Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-Book

E-Book

Published by kitthanet.kes, 2022-02-19 09:47:19

Description: E-book รายงานเชิงสังเคราะห์และวิเคราะห์การเปรียบเทียบระบบการศึกษาและการบริหารการศึกษาระหว่างประเทศออสเตรเลีย
ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประเทศกัมพูชา ประเทศจีนกับประเทศไทย

Search

Read the Text Version

1 : 360 . . 03 04

. (2563). : . ( 1). file.pdf 1. 2. 1. 2. 3.

2 . http://backoffice.onec.go.th/uploads/Book/1760-

1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8.



THANK

K YOU

รายงาน เรอื่ ง การเปรยี บเทียบระบบการศกึ ษาระหว่างประเทศสหรัฐอเมรกิ าและไทย จัดทาโดย นายพลพพิ ัฒน์ วัฒนเศรษฐานุกุล นกั ศึกษาหลกั สูตรปรัชญาดุษฎบี ัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา รหสั นักศกึ ษา 64560147 รายงานฉบับนเี้ ปน็ ส่วนหนึง่ ของวิชา การบรหิ ารการศึกษาเชิงเปรยี บเทียบ รหสั วชิ า EDA711 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564 มหาวิทยาลัยศรปี ทมุ

คานา รายงานฉบับนี้เป็นการเปรียบเทียบระบบการศึกษาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและไทย โดยประกอบ ไปดว้ ยประเดน็ ตา่ ง ๆ เชน่ บรบิ ท (Context), หลักการและจดุ มงุ่ หมายทัว่ ไปในการจดั การศึกษา (Principles and objectives of education), กฎหมายการศึกษาหรือกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการศึกษา (Laws and other basic regulations concerning education), โครงสร้างและการจัดระบบการศึกษา (Structure and organization of education system) ประเทศสหรัฐอเมริกา, การจัดการศึกษา (The Educational Process), การเปรียบเทียบระบบการศึกษาระหว่างประเทศสหรฐั อเมรกิ าและไทย และ บทความที่เกี่ยวขอ้ งกับการศึกษาของ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ผลกระทบของการบูรณาการ ICT ต่อคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมัธยมใน สหรัฐอเมริกา (Impact of ICT Integration on Quality of Education between Secondary Schools in USA) และ การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมและผลลัพธ์ของนักเรียน K-12: การทบทวนและวิเคราะห์งานวิจัย (Environmental education and K-12 student outcome: A review and analysis of research) ผู้รายงานหวังว่า รายงานฉบับน้ีจะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อย สาหรับข้อบกพร่องต่าง ๆ ท่ีอาจจะเกิดขึ้นน้ัน ผู้รายงานขอน้อมรับผิดเพียงผู้เดียว และยินดที ่ีจะรับฟังคาแนะนาจากทุกท่านที่ได้เข้ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ ในการพฒั นางานต่อไป พลพพิ ฒั น์ วฒั นเศรษฐานกุ ลุ

ก สารบญั สารบัญ หนา้ สารบญั ตาราง ก สารบัญภาพ ค บทที่ ง 1 บรบิ ท (Context) 1 2 หลกั การและจดุ มงุ่ หมายทวั่ ไปในการจัดการศกึ ษา (Principles and 5 objectives of education) 11 3 กฎหมายการศึกษาหรอื กฎระเบยี บตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวข้องกบั การศึกษา (Laws 16 and other basic regulations concerning education) 4 โครงสรา้ งและการจดั ระบบการศึกษา (Structure and organization of 21 23 education system) ประเทศสหรัฐอเมริกา 25 5 การจดั การศึกษา (The Educational Process), 6 การเปรยี บเทียบระบบการศกึ ษาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและไทย 29 7 ผลกระทบของการบูรณาการ ICT ตอ่ คุณภาพการศกึ ษาของโรงเรียนมธั ยม 33 ในสหรัฐอเมริกา (Impact of ICT Integration on Quality of 35 Education between Secondary Schools in USA) 36 8 การศกึ ษาดา้ นสิง่ แวดล้อมและผลลัพธ์ของนักเรียน K-12: การทบทวนและ วเิ คราะหง์ านวิจัย (Environmental education and K-12 student 40 outcome: A review and analysis of research) บรรณานกุ รม ภาคผนวก ภาคผนวก ก บทความต้นฉบับ เรือ่ ง ผลกระทบของการบรู ณาการ ICT ตอ่ คุณภาพ การศึกษาของโรงเรียนมัธยมในสหรัฐอเมรกิ า (Impact of ICT Integration on Quality of Education between Secondary Schools in USA) ภาคผนวก ข บทความต้นฉบับ เร่อื ง การศึกษาด้านสิง่ แวดลอ้ มและผลลพั ธ์ของ นกั เรียน K-12: การทบทวนและวิเคราะหง์ านวิจยั (Environmental education and K-12 student outcome: A review and analysis of research)

ภาคผนวก ค powerpoint นาเสนอ ข 46

ค สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 แสดงภูมิภาคตา่ งๆตามลักษณะภมู ปิ ระเทศของประเทศสหรฐั อเมริกา 2 2 แสดงการเปรียบเทียบระบบการศกึ ษาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและไทย 24

สารบญั ภาพ ง ภาพท่ี หน้า 1 แสดงแผนทปี่ ระเทศสหรัฐอเมริกา 1 2 แสดงโครงสรา้ งระบบการศึกษาของประเทศสหรฐั อเมรกิ า 17

1 บรบิ ท (Context) ข้อมูลทั่วไป United states of amarica (สหรัฐอเมริกา) เป็นแหล่งศูนย์รวมของวัฒนธรรม ท่ีมีความหลากหลาย จากประชากรประเทศต่างๆทั่วโลก ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาพานัก ทาให้สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศหนึ่งที่ใครหลายคนอยากมาสัมผัส ซึ่งลักษณะท่ัวไปของประเทศมี ดังนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีพ้ืนท่ี โดยรวมประมาณ 3,787,319 ตารางไมล์ หรือประมาณ 18 เท่า ของขนาดพ้ืนท่ีประเทศไทย ประกอบด้วยพื้นท่ี ต่างๆ 50 รฐั และ 1 เขตการปกครอง คือ Washington D.C . และมปี ระชากรโดยรวมประมาณ 292 ล้านคน ภูมิประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศท่ีมีความหลากหลายในเรื่องของภูมิประเทศ คือ มีท้ังป่าไม้ ทะเลทราย ภูเขา ที่ราบสูงและท่ีลุ่ม มีผืนแผ่นดินใหญ่ซ่ึงเป็นพ้ืนที่ของรัฐท่ีติดต่อกันรวม 48 รัฐ และ Washington D.C . โดยมีรัฐ Alaska ซ่ึงอยู่ตอนเหนือของประเทศแคนาดา และรัฐ Hawaii ซึ่งอยู่ใน มหาสมทุ รแปซิฟคิ ดังภาพท่ี 1 ภาพท่ี 1 แสดงแผนทีป่ ระเทศสหรฐั อเมรกิ า ท่ีมา : https://drchar.home.blog/2020/07/01/24-ว่าด้วยมลรัฐตา่ ง-ๆ/

2 ประเทศสหรฐั อเมรกิ ามีการแบง่ ภมู ภิ าคต่างๆตามลักษณะภูมปิ ระเทศ ดังตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 แสดงภูมภิ าคตา่ งๆตามลกั ษณะภูมปิ ระเทศของประเทศสหรัฐอเมริกา ทมี่ า : https://www.sanook.com/campus/911837/ ภูมิอากาศ ในสหรัฐอเมริกาสามารถพบอากาศได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่บรรยากาศแบบแถบขั้วโลก ซึ่งหนาวติดลบ 40 องศา จนถึงบรรยากาศท่ีร้อนเหมือนทะเลทราย 45 องศา ช่วงอากาศหนาวที่สุด คือเดือนมกราคม และร้อนที่สุดช่วงเดือนกรกฎาคม ฤดูร้อนอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน สิงหาคม ฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน ฤดูหนาวอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม กุมภาพันธ์ ฤดูใบไมผ้ ลอิ ยูใ่ นชว่ งเดือนมนี าคม พฤษภาคม เนอื่ งจากประเทศมีขนาดใหญ่มาก เวลาจงึ มกี ารจัดแบ่งการใชเ้ วลาท่แี ตกตา่ งกัน ดงั นี้ ส่วนภาคตะวันออก หรือ Eastern Time Zone (EST) : จะมีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยเท่ากับ 12 ช่ัวโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน จะมีการปรับเลื่อนเวลาในช่วงฤดูร้อนอีก 1 ช่ัวโมง หรือ Daylight Saving Time ทาให้เวลาชา้ กว่าประเทศไทยเป็น 13 ช่ัวโมง เมืองสาคญั ที่อยู่ในเขต EST คือ Boston, New York, Washington D.C., Miami และ Cleveland

3 สว่ นตอนกลางของประเทศ หรือ Central Time Zone จะมีเวลาช้ากวา่ ในประเทศไทยเทา่ กับ 13 ชว่ั โมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ซง่ึ จะมีผลทาให้เวลาของอเมริกาช้ากว่าเวลา ในประเทศไทยเป็น 14 ชว่ั โมง เมืองสาคญั ที่อยูใ่ นเขตนคี้ ือ Chicago และ New Orleans พ้ืนที่ในย่านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือ Pacific Time Zone จะมีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทย เท่ากับ 15 ช่ัวโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ซ่ึงจะมีผลทาให้เวลาช้ากว่าใน ประเทศไทยเป็น 16 ช่ัวโมง เมอื งสาคญั ทอี่ ย่ใู นเขตนค้ี ือ San Francisco , Seattle และ Hawaii Daylight Saving คอื การปรับเวลาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซงึ่ จะมีการหมนุ เขม็ นาฬิกาให้เวลาเดนิ หนา้ เรว็ ข้ึน 1 ช่ัวโมง โดยจะปรับเวลาในวันอาทติ ย์สุดทา้ ยของเดือนตลุ าคม และเมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ กจ็ ะหมุนเข็มนาฬกิ าให้ ถอยหลงั 1 ชวั่ โมง โดยจะเรม่ิ ปรบั เวลาในวนั อาทิตย์แรกของเดอื นเมษายน ประชากรสหรัฐอเมริกามีประชากรเป็นชาวผิวขาวประมาณ 75.1 % ส่วนพวกคนผิวดาประมาณ 12.3% พวกเชอ้ื สายสเปน ประมาณ 13% ของจานวนประชากรท้งั หมด นอกจากนี้เป็นชาวเอเชยี ประมาณ 3.7% การเมืองการปกครอง มีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยในรูปแบบของสหพันธรัฐ ประกอบไปด้วย 50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง คือ Washington D.C. ซึ่งเป็นเมืองและศูนย์กลางการปกครอง โครงสร้างของ รัฐบาลแห่งชาติและกิจกรรมของรัฐบาลจะถูกกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ในส่วนของกิจกรรมท่ีนอกเหนือไปจากท่ี กาหนดอาทิเช่น อานาจการจัดการด้านการศึกษาหรือนโยบายการบารุงรักษาถนน รวมถึงการดาเนินงานด้าน ตารวจ จะเปน็ ความรบั ผดิ ชอบของแต่ละรฐั ซงึ่ มีรัฐธรรมนญู และกฎหมายของตนเอง ระบบเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ชาวอเมริกันส่วนมากเป็นประชาชนที่ จัดวา่ อยูใ่ นระดบั ปานกลาง จานวนประชากรท่ีรวยมากหรือจนมากจะมีน้อย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มี ความเจรญิ และเป็นผู้นาในธรุ กจิ ตา่ งๆมากมาย สงั คมและวัฒนธรรม เน่ืองจากความหลากหลายของประชากร จึงทาใหเ้ ป็นประเทศที่มคี วามหลากหลาย ด้านวัฒนธรรม คนกลุ่มต่างๆ ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมของตนเอาไว้ เช่น China Town หรือ Little Italy ชาวอเมริกันเป็นคนที่ไวต่อการเรียนรู้ และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จึงมีอิสระด้านความคิดมากๆ นอกจากน้ี คนอเมริกันรุ่นใหม่จะมีความสนใจสิ่งรอบข้างมากกว่าแค่การเรียน การศึกษาหรือการทางาน โดยเฉพาะอย่างย่ิง กับวยั รนุ่ ซ่ึงจะมีความสนใจในการร่วมกจิ กรรมต่างๆ พรอ้ มกับมีส่วนร่วมในองคก์ รตา่ งๆสาหรบั เยาวชน และมักหา งานนอกเวลาทากนั เปน็ ส่วนใหญ่ เพือ่ หารายไดม้ าทากจิ กรรมต่างๆทีต่ นเองต้องการ

4 ประธานาธิบดีสหรัฐ (President of the United States : POTUS) เป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้า รฐั บาลแห่งสหรฐั เป็นผูน้ าสูงสุดของฝา่ ยบริหาร และเป็นจอมทพั สหรฐั รัฐธรรมนูญ มาตรา 2 บัญญัติว่า ประธานาธิบดีมีอานาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายส่วนกลาง รับผิดชอบแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายบริหาร ข้าราชการทูต ข้าราชการประจา และข้าราชการตุลาการในส่วนกลาง ท้ังมีอานาจทาสนธิสัญญาเมื่อได้รับคาแนะนาและยนิ ยอมของวฒุ ิสภา นอกจากน้ี ประธานาธิบดีมีอานาจอภยั โทษ ลดโทษ เปล่ียนโทษ เรยี กและเล่ือนประชุมสมยั วิสามญั แหง่ สภาทัง้ สองของรฐั สภา ประธานาธิบดียงั มีบทบาทนาใน การออกกฎหมายระดับสหพันธรัฐ และการดาเนินนโยบายในประเทศ ในสมัยหลัง ประธานาธบิ ดมี กี ารใช้คาสง่ั ของ ฝา่ ยบริหาร ออกขอ้ บงั คบั หนว่ ยงานและการแตง่ ต้ังตลุ าการเพอื่ ดาเนินนโยบายเพม่ิ ขึน้ และนบั แตส่ ถาปนาประเทศ เป็นต้นมา ประธานาธิบดีและรัฐบาลกลางมีอานาจเพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆ และแม้ปัจจุบันไม่มีอานาจนิติบัญญัติอย่างเป็น ทางการนอกเหนือไปจากการลงนามและยับยั้งร่างกฎหมายท่ีรัฐสภาอนุมัติ แต่ประธานาธิบดีก็แบกรับ ความรับผิดชอบขนานใหญ่ในการกาหนดวาระประชุมพรรค รวมถึงกาหนดนโยบายการ ต่างประเทศและ การในประเทศดว้ ย ประธานาธิบดีสหรัฐน้ันมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมผ่านทางคณะผู้เลือกต้ัง ( electoral college) มีวาระในการดารงตาแหน่ง 4 ปีและสามารถอยู่ในดารงตาแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระซ่ึงบัญญัติไว้ในการแก้ไข รัฐธรรมนูญคร้ังที่ 22 ที่ได้รับการอนุมัติในปี ค.ศ. 1951 มีรองประธานาธิบดี 9 คนที่ได้รับตาแหน่งประธานาธิบดี เน่ืองจากประธานาธิบดีลาออกหรือเสียชีวิตขณะยังไม่ครบวาระ โดยสรุปแล้ว สหรัฐมีประธานาธิบดีแล้ว 45 คน คดิ เปน็ วาระส่ีปจี านวน 58 วาระ สานักงานและจวนของประธานาธิบดีเรียกว่า ทาเนียบขาว (White House) ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประธานาธิบดียังได้รับสิทธิ์ใช้คณะทางานและสิ่งอานวยความสะดวกในทาเนียบขาวอยา่ งเต็มที่ รวมถึงบริการทาง การแพทย์ การพักผ่อน การดูแบบบ้าน และระบบรักษาความปลอดภัย มีเคร่ืองบินโบอิงวีซี-25 จานวนหน่ึงลา (จากสองลา) ช่ือ แอร์ฟอร์ซวัน ไว้สาหรับเดินทางระยะไกล เป็นเครื่องบินที่ดัดแปลงอย่างหรูหรามาจากโบอิง 747-200 บี ประธานาธิบดียังได้รับค่าตอบแทนท้ังสิ้น 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยผลประโยชน์อ่ืน ๆ ในแตล่ ะปีของการดารงตาแหน่งอกี ด้วย เน่ืองด้วยความเป็นมหาอานาจของสหรัฐ ตาแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจึงเปรียบเสมือนบุคคล ทที่ รงอานาจที่สดุ ในโลก ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ โจ ไบเดน เปน็ ผู้ได้รับเลือกคนล่าสุดโดยเร่ิมดารงตาแหน่งใน วนั ท่ี 20 มกราคม ค.ศ. 2021

5 หลกั การและจุดม่งุ หมายทว่ั ไปในการจัดการศึกษา (Principles and objectives of education) จุดมุ่งหมายหลักประการหน่ึงของการศึกษาของรัฐในสหรัฐอเมริกา คือ เพื่อรับประกันการเข้าถึงและ โอกาสที่เท่าเทียมกันสาหรับเด็กชายและเด็กหญิงทุกคน รวมถึงชนกลุ่มน้อยและผู้พิการ นอกจากน้ี โรงเรียนของ รัฐในสหรฐั ฯ มีประเพณีสหศกึ ษามาอยา่ งยาวนาน การศึกษาในสหรัฐอเมริกาโดยทัว่ ไปสะท้อนถึงค่านิยมและลาดับความสาคัญของสังคม ซ่ึงรวมถึงการอุทิศ ตนเพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย ความมุ่งมั่นในเสรีภาพส่วนบุคคล และการเคารพในความหลากหลายของ ประชากร กล่าวโดยกว้างคือ ระบบการศกึ ษาของสหรัฐอเมริกามีเป้าหมายในการจัดตง้ั การศกึ ษาที่มคี ุณภาพ ซงึ่ จะ ชว่ ยให้เด็กทุกคนบรรลุศักยภาพสงู สุดของตนเองในฐานะปัจเจก ทาหน้าท่อี ย่างมปี ระสทิ ธิภาพในฐานะพลเมอื งของ สังคมเสรี และประสบความสาเร็จในการแข่งขนั ในตลาดโลกท่เี ปลี่ยนแปลงไป ระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกามีการกระจายอานาจในระดับสูง ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 10 ของ สหรัฐฯ รัฐบาลกลางไม่มีอานาจในการจัดต้ังระบบการศึกษาแห่งชาติ หรือหน่วยงานของรัฐบาลกลางมากาหนด นโยบายหรือหลักสตู รสาหรับโรงเรยี นในท้องถน่ิ การตัดสนิ ใจดังกลา่ วจะทาในระดับรัฐหรอื ระดับอาเภอ เน่ืองจากการกระจายอานาจนี้ กฎหมายท่ีควบคุมโครงสร้างและเน้ือหาของโปรแกรมการศึกษาอาจ แตกต่างกันอย่างมากในแต่ละรัฐ ทาให้เขตการศึกษาในท้องถิ่นมีความยืดหยุ่นมากในการดาเนินการโรงเรียนของ พวกเขา ในทางกลับกัน แต่ถึงกระนั้น โปรแกรมการศึกษาของ 50 รัฐก็มีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจจะเป็นผลพวง มาจากปัจจัยทั่วไป เช่น ความต้องการทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศชาติ การถ่ายโอนนักเรียนและครูจาก ส่วนหนง่ึ ของประเทศไปสู่อกี สว่ นหนง่ึ และบทบาทของหน่วยงานรับรองระดับชาตใิ นการกาหนดรูปแบบการปฏิบัติ ทางการศึกษา ลาดับความสาคัญและข้อกังวลด้านการศึกษาในปัจจุบัน การเรียกร้องของรัฐบาลกลางสาหรับการปฏิรูป การศึกษาของอเมริกาเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1981 เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ T.H. Bell ได้จัดตั้ง คณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยความเป็นเลิศด้านการศึกษาเพื่อ \"รายงานเก่ียวกับคุณภาพการศึกษาในอเมริกา\" รายงานน้ัน A Nation At Risk ถูกตีพิมพ์ในปี 1983 และเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบการศึกษาอย่างกว้างขวาง และได้เสนอแนะประเด็นสาคัญสีป่ ระการ ได้แก่ 1) การเสรมิ สร้างขอ้ กาหนดในการสาเร็จการศึกษา 2) มาตรฐานท่ี เข้มงวดและสามารถวัดผลได้มากข้ึน 3) เวลาในโรงเรียนมากขึ้น และ 4) การปรับปรุงการสอนคร้ังสาคัญ

6 และด้วยรายงานนี้ ทาให้ทุกคนต่ืนตัวถึงสภาพการศึกษาของสหรัฐฯ และความจาเป็นในการฟื้นฟูระบบโรงเรียน อยา่ งครอบคลุม ในปี 1989 ไม่นานหลังจากท่ี ประธานาธิบดี G. Bush เข้ารับตาแหน่ง ได้เชิญผู้ว่าการทั้งห้าสิบคนของ ประเทศ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดด้านการศึกษา เพ่ือหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการศึกษา โดยการกาหนด เป้าหมายการศึกษาแห่งชาติหกประการ และยืนยันว่าจะบรรลุเป้าหมายภายในปี 2000 คือ 1) เด็กทุกคนใน อเมริกาจะต้องเข้าโรงเรียนเพื่อได้รับการศึกษา 2) อัตราการสาเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายจะต้องเพิ่มขึ้น อย่างน้อย 90 เปอรเ์ ซน็ ต์ 3) นักเรยี นชาวอเมริกันจะต้องจบเกรด 4 เมื่ออายุ 8 ปี และ เมื่ออายุ 12 ปี จะตอ้ งแสดง ความสามารถในวิชาท่ีท้าทายต่าง ๆ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ พลเมือง และรัฐบาล เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ และทุกโรงเรียนในอเมริกาจะต้องรับประกันว่า นกั เรียนทุกคนจะได้เรียนรู้ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล เตรียมพร้อมสาหรับการเป็นพลเมอื งท่ีมีความรับผิดชอบ ก า ร เ รี ย น รู้ เ พิ่ ม เ ติ ม แ ล ะ ก า ร จ้ า ง ง า น ที่ มี ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ต า ม แ น ว คิ ด ส มั ย ใ ห ม่ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ 4) นักเรียนสหรัฐจะประสบความสาเร็จเป็นอันดับหนึ่งของโลกในด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ 5) ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันทุกคนจะมีความรู้ และสามารถนาความรู้ท่ีมี แข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก ใช้สิทธิและมีความรับผิดชอบในฐานะการเป็นพลเมือง 6) ทุกโรงเรียนในอเมริกาจะปลอดจากยาเสพติดและ ความรนุ แรง และจะเสนอสภาพแวดลอ้ มท่ีมรี ะเบียบวินยั ที่เอ้อื ต่อการเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นของการระบุและการกาหนดเป้าหมายน้ัน ไม่สามารถสร้างเป็นแผนปฏิบัติการเพียง ฉบับเดียวทั้งประเทศได้ เนื่องจาก 1) ความหลากหลายของภูมิภาค รัฐ และวัฒนธรรมในสหรัฐอเมริกา เป็นเรื่องยากที่จะคิดหาแนวทางท่ีเป็นระบบแบบกว้าง ๆ ท่ีจะใช้งานได้ในทุกส่วนของประเทศสาหรับทุกกลุ่ม 2) ระบบการเมืองของสหรัฐอเมริกาไม่มีโครงส ร้างสาหรับการแก้ปัญหาระดับชาติด้านการศึกษา ยกเว้นในกรณีพิเศษเทา่ นน้ั กระทรวงศกึ ษาธิการของสหรฐั ฯ ถูกห้ามโดยกฎหมายไมใ่ ห้แก้ไขหรือตดั สินใจปรับปรุง หรอื พัฒนาหลกั สตู รในระดบั รัฐและระดบั ทอ้ งถ่ิน ด้วยเหตุผลเหล่าน้ี ผู้นานโยบายสาธารณะจึงยอมรบั ตงั้ แตเ่ ร่มิ แรกว่าบทบาทของรัฐบาลกลางในการบรรลุ เป้าหมายการศึกษาแห่งชาติจะต้องได้รับอานาจจากการโน้มน้าวใจมากกว่าการบังคับ ทาเนี ยบขาวและ กระทรวงศึกษาธิการจึงเสนอวิธีแก้ปัญหา โดยให้รัฐและเขตการศึกษาในท้องถิ่นสามารถยอมรับหรือปฏิเสธ ข้อเสนอของรัฐบาลกลางได้ และเพ่ือให้การปรับปรุงโรงเรียนเกิดข้ึน และบรรลุเป้าหมายการศึกษาแห่งชาติภายในปี 2000 กระทรวงศึกษาธกิ ารจึงใชว้ ิธกี ารมีสว่ นร่วม เพอื่ พัฒนาแผนใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย

7 ประการแรก กระทรวงศึกษาธกิ ารได้จัดตัง้ สานักงานวิจยั และพฒั นาการศึกษา (OERI) โดยให้ทุนสนบั สนุน และดาเนินการวิจัยเพ่ือวิเคราะห์ปัญหาที่นักการศึกษาต้องเผชิญ รวมถึงกาหนดกลยุทธ์และแนวทางการแก้ไข ปัญหาการศึกษา ประการท่ีสอง กระทรวงศึกษาธิการได้เผยแพร่ข้อมูลทางการศึกษามากมาย เกี่ยวกับโปรแกรม การศึกษาไปยังชุมชนการศึกษาผ่านทางศูนย์ข้อมูลทรัพยากรการศึกษา ( ERIC) และเครือข่ายอื่น ๆ ของทางศูนย์ข้อมูลทรัพยากรการศึกษา (ERIC) ด้วยเหตุผลนี้ นักปฏิรูปหลายคนจึงสรุปว่า กระทรวงศึกษาธิการ สามารถใชห้ น้าท่ีทถี่ ูกตอ้ งตามกฎหมาย ในรายงานปี 1992 คณะกรรมการเป้าหมายแห่งชาติตระหนักถึงความจาเป็นในการพัฒนา “มาตรฐาน ใหม่ ชัดเจน และทะเยอทะยาน เพ่ือความสาเรจ็ ทางการศึกษาของนักเรียนทุกคน” ไม่ก่เี ดือนต่อมา สภาคองเกรส ได้จัดตั้งสภาแห่งชาติวา่ ด้วยมาตรฐานและการทดสอบการศึกษา ซึ่งเป็นคณะกรรมการสองพรรคที่แนะนาใหส้ ร้าง มาตรฐานระดับชาติโดยสมัครใจ และระบบการประเมินนักเรียนระดับชาติโดยสมัครใจ คณะผู้พิจารณารับรอง กฎบัตรสาหรับสภามาตรฐานและการประเมินการศึกษาแห่งชาติ (NESAC) โดยภารกิจของสภานี้คือ \"เพื่อให้แน่ใจ ว่ากิจกรรมการกาหนดมาตรฐานจานวนมากกาลังดาเนินไปอย่างรวดเร็ว และสะท้อนถึงฉันทามติระดับชาติ ในวงกว้าง เก่ยี วกบั สิ่งท่นี กั เรียนชาวอเมริกันทกุ คนควรรู้ และสามารถทาไดห้ ากต้องการบรรลุในระดบั โลก \" เน่ืองจากธรรมชาติของระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกา มาตรฐานการศึกษาแห่งชาติไม่สามารถกาหนด โดยรัฐบาลกลางได้ แตต่ อ้ งยอมรบั โดยสมคั รใจจากแต่ละรัฐใน 50 รัฐ อย่างไรกต็ าม เน่ืองจากมฉี ันทามติระดับชาติ เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา NESAC จึงไม่พบการต่อต้านท่ีมีนัยสาคัญ แม้ว่านักวิจารณ์บางคนกลัวว่าการทดสอบมาตรฐานระดับประเทศอาจนาไปสู่หลักสูตรระดับชาติท่ี เป็นมาตรฐาน หนึ่งในความคิดริเริ่มแรกของ NESAC คือ การขอให้องค์กรวิชาชีพพัฒนามาตรฐานระดับชาติโดยสมัครใจในสาขา ของตนเอง ตัวอย่างเช่น สภาครูคณิตศาสตร์แห่งชาติได้จัดทามาตรฐานทางคณิตศาสตร์ และอาจารย์และ นักวิชาการหลายพันคนท่ัวประเทศทางานร่วมกัน เพ่ือสร้างมาตรฐานในด้านวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ศิลปะ พลเมือง ภูมิศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และเพื่อช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ในการจัดทามาตรฐานเหล่านี้ กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐฯ ได้มอบเงินช่วยเหลือแก่องค์กรวิชาชีพและนักวิชาการรายใหญ่ เพ่ือพัฒนา มาตรฐานระดับชาติโดยสมัครใจในหัวข้อต่างๆ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธกิ ารช้ีแจงอย่างชัดเจนวา่ มาตรฐาน ระดับชาติไม่ได้หมายถึงมาตรฐานของรัฐบาลกลาง และการทดสอบระดับชาติไม่ได้หมายถึง' การทดสอบของ รัฐบาลกลาง มาตรฐานและการทดสอบดังกลา่ วจะได้รบั การพัฒนาโดย NESAC โดยรว่ มมอื กับองค์กรวิชาชพี และ รฐั จะมีอสิ ระท่ีจะยอมรบั หรอื ปฏเิ สธมาตรฐานดงั กล่าวเหล่าน้กี ไ็ ด้ โดย NESAC เสร็จสิ้นภารกิจแรกในปี 1992 และ ไดร้ ับการยอมรับ ดงั นน้ั NESAC จึงไดพ้ ฒั นามาตรฐานและการทดสอบระดบั ชาตติ ่อไป

