Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตำนานอุรังคธาตุ - หนังสือกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี ๖๒

ตำนานอุรังคธาตุ - หนังสือกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี ๖๒

Description: ตำนานอุรังคธาตุ - หนังสือกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ปี ๖๒

Search

Read the Text Version

“ต�ำนานอุรังคธาต”ุ ดร.ยุทธพงศ์ มาตย์วเิ ศษ หนังสือทรี่ ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒ ทอดถวาย ณ วดั พระธาตพุ นมวรมหาวหิ าร จังหวดั นครพนม วนั เสาร์ ที่ ๒๖ - วันอาทติ ย์ ที่ ๒๗ ตลุ าคม พุทธศกั ราช ๒๕๖๒

ภาพจากปก ภาพพระธาตพุ นมองค์เก่า (Vue du monument de Peunom) วาดโดย Louis Marie Joseph Delaporte นกั ส�ำรวจชาวฝรัง่ เศส ประมาณช่วงปี ค.ศ. 1870 - 1875 สมบตั ิของพพิ ธิ ภณั ฑ์ Guimet กรุงปารสี ประเทศฝรั่งเศส

สำ� นึกในพระมหากรุณาธคิ ุณ ในโอกาสท่ี พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานผ้าพระกฐินให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น อัญเชิญไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งจ�ำพรรษากาลถ้วนไตรมาส ณ วัด พระธาตพุ นมวรมหาวหิ าร อำ� เภอธาตพุ นม จงั หวดั นครพนม ในวนั อาทติ ย์ ที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ นั้น ปวงข้าพระพุทธเจ้ามีความปลื้มปีติและส�ำนึกใน พระมหากรุณาธคิ ณุ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาทส่ี ดุ มิได้ โดยที่กฐินนั้นเป็นท้ังกาลทาน คือ ทานท่ีก�ำหนดด้วยกาลและสังฆทาน คือ ทานท่ีถวายพระสงฆ์ โดยมิได้จ�ำเพาะเจาะจง จึงเป็นทานท่ีส�ำคัญยิ่ง ในพระพุทธศาสนา องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญว่า เปน็ ทานที่มีผลเลิศมอี านิสงส์สงู สดุ ในการรับพระราชทานผ้าพระกฐินไปทอดถวายคร้ังนี้ จึงถือเป็นเกียรติ แก่มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันเป็นการสนองงานสถาบันพระมหากษัตริย์ในด้าน การจรรโลงพระพทุ ธศาสนาใหม้ คี วามเจรญิ มนั่ คงสบื ไป และเปน็ การบำ� เพญ็ กจิ อันเป็นมหากศุ ลอย่างย่งิ ปวงข้าพระพุทธเจ้า ชาวมหาวิทยาลัยขอนแก่นและผู้มีจิตศรัทธา อนั ประกอบดว้ ยกศุ ล ซง่ึ มคี วามจงรกั ภกั ดใี นใตฝ้ า่ ละอองธลุ พี ระบาท ไดพ้ รอ้ มใจ กันให้มีพิธีบ�ำเพ็ญกุศลสมโภชองค์พระกฐินพระราชทาน แล้วจึงอัญเชิญ ผ้าพระกฐนิ พระราชทานไปถวายแด่พระภกิ ษสุ งฆ์ เพอื่ น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายเป็นพระราชกศุ ล เฉลมิ พระเกยี รตแิ ห่งใต้ฝ่าละอองธลุ พี ระบาท ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ข้าพระพทุ ธเจ้า มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น



คำ� ปรารภพระเทพวรมณุ ี เจา้ อาวาสวดั พระธาตุพนมวรมหาวิหาร เจา้ คณะจงั หวัดนครพนม มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นมหาวิทยาลัยท่ีมุ่งสอน 3 ว. คือ วิชาการ วชิ าชีพ และวชิ าชวี ติ (ศีลธรรม) วิชาการ วิชาชีพ เป็นวชิ ารกั ษากาย หรอื วิชาหา ข้าวกิน วิชาชวี ติ วชิ ารกั ษาท้ังกายและใจ ให้พอเพียง พอดี โบราณท่านจงึ สอน ว่า รกั ษากายอย่าให้วปิ รติ รกั ษาจติ อย่าให้วปิ ลาส มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้อัญเชิญองค์พระธาตุพนมเป็นตราประจ�ำ มหาวิทยาลัย และได้สร้างพระธาตุพนมจ�ำลองไว้ในมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นท่ี บ�ำเพ็ญกุศล กราบไหว้สักการะบูชาของคณาจารย์และนักศึกษา ทุก ๆ ปี นกั ศกึ ษาใหมจ่ ะตอ้ งไปนมสั การองคพ์ ระธาตพุ นม โดยการนำ� ของคณาจารยแ์ ละ นักศึกษารุ่นพี่ และท�ำกิจกรรมบ�ำเพ็ญกุศลต่าง ๆ อาทิ การน�ำเคร่ืองสักการะ ถวายพระธาตุ การแห่พระอุปคตุ ทำ� วตั รสวดมนต์ เจรญิ จิตภาวนา เวยี นเทยี น ห่มผ้าพระธาตุ ฟ้อนร�ำถวาย แสดงแสงสเี สียงต�ำนานสร้างพระธาตุ พธิ ีบายศรี สู่ขวัญรบั น้องใหม่ และทอดผ้าป่าบ�ำรุงพระธาตุฯ ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ นี้ พระบาทสมเดจ็ พระวชริ เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานผา้ พระกฐนิ ใหม้ หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ อญั เชญิ ไปทอดถวายแดพ่ ระสงฆผ์ จู้ ำ� พรรษาถว้ นไตรมาส ณ วดั พระธาตพุ นมวรมหาวหิ าร อ�ำเภอธาตุพนม จงั หวดั นครพนม ในวนั ท่ี ๒๖ - ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้าพเจ้า ในฐานะเจ้าอาวาสขออนุโมทนาขอบคุณมหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ ท่ีน้ี เป็นอย่างยิง่ ก

สารจากนายกสภามหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ดร.ณรงค์ชยั อคั รเศรณี การทม่ี หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ไดร้ บั พระมหากรณุ าธคิ ณุ จากพระบาทสมเดจ็ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อัญเชิญผ้าพระกฐิน พระราชทานน�ำไปทอดถวายที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ในการน้ีนับเป็น โอกาสที่เป็นมงคลของชีวิตอีกคร้ังหน่ึงซ่ึงเหล่าพสกนิกรชาวมหาวิทยาลัย ขอนแก่น ทั้งผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา และบุคลากรรู้สึกส�ำนึกในพระ มหากรณุ าธคิ ณุ อยา่ งหาทสี่ ดุ มไิ ด้ เพราะการไดร้ บั โอกาสในการเชญิ ผา้ พระกฐนิ พระราชทาน เพื่อทอดถวาย ณ วัดหลวง นับว่าได้ท�ำหน้าที่ส�ำคัญในการเป็น พทุ ธศาสนกิ ชนทด่ี ี อนั เปน็ การเจรญิ รอยตามเบอ้ื งพระยคุ ลบาทของพระองคท์ า่ น ที่มีต่อพระพุทธศาสนา ซ่ึงพระองค์ท่านได้มีความใส่พระราชหฤทัยในการเสด็จ พระราชกุศลถวายผ้าพระกฐนิ เป็นประจ�ำทกุ ปี กฐินพระราชทานเป็นกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานผ้าของหลวงแก่ ผกู้ ราบบงั คมทลู ขอพระราชทานเพอื่ ถวายยงั วดั หลวง ทง้ั นมี้ หาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ นับเป็นหน่วยงานหน่ึงที่ได้รับโอกาสอันเป็นมงคลในปีนี้ จึงขอเชิญชวนชาว มหาวิทยาลัยขอนแก่นทุกท่านร่วมกันประกอบกิจอันเป็นกุศล เพ่ือถวายเป็น พระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงเป็นองค์ อุปถัมภ์ภกท่เี ปี่ยมล้นด้วยทศพธิ ราชธรรมยงิ่ ทส่ี ำ� คญั กศุ ลผลบญุ อนั เกดิ จากเจตนาทเ่ี ปย่ี มดว้ ยทานบารมอี นั บรสิ ทุ ธใิ์ น ครงั้ น้ี จะไดส้ ง่ ผลสทู่ า่ นและผใู้ กลช้ ดิ ในกาลปจั จบุ นั และอนาคตสบื ไปเปน็ แนแ่ ท้ ทกุ ประการ ข

สารจากทปี่ รกึ ษาอธกิ ารบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น รองศาสตราจารย์ นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล ด้วยวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเป็นหนึ่งในศาสนสถานส�ำคัญคู่บ้าน คู่เมือง โดยเฉพาะเป็นศูนย์รวมใจของชาวอีสานและพี่น้องชาวลาวมาเป็นเวลา ช้านาน ในทุกปีจะมีผู้คนจากท่ัวทุกสารทิศหล่ังไหลมากราบนมัสการองค์ พระธาตุพนมซ่ึงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า อีกทั้ง มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้น�ำสัญลักษณ์ขององค์พระธาตุพนม มาใช้เป็นตรา สัญลกั ษณ์นบั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ เปน็ ต้นมาจวบถึงปัจจบุ นั ทำ� ให้ชาวมหาวิทยาลัย ขอนแก่นต่างรู้สึกผูกพนั กับพระองค์พระธาตุพนมเป็นอย่างยงิ่ เห็นได้ว่าในทุก ๆ ปี องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นได้น�ำนักศึกษาน้องใหม่เดินทางมาไหว้ พระธาตุพนม จนกลายเป็นประเพณีประจ�ำปีที่ส�ำคัญของนักศึกษาใหม่ รวมถึง นักศึกษาปัจจุบัน และเชื่อว่ากระทั่งศิษย์เก่าที่ส�ำเร็จการศึกษาไปแล้ว คงได้หา เวลามานมสั การพระธาตพุ นมในฐานะเปน็ ศนู ยก์ ลางรวมใจของชาวมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่นอยู่เปน็ นิจ เพอ่ื แสดงความกตญั ญกู ตเวทติ าคณุ ตอ่ องคพ์ ระธาตพุ นมอนั เปน็ สญั ลกั ษณ์ ของมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น อกี ทงั้ เพอ่ื เปน็ การน้อมนำ� พระบรมราโชวาทขององค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการทำ� นุบำ� รงุ พระพุทธศาสนามาปฏบิ ัติ จึงได้ ขออัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานมาถวาย ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร ในปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒ น้ี ข้าพระพุทธเจ้าในนามของมหาวิทยาลัยขอนแก่นและผู้มีจิตศรัทธา ทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันอัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานในคร้ังนี้ รู้สึกส�ำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอพระองค์ ทรงพระเจรญิ ย่งิ ยนื นาน ค

สารจากรองอธิการบดี ฝา่ ยศิลปวฒั นธรรมและเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม วงศพ์ งษ์คำ� ประธานด�ำเนนิ งาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรด กระหม่อม ให้เป็นผู้อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานมาแล้วหลายคร้ัง โดย คร้ังแรกในปี 2541 ณ วัดธาตุอารามหลวง จงั หวัดขอนแก่น และหลังจากน้ัน ผ้าพระกฐินพระราชทานก็ได้อัญเชิญไปทอดถวาย ณ วัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร อำ� เภอธาตุพนม อกี 4 ครั้ง คือ พ.ศ. 2546, 2549, 2552, 2558 และในปี พ.ศ. 2559 ไปทอดถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดไทย พทุ ธคยา ต�ำบลพุทธคยา อ�ำเภอคยา จงั หวัดมคธ รฐั พิหาร สาธารณรฐั อนิ เดยี และปี พ.ศ. 2562 นี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่นก็ได้เป็นผู้อัญเชิญผ้าพระกฐิน พระราชทาน เพอ่ื นำ� ไปทอดถวาย ณ วดั พระธาตพุ นมวรมหาวิหาร อกี ครง้ั หน่ึง จึงนับว่าเป็นความโชคดีของชาวมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่จะได้บ�ำเพ็ญบุญบารมี อนั เปน็ บญุ ใหญซ่ งึ่ จะทำ� ไดเ้ พยี งปลี ะครงั้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เปน็ กฐนิ พระราชทาน ด้วยแล้ว ถอื ว่านาน ๆ ปีท่จี ะมีโอกาสดี ๆ เช่นน้ี คณะกรรมการดำ� เนนิ งานกฐินพระราชทาน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น จงึ ได้ ประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ขอนแก่นเพื่อร่วมถวายเคร่ืองไทยธรรม และส่ิงของเคร่ืองใช้ท่ีจ�ำเป็นส�ำหรับ พระภกิ ษสุ งฆ์นบั ตง้ั แต่เดอื นกนั ยายนเปน็ ต้นมา ซง่ึ กไ็ ด้รบั ความร่วมมอื เปน็ อย่างดี อีกท้ังยังมีการจัดพิธีสมโภชองค์พระกฐิน ซึ่งในปีนี้เป็นการแสดงโดยนักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก่อนท่ีจะได้มกี ารอญั เชญิ ผ้าพระกฐินพระราชทานในเช้า วนั รงุ่ ขนึ้ คอื วนั อาทติ ย์ ที่ 27 ตลุ าคม พ.ศ. 2562 โดยมอี ธกิ ารบดมี หาวทิ ยาลยั ขอนแก่นเปน็ ประธานนำ� ทอดถวาย ในนามของคณะกรรมการด�ำเนินงานกฐินพระราชทาน มหาวิทยาลัย ขอนแกน่ ประจำ� ปี 2562 ขอขอบคณุ ผมู้ สี ว่ นรว่ มทกุ ภาคสว่ นทไ่ี ดร้ ว่ มมอื รว่ มใจ กัน ท�ำให้การจัดงานครั้งน้ีส�ำเร็จลงได้ด้วยดี ขอกุศลผลบุญอันเกิดจากการ บ�ำเพ็ญบุญบารมีที่ร่วมกันในคร้ังน้ีส่งผลให้ท่านและครอบครัวได้ประสบแต่ ความสุข สวสั ด์ิ พพิ ฒั น์มงคล ตลอดไปด้วยเทอญ ง

สารจากผู้อำ� นวยการศนู ยว์ ัฒนธรรม ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขม เคนโคก ตามที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มอบหมายให้ ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และผู้อ�ำนวยการศูนย์วัฒนธรรม ได้ประสานงานการ ทอดกฐนิ พระราชทาน ณ วดั พระธาตพุ นมวรมหาวหิ าร อำ� เภอธาตพุ นม จงั หวดั นครพนม ในวนั ที่ ๒๗ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๒ นน้ั ได้ดำ� เนนิ การประสานงานอย่าง ต่อเน่ือง นอกจากจะถวายผ้าพระกฐินพระราชทานซึ่งเป็นภารกิจหลักแล้ว ศูนย์วัฒนธรรมยังได้จัดท�ำหนังสือที่ระลึกเน่ืองในงานกฐินพระราชทาน โดย ไดร้ บั ความอนเุ คราะหข์ อ้ มลู เรอื่ งตำ� นานอรุ งั คธาตขุ อง ดร.ยทุ ธพงศ์ มาตยว์ เิ ศษ เป็นผู้เขียนและรวบรวมเรียบเรียงซึ่งเป็นข้อมูลท่ีมีประโยชน์และเป็นเน้ือหาทาง วิชาการที่มีคุณค่ายิ่ง เพ่ือถวายเป็นพุทธบูชาและเพ่ือเป็นวิทยาทานแก่บุคคล ทั่วไป ขอกราบนมัสการขอบพระคุณ พระเทพวรมุณี ท่ีได้ให้ความเมตตา สนับสนุน ขอบพระคุณ ชาวจังหวัดนครพนม อ�ำเภอพระธาตุพนม และ ขอบพระคุณท่านนายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านอธิการบดี ท่านรอง อธิการบดี ฝ่ายศลิ ปวฒั นธรรมและเศรษฐกจิ สร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่สนับสนุน ท้ังการจัดท�ำหนังสือท่ีระลึกฉบับน้ีและได้มอบความไว้วางใจใน การทำ� งาน ขอบคุณคณาจารย์ บุคลากร นกั ศึกษา ศิษย์ปัจจุบนั ศษิ ย์เก่า และ ศาสนกิ ชนทกุ ทา่ นทเี่ กยี่ วขอ้ งทท่ี ำ� งานกฐนิ พระราชทานอนั เปน็ มหากศุ ลในครงั้ นี้ ได้สำ� เรจ็ ลลุ ่วงได้ด้วยดสี มตามเจตนารมณ์ จ

สารบญั หนา้ ก คำ� ปรารภพระเทพวรมุณ ี สารจากนายกสภามหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ข สารจากทป่ี รึกษาอธกิ ารบดีมหาวทิ ยาลัยขอนแก่น ค สารจากรองอธกิ ารบดี ฝา่ ยศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค ์ ง สารจากผอู้ �ำนวยการศนู ยว์ ัฒนธรรม จ กฐนิ : ภารกจิ ด้านศลิ ปวฒั นธรรม ภารกจิ ของมหาวิทยาลัยขอนแกน่ ๑ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หอมหวล บัวระภา ภมู ิหลงั ตำ� นานอรุ ังคธาตุและพระธาตพุ นม ๑๓ ดร.ยุทธพงศ์ มาตย์วเิ ศษ ต�ำนานอรุ ังคธาต ุ ๒๖ ศาสนานครนทิ าน ๒๗ บ้ันที่ ๑ พระพุทธเจ้าเลยี บโลกลุ่มแม่น้�ำโขง ๒๗ บั้นท่ี ๒ พุทธพยากรณ์นครล้านช้าง ๒๙ ปาทลักษณะนทิ าน ๓๘ บั้นที่ ๓ ปาทลกั ษณ์ในลุ่มแม่น้�ำโขง ๓๘ บน้ั ที่ ๔ พระพุทธเจ้าเสด็จเมอื งศรโี คตรบอง ๓๙ บั้นท่ี ๕ ปาทลกั ษณ์เมอื งหนองหาญหลวง ๔๒ บ้ันท่ี ๖ อดตี นิทาน พระปรเมศวรตงั้ พระพานเปน็ ใหญ่ ๔๘ บัน้ ท่ี ๗ ปาทลกั ษณ์ทภ่ี ูกเู วยี น ๕๑ บ้นั ที่ ๘ ปาทลกั ษณ์ทด่ี อยนนั ทกงั ฮี ๕๓ อุรงั คธาตนุ ทิ าน ๕๕ บั้นท่ี ๙ พระตถาคตนพิ พาน ๕๕ บ้ันท่ี ๑๐ อัญเชญิ พระอุรังคธาตสุ ู่ภูกำ� พร้า ๕๘ บั้นท่ี ๑๑ พญาทง้ั ๕ ก่ออูบมุงอุรังคธาตุ ๖๘ บ้นั ท่ี ๑๒ พญาอนิ ทราธิราชมาบูชาพระอรุ ังคธาตุ ๗๓

