Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-Book -Ostomy Complete 100 percent (2)

E-Book -Ostomy Complete 100 percent (2)

Published by jitrada.sin, 2022-07-30 01:53:40

Description: E-Book -Ostomy Complete 100 percent (2)

Keywords: ostomy wound nursing การพยายาล แผลรูเปิด แผล

Search

Read the Text Version

การพยาบาลผู้ป่ วยออสโตมแี ละแผล Nursing Care for Patient with Ostomy and Wound บรรณาธิการ จิตรรดา พงศธราธิก มนชยา สมจรติ พมิ พ์ครงั ท่ี 1 สิชล ทองมา สิงหาคม 2563 จานวน 10 เลม่ สงวนสทิ ธติ์ ามพระราชบัญญตั กิ ารพิมพ์ ห้ามมิให้ทา้ ซ้าหรอื คัดลอกเลียนแบบโดยไมไ่ ด้รับอนุญาติ ขอ้ มลู ทางบรรณานกุ รมของสา้ นักหอสมุดแหง่ ชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ISBN : จดั พมิ พ์และเผยแพร่โดย จติ รรดา พงศธราธิก ออกแบบปกและรูปเล่ม จติ รรดา พงศธราธิก พมิ พ์ที่ บริษทั นีโอดิจิตอล จ้ากัด 666 ซอยสาธุประดิษฐ์ 58 แยก 22 (ประสานใจ) แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรงุ เทพฯ 10120

รายนามผจู้ ดั ทา้ 1. จติ รรดา พงศธราธกิ การศึกษา พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการพยาบาลผใู้ หญ่ คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล สถานปฏิบตั งิ าน คณะพยาบาลศาสตรแ์ ละวิทยาการสขุ ภาพ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบรุ ี 2. อาจารย์มนชยา สมจริต การศกึ ษา ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต (สาธารณสขุ ศาสตร์) สาขาวชิ าเอกการ พยาบาลสาธารณสุข บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหิดล สถานปฏบิ ตั งิ าน คณะพยาบาลศาสตรแ์ ละวทิ ยาการสขุ ภาพ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ เพชรบุรี 3. อาจารย์สิชล ทองมา การศกึ ษา พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการพยาบาลผู้สงู อายุ คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา สถานปฏิบัติงาน คณะพยาบาลศาสตร์และวิทยาการสขุ ภาพ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เพชรบรุ ี 4. อาจารยว์ ีรยุทธ ศรที ุมสุข การศกึ ษา ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต (กายวิภาคศาสตรแ์ ละชวี วิทยาโครงสร้าง) บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหดิ ล สถานปฏบิ ัติงาน คณะพยาบาลศาสตรแ์ ละวทิ ยาการสุขภาพ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั เพชรบุรี

รายนามผจู้ ดั ทา้ 5. คณุ เบญจมาศ พน้ ภยั สถานปฏบิ ัตงิ าน หอผูป้ ว่ ยศัลยกรรมหญิงและเด็ก โรงพยาบาลพระจอมเกลา้ จังหวัด เพชรบรุ ี 6. คุณสุนนั ทา มากมล สถานปฏบิ ัติงาน หอผู้ปว่ ยศลั ยกรรมชาย โรงพยาบาลพระจอมเกลา้ จงั หวัดเพชรบุรี

คา้ นา้ ภาวะผิวหนงั ที่ได้รับอนั ตรายจากการถกู กดทบั จนทาให้เกิดภาวะพร่อง ออกซิเจน พร่องสารนา้ สารอาหาร รวมทงั้ การเกิดอนั ตรายจากการระคายเคือง อนั เกิดจากอุจจาระหรือปัสสาวะ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่ วยสูงอายุ หรือ ผ้ปู ่ วยที่อย่ใู นภาวะวิกฤติ หรือผ้ปู ่ วยที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย การ พยาบาลท่ีสาคญั ที่สดุ คือการปอ้ งกนั ไม่ให้เกิดภาวะเหล่านนั้ อยา่ งไรก็ตามเม่ือ เกิดภาวะอนั ตรายตอ่ ผวิ หนงั แล้วต้องมีกิจกรรมการพยาบาลท่ีถกู ต้องเหมาะสม นอกจากอนั ตรายของผิวหนงั จากภาวะแผลกดทบั ภาวะผิวหนงั ระคายเคือง ยงั มีปัญหาของผ้ปู ่วยที่มีรูเปิดทางหน้าท้องเพื่อทาทวารเทียมที่ต้องให้ความสาคญั เช่นกนั ทงั้ นีเ้น่ืองจากเป็นปัญหาทางสขุ ภาพท่ีส่งผลกระทบตอ่ คณุ ภาพชีวิตของ ผ้ปู ่วย ผ้ดู แู ล รวมทงั้ ครอบครัว ดงั นนั้ พยาบาลจงึ ต้องมีความรู้ในการประยกุ ต์ใช้ กระบวนการพยาบาลในการวางแผนการพยาบาลผู้ป่ วยที่มีแผลกดทบั ภาวะ ผิวหนงั อกั เสบจากการระคายเคือง รวมทงั้ ผ้ปู ่ วยท่ีมีรูเปิดทางหน้าท้องได้อย่าง ถกู ต้องเหมาะสม หนงั สือเล่มนีม้ ่งุ เน้นให้ผ้อู ่านซง่ึ นกั ศกึ ษาพยาบาล พยาบาลวิชาชีพได้ นาความรู้ไปใช้การวางแผนการพยาบาล การเขียนข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล รวมทัง้ การปฏิบัติกิจกรรมทางการพยาบาลท่ีเหมาะสมกับผู้ป่ วยที่มีภาวะ สขุ ภาพดงั กลา่ วด้วย บรรณาธกิ าร สงิ หาคม 2563 การพยาบาลผู้ปว่ ยออสโตมแี ละแผล : a

สารบญั หน้า คานา a - บทท่ี 1 กายวภิ าคศาสตร์และสรรี วิทยาของระบบผิวหนัง 1 Anatomy and Pathophysiology of Skin วรี ยุทธ ศรีทุมสุข - บทท่ี 2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกันแผลกดทับ 12 Nursing Care for Prevention Pressure injury มนชยา สมจริต - บทท่ี 3 การพยาบาลผ้ปู ่วยที่มีแผลกดทับระดับ 3-4 41 Nursing Care for Patient with Pressure injury Stage 3-4 จติ รรดา พงศธราธกิ - บทท่ี 4 การพยาบาลผปู้ ่วยทม่ี ภี าวะผวิ หนังอักเสบ 72 เนือ่ งจากการควบคุมการขับถ่ายไมไ่ ด้ nursing care for patient with incontinence associated dermatitis สิชล ทองมา - บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยทมี่ ีลา้ ไส้เปิดทางหน้าท้อง 89 Nursing Care for Patient with Stoma จติ รรดา พงศธราธิก - กรณีศึกษา 142 - ดชั นี 178 การพยาบาลผู้ป่วยออสโตมีและแผล

สารบัญรูปภาพ หน้า - บทท่ี 1 กายวิภาคศาสตรข์ องระบบผิวหนงั 3 โครงสร้างระบบผวิ หนงั 13 - บทที่ 2 การพยาบาลเพ่ือป้องกนั แผลกดทับ แสดงตาแหน่งของการเกดิ แผลกดทับจากแรงกด ในทา่ นอน 14 แสดงตาแหน่งของการเกดิ แผลกดทบั จากแรงกด ในทา่ น่ัง แสดงลักษณะของแผลกดทบั ระดับ 1 15 แสดงลกั ษณะของแผลกดทับระดบั 2 16 แสดงลักษณะของแผลกดทับระดับ 3 17 แสดงลักษณะของแผลกดทับระดบั 4 แสดงลักษณะของแผลกดทบั ที่มีการบาดเจ็บเน้ือเยือ่ ชั้นลึก 18 แสดงตัวอยา่ งกราฟประเมินภาวะโภชนาการของเดก็ ผชู้ าย 19 แสดงตัวอย่างกราฟประเมินภาวะโภชนาการของเด็กผ้หู ญงิ 29 แสดงตวั อย่างธงโภชนาการวัยผใู้ หญแ่ ละวยั สูงอายุ 30 - บทท่ี 3 การพยาบาลผ้ปู ่วยที่มีแผลกดทบั ระดับ 3-4 32 แสดงแผลกดทบั ระดับ 3 แสดงแผลกดทบั ระดับ 4 42 44 แสดงตัวอยา่ งของ Sodium hypochlorite 49 51 แสดงตวั อยา่ งของ Alginate dressing 52 แสดงตวั อย่าง Foam dressing ผวิ สมั ผสั เปน็ hydrogel Sheet 53 แสดงตวั อย่าง Foam dressing ทผี่ วิ สมั ผัสเปน็ Hydro fiber การพยาบาลผปู้ ่วยออสโตมีและแผล

แสดงตัวอย่าง Foam dressing 54 ชนิดผสมสาร Nano oligo Saccharide แสดงตวั อยา่ งของ Hydrocolloid dressings 55 แสดงตวั อยา่ งของ Hydrogel dressings 56 แสดง Silver-containing dressings 57 แสดง Honey-containing dressings 58 แสดงเครือ่ งดดู เสมหะแบบชนดิ ติดผนงั (suction wall) 59 แสดงเคร่ืองดดู เสมหะแบบแบบเคลอ่ื นยา้ ยได้ 60 (suction portable) แสดงตวั อย่างของ impregnate gauze dressing 61 แสดง polyurethane foam 62 แสดงสายยางให้อาหารทางจมูกถึงกระเพาะอาหาร (nasogastric tube) 63 แสดง transparent film 63 แสดงการทาแผลด้วยวิธี 66 Negative pressure wound therapy (NPWT) - บทที่ 4 การพยาบาลผปู้ ่วยท่ีมภี าวะผิวหนังอกั เสบ เนื่องจากการควบคุมการขับถา่ ยไมไ่ ด้ ภาพของช้นั ผิวหนัง 74 ผิวหนงั เปลี่ยนสี แดงหรอื เปน็ ผืน่ Stage 1,2 79-80 - บทที่ 5 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีล้าไสเ้ ปิดทางหนา้ ท้อง แสดงลกั ษณะของรูเปิดทางหน้าท้อง (stoma) 91 ชนดิ ของลาไส้เปิดทางหนา้ ท้อง 93 แสดงลักษณะของ end colostomy 94 แสดงลักษณะของ Double barrel colostomy 95 แสดงลกั ษณะของ Loop colostomy 96 แสดงส่วนประกอบของถงุ รองรบั อุจจาระแบบชิน้ เดียว 100 (one piece colostomy bag) การพยาบาลผูป้ ว่ ยออสโตมแี ละแผล

แสดงสว่ นประกอบของถุงรองรับอุจจาระแบบสองชน้ิ 101 (two piece colostomy bag) แสดงลกั ษณะของอุปกรณป์ ิดปลายถงุ 103 แสดงผลิตภัณฑป์ กป้องผวิ หนังชนิดฟิลม์ 104 แสดงผลิตภณั ฑป์ กป้องผิวหนงั ครมี 105 แสดงผลิตภณั ฑ์ปกป้องผิวหนงั ชนิดผง 106 แสดงผลิตภัณฑ์สาหรบั ลอกแถบกาว (adhesive remover) 108 แสดงลักษณะของเข็มขดั สาหรบั กระชับถุงรองรบั อุจจาระ 109 (colostomy belt) แสดงอุปกรณส์ าหรับเปลีย่ น colostomy bag 113 แสดงการลา้ งมอื 7 ขน้ั ตอน 114 แสดงเทคนคิ การลอกถงุ แบบ 2 finger technique 115 แสดงการทาความสะอาดรอบ ๆ stoma 116 แสดงวิธีการลอกลาย stoma 117 แสดงวธิ กี ารลอกลายกอ่ นตดั รแู ปน้ ถุงรองรับอุจจาระ 118 แสดงวิธีการตัดแป้น colostomy bag 119 แสดงวธิ กี ารลบคมของขอบแปน้ 120 แสดงการใชผ้ ลิตภัณฑล์ ดการระคายเคืองของผวิ หนังรอบ stoma 121 แสดงลอกกระดาษกาว 122 แสดงการกดส่วนแป้นเขา้ กบั ผวิ หนงั ผปู้ ่ วย 123 124 แสดงลกั ษณะของ stoma ภายหลังครอบ colostomy bag 126 แสดงวธิ ีการปิดปลายถงุ ด้วยอุปกรณ์ปดิ ปลายถงุ แบบพลาสติก 128 แสดงการตดั รูแปน้ แบบ Radial slit technique 133 แสดงการใช้ถุงพลาสติกครอบ colostomy bag ก่อนอาบนา้ การพยาบาลผปู้ ว่ ยออสโตมแี ละแผล