8 ในรายงานประจาปี (ซึ่งปรากฏคร้ังแรกในปี 1991) NESAC ได้เริ่มกล่าวถึงผลการปฏิบตั ิงานของโรงเรียน ในอเมริกาเป็นคร้ังแรกในเป้าหมายต่างๆ ตัวอย่างเช่น รายงานปี 1992 ได้กล่าวถึงบทความเรื่อง American Education in a Global Context ซ่ึงแสดงให้เห็นข้อมูลเก่ียวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของคณิตศาสตร์และ วิทยาศาสตร์ และการศกึ ษาระดบั อุดมศึกษา ในปี 1991 ฝ่ายบริหารของ Bush ได้ประกาศจัดต้ัง AMERICA 2000 ซง่ึ ไดก้ าหนดกลยุทธ์การดาเนินการ หกเปา้ หมาย โดยรายละเอียดของ AMERICA 2000 ไดร้ ับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนกั จากนกั การเมอื งท้ังสองฝา่ ย ทงั้ สหภาพแรงงานไม่เหน็ ดว้ ยกับขอ้ กาหนดสาหรับทางเลือกของโรงเรียน และในขณะท่ีพรรคอนุรักษ์นิยมก็มองว่า องค์ประกอบบางอย่างเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอิสระของโรงเรียนในท้องถิ่น ท้ังสองกลุ่มแสดงความกังวล เก่ียวกับโครงการทดสอบระดับชาติ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีการสนับสนุนอย่างกว้างขวางสาหรับบทบัญญัติบาง ประการของกลยุทธ์นี้ ปี 1992 มี 48 รัฐและชุมชนกว่า 2,000 แห่งได้อุทิศตนเพื่อบรรลุเป้าหมายการศึกษา แห่งชาตแิ ละได้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของ AMERICA 2000 ในปี 1992 ประธานาธิบดีคลินตันได้รับเลือก ฝ่ายบริหารชุดใหม่ยังคงรักษาความคิดริเริ่มบางอย่างท่ีมีอยู่ ใน AMERICA 2000 และเรียกชุดของความคิดใหม่ว่า GOALS 2000 และเสนอชุดกฎหมายออกมาห้าฉบับ เพ่ือสนับสนุนแพลตฟอร์มสาหรับการปฏิรูปการศึกษาท่ัวประเทศที่เป็นระบบและบูรณาการเพื่อนาการปฏิรูป การศึกษามาใช้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ หัวใจสาคัญของชุดกฎหมายและการปฏิรูปการศึกษา ครั้งนี้คือ การเพ่ิมเป้าหมายเก่ียวกับการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและความเป็นมืออาชีพ การเรียนรู้เริ่มต้นต้ังแต่ แรกเกิดและดาเนนิ ต่อไปตลอดชีวิต เป้าหมายดังกล่าวเป็นกรอบการทางานสาหรับระบบการศกึ ษาที่ปฏิรูปใหม่ใน ศตวรรษที่ 21 กฎหมายฉบับใหม่น้ีออกแบบมาเพ่ือสนับสนุนการปฏิรูปการศึกษาอย่างครอบคลุมทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา เงินทนุ ของรัฐบาลกลางที่จะไดร้ บั การจดั สรรภายใต้กฎหมายเหล่านี้ มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อใช้เปน็ ตัวเร่งให้รัฐต่างๆ เข้า ร่วมด้วยความสมัครใจ (กฎหมายไม่ได้บังคับ) ในขบวนการปฏิรูป กฎหมายเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบทั้งหมด กล่าวคือ ปรับปรุงการศึกษาปฐมวัย การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง มาตรฐานทางวิชาการและทักษะระดับสูง การปฏิรูปหลักสูตรให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กาหนด การมุ่งเน้นท่ีผู้ด้อยโอกาส โอกาสสาหรับทุกคนในการเรียนรู้ และบรรลุผลการเรยี นรู้ การประเมินตามสภาพจริง การพัฒนาครูและผู้บริหาร การบริหารโดยใช้โรงเรยี นเปน็ ฐาน (School Based Management) โปรแกรมสาหรับโรงเรียนสู่การทางาน (school to work transition) อย่างเป็นระบบ โรงเรียนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น และการวิจัยทางการศึกษาเพ่ือสนับสนุนบทบัญญัติเหล่านี้

9 โดยกระทรวงศึกษาธิการไม่เคยเสนอแผนการปฏิรูปท่ีครอบคลุมเช่นนี้มาก่อน เพ่ือให้สอดคล้องกับภารกิจสาหรับ การเขา้ ถึงการศกึ ษาอย่างเทา่ เทยี มกนั และเพ่อื ส่งเสริมความเปน็ เลิศทางการศกึ ษาท่ัวประเทศ ในสมัยท่ีสองของการรับตาแหน่งการบริหารประธานาธิบดีของคลินตัน ท่านยังสนับสนุนการพัฒนาของ ชาติที่เข้มงวด โดยทดสอบการอ่านนกั เรียนในระดับเกรดสี่ (NAEP) และประเมินความก้าวหน้าทางการศึกษาด้วย แบบทดสอบคณิตศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์กับนักเรยี นในระดบั เกรดแปด (TIMSS) พระราชบัญญัติ No Child Left Behind (NCLB) ถูกสร้างขึ้นในปี 2001 เป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้ง สาคัญ ท่ีออกแบบมาเพ่ือปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและเปลี่ยนวัฒนธรรมของโรงเรียนใน อเมริกา ประธานาธิบดี George W” Bush อธิบายว่ากฎหมายน้ีเป็น รากฐานที่สาคัญในการบริหารการจัด การศึกษา ภายใต้ NCLB แต่ละรัฐต้องวัดความก้าวหน้าของนักเรียนโรงเรียนรัฐบาลทุกคนในการอ่านและ คณิตศาสตร์ในระดับเกรดสาม ถึง แปด และอย่างน้อยหน่ึงคร้ังในช่วงระดับเกรดสิง ถึง สิบสอง โดยปีการศึกษา 2007/2008 จะดาเนินการประเมิน (หรือการทดสอบ) ทางวิทยาศาสตร์ การประเมินเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับ เน้ือหาทางวิชาการของรัฐและมาตรฐานผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน พวกเขาจะให้ข้อมูลท่ีเป็นกลางแก่ผู้ปกครองว่า บุตรหลานของตนมีสถานะทางวิชาการอยู่ทีใ่ ด NCLB กาหนดให้รัฐ และเขตการศึกษาต้องให้ข้อมูลด้านการเรียนเป็นรายงานแก่ผู้ปกครอง โดยบอกว่า นักเรียนประสบความสาเร็จด้านใดและเพราะเหตุใด ในรายงานมีข้อมูลต่าง ๆ เช่น เช้ือชาติ ชาติพันธ์ุ เพศ ความสามารถทางภาษาองั กฤษ สถานะการยา้ ยถ่ิน สถานะทุพพลภาพ สถานะรายได้ครอบครัว ตลอดจนข้อมูล สาคัญเกี่ยวกับคุณวุฒิวิชาชีพของครูที่สอนนักเรียน ด้วยบทบัญญัติเหล่าน้ี NCLB ทาให้แน่ใจได้ว่าผู้ปกครองจะมี ข้อมูลสาคัญเก่ียวกับโรงเรียนที่บุตรหลานเข้าเรียนที่เหมาะสม นอกจากนี้ NCLB ยังกาหนดคุณสมบัติที่จาเป็น สาหรับครูและมืออาชีพท่ีทางานในทุกแง่มุมของการสอนในห้องเรียน NCLB กาหนดให้รัฐต้องพัฒนาแผนเพ่ือให้ บรรลุเป้าหมายท่ีครูในวิชาแกนกลางทุกคนต้องปฏิบัติภายในสิ้นปีการศึกษา 2005/2006 รัฐต้องพัฒนาแผนรายปี กาหนดวตั ถุประสงค์ประจาปที ส่ี ามารถวัดผลได้ ซ่ึงแต่ละเขตการศึกษาและโรงเรยี นในท้องถิ่นต้องบรรลุในการกา้ ว ไปสู่เป้าหมาย โดยต้องรายงานความก้าวหน้าในรายงานประจาปี ในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงของบทบัญญัติ ความรับผิดชอบท่ีกาหนดไว้ในกฎหมาย NCLB เพื่อให้เด็กทุกคนบรรลุความสามารถตามมาตรฐานการศึกษาท่ีรัฐ กาหนดภายในส้ินปีการศึกษา 2013/2014 ทุกรัฐต้องมีการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) เพื่อวัด ความก้าวหน้าและทาใหแ้ น่ใจว่าเด็กทุกคนกาลงั เรยี นรู้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล NCLB ให้รัฐและหน่วยงานการศึกษาในท้องถ่ินมีความยืดหยุ่นมากข้ึนในการใช้เงินทุนเพ่ือการศึกษาของ รัฐบาลกลาง ด้วยเหตุน้ี คณะผู้บริหารจึงมีอิสระมากข้ึนในการนานวัตกรรมไปใช้และจัดสรรทรัพยากรตามท่ีผู้

10 กาหนดนโยบายในระดับรัฐและระดับท้องถิ่นเห็นสมควร ซ่ึงจะทาให้คนในท้องถิ่นมีโอกาสมากข้ึนที่จะส่งผล ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับโครงการของโรงเรียนของตน NCLB ให้ความสาคัญเป็นพิเศษกับการนาโปรแกรม การศึกษาและแนวปฏิบัติที่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีประสิทธิภาพ ผ่านการวิจัย เงินทุนของรัฐบาลกลางจะ ถูกต้ังเป้าหมายเพ่ือสนับสนุนโครงการดังกล่าว ตัวอย่างเช่น โครงการ Reading First ทาให้กองทุนของรัฐบาล กลางมีไว้เพ่ือช่วยครูในการอ่านหนังสือในระดับต้น ช่วยเสริมทักษะเกา่ และหาทักษะใหม่ๆ เทคนิคการสอนใหม่ ๆ ทกี่ ารวิจยั แสดงให้เหน็ วา่ มปี ระสทิ ธิภาพ นับต้ังแต่พระราชบัญญัติประถมศึกษาและมัธยมศึกษาผ่านรัฐสภาครั้งแรกในปี 1965 รัฐบาลกลางได้ใช้ เงินไปมากกว่า 242 พันล้านดอลลาร์จนถึงปี 2003 เพ่ือช่วยให้การศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส ทว่าช่องว่าง ความสาเร็จระหว่างคนรวยกับคนจน และ นักเรียนผิวขาวและชนกลุ่มน้อยยังคงกว้าง และจากการประเมิน ความก้าวหน้าทางการศึกษาแห่งชาติ (NAEP) เร่ืองการอา่ นในปี 2000 ก็มีเพียง 32% ของนกั เรียนในระดับเกรดส่ี ทส่ี ามารถอา่ นได้ในระดับดี

11 กฎหมายการศกึ ษาหรอื กฎระเบยี บต่าง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั การศึกษา (Laws and other basic regulations concerning education) แต่ละรฐั มีหน้าท่ีรับผิดชอบตอ่ ระบบการศึกษาของตนเอง และในช่วงหลายปีท่ีผา่ นมา สภานติ ิบัญญัติของ รัฐได้ออกกฎหมายเพ่ือควบคุมการจัดองค์กรและการดาเนินงานของการสอน บทบาทของรัฐบาลสหพันธรัฐด้าน การศึกษาเปน็ หนงึ่ ในผู้นาในวงกว้างโดยปราศจากการควบคุมอย่างเกนิ ควร เป็นความรับผิดชอบทางกฎหมายของ หน่วยงานของรัฐบาลกลางในการปกป้องสิทธิของพลเมืองทุกคนในการเข้าถึงโอกาสท่ีเท่าเทียมกันในการแสวงหา การเรียนรู้ ขณะปฏิบัติตามความรับผิดชอบน้ี รัฐบาลกลางยังพยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพการศึกษาด้วยเงินทุน สาหรบั การวิจยั การชว่ ยเหลอื นกั เรียนโดยตรง และการเผยแพร่ความรเู้ กี่ยวกบั การสอนและการเรียนรู้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สภาคองเกรสได้ออกกฎหมายเพื่อจัดตั้งโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนมากมาย บริหารงานโดยกระทรวงศกึ ษาธิการของสหรฐั ฯ ผ่านการออกข้อบงั คับและการตรวจสอบกิจกรรมการศึกษาท่ีไดร้ ับ ทุนจากรัฐบาลกลาง “โปรแกรมเหล่าน้ีสนับสนุนทรัพยากรท่ีสาคัญให้กับรัฐท่ีเข้าร่วม ในการจัดทากฎหมาย การนาแนวทางปฏิบัติสาหรับการดาเนินงานในท้องถ่ินของโครงการเหล่านี้ไปปฏิบัติ และในการกาหนด วิธีการประเมินความสาเร็จของความพยายามเหล่านี้ ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารของรัฐบาลกลางมีวิธีกาหนด ความคาดหวังสาหรับกลมุ่ ที่เปน็ เปา้ หมายโดยกฎหมาย ต่อไปน้คี อื กฎหมายของรัฐบาลกลางท่ีสาคญั ท่สี ง่ ผลต่อการศกึ ษาทผี่ า่ นมาในช่วงหลายปี ได้แก่ พระราชบัญญัติการรู้หนังสือแห่งชาติ ปี 1991 (กฎหมายมหาชน 102-73) ได้จัดตั้งโครงการการรู้หนังสือ ขึ้นใหม่ ยกระดับการรู้หนังสือสาหรับผู้ใหญ่บางโครงการท่ีมีอยู่ และคืนอานาจรัฐท่ีเกี่ยวข้องอย่างเสรี (เช่น สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์และ สหพันธรัฐไมโครนีเซีย) จุดประสงค์ของกฎหมายฉบับน้ี คือ เพื่อเพิ่มพูนการรู้หนังสือและทักษะพ้ืนฐานของผู้ใหญ่ และเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใหญ่ทุกคนในสหรฐั อเมริกาได้รับทักษะ พ้ืนฐานท่ีจาเป็นต่อการทางานอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุโอกาสท่ี ดีในการทางานและในชีวิตของพวกเขา เสรมิ สรา้ งความเข้มแขง็ และประสานงานโปรแกรมการรู้หนังสือของผใู้ หญ่” นอกจากนี้ยังได้ก่อต้ังสถาบันแห่งชาติ เพ่ือการรู้หนงั สอื คณะกรรมการสถาบนั แห่งชาติ และคณะทางานเฉพาะกิจด้านการรู้หนงั สือระหวา่ งหน่วยงาน พระราชบัญญัติสภาการศึกษา ปี 1991 (กฎหมายมหาชน 102-62) ได้จัดตั้งคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติด้านเวลาและการเรียนรู้ และสภามาตรฐานการศึกษาและการทดสอบแห่งชาติ คณะกรรมการการศึกษา ด้านเวลาและการเรียนรู้แห่งชาติจะทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างเวลากับการเรียนรู้ในโรงเรียนของประเทศและ จัดทารายงานผลการวิจัยภายในเดือนเมษายน ปี 1994 ส่วนสภามาตรฐานการศึกษาและการทดสอบจะให้