สารบญั หน้า บัน้ ที่ ๑๓ พญาสุรยิ วงศาเข้ากินเมอื งร้อยเอด็ ประต ู ๘๖ บ้นั ท่ี ๑๔ นทิ านแม่น้�ำ ๙๕ บ้นั ที่ ๑๕ เมืองหนองหาญหลวง เมอื งหนองหาญน้อย ๙๘ บ้นั ที่ ๑๖ พญาทงั้ ๕ จตุ ิไปเกดิ ๙๙ บ้นั ท่ี ๑๗ นาคและเทวดาต้งั เจ้าบรุ จี นั ท์เป็นใหญ่ ๑๐๔ บนั้ ที่ ๑๘ พราหมณ์ทง้ั ๕ เมอื ราชาภเิ ษกพญาจนั ทบุรีปรสทิ ธิ ๑๑๕ สกั กเทวะ บนั้ ท่ี ๑๙ พราหมณ์ทง้ั ๕ คืนเมือสู่เมอื งมรกุ ขนคร ๑๓๘ บ้นั ท่ี ๒๐ อรหนั ตาทงั้ ๕ แลพญาจนั ทบรุ ี ถะปันนาธาตุ ๑๔๒ บัน้ ที่ ๒๑ ถะปนั นาพระอุรังคธาต ุ ๑๔๘ บน้ั ที่ ๒๒ ตำ� นานอรุ งั คธาตเุ ผยแพร่ในอาณาจกั รล้านช้าง ๑๕๗ บนั้ ท่ี ๒๓ ประสทิ ธิดวงจุ้ม ศลิ าเลก หลักดนิ และสละข้อยโอกาส ๑๖๐ บน้ั ที่ ๒๔ ปมู โหรหลังรัชกาลพญาสรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราช ๑๖๒ (เจ้าองค์หล่อ) บั้นท่ี ๒๕ อานสิ งส์การสร้างหนงั สอื ต�ำนานอรุ ังคธาต ุ ๑๖๔ สรุปเหตุการณบ์ า้ นเมอื งในลุ่มแม่น�ำ้ โขง ตามต�ำนานอุรงั คธาตุ ๑๖๖ รายชอ่ื ผ้รู ่วมเปน็ เจา้ ภาพกฐนิ พระราชทาน มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ๑๗๒ ประจำ� ปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒ คณะผจู้ ัดท�ำ ๑๗๙

กฐิน : ภารกิจดา้ นศิลปวฒั นธรรม ภารกิจของมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่

กฐนิ : ภารกจิ ด้านศลิ ปวัฒนธรรม ภารกิจของมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.หอมหวล บัวระภา มหาวิทยาลัยในความทรงจ�ำของสังคมไทย เป็นสถาบันที่ท�ำหน้าที่หลัก ด้านการเรยี นการสอน การศกึ ษาค้นคว้าวจิ ยั การบรกิ ารวชิ าการแก่ชุมชนและ การท�ำนุบ�ำรุงศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่นในอดีตท่ีผ่านพ้นได้ชื่อว่า เปน็ ขุมปญั ญาอีสาน ในปจั จุบนั และอนาคตมหาวิทยาลัยจะต้องปรับตวั เองเพื่อ ใชป้ ญั ญาเปน็ พลงั ขบั เคลอ่ื นสงั คมดว้ ยนวตั กรรมและความเชย่ี วชาญในหลากหลาย องค์ความรู้และภูมิธรรม โดยเฉพาะอย่างย่งิ งานด้านการปรบั เปลยี่ นศิลปะและ วัฒนธรรมให้เป็นนวัตกรรมและคุณค่าเชิงประจักษ์หรือความเป็นรูปธรรมท่ี ชัดเจนจับต้องได้ กิจกรรมทางวัฒนธรรมท่ีส�ำคัญอย่างหนึ่งในการสืบสาน ศิลปวัฒนธรรมคือการทอดกฐินประจ�ำปี ท่ีเป็นชุดความรู้และภูมิปัญญาที่ สามารถรังสรรค์สร้างนวัตกรรมทางสติปัญญาท่ีเป็นนามธรรมและรูปธรรมที่ จบั ตอ้ งได้ ฉะนนั้ จงึ เปน็ โอกาสอนั ดที จี่ ะทบทวนงานศลิ ปวฒั นธรรมดา้ นบญุ กฐนิ ท่มี หาวิทยาลัยขอนแก่นได้ปฏบิ ัตมิ ามากกว่าหกทศวรรษ บญุ กฐนิ เปน็ ภารกจิ หนงึ่ ของการทำ� นบุ ำ� รงุ ศลิ ปวฒั นธรรมทที่ างมหาวทิ ยาลยั ได้ปฏบิ ตั มิ าเปน็ ประจำ� ทกุ ปี เมอื่ ถงึ ฤดกู าลตง้ั แต่วนั ออกพรรษาไปจนถงึ วนั เพญ็ เดอื นสบิ สองหรอื หนง่ึ เดอื นหลงั ออกพรรษาตอ้ งนำ� บคุ ลากรข้าราชการ อาจารย์ นักศึกษา เพ่ือนพ้อง น้อง พ่ีกัลยาณมิตรชาว มข. จัดเตรียมน�ำผ้ากฐินไปทอด วัดใดวัดหน่งึ อย่างน้อยปีละหนง่ึ คร้งั ทกุ ปี โดยก�ำหนดว่าวัดท่นี ำ� ผ้ากฐนิ ไปทอด นั้นต้องมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหน่ึง ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับกาลสมัยของผู้เก่ียวข้อง ในการก�ำหนดนโยบายเพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กร ชุมชนและสังคม พุทธศาสนาส่วนรวม ดังต่อไปน้ี ๑. มีการเรียนการสอนด้านพระปริยัติธรรม (บาลี นักธรรม) หรือ พระปริยัตสิ ามญั เช่น วัดพระธาตุพนมวรมหาวหิ าร (ทกุ ๔ ปี) เป็นต้น ๒. มโี บราณสถาน โบราณวตั ถุ หรอื ศิลปวตั ถุอันล้�ำค่าของชาตขิ องชุมชน เช่น วดั สระบัวแก้ว บ้านวังคณู เปน็ ต้น ๓. มกี ารปฏิบตั ิ หรือการอบรมส่งั สอนการปฏิบตั ิธรรม (อบรมพัฒนาจติ : วปิ สั สนากรรมฐาน) เชน่ วดั ปา่ กาญจนาภเิ ษก (๒๕๔๗) วดั ปา่ สนั ตกิ าวาส ไชยวาน (๒๕๕๐) วดั ป่าอรัญบรรพต (๒๕๔๘) เป็นต้น ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 1

๔. มคี ณุ ูปการต่อมหาวิทยาลยั ขอนแก่น เช่น วดั ป่าอดุลยาราม วัดพระ ธาตุพนมวรมหาวหิ าร (ทกุ ๔ ปี) วดั หนองกุง เป็นต้น ความสำ� คญั ของกฐิน ถึงแม้ประเพณีที่เน่ืองด้วยผ้ากฐิน จะมีปรากฏหลักฐานตามพระธรรมวินัย มาต้ังแต่สมยั พทุ ธกาล และได้รับการปฏบิ ตั สิ บื ต่อมาโดยพระสงฆ์ฝ่ายเถรวาท ซง่ึ ผ่านกาลเวลามานับเป็นเวลาสองพันห้าร้อยกว่าปี น่ันแสดงให้เห็นว่าศาสนพิธีที่ เกยี่ วกบั กฐนิ มสี าระสำ� คญั และเปน็ สงั ฆกรรมและศาสนกจิ ทเี่ กดิ ประโยชนก์ บั พระสงฆ์ และสงั คมเป็นแน่แท้ ซึง่ สาระสำ� คัญของงานน้สี ามารถสงั เคราะห์ได้ดงั ต่อไปนี้ ๑. พิธีกรรมที่เน่ืองด้วยผ้ากฐิน เป็นการเชื่อมโยงพระสงฆ์ในอาราม ให้รู้จักความสมคั รสมานสามคั คแี ละยอมรบั ซง่ึ กันและกัน ในความเปน็ ผู้อาวุโส ด้อยอาวุโส ๒. สังฆกรรมนี้เป็นสิ่งท่ีเกี่ยวเน่ืองมาจากวันปวารณาออกพรรษาที่เปิด โอกาสให้ภิกษทุ ุกระดับชั้น ทั้งพรรษามาก พรรษาน้อยได้ว่ากล่าวตกั เตอื นกันได้ ไม่ถือว่าเปน็ สิง่ ที่ผดิ จารตี ประเพณสี งฆ์ ๓. การอยจู่ ำ� พรรษาตลอดไตรมาสทผ่ี า่ นมา เปน็ การบำ� เพญ็ ศลี เจรญิ จติ ภาวนา ฝึกพัฒนากายใจและชีวิตให้งอกงามในร่มโพธิ์ชัยแห่งพระพุทธศาสนา ท�ำให้เกิดอานิสงส์ และอานิสงส์นั้นได้ตกถึงแก่ภิกษุในอารามแห่งน้ัน ถือว่า เป็นการส่งเสรมิ ให้พระสงฆ์ส�ำนกึ เกย่ี วพนั กบั หมู่คณะและสงั คมมากขนึ้ มิใช่อยู่ อย่างโดดเด่ยี วเพยี งลำ� พงั ๔. จากสาระสำ� คญั ทพ่ี ธิ กี ฐนิ กรรม มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ ของพระสงฆ์ ทุกระดับต้ังแต่อาวุโสสูงสุดถึงต่�ำสุด ท�ำให้ประชาชนพุทธศาสนิก ได้แนวคิด สามารถนำ� ปรชั ญาแนวธรรมมาปรบั เขา้ กบั การทำ� งานในองคก์ รตา่ ง ๆ ได้ โดยเฉพาะ สายงานทม่ี อบหมายงานจากบนลงลา่ ง จะได้มององค์กรทกุ ระดบั โดยภาพรวมวา่ การทำ� งานทกุ ระดบั ตอ้ งอาศยั ความสามคั คขี องทกุ คนในองคก์ ร บคุ คลในองคก์ ร ตง้ั แตร่ ะดบั สงู สดุ ถงึ ตำ่� สดุ จะตอ้ งเคารพซงึ่ กนั และกนั สามารถตรวจสอบ ชแี้ นะ การทำ� งานขององคก์ รโดยบคุ ลากรทกุ ระดบั ได้ เหมอื นในวนั ปวารณาออกพรรษา ทพ่ี ระสงฆท์ กุ ระดบั ชนั้ เปดิ โอกาสใหพ้ ระสงฆว์ า่ กลา่ วตกั เตอื นกนั ได้ เพอ่ื ลดอตั ตา ไปสคู่ วามเปน็ อนตั ตา เพอ่ื ทำ� ใหอ้ งคก์ รมคี วามเจรญิ สงู สดุ คณะสงฆห์ รอื องคก์ ร 2 ท่ีระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒

ให้ความส�ำคัญกับธรรมวินัยและหมู่คณะ มากกว่าความเป็นตัวตนของภิกษุ รปู หน่งึ รปู ใดหรอื บคุ คลในองค์กรเพยี งคนใดคนหน่งึ สาระสำ� คญั ของพธิ กี รรมกฐนิ ดงั กลา่ วนน้ั เกดิ จากกระบวนการของขนั้ ตอน พธิ ีการงานทเ่ี กี่ยวเนอ่ื งกับผ้ากฐินดงั ต่อไปน้ี ความหมายของกฐิน กฐิน เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่ จ�ำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยกฐินจัดเป็นสังฆกรรม ประเภทหน่ึงตามพระวินัยบัญญัติที่มีก�ำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระท�ำ สังฆกรรมนีไ้ ด้นบั แต่วนั แรม ๑ คำ�่ เดอื น ๑๑ ไปจนถงึ วนั ขน้ึ ๑๕ ค่�ำ เดอื น ๑๒ เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์ส�ำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และ อนเุ คราะหภ์ กิ ษผุ ทู้ รงคณุ ทม่ี จี วี รชำ� รดุ ดงั นน้ั กฐนิ จงึ จดั เปน็ เรอ่ื งเกยี่ วกบั สงั ฆกรรม ของพระสงฆ์โดยจ�ำเพาะ แต่ในทางปฏิบัติท่ีคณะสงฆ์ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันก็คือ ส่วนมากจะให้พระภิกษทุ เ่ี ปน็ เจ้าอาวาส หรือภกิ ษุผู้ประธานในอารามแห่งน้ันเป็น ผ้รู บั ผา้ กฐนิ มบี ้างบางสำ� นกั ทผี่ ้เู ปน็ ใหญเ่ ปน็ ประธานในสงฆ์ ขออนญุ าตสงฆ์มอบ ให้พระสงฆ์รปู ใดรปู หนึง่ ให้เป็นผู้รบั ผ้ากฐินในปีนน้ั ๆ เพ่อื ประโยชน์สูงสดุ แก่คณะ สงฆ์ เมอ่ื ได้รบั ฉนั ทานมุ ตั ิให้พระรปู ใดรปู หนึ่งแล้วก็ปฏบิ ตั ิตามขน้ั ตอนต่อไป การได้มาของผ้าไตรจวี รอนั จะน�ำมากรานกฐินน้ี พระพุทธองค์ไม่ทรงห้าม การรับผ้าจากผู้ศรทั ธาเพ่ือน�ำมากรานกฐิน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจงึ ทำ� ให้เกดิ ทาน พิธีการถวายผ้ากฐนิ หรอื การทอดกฐนิ ของพุทธศาสนิกชนข้ึน และด้วยการทีก่ าร ถวายผ้ากฐินนั้น จัดเป็นสังฆทาน คือถวายแก่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใด รปู หนง่ึ เพอื่ ให้คณะสงฆ์นำ� ผ้าไปถวาย (อปโลกน์) หรอื ยกให้ แกภ่ กิ ษรุ ปู ใดรปู หนงึ่ ตามที่คณะสงฆ์ลงมติ สวดด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา และกาลทาน ซ่ึงมีก�ำหนด เขตเวลาถวายแนน่ อน คณะสงฆห์ นงึ่ ๆ หรอื อารามหนง่ึ ๆ สามารถรบั ไดค้ รงั้ เดยี ว ในรอบปี จึงท�ำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นบุญประเพณีนิยมที่ส�ำคัญของ พุทธศาสนิกชนชาวไทยโดยทั่วไป ท้ังน้ีอาจรวมถึงพุทธศาสนิกชนในวัฒนธรรม เถรวาททอี่ ยใู่ นประเทศแถบเอเชยี ตะออกเฉยี งใตค้ อื สปป.ลาว พมา่ และกมั พชู าดว้ ย ประเพณกี ารทอดกฐนิ ของพทุ ธศาสนกิ ชนไทยมที ง้ั พธิ หี ลวงและพธิ รี าษฎร์ โดยการถวายผ้าพระกฐนิ ของพระมหากษัตรยิ ์จดั เปน็ พระราชพธิ ที ีส่ ำ� คัญประจ�ำปี ต�ำนานอุรงั คธาตุ 3

ในปัจจุบันถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวรเพื่อใช้ในสังฆกรรมส�ำคัญ ของคณะสงฆไ์ ดถ้ กู ลดความสำ� คญั ลงไป แตก่ ถ็ อื วา่ เปน็ สาระสำ� คญั ทข่ี าดไมไ่ ด้ ถงึ แม้ไตรจีวรจะหาได้ง่ายในปัจจุบัน การยึดสาระในพระวินัยเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่าต่อ สาระของชวี ิต มากกว่าการให้ความส�ำคัญกบั บริวารของกฐินทาน เช่น เงนิ หรือ วัตถุส่ิงของ เพื่อน�ำส่ิงเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและท�ำนุบ�ำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นสังฆทานอย่างหน่ึงเช่นเดียวกัน การให้ความส�ำคัญของบริวารกฐิน เป็นการเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้มีส่วนร่วมได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนามาก ขึ้น เพราะหากไร้ซ่ึงกิจกรรมท่ีเป็นวัตถุทาน หรืออามิสทานในพิธีกรรมกฐินก็จะ เปน็ การกดี กนั ชาวบา้ นออกจากพธิ สี ำ� คญั น้ี พระสงฆไ์ ดป้ ระกอบสงั ฆกรรมสำ� คญั ฆราวาสได้แสดงออกถึงการเป็นผู้มีส่วนแห่งการส่งเสริมและสนับสนุนสังฆกรรม ให้ส�ำเร็จลุล่วงไปด้วยความอิ่มอกเจริญใจ อาศัยอามิสทานน�ำทางไปสู่ธรรมทาน และเข้าถงึ พทุ ธธรรมตามกำ� ลงั กำ� ลังสทั ธนิ ทรีย์ของแต่ละบคุ คล ทสี่ ำ� คญั อกี ประการหนง่ึ คอื กฐนิ มกี ำ� หนดระยะเวลาถวาย จะถวายตลอด ไปเหมือนผ้าชนิดอื่นมิได้ ระยะเวลาน้ันมีเพียง ๑ เดือน คือต้ังแต่วันแรม ๑ ค่�ำ เดอื น ๑๑ ไปจนถงึ วนั ขึน้ ๑๕ คำ�่ เดือน ๑๒ (วันเพญ็ เดอื น ๑๒) ระยะเวลานีเ้ รียก ว่า กฐินกาล คือระยะเวลา ทอดกฐนิ หรอื เทศกาลทอดกฐนิ ความหมายของค�ำว่ากฐนิ กฐิน เป็นศัพท์บาลี แปลตามศัพท์ว่าไม้สะดึง คือ “กรอบไม้” หรือ “ไม้ แบบ” ส�ำหรับขึงผ้าที่จะเย็บเป็นจีวรในสมัยโบราณ ซึ่งผ้าท่ีเย็บส�ำเร็จจากกฐิน หรือไม้สะดึงแบบนี้เรียกว่า ผ้ากฐินคือผ้าเย็บตามดีไซน์จากไม้แบบ กฐิน อาจ จ�ำแนกตามความหมายเพ่อื ความเข้าใจง่ายได้ดงั น้ี ๑. กฐิน เป็นชอื่ ของกรอบไม้แม่แบบ ส�ำหรับขงึ เพ่อื ตดั เยบ็ จวี ร เรียกว่า ไมส้ ะดงึ เมอื่ ตดั เยบ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ จะไดจ้ วี รทปี่ ระกอบดว้ ยกระทงตา่ ง ๆ มลี กั ษณะ คล้ายคนั นาของชาวมคธ ๒. กฐนิ เป็นชือ่ ของผ้าทีถ่ วายแก่พระสงฆ์เพ่อื กรานกฐิน (โดยได้มาจาก การใช้ไม้แม่แบบขึงเย็บ) ผ้าที่ผู้มีจิตศรัทธาน�ำมาถวายแก่พระภิกษุเพื่อท�ำจีวร ตามแบบไม้สะดงึ ส่วนใหญ่นิยมผ้าขาวเปน็ พับพระภกิ ษุน�ำไปตดั เยบ็ เอง ๓. กฐิน เป็นชื่อของงานบุญประเพณีถวายผ้าไตรจีวรแก่พระสงฆ์เพื่อ กรานกฐนิ หมายเอากริ ยิ าของการน้อมผ้านำ� ไปถวายแด่พระภกิ ษเุ พอ่ื ให้ท่านนำ� 4 ท่ีระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

ไปทำ� เป็นผ้ากฐินจวี ร (กฐินจวี รทุสสัง) อันเปน็ บุญกริ ิยา ๔. กฐิน เป็นชื่อของสงั ฆกรรมการกรานกฐนิ ของพระสงฆ์ คือ กิจกรรม ท่ีพระสงฆ์จะต้องสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์เห็นควร มอบผ้ากฐนิ แด่พระภกิ ษรุ ปู ใดแล้วปฏบิ ตั ิตามมตขิ องสงฆ์ต่อไป ความพิเศษแตกต่างจากทานอยา่ งอืน่ การถวายกฐินนั้นมีข้อจ�ำกัดหลายอย่าง ซ่ึงท�ำให้การถวายกฐินมีความ พิเศษแตกต่างจากทานอย่างอ่นื ดังน้ี จ�ำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะ เจาะจงภิกษุรปู ใดรปู หนง่ึ เหมอื นทานอย่างอน่ื ไม่ได้ จำ� กดั เวลา คอื กฐนิ เปน็ กาลทานอยา่ งหนงึ่ (ตามพระบรมพทุ ธานญุ าต) ดงั นน้ั จงึ จำ� กดั เวลาว่าต้องถวายภายในระยะเวลา ๑ เดอื น นบั แต่วนั ออกพรรษา เป็นต้นไป จ�ำกัดงาน คือ พระภกิ ษุทก่ี รานกฐนิ ต้องตดั เย็บ ย้อม และครองให้เสรจ็ ภายในวนั ทก่ี รานกฐนิ หรอื ในวนั ทที่ อดเทา่ นนั้ แมว้ า่ จะทอดถวายตอนบา่ ยตอนเยน็ กต็ ้องท�ำให้เสรจ็ ภายในคนื นนั้ จำ� กดั ไทยธรรม คอื ผา้ ทถ่ี วายตอ้ งถกู ต้องตามลกั ษณะทพี่ ระวนิ ยั กำ� หนดไว้ จำ� กดั ผรู้ บั คอื พระภกิ ษผุ ู้รบั กฐนิ ต้องเปน็ ผ้ทู จ่ี ำ� พรรษาในวดั นน้ั โดยไม่ขาด พรรษา และจำ� นวนไมน่ อ้ ยกวา่ ๕ รปู ในปจั จบุ นั เปน็ ยคุ ขาดแคลนพระภกิ ษุ จงึ มกี าร อนุวัติบางอย่างให้เข้ากับภาวะของสังคมปัจจุบัน เพ่ือเป็นการรักษาพุทธประเพณี และสงั ฆกรรมให้ประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนง่ึ ของความเป็นญาตพิ ระศาสนา จ�ำกัดคราว คือ วัด ๆ หน่ึงรับกฐินได้เพียงปีละ ๑ คร้ังเท่าน้ัน เป็น พระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอ่ืนทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอนุญาต เช่น มหาอุบาสกิ าวิสาขาทูลขออนุญาตผ้าอาบนำ้� ฝน แต่ผ้ากฐินน้ี พระองค์ทรงอนญุ าตเอง นบั เป็นพระพทุ ธประสงค์โดยตรง ความเปน็ มาของกฐิน ภิกษุชาวเมืองปาฐา ๓๐ รูป ได้เดินทางเพื่อมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวนั มหาวหิ าร เมืองสาวัตถี แต่ยังไม่ทนั ถงึ เมอื งสาวัตถี กถ็ งึ วนั เข้าพรรษา เสียก่อน พระสงฆ์ทั้ง ๓๐ รปู จึงต้องจำ� พรรษา ณ เมืองสาเกตุในระหว่างทาง พอออกพรรษาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นจึงได้ออกเดินทางมาเข้าเฝ้าพระศาสดา ตำ� นานอุรังคธาตุ 5

ด้วยความยากล�ำบากเพราะฝนยังตกชุกอยู่ เม่ือเดินทางถึงวัดพระเชตวัน พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ถามถงึ ความเปน็ อยแู่ ละการเดนิ ทาง เมอ่ื ทราบความลำ� บาก น้นั จงึ ทรงอนุญาตให้ภกิ ษผุ ู้จ�ำพรรษาครบถ้วนไตรมาสสามารถรับผ้ากฐนิ ได้ เม่อื นางวสิ าขาทราบถงึ พทุ ธานญุ าตนแ้ี ล้วนางก็ถวายผ้ากฐนิ เปน็ คนแรก กฐนิ ทานจงึ หมายถงึ การถวายผา้ แด่พระภกิ ษสุ งฆผ์ ดู้ ำ� รงตนอยใู่ นกรอบแห่งศลี สมาธิ และปัญญาผ่านการอยู่จ�ำพรรษาตลอดฤดูฝน ณ อารามใดอารามหน่ึง นบั วา่ เปน็ กาลทานอนั ยง่ิ ใหญย่ อ่ มกอ่ ใหเ้ กดิ อานสิ งสม์ ากมายแกผ่ ทู้ อดถวายและ ภกิ ษผุ ้ไู ดก้ รานกฐนิ ได้อานสิ งส์ ๕ ประการ ภายในเวลาอานสิ งส์กฐนิ (นบั จากวนั ที่รับกฐินจนถงึ วนั ข้ึน ๑๕ ค�ำ่ เดอื น ๔) คือ ๑. ไปไหนไม่ต้องบอกลา ๒. ไม่ต้องถือไตรจวี รไปครบสำ� รบั สามผนื ๓. ฉันคณะโภชน์ได้ หมายถึงล้อมวงกันฉันภตั ตาหารได้ ๔. เกบ็ อดเิ รกจวี รไวไ้ ดโ้ ดยทยี่ งั มไิ ดว้ กิ ปั ป์ และอธษิ ฐาน โดยไมต่ อ้ งอาบตั ิ ๕. จวี รลาภอันเกดิ ขึน้ จกั ได้แก่ภกิ ษผุ ู้ได้กรานกฐนิ แล้ว ประเภทของกฐนิ กฐินนับเป็นกาลทาน เพราะมีการก�ำหนดเง่ือนไข ก�ำหนดเวลา พระภิกษุ ทจ่ี ะรบั ผ้ากฐินได้ต้องอยู่จำ� พรรษาครบ ๓ เดือน เมอื่ ออกพรรษาแล้วจงึ มีสิทธริ์ ับ กฐิน การท�ำบุญกฐินมีก�ำหนดว่าออกพรรษาแล้วเป็นระยะเวลา ๑ เดือนถัดไป เท่านนั้ จงึ จะถือว่าเป็นฤดกู าลของบุญกฐนิ ถ้าเกินกำ� หนดไปจะถวายผ้ากฐนิ ไม่ได้ การถวายผ้าใด ๆ นอกระยะเวลาดังกล่าวไม่เรียกว่าผ้ากฐิน ความแตกต่างของ ทายกและปฏคิ าหกนำ� ไปสู่การกำ� หนดประเภทของกฐนิ ซึง่ แบ่งได้เปน็ ๔ ประเภท คือ ๑. กฐินหลวง ได้แก่ กฐินท่ีพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรง ถวายผ้ากฐินเป็นพระราชพิธีเป็นทางราชการ เป็นผ้าพระกฐินพระราชทาน ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปพระราชทานดว้ ยพระองคเ์ อง หรือทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เสด็จไปพระราชทานแทน กฐนิ หลวงนจี้ ดั เครอื่ งพระราชทานด้วยพระราชทรพั ย์ส่วนพระองค์ และบางครง้ั มีการจัดพิธีแห่เคร่ืองกฐินพระราชทานอย่างใหญ่ โดยกระบวนพยุหยาตรา 6 ท่ีระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

ชลมารค หรอื กระบวนพยหุ ยาตราสถลมารถ แลว้ แตพ่ ระราชประสงค์ ในปจั จบุ นั คงการเสด็จพระราชดำ� เนนิ ทรงถวายผ้าพระกฐินอย่างพิธใี หญ่นนั้ คงเหลือเพยี ง โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคเท่านั้น ในปัจจุบันนี้ วัดที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หวั เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ไปทรงถวายผ้ากฐนิ มที ั้งหมด ๑๖ วดั เปน็ วัด ในกรุงเทพมหานคร ๑๒ วัด คอื - วัดพระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม - วัดสุทัศนเทพวราราม - วดั เบญจมบพติ รดุสติ วนาราม - วดั ราชประดษิ ฐส์ ถติ มหาสมี าราม - วดั ราชาธวิ าส - วดั อรณุ ราชวราราม - วัดมหาธาตยุ ุวราชรงั สฤษฎ์ ิ - วัดบวรนเิ วศวหิ าร - วดั ราชบพธิ สถติ มหาสีมาราม - วดั เทพศริ ินทราวาส - วดั มกุฎกษัตรยิ าราม - วัดราชโอรสาราม และอีก ๔ วัด ต่างจงั หวัด คอื - วดั พระปฐมเจดยี ์ นครปฐม - วดั นเิ วศน์ธรรมประวัติ พระนครศรอี ยุธยา - วัดสุวรรณดาราราม พระนครศรอี ยุธยา - วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ พิษณุโลก ๒. กฐนิ ตน้ เปน็ ผา้ พระกฐนิ พระราชทานทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดำ� เนนิ ไปพระราชทานยงั วดั ราษฎรเ์ ปน็ การสว่ นพระองค์ มไิ ดเ้ สดจ็ ไปเป็นทางการ หรืออย่างเป็นพระราชพิธี วัดที่เสด็จพระราชด�ำเนินไปถวายนั้น มักเป็นวัดราษฎร์ซ่ึงเป็นวัดท่ีพระเจ้าแผ่นดิน มีพระราชศรัทธาเป็นกรณีพิเศษ หรอื วัดท่มี ีความสำ� คัญในการเปน็ จดุ ศนู ย์ร่วมศรัทธาของชุมชน ๓. กฐินพระราชทาน ได้แก่ผ้าพระกฐินพระราชทานท่ีพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐนิ และเครอ่ื ง กฐนิ แก่พระบรมวงศานวุ งศ์ ข้าราชบรพิ าร ส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม หรอื เอกชน ให้ไปทอดยงั พระอารามหลวงต่าง ๆ ท่วั ราชอาณาจักร หรืออีกนยั หน่งึ หมายถึงกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้ที่กราบบังคมทูล ขอพระราชทาน เพ่ือถวายยังพระอารามหลวงอย่างเช่นกรณีที่ มหาวิทยาลัย ขอนแก่นน�ำผ้ากฐินไปทอด ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม เปน็ ตน้ ในปจั จบุ นั กรมการศาสนารบั ผดิ ชอบจดั ผา้ พระกฐนิ และเครอื่ งกฐนิ ถวาย ต�ำนานอุรังคธาตุ 7

มอบให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ๔. กฐินราษฎร์ ได้แก่ กฐินที่ประชาชนทั่วไปท่ีมีจิตศรัทธา น�ำผ้ากฐิน ของตนไปทอดถวาย ณ วัดใดวัดหนึ่ง เว้นวัดท่ีกล่าวแล้วในเร่ืองกฐินหลวงมีชื่อ ตามลักษณะของวธิ ีการทอดที่แตกต่างกัน ตามลกั ษณะ ๔ อย่างดังน้ี ๔.๑ กฐิน หรอื มหากฐิน คือ กฐินที่ราษฎรนำ� ผ้ากฐินไปทอดถวาย ท่ีวัดท่ีตนศรทั ธาเลอ่ื มใส มหากฐิน เปน็ ศพั ท์ท่เี รยี กเพื่อหมายความถงึ การทอดกฐนิ ท่ีมบี รวิ าร กฐนิ มาก ไม่ต้องท�ำโดยเร่งรีบเหมือนจลุ กฐิน มหากฐนิ คือกฐินทที่ อดถวายตาม วัดต่าง ๆ ในประเทศไทยในปัจจุบัน ท่ีจะมีการรวบรวมจตุปัจจัยไทยธรรมและ สงิ่ ของต่าง ๆ เพื่อน�ำไปเป็นเคร่อื งประกอบในงานกฐนิ ถวายแก่พระสงฆ์ เพอ่ื นำ� ไปทำ� นุบ�ำรุงพระพทุ ธศาสนาต่อไป ๔.๒ จุลกฐิน เป็นกฐินที่มีการจัดเตรียมผ้าท่ีจะน�ำไปท�ำเป็นผ้ากฐิน อย่างรีบเร่ง โดยเร่ิมต้นต้ังแต่การปั่นด้าย ทอ เย็บ ย้อมผ้ากฐิน และถวายพระ ภกิ ษใุ ห้แล้วเสรจ็ ภายในวนั เดยี ว ทางภาคอีสานเรยี กว่า กฐนิ แล่น ชาวอสี านเช่อื ว่าเป็นกฐนิ ที่ให้อานสิ งส์ผลบญุ มากกว่ากฐนิ ลักษณะอื่น ๆ จลุ กฐนิ คือ ค�ำเรยี ก การทอดกฐนิ ทตี่ อ้ งทำ� ดว้ ยความรบี ดว่ น โดยตอ้ งอาศยั ความสามคั คขี องผศู้ รทั ธา จ�ำนวนมาก เพอ่ื ผลิตผ้าไตรจีวรให้ส�ำเร็จด้วยมือภายในวันเดียว กล่าวคือ ต้อง เริ่มตั้งแต่เก็บฝ้าย ตัดเย็บ ย้อม และถวายให้พระสงฆ์กรานกฐินให้เสร็จภายใน เวลาเช้าวันหนึ่งจนถึงย่�ำรุ่งของอีกวันหนึ่ง ดังนั้นโบราณจึงนับถือกันว่าการท�ำ จุลกฐินมีอานิสงส์มาก เพราะต้องใช้ความอุตสาหะพยายามมากกว่ากฐินแบบ ธรรมดา (มหากฐนิ ) ภายในระยะเวลาอนั จ�ำกดั โดยจุลกฐนิ นป้ี ัจจุบนั มกั จดั เปน็ งานใหญ่ มผี ู้เข้าร่วมเป็นจำ� นวนมาก ประเพณีการทอดจุลกฐินน้ีเป็นประเพณีท่ีพบเฉพาะในประเทศไทยและ ลาว ไม่ปรากฏประเพณีการทอดกฐินชนิดนี้ในประเทศพุทธเถรวาทประเทศอื่น ส�ำหรับประเทศไทย มีหลักฐานว่ามีการทอดจุลกฐินมาแล้วตั้งแต่สมัยอยุธยา ดงั ปรากฏในหนงั สอื คำ� ให้การชาวกรงุ เกา่ หน้า ๒๖๘ ว่า “ถงึ วนั ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๒ โปรดให้ทำ� จลุ กฐนิ ” ปจั จบุ นั ประเพณกี ารทำ� จลุ กฐนิ นยิ มทำ� กนั เฉพาะชมุ ชนทาง ภาคเหนอื และอสี านเท่านั้น โดยอสี านจะเรยี กกฐนิ ชนดิ นีว้ ่า “กฐนิ แล่น” 8 ท่ีระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

เคา้ มลู ของการทำ� จวี รใหเ้ สรจ็ ในวนั เดยี ว ปรากฏหลกั ฐานในคมั ภรี อ์ รรถกถา กล่าวถึงเรื่องที่พระพุทธเจ้ารับสั่งในคณะสงฆ์ในวัดพระเชตวันร่วมมือกันท�ำผ้า ไตรจวี รเพอ่ื ถวายแกพ่ ระอนรุ ทุ ธะผมู้ จี วี รเก่าใชก้ ารเกอื บไมไ่ ด้แล้ว โดยในครง้ั นนั้ เปน็ งานใหญ่ ซงึ่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ มาทรงชว่ ยในการทำ� ไตรจวี ร โดยทรงรบั หนา้ ท่ี สนเข็มในการท�ำจีวรคร้ังน้ี สาเหตุประการหน่ึงที่มีการท�ำจุลกฐิน เนื่องมาจาก ก�ำหนดการกรานกฐินนั้นมีระยะเวลาจ�ำกัด และพระสงฆ์ไม่สามารถขวนขวาย ด�ำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้ากฐินเองได้ เพราะจะท�ำสังฆกรรมเสีย (กฐินเดาะ) จงึ อาจมบี างวดั ทใี่ กล้กำ� หนดหมดฤดกู ฐนิ แต่ยงั ไม่มผี ู้นำ� ผ้ากฐนิ มาถวาย ทำ� ให้ใน สมยั กอ่ นเมอ่ื ใกลเ้ ดอื น ๑๒ (หมดเขตกฐนิ ) มกั จะมผี ศู้ รทั ธาตระเวนไปตามวดั ตา่ ง ๆ เมือ่ เจอวดั ที่ยังไม่ได้รับถวายผ้ากฐนิ จงึ ต้องเร่งรบี ขวนขวายจัดการทำ� ผ้ากฐิน ให้เสรจ็ ทนั ฤดกู ฐนิ หมด ซงึ่ บางครง้ั อาจเหลอื เวลาแค่วนั เดยี ว จงึ ต้องอาศยั ความ รว่ มมอื ของคนทงั้ ชมุ ชน ในการรว่ มกนั จดั ทำ� ผา้ ไตรจวี รใหส้ ำ� เรจ็ กอ่ นหมดเขตเวลา กฐิน การร่วมมือกันจัดท�ำจุลกฐินดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือสร้างความ สามัคคขี องคนในชมุ ชนได้เป็นอย่างดี ๔.๓ กฐินสามัคคี คอื กฐินที่เจ้าภาพหลายคนร่วมกนั จัดทำ� แล้วมา ถวายร่วมกนั ในวดั ใดวัดหน่งึ ๔.๔ กฐินอุทิศ คือ กฐินที่พุทธศาสนิกชน ได้จัดท�ำข้ึนเพื่ออุทิศ ส่วนบญุ กศุ ลให้กบั ญาตพิ น่ี ้องทลี่ ่วงลบั ไปแล้ว เพอ่ื ให้เกดิ บญุ กศุ ลอนั ยงิ่ ใหญ่แก่ บพุ พการชี น หรอื บคุ คลทเ่ี ปน็ ทร่ี กั เคารพ กจ็ ะจดั ทำ� บญุ อทุ ศิ โดยใชพ้ ธิ กี รรมของ การทอดกฐิน เป็นส่วนส�ำคัญในการประกอบพิธีบุญอุทิศ ขั้นตอนพีธีกรรมก็ เหมอื นกฐนิ ราษฎรท์ ว่ั ไป เพยี งแตก่ ฐนิ ประเภทนที้ ำ� ในครอบครวั หรอื เจา้ ภาพอาจ บอกกล่าวบคุ คลผู้ใกล้ชดิ ที่เคารพนบั ถือกัน ร่วมท�ำบุญด้วยก็ได้ กฐนิ ประเภทน้ี นิยมกันในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนกลาง ๔.๕ กฐินตกค้าง หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า กฐินโจร เพราะกิริยา อาการทไี่ ปทอดนน้ั นำ� ไปทอดทไ่ี มไ่ ดบ้ อกกล่าวใคร แม้แต่พระภกิ ษเุ องกไ็ ม่ทราบ ไม่มีการบอกกล่าวให้รู้ล่วงหน้า เมื่อมีผู้มีจิตศรัทธาทราบว่าวัดใดที่ไม่มีผู้น�ำผ้า กฐินไปทอดเลย เกดิ จิตศรัทธาข้นึ ทนั ทแี ล้วจดั การน�ำผ้าไปถวายทันที โดยสรุป กฐนิ หรือการท�ำบญุ กฐนิ นยิ มทำ� กนั ๒ ลกั ษณะ คือ กฐิน หรือ มหากฐิน กับกฐินสามัคคี น้ันก็คือกฐินท่ีมีเจ้าภาพคนเดียว กับกฐินท่ีมีเจ้าภาพ ร่วมกนั จดั หลายคน ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 9

คำ� ถวายผ้ากฐนิ คำ� ถวายผา้ กฐนิ ภาษาบาลี แบบเก่า ต้ังนโมสามจบ นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธธฺสส (๓ จบ) กล่าวค�ำถวายผ้ากฐนิ อมิ ํ ภนเฺ ต สปรวิ ารํ กฐนิ จวี รทสุ ฺสํ สงฺฆสสฺ โอโณชยาม ทุติยมปฺ ิ อมิ ํ ภนเฺ ต สปริวารํ กฐนิ จีวรทสุ สฺ ํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม ตตยิ มปฺ ิ อมิ ํ ภนเฺ ต สปรวิ ารํ กฐินจวี รทุสฺสํ สงฺฆสสฺ โอโณชยาม สาธุ โน ภนเฺ ต สงฺโฆ อมิ ํ สปรวิ ารํ กฐนิ ทุสฺสํ ปฏิคคฺ ณหฺ าตุ อมหฺ ากํ ทฆี รตตฺ ํ หติ าย สุขาย กล่าวคำ� แปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจรญิ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจวี รกฐนิ กับทง้ั บริวารนี้ แด่พระสงฆ์ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจรญิ ข้าพเจ้าทง้ั หลาย ขอน้อมถวายผ้าจวี รกฐนิ กบั ทงั้ บรวิ ารน้ี แด่พระสงฆ์ แม้ในวาระทส่ี อง ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจรญิ ข้าพเจ้าทง้ั หลาย ขอน้อมถวายผ้าจวี รกฐนิ กับทง้ั บรวิ ารน้ี แด่พระสงฆ์ แม้ในวาระที่สาม ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจรญิ ขอพระสงฆ์จงรบั ซึ่งผ้ากฐิน กบั ทง้ั บริวารทง้ั หลายเหล่าน้ี เพ่อื ประโยชน์ เพ่อื ความสุขแก่ข้าพเจ้าทง้ั หลาย ส้ินกาลนานเทอญ 10 ทีร่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒

คำ� ถวายผา้ กฐนิ ค�ำถวายผ้ากฐนิ ภาษาบาลี แบบใหม่ ต้งั นโมสามจบ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมฺพุทฺธธฺสส (๓ จบ) กล่าวค�ำถวายผ้ากฐนิ อิมํ ภนฺเต สปรวิ ารํ กฐนิ ทสุ ฺสํ สงฺฆสฺส โอโณชยาม, สาธุ โน ภนฺเต สงฺโฆ, อมิ ํ สปรวิ ารํ กฐนิ ทุสฺส,ํ ปฏคิ ฺคณหฺ าตุ, ปฏคิ ฺคเหตวฺ า จ, อมิ นิ า ทสุ ฺเสน กฐนิ ํ อตถฺ รตุ, อมฺหากํ ทฆี รตตฺ ํ หิตาย สขุ าย กล่าวคำ� แปล ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจรญิ ข้าพเจ้าท้ังหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐนิ กับท้ังผ้าบริวารน้ี แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับผ้ากฐนิ กบั ทั้งบรวิ ารน้ี ของข้าพเจ้าท้ังหลาย ครัน้ รับแล้ว จงกรานกฐนิ ด้วยผ้าน้ี เพ่ือประโยชน์เกอ้ื กูล เพ่ือความสขุ แก่ข้าพเจ้าทง้ั หลาย ตลอดกาลนาน เทอญ. ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 11

ภมู หิ ลงั ตำ� นานอรุ ังคธาตุและพระธาตพุ นม

ภมู ิหลังต�ำนานอรุ ังคธาตุและพระธาตุพนม ดร.ยทุ ธพงศ์ มาตยว์ เิ ศษ พระธาตุพนมเป็นศาสนสถานส�ำคัญของลุ่มแม่น้�ำโขง เช่ือถือกันว่าเป็นที่ ประดษิ ฐานพระธาตหุ วั อกของพระพทุ ธเจ้าหรอื ท่ีเรยี กว่า “พระอุรงั คธาตุ” ตง้ั อยู่ ที่วดั พระธาตุพนมวรมหาวหิ าร อำ� เภอธาตุพนม จงั หวัดนครพนม สถานท่ตี งั้ ของ องค์พระธาตุพนมเปน็ เนินดนิ สงู กว่าบริเวณโดยรอบประมาณ ๒ เมตร เรียกตาม “ต�ำนานอุรังคธาตุ” ว่า “ภูก�ำพร้า” อยู่ห่างจากด้านทิศตะวันตกของแม่น้�ำโขง ประมาณ ๕๐๐ เมตร ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ ๘๐๐ กิโลเมตร กรม ศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนองค์พระธาตุพนมให้เป็นโบราณสถานของชาติ ปรากฏในราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ เมอ่ื วนั ที่ ๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ต�ำนานอุรังคธาตุ เป็นค�ำท่ีใช้เรียกวรรณกรรมเก่ียวกับการสร้างพระ ธาตุพนมทจ่ี ารึกบนสพุ รรณบัฏ ณ อูบบรรจุพระอรุ ังคธาตุ ภายในชนั้ ท่ี ๓ ของ องค์พระธาตุพนม เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๘ ข้อสนั นษิ ฐานทางโบราณคดีเกยี่ วกบั พระธาตุพนม หลังจากการพังลงขององค์พระธาตุพนมเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ท�ำให้ได้ทราบข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดีว่า ชั้นในสุดขององค์ พระธาตุพนมเป็นอาคารก่ออิฐ ด้านทิศตะวันออกมีกรอบประตูหินทราย ตาม แบบแผนของเทวาลยั ทใี่ ชป้ ระกอบพธิ กี รรมของชมุ ชนโบราณลมุ่ แมน่ ำ�้ โขง ขอ้ มลู ทางโบราณคดีท่ีค้นพบหลังจากการพังทลายลงทั้งองค์ขององค์พระธาตุพนมนี้ ทำ� ใหน้ กั วชิ าการสนั นษิ ฐานยคุ สมยั ของการกอ่ สรา้ งองคพ์ ระธาตพุ นมในยคุ แรก แบ่งออกเปน็ ๒ กลุ่มแนวคดิ คอื ๑. กล่มุ ทเ่ี ชอื่ ว่ามผี งั ตามแบบศาสนสถานศลิ ปะเขมรแบบสมโบรไ์ พรกกุ (Sambor Prei Kuk) หรอื แบบไพรกเมง (Prei Kmeng) ซง่ึ มอี ายอุ ยใู่ นชว่ งพทุ ธ ศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๔ โดยถกู สรา้ งใหเ้ ปน็ เทวาลยั ในศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู จาก การค้นพบพระพมิ พ์ดินเผารูปพระไตรรัตนมหายานในศลิ ปะเขมรแบบบายน จึง สันนิษฐานได้ว่า ต่อมาพระธาตุพนมได้ถูกปรับให้เป็นพุทธสถานนิกายมหายาน ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 13

๒. กลุ่มที่เช่ือว่าคล้ายกับปราสาทในศิลปะจามที่สร้างในสมัย ฮัวล่าย (Hoa – Lai) และดงเดอื ง (Duog Doung) ทีเ่ คยรุ่งเรืองในเวียดนามช่วงพุทธ ศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๕ เนอ่ื งจากลกั ษณะของเสาอฐิ ตดิ ผนงั ขององค์พระธาตพุ นม มแี ถบลวดลายประดับเหมอื นกบั ปราสาทในศลิ ปะจาม ตำ� นานอรุ ังคธาตุมาจากไหน นอกจากขอ้ สนั นษิ ฐานทางโบราณคดเี กย่ี วกบั พระธาตพุ นมแลว้ สง่ิ สำ� คญั ที่ท�ำให้ผู้คนเคารพต่อองค์พระธาตุพนมในฐานะพระมหาธาตุเจดีย์ที่บรรจุพระ อุรังคธาตุหรือกระดูกหัวอกของพระพุทธเจ้าคือเรื่องราวของพระธาตุพนมท่ีถูก จารึกบนใบลาน พบว่าในดินแดนลุ่มแม่น�้ำโขงมีการบันทึกเรื่องราวของ พระธาตุพนมแบ่งออกได้เปน็ ๓ ส�ำนวน ได้แก่ ๑. นทิ านพระมหาธาตพุ นม เปน็ เรอื่ งราวการอญั เชญิ พระอรุ งั คธาตมุ า ที่ภกู ำ� พร้า และเหตกุ ารณ์เก่ยี วกับพระธาตพุ นมอย่างย่อ ๒. อรุ งั คธาตุนทิ าน เปน็ เรอ่ื งราวเฉพาะการก่อสร้างพระธาตุพนม ตอน ทา้ ยมกี ารบนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรล์ มุ่ แมน่ ำ้� โขง และปมู โหรชว่ งหลงั รชั กาลพญาสรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราช ๓. ตำ� นานอรุ งั คธาตุ มเี นอ้ื ความยาว บอกเลา่ ถงึ เรอ่ื งราวตง้ั แตก่ ารเสดจ็ เลียบโลกในลุ่มแม่น�้ำโขงเพื่อประทับรอยพระพุทธบาทของสมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า พุทธท�ำนายเหตุการณ์บ้านเมืองในลุ่มแม่น�้ำโขง และการบรรจุ พระอุรังคธาตุไว้ท่ภี ูก�ำพร้า ตำ� นานอรุ งั คธาตุ ถกู เรยี บเรยี งมาจากนทิ านเกา่ แกท่ มี่ อี ยเู่ ดมิ ๓ นทิ าน ไดแ้ ก่ ๑. ศาสนานครนทิ าน เป็นเรอื่ งเกี่ยวกับล�ำดบั กษัตรยิ ์ท่ีประมวลมาจาก พงศาวดารล้านช้าง ๒. ปาทลกั ษณนทิ าน เปน็ เรอื่ งเกย่ี วกบั การประทบั รอยพระพทุ ธบาทใน ลุ่มแม่นำ้� โขง ๓. อุรังคธาตุนิทาน เป็นเร่ืองเกี่ยวกับการสร้างเจดีย์บรรจุพระบรม สารรี กิ ธาตใุ นลุ่มแม่น�้ำโขง 14 ทร่ี ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจ�ำปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

มกี ารบนั ทกึ วา่ พญาโพธสิ าลราช ทรงไดร้ บั “นทิ านอรุ งั คธาต”ุ จากเมอื ง อนิ ทปตั ถนคร ในปี พ.ศ. ๒๐๗๐ ต่อมาพระยาไชยชมุ พูจึงนำ� มาเรียบเรยี งเข้ากับ “ปาทลกั ษณนทิ าน” และ “ศาสนานครนทิ าน” เป็น “ต�ำนานอรุ ังคธาต”ุ พบนาม “พระยาศรีไชยชุมพู” ผู้เรียบเรียงต�ำนานอุรังคธาตุปรากฏ อยู่ในตอนท้ายของฉบับใบลาน ต�ำแหน่งน้ีน่าจะเป็นต�ำแหน่งหัวหน้ามหาดเล็ก ในราชส�ำนักของพญาสุริยวงศาธรรมิกราช สันนิษฐานว่าพระยาศรีไชยชุมพู ได้เรียบเรียงต�ำนานอุรังคธาตุขึ้นครั้งแรกในต้นรัชกาล ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๘๑ - ๒๑๘๔ ต่อมาจึงมีผู้น�ำต�ำนานอุรังคธาตุมาจัดล�ำดับเนื้อหาใหม่อีกครั้ง โดยน�ำ เนื้อหาของต�ำนานแม่น�้ำและต�ำนานนาคยกมาไว้ต้นเร่ืองในช่วงปลายรัชกาล พญาสุริยวงศาธรรมิกราช ก่อน พ.ศ. ๒๒๓๘ ดังนั้นจึงท�ำให้ต�ำนานอุรังคธาตุ ท่ีมีการเผยแพร่ในปัจจุบันแม้ว่าจะมีเน้ือเรื่องอย่างเดียวกัน แต่มีการเรียงล�ำดับ เนอื้ หาเปน็ ๒ แบบ การเรียบเรียงต�ำนานอุรังคธาตุในครั้งแรกของพระยาชุมพูปัญญา มีวัตถุประสงค์เพ่ือเป็นการเฉลิมพระเกียรติพญาสุริยวงศาธรรมิกราชหลัง การปราบดาภิเษกข้ึนครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าล้านช้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่า พญาสุริยสงศาธรรมิกราชเป็นผู้มีสิทธิธรรมในการครองราชย์ เพราะทรงเป็น ผสู้ บื ทอดอำ� นาจมาจากทง้ั ทางราชวงศแ์ ละพทุ ธวงศ์ เปน็ การแสดงบารมใี นฐานะ พระมหากษตั รยิ ค์ บู่ ญุ กบั อบู มงุ อรุ งั คธาตุ ซง่ึ เปน็ สญั ลกั ษณศ์ นู ยก์ ลางอำ� นาจของ กลุ่มเมอื งศรโี คตรบอง และเมอื งในดนิ แดนอสี าน สว่ นการจดั ลำ� ดบั เนอื้ หาใหมใ่ นชว่ งปลายรชั กาลพญาสรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราช สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผลงานของเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก ซึ่งขณะน้ันท่าน ไดร้ บั พระบรมราชโองการใหไ้ ปบรู ณะพระธาตพุ นมตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๒๓๓ การลำ� ดบั เน้ือหาใหม่ในครั้งหลังจึงน่าจะเป็นการเตรียมการเพื่อเฉลิมพระเกียรติพญา สุริยวงศาธรรมิกราชหลังการบูรณะพระธาตุพนมเสร็จ แต่เน่ืองจากพระองค์ สวรรคตก่อนในปี พ.ศ. ๒๒๓๘ ส่วนการบูรณพระธาตุพนมไปแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๒๔๖ พระองค์จงึ ไม่ทันท่ีจะได้สมโภชพระธาตพุ นม ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 15

ปที ีส่ รา้ งพระธาตพุ นมตามต�ำนานอรุ ังคธาตุ มีข้อถกแถลงกันเก่ียวกับปีที่มีการสร้างพระธาตุพนมที่ปรากฏในต�ำนาน อรุ งั คธาตุ ซง่ึ เป็นท่ีน่าสังเกตว่า การเรยี บเรยี งต�ำนานอุรังคธาตุของพญาศรไี ชย ชมุ พู จากนทิ านทงั้ ๓ เรอื่ งเขา้ ดว้ ยกนั ในชว่ งตน้ รชั กาลพญาสรุ ยิ วงศาธรรมกิ ราช มีเวลาในการเรียบเรียงไม่มากนัก ท�ำให้เนื้อหาในต�ำนานอุรังคธาตุเกี่ยวกับปีท่ี สรา้ งพระธาตพุ นมมขี อ้ มลู ทขี่ ดั แยง้ กนั เอง ซง่ึ ปรากฏเปน็ ขอ้ ความในฉบบั ใบลาน ทค่ี ดั ลอกกันสบื มา อกี ทง้ั เร่ืองราวเกย่ี วกบั พระธาตุพนมท่พี บ ต่างมสี าระสำ� คัญ เก่ยี วกบั ปีทีส่ ร้างพระธาตุพนมแตกต่างกนั จงึ มผี ู้ตคี วามการสร้างอูบมงุ อุรงั คธาตุ จากตำ� นานอุรงั คธาตแุ ตกต่างกันออกไป โดยการรับรู้ของคนทั่วไป มักเช่ือสืบต่อกันว่าพระธาตุพนมสร้างข้ึนหลัง พุทธปรินิพพาน ๘ ปี หรือประมาณ พ.ศ. ๘ โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลท่ีได้มาจาก ขอ้ มลู ในตำ� นานอรุ งั คธาตุ แตใ่ นความเปน็ จรงิ นนั้ ตำ� นานอรุ งั คธาตกุ ลบั กลา่ วถงึ ปีที่สร้างพระธาตุพนมไว้แตกต่างกัน และต่อมาเม่ือมีการศึกษาทางโบราณคดี เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงท�ำให้เกิดความหลากหลายในการสันนิษฐาน พอจะประมวล ทัศนะเก่ียวกับการสร้างพระธาตุพนม หรือ “อูบมุงอุรังคธาตุ” ว่าสร้างข้ึนในปีใด ตามทม่ี ปี รากฏบอกเล่าในตำ� นานอุรังคธาตุ ดังน้ี ๑. อบู มงุ อุรังคธาตุ สร้างช่วง ๓ เดือนแรก หลังพุทธปรินพิ พาน ๒. อบู มุงอุรังคธาตุ สรา้ งประมาณ พ.ศ. ๘ ๓. อบู มงุ อรุ งั คธาตุ สร้างประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ๔. อบู มุงอรุ งั คธาตุ สร้างประมาณ พ.ศ. ๑๖ ๑. อูบมุงอรุ ังคธาตุ สรา้ งชว่ ง ๓ เดอื นแรกหลงั พทุ ธปรินพิ พาน รอ่ งรอยขอ้ มลู ทน่ี ำ� ไปสกู่ ารตคี วามวา่ อบู มงุ อรุ งั คธาตทุ ป่ี จั จบุ นั เปน็ ทรี่ บั รกู้ นั ในช่ือพระธาตุพนม สร้างขึ้นในช่วง ๓ เดือนแรกหลังพุทธปรินิพพานน้ัน มาจาก ข้อความตอนหน่ึงท่ีปรากฏในต�ำนานอุรังคธาตุ และอุรังคธาตุนิทาน ข้อความน้ีไม่ พบในนทิ านพระมหาธาตพุ นม โดยเนอื้ หาของตำ� นานอรุ งั คธาตแุ ละอรุ งั คธาตนุ ทิ าน ไดก้ ลา่ วถงึ เหตกุ ารณท์ ค่ี ณะพระอรหนั ตจ์ ำ� นวน ๕๐๐ มพี ระมหากสั สปะเปน็ ประธาน ได้อัญเชิญพระอรุ งั คธาตุมายงั ดนิ แดนลุ่มแม่นำ�้ โขง เพือ่ ประดิษฐานไว้ท่ีภกู �ำพร้า 16 ทร่ี ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

ในครง้ั นนั้ พญาทง้ั ๕ ไดแ้ ก่ พญาสวุ รรณภงิ คารแหง่ เมอื งหนองหาญหลวง พญาคำ� แดงแหง่ เมอื งหนองหาญนอ้ ย พญาอนิ ทปตั ถนครแหง่ เมอื งอนิ ทปตั ถนคร พญาจลุ ณพี รหมทตั แหง่ เมอื งจลุ ณพี รหมทตั และพญานนั ทเสนแหง่ เมอื งศรโี คตร บอง ได้นำ� ผู้คนมาร่วมกนั ก่ออบู มงุ อรุ งั คธาตุ มีเน้ือหาที่ท�ำให้วิเคราะห์ว่า อูบมุงอุรังคธาตุควรมีการสร้างในช่วง ๓ เดือน แรกหลังพุทธปรินิพพาน ที่บันทึกไว้ในต�ำนานอุรังคธาตุในเหตุการณ์หลังจากพญา ทัง้ ๕ สร้างอบู มุงอรุ งั คธาตุเสรจ็ แล้ว ความว่า “ยามนน้ั มหากสั สปเจา้ พาอรหนั ตาเจา้ ทงั้ หา้ รอ้ ยวตั รปทกั ขณิ ๓ รอบ แล้วจงี เมอื ...ว่าดงั นแ้ี ล้ว อรหนั ตาเจ้าทงั หลายจงี เสดจ็ หนไี ป ทางอากาศ สู่เมืองราชคฤหา เพอื่ จักสงั คายนาธรรม ซะแล” ซ่ึงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้วว่า การสังคายนาพระไตรปิฎกเกิดข้ึน ครง้ั แรกหลงั พทุ ธปรนิ พิ พานประมาณ ๓ เดอื น ทถี่ ำ�้ สตั ตบรรณคหู า ภเู ขาเวภาร บรรพต เมอื งราชคฤห์ ดังน้ัน เรื่องราวในต�ำนานอุรังคธาตุและอุรังคธาตุนิทานที่บันทึกไว้ว่า หลัง จากสรา้ งอบู มงุ อรุ งั คธาตเุ สรจ็ แลว้ พระมหากสั สปะพรอ้ มทงั้ พระอรหนั ตท์ ง้ั หา้ รอ้ ย จึงได้เหาะกลับไปยังเมืองราชคฤห์เพื่อสังคายนาธรรม จึงเป็นสาระส�ำคัญท่ีแสดง ให้เหน็ ว่า อบู มงุ อุรังคธาตุสรา้ งข้ึนในช่วง ๓ เดือนแรก หลังพุทธปรินพิ พาน ๒. อูบมงุ อรุ งั คธาตุ สรา้ งประมาณ พ.ศ. ๘ ร่องรอยข้อมลู อนั นำ� ไปสกู่ ารตคี วามว่า อบู มงุ อรุ งั คธาตุ สรา้ งขน้ึ ครง้ั แรก ประมาณ พ.ศ. ๘ นั้น มาจากข้อความตอนหนง่ึ ทีป่ รากฏในอุรงั คธาตุนิทานและ นทิ านพระมหาธาตพุ นมซง่ึ เปน็ ฉบบั ย่อ แต่ไมพ่ บในตำ� นานอรุ งั คธาตุ โดยเนอื้ หา ในอุรังคธาตุนิทานและนิทานพระมหาธาตุพนม จ�ำนวนพระอุรังคธาตุท่ีเชิญมา วา่ มี ๒๔ องค์ และไดบ้ อกปที ม่ี กี ารอญั เชญิ พระอรุ งั คธาตมุ ายงั ดนิ แดนลมุ่ แมน่ �้ำ โขงเพอื่ นำ� มาประดษิ ฐานไว้ท่ภี ูก�ำพร้า ไว้ว่า ต�ำนานอรุ งั คธาตุ 17

“บดั นจ้ี กั จาแตเ่ ดมิ พระพทุ ธเจา้ นพิ พานไปได้ ๘ ปี ปลาย ๗ เดือน เดือน ๑๒ เพญ็ วนั ๔ (พธุ ) ฤกษ์ช่อื ว่า กติ ตกิ า วนั นัน้ ยงั มี มหากสั สปเจา้ แลอรหนั ตาเจา้ ทง้ั หลาย ๕ รอ้ ยตน เปน็ ประธาน มบี รวิ าร จีงนำ� เอามายังอรุ งั คธาตุพระพุทธเจ้ามาสู่ภูกำ� พร้า...” ส่วนในนทิ านพระมหาธาตพุ นม ว่า “คัมภีร์วิเศษมหาอุปเทศธานุพนมบุรมมาแต่พระเจ้าก็ เสดจ็ เขา้ ส่นู ริ พาน นานประมาณวา่ ได้ ๙ ปี ปลาย ๗ แม้นวา่ เมอื่ เดอื น ๑๒ เพญ็ วนั พธุ บรสิ ทุ ธด์ิ ว้ ยสวสั ดมี กี บั ดว้ ยนกั ขตั ฤกษ์ ถืกหน่วยชื่อว่า กิตติกา... ยามน้ัน พระมหากัสสปเถรเจ้ากับทั้ง อรหนั ตาเจ้าทง้ั หลายอนั ได้ ๕ ร้อยตนเปน็ ประธาน จงี พร้อมกนั นำ� เอายงั ธาตุหัวอกแห่งสพั พัญญเู จ้า ๒๔ ลกู มาต้ังไว้ในท่ภี กู �ำพร้า” จะเห็นได้ว่า จากตัวอย่างเร่ืองราวการสร้างอูบมุงอุรังคธาตุท่ีแพร่หลาย ในดินแดนลุ่มแม่น�้ำโขงใน ๒ ส�ำนวนนี้ ได้กล่าวถึงวันเดือนปีที่มีการอัญเชิญ พระอรุ งั คธาตมุ าทภี่ กู ำ� พรา้ วา่ เปน็ ชว่ งประมาณ ๘ - ๙ ปี หลงั จากพทุ ธปรนิ พิ พาน และพบว่าในบางฉบบั กล่าวว่า ๗ ปี ข้อความเก่ียวกับปีท่ีสร้างอูบมุงอุรังคธาตุชุดน้ี ต่างแพร่หลายอยู่ท่ัวไป ในดนิ แดนสองฝ่งั แม่น้�ำโขง จงึ ทำ� ให้ยากทจี่ ะสรปุ ลงไปว่าควรยดึ ถอื เนอื้ ความใด เป็นหลัก ถึงกระนั้น หลังจากพระธาตุพนมได้พังทลายลงท้ังองค์ ในวันจันทร์ ท่ี ๑๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ขน้ึ ๔ ค�่ำ เดือน ๙ ปีเถาะ เวลาประมาณ ๑๙.๓๘ น. น้ัน ท�ำให้มีการศึกษาเก่ียวกับพระธาตุพนมในเชิงวิชาการทั้งจากหลักฐาน โบราณคดแี ละตำ� นานอย่างจรงิ จังย่งิ ขน้ึ ประเด็นของการสร้างพระธาตุพนมจากเอกสารใบลานที่มีเนื้อหาขัดแย้งกันน้ี พระมหาสม สมุ โน ได้สรปุ ไว้อย่างน่าสนใจในบทความ “ความเปน็ มาของวดั สร้าง สมัยใด? ใครเป็นผู้สร้าง? เพ่ือประโยชน์อะไร” ในหนังสือ “ประมวลภาพ ประวตั ศิ าสตรพ์ ระธาตพุ นมและภาพโบราณวตั ถคุ า่ มหาศาลในกรพุ ระธาตพุ นม” (หน้า ๑ – ๒) ท่พี ิมพ์เผยแพร่ตงั้ แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ดงั จะยกเน้อื ความมาดังน้ี 18 ทรี่ ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแกน่ ประจ�ำปีพุทธศกั ราช ๒๕๖๒

“...ในตำ� นานพระธาตพุ นมนนั้ พระโบราณจารยท์ า่ นจดหมายเหตุ ไว้ว่า พระธาตสุ ร้างคร้ังแรกโดยพญาทง้ั ๕ หวั เมอื ง พระมหากสั สปะ เปน็ ประธานพระอรหนั ต์ ๕๐๐ นำ� พระอรุ งั คธาตจุ ากชมพทู วปี มาบรรจุ เสร็จแล้วกลับคืนสู่ชมพูทวีปที่กรุงราชคฤห์เพ่ือจ�ำพรรษาและท�ำปฐม สังคายนาพระธรรมวินัย ดังน้ี ถ้าถือตามน้ีก็ค�ำนวณได้ว่า สร้างพระธาตุพนมยุคแรก เม่ือ พระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานแล้วราวไม่เกิน ๒ เดือน เพราะท�ำปฐม สังคายนาเม่ือพระพทุ ธเจ้าปรนิ พิ พานแล้วได้ ๓ เดือน (เดือน ๙ เพ็ญ) สร้างครงั้ แรกได้เพียงช้นั เดยี ว ครนั้ ต่อมาตำ� นานบอกว่า พระพุทธเจ้าเสดจ็ นพิ พานแล้ว ๗ ปี ๗ เดอื น (ทจ่ี รงิ ๖ เดอื น) ถึงเดอื น ๑๒ เพญ็ วันพุธ พญาอนิ ทรส่งั ให้ วิสสกุ ัมมเทวบุตรลงมาสลักลวดลายพระเจดีย์ให้ละเอียดวิจิตรต่าง ๆ ซ่ึงปรากฏในตอนต้นแล้ว... โบราณจึงย่อคัมภีร์อุรังคนิทานให้สั้นแล้วใส่ศักราชเข้าไปว่า พระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานไปแล้วได้ ๗ ปี ปลาย ๗ เดือน เดือน ๑๒ เพ็ญ วันพุธ เกณฑ์ฤกษ์ช่ือว่า “กิตติกา” มีพระมหากัสสปะเถรเจ้า พรอ้ มดว้ ยอรหนั ตา ๕๐๐ ไดน้ ำ� พระอรุ งั คธาตมุ าบรรจไุ วภ้ ายในอโุ มงค์ ท่ีพญาท้งั ๕ ได้สร้างไว้ต้อนรบั ดังนี้ คนต่อมาก็เลยถือเอาว่า สร้าง พ.ศ ๘ ท่ีจริงใน พ.ศ. ๘ (ล่วงแล้ว ๗ ปี ๖ เดือน) ที่กล่าวน้ีเป็นปีฉลองใหญ่ เมอ่ื สลกั ลวดลายเสรจ็ ตา่ งหาก พระธาตไุ ดส้ รา้ งมากอ่ นนนั้ แลว้ ” จะเห็นได้ว่าความในตอนท้ายของบทความของพระมหาสม สุมโน เป็น ความพยายามในการแก้ไขเนอื้ หาทขี่ ดั แย้งกนั จากตำ� นานทงั้ ๓ สำ� นวน เกย่ี วกบั วนั เดอื นปที สี่ รา้ งพระธาตพุ นม อนั เปน็ ทมี่ าของความเชอ่ื ทว่ี า่ พระธาตพุ นมสรา้ ง เมอื่ พ.ศ. ๘ ซง่ึ ไม่ได้ปรากฏอยู่ในตำ� นานอุรงั คธาตุ ต�ำนานอุรงั คธาตุ 19

๓. อูบมงุ อรุ งั คธาตุ สร้างประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ มคี วามพยายามในการแสวงหาความจรงิ จากตำ� นานอรุ งั คธาตุ สอบเทยี บ กับต�ำนานสิงหนวติกุมารองล้านนา เพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างเนื้อหา ในต�ำนานกับหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบ จากข้อสันนิษฐานของ อาจารย์ มานิต วัลลิโภดม ในบทความ “โคตรบูร” (หน้า ๙๕ -๑๐๕) ที่พิมพ์เผยแพร่ ในหนังสือพระธาตุพนม ของส�ำนักงานวารสาร “เมืองโบราณ” พิมพ์เผยแพร่ ต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่งึ ปรากฏ ความว่า “...เม่ืออ่านเปรียบเทียบข้อความในหนังสืออุรังคธาตุกับปฐม สมโพธอิ์ ยา่ งนี้ จะเหน็ ไดว้ า่ พระมหากสั สปครงั้ พทุ ธกาล ผเู้ ปน็ ประธาน สงฆก์ ระทำ� ปฐมสงั คายนา เมอ่ื ภายหลงั พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พานแลว้ ๔ เดอื นนน้ั ไม่มสี ว่ นเกยี่ วข้องกบั พระบรมธาตเุ ลย ควรเปน็ คนละองค์กบั พระมหากสั สปในตำ� นานอรุ งั คธาตุ ข้าพเจา้ จงึ ตดิ ใจสอบคน้ หาอยเู่ รอื่ ย ๆ ในท่ีสุดพบชื่อพระกัสสปเถรองค์หนึ่งในต�ำนานสิงหนวัติกุมาร ได้น�ำ พระบรมธาตุไปถวายพระยาอชุตราชกษัตริย์แคว้นโยนกท�ำการ ประดิษฐานไว้ ณ ยอดดอยตุงเมื่อ พ.ศ. ๕๖๑ คือพระธาตุดอยตุงใน จงั หวดั เชยี งรายทกุ วนั น้ี นา่ คดิ วา่ พระกสั สปเถระผนู้ ำ� พระอรุ งั คธาตุ มาประดิษฐานในแขวงเมืองโคตรบูร เป็นพระอรหันต์ภิกษุในรุ่น กลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๖ และคงเดินทางข้ึนไปยังแคว้นโยนก ภายหลงั เสร็จงานเผยแผ่พระศาสนาในแคว้นโคตรบรู แล้ว... ...ถา้ สมมตวิ า่ พระกสั สปเถระนำ� พระบรมธาตมุ าเมอื่ กลางพทุ ธ ศตวรรษที่ ๖ อยา่ งทข่ี า้ พเจา้ สอบสวนพบชอื่ ในตำ� นานสงิ หนวตั กิ มุ าร งานคร้ังแรกบูรณะจะตกราวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๗ สมัยพุทธ ศตวรรษท่ี ๗ น้นั ทางประเทศอินเดียได้เรม่ิ มกี ารสร้างพระพทุ ธรปู ศลิ ปะคนั ธาระ ศลิ ปมถรุ า ศลิ ปะอมรวดี เกดิ ขน้ึ แล้ว จงึ น่าประหลาดใจ เหมอื นกนั ทง่ี านครงั้ แรกกอ่ สรา้ งไมม่ กี ลา่ วถงึ พระพทุ ธรปู แตใ่ นงาน ครั้งแรกบรู ณะมีพูดถงึ พระพุทธรปู เงนิ การประมาณอายเุ วลาอย่าง นี้แคะได้จากเรื่องราวอันมีมาในต�ำนานเข้าท�ำนองหาเลือดกับปู อาจคลาดเคลือ่ นมากหรือน้อยก็ได้ ขอต้ังเป็นข้อสังเกตขั้นแรก” 20 ที่ระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจ�ำปีพทุ ธศักราช ๒๕๖๒

บทความน้ี ได้น�ำข้อมูลทางโบราณคดีจากศิลปวัตถุที่ค้นพบในพระ ธาตพุ นม สอบเทยี บกบั เนอ้ื หาในตำ� นานอรุ งั คธาตุ และตำ� นานสงิ หนวตั กมุ าร ตง้ั เป็นข้อสันนิษฐานว่า การน�ำพระอุรังคธาตุเข้ามาในดินแดนลุ่มแม่นำ้� โขง น่าจะ เกดิ ข้ึนประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ข้อสันนษิ ฐานดังกล่าวเปน็ ความพยายามในการหา ข้อสรุปข้อมูลเก่ียวกับการสร้างพระธาตุพนมที่สอดคล้องกับหลักฐานทาง โบราณคดีโดยสอบเทยี บกบั ตำ� นานการเผยแผ่ศาสนาท่ปี รากฏในท้องถ่ินอน่ื ๔. อบู มุงอุรังคธาตุ สรา้ งประมาณ พ.ศ. ๑๖ จากข้อค้นพบที่ว่า ต�ำนานอุรังคธาตุซึ่งเป็นการเรียบเรียงนิทาน ๓ เร่ือง โดยพระยาศรไี ชยชมุ พู และได้มีการคัดลอกเผยแพร่สืบต่อมา เนื้อหาของต�ำนาน อรุ งั คธาตไุ มไ่ ดร้ ะบวุ นั เวลาในการสรา้ งอบู มงุ อรุ งั คธาตไุ วอ้ ยา่ งชดั เจน จงึ มกี ารนำ� เนื้อความท่ีปรากฏในต�ำนานอุรังคธาตุมาตีความว่าอูบมุงอุรังคธาตุเกิดก่อนการ ท�ำปฐมสังคายนามาอ้างอิง หรือน�ำเอาเนื้อความที่ระบุวันเดือนปีจากอุรังคธาตุ นิทาน และนิทานพระมหาธาตุพนม ท่ีกล่าวว่าการสร้างอูบมุงอุรังคธาตุเป็น เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพานประมาณ ๗ - ๙ ปี รวมทั้งการ สันนษิ ฐานจากตำ� นานอ่นื ว่าน่าจะสร้างประมาณ พ.ศ. ๕๐๐ ต่อมา ผู้เขยี นได้ทำ� วทิ ยานพิ นธ์ระดบั ปรญิ ญาเอก เรื่อง “ตำ� นานอรุ งั คธาตุ : ภาพสะท้อนวัฒนธรรมลุ่มแม่น้�ำโขง” โดยปริวรรตต�ำนานอุรังคธาตุฉบับใบลาน จำ� นวน ๑๐ ฉบบั สอบทานเนอ้ื หากบั ตำ� นานอรุ งั คธาตทุ มี่ ผี ้ปู รวิ รรตทงั้ จากฝ่ายไทย และลาวอีก ๕ ฉบับ ได้พบเนื้อความท่ีเป็นข้อสันนิษฐานใหม่ เกี่ยวกับปีที่มี การสร้างอูบมุงอุรังคธาตุท่ีปรากฏในต�ำนานซ่ึงแตกต่างไปจากการตีความเดิม โดยสอบสวนจากล�ำดับเหตุการณ์ท่ีปรากฏอยู่ในเนื้อหาของต�ำนานอุรังคธาตุ ซึ่ง ต�ำนานอุรังคธาตุฉบับที่มีการล�ำดับเน้ือหาใหม่ มีการระบุเหตุการณ์สวรรคตของ พญาตโิ คตรบรู ณ์ว่าเปน็ เหตกุ ารณห์ ลงั จากพทุ ธปรนิ พิ พาน และบางฉบบั มกี ารระบุ ปไี ว้ สะทอ้ นถงึ การพยายามตรวจสอบความถกู ตอ้ งและปรบั เตมิ เนอื้ หา เพอื่ อธบิ าย ปีทส่ี ร้างอบู มงุ อรุ งั คธาตคุ รง้ั แรก ให้สอดคล้องกนั โดยมเี หตกุ ารณ์ทสี่ ามารถนำ� มา ตีความในต�ำนานอุรังคธาตุ ๒ เหตกุ ารณ์ กล่าวคือ ตำ� นานอุรังคธาตุ 21

เหตุการณ์แรก กล่าวถึงการสวรรคตของพญาติโคตรบูรแห่งเมือง ศรีโคตรบอง ในตำ� นานอรุ งั คธาตุบางฉบบั มีการระบวุ ่า พญาติโคตรบรู สวรรคต หลังจากพทุ ธปรนิ พิ พาน ๓ ปี ความว่า “...ในเมื่อพระพุทธเจ้าจักเข้าสู่นิพพานน้ันไปแล้วยังบ่ นานประมาณ ๓ ปี พญาตโิ คตรบรู มา้ งปัญจขันธ์ทงั้ ๕ แล้วไป ก่อก�ำเนิดในท้องแห่งนางรัตนเทวี เกิดเป็นลูกพญาสาเกตนครกำ้� ตะวนั ตกเมอื งศรโี คตรบอง...” เหตุการณ์ท่ีสอง ปรากฏเนื้อความเก่ียวกับปีที่พญานันทเสนไปสร้าง อบู มงุ อรุ งั คธาตวุ า่ เกดิ ขนึ้ หลงั จากพญานนั ทเสนครองราชยต์ อ่ จากพญาตโิ คตรบรู ได้ ๑๓ ปี ซง่ึ ต�ำนานอุรังคธาตทุ ุกฉบบั ตรงกนั ความว่า “...พญาติโคตรบรู จตุ แิ ล้วได้ไปเกิดเปน็ พญาชื่อว่า สุรยิ วงศา ในเมอื งสาเกตนคร พญานนั ทเสนผเู้ ปน็ นอ้ งเสวยราชกนิ เมอื งแทน ไดส้ บิ สามปี จงึ ไดม้ าสภู่ กู ำ� พรา้ ถปนั นาธาตแุ ล้ว ครนั้ ตายจงี จตุ ไิ ป เป็นลกู นางศรีรตั นเทวแี ห่งพญาสุริยวงศาแล...” แมว้ า่ เนอ้ื ความในตำ� นานอรุ งั คธาตจุ ะไมม่ กี ารระบวุ า่ อบู มงุ อรุ งั คธาตสุ รา้ งขนึ้ ปใี ด แตส่ าระสำ� คญั ไดอ้ ธบิ ายถงึ ลำ� ดบั เหตกุ ารณใ์ หผ้ ศู้ กึ ษาไดส้ อบคน้ ปที ม่ี กี ารสรา้ ง อูบมงุ อุรังคธาตุได้ว่า หลงั จากเหตุการณ์พุทธปรินิพพาน ๓ ปี คือประมาณ พ.ศ. ๓ พญาติโคตรบูรสวรรคต จากนั้น พญานันทเสนจึงได้เสด็จข้ึนครองราชย์สมบัติสืบ ตอ่ มาอกี จนถงึ ปที ี่ ๑๓ ในรชั กาลพญานนั ทเสน พระมหากสั สปะเถรเจา้ พระอรหนั ต์ ๕๐๐ รปู และพญาทงั้ ๕ ได้อญั เชญิ พระอุรังคธาตไุ ปก่ออูบมงุ อุรงั คธาตุท่ภี กู �ำพร้า จงึ เปน็ ขอ้ สนั นษิ ฐานตามตำ� นานไดว้ า่ การสรา้ งอบู มงุ อรุ งั คธาตเุ พอื่ บรรจุธาตุหัวอกของพระพุทธเจ้าตามที่ปรากฏในต�ำนานอุรังคธาตุ เป็น เหตุการณ์เกดิ ขึ้นประมาณปี พ.ศ. ๑๖ 22 ท่ีระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแก่น ประจ�ำปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒

การตรวจชำ� ระต�ำนานอรุ ังคธาตุ ตัวอย่างตอนต้นเก่ียวกับนานาทัศนะว่าด้วยปีที่สร้างอูบมุงอุรังคธาตุหรือ พระธาตุพนม ท่ีน�ำมาเสนอน้ี เป็นหนึ่งในผลของการศึกษาของผู้เขียน ซ่ึงได้มา จากการตคี วามเนอ้ื หาในตำ� นานอรุ งั คธาตเุ ปน็ หลกั ถงึ กระนน้ั ยงั พบวา่ มขี อ้ คน้ พบ ทตี่ า่ งกนั ของผศู้ กึ ษาตำ� นานอรุ งั คธาตอุ กี หลายทา่ น ผเู้ ขยี นจงึ นำ� นานาทศั นะเหลา่ นนั้ มาอธิบาย เพอื่ ให้เหน็ ว่ายังมมี มุ มองทห่ี ลากหลายในการแสวงหาความรู้ ท่จี ะน�ำ ไปสกู่ ารศกึ ษาตคี วามตำ� นานอรุ งั คธาตุ ในฐานะวรรณกรรมตำ� นานสำ� คญั ของลมุ่ แม่น�ำโขงท่ีอยู่คู่กับองค์พระธาตุพนม เพื่อการเรียนรู้และถอดรหัสสาระส�ำคัญท่ี พญาศรไี ชยชมุ พผู ู้เรียบเรียงต�ำนานอุรังคธาตุก�ำลังสื่อสารถงึ ชนรุ่นหลงั แตเ่ ดมิ การศกึ ษาตำ� นานอรุ งั คธาตุ เปน็ การศกึ ษาจากฉบบั ทปี่ รวิ รรตมาจาก ต้นฉบับใบลานท่ียังมีข้อความไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้เกิดจากการคัดลอกที่คลาดเคลื่อน ผา่ นกาลเวลาทยี่ าวนาน ตอ่ มา เมอื่ ผเู้ ขยี นไดท้ ำ� วทิ ยานพิ นธร์ ะดบั ปรญิ ญาเอก สาขา วิจยั ศลิ ปะและวฒั นธรรม ทม่ี หาวทิ ยาลยั ขอนแก่น เรอื่ ง “ตำ� นานอุรงั คธาตุ : ภาพสะท้อนวัฒนธรรมลุ่มแม่น�้ำโขง” ผู้เขียนจึงได้ช�ำระตรวจสอบเน้ือหา ต�ำนานอุรังคธาตุอีกคร้ัง โดยใช้ต้นฉบับใบลานจำ� นวน ๑๐ ฉบับ และฉบับที่มี ผู้ปริวรรตไว้อีก ๕ ฉบับ เพื่อสอบค้นเติมเต็มเนื้อหาของต�ำนานอุรังคธาตุ ท่ีหล่นหายผ่านกาลเวลา ซึ่งรายละเอียดของการจัดการข้อมูลปรากฏอยู่ใน งานวิทยานพิ นธ์ของผู้เขียน ในการจดั พมิ พค์ รงั้ นี้ ผเู้ ขยี นได้นำ� ตำ� นานอรุ งั คธาตซุ ง่ึ ไดป้ รวิ รรตเรยี บเรยี ง ชำ� ระในงานวทิ ยานพิ นธ์ มาจดั แบง่ เนอื้ หาใหมเ่ ปน็ ๒๕ บนั้ โดยอา้ งองิ จากการแบง่ ตามต้นฉบบั ใบลาน เพอ่ื ให้สะดวกในการอ่านและสบื ค้น การจัดล�ำดับเนอื้ หาได้ จัดตามฉบับเดิมที่พระยาศรีไชยชุมพูได้เรียบเรียงไว้ และได้เพ่ิมเนื้อหาที่ค้นพบ ใหม่ในงานวทิ ยานพิ นธ์ อกี ๓ บนั้ ได้แก่ บ้ันที่ ๒๓ ประสทิ ธิดวงจุ้ม ศิลาเลก หลกั ดนิ และสละข้อยโอกาส บ้ันท่ี ๒๔ ปูมโหรหลังรัชกาลพญาสุริยวงศาธรรมิกราช (เจ้าองค์หล่อ) ซ่ึงน�ำมาจากอุรังคธาตุนิทาน และบ้ันที่ ๒๕ อานิสงส์การสร้าง หนังสือต�ำนานอุรังคธาตุ ซ่ึงพบในตอนท้ายของต�ำนานอุรังคธาตุ เพื่อให้เกิด ความสมบรู ณใ์ นเนอ้ื หา อนั จะเปน็ ประโยชน์กบั ผสู้ นใจศกึ ษาตำ� นานอรุ งั คธาตตุ อ่ ไป ต�ำนานอรุ ังคธาตุ 23

มมุ มองทต่ี า่ งกนั ยอ่ มทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ สนั นษิ ฐานและบทสรปุ ทแี่ ตกตา่ งกนั และ ความหลากหลายในมุมมองนั้น ท่ีถือได้ว่าเป็นความงอกงามทางวิชาการท่ีต้อง กา้ วขา้ มความขดั แยง้ และตอ้ งใชป้ ญั ญาในการพจิ ารณาใหเ้ ขา้ ใจแกน่ เขา้ ใจกระพี้ ดังที่โบราณจารย์ผู้รจนาต�ำนานอุรังคธาตุได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นของต�ำนาน อรุ ังคธาตุว่า “อรุ ังคธาตนุ ทิ าน แลปาทลักษณะนทิ าน ศาสนานครนทิ าน อนั อรหนั ตาเจา้ ทงั้ ๕ แปงไวใ้ หแ้ จง้ แกน่ กั ปราชญเ์ จา้ ทงั้ หลายแล นิทานอันนี้พระพุทธเจ้าก็เทศนากระท�ำนวยเอาปลายเมือหากก บุคคลผู้มีปัญญาจึงค่อยพิจารณาตรองดูยังอธิบายอันน้ีให้ แจ้งเทา่ วนั เทอญ” ตลุ าคม ๒๕๖๒ ดร.ยทุ ธพงศ์ มาตย์วเิ ศษ (จารย์ครูธรรมยอดแก้ว) ถอดสาระสำ� คญั จาก ยทุ ธพงศ์ มาตยว์ เิ ศษ. ๒๕๖๐. ตำ� นานอรุ งั คธาตุ : ภาพสะทอ้ นวฒั นธรรม ลุ่มแม่น�้ำโขง. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิจัยศิลปะและ วฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. 24 ที่ระลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ประจ�ำปพี ทุ ธศักราช ๒๕๖๒



ต�ำนานอุรงั คธาตุ ศาสนานครนทิ าน ปาทลกั ษณะนทิ าน อรุ งั คธาตนุ ทิ าน

ต�ำนานอุรงั คธาตุ ๏ นโม พทุ ธฺ าย รตตฺ นเตยยฺ ํ นมามหิ ํ บดั นี้ จกั กล่าวบน้ั 1 อรุ งั คธาตนุ ทิ าน แล ปาทลกั ษณะนิทาน ศาสนานครนทิ าน อนั อรหันตาเจ้าทั้ง ๕ แปง2 ไว้ให้แจ้งแก่นกั ปราชญเ์ จ้าทง้ั หลายแล นทิ านอนั นพ้ี ระพทุ ธเจ้ากเ็ ทศนากระทำ� นวย3 เอาปลายยอ่ เมอื หากก4 บคุ คลผมู้ ปี ญั ญา จงี 5 คอ่ ยพจิ ารณาตรองดู ยงั อธบิ ายอนั น้ี ใหแ้ จง้ เทา่ วนั เทอญ  ศาสนานครนิทาน บั้นท่ี ๑ พระพุทธเจา้ เลียบโลกล่มุ แม่น�้ำโขง ๏ เอกํ สมยํ ในกาลคาบหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าแห่งเราทั้งหลายยัง ทัวรมาน6 อยู่สถิตส�ำราญในป่าเชตวันอาราม ยามน้ันจักใกล้รุ่ง เจ้าอานนท์ตน เปน็ ผอู้ ปุ ฏั ฐากดว้ ยไมส้ ฟี นั แลนำ้� สว่ ย7 หนา้ เมอื่ พระพทุ ธเจา้ เมยี้ น8 กจิ ชำ� ระแลว้ กห็ ลงิ 9 เหน็ บุราณ10 ฮตี คองแห่งพระพุทธเจ้า ๓ ตน ในกัปอันเข้าสู่นพิ พานไปแล้ว แลยงั ไดไ้ วพ้ ระธาตเุ จา้ ในดอยกปั ปนคริ ี อนั มใี นทจี่ มิ ใกลเ้ มอื งศรโี คตรบองหนั้ แลว้ พระพุทธเจ้าทรงผ้ากัมพลผืนแดงงาม มีวรรณะเหมือนแสงสุริยอาทิตย์ เมื่อขึ้นมานนั้ แล ผา้ กมั พลผนื น้ี นางกจี ฉาโคตมี11 ถวายให้เปน็ ทานหน้ั แล เมอ่ื จกั ปลกู ฝ้ายนนั้ นาง ก็เอาค�ำแสน ๑ มาตีเป็นอ่างค�ำแล้วจีงเอาแก่นจันทน์แดงกับคันธรสของหอมกับท้ังฝอย ค�ำฝนเปน็ ฝุ่นปฐวใี ส่อ่างคำ� แล้วจงี เอาฝ้ายมาอยาย12 ปลูกในอ่างค�ำท่ีนนั้ นางเอาคำ� มา ฝนหด13 แลวันแลแสนคำ� หดกกฝ้ายทุกวัน เมือ่ เป็นดอกจงี แดงงาม เพอ่ี อันแล 21 ““แบปั้นง””บแทต่งตอเรนียบบเรรรียพง สร้าง 453 “““กจกงีกระ”“ทจต�ำงึ ้นน,วโคย”นทำ� นาย 678 “““ทสเม่วัวยี้ ยรนม””าลนห้า”มงดทชร�ำสมร้นิ ะานเชห่นมสา่วยยถหงึ ทนร้าง=มพี ลร้าะงชหนนม้า์อ, ยสู่่วยคงี = เอาน้�ำลบู ตวั 911 10 “““บกหจีลุราฉิงณ”าโเ”คลตโ็งบมร”ี านณางกสี าโคตรมี 1123 ““หอยดา”ยร”ดกดร้วะยจนา�ำ้ ย แบ่งออก ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 27

พระพุทธเจ้าทรงผ้าแล้วทรงบาตรอว่าย14 หน้าสู่ทิศตะวันออก เจ้าอานนท์ ตนเปน็ ปจั ฉากน็ ำ� 15 พทุ ธลลี า มาทางอากาศ ลงทด่ี อนกอนเนา16 หนั้ กอ่ น แลว้ จงี มา สถติ แคมหนองคนั แทผเี สอ้ื นำ้� หนั้ แลว้ แลเหน็ แลน17 คำ� ตวั ๑ แมบลน้ิ 18 ทโ่ี พน19 จกิ เวียงงัวใต้ปากห้วยคุกกำ�้ หั้น พระพุทธเจ้ากระทำ� หสิตุการ20 แย้มหัว21 ให้เป็นเหตุ เจ้าอานนท์จงี ไหว้พระพทุ ธเจ้าถามหาเหตุ อันว่า พระพุทธเจ้าหัวด้วยเหตสุ ง่ิ ใดจา พระพุทธเจ้าจงี เทศนาว่า ดรู า อานนท์ ตถาคตเหน็ แลนค�ำตวั ๑ แมบลน้ิ ให้เป็นเหตุแล เมืองสุวรรณภูมินี้เป็นท่ีอยู่แห่งนาคท้ังหลาย มีสุวรรณนาคราชา เป็นเค้า แลผีเส้ือน�้ำเส้ือบก แลยักษ์ท้ังมวล ภายหน้าพุ้น คนทั้งหลายฝูงอยู่ใน เมอื งอันน้ี แม้นรู้ธรรมมากนกั ก็ดี จงี จักเลือกหาเอาผู้มสี ัจจะได้ยากนกั แล บ้าน เมืองจักหล่านาคาท่2ี 2 รู้ปีน้ แผ่23 ไปมา เป็นหลายแห่งหลายช่อื ซะแล บางพ่องจกั เชื่อบุญคณุ แก้วทั้ง ๓ ล้วนก็มี บางพ่องจกั เชื่อบญุ คุณแก้วท้ัง ๓ ถ่อง24 ๑ แล จักเชอื่ มจิ ฉาทิฏฐถิ ่อง ๑ กม็ แี ล บางพ่องจักเช่อื บญุ คุณแก้วทัง้ ๓ สองส่วน จกั เช่อื มิจฉาทฏิ ฐิส่วน ๑ บางพ่องจักเชอ่ื บญุ คณุ แก้วทัง้ ๓ ส่วนหนง่ึ จักเชือ่ มจิ ฉาทิฏฐิ ๒ ส่วน บางพ่องกบ็ ่เช่ือบุญคุณแก้วท้งั ๓ สกั อนั จกั ถือมิจฉาทฏิ ฐิกรรม อันเป็น คองแห่งอบายทงั้ ๔ น้นั ส่งิ เดยี วแล เหตวุ ่า พระตถาคตเหน็ แลนค�ำแมบลน้ิ ๒ แง25 นัน้ เปน็ นิมิต กม็ แี ล 14 “อว่าย” หัน, กลับ 111756 “บ“นแาล�ำง”ฉนบ”ตบัาตมจะา กรวเดปน็ “ดอนกอนนา“ บางฉบบั จารเป็น “ดอนคอนพระเนา“ 18 “แมบล้นิ ” แลบลิ้น 19 “โพน” จอมปลวก 20 หสิตะ เป็นการยิ้มพอเหน็ ไรฟันของพระอรหันตสาวก พระอนาคามี พระสหทาคามี พระโสดาบนั และปถุ ชุ น แตถ่ า้ เปน็ การยม้ิ หรอื แยม้ ไมเ่ หน็ ไรฟนั ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ใช้ สติ ะ 21 “แย้มหัว” แย้มพระโอษฐ์ 22 “หล่านาคาท”่ี พลัด 23 “ปีน้ แผ่” กลบั 24 “ถ่อง” ครง่ึ 25 “แง” แฉก 28 ทรี่ ะลึกงานกฐนิ พระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแกน่ ประจ�ำปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒

บนั้ ท่ี ๒ พทุ ธพยากรณ์นครลา้ นช้าง เมื่อใดท้าวพญาตนเป็นเช้ือหน่อพุทธกูรหน่อวงศาขีณาสวะ แลได้มา เสวยราชย์ดังนั้น พุทธศาสนาบ้านเมืองจักรุ่งเรือง เหมือนดังเมื่อพระตถาคต ยังทวั รมานนน้ั ดหี ลแี ล เมืองอนั น้ี ก็เปน็ ทเี่ ทียวไปมาแห่งโพธสิ ัตว์เจ้าแต่ก่อน กบั ด้วยเหตจุ ักนำ� มา ส่งผลใช้เวร แท้แล ยามเม่ือตถาคตได้เป็นท้าวสุทธนู ได้มาเซา26 ในศาลายักษ์ท่ีนั้น จีงพลัด นางแก้วเจียรปพั พา ห้นั แล เมอ่ื เป็นทา้ วสทุ ธเสน ได้มาเซาในศาลายักษ์ทห่ี ั้น ยงั มรี สั สี27 ตน ๑ ช่อื ว่า รัสสีสังหอน อยู่ในป่าที่นั้น จีงมาเมตตาให้พ้นจากอนตาย28 แต่ยักษ์จักกิน ปาง นัน้ แล ดรู า อานนท์ เมอ่ื พระตถาคตนพิ พานไปแลว้ พญานาคจงี กอ่ แรกเปน็ เมอื ง ให้เปน็ เมืองตงั้ ไว้แคมแม่น้�ำเพียง29 หาดทราย หน้ั แล จักมี พญาตน ๑ ช่ือว่าสุมิตตธรรมวงศาเสวยราชย์ในเมืองมรุกขนคร จักให้พราหมณ์ทั้ง ๕ คน น�ำเครื่องปัญจราชกกุธ ๕ ประการ มาหดสรง กระทาชายผู้ ๑ อนั เปน็ พอ่ ไรพ่ อ่ นา กบั ทงั้ ลกู สาวตระกลู วงศาผู้ ๑ มาใหเ้ ปน็ ใหญ่ ในเมอื งสวุ รรณภมู นิ นั้ แลว้ ใหเ้ ปน็ พญาจนั ทบรุ ปี ระสทิ ธสิ กั กะเทวะ พญาตนนนั้ กจ็ กั ไดต้ งั้ ไวย้ งั พระพทุ ธศาสนาปฐมหวั ที ทจ่ี นั ทบรุ กี อ่ นทา้ วพญาทงั้ หลายหนั้ แล อนั พญาจนั ทบุรีประสิทธเิ ทวะองค์นัน้  แม่น30 พญาปัสเสนทโิ กศลราชาแล ได้มาเกิดใช้บาปกรรมเศษมีปูม31 อันใหญ่นักเป็นเค้า32 หั้นแล พญาตนน้ันก่อตั้ง ศาสนาอนั เปน็ ปฐมหวั ทแี ล อนั หนง่ึ กรรมเศษเหตวุ า่ พญาปสั เสนตนนน้ั ไดเ้ ขา้ ลอุ ำ� นาจ มาตุคาม คือว่า นางมัลลิกากล่าวปิดบังแก่พญา ให้ลงจากผาสาท33 ไปสู่ส้วม 26 “เซา” พัก, อาศัย 27 “รัสสี” ฤษี 28 “อนตาย” อนั ตราย 29 “เพยี ง” เสมอ 30 “แม่น” คอื ถูกต้อง ใช่ 31 “ปมู ” ท้อง พงุ 32 “เป็นเค้า” เปน็ ต้น 33 “ผาสาท” ปราสาท ต�ำนานอุรงั คธาตุ 29

อาบน�้ำ34 ได้ความนางมัลลกิ า เหตุดังน้นั จีงได้มาเกดิ ในตระกลู พ่อนา เพ่ืออนั แล ลกู สาวตระกลู วงศาผ้นู นั้ แม่นนางมลั ลกิ ามาเกดิ ใช้บรุ พกรรมเศษอนั นาง ได้ให้หมาเสพนนั้ แล นางนน้ั กไ็ ด้ตกนรกได้ ๗ วนั เมอ่ื พ้นบาปนนั้ หมดแล้ว กรรม เศษยงั กจ็ งี ใหไ้ ดต้ ระกลู พอ่ นามาเปน็ ผวั เพอ่ื อนั แล แขงวา่ 35 นางบไ่ ดต้ ดิ ดว้ ยเปน็ เมยี แห่งโพธญิ าณมาดังน้นั ยงั จกั ให้ปวัตติ36 รับกรรมวบิ ากยง่ิ กว่าน้ี หน้ั แล เหตอุ ันนางตกนารก ๗ วันน้ัน เหตอุ นั นางได้ให้หมาเสพน้ันแล ตกนารกจีงบ่ อยู่นาน เหตวุ ่าหมาตวั ถ่อยบาปน้นั ยงั เบาแล อันนางล่าย37 ว่า พญาสนุกเสพกับด้วย แม่แพะนน้ั บ่เปน็ บาป ผวั เมยี ใส่โทษแก่กนั บ่ข้นึ ท่อ38เปน็ กรรมเศษสนั เดยี ว ซะแล เหตดุ งั นนั้ แล พระตถาคตจงี วา่ เมอื งสวุ รรณภมู นิ กี้ ด็ ี ตดิ เนอื่ งกบั ดว้ ยกรรมเศษ ว่าเปน็ ทีใ่ ช้กรรมม้ม39 เวรแห่งโพธสิ ัตว์ จกั นำ� มาใช้ เพ่อื อนั แล เม่ือพ่อนาผู้น้ันเป็นพญาแล้ว อรหันตาจักมีสิบตน อยู่ในเมืองสุวรรณภูมิ ๒ ตน จกั ไดเ้ อาธาตอุ รหนั ตาขณี าสาวก อนั เปน็ เชอ้ื วงศาพระตถาคตทง้ั มวล มาไวใ้ นปา่ ทแี่ คมนำ้� บงึ หน้ั พญาองคน์ นั้ จกั ไดก้ อ่ กวมธาตอุ รหนั ตาพรอ้ มกบั ดว้ ยอรหนั ตา ๒ ตน ถะปันนา40 ไว้ หั้นแล อรหันตา ๕ ตน เล่าจักได้เอาธาตุพระตถาคตมาไว้ในที่ภูเขา ลวง41 แล้วพญาจนั ทบุรีตนน้นั กจ็ กั ได้ไปพร้อมอรหันตาทงั้ ๕ ถะปนั นาไว้ ห้นั แล ครั้นว่าสุดเซ่น42 อรหันตาแล้ว พญาจันทบุรีจุติตายแล้วจักมาเกิดเป็น พญาจันทพานชิ จกั ตั้งเมอื งในดงหนองคนั แทผเี ส้ือน้�ำ หนั้ แล ดูรา อานนท์ อรหันตา ๒ ตนจักได้มาก�ำจัดผีเสื้อน้�ำท้ังหลายฝูงน้ีแล้ว จักมพี ญาตน ๑ ชื่อว่า ศรธี รรมอโศก จักได้เอาธาตุพระตถาคตมาถะปันนาไว้ หั้นบ่อน ๑ นน้ั แล 34 “ส้วมอาบน้�ำ” ห้องสรง 35 “แขงว่า” แม้นว่า 36 “ปวัตต”ิ น. ความเป็นไป, เร่อื งราว 37 “ล่าย” ตู่, ใส่ไคล้ 38 “ท่อ” เท่า 39 “ม้ม” พ้น 40 ในใบลานมใี ช้หลายอย่าง เช่น ถปนา ถาปนั นา ถะปนั นา ในฉบบั น้ใี ช้ ถะปนั นา แทนทงั้ หมด 41 “ลวง” นาค , ภูเขาลวง ปัจจบุ ันเป็นท่ตี ง้ั พระธาตุบังพวน จงั หวัดหนองคาย 42 “เซ่น” ยคุ สมยั ปาง ชวั่ อายคุ น, สดุ เซ่น คอื ส้ินชั่วยุคสมัย ส้นิ ชัว่ อายุ 30 ทรี่ ะลกึ งานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลัยขอนแกน่ ประจำ� ปีพุทธศักราช ๒๕๖๒

เมือ่ น้ัน ยงั จักมรี ัสสตี น ๑ ชื่อว่า ฐติ ะกปั ปิ อยู่ในป่าหิมพานต์พุ้น มีอายุยืน เส้ียง43 กัป จักมาเอาพญา ๒ ตนกินเมืองกุรุนทะนครน้ันไปบวชเป็นรัสสี ตน ๑ ช่อื ว่า อมรรสั สี ตน ๑ ชือ่ ว่า โยธกิ ารสั สี สว่ นดงั พญาสมุ ติ ตธรรมวงศาตนไดใ้ หพ้ ราหมณท์ ง้ั ๕ มาหด44 พอ่ นาเปน็ พญานน้ั ตายได้ไปเกดิ ในเมอื งพาราณสี กจ็ กั ไดบ้ วชเปน็ รสั สอี ยทู่ เี่ ดยี วกนั หนั้ แล อมรรัสสี แลโยธิการัสสี จักได้มาก่อแรกเมืองไว้ในท่ีดอยนันทกังฮีน้ัน ชื่อว่า เมอื งศรสี ัตตนาค ด้วยเหตุนาคตัว ๑ มี ๗ หวั อยู่ในท่นี น้ั แต่นัน้ มา มูลละ บ้านเมืองก็จักเกดิ มสี บื ๒ ไป พุทธศาสนากจ็ ักตง้ั หั้นแล โยธกิ ารสั สกี จ็ กั จตุ มิ าเกดิ ในเมอื งอนิ ทปตั ถนคร แลว้ บวชเปน็ มหาเถร กจ็ กั ไดถ้ งึ พระอรหนั ตาอยใู่ นทห่ี นงึ่ แลว้ อมรรสั สี จกั จตุ มิ าเกดิ ในเมอื งศรสี ตั ตนาค หน้ั แล เม่ือชาติก่อนนั้นกุมารผู้น้ีได้เอาลูกแมวไหลน้�ำเสีย เวรอันนั้นมาทัน จีงเกิดมีแก่ กุมารตนนั้น เม่ือใหญ่มาท่านจีงเอาไหลน�้ำเสีย หั้นแล ครั้นว่า ไหลไปฮอดเมือง อนิ ทปตั ถนคร มหาเถรเจา้ เหน็ จงี เอามาเลย้ี งไวส้ ง่ั สอน กมุ ารผนู้ น้ั กไ็ ดใ้ หส้ จั จะแก่ มหาเถรว่า จักตั้งอยู่ในค�ำสอนเจ้ากูแล ว่าดังนี้ ภายลุนมีก�ำลัง ก็คืนมาคว่า45 ยทุ ธกรรมเล็ว46 เอาบ้านเล็กเมอื งน้อยบ้านห้อยเมืองแขวน ตง้ั เป็นบ้านเปน็ เมือง อันใหญ่ ก็ได้ก่อแรกตั้งพทุ ธศาสนาไว้ในดอยนันทกงั ฮีศรสี ตั ตนาค นัน้ ก่อนแล ถดั นน้ั สมุ ติ ตธรรมวงศารสั สกี จ็ งี จตุ มิ าเกดิ ในเมอื งศรสี ตั นาค เทวดาทงั้ หลาย จงี ได้รกั ษายง่ิ นักแล พญาทุคคตะไหลน้�ำตนน้ัน อันมีค�ำปรารถนาเป็นพุทธบิดาซะแล ท่อว่า มักกระท�ำมิจฉาจาร กรรมมากนัก คร้ันว่าจักสิ้นชีวิตมีจิตบ่หวั่นไหว จักได้ไปเกิด ในเมอื งพาราณสี ออกบวชเป็นรัสสี ได้ชือ่ ว่า ทคุ คตะรสั สี อยู่ที่เก่า หั้นแล ยามน้ัน ทุคคตะวงศา ผัวแห่งนางเทวีปาปผู้นั้น จักได้เสวยราชสืบ พุทธศาสนา บ้านเมืองสุขเกษมอ่ิมเต็มมากนัก ก็มีแล พญาตนนั้นแม่นได้เป็น อำ� มาตยพ์ ญาสมุ ติ ตธรรมแตช่ าตอิ นั กอ่ นนนั้ มาเกดิ แล ครน้ั วา่ จตุ ไิ ดเ้ กดิ เปน็ พญา รกุ ขภมุ มะเทวดา อยรู่ กั ษาพทุ ธศาสนาบา้ นเมอื งกบั ดอม47 เทวดาทงั้ หลาย นนั้ แล 43 “เส่ยี ง” สน้ิ 44 “หด” รดนำ�้ ในท่นี ห้ี มายถึงการสรงน้�ำมรุ ธาภเิ ษกในพระราชพธิ บี รมราชาภิเษก 45 “คว่า” แสวงหา 46 “เลว็ ” สู้รบ ต่อสู้ 47 “ดอม” ด้วย ต�ำนานอุรงั คธาตุ 31

ยามน้ัน ปาปเทวีได้เป็นใหญ่ จีงให้เป็นหม่นหมองแก่พระพุทธศาสนา บ้านเมือง พญาภุมรุกขเทวดาโกรธเคียดกลัวเป็นอนตายเถิงแก่กุมาร เทวดา ท้ังหลายจีงพร้อมกันบันดลจิตใจแห่งเสนาอามาตย์ท้ังหลาย ให้กระท�ำแก่ นางปาปเทวใี ห้เถงิ วนิ าศตายไป แล้วกไ็ ด้ไปตกนารกอยู่ กม็ แี ล ยามน้ัน สังฆเถรแลเสนาอามาตย์ทั้งหลาย จีงพร้อมกันราชาภิเษกยังกุมาร ใหเ้ ปน็ พญาไชยจกั ร เหตปุ ระจญแพ้48 มารทงั้ หลาย หมายมนี างปาปเทวเี ปน็ เคา้ แล พญาไชยจักรตนนั้นจักได้สืบพุทธศาสนาบ้านเมือง แล้วจีงได้มาสร้าง พทุ ธศาสนาไว้ในเมอื งจันทบุรี อนั พญานาคหากให้สวัสดแี ต่ก่อนไว้ นนั้ แล พญาอินทร์จีงให้วิสสุกรรมเทพบุตรลงมาแรกพุทธศาสนาซ่อยพญา ไชยจักรท่ีแคมน้�ำห้วยมังคละห้ัน บ่อย่าแล คร้ันว่า พญาไชยจักรตนน้ันจุติแล้ว เกดิ ในเมืองพาราณสี ได้บวชมีชือ่ ว่า ไชยจกั รรัสสี อยู่ทเี่ ก่า แล ยามนั้น พญาปุตตจุลณี จักมาเกิด ชื่อว่า เอกจักขุกุมาร ได้เป็นพญา ในเมืองศรีสัตตนาค มีนางอัครมเหสี ผู้ ๑ เทวดาให้นางฝันเห็นต้นรังล้อมไม้ ศรีมหาโพธ์ิ สังฆเถรทั้งหลายจีงชุมนุมกันด้วยแก้นิมิตอันนางฝันนั้นมาแล้ว จีง กระทำ� นวยว่า จกั มีลกู แม่นพุทธบดิ าตน ๑ ภายหน้าพุ้นแล กุมารผู้น้นั เล่าจกั มลี กู ผู้ ๑ อนั เปน็ เชอื้ หนอ่ พทุ ธวงศาตน ๑ ภายหนา้ พนุ้ แล สงั ฆเถรกระทำ� นวยทวยดงั น้ี ถัดน้ัน ทุคคตะรัสสีจักจุติแล้วมาเกิดเอาปฏิสนธิในท้องนางผู้นั้น แล้ว ประสูตอิ อก สังฆเถรใส่ช่อื ว่า สาลโพธกิ มุ าร สาละได้ไม้รังอันล้อมกล่าวคือว่า ดังพ่อ โพธสิ ัตว์นน้ั ได้ลกู อนั จักเกดิ มาแก่กุมารผู้นนั้ ซะแล สาลโพธกิ มุ ารไดเ้ สวยราช แลว้ จงี เอา49 นางแกว้ ปจั ฉมิ กมุ ารอี นั รว่ มชาติ นั้นเป็นราชเทวดี งั เก่า หน้ั แล ยามนน้ั  พทุ ธศาสนาแลบา้ นเมอื งรงุ่ เรอื งมากนกั ปราศจากมจิ ฉาทฏิ ฐทิ ง้ั หลาย เหตุพระกษตั รยิ ์อันนัน้ ให้ม้างให้ลบึ เสยี การข้ึนฟ้าเล้ียงแถนท้งั หลายปางน้นั ก็มีแล ยามนน้ั ไชยจกั รรสั สี จตุ แิ ล้วมาเกดิ ในท้องนางราชเทวแี ห่งพญาสาลโพธิ ตนนั้น ประสูติออกมาแล้ว เทวดาท้ังหลายจักรักษาย่ิงนัก จีงบันดลหัวใจคน ทง้ั หลายต่างประเทศมาขอเอาเมอื เปน็ เฒ่าเปน็ ใหญ่ ช่อื ว่า ไชยประเสริฐ จักได้ ยงั โลกียสมบัตอิ นั มากนกั ในทน่ี ัน้ แล 48 “แพ้” ชนะ 49 “เอา” ในทน่ี ้ีหมายความว่า “ได้” 32 ที่ระลกึ งานกฐนิ พระราชทานมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ประจำ� ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๖๒

พญาสาลโพธิตนพ่อน้ัน ก็จักได้เทียวมาเกิดสร้างนครในท่ีเมืองพญา จันทบรุ ี ท่นี ี้แล เม่ือชาติก่อนพุ้นพญาสาลโพธิราช อันได้เป็นพญาทุคคตกุมารน้ัน ได้พารี้พล ไปอ้อม50 วังขังไว้ยังพญาตน ๑ ตายไป ห้ันแล พญาตนนั้นก็หากได้เสวยราชสมบัติ แหง่ ตน อยดู่ ว้ ยอนั ประกอบชอบธรรมตามประเพณธี รรม พญาองคน์ น้ั กข็ อดปอ้ ยเวร51 ไว้ ลวดพนั ธนา แล้วก็ตายไปแท้แล พญาสาลโพธจิ งี ได้เถงิ ปวตั ตกิ รรมแห่งพันธนา หตั ถตี วั หนงึ่ กต็ ายไป หน้ั แล กจ็ งี ไปเกดิ พลนั ในเมอื งพาราณสี เพอื่ อนั แล ไดม้ าบวช เป็นรสั สีชือ่ ว่า สาลโพธริ สั สี อยู่ทเี่ ก่า หัน้ แล พระเจา้ กลา่ วว่า ดรู า อานนทเ์ ฮย พญาไชยประเสรฐิ ตนเปน็ ลกู นนั้ จงึ หนี จากประเทศอันน้ัน มาอยู่เสวยราช เอานางเทวีแก้วอันเกิดกับนาคมาฮอมชาติ52 นั้น มาเป็นมเหสีเทวี ก็มีห้ันแล แล้วจีงข้ึนชื่อเมืองว่า จันทบุรีศรีสัตตนาค แล เหตวุ ่าเมอื งพญานาคให้สวัสดแี ก่บุรีจันท์แล ยามนั้น เทวดา นาค มเหสักขาทัง้ หลาย ก็ชนื่ ชมยนิ ดใี ห้สาธกุ ารส่งเสียง สบื ๒ กนั ต่อไปทัว่ ทศิ ทุกแห่ง กม็ ีแล พญาเล่าจักได้โชตนาพทุ ธศาสนาอยู่อยาย ไปทกุ แห่งในอาณารฐั บาลบ้านเมอื งเปน็ อันยง่ิ กว่าท้าวพญาทงั้ หลายฝูงก่อน แล พญากจ็ กั ไดก้ อ่ เจดยี โ์ ลม53 ธาตพุ ระตถาคต อนั พญาศรธี รรมอโศกราชใหเ้ อามา ถะปันนาไว้นี้แล ท้าวพญาฝูงอื่นมีบุญสมภารกตาธิการน้อย ก็บ่มิอาจก่อเจดีย์ โลมธาตอุ นั พญาศรธี รรมอโศกสรา้ งไวน้ น้ั ไดแ้ ล กเ็ วน้ ไวแ้ ตเ่ ชอ้ื หนอ่ พทุ ธวงศาตน มสี มภารอนั มากจงี ก่อกวมได้ดาย พญาตนนนั้ เล่าจกั ได้ก่อเจดยี โ์ ลมภายบนธาตุ หัวเหน่าพระตถาคตอันไว้ที่ภูเขาลวงนั้น เมือต่อสืบพญาจันทบุรีห้ันแล บ่ท่อแต่ นน้ั เล่าจกั ได้ก่ออบู มงุ 54 โลมธาตอุ รหนั ตาขณี าสาวกแต่ก่อนนนั้ แล อนั อรหนั ตา ๒ ตน กับทง้ั พญาจันทบุรีได้ถะปันนาไว้ในป่าท่นี ้นั แต่ก่อน นน้ั แล 50 “อ้อม” ล้อม 51 “ขอดป้อยเวร” สาปแช่ง 52 “ฮอม” ร่วม 53 “โลม”ครอบ 54 “อบู มุง“ อโุ มงค์ ตำ� นานอรุ งั คธาตุ 33

พญาไชยประเสรฐิ ตนนนั้ เมอื่ ชาตอิ นั ก่อนพุ้น ได้พาบรวิ ารทารการพ้ี ลให้เล่นนำ้� ในท่ี ๑ เด็กน้อยท้ังหลายอันลอยน�้ำ55 ไป่ทันเป็น ได้จ�ำเข้าลอยด้วยอันเยาะไย56 เดก็ น้อยทง้ั หลายฝงู นนั้ ได้กนิ นำ้� ลำ� บากเวทนามาก กรรมเศษเวรอนั จกั เถงิ แก่พญา ตนนนั้ จงี ไดพ้ ารพี้ ลโยธาทง้ั หลายไปยทุ ธกรรมในแมน่ ำ�้ ตง้ั พลอยเู่ ขตเมอื งมรกุ ขนคร อนั เปน็ เมอื งเกา่ แหง่ ตนแตช่ าตกิ อ่ น กบ็ งั เกดิ กศุ ล จงี จกั ไดแ้ รกพทุ ธศาสนากอ่ เจดยี ์ หลงั ใหญ่ไว้ในทน่ี ้ันไว้แล้ว จีงไปยทุ ธกรรมสงครามในเม่ือภายลุน แล ดว้ ยแทย้ ามนนั้ พญารกุ ขภมุ เทวดา ตนอนั อยรู่ กั ษาเมอื งศรสี ตั ตนาคแตก่ อ่ นนน้ั จักได้เมือเกิดมาในตระกูลอันต่�ำนัก จักได้มาเกิดในตระกูลเป็นเสนาใหญ่แก่พญา ไชยประเสรฐิ ตนนนั้ แล้วก็ได้ไปยุทธกรรมดอมท่าน ๑ เด็กน้อยท้งั หลายก็ได้ไปเกิด ในเมอื งอนิ ทปตั ถนครทน่ี นั้ เขากไ็ ดเ้ ปน็ ใหญใ่ นพลเศกิ เขากแ็ วดออ้ มวงั ขงั ไวย้ งั รพ้ี ล เศิกทง้ั หลายแห่งพญาไชยประเสริฐน้นั บ้างพ่องตาย บ้างพ่องก็ลอยออกพ้น สว่ นองคแ์ หง่ พญาตนนน้ั อนั ไดส้ รา้ งกศุ ลบญุ สมภารมาก เทวดาทงั้ หลายหาก พิทักษ์รักษาทุกยาม วิสสุกรรมเทวบุตรลงมาเอาชีวิตไว้ จีงหลิงเห็นอนาคตภัยจัก เกดิ มมี ากภายหน้า กจ็ งี เอาชวี ติ ไว้แลจงี เอาหนไี ปบวชเปน็ ไชยรสั สี อย่ทู เี่ ก่า หน้ั แล พระเจา้ วา่ ดรู า อานนท์ เสนาใหญผ่ นู้ นั้ จกั ไดพ้ ารพี้ ลโยธาคนื มาเปน็ พญา กญุ ชรประเทศ ดว้ ยอนั หลา่ นาคาทเ่ี สยี ไดช้ อ่ื เมอื งวา่ เมอื งลา้ นชา้ ง บดั นี้ หนั้ แล พญากุญชรประเทศ สืบพุทธศาสนาบ้านเมือง ก็จักได้ก่อเจดีย์ถะปันนาโลม ธาตฝุ า่ ตนี กำ�้ ขวาพระตถาคต อนั อรหนั ตาถะปนั นาไวท้ เี่ มอื งหลา่ หนองคาย นน้ั ซะแล คร้ันว่า พญาตนน้ันจุติแล้วได้เมือเกิดในเมืองฟ้าดุสิตาพุ้นแล ปรากฏ ชอ่ื วา่ กญุ ชรเทวบตุ ร จกั ไดล้ งมาเกดิ พรอ้ มพระอรยิ เมตไตรยโพธสิ ตั ว์ พนุ้ ซะแล ยามน้ัน สาลโพธิรัสสี อันจุติมาเกิดในวงศาพญาไชยประเสริฐนั้น ชื่อว่า วงศากุมาร แลจักได้เสวยราชสมบัติสืบพระพุทธศาสนา บ้านเมืองก็รุ่งเรือง คนทั้งหลายเคืองใจนัก จกั มซี ะแล ยามน้ัน พญาอินทร์หลิงเห็นอนาคตภัยอัน ๑ จักเกิดมีแก่พญาวงศา เหตุว่า ราชกุมารราชบุตรผู้เค้านั้นหั้นแล เม่ือเป็นทุคคตะกุมารได้ให้สัจจะแก่มหาเถรเจ้า ภายลนุ ละสจั จะเสยี ทอ่ เอาเหตอุ นั ตนไดเ้ ปน็ ใหญร่ กั ษาแผน่ ดนิ บา้ นเมอื งนน้ั เปน็ อารมณ์ อันใหญ่ แลกระท�ำมิจฉาจาร กรรมอันผิดมากนักแล พญาวงศาตนน้ันจีงพารี้พล 55 “ลอย” ว่ายน้�ำ 56 “เยาะไย” ค่อนขอด เยาะเย้ย 34 ท่ีระลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแก่น ประจ�ำปพี ุทธศักราช ๒๕๖๒

เมือ57 สู่บ้านเมืองดังเก่า ก็จักได้เถิงอุปฆาตกรรม ลวดเป็นโกลาหลแก่ พุทธศาสนาแลบ้านเมอื ง พระเจ้าว่า ดูรา อานนท์ พญาอินทร์หลิงเห็นเหตุดังกล่าวมาน้ี จีงให้ วิสสุกรรมเทวบุตรลงมาขืนชีวิตแก่ไชยรัสสี จีงจุติแล้วมาเกิดเป็นลูกแห่ง พญาวงศาตนนนั้ มชี อื่ ว่า สุรยิ กุมาร ตามนิมิต แต่เมืองร้อยเอด็ ปกั ตู พุ้น ซะแล วิสสุกรรมเทวบุตรจีงมาคาด58 ยัง นาค เทวดา อารักข มเหสักขทั้งหลาย รกั ษาไวด้ ว้ ยคำ� ว่า เจา้ ทงั้ หลายจงสมคั คาพรอ้ มเพยี งซงึ่ กนั รกั ษาสรุ ยิ กมุ ารไวใ้ ห้วฒุ ิ จำ� เริญครัน้ ฮอดเถงิ มงั คละสังกราช59 ราชา คือว่า ปุณณฺ สหสสฺ แล้วให้ได้เสวย ราชสมบตั เิ ป็นพญาเทอญ สั่งดงั น้แี ล้วจงี หนเี มอื สู่ท่อี ยู่แห่งตน ซะแล ยามนั้น พญาวงศาตนพ่อเถิงยังกรรมปัตติวิบากแต่หลัง จุติได้เกิดด้วย โอปปาติกะเป็นภุมมะเทวดา มีชื่อว่า วงศาเทวดา ได้ซาว60 วัสสา จีงได้เกิด ในเมืองอินทปัตถนคร ได้เสวยราชสมบัติสร้างพระพุทธศาสนาไว้ที่นั้นแล แล้ว จกั จตุ กิ ไ็ ดม้ าเกดิ ในเมอื งพาราณสี ได้ออกบวชมชี อื่ วา่ วงศารสั สี อยทู่ เ่ี กา่ หนั้ แล แตน่ นั้ ไปหนา้ อปสทั ธามจิ ฉาทฏิ ฐกิ รรมมรมนึ ทนึ กจ็ กั เกดิ มใี นเมอื งมากนกั ปางน้ันแล ยังมีวัสสากาลอัน ๑ เทวดา นาค อารักข มเหสักขา ฝูงรักษาสุริยกุมาร เหน็ วา่ ยงั สงั กาศราชาพรอ้ มทกุ มาตรามชี อ่ื วา่ ปณุ ณฺ สหสสฺ วฒุ มิ งคฺ ลงสฺ งกฺ รฺ าชฺ อนั นคี้ วรแกเ่ จา้ สรุ ยิ กมุ ารในชาตอิ นั ถว้ น ๓ ในทนี่ น้ั ซะแล เทวดาทงั้ หลายเหน็ ฮม่ เพงิ 61 เหตุดงั กล่าวแล้วนี้ จงี ให้ได้เถิงยังราชสมบัติรตั นราศรีสมุทธาภิเษกเป็นพญาแล ยามนนั้ เทวดาฝงู รกั ษายงั ภมุ มะเสตฉตั ร แลฝงู รกั ษาพทุ ธศาสนา แลเทวดา ฝงู อยรู่ กั ษาในอาณาเขตบา้ นเมอื งทง้ั มวลนน้ั สงั ขยาได้ แสน ๓ หมนื่ ๓ พนั ๓ รอ้ ย ๓๐๙ ตน พรอ้ มกนั ใหเ้ สยี งสาธกุ ารสง่ ขา่ วขน้ึ สบื ๆ ไป ดว้ ยคำ� วา่ ดรู า เจา้ ทงั้ หลาย เจา้ สรุ ยิ กมุ ารเสวยราชเปน็ ใหญแ่ กบ่ า้ นเมอื งในจนั ทบรุ แี ลว้ จงลงมาชมุ นมุ ปงราช นามตามคำ� มกั 62 แห่งเราเทอญ 57 “เมือ” กลับไป 58 “คาด” บอกกล่าว, สั่ง 59 “สงั กราช” ศกั ราช 60 “ซาววัสสา” ๒๐ พรรษา 61 “ฮ่มเพิง” ร�ำพึง 62 “ค�ำมัก” ความพอใจ ต�ำนานอุรังคธาตุ 35

เทวดาท้ังหลายกล่าวดังน้ีแล้ว จีงลงมาชุมนุมกันในดอยภูเขาควายนั้น หลน่ิ 63 มหรสพปตั ตคิ บงนั ๓ วนั ๓ คนื จงี พรอ้ มกนั ปงราชนามตามคำ� มกั เทวดา ในหัวใจนักปราชญ์ราชบัณฑิตถวายว่าเป็น พญาสุริยวงศาไชยจักรธรรมิก ราชาเชฏฐาธิราช ดังนห้ี ้ันแล ปางเมอื่ นนั้ แล พญาตนนน้ั ได้พำ� เพง็ 64 ทานบารมีศลี บารมีมากนกั ต้ังอยู่ ในทศราชธรรมสบิ ประการ จกั ได้กำ� จดั คนทงั้ หลายฝงู ถอื มจิ ฉาทฏิ ฐกิ รรมมลตร ธรรมนน้ั เสยี หมด ใหพ้ น้ จากโอฆะทงั้ ๔ เปน็ ดงั พระสรุ ยิ อาทติ ยอ์ อกมากำ� จดั เสยี ยังขี้ฝ่าเมฆให้แจ้งเสาะใส65 งามย่ิงนัก นั้นซะแล พญาตนน้ันผจญแพ้ข้าเศิก ภายในขนั ธสนั ดานทงั้ มวลด้วยดี จักได้ชำ� ระยงั มัจเฉระธรรม คอื ว่า โลภะ โทษะ โมหะ มานะ กุกกุจจะ วจิ ิกจิ ฉา เสียแล้ว จีงมีคำ� ตรองตามคำ� มกั ด้วยกุศลกรรม อันประเสริฐ ซะแล บุคคลทั้งหลายบ่ควรจักปรารภเทียมได้ จักได้เป็นพญาตน ประเสริฐย่ิงกว่าพญาในชุมพูทีป66 ทั้งมวล จักมีอายุอันยืนย่ิงนัก จักได้โชตนา พุทธศาสนาพระตถาคตที่เก่าที่ใหม่ทั้งมวลให้รุ่งเรืองเป็นอันยิ่ง ควรนักปราชญ์ ท้ังหลายอัศจรรย์ จักได้ก่อเจดีย์ถ้วน ๒ ทโ่ี ลมไว้ยังอูบมุงอุรังคธาตุพระตถาคต ในท่ีภูก�ำพร้า นนั้ แล คร้ันว่า จุติแล้วมาเกิดเมืองพาราณสีแล้วบวชเป็นรัสสี เป็นชื่อว่า สุริยวงศาจักรรัสสี อยู่ที่เก่าแล จีงจุติแล้วมาเกิดในเมืองอินทปัตถนคร สร้าง พทุ ธศาสนาหน้ั ๒ ที แล้วจกั จตุ ลิ งมาเกดิ ในเมอื งกรุ นุ ทะ ชอื่ ว่า สรุ ยิ วงศากรุ นุ ทะ กม็ แี ล ดรู า อานนท์ ยามนนั้ วงศารสั สีกจ็ ักจตุ มิ าเกดิ ในวงศาเมืองกรุ นุ ทะ ชอ่ื ว่า สาลวงศา พ่อเดียวกันต่างแม่ สุริยวงศาได้เมือเสวยราชเป็นพญาสุริยวงศา แลว้ จกั ไดม้ าตง้ั เมอื งในรอ้ ยเอด็ ปกั ตดู งั แตก่ อ่ นเปน็ ถว้ น ๓ ที นนั้ แลว้ สาลวงศานนั้ กไ็ ดเ้ สวยราชเปน็ พญาสาลวงศากรุ นุ ทะนคร จกั ไดส้ รา้ งพระพทุ ธศาสนาในทน่ี นั้ ครัน้ ว่า จุตแิ ล้วจกั ได้เมอื เกิดในชนั้ ฟ้าดุสติ าสวรรค์ปรากฏช่อื ว่า วงศาเทวบตุ ร จกั ได้ลงมาพร้อมพระอรยิ เมตไตรยโพธสิ ตั ว์ พุ้นแล 63 “หลนิ่ ” เล่น 64 “พ�ำเพ็ง” บำ� เพญ็ 65 “เสาะใส” ส่องใส หมดจด 66 “ชมุ พทู ีป” ชมพทู วปี 36 ทีร่ ะลึกงานกฐินพระราชทานมหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ประจำ� ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๖๒

พญาสรุ ยิ วงศา มาสรา้ งบา้ นเมอื งรอ้ ยเอด็ ปกั ตกู ไ็ ดน้ างเทวแี กว้  พระพทุ ธ ศาสนาจกั รงุ่ เรอื งเหมอื นดงั แตก่ อ่ น ซะแล จงี จตุ เิ มอื เกดิ ในเมอื งสาวตั ถี สบื สรา้ ง พระพทุ ธศาสนาหน้ั ๓ ที มเี มอื งกสุ นิ าราย เมอื งราชคฤหนคร เปน็ เคา้ จกั ไดโ้ ชตนา67 พระพุทธศาสนาแลเมืองแล ๓ ที เป็น ติกฺขตฺตุงฺ ด้วยล�ำดับโสฬสนครแล เมืองน้อยทั้งหลาย เวียนไปนาคทีป ลังกาทีป จีงคืนมาอินทปัตถนครในชาติ อนั ถว้ น ๓ นน้ั ตราบตอ่ เทา่ ๕ พนั วสั สา พนุ้ แล จงี เมอื เกดิ ในเมอื งฟา้ ดสุ ติ าสวรรค์ เทวโลก มชี ่ืออันปรากฏ ชือ่ ว่า สุริยวงศาไชยจักรเทพบุตร เมอื่ พระเมตไตรยโพธสิ ตั ว ์ ลงมาเปน็ พระพทุ ธเจา้ จกั ไดล้ งมาเกดิ บวชเปน็ ภิกขุในสำ� นักเมตไตรยพุ้น กม็ แี ล อานนฺท ดูรา อานนท์ อันน้ี พระตถาคตกระท�ำนวยทวยไว้ก็เป็นเอกเทศ สน่อย68 แล แต่โดยสงั เขป อนั จกั กล่าวเปน็ วติ ถารให้กว้างขวาง กย็ งั เปน็ อนั มาก หลายนักแท้ดหี ลีแลดาย พระพุทธเจ้ามาสถิตแคมหนองคันแทผีเส้ือน้�ำ กระท�ำนวยไว้จ�ำสิ้น ศาสนานครนทิ าน แกเ่ จ้าอานนท์กแ็ ล้วทอ่ น้กี ่อนแล อันนบี้ ัน้ กกทอ่ หากเปน็ ทงั ปลาย 67 “โชตนา” ทำ� ให้รุ่งเรือง 68 “สน่อย” สกั หน่อย, พอสังเขป ตำ� นานอรุ ังคธาตุ 37