เมอ่ื ได้รับหนงั สอื รอ้ งทุกขท์ ีย่ ่นื ต่อ กศจ. แลว้ ในการพจิ ารณามแี นวดำเนนิ การ ดงั นี้ ๑. การพจิ ารณาตรวจสอบหนังสอื ร้องทุกข์ ๑.๑ การร้องทุกขต์ อ้ งทำเปน็ หนังสอื - จะรอ้ งทุกขด์ ว้ ยวาจาหรือจะร้องทุกขด์ ้วยวธิ ีอื่นโดยไมท่ ำเปน็ หนังสอื ไม่ได้ ๑.๒ สาระในหนงั สือร้องทกุ ข์ - ต้องเป็นการร้องทุกข์สำหรบั ตนเองเท่านั้นจะร้องทุกข์แทนผู้อ่ืนหรือมอบหมายให้ผู้อ่ืน ร้องทุกขแ์ ทนไม่ได้ - ตอ้ งมีลายมือช่ือ ทอี่ ยู่ (ทีส่ ามารถตดิ ตอ่ ได)้ และตำแหน่งของผู้ร้องทกุ ข์ - ต้องมีสาระสำคัญที่แสดงข้อเท็จจริงและเหตุผลให้เห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือมีความคับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย อย่างไร มขี ้อโตแ้ ยง้ คัดค้านอย่างไร และประสงคใ์ ห้ กศจ. มีมติอย่างไร - การขอแถลงการณ์ด้วยวาจา ถ้าผู้ร้องทุกข์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจา ต่อท่ีประชุมต้องแสดงความประสงค์ไว้ในหนังสือร้องทุกข์หรือจะทำเป็นหนังสือต่างหากก็ได้โดยยื่นหรือส่งตรง ตอ่ กศจ. ก่อนเร่มิ พจิ ารณาเรอ่ื งรอ้ งทุกข์ ๒. การตรวจสอบกำหนดเวลารอ้ งทกุ ข์และการนบั เวลาในการรอ้ งทุกข์ ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ก ำ ห น ด เว ล า ใน ก า ร ยื่ น ห นั ง สื อ ร้ อ งทุ ก ข์ แ ล ะ ก า ร นั บ เว ล าใน ก าร ร้ อ ง ทุ ก ข์ ต้องตรวจสอบจากหลักฐานการได้รับทราบคำส่ังหรือเร่ืองอันเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ว่าได้รับทราบคำสั่งหรือ เร่อื งอันเป็นเหตแุ ห่งการร้องทุกขเ์ มื่อใด และมีการแจ้งสทิ ธิในการร้องทุกข์ตอ่ กศจ. หรอื ไม่ 2.1 กำหนดเวลารอ้ งทุกข์ ผู้ร้องทุกข์ต้องร้องทุกข์ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบเร่ืองอันเป็นเหตุ แห่งการร้องทุกข์ (ข้อ ๕ วรรคหนงึ่ ของกฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการรอ้ งทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) ๒.๑.1 กรณมี กี ารแจ้งสิทธใิ ห้ร้องทกุ ข์ตอ่ กศจ. ต้องตรวจสอบว่าผู้ร้องทุกข์ได้ย่ืนหนังสือร้องทุกข์ภายในสามสิบวันนับแต่ได้รับแจ้งคำส่ัง หรือทราบเรื่องอันเปน็ เหตแุ ห่งการร้องทกุ ข์ หรอื ไม่ ๒.1.2 กรณีไม่มีการแจ้งสิทธิใหร้ ้องทกุ ขต์ ่อ กศจ. กรณีผู้บังคับบัญชาไม่แจ้งสิทธิในการรอ้ งทุกขใ์ ห้ทราบจะทำให้ระยะเวลาในการใช้สิทธิร้องทุกข์ ขยายออกไปอีก ถ้ามีการแจ้งสิทธิให้ร้องทุกข์ใหม่ ผู้ร้องทุกข์มีสิทธิร้องทุกข์ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้ง สิทธิคร้ังใหม่ แต่ถ้าไม่มีการแจ้งสิทธิให้ร้องทุกข์ใหม่ให้สิทธิการร้องทุกข์ขยายเป็นหน่ึงปีนับแต่วันท่ีได้รับแจ้งคำสั่ง (มาตรา ๔๐ แหง่ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙)
- 219 - ๒.2 การนับเวลาในการรอ้ งทุกข์ - การนับเวลาเริ่มต้น ให้นับวันถัดจากวันท่ีได้รับทราบเร่ืองอันเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์น้ัน เป็นวันแรกหรือวันท่ีหนึ่งแห่งการเร่ิมนับเวลา ทั้งน้ี ในกรณีที่ผู้ร้องทุกข์นำหนังสือร้องทุกข์มายื่นเอง ให้ถือวันท่ีรับหนังสือเป็นวันยื่นหนังสือร้องทุกข์ ส่วนกรณีท่ีส่งหนังสือร้องทุกข์ทางไปรษณีย์ ให้ถือวันที่ ท่ีทำการไปรษณีย์ต้นทางออกใบรับฝาก หรือวันที่ที่ทำการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับที่ซองหนังสือ เป็นวันสง่ หนงั สือรอ้ งทุกข์ - การนับเวลาสิ้นสุด ถ้าวันสุดท้ายแห่งการนับเวลาตรงกับวันหยุดราชการให้นับวันเริ่ม เปดิ ทำการใหม่เป็นวนั สุดท้ายแห่งการนับเวลาน้ัน (ข้อ 17 ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกขแ์ ละการพจิ ารณา ร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) เม่ือพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์มีสาระสำคัญถูกต้องครบถ้วน และอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาร้องทกุ ขก์ ใ็ หร้ ับเรื่องร้องทุกขด์ งั กลา่ วไว้พจิ ารณาวินจิ ฉัย หากหนังสือร้องทุกข์มีสาระไม่ครบถ้วนและยังอยู่ในกำหนดระยะเวลาร้องทุกข์ ให้เจ้าหน้าท่ี แนะนำให้ดำเนินการแก้ไขเพ่ิมเติมให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และทแ่ี ก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗ มาตรา ๒๗ ๓. การย่นื หรือส่งหนังสือรอ้ งทุกข์ การยื่นหนังสือร้องทุกข์ต้องทำหนังสือถึงประธาน กศจ. หรือศึกษาธิการจังหวัด (ข้อ ๖ วรรคหนึ่ง ของกฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการร้องทุกขแ์ ละการพิจารณารอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) ส ำ ห รั บ ข้ า ร า ช ก า ร ค รู แ ล ะ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า สั ง กั ด ส ำ นั ก ง า น เข ต พ้ื น ที่ ก า ร ศึ ก ษ า ประถมศึกษา ต้องย่ืนหรือส่งหนังสือร้องทุกข์พร้อมกับสำเนารับรองถูกต้องหน่ึงฉบับต่อประธาน กศจ. หรือศึกษาธิการจังหวัดที่สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาตั้งอยู่ หรือส่งหนังสือร้องทุกข์ ผ่านผู้บังคับบัญชาหรือผ่านผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ก็ได้ ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา หรือผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาแล้วแต่กรณี และให้ผู้บังคับบัญชาส่งหนังสือ ร้องทุกข์ไปยังศกึ ษาธิการจงั หวัด ส ำ ห รั บ ข้ า ร า ช ก า ร ค รู แ ล ะ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า สั ง กั ด ส ำ นั ก ง า น เข ต พื้ น ท่ี ก า ร ศึ ก ษ า มัธยมศึกษาต้องย่ืนหรือส่งหนังสือร้องทุกข์พร้อมกับสำเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับต่อประธาน กศจ. หรือศึกษาธิการจังหวัดที่เป็นที่ต้ังของหน่วยงานการศึกษาท่ีผู้นั้นดำรงตำแหน่งอยู่ หรือส่งหนังสือร้องทุกข์ ผ่านผู้บังคับบัญชาหรือผ่านผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ก็ได้ ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา แล้วแต่กรณี และให้ผู้บังคับบัญชาส่งหนังสือร้องทุกข์ ไปยังศกึ ษาธิการจงั หวัดที่เปน็ ที่ตัง้ ของหน่วยงานการศึกษาที่ผ้นู น้ั ดำรงตำแหน่งอยู่ ๔. การร้องทกุ ข์เพิ่มเตมิ เม่ือได้ยื่นหนังสือร้องทุกขฉ์ บบั แรกตอ่ กศจ. ไวโ้ ดยชอบแล้ว หากผรู้ ้องทุกข์ ย่ืนเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมก่อนที่ กศจ. เริ่มการพิจารณาร้องทุกข์ก็ให้ กศจ. รับไว้พิจารณา (ข้อ 6 ของกฎ ก.ค.ศ. วา่ ด้วยการรอ้ งทุกขแ์ ละการพิจารณารอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑)