สารบัญตาราง หน้า - บทท่ี 1 กายวภิ าคศาสตร์ของระบบผิวหนัง - บทท่ี 2 การพยาบาลเพือ่ ป้องกันแผลกดทับ 22-24 แบบประเมนิ ความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทบั (Braden score) 30-31 34 โรงพยาบาลพระจอมเกลา้ จังหวดั เพชรบรุ ี เกณฑก์ ารประเมินคา่ ดชั นีมวลกาย (ค่า BMI ) ของคนเอเชยี Malnutrition Universal ScreeningTool - บทท่ี 3 การพยาบาลผูป้ ่วยท่มี แี ผลกดทบั ระดับ 3-4 45 แสดงการพจิ ารณาวิธีทาแผลตาม ลักษณะของการติดเช้อื ของแผลและ exudate - บทท่ี 4 การพยาบาลผู้ป่วยท่มี ภี าวะผิวหนังอักเสบ เนือ่ งจากการควบคมุ การขับถา่ ยไม่ได้ แสดงความแตกตา่ งของภาวะผวิ หนงั อักเสบจากการควบคมุ การขับถา่ ยไม่ได้ 81 (incontinence associated dermatitis: IAD) กบั แผลกดทับ (pressure ulcer) - บทที่ 5 การพยาบาลผ้ปู ่วยท่มี ลี ้าไสเ้ ปิดทางหนา้ ทอ้ ง การพยาบาลผูป้ ว่ ยออสโตมแี ละแผล



กายวิภาคศาสตร์และพยาธิสรีรวิทยาของระบบผิวหนงั Anatomy and Pathophysiology of Skin วรี ยุทธ ศรที ุมสขุ จติ รรดา พงศธราธกิ กายวภิ าคศาสตร์ระบบผิวหนัง ระบบหอ่ หมุ้ รา่ งกาย (The Integumentary System) ประกอบดว้ ยผิวหนงั เลบ็ ขน และผม โดยแต่ละอวัยวะมีโครงสรา้ งและความสาคัญ ดงั น้ี 1. ผิวหนงั ผวิ หนงั (Skin) เปน็ อวัยวะท่ีมีพน้ื ที่มากทสี่ ดุ ในร่างกาย ใช้เลือดหล่อเลี้ยงใน ปริมาณ1/3ของเลือดในร่างกาย ลกั ษณะของผิวหนงั จึงแสดงให้เห็นถึงระดับคุณภาพ ของคนเราไดโ้ ดยผ้ทู ี่มีสขุ ภาพดจี ะมผี ิวพรรณเปลง่ ปลง่ั สวยงาม สว่ นผู้ท่ีมีสขุ ภาพไม่ สมบรู ณ์ผิวหนงั จะซดี เซียว แหง้ หรืออาจเป็นโรคผิวหนงั ต่างๆเชน่ ผดผ่นื คนั หิด กลาก เกล้ือน โครงสร้างของผิวหนัง แบ่งออกเปน็ 2 ช้นั ไดแ้ ก่ 1. ชันหนงั กา้ พร้า (Epidermis) คือ ผิวหนังชั้นนอก มีลกั ษณะบางมาก จะมี เซลล์อยู่เป็นชัน้ ๆสว่ นของเซลล์ดา่ นล่างจะทาหน้าท่ีสรา้ งเซลลใ์ หม่ตลอดเวลา โดยจะ ดันเซลลเ์ กา่ ออกมาเซลลด์ ้านนอกจะค่อยๆแห้งตาย และหลดุ ออกมาเปน็ ขี้ บทท่ี1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 1

ไคล (Keratin) ความหนา้ ของหนงั กาพรา้ ในแตล่ ะส่วนของร่างกายจะไม่เทา่ กันข้นึ อยู่ กับตาแหนง่ และหนา้ ท่ี สว่ นท่ีบางทสี่ ุดอยู่ที่บริเวณหนงั ตาและหนงั หู ส่วนท่หี นาทสี่ ดุ อยทู่ ฝ่ี า่ มือ ซงึ้ ผวิ หนงั ของแต่ละคนจะมีสแี ตกตา่ งกนั ออกไปขึ้นอยู่กับเซลลส์ ร้างเมล็ดสี ท่ีเรียกวา่ เมลานิน (Melanin) ทีอ่ ยู่ชน้ั ลกึ สุดของผวิ หนังกาพร้าถา้ มเี มลานนิ มากผวิ กจ็ ะ คล้า ถ้ามีน้อยกจ็ ะขาว 2. ชันหนงั แท้ (dermis)คอื ผวิ หนงั ท่ีอยู่ถดั จากผวิ หนังกาพรา้ เข้าไป ประกอบด้วยส่วนตา่ งๆ ทสี่ าคญั ได้แก่หลอดเลอื ดฝอยเสน้ ประสาท ตอ่ มเหงื่อ ต่อม ไขมัน และขอนหรอื ผม ในชั้นหนังแท้มหี ลอดเลือดฝอยเป็นจานวนมาก ซึ่งทาหน้าทน่ี า เลอื ดมาหล่อเลีย้ งผวิ หนงั มเี ส้นประสาทรับความรูสึกตา่ งๆการกระจัดกระจายมี ท่วั ไป นอกจากนย้ี ังมีตอ่ มเหงอ่ื ที่ทาหน้าท่ีระบายความร้อนออกจากรา่ งกาย มีตอ่ ม ไขมันที่พบได้ในผวิ หนังเกือบทัง้ หมดที่มีขน และช้นั หนังแท้ยงั เป็นช้นั ผวิ หนังที่ผลติ ขน และผมของร่างกายอกี ดว้ ย ถัดเข้าไปจากชนั้ หนังแทจ้ ะเป็นชน้ั เนอื้ เยื่อใต้ผวิ หนงั ซงึ่ ประกอบไปดว้ ยเน้ือเยื่อไขมันเปน็ สว่ นใหญ่ ทาหน้าทีค่ ล้ายฉนวนกนั ความร้อนและ เป็นเบาะกนั สะเทือนไดเ้ ป็นอย่างดี ไคล (Keratin) ความหนา้ ของหนังกาพรา้ ในแตล่ ะสว่ นของร่างกายจะไมเ่ ท่ากันข้นึ อยู่ กบั ตาแหนง่ และหนา้ ที่ ส่วนที่บางทสี่ ุดอยู่ท่บี รเิ วณหนังตาและหนงั หู สว่ นท่ีหนาท่สี ุด อยทู่ ่ฝี ่ามือ ซง้ึ ผิวหนังของแตล่ ะคนจะมสี ีแตกต่างกันออกไปข้นึ อยูก่ ับเซลล์สรา้ งเมลด็ สี ทีเ่ รียกว่าเมลานนิ (Melanin) ท่อี ย่ชู น้ั ลึกสดุ ของผวิ หนงั กาพร้าถา้ มีเมลานนิ มากผวิ กจ็ ะ คล้า ถา้ มีน้อยกจ็ ะขาว 2. ชนั หนังแท้ (dermis)คอื ผิวหนงั ทอ่ี ยถู่ ดั จากผวิ หนงั กาพรา้ เขา้ ไป ประกอบด้วยส่วนตา่ งๆ ท่สี าคญั ได้แก่หลอดเลอื ดฝอยเสน้ ประสาท ตอ่ มเหง่ือ ต่อม ไขมัน และขอนหรอื ผม ในชนั้ หนงั แทม้ หี ลอดเลือดฝอยเปน็ จานวนมาก ซึ่งทาหน้าท่ีนา เลือดมาหลอ่ เลี้ยงผวิ หนังมเี สน้ ประสาทรับความรูสึกตา่ งๆการกระจดั กระจายมี ทว่ั ไป นอกจากนยี้ งั มีตอ่ มเหงอ่ื ทีท่ าหน้าทีร่ ะบายความร้อนออกจากรา่ งกาย มีต่อม บทท่ี1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 2

ไขมนั ที่พบได้ในผิวหนงั เกือบทั้งหมดท่ีมีขน และช้นั หนงั แท้ยงั เปน็ ช้นั ผิวหนังทผ่ี ลิตขน และผมของรา่ งกายอีกด้วย ถัดเขา้ ไปจากชัน้ หนงั แท้จะเปน็ ชั้นเน้ือเยอ่ื ใต้ผวิ หนัง ซ่ึง ประกอบไปดว้ ยเน้ือเยื่อไขมันเปน็ ส่วนใหญ่ ทาหนา้ ที่คล้ายฉนวนกันความร้อนและ เป็นเบาะกนั สะเทือนได้เป็นอย่างดี รปู ภาพที่ 1 โครงสร้างระบบผวิ หนงั (จาก White L., et al. Foundations of Adult Health Nursing, 2011) บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 3

หน้าทีข่ องผิวหนงั มีดังนี้ 1. ปอ้ งกนั รา่ งกาย ผวิ หนงั สามารถป้องกันร่างกายในเร่อื งต่อไปน้ี - ป้องกนั อันตรายให้กับอวยั วะภายในร่างกาย โดยทาหน้าทป่ี ้องกันไมใ่ ห้ อวัยวะภายในร่างกายได้รับอันตรายจากการถูกกระทบกระเทอื นจาก สารเคมี สารพิษ เชอ้ื โรค และรังสีเน่ืองจากผวิ หนงั มีคุณสมบัตยิ ืดหย่นุ หนา และเหนียว ชว่ ยลดแรง กระแทก ลดการดดู ซมึ ของสารเคมี - ปอ้ งกนั เชื้อโรค ผิวหนงั มสี ารทชี่ ่วยทาลายจุลนิ ทรีย์ไดบ้ างส่วน จึงลดจานวน เช้ือโรคลงได้ การห่อหุ้มร่างกายก็เป็นเสมือนเกราะไมใ่ หเ้ ช้ือโรคผา่ นเข้าสู่ร่างกายได้ โดยง่ายนอกจากนี้ไขมนั ท่ีถกู ผลติ โดยชัน้ ผวิ หนงั มีสภาพเปน็ กรดชว่ ยยบั ย้งั การ แพร่กระจายของเชือ้ โรคไม่ใหเ้ ขา้ สรู่ ่างกาย - ป้องกันการระเหยและการซึมน้า เพราะหนงั กาพร้ามีสารเคราติน (keratin) ซ่งึ มีคุณสมบัติกนั น้าได้ จงึ ทาใหเ้ ราสามารถว่ายน้าได้เป็นเวลานานๆ - ปอ้ งกนั แสงต่างๆ ไม่ใหเ้ ขา้ สรู่ า่ งกาย เช่น แสงแดด เวลาถกู แสงแดดเซลล์ ของหนังกาพรา้ ทีม่ ีเม็ดสีเมลานิน (melanin) จะดูดแสงแดดเอาไว้ และกระตนุ้ ใหเ้ กดิ เมด็ สเี มลานินมากข้ึนเพอื่ ป้องกันไม่ให้รังสอี ัลตราไวโอเลตจากแสงแดดทะลเุ ข้าไป ทาลายเซลลผ์ ิวหนงั 2. ควบคุมอุณหภูมขิ องรา่ งกายให้อยู่ในระบบปกติโดยผ่านการทางานของการ หดหรือขยายตัวของหลอดเลอื ดทีผ่ วิ หนงั และการทางานของต่อมเหง่ือ เมื่อร่างกาย ได้รบั ความร้อนเสน้ เลอื ดจะขยายตวั เพื่อใหเ้ ลือดไหลสู่พืน้ ผิวมากขนึ้ และในทางตรง ข้ามเส้นเลอื ดจะหดตวั เมื่ออากาศเย็นเพ่ือรักษาความรอ้ นใหค้ งอย่ใู นร่างกาย ส่วนตอ่ ม เหงอ่ื ทีม่ ีอยู่ในบริเวณชน้ั ผวิ หนังตา่ งๆ ของรา่ งกายจะผลติ เหงื่อออกมา ความร้อนกจ็ ะ ละเหยไปกับเหงอื่ ทาให้รู้สึกเย็นลง บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผวิ หนงั หนา้ 4

