คานา กลุมชาติพันธแุตาง ๆ ลวนมีอัตลักษณแชาติพันธุแที่แตกตางกันไปตามลักษณะกลุมชนของตน แตสิ่งที่นาสนใจก็คือ กลุมชาติพันธุแท่ีอาศัยอยูในจังหวัดลําปางมีลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู ที่มีความแตกตางจากพ้ืนท่ีอื่น ทั้งน้ีสืบเนื่องมาจากการปรับตัวตามปใจจัยแวดลอมทั้งลักษณะพ้ืนท่ี การอพยพเคลื่อนยายและการต้ังถ่ินฐาน แตถึงอยางไรก็ตามงานชาติพันธแุศึกษาในลําปางกลับมี นักวชิ าการ สนใจทําการศึกษาไวจํานวนไมมากนัก และมีการศึกษาลงลึกในระดับพ้ืนท่ีนอยกวาท่ีควร ทําใหยังขาดการรวบรวมฐานขอมูล องคแความรู ลักษณะเฉพาะหรืออัตลักษณแท่ีสําคัญและประเด็น การศึกษาท่ีหลากหลาย นอกจากน้ียังพบวาฐานขอมูลบางอยาง ทําการสํารวจมานานมากกวาสิบปี ขึ้นไป ทําใหสถานะองคแความรูเก่ียวชาติพันธุแศึกษาในลําปางยังขาดขอมูลใหมท่ีทัน ตอเหตุการณแ ในปใจจุบนั แตในขณะเดียวกันการพัฒนาในระดับจังหวัด โดยเฉพาะประเด็นการพัฒนาการทองเที่ยว ทอี่ งิ ฐานวัฒนธรรมทอ่ี าศัยความเป็นอัตลักษณแ กลับมีบทบาทสําคัญมากขึ้นในฐานะทุนทางวัฒนธรรม โดยกลุมชาติพันธุแสวนใหญเป็นผูมีบทบาทสําคัญในการขับเคล่ือนการทองเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และความเปน็ ชาติพันธุแ ใน ข ณ ะ ที่ ทุ น วั ฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ก ลุ ม ช าติ พั น ธุแ ก ล า ย เป็ น ส ว น ห นึ่ ง ขอ ง ก า ร พั ฒ น า ต อ ย อ ด สรางรายไดนั้น พบวาจังหวัดลําปางมีขอมูลท่ีเป็นองคแความรูทั้งในมิติ สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู ทุนทางสังคมที่จะนํามาใชตอยอดในการพัฒนานอยมาก ดังนั้น จึงเป็นที่มาของ ความรวมมือระหวาง ศูนยแมานุษยวิทยาสิรินธร (องคแการมหาชน) สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลําปาง ศูนยแพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดลําปาง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ ศูนยแลําปาง ในการจัดทํา หนงั สอื ขอมลู กลุมชาติพันธใแุ นพื้นทีจ่ งั หวดั ลาํ ปาง โดยการสํารวจ และรวบรวมองคแความรูดานตาง ๆ ท่ี เกี่ยวของกับกลุมชาติพันธแุ จัดทําฐานขอมูล และทําการเผยแพรแกผูสนใจ หรือใชเป็นขอมูลของ หนว ยงานตา ง ๆ ที่เกี่ยวของ เพ่อื ใชประโยชนใแ นการทํากิจกรรมการพฒั นาทั้งในดานอัตลักษณแชาติพันธุแ การอนรุ ักษแ ฟื้นฟู ประเพณีวฒั นธรรม การดํารงวถิ ีชีวติ ของกลุม ชาติพันธแุ การปลกุ จิตสํานึกใหตระหนัก ถึงคุณคาทางวัฒนธรรม เกิดความรัก และหวงแหนตอทรัพยากรอันมีคาตลอดจนการดําเนินกิจกรรม การพัฒนาที่เหมาะสมตอไป สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลําปาง หวังเป็นอยางยิ่งวา หนังสือ “กลุมชาติพันธแุในพื้นท่ี จงั หวดั ลําปาง” เลมน้ี จักเป็นประโยชนแแกนกั เรยี น นักศกึ ษา หนวยงานตา ง ๆ รวมถึงประชาชนผูสนใจ ทวั่ ไป และใชเ ปน็ แนวทางในการดําเนนิ งานที่เกีย่ วของกับกลมุ ชาตพิ ันธแุไดอ ยางเหมาะสมตอไป (นางลัษมา ธารีเกษ) วฒั นธรรมจังหวัดลาํ ปาง กนั ยายน 2563 3
สารบญั หน้า 9 บทท่ี ๑5 ส่วนที่ ๑ ขอ้ มลู ทว่ั ไป ๑8 ๓7 - ทบทวนงานชาติพันธุแลําปางศึกษา ๔9 - ฐานขอมูลประชากร แหลง ทต่ี ้งั ชุมชน ๕7 - ขอ มูลภาพรวมทางสังคมวฒั นธรรม 70 สว่ นที่ ๒ ขอ้ มูลรายกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ ๙ กลมุ่ ชาติพันธใ์ุ นจังหวัดลาปาง 80 - กลุมชาติพันธแุอาขา ๘7 - กลุมชาตพิ ันธแุไทลอื้ 98 - กลมุ ชาติพันธุแลาหู ๑09 - กลมุ ชาติพันธุลแ ัวะ (ละวา) ๑25 - กลุมชาติพนั ธแุขมุ (“ลาวเทิง”) - กลุม ชาตพิ ันธุแอิวเมยี่ น (เยา) - กลุมชาติพนั ธุแกะเหรี่ยง - กลมุ ชาตพิ นั ธมุแ ง - กลุมชาติพนั ธลแุ ซี อ (ลีซ)ู 4
สารบัญแผนภมู แิ ละตาราง หนา้ ๑6 แผนภูม/ิ ตาราง ๑7 ๑. ตารางแสดงจาํ นวนประชากรจาํ แนกตามกลมุ ชาติพนั ธแแุ ละพ้ืนที่ ๑8 ๒. แผนภูมแิ สดงขอ มูลประชากร ๙ กลุมชาติพนั ธใุแ นจงั หวดั ลําปาง 20 ๓. ตารางแสดงสถานะทางสังคมและการไดร ับสัญชาติ 21 ๔. แผนท่แี สดงการตงั้ ถิ่นฐานของ ๙ กลุมชาติพันธใุแ นจงั หวัดลําปาง 22 ๕. แผนทแี่ สดงการเคล่ือนยายจากพนื้ ท่ีตน ทางสูอําเภอตาง ๆ ในจังหวดั ลําปาง ๖. ตารางฐานขอมลู ๙ กลมุ ชาตพิ นั ธแุในจงั หวดั ลาํ ปาง 5
6
สว่ นท่ี ๑ ขอ้ มลู ทวั่ ไป สว่ นที่ ๑ ข้อมูลทว่ั ไป 7
8
๑.๑ ทมี่ า ความสาคัญ และการทบทวนวรรณกรรม กลมุ ชาตพิ ันธเแุ ป็นกลมุ ชนท่มี คี วามสืบเนือ่ งทางประวัติศาสตรแรวมกบั สังคมไทยมาต้ังแตอดีตมา เป็นระยะเวลายาวนานมากกวารอยปี และมีความแตกตางจากลุมชนอ่ืน ๆ มีวัฒนธรรมประเพณีของ ตนเอง โดยอาศัยตงั้ ถ่ินฐานกระจายอยูต ามภมู ภิ าคตาง ๆ ใน ๖๗ จังหวดั จํานวน ๕๖ กลุม มีประชากร รวมประมาณ ๖,๑๐๐,๐๐๐ คน หรือรอยละ ๙.๖๘ ของประชากรประเทศ จําแนกพ้ืนที่ตามลักษณะ การต้งั ถ่นิ ฐานได ๔ ลักษณะ คือ กลมุ ตั้งถ่นิ ฐานบนพน้ื ทส่ี ูงหรือชนชาวเขา (ปใจจุบันเปล่ียนเป็นกลุมชน บนพื้นทีส่ งู หรือกลุม ชาตพิ นั ธุแบนพ้ืนที่สงู ) กลุมตั้งถ่ินฐานบนพ้ืนท่ีราบ กลุมชาวเล และกลุมอาศัยในปุา วิถชี วี ติ ของกลมุ ชาติพนั ธใแุ นประเทศไทยมีความหลากหลาย มีวถิ ชี วี ิตทคี่ ลายคลึงและแตกตางกันไป โดย สภาพเศรษฐกิจสังคมตามจารีตประเพณีเป็นการปรับตัวเขากับฐานทรัพยากรธรรมชาติและสภาพภูมิ สังคมที่ต้ังถิ่นฐานอยู โดย “กลุมชาติพันธแุบนพ้ืนท่ีสูง” จะตั้งถ่ินฐานตามแนวเทือกเขาบนพ้ืนท่ีสูงทาง ภาคเหนือ เปน็ สังคมเกษตรกรรมที่พงึ่ พาอาศยั ปาุ เป็นหลัก “กลุมชาติพันธแุบนพื้นที่ราบ” เป็นกลุมชาติ พนั ธแุกลมุ ใหญท ่ีมวี ิถกี ารดาํ รงชีวติ กลมกลนื กบั คนไทยท่วั ไป มอี าชพี เกษตรกรรมเป็นหลักโดยมีแนวโนม เปลยี่ นแปลงไปสสู ังคมเมืองมากข้นึ แตยังคงอัตลักษณแ และวัฒนธรรมของตนเองอยูสําหรับ “กลุมชาติ พันธุแทตี่ ้ังถ่ินฐานตามหมูเกาะหรือชายฝง่ใ ทะเล” เรียกวา “ชาวเล” มีวิถีชีวิตอยูท้ังบนเกาะ และในทอง ทะเล มีอาชีพประมง เป็นหลัก นอกจากน้ียังมีกลุมชาติพันธุแกลุมเล็กที่ชอบอาศัยในปุา ดํารงชีวิตดวย การลาสตั วแ และเก็บของปุา ตลอดระยะเวลากวา ๕๐ ปีที่ผานมา ประเทศไทยเร่ิมการพัฒนากลุมชาติพันธแุท่ีตั้งถิ่นฐานบน พื้นท่ีสูงกอนเป็นกลุมแรกดวยสาเหตุสําคัญคือประเด็นเรื่อง “ความมั่นคง” บริเวณพ้ืนที่ชายแดน การแกไขปใญหายาเสพติด ปใญหาการตัดไมทําลายปุา การทําไรเล่ือนลอย และการลดอัตราการเพ่ิม ประชากร โดยใช “นโยบายรวมพวก” เป็นหลกั เพ่ือใหกลมุ ชาตพิ นั ธุแเป็นพลเมืองไทยที่ดี และสามารถ ชวยเหลือตนเองได มีการตั้ง “คณะกรรมการสงเคราะหแชาวเขา” ข้ึนในปี ๒๕๐๒ และตอมาไดบรรจุ เปน็ แนวทางการพัฒนาประเทศครงั้ แรกในชวงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๒๕ - ๒๕๒๙) ในการพัฒนากลุมชาติพันธุแบนพื้นที่สูง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหา ภมู พิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเรียกประชาชนกลมุ นี้วา “ชนชาวเขา” ซึ่งหมายถึง “เป็น คนไทยแตอยูบนเขา” พระองคแไดพระราชทานความชวยเหลือในการสงเคราะหแและพัฒนาในดาน การศึกษาตั้งแตป ี ๒๕๐๖ เป็นตน มาและในปี ๒๕๑๒ มพี ระราชดําริใหจัดต้ัง “โครงการหลวง” ขึ้นเพ่ือ ชวยเหลือชนชาวเขาในดานมนุษยธรรม การแกไขปใญหายาเสพติด การสงเสริมการทําการเกษตรที่ ถูกตอง และเพื่อการจัดต้งั ถิน่ ฐานถาวรเปน็ หลกั แหลง และชวยรักษาปุา ตอมาไดมีกิจกรรมดําเนินงาน พัฒนาชวยเหลือกลุมชนบนพ้ืนท่ีสูงและกลุมชาติพันธุแอื่น ๆ ตามแนวพระราชดําริอีกหลายโครงการ กระจายอยูทั่วทุกภูมิภาคของประเทศถึงปใจจุบัน การพัฒนากลุมชาติพันธแุบนพื้นท่ีสูงของรัฐ ไดมีการ ดําเนินงานอยางเป็นรูปธรรมเม่ือคณะรัฐมนตรีไดมีมติเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธแ ๒๕๓๒ และวันท่ี ๑๑ กุมภาพันธแ ๒๕๓๕ เร่ือง นโยบายแกไขความมั่นคงของชาติเก่ียวกับชาวเขาและการปลูกพืชเสพติด มุงเนนในการจัดต้ังถ่ินฐานถาวร การสํารวจสถานะบุคคล การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมโดยเฉพาะ ผูดอยโอกาส การอนรุ ักษแและพฒั นาทรพั ยากรธรรมชาติและการแกไ ขปญใ หายาเสพตดิ 9
โดยมีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นรับผิดชอบ มีการสํารวจขอมูลชุมชนพ้ืนท่ีสูงตามมติ คณะรัฐมนตรใี นปี ๒๕๓๖ จัดทําแผนแมบ ทในระดบั ชาตแิ ละระดบั จังหวัด และมีการดําเนินงานรวมกัน ของหนวยงานตาง ๆ สง ผลใหก ารดาํ เนนิ งานประสบผลสําเร็จในระดับหน่ึง แตเน่ืองจากไดมีการปฏิรูป ระบบราชการในปี ๒๕๔๕ โครงสรางการบริหารงานของหนวยงานตาง ๆ ไดเปล่ียนแปลงไป สงผลให ขาดหนว ยงานรับผดิ ชอบทชี่ ัดเจน การพัฒนากลุมชาตพิ นั ธแุบนพ้ืนท่ีสูงจึงมีลักษณะเป็นงานประจําปกติ ในขณะท่ีการแกไขปใญหายังคงมุงเนนเร่ืองท่ีสงผลกระทบตอความมั่นคงของชาติโดยเนนการควบคุม และปกครองเป็นหลัก ซึ่งทําใหปใญหาอื่น ๆ ของกลุมชาติพันธแุไมไดรับการแกไข เชน ปใญหาเร่ือง สญั ชาติ กรรมสิทธิใ์ นทีด่ ินทาํ กิน ปญใ หาปุาไมท ด่ี นิ ทําใหต อมากลุมชาติพันธุแไดรวมตัวกันเรียกรองเรื่อง สทิ ธิในสญั ชาติ การยา ยถน่ิ และการแกไขปใญหายาเสพติด ตามหลักปฏิญญาสหประชาชาติวาดวยสิทธิ ชนพนื้ เมือง พ.ศ.๒๕๕๐ ผลการพัฒนากลุมชาติพันธแุโดยรวมในระยะท่ีผานมา แมวาจะสงผลใหความ เป็นอยู และคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุมชาติพันธุแดีข้ึน แตการเปล่ียนแปลงสภาพเศรษฐกิจ สังคม การปกครอง และสภาพภูมิอากาศ รวมท้ังการบริหารจัดการที่หลากหลายขาดความชัดเจน ซ่ึงปใญหา ตา ง ๆ ของกลุมชาติพันธแุจึงยังคงอยู โดยเฉพาะเรื่องการกําหนดสถานะบุคคล การจัดตั้งถ่ินฐานถาวร และการไดรับการยอมรับในฐานะคนไทย ซึ่งจากปใญหาดังกลาวนอกจากจะสงผลกระทบตอคุณภาพ ชีวติ สทิ ธิความเป็นพลเมอื ง ยังสง ผลตอ การเปลย่ี นแปลงวิถีชวี ติ สงั คม วัฒนธรรมตามมาอกี ดว ย ในดานสถานการณแ และความเส่ียงในการพัฒนากลุมชาติพันธแุพบวามีประเด็นปใญหาหลักท่ี คลายคลึงกันทุกพื้นท่ี คือ ๑) ปใญหาการขาดสิทธิ และความไมแนนอนในท่ีอยูอาศัย และที่ดินทํากิน ลักษณะภูมิประเทศในการตั้งถิ่นฐานของกลุมชาติพันธุแสวนใหญ ตั้งหางไกล ทุรกันดาร การคมนาคม ไมสะดวก และหางไกลศูนยแกลางอํานาจรัฐ ขาดความชัดเจนเร่ืองสิทธิในที่ดินเพ่ืออยูอาศัยทํากิน เนื่องจากขาดระบบฐานขอมูลท่ีชัดเจนในการสํารวจการใชประโยชนแท่ีดิน และขอมูลพ้ืนท่ีอนุรักษแ รวมทง้ั ความขัดแยง เชงิ นโยบายระหวา งการพฒั นาและการอนรุ กั ษแธรรมชาติ และขาดกลไกการบริหาร จัดการที่มีประสิทธิภาพ ๒) การขาดสิทธิในสถานะบุคคลทางกฎหมาย กลุมชาติพันธุแในประเทศไทย มีความหลากหลาย โดยการสํารวจและกาํ หนดสถานะบุคคล ทางกฎหมายลา ชา ยงั ไมแลวเสร็จทําใหเสีย สทิ ธแิ ละขาดโอกาสในการพฒั นาหลายดาน และไมส ามารถเขา ถงึ บรกิ ารพื้นฐานของรัฐซึ่งสงผลกระทบ ตอ การสรางจติ สาํ นกึ การเปน็ พลเมืองไทยและการยอมรับในสงั คม ๓) การขาดความสมดุลม่ันคงในการ ดาํ รงชวี ติ ประชาชนกลุมชาติพันธุแสวนใหญยังมีสภาพยากจนและมีความเหลื่อมลํ้าในการกระจายรายได โดยสว นใหญทําการเกษตรแบบดั้งเดิมอาศัยธรรมชาติเป็นหลัก แตขาดภูมิคุมกันในอาชีพเกษตรกรรม โดยมีปใญหาและขอจํากัดเรื่องที่ดินทํากิน ทรัพยากรดินเสื่อมโทรม และขาดแคลนน้ําเพื่อการเกษตร ตลอดจนแนวโนมการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกิดภัยพิบัติบอยครั้ง และสงผลกระทบตอพื้นท่ี การเกษตร รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมสูความทันสมัยมากข้ึน ทําใหวิถีการดําเนินชีวิต เปลยี่ นแปลงอยา งรวดเร็ว ขณะท่ีประชาชนบางสวนปรับตัวไมทันและประสบปใญหาตาง ๆ ๔) จุดออน ดานการบริหารจัดการ การพัฒนากลุมชาติพันธแุหลังปฏิรูประบบราชการในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ ขาดการ กําหนดผูรับผิดชอบท่ีชัดเจน ระบบขอมูลขาดความสมบูรณแและทันสมัยขาดเคร่ืองมือและกลไกการ ดําเนินงานโดยขาดแผนแมบท กฎระเบียบตาง ๆ มีความหลากหลายไมเป็นปใจจุบัน ขาดกระบวนการ มีสวนรวมของฝาุ ยตา ง ๆ และขาดบคุ ลากรท่ีมปี ระสบการณใแ นการปฏิบตั ิงาน1 1 แผนแมบ ทการพฒั นากลมุ ชาตพิ ันธแุในประเทศไทย (พ.ศ.2558 - 2560) กระทรวงการพัฒนาสงั คมและความม่ันคงของมนุษยแ 10