- 220 - 5. การขอถอนคำร้องทุกข์ ในกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์ไม่ประสงค์จะให้มีการพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ต่อไป จะขอถอนเรื่องร้องทุกข์ก่อนที่ กศจ. จะพิจารณาเสร็จส้ินก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือยื่นหรือส่งต่อ กศจ. เม่ือได้ถอนเรื่องร้องทุกข์แล้ว การพิจารณาเรื่องร้องทุกข์น้ันเป็นอันระงับ (ข้อ 1๐ ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วย การรอ้ งทกุ ขแ์ ละการพจิ ารณาร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) 6. ผู้ไม่อาจพจิ ารณาคำรอ้ งทุกข์ได้และการคัดค้านกรรมการผ้พู จิ ารณาร้องทกุ ข์ 6.๑ การนง่ั พจิ ารณาร้องทกุ ข์ ในการนั่งพิจารณารอ้ งทุกข์ของ กศจ. อนุกรรมการผู้พิจารณาร้องทุกข์ต้องไม่เป็นผู้มีลักษณะ ต้องห้ามในการพิจารณาทางปกครอง และไม่มีสภาพร้ายแรงอันอาจทำใหก้ ารพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง ตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบญั ญัติวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ 6.๒ การคดั คา้ นกรรมการผูพ้ จิ ารณาร้องทกุ ข์ ผรู้ ้องทกุ ข์มีสิทธิคดั ค้านอนุกรรมการหรอื กรรมการผพู้ ิจารณาร้องทุกข์ถา้ ผูน้ น้ั มีเหตุอยา่ งหน่ึง อย่างใด ดังตอ่ ไปน้ี 6.2.๑ เป็นผ้บู งั คับบัญชาผู้เปน็ เหตุแหง่ การร้องทกุ ข์ 6.2.2 มีส่วนไดเ้ สียในการกระทำทท่ี ำใหเ้ กดิ การร้องทุกข์ 6.2.3 มีสาเหตุโกรธเคอื งผูร้ อ้ งทุกข์ 6.2.4 เป็นคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพ่ีน้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมบิดาหรือ มารดากบั ผู้บงั คับบญั ชาผเู้ ปน็ เหตุแหง่ การร้องทกุ ข์ การคัดค้านอนุกรรมการหรือกรรมการผู้พจิ ารณาร้องทกุ ข์นั้น ผู้ร้องทุกขต์ ้องแสดงขอ้ เท็จจริง ที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสือร้องทุกข์ หรือแจ้งเพิ่มเติมเป็นหนังสือ ก่อนท่ี กศจ. เริ่มพิจารณาร้องทุกข์ เม่ือมีเหตุหรือมีการคัดค้านแล้ว อนุกรรมการหรือกรรมการผู้นั้นจะขอถอนตัว ไม่ร่วมพิจารณาร้องทุกข์น้ันก็ได้ ถ้าอนุกรรมการหรือกรรมการผู้นั้นมิได้ขอถอนตัว ให้อนุกรรมการ หรือกรรมการที่เหลืออยู่ นอกจากอนุกรรมการหรือกรรมการผู้ถูกคัดค้าน พิจารณาข้อเท็จจริงท่ีคัดค้าน หากเห็นว่าข้อเท็จจริงนั้นน่าเชื่อถือ ให้แจ้งอนุกรรมการหรือกรรมการผู้น้ันทราบและมิให้ร่วมพิจารณา ร้องทุกข์น้ัน เว้นแต่จะพิจารณาเห็นว่าการให้อนุกรรมการหรือกรรมการผู้นั้นร่วมพิจารณาร้องทุกข์ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ย่ิงกว่า เพราะจะทำให้ได้ความจริงและเป็นธรรม จะให้อนุกรรมการหรือกรรมการผู้น้ัน ร่วมพิจารณ าเรื่องร้องทุกข์นั้นก็ได้ (ข้อ 9 ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณ า ร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) 7. การดำเนนิ การพจิ ารณารอ้ งทุกข์ เม่ือตรวจสอบหนังสือร้องทุกข์ของผู้ร้องทุกข์ที่ยื่นต่อ กศจ. แล้วเห็นว่า เป็นคำร้องทุกข์ ท่รี บั ไว้พจิ ารณาต่อไปได้แล้ว ใหส้ ำนกั งานศกึ ษาธิการจังหวดั ดำเนนิ การมีหนังสอื แจ้งพร้อมส่งสำเนาหนงั สอื ร้องทุกข์ให้ ผู้บังคับบัญ ชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ทราบ และให้จัดส่งคำชี้แจงและเอกสารหรือหลักฐาน ที่เก่ียวข้องเพ่ือประกอบการพิจารณาของ กศจ. โดยเม่ือได้รับคำช้ีแจงและเอกสารหรือหลักฐานที่เก่ียวข้องแล้ว จะต้องพิจารณาตรวจสอบคำร้องทุกข์ท้ังในประเด็นข้อกฎหมายและประเด็นข้อเท็จจริง
- 221 - โดยการพิจารณาคำร้องทุกข์จะต้องพิจารณาข้อกฎหมายเป็นอันดับแรก เพราะการร้องทุกข์ จะตอ้ งดำเนนิ การให้ถกู ตอ้ งตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายกำหนด ไดแ้ ก่ ๑) รอ้ งทกุ ขภ์ ายในเวลาที่กำหนด หรอื ไม่ ๒) มกี ารลงลายมือชอ่ื ผรู้ ้องทุกข์ หรอื ไม่ ๓) หนงั สอื ร้องทกุ ขม์ ีสาระสำคญั หรือไม่ ๔) ระบทุ ่อี ยขู่ องผูร้ อ้ งทุกข์ หรอื ไม่ ๕) มกี ารขอแถลงการณ์ด้วยวาจา หรอื ไม่ ๖) มีการคัดค้านผู้พิจารณาร้องทุกข์ หรือไม่ หรือเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาร้องทุกข์เป็น ผมู้ ีลักษณะตอ้ งห้าม หรอื มีส่วนได้เสยี หรือมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพจิ ารณาไมเ่ ป็นกลาง หรือไม่ นอกจากนี้การพิจารณาคำร้องทุกข์ ให้ กศจ. พิจารณาถึงเหตุแห่งการไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเหตุแห่งความคับข้องใจเน่ืองจากการกระทำของผู้บังคับบัญชา หรือเหตุแห่งการแต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนทางวินัย และมีอำนาจขอเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพ่ิมเติม รวมท้ังคำชี้แจงจากหน่วยงาน หรือขอให้ผู้แทนหน่วยงาน หรือบุคคลใด ๆ มาช้ีแจง เพ่ือประกอบการพิจารณาได้ กรณีท่ีผู้ร้องทุกข์ ขอแถลงการณ์ด้วยวาจา หาก กศจ. เห็นว่าการแถลงการณ์ด้วยวาจาไม่จำเป็นแก่การพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ จะให้งดแถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้ ในกรณีที่นัดให้ผู้ร้องทุกข์มาแถลงการณ์ด้วยวาจาต่อท่ีประชุม ให้แจ้ง ให้ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ทราบด้วยว่า ถ้าประสงค์จะแถลงแก้ก็ให้มาแถลงหรือจะมอบหมาย เป็นหนังสือให้ผู้แทนมาแถลงต่อที่ประชุมก็ได้ (ข้อ ๑๒ ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณา รอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) 8. การพิจารณามีมติ เมื่อ กศจ. พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์แล้วเสร็จ สามารถมีมติได้ตามข้อ 14 ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าดว้ ยการรอ้ งทุกข์และการพิจารณารอ้ งทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้ 8.1 ถ้าเห็นว่าเหตุที่ทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเหตุแห่งความคับข้องใจ หรือ การแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น ผู้บังคับบัญชาได้ใช้อำนาจหน้าท่ีปฏิบัติต่อผู้ร้องทุกข์ ชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ ให้มีมติยกคำร้องทุกข์ 8.2 ถ้าเห็นว่าเหตุท่ีทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือเหตุแห่งความคับข้องใจ หรือ การแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น ผู้บังคับบัญชาได้ใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ร้องทุกข์โดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมายให้มีมติเพิกถอนหรือยกเลิกการปฏิบัติหรือให้ข้อแนะนำตามที่เห็นสมควรเพื่อให้ผู้บังคับบัญชา ปฏบิ ตั ิให้ถกู ตอ้ งตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ 8.3 ถ้าเห็นสมควรดำเนินการโดยประการอ่ืนใด เพ่ือให้มีความถูกต้องตามกฎหมายและ มีความเป็นธรรมให้มมี ติให้ดำเนินการไดต้ ามควรแก่กรณี 8.4 ถ้าเห็นว่าการร้องทุกข์ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ 5 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือขอ้ 7 หรอื ขอ้ ๘ ใหม้ ีมตไิ มร่ บั คำรอ้ งทุกข์
- 222 - การพิจารณามีมติเร่ืองร้องทุกข์ดังกล่าวข้างต้น ให้บันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉัย ไว้ในรายงานการประชุมด้วย 9. การแจ้งผลพิจารณาร้องทกุ ข์และการแจ้งสิทธแิ ก่ผรู้ อ้ งทกุ ข์ เมื่อ กศจ. ได้พจิ ารณารอ้ งทุกข์แล้ว ใหส้ ำนักงานศกึ ษาธกิ ารจังหวัด ดำเนนิ การ ดังนี้ 9.1 แจ้งผลการพิจารณาร้องทุกขไ์ ปยังสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาต้นสังกัดของผู้ร้องทุกข์ เพื่อแจง้ ผ้บู งั คับบัญชาของผรู้ อ้ งทุกข์ 9.2 แจ้งผลการพิจารณาร้องทุกข์พร้อมทั้งแจ้งสิทธิการฟ้องคดีปกครองภายในกำหนด ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองให้ผู้ร้องทุกข์ทราบ รวมถงึ แจง้ ดว้ ยวา่ ผ้รู ้องทกุ ข์จะรอ้ งทกุ ขต์ อ่ ไปไม่ได้ (เป็นทีส่ ุด) 10. การดำเนินการตามผลการพิจารณาร้องทุกข์ ให้ศึกษาธิการจังหวัดในฐานะผู้มีอำนาจตามมาตรา 53 (3) (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพ่ิมเติม ส่ังหรือปฏิบัติให้เป็นไปตามมตินั้น และมติของ กศจ. ให้เป็นที่สุด (ข้อ ๑๕ และข้อ 16 ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณา รอ้ งทกุ ข์ พ.ศ. ๒๕๕๑) รายการเอกสารอเิ ล็กทรอนิกส์ เอกสารอเิ ล็กทรอนิกส์ เอกสาร (QR Code) กฎ ก.ค.ศ. วา่ ดว้ ยการรอ้ งทุกข์และการพิจารณาร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑
คณะผจู้ ดั ทำ ดร.อมั พร พนิ ะสา เลขาธิการ ก.ค.ศ. รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรพั ย์ ประธานทป่ี รึกษาสานักงาน ก.ค.ศ. นางสุจติ รา พฒั นะภมู ิ ทปี่ รกึ ษาสานักงาน ก.ค.ศ. นางจินตนา มีแสงพราว ทป่ี รกึ ษาสานกั งาน ก.ค.ศ. นางปราณี ศวิ ารมณ์ ที่ปรกึ ษาสานกั งาน ก.ค.ศ. นายสามารถ ข่าวดี ทป่ี รกึ ษาสานักงาน ก.ค.ศ. นายชาย มะลลิ า รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. นางสุปราณี นฤนาทนโรดม รองเลขาธกิ าร ก.ค.ศ. นางสาวเจรญิ วรรณ หนูนาค รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. นางสาวจริ าภรณ์ ไทยก่ิง ผเู้ ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นพฒั นาระบบบรหิ ารงานบคุ คล นางนารีวรรณ จนั ทบาล ผเู้ ชย่ี วชาญเฉพาะดา้ นพฒั นาระบบบรหิ ารงานบคุ คล นางจรี นนั ท์ เพ่งพินจิ ผู้เช่ยี วชาญเฉพาะด้านกฎหมาย สานกั งานเลขาธิการ ภารกจิ ตรวจตดิ ตามและประเมนิ ผลการบรหิ ารงานบุคคล ภารกจิ ระบบตาแหนง่ และวิทยฐานะที่ 1 ภารกิจระบบตาแหนง่ และวิทยฐานะที่ 2 ภารกิจนโยบายและระบบตาแหนง่ บคุ ลากรทางการศึกษา ภารกจิ นโยบายและระบบการบรหิ ารงานบุคคล ภารกจิ กฎหมาย อทุ ธรณ์ และการรอ้ งทกุ ข์ ภารกิจเสริมสร้างและมาตรฐานวินยั ภารกิจเสริมสร้างและพฒั นาประสทิ ธิภาพการปฏิบัตริ าชการ สำนกั งำน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษำธกิ ำร โทร 0 2280 1104-9, 0 2280 2834 โทรสำร 0 2280 2834 www.otepc.go.th
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227