3. รกั ษาความช่มุ ช้ืนของรา่ งกาย โดยต่อมไขมนั จะผลิตน้ามาเลย้ี งผวิ หนงั ใน ช้ันของหนงั กาพรา้ ทาใหผ้ วิ หนังมคี วามช่มุ ชน่ื เต่งตึง ไมแ่ ห้งกร้าน เหง่ือท่ีถูกขับออกมา มีสว่ นช่วยในการรักษาความชุ่มช้ืนของผิวหนัง นอกจากน้ผี ิวหนงั ยงั ป้องกนั ไม่ใหน้ ้าจาก ภายนอกซึมเข้าไปในร่างกายและไม่ให้น้าภายในละเหยออกไปงา่ ยๆ 4. ขับถา่ ยของเสยี ออกจากรา่ งกายในรูปแบบของเหง่ือ เช่น ยูเรีย ซึง่ เป็นเกลอื แรท่ ่ีภายในร่างกายไม่ต้องการ 5. เปน็ แหลง่ สร้างวติ ามนิ ดใี หก้ บั รา่ งกาย โดยอาศัยแสงแดดชว่ ยสงั เคราะห์ สาร 7 –ดไี ฮโดรโคเลสเตอรอล (7-dehydrocholesterol) ทอี่ ยู่ในผวิ หนงั ให้เป็น วติ ามินดสี ามไดช้ ่วยปอ้ งกนั การเกิดโรคกระดูกอ่อน 6. เปน็ อวัยวะรบั ความรู้สกึ ต่างๆ โดยมปี ระสาทรับรู้ความรสู้ ึกหลายชนดิ และ จานวนมากอยู่ในบรเิ วณหนังแท้ เช่น ความรู้สึกรอ้ น เยน็ หรอื ความรสู้ ึกเจ็บปวด แผล (wound) ความหมาย บาดแผล หมายถึง ภาวะท่ีผิวหนังซ่ึงปกคลุมร่างกายมีการแตกแยกหรือถูกทาลาย อาจเกิดข้ึนกับเยื่อบุภายใน ร่างกายก็ได้ เชน่ เย่ือบภุ ายในช่องปาก ชอ่ งจมูก เย่อื บุกระเพาะอาหาร เปน็ ตน้ ประเภทของแผล 1.จาแนกตามกลไกท่ไี ด้รบั บาดเจบ็ หรือลกั ษณะการถกู ทาลายของผิวหนัง ดังนี้ 1.1 แผลตดั (Incision) เกดิ จากของมีคม เชน่ ใบมดี มีดผ่าตดั เป็นแผลเปดิ เนื้อเยอื่ โดยรอบแผลไมช่ อกช้า บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 5

1.2 แผลฟกชา้ (Contusion หรอื Bruise) เกิดจากถกู ตีหรอื ถกู กระแทกดว้ ยของไม่มีคม เป็นแผลปิด มีรอย ชา้ อาจมอี าการบวม บรเิ วณผิวหนงั จะมีสีแดงหรือสมี ว่ งและเขยี ว เนื่องจากเสน้ เลอื ดทอ่ี ย่ใู ต้ผิวหนังมกี ารฉกี ขาด ทาให้เลือดขงั อยภู่ ายใน 1.3 แผลถลอก (Abrasion) ผวิ หนงั ชั้นผวิ หนงั (epidermis) ถกู ครูด เชน่ หกลม้ หัวเข่าถลอก แผลมีโอกาส ตดิ เช้ือ เพราะมวี ตั ถแุ ปลกปลอมเขา้ ไปในแผล มีอาการเจบ็ ปวด เนอ่ื งจากส่วนปลายของเสน้ ประสาทได้รบั บาดเจ็บ 1.4 แผลถกู ของแหลมทมิ่ แทง (Puncture) เช่น มดี ตะปู เกดิ ขึ้นไดท้ ง้ั ตงั้ ใจและไม่ต้ังใจ ลกั ษณะเปน็ แผลเปดิ 1.5 แผลฉกี ขาด (Laceration) ส่วนใหญ่เกิดจากอบุ ตั เิ หตุ เช่น เครื่องมืออุตสาหกรรม ลกั ษณะเปน็ แผลเปดิ ขอบ แผลไม่เรยี บ 1.6 แผลทะลทุ ะลวง (Penetrating wound) เชน่ ถูกยงิ ด้วยลกู ระสุนปนื ถ้าเศษของช้นิ สว่ นยงั คงอยใู่ นแผล หรือมีเลอื ดไหล โอกาสติดเชอ้ื สูง ลกั ษณะของแผลเปน็ แผลเปิด 1.7 แผลฉีกกระชาก (Avulsion) ผิวหนงั และเน้ือเยื่อชั้นลกึ ขาดหายไป เกิดจากสัตวก์ ัด อุบัติเหตุ เป็นแผลเปิด การหายของแผลอาจต้องใชก้ ารปลูกถา่ ยผวิ หนัง (skin graft) หรอื ยา้ ยผิวหนงั (flap) หรือปล่อยให้หายเอง โดยการหดรั้ง ของแผล (wound contraction) 2.จาแนกตามการปนเป้ือนเชื้อโรค 2.1 แผลสะอาด (Clean wounds) คือ แผลที่ไม่มีการติดเช้ือ หรือมีอาการอักเสบเพียงเล็กน้อย เช่น แผล ผา่ ตดั ตา่ ง ๆ ลกั ษณะแผลเปน็ แบบแผลปดิ หรอื เปน็ แผลทม่ี กี ารใสท่ อ่ ระบายแบบปิด ยกเว้นแผลผ่าตัดอวัยวะระบบทางเดิน หายใจ ระบบทางเดนิ อาหาร ระบบสืบพันธ์ุ และระบบทางเดนิ ปัสสาวะ 2.2 แผลสะอาดกึ่งปนเปื้อน (clean contaminated wounds) เช่น แผลผ่าตัดระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบสืบพันธ์ุ และระบบทางเดนิ ปสั สาวะ ไมม่ ีอาการแสดงของการติดเชอ้ื 2.3 แผลปนเป้อื น (contaminated wounds) เป็นแผลเปิดท่ีเกดิ จากการได้รบั อุบัติเหตใุ หมๆ่ แผลผา่ ตัดมี การปนเปอื้ นสิง่ ขับหล่งั จากระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal tract) ส่วนใหญม่ อี าการแสดงของการอักเสบ 2.4 แผลสกปรกหรือแผลตดิ เชื้อ (dirty or infected wounds)เปน็ แผลเปิดที่เกิดจากการได้รับอุบัติเหตุ ซึง่ เกดิ ขนึ้ นานแล้ว มเี นอื้ เยอ้ื ทีต่ ายแลว้ และมีอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น แผลมีหนอง 3.จาแนกตามความลึกของแผล บทท่ี1 กายวภิ าคศาสตร์ของระบบผวิ หนงั หนา้ 6

3.1 แผลตื้น (Partial thickness) ขอบเขตของแผลอยู่ในชั้นผิวหนัง (epidermis และ dermis) การ หายของแผลเกดิ ขึ้นโดยกระบวนการงอกใหม่ของเนอ้ื เยอื่ (regeneration) 3.2 แผลลึก (Full thickness) ขอบเขตของแผลอยู่ในช้ันใต้ผิวหนัง (epidermis, dermis และ subcutaneous tissue) อาจลึกถึงกล้ามเนื้อและกระดูก การหายของแผลต้องใช้กระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเย่ือ เกี่ยวพนั (connective tissue repair) 4. จาแนกตามเวลาทีใ่ ช้ในการหายของแผล ดังน้ี 4.1 แผลเฉยี บพลัน (acute wound) เป็นแผลทกี่ ระบวนการหายเป็นไปตามปกติใช้เวลาไมเ่ กนิ 6 สปั ดาห์ 4.1 แผลเร้อื รงั (chronic wound) เป็นแผลทีไ่ ม่สามารถหายได้ภายใน 6 สปั ดาห์ กระบวนการหายของแผล (Process of wound healing) มที งั้ หมด 4 ระยะ ดงั นี้ 1. ระยะห้ามเลือด (Haemostasis phase) เมื่อเน้ือเยื่อฉีกขาดจะกระตุ้นให้เกร็ดเลือดมาบริเวณนั้นจานวน มากข้ึนจนกลายเป็นลิ่มเลือดอุดบริเวณที่มีการฉีกขาดจนกระท่ังเลือดหยุดไหล หลั่งจากน้ันจะมีกระบวนการ ทาลายล่ิมเลอื ดท่ีมีมากเกนิ ไป (Fibrinolysis) เพอื่ เข้าสรู่ ะยะต่อไป 2. ระยะอักเสบ (Inflammatory phase) หลงั จากท่ีล่ิมเลอื ดลดลง หลอดเลือดบริเวณน้ัน ๆ จะขยายตัวมาก ขึ้น ในขั้นตอนน้ีเม็ดเลือดขาวชนิด Neutrophils และ Macrophages จะเข้ามาเก็บกินเช้ือโรค โดย Neutrophils จะมาเก็บกินเชอ้ื โรคด้วยวธิ ี Phagocytosis ในชว่ ง 24 – 48 ชว่ั โมงแรก เมื่อไมม่ กี ารติด เช้อื ใด ๆ Neutrophils จะลดลงอยา่ งรวดเรว็ สว่ น Macrophages จะพบหลังจากเนอ้ื เย่ือบาดเจ็บ 2 -3 วัน ซึ่งสามารถจับกินเช้ือโรคด้วยวิธีเดียวกันแล้ว ยังมีบทบาทในการปล่อยสารสาคัญภายหลังกระบวนการ Phagocytosis ที่มีผลในการหายของแผล คือ Cytokines growth factor, Bioactive lipid product, Proteolytic enzyme 3. ระยะงอกขยาย (Proliferative phase) ประกอบด้วยกระบวนการสร้างหลอดเลือดเล็ก ๆ เชื่อมต่อกับ หลอดเลอื ดเดิมท่เี คยถูกตัดขาด เกิดเป็นหลอดเลือดใหม่ (Angiogenesis) กระบวนการสรา้ งผิวหนงั ใหมด่ ้วย การใช้ Cytokines growth factor, Bioactive lipid product, Proteolytic enzyme ท่ี กระตุ้นให้เกิด Fibroblast เพ่ือไปสร้าง Collagen แล้วเช่ือมประสานกับ Elastin เกิดเป็นร่างแห และ กลายเปน็ เน้อื เยอ่ื ใหม่ (Granulation tissue) ขอบแผลจะคอ่ ย ๆ หดแคบลง 4. ระยะเจริญเต็มท่ี (Maturation phase or remodeling phase) เกิดขึ้นประมาณสัปดาห์ที่ 3 Collagen fiber จะมกี ารเรียงตวั ใหม่ เพิ่มความแข็งแรงให้เนื้อเยอ่ื ซ่ึงอาจทาใหเ้ กดิ เป็นแผลเปน็ ได้ บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 7

ชนิดการหายของแผล 1. การหายของแผลแบบปฐมภมู ิ (Primary union or first intention) เป็นการหายของแผลที่มีการเย็บ ให้ขอบแผลมาชิดกัน โดยไมมีแรงดึงของแผล แผลสะอาดไมมีส่ิงปนเปอน ที่จะเส่ียงตอการติดเชื้อภายหลัง ลกั ษณะบาดแผลไมมกี ารสญู เสียเนื้อไปมาก หรือถามีการสูญเสียจะสามารถตกแตงและมีการนาขอบแผลมาชิด กนั ได แผลพวกนี้จะหายเร็ว มแี ผลเปน (scar) เกดิ ข้ึนนอยหรือไมมีเลย บาดแผลพวกน้ีไดแก บาดแผลผาตัดท่ี ถกู เยบ็ ปด กระดกู หกั ท่ีถกู จดั เขา้ ทเี่ ดมิ 2. การหายของแผลแบบทตุ ิยภูมิ (Secondary intention or granulation) เป็นการหายของแผลขนาด ใหญ่และลึก มีช่องว่างระหว่างขอบแผล มีการสูญเสียเน้ือเย่ือ หรือมีการติดเชื้อเกิดข้ึน ไม่ควรการเย็บปิดแผล ตอ้ งทาแผลแลว้ ปลอ่ ยใหห้ ายตามกระบวนการหายของแผล ซ่ึงการหายแบบนี้จะใช้เวลานานกว่าแบบปฐมภูมิ มี โอกาสเกิดแผลเป็นและติดเช้ือได้มากกว่า การหายของแผลแบบทุติยภูมิ เช่น บาดแผลถอนฟน บาดแผลที่ สญู เสียเน้อื มาก ๆ แผลทม่ี กี ารติดเชือ้ แผลไฟไหม 3. การหายของแผลแบบตติยภมู ิ (Third intention or secondary suture) เปนการหายของแผลท่ีมีช องวางระหวางแผลและปลอยใหแผลหายระยะหน่ึงจนมีการสราง granulation tissue ข้ึนใหมจึงชวยให แผลหายเร็วขึ้นโดยการเย็บปดบาดแผล (delayed primary closure) หรือปดดวยการนาผวิ หนังมาปลูก (skin graft) ปัจจยั ทมี่ ีอทิ ธิพลต่อการหายของแผล 1. อายุ (Age) เด็กและผ้ใู หญ่มกี ารหายของแผลเร็วกว่าผสู้ ูงอายุ เพราะผ้สู ูงอายมุ กี ารเปลยี่ นแปลงของรา่ งกายดังนี้ 1.1 การเปลี่ยนแปลงของระบบหลอดเลือดเช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง และการเหี่ยวของหลอดเลือดฝอยใน ผวิ หนัง ทาให้เลือดมาเล้ียงแผลนอ้ ยลง 1.2 เนือ้ เยือ่ เกยี่ วพนั (collagen tissue) มีความยดื หยุ่นน้อยลง 1.3 การเปลีย่ นแปลงของระบบภมู ิค้มุ กนั (immune system) ทาใหม้ กี ารลดการสร้าง antibodies และ monocyte ซึง่ มคี วามจาเปน็ สาหรับกระบวนการหายของแผล 1.4 รับประทานอาหารไดไ้ ม่มาก ทาใหข้ าดสารอาหารทจี่ าเป็น ทาใหจ้ านวนของเมด็ เลือดแดง และเม็ดเลือดขาว ลดนอ้ ยลง เกิดปญั หาเก่ียวกับการส่งผา่ นออกซิเจนและกลไกการหายของแผลในระยะ inflammatory phase เพราะ ออกซเิ จนมีความจาเปน็ สาหรบั การสังเคราะหเ์ นอ้ื เยอ่ื เกีย่ วพนั และการสร้างเซลลเ์ ยื่อบุผวิ ใหม่ 1.5 ผิวหนงั สูญเสียความยดื หยนุ่ และความแข็งแรงลดนอ้ ยลง 2.ภาวะโภชนาการ (Nutrition) หนา้ 8 บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผวิ หนงั

เมือ่ ร่างกายได้รบั บาดเจ็บ จะตอ้ งการอาหารโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต ไขมัน วิตามนิ และเกลือแร่ เช่น เหลก็ สงั กะสี และทองแดง ในปริมาณท่เี พียงพอ ผู้ป่วยทีม่ ีปัญหาการขาดสารอาหาร ตอ้ งใช้เวลาสาหรบั การปรับความสมบรู ณข์ องร่างกาย การทาการผา่ ตัดคนท่ีอ้วนจะมคี วามเสยี่ งตอ่ การติดเช้อื ในแผลและแผลจะหายชา้ เพราะเนื้อเย่ือไขมัน (adipose tissue) มีเลอื ดมาเลี้ยงนอ้ ย ทาให้การส่งผา่ นสารอาหารและสารอื่นๆ ทจ่ี าเป็นตอ่ การหายของแผลนอ้ ยลง 3. ภาวะการได้รบั ออกซิเจน (Oxygenation) การมเี ลอื ดมาเลยี้ งบรเิ วณแผลน้อยลง เปน็ ผลใหอ้ อกซิเจนมาทแี่ ผลน้อยลง มีผลตอ่ การสงั เคราะห์เนอ้ื เยื่อเกยี่ วพนั และการสร้างเซลล์เย่ือบุผิว เป็นเหตุให้แผลหายช้าลง การลดลงของระดับฮีโมโกลบิน (ภาวะโลหิตจาง) จะทาให้การนา ออกซิเจนไปสูเ่ นอ้ื เย่ือลดลง ทาให้การซอ่ มแซมของเนอื้ เยอื่ ช้าลง 4. การได้รับการรักษาด้วยยาบางชนิด (drug related wound healing) เช่น สเตียรอยด์ (Steroids) มีผลต่อ กระบวนการหายของแผลในแต่ละระยะ โดยเฉพาะใน inflammation phase ยบั ยงั้ กระบวนการ phagocytosis ทาให้มีการสังเคราะห์เน้ือเยื่อเกี่ยวพันช้าลง ยาในกลุ่ม Anti-inflammatory drug จะกดการสังเคราะห์โปรตีน ขัดขวาง การหดรัดตัวของแผล และกระบวนการ epithelialization การใชย้ าปฏชิ วี นะ (antibiotics) นานๆ เชอื้ โรค จะพัฒนาสายพนั ธ์ใุ หมท่ ่มี คี วามตา้ นทานยาฆ่าเชือ้ โรค ซึ่งอาจจะเพิม่ ความเสย่ี งต่อการตดิ เช้อื โรคทีร่ นุ แรงข้นึ 5. โรคเร้ือรังต่างๆ ( Chronic illness) เชน่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานท่ีภาวะน้าตาลในเลือดสูง มีผลต่อการทาหน้าท่ีของเม็ดเลือดขาว ประสิทธิภาพของ กระบวนการ phagocytosis ลดลง รบกวนการสร้างเส้นใยคอลาเจน นอกจากน้ียังทาให้การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เช้อื รา และยีสตเ์ พม่ิ ขึน้ ดังนั้นควรควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือดให้อยู่ระหว่าง 120 -180 mg/dL จะช่วยให้กระบวนการ หายของแผลดีขน้ึ ได้ โรคทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การไหลเวียนของเลอื ดทงั้ หมด เชน่ โรคความดันโลหติ สงู โรคหลอดเลือดส่วนปลาย 6.สภาวะจิตใจ (Psychological issues) ความวิตกกังวลทาให้มีการหลั่ง glucocorticoids ยับย้ังการสังเคราะห์ คอลลาเจนและการสร้าง granulation tissue 7.รูปแบบการดาเนินชีวติ (lifestyle) การออกกาลังกายสมา่ เสมอทาใหม้ ีการไหลเวียนของเลือดไปส่แู ผลไดด้ ี ออกซิเจนและสารอาหารไปท่ีแผล ทาให้ แผลหายเร็ว บทที่1 กายวภิ าคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 9

การสูบบุหรี่ (smoking) สารนิโคตินในบุหร่ีทาให้หลอดเลือดแข็งตัว ส่งผลต่อความสามารถในการขนส่ง สารอาหาร สว่ นประกอบของเลอื ด การขนสง่ ออกซเิ จนของฮโี มโกลบินลดลง นอกจากน้ียังมีปัจจยั ภายนอกอ่นื ๆ ท่มี ีผลทาใหแ้ ผลหายช้า (Delay wound healing) เช่น การปนเปื้อน และการตดิ เชอ้ื โรค (contamination and infection) ทาให้ร่างกายต้องใช้พลังงานในการต่อสู้กับเช้ือโรค ซึ่งทาให้ การหายของแผลล่าชา้ การอยูใ่ นสง่ิ แวดลอ้ มท่ีช้ืนแฉะหรือแหง้ เกนิ ไป การรักษาด้วยการฉายแสง (Radiation therapy) เนอ่ื งจากรงั สมี ีผลตอ่ กระบวนการสร้างเนือ้ เยือ่ ใหม่ การถกู กดทบั บริเวณแผลทาใหก้ ารไหลเวียนของเลือดลดลง ภาวะแทรกซ้อนจากการมแี ผล 1. การมแี ผลฉกี ขาด จนทาใหม้ ีเลือดออกจานวนมาก (Hemorrhage) 2. การติดเช้ือ (Infection) แผลท่ีมีการติดเชื้อจะมีลักษณะแผลบวม แดง มีสารคัดหลั่งเป็นหนองไหลซึม การ ตรวจทางห้องปฏิบัตกิ ารพบแบคทเี รยี มากกวา่ 105 CFU/ml 3. แผลแยก (Dehiscence) แผลแยกมักเกิดภายหลงั การติดเช้อื แผลบริเวณหน้าท้อง โดยพบมากในกรณีผู้ป่วย โภชนาการท่ไี มด่ ี การพยาบาลผปู้ ่วยท่มี แี ผล เป้าหมายสาคัญของการดูแลแผล คือ การทาให้ส่ิงแวดล้อมของแผลเหมาะสมเพื่อให้กระบวนการหายของ แผลเป็นไปตามปกติ โดยหลกั การสาคญั ของการของการสรา้ งสิ่งแวดลอ้ มทีด่ ี ได้แก่ 1. การจดั การการติดเชื้อของแผลและการป้องกนั การตดิ เชอื้ ซ้า 2. การทาความสะอาดแผล 3. การขจดั เนอื้ ตาย 4. การจัดการสารคัดหลั่ง 5. การทาใหเ้ น้ือเยอ่ื ของแผลมีความชุ่มช้นื 6. การป้องกนั การกระทบกระเทือนของแผล โดยส่ิงสาคัญของการสร้างส่งิ แวดล้อมท่ีดี คือ การทาแผลทถี่ กู ตอ้ งตามหลักการ บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 10

เอกสารอา้ งอิง กนกพรรณ วงศป์ ระเสริฐ ไกร มีมล และชนิ วฒุ ิ สรุ ิยนเปล่งแสง. (2557). สาระสาคญั กายวภิ าคศาสตรข์ องมนุษย์. กรงุ เทพฯ: พิมพ์สวย จากัด. คณาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. (2555). ตารากายวิภาคศาสตร์ทว่ั ไป. กรงุ เทพฯ: สทุ ธาทพิ ยก์ ารพมิ พ์. บงั อร ฉางทรัพย.์ (2556). กายวภิ าคศาสตร์ 1. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. มีชัย ศรีใส. (2554). ประสาทกายวภิ าคศาสตร์. กรงุ เทพฯ: ราแพน พรเทพเกษมสนั ต์. (2538). กายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรรี วทิ ยาของมนษุ ย.์ กรงุ เทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. วิไล ชินธเนศ. (2559). กายวิภาคศาสตรข์ องมนุษย์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. วฒุ กิ ิจ ธนะภมู ิ. (2553). กายวิภาคศาสตร.์ นนทบรุ ี: มลู นธิ กิ ารแพทย์แผนไทยพฒั นา สปุ ราณี เสนาดสิ ัย และวรรณภา ประไพพานิช. (2558). การพยาบาลพนื ฐาน. กรงุ เทพฯ: บริษทั จดุ ทอง จากัด. Keith L.M., Arthur F.D., & Anne M.R.A. (2014). Clinically oriented anatomy. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. Richard L.D., Vogl A.W., & Adam W.M.M. (2012). Gray's basic anatomy. Philadelphia: Elsevier Churchill Livingstone. บทที่1 กายวิภาคศาสตร์ของระบบผิวหนงั หนา้ 11



การพยาบาลเพอ่ื ปอ้ งกนั แผลกดทบั Nursing Care for Prevention Pressure injury มนชยา สมจริต แผลกดทับ เป็นแผลที่เกิดขึ้นจากการท่ีเซลล์ของผิวหนังได้รับอาหารและ ออกซิเจนไม่เพียงพอ ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์โดยเกิดการเส่ือมสภาพหรือ ตายและมีแผลเกิดข้ึน ซ่ึงเป็นภาวะแทรกซ้อนท่ีเกิดข้ึน โดยจะพบได้ในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ สามารถขยับตัวเองได้ ถูกจากัดการเคล่ือนไหว กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง หรือกลุ่มผู้ป่วยที่ ต้องใส่อุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นเวลานาน เช่น การใส่สายออกซิเจน การใส่สาย ระบายปัสสาวะชนิดสวนคาเป็นระยะเวลาต่อเน่ือง และจะพบบ่อยเพิ่มข้ึนในผู้ป่วยท่ี เป็นกลุ่มผู้สงู อายุ วีระชน หนองช้าง ศิณีพร จิตติมณี และ จุฬาพร ประสังสิต ได้ให้ความหมาย ของแผลกดทับโดยแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยจาก National Pressure Ulcer Advisory Panel, April 13, 2016 (อ้างใน เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการ โครงการอบรม : Skincare Awareness in Ostomy and Wound Patients. ฝ่าย ก า ร พ ย า บ า ล โ ร ง พ ย า บ า ล ศิ ริ ร า ช ค ณ ะ แ พ ท ย ศ า ส ต ร์ ศิ ริ ร า ช พ ย า บ า ล มหาวิทยาลัยมหิดล. กรุงเทพฯ: ห้องประชุมจุฬาภรณ์ โรงพยาบาลศิริราช ตึก สยามมิ นทร์ ชัน้ 2; 16-17 กมุ ภาพนั ธ์ 2560) ดงั นี้ แผลกดทับ หมายถึง การถูกทาลายเฉพาะที่ของผิวหนังและ/หรือเนื้อเย่ือใต้ ผวิ หนงั โดยเฉพาะบริเวณเหนือปุ่มกระดูก หรือบริเวณท่ีสัมพันธ์กับการใช้อุปกรณ์ทาง การแพทย์หรืออปุ กรณอ์ ่ืนๆ ลักษณะของการบาดเจบ็ อาจแสดงในรูปแบบของผิวหนังท่ี ไม่เกดิ การฉกี ขาดหรือเกดิ แผล และอาจมอี าการเจ็บปวดร่วมด้วย การบาดเจ็บท่ีเกิดขึ้น เปน็ ผลมาจากความรุนแรงของแผลกดและ/หรือการถูกกดทับเป็นระยะเวลานาน หรือ เกิดจากแรงกดร่วมกบั แรงไถล ความทนของเนื้อเยื่อต่อแรงกดและแรงไถลยังข้ึนอยู่กับ ระดับความชื้นบริเวณผิวหนัง ภาวะโภชนาการ ระบบไหลเวียนของเลือดสู่เน้ือเย่ือ ภาวะโรคร่วม และสภาพของเน้อื เยอ่ื บทท่ี2 การพยาบาลเพ่อื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 12

พยาธสิ ภาพของแผลกดทบั แผลกดทับเป็นการบาดเจ็บท่ีเกิดจากการท่ีแรงกลกระทาต่อผิวหนังและ เน้ือเยื่อคือแรงกด และแรงไถล โดยแรงกดป็นแรงท่ีตั้งฉากกับผิวหนังที่ส่งผลโดยตรง เฉพาะท่ี และเป็นสาเหตุทาให้เน้ือเยื่อชาดออกซิเจน หลอดเลือดฝอยตีบ เกิดการขาด เลือดและเน้ือเย่ือตายได้ ปริมาณแรงกดท่ีเกิดขึ้นจากผิวหนังจะมีความแตกต่างกัน ขนึ้ อยกู่ ับความหนาบางของผวิ หนัง ในแรงกดท่มี ขี นาดเดียวกัน ถ้ากระทาในบริเวณที่มี เนอ้ื เย่อื หนาจะมีความแรงลดลงกวา่ การกระทาในบริเวณท่ีมีเน้ือเยื่อบาง แผลกดทับจึง มักพบได้บ่อยในบริเวณปุ่มกระดูก เพราะมีเนื้อเยื่อที่บางกว่า และมีแรงกดจากปุ่ม กระดูกกระทาโดยตรง แรงกดท่ีมปี ริมาณมากจะเกดิ แผลกดทับได้ในเวลาอันสั้น ในทาง กลับกนั แรงกดทมี่ ปี รมิ าณแรงตา่ แต่มีระยะเวลาในการกดทบั นานกท็ าให้เกิดแผลกดทับ ได้ (วรรณิภา สายเหล่า, บก. จุฬาพร ประสังสิต กาญจนา รุ่งแสงจันทร์ ยุวรัตน์ ม่วง เงิน) นอกจากน้ีแรงไถลท่ีเกิดข้ึนพร้อมกับแรงกดจะยิ่งส่งเสริมให้เกิดการอักเสบและ การถูกทาลายของผิวหนังและเนื้อเยอื่ เพ่ิมมากขึ้น ภาพที่ 1 แสดงตาแหนง่ ของการเกิดแผลกดทับจากแรงกด ในท่านอน บทท่ี2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 13

ภาพที่ 2 แสดงตาแหน่งของการเกดิ แผลกดทับจากแรงกด ในท่านั่ง ปจั จัยสง่ เสริมการเกิดแผลกดทบั 1.ความช้นื ของผิวหนัง เช่น การใส่ผา้ ออ้ มสาเร็จรปู การมเี หงอ่ื ออกตามร่างกาย 2. ภาวะโภชนาการ เชน่ ข้อจากัดในการรับประทานอาหาร ภาวะโภชนาการพร่อง 3.ระบบไหลเวียนของเลือดสูเ่ นือ้ เยือ่ เชน่ การถูกกดทับเป็นเวลานาน การมีข้อจากัดใน การเคลือ่ นไหว 4.ภาวะโรคร่วม เช่นโรคเบาหวาน โรคไตวายเรื้อรัง ส่งผลให้เกิดพยาธิสภาพในการ แลกเปลย่ี นออกซิเจน หรอื ระบบไหลเวียนเลอื ดไม่ดี 5. สภาพของเนื้อเย่ือ เช่นการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อผิวหนังเม่ือมีอายุมากข้ึน การ ตดิ เชือ้ ของผวิ หนังเน่อื งจากระบบความตา้ นทานบกพร่อง บทท่ี2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 14

6.การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อการรักษาอย่างต่อเน่ือง เช่นการใส่สายสวนคา ปัสสาวะ การใส่ท่อช่วยหายใจ การใส่อุปกรณ์ท่ีจากัดการเล่ือนไหว ทาให้เกิดการกด ทับของอุปกรณ์ตอ่ เนื้อเยื่อและผวิ หนัง ระดบั ของแผลกดทบั จากเอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการ โครงการอบรม : Skincare Awareness in Ostomy and Wound Patients. ฝ่ายการพยาบาลโรงพยาบาลศิริ ราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล. กรุงเทพฯ: ห้องประชุม จุฬาภรณ์ โรงพยาบาลศิริราช ตึกสยามมินทร์ ชั้น 2; 16-17 กุมภาพันธ์ ได้มีการแบ่ง ระดับของแผลกดทับ ซึ่งแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยจาก National Pressure Ulcer Advisory Panel, April 13, 2016 โดย วีระชน หนองช้าง ศิณีพร จิตติมณี และ จฬุ าพร ประสงั สติ ไวด้ งั นี้ Stage 1 Pressure Injury: Non-blanchable erythema of intact skin แผลกดทับระดับ 1: ผิวหนังยังไม่เกิดการฉีกขาดมีรอยแดง และรอยแดงยังคงอยู่ เมื่อใชน้ วิ มอื กดบรเิ วณ ผวิ หนังทีเ่ ป็นรอยแดง ภาพท่ี 3 แสดงลกั ษณะของแผลกดทบั ระดบั 1 ผิวหนังยังไม่เกิดการฉีกขาด เกิดรอยแดงเฉพาะที่และรอยแดงยังคงอยู่ เมื่อใช้น้ิวมือกดบริเวณผิวหนังท่ี เป็นรอยแดง ในผู้ท่ีมีผิวคล้าลักษณะท่ีแสดงให้เห็นจะ บทที่2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 15

แตกต่างออกไป อาจพบผิวหนงั มีรอยแดงและรอยแดงจางลงเมื่อใช้นว้ิ มือกด หรือมีการ เปลี่ยนแปลงของการรับความรู้สึก การเปล่ียนแปลงของอุณหภูมิ หรือผิวหนังแข็งตัว ขึ้นเป็นอาการแสดงเรมิ่ แรก การเปลี่ยนแปลงของสีผิวไม่รวมผิวหนังที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง หรอื สแี ดงชา้ ซง่ึ ลักษณะดงั กล่าวอาจเป็นการบาดเจ็บเนอื้ เยื่อช้นั ลกึ Stage 2 Pressure Injury: Partial-thickness skin loss with exposed dermis แผลกดทบั ระดับ 2: สญู เสียผวิ หนงั บางสว่ น มองเห็นชนั หนงั แท้ ภาพท่ี 4 แสดงลกั ษณะของแผลกดทบั ระดบั 2 สูญเสียช้ันผิวหนังบางส่วนจนมองเห็นชั้นหนังแท้ ลักษณะพื้นแผลมีสี ชมพหู รือสแี ดง มีความชมุ่ ชน้ื หรืออาจพบลักษณะของตุ่มน้าใสหรือเป็นตุ่มน้าใสท่ีแตก มองไม่เห็นชั้นไขมันหรือชั้นของเน้ือเย่ือที่อยู่ลึกกว่า ไม่พบลักษณะของเน้ือเยื่อใหม่สี แดง เน้ือตายเป่ือยยุ่ย และเนื้อตายแห้งแข็ง โดยท่ัวไปถ้าพบการบาดเจ็บของแผล ลกั ษณะนบ้ี ริเวณผวิ หนงั เหนอื กระดกู เชิงกรานมักเกิดจากความชื้นและแรงไถล บริเวณ สน้ เท้ามกั เกิดจากแรงไถล บทที่2 การพยาบาลเพ่อื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 16

การระบุระดับของแผลกดทับระดับ 2 จะไม่ใช้ในการอธิบายแผลท่ีเกิด จากภาวะผิวหนังถูกทาลายจากความเปียกช้ืน เช่น ผิวหนังอักเสบจากการควบคุมการ ขับถ่ายไม่ได้ ผิวหนังอักเสบจากภาวะความเปียกช้ืน ผิวหนังถูกทาลายจากวัสดุยึดติด ทางการแพทย์ หรือแผลท่ีเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น ผิวหนังฉีกขาด แผลไหม้ แผลถลอก Stage 3 Pressure Injury: Full-thickness skin loss แผลกดทบั ระดบั 3: สูญเสียชนั ผิวหนงั ทังหมด ภาพท่ี 5 แสดงลักษณะของแผลกดทบั ระดับ 3 สูญเสียชั้นผิวหนังทั้งหมด มองเห็นช้ันไขมันในแผล มีเนื้อเยื่อใหม่สีแดง และลักษณะขอบแผลม้วน อาจพบเน้ือตายเปื่อยยุ่ยและ/หรือเนื้อตายแห้งแข็ง ระดับ ความลกึ ของเนอ้ื เยื่อทเี่ สยี หายแตกต่างกันตามตาแหน่งทางกายวิภาค บริเวณที่มีไขมัน มากมักจะเกิดเป็นแผลลึก อาจพบโพรงใต้ขอบแผลและ/หรือโพรงแผล มองไม่เห็นชั้น บทท่ี2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 17

พังผดื กล้ามเน้ือ เส้นเอ็น กระดูกอ่อนและ/หรือกระดูก ถ้าพื้นแผลถูกปกคลุมด้วยเนื้อ ตายเปอ่ื ยยุ่ย หรือเนื้อตายแห้งแข็งท้ังหมด จะเป็นลักษณะของแผลกดทับท่ีไม่สามารถ ระบรุ ะดับได้ Stage 4 Pressure Injury: Full-thickness skin loss and tissue loss แผลกดทบั ระดบั 4: สูญเสียชนั ผวิ หนังทงั หมด และชันเนือเยอ่ื ใต้ผวิ หนงั ภาพที่ 6 แสดงลักษณะของแผลกดทับระดับ 4 สูญเสียช้ันผิวหนังทั้งหมดและช้ันเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง มองเห็นหรือสัมผัส ชั้นเน้ือเย่ือพังผืด กล้ามเน้ือ เส้นเอ็น กระดูกอ่อน หรือกระดูก ในบริเวณพื้นแผลได้ อาจพบเน้ือตายเป่ือยยุ่ยและ/หรือเน้ือตายแห้งแข็ง มักพบขอบแผลมีลักษณะม้วน มี โพรงใต้ขอบแผลและ/หรือโพรงแผล ระดับความลึกแตกต่างกันตามตาแหน่งทางกาย วิภาค ถ้าพ้ืนแผลถูกปกคลุมด้วยเน้ือตายเป่ือยยุ่ยหรือเน้ือตายแห้งแข็งทั้งหมด จะเป็น ลักษณะของ แผลกดทับที่ไมส่ ามารถระบรุ ะดับได้ Unstageable Pressure Injury: Obscured full-thickness skin and tissue loss บทท่ี2 การพยาบาลเพือ่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 18

แผลกดทับที่ไม่สามารถระบุระดับได้: ชันผิวหนังและชันเนือเยื่อใต้ผิวหนังถูกปก คลุมดว้ ยเนอื ตายทังหมด สูญเสยี ชั้นผิวหนังทั้งหมดและชั้นเน้ือเยื่อใต้ผิวหนัง ไม่สามารถระบุความ ลึกของช้ันเนื้อเย่ือท่ีถูกทาลาย ได้ เนื่องจากถูกปกคลุมด้วยเน้ือตายเป่ือยยุ่ยหรือเน้ือ ตายแห้งแข็ง หากมีการตัดเนื้อตายออกจากแผล จะสามารถระบุว่าเป็นแผลกดทับ ระดับ 3 หรือระดับ 4 ได้ เนื้อตายแห้งแข็ง (แห้ง ยึดติดแน่น ไม่มีรอยแดง หรือไม่มี ลักษณะหยุ่นๆ คล้ายน้าขังอยู่ใต้แผล) ท่ีบริเวณส้นเท้าหรือบริเวณอวัยวะส่วนปลายที่ เกดิ เนือ้ ตายจากการขาดเลือด ไม่ควรทาใหอ้ ่อนตวั หรอื ตดั ออก Deep Tissue Pressure Injury: Persistent non-blanchable deep red, maroon or purple discoloration แผลกดทับทม่ี ีการบาดเจ็บเนือเยื่อชันลึก: ผิวหนังมีรอยแดงคล้า และรอยแดงยังคง อยู่เม่ือใช้นิวมือกดบริเวณ ผิวหนังท่ีเป็นรอยแดงคล้ามีการเปลี่ยนแปลงสีผิวเป็นสี แดงช้าหรอื สมี ่วง ภาพท่ี 7 แสดงลักษณะของแผลกดทบั ทมี่ ีการบาดเจบ็ เนื้อเย่ือช้ันลึก บทท่ี2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 19

ผิวหนังยังไม่เกิดการฉีกขาด หรือผิวหนังฉีกขาดเกิดเป็นแผล มีรอยแดง คลา้ เฉพาะที่ และรอยแดงยังคง อยูเ่ มื่อใช้นิ้วมือกดบริเวณผิวหนังท่ีเป็นรอยแดงคล้า มี การเปล่ียนแปลงสีผิวเป็นสีแดงช้าหรือสีม่วง หรือผิวหนังชั้นหนังกาพร้าฉีกขาดเห็นพื้น แผลเป็นสีดา หรือพบเป็นลักษณะของตุ่มน้าท่ีมีเลือดอยู่ข้างใน มักพบว่ามีความ เจ็บปวดและการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของผิวหนังเกิดขึ้นก่อนมีการเปล่ียนแปลงของสี ผิว ในบุคคลท่ีมีผิวคล้า การเปล่ียนแปลงของสีผิวจะมีลักษณะที่แสดงให้เห็นแตกต่าง ออกไป การบาดเจ็บเน้ือเยื่อชั้นลึกน้ี เกิดจากความรุนแรงของแรงกดและ/หรือการถูก กดทับเป็นระยะเวลานาน ร่วมกับแรงไถลในบริเวณส่วนเช่ือมต่อระหว่าง กระดูกและ กล้ามเนื้อ การเกิดแผลอาจลุกลามเข้าสู่เน้ือเยื่อท่ีมีการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว หรือการ บาดเจ็บอาจหายโดยไม่เกิดเป็นแผลก็ได้ ถ้าพบเน้ือตาย ช้ันไขมัน เน้ือเย่ือใหม่สีแดง ชั้นพังผืด กล้ามเน้ือ หรืออวัยวะอ่ืนๆ จะเป็นลักษณะของแผลกดทับที่มีการสูญเสีย เน้ือเย่อื (แผลกดทบั ทีไ่ ม่สามารถระบุระดับ แผลกดทับ ระดับ 3 หรือ แผลกดทับระดับ 4) การระบรุ ะดบั ของแผลกดทับที่มีการบาดเจ็บเน้ือเย่ือช้ันลึก ห้ามนามาใช้ ในการอธิบายแผลท่ีเกดิ จาก ภาวะของโรคหลอดเลอื ด การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ความ เสอ่ื มของเส้นประสาท หรอื โรคผวิ หนัง Medical Device Related Pressure Injury แผลกดทับทีเ่ กดิ จากอปุ กรณ์ทางการแพทย์ แผลกดทับที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อการวินิจฉัยหรือ การดแู ลรักษา โดยสว่ นใหญ่ ลักษณะของแผลกดทับ จะมีรูปแบบหรือรูปร่างเหมือนกับ อปุ กรณ์ที่ใช้ การบาดเจ็บท่ีเกิดข้ึนควรระบุระดับของแผลตามระบบการระบุระดับของ แผลกดทบั บทท่ี2 การพยาบาลเพือ่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 20

Mucosal Membrane Pressure Injury แผลกดทับบรเิ วณเย่ือบุผวิ แผลกดทับบริเวณเยื่อบุผิว พบได้บริเวณเย่ือบุผิวร่วมกับมีประวัติการใช้ อุปกรณ์ทางการแพทย์ในตาแหน่งท่ีเกิดแผล เนื่องจากกายวิภาคของเยื่อบุผิวมีความ แตกต่างจากชั้นผิวหนัง และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง จึงไม่สามารถระบุระดับของแผลกดทับ ได้ การประเมินความเส่ียงของการเกิดแผลกดทับแบบบราเดน (The Braden Scale for Predicting Pressure Score Risk) แบบประเมนิ ของบราเดน เป็นเคร่ืองประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผล กดทับท่ีมีการแปลเป็นหลายภาษา และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เน่ืองจากเป็น แบบประเมนิ ทม่ี คี วามแมน่ ยาในการประเมินความเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับในระดับ ที่ยอมรับได้ สาหรับในประเทศไทย แบบประเมินน้ีได้มีการแปลเป็นภาษาไทย และมี การดัดแปลงให้มีความเหมาะสมและง่ายต่อการใช้งานตามบริบทของผู้ใช้งานในแต่ละ ที่ แบบประเมินของบราเดน จะประเมินผปู้ ว่ ยใน 6 มิติ ดงั น้ี 1. การรบั ความรสู้ กึ (Sensory Perception) 2. ความเปียกชื้นของผงิ หนัง ( Moisture) 3. การปฏิบัติกิจกรรม (Activity) 4.ความสามารถในการเคล่อื นไหวรา่ งกาย (Mobility) 5.ภาวะโภชนาการ (Nutrition) 6.แรงเสยี ดสีและแรงไถล (Frition and Shear) บทที่2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 21

โดยในแต่ละมิติจะมีระดับคะแนน ตั้งแต่ 1- 4 คะแนน ช่วงคะแนนใน การประเมินคอื 6 - 24 คะแนน และมีการแปลผล ดงั นี้ 19 - 23 คะแนน ไมม่ ีความเสย่ี ง 15 - 18 คะแนน เริ่มมคี วามเส่ยี ง 13 - 14 คะแนน มีความเส่ยี งปานกลาง 10 - 12 คะแนน มคี วามเส่ียงสูง 6 - 9 คะแนน มีความเส่ยี งสูงมาก ตัวอย่าง แบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ (Braden score) โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัด เพชรบรุ ี ปจั จัยท่ีทา้ ให้เกดิ แผลกดทบั คะ แนน ระดับความรู้สึกตัว • ไมต่ อบสนองต่อความเจบ็ ปวดแมแ้ ตน่ ้อย 1 • ตอบสนองต่อความเจ็บปวด แต่ไม่สามารถบอกความไมส่ ขุ สบาย อาจแสดงอาการกระสับกระส่ายหรือ 2 รอ้ งคราง • ทาตามคาบอก แต่จะบอกถึงความไม่สุขสบายหรือความต้องการในการเปลี่ยนท่าได้เม่ือพยายามถาม 3 เทา่ นน้ั ถ้าไมถ่ ามมักหลบั เป็นส่วนใหญ่ • ระดับความรสู้ กึ ตัวดี 4 ความเปียกชนื • ผิวหนังเปียกชื้นเกือบตลอดเวลาจากเหง่ือ ปัสสาวะหรืออุจจาระ ต้องเปลี่ยนผ้าวันละ 6 ครั้งหรือ 1 มากกวา่ • ผิวหนงั เปยี กชนื้ บ่อยๆจากเหงือ่ ปัสสาวะหรอื อุจจาระ ต้องเปล่ยี นผา้ วนั ละ 3 – 5 คร้ัง 2 • ผิวหนงั เปยี กชืน้ นานๆครั้ง จากเหงอื่ ปสั สาวะหรืออจุ จาระตอ้ งเปลีย่ นผ้าเพมิ่ จากเดิม วันละ 1-2 คร้ัง 3 บทท่ี2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 22

• ผิวหนงั ไมเ่ ปียกชืน้ เปลย่ี นผา้ ตามปกติ ถา้ อุจจาระหรอื ปัสสาวะสามารถกลั้นไดบ้ อกไดท้ ัน 4 กจิ กรรม • นอนตดิ เตยี งตลอด 24 ชว่ั โมง 1 • ไมส่ ามารถทรงตวั ยืนหรือเดนิ ได้ ต้องเคลื่อนยา้ ยโดยใชร้ ถนง่ั รถนอน 2 • เดนิ ในระยะใกลๆ้ ได้ ส่วนใหญ่อยกู่ บั เตียงหรือรถน่ัง 3 • เคล่อื นไหวรา่ งกายและเปล่ยี นทา่ ได้ดี 4 การเคลือ่ นไหว • ไมส่ ามารถเคล่อื นไหวร่างกายหรือเปลี่ยนทา่ ไดเ้ องแมแ้ ตน่ อ้ ย 1 เคลือ่ นไหวรา่ งกายไดเ้ ล็กนอ้ ย แตเ่ ปล่ียนทา่ เองไม่ได้ 2 • เคลื่อนไหวรา่ งกายและเปลยี่ นทา่ ไดเ้ ล็กน้อย ต้องมีคนช่วยจึงจะเปลี่ยนได้ 3 • เคลอ่ื นไหวรา่ งกายและเปลี่ยนทา่ ได้ดี 4 ภาวะโภชนาการ • รับประทานอาหารและดื่มน้าเองไม่ได้ NPO หรือได้รับ clear liquid หรือ IV Fuid ( ยกเว้น TPN , 1 PPN) มากกวา่ 3 วัน • รับประทานอาหารได้ 4 ถาด หรือ Liquid diet หรอื NG Feeding น้อยกวา่ ทกี่ าหนด 2 • รบั ประทานอาหารไดม้ ากกวา่ 2 ถาดหรือได้รับ NG Feeding หรือ TPN ไดต้ ามท่กี าหนด 3 • รับประทานอาหารได้มากกวา่ 4 ถาด หรือรับประทานหมดทกุ มอ้ื 4 การเสยี ดสีและแรงเสียดทาน • ตอ้ งการความช่วยเหลอื ในการยกหรือเล่ือนตวั มกั มีลกั ษณะเกร็ง ขอ้ ตดิ มีการเล่อื นไหลในทา่ ศีรษะสงู 1 • ต้องการความช่วยเหลือในการยกหรือเล่ือนตัวเล็กน้อย ผู้ป่วยช่วยตัวเองในการพยุงตัวได้บ้าง มีการ 2 เลือ่ นไหลเลก็ นอ้ ยในท่าศรี ษะสงู บทท่ี2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 23

• ยกหรอื เลอ่ื นตวั ไดเ้ อง ไม่ต้องการความช่วยเหลือ 3 เสีย่ งตอ่ การเกดิ แผลกดทบั (คะแนน < 18 ) คะแนน 15-18 เสยี่ ง (เหลือง) , คะแนน 13 - 14 เส่ยี งปานกลาง (ส้ม), คะแนน 10-12 เสย่ี งสูง (แดง) คะแนน 6-9 เสย่ี งสงู มาก (ม่วง) ไม่เสยี่ งต่อการเกิดแผลกดทบั ( คะแนน > 18 ) การป้องกนั การเกิดแผลกดทบั 1. ควรมีการดูแลจัดท่านอนผู้ป่วย โดยการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 1-2 ช่ัวโมง เพื่อกระจายแรงกดทับ ไม่ให้เนื้อเยื่อและผิวหนังบริเวณปุ่มกระดูกเกิดการกด ทับตาแหน่งเดิมเป็นเวลานาน การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยควรใช้บุคลากรในการพลิก ตะแคงตัวมากกว่า 1คนเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดแรงไถลรุนแรงจนทาให้เนื้อเยื่อผิวหนัง เสียหาย ในกรณีที่ต้องพลิกตะแคงตัวในผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ควรใช้อุปกรณ์ในการช่วย พลิกตะแคงตวั เช่น ผ้าขวางเตยี ง เปน็ ตน้ 2. ดแู ลผ้าปทู ี่นอน ปลอกหมอน ผ้าขวางเตียง ให้เรียบตึงเสมอ และดูแล เสื้อผ้าผู้ป่วยไม่ให้พับย่นจนเกินไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกดทับผิวหนังจากรอยย่น ของผ้า 3.ลดการเปียกชื้นของผิวหนังจากเหง่ือ อุจจาระ หรือปัสสาวะ โดยการ เปล่ียนผ้าผู้ป่วยเมื่อชื้นแฉะ และไม่ใช้ผ้าอ้อมสาเร็จรูปในรายท่ีไม่จาเป็น เพราะจะทา ใหผ้ ิวหนงั อบช้ืน เพม่ิ ภาวะเสีย่ งในการเกิดแผลกดทบั มากขน้ึ 4.ดูแลผิวหนงั ให้ชมุ่ ชืน่ เชน่ การทาโลช่ัน ครมี บารงุ ผวิ เบบ้อี อยล์ หลัง การอาบน้าทาความสะอาดผิวหนงั 5.ดูแลดา้ นโภชนาการ ให้ผปู้ ่วยไดร้ บั น้า และสารอาหารอย่างเพยี งพอ ตามความต้องการของร่างกายในแตล่ ะชว่ งวยั และมีความเหมาะสมกบั โรค โดยเฉพาะ อาหารประเภทโปรตีน 6.ป้องกันการเกิดแผลกดทับจากอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยการจัดงวาง อุปกรณ์ใหไหลีกเลื่ยงการกดทับเป็นเวลานาน เช่น การใช้ผ้าม้วนรองท่อช่วยหายใจ บทท่ี2 การพยาบาลเพ่ือป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 24

การจัดวางและยึดติดสายสวนคาปัสสาวะด้วยพลาสเตอร์โดยเลือกชนิด ขนาด และ ตาแหน่งอย่างเหมาะสม การใช้เทคนิคการลอกพลาสเตอร์ท่ีนุ่มนวลไม่ให้เกิดการ ทาลายเนือ้ เยอื่ ผิวหนัง เปน็ ต้น 7.ใชอ้ ปุ กรณ์รองรับเพ่ือกระจายแรงกด เช่นที่นอนลมปรับแรงดัน ท่ีนอน โฟม อุปกรณร์ องรับชนิดหมุนดา้ นขา้ ง 8.ในกรณีที่ต้องจาหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน ต้องให้สุขศึกษาแก่ญาติหรือ ผูด้ แู ล เพอื่ ปอ้ งกันการเกิดแผลกดทบั ที่อาจเกดิ ข้นึ เมอื่ ผปู้ ว่ ยอยู่ทบ่ี ้าน และทาการส่งต่อ ข้อมูลการดูแลพยาบาลให้แก่ศูนย์บริการสุขภาพชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ใกลบ้ า้ น การดูแลผ้ปู ่วยเมอื่ เกิดแผลกดทบั แผลกดทับระดับ 1: ผิวหนังยังไม่เกิดการฉีกขาดมีรอยแดง และรอยแดงยังคงอยู่ เมือ่ ใช้นวิ มอื กดบริเวณ ผิวหนงั ทีเ่ ปน็ รอยแดง ควรให้การดูแลในการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 1-2 ช่ัวโมงเพ่ือกระจายแรงกด ทับ และระวังอยา่ ให้ผิวหนงั เปียกชื้น ไม่ขัดถูผิวหนงั ในระยะนีผ้ ู้ป่วยยังไม่เกิดแผล อาจ เลอื กใช้ผลิตภณั ฑเ์ พอ่ื สร้างเกราะปอ้ งกันใหผ้ ิวหนงั ดงั น้ี 1) การใชป้ ิโตเลยี มเจลลี่ (Vaseline) ทาบางๆบริเวณท่เี กดิ แผลกดทับ 2) การใช้ Zinc Paste ผสมกับปิโตเลยี มเจลล่ี (Vaseline) ในอัตราส่วน 1:1 (Zinc Paste: Vaseline) ทาบางๆบรเิ วณทีเ่ กิดแผลกดทับ 3) การใช้ Skin barrier cream ทาบางๆบริเวณที่เกิดแผลกดทับ Skin barrier cream จะมีคุณสมบัติในการเป็นเกราะป้องกันผิวหนัง และทนต่อ การชะล้างไดป้ ระมาณ 7 คร้ัง แตจ่ ะมรี าคาค่อนข้างสูง 4) การทา Foams dressing โดยใช้ Polyurethane foam ปิดทับเพ่ือ กระจายแรงกด บทท่ี2 การพยาบาลเพื่อป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 25

แผลกดทบั ระดบั 2: สูญเสียผวิ หนังบางส่วน มองเห็นชนั หนังแท้ ควรให้การดูแลในการพลิกตัวผู้ป่วยทุก 1-2 ชั่วโมงเพ่ือกระจายแรงกด ทับ ระวังอย่าให้ผิวหนังเปียกชื้น และส่งเสริมภาวะโภชนาการ การดูแลแผลในระยะน่ี ควรทาความสะอาดแผลด้วยน้าปะปาที่สะอาด หรือน้าเกลือ 0.9% NSS ห้ามขัดถู ห้ามใช้น้ายา Betadine Solution เช็ดทาความสะอาดแผล เพราะจะทาให้เกิดการ ตายชองเนื้อเยื่อผิวหนังเพ่ิมมากขึ้น และขัดขวางการหายของแผล ควรเลือกใช้ ผลติ ภณั ฑเ์ พอ่ื ป้องกนั ผวิ หนงั ไม่ใหเ้ กิดการลุกลามของแผลมากขนึ้ ดังนี้ แผลกดทบั ระดบั 2 1) การใช้ Zinc Paste ผสมกบั ปโิ ตเลียมเจลลี่ (Vaseline) ในอัตราส่วน 2:1 (Zinc Paste: Vaseline) ทาบางๆบริเวณท่ีเกิดแผลกดทบั 2) การใช้แป้ง Hydrocolliod powder โรยบางๆบริเวณแผล และทาทับ ดว้ ย Zinc Paste: Vaseline ในอัตราสว่ น 2:1 3) การใชแ้ ป้ง Hydrocolliod powder โรยบางๆบริเวณแผล และพ่น Skin barrier film ทับสลับกับการใช้แป้ง โดยทาซา้ 2-3 รอบ 4) การทา Foams dressing โดยใช้ Polyurethane foam ปิดทับเพื่อ กระจายแรงกดและสง่ เสรมิ การหายของแผล สาหรับการดูแผลกดทับระดับ 3: สูญเสียช้ันผิวหนังท้ังหมด และแผลกด ทับระดับ 4: สญู เสยี ช้นั ผิวหนังทั้งหมด และชน้ั เนอ้ื เย่ือใต้ผิวหนัง จะอธิบายในบทถัดไป Foams Dressing จุฬาพร ประสังสิต (2559: 71. ใน จุฬาพร ประสังสิต กาญจนา รุ่งแสง จันทร์ และยุวรัตน์ม่วงเงิน บ.ก.) ได้อธิบายถึงลักษณะ และรายละเอียดของ Foams Dressing ไวด้ งั น้ี Foams dressings ทาจาก polyurethane foam และเคลือบด้าน นอกด้วย polyurethane film ด้านที่สัมผัสกับแผลจะไม่ทาอันตรายต่อเน้ือเย่ือใหม่ polyurethane มีความสามารถในการดูดซับสูง ด้านในที่ใช้ติดกับพื้นผิวของแผลเป็น สารประเภท Hydrophilic สามารถดูดซับสิ่งขับหล่ังได้ดี ไม่ไหลย้อนกลับ การดูดซึม บทที่2 การพยาบาลเพื่อป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 26

เป็นในแนวต้ัง (vertical absorption) ช่วยกระตุ้นกระบวนการ autolytic debridement ควบคุมอณุ หภมู ไิ ด้ ลดการเป่อื ยยุ่ยของขอบแผล สว่ นด้านนอกเป็นสาร ประเภท Hydrophobic สามารถให้ก๊าซผ่านได้ กันํน้า และแบคทีเรียไม่สามารถผ่าน ได้ เหมาะใช้กับแผลท่ีมีปริมาณส่ิงขับหลังปานกลางถึงปริมาณมาก มีคุณสมบัติในการ กันกระแทก สามารถนามาใช้เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ โดยลดการเกิดแรงไถล และแรงเสียดสีบริเวณปุ่มกระดูกได้ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์เช่น Allevyn, Urgocell Betaplast, Askina foam Foams dressings ในปัจจุบันมีหลากหลายชนิด รายละเอยี ด ดงั นี้ 1) Foams dressings บางชนิดด้านล่างท่ีสัมผัสกับพื้นผิวของแผล เป็น Hydrogel sheet ชนิดแผ่นบางๆ ส่วนด้านบนเป็น polyurethane foam สาหรับดูด ซับส่ิงขับหลัง ควบคุมความช้ืนและกระตุ้นกระบวนการ autolytic debridement ควบคุมอุณหภูมิได้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ Askina Transorbent และบาง ชนิดด้านล่างที่สัมผัสกับพ้ืนผิวของแผลเป็นซิลิโคน Safetac ช่วยลดการเกิดอันตราย trauma บริเวณพ้ืนผิวของแผล และผิวหนัง รอบแผลถูกทาลายจากแรงดึงตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ Mepilex 2) Foams dressings บางชนิดด้านล่างท่ีสัมผัสกับพื้นผิวของแผล เป็น hydrofiber และมีขอบเป็น ซิลิโคน ช่วยเร่ืองการดูดซับส่ิงขับหลังได้มากขึ้น ช่วยลด การเกิดอันตรายของผิวหนังรอบแผลถูกทาลายจากแรงดึง ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ Aquacel Foam 3) Foams dressings บางชนิด ผสมสาร Nano Oligo Saccharide Factor (NOSF) เพื่อไปทาปฏิกิริยากับ matrix metalloproteinase (MMPs) ส่วนเกินในแผลเรื้อรังให้อยู่ในระดับท่ีสมดุล ทาให้แผลหายเร็วข้ึน ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ Urgostart บทท่ี2 การพยาบาลเพ่อื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 27

4) Foams dressings บางชนิดสร้างขึ้นจากโครงสร้าง 5 ชั้น เพ่ือช่วย กระจาย แรงกด ลดแรงไถล และแรงเสียดสีได้ ใช้ปิดปุ่มกระดูกเพ่ือป้องกันการเกิด แผลกดทบั ตวั อยา่ งลิตภัณฑ์ Maplilex Border โภชนาการในผปู้ ว่ ยมีแผลกดทับ โภชนาการเป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งของมนุษย์ หากร่างกายมีภาวะ โภชนาการพรอ่ ง หรือได้รบั สารอาหารไม่เพียงพอ ก็จะทาให้ร่างกายมีปัญหาด้านภาวะ สขุ ภาพ มคี ุณภาพชีวิตทไ่ี มด่ ี โดยเฉพาะผู้ทต่ี อ้ งนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน ผู้ป่วย ที่มีข้อจากัดในการเคลื่อนไหว หรือผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็จะมีภาวะ เส่ยี งตอ่ การเกิดแผลได้เพมิ่ ขนึ้ การประเมินภาวะโภชนาการ 1. การประเมินภาวะโภชนาการในเด็กและวัยรุ่น (แรกเกิด-18 ปี) จะ ใช้การประเมินภาวะโภชนาการด้วยกราฟการประเมินการเจริญเติบโต โดยจะมี กราฟในการประเมิน 3 ลักษณะคือ การประเมินน้าหนักตามเกณฑ์อายุ การประเมิน ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ และการประเมินน้าหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง โดยจะมีกราฟแยก ตามเพศชายและเพศหญิง บทท่ี2 การพยาบาลเพ่ือป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 28

รปู ภาพที 2-1 แสดงตวั อยา่ งกราฟประเมนิ ภาวะโภชนาการของเด็กผชู้ าย (ที่มา:เอกสารเผยแพรข่ องกรมอนามยั สานักโภชนาการ) บทท่ี2 การพยาบาลเพ่ือป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 29

รปู ภาพที 2-2 แสดงตวั อย่างกราฟประเมนิ ภาวะโภชนาการของเด็กผู้หญงิ (ท่ีมา:เอกสารเผยแพรข่ องกรมอนามยั สานักโภชนาการ) 2. การประเมินภาวะโภชนาการในวัยผู้ใหญ่และวัยสูงอาย (ตังแต่19 ปขี ึนไป) จะประเมินโดยใช้ค่าดชั นมี วลกาย (ค่า BMI ) ซงึ่ คานวณไดจ้ าก นา้ หนกั (ก.ก.) / ส่วนสงู 2(ม.) เกณฑ์การประเมินค่าดชั นมี วลกาย (คา่ BMI ) ของคนเอเชีย Body Mass Index (BMI) การแปลผล น้อยกว่า 16 น้าหนักตวั น้อยระดับ 3 บทที่2 การพยาบาลเพ่อื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 30

16.0-16.9 นา้ หนกั ตวั นอ้ ยระดับ 2 17.0-18.5 น้าหนกั ตัวน้อยระดับ 1 18.5-22.9 23.0-24.9 สมสว่ น 25.0-29.9 น้าหนักเกิน มากกว่า 30 โรคอว้ นระดับ 1 โรคอว้ นระดบั 2 ภาวะทพุ โภชนการและภาวะโภชนาการพร่อง ภาวะทพุ โภชนการ เป็นภาวะทีร่ า่ งกายขาดสมดุลในการรับประทาน อาหาร เกดิ จากการรับประทานอาหารทผ่ี ดิ สดั ส่วน ทาให้ได้รับสารอาหารบางอยา่ ง มากหรือน้อยเกนิ ไป หรอื รบั ประทานผดิ สัดสว่ น กรมอนามัย สานกั โภชนาการจงึ ได้ กาหนดธงโภชนาการข้ึนมา เพื่อให้แตล่ ะช่วงวยั รับประทานอาหารได้ถกู สัดส่วน ไม่ ขาดสารอาหารและไมเ่ กิดภาวะทพุ โภชนาการ บทท่ี2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 31

รูปภาพท่ี 2-3 แสดงตวั อยา่ งธงโภชนาการวยั ผใู้ หญ่และวัยสงู อายุ บทท่ี2 การพยาบาลเพื่อป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 32

(ท่มี า:เอกสารเผยแพรข่ องกรมอนามัย สานักโภชนาการ) ภาวะโภชนาการพร่อง หมายถึง การขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหน่ึง หรือมากกว่า 1 อย่างทีมีความจาเป็นต่อภาวะสุขภาพ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยทางด้าน รา่ งกาย ปจั จยั ด้านเศรษฐานะ หรอื ปัจจัยทางด้านวฒั นธรรม ดงั ตอ่ ไปนี้ ปจั จัยทเี่ กี่ยวขอ้ งตอ่ การเกิดภาวะโภชนาการพร่อง 1.ปัจจัยด้านร่างกาย ได้แก่ การป่วยเป็นโรคเรื้อรัง และกระบวนการชรา ภาพ 1) การป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่นการป่วยเป็นโรคเรื่อรังท่ีเกี่ยวข้องกับ ระบบทางเดินอาหาร การย่อย การดูดซึมของอาหาร ข้อจากัดหรือ ข้อห้ามในการรับประทานอาหารต่างๆ ส่งผลให้ร่างกายได้รับ สารอาหารไม่เพียงพอ 2) กระบวนการชราภาพ ส่งผลให้ร่างกายเสื่อมถอย ไม่มีฟันสาหรับบด เค้ียวอาหาร ระบบย่อยและการดูดซึมสารอาหารไม่สามารถทางาน ไดด้ เี หมอื นเดิม 2. ปัจจัยด้านเศรษฐานะ ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีการดาเนินชีวิต ความสามารถ ในการเลอื กซือ้ อาหาร คุณภาพของอาหารหรือปรมิ าณท่ีได้รับ 3.ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม มีอิทธิพลต่อแบบแผนในการเลือกหรือการ ปรงุ ของอาหาร เชน่ รสชาตขิ องการปรงุ อาหารทม่ี ีความแตกต่างกันในแต่ละภาค ความ เชือ่ ทางศาสนาในการรับประทานอาหารทแ่ี ตกตา่ งกัน เป็นตน้ บทท่ี2 การพยาบาลเพื่อป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 33

การประเมนิ ภาวะโภชนาการพรอ่ งโดยใช้ Malnutrition Universal ScreeningTool หัวข้อประเมนิ 0 คะแนน 1 คะแนน 2 คะแนน < 20 18.5 - 20 < 18.5 1.ดัชนมี วลกาย ร้อยละ 5-10 > รอ้ ยละ10 < รอ้ ยละ 5 2.ร้อยละของน้าหนักทลี่ ดลงภายใน 3 - มี ถึง 6 เดือน ไม่มี 3. เป็นโรคทมี่ ผี ลต่อภาวะโภชนาการที่ ทาใหไ้ มส่ ามารถทานอาหารไดต้ ามปกติ หรือไม่ได้รับสารอาหารมากกวา่ 5 วนั คะแนนรวม สามารถแปรผลการคดั กรองภาวะโภชนาการพร่อง MUST ได้ ดังน้ี คะแนนรวมเทา่ กับ 0 คะแนน หมายถงึ ความเสย่ี งต่า คะแนนรวมเทา่ กบั 1 คะแนน หมายถงึ ความเสยี่ งปานกลาง คะแนนรวมเท่ากบั หรือมากกว่า 2 คะแนน หมายถึง ความเสี่ยงสงู ผลกระทบของภาวะโภชนาการพร่องต่อการหายของแผล ภาวะโภชนาการพรอ่ งจะสง่ ผลกระทบต่อการหายของแผลท้ังทางตรงและ ทางอ้อม เมื่อร่างกายขาดสารอาหารท่ีจาเปน็ ต่อการหายของแผล จะทาให้ กระบวนการหายของแผลช้าลง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทางานลดลง และอาจเกิด ภาวะแทรกซ้อนท้งั จากทางร่างกายและภาวะจิตใจ บทท่ี2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 34

สารอาหาที่จ้าเปน็ ส้าหรับผปู้ ่วยท่มี แี ผล นภาพร อภิรดวี จเี ศรษฐ์ (2559 :147-148. ใน จุฬาพร ประสังสิต กาญจนา ร่งุ แสงจนั ทร์ และยุวรัตนม์ ่วงเงิน บ.ก.) ไดก้ ลา่ วถึงสารอาหารทีม่ ีผลต่อการ หายของแผล มดี งั น้ี 1. คารโ์ บไฮเดรต จะชว่ ยเพม่ิ พลงั งานให้รา่ งกาย เพ่อื ใชใ้ นกระบวนการ หายของแผลและการลดการอักเสบติดเชือ้ เพราะชว่ ยในการทางานของเม็ดเลือดขาว และเซลล์ไฟโบรบลาสท์ (fibroblast) สารอาหารนีอ้ ยู่ในอาหารประเภท ขา้ ว แปง้ และ นา้ ตาล แตค่ วรบริโภคอย่างเหมาะ กลูโคส เปน็ สารท่ีให้พลังงาน ถา้ ขาดพลงั งานจาก กลโู คส ร่างกายจะดึงเอาพลังงานจากสารอาหารอน่ื มาใช้ โดยเฉพาะโปรตีน ทาให้ได้ ประโยชนจ์ ากสารอาหารโปรตนี ลดลง 2 .ไขมนั เป็นสว่ นประกอบท่ีสาคัญที่ชว่ ยในการสงั เคราะห์กรดไขมนั (fatty acid) และไตรกลีเซอไรด์ (triglycerides) ซงึ่ เป็นสว่ นประกอบของผนังเซลล์ กรดไขมนั omega-3 ๆ ควบคมุ สมดลุ การเกดิ การอักเสบภายในรา่ งกาย อาหารที่มี ไขมนั ได้แก่ น้ามันจากพชื และสตั ว์ 3. โปรตนี พบมากในอาหารประเภทเนอื้ สัตว์ นมและผลติ ภณั ฑ์จากนม ถว่ั เมลด็ แห้ง และไข่ กรดอะมิโนจากโปรตีนจะใชใ้ นการสร้างหลอดเลือดฝอยใหม่ เซลล์เม็ดเลือดขาวและไฟโบรบลาสท์ ชว่ ยในการสังเคราะห์เสน้ ใยคลอลาเจน และทา ให้ผิวหนังท่สี ร้างขน้ึ ใหม่มคี วามแขง็ แรง หากขาดโปรตีน ร่างกายจะติดเช้ือโรคได้ง่าย และแผลหายช้า นอกจากนยี้ งั พบ กรดอะมโิ น arginine และ glutamine ชว่ ยเพ่ิม ภมู ิคุ้มกันโรค 4.วติ ามนิ ท่ีมผี ลต่อการหายของแผล ได้แก่ 1) วติ ามินเอ จะชว่ ยส่งเสรมิ การเจริญเตบิ โตหรอื การงอกใหม่ของ เยอ่ื บุผวิ ใหม่ท่ขี ึ้นมาปกคลุมแผล และช่วยในการสังเคราะห์เส้น ใยคลอลาเจน และควบคมุ สมดลุ การเกดิ การเกิดการอกั เสบใน รา่ งกาย พบมากในผักผลไม้ท่ีมสี ีเหลือง สม้ แดง และเขียวเข้ม เชน่ แครอท ฟักทอง บร็อคโคลี่ เปน็ ต้น บทที่2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 35

2) วติ ามนิ ซี ช่วยในการสังเคราะห์เส้นใยคลอลาเจน และหลอด เลือดฝอยใหม่ ทาใหห้ ลอดเลือดแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการทางาน ของเซลล์ไฟโบรบลาสท์ และยงั ชว่ ยป้องกันการติดเช้ือ ช่วยใน การดูดซมึ ธาตุเหล็ก พบมากในฝรงั่ สม้ มะขามป้อม เป็นต้น 3) วติ ามนิ บี ช่วยลดการตดิ เชอ้ื ของแผล พบมากใน ขา้ วซ้อมมือ ข้าวโอต๊ ตบั เนือ้ หมู เป็นตน้ 4) วติ ามนิ อี ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ เพ่มิ ภมู คิ ุ้มกันโรค พบ มากในไข่ จมูกขา้ วสาลี ขนมปังโฮลวีต เป็นตน้ 5. เกลอื แร่ ท่มี ีผลตอ่ การหายของแผลไดแ้ ก่ 1) สังกะสี มีสว่ นช่วยในการงอกใหมข่ องเยือ่ บผุ ิวที่ข้นึ มาปกคลมุ แผล ช่วยทาให้ผนงั เซลลม์ คี วามแข็งแรง พบมากในเนื้อปลา ไข่ ตับ ขา้ วโพด เปน็ ตน้ 2) เหล็ก มสี ่วนช่วยในการสงั เคราะห์เส้นใยคอลลาเจน ช่วยให้ เซลลเ์ มด็ เลือดขาวกาจดั แบคทีเรียได้ดีข้ึน พบมากในเคร่อื งใน สตั ว์ ผกั ใบเขียว เป็นตน้ 3) ทองแดง ช่วยในการสงั เคราะห์เสน้ ใยคอลลาเจน พบมากในถ่วั เมล็ดแห้ง เครื่องในสัตว์ ลกู พรุน เป็นตน้ 6. นา้ เปน็ องค์ประกอบหลกั ของอวัยวะในรา่ งกาย ชว่ ยในการสมานแผล ในสภาวะท่ีมีปริมาณนา้ เหมาะสม ความชุม่ ช้ืนพอเหมาะ จะทาใหเ้ ซลลผ์ ิวหนังสามารถ เคลอ่ื นทจ่ี ากขอบแผลมาปดิ คลมุ แผลไดด้ ี บทท่ี2 การพยาบาลเพอื่ ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 36

การพยาบาลผู้ป่วยท่มี แี ผลกดทบั ข้อวนิ จิ ฉัยทางการพยาบาลขอ้ ที่ 1 เส่ยี งตอ่ การเกดิ แผลกดทบั เน่ืองจากถูกจากัดการเคล่ือนไหว เปา้ หมาย ไมเ่ กดิ แผลกดทับ เกณฑก์ ารประเมิน 1.ไม่เกิดแผลกดทับที่ผิวหนังบรเิ วณปมุ่ กระดูก 2. Braden score › 18 คะแนน กิจกรรมการพยาบาล 1.พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ช่ัวโมง เพ่ือกระจายแรงกดทับ โดยใช้คนช่วย ยก 2-4 คน ในการพลิกตะแคงตัว สาหรับท่านอนหงายให้ปรับศีรษะสูง ประมาณ 30 องศาและควรจดั ทาตารางเวลาในการพลิกตะแคงตัว 2. ดแู ลผา้ ปทู น่ี อน ปลอกหมอน ผา้ ขวางเตยี ง ให้เรยี บตงึ เสมอ 3.เปลี่ยนผ้าให้ผู้ป่วยทุกครั้งเม่ือเกิดความเปียกชื้นของผิวหนัง จากเหง่ือ อุจจาระ หรอื ปัสสาวะ 4.ดูแลผิวหนังผู้ป่วยให้ชุ่มช่ืนด้วยการทาโลช่ัน ครีมบารุงผิว เบบี้ออยล์ หลังการอาบนา้ ทาความสะอาดผิวหนัง 5. ประเมินภาวะโภชนาการ ด้วยแบบประเมิน MUST และดูแลให้ผู้ป่วย ไดร้ ับน้าและสารอาหารที่เพียงพอต่อความตอ้ งการของรา่ งกาย 6. ในกรณีท่ีมีอุปกรณ์เพียงพอ แนะนาให้ใช้อุปกรณ์รองรับที่สามารถ กระจายแรงกด เช่น ที่นอนลมปรับแรงดนั 7. ประเมนิ ความเสยี่ ของการเกิดแผลกดทับด้วยแบบประเมินของบราเดน ทกุ 8 ชวั่ โมง 8.ในกรณีที่ต้องจาหน่ายผู้ป่วยกลับบ้าน ต้องให้สุขศึกษาแก่ญาติหรือ ผู้ดแู ล เพื่อป้องกนั การเกดิ แผลกดทับท่ีอาจเกดิ ขึ้นเมือ่ ผปู้ ว่ ยอยทู่ ่ีบา้ น และทาการส่งต่อ ข้อมูลการดูแลพยาบาลให้แก่ศูนย์บริการสุขภาพชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ใกล้บา้ น บทท่ี2 การพยาบาลเพอ่ื ป้องกนั แผลกดทบั หนา้ 37


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook