Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดย นายฉุน ประภาวิวัฒน

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา โดย นายฉุน ประภาวิวัฒน

Search

Read the Text Version

านสำคํณทางพรส์พุทธศ โดย นายจุน ประภาวิวฒน าโๆ อปนายก พทชิสมาคมแห่งฟ่ระเทสไทย ในทระบรมราชปถมภ็



คานา การจ้คพิมพ์หน'งสือเล่มนึ่ขั้นมา ก็เนื่องด้วย จากการสมมนาหน'งสือเด็กกลุ่มอาย ๑®-®๖ บี่ ซึ่งองค์การศึกษา วิทยาศาสฅร และว'ฌนธรรมแห่งสหประชาชาติ เบืนธระอปถ*มภ ให้มีขน ระหว่างวํนที่ ๒๘ พฤศจิกายนถึง ๑๓ ธ*นวากม ๒๕0๙ ณ ตึกศนขวสดุการศึกษา ในบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ ข้าพเจ้าไค้ การเสนอให้เบื่นท*งกรรมการอำนวยการ และวิทยากร และในชานะ เบนวิทยากร ขาพเจาได้รบมอบหมายให้เขียนสารกตึเรึ่องหนึ่ เรองสารกดทีวทยากรทานอืนๆ จะไค้เขียนขน สารคดีรายการน ในหนงสือสารคดีทีมีชอว่า “ใครอสาครู้” ซึ่งศนย์หน์งสือแห่ง อ้นเบ็นสถาบนกงร้ฐบาล จะได้จ้ดพิมพ์ขั้นจำหน่ายฅ่อไป และในการสํมมนาของกลุ่มหนง ซึง!ค้รบมอบหมายหนำที ให้ช่วยกนแต่งเรื่องต่างๆ ทางสารคดี มีบรรณาร'อํษ์จ้านว ชั้แรงแสดงกวามเห็นว่าน่าจะมีใกรส*งคนหนึ่งไค้นค'งหน,ง^อเกี ความสำคญแห่งว*'นสำค'ญทางพระพุทธศาสนาขั้นห้ใง เพราะว่ ประสบการณ์ของบรรณาร่กษVงว่านน มีเด็กเช่ามาถามหา ขอกน ขออ่านหน่งสืออุเทศประเภทนึ่กนอยู่เนือง ๆ คามห้องสมค

ขำพเจำจึงถือโอกาสอภิปรายอธิบายว่า ขำพเจำได หน*งสือประเภทสารคดีด้งว่านึ่ไว้แล้วเล่มหนึ่ง แค่เขีย ป็ว!าโ]ษซจํเมช0วา XIไ6 811(1(311181 1X01V 13&75 311(3 51316 0616010ฑ168 อ{ เพื่อให้ชาวค่างประเทศไห้ซาบซงตรึงใจในพระพุท ศาสนาของเรา และทงย‘งไห้พิมพ์ออกจำหน่ายแล้วอีกล้วย คือเหตุผลที่ทำให้ขำพเจ,าฅกลงใจถอดความของหน*ง สือภาษาปงกฤษ เล่มนึ่ออกเบื่นภาษาไทยแล้วมอบให้สำน์กพิมพ์แพร่พิท ออกจำหน่าย ในหน'งสือ “วนล่าก’ญทางพระพทธศาสนา” เล่มน1น ขำพเจำขอถือโอกาสกำน่าแปล “หส'กนระทนธสาสนา ๑๒ ประการ’' ซึ่ง นายกริสฅ์ม*ส ส'มเฟรยส ได้ประมวลขีนไว้ ลงเบนบทประเดิม เรี่มแรกของหน่ง่สือ และปงเย้ญไห้พบกำวิจารณ์หล*กพระพุทธศาสนา ๑๒ ประการของ นายคริสฅ์ม*ส ช*มเฟรยส์ ในหน*งสือชุมนุม ปา1ฐกถาของสุขีโวภิกขุเปา จึงไห้ฬั)การขออนญาฅท่านอาจารย ปญญานุภาพ แห่งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเท มาพิมพ์ลงควบก่ไว้ด้วย ท่านอาจารย์ ปุญญ'านภาพ เ อนญาฅให้นำปาฐกถาของท่านที่เกยแสคงไว้ ณ พุทธสมาคมแ ประเทศไทยมาใช้ไห้ ที่งย*งจะช่วยทำการดีดต่อขอนญาฅจากส การศึกษา ของมหามกุฏิราชวิทยาล้ยผู้เบึนเล้าของลิขสิทธี ชุมนมปาฐกถาของ สุขีโวภิกขุ ปนมี “วิจารณ์หปกพระพุทธศาส

ฑ 6;๒ ขอ ของนายกริสค์ม’'ส ชํมเฟรยส์ โคย สชีโวภิกขุ รวมอย่ด้ ซงมีจำหน่ายที่มหามกุฎราชวิทยาล’'ย หนำว''ดบวรนิเวศ ด้งนน ณ โอกาสนิ ข้าพเจ้าจึงขอถือโอกาสแสดงกวาม ขอบกฺณอย่างสงแค่ท่านอาจารย์ สชีพ ปญฌานภาพ และที่ ศ*กษา ของมห* ามกฎราชว-ทยาล~ย 1 ๆ[นกวามเอะอ'เ'ะพเอเผง่้อแผI กระงนะค.ว- ย แล*'วนอกจากนน ขห้พเจ้าย''งได้นำข้อนิเทศอ''นน่าสนใจใกร รู้คามท’'ศนะของข้าพเจ้า ในส่วนที่เกี่ยวข้องโคยฅรงก’'บ “ ทางพระพุทธศาสนา’’ อ*'นเบ็!นชึ๋อเรื่องหน''งสือเล่มนิ มาพิมพ์ใ เบ็๋นกวามรู้กู่กวบอีกด้วย อาทิ เราไหว้พระทำไม ปร*'ชญาอ*'นแฝ เข้น่อยู่,ในสี่งที่ใช้บูชาพระ และสถาบ’'นว''ดของประเทศไทย อนึ่ง ค่าทศนะด้าง พุ ที่ชแจงแสดงออกไว้ในหน''งสือเล่ม จะเบ็1นที่สนใจและให้กวามรู้ศวามดลใจให้ท่านผ้อ่าน ไค้ประส พบธรรมที่ผ่องแผ่วนํนแค่''3คือจุดประสงค์และเจฅนารมถ!ของผ้เ หน''งสือเล่มนิ



สารบาญ หนำ บทที ๑ หล'กพระพุทธศาสนา ๑๒ ประการ ๑ ของ นายคริสต์ม'ส อ'ม้เฟรยส์ บทที่ ๒ วิจารณ์หล'กพระพุทธศาสนา ๑๒ ข้อ ๑๓ ของ นายกริสต์ม'ส อไแฟรยส์ โกย สุชีโวภิกขุ บทที่ ๓ เราไหว้พระทำไม ใ ๔๙ บทที่ ๔ ปร'ชญาอ*,นแฝงเรนอย่ในสื่งที่!ช้บูชาพระ ( ๑) ดอกบ'ว (๒) ดอกไม้อื่น ๆ (๓) ธรรมจกร์ หรือ ล,อธรรม (๔) ธูป (๕) เทียน บทที่ ๕ สกาบนว'ดของประเทศไทย ๗๕ บทที่ ๖ ว'นวิสาขบชา ซึ่งฅรงก*บว'นเพ็ญกลางเดือน ๖ ๘๖ บทที่ ๗ ว'นอาสาฬหบชา ซึ๋งฅรงกบเพ็ญกลางเดือน ๘ ๙๗ บทที่ ๘' วินเฟ้าพรรษา ซึ่งดรงก'บเดือน ๘ แรม ๑ กำ @0๖

หน่า บา)ที่ ๙ วนออกพรรษา ซึ่งฅรงกบเพ็ญกลางเดือน®® ตด๓ (๑) พิธีทอดกฐิน ๑๓๓ (๒) พยุหยาดราทางชลมารก บนที®อ วนมาฆะบูชา ซึ่งดรงกไ)ร้นเพ็ญกลางเดือน ๓ ภาคผนวก ๑๔ ©๗๒-๓ บทประพํนธ์เทิดทูนพระคุณแม่ บทประพินธ์ของแม่

บทท ๑ หลํกษระททธฟิาสืนา ๑๒ ประการ ตามท นายคริสต์มาส ฮไแฟ่รยส็๋ ผู้พิพากษาชาวอิงกฤษ ผู้เลอมใสในพระพุทธศาสนา และผู้สถาปนาสมาคมพระพุทธ ศาสนาแท่งประเทศองกฤษขนในกรุงลอนดอนได้ประมวลขน และ บรรดาสํงฆราชและผู้เบนท่วหนาในทางVเทธศาสนาของกลุ่มประ เทศพระพุทธศาสนาทํงหลาย ท'งผายเถรวาทและมหายาน อินน*บ รวมทงประเทศไทยของเราดํวย ริบรองและเห็นดํวยว่า แเนการ ถกคํธ1ถ่อ4แท อ้นคาโโอ้น้อ้เอนVเอ้'คืนคืถอไค แปลใดย นายสน ประภาวิว*ฒน

1ดุฮ โคตมะทมชิะ ทรงประสฅิทีอินเดียคอนเหนือในศตวรรษ ท ๗ สม*'ยก่อนพระเยซกริสค์สมภพ V'!ระองค์ท่านทรงเบนราช'เอรส ของกษ*ฅริย์กรองนคร เมื่อทรงมีพระชนม์พรรษาได้ ๓๐ เกิดทรง เหนื่อยหน่ายในความพ่มเพื่อยท้เงเพื่อของชีวิฅ ใน พบเห็นด้วยพระองค์เองว่า โลกเรานื่หนาแน่นเนืองนองไป ความทุกขเวทนา ด้งน,นพระองค์จึงทรงจาริกไต่เด้าไปแสวงหาท จะปลดฟลื่องหรือหลุดพ1'นจากกวามทกข์นั้งนื่เพื่อได้ไว้ให แก่มวลมนุษยชาติ หล่งจากที่ได้ทวงแสวงหาทางอยู่เบ็๋นเวล ในที่สคก็ทรงบรรลุโพธิญาณ และจากน5น่ก็ปรากฏพระนามว่าพระล ล่มพุทธะ หรือ ‘‘สมเด็จพระผู้มีพระภาค” ฅลอคพระชนม์ชีพอินยืน ยาวของพระองค์ พระองค์ได้ทรงส่งสอนบรรคาเวไนยส*'ฅว์ผู้เลื่อมใส ในพระองค์ ถึงม*'ชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง อ*นเบนทางนำไปส่ การคบทุกข์ หล*งจากที่พระองค์ทรงค*บข''นธสู่ปรินิพพานแล่ว ธรรมกำส่งสอนของพระองค์ ได้แผ่กระจายขยายด้'วออกไปไกลและ กว่าง จนกระท่งบจจบ*น่ทุกว่น่นื่ จำนวนเกือบเศษหนึ่งส่วน ของมนุษยชาติได้ยอมร*บน*'บถึอและยกเอาพระพุทธองค์เบึนผู้นำท พระองค์ผ้ซึ่งบรรลุแล่วถึงแล่วซึ่งภาวะหลุดพ่น ย*งทรงประทาน กรุณาเบี่คเผยถึงทางที่จะบรรลุถึงซึ่งภาวะเช่นนั้นแก่ ในโลกคำย

๓ พูคอย่างกว้าง ๆ พระพุทธศาสนาทุกส่นนั้แบ่งอ ท''กบิณนิกายหรือพุทธศาสนาผายเถรวาท ซึ่งแปลว่า คำส่งสอนของ พระเถระ อ้นมีประเทศค่าง พุ เหล่าน้อย่ในเครือ คือ ส่งกา พม่ ไทย เขมร ลาว และอินเดียบางส่วน (ซึ่งอินเดียเวลานั้น1ง;หาไค้ ประเทศพุทธศาสนาไม่แส่ว) และอฅฅรนิกายหรือผายมหายานอ''น อ''นกรอบกลมถึงประเทศธิเบฅ มองโกเลียใค้ ก'บประชาชนพลเมื หลายส่อยส่านของประเทศจีนและญี่งุ่]น และทีงส่งนบรวมถึ เกาหลี และเวียดนามอีกส่วย พระพุทธศาสนาทีง ๒ ผาย ๒ นิก ส่งว่านั้ จะแก่งแย่งกีดก'นก''นถึหาไม่ ไค้ช่วยส่นสส่างเสริ พระพทธศาสนาส่านค่าง พุ กนละอย่าง และกนละไม้กนละมือ พระพุทธศาสนาน1น'ได้ชื่อว'าเบนศ?สนาแท่งศ?นิ?) ทํ้งนั้ เพราะว่า ทีงแค่ไหนแค่ไรมาหาไค้เกยมืสงกรามอ''นน''บเนื่อง ก''บพทธศาสนาไม่ (ซึ่งผิดก''บศาสนาอ''นซ์งมืสงกรามบุญ หรือ โว0!V ^31 อ*'นเบึ่นกวามนิยมอย่างหนึ่ง) ท4ง็ส่งหาได้มีองค์การหรือสถาบ พระพทธศาสนาแห่งใคที่ได้ชื่อว่า ทำการประห''ดประหารหรือราน ผ้ใดในการเชื่อถือหรือเลื่อมใสของ1.ขา หรือการแสคงออกบอกถึงความ ยึดมนของเขาไม่ ต่อไปนั้คือส*'จจะหรือหล''กค่างพุ ของพระพุทธ (๑) กนเรานน'จะส่องเส่าถึงและบรรลุถึงส่วยส่วของส และเบั๋นงานอ''นมืส่กบณะฉบพส่นทีนที ไม่มืการย*'บยงรีรอแค่อย่าง

ถากน ทุ หนึ่งถกางคิวยลกธนอาบยาพิษ เขากวรจะตองทำการค ถอนลูกธนน8นออกโดยฉไเพล'นพไเท็ ไม่มีการยิบย8งรีรอไถ่ถามเอา กวามถึงรายละเอียดเสียก่อนว่า ใกรพนกนยิง ธนน1นยาวเท่ และลูกธนน8นมีฌัาษณะแบบไหน ที่กล่าวคิงนึ่ก็เพื่อจะอธ การประจ*กษ์แจ่มแจำเรื่องพระพทธศาสนานึ่น ขอให้เราจงล ปฏิบัติเสียโคยฉบพลไเท'นทีเถิด โกยไม่มีการยิบยงรีรอผล'ดว*น ประกนพรุ่งแต่อย่างใด เพราะว่าระหว่างที่เราจรดเดนดำเนิน มรรกาคํงว่าน8น จะมืเวลาถมเถไปที่เราจะเรียนรู้และเข่า,ใจถึง กำสอน แลํว่ก็ในระยะขณะนึ่ จงเผชิญหนำกไ]ชีวิฅตามทีเก มือย่และเย้นอย่ฅามธรรมคาทุกเมื่อเชื่อ'ว*น จงเอาใจใส่เรียนรู้ชีว เสมอโดยตรงและคิวยคิวของตำเองเถิด ( ๒) ขอเท็จจริงแห่งการมีชีวิตอยู่ในโลกเราทุกวไเ กฎแห่งกวามเปลี่ยนแปลงแปรผไเ หรือกวามไม่จีรำยำยืนขอ ที่งหลาย อะไรที่งหลายที่เกิดแล่วมีแลำ จากจอมปลวกกระจ้อยร่ ไปจนถึงขุนเขาเลากา จากการกิดผนจรรโลงใจไม่มีพั้นฐานไปจนถึ การกรองอำนาจอไเยื่งใหญ่มหาศาลต่าง ๆ ทกอย่างเหล่านึ่ ในสภาวะ ผ่านว*ฏจ้กร์แห่งการมีชีวิตหรือชาติอย่างเดียวก'น, คือเมื่อม การเถิก ก็ย่อมมีการเติบโตว้ฌนา แลำก็เสื่อมหรือร่วงโรย แลำก ถึงซึ่งการคบสูญหรือกวามตายไปเบนธรรมกา ชีวิตอย่างเดียวเท

๕ ที่ไม่มีการหยคยง ย่อมเสาะแสวงหาทางปรากฏออกแสดงออกไป1น รปใหม่ “ชีวิตเปรียบเหมือนสะพานเราดี ๆ นเอง ฉะน์นรง พยายามสร้างบ็านลงสะพานน1นกนเลย’’ (เพราะว่าบรรดาสะพาน ที่งหลายน1น จะด้องผต*องพ*งดงในเวลาไม่ชำนาน แลวจะทำให้บาน พลอยพ*งลงตามด้วย) ชีวิฅเบนกระบวนการแห่งการไหลเกลื่อนอยู เรื่อยไป และไม่ว่าผู้ใคก็ตามที่ยึดเหนี่ยวในรูปในเรื รปนี่น, เรือนร่างน*น จะเลิศประเสริ^สกแก่ไหนกตาม จะ ไค้รบทกขเวทนาที่แข็งขืนการลามไหลด้งว่าน,น (๓') กฎแห่งการเปลี่ยน แห่งการไม่จีร*งถาวรย่อมเกิดไ เบื่นได้แก่วิญญาณ หรือ “อ*ตตา” ด้วยเท่า ๆ ก่น อย่างเดียวกน โด ไม่มีการยกเว,น ไม่มีหล*กหรืออะไรในบจเจกบุกกลหรอกที่จะเบนอมฅ หรือไม่เปลี่ยนแปลงแปรด้น มีแต่ “อนามภาวะ” คือส*จธรรมด้น (1!16 1ว|4[1ท346 น63เแด้ อย่างเคียวเท่าที่นี่ที่อยู่เหนืออยู่พ แปร แสัวก็บรรดารบ'และเรือนร่างทั้งหลายของชีวิต รวมทั้ ของมนุษย์เราด้วย หาใช่อะไรอื่นไม่ คือการสำแดงออกของสัจธร ด้งว่านั้ ไม'มีใกรเบื่นเด้าของกระแสไฟพาที่ใช้แสงสว่างออ เห็นกนได้หรอกหนา (๔) สากรด้กรวาลคือการชแจงแสดงออกของกฎ ผลทั้ หลายย่อมด้องมีเหต ด้ฅตาของมนุษย์ หรืออุปนิสัยใจกอของมน

๖ คือสรุปยอภหรือผลลพธ์'ของความกิค และการกระทำแฅ่ปางก่อนของ' เขา กรรมหมายถึงการกระทำที่สนองผลซึ่งทำไว้แต่ปางก่อน ย่อมท การบริร*ก่ษ์หรือปกกรองชีวิฅ หรือการเกิดนั้งหลาย ถ้วของมนุษ เองหาใช่ผู้ใคหรืออะไรอื่นไม' เย้นผ้สรำงเหตุการณ์ สร้างปฏิกิริยา เหกุการณ์นนๆ สร้างอนากฅและสร้างชะตากรรมของมนุษย์ ถ้าคืต กคชอบ ถ้ากระทำคืกระทำชอบ มนษย์คืจะสามารถค่อยๆ ชำระถ้ สภาพภายในของมนุษย์ให้ผุดผาดผ่องแถ้วขั้นได้ แถ้วก็คว แห่งทนหรือการถึงซึ่งการทร'สร้ มนุษย์ก็จะสามารถบรรลุถึงซึ่ กำหนดปลดเปลองหรือหลุดพ,นจากการเวียนว่ายฅายเกิดได้ท\"นเวลา กระบวนการอ*นนึ่กรอบคลุมระยะเวลาอ*นยืดยาวมหาศาลนานแสนนาน แถ้วย*งกางขยายไปถึงการเกิดใหม่หถ้งจากที่ได้ฅายมลายชีพลงไปจา นํ้แถ้วถ้วย แต่กร8นแถ้วในลุคถ้ายปลายขบวนชีวิตทกเรือนร่างก ซึ่งการตร้สรู้ถ้วยกันหมด (๕) ชีวิตเย้นอ*นหนึ่งอ*นเคียวและแบ่งแยกออกจากกันม ท8ง ๆ ที่แบบรปหรือเรือนร่างกันมีสภาพแปรกันเปลี่ยนแปลงอย มีจำนวนมากหลายเหลือที่จะคณาน'บ และสามารถเสื่อมได้สลายไ กันที่จริงน8น์หามีความตายไม่หรอก แม้ว่าชีวิตแบบรูปต่าง ๆ จะถ้ ตาย จากการเข่าใจถึงเอกภาวะของชีวิตน8น,เล่า นำมาซึ่งการณยภ คือการร้ลืกถึงถ้กษณะอย่างเคียวกนของชีวิตในแบบรปอื่น ๆ กรุณา ถ้นเย้นหถ้กที่ ๒ ของพรหมวิหาร ๔ นั้นอธิบายกันว่า

๓) ■ของกฎท,งหลาย” ซึ่งเบื่นภาวะสอดคล,องกลมกลืนนิรไดร็อนนฅรภา และมนุษย์กนใคที่ทำให้แยกแฅกทำลาย ซึ่งภาวะสอดกล,องกลมกลื ของชีวิฅด้งว่านึ่ จะด้องไค้ร'บ่ทุกขเวทนาทำให้ประวิงเว ฅร'สร้หรือบรรลโพธิญาณของฅนยีคยาวเยนเย,อออกไป (๖ ) ชีวิฅเบนด้นหนึ่งด้นเดียว ฉะน,นควรจะเพ่งเ ■ถึงประโยชน์ของส่วนรวมส่วนใหญ่ดีกว่าที่จะมองด้นถึงแด่ประโย ส่วนย่อย ด้วยอวิชชาหรือความโง่เขลาเบาบญญาของมนุษย์ มนุษย์ ดีดว่าเขาสามารถบากบ่นทำด้นใดเพื่อประโยชน์ของกนไอ้สำเร็จ ก็ V'เด้งงานที่ถกช*กใยไปโดยผิดๆแห่งความเห็นแก่ด้วนึ่เอ ทกข์ มนษย์เรืยนรู้จากกวามทุกข์ของเขานึ่เอง ไค้ทำใ •นึ่นถอยถดลดนํอยลง จนในที่สกทำการปฏิบัติขด้ดทุกข์ให้ห ไปไค้ สมเด็จพระด้มมาสไพุทธเด้าทรงสอนเวไนยด้ฅว่ถึงอริย {ต) โลกนึ่เต็มไปด้วยกวามทุกข์ (๒) เหตุแห่งทุกข์คือความอยา ถกชกใยไปโดยผิดๆ (๓) การเยียวขา คือ การปฏิบัติขด้ดเหตุแห่ ทุกข์น,นเสีย และ (๔) มรรค ๘ แห่งการพ่ฌนาตนเอง ด้นจะนำ ไปส่การสั้นทุกข์ ด*บทุกข์ หรือการปลอดโปร่งจากกวามทุกข์ (๗) มรรก ๘ ด้นมีองค์ประกอบด้วย (ต) สัมมา'ติฏเคือ กวามเห็นชอบ หรือความเด้าใจอย่างถูกด้องเบองด้น (๒) ด้มมา ด้งก'ปปะ คือกวามดำริชอบ หรือเจฅนาชอบ (๓) ส้มมาวาจา คือ

๘ วาจาชอบ (๔) สไ)มากไ)มไดะคือการงานชอบ (๕) สไ)มาอาชีวะ กึอการเลั้ยงชีพชอบ (๖) สไ)มาวายามะ คือความเพียรชอบ (๗) สไมาสดิคือระลึกชอบ หรือพดง่าย ‘ๆ ก็คือการพ้ฌนาจิฅ และ (๘) สไมาสมาธ ก็อฅํ้งใจชอบ ซึ่งจะนำไปส่การดร*,สรู้ หรือบรรลุ โพธญาณอย่างเต็มภากภมิ พระพทธศาสนาน,น ไม่เพียงแท่เบื่นทฤ ของชีวิฅเท่านึ่น ย'งเบนก'ลลองของการอย่ยงยงชีพอีกด้วย แล จรดเดินกำเนินไปบนมรรกาน คือการไปส่การหลุคพ้นแห่งฅนอ จำเบ็,นยี่ง ฉะน1น “จงเวํนกวามช\"ว ท่าแท่กวามดี และฟอกจิฅไ ให้ใสสะอาดหมดจก นํคือพระธรรมคำสํงสอนของสมเด็จพระสไมา สไพุทธเจ้า” (๘) ส'จธรรม เบ็๋นสี่งที่ไม่สามารถจะพดอภิปรายอธ }ไค้ พระผ้เบ็นเฑ้ซึ่งย'งกงติดข้องอย่ด้วยขไธ์ คือส่วนหน \"ไ นํ นํ* 11 ก*บนามนน ย'งหาใช่ส*จธรรมบนท่ายปลายสุดไม่ ส่วนองคืพระพทธ นนเล่า แม้จะทรงเบนเพียงมนุษย์ตามธรรมคาสาม'ญก็ดาม หากไค้ ทรงฅร้ส่ร้แลว และกวามมุ่งหมายของช้วิกนึ่นกือการบรรลุถึงซ ดร*สร้ ซึ่งไค้แก่ภาวะแห่งการดื่นอยู่เสมอ ภาวะแห่งการดื่นอย่ หรือนิพพาน หรือการหลุดพนจากการเวียนว่ายดายเกิด มนษย์จะทำ การบรรลุถึงกไไค้ในโลกนึ่ มนุษย์ทุกผ้ทุกกน ชีวิตท่างๆ หรือแบบรปอน ๆ อไนอกเหนือไปจากมนุษย์ย่อมทรงศไยภาพแห่งการ

๔ บรรลุการฅรสรูไดทงนน เพราะฉะนน กระบวนการนึ่นย่อมประกอบ ควยหรอมอยูในการเบนเราเบนท่านนนเอ,1 “ท่านมองเข้าไปข้างใ ไค้เมื่อไร เมื่อนนก็เบนพุทธะ” ( ๙) จากศกยวก่ยไปจนกิงการกร,สรู้จริง พุ เข้'ๅ มีท กลาง หรอมชฌมาปฏปทา หรอมรรค ๘ ก่น อย่กรงกลาง คือจาก ฅณหา กวามลุ่มหลงไปสู่สุขสนฅิซึงเบ็1นกระบวนการแห่งการพํฌน ฅนเอง ระหว่างสิงลนสิ'งฅึง อนอยู่ฅรงก่นข้ามห์วท่าย คือการหลึกเลี่ยงเลึยจากการกระท่าอะไรให้ก่นให้คีงจุน1กินไ1] พระสมมาสไ)พุทธเจ่าทรงจรดจดเค้นบนมรรกานึ่ไปจุนกิงสดท่'าย หนทาง คือทางสายกลางก่งว่าน และพระพทธศาสนาท่องการฤจุา เลอมใสอย่างเคียวเท่านึ่น คือการเชื่ออย่างมีเหตุผล ที่งน เบ็นทีเชอมื่นและนอนใจไค้ว่า ไม'ว่าแห่งทนฅำบลใดที่องฤ ของเราจรดเค้นดำเนินไว้แก่ว ก็ย่อมที่เราจะพึงไก่เก่าค้ด ว่าย่อมเบนการคีมีกุณค่า เราจะฅองจรดดำเนินเค้นไปบนมรรกาน ให้หมดสั้นท\\นึ่อที่งฅวไม่เพียงแก่ส่วนที่ดที่สุ แก่วก่งจะก่องท่าการพํฌนาท8งใจและจิกเท่าพุ ก่น ไม่มีการลด ผ่อนโน่นกึงนี่อีกก่วย สมเก็จพระก่มมาก่มพทธเจ'าทรงเบน แห่งการุณยภาพที่งหลายที่งสั้น และเบนองค์แห่งการกร’ส รบฉายาว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาค

๑0 (๑๐) พระพทธศาสนานี่นน*าวเน*นความจำเบนแห่งก บำเพ็ญสมาธิ และการปฏิบัติเพ่ง1จิกหรือสมถวิบสสนากรรม^าน ซง ในเวลาไม่ช*าไม่นานจะนำผ้ปฏิบัดิบรรลถึงซึ่งการพ*,ณนากวามสาม แห่งการสำนึกระลึกร้ภายในจิต ชีวิฅภายในจิฅย่อมมีกวามสำค ไม่นอยกว่าชีวิฅดามธรรมดาที่เบื่นอย่ทุกเมื่อเชื่อวน แล ด่าง ทุ แห่งการสงบเงียบแน่นี่ง สำหร*บกิจกรรมภายในจิฅนี่นย่อม จำเบนแก่ชีวิฅที่สมดุลย์ที่งหลาย พุทธศาสนึก หรือชาวพุทธคว ดองมีสฅิและสำนึกตนอย่เสมอ จะฅ*องไม่ยึดเหนี่ยวเกี ทางใจและทางอารมณ์ก*บลี่งที่ประสบพบเห็นอนกำล*งเกลื่อนไป อ*น กำล*งเปลี่ยนแปลงแปรผนอย่เสมอ ท*ศนคฅิแห่งการาสึกสำนึกจากก ฅี่นด่อเหตุการณ์ด่าง ทุ อยู่เสมอ และที่งกำล*งเพ็มพนอยู ซึ่งชาวพุทธร้ดีว่าเบ็นสี่งที่ฅนสร*างสรรค์ก*นขนเอง ไค้ชช่วย ดำรงริกษาปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ด่าง ทุ นี่นให้อยู่ในความควบคมขอ เขาไว้ได้เสมอ (๑®) สมเด็จพระสไ)มาสไ)พุทธเจ่าทรงฅรํสว่า “จงหา ทางปฎิบติฅรํเสร้หรอหาความหลุดพ2นดำขต'แเองเถิดโดยกวามอต- ลกหว่รืยะ” พระพุทธศาสนาไม่มีเจ่าของด่ารบ หรือผ้ผกขาดใน ไค้มา ซึ่งความจริงหรือสํจจะ เวนแด่สิ’ญชาติญาณหรือสหัชญาณ บจเจกบกกลเองแล้ว ก็ฅนของฅนเองเท่านี่นแหละคือเจ่าของด่าร

00 หรือผู้ผกขาดในการถึงซึ่งสำจะ แฅ่ละบุกกลไค้รบทุกข์จาก กรรมที่ฅนไค้กระทำเอาไว้ และเมื่อตระหนึ่กิประรักษ์เช่นนน ก็จงมาพากินชช่วยเพี่อนมนุษย์ดำยกินให้เข้าถึง บรรลุถึง ซ หลกพ,นอย่างเดียวกินเถิดหนา แล้วก็การสวดมนท์วิงวอนพระพุทธเจา หรือพระผู้เบนเจ้าองท์ใดจะไม่สามารถระง'บยไ!ย1ง และขจ้คบดเบ แห่งกรรมจากการที่ฅนกระทำไว้ให้พ,นไปเสียไค้หรอก บรร สงฆ์องกเจ้าเบนเพียงกรผู้สอน ผ้บอกทาง เบนผู้ปฏิบัติดำอย เท่าน8น และหาไค้เบื่นกนกลางติดก่อระหว่างสำธรรมกิบบจเจบุกกล อย่างหนึ่งอย่างใดไม่ การปฏิบัติอย่างมีใจกวาง ไม่ก เดขดฉ่นทํก่อศาสนามื่น ๆ ที่งหลาย ก่อล้ทธิปรัชญาที่งหลายที ย่อมมีอย่เบึ่นประจำ และมีอย่อย่างมากหลายในพระพุทธศาสนา ที่งนึ่นก็เพราะว่า ไม่ควรจะให้มีใกรกนใดกนหนง ทจะถือสิ ผกขากเข้าไปเกี่ยวเข้าไปฟ้องแวะ เข้าไปข้ดขวางในการจรด ของเพื่อนบ้านของฅนเพี่อเข้าถึงพระผู้!.มื่น!.รัาของ!.ขา (ไ)๒) พระพุทธศาสนาหาได้มีล้กิษณะเบี่นทุนิยม หรื หลบลั้หนีหนำ'จากสงคม ที่งย์งหาไค้ทำการปฏิเสธภาวะของพ เจ้า หรืออ*ฅกาอย่างใดไม่ หากแก่ไค้ทำการนิยามความหมายในก กำเหล้านึ่ไว้เท่านน ในทางฅรงกินข้าม พระพุทธศาสนาเบ แห่งกวามกิก เบ็่นศาสนา เบนวิทยาศาสตร์ทางจิต และฌ็๋นกํ

๑1®ป็ แห่งชีวิฅ ซงสมบูรณ์พนเพียบอย่ด้วยเหกผล พ่นศาสนาแห่งกา ปฎิบักิจดทำดวยกนเอง และโอบอ้มสื่งทั้งหลายทั้งปวงเบนเวล ๒, 0๐๐ บี่มาแล่'ว พระพุทธศาสนาไค้สนองกวามจำเบนทางจิกอย่ พ่นทพึงพอใจให้แก่บรรดามวลมนษย์ถึงเศษ © ส่วน ๓ ของพึนภิ แลวกึ การทํพระ พุทธ ศาสนา ประท*บใจโลกก่ายดะด้นกกไค้ กึเพราะ ว พระพุทธศาสนาหามีกฎหามีขํอบ'งก*บแก่อย่างใดไม่ พระพุทธศาสนา ด*องการให้ผ้กนเลื่อมใสด้วยเหตุผล และด้วยใจสมีกรของกน พุ นนเอง ทำการแข็งขืนยืนย*นให้ผ้กนพึ่งกนเอง และในพร1อมพุก*น ให้ ใจกด้างยอมร*บพึ่งท'ศนะหรือกวามเห็นของกนอื่น โดยทำการโอ วิทยาศาสกร์ ศาสนา ปร*ชญา จิกวิทยา จริยศาสตร์ และศิลป แล*วทำการชแจงแสดงออกบอกแก,มวลมนษย์อย่างเดียวเท่านนว มนุษย์นไเกือผู้สด้างสมชีวิฅบจจุบ*,นพุกด้นนของเขา และทั กำหนดชากากรรมของมนุษย์เองด้วย ขอศานติจงมแด่สรรพสัตว์

บทที่ ๒ ปาฐกถา [ว วิจารณ์หลักพระพุทธศาสนา ๑๒ ขอ ของ นายคริสตมัส ฮมเฟรยส สุชโว ภกขุ ว0ดก\"นมาฅยาราม แสดงที่Vเทธสมาคมแน่งประเทศ'ไทย ในพระบรมราชปถ่มภ I วํนที่ ๒ด ธ\"นวาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ (สำเนาฅามที่น์กชวเลขของสมาดมจุด'ไว้)

0 0ะ ขอนอบนอมแด่สมเคีปีพระ สมมาสมพุ1ทชิเปีา กวามมุ่งหมายอย่างจริงจ*งของพุทธศาสนิกชนท่วโลกใน ที่จะเผยแผ่หรือประกาศหลกธรรมทางพระพุทธศาสนาให้แพร่หลายไ บ่งหมู่ชนเหล่าอื่นนั้น ไค้แสกงออกในรปฅ่างๆ กล่าวเฉ หน*งสีอก็มีหน*งสือรายเดือนบ่าง รายกาบบ่าง รายวไ;บ่าง เบนหน'งส เล่ม ๆ บ่าง และน่าจะกล่าวไค้ว่าประเทศไทยเราเบนแหล่งผลิฅหน ทางพระพุทธศาสนามากที่สุกแห่งหนึ่งในโลก ท8งนึ่ก็ พิมพ์หน*งสือธรรมแจกในงานค่าง ๆ มีงานศพและงานทำบุญอาย เบนต*น ยี่งกว่านั้นเราบ่งมีน'กศึกษาที่ขอเบ่าสอบไล พทธศาสนาในบี่หนึ่ง ๆ ถึงจำนวนแสน การผลิตหน*งสีอเพื่อน เหล่านั้น ก็น'บว่าจำเบนส่วนหนึ่ง แต่เบื่นที่น่าเสีย จะได้พิมพ์หน*งสือทางศาสนามากก็จริง ผู้ที่สามารถร้แล เนํ้อกวามในหน*งสือเหล่านั้นก็บ่งอยู่ในวงจำกด เฉพ ไทยร้เรื่องเท่านั้น ไม่ขยายไปถึงชนเหล่าอื่น ท่งนึ่ เพ ไทยเราบ่งมีคนอ่านรู้เรื่องนอย ส่วนวงการพุทธศาสนิกชนที่ใช้ภาษากลางฅิคฅ่อก*นิ พิมพ์หน*งสือธรรมะในพระพุทธศาสนาเบึนภาษาอ*งกฤษแลกเปลี่

๑๕ กวามกิคเห็นก้นและก้นอยู่เสมอ เราอาจรักวามเกลื่อนไหวทางพระ พุทธศาสนาทำโลก และรู้จ'กชื่อหำหนำพุทธศาสนิกชนแห่งประ ต่าง พุ ก*บทงได้อ่านบทกวามทางศาสนาของบกกลเหล่านํน เช่นใน อเมริกา เรารู้จก มีสเฅอรี ไดวท์ กอคเติด (าห1-, จพ:2๒ ด0ฬ31- ในอำกๆษ เรารู้จก มิสเฅอร์ คริสฅม*ส ชิมเฟรยส์ ({ห!-. (วเณ์รเฒ หณ-ถ?๒6?®) ในญี่ปน เรารู้จ'ก โปรเฟสเซอร์ ซซูกิ และ เก ซาซากิ ในอินเดีย เรารู้จ'ก ศรีเทวมิฅฅะ ธไ)มปาละ และ ศรีเ วาลิสิงห่ ฌ็่นต่น บุกคลเหล่านํใค้เบ็๋นหำแรงอย่างสำก*ญในการส่ พระพุทธศาสนา แต่ข่าวเกี่ยวก'บพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเกือบ ไม่มีใกรรู้ เพราะเราย*งมได้ออกหน*ง์สือธรรมะเบนภาษาอ*ง์กฤษ แต่อย่างไรกืดี พุทธศาสนิกชนชาวต่างชาติเหล่านไ; ก็ย คงร้ว่าประเทศไทยเบื่นดินแคนแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อมีโอกา จึงมาแวะสำเกกกวามเบนไป เบนการหากวามรู้ นายก?สฅม*ส ชิ*มเฟรยส์ หำหนำพุทธศาสนิกชนชาวอ*งกฤษ ไค้ไปราชการ ณ ประเทศผี'ปน แลำขากล*บจึงม่านมาแวะประเทศไท เพื่อดการพทธศาสนา และในโอกาสเดียวก*นนี ไค้ส่งหล*กพระพ ศาสนา ©๒ ข่อ ที่เขาเขียนขนให้เราพิจารณาออกกวามเห็นคำยว่ๅ ร*บรองไค้หรือไม่เพียงไร

๑๖ สมเด็จพระสํงฆราชแห่งประเทศไทย ไค้ประทานกำฅอบ ย่อๆไปแลว หังจะเห็นได้จากเอกสารที่พทธสมาคมไค้พิมพ์ขั้น บ ทางสมากมฅองการจะ,ให้มีการวิจารณ์ก’นอย่างละเอียก จึงจดให้มี ปาฐกถานึ่ขั้น ก่อนที่เราระพิจารณาหล'กพุทธคาสนาของ นายกริสฅม’'ส ฮมเฟรยส์ ก็ควรจะไค้รู้จ’กว่า นายกริฟิกม’ส ขีมเฟรยส์ เบื่นพทธ- ศาสนิกชนแท้จริง หรือเบ็1นแก่ในนามอย่างไร นายฮมเฟรยส ไค้,.ล่าประวัฅิส่วนฅ'วของเขาเองในการที่ หันมาสู่พระพุทธศาสนาไว้ไนหนังสือ 8๗(1111ธ1น 1ฑ ธฑ8!3๗* ว่าห เขาเองนัน เรี่มสนใจนับถือพุทธศาสนาก่งแก่มีอายไค้ ๑๗ หันหนึ่งไค้เข*'าไปในร้านขายหนังสือแห่งหนึ่ง และไค้ซอห (ร600๗ 1เ3๗) เลมหนงชอ ธ11(1(1113 311(1 เา16 (ว0ธ1161 ๐1 ธน!!!11118111 (พระพุทธเหัาและอนุศไสนัของพระพุทธศาสนา) ผู้แก่งชื่อ กมารสว ( 000ก131-33ผ31ฑ7) นายสมเพ่รยสใคหกนงขฅสมาธ และคิกใจใน พระพุทธศาสนาฅงํ้แฅ่นึ่นึ่มา เมื่ออาย @๘ ไค้เข*าศีกษาใน วทยานัยเกมบริดจ์ ไค้คิคฅ่อก*บมิฅรสหายที่สนใจในแนวคิกท ฅะหันออก ในบี1ก่อมาไค้ร''บการแนะนำให้เข*'าเบนสมาชิกใน, ^ X116080]!1า1031 80016*7 อนเบนฟิมากมทใหกวามรเกยๅกบศาสนา ก่าง ๆ และศึกษาพระพุทธศาสนากหัางขวางย็งขั้น เมื่อไค้ศึกษาไ * 1ป16 ธ0ป86 3กป 118 ^11รร1อก. ธ. I. ธ. ร6]วน 001 1937 8 80

๑๓) ดักวามแน่ใจยี่งขั้นว่า พระพทธศานาน์น่ประเสริฐ บ ศาสนาอื่น ๆ นา!)สมเฟรยส์ สนใจในพระพุทธศาสนามามกีการ ประชมแสดงสนทรพจน์เกี่ยวก,บพระพทธศาสนาทไหน ก็ไปพง เสมอ 8 ในที่สดถึงก'บกิดตงหอพุทธศาสนิก ๒ (ธนา11ธ! บ) ขั้น เมื่อรวบรวมก็ร่วมงานไดัแลิว ก็ไปขื่นขออนุญาฅจดทะเบี เวลาน15น นายกริสฅม*ส ช*มเฟรยส์อายได้ ๒๓ บี่ ฅรงกบ ก.ศ. ๑๙๒๔ หรือ พ.ศ. ๒๔๖๗ ตานที่'คทะเบียนนํ้น่ นายชิมเฟรยสเบี นางสาวไอตีน เอม. ฟอล์กเนอรื (ไ&แธธก ให. ธอนไน!'161,) เบนเลขา ธิการ และต่อมาอีก ๓ บ นาย?ฌัเฟรยส์ก็ใด้แต่งงานกบนางสาว ไอตีน เอม. ฟ่อล์กเนอร์ นํ้นเธ็เนธ้นว่าที่งสามีภรรยาเบื่นก็สนใจและส่ พระพุทธศาสนาลิวยก*นทงคู่ การงานของหอพทธศาสนิก ไค้ปรากฏช*ดเจนก็เมื่อองค์การ น์ได้ออกหน'งสือพิมพ์รายเดือน,ชื่อ พุทธิสมฺ อิน อิงแลนด์ ภร ของนายอ*ม,-ฟรยส์เบีนก็ออกแบบปก ซึ่งมีรปดวงอาทิตย์และรูปคอก หน'งสือนั้ได้ลงบทความเกี่ยวกบพระพุทธศาสนา เกี่ยวก*บกว คะว*,นออก ตลอดจนขอความเกี่ยวก*บศาสนาเพื่อนบ้าน เช่น ฮินด เต่า เพื่อเบีนส่วนประกอบกวามร้ทางพระพุทธศาสนา นายช*มเฟ ได้พยายามดำรงส่งเสริมหอพุทธศาสนิกมาเรึ๋อย ๆ และไค้สนใ ๑ ในสม่!ะเนนสมาคมพุทธศาสนิกมีอยู่แลว,ในลอนคอน ๒ บ้คนั้เปลี่ยนชื่อเบนพุทธสมากน ('1'!ไ6 2น(1ป!!!81 8001617)

๑๘ ติดต่อกบบุกกลต่าง บุ ผ้นํบถือพระพทธศาสนาเท่าทีจะติดต่อไค ดวยความบริสุทธิใจและเจตนๅที่วิ\"!ห้เกลียๅโซ่!,เห่งพทธศา สมพนธ์กนทวทงโลก เช่นสตรีชาวอเ•.เร่ก็นผ้หนึ่งร์อมีเรียมซาราเนฟ (&แฑ 531'3ฑ3\\'~6) อยู่ในแกลิฟอร์เนีย ไค้อ่านหน*งสือทางพระพทธศาสนา แลวเลือมใส ถึงก*บเดินทางไปศึกษาพทธศาสนานิกายเซ็นในประเหศ ญรุ่เน แลวเขียนเล่าประวัติ ที่ตนหไเมาน่ปเถือพระV'เทธศาสนา ล หนงสือรายเดือน มหาโพธิ ของมหาโพธสมาคม ซึ่งในบา)จบไเมี สำนกงานใหญ่ตงอยู่กลกตฅา ประเทศอินเดีย เมื่อนายก ฒัเฟรยส์ อ่านพบเข่า ก็เขียนจดหมายติดต่อไปท*นที นี่ก็แสดง,ใ เหนว่า นายกริสตมส ฮมเฟรยส สนใจทจะรวบรวมข่าวกราวที่เกี ก'บพระพุทธศาสนา ปรารถนาที่ให้ศาสนานี่มีรากฐานมนคง แพร ไปท'วโลก ไค้คลุกกลีกบงานนีมาแต่ปฐมว*ย จนกระท'งบ*คน น*ปเบน เวลาเกือบ ๓0 11 เมธพูดถึงสตรีชาวตะวนดกแลว ก็จะขอกล่าวถึงอีกสกกน หนึง คือนางสาว จ. คอนแสตนต เลานสเบรี (ชาวอ*งกถษ) เที่น นายกสมากม น68 ป\\นนํร (าน ซ(วน(า!า181116 กอสมากมสา/1ายแห่งพระพทธ ศาสนาในปารสไคแฅงหนงสอซง ซน(าง่!า181 ^6(า11น110ท (การบำเ,พฌ ฌานทางพระพุทธศาสนา) อธิบายวิธีเจริญสมถกไม้ฏฐาน และ

8-) โ) บสสนากรรมฐาน ไว้อย่างละเอียดเบึนเล่มใหญ่ ซึ่งควรชมเชยว่ เบนสดรีชาวด่างประเทศทีได้ทำงานชนสำก*ญทางพระพทธศาสนาไว้ เบนอย่างดี ในการกล่าวถึงเรื่องเทล่าน ทำให้คิดถึงว่านอกประเทศ เราออกไป ในประเทศที่มีศาสนาอื่นประจำชาติ และบางประเทศก็ไม่ เบี่นอิสระอย่างประเทศเราก็ย่งมีบกกลหันมาสนใจน'บถือพระพทธ- ศาสนา ถึงกบเดินทางจากประเทศของดน ไปย*,งแหล่งแห่งพระพทธ- ศาสนา เพื่อศึกษาคไ!คว้า การนงข*คสมาธิ ดเหมือนเบ็1นงานอ*นยากมากสำทร*บชาว ฅะว้นฅก ถึงก*,บหน*งสือบางเล่มบอกว่าชาวฅะว',นตกกำน'งขคสมาธิ ((31:088-160^6(า) ไม่ถน*,คก็ให้น์งบนเกำอื่ฅามสบายก็ใด้ แท่ก็มีชาวยุ บางกนได้พยามห์ค เช่น นายอ*,มเฟรยส์ ได้ห*คน*งข*คสมาธิเย้นแด่เม อาย ๑๗ บื่ดีงกล่าวแล่ว เมื่อได้แนะนำให้ร้จํก มิสเฅอร์ กรีสดม*,ส อ'ม่เฟรยส์ พ สมควรแล้ว ก็จะได้จํบเรื่องวิจารณ์หล*,กพระพุทธศาสนาของเขาท่อไป การเบียนหล่กพระพุทธสาสนา หล*กของพระพทธศาสนาน*นไค้มีผู้เขียนก*,นมาแล้วมากหลาย ท*งในประเทศไทย พม่า ล่งกา อินเดีย จีน และญี่ธุ่]น โดยเฉพา

เตุป็0 ในประเทศพม่า ไค้เกยมีการประชมก้นเบนการใหญ่ เพื่อเขีย พระพุทธศาสนาขีน และไค้พิมพ์หล*กน1นเบนภาษาอำกฤษ เรื่องหล พระพุทธศาสนาน ไค้เคยกล่าวไว้ก้างแก้วในปาฐกถาเรื่อง “อ ก้วอย่าง” ว่าพระพุทธเก้าได้ทรงย่อกำสอนของพระองค์เฉพาะที ซอมกวามเข่า,ใจก้บพระสาวกที่จะแยกยายก้นไปประกาศพระศาสน หลกน1นเรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ เฉพาะหล*ก @๒ ข่อจองนาย!)ไแฟรยส์ ผ้เขียนก็มุ่งหมายจะ ให้ใช้เบนแนวในการ เผยแผ่พระพทธศาสนา และไค้รวบรวมขั้น ก้านมหายานและหีนยาน เพราะฉะนนิในการวิจารณ์หลไาน้ ก้าจะถ คามคมภีร์ของเราผ่ายเคียวแก้ว ก็อาจพบบางข่อที่แปลกออกไป ก้องคิดตามดูว่า นายอไ)เฟรยส์ไค้นำหล*กนนหก้กนมาจ\"กไหน เรื ก่อนข่างยากพอสมควร เพราะนายอ'มิเฟรยส์มิไค้บอกว่า หฌัๅข่อไหน นำมาจากกไ)ภีร์ผ่ายท*กษิณนิกาย (หีนยาน) หรืออฅรนิกาย (มหายาน และที่นำมาจากมหายานนนฅามหก้กแห่งนิกายไหน เช่น นิกายเซ็น นิกายชิน นิกายเท็นไค (เทียนไท้) หรือนิกายไร ถำไค้บอกที คำยถืจะเบนการสะควก แต่ก็กวรจะเห็นใจผู้เขียน ในข่อที่ม่ง เพื่อปรึกษาก้น ไม่ใช่เขียนให้เบนตำรา อีกปร ะการหนึ่ง มิไค้เรียนภาษาบาลี ถำจะอำงที่มาก็จะก้องอำงฉก้บที่มีผ้แปล อำกฤษแก้ว ไม่เหมือนศาสตราจารย์ ริส เดวฺคส์ ?1-0ค ไ^!IV® ซ3

ไ!ฐ)๑ และภรรยา ร์งเบื่นผ้ชำนาญในภาษาบาลีกัวยกันที่งกุ่ใน ธนฬเน่รณ ซึ่งต่าง?ไนต่างแต่งไว้แต่ละเล่มนน จึงมีการอ*างที่มา พระไฅรบี่ฎกฉบ',บอ'กษรโรม*,นโดยตรง เมื่อเบ็นเช่นนน การพิจารณาหล'กพระพุทธศาสนา นายซี*,มเฟรยสเขียนขั้น กัาขํอใคตรงกับก*,มภีร์ของผายเราก็ไม่ม ถ่าแน่ลกออกไปเราก็ต่องฅิดคามหาที่มา ในการฅิดฅามน้ก็ฅอง หล*กธรรมของผายมหายาน ซึ่งมีนิกายใหญ่ ©๒ หรือ ©๓ นิกาย และมีนิกายย่อยอีกมาย เบนก้นสรปไว้คร่าว พุ ในช5นนั้ก่อนว่า หล*,กท1ง ๑๒ ข ของนายชิม่เฟรยส์นํ้น ส่วนใหญ่ลงก้นก*บเรา มีแผกเพยนก*,นบ ในส่วนย่อย และบางขอแผกกันในส่วนเหตุ แต่ลงก้นในส่วนผล บญหาเรื0งฟิกราชหรอกาลนิรปณ (01ไ1011๐10^) ตามที่สมเด็จพระส*,งฆราชได้ทรงตอนไปนน ได้ทรงทั เรื่องศ*กราชไว้ควย ว่าไม่ฅรงทับที่ไทยเราน*บจึงมีบ่ญหา'ว่า หล'ก็ฐาน เรื่องศ*กราชของแต่ละผายนํ้นเบนอย่างไร จริงอยู่ ในการแลกเปลี่ กวามกิดเห็นทันระหว่างที่ข่าพเกัามีโอกาสได้สนทนากบนาย ชิมเฟ นํ้น นายชิมเฟรยส์กล่าวว่า กวามต่างกันในเรื่องนั้ไม่สำก*,ญ แ

เตุปื 1ดุฮ ที่นมุ่งให้ได้พื่ งหลก่ฐานแตะเหฅผลของแท่ละผายเพื่อประก ทางประวัติศาสตร์ จึงขอยกขั้นเบนขํอวิจารณ์ไว้ด้วย ตามกำกล่าวของนายชิมเฟรยส์ที่ว่า พระพุทธเจาประสูติ ประมาณก่อนกริสฅศก ๕๖๓ บี่น1น เราเอา ๘0 ลบ เพื่อคิดตง เบึน พ.ศ. คือกำนวนที่เหลือจากลบมาบวกสับ ก.ศ. ก็จะคิดเบื่น พ.ศ. บจจสันได้ ๒๔๒๙ บื่ ต่างจากที่ไทยเรานบถึง ๖ 0 บื่ เพราะ พ. บจจุบ้นที่เราน,บ คือ ๒๔๘๙ การน,บสักราชของไทยก,บของสังกาตรงสัน ที่ร้ว่าตรงสัน เพราะหน,งสือ มหาโพธิ สันเบึนวารสารรายเดือนของสมาคมชื่อน5น ได้มีเทียบกริสดกึกราช กบพทธศกราชไว้ที่หนำปกทุกเล่ม แต่ใน หน์งสือเล่มอื่นอาจนบน์อยกว่าเรา © บี่ ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่า ด้วย,ในสม้ยหนึ่งเรานบเดือนเมษายนเบนด้นบ แต่เขาคิดเดือนมกราคม เบืนด้นบื่ฅามกริสฅสักราช จึงอาจเหลื่อมลาสันได้ มหาโพธิสมาคม นื่นด้องถือว่าเกี่ยวเนื่องสับสังกา เพราะผู้สัดตงและ ชาวสังกา การนบพทธสักราชแบบนั้น,บตามสัมภีร์ภาษาบาลี มหาวงศ์และทีปวงศ์พงศาวดารสังกา ศาสตราจารย์ ริส เดวิคส์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาบาลีและแต่ง ตำราทางพระพทธศาสนาไว้มาก ได้แสดงกวามเห็นไว้ว่า เรื่อง สักราชนื่เบนการยากเหลือเกินที่จะกส่าวว่''เที''ไรสันแน่ใ

๒๓ เท่าที่ท่านผู้นิคื'นกจ้าไค้ และไ 0161ห่ 001083๗ 1^63811168 0เ ภ’’ (เงินเหรียญและมาฅราน*บ โบราณของลงกา) เบนอ้นสรปไค้ว่า พระพุทธเจ้านิพพานราว ๔๑๒ บี่ก่อน ก.ศ.* ถ่าน*'บตามศาสตราจารย์ผู้นิ พุทธศกราชบจจ ระกงเพียง ๒๓๕๘บี่ นิอยกว่าแบบที่ไทยเราน*ปถึง @๕® บื่ คราวนิมาถึงหน์งิสือ ธฟ(แห่8!ภ อีกเล่มหนึ่ง ซึ่งภรรย ศาสตราจารย์ ริส เดวิคส์แต่ง นางไค้แสคงหล*นิฐานว่า ถ่'ากิดตาม หน*'งสือมหาวงศ์และทีปวงศ์พงศาวคารล่งกาแล่'ว จะได้ศกราชอย่างท ไทยเราและล่งกานิบทกว*นินิ ถ่'ากิคตามทื่อนมานจากศิลาจารึกของ พระเจาอโศกมหาราช ซึงอางร*'ชสม*'ยของกษ*'ฅริย์กรีก ๔ พระองศ์กียฅิ ไค้ว่า พระพุทธเจ้าประสติก่อน ก.ศ. ๕๖๓ บี' คือพทธศ*'กราชบจจบ*น ๒๔๒๙ (อย่างที่นายธ'มเฟรยส์นำไปกล่าว) ซึ่งแสคงว่าที่นายอ*มเฟร กล่าวอย่างนึ่น ก็มีหล*'ก-!จานเหมือนก*นิ หล’กฐานทางเหรียญเงิน และมาตราโบราณของล่งกาตาม หน*'งสือของศาสตราจารย์ รีส เดวิดส์ น1น ออกจะได้ศ'กราชที่ห่างไกล จากแบบไทยและล*'งกาน์บี และที่นายอ้ม์เฟรยส์กล่าว ขำพเจ้าเห็นว่ ย*'งไม่มนคงพอจึงขอผ่านไปพิจารณาเพียง ๒ หล*'กฐาน คือที่ปราก^ * 8113(11า1รฑา 1)7 81โ7ร 0^1(1ร 1ว. 212-213.

เตุฮ๔ ในก'ม่ภีร์มหาวงศ์ และทีปวงศ์ผืายหนึง ที่อันนิษฐานฅามศิลาจาร ของพระเจ่าอโศกมหาราชอีกผืายหนึ่ง ผืายที่ถือฅามหอักฐานในหนำสือมหาวงศ์ และทีปว จะให้เหฅผลได้ว่า เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชได้ทำสำกายนาพระพุทธ ศาสนา แอัวส่งพระมหินทเถระไปอังกาทวีป ทางลงกาก็ทะนุถนอ พระพทธศาสนาเรื่อยมา จึงน่าจะกำหนดรันเดือนบี่ได้มนคง ไม่น่ มีผิดพลาดไปได้ ส่วนผายที่ถือหล*กฐานฅามศิลาจารึกของพระเจ้า อโศกก็อาจสน*บสนุนมฅิของฅนได้ว่า ศิลาจารึกน1น อำงร'ชสม*'ยของ กษ'ฅริย์กรีก ที่งพระเจ้าอโศกก็อยู่ในอินเดียทีเดืยว การกำหนด ทางอินเดียน่าจะมนกงกว่า ผายแยำก็กงแยำต่อไปไค้อีกว่า ศิลาจ น่นไม่ไค้ระบุ ว\"น เดือน บ ที่จารึกเทียบ ว''น เดือน บ ของกรีกไ อย่างมากก็กงเพียงอำงรัชสม',ยซึ่งอาจผิดพลาดอย่างไรก็ไค้ เม ผลโฅ้แยำก'นอยู่เช่นนั้จึงเบนอันยุติได้ว่า. อักราชที่นายอัมเ ถึงแม้จะไม่กรงก'บของเรา ก็น'บว่ามีหล*กฐานที่ไปที่มาเหมือนอ ถำพิจารณาหอักฐานทางญี่งุ่]นยื่งไปอันใหญ่ คื พทธอักราชนนกรบ ๒๕๐๐ บ มาก่งแต่ พ.ศ.๒๔๗๗ ของเราแอั ไนบี่นนได้มีการฉลองอักราช ๒๕00 บี่เบื่นการใหญ่ ดเหมือน เจ้าคุณสฤษดืการบรรจง (ซึ่งนงพี'งอยู่ในที่น) ก็ไค้เดิ ประชุมอัวยในฐานะนายกยุวพุทธศาสนิกสมาคมแห่งประเทศ'ไทย ใน

1อีว ๕! กรงนํน ทางญิ!บุ่เนได้พิมพ์หน*งสึอภาษาอ*งกฤษขนเล่มหนึ 163๗๒8 ๐{ 8๗ม!!3 (กำสอนของพระพุทธเจ้า) กล่าวถืงหล*กธรรม ทางพระพุทธศาสนาใกล้เกียงกบผายหีนยาน คเหมือนว่า เมื่อต*คเรื่อง สุขาวดีออก ก็เกือบเบนหีนยานท1งหมด สำนวนที่ใช้ก็พยายามข*ดเกลา อย่างประณีตบรรจง เพื่อให้น่าอ่าน แต่ในญี่รุ่]นเอง ก็ไม่ใช่ว่าน'บศ*'กราชเหมือนก่นท ใ/เไพ์เร่)ฟิป็/)าษานิร่)กโเษIล^]โ/!โก้)ง ชนิ &. 8]า01ฯ: 1ก้1ร1:01’7 0{ ]3133ก686 8๗ม11184 ร60เ8 (ประว้ติย่อนิกายพุทธศาสนา ๑๒ นิกายของ ญธุ่เน*) กล่าวถึงพุทธประวัติตอนหนึ่งว่า พระพทธเจ้ ก.ศ. ๑0๒๗ บื่ ถ้าน*บีตามนึ่ พ.ศ. บจจุบ*นิจะเบ็1น ๒๘๙๓ 11 ซึ่งน*บ ว่ามากมายขึงกว่าทุกแบบ เพราะฉะน1นจึงงดไว้เพียงเท่านึ่ เรืองบืออกผนวช นายชิมเฟรยส์กล่าวว่า พระพทธเจ้าออกผนวชเมื่อพระชน มายุ ๓๐ บี' เรื่องนึ่ใด้พยายามก้นหาว่านาย!!*มเฟรยส์นำมาจากหล*ก^ ผายไหน แต่ยิงไม'พบ บางทีอาจจะกะคร่าวๆ เอาเองก็ได้ ก้มภีร พระไตรบี่ฏกผืายบาลีกล่าวว่า ออกผวชเมอพระชนมาย ๒๙ บ และ ในทน'งสือเรื่อง 1’1ว6 163๗๒8 อ{ 8นมม!!3 ของผายมหายานที่กล่าว ๑ ผ้แฅ่งชื่อ บนยิอ น้นจิโอ สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลยออกสฟอร์คประเทศ องกฤษ เบนอาจารย์สอนภาษา ส0สกฤฅในมหาวิทยาลย อิมพีเรียล กรงโฅเกียว

เดุปื๖ แลว ก็ระบุบีฅรงกบผ่ายเรา ส่วนในคไ)ภีร์มหายานบางเล่มว่าออก ผนวชเมื่อ ๑๙ บื่ ก็มีเมื่อสอบสวนไค้ตรงข้นเบ็่นส่วนมากกว่า๒๙บ จึงเบนอ'นสนิทใจใด้ว่า ๒๙ บื่ มีหล*ก^านมากกว่า เมอได้กล่าวถึงเรื่องศำราชและกำหนดการเกี่ยวข้บบ ผนวช ก้นเบนข*อกวามฅอนก้นเสร็จสั้นแก้วจะไค้วิจารณ์ตำห @๒ ข้อน8นต่อไป หล'กที ๑ กล่าวถึงการช่วยดำเองว่า บคกลทกคนมีภาระที่จะก้อ ตำเองโดยมีชำชำ เปรียบเหมือนกนถกลูกศรแลำ ก้ามำก้องการ รายละเอียดว่า ลูกศรนั้ใครเบ็1นผู้ทำ มีลำษณะอย่างไร ใค เบน?ใน ข้อกวามนึ่มืในพระสูตรของผ่ายเรา คือ จฬมาลุงกโยวาทส ม่ชฌิมนิกาย ม่ชฌิมบณณาสก์ ใจความย่อ‘ลุ ว่าภิกษรปหนึ่ อยากร้ว่า โลกมีมาอย่างไร และจะไปสนสุดลงแก่ไหน ใ พระพทธเจำ ตรำว่า เรื่องเช่นนึ่พระองค์ไม่ทรงพยากรณ์ ทรงพยากรณ์แต่ เหฅของทุกข์และข้อปฏิบัติให้ถึงกวามดไทุกข์ ภิกษุรปน1นกล่ ไม่พยากรณ์ก็จะสึก พระพุทธเข้าจึงตรำว่า อย่าว่าแต่ แม้เธอจะตายลงไปในบำนึ่เราก็จะไม่พยากรณ์ และเมื่อเธอม ก็ไม่ได้สำ!ญาว่าจะบอกเรื่องนึ่แก่เธอ ข้าว่าโดยเหตุผล เมื เรำทรงบอกแลำก็ไม่ทำให้ภิกษุน1นประพฤติอีอะไรขั้น นอกจ

เธุซ ๓) เชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ล้าทรงสงสอนเรื่องทุกข์ก้บเรองแก้,ทุกข เรื่องปฏิบัติตานไค้ไม่ใช่เรื่องละเมอเพ,อผนดงนิ เมอปฏิบัฅต แล้ว ก็จะสั้นสงสำเองแม้ในเรืองทีถามนินิ กนเราถกไฟกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง เผาสุมให้เกิด กวามทกข์ร้อนนานปการ การช่วยฅวให้พนจากเพลงกิเลสเพลงดุ จึงเบื่นภ 1ระเฉพาะหนาของทกกน ไม่จาเบนตองสบสาวหาวาพระเจา อยู่ที่ไหน โลกน้แต่เดิมใครสร้าง เพราะเรื่องเหล่านื่ไ ในทางประพฤติปฏิบัติอย่างไรเลย หลกท ๒ แสดงเรืองอนิจจตา ความ เมเทยง บ3.พ อ{ 01131186 หรก 1๓1)61:๓31161106 ขอน ก็ฅรงก*บที่เราส่งสอนล้นอยู่ แต่ตามทีเราล่งส กํนินน แสดงต่อเนื่องกินถึง ๓ ขอ ดือ กวามไม่เทยง (อนิจจตา ความทนอย่ไม่ไค้ (ดุกขตา) ความเบนของไม่ใช่ตำตน (อนิต เห็นไค้ว่านายฮมเฟรยส์ไม่กล่าวถึงช่ออี่ ๓ ดืออ'นตตา กวามเบ ไม่ใช่ตำตน ก็เพื่อจะ'ไม่'ให้ขัดใจชาวตะ'ร้นตกมากเกินไป ชาว ยึดนินิในเรืองตวตนหรออตตา (ร๐ษ!,) มาก แตกมชาวตะวนตกไมนอย ที่เช่าใจเรื่องอนิติตา (รอน!๒58ท688) ทางพระพุทธศาสนาดี

1!สก11 ๓ มีกวามฅ่อเนื่องมาจากหล*กก่อน คือแสคงว่าอนิจจฅา กวา ไม'เทียงนน กรอบกลมไปถึงท*วิทนหรือบ้ททา (ร๐ช!) ต่วิย คำว่า ร0 คำนี เกยแปลกนว่าวิญญาณบ้าง ออทาบ้าง อาตม'นบ้าง ลำแ วิญญาณ กวรหมายถึงวิญญาณที่ถึอจุติปฏิสนธิได้เพราะวิญญ หมายถงกวามรู้ทางอายตน ๖ คือ ตา ห จมก ลน กาย ใจ ที่เรียกใน ภาษาองกฤษว่า (ว0ฑ8010115ฑ6ธ8 เมื่อกล่าวว่าความไม่เทียงกรอบงำไป ร0น1 ควย จงพอเบนประโยชนให้ผูยึคมนใน 50111 หรือ อ*ททา ค่อย กลายกวามยกบ้นิลงได้บาง กร\"'นแลวนายชิมเฟรยส์ได้แสดงถึงภาระ อยางหนงทไม่มีชอ ว่าเบนกวามจริงขนสกทีาย และอย่เหนือความ เปลยนแปลง เพื่อดึงกวามสนใจของคนต่างคาสนาให้เอๅใจุใส่ต อยู่เหนือกวามเปลยนนน การกล่าวว่า ภาวะที่ไม่มีชื่อ ก็เพื ภาวะแท้ๆ โดยไม่อิงสมมติบ่ญญัฅิ เพราะกำว่านิพพานนนเบนสม บญญัฅิอย่างโลก ๆ ที'ใช้หมายถึงภาวะชนิดน8น ขึงสงเกทว่า นายสมเฟรยส์ได้กล่าวถึงเรือนร่างแห่งช และฅวชีวิต เปรียบควยหลอคไฟพากบกระแสไฟที่ผ่านเบ้'ๅไปใน ไม่มีใครเบนเจาของชีวิตได้จริงจำ ขณะที่ชีวิตยำอย่ในเรือนร ปรากฏกวามเบนส*กว์บุกกล เมื่อชีวิตจากเรือนร่างไปแลํวิ ก็เหมือน อย่างหลอกไฟพ้า ที่ไม่มีกระแสไฟวี่งเบ้าไปแล้วเบื่นหลอกที่ปรา แสงหรือคบไป

เตุ) นายชมเฟรยส์ได้กล่าวถึงชีวีกว่า เบนของหาที่สคมิ เบนหนงซงแยกไม่ได้ ปนอยู่ก'บข้อกวามในที่ห่าง \"I หลายห หลกท ๒ ที ๓ ท ๕ และที่ ๖ ซึ่งจะยกไปวิจารณ์รวมก่นในหล*กที อนกล่าวถึงเรื่องนั้โดยตรง หล่กที ๔ แสคงถึงเรองกรรมว่า เบนหล'กเหตุผลที่กรอบกลมส*ก โลกทงปวง อดตาหรือดวดน กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่สิงที ล''กษณะของมนุษย์ เบนผลลพธ์แห่งกรรมในกาลก่อนของมนษย์ และ แสดงว่ามนุษย์เบ็น “ผู้สร่าง’- แท่ผู้เดียว ซึ่งกวามฌ็่นไปและโ ในอนากฅ เบนอินปฏิเสธหล''กเรื่องพระผ้เบ็่นเจ้า “ผ้สร่าง” ศาสนาอื่น และไนที่สุดสรุปว่า มนุษย์จะบรรลุกวามหลุดพํนจ เวียนว่ายดายเกิด เข้าถึงการดร'สร้ ก็เพราะการกระทำของเขาอง ทำใจให้บริสุทธึ้ จนเกิดกวามรู้แจ้'งด*'วยกนเอง หล'กฟ้อินึ่เบึนหล'ก ของพระพุทธศาสนา ซึ่งแสดงว่ากนเราไม่ใช่ดีชีวได้เองอย่า หรือมีพระเจ้าอะไรมาบไเคาลกรรมคือการกระทำห่าง นุ ของเขาน11น ด่างหากเบ็๋นผู้บ*'นดาล ดามที่สมเด็จพระส’'งฆราชทรงตอบไปว่า ผู้สร้างคืง แก่อวิชชา คือกวามโง่ ไม่รู้อริยส'จ ๔ และผู้สร้างเที่มเดิมได้แก คือการกระทำด่าง นุ ของมนุษย์นนเอง ดามหล*'กปฏิจจสมปบาทแล หล*กแห่งกรรมนน นายชมเฟรยส์ได้ยอมรบรอง

๓0 หส!เห ๙ ในหล’กนกล่าวถึงชีวิตว่าเบ็นหนึ่ง ซึงนบว่าฌนเรอ ที่จะติองวิจารณ์ ข*าพเจำได้กล่าวกะนายอไแฟรยส์ว่า หลกนีไม่มีใน บาลีพระไตรบี่ฎก นายชิไ)เฟรยส์ได้กล่าวว่า ขอนินไม่สำคญ ม'งหมายกือติองการให้มนุษย์มีเมตตากรุณาต่อก*น ก้นเบนหลกกว กลมกลืนเบนอ*นิหนึ่งอ*นิเดียวก้น ผู้ที่ทำลายกฎแห่งกวามกลมก อนินึ่ คือฆ่าส*ฅว์ เบียดเบียนส*ฅว์ ก็จะทำให้ชีวิตของเขาเ การฅรืสร้ใด้ช’าลง เรื่องชีวิตเบีนหนึ่งนึ่ มีชาวยุโรปหลายกนชอบกล่ ไว้ในหน*งสือเรื่องพทธศาสนาท้ตนแต่งขน ได้กล่าวไว้แลวว่าเมอถึ หล*กนึ่จะประมวลเรื่องทีนายอมเฟรยลกล่าวเกยวกบชีวิตมารวมวิจารณ ไว้แห่งเดียวก้น เพราะปรากฎว่าขํอกวามอย่างเดียวก้น หรือค ก้น'ได้กระจายอย่หลายแห่ง ซึ่งกำจะรวบรวมจริง ๆ แก้วก็ไม่ถึ ๑ ๒ หลก ข*อกวามที่จะกล่าวก่อนในที่นึ่ คือ ท*ายหก้กที่ หลกที่ ๘ ซึ่งว่า ชีวิตทุกชีวิตในที่สุดจะได้ฟ้าถึงการ กวามขอนกไ)ภีร์ผายเรามิได้ขืนย*นเช่นเนน เบนแต่กล่าวว่า ผู้ใดไม่ ประมาทสงสมคุณกวามดี ก็จะได้ฅร็สรู้หรือใกล้นิพพานเร็วขน ก มำเมาประมาทไม่ทำกวามดีมีแต่ทำกวามชํ่วแก้ว ก็จะวนเวียน หวงทุกข์ เกิดๆ ฅายๆ หาที่สุคมิได้แม้-พุทธญาณก็'ไม่กำหนดที่สุดแ

๓๑ กวามวนเวียนตายเก๊ต'ของผ้นึ่น แต่ในหล*กของมหายาน ยืนยไเหนก หนาว่าทุกชีวิตจะต่องเข่าถึงนิพพานหมด มีพระสฅรชองมหายา .ส*ทธรรมบณฑรีกสฅร ยืนย่นกวามข่อนึ่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกน ก็เห็นจะพอไปต่วยก*นิไค้คือแม้พระสฅรผืายเราจะไม่ยืนย่นเช่นนน ก็ไม่ปฏิเสธหล'กวิว*ฌน์ (^0๒11011) คือการที่ชีวิฅทุกชีวิตย่อมค่อย ๆ เจริญขนเสมอ แม้มีอปสรรกไนระหว่างนำง สมมติว่าใน!กฏิบ ไม่ติขั้น แต่ภายในโกฏิบี่ข่างหน้าก็กงมีดีเข่าส*กกราวหนึ่ง ซงกงจะ กระเสือกกระสนเจริญขั้นไปถึงที่สุดจนได้ นิกายมหายานที่น้บถือพระสตรนึ่มากคือ นิกายน้จิ นิกายที่ต่งชื่อตามชาวญี่บ่เนผ้ต่งนิกายนึ่ขั้น เนเมืองไทยเรา เห็นพระญี่ธ่เนเดินถือกลองตี ติง! ตุ๊ง! ไปตามถนน ทหน้งขึงก เขียนเบื่นหน้งสือจีนว่า “นิม่มเมื่ยวฮวบเน่ยอํ่วิเก็ง”® นอบน้อมแค่ส*ทธรรม'ฑรีกสตร’’ นนแหละคือพระในนิกายน้จิเรน ใปีความแห่งส่ทธรรมบุฒฑรีกสตร ย่อกวามในสตรนึ่ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตล เวลา ๔๐ พรรษา ก่อนหน้าที่จะแสดงพระสูตรนึ่น1น น้วนเบึนธรรม ช\"วกราวเท่าน1น ไม่ใช่จริงจ*งอย่างเด็ดขาด และ,ในสูตรนึ่ เบนที่ไปแห่งสํฅวโลกไว้ ๓ อย่าง เรียกว่าตรียาน คือ สาวก ® มาจากกำ ส0 สกฤฅ ว่า “นมะ สธธรมปุณฺฑรีกาย สูๆราย,\"

๓เ®5 จนได้บรรลุอรหดผล เบ็่นสาวกยาน, ผ้ฅร'ส้ร้ได้ด็วยฅนเองแท่ไม1ได้ ส่งสอนใคร เรียกว่าบจุเจุกพทธยาน, ผู้ฅร\"'สร้ค่'วยฅนเองแส้วสํ่ ผู้อืนได้ด*'วยเบนส*'มพุทธยาน ยานท,ง ๒ เบั้องด’'น คือสาวกก*บบจุเจก พุทธะนํ้น่ เบนของผืายหีนยาน แปลว่ายานตำหรือไม่กว้างขวาง ส ส้มมาสมพุทธยานเบืนของผายมหายาน แปลว่ายานใหญ่ หรือกว้าง ขวาง เรื่องนทางผายมหายานภมิใจนกว่า เขามีกวามคิดกว้างขวาง คิดเบ็นพระพุทธเจ้าโปรดส้ฅว์ ไม่คิดแคบ ‘ๆ เพียงแท่จุะเบ็1นสาวก ห บจุเจุกพุทธะ อย่างหีนยาน อ้นที่จุรีงเบ็นความเข่าใจุผิค ทางผ หีนยานเราไม่มีข*อห่ามไว้ที่ไหนเลยว่า ไม่ให้บำเพ็ญบารมีเ พระส้มมาส้มพุทธเว้า หรือให้ยินดีแด่เบนสาวก ธรรมะในพระพทธ ศาสนา ไม่ได้เบืนของผูกขาดสำหร*บใครโดยเฉพาะ ล่าใครบำเพ็ คุณงามกวามดีสมควร ก็อาจุฅรื'สรู้เบนพระพทธเข่าได้ด*'วยกนทํ และหล*กเรื่องน้นับ'ว่าน่าเลอมใส ในเมื่อเปรียบเทียบก*บศาสนา ซึ่งผูกขาดตำแหน่งไว้เฉพาะผู้ยี่งใหญ่องค์ใดองค์หนึ่งเท่านึ่ ไม่อาจบำเพ็ญคุณงามกวามดีเพื่อเบ็่นเช่นนึ่นไค้เลย แด่ในพระพท ศาสนามิใช่อย่างนน ใครจะเบื่นพระพุทธเข่าก็ไค้ ขอแด่เพียงให กวามดีให้มากพอ อนึ่งในทำยส่ท่ธรรมปุณฑรีกสดรได้สรปไ ทํงหมดมีเพียงยานเดียว คือใกร ๆ ทํ้งหมดรวมทงํ้ผู้ไม่นั ในวนหนึ่งจะได้เข่าถึงการดร'สร้ควยกนทํงสิน จึงเบนอ''นได

๓๓ สฅรนกล่าวถึงเอกยาน เพื่อผสมผสานมหายานหีนยานฟ้าเบนย เคียวก*น พวกน*กปราชญ์ของญี่ปน ไค้ช่วยกนเขียนบทกวามประกาศ หล*กธรรมของผายมหายานเบ็่นภาษาอ*ง่กฤษอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ ในหน*งสือ 8ฟ!!!!๒!! 1ถ 811813๗ ของสำน*กนายต้มเฟรยส์ ก็มีลง เรื่องผืายมหายานแทบทกฉบบและเมื่ออ่านหน*งสือทีนายอมเฟรยส!เด่ง 1^ จ 1ง่ เอง เช่นเรือง 8111(1168 1ก 1๗ IV!!๗!6 และเรือง หณณ 0ก เบ็๋นต้น แต้วก็จะเห็นได้ว่านายต้มเฟรยส์มีแนวกวามคิคเบนมห และไค้ศึกษาหน*กไปทางมหายาน ชีวิตเบนทนง หต้กเรื่องชีวิตเบื่นหนึ่ง คือ มนุษยและสฅวเบ็นผู้เนือง ในชีวิตต้นเคียวต้น ต่างกนแต่เรือนร่าง เมื่อชีวิฅเบนของส่วน แต้ว จึงไม่กวรคิดเอาคีแต่คนเคียวแต้วเบียดเบียนกนอื่น พระไฅรบี่ฎกของเราไม่มี ไปฅรงกบหต้กต้มภีร์อุปนิษัทของพ ซึ่งมีปรมาฅม่นิ หรือวิญญาณสากล ต้นแสดงว่าทุกๆดวงชีพเบี ส่วนหนิงของวิญญาณสากล คราวนึ่ลองสอบสวนคูในผายมหายาน ไปพบหต้กของนิกายเซ็น ซึ่งเข1าใจว่านายต้มเฟรยส์กงนำมาจาก เพราะนายต้มเฟรยส์เบนผู้สนบสนุนนิอ'1ย1■ซ็นมาก อำ'ง่า เซ็นย่อมา กำว่า เซ็นนา เบ็่นสำเนียงญี่บีนทื่เพื่ยนไปจากกำง่า ฌา

๓๔ หรือ ธฺยาน ในสํสกฤกนิกาย ฌาณ หรือ เซ็น น้ มุ่งบำเพ็ญฌานเบีน ส่วนใหญ่ มีหล่กสำก*ญ่อย่ว่า การถ่ายทอดกวามรู้แจงเห็นจริงน มไค้ชนอย่แก่ถ้อยกำหรือหัวหน*งสือ แต่จะถ่ายกนได้โคยทางใจ ให้อีกผู้หนึ่งร้เห็นได้ด้วยใจของเขาเอง ไม่เกี่ยวก*บหล*กธรร ธรรมข้นธ์เลย ชาวญี่ง่]นกนหนึ่ง'ชื่อ ชากุโชเยน ได้เขียน ในหนงฟิอ ธนแเา1118111 1ถ ธทฏึเลท(า วา ?แ6(าแ3น่011 อออ)านหรอการ เพ่งนึ่น ไม่ใช่ของทำยาก ใคร\"] ก็ทำได้ ในเวลานง จงน ห*)อีงนึ่เบนสากล กายของเราก็เบ็นกายของสากล จิกของเราก็เบนจ ของสากล ฅา หู จมก ลํ้น ของเราก็เบนของสากลในเมื่อเราเบนของ สากลฉะ'นั้แล่ว ก็จะได้กลายกวามยึดมนถือมนในเรื่องด้วฅน และ เรื่องสื่งนึ่นึ่สงนึ่เบนเราเบ็่นเขา เบ็๋นของเราของเขา หล*กธรร นิกายเซ็นแพร่หลายมากเบนพิเศษในภาษาอ'งกฤษ จึงน่าจะสนน้ษฐาน ว่า นายชิมเฟรยส์ ได้ประมวลไปจากนิกายที่กล่าวนึ่ เทยบกบ์พระไตรบี่ฎก หลกเรองซ็วิฅเบนหนึงนึ เมอเทียบก*บพระไกรบี่ฏิกของ เราจะเห็นได้ว่าต่างกนในส่วนเหตุ ลงก*นิในส่วนผล อือ'ในพระ บี่ฎกไม่มีอธิบายว่าชีวิดเบนหนึ่ง แต่อธิบายในรปอื่น ซึงม ม่งหมายอย่างเคียวกน อือมุ่งให้มีเมฅฅากรุณา และไม่ยึดถือในเ ดวดน อือเมื่อกล่าวถืงชีวิด ก็-ว่าชิ1วิดนั้น1อ์ย ไม่ชำก็ทาย กนเรา

๓^ ประสบพบเห็นอารมณ์ต่าง‘ๆ ในโลกก็เปรียบเหมือนกวามผึ้น พอสน ชีวิฅที่เทียบด้วยพอตื่นจากผี่น อารมณ์นน\"Iก็หายไป สุฅตนิบาต สตก่นตปิฎก เล่ม ๒๕) ดงนั้เบี่นการสอนไม่ให้ย หลงใหลในว*ยในชีวิต ในส่วนที่จะปลูกเมตตากรุณาน1น ท่านสอนให เอาใจเขามาใส่ใจเรา ว่าเราร*กสุขเกลียดทุกข์ฉํนใดผ้อื่นก็เบนฉ'นนึ จึงไม่ควรเบียดเบียนประทษร1ายถ้นและสัน และย'งมีอีกวิธีหนึ่ กลำยก*น คือนึกว่าเบนพวกเดียวก*น เบนกนชาติเดียวก*น ร่วม เดียวถ้นเบนเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยสัน นึกเช่นนึ่ได้ก็จ กรณาและเลิกความเบียดเบียนก่น ด'งกล่าวมานึ่จึงพอสรุปได้ว ผลคือเมตตากรุณา และความไม่ยึคมํนถือมนอย่างเดียวก่น แต่แส วิธีคิดที่จะให้เกิดเมตตากรุณาไว้ต่างก่น จึงชื่อว่าต่างก่นโดยส่วนเห ลงก่นโดยส่วนผล ตอนบทความของผัว่าฆ่าสิตวไม่บาป เมื่อกล่าวมาถึงเรื่องให้เห็นอกเห็นใจก่น เอาใจเขามาใส่ใจ เราแก่ว จึงขอถือโอกาสพดเรื่องที่ก่องการพูดมานานแก่วสั เพราะ'ไม่มีโอกาสเขียนตอบเบนหนังสือ คือท่านผ้หนึ่งได้เขี ว่า เราไม่ควรถือการฆ่าก่ตว์เบนบาป เพราะก่นเบนไปตามกฎ ธรรมชาติ คือสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก และนาที่เราดื่ม อากาศที่ เก่าไปน1น มืสัตว์เล็กๆที่เรามองไม่เห็นด้วยตาผสมอย่มิใช่

๓ไว เราถือว่าฆ่าสัตว์บาปเรามิบาปกนแย่หรือ เราลองถามกระเพาะอาหาร นำย่อยอาหารของเราคเถิก ม่นจะตอบเบึนเสียงเดียวก้นว่า มนฅอง เนี่อสัตว์ที่งนั้น เรากงได้ยินข่าวก้นบ้างว่า กราวหน้งที่ศรีราชามีปลา สัคฝรงดูเหมือนเบนกนอิฅาเลียนขาขาก และกินใครต่อใครอีก หนํงลือพิมพ์ลงข่าวใหญ่โตถึงเรื่องนั้น การโจษขานสั สัานึกคูให้ดีแสัว ครีบปลาฉลาม (หรือที่เราเรียกก้นว่า ไค้มาอยู่ในสัวยชามอาหารของพวกเรานบไม่สัวนว่าจำนวนเท่า เท่าไร เราล่าปลาฉลามมาฆ่าแสัวสัคเอาครีบมาปรุงอาหารกิ อย่างเอรีดอร่อย ไม่มีใคร'ว่ามนษย์ร้าย แต่พอปลาฉลามก้ดหรือ ใครเข่าสักกนหนึ่ง เรากสับว่ามนดุรำย นี่แหละมนษย์ เห็นแก่สัวโดยไม่นึกถึงผู้อื่น สัาว่าโลกเราจะเฅ็มไปสัวยกน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ใครมืกำลงมากก็เบียดเบียนกนมีกำลงน แย่งชิงขำวของเงินทอง ทำร้ายร่างกายปสันสดมภ์สันตามพอ ถือว่าการเบียดเบียนสันถูกฅามหสักธรรมชาฅิแสัว ภาวะของม ต่างอะไรจากสัตว์ กวามเดือดร้อนจะมืทุกหย่อมหญ่า ผู้ที่โกงมา ไค้แลวพอใจนั้นแหละ สัาถูกผู้อื่นโกงสัางจะไม่พอใจเลย พระพท ศาสนาสัองการสอนเพื่อยกระดับของกน ให้สงกว่าระดับข ให้ร้จํก้เมฅฅากรุณาสัน เห็นอกเห็นใจก้น จึงฅรัสสอนไม่ให้ สัตว์ใหญ่ร่งิแกสัตว์เล็ก เพราะสัาโจรเที่ยวฆ่าใกรต่อใครไค้

๓(ท) เที่ยวข่มเหงพียกเบียนผ้ไร้อาวุธได้ โดยถือหล่กิที่ว่าทำต ชาติแล่ว โลกเรานั้ก็กือนรกดี ‘ๆ นี่เอง เมื่อกล่าวตามหล่กจิตวิทยา สี่งที่เราเรียกว่ากิเลส ก็คือคว ร้สึกทางจิฅชนิดหนีง ที่เราใช้กำบ้งกฤษว่า ธณ0น0ฑ เดิมแปลกนว่ อารมณ์บ้าง ความสะเทือนใจบ้าง บวิๆนี่น์ญฌัติศพทํมาลี สํ ขั้นใช้ว่า อาเวก เช่นความรีก ความโกรธ ความริษยาและ เนทาง จิตวิทยาเองก็ยอมรีบว่า เรามีทางย์บยํงไม่ปล่อยให้อาเวคชกจูงเรา ดามชอบใจได้ ล่าเราอยากได้ของใครก็ชิงเอาต่อหนา หรือโกรธก็ ฆ่าพนทำรีายเขา เช่นนี่ก็แปลว่าเราตกอยู่ในอำนาจของอาเ ธ™011011 โดยเด็ดขาก พระพุทธศาสนาสอนไม่ให้มนุษย์ปล่อยฅวตาม กิเลส คือความโลภ โกรธ หลง จึงนบว่าเบีนศาสนาที่,ช่วยให้มนุษย พํนจากระตบตา ช่วยให้คนและล่ฅว์ดำรงชีพอยู่อย่างผาสุกในโลกเรา จึงควรปฏิบัติตาม อย่านึกแต่ว่าเมื่อเบีนทีได้ของเราที่เรา กินเนี่อผู้อื่นได้แล่วิ เราจะบ้างว่าถูกกฎธรรมชาติ ล่ากนอื่น อย่างเดียวก้บเราแล่วิกินเลือดกินเนอเราบ้างจะเที่นอย่'1งไร เรากง ปฏิเสธและกดบ้านกฏที่เราต1ง'ไว้เดิม,ทันที'ว่าไม่,ควร'ทำ'อย่างนี่น ส่วนบึ้ญหาเรื่องเราหายใจ หรือกินนาเที่นการฆ่าล่ฅวเล็ นไเไม่ควรเดือดรอน เพราะองค์ของการฆ่าสํตวมีอยู่ถึง ๕ คือ ส่ฅ ชีวิต ๑ เราร้ว่าสํกวมีชีวิต ® จิตคิกจะฆ่า ® พยายามฆ่า ® สฅว์ตาย

๓^ ควยกวามพยายามน,น 0 ด้าเราไม่มีเจฅนาฆ่าเราก็ไม่ชี1อว่าผู้ฆ่าสฅว และเราหายใจเข้าไปส\"ฅว่จะคายจริง หรือกลบจะไค้รไ]กวามอบอุ่นเ ลูกเกิดหลานมากเราก็ร้ไม่ได้ บีญหานจึงไม่ใช่เรื่องกวรด้องใจ ข้อที่ว่าขอให้ถามกระเพาะและนาย่อยอาหารคม่นจะฅอบ เสียงเดียวกินว่า ด้นด้องการเนึอด้ฅว์น1นเท่าที่ใค้พยาย ไม่เบนเช่นน1น ข้าพเจ้าอ่านพบในตำราว่า ร่างกายเราน1นไม่ใช่ อาหารไปพอกให้เติบโตไว้ไค้ที่ง \"I ชน กินด้องการกล่นเอา ของอาหารแล*วกายกากที่งออกมา ส็งทีร่างกายกิองการไม่มีอะไร ว่าเนอสฅว์เท่าน8น ร่างกายกิองการโปรตีน วิตามิน กาโบไอเดรท ไขกิน และเกลือแร่ สี่งท่ง ๕ นีเราอาจจะพบไค้แม้ในพืชผกก็เม เราอาจหาได้ในพืชฒัแล*ว ไฉน'จึง'ว่ากิน-จะกิองกล่นเธาจากเนอส เท่านน จากสื่งอนไม่ได้ ชาวอินดหลายร่อยลำนกน ถือกา เนั้อลํฅว์เบนธรรมเนียมแด่ก็แขึงแรงลํ่าส้นดี ในศาสนาเรา'ไม ถึงเพียงนน วางแด่เพียงเงื่อนไขไว้ว่า ลำเราไม่เห็นกิวยคาไม่ไ ด้วยห ไม่ไค้ร่งเกียจด้วยใจ ว่าเขาฆ่าเพื่อเราแล*'วก็กวรกินไ การสอนสายกลาง ด้วยเหตุผลด้งกล่าวมาน จึงขอข้กชวนพวกเราให ช่วยด้นเชิดชูหด้กศาสนาไว้ อย่าให้มีการเด้าใจผิดว่า การประท เบียดเบียนผู้อื่นเบนการลูกหด้กธรรมเลย กวรนึกเปรียบเพียบ อกเราคให้ดี

ดวลิ่ หล'กที '๖ ทอนต้นกล่าวถึงเรื่องชํวิฅเย้นหนึ่งอีก ตอนทำยจึ เรื่องอริยสัจ ๔ ประการ หล*กนึ่ตรงท้นทงหีนยานมหายาน ไ ที่ต้องวิจารณ์ หล*กที ๗ แสดงเรื่องมรรค ๘ ต้นรวมอย่เย้นขอสุคทำยแห่งอริย โดยละเอียด และเรื่องมรรค ๘ นึ่ย*งแสดงไว้ซาท้นอีกโนท้อ ๙ เย แต่เปลี่ยนโวหารทำงเล็กนัอย อ'นที่จริงในหสัก'ที่ ๗ นึ่ ตอนท แสดงหล*กใหญ่ไว้คือเรื่อง “เท้นกวามช”ว ประพฤติความอี ชำระ ให้สะอาด” ซึ่งควรยกขั้นเบนหล*กที่งท้อ แต่นี่ก็เ ระเบียบ จึงขอผ่านไป หล'กที ๘ แสดงว่า พระนิพพานเบน ฆ611๓316 &631นV คือสภาพท แท้จริงขนสุดท้าย ในขอน นายขึมเฟรยส์ก็ไม'ปฏิเสธ'ว่า พระเจ้า ไม่มี เย้นแต้ว่าพระเจ้าพร,อมทั้งฤทธเตชต่างๆ ขอ ตามที่ชาวตะท้นตกนับถือนึ่นึ่ หาใช่ความจริงขนสุดท้ายไม่ พร เจ้าฝักร'สร้ความจริงขั้นสุดท้ายนึ่ เย้นมนุษย์เรานี่เอ ก็มีสิทธจะฅร้สรได้เท่า ๆ ท้นมีธาตุแห่งความเย้นพุทธะอยู่ในท

๔0 Iใเไวิจํ)1ชทัเใไใ 1^00^ \\\\^111า1ฑ, 1เา011 อเโX วิ^^!]ปี ท่านเบื่นพุทธะ” เบี่นการกล่าวตามหล*กศัทธรรมปุณ'ทรืกสูฅร ซงก ไม่มีอะไรพัก*นก'บพระไตรบี่ฎกของเรา เพราะในที่บางแห่งก็มีสอน ใช้จิฅคจิตและสอนให้พิจารณาภายในต'วเธง ไม'พิงซ่านอ ภายนอก หล*คที ๙ ไค้กล่าวแล้ว'ว่า หล*ก'แพุดถึงเรื่องมรรก ๘ ซากบหล*กที่ เปลี่ยนแต่สำนวนเล็กนอย จึงเบนอ*นผ่านไป หล'กที ๑0 แสดงว่า พระพทธเจำยํ้ามากในเรื่องสมาธิ (0๐1ไ0611*18เ110ฑ ) และการเพ่ง (^6ย์แอ*1๐11) กำว่า น!6(น*3บ0ก ตรงก'บบาลีว่า ฌาน หร สํสกฤฅว่าธฺยาน แปลว่าการเพ่ง แต่มีบั๋ญหาว่า เขาหมายเ ทำจิตให้สงบเท่าน5น หรือหมายสูงกว่านนศัวย คือหมายเพี ไห้สงบก็เบี่นเพียงสมาธิ และเบ็นฌานชนิดสมาธิ ศัวย สมเด็จพระส*งฆราชจึงทรงทักไปว่า ถากำว่า น!6(นณ*;0ถ กวามหมายของนายอมเฟรยส์ กินกวามคลุมทงสมถะ (การทำใจให้ สงบ) และวิบสสนา (กวามร้เห็นอย่างแจ่มแจงดรงก'บอ*งกฤษว 81,!,•นษอ1 1ก51(?เาเ ) ศัวย เราก็รบรอง เพราะว่าโดยอาศัยทัพทํแทั อาจฅีกวามแคบก็ไค้ กวางก็ไค้ คือ น!6บ;*อ*;0!! ทันบนอารมม

๔๑ ปแชฌาน คือเพ่งอารมณ์ ก็เบึนสมถะหรือสมาธิ ถาเบนลำข ปชฌานคือเพ่งลำษณะ ก็เบนวิบสสนาหรือบญญา ในขอนขำพเจ่า ได้พบก็บนาย?เมเฟรยส์และไต่ถามค เขารบว่าเขาหมายถึงวิบสสนา ห้วย จึงเบื่นอนลงรอยก็น หลํกที© ๑ กล่าวถึงการช่วยอ้วเองให้หลดพีนห้วยกวามเพียรหรื ไม่ประมาท และว่าพระพทธศาสนาไม่รบร้หลกปรํบบจจ่ย คือก เชื่อหล้กฐานของผู้อื่น แต่พยายามบำเพ็ญให้รู้แจ่ง่เห็นจริง และผ้ปฏิบัติไม่ห้องอ้อนวอนต่อพระพทธเจ่า หรือพระผู้ องค์ใด ภิกษในพระพทธศาสนาไม่ใช่กนกลางหรือสอระหว่างกวาม แท้-จริงก็บมนษย้ ไม่เหมือนกบพระในศาสนาอื่น ทีเบึนกนกลาง ระหว่างพระเจ่าก็!เมนษย์, แต่เบ็1นเพียงผ้สอนและทำ เท่านีนและดอนสดท่วิย ทื่ว่าพระพุทธศาสนาไม่กีดกนความกิดเห หรือบ้งก'1เการเชื่อถือนน นบว่าเบื่นหล*กสำค'ญที่ชาวยุโรปพ เพราะให้เสรีภาพ อิสสรภาพในการอ้นหากวามจริงแก่มนุษย์ท่วไ ไม่มีการผขกขาดให้ห้องเชื่อก'แเรอยไป หลกห ๑๒ ฅอนอ้น กล่าวถึงกวามที่พระพุทธศาสนาไม่ใช่มองในแง่ ร่าย (บ685111115110.) และไม่ใช่นกหลบหนี (ธร031วเ8เ) ชาวตะวนฅกท

๔เดุปิ อ่านเรื่องอริยสำ ๔ เห็น ขั้นต้นคำยทกข์ ก็ม*กเขาใจว่าพระพุทธศ'เสนา มองในแง่รำย มองอะไรเบนทกข์ไปหมด วิธีแก้กวามเขำใจผิด ชื่แจงให้เขาอ่านให้หมดที่ง ๔ อริยส*จ ก็จะเห็นไค้ว่า เราชวิ ไว้ให้เสร็จแล้ว หาไค้มองแฅ่ทกข์ไม่ เมี่อชทางพ,นทุกข์ไว้ให ฉะน้ จะว่ามองในแง่รำยอย่างไร และบางรเอที่สอนให้ ก*ง์วลด่างๆออกหากวามสงบน1น ก็อาจทำให้เขาใจไปว่าสอนให้เบ น*กหลบหนี แด่พึงทราบว่าในการแก้กวามทุกข์กวามเดือดรํอนต่า น8น เราไม่ได้แก้ก้นดำยวิธีหนีแต่แก้ดำยการล้ อือก้นหาให้พบต เหฅแห่งกวามทกข์กวามเดือดรอนนนแล้วทำลายเหตุเสีย ถ้าสอ หนีแลำจะสอนให้กนหาฅนเหตุแลำทำลายเสียทำไม ส่วนบญหาที่ว่า พระพุทธศาสนาไม่ปฏิเสธความมีอย่ พระเบนเจ้าหรืออาดม*น ((า0ส์ 01- สอฟ่) น1น กงจะเบนกวามปรารถนา ของนายอ*ม่เฟรยส์ ที่จะไม่ให้กระทบจิตใจของชาวดะวนดก ผ้ผง เชื่อในเรื่องนรุนแรงเกินไป จึงขยายกวามว่า “เบนแด่กำบ*ญญัฅิเหล่ พระพทธศาสนาได้ต\"งกวามหมายขั้นเองดามกวามพอใจ” สมเด็จพระ สำฆราชไค้ทรงขยายกวามให้ช*คขึนว่า พระเจ1ก้ผ้สรำงด*3เดิมดามหล*ก พระพทธศาสนากอือ อวิชชา เบ็นพระเจาทีจะต้องทำลายแทนที่ ไว้สำหร*บบชาเหมือนพระเจาในศาสนาอน ส่วนพระเจำผ้สรำงเพึมเดิม ภายหลำ อือ กรรมหรือการกระทำของมนุษย์นํ้นเอง มนษย์อาจเล