Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ลีลาภาษาฉันท์ โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

ลีลาภาษาฉันท์ โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

Description: ✍️

Search

Read the Text Version

ประวตั ผิ ูเ รยี บเรยี ง พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ. ๙ เกิดวนั เสารท ี่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ แรม ๔ คาํ่ เดอื น ๒ ป มะโรง, บิดาชื่อ นายอําคา จาํ เริญ มารดาช่อื นางป จาํ เรญิ ๖๓ หมู ๑๓ บา นปลาขาวใหม ตาํ บลยาง อาํ เภอนาํ้ ยืน จังหวดั อุบลราชธานี บรรพชา เมอื่ อายุ ๑๖ ป พ.ศ. ๒๕๓๖ ไดบรรพชาเปน สามเณร ณ พัทธสมี า วดั ปาจันทรังษี ตําบลยาง อาํ เภอนาํ้ ยนื จงั หวัด อุบลราชธานี ๓๔๒๖๐ พระครรู งั ษนี วกิจ เปนพระอปุ ช ฌาย อุปสมบท พระอุปช ฌาย พระครูรงั ษนี วกจิ พระกรรมวาจาจารย พระอธิการบุญมา เขมาภิรโต พระอนสุ าวนาจารย พระอธิการสมศรี ธรี วโร อุปสมบทเม่อื อายุ ๒๐ ป ณ วันท่ี ๒๒ เดอื น มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๐ เวลา ๐๕.๑๘ น. ณ พัทธสีมา วดั ปาจนั ทรังษี จบประโยค ป.ธ. ๙ ป พ.ศ. ๒๕๔๘ ณ วัดโมลีโลกยาราม กรุงเทพมหานคร ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

คาํ นาํ วิชาฉันท เปนรายวิชาหน่ึง ยังอยูในรูปการอนุรักษนิยม มุงการรักษาแบบแผนใหคงไว สัมผัสแรกของนักเรียนวิชาฉันทนี้ ที่พบกันโดยมากจะพูดเปนเสียงเดียวกันวา “ยาก” เพราะวิชา ฉันทเปนวิชาชั้นสูงอยูในระดับวรรณคดี ถกู บรรจุใหเปน หลักสูตร ของเปรียญเอก แมใ นภาษาไทย “ฉันท” กถ็ ูกจัดไวใหอ ยูใ นชั้นสงู เชนกัน คือ ประเภทกาพย กลอน โคลง ฉันท จึงสรุปไดวา วิชา ฉันทน้ี เปนวิชาสุดยอดของกระบวนวิชาภาษาบาลีก็วาได จึง จําเปนที่จะ ต องมี ลีล ากระ บวนทาที่จะ นําเส นอ แล ะ มี ความสามารถในการลําเลียงลงสูคณะฉันทไดอยางเหมาะเจาะ วชิ าฉันทตองอาศัยการประมวลความรูในทุกแงมุกมุมของภาษา เพอ่ื รวมลงสกู รอบอันกะทัดรดั นคี้ อื ความยาก หนังสือเลมน้ีขาพเจาไดเรียบเรียงขึ้น โดยใชความ พยายามพอสมควร ที่เรียบเรียงข้ึนเพราะพิจารณาเห็นความ ยากลําบากของนักเรียนนกั ศึกษารุนหลัง ๆ วา จะติดขัดในเรอ่ื ง การแตงฉันท จึงเปนกําลังสนับสนุนอีกแรงทําใหเกิดความมุ มานะเรียบเรียงขึ้น

หนังสือ ลีลาภาษาฉันท เลมนี้ ขอบอกวาไมใชสํานวนท่ี ถูกตอ ง แตก็ไดพยายามนําเสนอใหด ีทสี่ ุด มีขอผิดพลาดนอยท่ีสุด ตามภมู ปิ ญญาของผเู รยี บเรยี งท่ีพงึ ทาํ ได หากมีสวนใดในหนังสือ นี้ขาดตกบกพรอง ก็ตองขออภัยท่ีไมอาจทําใหบริบูรณในกรอบ ฉันทอันกะทัดรัดน้ี จากประสบการณที่เพาะบม มานาน ๒ ปใน การสอนของขา พเจาเอง จึงหวังเปนอยางยิ่งวา ลีลาภาษาฉันท นี้ จะอํานวย ประโยชนแกนักศึกษาทุกทาน ไมมากก็นอย และมีสวนเขาไป หลอหลอมพัฒนาปญญาใหมีคุณภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป บุญกุศลที่ เกิดจากการเรียบเรียงหนังสือเลมนี้เปนธรรมทาน ขาพเจาขอ อทุ ศิ ใหบรรพบรุ ุษ บิดามารดา ปูย า ตายาย ญาตสิ นิท มิตรสหาย ครูอุปชฌาย อาจารย ของขาพเจา และสรรพสัตวนอยใหญท้ัง ปวง ขอทุกทานรวมอนุโมทนาในบุญกุศลน้ี และจงไดรับบุญ กุศลโดยถว นหนากันเทอญ พระมหาสองสนู ธมฺมรโต (จาํ เริญ) ป.ธ. ๙ วดั โมลโี ลกยาราม กรุงเทพมหานคร

สารบัญ ตอนท่ี ๑ หลกั การแตง ฉันท ป.ธ.๘ หนา คณะของฉันท, การบญั ญัติชือ่ คณะฉนั ททัง้ ๘ ๑-๕ ครุ-ลหุ ฉนั ท ๖ อยางทีใ่ ชใ นการแตง สอบ ๕-๖ ปฐยาวตั ร ,อนิ ทรวิเชียร , อุเปนทรวิเชยี ร ๖-๑๒ อินทรวงศ , วงั สัฏฐะ, วสนั ตดิลก ๑๒-๑๗ การยอ ความ, ยอโดยรวม, ยอแบบแบงเปน สว น ๑๗ การยอแบบใชความจาํ ,การแตงฉันทใหเ รว็ และทนั เวลา, เทคนคิ การการพลกิ แพลงสาํ นวน ๑๘-๒๑ เทคนิคการหาศพั ทล งคณะฉันทแ ละการเติมศพั ท ๒๒-๒๕ ขอควรระวัง ขอยกเวน และขอ อนุญาต ๒๕-๓๘ ฉนั ทพจิ ารณ ไดห ลัก ไดเรอื่ ง ไดร ส ๓๘-๔๑ ตอนที่ ๒ สํานวนฉนั ทแ ตง เฉลย อุปายโกสลลฺ คาถา, พหุปฺปย ตา,การุ ฺ คาถา ๔๒-๔๗ ปฏิสนฺถารคาถา, กาลฺ ุตา, ปสาสนอุปาย- โกสลฺลคาถา โลกตฺถจรยิ า, ๔๘-๕๕ มิตฺตเสวนา, กตฺตุกมยฺ ตาฉนทฺ คาถา, สหกรณํ ๕๖-๖๒

ขนฺตโิ สรจฺจคาถา, อรหาสทฺทตถฺ คาถา ๖๓-๖๖ มหาชนกสสฺ วิรยิ คาถา, สทธฺ าสมฺปทา ๖๗-๗๐ พาหสุ จฺจคาถา, การุ ฺคาถา ๗๑-๗๓ เมตฺตา, กาลฺ ตุ า, โลกตถฺ จริยา,ปคุ คฺ ลฺตุ า ๗๔-๘๒ กลยฺ าณมิตฺตตา,เมตฺตาปารม,ี ราชปุ ฺŸกรณคาถา ๘๒-๘๗ ขนฺตคิ าถา, อปุ ายโกสลลฺ ,ํ อตถฺ กามตา ๘๗-๙๑ พหุปฺปยตาคาถา, สนตฺ คิ าถา, ปฏิรูปเทสคาถา ๙๒-๙๗ ปฏริ ูปการิตา, การณวสิกตา, ปพพฺ ชติ ชน- ปฏคิ คฺ าหคาถา, โสรจจฺ คาถา ๙๘-๑๐๖ ปุพฺเพกตปุฺ ตา, อาชชฺ วคาถา, มติ ฺตคาถา ๑๐๗-๑๑๑ สจจฺ คาถา,ธมมฺ าธมฺมเทวปตุ ฺตสงคฺ าโม,ยาจโยตตา ๑๑๑-๑๑๖ ตอนที่ ๓ สํานวนฉันทของนกั เรยี น สามตถฺ ิยํ, พาหสุ จฺจคาถา, ปฏสิ นฺถารคาถา ๑๑๗-๑๒๑ วิริยสมฺปตฺติ, โลกตถฺ จริยา มิตตฺ สมปฺ ทา ๑๒๑-๑๒๕ ปุคคฺ ลฺ ตุ าคาถา,ขนฺติ, ปฏริ ูปเทสวาสคาถา ๑๒๖-๑๓๐ ติสรณคมนํ, อิทฺธิปาทคาถา, รฏาภิปาลโน- ปายคาถา, วรราโชวาทคาถา, อกฺโกธคาถา ๑๓๐-๑๓๗ อธิฏานคาถา, อตถฺ กามตา, สนตฺ ิคาถา, ๑๓๗-๑๔๒

สสฺสเมธตาคาถา การณวสิกตา ๑๔๒-๑๔๕ ปพฺพชติ ปุคคฺ ลนโิ ยชนคาถา, ขนตฺ คิ าถา ๑๔๕-๑๔๘ ตอนท่ี ๔ สํานวนฉนั ทแ ตงสอบสนามหลวง ปญ หาขอ สอบสนามหลวงป ๒๕๔๒ ๑๔๙-๑๕๑ ปญ หาขอสอบสนามหลวงป ๒๕๔๓ ๑๕๑-๑๕๔ ปญ หาขอ สอบสนามหลวงป ๒๕๔๔ ๑๕๔-๑๕๖ ปญหาขอสอบสนามหลวงป ๒๕๔๕ ๑๕๖-๑๕๗ ปญหาขอสอบสนามหลวงป ๒๕๕๒ ๑๕๗-๑๕๘ ปญหาขอ สอบสนามหลวงป ๒๕๕๔ ๑๕๘-๑๖๒ ปญหาขอ สอบสนามหลวงป ๒๕๕๕ ๑๖๒-๑๖๔ สถิตขิ อสอบวชิ าฉนั ท, คณุ นาม ๑๖๔-๑๖๘ บรรณานุกรม ๑๖๙ --------------------------

[๑] ตอนที่ ๑ หลกั การแตง ฉนั ท ป.ธ. ๘ ฉันท แปลวา ถอยคําอันปกปดเสียซึ่งโทษ โทษในที่น้ี หมายถึงความไมไพเราะแหงถอยคํา ถอยคําท้ังหลายเมื่อนํามา แตงเปนฉนั ทถูกตองตามกฎบังคับแหงครุ-ลหุ แลว ยอมไพเราะ เพราะฉะน้ันฉันทจึงหมายถึงลักษณะถอ ยคําที่นักกวีรอยกรองขึ้น เปนระเบียบ โดยกําหนดนิยมคณะซึ่งมีเสียงหนัก-เบา อันเรยี กวา คร-ุ ลหุ ฉนั ทในภาษามคธมีนยิ มเพียง ครุ-ลหุ เทานั้น ไมมีสัมผัส เหมือนฉันทในภาษาไทย ความจริงฉันทภาษาไทยก็ไดอยางมา จากฉันทมคธนนั่ เอง แตมาดัดแปลงใหมใหมีสัมผสั หรือไพเราะ ตามความนิยมแหง ภาษาขน้ึ ในภายหลัง วิเคราะหค าํ วา ฉนั ท อวชฺชํ ฉาเทติ ฉนฺทํ นาม ภเว แปลวา บทกวที ป่ี ดโทษ ได ชอ่ื วา ฉันท สวนรูปวิเคราะหในคัมภีรสนธิพาลาวตารวา ยชมานรวิโตย ภูมชิ ลนโสมมารุตนภสงขฺ าเตหิ ย ร ต ภ ช ส ม นาติ อิเมหิ อกฺขเรหิ นิยโม อุปลกฺขโิ ต วธิ ิวเิ สโส อวชฺชํ ฉาเทตีติ ฉนฺทํ ฯ “การนิยม” คอื วธิ วี เิ ศษอันทา นกําหนดดวยอักษรเหลา น้ี คือ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๒] ย ร ต ภ ช ส ม น กลาวคือ ยชมาน รวิ โตย ภูมิ ชลน โสม มารุต นภ พงึ ช่ือวา ฉันท เพราะอรรถวเิ คราะหวา “ปด เสียซึ่งโทษ” ขอแนะนําในการแตง ฉันท คณะของฉนั ท นักเรียนตองระวังใหมากอยาใหผดิ คณะฉันท แมวานักเรียน จะแตงไดดี หากพล้งั เผลอไปผิดคณะของฉนั ทเพยี งแหงเดยี ว ก็ช่อื วาเสียไปท้ังฉันทท เี ดยี ว โดยเฉพาะปฐ ยาวตั ร นกั เรียนมักผิด บอ ยเพราะเผลอไดงาย จึงควรกําหนดไวใหด ี อยา ใหพลั้งเผลอผิด คณะฉนั ทไ ปได ฯ คณะฉันท ไดแกขอบังคับสําหรับแตงฉันท คืออักษรหมู หน่ึงซึ่งกําหนดดวยหมูละ ๓ พยางค มีท้ังที่เปนทีฆะ และรัสสะ ลว นๆ หรือมที ีฆะบาง รัสสะบาง สุดแตจะกําหนดวา ใหมีอยา งละ เทาไร คณะฉันทน้ันมีท้ังหมด ๘ คณะ แตละคณะมี ๓ พยางคเหมอื นกัน ฯ ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๓] คณะ ๘ นัน้ คอื ๑. ม คณะมี ๓ พยางค เปน ครุลวน เชน สพฺพฺ ,ู สมฺพุทโฺ ธ, ธมโฺ ม โย ใชสญั ลักษณ คือ ( ั ั ั ) แทน ๒. น คณะมี ๓ พยางค เปน ลหลุ ว น เชน สุมุนิ, อรยิ , สมณ ใชสญั ลักษณ คอื ( ุ ุ ุ ) แทน ๓. ส คณะมี ๓ พยางค มลี หุอยูหนา ๒ มีครุอยูหลงั ๑ เชน สคุ โต, ชนตา, อริโย ใชสญั ลกั ษณ คือ ( ุ ุ ั ) แทน ๔. ช คณะมี ๓ พยางค มลี หุอยหู นา และหลัง มคี รุอยกู ลาง เชน มนุ นิ ฺท, ปสาท, อนนฺต ใชสญั ลกั ษณ คอื ( ุ ั ุ ) แทน ๕. ต คณะมี ๓ พยางค มีครุอยหู นา ๒ มีลหอุ ยูหลงั ๑ เชน พุทธฺ สฺส, อตฺถฺุ, สพฺพฺุ ใชส ัญลกั ษณ คอื ( ั ั ุ ) แทน ๖. ภ คณะมี ๓ พยางค มีครุอยูหนา ๑ มีลหอุ ยูห ลัง ๒ เชน มารชิ, โภชน, กาจฺ น ใชสัญลกั ษณ คือ ( ั ุ ุ ) แทน ๗. ร คณะมี ๓ พยางค มีครอุ ยหู นา และอยูหลัง มีลหอุ ยู กลาง เชน นายโก, อนิ ทฺ โก, ทสสฺ นํ ใชสญั ลักษณ คอื ( ั ุ ั ) แทน ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๔] ๘. ย คณะมี ๓ พยางค มีลหอุ ยูห นา ๑ มคี รุอยูห ลงั ๒ เชน มเหสี, สปโฺ , มนุ ินโฺ ท ใชส ญั ลกั ษณ คอื ( ุ ั ั ) แทน คาถาทอ งจาํ เพื่อใหจ าํ คณะไดงา ยดงั น้ี สพฺพฺ ู โม สมุ ุนิ โน สคุ โต โส มนุ นิ ทฺ โช มาราชิ โต มารชิ โภ นายโก โร มเหสี โย ฯ การบัญญัตชิ ่อื คณะฉนั ทท ้งั ๘ ทานบัญญัติช่ือคณะฉันทโดยถือเอานิมิตจากส่ิงท่ีมนุษย ยดึ ถือเคารพบูชา คือ ดนิ น้ํา ไฟ ลม พระอาทิตย พระจันทร ทองฟา และ การบชู าบวงสรวง มาบัญญตั ิชอื่ คณะฉันทดงั นี้ ม คณะ ยอมาจากคําวา มารตุ ลม น คณะ ยอ มาจากคาํ วา นภ ฟา ส คณะ ยอ มาจากคําวา โสม พระจนั ทร ช คณะ ยอ มาจากคาํ วา ชลน ไฟ ต คณะ ยอมาจากคาํ วา โตย นา้ํ ภ คณะ ยอ มาจากคาํ วา ภมู ิ พื้นดนิ ร คณะ ยอมาจากคาํ วา รวิ พระอาทิตย ย คณะ ยอ มาจากคําวา ยชมาน ผบู วงสรวง ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๕] ครุ - ลหุ คําท่เี ปน ครุ ลหุ นักศกึ ษาตองเขาใจ เพราะการแตงฉันท เน่ืองดวยครุ และลหุเปน สําคัญ ถา ผดิ พลาดในเรือ่ งน้ี ฉันทท่แี ตง กใ็ ชไมได คาํ ทเ่ี ปน ครุ น้ัน พึงทราบดงั น้ี ๑. พยัญชนะสังโยค เชน พุทฺธสฺ (ในคําวา พุทฺธสฺส) ธมฺมสฺ (ในคําวา ธมฺมสฺสวนํ) นกฺขตฺ (ในคําวา นกฺขตฺตํ) เรียกวา สงั โยคาทคิ รุ ๒. ทีฆสระ คือคําท่ีประกอบดวยสระที่ออกเสียงยาว คือ อา อี อู เอ โอ เชน ทาสา าตา มายา ทาสี าตี เทวี วิฺู วธู ครู เสนา เทสนา เตโช วาโย ปุตฺโต เปนตน เรยี กวา ทฆี สระ ๓. นิคคหิต คือคําท่ีประกอบดวย อํ เชน พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ ปตตฺ ํ จีวรํ วตฺถุ– เปนตน เรยี กวา นิคคหิตครุ ๔. คําที่สุดบาทขางตน หรือคําที่สุดบาทขางปลาย เชน อเสวนา จ พาลานํ และ ปฏิรูปเทสวาโส จ ( อ ใน บาทหนา ป และ จ ในบาทหลัง ) แมเ ปน ลหุ กน็ ับเปน ครุ ได เรยี กวา ปาทนั ตครุ สวน คําวา ลหุ น้ัน หมายถึงคําที่ประกอบดวยรัสสสระ ออกเสียงสั้น คือ อ อิ อุ เชน มุนิ อวจ กริ สรสิ ทุมน สุมน เปนตน ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๖] ฉนั ท ๖ อยา ง ทใ่ี ชเ ปนหลกั สตู รแตง สอบ ประโยค ป.ธ.๘ ๑. ปฐ ยาวัตร ๒. อินทรวเิ ชียร ๓. อุเปนทรวเิ ชยี ร ๔. อนิ ทรวงศ ๕. วังสัฏฐะ ๖. วสนั ตดลิ ก ในการออกปญหาวิชาฉันทน้ี ทางสนามหลวงจะกําหนดให แตงอยางนอย ๓ ฉันท โดยแจงใหผูเขาสอบทราบชัดเจน เชน จงเก็บขอความตามทจี่ ะเกบ็ ไดใ นขอความขา งทา ยน้ี แลวประพันธ ใหเ ปน ภาษามคธโดยฉนั ทลกั ษณ ๓ อยาง แตงฉันทอะไร แจง ชือ่ ไวดวย ในการสอบนักเรียนจะตองประพันธใหไดอยา งนอ ย ๓ ฉันท ถามีความสามารถแตงไดเกินน้ัน ก็ทําไดแตตองคํานึงถึงเวลาท่ี ทางสนามหลวงกาํ หนดให คือ ๔ ชว่ั โมง กับ ๑๕ นาที และแตง ฉันทอะไรใหบ อกชื่อฉนั ทไ วด วย ปฐ ยาวตั ร ปฐยาวัตร แปลวา “คาถาท่ีสวดเปนทํานองจตุราวัตร” คือ หยุดทุก ๔ คํา มีรูปวิเคราะหวา “ปพฺพโต ปฺยา จ สา จตุ- ราวตฺเตน ปริวตฺตพฺพโต วตฺตฺจาติ ปฺยาวตฺตํ ที่เปนปฐยา เพราะตองสวด และเปน วัตร เพราะตองรายดวยจตรุ าวัตร ดังน้ัน จึงชื่อวา ”ปฐ ยาวัตร” และมคี าถาแสดงไวอีกวา ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๗] นฏกขฺ เรสุ ปาเทสุ สนฺ าทิมฺหา โยณณฺ วา วตฺตํ สเมสุ สินธฺ ุโต เชน ปยฺ าวตฺตํ ปกติ ฺติตํ ฯ มีกฏเกณฑท พี่ ึงทราบดงั น้ี ๑. ฉันทท่ีกําหนด ๔ บาทเปน ๑ คาถา แมในฉันทอีก ๕ อยางทเ่ี หลือ ทานก็กาํ หนด ๔ บาทเปน ๑ คาถา เชนกัน ๒. ฉันทนี้ บาทหน่ึง ๆ กําหนดดวย ๘ คํา หรือ ๘ พยางค แตก็มีบางครั้งทีบ่ าทหน่ึงมี ๙ พยางค เรียกช่อื วา นวักขริกะ ใชในคราวท่จี ําเปน จริง ๆ เทาน้นั ๓. คําที่ ๑ กบั คาํ ท่ี ๘ ของแตล ะบาท ทั้ง ๔ บาท จะเปน ครุ หรือ ลหุ ก็ได เพราะเปนคําลอยทานไมนับเขาใน คณะของปฐ ยาวตั ร ๔. คําท่ี ๒ ๓ ๔ ของทุกบาท หา มใช ส คณะ และ น คณะ สวนคณะทเ่ี หลือ คอื ม คณะ ช คณะ ต คณะ ภ คณะ ร คณะ และ ย คณะ ใชไดทุกคณะไมห า ม ๕. คาํ ท่ี ๕ ๖ ๗ ของบาทที่ ๑ กับบาทที่ ๓ ตองใช ย คณะ เทา นั้น ๖. คําที่ ๕ ๖ ๗ ของบาทที่ ๒ กบั บาทท่ี ๔ ตอ งใช ช คณะ เทาน้นั ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๘] ๗. ในขอที่วา ดวยนวักขริกะ น้ัน เน่ืองดวยบางคร้ัง จําเปนตองเปนเชนนั้น จะตัดทอนอักษรบางตัว เพื่อใหเขาคณะ ฉันทได อาจทําใหรูปศัพทเสีย หรืออาจทําใหเสียความ เสียรูป เร่ืองไปก็ได เชนศัพทที่เปน ช่ือ คน สัตว ที่ สิ่งของ ท่ีเปน อสาธารณนาม หากตัดออกแมเพียงอักษรเดียว ความของศัพทก็ จะแปรไป บางทีจงึ ยอมใหผดิ คณะฉันทบาง แผนผงั สญั ลกั ษณของปฐยาวตั ร ดังน้ี ตัวอยา งที่ ๑ หิตาย สพฺพปาณนิ ํ ปตฺโต สมฺโพธมิ ุตฺตมํ มหาการุณิโก นาโถ ปเู รตวฺ า ปารมี สพฺพา โหตุ เต ชยมงฺคลํ ฯ เอเตน สจจฺ วชเฺ ชน ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๙] ตัวอยา งที่ ๒ ภยปปฺ ตตฺ า จ นพิ ภฺ ยา ทุกขฺ ปฺปตตฺ า จ นิททฺ ุกฺขา โหนฺตุ สพฺเพป ปาณโิ น โสกปปฺ ตฺตา จ นิสฺโสกา สมภฺ ตํ ปุ ฺ สมฺปทํ เอตฺตาวตา จ อมฺเหหิ สพพฺ สมปฺ ตฺติสิทธฺ ิยา สพเฺ พ เทวานุโมทนฺตุ สลี ํ รกขฺ นตฺ ุ สพฺพทา ทานํ ททนฺตุ สทธฺ าย คจฉฺ นฺตุ เทวตาคตา ฯ ภาวนาภิรตา โหนฺตุ อินทรวเิ ชยี ร อินทรวิเชียร แปลวา “ฉันทมีครุหนกั มากเหมือนคทาเพชร ของพระอนิ ทร” เพราะมี ต คณะ เรียงอยู ๒ คณะ ฉันทน้ี เปนฉันทท ่ีงายรองจากปฐ ยาวตั ร มเี กณฑ ดังนี้ ๑. ๑๑ คําเปน ๑ บาท ๔ บาท เปน ๑ คาถา ๒. ทุกบาทใชคณะฉันทได ๓ คณะ คอื ต คณะ ต คณะ ช คณะ และ ครลุ อย อกี ๒ ตวั ๓. คาํ ที่ ๑ กับคาํ ท่ี ๑๑ ของทกุ บาท ใชเปน ครุ หรือ ลหุ ก็ไดบ า ง หากจําเปน จรงิ ๆ คอ ยใช ๔. มคี าถาตรวจคณะฉันทวา อนิ ทฺ าทกิ าตาวชริ าชคาโค นักเรียนควรทอ งจําคาถานีใ้ หไ ดเพื่อใชเทียบเคยี ง ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๑๐] แผนผังสัญลกั ษณของ อนิ ทรวเิ ชยี ร ดงั นี้ ตวั อยา งที่ ๑ โย จกขฺ ุมา โมหมลาปกฏโ ตัวอยา งที่ ๒ สามํ ว พุทโฺ ธ สุคโต วมิ ตุ โฺ ต มารสฺส ปาสา วนิ โิ มจยนโฺ ต ปาเปสิ เขมํ ชนตํ วิเนยยฺ ํ พทุ ธํ วรนตฺ ํ สริ สา นมามิ โลกสฺส นาถฺจ วินายกฺจ ตนเฺ ตชสา เต ชยสิทฺธิ โหตุ สพฺพนตฺ รายา จ วินาสเมนฺตุ ฯ ธมฺโม ธโช โย วยิ ตสฺส สตฺถุ ทสฺเสสิ โลกสฺส วสิ ทุ ธฺ ิมคคฺ ํ นิยยฺ านิโก ธมฺมธรสฺส ธารี สาตาวโห สนตฺ กิ โร สจุ ิณฺโณ ธมฺมํ วรนตฺ ํ สริ สา นมามิ โมหปปฺ ทาลํ อุปสนตฺ ทาหํ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๑] ตนเฺ ตชสา เต ชยสทิ ธฺ ิ โหตุ สพฺพนตฺ รายา จ วินาสเมนฺตุ ฯ อุเปนทรวเิ ชยี ร อุเปนทรวิเชียร แปลวา “ฉนั ทมคี ณะใกลเ คยี งกบั อนิ ทร วเิ ชียร” มกี ฏเกณฑ ดังนี้ ๑. ๑๑ คําเปน ๑ บาท ๔ บาท เปน ๑ คาถา ๒. ทกุ บาทใชคณะฉันทได ๓ คณะ คือ ช คณะ ต คณะ ช คณะ และ ครุลอย อกี ๒ ตัว ๓. คําท่ี ๑๑ ของทุกบาท ใชเปน ลหุ ก็ไดบ าง ๔. มีคาถาตรวจคณะฉันทวา อปุ าทกิ าสาวชตาชคาโค นักเรยี นควรทอ งจําคาถานใี้ หไ ดเพอ่ื ใชเ ทยี บเคยี ง แผนผงั สัญลักษณของ อเุ ปนทรวิเชยี ร ดงั นี้ ตัวอยา งที่ ๑ สเจ นโร โย วริ ยิ าภยิ ุตฺโต ปกุพพฺ เต ปาปกกมมฺ เมโส อเนกทุกขฺ ํ ลภเตกโตทฺธา ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๒] ตวั อยา งท่ี ๒ สเจ จ เอโส วิรเิ ยน ยุตโฺ ต กโรติ กมมฺ ํ กสุ ลํ ว สุกฺกํ สุขํ ส กนฺตํ ลภเตกโตทธฺ า ปยุฺชติ พฺพํ วิริยํ น มิจฉฺ า ชเนหิ สมมฺ าวิริยํ ว ภิยฺโย ฯ กตาธิการา หิ ตมสฺสุณนฺตา อุเปนตฺ ิ โน มคคฺ ผลํ อิเธว สุณติ ฺว ตํ สจฉฺ กิ โรนฺติ สุฏ ุ ตโต ปรํ มารชิ โลกนาโถ ปกาสยติ ฺวาน ปชาย ธมมฺ ํ จริ ํ ปตฏิ าปยิ สาสนคคฺ นตฺ ิ ฯ อนิ ทรวงศ อินทรวงศ แปลวา “ฉนั ทม เี สียงไพเราะเหมอื นปพ ระอนิ ทร” อินทรวงศ มกี ฏเกณฑ ดังนี้ ๑. ๑๒ คําเปน ๑ บาท ๔ บาท เปน ๑ คาถา ๒. ทุกบาทใชคณะฉันทไ ด ๔ คณะ คอื ต คณะ ต คณะ ช คณะ และ ร คณะ ๓. คาํ ท่ี ๑๒ ของทกุ บาท ใชเ ปน ลหุ ก็ไดบาง แตให ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๑๓] จําเปนจรงิ ๆ จงึ ใช เพราะขอน้ไี มใ ช ครลุ อย แตเปน ร คณะ ซง่ึ ทา นไดบงั คบั ใหใ ชในฉนั ทนี้โดยเฉพาะ ๔. มคี าถาตรวจคณะฉันทวา สาอนิ ทฺ วสํ าขลุยตถฺ ตาชรา เวลาแตงพงึ ปฏิบัตเิ ชน เดียวกบั ฉันทกอน ๆ เถิด แผนผังสญั ลกั ษณข อง อนิ ทรวงศ ดังน้ี ตวั อยา งที่ ๑ โลเก หิ ยํ วชิ ชฺ ติ วตฺตเต สทา ตํ เวคสา หานิมเุ ปติ ปาณินํ ราชา อนกิ ฺขติ ฺตธโุ ร ปรกฺกโม โลกปปฺ วตฺตึ อนรุ กฺขติ ุ อิมํ รฏเ  คเวเสติ สพุ ชี พนธฺ โว สพเฺ พ ปเทสสฺมิ ชนา สมคคฺ กา อากาสชาตํ ปฏิพาหิตุ วิสํ รุกเฺ ขธ โรเปนตฺ ิ สุลทธฺ เก ตหนิ ฺติ ฯ ตวั อยา งท่ี ๒ ยํ พาหสุ จฺจํ หิตอตถฺ สาธกํ วิ ฺ ูหิ ตํ โหติ ปสํสติ ํ วรํ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๔] โลเก หิ มจฺจา อมิ นิ า สมปฺปต า อเฺ ส โหนเฺ ต ครุ านยิ า ปย า ตํ วฑุ ฺฒกิ าเมหิ ชเนหิ สพฺพทา สมภฺ าวิตํ เจว สิยา จ อจิ ฺฉิตํ ฯ วังสฏั ฐะ วังสฏั ฐะ แปลวา “ฉันทเ ปนท่ีตง้ั แหง คณะมเี สยี งไม สมาํ่ เสมอกันเหมือนดนตรีสษุ ริ ะคอื ปห รอื ขลยุ ” วงั สัฏฐะ มกี ฏเกณฑ ดังนี้ ๑. ๑๒ คําเปน ๑ บาท ๔ บาท เปน ๑ คาถา ๒. ทกุ บาทใชค ณะฉันทได ๔ คณะ คอื ช คณะ ต คณะ ช คณะ และ ร คณะ ๓. คําท่ี ๑๒ ของทกุ บาท ใชเ ปน ลหุ กไ็ ดบาง แตใ ห จาํ เปนจริง ๆ จึงใช เพราะขอนี้ไมใ ช ครุลอย แตเ ปน ร คณะ ซ่ึงทา นไดบงั คับใหใ ชใ นฉันทนโ้ี ดยเฉพาะ ๔. มีคาถาตรวจคณะฉนั ทว า วทนตฺ ิวสํ ฏ มทิ ชํ ตาชรา เวลา แตง พงึ ปฏบิ ัตเิ ชนเดยี วกบั ฉนั ทก อน ๆ เถิด แผนผังสญั ลักษณของ วงั สฏั ฐะ ดงั นี้ ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๕] ตวั อยา งที่ ๑ ชนา อตีเตป ปเทสปาลโิ น อธมฺมกิ า โทสปยตุ ฺตกา สทา ปลุทธฺ จติ ฺตา อวิจกขฺ ณาตถฺ ิ จ ชเนนตฺ ิ ทกุ ฺขธํ วสานคุ ามิโน ยทา จ เต โลภวเส ปวตฺตเร ปเรส คณหฺ นฺติ ธนาทิมตตฺ โน ตทา วนิ าเสนตฺ ิ อุปายโส ชเน อเนน เมตตฺ าป สภุ าวิตา สยิ า ฯ ตวั อยา งท่ี ๒ สวุ ณฺณิตํ ตํ อิธ พุทธฺ สาสเน พหสุ สฺ ุโต โยป นโรตฺถิ นทิ ธฺ โน ถิรํ อโมฆํ หติ มสสฺ ชีวิตํ สเจ ส มชฺเฌ ปรสิ าย ตฏิ เต วิสารโท โส ครุ ภาสิตุ กถํ สทา จ สมฺมาปฏิปตฺตยิ ํ โตติ ฯ วสันตดลิ ก วสนั ตดิลก แปลวา “ฉนั ทม คี ณะเหมอื นมหาเมฆทมี่ ดื มนใน เดอื น ๕ เดือน ๖ อันเปน สวนของฤดฝู น” ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๖] วสันตดลิ ก มีกฏเกณฑ ดังนี้ ๑. ๑๔ คํา เปน ๑ บาท ๔ บาท เปน ๑ คาถา ๒. ทุกบาทใชคณะฉันทไ ด ๔ คณะ คอื ต คณะ ภ คณะ ช คณะ ช คณะ และ ครลุ อยอกี ๒ ตัว ๓. คาํ ที่ ๑๔ เปน ลหไุ ด ๔. มคี าถาตรวจคณะฉนั ทวา วตุ ตฺ าวสนตฺ ติลกาตภชาชคาโค ๕. วสันตดิลก น้ี แตงยากกวาทุกฉันท แตก็ถือวาเปนเอก ในบรรดาฉันทท่ีทานกําหนดใหแตงสอบในสนามหลวง ถา นกั เรยี นไมมั่นใจจริง ๆ แลว ไมควรแตงสอบ เวนแตผูที่ฝก ปรือ จนเชยี่ วชาญจริง ๆ เทานนั้ แผนผังสัญลกั ษณข อง วสนั ตดลิ ก ดังน้ี ตัวอยา งท่ี ๑ พทุ ธฺ ฺวารหนตฺ วรตาทคิ ณุ าภิยตุ โฺ ต สทุ ธฺ าภิาณกรณุ าหิ สมาคตตฺโต โพเธสิ โย สชุ นตํ กมลํว สโู ร วนทฺ ามหํ ตมรณํ สิรสา ชเิ นนฺทํ ฯ ตัวอยา งที่ ๒ สฺวากขฺ าตตาทคิ ุณโยควเสน เสยฺโย โย มคฺคปากปริยตฺติวโิ มกฺขเภโท ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๑๗] ธมฺโม กโุ ลกปตนา ตทธารธิ ารี วนทฺ ามหํ ตมหรํ วรธมฺมเมตํ ฯ ----------- การยอ ความ ๑. การยอ โดยรวม การยอโดยรวมน้ีจะนิยมยอไปเร่ือยๆ ตามลําดับของเน้ือ เรื่องท่ีทางสนามหลวงออกปญหากรรมมา ในการยอประเภทน้ี บางรูปอาจจะยอไดด ี ปญหาทีเ่ กดิ คือบางรปู อาจสับสนปนเปกัน ไปหมด แตการฝก ยอ บอยๆ จะดีครบั ๒. การยอ แบบแบงเปนสว น การยอชนิดนี้จะเปนการงายสําหรับรูปท่ียอแบบโดยรวมไม ถนัด เพราะเปนการทําเรอื่ งที่ยอใหอยูในวงแคบเขา และจะได ความชดั เจนดีกวาแบบยอโดยรวมมากทเี ดยี ว วิธีการยอ ใหนักเรียนแบงปญหาออกเปน ๓ หรือ ๔ สวน แลว ยอไปทีละสว น แลว ทุกทานจะเห็นวามันงายกวา การยอแบบ โดยรวมมากครับ แตหากวาปญหากรรมทานออกมาแบบเปน วรรคมาแลวก็ยอ ไปไดเลยครับ ทสี่ าํ คญั อยาแตงแบบไมยอ เพราะ อาจจะเปน การลาํ บากสาํ หรับรปู ทไ่ี มชาํ นาญครับ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๘] หมายเหตุ การยอ น้นั บางทเี ปนคํา หรือศัพทท ่ีเขาใจยากเรา ก็เปลี่ยนเปน สํานวนของเราเองกไ็ ดน ะครับ ๓. การยอ แบบใชค วามจาํ การยอชนิดน้ีผูยอเองตองอานเสียกอน อยางนอยสัก ๓ รอบ อยางมากสัก ๗ รอบครับ ทําใจใหสบายแบบไมตองหวง หนาพวงหลัง อานปญหาเสร็จแลวใหคว่ําไว อยากลับไปดูอีก เพราะจะเกิดความกังวลเสียดายตรงนัน้ ตรงนี้ เลยไมเปนการยอ หมายเหตุ ศัพทสาํ คัญตองเขียนไวกอ นนะครับ เชน สถานที่ ตัวบคุ คลในเรื่อง หัวขอธรรมะ นอกน้ันปลอยตามสบายจําไดบาง ไมไดบา งกไ็ มเ สียหายอะไรมากนัก การแตง ฉนั ทใ หเ รว็ และทนั เวลาสอบ หลักการแตงฉันทภาษามคธนั้น คงดําเนินตามกฎหรือตาม บทบัญญัติแหงฉันทนั้น ๆ ท่ีไดกําหนดไว การแตงฉันทน ้ัน วิธี เรียงศัพทนั้นศัพทไหนอยูหนาอยูหลังไมเปนประมาณ คือไมถือ เครงครดั เหมือนอยางการเรียงประโยคไวยากรณ เมื่อไมผิด คณะฉันทแลวยอมเรียงไดทั้งนั้น อยางไรก็ดีการแตงฉันทก็คง นิยมตามหลักบาลีไวยากรณอยูน้ันเอง หากผิดหลักบาลี ไวยากรณแลวก็ใชไมได ตองใหถูกตองทั้งลิงค วจนะ วิภัตติ กาล บท บุรษุ วาจก ครบถวนจงึ จะใชได ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๑๙] ๑. เกง ศัพท คอื รศู ัพทนน้ั ๆ วาเปนนามนาม คณุ นาม สพั พนาม ลิงค วจนะ วิภตั ติ อะไร ๒. จบั ประเดน็ คือ ตอ งยอ ความไดวา ใครทาํ อะไร ท่ไี หน เม่อื ไร ธรรมหมวดไหน ดีชว่ั อยางไรไดด ี ๓. เนนความกระชับ คือ ตองแตงประโยคไมยาวเกินไป รัดกุม ตองกําหนดวา ตั้งแตไหนถึงไหน เปน ประโยค อะไร จะแตงบาทละ ๑ ประโยค หรือ ๒ บาทตอหนึ่ง ประโยค หรอื จะยาวเกนิ กวา นี้ก็ไดบางโอกาส ๔. ประหยดั คาํ คือ ตองใชค ําใหน อ ย แตอมความใหม ากก็ พอแลว อยา ใชศ พั ทใหมากเกินไป เพราะจะแสดงถงึ การแตง ขยายมาก หรอื เกินความจําเปน การแตง มากย่ิง เสี่ยงกบั การผิด ลงิ ค วจนะ วภิ ัตติ และคณะมาก เพราะ บางรูปจะขาดความรอบคอบในการตรวจทานหรอื ไม ทันเวลาเลยไมทันไดตรวจทานกอ นจะสงกรรมการ ๕. ไมแตงมาก คือไมแตงมากเกินไป ฉันทละ ๒ คาถากึ่ง พอดิบพอดี , นอยสุดฉันทละ ๑ คาถาก่ึง หากแตงมาก รวมทงั่ ๓ ฉันทไ มค วรยาวเกนิ ๙ คาถา ( การแตงฉันท ก็คลายกับการพูด หากพูดนอ ยก็หาวารังเกียจ หากพูด มากเกินไปก็หา วาข้ีบน หากไมพูดยอมเดาใจลําบาก ควรพดู แตพ อประมาณจะดกี วาครบั ) ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๒๐] เทคนคิ การพลกิ แพลงสาํ นวน การรูจักพลิกแพลงสํานวนมีความสําคัญตอการแตงฉันทมาก เพราะถานักเรียนติดกับสํานวนขอความภาษาไทยท่ียอความ ออกมาโดยไมไดตีความหมายเพื่อพลิกแพลงใหเขากับคณะฉันท นักเรียนจะติดขัดการแตงไมไหลล่ืนและเสียเวลาเปนอยางย่ิง ดังน้ันนักเรียนจึงจําเปนตองรูจักการพลิกแพลงสํานวนและฝกทํา บอยๆ ใหเกิดความชํานาญ เพื่อใหเปนประโยชนท่ีสุดในการแตง สอบสนามหลวง การตีความหมายถึงการพลิกแพลงขอความภาษาไทยท่ีจะ นํามาแตงเปน รปู สํานวนอื่นๆ แตตองใหอยูในกรอบความหมาย เดียวกัน ยกตวั อยางภาษาไทยทีเ่ รายอ ความมาวา “พระราธะไดฟงธรรมจากพระพุทธเจา” เราอาจจะพลิกแพลงรูปสํานวนใหมไดวา “พระราธะไดฟงพระธรรมในสํานักของพระพุทธเจา” “พระราธะไดฟงพระธรรม อนั พระพุทธเจา แสดงแลว” “พระพุทธเจา ไดทรงแสดงพระธรรมแกพระราธะ” “พระธรรม อนั พระพุทธเจา แสดงแกพระราธะ” เมื่อพลิกแพลงรูปสํานวนไดเชนนี้ เราก็สามารถแตงออกมา ไดรูปสํานวนฉันทที่เราตองการ แปลออกมาก็มีความหมาย เดียวกัน ดูตัวอยางปฐยาวัตรดังตอไปนี้ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๒๑] “ราโธ เถโร สณุ ติ ฺวาน ธมมฺ ํ พุทฺธสฺส สนฺติเก” “ราธตฺเถโร ว สตุ ฺวาน ธมฺมคฺคํ พทุ ธฺ เทสิตํ” “พทุ โฺ ธ หิ ราธเถรสฺส วรํ ธมฺมํ อเทสยิ” “พทุ เฺ ธน ปวโร ธมฺโม ราธตเฺ ถรสฺส เทสโิ ต” หรอื จะแตง เปนอินทรวิเชียร วา “ราโธ หิ ธมฺมํ สุณิ พุทฺธวุตฺตํ” “เทเสสิ ราธสฺส ชโิ นธ ธมฺมํ ” “ราธสฺส วุตโฺ ต สุคเตน ธมโฺ ม” จะเห็นไดวา สํานวนแตละสํานวนตางกัน แตเม่ือแปล ออกมาจะไดความหมายเดียวกันก็คือ “ พระพุทธเจาแสดงธรรม แกพระราธะ ” ไมวาจะแตงในรูปกัตตุวาจก หรือกัมมวาจกก็ ตาม นักเรียนตองรูจักพลิกแพลงสํานวนประโยคใหสามารถแตง ไดหลายรูปแบบจนกวาจะลงคณะฉันทนั้น ๆ ได แตตองคง ความหมายเดิมของประโยคนั้นไวใหไดตามตัวอยางที่ยกไว นักเรียนท่ีมีพรสวรรคในเรื่องน้ีมากจะเปนนักเรียนที่แตงฉันทได เกง รวดเร็ว คลองแคลว และท่ีสําคัญแตงไดอยางมีลีลา ไมใช แตงสะเปะสะปะ คิดไดอยางไรก็จะดึงดันแตงใหไดความหมาย น้ัน และบังคับลงคณะฉันทใหได ทําใหสํานวนของฉันทที่ออกมา ไมส ละสลวย แถมอาจจะผดิ คณะฉันทอีกดวย ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๒๒] เทคนคิ การหาศัพทล งคณะฉนั ท นักเรียนมกั จะพบปญหาบอยๆ เก่ียวกบั การหาศัพทท ่ีจะลง คณะฉนั ท ใหไดตามความตองการ วิธกี ารแกไ ขคอื ๑. ตองเกง ในการพลิกแพลงสาํ นวน ๒. ตองจําศัพทกลุมเดียวกัน และศัพทเฉพาะใหมากที่สุด ท้งั สองประเภทนี้มีอุปการะตอกนั เม่ือพยายามแตงไปคิดหาศัพท ลงอยางไงก็ไมได เราก็ตองพลิกแพลงสํานวนใหม ลองสลับ สับเปลยี่ นการวางศพั ท จนกวา จะลงตัวพยายามเขาเร่ือยๆ เด๋ียว ก็ชาํ นาญไปเอง วิธีการอีกอยางหนึ่งท่ีจะทําใหนักเรียนสามารถหาศัพทลง คณะฉันทไดด ีย่ิงข้นึ กค็ ือ ตองฉลาดในเชงิ สมาส ตัทธิต และสนธิ ตัวอยางศัพทส มาส คือ พฺราหมฺ ณสิปฺปคาโห (ผูเรียนศิลปะของ พราหมณ) แตงมาจากภาษามคธท่ีวา พฺราหฺมณสมเยน สิปปฺ านิ อุคฺคณฺหิตฺวา, พฺราหฺมณชาติโย (ผูมีชาติแหงพราหมณ) แตง มาจากภาษามคธที่วา พฺราหฺมณกเุ ล ชาโต จะเห็นไดวา ศัพทท่ี แตงมานั้นมีความหมายเดียวกันกับความภาษามคธ มีความ กระชับมากขึ้น ความหมายก็ได แถมลงคณะฉันทไดดวย นักเรียนตองฉลาดตีความหมายแบบนี้ครับ จึงจะสามารถแตง ฉันทไ ดเกง ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๒๓] ตอ งจําศัพทกลมุ เดยี วกนั ใหม ากที่สุดเทาที่จะมากได เพราะ เวลาทีเ่ ราติดศัพทลงคณะฉันทเราจะไดไมติดอยกู ับศัพทๆ เดียว สามารถเลือกศัพทอืน่ ๆ มาใชแทนกนั ได เชน พรฺ าหฺมณ ก็มีศัพท่ี สามารถใชแทนกันไดก็คือ ทิช คําวา พระ ศัพทบาลี ภิกฺขุ, ยต,ิ สมณ คาํ วา นก ศัพทบาลี สกุณ, ทฺวิช, ทชิ ,ปกขฺ ี เปนตน แตแมคํากิริยาก็ตองสามารถรูจักพลิกแพลงใหถูกตองเชนคําวา กระทําแลว ศัพทบาลี กริ, อกริ, อกา, อกาสิ, อกริตฺถ, อกตฺถ ทเ่ี ปนรูปพหูพจน เชน กรึสุ, อกรึสุ, อกํสุ, อกสึ ุ, อกาสุ, หรอื เทเสสิ พลิกแพลงเปน เทสยิ ก็สามารถเลอื กลงคณะฉนั ทไ ด การจําศัพทเฉพาะ หรือศัพทแปลกๆ ก็ดีจะมีประโยชนไม นอยไมควรมองขามเลยทีเดียว เชน ประเทศซีลอน ประเทศศรี ลังกา(ลงฺกาทีป), ประเทศพมา (มรมฺม), ยุโรป (ยุโรป) ,เกาะ สิงหล (สีหลทีป, ตมฺพปณฺณิทีป) , พระนครศรีอยุธยา (อยุชฺฌิยํ นครํ), กรุงรัตนโกสินทร (รตนโกสินฺท), กรุงเทพมหานคร (เทวนคร) เปนตน เทคนคิ การเตมิ ศพั ท เทคนิคประการสุดทา ย คือการเติมศัพท วธิ ีการแตงฉันทที่ เรารูจักกันดีก็คือ ตี ตาม ตัด เติม ในที่นี้จะขอแนะนําเรื่อง ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๒๔] การเติม การเติมคือการสรรหาศัพทมาลงใหเต็มบาทของคณะ ฉันทที่แตง ในกรณีที่ศัพทที่เรากําหนดไวลงครบแลว แตงยัง ไมเต็มบาทคาถายงั มบี างสวนทย่ี งั ไมม ศี พั ทล ง กรณีเชนนนี้ ักเรียน ตองเติมศัพทเ ขามาเสริมใหเต็มบาทคาถา แตตองสํานึกอยเู สมอ วา บทหรือศัพทที่เราจะนํามาเติมน้ัน จะตองเปนตัวสงเสริม เนื้อหาของบาทคาถานน้ั ใหช ัดเจนยิ่งขึ้น หรือถาศัพทเ ติมเปนตัว ขยายความก็จะตองขยายบท หรือกิริยาน้ันๆ ใหมีความหมาย ชัดเจนขึ้น เชน “ภกิ ฺขู เชตวนํ .......... สตถฺ ารํ ปสสฺ ติ ุ คตา ” ความของฉันทแ มจะแปลไดความแลว แตยงั ขาดบทท่ีจะนํามาลง ในคณะฉันทอีก ๒ คํา หลัง เชตวนํ ตรงนเ้ี ราอาจจะเติม ศัพท วา รมฺมํ ขยาย เชตวนํ เติม สทฺธา ขยาย ภิกฺขู หรือ เติม เชฏ ขยาย สตฺถารํ ก็ได แลวแตความตองการของนกั เรียน ดูรูปเติมตอไปนเ้ี ปรียบเทียบ “ ภกิ ฺขู เชตวนํ รมมฺ ํ สตถฺ ารํ ปสฺสิตุ คตา ” “ ภิกฺขู เชตวนํ สทธฺ า สตถฺ ารํ ปสฺสติ ุ คตา ” “ ภกิ ฺขู เชตวนํ เชฏ  สตฺถารํ ปสสฺ ิตุ คตา ” ศัพทอีกกลุมหนึ่งทีน่ ักเรียนมักจะนาํ มาเติมเสมอในการแตง ฉันทก็คือ ศัพทนิบาตที่เปนปทปูรณ อาจกลาวไดวา มีความ จําเปนอยา งมากสําหรับนักเรียนใหมก็วาได การเติมศัพทเหลาน้ี ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๒๕] ไมควรมีมากจนดูลนเหลือเกินความจําเปน แปลออกมาความก็ ไมได และท่ีสําคัญควรเนนหลักการแตงไทยเปนมคธดวย ไมใช คิดจะวางตรงไหนก็วางเอาตามใจชอบโดยเฉพาะ โข หิ ศัพท เปนตน ทนี่ กั เรยี นมกั วางผดิ ขอ ควรระวงั ๑. แตง ฉนั ทท กุ ฉนั ทตอ งใหค รบ ๔ บาท การแตงฉันททุกฉันทตองใหครบ ๔ บาท จะแตงเพียง ๒ บาท ไมไ ด แตจ ะแตงคาถากงึ่ คอื ๑ คาถา กับ อกี ๒ บาท ก็ใชได ๒. ระวงั เรอ่ื งการนบั คาํ ผิด เรื่องการนบั คาํ ผิด ซง่ึ จะทาํ ใหผดิ คณะฉันทก็ได สนามหลวง มีกฎวา ฉันททุกฉันทหากมีผิดคณะเพียงคําเดียว ถือเปนตก เวนไวเฉพาะที่อนุโลม ตัวอยางเชน ตํ ตฺวา มหาเถโร ถาอานไมถูก คือ อาน ตฺวา เปน ๓ คํา ก็จะลวงตาผูแตงวา ครบ ๘ คําแลวความ จริง ตฺวา นีเ้ ปน ๒ คํา คือ ตฺ-วา สวน ต ซ่ึงเปนตัวสังโยค ของ  นับรวมเขากับ  เปน ๑ คํา สวน สําเนยี งอัฑฒ สระ ตอกับ วา น้ันไมนับเพราะไมเต็มคํา แมคําวา ทิสฺวา, กตฺวา, สุตฺวา ก็เชนเดียวกันสําหรับบาทคาถาน้ีตองเปน ตํ ตวฺ าน มหาเถโร จงึ จะถูก ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๒๖] ๓. การจดั ศัพท การจัดศัพทลงในบาทหนึ่ง ๆ บางทีเปนเร่ืองงาย แตผู แตงไมฉลาดในการพลิกแพลง คิดไดคําใดก็พยายามจะจดั ลงใน ที่ตองการใหไ ด แตไปติดขัดเรอ่ื งคณะฉันท เชน ตองการจดั คํา วา เถโร เอตํ โส ตฺวาน หากลงในบาทแรกของปฐยาวตั ร ฉันทซึ่งถาเรียงลําดับตามน้ีก็ผิด แตถาพลิกแพลงใหมวา เอตํ ตฺวาน โส เถโร ก็เปน อนั ใชไ ด ๔. เรือ่ งนบิ าตและสพั พนาม การแตงฉันทที่ถือวาแตงดีนั้น ผูแตงตองรูจักประหยัดใน การใชนิบาตและสัพพนาม อยาพยายามใหฟุมเฟอย นักศึกษา ควรใชนิบาตและสัพพนามเฉพาะท่คี วรใชเทานั้น อยาใหด่ืนเอา แตตองการถูกคณะของฉันทเปนเกณฑ หากใชนิบาตและ สัพพนามดื่นไปท่ีไมจําเปน แมจะไมผิดคณะฉันท ก็ไมเรียกวา แตงฉนั ทไ ดด ี ตรงกันขา มจะถกู เรยี กวา แตงฉันทไ มเปน ฯ นบิ าตตนขอ ความ คอื หิ จ ปน จะตองอยใู นลักษณะเดน วา เปนตนขอความจริงๆ ไมค วรไปวางไวก ลางประโยค หรือตัว ที่ ๕ ที่ ๖ ในประโยคนอกจาก หิ แลว นบิ าตพวก ว เจ เว โข ป พึงหลีกเล่ียงใหมากทส่ี ุดทจ่ี ะใช เฉพาะ โข กับ เว น้ัน เปนสําคัญไมควรวางไวทายประโยค โดยมุงใหถูกคณะฉันท เทา น้ัน ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๒๗] สัพพนาม ไมควรใชพรํ่าเพรื่อ และใชใหถูก เรื่องท่ียังไม กลาวถึงเลยก็ใชศัพทสัพพนามเสียแลว อยางน้ีไมเหมาะ หรือ กลาวถึงตวั กัตตาหลาย ๆ ศัพท ในหลายประโยคหรือหลายตอน แลว มาใชสัพพนาม เชน โส สา ตํ เปนตน ในประโยคตอมา เชนน้ี จัดวาไมชัดเจน ไมถูกตอง เพราะไมสามารถจะทราบได วา หมายถึงใคร หรืออะไร ถาจะใชตองมีนามกํากับดวยเสมอ (ข้นึ นามมาดวยหากขนึ้ ฉนั ทใ หม แตค วามยงั ตอ เนอื่ งอยู) ๕. เรอื่ งการใชศพั ท การใชศัพทก็เปนสิ่งสําคัญประการหนึ่ง ท่ีนักศึกษาควร พยายามคิดหาศัพทใชท่ีเหมาะเจาะกับเรื่องราวท่ีแตงและควร ระวังอยาทําทีฆะและรัสสะศัพทที่ใชเกินไปจนทําใหเสียรูปเดิม ของศัพท หากไมจําเปนแลว ไมควรทีฆะหรือรัสสะศัพทใหเสีย รูปเดิมเปนอันขาด เวนเสียแตที่จะเปน แตมีขอสังเกตวา ศัพท นามนามซ่ึงเปนช่ือของคนสัตว หรือสถานที่เปนตน หามไมให ทฆี ะหรือรัสสะใหเสียรูปศัพท (สารีปุตฺโต, อานนฺโท, สาวฺตถี, โกสมฺพี ผิด เปน สาริปุตฺโต, อานนฺทโก, สาวตฺถิ, โกสมฺพิโก ศัพทเฉพาะหากตัดหรือเติมเพ่ือตองการใหเขาคณะฉันทอาจทํา ใหเสียรปู ไปได) ฯ ๕.๑ ใชศัพทท่ีปรับปรุงเรียบรอย คือศัพททุกศัพทท่ี นาํ มาใชจะตองปรงุ ใหถ ูกตอ งตามหลักเสียกอนดจุ ศพั ทท ั้งหลายที่ ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๒๘] นาํ ไปใชใ นวชิ าแปลไทยเปนมคธ ฉะนน้ั หา มไมใ หน าํ ศพั ทโ ดดๆ โดยไมมีเคร่อื งปรงุ หรือปรุงไมครบตามหลักใช เครื่องปรุงตางๆ ตามหลักคือ ศพั ทนามตองประกอบดวย ลิงค วจนะ วภิ ตั ติ ศัพท กริ ิยาอาขยาต จะตองแสดง วภิ ัตติ กาล บท วจนะ บุรุษ ธาตุ วาจก ปจจยั ใหปรากฏครบ ๕.๒ ใชศัพทใหถูกตองตามหลักตามเหตุการณ คือ นอกจากจะปรุงศัพทใหครบเคร่ืองแลว เวลานํามาใชจะตอง คํานึงถึงไวยากรณดวย อยาใชศ ัพทผิดหลักไวยากรณ ดวยวา หากใชศัพทผิดหลักไวยากรณ ฉันทตอนน้ันจัดวา แตงผิด ไวยากรณ ถือเปนความผิดรายแรงพอๆ กบั ผิดคณะทีเดียว เชน -ใชศัพทผิดกาล เร่ืองบางเร่ืองเปนเหตุการณท่ีผาน มาแลว ควรใชเปนอดีตกาล แตไปแตงเปนปจจุบันกาล หรือ เหตกุ ารณยงั เปน ไปอยกู ับไปใชเ ปน อนาคตกาลเสีย (สวนมากแตง ธรรมะจะนิยมเปนปจ จุบันกาล) -ใชศ ัพทไมหักวภิ ัตติ คือปกติศัพททส่ี ัมพันธเขากับนาม กิตก คือ ยุ ปจจัยเปนตน หากมีสํานวนวา ซึ่ง นิยมใชฉัฏฐี วภิ ัตติ แลวแปลหักวิภัตติเปนทุติยา แมในฉันทก็คงนิยมอยางน้ัน แตกไ็ มเครง ครดั นักหากมีความจําเปนจะไมหักกไ็ ด ใชศัพทสมาสหรือสนธิ คือศัพทสมาสหรือสนธิใชผิด ไวยากรณ สวนมากในเร่ืองสมาส คือแปลง น ศัพทเปน อน ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๒๙] เม่ือเขากับกิริยาอาขยาต เชน อนาคจฺฉนฺติ อนาโหสิ นําศัพท นามไปสมาส กับกิริยาอาขยาต เชน ธมฺมาสุณาติ กมฺมกโรติ หรือ นําศัพทนามไปสมาส กับ ตุ อนฺต มาน ปจจัย เชน ธมฺมโสตุ คามคนฺตุ กมฺมกโรนฺโต อตฺถากงขมาโน เชนน้ี จัด วา เปน การใชศ ัพทผ ิดสมาสทัง้ หมด ในเรือ่ งสนธิ สวนมากเม่ือแปลง นคิ คหติ เปน ม แลว ยังไปทีฆะศัพทหลังอีก เชน กาลํ+อกาสิ เปน กาลมากาสิ เอวํ + อโหสิ เปน เอวมาโหสิ เชนนี้ผิด ตองเปน กาลมกาสิ เอวมโหสิ โดยนิยมน้ันเม่ือแปลงนิคคหิตเปน ม เปน ท แลว ไมตองทีฆะ สระหลังอกี ๕.๓ ใชศัพทไมตรงกับเรื่องท่ีแตง คือศัพทท้ังหลายที่ นํามาใชแตงฉันทนั้น นอกจากจะตองใหถูกเกณฑแลวยังตอง คํานึงถงึ ความหมายและขอบเขตการใชอ ีกดวย เพราะศัพทแ ตละ อยางมีความหมายกวางแคบตางกันจะคํานึงถึงภาษาไทยอยาง เดียวไมได ตองคํานึงถึงภาษาบาลีดวยวา คําภาษาไทยอยางน้ี ควรเปนบาลีอยางไร อยา พยายามแตงเสรมิ คุณนามนอกเร่ืองมา โดยใชศัพทแสดงความเดนเกินไปหรือฉุดใหดอยลง ไมคํานึงวา จะเหมาะสมหรือไม ขอใหถ ูกคณะก็พอ ๕.๔ ไมใชศ ัพทท่ีซํ้าๆ ซากๆ คือ ศัพทท ี่นาํ มาใชน ้ันตอ ง พยายามนําศัพทท่ีอมความลึก มีความเดนชัด หรือคุมความได ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๓๐] หมด หรือพอสมควร หลีกเลี่ยงใชศัพทท่ีซํ้ากันบอยๆ หรือมี ความหมายทาํ นองเดยี วกัน ๕.๕ ใชศัพทที่ไมมีกิริยาคุมพากย ในวิชาแปลไทยเปน มคธ ทุกๆ ประโยค ตองมีประธาน และกิริยาคุมพากย ฉันใด ในวิชาแตงฉันทก็ตองมีประธานและกิริยาคุมพากย ฉันนั้น ประโยคทุกประโยคตองมปี ระธาน และกริ ิยาคุมพากยช ัดเจน แม จะขาดประธานไปบาง เพราะความในประโยคบงถึงแลววา ประธานเปนใคร ก็ไมสูจะผิดมากนัก นอกจากไมมีสัญญลักษณ อะไรบอกไวเ ลยจึงผดิ สว นกิริยาคมุ พากยม ักถือเปนสําคัญ หาก ไมม ีหรอื ไมบ งวา มี ถือวา ผดิ ใจความทีเดยี ว ๕.๖ ใชศพั ทเปน บาลีไทย ตามปกติการใชศัพทประกอบ เปนบาลีน้ันจะตองใชถูกหลักความนิยมทางภาษาบาลี มิใชใช ตามสํานวนไทย ตอ งนกึ อยเู สมอวา สํานวนไทยวา อยางนี้ ตรงกับ สํานวนบาลีวาอยางน้ี หากแตง ภาษาบาลีไปตามสํานวนไทย ยอมไมถูกความหมายและสํานวนบาลี แมในฉันทก็เชนกัน จะตองเดนิ ตามกฏเกณฑค วามนยิ มของภาษาบาลดี ว ย ฯ ๖. ความของเรอ่ื งทแี่ ตง นกั ศกึ ษาแตงฉันทค วรคํานึงอยเู สมอวา การแตง ฉันทกค็ ือ การยอ เร่อื งใหจ ํากัด อยใู นวงของฉนั ทท แี่ ตง การแตงฉนั ทที่ดี ผูแตงจึงเปนผูรจู ักยอเร่ืองไดดี ซ่ึงเมอื่ แตง เปน ฉนั ทแลว ใหแปล ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๓๑] ออกเปนไทยไดเ รอื่ งราวไดใ จความในเรอ่ื งทแี่ ตง มีความ บกพรอ งไมมากเกนิ ไป แมจะแตง เปนฉนั ทไดถูกตองไมผิดคณะ ฉันทแ ตเ มอื่ แปลเปนไทย จับความติดตอ กันไมไดขาดรปู ของ เรือ่ งราว ก็ถอื วาใชไ มไ ดเ ลย ฯ ๗. เรือ่ งการใช จ ศพั ทค วบ เนื้อหาในฉนั ทบ างตอนจะตอ งใช จ ศพั ทควบบท และ ควบพากย การใช จ ศัพทในกรณีเชน นี้ กม็ ีคติดุจการเรียง จ ศัพทในวิชาแปลไทยเปนมคธ คือตอ งวางใหถ ูกทถี่ กู ทาง หาก วางสบั สนก็ไมสามารถรูไดวาใชควบอะไรกับอะไร ในฉันทบาลีมี ขอ สังเกตในการใช จ ศัพทควบดงั นี้ ๑. จ ศัพทค วบบทใด จะตองวางไวหลงั บทนั้นเลย วางไว ชดิ กับบททมี่ นั ควบทีเดียว ๒. ถา จ ศัพทค วบบทต้ังแต ๒ บทข้ึนไป จะไมเ รยี ง จ ไวทั้งหมดกไ็ ด, ถา ใช จ ศพั ทก บั บทแรกแลว จะตอ งใชกับบท หลังดว ย จะใชก บั บทแรกแลว ปลอยใหบ ทหลังลอยไมได แตจะ ใชก ับบทหลังบทเดียวปลอ ยใหบทแรกลอยได ฯ ๘. เร่อื งอปุ มา ฉนั ททแี่ ตง น้ันจะมีรสขึ้นหากมีอุปมาแทรกไวด วย บทอุปมา จะทําใหเ น้ือความน้ันๆ แจมแจงข้ึนชัดแจนขึ้น เพราะเปนการ เปรียบเทยี บใหเ หน็ ภาพพจน ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๓๒] ๑. ศัพทที่ใชประกอบกับบทอ่ืนทีบ่ งบอกวาขอความในตอน นั้นเปนอุปมา ไดแกศัพทเหลานี้ คือ อิว, วิย, ยถา, ยถาตํ, สมาน, สทสิ , สม, สรกิ ขฺ ก, สริกฺข, ปฏพิ ิมพฺ เปน ตน อวิ ศัพท นยิ มสนธิกับศัพทท ่ีเปนอุปมา ศัพทใดศัพทห นง่ึ มี รปู ปรากฏเพียง ว เฉยๆ กม็ ี ฉะนั้นเวลาเขียนตอ งเขียนใหติด กับศัพทหนาตามหลักสนธิเชน จกฺกํว วหโต ปทํ ถาเขียนหา ง จะไปมีรูปพองกันกับ เอว ศัพทท่ีกรอนเหลือเพียง ว ศัพท เปนปทปรู ณะ แปลวา เทยี ว นั่นเทยี วเขาได วิย ศพั ท นยิ มเรียงไวหลงั ศพั ทท เี่ ปนอุปมาแสดงรูปเปน วิย ตามเดมิ เชน ธมโฺ ม ธโช โย วยิ ตสสฺ สตถฺ ุ ยถา, ยถาตํ ศพั ทจะวางไวต น ขอ ความทีเ่ ปนอปุ มา หรอื หลงั ขอ ความกไ็ ด เชน ๑. อปปฺ มตตฺ า น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา ๒. สพเฺ พ ปูเรนฺตุ สงกฺ ปปฺ า จนโฺ ท ปณณฺ รโส ยถา ๓. สุภคคฺ ํ มรนู ํ วมิ านํ ยถาตํ สมาน, สทสิ ศัพทเ ปน ตน นยิ มสมาสเขากับศัพทที่เปน อุปมานนั้ เปนวิเสสนะของศพั ททเ่ี ปน อุปมาไปเลย เชน กุมฺภปู มา กายมิมํ วิทติ ฺวา, นตฺถิ อตตฺ สมํ เปมํ ฯ ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๓๓] ๙. เรือ่ งยติ คือ ระยะวรรคตอน ระยะทจ่ี ะตอ งหยุด ฉนั ทท เ่ี ปน วรรณพฤทธ์ิทุกชนิด มีกฏเกณฑต ายตัววา จะตองยติ (หยุด) ที่ ตอนใด เชน ปฐยาวัตรมียติ ๔-๕ ก็หมายความวา แตละบาท นัน้ ตอ งหยดุ เวลาสวดออกเสยี งทุก ๆ ๔ คาํ อินทรวิเชียรฉันท มยี ติ ๕-๖ ก็หมายความวาใหหยดุ คําท่ี ๕ และตอไปอีก ๖ คาํ เปน ตน ยตินน้ั ทา นแบงออกเปน ๓ ประเภท คอื ๑. ยตปิ ลายบท คือระยะสดุ ทา ยของทกุ ๆ บาท ในแตละ คาถาทายบาททุกๆ บาทถอื วาเปนยติ ๒. ยตกิ ลางพฤทธ์ิ คือระยะหรอื ขาดตอนตรงปลายบาทท่ี ๒ หรือตรงก่ึงคาถา ๓. ยตกิ ลางบท คือศพั ทบางศพั ทม ีหลายอกั ษร (หลายคํา) เปนศัพทย าวกาํ หนดตั้งแต ๔ คาํ ขน้ึ ไปเชน มหาการณุ โิ ก สมฺมาสมฺพุทโฺ ธ เปน ตน เมื่อใชล งในบาทตนแลว ศัพทย ังไมห มด ตอ งยกไปไวใ นบาทตอไปการแตงศัพทเ ชน น้ีนั่นเองเรยี กวา ยติ กลางบท ยติกลางบทน้ี อาศยั หลักสนธเิ ขาชวยอกี ๕ หลกั คือ ๑. สนธลิ บวภิ ตั ติ ใหแยกสระของบททายไปไวเ ปนสระทา ย ของบทตนเชน การณปุ ายโกวโิ ท แยกเปน การณุ - ปายโกวิโท นาํ อุ จากบททายคอื อปุ าย ไปไวทีส่ ระทา ยของบทตน ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๓๔] คอื ณ, ธมมฺ ารามวิหารวาสี แยกเปน ธมมฺ า - รามวิหารวาส,ี กโตปกาโร แยกเปน กโต - ปกาโร ๒. สนธไิ มล บวภิ ตั ติ ใหแ ยกสระทายของบทตน ไปไวเปน สระตน ของบทปลายเชน ปตฺตสฺโสปมา แยกเปน ปตตฺ สฺ-โสปมา นํา อ พรอมพยัญชนะทอ่ี าศยั คือ ส ไปเปน สระตน ของบททาย คือรวมกนั เปน โส ๓. สนธอิ าเทส ใหวางไวเ ปน บทตนของบททา ย เชน วนทฺ าม - ยนนฺตมตึ มาจาก วนทฺ ามิ+อนนตฺ มต,ึ สายเมตสฺส แยกเปน สาย-เมตสสฺ มาจาก สา + อยํ + เอตสสฺ ๔. นบิ าตทั้งหลาย ใหว างไวช ิดบทตน คือบททีต่ นควบเสมอ ๕. อปุ สคั ท้ังหลาย ใหอยกู ับบททา ยเชน ชินนฺตมฺปวรํ แยกเปน ชนิ นฺตมฺ-ปวรํ, สมมฺ าสมพฺ ทุ โฺ ธ แยกเปน สมฺมา-สมฺพุทโฺ ธ ขอ ยกเวน และขอ อนญุ าต เพื่อรักษาฉันทลักษณแลวทานอนญุ าตใหรัสสะ และทีฆะได บา ง โลปะไดบาง แตไ มใชทกุ คําไปทนี่ ิยมคือ รัสสะ นยิ มรสั สะ สระท่ีเก่ียวกับวิภัตติ หรือสระท่ีสุดศัพทท่ีถูกทําใหเปนทีฆะเม่ือ ประกอบกับรสั สะ ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๓๕] ๑. รัสสะ นิยมรสั สะสระทีเ่ กี่ยวกับวิภตั ติ วิภตั ติเชน าตภี ิ เปน าตภิ ิ ปาณนี ํ เปน ปาณินํ วิฺูนํ เปน วิ ฺุนํ จารีนํ เปน จารนิ ํ โสตนู ํ เปน โสตุนํ จารสี ุ เปน จาริสุ ตัวอยา ง เชน กาเลน ทินฺนํ อริเยสุ อุชุภูเตสุ ตาทิสุ มหาการุณิโก นาโถ หติ าย สพพฺ ปาณนิ ํ อโรโค สุขิโต โหหิ สห สพฺเพหิ าตภิ ิ ในกรณีเชนน้ไี มน ิยมรสั สะ อา เปน อ และไมน ิยมรัสสะศัพท เดมิ ทีอ่ ยกู ลางศพั ทอ ันไมเ กีย่ วดวยวิภัตติ เชน ๑. เวเนยยฺ านํ เปน เวเนยฺยนํ ไมไ ด ๒. ทกุ ขฺ านํ เปน ทกุ ฺขนํ ไมได ๓. นยิ ยฺ านิโก เปน นยิ ยฺ นโิ ก ไมได ๔. สรรี จฺ เปน สรริ ฺจ ไมได ๕. ชีวติ ฺจ เปน ชวิ ิตฺจ ไมได อนึ่ง ตวฺ า ปจจยั เมือ่ มีความจําเปนใชเ ปน ลหุ กใ็ หรัสสะ เปน ตฺว ไดในฉันทท้ังปวง เชน คนฺตฺวา เปน คนฺตฺว, กตฺวา เปน กตวฺ , คมติ ฺวา เปน คมิตวฺ ตัวอยา งเชน สุณิตฺว ตํ สจฉฺ กิ โรนฺติ สุฏุ และ อาโรจยิตฺว อปเรสํ วิวาทโทสํ ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๓๖] ๒. ทีฆะ นิยมทีฆะวิภัตติคือ ติ เปน ตี เปนพ้ืน เพื่อให เขา คณะได และสามารถมองเหน็ รูปเดมิ ของวภิ ัตตไิ ด เชน วจุ จฺ ติ เปน วจุ ฺจตี สยติ เปน สยตี คจฺฉติ เปน คจฺฉตี ในเร่ืองทีฆะนี้ สังเกตดูในท่ีทานเคยใชกันมา จะใช เพียง ติ เปน ตี น้ีเทาน้ัน, อนตฺ ิ เปน อนฺตี ก็ไมนิยม ตุ เปน ตู ก็ไมนิยม หากนักเรียนอยากใหเขาคณะจริงๆ ทานทานใหใช วิภัตติอื่นลงแทนเชน อนฺติ ใช อนฺเต แทน, ตุ ใช ตํ แทน เชน ปสสฺ นตฺ ิ เปน ปสสฺ นเฺ ต ปสสฺ ตุ เปน ปสฺสตํ ภวตุ เปน ภวตํ นอกจากน้ีศัพทที่เปน อิ อุ การันตโดยธรรมชาติ ก็ไม นยิ มทฆี ะเปน อี เปน อู เพราะจะไปซํ้ากับรูปของวจนะอันอ่ืน เขาได ทงั้ จะทําใหเ ขาใจยาก เชน -มนุ ิ เอกวจนะ ไมน ิยมทีฆะเปน มุนี เพราะซ้ํากบั พหุวจนะ -รตฺติ เอกวจนะ ไมนิยมทฆี ะเปน รตตฺ ี เพราะซ้าํ กับพหุวจนะ -ครุ เอกวจนะ ไมนยิ มทีฆะเปน ครู เพราะจะซาํ้ กบั พหวุ จนะ ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๓๗] แมวิภัตติอื่นก็ไมนิยมเชนกัน เชน มุนินา เปน มุนีนา, รตตฺ ิยา เปน รตฺตียา, ครุนา เปน ครนู า เหลานไ้ี มน ยิ ม ๓. โลปะ การลบน้ันนิยมลบ ํ ที่ นํ หรือ สมึ วิภัตติ เปนพื้น เชน ธมมฺ จารนี ํ เปน ธมฺมจารนี , ส พฺ เพ สํ เป น ส พฺ เพ ส , โลกสฺมึ เปน โลกสฺมิ อนง่ึ จะลบ ํ ท่ี ตุ ปจ จยั เหลอื เพียง ตุ ไดบ า ง เชน โสตุ เปน เปน โสตุ, กาตุ เปน กาตุ, คนฺตุ เปน คนตฺ ุ สวน ท่ีลบตามเกณฑเชน เอโส เปน เอส โส เปน ส อริยสจฺจานํ ทสฺสนํ เปน อริยสจฺจาน ทสฺสนํ ยอมใชไดเปน ปกตอิ ยูแลว แตการลบ ท่ีไมนิยมคือ ํ ทุติยาวิภัตติทานไมนิยมลบ เพราะมันจะเหลือศัพทโดด ๆ เหมือนไมไดประกอบวิภัตติอะไร เลย เชน โส ธมฺม โสตุ คมิ สตฺถุ สนตฺ ิกํ ไมน ยิ ม อทาสิ โส ตสฺส ปหาร กุทโฺ ธ ไมนยิ ม คามํ ว คจฉฺ นตฺ อมิ ํ อปสสฺ ิ ไมนยิ ม ลลี าภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๓๘] ขอสงั เกต ในการรสั สะก็ดี ทฆี ะกด็ ี โลปกด็ ี ในฉนั ทน้ัน พึงสังเกตวา มใิ ชทาํ ไดท กุ กรณี และทุกศัพทที่ตองการ มีขอสังเกตงายๆ วา ศัพทใดก็ตาม เม่ือรัสสะ ทีฆะ หรือโลปะแลว จะตองคงรูป วิภัตติหรือมีสวนใดสวนหน่ึงของวภิ ัตติทป่ี รากฏอยูเสมอไป ไมใช ทาํ ใหหายไปหมดดงั ตัวอยางเชน ปาณินํ คง นํ วภิ ัตตไิ ว โลกสมฺ ิ คง สมฺ ิ จาก สมฺ ึ วิภัตตไิ ว โสตูน คงรปู น จาก นํ วภิ ตั ติไว กาตุ คงรูป ตุ จาก ตุ วิภตั ตไิ ว ขอควรจํา ศัพทที่เปนช่ือเฉพาะ เชน ช่ือคน ชื่อสถานท่ี ชื่อธรรมะเปนตน ทานหามไมให รัสสะ ทีฆะ หรือโลปะ เดด็ ขาด เพราะจะทาํ ใหเสยี รูปศพั ท และเสยี ความเดมิ ไปได ฉนั ทพิจารณ เม่ือนักศึกษาไดคัดสรรศัพทลําเลียงลงตรงตําแหนง ของ ครุ-ลหุตามความตองการเสร็จเปน ที่เรียบรอยแลว ในที่นี้มีหลัก ใหน กั ศกึ ษาใชป ระกอบการพิจารณาวา ฉันททต่ี นแตงออกมานั้น มีความเหมาะสมเพียงใด สามารถผานไดหรือไม ตามหลักการ ลีลาภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๓๙] โดยท่ัวไปท่ีผูแตงและผูตรวจใชเปนมาตรฐานรวมกัน คือ การ พิจารณาฉันทที่แตงออกมาน้ัน มีความเปน ไปไดตามลักษณะ ๓ ประการ กลาวคอื ใหไ ดห ลกั ไดเร่อื ง ไดรส ๑. ไดห ลัก หลกั ในท่ีน้ีแบงออกเปน ๒ คอื ๑.๑ คณะฉันท ไดแ กก ลุมคาํ ทเ่ี ปน ครุ-ลหุ ใหพ ิจารณา วา มีการวางตรงตําแหนงของครุ-ลหุถูกตองตามฉันทท่ีแจง หรอื ไม หากเห็นวาผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากตาํ แหนงในที่ใดท่ี หนึ่งใหรีบแกไขทันที เพราะถา ปลอยใหผิดคณะฉันทเพียง ๓ ที่ เทานั้น แมเนื้อความจะดีเพียงใด ท้ังไวยากรณก็ไมผิด ถึง กระนนั้ กป็ รับตกได คณะฉนั ทจึงถือวา มาเปนอันดับหนึง่ ท่จี ะตอง เครง ใหค วามสาํ คัญย่งิ ๑.๒ ไวยากรณ ไดแก กฎเกณฑทางภาษามคธ ให พิจารณาวา รูปศัพทท่ีนํามาปรุงน้ัน มีความถูกตองตามหลัก ไวยากรณห รอื ไม หลกั การพจิ ารณานีไ้ มตางไปจากวชิ าแปลไทย เปนมคธ วาไปตามลิงค วจนะ วาจก เมื่อเห็นผิดพลาดกใ็ หรีบ แกไขโดยเร็ว หากไมยอมแกก็จะเสียคะแนนไปตามความหนัก- เบา ของไวยากรณ มีผลทาํ ใหไมผานได ซ่ึงนับวามีความสําคัญ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๔๐] ไมย่ิงไมหยอนไปกวาคณะฉันท บางคร้ังผิดเพียงแคตัวเดียวก็ อาจตกได เพราะถือวาเสยี ภมู ิ ทั้งหลักคณะฉันท และหลักไวยากรณน้ี ถือวาเปน ห ลั ก ก า ร ท า ง ภ า ษ า เ ป น ก ฎ เ ก ณ ฑ สํ า คั ญ ท่ี นั ก ศึ ก ษ า จ ะ ต อ ง ตระหนักเปนกรณีพิเศษ ๒. ไดเรื่อง เรื่องในท่นี แ้ี บงออกเปน ๒ เชน กนั คือ ๒.๑ คํา ไดแก รูปศัพท ใหพิจารณาวา เปนศัพทแ อบ สวมใสม าหรอื ไม ใชโ ดยทวั่ ไปหรอื เปลา หรือวาเปนบาลไี ทย สื่อ ไดตรงตามเนื้อความหรือไม เชน มีปญหาออกมาวา พระบาทสมเด็จพระจอมเกลาเจาอยูหัว (รัชกาลที่ ๔) แต นักศึกษาไปแตงเปน โย หิ เสฏโŒ มหาราชา ปฺจโม จกฺกิวํสิโก กลายเปนรัชกาลที่ ๕ ไป เปนการใชคําผิด ไมตรงกับตัวละคร หรอื แตงสรรเสรญิ พระเถระรปู ใดรปู หนง่ึ ซึ่งรูอ ยวู า เปนปุถุชน แต ไปใชศัพทวา ขีณาสโว ก็ถือวา ผิดคํา ในลักษณะเชนนี้ถือวา มโี ทษหนักเหมือนกัน ถึงกบั ไมใ หผานก็มี ๒.๒ ความ ไดแก ความหมายท่ีสื่อออกมาจากคําที่ แตงหากใชคําผดิ ความทส่ี ่อื ออกไปก็ผิด ใหพิจารณาวา มีความ ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสูน ธมมฺ รโต ป.ธ.๙

[๔๑] เหมาะสมหรือไม แตงไดตรงกับเนื้อเร่ืองท่ีมอบมาใหหรือเปลา ไดความเพียงใด มีความหมายอยางไร รวมทั้งสามารถเก็บ ความสําคัญไดมากนอยขนาดไหน คําและความทั้ง ๒ นี้ มีความสําคัญตอการสื่อ ความหมาย ซ่ึงนักศึกษาจะตองคํานึงวา ตนไดส่ือความหมาย ออกไปเชนใด ถูกเรือ่ งหรือไมถกู เร่อื ง รูเ รื่องหรือไมรเู ร่ือง ๓. ไดรส คือ ไดความสละสลวยทางภาษา ใหพิจารณาดูวา คําความท่ีแตงออกมาน้ัน สามารถสื่อความหมายไดดีไหลลื่น หรอื ไม เรียบเรยี งรปู ศัพทไดอ ยา งเหมาะเจาะหรือเปลา สามารถ เกิดอรรถรสในการอานไดมากนอยเพียงใด หรือเดินเรอ่ื งลําบาก สบั สน วกวน ฟนเฝอ มากไปดว ยปทปรู ณะ สําหรับไดรสตามท่ีใหเปนแนวทางนี้ ถือวา เปนเพียงขั้น พื้นฐานถาทําใหดีตามนัยน้ี ก็เรียกวา แตงเปน แตทวาใน ปจ จุบนั ยังไมใหค วามสําคญั ในเรื่องน้มี ากนกั ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๔๒] ตอนท่ี ๒ สาํ นวนฉนั ทแ ตง เฉลย ยอ ความ -อุบายโกศลนนั้ คือความเปน ผูฉลาดในอุบายสําหรับประกอบกิจ นน้ั ๆ มีวภิ าคเปน ๒ คือ อายโกศล ๑ อปายโกศล ๑ -คณุ ขอนม้ี ีในทานผูใดแลว ทานผูนนั้ จะประกอบกิจไมใหอากูล ยงั ประโยชนตนประโยชนทานใหสําเร็จบริบูรณ -แมเม่ือมีภัยที่นาหวั่นหวาด ยังผอนปรนทําตนและผูอืน่ ใหรอดโดย สวสั ดี ความนีพ้ ึงสาธกดวยเรื่องในมหาปรินพพานสูตร -ครั้งเม่ือคณะมัลลกษัตริยผูครองกุสินารานครนอย ทําการถวาย พระเพลิงพระพุทธสรีระแลว -ขาวทราบไปถึงกษัตริย ๗ ตําบล มีพระเจา อชาตศัตรุราช ณ เปนประธาน ตางพระองคทรงแตงราชทูตจาํ ทูล ใหทูลขอสวน พระพุทธสารีริกธาตุตอมัลลกษัตริย เพ่ือเชิญไปทําสักการบูชา ท่ีบา นเมอื งตน -คณะมัลลษตั ริย ฉลาดในอุบายหยงั่ เห็นการณขางหนา พอทูต เมืองมาถึง จงึ ตั้งโทณมหาพราหมณ -เขาไดกลาวสุนทรกถา ทําพระนครทั้ง ๗ ใหสโมสรสามัคคีกับ คณะมลั ลกษตั ริยเ ขาไดแลว แบงพระสารีริกธาตุออกเปน ๘ สวน แจกแกกันฝายละสวน ฯ พระมงคลวิเสสกถาหนา ๓๒-๓๓ ลีลาภาษาฉนั ท โดย พระมหาสองสนู ธมฺมรโต ป.ธ.๙

[๔๓] อุปายโกสลลฺ คาถา ปฐยาวตั ร ยํ โข อปุ ายโกสลฺลํ อายาปายสมปฺปตํ ตํ ยสฺส ปุคฺคลสฺสตฺถิ วุฑฺฒิ ตสฺสตฺถิ สพฺพทา โสตฺตทตฺถํ ปรตฺถฺจ นปิ ฺผาเทติ วเิ สสโต โส อุปฺปนเฺ น ภเยฺเสํ โสตฺถึ กโรติ อตฺตโน มหาปรินพิ ฺพานสุตฺเต อิทฺเจตฺถ นิทสฺสนํ มลฺลา สทฺธา ปสนฺนาธ พุทฺธสฺมึ ปรินพิ ฺพุเต สรีรํ ตสฺส ฌาเปสุ ตํ สุตฺวา สตฺต ขตฺติยา สกฺการปูชนตฺถาย กุสินารํ สเก สเก ทูเต อเปสยุ พุทฺธ- ธาตโุ ย ยาจติ ุ ตทา ทีฆทสฺสี สุธี มลฺลา กิจฺจานกุ ิจฺจโกวิทา ภยโต รกฺขิตุ ธานึ เปสุ โทณพฺราหฺมณํ โทโณ นาม ทิโช พฺยตฺโต รฏเ ชเนหิ มานโิ ต สามคฺคึ เตส ปตฺเถนฺโต วตฺวาน สุนทฺ รํ กถํ อฏธา วิภชิตฺวา ตา เตสํ อทาสิ ธาตุโยติ ฯ แตงเฉลย โดยพระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ. ๙ ลลี าภาษาฉันท โดย พระมหาสองสูน ธมฺมรโต ป.ธ.๙