12 คาแนะนาเก่ียวกับความพึงประสงค์และความเป็นไปได้ของ การพัฒนามาตรฐานแห่งชาติและการทดสอบ ระดับชาติของโรงเรียน สภาได้รับคาส่ังให้จัดทารายงานภายในเดือนธันวาคม ปี 1991 รายงานทั้งสองฉบับได้รับ การตีพมิ พแ์ ล้ว การอนุมัติพระราชบัญญัติการอุดมศึกษาอีกคร้ังของปี 1965 (1992, กฎหมายมหาชน 102-325) ขยายเวลาบทบัญญัติของพระราชบัญญัตกิ ารอุดมศึกษาออกไปเปน็ เวลาหา้ ปี ตามท่ไี ด้รบั อนุญาตอีกครงั้ ในปี 1986 กฎหมายนี้ (ซึ่งรวมถึงการต่ออายุโครงการช่วยเหลือนักศึกษาระดับอุดมศึกษา เช่น ทุน Pell และเงินให้กู้ยืมเพ่ือ การศึกษา) โดยมีวัตถุประสงค์กว้างๆ เพ่ือขยายการเข้าถึงของนักเรียนสู่การศึกษาระดับหลังมัธยมศึกษา ส่งเสริม ความเป็นเลิศทางการศึกษา และรับรองความถูกต้องในการให้บริการ นอกจากน้ียังมีการแก้ไขท่ีสาคัญใน พระราชบญั ญตั ิก่อนหนา้ น้ี เพิม่ มากกวา่ สี่สบิ โปรแกรมในการศกึ ษาระดบั อดุ มศึกษา การแก้ไขการอุดมศึกษาปี 1992 (กฎหมายมหาชน 105-244) ขยายขอบเขตของกฎหมายก่อนหน้าโดย 1) กาหนดให้รัฐ เพ่ือพัฒนาการศึกษาเชงิ ประเมนิ และตวั ชี้วดั ผลการปฏิบัติงานสาหรับโปรแกรมตา่ งๆ ของพวกเขา 2) มอบอานาจให้กระทรวงศึกษาธิการเพื่อเพิ่มทางเลือกของลูกค้าภายในกระบวนการฟื้นฟูอาชีวศึกษา และให้ อานาจในการสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจในการพัฒนาโครงการต้นแบบ สาหรับผู้ว่างงานที่มีความทุพพลภาพ ให้มีโอกาสในการได้รับความรู้และทักษะที่จาเป็นในการก้าวหน้าในการจ้างงาน จุดประสงค์ของร่างกฎหมายน้ีคือ เพื่อนาความสมบูรณ์ย่ิงข้ึนมาสู่โปรแกรมที่มีอยู่และขยายโอกาสทางการศึกษาสาหรับผู้พิการชาวอเมริกัน พระราชบัญญัติการปฏิรูปสินเช่ือนักศึกษาปี 1993 (กฎหมายมหาชน 103-66) ได้ปฏิรูปโครงการ ช่วยเหลือนักเรียน โดยยุติระบบการให้กู้ยืมโดยตรง ซ่ึงจะขจัดผู้ให้กู้เอกชนและหน่วยงานค้าประกัน ให้อานาจกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ ในช่องทางการจัดหาเงินทุนผ่านระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โ ร ง เ รี ย น ท่ี มี ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร บ ริ ห า ร เ พี ย ง พ อ ส า ม า ร ถ ใ ห้ กู้ ยื ม เ งิ น ใ น ม ห า วิ ท ย า ลั ย ไ ด้ โรงเรียนขนาดเล็กมีกระบวนการทางเลือก นักศึกษาสามารถเลือกทางเลือกในการชาระคืนท่ีหลากหลาย รวมถึง รายไดท้ ่ีอาจเกิดขนึ้ GOALS 2000 : พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งอเมริกาปี 1994 (กฎหมายมหาชน 103-227) ได้จัดตั้ง พันธมิตรของรฐั บาลกลางใหม่ ผา่ นระบบการใหท้ นุ แกร่ ฐั และชุมชนท้องถิน่ เพอื่ ปฏิรปู ระบบการศึกษาของประเทศ กฎหมายฉบับน้ีทาให้เป้าหมายการศึกษาแห่งชาติหกประการและวัตถุประสงค์ของพวกเขาเป็นทางการ มากขึ้น เพิ่มเป้าหมายใหม่สองเป้าหมาย และจัดต้ังขึ้นในกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการเป้าหมายการศึกษาแห่งชาติ คณะกรรมการมีหน้าทรี่ ับผิดชอบในการรายงานประจาปี เก่ียวกับความก้าวหน้าของรฐั และระดับชาติในการบรรลุ เป้าหมายการศึกษาแห่งชาติ และทาให้ประเทศน้ีมุ่งเน้นท่ีขั้นตอนท่ีจาเป็นในการบรรลุเป้าหมาย มีหน้าที่

13 ในการระบุการดาเนินการท่ีควรดาเนินการ เพื่อเพ่ิมความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายและเพ่ือให้โอกาสท่ีเป็น ธรรมในการเรยี นรู้แก่นกั เรียนทุกคน พระราชบัญญัติยังได้สร้างสภามาตรฐานการศึกษาและการปรับปรุงแห่งชาติ (NESIC) เพื่อให้การรับรอง มาตรฐานการศึกษาของรัฐและระดับท้องถ่ินและการประเมินโดยสมัครใจ เพื่อกระตุ้นโอกาสทางการศึกษาท่ี เพิ่มขึ้น ในขณะท่ีสร้างความรับผิดชอบและความรับผิดชอบท่ีมากข้ึนสาหรับนักเรียนและโรงเรียน NESIC จะทางานเพ่ือพัฒนาเกณฑ์การรับรองการประเมินที่สอดคล้องกับมาตรฐานเนื้อหา การประเมินที่สามารถ นามาใช้เพื่อ 1) เป็นตัวอย่างสาหรับนักเรียน ผู้ปกครอง และครูเกี่ยวกับประเภทและระดับของผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของนกั เรียนท่ีคาดหวัง 2) ปรับปรุงการเรียนการสอนในห้องเรียน 3) แจ้งให้นักเรยี น ผู้ปกครอง และ ครทู ราบเกีย่ วกบั ความกา้ วหนา้ ของนักเรียนในการบรรลมุ าตรฐานเนอื้ หา และ 4) วดั ผลและจูงใจนกั เรยี นแตล่ ะคน โรงเรียน อาเภอ รฐั และประเทศชาติเพอ่ื ปรับปรงุ ผลการเรยี น พระราชบัญญัติยังได้จัดตั้งคณะกรรมการมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ เพื่อส่งเสริม และช่วยเหลือ อุตสาหกรรมแรงงาน และการศึกษา ในการระบุ การพัฒนา และการนามาตรฐานระดับสูงไปใช้โดยส มัครใจ ในแต่ละพ้ืนที่ทางาน และจับคู่ความต้องการเหล่าน้ันกับหลักสูตร ประสบการณ์การทางาน การฝึกอบรมและ สือ่ การฝึกอบรม คณะกรรมการมีหน้าที่กาหนดวิธกี ารในการประเมินและรับรองทกั ษะ โดยใชเ้ ทคนิคการประเมินท่ี หลากหลาย เพอื่ วัดผลสัมฤทธกิ์ ับมาตรฐานทักษะตามความสมคั รใจในวงกว้าง นอกจากนี้ยังจะพัฒนาระบบเพื่อให้ มาตรฐานทันการเปล่ียนแปลงความต้องการด้านอาชีพและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และเพื่อเผยแพร่ข้อมูล เกี่ยวกับมาตรฐาน หลักสูตร การฝึกอบรม การประเมิน และการรับรอง เพื่อพัฒนามาตรฐานฝีมือแรงงาน ระดับชาตโิ ดยสมัครใจ เป้าหมายการศึกษาแห่งชาติหกเป้าหมายก่อนหน้านี้ พร้อมด้วยเป้าหมายเพิ่มเติมอีกสองเป้าหมายที่ฝ่าย บรหิ ารของคลินตนั กาหนดเป็นกฎหมายในปี 1994 ดงั ต่อไปน:้ี \"ภายในปี 2000 1) เดก็ ทุกคนในอเมริกาจะต้องเข้า โ รงเรี ยน เพื่ อได้รั บการ ศึกษา 2) อัตรา การส าเร็จ การศึ กษาร ะดับมั ธ ยมป ลายจ ะ ต้อง เพิ่มข้ึ น อยา่ งน้อย 90 เปอร์เซน็ ต์ 3) นักเรยี นชาวอเมริกนั จะตอ้ งจบเกรด 4 เม่อื อายุ 8 ปี และ เม่อื อายุ 12 ปี จะตอ้ งแสดง ความสามารถในวิชาที่ท้าทายต่าง ๆ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศ พลเมือง และรัฐบาล เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ และทุกโรงเรียนในอเมริกาจะต้องรับประกันว่า นกั เรียนทุกคนจะได้เรียนรู้ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล เตรียมพร้อมสาหรับการเป็นพลเมอื งที่มีความรับผิดชอบ ก า ร เ รี ย น รู้ เ พิ่ ม เ ติ ม แ ล ะ ก า ร จ้ า ง ง า น ท่ี มี ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล ต า ม แ น ว คิ ด ส มั ย ใ ห ม่ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ช า ติ 4) นักเรียนสหรัฐจะประสบความสาเร็จเป็นอันดับหนึ่งของโลกในด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

14 5) ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันทุกคนจะมีความรู้ และสามารถนาความรู้ที่มี แข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก ใช้สิทธิและมีความรับผิดชอบในฐานะการเป็นพลเมือง 6) ทุกโรงเรียนในอเมริกาจะปลอดจากยาเสพติดและ ความรุนแรง และจะเสนอสภาพแวดล้อมที่มีระเบียบวินัยที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ 7) ครูจะสามารถเข้าถึงโปรแกรม ต่างๆ เพ่ือพัฒนาทักษะทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสได้รับความรู้และทักษะท่ีจาเป็นในการสอนและ เตรียมนักเรียนอเมริกันทุกคนให้พร้อมสาหรับศตวรรษหน้า 8) ทกุ โรงเรียนจะส่งเสริมการมีสว่ นรว่ มของผู้ปกครอง และการมีส่วนรว่ มในการส่งเสรมิ การเติบโตทางสังคม อารมณ์ และวชิ าการของเดก็ ๆ พระราชบัญญัติโอกาสโรงเรียนสู่การทางาน ปี 1994 (กฎหมายมหาชน 103-239) ได้กาหนด กรอบการทางานระดับชาติ ภายในท่ีรัฐและชุมชนสามารถพัฒนา 'โครงการโอกาสเรียนต่องานเพ่ือเตรียมเยาวชน ให้พร้อมสาหรับการทางานคร้ังแรกและการศึกษาต่อเน่ืองได้ โครงการน้ีจะช่วยอานวยความสะดวกในการพัฒนา ระบบการเตรยี มความพรอ้ มด้านวิชาการและการประกอบอาชีพทเ่ี ขม้ งวดสาหรบั นกั ศึกษา ให้เงินแกร่ ัฐ และชมุ ชน เพ่ือพัฒนาระบบโปรแกรมท่ีประกอบด้วยการเรียนรู้จากการทางาน การเรียนรู้ในโรงเรียน และกิจกรรมเชื่อมโยง โปรแกรม School-to-Work จะให้ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย (หรือเทียบเท่า) แก่นักเรียน ใบรับรองทักษะทีเ่ ป็นที่ยอมรับในระดบั ประเทศ อนุปริญญา (ตามความเหมาะสม) และอาจนาไปสู่งานแรกหรือไป ศกึ ษาตอ่ ได้ การศึกษา วิจัย พัฒนา เผยแพร่ และปรับปรุงพระราชบัญญัติปี 1994 (ส่วนหน่ึงของกฎหมายมหาชน 103-227) ทบทวนกิจกรรมการวิจัยและเผยแพร่ของสานักงานวิจัยและพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ สหรัฐฯ (OERI) และได้จัดต้ังสถาบันห้าแห่ง ซึ่งจะดาเนินการวิจัย เพ่ือสนับสนุนเป้าหมายการศึกษาของประเทศ โดยตรง 1) สถาบันแห่งชาติว่าด้วยผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษา หลักสูตรและการประเมินแห่งชาติ 2) สถาบันแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาของนักศึกษาท่ีมีความเส่ียง 3) สถาบันแห่งชาติว่าด้วยธรรมาภิบาล การเงิน การกาหนดนโยบาย และการจัดการ 4) สถาบันแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาเด็กปฐมวัยและการศึกษา และ 5) สถาบันแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ห้องสมุด และการศึกษาตลอดชีวิต น อ ก จ า ก นี้ ยั ง ไ ด้ จั ด ตั้ ง ส า นั ก ง า น ช่ ว ย เ ห ลื อ แ ล ะ เ ผ ย แ พ ร่ ก า ร ป ฏิ รู ป แ ล ะ ห อ ส มุ ด ก า ร ศึ ก ษ า แ ห่ ง ช า ติ กฎหมายดังกล่าวยังอนุญาตให้มีความต่อเนื่องของห้องปฏิบัติการทางการศึกษาระดับภูมิภาคและการวิจัยและ พฒั นาในมหาวทิ ยาลัย พระราชบัญญัติปรับปรุงโรงเรียนของสหรัฐอเมริกา ปี 1994 (กฎหมายมหาชน 103-382) ได้อนุมัติ พระราชบัญญัติประถมศึกษาและมัธยมศึกษาปี 1965 อีกคร้ัง โดยมีการเปลี่ยนแปลงท่ีสาคัญบางประการ กฎหมายดังกล่าวรวมถึงหัวข้อ 1 ซึ่งเปน็ โครงการท่ีใหญ่ท่สี ุดของรัฐบาลกลางท่ีให้ความช่วยเหลอื ดา้ นการศึกษาแก่

15 เด็กด้อยโอกาส โครงการพัฒนาวิชาชีพและความช่วยเหลือด้านเทคนิค การจัดหาโรงเรียนและชุมชนท่ีปลอดภัย และปลอดยาเสพติด และบทบัญญัตทิ ี่สง่ เสริมความเท่าเทียมของโรงเรยี น โดยเน้นกองทุนของรัฐบาลกลางสาหรับ พ้ืนท่ีท่ีมีความยากจนสูง นอกจากน้ียังกาหนดให้รัฐต้องพัฒนาเนื้อหาคุณภาพสูงและมาตรฐานประสิทธิภาพและ การประเมินเพื่อให้มีคุณสมบัติสาหรับเงินทุนของรัฐบาลกลางบางประเภท เน้นการควบคุมท้องถ่ิ นและ ความยดื หยนุ่ เพ่อื แลกกับความรับผิดชอบ เนน้ ผลการปฏบิ ัติงานของโรงเรียนโดยรวม กฎหมาย No Child Left Behind (NCLB) ปี 2001 รัฐสภาคองเกรสได้อนุมัติพระราชบัญญัติ การประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษา (ESEA) อีกคร้ัง ซ่ึงเป็นกฎหมายหลกั ของรัฐบาลกลางทสี่ ่งผลต่อการศึกษาต้ังแต่ ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียน กฎหมายฉบับใหม่แสดงถึงความพยายามของรัฐบาลกลาง ในการสนับสนุนการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในสหรัฐอเมริกา มันถูกสร้างขึ้นบนสี่เสาหลัก คือ 1) ความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ 2) เน้นการทาส่ิงที่ได้ผลตามการวิจัย 3) ขยายทางเลือกของผู้ปกครอง และ 4) ขยายการควบคมุ และความยืดหยุ่นในทอ้ งถิน่ ในท้ังห้าสิบรัฐ เช่นเดียวกับในหกเขตการปกครอง การศึกษาเป็นภาคบังคับ โดยปกติต้ังแต่ อายุ 6 หรือ 7 ปี ถึงอายุ 16 ปี โรงเรียนของรัฐในสหรัฐอเมริกาน้ันฟรี อย่างน้อยก็เม่ือสาเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษา (เกรด 7) ในทุกรัฐและดินแดน โรงเรียนเอกชนได้รับอนุญาตให้ดาเนินการได้ พวกเขาอยู่ภายใต้ ข้อบังคับการออกใบอนุญาตและการรับรองของรัฐ สถาบันเหล่าน้ีบางแห่งอาจได้รับความช่วยเหลือจาก รฐั บาลกลางอย่างจากดั เพอ่ื วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ แตส่ ่วนใหญ่ได้รบั ทนุ จากแหลง่ อื่นท่ีไม่ใช่รฐั บาล

16 โครงสร้างและการจดั ระบบการศึกษา (Structure and organization of education system) ประเทศสหรฐั อเมริกา การศึกษาในสหรัฐอเมริกาจัดสามระดับหลัก ได้แก่ ระดับประถมศึกษา (รวมถึงก่อนวัยเรียนและ ประถมศึกษา) ระดับมัธยมศึกษา และระดับหลังมัธยมศึกษา มีการฝึกอบรมวิชาชีพในระดับมัธยมศึกษาและ หลังมัธยมศึกษา นอกจากนี้ โปรแกรมการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาต่อเน่ืองที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ยงั มีใหอ้ ย่างกวา้ งขวางแกพ่ ลเมอื งสหรัฐฯ ในแทบทุกส่วนของประเทศและตลอดชวี ติ ของพวกเขา กา ร ศึ กษ า เ ป็น ภ า คบั ง คั บ โ ด ย เร่ิ ม ต้ั งแ ต่ อ ายุ 5 ปี ใ น 7 รั ฐ ต อ นอ า ยุ 6 ปี ใ นรั ฐ 21 ปี เม่ืออายุ 7 ปี ใน 18 รัฐ และเมื่ออายุ 8 ปี ใน 2 รัฐ (ข้อมูลอ้างอิงถึงปี 2000 สาหรับสองรัฐไม่มีข้อมูล) โดยปกตแิ ล้ว บุคคลจะต้องเข้าเรียนในโรงเรยี นจนถงึ อายุ 16 ปี ตั้งแต่ปี 1989 เปน็ ต้นไป มีแนวโน้มไปสู่รัฐอื่นๆ ที่ มีโรงเรียนบังคับจนถึงอายุ 18 ปี ในปี 2000 นักเรียนจะต้องลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนถึงอายุ 16 ปี ใน 28 รัฐ ( 35 รัฐในปี 1989) ถึงอายุ 17 ปีใน 7 รัฐ และจนถึงอายุ 18 ใน 13 รัฐ จะได้รับการเรียนฟรีจนสาเร็จ การศกึ ษาระดบั มัธยมศึกษา (เกรด 7) สาหรบั ผู้ที่เขา้ เรยี นในโรงเรียนของรฐั โครงสร้างระบบการศกึ ษาของประเทศสหรฐั อเมริกา แสดงดังภาพ 2 โดย การศึกษาก่อนวัยเรียน การศึกษาแบบ Elementary ประกอบด้วยหน่ึงหรือสองปีของเด็กก่อนวัยเรียน และหนึ่งปีของโรงเรียนอนุบาล ระบบโรงเรยี นของรัฐสว่ นใหญ่จัดให้มีช้ันเรียนอนุบาลคร่งึ วัน สาหรับเด็กอายุ 5 ปี และบางหลักสูตรมีชั้นเรียนก่อนวัยเรียนสาหรับเด็กเล็ก แม้ว่าโปรแกรมก่อนวัยเรียนส่วนใหญ่จะมีการเสนอเป็น การส่วนตัว คุณลักษณะที่สาคัญของการมีส่วนร่วมท่ีเพ่ิมข้ึนของเด็กเล็กในโรงเรียนก่อนประถมศึกษา คือ สดั สว่ นทเ่ี พิม่ ขน้ึ ในโปรแกรมเต็มวัน การศึกษาระดับประถมศึกษา แมว้ ่าการศึกษาระดับประถมศึกษาอาจประกอบดว้ ยเกรดหกหรือเกรดแปด แต่โรงเรียนเป็นเกรดหกส่วนใหญ่ วัตถุประสงค์หลักของโรงเรียนประถมศึกษา คือ การพัฒนาทั่วไปของ เด็กอายุตั้งแต่ 6 ถึง 12 หรือ 14 ปี (ข้ึนอยู่กับว่าโรงเรียนน้ันเป็นโรงเรียนประถมศึกษาอายุ 6 หรือ 8 ปี) ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านการศึกษาของ สหรัฐอเมริกา ความประณีตของโรงเรยี นมัธยมศึกษาตอนต้นซ่ึงไดร้ ับการออกแบบมาเพ่ือปรับปรุงการเปล่ียนผ่าน จากระดับประถมศึกษาเป็นมัธยมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นมักประกอบด้วยเกรดห้าหรือหกถึงแปด ให้ การสอนแบบทมี และวธิ กี ารสอนทเี่ ป็นนวัตกรรมอ่ืนๆ และเนน้ หลกั สตู รทส่ี ารวจและความเป็นอิสระที่เพิม่ ขน้ึ

17 ภาพท่ี 2 แสดงโครงสรา้ งระบบการศึกษาของประเทศสหรฐั อเมริกา ท่มี า : https://www.ushstudent.com/blog/structure-of-the-u-s-education-system/

18 สาหรับนักเรียน มีวัตถุประสงค์เพ่ือตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาของนักเรียนในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ซ่ึงมี อายรุ ะหว่าง 10 ถงึ 14 ปี การศึกษาระดับมัธยมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาเร่ิมต้นที่เกรด 7 หรือเกรด 9 ข้ึนอยู่กับว่าการศึกษาระดับ ประถมศึกษาในระบบขยายผ่านเกรด 6 หรือเกรด 8 ในบางระบบ โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นตามโรงเรียน ประถมศึกษา และรวมถึงเกรด 7-8 หรือ 7-9 ตามด้วยโรงเรียนมัธยมปลาย ซ่ึงอาจรวมถึงเกรด 9-12 หรือ 10-12 ในระดับการศึกษานี้ นกั เรยี นมกั จะสาเร็จเกรด 12 เม่อื อายุ 17 หรอื 18 ปี เม่ือจบเกรด 10 นักเรยี นส่วนใหญ่จะตัดสินใจว่าจะเรียนตามโปรแกรมวิชาการหลักท่ีนาไปสู่การศึกษาต่อ ในระดับวิทยาลัย หรือ โปรแกรมอาชีวศึกษาท่ีนาไปสู่การจ้างงานหรือการฝึกอบรมหลังมัธยมศึกษาเฉพาะทาง หรอื โปรแกรมท่ัวไปทีร่ วมองคป์ ระกอบของทั้งสองหลกั สูตรวชิ าการและอาชีวศกึ ษา หลักสูตรระดับมัธยมศึกษาท้ังหมดนาไปสู่ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาตอนปลาย และในเขตการศึกษา ส่วนใหญ่เปิดสอนในสถาบันที่ครอบคลุมเดียวกัน สถาบันที่ครอบคลุมมีหลักสูตรแบบรวม เช่น โปรแกรมท่ัวไป ช่วยให้นักเรียนสามารถโอนย้ายจากโปรแกรมหน่ึงไปยังอีกโปรแกรมหน่ึงได้อย่างง่ายดาย และให้ความยืดหยุ่น สาหรับนักเรียนในการพัฒนาตารางเวลาส่วนบุคคล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายส่วนตัวของตนเอง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายขนาดกลางจะเสนอหลักสูตรแยกกัน 200 หลักสูตรข้ึนไป โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายแบบครอบคลุมยังเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวท่ีมีความสนใจในอาชีพท่ีแตกต่างกัน รวมถึงภูมิหลังทางสังคมและเศรษฐกิจท่ีหลากหลายได้ติดต่อกันเป็นประจา อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีท่ีผ่านมา เขตการศึกษาหลายแห่งได้แนะนาโรงเรียนแม่เหล็ก (magnet school) ซึ่งได้รับการออกแบบเพื่อดึงดูดนักเรียน จากท่ัวทุกพื้นที่ของโรงเรียนท่ีมีความสนใจเป็นพิเศษในด้านการศึกษาเฉพาะ เช่น วิทยาศาสตร์ ศิลปะ หรือภาษา ดังน้ัน โรงเรียนแมเ่ หล็กจะวางเป้าหมายทางวิชาการท่ีเขม้ ข้นย่งิ ขน้ึ อาชีวศึกษามักจะเริ่มต้นท่ีระดับมัธยมศึกษาและดาเนินต่อไปจนถึงปีที่สองของระดับหลังมัธยมศึกษา โปรแกรมอาชีวศึกษายังได้รับการออกแบบเพ่ือฝึกฝนและยกระดับทักษะของผู้ทางานท่ีเป็นผู้ใหญ่ เพ่ือให้พวกเขา ทันต่อความต้องการท่ีเปล่ียนแปลงไปของตลาดแรงงาน โปรแกรมเหล่าน้ีมักถูกจัดกลุ่มภายใต้หัวข้อต่าง ๆ ท้ังเจ็ดของอาชีวศึกษา เกษตรกรรม การตลาดและการจัดจาหน่าย อาชีพด้านสุขภาพ คหกรรมศาสตร์ อาชพี ธุรกจิ และสานกั งาน การศกึ ษาดา้ นเทคนคิ และ การคา้ และการศึกษาด้านอตุ สาหกรรม บางโปรแกรมมีเรียนต่อเน่ืองตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาไปจนถึงระดับหลังมัธยมศึกษา ซ่ึงรวมถึงอาชีพใน สานักงาน การศึกษาด้านการตลาดและการจัดจาหน่าย อาชีพด้านสุขภาพ และโครงการท่ีไม่ใช่ด้านเทคนิคอื่นๆ

19 เนื่องจากพื้นฐานทางวิชาการท่ีจาเป็นในระดับมัธยมศึกษา การเรียนการสอนด้านเทคนิคจึงมักจะเร่ิมต้นด้วย การศึกษาระดับหลังมัธยมศึกษา อย่างไรก็ตาม โรงเรียนมัธยมท่ีมีวัตถุประสงค์พิเศษบางแห่งและโรงเรียน อาชีวศึกษา/เทคนิคขนาดใหญ่บางแห่งเปิดสอนหลักสูตรด้านเทคนิคในระดับมัธยมศึกษา โดยท่ัวไป โปรแกรมหลังมัธยมศึกษาสองปีเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับความสามารถที่น้อยที่สุดในวิทยาศาสตร์กายภาพ หากโปรแกรมหลังมัธยมศึกษาอนุญาต นักเรียนอาจเลือกที่จะยตุ ิการศึกษาด้านเทคนิคและโอนหน่วยกิตเพอ่ื ศกึ ษา ในวิทยาลยั หรอื มหาวทิ ยาลัยส่ปี ีได้ ผูส้ าเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายท่ีตดั สินใจศึกษาต่ออาจเข้าเรียนในสถาบันด้านเทคนิคหรือ อาชีวศกึ ษา วทิ ยาลัยสองปี หรอื วิทยาลยั หรอื มหาวิทยาลัยสีป่ ี โดยปกติแล้ววทิ ยาลยั สองปีจะเปิดสอนหลกั สูตรสอง ปแี รกของวทิ ยาลยั มาตรฐานสปี่ ีและหลักสตู รระดับอาชีวศึกษาตอนปลายท่ีคดั เลอื กมา หลักสตู รวิชาการทสี่ าเรจ็ ใน วทิ ยาลยั สองปีมักจะสามารถโอนหน่วยกิตได้ที่วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยสี่ปี สถาบันด้านเทคนิคหรืออาชีวศึกษามี การฝึกอบรมด้านเทคนิคหลงั มัธยมศึกษาทน่ี าไปสูอ่ าชีพเฉพาะ ระดบั อนุปริญญาต้องใช้เวลาอย่างนอ้ ยสองปีในการทางานระดับวทิ ยาลัย และโดยปกติแล้วปริญญาตรีจะ ได้รับภายในส่ีปี อย่างน้อยหนึ่งปีที่เกินกว่าปริญญาตรีเป็นส่ิงจาเป็นสาหรับการศึกษาระดับปริญญาโท ในขณะที่ ปริญญาเอกมักจะต้องใช้เวลามากกว่าปริญญาตรีอย่างน้อยสามหรือสี่ปี ดังน้ันสถาบันต่างๆ จึงมีโปรแกรม หลังปริญญาเอกสาหรับการศึกษาข้นั สูง โดยท่วั ไปแลว้ จะองิ ตามแผนการศกึ ษารายบคุ คลหรอื แผนการวจิ ัย โรงเรียนวิชาชีพแตกต่างกันอย่างมากในด้านข้อกาหนดการรับเข้าเรียนและความยาวของโปรแกรม ตัวอย่างเช่น นักศึกษาแพทย์ โดยทั่วไปแล้วจะสาเร็จหลักสูตรการศึกษาก่อนการแพทย์ส่ีปีท่ีวิทยาลัยหรือ มหาวิทยาลัย ก่อนที่จะสามารถเข้าสู่โปรแกรมสี่ปีท่ีโรงเรียนแพทย์ โปรแกรมกฎหมายมักต้องใช้เวลาสามปีใน รายวิชาเกนิ กวา่ ระดบั ปรญิ ญาตรี ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ปีการศึกษามักจะเร่ิมในเดือนกันยายนและดาเนินต่อไปจนถึง สปั ดาห์แรกหรือสัปดาห์ท่ีสองในเดือนมิถุนายน แม้ว่าบางเขตการศึกษาต้องการเร่ิมต้นและส้ินสุดปีการศึกษาก่อน หนา้ ท่กี ลา่ วมา ในปี 2002 มี 34 รัฐ กาหนดให้ปกี ารศกึ ษา ใช้ระยะเวลา 180 วนั และ มี 8 รฐั ตอ้ งใช้เวลาระหวา่ ง 175 ถงึ 179 วนั ในปีเดียวกัน มี 30 รฐั ต้องการใช้เวลา 5 ชั่วโมงหรือมากกวา่ ตอ่ วันต้ังแต่ระดับประถมศึกษาจนถึง มัธยมปลาย ในเกรด 1-6 มี 30 รฐั ตอ้ งการใช้เวลาอย่างนอ้ ย 5 ชั่วโมงตอ่ วัน ในขณะมี 36 รัฐต้องการใชเ้ วลาอย่าง น้อย 5 ชั่วโมงต่อวันสาหรับเกรด 7 และ 8 และมี 34 รัฐต้องการใช้เวลาอย่างน้อย 5 ช่ัวโมงต่อวัน สาหรับเกรด 9-12 โรงเรยี นมัธยมปลายท้ังหมดตอ้ งการใชเ้ วลาต้งั แต่ 4-7 ช่วั โมงตอ่ วัน ยกเว้นนโยบายของรัฐมสิ ซูรี ซึ่ง อ ยู่ ท่ี 3-7 ชั่ ว โ มง ต่ อ วัน แ ล ะน โ ย บา ย ข อง เ ว สต์ เ ว อ ร์จิ เ นี ยท่ี 3 . 7 5 ช่ัว โ ม ง ใ น กร ณี ส่ ว น ใ ห ญ่

20 โดยเฉพาะอย่างย่ิงในระดับมัธยมศึกษา นักเรียนจะเสร็จส้ินงานที่ได้รับมอบหมายในช่วงบ่ายหรือเย็นของวันเรียน อย่างเป็นทางการ โดยช้ันเรียนส่วนใหญ่สอนเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีบางโรงเรียนท่ีมีหลักสูตรสอน ภาษาตา่ งประเทศจนกว่านักเรียนจะสามารถใช้ภาษาองั กฤษได้อยา่ งพอเพียงเพ่ือเขา้ ช้นั เรียนปกติ ในระดับหลังมัธยมศึกษา ปฏิทินการศึกษามีความยืดหยุ่นมากขึ้น บรรทัดฐานสาหรับนักศึกษาเต็มเวลา คือสองภาคเรยี น เรยี นครั้งละ 15 ถงึ 16 สปั ดาห์ตอ่ ปกี ารศึกษา แต่สถาบันการศกึ ษาหลายแหง่ มีรูปแบบที่แตกตา่ ง กันไป ตัวอย่างเช่น บางระบบนาระบบไตรมาสมาใช้ ซึ่งแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 3 เรียน หรือ 4 ภาคเรียน ในสองระบบหลงั ปกตนิ ักเรียนจะไม่เข้าโรงเรียนตลอดทงั้ ปี แตส่ องในสามภาคการศึกษาหรือสามในสีข่ องไตรมาส