สาํ หรับจังหวัดลําปางเป็นจังหวัดหนึ่งในแถบภาคเหนือตอนบนท่ีมีรองรอย และปรากฏการณแ การเคล่ือนยายและต้ังถ่ินฐานของกลุมชาติพันธแุตาง ๆ ในพ้ืนท่ีมาต้ังแตอดีตจนถึงปใจจุบันซ่ึงมีทั้งกลุม ชนด้ังเดิม และกลุมชาติพันธแุที่อพยพเคลื่อนยายเขามาตั้งถิ่นฐานอยูใหม นอกจากนี้ดวยลักษณะทาง ภมู ิศาสตรแแ ละภมู วิ ัฒนธรรมพื้นท่ีจังหวัดลําปางน้ัน มีเขตแดนติดตอกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคเหนือของ ไทยท่มี กี ารเคล่ือนยายและต้ังถ่ินฐานของกลุมชาติพันธแุอยูกระจัดกระจายตามรอยตอบนพื้นที่สูง เชน พ้ืนที่ดานทิศเหนือติดกับจังหวัดเชียงราย พะเยา สวนทิศใตติดกับจังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย ซ่ึงรอยตอระหวางจังหวัดเหลานี้เป็นเสมือนพ้ืนที่ในการเคลื่อนยายของกลุมชนไปมาตั้งแตอดีตถึง ปใจจุบัน ในขณะท่ีจังหวัดลําปางถือวาเป็นอีกจังหวัดหนึ่งท่ีมีกลุมชาติพันธแุอพยพเคล่ือนยายเขามา หลากหลายกลุม เชน กลมุ ชาติพันธุอแ า ขา ทอี่ พยพเขา มาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดลําปางจากการสืบคนขอมูล พบวามีการอพยพเคลื่อนยายมาสองกลุมใหญ โดนกลุมแรกอพยพมาจากจังหวัดเชียงรายเขามา ต้ังบานเรือนอาศัยอยูในพ้ืนที่อําเภองาว สวนกลุมที่สองเป็นกลุมอาขาที่เดินทางเขามาหลังปี พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยขามมาจากประเทศพมาแลวตรงไปท่ีอําเภองาว จังหวัดลําปาง ผานกลุมเครือขาย เครือญาตทิ อ่ี าศัยอยูในพ้นื ท่ีอยูกอ นแลว นอกจากน้ีขอมูลการสํารวจสถานะของกลมุ ชาติพันธุแในจังหวดั ลาํ ปางโดยศนู ยพแ ัฒนาราษฎรบน พน้ื ทีส่ ูงจงั หวัดลําปาง ยังพบวา ในพื้นที่จังหวัดลําปางมีพ่ีนองชนเผาท้ังส้ินรวม ๘ ชนเผา ประกอบดวย เผา เมี่ยน เผามง เผา อาขา เผา ลาหู เผา ลซี ู เผาลวั ะ เผา ขมุ และ เผากะเหร่ียง โดยอาศัยกระจายตัวอยู ในพื้นท่ีอําเภอตาง ๆ ๗ อําเภอ ไดแก งาว เมืองปาน เสริมงาม แมเมาะ แจหม วังเหนือ เมืองลําปาง กลุมชาติพันธแุท่ีมีจํานวนประชากรมากที่สุดท่ีอาศัยอยูในจังหวัดลําปาง คือ กลุมชาติพันธุแเม่ียน (เยา) กระจายตัวอยูใน ๒๒ หมูบาน ใน ๕ อําเภอ คือ งาว เมืองปาน แจหม วังเหนือ แมเมาะ รองลงมาคือ กลุมชาติพนั ธแุกะเหร่ียง กระจายตวั อยใู น ๒๑ หมบู า น ใน ๕ อําเภอ คือ งาว เมืองปาน เสริมงาม แมเมาะ แจห ม โดยมีพน้ื ท่ีเปาู หมายตามแผนแมบทการพฒั นากลุมชาติพันธุแในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนษุ ยแ ๕ หมูบา น ดงั น้ี ๑. เขตพัฒนาราษฎรบนพนื้ ทสี่ งู อาํ เภองาว ๒. เขตพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง อาํ เภอแมเ มาะ ๑) บานแมสา น ๓. เขตพฒั นาราษฎรบนพื้นท่ีสงู อาํ เภอเมืองปาน ๒) บา นแมแ จเม ๓) บานแมห มีนอก ๔) บา นแมตอเ ม ๔. เขตพฒั นาราษฎรบนพื้นที่สงู อาํ เภอแจห ม ๕) บานแมแ มะ ๕. เขตพัฒนาราษฎรบนพืน้ ทส่ี ูง อาํ เภอวังเหนือ ๖. เขตพฒั นาราษฎรบนพ้นื ทส่ี งู อาํ เภอเสรมิ งาม ทงั้ น้ีกลุม ชาติพนั ธุแตา ง ๆ ลว นมอี ตั ลักษณแชาตพิ นั ธแุท่แี ตกตา งกันไปตามลักษณะกลุมชนของตน แตส ่ิงทน่ี า สนใจกค็ ือ กลุมชาติพันธุแท่ีอาศัยอยูในจังหวัดลําปางมีลักษณะวิถีชีวิต ความเป็นอยูที่มีความ แตกตางจากพืน้ ท่อี ื่น ท้ังนีส้ บื เนอ่ื งมาจากการปรับตัวตามปใจจัยแวดลอมตามพื้นที่การต้ังถิ่นฐานแตถึง กระนั้น งานชาตพิ ันธุศแ กึ ษาในจงั หวัดลาํ ปางกลับมีการทําการศึกษาไวจํานวนไมมากและไมมีการศึกษา ลงลึกในระดับพ้ืนที่ ยังขาดการรวบรวมฐานขอมูล องคแความรู ลักษณะเฉพาะที่สําคัญ นอกจากนี้ยัง พบวา ฐานขอ มลู บางอยางสาํ รวจมานานมากกวา ๑๐ ปี ทําใหส ถานะองคแความรูเกย่ี วกับชาติพันธแุศึกษา 11
ในจงั หวดั ลําปางมขี อมูลนอ ยมาก แตในขณะเดยี วกันการพัฒนาในระดับจงั หวัด โดยเฉพาะประเด็นการ พฒั นาการทอ งเทยี่ วที่อา งอิงฐานวฒั นธรรมที่อาศัยความเป็นอัตลักษณแ กลับมีบทบาทสําคัญมากข้ึนใน ฐานะทุนทางวัฒนธรรม โดยกลมุ ชาติพนั ธุแสวนใหญเป็นผมู บี ทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการทองเที่ยว เชงิ วัฒนธรรมและความเปน็ ชาติพนั ธแุ ในขณะท่ีทุนวฒั นธรรมชาติพนั ธกแุ ลายเป็นสว นหน่ึงของการพฒั นา แตทผี่ า นมาเรากลับมีขอมูล ที่เป็นองคแความรูทั้งในมิติ สังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต ทุนทางสังคม ที่จะนํามาใชตอยอดในการพัฒนา นอยมาก ดังนัน้ จากความสาํ คัญทก่ี ลาวมาในขางตน จงึ เปน็ ทม่ี าของการสาํ รวจสถานะ องคแความรู และ มิติการพัฒนาเพ่ือจัดทําฐานขอมูลกลุมชาติพันธแุในจังหวัดลําปาง โดยจะทําการสํารวจ รวบรวม องคแความรูดานตาง ๆ ที่เก่ียวกับกลุมชาติพันธุแในจังหวัดลําปาง จัดทําฐานขอมูล และทําการเผยแพร แกผูสนใจ หรือใชเป็นขอมูลของหนวยงานตาง ๆ ท่ีเกี่ยวของ เพื่อใชประโยชนแในการทํากิจกรรม การพัฒนา ไมวาจะเปน็ เรอ่ื งคณุ ภาพชวี ติ ของกลุมชาติพันธุแ การอนุรักษแ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และการ ดาํ รงชีพตามวถิ ชี วี ิตของชนเผา ธํารงไวซึ่งอัตลกั ษณแขององคคแ วามรู ภูมิปใญญา และคุณคาทางวิถีชุมชน ที่ดีงาม ปลุกจิตสํานึกใหทุกคนไดเห็นคุณคาทางวัฒนธรรม เกิดความรัก และหวงแหนตอทรัพยากร อันมีคา ในทองถ่นิ ตลอดจนการพัฒนาการจัดการทองเท่ยี วทเี่ หมาะสมแกท องถ่นิ ตอไป สําหรับประเด็นเรื่องงานเอกสาร หรืองานชาติพันธแุศึกษาในจังหวัดลําปางพบวาปใญหาสําคัญ ประการหนึ่งสําหรับผูที่สนใจงานชาติพันธุแลําปางศึกษาตองพบเจอก็คือ เร่ืองของการขาดการเขาถึง ฐานขอมูลพ้ืนฐานท่ีมีผูศึกษาหรือจัดทําไวนอยมาก หรือหากมีการศึกษาก็เป็นงานท่ีทําไวหลายสิบปี มากอน สวนมากเป็นงานวิจัยที่จัดทําโดยหนวยงานขอมูลที่ไดก็จะเกี่ยวของกับประเด็นการทํางาน ขององคแกรน้ัน ๆ เชน ขอมูลดานอนามัยเจริญพันธุแ ขอมูลการเจ็บปุวยการปูองกันโรค ขอมูลดาน คณุ ภาพชวี ิต เปน็ ตน ทาํ ใหเน้ือหาในมติ อิ น่ื ในระดับพื้นท่ีแทบไมป รากฏ ดงั นน้ั ผศู กึ ษาจึงทําการคนควา รวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวของท่ีคอนขางใหม และมีเนื้อหาลงไปในรายละเอียดระดับพื้นที่ โดยมีชิ้นงาน ดังตอ ไปนี้ ในงานศกึ ษาเรอ่ื ง “ปจใ จยั ทม่ี ผี ลตอการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ภายในชุมชน อันเน่ืองมาจาก โครงการอพยพชาวเขา : กรณศี กึ ษาบานวังใหม อาํ เภอวังเหนือ จังหวัดลําปาง” 2 ของสมชัย แกวทอง ที่ทําการเก็บขอมูลต้ังแตปี ๒๕๔๔ โดยมุงศึกษาถึงการเปล่ียนแปลงทางสังคมภายในชุมชน อันเน่ืองมาจากโครงการอพยพชาวเขา ในประเด็นเร่ืองปใจจัยท้ังภายใน และภายนอกท่ีกอใหเกิด การเปลี่ยนแปลงภายในชุมชน ท่ีมีผลตอคุณภาพชีวิตและส่ิงแวดลอมในชุมชนชนบานวังใหม หลังจาก ท่ีอพยพมาอยูในพ้ืนที่ปใจจุบัน ซึ่งผลการศึกษาพบวาการเปล่ียนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมท่ีเกิดจาก ปใจจัยท้ังภายนอกและภายในนั้นประกอบไปดวยปใจจัยภายนอก ไดแก นโยบายการพัฒนา เมื่อไดรับ ความชวยเหลือจากทางภาครัฐ มีหลายหนวยงานเขามาสงเสริมอาชีพใหแกชาวเขา จากท่ีเคยแต ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีพ้ืนท่ีไวทําไร แตปใจจุบันไมตองใชพื้นที่ทําการเกษตรเหมือนแตกอนแลว เพราะพวกเขาหนั มาประกอบอาชพี ตามทภ่ี าครัฐไดส ง เสริมใหทํา ในดานการสํารวจความตองการขั้นพ้ืนฐานในการพัฒนาชุมชนของกลุมชาติพันธุแ ไดมีหลาย หนวยงานดําเนินการเก็บขอมูลเบื้องตน โดยจากการคนควาพบวามีขอมูลดังน้ี ในพื้นท่ีอําเภองาว มีชนเผาในเขตตําบล บานรอง หลายหมูบาน เชน ชาวปกาเกอะญอ และชนเผาอาขา บานแมคําหลา 2 สมชัย แกวทอง “ปใจจัยท่ีมีผลตอการเปล่ียนแปลงทางสังคม ภายในชุมชน อันเน่ืองมาจากโครงการอพยพชาวเขา : กรณีศึกษา บา นวังใหม อาํ เภอวังเหนอื จงั หวดั ลาํ ปาง” วทิ ยานพิ นธมแ หาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยเชยี งใหม. 2544. 12
และ บานบอ ส่เี หล่ียม ทางจังหวัดลําปางไดจัดโครงการสงเสริมพืชเมืองหนาวใหงบประมาณปี ๒๕๖๒ และ ๒๕๖๓ สวนบานแมฮางใต เป็นหมูบานที่มีเผาอาขา และ กะเหร่ียง ตองการพันธุแทุเรียนเพราะมี คนในหมบู านปลกู แลวไดผ ลดีจงึ อยากไดตนพันธแุปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจสรางรายได ขณะเดียวกันอยากให สงเสริมการทองเท่ียวในหมูบาน มีการแสดงอาขา กะเหร่ียง การทอผา และนาข้ันบันได จุดชมวิว สวยงาม จึงอยากใหประชาสัมพันธแหรือพัฒนาการทองเท่ียว วิถีชนเผาในอนาคต สําหรับพ้ืนท่ีอําเภอ เมอื งลาํ ปาง มีชาวไทยลื้อ ตําบลกลวยแพะ อําเภอแมทะ ๕ หมูบาน เสนอใหหนวยงานรัฐชวยสงเสริม การทอ งเที่ยวเชงิ วฒั นธรรม เพราะในหมบู านมวี ิถีไทลื้อทีช่ ดั เจน ท้งั การกนิ มกี ลุมทอผา ๒ - ๓ หมูบาน และยงั มวี ดั พระธาตุดอยมวงคําเปน็ ที่รวมใจของชาวไทลือ้ และมตี ํานานทองถิน่ “หมาขนคํา” นอกน้ียัง อยากไดร บั การสนับสนนุ กจิ กรรมตลาดเกา เสารแ - อาทติ ยแ ทเ่ี ลกิ ไปแลวไดก ลบั มาเปิดอีกครัง้ บา นโปงุ นํ้ารอน อําเภอเสริมงาม ชาวปกาเกอะญอ มีความตองการ โปรโมทนํ้าตก และนํ้าพุรอน ธรรมชาติ ทีม่ ใี นหมูบาน แตยังติดปใญหาพัฒนาไมไดมากเพราะเป็นพื้นที่ปุาสงวนใหเป็นที่รูจักมากขึ้น อยากไดรับการชว ยเหลืออาชีพเกษตรท่ีสามารถทาํ รายไดระยะสัน้ เชน เลี้ยงไก หรือ ปลูกผักท่ีมีรายได ทุกวัน สาํ หรับพื้นท่ีอําเภอเมืองปาน มีศักยภาพดานสินคาเกษตร และวิถีชนเผา ชาวเมี่ยน (เยา) บาน แมแจเม ตําบลแจซอน ตองการจุดศูนยแรวมสินคาของแตละชนเผา เป็นซุมขายสินคาโดยใหชนเผา แตง ตวั เพื่อใหลกู คา ไดถ ายรปู ดวย และหากนกั ทอ งเทย่ี วมีความตองการเขาไปสัมผัสหมูบานใดก็ติดตอ ประสานงานทศ่ี นู ยแดงั กลาวได และ ชาวมง บานใหมพัฒนา เสนอขอรับการสนับสนุนการจัดงานปีใหม “มง” ชว งตน เดือน มกราคม ๒๕๖๒ ทง้ั นี้ จังหวัดลาํ ปางขอใหช มุ ชนเสนอแผนดาํ เนินงานใหชัดเจนและ มีประโยชนแสงู สุด นอกจากนี้ กนิษฐกแ านตแ ปในแกว ยังไดทําการศึกษาภูมิปใญญาทองถิ่นกลุมชาติพันธุแบานจําปุย อาํ เภอแมเ มาะ จังหวัดลาํ ปาง โดยมุงศึกษาบริบทชุมชนและภูมิปใญญาทองถิ่นกลุมชาติพันธุแบานจําปุย และการพัฒนาฐานขอมูลภูมิปใญญาทองถ่ินของกลุมชาติพันธุแบานจําปุย และพัฒนาศูนยแการเรียนรู ภมู ปิ ใญญาทองถิน่ กลุม ชาติพนั ธแุบานจาํ ปยุ ขึน้ มา จากการศึกษาพบวา บา นจําปุยมีสภาพเป็นพ้ืนท่ีราบสูง อดุ มไปดว ยทรัพยากรธรรมชาติ ปุาไม และสตั วปแ าุ นานาชนิด มีจํานวนครัวเรือนทั้งสิ้น ๑๒๔ ครัวเรือน สวนใหญจะประกอบอาชพี เกษตรกรรม โดยมีกลุมชาติพันธแุอาศัยอยูรวมกัน ๔ กลุม คือ เม่ียน (เยา) ปกา เกอะญอ (กะเหรีย่ ง) ขมุ และคนพื้นเมือง บานจําปุยมีภูมิปใญญาที่โดดเดนแตกตางกัน เชน ภูมิปใญญา ของเมย่ี น จะโดดเดนในเร่ือง การปลูกขาวดอย (ชุงิม) การทอชุดอ้ิวเม่ียน (ชุดประจําเผา) และการถัก ตะกรอใสไขแดงสําหรับแจกในปีใหม ภูมิปใญญาของปกาเกอะญอ จะโดดเดนในเรื่องการทอผาก่ีเอว การสานฝใกมีดพรา สวนขมุมีภูมิปใญญาท่ีโดดเดน คือ การทอผาเพ่ือนําไปทําชุดแตงกายประจําเผา ยาสมุนไพรแกไอ โดยผูศึกษาไดนําขอคนพบที่ไดจากการวิจัยรวมกับชุมชนทองถ่ินมาใชในการพัฒนา และจัดทาํ ศนู ยเแ รียนรชู าติพันธขแุ นึ้ ท่ีบานจาํ ปยุ 3 งานศกึ ษาอกี ชิ้นที่นา สนใจคอื งานของ อนวุ งศแ แซต ั้ง4 ซ่งึ เขยี นหนงั สือเรื่อง “ชุมชนบานแมหมี ชีวติ เหนอื กาลเวลา” ขนึ้ มาจากประสบการณแการทํางานในพื้นท่ีมาอยางยาวนาน โดยเน้ือหาสรุปภาพ ความเป็นชมุ ชนใหผูอ านไดเหน็ ซ่ึงชุมชนบานแมหมีประกอบดวย ๓ ปฺอกบาน คือ บานแมหมีใน บาน 3 กนิษฐแกานตแ ปในแกว “ภูมิปใญญาทองถ่ินกลุมชาติพันธุแบานจําปุย อําเภอแมเมาะ จังหวัดลําปาง” วารสารการวิจัยเพ่ือพัฒนาชุมชน ปีที่ 10 ฉ.1,2017. 4 อนวุ งศแ แซตง้ั “ชมุ ชนบา นแมหมี ชีวิตเหนือกาลเวลา” จังหวัดลาํ ปางผลงานรางวัลลูกโลกสเี ขยี ว คร้งั ท่ี 11 ประจาํ ปี 2552. 13
แมหมีนอก และบานจกปก มีประชากร ๒๕๐ คน อาศัยอยูในท่ีราบในหุบเขาริมหวยแมหมี ผูคนที่นี่ ตงั้ รกรากมานานกวา ๑๖๙ ปีแลว โดยอพยพมาจากตําบลเมืองคอง อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม ตอมาพ่ีนองปกาเกอะญอ จากแจซอน อําเภอเมืองปาน จังหวัดลําปาง และจากอําเภอเวียงปุาเปูา จังหวัดเชยี งราย ก็เขามาสมทบ ในดานวถิ ีชีวิตของชาวบานแมหมีท่ีหางไกลผูคนดําเนินไปอยางสงบสุข ทามกลางธรรมชาตอิ นั อดุ มสมบูรณแ แมจ ะเผชิญกับการสมั ปทานปุาถึง ๓ คร้ัง แตปุาก็สามารถฟื้นตัวได อยา งรวดเรว็ ดวยวถิ ขี องชนเผาพี่นอ งปกาเกอะญอบา นแมหมียังคงทําไรหมุนเวียนไปพรอมกับการดูแล ผืนปุารวมกับเจาหนาที่ ประเพณีวัฒนธรรมด้ังเดิมยังคงมีอยู เด็กสาวรุนใหมยังสวม “เชวา” (ชุดยาว สขี าวสําหรบั หญิงสาวทีย่ ังไมอ อกเรอื น) ยนื เหยียบครกกระเดอื่ งตําขาวอยูใตถุนบาน เส้ือผาหลากสีของ ผูคนท้ังหมูบานมาจากทอมือและยอมสีธรรมชาติในพื้นท่ีจังหวัดลําปาง ชุมชนบานแมหมี ถือวาเป็น ชุมชนแรกทมี่ ีการจดั การเร่ืองปุาชมุ ชน ไดร บั การยอมรับวา ท่นี ่คี ือตนแบบ และมีหลายพนื้ ที่นําไปพัฒนา ตอ ยอดตอ ไป จะเหน็ ไดว างานท่ถี ูกหยิบยกมาจะเป็นงานวิจัยทั้งหมดยกเวนงานสํารวจปใญหาความตองการ ของกลุมชาตพิ ันธทแุ ี่เกดิ จากการรวบรวมความคดิ เห็นในเวทีระดมความเห็น ความตองการในการพัฒนา กลุมชาติพันธุแในจังหวัดลําปาง ท่ีดําเนินการโดยสํานักงานการทองเท่ียวแหงประเทศไทย (ททท.) สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดลําปาง และสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดลําปาง พรอมดวยตัวแทนกลุม ชาตพิ นั ธุแเมื่อวันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ นีค่ ือขอมูลลา สุดที่มกี ารรวบรวมเก่ยี วกบั ชาติพันธลแุ าํ ปาง 14
๑.๒ ฐานขอ้ มลู ประชากร แหลง่ ทีต่ ั้งชุมชน และลกั ษณะทางสังคมวัฒนธรรม ๑.๒.๑ ข้อมลู ประชากร สาํ หรบั ขอมูลดา นประชากรกลมุ ชาติพนั ธุแในจังหวดั ลาํ ปางไดมีการสํารวจในทุก ๆ ๕ ปี ทําการ สํารวจโดยศูนยแพัฒนาราษฎรบนพื้นท่ีสูงจังหวัดลําปาง และศูนยแอนามัยกลุมชาติพันธุแ ชายขอบ และ แรงงานขามชาติ ซงึ่ นอกจากขอมลู จาํ นวนประชากร สวนใหญเป็นขอมูลดานคุณภาพชีวิต และอนามัย บนพนื้ ท่ีสูง สาํ หรับขอมูลประชากรกลมุ ชาตพิ นั ธุแในปี ๒๕๖๓ สามารถนําเสนอเปน็ ตาราง ดงั นี้ 15
16 ลาดับ อาเภอ จานวนประชากรจาแนกตามกล่มุ ชาตพิ นั ธ์แุ ละพื้นที่ ๑ งาว เมี่ยน กะเหรี่ยง อาข่า ลาหู่ มง้ ลัวะ ขมุ ลีซู พ้นื ราบ รวม ๒ เมอื งปาน ๓ แจห้ ่ม ๒,๙๖๕ ๑,๐๖๖ ๑,๔๗๐ ๑๒๐ ๔๐๒ - ๑๔๔ ๓๐ ๑,๕๑๓ ๗,๗๑๐ ๔ แม่เมาะ ๒,๙๓๘ ๕ เสริมงาม ๖๑ ๗๒๕ - ๖๓๗ ๗๓๓ - - ๔ ๗๗๘ ๒,๒๘๔ ๖ วังเหนือ ๑,๖๑๗ ๗ เมือง ๕๗๖ ๒๑๓ ๘๗ ๔๕๐ ๑๗๑ - - - ๗๘๗ ๑,๔๘๔ รวม ๗ อาเภอ ๒,๒๙๖ ๑๐๖ ๘๒๕ ๑๘๒ - - - ๗๒ - ๔๓๒ ๑๕๗ - ๑,๔๘๔ - - - - - - - ๑๘,๔๘๖ ๑,๑๙๓ - - - - ๔๕๕ - ๒๖๕ ๓๘๓ ๑๕๗ - - - - - - - - ๕,๐๕๘ ๔,๓๑๓ ๑,๗๓๙ ๑,๒๐๗ ๑,๓๖๐ ๔๕๕ ๒๑๖ ๒๙๙ ๓,๘๙๓ อ้างองิ : ขอ มลู ประชากรบนพน้ื ท่ีสูงจงั หวัดลําปาง ปี ๒๕๖๓ จดั ทําโดยศนู ยพแ ฒั นาราษฎรบนพืน้ ท่สี งู จังหวัดลาํ ปาง
จากขอมูลการสํารวจขอมูลประชากรบนพ้ืนท่ีสูง จังหวัดลําปาง ปี ๒๕๖๓ ซึ่งจัดทําโดยศูนยแ พัฒนาราษฎรบนพื้นท่ีสูงจังหวัดลําปาง พบวากลุมชาติพันธุแท่ีอาศัยอยูในจังหวัดลําปางที่มีประชากร มากท่ีสุดคือกลุมชาติพันธแุอิวเม่ียน ซ่ึงมีประชากรเมี่ยนอยูราว ๕,๐๕๘ คน อาศัยอยูหนาแนนในพ้ืนท่ี อาํ เภองาว มีจํานวนประชากรราว ๒,๙๖๕ คน รองลงมา คอื พ้นื ท่ีอําเภอวังเหนอื มีประชากรเมี่ยนราว ๑,๑๙๓ คน กลุมชาติพันธุแที่มีจํานวนมากเป็นอันดับสอง คือ กลุมชาติพันธุแกะเหรี่ยง ซ่ึงแบงเป็นสอง กลุมยอยคือกะเหรีย่ งโป และกะเหร่ยี งสะกอ มีประชากรรวมกันท้ังหมด จํานวน ๔,๓๑๓ คน อาศัยอยู หนาแนนในพ้ืนท่ีอําเภอเสริมงาม จํานวนประชากรราว ๑,๔๘๔ คน รองลงมาคือพื้นท่ีอําเภองาวมี ประชากรราว ๑,๐๖๖ คน อันดบั สาม คือ กลมุ ชาตพิ นั ธแุอาขา ประชากรอาขา ในจังหวดั ลําปางมีท้ังหมด ราว ๑,๗๓๙ คน พบอาศัยหนาแนน ในพื้นท่ีอาํ เภองาว จํานวน ๑,๔๗๐ คน อันดับสี่ กลุมชาติพันธแุมงมี ประชากรท้งั หมดราว ๑,๓๖๐ คน พบอาศัยหนาแนน ในพ้ืนที่อําเภอเมอื งปาน จาํ นวน ๗๓๓ คน อําเภอ งาว ๔๐๒ คน อันดบั หากลุมชาตพิ ันธแุลาหมู ปี ระชากรทงั้ สน้ิ ๑,๒๐๗ คน อาศัยหนาแนนในพ้ืนท่ีอําเภอ เมอื งปาน จํานวนประชากร ๖๓๗ คน อําเภอแจหม ๔๕๐ คน อันดับหก กลุมชาติพันธแุลัวะ มีจํานวน ประชากร ๔๕๕ คน พบอาศยั อยใู นอําเภอวงั เหนือทัง้ หมด อันดับเจ็ด กลุม ชาติพนั ธแลุ ซี ู มีประชากร ราว ๒๙๙ คน อาศัยอยใู นพืน้ ท่วี งั เหนอื ๒๖๕ คน อนั ดับแปด กลุม ชาติพันธขแุ มุ มจี ํานวนประชากรที่เปิดเผย ตวั เอง ๒๑๖ คน สว นใหญอ าศยั อยใู นพนื้ ที่อําเภองาว และมีกลุมเล็ก ๆ ในพ้ืนที่รอยตอ งาว - แมเมาะ บริเวณประตูผา สวนกลุมชาติพันธแุไทล้ือ ดวยความเป็นกลุมชนที่อยูอาศัยในพ้ืนที่มานานทําใหผสม กลมกลืนกับคนเมืองคนพื้นราบจนแทบแยกไมออกทั้งวิถีชีวิต ประเพณีการกิน จะแตกตางคือภาษา ทําใหคนไทล้ือในลําปางถูกนับรวมไปกับคนเมืองคนพ้ืนราบไมไดทําการสํารวจกลุมประชากรแยก ออกมาเหมือนกลุมชาตพิ ันธอแุ น่ื ๆ จากขอ มลู ประชากรดังกลา วสามารถนําเสนอเป็นแผนภมู ไิ ด ดังนี้ อ้างองิ : ขอมูลประชากรบนพื้นที่สูงจังหวัดลําปาง ปี ๒๕๖๓ จัดทําโดยศูนยแพัฒนาราษฎรบนพื้นท่ีสูง จงั หวดั ลําปาง 17
๑.๒.๒ ขอ้ มูลภาพรวมทางสงั คมวฒั นธรรมของ ๙ กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ ในจังหวดั ลาปางแหลง่ ทตี่ งั้ และการกระจายตวั ในพนื้ ที่ จังหวัดลําปางเป็นจังหวัดหนึ่งในแถบภาคเหนือตอนบนท่ีมีรองรอยและปรากฏการณแ การเคลื่อนยา ยและตัง้ ถิน่ ฐานของกลุมชาตพิ ันธแตุ าง ๆ ในพืน้ ทมี่ าตัง้ แตอดีตจนถึงปใจจุบัน เกิดข้ึนหลาย ระรอก หลายเงื่อนไข หลายปใจจัย มีทั้งกลุมชนด้ังเดิม และกลุมชาติพันธแุที่อพยพเคลื่อนยายเขามา ต้ังถ่ินฐานอยูใหม สงผลใหสถานะทางสังคมแตกตางกัน การยอมรับการเปิดเผยตนเอง การปรับตัว การคงอัตลักษณแทางชาติพันธุแแตกตางกันตามเง่ือนไขของการเขามาแตละกลุมชาติพันธแุ นอกจากนี้ ดวยลกั ษณะของภมู ิศาสตรแแ ละภูมวิ ฒั นธรรมท่ีจังหวัดลําปางมีเขตติดตอกับจังหวัดอ่ืน ๆ ในภาคเหนือ ของไทยที่มีการเคลื่อนยายและต้ังถ่ินฐานของกลุมชาติพันธุแอยูกระจัดกระจายตามพื้นท่ีสูง เชน ดานทิศเหนือติดกับจังหวัดเชียงใหม เชียงราย พะเยา สวนทิศใตติดตอกับจังหวัดตาก และ จงั หวดั สุโขทยั จังหวัดลําปางจงึ ถอื วา เป็นอกี จงั หวดั หนึ่งท่มี กี ลุมชาติพันธแุอาศยั อยูห ลากหลาย ตารางแสดงสถานะตัวตนสญั ชาตขิ องกลุ่มชาติพนั ธ์ุจังหวดั ลาปาง กล่มุ ชาติพันธุ์ สัญชาตไิ ทย ระบุสญั ชาติ ไมท่ ราบ กลมุ ชาติพันธุแเม่ยี น (เยา) ๕,๔๓๒ คน ไม่มสี ัญชาติ ๓๓๕ คน ๑๖๒ คน ๘๒๕ คน ๑๒๕ คน ๑๘๘ คน กลุม ชาตพิ นั ธกแุ ะเหร่ียง ๔,๒๐๑ คน ๓๔ คน ๑๐๓ คน ๙๗ คน กลุมชาตพิ นั ธอแุ าขา ๒,๘๖๔ คน ๖๕ คน ๘๖ คน ๑๐๙ คน กลุมชาตพิ นั ธลุแ าหู ๒,๘๐๓ คน ๖๔ คน ๔๘ คน ๔๓๔ คน กลมุ ชาตพิ นั ธมุแ ง ๑,๖๔๗ คน ๒๔ คน กลมุ ชาตพิ นั ธุลแ ัวะ ๗๘๐ คน ๗๕๗ คน กลมุ ชาติพันธุแขมุ ๘๐๓ คน ๓๙ คน กลมุ ชาติพนั ธลแุ ีซอ / ลีซู ๑,๑๑๐ คน ๗๘๒ คน กลุมชาติพันธแุไทลื้อ ๒๑๐ คน ๓๒ คน กลมุ ไทยพนื้ ราบ ๕,๑๓๑ คน ๘๒๒ คน จากการสํารวจโดยสํานักกิจการชาติพันธุแ และศูนยแพัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดลําปาง หรือหนวยงานที่เกี่ยวของหลายหนวยงานพบวา ในพ้ืนท่ีจังหวัดลําปางมีพี่นองกลุมชาติพันธุแ ประกอบดวย กะเหร่ียง เมี่ยน มง อาขา ลาหู ลีซู ลัวะ ขมุ และชาวไทลื้อที่ผสมกลมกลืนอาศัยอยู รวมกับคนพ้ืนราบเป็นสวนใหญ โดยกลุมชาติพันธุแตาง ๆ จะอาศัยกระจายตัวอยูตามพ้ืนท่ีตาง ๆ โดย พ้ืนท่ี ท่ีมปี ระชากรกลุม ชาติพันธแุอาศัยอยูหนาแนนคือแถบตอนบนของจังหวัดที่มีรอยตอติดกับจังหวัด 18
เชียงใหม เชียงราย และพะเยา ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพ่ือนบานทําให มีการ เคลอ่ื นยายของกลุมชาติพนั ธแุไปมาตามตามเสน ทางเทือกเขาท่ีมีเขตแดนติดตอกัน จากการศึกษาพบวา กลุมชาติพันธทุแ ี่อพยพเขาสอู ําเภอวังเหนือ สวนใหญมีสาเหตุมาจากทางราชการอพยพชาวบานท่ีอยูใน เขตอุทยานแหงชาติดอยหลวง - แมสาน ออกจากพ้ืนท่ีหลังจากประกาศเขตอุทยานแหงชาติในปี ๒๕๓๗ โดยจัดสรรที่ดินบริเวณพ้ืนที่ปุาเต็งรังใหเป็นท่ีอยูอาศัยและท่ีทํากินคนละ ๑๐ ไร สวนกลุมที่ อพยพเขามาทางพื้นทอี่ ําเภองาว พบวาเป็นกลุมชาติพันธุแจากจังหวัดเชียงรายท่ีติดตามเจาหนาท่ีปุาไม เขามารับจางโครงการปลูกปุามากอน สวนในพื้นที่เมืองปาน และแจซอนเป็นกลุมชาติพันธแุที่เดินทาง มาจากเชียงใหม บางสวนติดตามกลุมเครือญาติเขามาบุกเบิกพื้นที่ และผลิตสินคาการเกษตร ใหก บั โครงการหลวง 19
20 แผแนผถนี่แถสีแ่ ดสงดกงการากรกรระจะจาายยตตัววั ขขอองงกกลลุ่ม่มุ ชชาาตติพพิ ันันธธ์ใุ น์ุในจงัจหังวหดั วลดั าลปาาปงาง
แผนแถผี่แนสถดี่แงสเดสง้นเถส้นางถกางากรอารพอยพพยพเคเคลลอื่ ่ือนนยยา้ ้ายยขของกลลุ่มุ่มชชาาตติพิพันันธุ์สธูุ่ส์จงัู่จหงั วหดั วลัดาลปางปาง 21
22 ตารางฐานขอ้ มลู ๙ กลุม่ ชาติพันธ์ุในจังหวัดลาปาง กล่มุ ชาติพนั ธ์ุ พน้ื ที่ / ที่ตัง้ ของชมุ ชน ลักษณะทางสงั คมและวัฒนธรรม อัตลกั ษณ์ทางชาตพิ นั ธ์ุ ๑. ชาติพันธก์ุ ะเหร่ียง พบต้งั บานเรอื นกระจายตัว บานแมฮาง ยังมีการทอผาดวยกี่เอวของชาวกะเหรี่ยงโป การแตงกาย ยาม อยูในพ้ืนที่ทง้ั หมด ๕ อําเภอ เป็นผาฝูายซึ่งมีลวดลายเป็นเอกลักษณแเฉพาะตัว มีทั้งลาย การทอผา กี่เอว ไดแก ด้ังเดิมและลายประยุกตแ ทําใหเกิดความสวยงามและทันสมัย อาหาร ขาวเบ฿อะ น้ําพริก หมกปลา ๑. อาเภองาว มากข้ึนและเป็นหมูบานสงเสริมการทองเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไก การอาศยั อยูร วมกับธรรมชาติ จํานวนตําบลทง้ั ส้ิน ๓ ตาํ บล ของจังหวัดลาํ ปาง การอพยพยายถ่ินหรือทํางานออก ไดแก ตําบลบานออน ตําบล ชมุ ชนบา นสันติสุข เปน็ หมูบ านชาวอาขา และกะเหร่ียงท่ีอาศัย นอกชมุ ชนนอ ยมาก คอนขางตดิ ท่ี บา นรอง ตาํ บลนาแก อยูร ว มกนั นับถอื ศสานาครสิ ตนแ กิ ายคาทอลกิ ปลูกขาวไรแบบขั้นบันไดและทําไร จํานวนชุมชนทั้งสน้ิ ๖ ชมุ ชน ภมู ปิ ญใ ญาของชาวบา นหว ยมง สวนใหญจ ะเป็นดานการจักสาน หมนุ เวียน ไดแ ก บานขุนออนพฒั นา ผูนําพิธีตาง ๆ การทอผา ซอพ้ืนเมือง นิทาน รําดาบ และการ การปลกู กาแฟท่ีไดรับการสงเสริมให บานขวัญศรี บา นแมล งึ ใน ทําสมุนไพร ภูมิปใญญาหัตถกรรมชาวบานโดยสวนใหญจะทํา เป็นท่ีรูจักคือกาแฟดอยแมสาน บานแมฮา งใต บานแมคิง การจักสาน ทําไมกวาด ทอผา สานขันโตกสานกระดง รวมถึงเป็นแหลงปลูกมะแขวนท่ีมี บา นสนั ตสิ ขุ และตเี หล็ก ช่ือเสยี ง ๒. อาเภอเมอื งปาน สาํ หรบั บานแมห มีใน บานหมีนอก และบานจกปกเป็นหมูบาน ความเชื่อเปล่ียนแปลงตามการ จํานวนตําบลท้ังสนิ้ ๒ ตําบล ของชนเผากะเหร่ียงสะกอ (ปกาเกอะญอ) อพยพโยกยายมา นับถือศาสนาแตมีการผสมผสาน ไดแ ก ตาํ บลแจซ อนตาํ บลหัวเมอื ง จากเมืองคองอําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหมเม่ือประมาณ ความเชอ่ื เดิม จํานวนชุมชนท้ังสน้ิ ๘ ชุมชน ๔๓๓ ปี หรือประมาณ พ.ศ. ๒๙๘๓ บานแมหมีมีทั้งหมด ภาษายังใชภาษากะเหร่ียงส่ือสาร ไดแก บา นหวยมง บา นแมย าง ๓ หยอ มบาน คือ หยอมบานแมหมีใน มีพะตีอายยางเป็นผูนํา ในครอบครัว บานหวยโปงุ บานแมหมใี น (หญี่โข) หยอมบานแมหมีนอกมีพะต่ีโคโลยางเป็นผูนํา และ ชาวบ านแมหมีทําไรหมุนเวียน บา นแมห มีนอก บา นจกปก หยอมบานจกปก มีพะตี่หลายางเป็นผูนํามีลํานํ้าหลักท่ีสําคัญ ในวัฒนธรรมประเพณีของชนเผา บา นแมต เอมใน บานแมต อเ มนอก ของหมูบาน ๔ ลําน้ํา คือ ลํานํ้าแมหมีลําน้ําหวยปุาคา ลําน้ํา ปกาเกอะญอดํารงอยูไดดวยการ ๓. อาเภอเสริมงาม หว ยกอมและลํานํ้าหวยแมหมีนอ ยมนี ้าํ ไหลตลอดปี ทําไร ซ่ึงไมเพียงแตปลูกพืชตาง ๆ จํานวนตําบลท้งั สน้ิ ๒ ตาํ บล บานแมเลียงพัฒนา สภาพพ้ืนที่โดยท่ัวไปเป็นภูเขาประมาณ มาผสมกับเมล็ดพันธุแขาวปลูกลง
กล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ พืน้ ที่ / ทต่ี ั้งของชุมชน ลักษณะทางสังคมและวฒั นธรรม อัตลกั ษณท์ างชาตพิ ันธ์ุ ไดแ ก ตําบลเสรมิ งาม ตาํ บลเสรมิ ขวา ๗๐% ของพื้นที่ทั้งหมด ชาวบานสวนใหญประกอบอาชีพ พรอมกับขาวไร และไดมีการปลูก จํานวนชมุ ชนทั้งส้นิ ๓ ชุมชน การทํานาเป็นอาชีพหลัก แตเมื่อผานพนจากชวงฤดูการทํานา พืชผักอน่ื ๆ อีกมากมาย ไดแก บานโปงุ นํ้ารอ น ชาวบานจะหันมาทาํ สวนเปน็ พืชหมุนเวียนรวมไปถึงการรับจาง มีภูมิปใญญาช าวบานคือ ทอผา บานกลางสันโปงุ ทํางานทั่วไปและหาของปุาไปขายเพ่ือเป็นรายไดเสริมใหกับ พ้ืนเมือง การ ตัดเย็บเสื้อ ยาม บานแมเลยี งพฒั นา ครอบครัว ที่แสดงอัตลกั ษณแของเผา 4. อาเภอแจห้ ่ม บานแมเลียงเป็นหมูบานที่ใชนามสกุลเดียวกันท้ังหมูบาน จาํ นวน 1 ตาํ บล คือ เพ่งิ มาเปลีย่ นไดเพียง ๑ ครอบครัว สวนชื่อจะนิยมใชคําพยางคแ ตําบลทงุ ผง้ึ บานแมจอกฟูา เดียว ในอดีตผูชายในหมูบานไดรับการยกเวนไมตองเกณฑแ 5. อาเภอแม่เมาะ ทหารแตหลังจาก พ.ศ. ๒๕๔๒ ไมไดรับการยกเวนอีกตอไป จาํ นวน 1 ตําบล ไดแก นอกจากน้ียังเป็นหมูบา นท่ีคงอตั ลักษณขแ องชนเผากะเหรี่ยงทั้ง ตาํ บลบานดง 3 ชมุ ชน คือ ดานอาหาร การแตง กาย บา นเรอื นและภาษา บา นหวยตาด บา นกลาง และ บานแมส า น *** ในจงั หวดั ลาํ ปางพบวามีกลมุ ชาวกะเหรย่ี ง ๒ กลุม กลุมแรก คอื กลุมกะเหรียงโป สวนใหญ อาศัยอยูใ นอําเภองาว กลมุ ที่ สอง กลุมกะเหร่ียงสะกอ (ปะกาเกอะญอ) พบอาศัยอยู ในอําเภอเสรมิ งาม อาํ เภอ เมอื งปาน และอําเภอแจหม 23
24 กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ พ้นื ที่ / ท่ตี ั้งของชุมชน ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม อตั ลักษณ์ทางชาติพนั ธ์ุ ๒.กลุม่ ชาตพิ นั ธุ์มง้ พบตั้งบา นเรอื นกระจายตัวอยู บานใหมพัฒนา หมูท่ี ๘ ตําบลแจซอน อําเภอเมืองปาน ประเพณีวฒั นธรรม ภายในพ้นื ที่ท้งั หมด ๓ อําเภอ ไดแ ก จังหวัดลําปาง ตั้งอยูทางทิศเหนือของตําบลแจซอน ประชากรบานใหมพัฒนา มี ๒ อําเภอเมืองปาน อําเภอแจห ม และ ประกอบดวยบาน ๓ ปฺอก (กลุมบาน) คือบานใหมพัฒนา ชนเผา ทําใหมีประเพณีวัฒนธรรม อําเภองาว บา นแมแ วน และบานหวยมง แตเดิมชาวบานอาศัยอยูท่ีบาน เกิดความแตกตาง และหลากหลาย ๑. อาเภอเมอื งปาน หวยเหม้ียง และไดอพยพยายถิ่นฐานมากอตั้งหมูบานใหม การแตงกายของชนเผามง จะนิยม จาํ นวนตําบลทงั้ สิน้ ๑ ตาํ บล บริเวณลุมน้ําแมก านอ ย เม่อื ปี ๒๕๑๗ โดยใชชอ่ื วา บานแมกา แตงกายดวยเส้ือผาลายปใก สวน ไดแก ตําบลแจซ อน นอย ซึ่งขณะน้ันรวมหมูบานกับบานทุง ตอมาในปี๒๕๓๓ ชนเผากะเหรี่ยงจะนิยม แตงกาย จํานวนชุมชนทัง้ สิน้ ๓ ชมุ ชน ศูนยพแ ัฒนาและสงเคราะหชแ าวเขาจงั หวัดลําปางเขามาทําการ ดวยผาทอมือ และภาษา ชนเผามง ไดแ ก บานใหมพัฒนา วางผังหมูบานและกระทรวงมหาดไทยไดประกาศใหมีการ และกะเหร่ยี ง มีภาษาท่แี ตกตา งกนั บา นแมแ วน และบานแมก าเ แยกหมูบาน และบานแมกานอย จึงแยกตัวออกจาก ประเพณี ๒. อาเภอแจ้หม่ บานทุง และไดเปล่ียนชื่อมาเป็นบานใหมพัฒนา ประชากร ชนเผามง มีประเพณีกินขาวใหม จาํ นวนตําบลทง้ั ส้นิ ๑ ตาํ บล สวนใหญของหมบู า นเป็นกลุมชาติพนั ธแมุ ง โดยบา นใหมพัฒนา ประเพณีตั้งช่ืออาวุโส ประเพณี คือ ตําบลเมืองมาย มีจํานวนประชากรท้ังหมดโดยประมาณ ๑,๑๙๘ คน ๒๑๗ ปีใหมมง สวนชนเผากะเหร่ียง จํานวนชมุ ชน ๑ ชมุ ชน ไดแ ก หลังคาเรือน ๙๐% ของประชากรเป็นชนเผามง และอีก มปี ระเพณปี ใี หมกะเหร่ยี ง บานแมก าเ ๑๐% เป็นชนเผากะเหรี่ยง และ ๙๕% ของประชากรนับถือ ผ้าปกั ๓. อาเภองาว ศาสนาครสิ ตแ ประชากรท่ีเป็นชนเผามง นิยม พบวามีการอาศยั อยูของกลุม อาชพี ๙๕% ของประชากร ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เชน แ ต ง ก า ย ด ว ย เ สื้ อ ผ า ล า ย ปใ ก ชาติพันธมุแ ง ใน ตาํ บลปงเตา ปลูกขาวโพด ทํานาขาว ขาวไร ปลูกพริก ปลูกผัก ทําสวน อ ยู แ ล ว ต อ ม า ศู น ยแ ศิ ล ป า ชี พ ตาํ บลบานหวด บรเิ วณพ้ืนท่ี ล้ินจี่ กาแฟ พลับ และเลี้ยงสัตวแ แตที่นาสนใจ และถือเป็น ไดเขามาสงเสริมใหกลุมแมบาน ชุมชน ไดแกช มุ ชนบานขุนแหง รายไดหลักของประชากรมาจากการปลูกกาแฟ ประมาณ ไปฝึกอ บร มอา ชีพเพ่ิ ม เติมกั บ บา นแมพราว บานหว ยทาก ๑๙๐ หลงั คาเรือน คิดเป็น ๙๐ % ศูนยแศิลปาชีพ และรับซ้ือผาปใก การปลกู ผกั ปลอดภัย ไดรบั การสนบั สนุนสงเสรมิ จากโครงการ ท่ีชาวบานทําสําหรับบานพราว หลวง มชี าวบา น ๓๐ ครัวเรือน หันมาปลูกผักเพอ่ื สง ขายโครง ชุ ม ช น ส ว น ใ ห ญ มี อ า ชี พ ทํ า ไ ร
กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ พ้นื ที่ / ท่ตี ั้งของชมุ ชน ลักษณะทางสังคมและวฒั นธรรม อัตลักษณ์ทางชาติพันธ์ุ การหลวง เป็นรายไดอกี ชองทางหนง่ึ ขาวโ พด ลิ้นจี่ ขิง ขาวกํ่า สม บา นแมพราว หมทู ่ี ๕ ตําบลบา นหวด อาํ เภองาว ตั้งอยูในเขต อาชีพเสริม คือ การลาสัตวแ รับจาง อุทยานแหงชาติถ้ําผาไท การเดินทางยากลําบากโดยมีภูเขา ในเมือง และปใกผาในกลุมแมบาน สลับซับซอน กลุมชาวมงที่อาศัยอยูเป็นกลุมมงขาว อพยพ รวมถึงการหาของปุาตามฤดูกาล มาจากบานหวยมวง จังหวัดเชียงใหม มาตั้งถ่ินฐานอยูท่ีบาน เชน หาหนอไมหก หนอ ไร กเง แมก าเ บน อาํ เภอแจหม จังหวัดลําปาง ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ และ ตัดไมไผห าสมุนไพร ฯลฯ นอกจากน้ี ตอมาไดมีการอพยพมาต้ังถ่ินฐานที่บานแมพราว ลป.๘ ภ า ย ใ น ชุ ม ช น ยั ง มี ศู น ยแ ก า ร เ รี ย น จํานวน ๓ - ๔ ครวั เรอื น ตอมาก็ไดย า ยกลับไปอยูท่ีบานแมกเา ชุมชนชาวไทยภูเขา “แมฟูาหลวง” โดยยายไปยายมา ๒ – ๓ คร้ังจนไดมีการมาตั้งถ่ินฐานถาวร ดานศาสนา ชาวมงสวนใหญเปล่ียน ณ บานแมพราว ในปี ๒๕๐๕ โดยการนําของนายกั๋ว แซลี มานับถือศาสนาคริสตแ มีการผสม โดยยดึ อาชพี ทําไรจนถึงปใจจบุ นั กล มกลืนกับวัฒนธรร มดั้ง เดิม ป ร ะ เ พ ณี บ า ง อ ย า ง ยั ง ห ล ง เ ห ลื อ เ พื่ อ ค ง อั ต ลั ก ษ ณแ ช า ติ พั น ธแุ เ อ า ไ ว เชน งานปใี หมมง การละเลน อาหาร แตข ณะเดยี วกันก็เขาโบสถแสวดมนตแ ทุ ก วั น อ า ทิ ต ยแ แ ล ะ เ ลิ ก พิ ธี ก ร ร ม เก่ยี วกับผีบางพธิ ีกรรมไป 25
26 กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ พืน้ ท่ี / ทีต่ ง้ั ของชุมชน ลักษณะทางสงั คมและวฒั นธรรม อตั ลกั ษณ์ทางชาติพันธ์ุ ๓. กล่มุ ชาตพิ ันธลุ์ าหู่ พบต้งั บานเรือนกระจายตัวอยูภายใน บานปุาคา หมูที่ ๑ ตําบลแจซอน อําเภอเมืองปาน เป็น ชาวลาหูในอําเภอเมืองปาน และ พ้นื ทีท่ ้ังหมด ๓ อําเภอ ไดแก อาํ เภอ ชมุ ชนชาวลาหู ชาวบา นมอี าชีพปลกู กาแฟ แมคคาเดเมีย แจหม เปลีย่ นมานับถือศาสนาคริสตแ เมอื งปาน อาํ เภองาว และอาํ เภอแจห ม ผลไม เมอื งหนาว ซงึ่ กาแฟบา นปุาคามีอัตลักษณแโดดเดน นิกายโปรเตสแตนตแ แตยังคงรักษา ๑. อาเภอเมอื งปาน มีความ หอม มัน เน่ืองจากปลูกใตตนแมคคาเดเมีย ประเพณีบางอยางไว เชน การจัด ในดานประเพณีวัฒนธรรม ชุมชนนี้ยังมีการสืบทอด งานปีใหม การเตนจะคึ การแตงกาย พบได ๑ ตาํ บล คอื ตาํ บลแจซอน งานประเพณีปีใหม ชาวลาหูเ รียกวางาน “กนิ วอ” โดยจะ ชุดประจาํ เผา จํานวนชุมชนท้ังสิ้น ๓ ชุมชน ไดแก จัดข้ึนทุกปี ชาวบานในหมูบานจะพากันแตงกายดวยชุด งานหัตถกรรม เชน การทําเครื่อง บา นปุาคาบา นปางมวงและบานมอนวดั ประจาํ เผาสวยงามพรอมพาญาติพี่นองมารวมงานปีใหม จกั สาน กระบุง ปลอกมีด ๒. อาเภองาว โดยจะมารวมตัวกันในหมูบา น รบั ประทานอาหารรวมกัน พบไดใน ๖ ตําบล ไดแก ตําบลบา น กอ นจะมีการแสดงเปุาแคน นํ้าเตา หรือท่ีเรียกวา “นอ” ออน ตาํ บลบา นรอ ง ประกอบการเตน “จะคึ” ซ่ึงทาเตนของผูหญิงประกอบ ตาํ บลบา นหวด ตําบลนาแก ตําบล ไปดวยการแสดงทาทางการเพาะปลูก การหวานเมล็ด หลวงใต และตาํ บลบา นโปุง การดแู ลรักษา และ การเกบ็ เกย่ี ว ซ่งึ การแสดงบงบอกถึง มจี าํ นวนชุมชนท้งั ส้นิ ๗ ชมุ ชน วิถชี ีวติ ความเป็นอยูของชนเผาไดเป็นอยางดี นอกจากนี้ ไดแ ก บานหวยหก บา นแมง าวใต ยงั รวมกนั ขบั รองเพลงตอนรบั ปีใหมร ว มกันซง่ึ ความหมาย บา นแมคาํ หลา บานปางหละ ในเพลงแปลวา เมอ่ื เสร็จส้ินฤดูการเก็บเก่ียวแลว ขอเชิญ บานแมฮ างใต บานดงและ ญาติพ่ีนองมิตรสหาย มารวมพบปะสังสรรคแและ บา นหว ยน฿อต สรรเสริญพระเจาดวยกัน (นิกายโปรเตสแตนตแ) สําหรับ ๓. อาเภอแจ้หม่ วิถีชุมชนชนเผา ลาหูท่ีบานปาุ คา ตําบลแจซอ นกาํ ลังไดรับ พบไดใน ๓ ตําบล ไดแ ก การสงเสริมใหเป็นหมูบานทองเที่ยวพรอมเปิดหมูบานให บา นมูเซอไร บา นใหมสามคั คี นักทองเทยี่ วไดมาสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู และเรียนรู บานแมหลา จํานวนชุมชนทัง้ สิน้ วถิ ีชีวิตวัฒนธรรม ๓ ชมุ ชน ไดแ ก บานมูเซอไร บานใหมส ามคั คี และบา นแมห ลา
กลุ่มชาตพิ นั ธุ์ พ้ืนท่ี / ท่ตี ้ังของชมุ ชน ลักษณะทางสังคมและวฒั นธรรม อตั ลกั ษณ์ทางชาติพันธุ์ ๔. กลุ่มชาติพันธุอ์ าขา่ ชาวอาขาทอี่ าศัยอยูในจังหวัดลําปางพบวาท้ังหมดอพยพ อัตลักษณแของชาวอาขาในจังหวัด พบการต้งั บานเรอื นกระจายตัวอยู มาจากจังหวัดเชียงราย ซ่ึงเป็นกลุมอาขาที่ติดตาม ลําปางเปลี่ยนแปลงไป และผสม เจาหนาที่ปุาไมเขามารับจางปลูกปุา และกลับไปพา กลมกลืนกับวัฒนธรรมเมืองทําให ภายในบริเวณพืน้ ที่ท้งั หมด ๓ อําเภอ ครอบครัวมาต้ังที่อยูอาศัยในพื้นท่ี ซ่ึงตอมามีการชักชวน อั ต ลั ก ษ ณแ ดั้ ง เ ดิ ม ค ง เ ห ลื อ อ ยู ไดแก อําเภอแมเ มาะ อาํ เภองาว และ เครือญาตใิ หย า ยตามกันมาเพมิ่ ข้ึน นอ ยมาก ท้ังเงอื่ นไขสภาพความเป็น อาํ เภอแจหม สวนชาวอาขาอีกกลุมที่อพยพเขามาหลังปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ชุมชน การเปลี่ยนศาสนา แตจุดที่ยัง ๑. อาเภอแม่เมาะ เป็นกลุมท่ีขามมาจากประเทศพมาแลวตรงไปพื้นท่ีเลย รั ก ษ า วั ฒ น ธ ร ร ม บ า ง อ ย า ง ไ ว ไ ด พบวา มีการอาศัยอยขู องกลมุ ชาติ โดยชาวอาขากลุมนี้มีญาติหรือคนรูจักอาศัยอยูในพื้นที่อยู เนื่องจาก ชาวอาขาที่อพยพมาทั้ง พนั ธุแอาขา ในพน้ื ท่ชี ุมชนบานทาน กอ นแลว สองกลมุ ลว นเป็นญาตพิ ่ีนองกัน ตําบลจางเหนอื นอกจากนี้ยังพบวากลุมชาวอาขาท่ีอาศัยอยูในจังหวัด ใ นแ ตล ะ ปี มัก มีก าร ไ ป มา ห า สู ๒. อาเภองาว ลําปาง แบง ไดเปน็ ๓ กลมุ คอื กลุมหนา ค฿า กลุมอโู ล และ เท่ยี วหากนั หรือแตงงานขา มจังหวัด พบไดใน ๖ ตาํ บล ไดแ ก ตําบลบาน กลุมลอเมี๊ญะ อาศัยปะปนกันโดยกระจายตัวอยูใน ๓ ก็มี อาขาในจังหวัดลําปางในดาน โปงุ ตําบลบานรอง ตาํ บลปงเตา อําเภอ คอื อําเภองาว แจหม และแมเมาะ ความเชื่อด้งั เดิมยังคงหลงเหลือเพียง ตาํ บลบานหวด ตําบลนาแก และ ประชากรคนอาขาในจงั หวัดลําปาง มีประมาณ ๗ % ของ นอยนิด และนับวันใกลสูญหายไป ตาํ บลหลวงใต จาํ นวนประชากรอาขาท้งั ประเทศไทย อาศัยอยูหนาแนน เพราะชาวอาขาในจังหวัดลําปาง จาํ นวนชุมชนทัง้ สิน้ ๑๐ ชุมชน ในพื้นท่ีอําเภองาวมากที่สุด และกระจายไปอยูอําเภอ หนั ไปนับถือศาสนาครสิ ตแมากข้ึน ไดแก บานหวยน฿อต บา นแมง าวใต อ่นื ๆ เชน อาํ เภอแจห ม และอําเภอแมเมาะเพียงเลก็ นอ ย พบวาผูนําชุมชนที่เคยมีตําแหนง บา นแมค าํ หลา บานขุนแหง อําเภองาวเป็นอีกอําเภอหนึ่งท่ีชาวอาขาอยูเป็นกลุมใหญ ทางวัฒนธรรมไดละทิ้งความเชื่อ บา นหวยน้ําตื้น บานหวยทาก อาศัยอยูใน ๓ ตําบล คือ ตําบลนาแก บ านรอง ดั้งเดิมไปเป็นศิษยาจารยแหรือผูนํา บานแมฮางใต บานหวยจอน และปงเตา การอยูกนั ของชาวอา ขา ในจังหวัดลาํ ปางไมได ศาสนา ทําการสอนเผยแผศาสนา แบง เป็นกลุมอาขายอยเหมือนกับท่ีจังหวัดเชียงราย และ ร วม ถึง ก าร ป ฏิบั ติตน ในฐ าน ะ บา นสนั ติสขุ ปาุ กลวย และบานดง จังหวัดเชียงใหม เพราะการอพยพตางชวงเวลา คริสตแศาสนิกชน ดังนั้นหากใคร ๓. อาเภอแจ้ห่ม ตางเง่ือนไขกัน และมารวมตัวกันสรางชุมชนขึ้นมาใหม ต อ ง ก า ร ศึ ก ษ า วั ฒ น ธ ร ร ม ดั้ ง เ ดิ ม พบวา มกี ารอาศัยอยขู องกลมุ ทํ า ใ ห มี ช า ว อ า ข า ห ล า ย ก ลุ ม ผ ส ม ป ะ ป น กั น ภ า ย ใ น สามารถศึกษาไดท่ีชุมชนบานแมคํา ชาติพนั ธแอุ าขาในพนื้ ที่ชุมชน หนึ่งชุมชน หลาซงึ่ ยังพอหลงเหลือใหศกึ ษาได บานหว ยคอน ตําบลปงดอน 27
28 กลุ่มชาติพันธุ์ พื้นท่ี / ทีต่ ัง้ ของชุมชน ลักษณะทางสงั คมและวัฒนธรรม อตั ลักษณท์ างชาตพิ นั ธ์ุ ๕.กล่มุ ชาติพนั ธเ์ุ ม่ียน สําหรบั ในตาํ บลบานรอ งมีกลุมอาขาอยูกลุมหนึ่งท่ีมีความ โดดเดน คือ กลุมหนาค฿า ที่บานแมคําหลา ซึ่งอพยพมา จากบานพนาเสรี ตําบลทาก฿อ อําเภอแมสรวย จังหวัด เชยี งราย เป็นกลมุ ทยี่ ังพยายามรักษาอัตลกั ษณดแ ้ังเดิมของ กลมุ ชนไว เชน การแตงกาย ประเพณี และการละเลนที่ สําคัญ พบการตัง้ บา นเรอื นกระจายตวั อยู หมูบานหวยน฿อต เป็นหมูบานท่ีมีกลุมชาติพันธุแหลัก คือ การปกใ ผาเมี่ยน ภายในบรเิ วณพืน้ ท่ีทั้งหมด ๖ อําเภอ กลุม ชาตพิ นั ธุอแ าขา ท้งั นี้ยังมีกลุมชาติพันธุแอื่น ๆ คือ กลุม การปลูกผลไมเมืองหนาว ไดแ ก อําเภองาว อาํ เภอวังเหนือ อําเภอ ชาติพันธุแลาหู เมี่ยน (เยา) และลีซอ / ลีซู ชาวบานโดย มีภาษาพูดและเขียนเป็นของตนเอง เมืองปาน อาํ เภอแจห ม อําเภอเมือง สว นใหญ นับถอื ศาสนาครสิ ตแ และศาสนาพทุ ธ คลายจนี กวางตุง ลาํ ปาง และอาํ เภอแมเ มาะ ลักษณะภูมิประเทศท่ีต้ังชุมชนเป็นพ้ืนที่ภูเขาสูงความสูง ยังใหความสําคัญบางของขงจื้อ เชน ๑. อาเภองาว จากระดับนํ้าทะเล ๒๘๐ เมตรข้ึนไป เขตลุมน้ําหลัก คือ ความกตัญโู การเคารพบรรพบรุ ุษ พบใน ๖ ตําบล ไดแ ก ตําบล แมนํ้ายมลุมนาํ้ ยอ ย คอื แมน า้ํ แมงาว ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ทํ า น า ย บา นโปงุ ตําบลบา นออน อาชพี หลกั ในชุมชน คือ เกษตรกรรม และงานหัตถกรรม โ ช ค ช ะตา จ ากศ าส ต รแเดิมขอ ง ตาํ บลปงเตา ตําบลบา นแหง อาชพี เสริมในชุมชน คือ หาของปุาและรับจาง พืชหลักท่ี ชาวเมี่ยนที่ถายทอดผานตําร า ตําบลบานหวด และตําบลหลวงใต ปลูกในชมุ ชน คือ ขาวโพด ปใญหาหลักและความตองการ บันทึก ๒. อาเภอวังเหนือ ของชุมชน คือ ประชาชนไมม ที ่ีดนิ ทาํ กนิ และไมม ีสญั ญาชาติ ความรูดานการรักษาแผนเกา และ พบไดใ นพื้นท่ี ๒ ตาํ บล ไดแก ชุมชนบานวังใหม เป็นหมบู า นของชนเผาตาง ๆ มาอาศัย การใชส มุนไพร ตาํ บลรอ งเคาะ และตําบลทุงฮ้ัว อยรู วมกัน ไดแก เมยี่ น (เยา) ลัวะ และลีซอ ซ่ึงเป็นผลมา เป็นหมูบานทองเท่ียวเชิงวัฒนธรรม จาํ นวนชมุ ชนทง้ั สิ้น ๑8 ชมุ ชน จากการอพยพชาวบานที่ดํารงชีวิตแบบเกษตรกรรมใน ผ าปใ ก ธง ศ าล เจ าพอป ร ะตูผ า ไดแ ก บา นหวยน฿อต บานหวยหก เขตภูเขาลงมาสูพ้ืนราบหลังประกาศเขตอุทยาน โดย ภาพเขียนสีโบราณ ผาปใกชาวเมี่ยน บานแมแ ก บานแมก วัก พนื้ ที่ทีร่ ฐั จัดสรรใหเป็นพนื้ ท่ไี มส ามารถทําการเพราะปลูก รานคาสมุนไพรทอ งถิ่น บานแมออ น บา นชนแดน ได ชาวบานจาํ นวนหนง่ึ จึงยา ยถิน่ ฐานออกนอกชุมชนเพื่อ มีน้ําตกและถํ้าท่ีสวยงามคือนํ้าตก บานขุนแหง บา นสามเหลยี่ ม หางานทาํ ทงั้ ในและตางประเทศ แมแ ก นํา้ ตาํ เกาฟุ และถา้ํ ราชคฤหแ
กล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ พ้ืนที่ / ท่ตี ้ังของชมุ ชน ลักษณะทางสงั คมและวฒั นธรรม อัตลักษณท์ างชาตพิ ันธ์ุ บา นบอส่ีเหล่ียม บานหว ยโปุง ชาวเมี่ยนในตําบลแจซอน อําเภอเมืองปาน สวนใหญ บา นปางหละ บา นขนุ แมหวด หมบู าน ทตี่ ัง้ อยูในเสนทางทองเท่ียวของอุทยานแหงชาติ บา นคอนไชย บา นดง บานผาชอ แจซ อ น มไี รเ หมี้ยง กาแฟ แมคคาดีเมยี และสเตอรแเบอรแร่ี บานแมอ อ บา นวงั ใหม และ มีน้าํ ตกปางเยา เป็นนํ้าตกในหมูบานจึงไดรับการสงเสริม บา นผาแดง ในดา นการทอ งเทยี่ ว ๓. อาเภอเมอื งปาน ชุมชนบานหวยปง เป็นหมูบานของกลุมชาติพันธุแเม่ียน พบวามกี ารอาศัยอยขู องกลมุ ชาวบานสว นใหญจะนบั ถือศาสนาคริสตแ และศาสนาพุทธ ชาตพิ ันธเุแ ม่ียน (เยา ) ภายในพ้ืนที่ ลกั ษณะพ้ืนท่ขี องหมูบ านเป็นพ้ืนท่ีภูเขาสงู เชิงเขา และปุา ชมุ ชนบา นแมแ จเมปางเยา ไมเบญจพรรณ ความสูงจากระดับน้ําทะเล ๔๔๕ เมตร ตําบลแจซ อ น เขตลุมนํ้าหลัก คือ แมนํ้าวัง เขตลุมน้ํายอย คือ แมน้ําวัง ๔. อาเภอแจห้ ่ม ตอนบน อาชีพหลักในชมุ ชน คอื ปกใ ผา ชนเผา พบไดใ นพ้ืนที่ ๒ ตําบล ไดแก ชุมชนบานเลาสู หมูที่ ๘ ตําบลปงดอน อําเภอแจหม ตําบลปงดอน และตําบลเมืองมาย เป็นชาวบานเผาลัวะเม่ียน (เยา) อพยพมาจากจังหวัด จาํ นวนชมุ ชนท้งั ส้นิ ๔ ชมุ ชน ไดแ ก เชียงราย เมื่อประมาณ ๕๐ ปี ท่ีผานมาไดตั้งรกรากที่ บา นหว ยปง บา นแมต าสามัคคี บรเิ วณผาดอกในปใจจุบนั แตเน่อื งจากมีเสือออกอาละวาด บานเลาสู และบานแมห ลา กัดสัตวแที่ชาวบานเล้ียงไว จึงยายมาอยูบริเวณปใจจุบัน ๕. อาเภอเมอื ง เดิมมีราษฎรแต้ังบานเรือนจํานวน ๕ ครัวเรือน นําโดย พบวามกี ารอาศยั อยูข องกลุม นายเลาสู แซจเาว จึงเรียกหมูบานวา บานเลาสู ปใจจุบัน ชาติพันธุแเม่ียน (เยา) ภายในพื้นที่ บานเลาสูมี ๒ คุม คือคุมบานเลาสู และคุมบานอาขา ชมุ ชนบานผาลาด ตาํ บลพระบาท (ชาวเขาอกี เผาหนงึ่ ) มจี าํ นวน ๑๖ ครัวเรือน ซง่ึ ทั้งสองคุม ๖. อาเภอแมเ่ มาะ อยหู า งกนั ประมาณ ๓ กิโลเมตร พบวา มกี ารอาศัยอยขู องกลมุ ชาติ พันธแุเมี่ยน (เยา ) ภายในพื้นที่ชุมชน บานจําปุย ตาํ บลบา นดง 29
30 กลมุ่ ชาติพันธ์ุ พน้ื ที่ / ทต่ี ง้ั ของชมุ ชน ลกั ษณะทางสงั คมและวัฒนธรรม อัตลักษณ์ทางชาตพิ นั ธ์ุ ๖. กล่มุ ชาติพนั ธล์ุ วั ะ พบวา มีการอาศยั อยขู อง กลมุ ชาตพิ นั ธแุลวั ะในบริเวณพื้นท่ี ชุมชนบานวังใหม หมูที่ ๑๒ ตําบลรองเคาะ อําเภอวังเหนือ ปใจจุบันในดานสังคมชาวลัวะที่ถูก ชมุ ชนบา นวังใหม ตําบลรองเคาะ ต้ังอยูระหวางกิโลเมตรที่ ๗๗ - ๗๘ ของทางหลวงหมายเลข อพยพมาจากหวยสาน หลังจากมา อาํ เภอวงั เหนอื ๑๐๓๕ (ลําปาง-แจหม-วังเหนือ) เป็นหมูบานชนเผา ปลูกสรางบานเรือนในพื้นท่ีจัดสรร ประกอบดวย เผาเยา เผาลีซอ เผาล้ัวะ และเผามูเซอ โดยได พบวา ทท่ี าํ กินที่รัฐมอบใหไ มสามารถ ยายถ่นิ ฐานตามมติ ครหมูที่ จากเขตตนนํ้า (๑A) หรืออุทยาน ทํากา ร เพ าะป ลูกได ช า วลัว ะ แหงชาติดอยหลวงมายังพ้ืนท่ีรองรับซ่ึงก็คือหมูบานวังใหม ในชุมชนบานวังใหม จึงเดินทาง ในปใจจุบัน ออกนอกชุ มช นเพื่อ ไปรับจา ง ในการอพยพ กรมปุาไมไดจัดสรรพื้นที่สวนหนึ่งใหชาวบาน หารายไดเลี้ยงชีพ ในครอบครัว ทํากิน แตพื้นท่ีดังกลาวไมสามารถใชการใด ๆ ได เพราะเป็น มีเพียงเด็กและผูสูงอายุ หลังจากที่ ดินปนหิน ทําใหชาวบานจํานวนมากอพยพไปทํางานรับจาง ทุกสิ่งทุกอยางเกิดการเปล่ียนแปลง ในเมืองเป็นจํานวนมาก ภายในหมูบานเหลือเพียงเด็กและ ทั้งหมด ทั้งวิถีชีวิต ความเป็นอยู คนชรา ขณะท่ีผานมาชาวบานจํานวนมากพยายามเรียกรอง ก า ร ป ร ะ ก อ บ อ า ชี พ ร ว ม ทั้ ง ขอท่ีดินทํากินท่ีเหมาะสมจากรัฐ แตขอเรียกรองเหลาน้ีไมมี วัฒนธรรม ทําใหในปใจจุบันชาวลัวะ การตอบสนองใด ๆ ใ น ชุ ม ช น บ า น วั ง ใ ห ม ป รั บ ตั ว ผ ส ม ก ล ม ก ลื น กั บ ค น พื้ น ร า บ จนอัตลกั ษณแชาติพนั ธุแไมมีหลงเหลือ ทั้ง การ แตง กา ย การ กิน แล ะ ประเพณี
กลุ่มชาติพันธ์ุ พื้นที่ / ที่ต้ังของชมุ ชน ลักษณะทางสงั คมและวัฒนธรรม อตั ลักษณ์ทางชาตพิ นั ธ์ุ ๗. กลุ่มชาตพิ นั ธข์ุ มุ พบการต้ังบานเรือนกระจาย ชาวขมุในจงั หวัดลําปางตามประวตั ศิ าสตรสแ ันนิษฐานวาเดินทางจากลาวเขา เป็นกลุม ชาตพิ นั ธแทุ ่ชี อบอาศัย ตัวอยูภายในบริเวณพื้นท่ี มาพรอ มกับบริษทั ตางชาติท่ีเขามาทําสัมปทานไมในจังหวัดลําปางในฐานะ อยูกับปุา รักสงบ แตขยัน ทั้งหมด ๒ อําเภอ ไดแก แรงงานในปางไมตั้งแตเมื่อครั้งยุคอาณานิคม ทํางานและซ่ือสัตยแ ชาวขมุใน อําเภองาว และอําเภอแม ทั้งน้ีในอดีตแรงงานขมุเป็นที่นิยมเพราะมีความขยัน อดทน ซื่อสัตยแ และ จังหวดั ลําปาง ไมค อยเปิดเผย เมาะ เช่ียวชาญปุา ตอมาเมื่อหมดยุคการทําไม แรงงานขมุไมไดเดินทางกลับ ตั ว เ อ ง จ น ภ า ย ห ลั ง มี ๑. อาเภองาว ภูมิลําเนาแตตั้งรกรากปลูกสรางบานเรือนอยูอาศัยในพื้นที่ที่เขาไปทําไม หนวยงานเขาไปสงเสริมเรื่อง พบวามีการอาศัยอยูของ ตอมาคนในพ้ืนราบยังคงใชแรงงานชาวขมุในการดูแลสวน พืชไร นาขาว การสงเสริมอัตลักษณแชาติ ก ลุ ม ช า ติ พั น ธุแ ข มุ ใ น และยาสบู ซึ่งเปน็ พืชเศรษฐกจิ ทเี่ ร่มิ เขา มาปลกู เชิงพาณิชยแในลาํ ปาง พันธุแเพ่ือใชในการทองเที่ยว บริเวณพ้ืนที่ชุมชนบาน ดังนั้นในปใจจุบันเราจึงพบชุมชนชาวขมุต้ังบานเรือนอยูในบริเวณรอยตอ วัฒนธรรม มีการจัดตั้งศูนยแ แมพราวขมุ ตําบลบาน ระหวางประตูผา แองแมเมาะ และเมืองงาว ซ่ึงเดิมทีบริเวณน้ีเป็นพ้ืนที่ เรยี นรูชุมชนบานจําปุย มีการ หวด ศูนยแกลางการทําไมใ นอุตสาหกรรมปุาไมภาคเหนือ สําหรับพื้นท่ีท่ีมีชาวขมุ จัดที่พกั แบบโฮมสเตยแ ๒. อาเภอแมเ่ มาะ อาศัยอยูเป็นกลุมกอนไดแก ชุมชนบานกลาง บานจําปุย อําเภอแมเมาะ โดยเปิดโอกาสใหพี่นองชาว พบวามีการอาศัยอยูของ และอยูอาศัยกระจดั กระจายปะปนกบั กลมุ ชาติพันธุแอ่ืนในพ้นื ที่บานแมพราว ขมุ มีสวนรวมในการจัดการ ก ลุ ม ช า ติ พั น ธแุ ข มุ ใ น อาํ เภองาว มี ก า ร รื้ อ ฟื้ น ใ น เ ร่ื อ ง แ ห ล ง บริเวณพ้ืนท่ีชุมชนบาน เรียนรูเรื่องสมุนไพร การทอ จาํ ปุย และบา น หวยตาด ผา การทําจักสาน อัตลักษณแ ซ่ึ ง ทั้ ง ส อ ง ชุ ม ช น อ ยู ท่ีโดดเดน คือ ภาษา เป็น ภ า ย ใ น เ ข ต พ้ื น ท่ี ตํ า บ ล ภาษาลาวเทงิ และยังคงใชชีวิต บานดง แบบเรยี บงาย 31
32 กลุ่มชาตพิ ันธุ์ พน้ื ที่ / ทีต่ ้ังของชุมชน ลกั ษณะทางสงั คมและวฒั นธรรม อัตลกั ษณท์ างชาติพันธ์ุ ๘. กลุ่มชาตพิ ันธ์ลุ ซี ู พบการตั้งบานเรือนกระจายตัวอยู ชมุ ชนหมบู านวงั ใหม เปน็ หมูบานของชาวเขาเผาตาง ๆ ไดแก ปรับตัวรับวัฒนธรรมเมี่ยน ผสม ภายในบริเวณพ้ืนที่ทั้งหมด ๓ เมย่ี น (เยา) ลัวะ และลีซอ / ลีซู ท้ังนี้หมูบานวังใหมยังมีศูนยแ กลมกลืนกับคนพ้ืนราบ ชาวลีซู อําเภอ ไดแก อําเภอวังเหนือ พัฒนาชีวิตเด็กบานวังใหม ตั้งอยูที่ หมู ๑๒ ตําบลรองเคาะ ในลําปางมีจํานวนไมมาก สวนหน่ึง อาํ เภองาว และอําเภอเมืองปาน อําเภอวังเหนือ เน่ืองจากการอพยพชาวบานที่ดํารงชีวิตแบบ ถกู อพยพมาจากการประกาศอุทยาน ๑. อาเภอวงั เหนอื เกษตรกรรมในเขตภเู ขาลงมาสูพ ื้นราบ ซ่งึ เป็นพื้นที่ไมสามารถ แหงชาติดอยหลวงแมสาน ลงมาอยู เพาะปลูกได ผูปกครองเด็กจึงยายถิ่นเพื่อหางานทําท้ังในและ รวมกับกลุมชาติพันธแุอ่ืนในท่ีดินท่ีรัฐ พบวามีการอาศัยอยูของกลุม ตา งประเทศ จัดสรรให ชาติพันธุแลีซอ / ลีซู ภายใน ชุมชนบานหวยน฿อต เป็นหมูบานท่ีมีกลุมชาติพันธุแหลัก คือ ชาวลีซูประสบปใญหาเร่ืองการทํา บริเวณพนื้ ทีช่ มุ ชนบานวังใหม กลุมชาติพันธุแอาขาท้ังน้ียังมีกลุมชาติพันธแุอ่ืน ๆ คือ กลุมชาติ ก า ร เ ก ษ ต ร ไ ม ไ ด เ ห มื อ น ก ลุ ม อ่ื น ตําบลรองเคาะ พันธแุลาหู เมี่ยน และลีซอ / ลีซู ชาวบานโดยสวนใหญนับถือ ทํ า ใ ห ลี ซู จํ า น ว น ห น่ึ ง เ ดิ น ท า ง ไ ป ๒. อาเภองาว ศาสนาครสิ ตแ และศาสนาพุทธ มีลกั ษณะภมู ปิ ระเทศพืน้ ทภ่ี เู ขา ทํ า ง า น น อ ก ชุ ม ช น ไ ป ทํ า ง า น พบวามีการอาศัยอยูของกลุม ความสูงจากระดับนํ้าทะเล ๒๘๐ เมตรเขตลุมน้ําหลัก คือ ตางประเทศ การสืบทอดประเพณี ชาติพันธแุลีซอ / ลีซู ภายใน แมน าํ้ ยมลุมนํา้ ยอม คอื แมนํ้าแมงาว พิธีกรรมแบบด้ังเดิมแทบไมพบแลว บ ริ เ ว ณ พื้ น ที่ ชุ ม ช น บ า น อาชพี หลกั ในชุมชน คอื เกษตรกรรม อาชีพเสริมในชุมชน คือ ในพ้ืนที่จังหวัดลาํ ปาง หวยน฿อต ตาํ บลบานโปงุ หาของปุาและรับจาง พืชหลักท่ีปลูกในชุมชน คือ ขาวโพด ประชากรสวนใหญของที่หมูบาน ๓. อาเภอเมอื งปาน ปใญหาหลัก และความตองการของชุมชน คือ ประชาชนไมมี แมแจเมปางเยาสวนใหญเป็นเมี่ยน พบวามีการอาศัยอยูของกลุม ทดี่ นิ ทํากนิ และไมมีสญั ญาชาติ หรือเยา ทั้งนี้ที่หมูบานนี้เปิดโอกาส ชาติพันธุแลีซอ / ลีซู ภายใน ใหมีการแตงงานขามชาติพันธุแจึงทํา บ ริ เ ว ณ พื้ น ท่ี ชุ ม ช น บ า น ใ ห เ ม่ี ย น ก ลุ ม ห นึ่ ง แ ต ง ง า น กั บ ลี ซู แมแจเมปางเยา ทําให มีชาวลีซูอาศัยอยูในบาน แมแ จเมปางเยารว มกบั เมย่ี นดว ย
กลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ พื้นที่ / ท่ตี ้ังของชุมชน ลักษณะทางสงั คมและวฒั นธรรม อตั ลกั ษณท์ างชาตพิ นั ธุ์ ๙. ชาตพิ ันธไ์ุ ทลื้อ ไทล้อื กลุ่มดั้งเดิมของจังหวัดลาปาง ชาวไทล้ือในลาปางพบมี ๒ กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ล้ือด้ังเดิม ไทลอื้ ที่ตาบลกล้วยแพะ อาเภอเมือง จ ะ ต้ั งชุ ม ชนอยู่ อา ศั ย ท่ีต า บ ล ท่ีอพยพมาต้ังแต่ยุค “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” กลุ่มนี้ ลาปาง และทบี่ ้านแม่ปงุ บ้านฮ่องห้า กล้วยแพะ ซึ่งมีอยู่ ๕ หมู่บ้าน คือ ถูกยกครัวมาจากเง่ือนไขของการสู้รบในยุคปลดแอกล้านนา อาเภอแมท่ ะ อพยพมาจากเมืองยอง บ้านกล้วยหลวง หมู่ท่ี ๑ เป็น จากการปกครองของพม่าราว พ.ศ. ๒๓๔๘ โดยอพยพมาจาก ยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์ของตนเอง หมู่บ้านแห่งแรกท่ีไทลื้ออพยพ เมืองยอง และหัวเมืองลื้อในสิบสองปันนา กลุ่มท่ีสอง ว่าเป็น \"คนลื้อ\" ไม่เรียกตนเองว่า เข้ามาต้ังถิ่นฐาน (ปี พ.ศ. ๒๓๔๘) ถูกเคลื่อนย้ายมาจากบ้านแม่ส้าน ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย คนยอง เหมือนกับทางลาพูน แต่ใน และขยายชุมชนออกมาเป็นบ้าน ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ขณะเดียวกัน ถ้าหากมีบุคคลท่ีไม่ใช่ กล้วยแพะ หมู่ที่ ๒ บ้านม่วง หมู่ท่ี เก่ียวกับประวัติความเป็นมาและการตั้งถ่ินฐาน ชีวิตความ ล้ือด้วยกันมาเรียกว่า คนลื้อ หรือ ๓ บ้านหัวฝาย หมู่ท่ี ๔ บ้านกล้วย เป็นอยู่ ประเพณีและความเช่ือ เอกลักษณ์ ทางภาษา ลักษณะ พวกล้ือ จะถอื ว่าเป็นการดูถูกเหยียด กลาง หมู่ท่ี ๕ ยังมีไทล้ืออีก ๒ ทางสังคม ได้แก่ ระบบครอบครัว เครือญาติ การแต่งงาน หยาม ดังน้ัน ไทลื้อจึงเป็นกลุ่มที่รัก หมู่บ้านในบริเวณใกล้เคียงกัน คือ ศาสนา การศึกษา สภาพเศรษฐกิจของหมู่บ้าน อาชีพ พวกพ้องมาก จะเห็นได้ว่ามีใครมา บ้านแม่ปุง และบ้านฮ่องห้า อยู่ใน ความสัมพันธ์ภายในชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนไทล้ือ ทาความเดือดร้อนหรือกระทบ เขตตาบลน้าโจ้ อาเภอแม่ทะ กับชุมชนอื่น จากการศึกษาพบว่าไทล้ือมีประเพณีและ ผลประโยชน์ของสมาชิกในสังคม สาหรับไทล้ือกลุ่มท่ี ๒ เป็นกลุ่มที่ วัฒนธรรมส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับชาวพื้นเมืองโดยทั่วไป เช่น พวกเขาจะรวมตัวกันต่อต้านทันที อ พ ย พ ม า จ า ก ก า ร ป ร ะ ก า ศ วัฒนธรรมการบริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก นับถือพุทธ ทง้ั ๆ ท่ีไม่ใช่เรื่องของตนเองโดยตรง เขตอุทยานแหง่ ชาติ แม่สา้ น - ดอย ศาสนา แต่อย่างไรก็ตาม มีประเพณีและพิธีกรรมบางอย่าง ไทลื้อ และไทยอง ความจริงเป็น หลวง จังหวัดเชียงราย กลุ่มนี้พบ ที่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มของชาติพันธุ์ โดยเฉพาะด้าน ภาษาท่ีมีความคล้ายคลึงกันมากท้ัง ต้ังบ้านเรือนในบริเวณอาเภองาว ภาษาพูด ยังใช้สาเนียงภาษาไทลื้อ ประเพณีการแต่งกาย เร่ืองเสียง คาและประโยค จนอาจ โดยกระจายตัวอยู่ภายในพื้นที่ พิธีกรรมการเลี้ยงผีประจาหมู่บ้าน สิ่งท่ีน่าสนใจ ได้แก่ ไทล้ือ กล่าวได้ว่าเป็นภาษาเดียวกัน ความ บา้ นขนุ แหง ตาบลปงเตา และบ้าน มีความขยันขันแข็ง มานะอดทน มัธยัสถ์ อดออม เพ่ือสร้าง แตกต่างระหว่างภาษาไทลื้อกับไทย ห้วยโป่ง ตาบลบา้ นแหง ฐานะให้ม่นั คง ปัจจุบันเร่ิมมีการเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตจากสังคม องมีไม่มากพอท่ีจะแยกเป็นคนละ เกษตรกรรมมาเป็นสังคมท่ีมีการผสมผสานเกษตรกรรมเข้ากับ ภาษา เพียงแตกต่างกันในระดับที่ การลงทนุ คา้ ขายและรับจา้ ง เป็นภาษาย่อย (Dialects) ของกัน และกนั 33
สว่ นท่ี ๒ สขว่อ้ นมทูล่ีท๑างขสอ้ ังมคลูมทว่วัฒไนปธรรมและ การเปลี่ยนแปลงรายกลมุ่ ชสาตว่ิพนันธทุ์ ี่ ๒ ข้อมูลรายกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ ๙ กลุ่มชาตพิ ันธ์ุ ในจงั หวดั ล�ำปาง 35
36
๒.๑ กลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุอาข่า (Akha) ในจงั หวัดลาปาง ๒.๑.๑ ประวตั ิศาสตรค์ วามเปน็ มาและการเคลื่อนยา้ ย อาขามีตนกําเนิดในมณฑลยูนนานของจีน (ซ่ึงปใจจุบันก็ยังคงตั้งถิ่นฐานกันอยู) และคอยๆ ทยอยกนั อพยพลงใตมาในระยะหลายศตวรรษ โดยในราวกลางครสิ ตแศตวรรษท่ี ๑๙ มีอาขาจํานวนมาก เขาไปอาศัยอยูในแควนเกงตุง ซึ่งเป็นชายแดนตะวันออกของรัฐฉานของพมา ปใจจุบันนี้มีประชากร อาขาอาศยั อยูกวา ๑๘๐,๐๐๐ คน ในขณะที่บางสวนอพยพเขาไปอยูในประเทศลาว และเวียดนาม สวน ชาวอาขาท่เี ดินทางเขามาอยใู นประเทศไทยเปน็ กลมุ ทอ่ี พยพมาจากประเทศพมา โดยหมูบานอาขาแหง แรกในประเทศไทยตั้งขึน้ ในราวปี พ.ศ. ๒๔๔๖ บริเวณลานหินแตกใกลชายแดนพมา และไดเร่ิมมีชาว อาขาอพยพเขามาในไทยเพ่ิมขึ้นเรื่อย ๆ จากราว ๒,๕๐๐ คน หลังส้ินสุดสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ในปี ๒๕๐๗ เพ่มิ ขนึ้ อยางตอ เนือ่ ง จนลาสุดในปี ๒๕๔๕ สํารวจพบวามจี าํ นวนประชากรอาขาในประเทศไทย ท้งั สิ้น ๖๘,๖๕๓ คน หรือคดิ เป็นรอ ยละ ๗.๔๓ จากจํานวนประชากรชาวเขาของประเทศไทย แบงเป็น ชาย ๒๐,๙๔๘ คน เป็นหญิง ๒๑,๘๗๖ คน และเด็กอีก ๒๕,๘๒๙ คน โดยจะกระจายตัวอยูในบริเวณ ๗ จงั หวดั คือ เชียงราย เชยี งใหม ตาก เพชรบูรณแ แพร ลําปาง และพะเยา ซ่ึงมากท่ีสุดในพ้ืนท่ีจังหวัด เชียงราย (๕๙,๗๘๒ คน)5 ชาวอาขาเป็นกลุมชนที่จัดอยูในกลุมตระกูลธิเบต - พมา เรียกตนเองวา “อาขา” แตคนไทย และลาวมักเรียกชนเผาน้ีวา “อีกอ” หรือ “กอ” หรือ “ขากอ” ในขณะท่ีชาวจีนและเวียดนามเรียก ชนเผานี้วา “ฮานี” ภาษาของอาขาจดั อยูในสาขา “ยิ” หรอื โล - โล ทแี่ ยกกลมุ มาจากตระกูลพมา - ธิเบต โดย “จือโก” คือ สําเนียงที่คนอาขาในไทยใชซึ่งเป็นสําเนียงเดียวกับท่ีใชกันอยูสวนใหญในหมูอาขาท่ี ตงั้ รกรากอยใู นแควนเกงตุง พมา แถบตะวันตกเฉียงใตของยูนนาน จีน และตะวันออกเฉียงเหนือของ ลาว เปน็ ภาษาทคี่ ลา ยกบั ภาษาลาหูแ ละลีซอ ซงึ่ เป็นเพียงภาษาพดู ไมมตี ัวอกั ษรท่ีใชเขียน จึงเขียนเป็น 5 เขา ถึง http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title (Akha) วนั ที่ 25 กนั ยายน 2563. 37
ภาษาองั กฤษหรอื ภาษาไทยแทนในการสะกดตัวอักษร6 และเนื่องดวยประเทศจีนมีชาวอาขากลุมยอย ๆ อีกหลายกลุม7 รัฐบาลจีนไดจําแนกกลุมชาติพันธแุอาขาตาง ๆ รวมไวภายใตช่ือกลุมฮานี (Hani) มีเขต ปกครองตนเองของชาวฮานีอยูบริเวณแมน้ําแดงในเขตเมืองหงเหอ และ หยวนหยาง (Hong He – Yuanyang) และรับรองภาษาฮานีใหเป็นภาษาทางการสําหรับกลุมชาติพันธุแ อาขา-ฮานี ทั้งหมด ในประเทศจีน ซ่ึงเป็นภาษาเขียนระบบอักษรโรมัน คลายระบบเขียนแบบพินยิน (pin yin) ของภาษา จนี กลาง ขณะทใ่ี นประเทศไทยและประเทศพมา ระบบการเขยี นภาษาอา ขาถกู สรา ง และพฒั นาขึ้นจาก อกั ษรโรมัน โดยกลมุ มชิ ชนั นารีท่เี ขา มาเผยแพรศาสนาคริสตแ ทั้งนิกายโรมันคาทอลิก และนิกายแบบติสตแ โดยมศี ูนยกแ ลางอยูทีเ่ มอื งเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพมา และไดแพรขยายเขามาถึงประเทศไทย เฉพาะใน ประเทศไทยระบบภาษาเขยี นท่ีมิชชันนารีไดประดิษฐแไวใหนี้มีระบบท่ีแตกตางกันไปประมาณเกือบสิบ ระบบ และนําไปใชใ นกิจกรรมทางศาสนาคริสตแของกลุมโบสถแตาง ๆ ที่กระจายตัวอยูตามชุมชน อาขา ทงั้ ในประเทศไทยและในรัฐฉานของประเทศพมา ชาวอาขาท่ีหันไปนับถือศาสนาคริสตแจึงเป็นกลุมท่ีมี โอกาสใชภาษาเขียน และสวดพระคัมภีรแ ในขณะที่ชาวอาขาท่ียังคงยึดถือแบบแผนวัฒนธรรมด้ังเดิม ไมมีโอกาสไดเรยี นรูภ าษาเขียนเหลา น้ี 6 สมชัย แกวทอง ปจใ จัยทมี่ ผี ลตอการเปล่ยี นแปลงทางสังคม ภายในชุมชน อันเน่ืองมาจากโครงการอพยพชาวเขา : กรณีศึกษาบานวังใหม อําเภอ วังเหนอื จังหวดั ลาํ ปาง วทิ ยานพิ นธแ บนั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยเชียงใหม 2544. 7 อา ขาในประเทศไทยมีอยู 8 กลุม คือ อูโล Uq Lor, ลอมี้ Law mir, อู บยา Uq byaq , หนาคะ Naq Kar อาเคอะ Ar Ker, อาจอ Ar Jawr , อูพี Uq Pi และ เปยี ะ Pyavq 38
สําหรับอาขาในจังหวัดลําปาง ดวยความที่ลําปางเป็นจังหวัดหนึ่งของไทยท่ีไมมีพื้นท่ีติดกับ ประเทศเพื่อนบาน ไมวาจะเป็นประเทศพมา หรือลาว แตจังหวัดลําปางติดตอกับจังหวัดอ่ืน ๆ ท่ีเป็น พ้นื ทีช่ ายแดนของประเทศไทย เชน ในทิศเหนือน้ันติดตอกับจังหวัดเชียงราย พะเยา สวนทิศใตติดตอ กับจังหวัดตาก และจังหวัดสุโขทัย จังหวัดลําปางถือวาเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีกลุมชาติพันธแุอาศัย หลากหลาย ไมว า จะเป็นกระเหรี่ยง มง อ้ิวเมี่ยน อาขา ลาหู ลีซู ลัวะ ไทยล้ือ และพ่ีนองขมุ ชาวอาขา ที่อาศัยอยูในจังหวัดลําปางพบวา ท้ังหมดอพยพมาจากจังหวัดเชียงรายซึ่งเป็นกลุมอาขาท่ีติดตาม เจาหนา ท่ีปุาไมเขามารับจางปลูกปุา และกลับไปพาครอบครัวมาตั้งที่อยูอาศัยในพื้นที่ ตอมามีสมาชิก ท่ีเป็นเครือญาติท่ียายตามกันมาเพ่ิมขึ้น ตอมามีชาวอาขาอีกกลุมท่ีอพยพเขามาหลังปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ซึ่งขามมาจากประเทศพมาแลวตรงไปท่ีจังหวัดลําปางก็มี เพราะมีญาติหรือคนรูจักอาศัยอยูท่ีนั่น กลุมอาขาท่ีอาศัยอยูในจังหวัดลําปาง แบงไดเป็น ๓ กลุม นั่นคือกลุมหนาค฿า อูโล และลอเม๊ีญะ กระจายอยูใน ๓ อําเภอ คืออําเภองาว แจหม และแมเมาะ อาศัยอยูใน ๖ ตําบล คือตําบลนาแก บา นรอง ปงเตา บานโปงุ ปงดอน และจางเหนือ ประชากรคนอาขาในจังหวัดลําปาง มีประมาณ ๗ % ของจํานวนประชากรอาขา ท้ังประเทศไทย อาศัยอยูหนาแนนในพื้นที่อําเภองาวมากที่สุด และกระจาย ไปอยูอาํ เภออ่ืน ๆ เชน แจหม และแมเมาะเพยี งเล็กนอย8 อาํ เภองาวเป็นอีกอําเภอหนึง่ ที่ชาวอา ขา อยเู ปน็ กลุมใหญ อาศัยอยูใน ๓ ตําบลคือ ตําบลนาแก บานรอง และปงเตา การอยูกันของชาวอาขาในจังหวัดลําปางไมไดแบงเป็นกลุมอาขายอยอยางเชนท่ี จังหวัดเชยี งราย และจังหวัดเชียงใหม เพราะการอพยพตางชวงเวลาตางเง่ือนไขกัน และมารวมตัวกัน สรางชุมชนข้ึนมาใหม ทําใหมีหลายกลุมผสมปะปนกันภายในหนึ่งชุมชน แตก็พบวาสวนใหญเป็นกลุม อาขาหนาคา฿ อา ขาลอเมี๊ญะ และอาขา อูโลผสมกัน สําหรับในตําบลบานรองมีกลุมอาขาอยูกลุมหน่ึงที่มี ความโดดเดน คือกลุมหนาค฿า ท่ีบานแมคําหลา ซ่ึงอพยพมาจากบานพนาเสรี ตําบลทาก฿อ อําเภอ แมสรวย จังหวัดเชียงราย สองพ้ืนที่น้ีจึงลวนแตเป็นญาติพี่นองกัน ในแตละปีมักมีการไปมาหาสู เที่ยวหากัน หรือแตงงานขามจังหวัดก็มี อาขาในจังหวัดลําปางในดานประเพณีความเช่ือดั้งเดิม หลงเหลอื เพียงนอยนิดและนับวันใกลสูญหายไป เพราะชาวอาขาในจังหวัดลําปางหันไปนับถือศาสนา คริสตแนิกายคาทอลิกมากขึ้น ผูนําชุมชนท่ีเคยมีตําแหนงทางวัฒนธรรมไดละทิ้งความเชื่อด้ังเดิมไป เป็นศิษยาจารยแ หรือผูนําศาสนาทําการสอนเผยแผศาสนารวมถึงการปฏิบัติศาสนกิจในฐานะ คริสตแศาสนกิ ชน ดงั นั้นหากใครตองการศึกษาวัฒนธรรมดั้งเดิมสามารถศึกษาไดท่ีชุมชนบานแมคําหลา ซ่งึ ทย่ี ังพอหลงเหลอื ใหศ ึกษาได ๒.๑.๒ ลักษณะโครงสรา้ งทางสงั คมในอดตี โครงสร้างการปกครอง : ในอดีตชนเผาอาขา มีรูปแบบการปกครองเป็นของตนเอง ผูนําก็คือ หัวหนาหมูบาน ทําหนาท่ีควบคุมดูแลชุมชนใหอยูในกฎระเบียบธรรมเนียมที่ดีงามของสังคม รวมกับ คณะผอู าวุโสตดั สนิ คดีขอพพิ าทและรว มในพธิ ีกรรมตา ง ๆ การสืบทอดตําแหนงเป็นการสืบตอตามสาย บรรพบรุ ุษ นอกจากนีย้ ังมีคณะกรรมการหมูบ า น ซึ่งประกอบดว ยหวั หนาหมบู า น ผูชวยหัวหนาหมูบาน หัวหนา พิธกี รรม ชา งตเี หล็ก หมอผี ผูรู และผูอาวุโส คณะกรรมการดังกลาวมีหนาท่ีพิจารณาตัดสินใจ ในกิจกรรมตาง ๆ ของชุมชน เชน การจัดกิจกรรมประจําปี การยายหมูบาน การพิจารณาความผิด 8 เขาถึง https://sites.google.com/site/yinditxnrabsucheiynghim/laphun/klum-chati-phanth 26 กันยายน 2563. 39
ของชาวบาน อํานาจเด็ดขาดไมไดข้ึนอยูกับคณะกรรมการหมูบานเพียงฝุายเดียว บางคร้ัง สมาชิก หมูบ านมีสิทธ์ิท่ีจะโตแยงแสดงความคิดเห็นไดเชนกัน ปใจจุบันระบบการปกครองของชุมชนอาขาเป็น การปกครองแบบผสมผสานระหวางการปกครองแบบจารตี ประเพณีและแบบทางการ ผู้นา/บุคคลสาคัญ : ประกอบดวย หัวหน้าพิธีกรรม (หย่ือมะ) เป็นบุคคลท่ีสําคัญที่สุด หมูบานอาขาถาไมมีหย่ือมะ จะต้ังเป็นหมูบานไมได หย่ือมะมีหนาที่ประกอบพิธีกรรมของชุมชน ทุกพธิ ีกรรม และยงั มหี นาทร่ี ักษาขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละพธิ กี รรมของชมุ ชนใหคงอยสู ืบไปดวย หมอผี ๑. หมอผีใหญ่ (ผมิ ะ) มหี นาท่ปี ระกอบพิธกี รรมและเป็นผชู ว ยหยื่อมะ นอกจากน้ียังทําหนาที่ รกั ษาพยาบาลผเู จบ็ ปวุ ย โดยการทาํ พิธีบวงสรวงขอขมาผตี ามความเชือ่ ของอาขา ๒. หมอผีเล็ก (ผิยะ) ทาํ หนาท่ีรักษาความเจ็บปุวยโดยการทําพิธีเล้ียงผีตามประเพณีเดิมของ อาขา ช่างตีเหล็ก (บะจี หรือ ปู่จี) มีหนาที่ทําอุปกรณแในการเกษตรบริการแกสมาชิกชุมชน เปน็ บุคคลที่มคี วามสําคัญหนึง่ ทีช่ ุมชนใหก ารยอมรบั นบั ถอื การทําอุปกรณแใหแกสมาชิกชุมชนน้ีจะไมคิด คา แรงใด ๆ ท้งั สนิ้ แตชาวบานจะตอบแทนบญุ คณุ ชางตเี หล็กดว ยการไปชวยงานในไรข า ว หมอยา (ยากา๊ ซยิ ะ) เปน็ หมอยาสมนุ ไพรประจาํ หมบู า น ในหมบู านจะมกี ่ีคนก็ได คณะผู้อาวุโส (อะบอ เชอะหม่อ) เป็นกลุมผูทรงคุณวุฒิของหมูบาน มีหนาที่บริหารชุมชน ในกิจการตาง ๆ เป็นกลุมบุคคลที่มีความสําคัญทั้งทางดานการปกครองชุมชน การประกอบพิธีกรรม และการตดั สินคดีความตา ง ๆ ของชุมชนดวย หัวหน้าหมู่บ้าน เป็นบุคคลที่เป็นผูนําในการอพยพไปตั้งหมูบาน ในหมูบานท่ีไมมีการแตงต้ัง ผูใหญบานอยางเป็นทางการ หัวหนาหมูบานก็จะเป็นผูใหญบานไปในตัวดวยแตถาหมูบานไหนมีการ แตง ตง้ั ผใู หญบา นอยา งเป็นทางการ หัวหนา หมบู า นก็ยงั ถอื วาเปน็ ผูนาํ คนหน่ึงของหมบู านดว ย ซงึ่ ในปจใ จบุ นั ผนู าํ จะแบง เปน็ ผูนําทางการไดแกพ อ หลวงบาน (ผูใหญ) และผูนําทางจิตวิญญาณ หรือผูนําศาสนา คือ ศิษยาจารยแ และหันมาปฏิบัติศาสนกิจแทนความเชื่อเดิม เชน การไปสวดมนตแ ที่โบสถแ การรองเพลงสรรเสริญพระเจา การจัดงานวันครสิ ตมแ าส การจัดพิธแี ตงงานแบบคาทอลิก เปน็ ตน ระบบครอบครัวและเครือญาติ : ครอบครัว สังคมอาขาเป็นสังคมท่ีสืบสายขางบิดา เรียกวา “อิจ”ิ หมายถึงตระกลู ชาตกิ ําเนิดตน มคี รอบครัวแบบขยาย ผูหญิงแตงงานเขามาอยูในบานพอแมของ ฝาุ ยชาย ตัดขาดจากตระกูล ตัวเองมาอยตู ระกูลฝาุ ยชาย ผูอาวุโสสดุ ในครอบครัวเป็นหัวหนาครอบครัว มีอํานาจสูงสุด และบุตรชายคนโตมีอํานาจรองลงมา สังคมอาขาใหความสําคัญและตองการบุตรชาย ไวสืบตระกูล และทําพิธีกรรม ถาภรรยาไมมีบุตรชาย สามีสามารถแตงงานใหมเพ่ือใหไดบุตรชาย ในอดีตภายในครอบครัวมีการแบงบทบาทหนาท่ีกันคือ ผูชายรับผิดชอบงานไร หาของปุา คาขาย ตอนรับแขกและประกอบพิธีกรรรม สวนผูหญิงมีหนาท่ีทําอาหาร ดูแลงานบาน เล้ียงสัตวแ เพาะปลูก และกําจัดวัชพืชในไร นอกจากหนาท่ีดังกลาวแลว อาขายังแบงหนาท่ีการอบรมดูแลลูกสาว ลูกชาย หลงั จากการหยานมแม ลูกชายจะแยกไปนอนกับพอ พอจะดูแลอบรมลูกชาย สวนลูกสาวนอนกับแม และอยูในการอบรมดูแลของแม เมื่อหัวหนาครัวเรือนตายไป บุตรชายคนโตจะเป็นหัวหนาครัวเรือน และรับหนาท่ีดแู ลห้งิ ผบี รรพบรุ ษุ ตอ ในกรณีท่ีบุตรชายคนโตยังเด็ก ภรรยาของหัวหนาครัวเรือนที่ตาย จะทําหนาที่หัวหนา ดังน้ันการที่สังคมอาขาถือสายผูชายเป็นใหญเพราะเป็นผูสืบสายวงศแตระกูล 40
จึงมีการสืบทอดอยางหนึ่งคือการนับลําดับช่ือบรรพบุรุษเรียกวา “จึ” ทําใหการขยายครอบครัวของ อาขา เปน็ การขยายออกทางบิดา ฉะน้ันผูชายในครอบครัวอาขาจึงมีความจําเป็นท่ีตองเรียนรูลําดับช่ือ ของบรรพบรุ ุษผา นการทอ งจาํ ตลอดจนพิธีกรรมประเพณีของครอบครัว เพื่อจะไดสบื สานและถายทอด ใหกับนองหรอื ลูกหลานตอไป ความสําคัญในการถือสายโลหิตของชนเผาอาขาน้ัน เม่ือตายแลวทุกคน ตองไปอยูรวมกับบรรพบุรุษที่ลวงลับไปแลว ซ่ึงถือเป็นขอกําหนด หามแตงงานในตระกูลที่เหมือนกัน (สายโลหติ ท่ีใกลกัน) กลาวคือ สายโลหิตตองหางกัน ๗ ชั่วโคตร ถึงจะแตงงานกันได แตในกรณีที่สามี ภรรยาแตง งานแลว ไมมีบุตรชายในการสืบสายตระกูล กม็ คี วามจาํ เปน็ ทต่ี อ งแตง งานใหม เพื่อใหกําเนิด บุตรชายในการสืบสายตระกลู ตอไป9 ซึง่ ในปจใ จบุ นั ครอบครัวชาวอาขาในจังหวัดลําปางมีขนาดหดเล็กลง กลายเป็นครอบครัวเดี่ยว เพิ่มมากข้ึน และจํานวนบุตรโดยเฉล่ียครอบครัวละ ๓ - ๔ คน ลดลงจากเดิมท่ีเคยมีครอบครัวละ ๗ - ๘ คน การเปลี่ยนแปลงจํานวนบุตรนี้เนื่องมาจากที่ดินเพาะปลูกจํากัด และคุณภาพดินเส่ือม ความตองการ แรงงานในครัวเรือนจึงลดลง พรอมกับมีการยอมรับการวางแผนครอบครัวมากขึ้น นอกจากนี้สมาชิก ครอบครัววัยหนุมสาวออกไปทํางานนอกหมูบานรวมถึงการเดินทางไปทํางานตางประเทศ ทําใหแบบ แผนปฏิบัติในครอบครัวมีความเขมขนนอยลงและดําเนินชีวิตตามแบบแผนครอบครัวของคนในเมือง แทบจะไมแตกตา งกนั แทน ๒.๑.๓ วถิ ชี ีวิตความเปน็ อยู่ ความเชอื่ และประเพณวี ัฒนธรรม อาชีพการทามาหากิน/ระบบเศรษฐกจิ : เดิมทีตามตํานานของเผาอาขาแบบดั้งเดิม ไมวาจะ ทําอะไรก็ตาม ผูชายจะเป็นคนเร่ิมตนทํากอน จากน้ันก็ใหผูหญิงเป็นผูดูแลรักษา ทําการเกษตรเพ่ือ ยังชีพ คือ ปลูกไวกินเอง และที่เหลือก็สงขาย อาชีพหลักของอาขาคือการปลูกพืชไร อาขามีการ จัดเตรียมพื้นท่ีทําไรเพื่อการปลูกพืชตาง ๆ โดยอยูไกลจากชุมชนไมนอยกวา ๓ - ๕ กิโลเมตร จะไมมี การใชท ีด่ นิ บรเิ วณปาุ ชุมชนเพ่อื การเพาะปลูกพชื ไร ทั้งน้หี ากมีการปลูกพืชไรใกลชุมชน และมีสัตวแเลี้ยง เขาไปทําลายก็จะไมมีการชดใช ซ่ึงประเด็นน้ีเป็นกฎของชุมชน นอกจากน้ีอาขายังนิยมปลูก ผัก พริก ถ่วั ในบริเวณทใี่ กลแหลง แมน า้ํ หรอื บริเวณรั้วบานของตน ทั้งน้เี วลาตอ งการผักสดเป็นการยากที่จะเดิน ไปเก็บที่ไร เพราะวาไรอ ยไู กล จงึ เก็บทรี่ ว้ั บา นของตนท่ปี ลูกเอาไว สวนเวลาไปไรตอนเย็นๆ ก็จะเก็บผัก จากท่ีไรกลับมายังบานของตน ชายอาขาสวนมากจะทําไรดวย และถาวางๆ ก็จะไปลาสัตวแ เพื่อนํามา ประกอบเป็นอาหาร สวนงานบาน ผูหญิงจะเป็นผูรับผิดชอบ เชน หุงขาวปลาอาหาร และทําสวน เล็กๆ นอ ย ๆ อาชีพที่นิยมทํากัน ไดแ ก ทําไรข าว สว นมากจะปลูกไวกินเอง เพราะวาชาวอาขาจะอยูรวมกัน เป็นเครือญาติเป็นจํานวนมาก จึงตองทําไรเป็นเน้ือที่กวางๆ เพื่อใหทุกคนพอกิน ทําไร ขาวโพด โดยทั่วไปชาวอาขาจะปลูกเพ่ือกินเอง และใชในการเล้ียงสัตวแ นอกจากน้ันยังนํามาทําเป็น ยาสมุนไพร เพ่ือนํามาใชในครัวเรือน พ้ืนท่ีในการทํานาทําไร จะปลูกผัก และขาวสลับกันไป โดยสวนใหญน ิยมปลกู ขาวมากกวา และในพ้ืนท่ีหน่ึงจะปลูกผักหลายๆ อยางรวมกัน และยังนิยมเลี้ยง สตั วแจาํ พวก หมู เปด็ ไก แพะ สุนขั เปน็ ตน เพ่ือใชบรโิ ภคและใชในพธิ กี รรมทางศาสนา สวนสัตวแที่เลี้ยง 9 จิราวรรณ ชัยยะ “การเปล่ียนแปลงและปรับตัวทางสังคมของชาวเขาเผาอีกอ(อาขา) บานผาหมี อําเภอแมสาย จังหวัดเชียงราย ” วิทยานิพนธมแ หาบัญฑติ ไทยคดศี ึกษา มหาวิทยาลยั นเรศวร.พษิ ณโุ ลก.2540. 41
ไวใ ชง าน ไดแ ก วัว ควาย มา นอกจากน้ียังมีอาชีพรับจางทั่วไป ในปใจจุบันชาวอาขาขาดท่ีทํากิน หรือ ท่ีทํากินไมพอเพียงกับจํานวนประชากรจึงทําใหหลายครอบครัวตองหารายได โดยการเขาไปรับจาง ทาํ งานในตวั เมือง รบั จางท่ัวไป หรือรบั จา งทํางานใหกับกรมปุาไม เชน ปลูกปุา หรือเดินทางไปทํางาน ตา งประเทศ เชน ไตหวัน เกาหลีใต เปน็ ตน การกิน : ชาติพันธุแอาขามีอาหารเพียงไมก่ีประเภท อาหารที่เป็นหลัก คือ ขาว ผัก และเนื้อ ชาวอา ขารับประทานขา วจาวทเ่ี ปน็ ขาวดอย ลกั ษณะเมล็ดสั้นปูอมมีสีขุนลายแดงดาง เวลาหุงสุกจะมียาง เหนียวเลก็ นอย ชาวอาขา ไมนยิ มรับประทานขาวเหนียว กบั ขา วที่เปน็ หลัก คือ ผักและเนื้อ ผักท่ีบริโภค มีหลายชนดิ ทงั้ ที่ปลูกเองและเกบ็ เอาจากปุา เชน ผักกาดไร แตงกวา ฟใกทอง ฟใกเขียว มะเขือ หนอไม ผกั กดู ผกั หนาม ชะอม ผกั กาด ผักกวางตุง กระเทียม ฯลฯ ผักเหลา น้ีจะนาํ มาแกง ตม ผัด แอ็บ ปรุงรส ดว ย เกลือ ชูรส และพรกิ ตามตองการ การบริโภคเนื้อสัตวแมเี ป็นคร้ังคราว เชน กรณีการเล้ียงประกอบ พธิ ีกรรมตา ง ๆ งานแตงงาน งานศพ หรือมแี ขกพิเศษมาเยีย่ มเยือน หรอื ในกรณที มี่ กี ารหุน กนั ซอื้ หมู วัว ควาย มาท้ังตัวมาฆาและแบง ปนใ กนั ในกรณีที่มีการลาสัตวแปุามาได เชน นก ไกปุา หมูปุา กระรอก หนู อีเกง เมน อีเห็น หมี กวาง ฯลฯ หรือหาหนอนแมลงไดมา เชน หนอนไมไผ แมลง ปลา กุงฝอย ชาวอาขาจะนําวัตถุดิบ เหลาน้ีมาปรุงอาหาร โดยมีวิธีการ ตม ผัด ทอด แอ็บ ยาง น่ึง แลวปรุงรสโดย เกลือ พริก ชูรส การไดมาของอาหารหรือวัตถุดิบ ในอดีตชาวอาขาสวนใหญสามารถผลิตหรือหามาไดเอง มีเพียง สวนนอยที่ตองซื้อจากภายนอกชุมชน ชาวอาขาปลูกขาวเองเพ่ือการบริโภคภายในครัวเรือน สวนอาหารประเภทผักไดมาโดย ๓ วิธี คือ ปลูกเองในสวนครัวบริเวณบาน หรือปลูกตามฤดูกาล ในไรขาว ผักท่ีนิยมปลูก ไดแก หอมชู ผักกาดดอย ผักชีฝร่ัง ย่ีหรา ตะไคร ขิง ผักกาด กระเทียม ฟใกเขียว ฟกใ ทอง แตง งา ถัว่ เหลอื ง ถว่ั ลสิ ง กลวย มันเทศ เผือก เป็นตน ผักบางชนิดหาไดจากปุา เชน หนอไม หยวกกลวยปาุ ผกั กูด ผกั หนาม เห็ด เปน็ ตน ชาวอา ขาจะบริโภคอาหารตามฤดกู าลที่พชื ผกั ออก 42
การถนอมอาหาร ชาวอาขามีวิธีการถนอมอาหาร ๓ วิธี คือ การดอง หมักและรมควัน ผักท่ีนิยมนํามาดอง คือผักกาดเขียวไร ผักกุม ผักหนาม และหนอไม วิธีดองก็ทําอยางงาย ๆ คือ ดองใสเ กลือ (บางคนนิยมใสพรกิ และขา วสารลงไปเล็กนอ ยดวย) ในภาชนะกระบอกไมไผใชใบกลวยปุา ทําเป็นจุกปิดไว หรือดองในโองกระเบื้องเคลือบขนาดกลาง ผักเหลาน้ันเม่ือดองทิ้งไวประมาณ ๕-๑๐ วนั ก็สามารถรับประทานได และสามารถเก็บไวไดเป็นเวลานาน ๆ หลายเดือน ชาวอาขารูจักนํา ถั่วเหลืองตมสุกมาหมักกับเกลือคลายเตาเจ้ียว เมื่อไดท่ีแลวก็นํามาสับใหละเอียดปรุงรสดวย ขิง พริก เกลอื ชูรส แลว ทาํ เป็นแผน ๆ ขนาดฝาุ มือผึง่ แดดใหแหง เรยี กวา \"ถ่วั เนาแผน\" เก็บไวสําหรับปรุงอาหาร หรือตาํ เปน็ นาํ้ พรกิ สําหรับจมิ้ ผัก นอกจากการดอง และหมักแลวชาวอาขายังมีวิธีการเก็บเน้ือ และปลา ท่เี หลอื จากบรโิ ภคโดยวิธกี รมควัน ชาวอาขาไมรูจักการทําเน้ือเค็ม ปลาเค็ม ปลารา ปลาเจา แตจะเอา เนื้อหรอื ปลาไปแขวนหรือวางไวบนห้ิงเหนือเตาไฟ เพื่อใหไดรับความรอนและควันไฟ ซ่ึงจะทําใหเนื้อ แหงและเกบ็ ไวไดนานไมเ นา เป่อื ย (บางครงั้ อาจนาํ ไปนึง่ หรือตมใหใหส ุกกอนแลว นําไปไวบนหง้ิ ) ศาสนา พธิ กี รรม ความเชื่อ : ในอดตี ชาวอาขาอาขาไมมีคําวา “ศาสนา” แตมีคําวา “บัญญัติ อาขา ” ซง่ึ ครอบคลุมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีการทุกอยางในการดําเนินชีวิต มีความเช่ือ ในเรื่องผี โชคลาง และการเส่ียงทาย เป็นท่ีสุด ผีหรือ “แหนะ” ไดเขามามีบทบาทในวิถีชีวิตของชาว อาขา มีผีดี เชน ผีบรรพบุรุษคอยใหความคุมครอง สวนผีราย มักจะเป็นผีตายทั้งกลม ผีตายโหง ผีปุา และผีนํ้า ซึ่งชอบทําใหคนเจ็บปุวย เหตุนี้เองอาขาจึงไมนิยมตอนํ้าเขาหมูบาน และไมชอบอาบน้ํา สวนผีปุาน้ันจะชอบหลอกหลอนคน และทํารายคนในปุา พิธีกรรมของอาขามีอยูดวยกัน ๙ พิธี ไดแก พธิ ีข้นึ ปใี หม พิธีเก่ยี วกบั การเกษตรกอนลงมือทําไร พิธีทําประตูหมูบาน พิธีบวงสรวงผีใหญ พิธีเลี้ยงผี บอนํา้ เพอ่ื ความอดุ มสมบูรณแของพืชไร พิธีโลชิงชา เพื่อระลึกถึงเทพธิดาผูประทานความอุดมสมบูรณแ ใหแกพืชผลท่ีกําลังงอกงาม พิธีกินขาวใหมจัดข้ึนเพื่อฉลองรวงขาวสุกและขอบคุณตอผีไร พิธีไลผี ออกจากหมบู า น พธิ ีเลย้ี งผีบรรพบุรษุ แมอาขาไมมีภาษาเขียน แตมีพิธีกรรมและประเพณี ที่อาขาเรียกวา “แดะยอง ซี้ยอง” Daevq Zanr Xir Zanr ไมนอยกวา ๒๑ พิธีกรรม เป็นเครื่องมือดํารงชีพ มีสุภาษิต คําสอน เรียกวา “อาขา ดอดา” Aqkaq Dawq daq มีกฎระเบียบ ขอบัญญัติ (กฎหมาย) เรียกวา “ย฿อง” Zanr ซึ่ง ทง้ั หมดเปน็ ท่มี าของการมศี าสนา ที่เรียกวา “อาขายอ฿ ง” Aqkaq Zanr ถือเปน็ คัมภีรแ ของชนเผาอาขา โดยมี ความเช่ือ ที่เรียกวา “นือ จอง” Nee Jan และนับถือองคแเทพตาง ๆ หลายองคแ อาทิเชน เทพ 43
แหงดิน เทพแหงน้ํา เทพแหงภูเขา ฯลฯ โดยมีองคแเทพสูงสุดเรียกวา “อาเผว หมี่แย” Aq Poeq Miq Yaer เป็นท่เี คารพกราบไหวบชู ามาจนถึงปใจจุบัน10 ประเพณีของ ชนเผาอาขามีความผูกพันเก่ียวโยงกับธรรมชาติและ สิ่ง แว ดลอมแทบท้ัง ส้ิน ประเพณีท่เี ปน็ ทร่ี ูจักของบคุ คลทัว่ ไป ไดแก ประเพณี “ข่มึ สึ ข่ึมมี้ อา เผว” (Khmq seevq khmq mir aq poeq) หรือประเพณีชนไขแดงเป็นการสงทายปีเกาตอนรับปีใหม และยังเป็นวันคลายวันเด็กของ อาขาอีกดวย มีขึ้นในชวงกลางเดือนเมษายน ประเพณี “แย ขู อาเผว” (Year kuq aq poeq) หรือ ประเพณีโลชิงชาเป็นการเฉลิมฉลองและขอพรจากเทพเจาใหพืชพันธุแธัญญาหารอุดมสมบูรณแ มขี นึ้ ในชวงปลายเดือนสิงหาคมถึงตนเดอื นกนั ยายน ประเพณี “คะ ท฿อง อาเผว”( Kar tanr aq poeq) หรือ “ปีใหมลูกขาง” คือ พิธีเฉลิมฉลองการเปลี่ยนฤดูกาลทํามาเล้ียงชีพ มีขึ้นเป็นประจําทุกเดือน ธนั วาคมของทกุ ปี ท้ังน้ีการที่ชาวอาขาเป็นกลุมชาติพันธุแท่ีมีพิธีกรรมเป็นจํานวนมาก จึงทําใหชาวอาขา ในบางพื้นท่ีเปล่ียนมานับถือศาสนาคริสตแ ซึ่งทําใหไมสามารถเขารวมพิธีกรรมของชาวอาขา ได อยา งไรกต็ าม การมีความเชื่อ และศาสนาท่ีแตกตางกันกําลังเป็นสิ่งท่ีทาทายกับการสืบทอดวัฒนธรรม อาขา อยางในหมูบานแมฮางใต อําเภองาว ชาวอาขามีความเชื่อท่ีแตกตางกันแตไมกอใหเกิด ความขัดแยง โดยยังเป็นการชวยเหลือซึ่งกันและกันบนฐานความสัมพันธแเครือญาติ แตมีกฎท่ีปฏิบัติ แตกตางออกไป เชน ชาวอาขาท่ีเป็นคริสตแ เม่ือมีการประกอบพิธีกรรมชวงวันอาทิตยแแตสมาชิก ไมสามารถเขารวมกิจกรรมได ชาวอาขาคริสตแจะตองชดเชยเป็นอยางอื่น เชน ทํางานในชวงวันอ่ืน ทดแทนการที่ไมสามารถเขา รว มพิธีกรรมทโี่ บสถไแ ด ในอดีตการประกอบพิธีกรรมของชาวอาขาในรอบปีมีจํานวนมาก แตในปใจจุบันมีการลด พิธีกรรมตาง ๆ ลงเน่ืองจากภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการเปลี่ยนมานับถือศาสนา ครสิ ตแ โดยในอดตี จะมปี ระเพณีท่ีสาํ คัญดงั น้ี ประเพณีปใี หมลกู ขาง (คา฿ ทอ ง อาเผว) ตนเดือนมกราคม ประเพณไี ขแดง (ขึม่ สึขึ่มมี้ อาเผวหรอื วนั เด็กชนเผาอาขา) ชวงเดอื นเมษายน (ยังคงมีพิธีนี้ อยใู นทุกชมุ ชน) พิธีปลกู ประตูหมูบ า น (ลอ ของ ดู-เออ) ชว งเดอื นเมษายน พธิ ีบชู าศาลพระภมู ิเจาท่ี (ม้ีซอ ง ลอ-เออ) ตน เดอื นพฤษภาคม การปลกู ขา วครั้งแรก (แช คา อาเผว) ปลายเดอื นพฤษภาคม อยูกรรมใหสตั วใแ นดนิ (บเู ด฿ แจะ ลอง เออ) เดอื นมิถนุ ายน อยกู รรมการกาํ จัดศตั รูขา ว (เบว โก฿ะ ลองเออ) เดอื นกรกฎาคม ประเพณบี าํ รงุ ขวญั ขาว (ขึ่มผลี องเออ) เดอื นกรกฎาคม ประเพณโี ลช ิงชา (แย ขู อาเผว ) เดือนสงิ หาคม (ยังมอี ยูในชมุ ชนแตวตั ถุประสงคแเปลี่ยนมา ใชประโยชนใแ นดานการทองเที่ยวไมใชเ พ่อื การประกอบพธิ กี รรม) ประเพณไี หวค รขู องผนู ําอาขา (ยอ ละ อาเผว) เดือนกนั ยายน พิธีถอนขนไก (ยา จจิ ิอาเผว) เดือนตุลาคม 10 สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. (2546). อาขา พิธีกรรม ความเช่ือ และความงาม กุศโลบายดํารงวิถีแหงชนเผา. กรุงเทพฯ: สํานักงาน สกว. สาํ นักงานภาค. 44
ประเพณีไลผ ี (คา฿ แยะ อาเผว ) เดอื นตุลาคม พธิ อี ยกู รรมตัก๊ แตน (แจ บ฿อง ลอง เออ) เดอื นพฤศจิกายน ประเพณีกินขาวใหม (ยอพู นองหม่ือ เช เออ) เดือนพฤศจิกายน(ยังคงมีพิธีน้ีอยูในทุก ชุมชน) พิธีทํากระบอกเหลาพธิ ี (แชส ึ จ้บี า ฉลี่ อ เออ) เดอื นธนั วาคม พธิ ีเกี่ยวขาวสุดทาย (บอเยว แปยะ เออ) เดอื นธนั วาคม ประเพณีไข่แดง (ข่ึมสึ ข่ึมมี๊อ่าเผ่ว) : มีข้ึนภายหลังจากที่มีการอยูกรรมจากการเผาไฟในไร ชวงกลางเดือนเมษายน ตรงกับเดือนอาขา “ขึ่มสึ บาลา” อาขาจะประกอบพิธี “ข่ึมสึ ข่ึมมี้ อาเผว” เป็นประเพณีการสงทายปีเกาตอนรับปีใหม หรือเรียกอีกอยางวา ประเพณีปีใหมชนไข เนื่องจาก ประเพณีน้ีมีการนําไขมาใชประกอบพิธี เด็ก ๆ จะมีการเลนชนไข โดยการยอมเปลือกไขใหเป็นสีแดง และใสต ะกราหอ ยไปมา เปน็ ประเพณีทมี่ ีมาชานาน ประเพณโี ลช้ ิงช้า (แย้ข่อู า่ เผว่ ) : ในอดีตจะมีการจดั ขึ้นทุก ๆ ปี ประมาณปลายเดือนสิงหาคม ถึงตนเดือนกันยายน ซ่ึงจะตรงกับชวงที่ผลผลิตกําลังงอกงาม และพรอมท่ีจะเก็บเกี่ยวในอีกไมก่ีวัน ในระหวางน้ีอาขา จะดายหญาในไรขาวเปน็ คร้ังสุดทาย หลังจากดายหญาแลวก็รอการเก็บเกี่ยว ตรงกับ เดือนของอาขาคือ “ฉอลาบาลา” ชนเผาอาขาถือวาประเพณีน้ีเป็นพิธีกรรมท่ีมีคุณคามากดวย ภูมิปใญญาท่ีใชในการสงเสริมความรูแลว ยังเกี่ยวพันกับการดํารงชีวิตประจําวันของชนเผาอาขา อีกมากมาย ท้ังยังเป็นประเพณีท่ีใหความสําคัญกับผูหญิง ผูหญิงอาขาจะพรอมใจกันแตงกายดวย เครื่องทรงตา ง ๆ อยา งสวยงามเป็นกรณีพิเศษในเทศกาลน้ี เพือ่ ยกระดบั ชน้ั วยั สาวตามข้นั ตอน แสดงให คนในชมุ ชนไดเ หน็ พรอมทงั้ ขน้ึ โลชิงชา และรอ งเพลงทงั้ ลักษณะเดี่ยวและคู ในการจัดประเพณีโลชิงชา แตละปีของอาขา จะตองมีฝนตกลงมา ถาปีไหนเกิดฝนไมตก อาขาถือวาไมดี ผลผลิตที่ออกมาจะไม งอกงาม ซึ่งในปใจจุบันในชุมชนชาวอาขาที่ถือคริสตแจะไมไดประกอบพิธีกรรมนี้แลว แตยังมีการสราง ชิงชาเพือ่ ใชจ ดั แสดงใหแ กนักทอ งเที่ยวและผมู าเยยี่ มเยอื น ปีใหม่ลูกข่าง (ค๊าท้องอ่าเผ่ว) : เป็นประเพณีเปลี่ยนฤดูกาลทํามาเล้ียงชีพ จัดขึ้นประมาณ เดือนธนั วาคมของทกุ ปี ตรงกบั เดอื นอาขา คือ “ทองลาบาลา” คนทั่วไปนิยมเรียกประเพณีนี้วา ปีใหม ลูกขาง ประเพณีน้ีมีประวัติเลากันมาวา เป็นประเพณีท่ีแสดงใหเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลทํามาหากิน ซึ่งภายหลังจากท่ีมีการเก็บเกี่ยวพืชพันธุแจากทองไรนาเสร็จแลว ก็จะเขาสูฤดูแหงการพักผอน ถือเป็น 45
ประเพณีของผูช าย โดยผูชายท้ังเด็ก และผูใหญ จะมีการทําลูกขาง “ฉอง” แลวมีการละเลนแขงตีกัน เพื่อฉลองการเปลี่ยนแปลงวัยท่ีมีอายุมากขึ้น พรอมท้ังชุมชนแตละครัวเรือน ก็จะมีการแลกเปลี่ยน ด่ืมเหลากันในชุมชน ดังสุภาษิตที่วา “ค฿าทองจ้ีฉี่” แปลวา ประเพณียกเหลา ฉะน้ัน ในประเพณีนี้ ถาหากมีคนเมาเหลาก็ถือวาเป็นเร่ืองปกติ และเป็นการเริ่มตนกินขาวที่เก็บไวในฉางขาว สวนผูหญิง ก็จะมกี ารเลนสะบา ในลานชุมชน ความเช่ือ สงิ่ ศกั ด์สิ ทิ ธ์ิในหมบู่ า้ นในอดตี ประกอบดวย ประตหู มบู าน (ลกขอ) เป็นประตูทางเขาหมูบานทั้งดานหนาและดานหลัง ประตูหมูบานหรือ ประตูผีน้ีเป็นส่ิงศักดิ์สิทธ์ิท่ีสุดประจําหมูบานอาขา หามจับหรือแตะตองท้ังคนนอกเผาหรือคนในเผา ยกเวน วนั ที่สรางประตูหมบู า นซ่ึงประตูหมูบานน้ีจะจดั ทําเพม่ิ ข้ึนใหมทุก ๆ ปี ศาลผี (หมิซา ลอเอ฿อะ) จะตั้งอยูในปุาใกลหมูบาน แตอยูนอกเขตประตูหมูบาน ชาวบาน สรา งไวเพื่อเปน็ ทีพ่ กั อาศยั ของผปี าุ เพอื่ ปอู งกนั ไมใหผปี ุาเขาไปพกั อาศยั ในหมูบา น ชงิ ชา (หละซา) เป็นเอกลักษณะเฉพาะเผาอาขา ชิงขาจะตั้งอยูใกล ๆ ประตูหมูบาน สรางขึ้น เพ่อื บชู าเทพเจาท่ปี ระทานความอดุ สมบรู ณใแ หแ กห มูบาน ทุก ๆ ปีจะมีพิธีโลชิงชาเพ่ือบวงสรวงเทพเจา ปีละครัง้ ระหวา งเดอื นสงิ หาคมถึงเดอื นกันยายน บอ น้าํ ประจาํ หมูบา น (หละดู) เป็นบอ นํ้าศักด์ิสิทธิ์ ทกุ หมูบ า นจะตองมีบอน้ําอยางนอยหมูบาน ละ ๑ บอ เพอ่ื ทาํ พธิ ีเล้ยี งผบี อ น้าํ กอ นลงมือทําไรท กุ ๆ ปี ความเช่ือจากการเส่ียงทายกระดูกสัตว์ : กลาวถึงความเช่ือเร่ืองโชคลางและการทํานายของ กลุมชาติพนั ธแุอาขา วา หากเป็นหมจู ะทํานายโดยการสังเกตดูตับ หากเป็นไกจะดูกระดูก การทํานายจะ ทําโดยผูอาวุโสที่มีความรูเทาน้ัน เชน การดูตับหมูในพิธีแตงงาน เพื่อทํานายวาคูสามีภรรยาจะอยู รวมกันอยางราบรื่นหรือขัดแยง ลูกหลานเป็นอยางไร มีความเจริญรุงเรืองหรือไม หรือกรณีคนเดิน ทางไกลจะทาํ พิธีฆา ไก และดูกระดกู ขาไก กระดูกกรามไก ถาหากผลการทํานายไมดีจะงดการเดินทาง ทันที อาจกลาวไดวาวัฒนธรรมในการดํารงชีวิตของกลุมชาติพันธแุอาขาระหวางคนกับสัตวแที่ถายทอด ผานเรอื่ งเลา ของกลมุ ชาติพนั ธแุอาขา ท่ีเห็นไดชัดเจนที่สุดก็คือเร่ืองการเลี้ยงสัตวแ โดยเฉพาะไก และหมู ถือเปน็ วัตถุดบิ ในการประกอบอาหาร เป็นเครือ่ งเซนไหวในพิธีกรรม อีกท้ังยงั แสดงถึงความเชื่อและการ ทาํ นายได 11 งานหัตถกรรมปกั ผา้ : การปใกผาของชาวอาขาไดจนิ ตนาการลวดลายมาจากวิถีชีวิตประจําวัน ของตนเอง และอีกสว นหน่ึงไดร ับการถา ยทอดวธิ กี ารปกใ ผามาจากบรรพบุรุษ ชาวอาขาสวนใหญจะปใก ผาเพ่ือสวมใสเอง เนื่องจากการปใกผาเป็นงานฝีมือ ตองใชเวลาในการปใกนาน ลายปใกมีความละเอียด ประณีต จึงทําใหมีราคาแพง ผูหญิงจะปใกเสื้อผาใหคนในครอบครัว และปใกเพื่อสวมใสเอง ชาวอาขา ใหความสําคัญกับชุดประจําเผา ประกอบไปดวย เส้ือกระโปรง หรือกางเกง ผารัดนอง เข็มขัด และหมวก ซ่งึ หมวกจะนิยมใชเพยี งใบเดียวตลอดช่ัวชีวิต โดยเฉพาะหมวกทที่ ําจากเครอ่ื งเงินแท มีราคา แพง และไมสามารถประเมินราคาได ในปใจจุบันผูหญิงอาขาไมไดปใกผาใชเองเน่ืองจากตองใชเวลา สวนใหญในการทําไร ทําสวน จึงไมมีเวลาปใกผา และอีกเหตุผลหนึ่ง คือ เสื้อผาท่ีซ้ือมีราคาถูกกวา เย็บเอง จงึ ซือ้ ลายที่ปกใ สําเร็จมาใชและตกแตงวสั ดุอื่น ๆ เพิม่ เตมิ เพือ่ ใหเกิดความสวยงาม 11 ชนเผา ชาวดอย. (2554). สบื คนเมื่อ 28 กนั ยายน 2563, จาก http://akha.hilltribe.org/thai/ 46
ลวดลายผาปใกท่ีเป็นเอกลักษณแของชาวอาขาแบงออกเป็น ๓ ประเภท ไดแก ลายพ้ืนฐาน ลายปใกแบบด้ังเดิม และลายปใกแบบประยุกตแ ซ่ึงลายพื้นฐานเป็นลายปใกสําหรับผูท่ีฝึกหัดปใกผาขั้นตน ท่จี ําเป็นตองเรียนรู ไดแก ลายเสน ตรง ลายกากบาท ลายกางปลา ลายซิกแซกรูปสามเหล่ียมชี้ขึ้น และ ลายซิกแซกรูปสามเหลี่ยมช้ีลง สวนลายปใกแบบด้ังเดิมเป็นลวดลายที่ไดสืบทอดวิธีการปใกมาจาก บรรพบุรุษ ไดแก ลายปีกผีเส้ือ ลายปีกผีเส้ือขางเดียว และลายหนวดผีเส้ือ ซึ่งกลุมลายประเภทนี้ ใชเทคนิคการปใกเฉพาะ สวนลายแบบด้ังเดิมอ่ืน ๆ ใชเทคนิคการปใกแบบครอสติส ไดแก ลายภูเขา ลายหนวดผเี ส้ือแบบปใก ลายดอกดาวเรือง ลายสามเหล่ียมชนกัน และลายสามเหลี่ยม สําหรับลายปใก แบบประยุกตแ เป็นลวดลายที่ผสมผสานระหวางลวดลายเดิมและลวดลายใหม ท่ีพัฒนาขึ้นมาจากส่ิงที่ พบเห็นในชีวิตประจําวัน ไดแก ลายสามเหล่ียมใบพัด ลายดอกไม ลายลูกศร ลายรอยเทาสุนัข ลายใบเฟริ แน ลายกนกบ ลายหวั ใจ และลายหมวกผชู ายอาขา การเลือกใชสีในการปใกผา ชาวอาขานิยม ใชสีแดงเป็นสีหลัก เนื่องจากสีแดงเป็นสีตัดกันกับผาสีดําท่ีเป็นผาพื้น อยางไรก็ตามลวดลายและสีสัน ของผาปใกอาขาอาจมีผิดเพี้ยนจากในอดีตบางเล็กนอย ท้ังนี้ข้ึนอยูกับวัสดุแตละชนิดที่ผูปใกนํามาปใก ลวดลาย12 ซงึ่ สันนษิ ฐานวา สาเหตุของการนําลวดลายอ่ืนมาปใกรวม เน่ืองจากสังคมปใจจุบันมีการผสม กลมกลืนทางวัฒนธรรม กอใหเ กิดความเปล่ยี นแปลงแบบแผนวัฒนธรรมด้ังเดิมในทส่ี ุด13 มรดกทางวัฒนธรรม : ชนเผา อาขา เป็นชนเผา หนงึ่ ท่มี มี รดกทางวัฒนธรรมท่ีดีงามและมีคุณคา ทัง้ ทีเ่ ปน็ รปู ธรรม และนามธรรม ในรูปแบบของแนวคิด และแนวทางปฏิบัติมากมาย เชน ศาสนสถาน โครงสรางการปกครอง ความเชื่อในการจัดตั้งชุมชน การสรางบานเรือน การเลือกพ้ืนท่ีเพาะปลูก การเลอื กคูค รอง กระบวนการผลิตเครอื่ งนุงหม ศิลปะการแสดง ศลิ ปะในการปรงุ อาหาร การรักษาและ บําบัดโรคดวยสมุนไพรและพิธีกรรม ภาษา และการแตงกาย ฯลฯ โดยมีการสืบทอดถายทอดจากรุน สรู ุนผานกระบวนการเรยี นรตู ามวิถชี วี ติ สรุปการดาํ รงรักษาไวซึง่ วัฒนธรรมของอาขาทีด่ ีงามนั้น นับวนั ยิ่งยากมากขึ้น ดวยปใจจัยตาง ๆ มากมาย ที่ทําใหเกิดการเปล่ียนแปลง เชน การเปล่ียนแปลงทางสังคม การศึกษา กฎหมาย คานิยม ศาสนา และความเช่ือ ฯลฯ ส่ิงเหลานี้สง ผลกระทบท้ังทางบวกและทางลบตอการเปลี่ยนแปลงและการ สูญสลายของวิถีชีวิต องคแความรูภูมิปใญญา และวัฒนธรรม เชน คนรุนใหมไดรับการศึกษาท่ีสูงขึ้น 12 จินตนา อินภกั ดี “การศึกษาลายผ้าปักชาวเขาเผ่าอาข่า เพ่ือถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชนบ้านห้วยโป่ง ตาบลหัวช้าง อาเภอแม่แตง จังหวัด เชียงใหม่”. 2560. http://www.research.cmru.ac.th/research59 13 ทพิ วลั ยแ อนิ นนั ทนานนทแ “วัฒนธรรมชนเผา่ อาขา่ กับเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์” วารสารศิลปะศาสตรวแ ชิ าการ,2557. 47
ไดเขาถึงความเจริญมากข้ึน แตในทางกลับกันองคแความรูภูมิปใญญา ความเป็นอัตลักษณแตัวตนกลับ ลดลง ทาํ ใหวฒั นธรรมชนเผาแบบเดิมที่เคยมีมาไดเริ่มเลือนหายไปพรอมกับชนรุนหลังท่ีพัฒนาตนเอง กลายเป็นคนเมืองมีวิถีชีวิตแบบคนเมือง จนปใจจุบันชาวอาขาไดผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมแทบจะ ไมแตกตางจากคนในเมอื งเลย 48
๒.๒ กลุม่ ชาติพันธ์ุไทลอ้ื ในจงั หวัดลาปาง ๒.๒.๑ ประวตั คิ วามเป็นมาและการเคลื่อนย้าย เดมิ ชาวลื้อ หรือไทล้อื มถี นิ่ ที่อยู่บรเิ วณ เมืองล้ือหลวง จีนเรียกว่า “ลือแจง” ต่อมาได้เคล่ือนย้าย ลงมาอยบู่ รเิ วณเมอื งหนองแส หรือที่เรียกว่าคุนหมิงในปัจจุบัน แล้วย้ายลงมาสู่ลุ่มน้าน้าโขง สิบสองปันนา ในปัจจบุ ัน ประมาณศตวรรษท่ี ๑๒ จึงเกิดมีวรี บุรุษชาวไทลื้อช่ือ เจ้าเจ๋ืองหาญ ได้รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ในสิบสองปันนาปัจจุบันตง้ั เปน็ อาณาจกั รแจล่ ือ้ (เซอล่)ี โดยได้ตงั้ ศนู ยอ์ า้ นาจการปกครองปกครองเอาไว้ ที่หอค้าเชียงรุ่ง ระยะเวลานาน ๗๙๐ ปี ต่อมาถึงสมัยเจ้าอิ่นเมืองครองราชในปี ค.ศ. ๑๕๗๙ - ๑๕๘๓ (พ.ศ. ๒๑๒๒ - ๒๑๒๖) ได้แบ่งเขตการปกครองเป็นสิบสองหัวเมือง แต่ละหัวเมืองให้มีที่ท้านา ๑,๐๐๐ หาบข้าว (เชื้อพันธ์ุข้าว) ต่อนาหน่ึงท่ี/หน่ึงหัวเมือง (ที่มาของค้าว่าสิบสองพันนาอ่านออกเสียงเป็น “สิบสองปนั นา”)14 จึงเป็นทม่ี าจนถึงปจั จุบัน ชาวไทล้ืออาศัยอยู่สองฝ่ังแม่น้าโขง คือ ด้านตะวันออกและตะวันตกของแม่น้า มีเมืองต่าง ๆ ดงั น้ี ภาษาไทล้ือ ได้กล่าวไว้ว่า ห้าเมิงตะวันตก หกเมิงตะวันออก รวมเจงฮุ่ง (เชียงรุ่ง) เป็น ๑๒ ปันนา และทัง้ ๑๒ ปนั นานน้ั ประกอบด้วยเมอื งใหญน่ ้อยต่าง ๆ เช่น ฝั่งตะวันตก : เชียงรุ่ง, เมืองฮ้า, เมืองแช่, เมืองลู, เมืองออง, เมืองลวง, เมืองหุน, เมือง พาน, เมอื งเชียงเจิง, เมอื งฮาย, เมืองเชียงลอ และเมืองมาง ฝ่ังตะวันออก : เมืองล่า, เมืองบาน, เมืองแวน, เมืองฮิง, เมืองปาง, เมืองลา, เมืองวัง, เมอื งพง, เมืองหย่วน, เมอื งมาง และเมอื งเชียงทอง การขยายตัวของชาวไทลื้อสมัยรัชกาลที่ ๒๔ เจ้าอินเมืองได้เข้าตีเมืองแถน เชียงตุง เชียงแสน และ ล้านช้าง กอบกู้บ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น พร้อมท้ังต้ังหัวเมืองไทลื้อเป็นสิบสองเขต เรียกว่า สิบสองปันนา และในยุคนี้ได้มีการอพยพชาวไทล้ือบางส่วนเพ่ือไปตั้งบ้านเรือนปกครองหัวเมืองประเทศราชเหล่านั้น จึงท้าให้เกิดการกระจายตัวของชาวไทล้ือ ในลุ่มน้าโขงตอนกลาง (รัฐฉานปัจจุบัน) อันประกอบด้วย 14 ประชนั รกั พงษ์ และคณะ,การศกึ ษาหมบู่ า้ นไทลื้อในจังหวดั ล้าปาง,ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ศนู ยว์ ฒั นธรรมจังหวัดล้าปาง วทิ ยาลยั ครลู า้ ปาง,2535. 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152