21 การจัดการศกึ ษา (The Educational Process) แ ม้ ว่ า ก ฎ ห ม า ย ข อ ง รั ฐ บ า ล ก ล า ง จ ะ ไ ม่ ก า ห น ด ห ลั ก สู ต ร ที่ เ ป็ น ม า ต ร ฐ า น แ ต่ โ ป ร แ ก ร ม การศึกษาสหรัฐอเมริกาโดยท่ัวไป ประกอบด้วย ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ การอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์และรัฐบาลสหรัฐ ศิลปะ ดนตรี สุขภาพและโภชนาการ ศิลปะเชิงปฏิบัติ พลศึกษา ภูมิศาสตร์และภาษาต่างประเทศ หลายโรงเรียนก็เริ่มสอนประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และประเพณีของชาติและชนชาติอื่นๆ นักเรียนบางคนยังได้รับการแนะนาเกี่ยวกับโลกแห่งการทางานผ่าน โปรแกรมทีส่ ง่ เสรมิ การตระหนักร้ใู นอาชพี การงาน หน่วยงานด้านการศึกษาของรัฐและท้องถิ่นมีหน้าที่กาหนดและพัฒนาหลักสูตรโรงเรียนของรัฐ รัฐบาลกลางถูกห้ามโดยชัดแจ้งโดยกฎเกณฑ์จากการบุกรุกในการตัดสินใจของหลักสูตร ไม่มีหลักสูตรสาธารณะ ระดับชาติในทุกระดับการศึกษา ที่จริงแล้ว รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาจะคอยตรวจสอบความช่วยเหลือ จากรัฐบาลกลางสาหรับการพัฒนาหลักสูตรอย่างรอบคอบ เพ่ือให้มั่นใจว่าการควบคุมของรัฐและท้องถ่ินน้ันยังคง อยู่ อย่างไรก็ตาม สภาคองเกรสได้สั่งใหท้ ุกโรงเรียนท่ีได้รับทุนของรัฐบาลกลางต้องจัดให้มีโปรแกรมที่ออกแบบมา เพ่ือสอนนักเรียนว่าการใช้ยาเสพติดเป็นสิ่งผิดและเป็นอันตราย นอกจากนี้ บางคร้ังรัฐบาลกลางให้ทุนสนับสนุน การวิจัยหลักสูตร และพัฒนาหลักสูตรแบบจาลองทีร่ ัฐและหนว่ ยงานท้องถ่ินอาจเลือกใช้ ด้วยวธิ ีนี้ รัฐบาลกลางใช้ ความเปน็ ผู้นาโดยไม่ต้องเข้าไปยงุ่ เก่ยี วกับระบบโรงเรียนของรฐั โดยตรง รัฐใช้ความรับผิดชอบของตนสาหรับหลักสูตรโรงเรียนของรัฐในห้าวิธีหลัก โดย 1) กาหนดข้อกาหนด การสาเร็จการศึกษาสาหรับนักเรียนภายในรัฐ 2) การเลือกตาราท่ีจะใช้ในห้องเรียน 3) การพัฒนาการทดสอบ สมรรถนะขั้นต่า 4) การออกคู่มือหลักสูตรของรัฐและ 5) การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค ตัวอย่างเช่น รัฐสว่ นใหญ่ต้องการให้นกั เรียนเรยี นหลักสตู รสังคมศึกษาอยา่ งนอ้ ยหนึง่ หลกั สูตรในดา้ นประวัติศาสตรอ์ เมรกิ ันหรือ ประวัติศาสตร์ของรัฐเฉพาะของตน เขตโรงเรียนในท้องถ่ินอาจเพิ่มข้อกาหนดหลักสูตรของตนเอง เช่น ประวัติศาสตร์ท้องถน่ิ หรือเพศศึกษา การทดสอบความสามารถขั้นต่าเป็นวิธีการที่รัฐอาจมีอิทธิพลต่อหลักสูตรในท้องถ่ิน แนวทางปฏิบัติน้ี เกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1970 และรูปแบบการทดสอบความสามารถข้ันต่าบางรูปแบบในปัจจุบันมี ในอย่างน้อยสี่สิบรัฐ หลายรัฐได้รับคาสั่งให้นักเรียนมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความสามารถข้ันต่าก่อนท่ีจะ ได้รับประกาศนียบัตรมัธยมปลาย แล้วค่อยๆ ขยายการทดสอบไปยังระดับลา่ งเพ่ือติดตามความคืบหน้าในช่วงต้น ขณะนี้ รัฐต่างๆ ดาเนินการทดสอบความสามารถขั้นต่าในขั้นการศึกษาของนักเรียนสองหรือสามข้ันตอน เพื่อระบุ ปัญหาและให้ความช่วยเหลือในการแก้ไข การอ่าน การเขียน และคณิตศาสตร์เป็นสามสาขาวิชาท่ีมีเป้าหมาย

22 มากที่สุดสาหรับการทดสอบความสามารถข้ันต่า โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ในเกรด 3 หรือ 4 และ เกรด 8 หรือ 9 และ เกรด 11 หรือ 12 รัฐยังมีอิทธิพลต่อหลักสูตรในท้องถิ่นด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค ซึ่งจัดทาโดยผู้เชี่ยวชาญด้าน หลักสูตรของรัฐในสาขาต่างๆ (เช่น วิทยาศาสตร์) เป็นหลัก ผู้เช่ียวชาญเหล่าน้ีทางานร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นใน กิจกรรมอ่ืน ๆ เป็นรายบุคคล ดาเนินการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคและทั่วทั้งรัฐสาหรับกลุ่ม และจดั ระเบียบการพัฒนาคูม่ ือหลักสตู รของรัฐ แมจ้ ะมีลกั ษณะการกระจายอานาจของการศึกษาแบบอเมริกัน แต่ก็มมี าตรฐานหลักสตู รเชงิ ปฏิบัติอยู่บ้าง ประการแรก ตาราอาจเป็นตัวกาหนดหลักสูตรเดียวท่ียิ่งใหญท่ ่ีสุด และผู้จดั พิมพ์จานวนมากประสบความสาเร็จใน การสร้างตลาดขนาดใหญ่ในหมู่โรงเรียนของประเทศ ประการที่สอง ข้อกาหนดในการเข้าศึกษาในวิทยาลัยและ มหาวิทยาลัยส่งผลกระทบอย่างมากต่อการตัดสินใจของหลักสูตรในระดับมัธยมศึกษา เน่ืองจากหน่วยงานของ โรงเรยี นในท้องถิ่นตอ้ งการใหผ้ สู้ าเร็จการศกึ ษาของตนเข้ารบั การศกึ ษาต่อในสถาบนั การศึกษาระดับอดุ มศึกษาโดย ทันที ในบางกรณี หลักสูตรของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายอาจได้รับการออกแบบท้ังหมดหรือส่วนใหญ่เพื่อ เตรียมนักเรียนเข้าวิทยาลัย แม้ว่าประชากรท่ีถูกผูกไว้กับวิทยาลัยอาจมีเพียงประมาณ 50% หรือ 60% ของ นกั เรยี นในโรงเรยี นมัธยมศกึ ษาตอนปลายกต็ าม ประการท่ีสาม การทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนระดับชาติและ ความถนดั ทพ่ี ฒั นาโดยองค์กรเอกชนท่ีไม่แสวงหาผลกาไรมีอทิ ธิพลตอ่ หลักสตู รของโรงเรยี นมธั ยมศึกษา ภายในปี 2001 เกือบทุกรัฐ ได้พัฒนาและกาหนดมาตรฐานทางวิชาการท่ีอธิบายสิ่งท่ีนักเรียนควรรู้และ สามารถทาได้ในวชิ าคณิตศาสตร์ ศิลปะภาษา วทิ ยาศาสตร์ และสังคมศึกษา ขณะน้ีรัฐสว่ นใหญ่มีมาตรฐานเนอ้ื หา ทีอ่ ธิบายเนื้อหาความรู้ท่ีนักเรียนทุกคนควรรู้ และมาตรฐานการปฏบิ ัติงานท่ีอธบิ ายว่าระดบั การปฏิบัตงิ านใดที่ถือ วา่ เปน็ ระดบั พื้นฐาน เชยี่ วชาญ และขัน้ สูง

23 การเปรยี บเทยี บระบบการศึกษาระหวา่ งประเทศสหรัฐอเมริกาและไทย จากการศึกษาขา้ งต้น ด้าน บริบท (Context) หลกั การและจุดมุ่งหมายท่ัวไปในการจดั การศึกษา (Principles and objectives of education) กฎหมายการศึกษาหรือกฎระเบยี บตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วข้องกบั การศึกษา (Laws and other basic regulations concerning education) โครงสรา้ งและการจดั ระบบการศึกษา (Structure and organization of education system) และ การจดั การศึกษา (The Educational Process) ของประเทศสหรฐั อเมรกิ า สามารถนามาเปรยี บเทียบกับประเทศไทย ได้ดงั ตารางท่ี 2 ประเด็น ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ประเทศไทย บริบท (Context) มพี น้ื ที่โดยรวมประมาณ มเี น้อื ท่ี 513,120 ตารางกโิ ลเมตร 3,787,319 ตารางไมล์ ประกอบด้วยพน้ื ที่ต่างๆ ประมาณ 18 เท่า ของขนาดพนื้ ที่ 76 จงั หวัด และ 1 ศนู ยก์ ลาง ประเทศไทย ประกอบดว้ ยพน้ื ที่ การบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ต่างๆ 50 รัฐ และ 1 เขต คือ กรงุ เทพมหานคร และมี การปกครอง คือ Washington ประชากรโดยรวมประมาณ D.C. และมปี ระชากรโดยรวม 69 ลา้ นคน ประเทศไทยมรี ปู แบบ ประมาณ 292 ล้านคน มี รฐั เปน็ ประชาธิปไตยอันมี ประธานาธบิ ดีสหรัฐ เป็นประมขุ พระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ แห่งรฐั และหัวหนา้ รฐั บาลแห่ง มพี ลเอก ประยุทธ์ จันทรโ์ อชา เป็น สหรฐั เปน็ ผู้นาสงู สุดของฝ่าย นายกรัฐมนตรีคนปจั จุบัน บรหิ าร และเป็นจอมทัพสหรัฐ ชอ่ื โจ ไบเดน หลักการและจุดมุ่งหมายทว่ั ไปใน หลักการจัดการศึกษาเพื่อ หลกั การจัดการศกึ ษาเพ่ือปวงชน การจัดการศึกษา(Principles and ความเท่าเทยี มและท่วั ถงึ หลักการจัดการศกึ ษาเพื่อ objectives of education) และหลกั การมีสว่ นรว่ มของทุกภาค ความเทา่ เทียมและทั่วถึง สว่ นของสงั คม หลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี ง และหลักการมีส่วนร่วมของทุกภาค สว่ นของสงั คม

24 ประเดน็ ประเทศสหรัฐอเมรกิ า ประเทศไทย กฎหมายการศึกษาหรอื กฎระเบยี บ พระราชบัญญัติการรหู้ นังสือ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย ตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวข้องกบั การศึกษา แหง่ ชาติ ปี 1991 พระราชบัญญตั ิ ณ วนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ.2560 (Laws and other basic สภาการศึกษา ปี 1991 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 regulations concerning พระราชบัญญตั ิการปฏิรปู สินเชอ่ื - 2579) แผนการศึกษาแหง่ ชาติ education) นกั ศึกษาปี 1993 GOALS 2000 : พ.ศ. 2560 – 2579 พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ อเมริกาปี 1994 พระราชบญั ญัติยงั พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติ ได้สรา้ งสภามาตรฐานการศกึ ษา การศกึ ษาภาคบงั คับ พ.ศ.2545 และการปรบั ปรุงแหง่ ชาติ (NESIC) พระราชบญั ญตั ิระเบียบบริหาร พระราชบัญญตั ิยังได้จัดตั้ง ราชการกระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการมาตรฐานฝีมือ พ.ศ.2546 พระราชบัญญัตสิ ภาครู แรงงานแหง่ ชาติ พระราชบญั ญตั ิ และบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. โอกาสโรงเรียนสกู่ ารทางาน 2546 พระราชบัญญตั ิ ระเบยี บ ปี 1994 กฎหมาย No Child Left ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทาง Behind (NCLB) ปี 2001 การศึกษา พ.ศ.2547 โครงสร้างและการจัดระบบ การศกึ ษาก่อนวัยเรียน การศึกษา การศึกษาก่อนวัยเรียน การศึกษา การศึกษา (Structure and ระดับประถมศึกษา การศึกษา ระดับประถมศึกษา การศึกษา organization of education ระดบั มัธยมศึกษา หลกั สตู รระดับ ระดบั มัธยมศึกษา หลกั สตู รระดบั system) มธั ยมศกึ ษา อาชีวศึกษา มธั ยมศึกษา อาชวี ศึกษา อนปุ รญิ ญา ปรญิ ญาตรี โท เอก อนุปริญญา ปรญิ ญาตรี โท เอก การจัดการศึกษา ไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ การอ่าน หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน (The Educational Process) การเขียน คณิตศาสตร์ พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และวิธกี ารทาง และตัวช้วี ดั ฯ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ประกอบดว้ ย 8 กลุม่ สาระ วทิ ยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์และ การเรยี นรู้ เชน่ ภาษาไทย ภาษาตา่ งประเทศ รัฐบาลสหรัฐ ศลิ ปะ ดนตรี สุขภาพ สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรมสุขศกึ ษา และโภชนาการ ศิลปะเชงิ ปฏิบตั ิ และพลศกึ ษา ศลิ ปะ การงานอาชพี และเทคโนโลยี คณิตศาสตร์ พลศกึ ษา ภมู ิศาสตรแ์ ละ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กจิ กรรมพฒั นา ภาษาตา่ งประเทศ ผู้เรยี น ตารางที่ 2 แสดงการเปรยี บเทียบระบบการศึกษาระหวา่ งประเทศสหรัฐอเมริกาและไทย

25 บทความทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การศึกษาของประเทศสหรัฐอเมรกิ า บทความที่ 1 ผลกระทบของการบูรณาการ ICT ต่อคุณภาพการศึกษาของโรงเรยี นมธั ยมในสหรัฐอเมริกา Impact of ICT Integration on Quality of Education between Secondary Schools in USA. 1. ทีม่ า การศึกษาท่ีมีคณุ ภาพชว่ ยให้ผู้คนสามารถพัฒนาคุณลักษณะและทักษะท้ังหมดของตนเพ่ือบรรลุศกั ยภาพ ของตนในฐานะมนุษย์และสมาชิกในสังคม การศึกษาที่มีคุณภาพเป็นรากฐานของความเท่าเทียม ในสังคม การศึกษาที่มีคุณภาพเป็นหนึ่งในบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่สุด การศึกษาท่ีมีคุณภาพจะจัดหาทรัพยากรและ ชี้นานโยบายเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กแต่ละคนจะเข้าเรียนในโรงเรียนท่ีมีคุณภาพดี เรียนรู้และปฏิบัติตามวิถีชีวิตท่ีมี คุณภาพท่ีดี ครูที่มีคุณภาพสามารถเป็นกุญแจสาคัญในการกาหนดคุณภาพการศึกษา ครูผู้สอนท่ีเตรียมตัวมา อยา่ งดีและผ่านการรับรองสูงเป็นส่ิงสาคญั หากเราต้องแน่ใจว่านักเรียนของเราจะต้องไดเ้ รียนรู้กับครูท่ีมีคุณสมบัติ ตรงตามเกณฑ์ท่ีจาเป็นสาหรับพวกเขาในการใช้ชีวิตอย่างสมบรูณ์แบบ ผู้สอนท่ีมีคุณภาพต้องเข้าใจหัวข้อตนสอน เป็นอย่างดี เพ่ือส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจและสามารถนาไปใช้ได้ในชีวิตจรงิ เป็นที่ทราบกันดีว่าครูมีอิทธิพลสาคัญ ต่อความสาเร็จทางวิชาการของนักเรียน และพวกเขายังมีบทบาทสาคัญในผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา เนื่องจากใน ที่สุดผู้สอนมีหน้าท่ีรับผิดชอบในการแปลงแผนงานและแนวคิดทางวิชาการให้เป็นการกระทาตามเทคนิคระหว่าง การสื่อสารกับผู้เรียน ท้ังการฝึกอบรมและการเรียนรู้ขึ้นอยู่กับครูผู้สอน ไม่น่าแปลกใจเลยท่ีครูที่มีประสิทธิภาพ ได้รับการกาหนดแนวความคิดว่าเป็นคนที่สร้างผลลัพธ์ที่ต้องการตามภาระหน้าที่ของเขาในฐานะครู คุณภาพของ ครูมีความสาคัญต่อความสาเร็จของชนกลุ่มน้อยมากกว่าคนส่วนใหญ่ คุณภาพการศึกษาที่สูงไม่เพียงอาศัยครูที่ แสดงผลงานเท่าน้ัน แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีที่เขา/เธอสามารถจัดการสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้ประสบผลสาเร็จ เช่นเดียวกัน ความพร้อมใช้งานของครูที่ผ่านการรับรองเป็นปัจจัยสาคัญต่อประสิทธิภาพของนักเรียน จริง ๆ แล้ว ครบู อกว่าครูมีอิทธิพลอยา่ งมากต่อการปฏิบัติในห้องเรยี น ดังนั้นครูจึงต้องมีและแสดงความสามารถในการฝึกอบรมเฉพาะท่ีสามารถแสดงให้เห็นในการแสดงของ นักเรียนในวิชาที่สอน ซ่ึงนักเรียนจะสามารถทาได้ ความเชื่อมโยงระหว่างส่ิงที่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนกับการ ประยุกต์ใช้ในการแก้ปญั หาในโลกแห่งความเป็นจริง คุณภาพของการศึกษาและการเรียนรู้ขึ้นอยู่กบั คุณภาพสูงสุด ของการฝึกอบรมที่เกิดข้ึนในชั้นเรียน โดยส่งเสริมแนวคิดท่ีว่าครูท่ีมีคุณภาพจะช่วยชดเชยการขาดแคลนใน โปรแกรมการศึกษาและทรัพยากรทางวิชาการ ICT ในการศึกษาสามารถปรับปรุงการมีส่วนร่วมและการรักษา

26 ความรู้ นักเรียนมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้นเมื่อ ICT ถูกรวมเข้ากับบทเรียน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้โอกาสท่ี แตกต่างกันเพื่อให้การเรียนรู้สนุกและสนุกสนานมากข้ึนในแง่ของการสอนส่ิงเดียวกันในรูปแบบต่างๆ การบูรณา การข้อมูล การส่ือสาร และเทคโนโลยี (ICT) ช่วยให้ครูมีความต้องการระดับโลกในการแทนท่ีวิธีการสอนแบบ ด้ังเดิมด้วยเครื่องมือและสิ่งอานวยความสะดวกในการสอนและการเรียนรู้ท่ีใช้เทคโนโลยี การบูรณาการ ICT ใน การศึกษาถือเป็นองค์ประกอบสาคัญสาหรับการปรับปรุงและพัฒนา ดังน้ัน การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ กาหนดผลกระทบของการบูรณาการ ICT ตอ่ คุณภาพการศกึ ษาของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษาในสหรัฐอเมริกา 2. วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย เพ่ือศึกษาผลกระทบของการบูรณาการ ICT ต่อคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษาใน สหรฐั อเมริกา 3. ระเบยี บวิธีวิจัย การศึกษาได้นาการออกแบบการวิจัยเชิงพรรณนามาใช้ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ อาจารย์ใหญ่ ครู และ นักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษาในเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเป้าหมายคือผู้ตอบแบบสอบถาม 419 คน เครือ่ งมอื เก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถาม วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใชส้ ถิติทัง้ เชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน 4. ผลการวิจัย 4.1 การบูรณาการ ICT มีความสัมพันธ์เชิงบวกและมีนัยสาคัญกับคุณภาพในการศึกษา ความสาเร็จของ e-learning ขึ้นอยู่กับข้อกาหนดพ้ืนฐานท่ีครูและนักเรียนมี เช่น ทักษะทางเทคนิคที่เพียงพอในการใช้เคร่ืองมือ e-learning อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับปฏิสัมพันธ์ของครูกับ e-learning ขึ้นอยู่กับความสามารถทางเทคนิคและ ความรดู้ า้ นคอมพวิ เตอร์ 4.2 การบูรณาการ ICT พบว่าเป็นท่ีน่าพอใจในการอธิบายคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษาใน สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่าการรวมกลุ่ม ICT ของครูสามารถเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียน มธั ยมศึกษาได้ 4.3 การบูรณาการ ICT เป็นตัวทานายที่ดีในการอธิบายคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษาใน สหรฐั อเมริกา ดังน้นั โรงเรยี นที่สามารถทางานบรู ณาการ ICT ได้ดี จะเพ่มิ คุณภาพการศึกษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ 4.4. การบูรณาการ ICT มีความสัมพันธ์เชิงบวกและมีนัยสาคัญต่อคณุ ภาพการศกึ ษา ผลลัพธ์แสดงให้เห็น ว่าเมื่อบูรณาการ ICT เพ่ิมขึ้นหน่ึงหน่วย คุณภาพการศึกษาจะเพิ่มขึ้น 0.1469 หน่วย ในขณะท่ียังคงปัจจัยอื่น ๆ

27 ให้คงที่ ICT ในการศึกษาช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการเก็บรักษาความรู้ นักเรียนมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น เมื่อ ICT ถูกรวมเข้ากับบทเรียน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้โอกาสท่ีแตกต่างกันเพื่อให้การเรียนรู้สนุกและ สนุกสนานมากขึ้นเม่ือสอนส่ิงเดียวกันในรูปแบบต่างๆ การบูรณาการข้อมูล การส่ือสาร และเทคโนโลยี (ICT) ชว่ ยให้ครูสะดวกในการสอนมาก ความสาเร็จของ e-learning ข้ึนอย่กู ับข้อกาหนดพ้ืนฐานท่ีครูและนักเรยี นมี เช่น ทักษะทางเทคนิคท่ีเพียงพอในการใช้เครื่องมือ e-learning อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับปฏิสัมพันธ์ของครูกับ e-learning ข้ึนอยู่กับความสามารถทางเทคนิคและความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ โรงเรียนท่ีนา e-learning มาใช้มี การศึกษาทม่ี คี ุณภาพ 5. บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ การศึกษาสรุปว่าการบูรณาการ ICT ช่วยปรับปรุงประสิทธิผลของการศึกษา มันช่วยการเคลื่อนไหว การรู้หนังสือและเพ่ิมขอบเขตของการศึกษาโดยอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ มือถือ และการศึกษา แบบเรียนรวม นอกจากนีย้ ังสรุปได้วา่ การรวม ICT ในการศกึ ษาชว่ ยอานวยความสะดวกในการวิจยั และการสอ่ื สาร ทางวิชาการ นอกจากน้ียังสรุปได้ว่า ICT สามารถนาไปสู่การเรียนรู้ของนักเรียนท่ีดีข้ึนและการฝึกสอนที่ดีข้ึน ความสาคัญของการรวม ICT คือการเตรียมนักเรียนให้พร้อม เนื่องจากเทคโนโลยีเป็นลาดับของวันในศตวรรษ ปจั จุบัน ผลการศกึ ษาสรปุ ไดว้ ่าการรวม ICT เข้ากบั การศึกษาถือเปน็ องค์ประกอบสาคัญในการปรับปรุงและพัฒนา การศึกษา แนะนาว่าโรงเรียนควรนาการใช้ ICT มาใช้ในห้องเรียน รัฐบาลในสหรัฐอเมริกาจาเป็นต้องกาหนด นโยบายใหท้ กุ โรงเรียนในประเทศบรู ณาการ ICT 6. การเปรยี บเทยี บกับประเทศไทย 6.1 ประเทศไทยจัดเน้ือหาสาระเทคโนโลยีลงไปในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ไดแ้ ก่ มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลงอย่าง รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาสม โดยคานึงถึง ผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และสง่ิ แวดลอ้ ม

28 มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแกปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ รเู้ ท่าทนั และมีจรยิ ธรรม 6.2 แนวคิดห้องเรียน ICT ในการจัดการเรียนรู้ เป็นแนวทางส่งเสริมประสิทธิภาพการศึกษาให้สูงข้ึนตาม ยุคสมัย และ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ใช่เป็นการนา ICT มาแทนการจัดการเรียนรู้เดิม เพราะมติ ิการจัดการเรียนรูย้ ังมหี ลายดา้ นที่ตอ้ งการ ท้ังศาสตรแ์ ละศิลป์ ตอ้ งการการปฏบิ ตั ดิ ้วยผูส้ อน และต้องการ แหล่งเรียนรู้มากมาย นอกเหนือจากท่ีมีอยู่ใน ICT แนวคิดในการนา ICT มาใช้ในห้องเรียนจึงเลือกนาในส่วนที่ การจัดการเรยี นรู้ในห้องเรียนมชี ่องว่าง หรอื เป็นจุดอ่อน ท่ีต้องการความเหมาะสมของ ICT มาเติมเต็ม เช่น เวลา เรยี นทีจ่ ากดั ความขาดแคลนทรัพยากรการเรยี นรู้ ความก้าวหน้าของวิทยาการที่มีอย่ตู ลอดเวลา หรือแม้แต่การใช้ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่สี ิ้นเปลืองโดยไมจ่ าเป็น เปน็ ตน้ 6.3 จากการสารวจความคิดเห็นครู 678 คน จากโรงเรียน 67 จังหวัด ถึงความพร้อมในการจัดการเรียน การสอนออนไลน์ และความต้องการสิ่งสนับสนุนจากโรงเรียนหรือรัฐบาล พบว่า แพลตฟอร์มที่ครูจะเลือกใช้มาก ที่ สุ ด คื อ Facebook 51.8%, Line 49%,Google Classroom 38% แ ล ะ YouTube 31.1% โ ด ย พ บ ว่ า มี ครทู ีไ่ มส่ ามารถสอนออนไลนไ์ ด้ 11.5% ครู 58.2% มีความพร้อมระดับปานกลาง ในวันเปดิ ภาคเรียน 1 กรกฎาคม 2563 ครูประเมินความพร้อมนักเรียนท่ีตนเองสอนพบว่านักเรียน 45% เรียนผ่านออนไลน์ได้ แต่อีก 55% ยังไม่ พร้อมเนื่องจากยังขาดทั้งคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟน โดยสิ่งที่ครูอยากให้โรงเรียนและภาครัฐ สนับสนุนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1) การอบรมเชิงปฏิบัติการสาหรับจัดการเรียนการสอนออนไลน์ 2) งบประมาณสาหรบั จดั ทาบทเรียนออนไลน์ (3) การจัดทาโครงสร้างพืน้ ฐานสาหรับอนิ เทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง และอุปกรณ์สื่อสารสาหรับนักเรียนทุกคน ท้ังนี้ EDUCA (2020) ได้สอบถามความคิดเห็นของครูและบุคลากร ทางการศึกษา จานวน 817 คน พบว่า ทักษะสาคัญหรือความรู้ที่ครูต้องการมากท่ีสุด 3 อันดับแรก คือ 1) ก า ร ผ ลิ ต ส่ื อ ก า ร เ รี ย น รู้ 29.91% 2) ก า ร พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ใ ห ม่ ๆ ส า ห รั บ เ ด็ ก 17.09% แ ล ะ 3)การจดั การเรยี นรู้ 13.06% สว่ นสิง่ ทค่ี รตู อ้ งการมากที่สดุ 3 อันดบั แรกม่อ (1) อปุ กรณก์ ารสอน เชน่ คอมพวิ เตอร์ 71.11% (2) ระบบอนิ เทอร์เน็ต 57.28% และ (3) คมู่ ือการสอน 42.84%

29 บทความที่ 2 การศึกษาด้านส่งิ แวดลอ้ มและผลลพั ธ์ของนกั เรียน K-12: การทบทวนและวิเคราะห์งานวจิ ยั Environmental education and K-12 student outcome: A review and analysis of research 1. ทม่ี า ในช่วง 25 ปีท่ีผ่านมา การวิจัยด้านการศึกษาสิ่งแวดล้อม (EE) ) ได้เติบโตข้ึนในผลผลิต ขอบเขต และ ประเภทของการออกแบบ เช่นเดียวกับวิธีการและแนวทาง ด้วยการเติบโตนี้ นักวิจัยและผู้ปฏิบัติงานพบว่ามี ความท้าทายมากข้ึนที่จะตระหนักถึงข้อค้นพบในปัจจุบันและนัยสาหรับกิจกรรมภาคสนาม ด้วยเหตุน้ี การปฏิบัติ จึงอาจไม่ได้สะท้อนถึงการค้นพบล่าสุด และในขณะเดียวกัน การวิจัยก็อาจห่างไกลจากการปฏิบัติ ซ่ึงขัดขวาง นวตั กรรมทงั้ สองทศิ ทาง การทบทว นอย่างเป็นระบบแสดงถึงกลยุทธ์ หน่ึงในการจัดการกับการเพ่ิมจานว นนี้ใน การวิจัย ประโยชน์ของการทบทวนอย่างเป็นระบบนั้นขยายออกไปมากกว่าขอบเขตเชิงประจักษ์และแง่บวก เน่ืองจากสามารถช่วยทาแผนที่สนามในขณะท่ีระบุจุดแข็ง จุดอ่อน และช่องว่าง การทบทวนแต่ละคร้ังสามารถ สงั เคราะหแ์ ละวิเคราะหง์ านของภาคสนามได้ บทวจิ ารณเ์ สริมสามารถใช้ประโยชน์จากความเช่ียวชาญของนักวจิ ัย ทเ่ี กยี่ วขอ้ งในกระบวนการทบทวน เสนอแนะ การทบทวนแตล่ ะครงั้ จึงมีส่วนชว่ ยในการเจรจาวิจยั และฝกึ ฝน ในการทางานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย EE หลายกลุ่ม ซึ่งรวมถึงนักวิจัย ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ให้ทุน เราค้นพบความจาเป็นในการทาความเข้าใจอย่างถ่องแท้มากข้ึนว่าผลลพั ธ์ใดจะได้รับการกล่าวถึงในภาคส่วนต่างๆ ของภาคสนาม เราสังเกตเห็นความสนใจในความเข้าใจที่ดีขึ้นว่า EE กับเยาวชนวัยเรียนเกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ท่ี หลากหลายอย่างไร และภายใต้เงื่อนไขใด รวมถึงผลลัพธ์ที่ไม่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อม (เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน การพัฒนาเยาวชน และการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์) โปรแกรม EE ท่ีวัดผลลัพธ์เฉพาะด้านส่ิงแวดล้อม เช่น ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ทัศนคติ ทักษะ และพฤติกรรม มักจะขยายไปถึงผลลัพธ์ท้ังส่วนบุคคลและระหว่าง บุคคล EE ก้าวไปไกลกว่าแค่ความเข้าใจและการสร้างแนวความคิดเพ่ือพัฒนาหน่วยงานของผู้เรียนได้อย่างไร รวมถงึ การปฐมนิเทศในการแกป้ ญั หา ผา่ นการสนทนากลมุ่ และการสารวจกบั ผู้เข้ารว่ ม EE และผปู้ ฏิบตั งิ าน EE การทบทวนผลลัพธ์ของ EE ก่อนหน้าน้ีมุ่งเน้นไปทป่ี ระเด็นด้านสง่ิ แวดล้อมของความพยายามเหล่าน้ันเป็น หลัก ในทานองเดียวกัน พวกเขาถูกครอบงาโดยหมวดหมู่ผลลัพธ์ในวงกว้าง แม้ว่าจะมีส่ิงท่ีเรียกว่า \"ผลลัพธ์ที่ เหมาะสมยิง่ ข้นึ \"

30 2. วัตถุประสงค์การวิจยั 2.1 เพอ่ื วดั ผลผลลัพธ์ของ EE สาหรับผู้เรียนระดบั อนุบาลถงึ มธั ยมศึกษาตอนปลาย 2.2 เพ่อื ทบทวนงานวจิ ัยในอดตี ปจั จบุ ัน และอนาคต ท่ีกลา่ วถงึ นัยยะของผลลัพธ์ของ EE 3. ระเบยี บวิธีวิจัย การทบทวนงานวิจัยของ EE ก่อนหน้านี้ (เช่น Hart & Nolan, 1999; Rickinson, 2001; Stern et al., 2014; Williams & Dixon, 2013) เพอื่ ระบุกลยุทธ์เชิงโครงสรา้ งและปญั หาระเบียบวธิ ที จี่ ะแกไ้ ข 4. ผลการวจิ ยั ผลลพั ธ์ภายใต้การศกึ ษา เราระบุผลลพั ธท์ ่ีวัดเชิงประจักษท์ ่ีไม่ซ้ากัน 121 รายการภายในตัวอย่างนี้ โดยใช้ การวิเคราะห์เฉพาะเรอ่ื ง นอกเหนือจากผลลัพธ์ EE ดง้ั เดมิ ของความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว โปรแกรมยังรวมถึงการเน้นท่ีผลลัพธ์ที่ไม่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อม เช่น ทัศนคติต่อคอมพิวเตอร์หรือทักษะการ สื่อสารด้วยวาจา ผ่านกระบวนการนี้ เราได้จาแนกหมวดหมู่กว้างๆ ดังต่อไปนี้: 1) ความรู้ (รวมถึงความตระหนัก การรับรู้ ความรู้ด้านเน้ือหา ความรู้ด้านทักษะ ความรู้ทางสังคม-การเมือง และความเข้าใจเฉพาะประเด็น); 2) กิริยาท่าทาง (เช่น ความสนใจ ผลกระทบ ทัศนคติ และเจตนาทางพฤติกรรม) 3) ความสามารถ (ทักษะ รวมท้ัง ความรู้ความเข้าใจและสังคม) 4) พฤติกรรม (การกระทา); 5) ลักษณะส่วนบุคคล (ความนับถือตนเองและการ พัฒนาอุปนิสัย เป็นต้น) และ 6) ผลลัพธ์แบบหลายโดเมน (ซ่ึงครอบคลุมมากกว่าหน่ึงโดเมน เช่น ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน ซึง่ เกี่ยวขอ้ งกบั ความร้แู ละความสามารถอย่างนอ้ ย) แม้ว่าการทบทวนของเรามีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือให้ความกระจ่างถึงผลลัพธ์ท่ีเก่ียวข้องกับ EE ที่น่าสนใจ สาหรับนักวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่นักเรียนระดับ K-12 แต่ในกระบวนการนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการวิจัยท่ี เก่ียวข้องกับผลลัพธ์ การรวบรวมข้อค้นพบที่รายงานในวรรณกรรมที่มีการทบทวนโดยเพอ่ื นชใ้ี ห้เห็นถึงอทิ ธิพลเชิง บวกอย่างท่วมท้นของ EE ต่อนักเรียน K-12 ในทุกผลลัพธ์ รวมถึงสิ่งที่เก่ียวข้องกับส่ิงแวดล้อมและขอบเขตอ่ืนๆ อัตราความสาเร็จท่ีรายงานต่าสุดภายในกลุ่มตัวอย่างท่ีเกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ในการศึกษาท่ีเน้นท่ีพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษา 83% ระบุว่ามีการค้นพบในเชิงบวกในระดับหนึ่ง ตามท่ีออกแบบและ นาไปใช้ในตวั อย่างของเรา EE ดเู หมือนจะประสบความสาเรจ็ อย่างสงู ในการบรรลุความรแู้ ละความสามารถ แม้ว่า โปรแกรม EE จะไม่ค่อยประสบความสาเร็จในการบรรลุผลที่เกี่ยวข้องกับนิสัยและพฤติกรรม ดังท่ีกล่าวไว้ การ ค้นพบที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์เหล่าน้ันไม่ใช่แง่ลบ พวกเขามีแนวโน้มที่จะเป็นโมฆะมากข้ึน การค้นพบท่ีเป็นโมฆะ เหล่าน้ันอาจสะท้อนถึงการนาโปรแกรม EE ไปใช้จริงหรือเป็นผลมาจากความยากลาบากในทางปฏิบัติในการวัด

31 การเปลี่ยนแปลงในลักษณะและพฤติกรรม ซ่ึงเป็นโครงสร้างท่ีซับซ้อนกว่าในการกาหนดลักษณะและการวัด มากกว่าความรู้และความสามารถ นักวิจัยที่ตรวจสอบว่าการเปลี่ยนแปลงทัศนคติวัดกันอย่างไรได้รายงานการใช้ เคร่อื งมอื ทไี่ มส่ อดคล้องกนั เช่นเดยี วกับการใชเ้ ครอื่ งชัง่ ท่เี ปน็ ท่ยี อมรบั ในทางที่ผิด การวิเคราะหเ์ ชิงลกึ เกยี่ วกบั วธิ ีทก่ี ารศกึ ษาทผ่ี า่ นการทบทวนตรวจสอบการเปล่ียนแปลงในการจดั การและ พฤติกรรมอาจช่วยชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการวัดผลต่อสิ่งท่ีค้นพบที่รายงาน นัยสาหรับการวิจัย EE ตามท่ี แนะนาโดยส่วนก่อนหน้า การทบทวนผลลัพธ์และข้อคน้ พบในลักษณะนจี้ ะส่งเสริมการสะท้อนสถานะโดยรวมของ การวิจัย EE ผู้เขียนคนก่อนๆ ได้เรียกร้องให้นักวิจัยของ EE ตรวจสอบมุมมองเชิงวิพากษ์และทาความเข้าใจ เก่ียวกับรากฐานทางปรัชญาของสาขาวิชานั้นๆ และในระหว่างน้ัน ให้พิจารณาว่าส่ิงใดมีความหมายและสิ่งใดที่ นับเป็นหลักฐาน ในขณะท่ีมีการถามคาถามเหล่านั้น บทเพลงของแนวทางการวิจัย วิธีการ และเคร่ืองมือท่ี เก่ียวข้องกันซ่ึงสอดคล้องกับผลลัพธ์ท่ีน่าสนใจเหล่าน้ันจะต้องได้รับการพิจารณาใหม่ ขยายขอบเขต และกระจาย ความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาส่วนใหญ่ในการทบทวนน้ี (78%) บ่งช้ีถึงการใช้การออกแบบกึ่งทดลอง บางทีน่ี อาจไม่น่าแปลกใจหากเรามุ่งความสนใจไปท่ีผลลัพธ์ท่ีวัดได้ในตอนแรก: นักวิจัยมักจะพิจารณาการออกแบบเชิง ทดลองและก่ึงทดลองท่ีเหมาะสมเป็นพเิ ศษสาหรบั การประเมินผลลัพธ์ภายในกระบวนทศั น์นั้น ตาแหนง่ ทางญาณ วิทยาและออนโทโลยีที่แตกต่างกันอาจแนะนาแนวทางอ่ืนๆ เช่น ชาติพันธ์ุวิทยา การวิจัยเชิงปฏิบัติการ และการเล่าเร่ือง การวางแนวผลลัพธ์ที่ช้ีนาการทบทวนนี้อาจไม่ได้เน้นการศึกษาภายในประเพณีเหล่าน้ัน เนื่องจากการวิจัยดังกล่าวอาจเน้นท่ีกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ในแง่ของเครื่องมือวิจัย 82% ของการศึกษาใน กลุ่มตัวอย่างของเรารวบรวมข้อมูลโดยใช้เคร่ืองมือท่ีมีโครงสร้าง เช่น แบบสอบถาม อีกครั้ง ความเหนือกว่าของ การใช้งานอาจสะท้อนถึงการวางแนวผลลัพธ์ การสารวจข้อมูลของเราท่ีเกี่ยวข้องกับระเบียบวิธีและวิธีการอย่าง ต่อเน่ืองระหว่างการศึกษาที่ผ่านการทบทวนแล้ว ช้ีให้เห็นถึงความสนใจในแนวทางการวิจัยทางเลือก: ของการศึกษาท่ีผ่านการทบทวนแล้ว 22% ใช้การออกแบบที่อธิบายว่าเป็นกรณีศึกษา การศึกษาเปรียบเทียบ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ชาติพันธุ์วิทยา ชาติพันธุ์วิทยา ปรากฏการณ์วิทยา สัมพันธ์กันและอธิบาย ตัวอย่างเช่น Blatt (2013) ใช้แนวทางชาติพันธ์ุและใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการเจรจาร่วมกันเพื่อศึกษา การเปล่ียนแปลงในอัตลักษณ์และพฤติกรรมด้านส่ิงแวดล้อมของนักเรียนมัธยมปลายขณะท่ีพวกเขาเข้าร่วมใน หลกั สูตรวทิ ยาศาสตรส์ งิ่ แวดล้อม

32 5. บทสรุปและข้อเสนอแนะ การทบทวนอย่างเป็นระบบของเราพยายามอธิบายและวิเคราะห์เชิงวิพากษ์วรรณกรรมท่ีเก่ียวข้องกับ ผลลัพธ์ของ EE ในโปรแกรมที่ออกแบบมาสาหรับนักเรียน K-12 ท่ีโปรแกรม EE ที่มีอยู่จานวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นใน การตงั้ ค่าต่างๆ และในการกาหนดคา่ ต่างๆ มผี ลในเชงิ บวกในแง่ของความรู้ ทัศนคติ และทักษะสาหรับผชู้ มกลุ่มนี้ นอกจากน้ี การศึกษาเหล่านี้ยังชใี้ ห้เห็นวา่ การศึกษาดา้ นส่ิงแวดล้อมสามารถส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ที่เน้นโดยตรง ต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง เช่น ส่ิงที่เก่ียวข้องกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและการมีส่วนร่วมของพลเมือง การรวมและ วิเคราะห์การศึกษาเชิงประจักษ์จานวนหนึ่งท่ีมีอยู่ในพ้ืนที่นี้ เราอาจเร่ิมเข้าใจดีข้ึนถึงส่ิงที่มีอยู่ และโดยการขยาย สารวจสิ่งท่ีเหลืออยู่ ธรรมชาติที่ซับซ้อนของปญั หาส่งิ แวดลอ้ มควบคู่ไปกับความหลากหลายของการตง้ั ค่า EE ผู้ฟัง และการปฏบิ ัติ ทาใหก้ ารวิจัย EE มคี วามท้าทาย อย่างไรก็ตาม การศึกษาในตัวอย่างการทบทวนของเราแนะนาว่า นักวิจัยของ EE จานวนมากได้ก้าวไปสู่ความท้าทายดังกล่าวผ่านการค้นคว้าวิจัยที่สร้างสรรค์และเข้มอดีตและ อนาคตของการวิจัย EE 6. การเปรียบเทียบกบั ประเทศไทย หลักสูตรขาดการบูรณาการและขาดความต่อเนื่องของเนื้อหาในระหว่างระดับชั้น รวมทั้งขาดกิจกรรม เสริมสร้างหลักสูตรท่ีเหมาะสม นอกจากนั้น ยังขาดแคลนบุคลากรและงบประมาณ ตลอดจนปัญหาด้านวิธีการ สอนและการประสานงาน ดงั นั้น จงึ ควรต้องเรง่ ปรับปรุงเรือ่ งส่งิ แวดล้อมศึกษา

33 บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ ชุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย. ฐากร สิทธิโชค. (2560). การจดั กระบวนการเรียนรสู้ งิ่ แวดลอ้ มศึกษาในสถานศึกษา. วารสารอินทนิลทักษณิ สาร มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ , 11(3), 177-197. วชิระ เก้าพลพิทกั ษ.์ (2563). ข้อเสนอเชิงนโยบายเพ่ือพฒั นาการจดั การศึกษาตามแผนการศกึ ษา แห่งชาติ 20 ปี (พ. ศ. 2560-2579) ในจงั หวดั นครพนม. Journal of Roi Et Rajabhat University, 14(3), 81-92. วันเพญ็ สังข์สุวรรณ และพระปรยิ ัติ สารเวที ดร. (2562). โปรแกรมพฒั นาทักษะดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (ICT) สาหรับครใู นโรงเรียน สังกดั กรุงเทพมหานคร. Mahamakut Graduate School Journal, 17(1), 14-28. วกิ ิพเี ดยี สารานกุ รมเสร.ี (2564). ประธานาธิบดสี หรัฐ, สืบคน้ เมื่อ 20 มกราคม 2565. จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8 %B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0% B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90 Ardoin, N. M., Bowers, A. W., Roth, N. W., & Holthuis, N. (2018). Environmental education and K- 12 student outcomes: A review and analysis of research. The Journal of Environmental Education, 49(1), 1-17. Banks, J. A. (2002). Race, knowledge construction, and education in the USA: Lessons from history. Race Ethnicity and Education, 5(1), 7-27. Goldhaber, A. B., Khuan, H., & Allysa, R. (2021). Impact of ICT Integration on Quality of Education among Secondary Schools in USA. Journal of Education, 4(6), 53-61. Phengsai, M., & Kulophas, D. (2021). Approaches of Using Digital-Aged Technology for School Management at Mathayom Watnarong School. An Online Journal of Education, 16(2), OJED1602027-15.

34 Saiyasit, P. (2022). Assessment of the Current State and Needs Related to Development of Information and Communication Technology skills in 21st Century Learning Management for Municipal School Teachers, The Local Administrative Organization, Yala Province. Library and Information Science Srinakharinwirot University, 14(2), 24-34. SANOOK. (2008). ประเทศสหรัฐอเมรกิ า, สืบคน้ เม่ือ 20 มกราคม 2565. จาก. https://www.sanook.com/campus/911837/ TRIDIREK. (2020). เล่าเรื่องรัฐธรรมนูญอเมรกิ า, สบื ค้นเมื่อ 20 มกราคม 2565. จาก. https://drchar.home.blog/2020/07/01/24-ว่าดว้ ยมลรฐั ต่าง-ๆ/ Tyler, R. W. (2013). Basic principles of curriculum and instruction. University of Chicago press. UNESCO. (2006). World Data on Education. Retrieved January 8, 2022, from http://www.ibe.unesco.org/sites/default/files/United_States_of_America.pdf USHSTUDENT. (2014). Structure of the U.S. Education System, สบื คน้ เมอ่ื 20 มกราคม 2565. จาก. https://www.ushstudent.com/blog/structure-of-the-u-s-education-system/

35 ภาคผนวก

36 ภาคผนวก ก

37


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook