คกุ คามนต้ี ามความถนดั ของพวกเขา จนเกดิ เปน็ รปู แบบการแปลงโฉมชมุ ชน ปอ้ มมหากาฬใหเ้ ปน็ พพิ ธิ ภณั ฑม์ ชี วี ติ จดั เวทเี สวนาใหค้ นไดร้ บั รขู้ อ้ มลู เกย่ี ว กับสิทธิและคุณค่าวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ของคนในป้อมเพ่ือหาทางออกที่เอื้อ ประโยชนใ์ หแ้ กท่ กุ ฝา่ ย จดั กจิ กรรมเกบ็ ขยะและกจิ กรรมทจี่ ะชว่ ยเสรมิ สรา้ ง ทักษะใหเ้ ด็กในชมุ ชน เฟ้นหาคนท�ำงานรุน่ ใหม่ ในการทำ� งานของทราเวลลท์ กี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ เรอื่ งการพฒั นาเปน็ สว่ น ที่มีความส�ำคัญมากและอาจมากยิ่งกว่าการท่องเที่ยวเสียอีก ในด้านการ พัฒนาเด็กและเยาวชน ทีมทราเวลล์ได้จัดโครงการค่ายพัฒนาเยาวชนข้ึน ในนาม Neighbor Youth Camp เพ่ือเปิดโอกาสให้เด็กท่ีมีอายุ 6-15 ปี จาก 3 ชุมชนน�ำร่อง ได้แก่ ป้อมมหากาฬ นางเลิ้ง และบ้านบาตร ได้ ทำ� ความรจู้ กั กนั มากขนึ้ และใชค้ า่ ยนแี้ นะน�ำใหเ้ ดก็ รจู้ กั ของดใี นแตล่ ะชมุ ชน แต่ก่อนที่ค่ายน้ีจะเกิดขึ้น ทีมทราเวลล์และ Once Again Hostel ร่วมกันจัดโครงการ Neighbor Ranger ก่อน (ภาพที่ 4) โดยเปิดรับ อาสาสมัครวัย 25-35 ปีมาเป็นเรนเจอร์ท่ีจะลงชุมชน ออกแบบกิจกรรม และท�ำค่ายให้เด็กๆ โดยค่าใช้จ่าย 3,000 บาทในการร่วมกิจกรรมจะใช้ เป็นค่าเข้าค่ายให้เด็กๆ 1,000 บาท ค่ายคร้ังน้ีมีคนสมัครเข้ามาเป็น จ�ำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องคัดให้เหลือเพียง 30 คนเท่าน้ัน โดยเลือก จากความปรารถนาอยา่ งแรงกล้าในการเขา้ มาทำ� งานกับเด็กและชมุ ชน บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผู้ขับเคลื่อนสังคม 201
ภาพท ี่ 4 ภาพประชาสมั พันธ์เชิญชวนใหส้ มคั รเปน็ อาสาสมคั ร ค่ายพฒั นาเยาวชน ท่มี า : ทราเวลล์ 202 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
ในการอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่เหล่าเรนเจอร์ระหว่างวันท่ี 22-24 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ทีมผู้จัดค่ายได้ชักชวนเพื่อนที่มีประสบการณ์การ ท�ำงานเกี่ยวกับการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) และการท�ำงาน ร่วมกับเด็กมาช่วยเป็นพี่เล้ียงและน�ำกระบวนการ ฉันและเพ่ือนนักวิจัย อีกคนได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การอบรมวันท่ีสองที่ Once Again Hostel ห้องประชุมในวันนั้นดูเล็กไปถนัดตาเพราะมีคนอัดอยู่ในนั้นประมาณ 30 กวา่ คน ทง้ั ตวั เรนเจอร ์ พเี่ ลยี้ ง และคนในทมี ทราเวลลท์ ฉ่ี นั คนุ้ หนา้ พวกเขา กระจายกนั นง่ั อยรู่ อบโตะ๊ ประชมุ ยาว บา้ งกย็ นื อยโู่ ดยรอบ และบา้ งกน็ งั่ อยู่ ทพี่ นื้ ผนงั ฝง่ั หนงึ่ มกี ระดาษฟลปิ ชารต์ และกระดาษโนต้ สชี มพแู ปะอยู่ เชา้ วนั นนั้ ฉนั รสู้ กึ ไดถ้ งึ พลงั อนั เตม็ เปย่ี มของเหลา่ เรนเจอรท์ กุ คนทดี่ กู ระตอื รอื รน้ กับการเตรียมน�ำเสนอสิ่งท่ีพวกเขาได้พูดคุยและพบเห็นจากการลงชุมชน ในวนั แรก อาสาสมัครท้ังหมดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามชุมชนน�ำร่อง 3 แห่งคือ ชุมชนป้อมมหากาฬ ชุมชนบ้านบาตร และชุมชนนางเลิ้ง โดยแต่ละกลุ่มมี เวลานำ� เสนอ 15 นาท ี เมอ่ื ฟงั ทง้ั สามกลมุ่ แลว้ ฉนั รสู้ กึ ทง่ึ กบั ความสามารถ ในการเกบ็ ขอ้ มลู ไดค้ รอบคลมุ ในระดบั หนง่ึ จากการลงพน้ื ทเี่ พยี งไมก่ ช่ี วั่ โมง และการหาจุดขายให้แต่ละชุมชน แต่หลังจากการน�ำเสนอเสร็จส้ิน ดอร่า หนง่ึ ในพเ่ี ลยี้ งซง่ึ ทำ� งานดา้ นการใหค้ ำ� ปรกึ ษาแกบ่ รษิ ทั สตารต์ อปั (venture builder) โดยใชก้ ระบวนการคดิ เชงิ ออกแบบ ไดก้ ลา่ วเตอื นใจใหท้ กุ คนมอง กลับไปยังเส้ือ Neighbor Youth Camp ของตน เพราะสิ่งที่ทุกคนมุ่งเป้า ไปในการลงชมุ ชนและขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ าลว้ นเนน้ ไปทขี่ องดใี นชมุ ชน แตก่ ลบั ลมื เปา้ หมายหลกั ของโครงการน ้ี คอื การออกแบบกจิ กรรมใหแ้ ก ่ “เดก็ ” และจดุ ประกายให้เดก็ เหลา่ นร้ี ูจ้ ักชมุ ชนของตนเองและชุมชนใกล้เคียงมากขน้ึ เฟริ น์ พเ่ี ลยี้ งทมี่ าจากสายการตลาดเสรมิ วา่ การออกแบบกจิ กรรมครงั้ นี้ควรค�ำนึงถึงความต้องการและความสนใจของเด็กในชุมชนเป็นส�ำคัญ บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผขู้ บั เคล่ือนสังคม 203
(customer-centric design) โดยค�ำถามท่ีเป็นกุญแจส�ำคัญคือ “ปัญหา อะไรทย่ี งั ไมไ่ ดร้ บั การตอบสนอง และอะไรทส่ี ามารถเตมิ เตม็ ความตอ้ งการ ของเขา” (เฟิรน์ , 23 ตลุ าคม 2559) ส่วนพะโล้ พ่ีเลี้ยงอีกคนที่มีประสบการณ์การท�ำงานกับเด็กมามาก กล่าวว่า “เชื่อว่าข้อมูลที่เราได้มามันสามารถเอามาปะติดปะต่อ มาสร้าง ความเช่ือมโยงได้ในระดับหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นดาบสองคมเนอะ ในการท่ีเรา สรา้ งความเชอ่ื มโยงเอง เพราะวา่ สว่ นหนง่ึ คอื ...เรากเ็ อาความคดิ ของเรา เอา สถานะทางสงั คมกบั ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งเปน็ ตวั เชอื่ มโยงเหมอื นกนั เราพยายาม วาดความเชอ่ื มโยงของนอ้ งจากมมุ มองของเรา เพราะฉะนนั้ วนั นถ้ี า้ เราคดิ ไอเดยี ไดป้ บุ๊ เราลงไปหานอ้ งอกี ท ี พยายามไปถามนอ้ งดว้ ยวา่ ไอค้ วามเชอ่ื ม โยงท่ีเราคดิ ขนึ้ มา ส�ำหรบั นอ้ งมันใช่รเึ ปลา่ ” (พะโล,้ 23 ตุลาคม 2559) หลงั จากนนั้ แตล่ ะกลมุ่ จงึ แยกยา้ ยไประดมความคดิ กนั ใหมว่ า่ จากขอ้ มลู ท่ีได้มาทั้งจากการลงพื้นท่ีและการฟังเพ่ือนๆ น�ำเสนอในช่วงเช้า พวกเขา สามารถออกแบบกิจกรรมสำ� หรบั เด็ก 3 ชมุ ชนน้ีไดอ้ ย่างไร ในระหว่างการประชุมตอนสายเกิดประเด็นถกเถียงขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง เก่ียวกับจุดมุ่งหมายของค่ายพัฒนาเยาวชน ว่าจริงๆ แล้วทีมทราเวลล์ ตอ้ งการใหเ้ ดก็ สบื สานภมู ปิ ญั ญาและวถิ ชี วี ติ เดมิ ตอ่ ไป หรอื เพยี งตอ้ งการให้ พวกเขารู้จักรากเหง้าของตนเองเท่าน้ัน หลังจากคุยกันอยู่สักพักจึงได้ข้อ สรปุ จากทีมทราเวลล์ว่า ตอ้ งการใหเ้ ด็กร้วู ่ารากเหงา้ ภูมปิ ญั ญา และของดี ในชมุ ชนของตนเองคืออะไร เพอื่ เปิดโอกาสใหพ้ วกเขาสามารถ “เลือก” ได้ วา่ ตอ้ งการสบื สานมนั ตอ่ ไป ปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงใหเ้ หมาะกบั ยคุ สมยั หรอื ความสนใจของพวกเขา หรอื เลอื กที่จะไม่ทำ� มันตอ่ ฉันคิดว่าข้อสรุปท่ีได้นี้มีความส�ำคัญและเป็นประโยชน์อย่างมาก สำ� หรบั การทำ� งานกา้ วตอ่ ๆ ไปของทราเวลล ์ เพราะมนั จะนำ� ไปสเู่ ปา้ หมาย และการท�ำงานที่ชัดเจนมากขึ้นของทั้งทีมทราเวลล์เองและเหล่าเรนเจอร์ 204 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
ภาพท่ี 5 บรรยากาศในคา่ ย Neighbor Ranger ภาพ : วาสนา ศรปี รัชญาอนันต์ บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผขู้ บั เคล่อื นสังคม 205
ฉนั รสู้ กึ ทงึ่ กบั ความสามารถของทราเวลลใ์ นการดงึ คนรนุ่ ใหมท่ มี่ คี วามสนใจ เกย่ี วกบั ชมุ ชนและความยง่ั ยนื ใหม้ ารวมตวั กนั เพอื่ สรา้ งสรรคส์ งิ่ ใหมๆ่ สว่ น หนง่ึ ของอาสาสมคั รรจู้ กั โครงการนเี้ พราะเคยไปทรปิ เทย่ี วชมุ ชนทที่ ราเวลล์ จัด บ้างก็เป็นเพ่ือนในเฟซบุ๊กกับทีมทราเวลล ์ บ้างก็รู้จักกับศา ขณะท่ีบาง คนรจู้ ักผ่านการบอกเลา่ ปากตอ่ ปากมาอกี ท ี แต่สาระและความสนกุ ในการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารให้แก่เหล่าเรนเจอร์ เปน็ เพยี งจดุ เรมิ่ ตน้ เทา่ นนั้ และในทส่ี ดุ วนั ทเี่ หลา่ เรนเจอรร์ อคอยกม็ าถงึ วนั เด็กปี พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นการจัดค่าย Neighbor Youth Camp ครั้งแรก ค่ายน้ีประสบความส�ำเร็จในการท�ำให้เด็กๆ รู้จักกันข้ามชุมชน ทั้งยังได้รับ ความร่วมมือและการตอบรับจากผู้ใหญ่ในชุมชนเป็นอย่างดี ถึงแม้คนใน ชมุ ชนอาจจะยงั กงั ขากบั คนนอกอยบู่ า้ ง แตเ่ มอื่ ลกู หลานของพวกเขาเขา้ ไป ถามข้อมูลเพื่อใช้ในการท�ำกิจกรรม ผู้ใหญ่ทุกท่านก็ยินดีที่จะเล่าเรื่องราว ต่างๆ ให้เดก็ ๆ ฟงั การเขา้ มาสงั เกตการณแ์ ละรจู้ กั กบั คนเหลา่ นท้ี �ำใหฉ้ นั รสู้ กึ วา่ กรงุ เทพฯ ยังมีความหวังอยู่ โครงการนี้แสดงให้เห็นว่ายังมีคนรุ่นใหม่จำ� นวนไม่น้อย ทม่ี องหาวธิ กี ารทำ� ประโยชนเ์ พอื่ สงั คม และพรอ้ มจะแบง่ ปนั เวลามารว่ มกนั พัฒนาเมือง ดังที่หน่ึงในเรนเจอร์กล่าวว่า “จริงๆ สนใจอยากหากิจกรรม อย่างน้ีลงอยู่แล้ว แต่ว่าตัวเองไม่สามารถ contribute ได้เพราะท�ำงาน ประจ�ำเยอะ” (แป้ง, 23 ตุลาคม 2559) ลึกๆ แล้วมีหลายคนที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการท�ำความดีและ ช่วยเหลือสังคม แต่ด้วยวิถีชีวิตอันเร่งรีบและการงานที่รัดตัวจึงไม่รู้ว่า จะท�ำได้ท่ีไหนและอย่างไร ขณะเดียวกันการพัฒนาเมืองก็ต้องอาศัยความ ร่วมแรงร่วมใจของคนจ�ำนวนมาก ทราเวลล์จึงได้ “สร้างโอกาส” ให้คนท่ี มีความสนใจและมีศักยภาพเข้ามาเป็นเครือข่าย เพ่ือระดมสมอง ก�ำลัง และทนุ ทจ่ี ะช่วยให้การพฒั นาเมอื งเกดิ ขึ้นได้ 206 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
สือ่ สารผา่ นเครือขา่ ยสงั คมออนไลน์ ปจั จบุ นั บรษิ ทั และองคก์ รตา่ งๆ มกี ารใชเ้ ครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ (so- cial network) กนั อยา่ งแพรห่ ลายโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ “เฟซบกุ๊ ” ทราเวลล์ เองก็ใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางหลักในการบอกเล่ากิจกรรมของพวกเขา เช่น การหาอาสาสมัครค่ายพัฒนาเยาวชน การประชาสัมพันธ์ของดีในชุมชน การจ�ำหน่ายผลิตภัณฑ์ท่ีทราเวลล์ทำ� ร่วมกับคนในชุมชน อย่างกระเป๋าผ้า ตัดเย็บจากผ้าแคนวาสผสมผสานกับเศษผ้าท่ีเหลือจากการตัดเย็บจีวรใน ชมุ ชนวังกรมฯ “โซเชยี ลเนต็ เวริ ก์ ชว่ ยไดม้ ากถา้ เรามเี นอ้ื หาทโ่ี ดนใจคนทวั่ ไป คนทวั่ ไป ชอบเรื่องการกิน บัวลอยเนี่ยมันมีอยู่ข้างบริษัทที่ท�ำอยู่ เป็นบัวลอยของ ชุมชนวังกรมฯ เขาเป็นร้านเล็กๆ ต้ังข้างถนน แต่คนไม่รู้ว่าจะไปกินที่ไหน บัวลอยไข่หวานแบบนวลๆ อย่างน้ี พอเราโพสต์ไปปุ๊บ คนแชร์หลายร้อย เลย เปน็ คอนเทนตท์ เ่ี ยอะทส่ี ดุ ทเี่ ราเคยแชร์ บางทขี องเลก็ ๆ นอ้ ยๆ อะไร อยา่ งนกี้ ลายเปน็ คนกรงุ เขากโ็ หยหา เราโพสตก์ ลว้ ยทอด คนแชรก์ ลว้ ยทอด เยอะมาก บางทีเราก็ต้องหา blogger หรือ influencer คนดังๆ พาเขา มาเทย่ี ว แลว้ ใหเ้ ขาไปเขยี น มนั คอื หลกั การตลาดทว่ั ไปทเี่ ราตอ้ งท�ำ แตว่ า่ เรอ่ื งโซเชยี ลเนต็ เวริ ก์ กต็ อ้ งมเี บอ้ื งลกึ เบอ้ื งหลงั เชน่ เวลาการโพสต ์ เนอ้ื หา ที่จะโพสต์ต้องอย่ายาวเกินไป ก็จะมีหลักการอยู่เหมือนกัน เราต้องมีทีมท่ี ช่วยกนั คิด” (มัย, 23 มนี าคม 2560) วิธีน�ำเสนอข้อมูลของทราเวลล์มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะเป็น การผสมผสานระหว่างเนือ้ หาทดี่ ึงดดู ความสนใจคนรุ่นใหม่ มีความกระชับ เป็นกันเอง ใช้กราฟิกท่ีมีสีสันและดีไซน์ทันสมัย (ภาพท่ี 4) บางคร้ังมีการ แปลงข้อมูลเป็นภาพให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่นการจัดอันดับกล้วยทอดในด้าน ความชอบและความเสมอตน้ เสมอปลายของรสชาต ิ (ภาพท ่ี 7) การนำ� เสนอ บทเรียนการนำ�ร่วมจากผูข้ ับเคล่ือนสังคม 207
ท่ีชวนอ่านน้ีเกิดจากการรวมความเชี่ยวชาญอันหลากหลายของคนในทีม โดยเฉพาะปอ เนย และแวน ปอมพี น้ื ฐานเรอ่ื งการทำ� สอื่ ประชาสมั พนั ธอ์ ยู่ แลว้ ในขณะทเ่ี นยเรยี นมาทางดา้ นการเขยี นวรรณกรรมเดก็ ทง้ั สองคนดแู ล เรอ่ื งเนอ้ื หา ทำ� ใหข้ อ้ มลู ทน่ี ำ� เสนอมชี วี ติ และมคี ณุ คา่ ขน้ึ มา เมอ่ื ประกอบกบั การมีกราฟิกดีไซเนอร์อย่างแวนดูแลเรื่องรูปภาพควบคู่กันไป จึงท�ำให้งาน ออกมานา่ สนใจยงิ่ ขึน้ สร้างเครอื ขา่ ยเพ่อื มุ่งส่กู ารพัฒนาเมอื งเต็มรูปแบบ การท�ำงานกับชุมชนใน 1 ปีที่ผ่านมา ทราเวลล์ได้เรียนรู้จากการท�ำ งานกับคนท่ีมีความแตกต่างหลากหลาย ท้ังด้านวัย ทัศนคติ วิธีท�ำงาน ความเช่ือ และคุณค่าที่ยึดถือทั้งในกลุ่มตนเองและคนภายนอก เช่น คนใน ชุมชน นักวิชาการ เจ้าหน้าท่ีจากหน่วยงานรัฐบาล ทุกคนในทราเวลล์ได้ เห็นประเด็นปัญหาทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั ใน 4 ชุมชนน�ำร่อง อาทิ ภยั คุกคามดา้ น ท่ีอยู่อาศัย ความจ�ำเป็นในการท�ำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ความส�ำคัญในการพัฒนาคนในชุมชนท้ังเด็กและผู้ใหญ่ให้เห็น คณุ คา่ ของเอกลกั ษณท์ มี่ อี ยใู่ นชมุ ชน ทำ� ใหพ้ วกเขากลบั มาประเมนิ เปา้ หมาย แรกอกี คร้งั เปา้ หมายทต่ี ้องการพฒั นาการท่องเทยี่ วแบบย่ังยืน และใชก้ าร ท่องเท่ียวเปน็ เครอื่ งมือแกป้ ัญหาความยากจนในเมือง ทราเวลลม์ องวา่ การพฒั นาเมอื งทมี่ คี นเปน็ ศนู ยก์ ลางจ�ำเปน็ ตอ้ งมกี าร พฒั นาดา้ นอนื่ ๆ ควบคกู่ นั ไป เชน่ การสง่ เสรมิ การศกึ ษาและทกั ษะทจ่ี ำ� เปน็ การรักษาสภาพแวดล้อมให้สะอาดถูกสุขลักษณะ และการพัฒนาระบบ ขนส่งสาธารณะให้เข้าถึงชุมชนในเขตพระนคร เป็นต้น การท่องเท่ียว เพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยแก้ปัญหาด้านการพัฒนาเมืองทั้งหมด และทีม 208 ใจคน ชุมชน การเปล่ียนแปลง
ภาพท ี่ 6-7 ภาพประกอบงานเขยี นเร่ือง “Nang Loeng’s Fried Bananas Power Ranking !!!” ซึง่ นำ�เสนอขอ้ มูลการจัดอันดับกลว้ ยทอดยา่ นนางเลิ้ง ทีม่ า : ทราเวลล์ บทเรียนการน�ำ ร่วมจากผขู้ บั เคล่อื นสังคม 209
ทราเวลล์ 9 คนก็ไม่สามารถท�ำทุกอย่างให้เกิดขึ้นได้ พวกเขาจึงสร้างเครือ ข่ายให้กว้างขวางมากขึ้นโดยหาหน่วยงานหรือกลุ่มคนท่ีมีจุดมุ่งหมายบาง อย่างร่วมกัน และเชื่อมเครือข่ายเพ่ือมาพัฒนาตรงจุดนั้น (ภาพท่ี 8) เช่น กรมการพฒั นาชมุ ชน (พช.) สถาปนกิ ชมุ ชนและกลมุ่ “ทศิ ทาง” เขา้ มาชว่ ย เร่ืองการออกแบบพ้นื ทแี่ ละทอ่ี ยอู่ าศยั ของคนในชมุ ชนป้อมมหากาฬ กล่มุ Trash Hero ช่วยดูแลเร่ืองการเก็บขยะในชุมชน และกลุ่ม Saturday School สอนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษและการถ่ายภาพให้เด็กในชุมชน นอกจากน้ันทราเวลล์ยังค้นพบว่าพวกเขามีความสนใจอันแรงกล้าในการ พัฒนาเมือง ไม่ใช่เรื่องการน�ำทัวร์ พวกเขาจึงจับมือกับกลุ่ม Bangkok Vanguards ที่เน้นการท่องเท่ียวแบบลงไปเจาะลึกสภาพปัญหาของ สงั คมเมืองในกรุงเทพมหานคร ยิ่งไปกว่าน้ันทราเวลล์ยังคลอดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ โครงการ แรกคอื “เมลเ์ ดย”์ (Mayday) ซ่งึ เกดิ จากความสนใจของศา แวน เนย และ คนใน Once Again Hostel ในการแกป้ ญั หาระบบขนสง่ สาธารณะ ปญั หา การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะปรากฏให้เห็นเด่นชัดข้ึนในช่วงที่ พสกนิกรจากท่ัวสารทิศพยายามไปถวายสักการะพระบรมศพพระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระบรมมหาราชวัง ท�ำให้ ทราเวลลเ์ รม่ิ นกึ ถงึ การเดนิ ทางดว้ ยรถสาธารณะในบรเิ วณเกาะรตั นโกสนิ ทร์ และตระหนักว่าหากต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพ้ืนท่ีน้ี การพัฒนา ระบบขนสง่ กเ็ ป็นหน่งึ ในเร่อื งทีจ่ �ำเป็นอย่างย่งิ อีกโครงการหน่ึงคือ “สาธารณะ” (Urban Lab) ท่ีจะกลายเป็นศูนย์ กลางในการเก็บรวบรวมข้อมูลทุกเร่ืองเกี่ยวกับชุมชนในเกาะรัตนโกสินทร์ เพ่ือให้คนที่ต้องการเข้ามาช่วยเหลือหรือท�ำกิจกรรมกับชุมชนสามารถขอ ข้อมูลไปใช้ได ้ ท�ำให้การพัฒนาเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเริ่มใหม่จาก ศนู ย์ทุกคร้ัง 210 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
ภาพท ี่ 8 211 เครอื ข่ายของทราเวลล์ ท่ีมา : ผลการศกึ ษา บทเรียนการนำ�รว่ มจากผ้ขู ับเคลือ่ นสงั คม
“มันไม่ใช่เรื่องการท่องเที่ยวอีกแล้ว...เรื่องการพัฒนาเมือง อันน้ีมันมา ทีหลังทราเวลล์มากๆ มันคือเร่ืองใหม่ท่ีเพิ่งมาตอนเราทำ� ป้อมก็ด ี ตอนเรา ไปเจอชมุ ชนไปเจออะไรกด็ ี เหมอื นเราเจอความทา้ ทายทช่ี มุ ชนเจอแลว้ เรา รู้สึกว่า เอ้ย มันคือเรื่องเดียวกัน อย่างเช่นเร่ืองไล่ท่ี เด๋ียวชุมชนอื่นก็โดน เรารสู้ กึ วา่ มนั เปน็ เรอื่ งเมอื งทพ่ี ฒั นามาดว้ ยวธิ ไี ลค่ นออกจากเมอื ง เปน็ เรอ่ื ง วิธีคิดของทุนนิยมท่ีเอาบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นตัวตั้ง แล้วคนตัวเล็กๆ ก็ไม่มี สิทธ์ิมีเสียง พอเป็นเร่ืองประมาณนี้ก็จะสังเกตเร่ืองเมืองไปหมด ผมชอบ ขจ่ี กั รยานอยา่ งนก้ี จ็ ะลงิ กก์ บั เรอ่ื งระบบขนสง่ ประกอบกบั วา่ ทมี กบ็ า้ รถเมล์ เดินทางมาท�ำงานยังไง มันก็ใหญ่ข้ึนไปจากการท่องเที่ยว มันคือเรื่องของ การเดินทาง เรื่องของเมือง เร่ืองของท่ี มันเช่ือมโยงกับเรื่องอื่น ก็เลยเกิด Urban Lab ขึ้นมา” (ศา, 8 ธันวาคม 2559) นอกจากโครงการใหม่แล้ว ทราเวลล์ยังเร่ิมน�ำกระบวนการสร้างแนว ความคดิ (ideation) มาใชต้ งั้ แตเ่ รมิ่ ตน้ ทำ� งานกบั คนในชมุ ชน เพอ่ื ใหก้ จิ กรรม ท่ีจะท�ำเป็นส่ิงที่เกิดจากความคิดและความต้องการอันแท้จริงของคนใน ชุมชน ยกตัวอย่างเช่นห้องสมุดในป้อมมหากาฬเป็นหนึ่งในไอเดียท่ีเด็กๆ เขียนกันเองว่าอยากท�ำ เนยสนใจหนังสือและห้องสมุดอยู่แล้ว จึงอาสา เข้าไปช่วยเด็กๆ สร้างห้องสมุดและรวบรวมหนังสือ อีกกิจกรรมหนึ่งที่ใช้ กระบวนการนค้ี อื การวางผงั พนื้ ทใ่ี นปอ้ มมหากาฬใหมเ่ พอ่ื จดั ใหเ้ ออื้ ตอ่ การ เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต มีการขยายพ้ืนที่สาธารณะให้มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยมี ชาวบา้ นเปน็ ผเู้ สนอแนวทางในการจดั เรยี งบา้ นไมแ้ ละพนื้ ทสี่ ว่ นกลาง แผนภาพเครือข่ายของทราเวลล์น้ียังแสดงให้เห็นถึงทรัพยากรส�ำคัญ อกี อยา่ งหนงึ่ คอื เงนิ ทนุ ตงั้ แตก่ อ่ ตง้ั มาทราเวลลไ์ ดร้ บั เงนิ ทนุ จาก 2 แหลง่ ใหญ ่ หนงึ่ เงนิ รางวลั จากเวท ี One Young World และสอง เงนิ สนบั สนนุ จากกลมุ่ สถาบนั วทิ ยาการตลาดทนุ (วตท.) รนุ่ ท ี่ 18 วตท. เปน็ หนว่ ยงาน ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ศารู้จักสมาชิก 212 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
กลุ่ม วตท. รุ่น 18 จากการเข้าอบรมหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้าใน ระหวา่ งทเ่ี ขาเปน็ นายกองคก์ ารบรหิ ารสโมสรนสิ ติ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ในป ี พ.ศ. 2553 เมอื่ กลมุ่ วตท.18 ไดร้ บั รเู้ กย่ี วกบั การทำ� งานของทราเวลล์ จงึ เสนอใหเ้ งินสนับสนุนโครงการในป ี พ.ศ. 2559 ทราเวลล์ยังได้รู้จักเครือข่ายที่มีอยู่เดิมของแต่ละชุมชน เช่นป้อม มหากาฬมคี วามสมั พนั ธอ์ นั แนน่ แฟน้ กบั ชมุ ชนคลองโอง่ อา่ งและนกั วชิ าการ จากหลายสถาบัน อาทิ ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม, อาจารย์ ปฐมฤกษ์ เกตุทัต, อาจารย์ชาตรี ประกิตนนทการ ผู้ท�ำงานวิจัยเก่ียวกับ ชุมชนบ้านไม้โบราณในป้อมมหากาฬกว่า 10 ปี, คณะโบราณคดี มหา- วิทยาลัยศิลปากร นอกจากน้ีทราเวลล์ยังมีเครือข่ายนักวิชาการมหา- วิทยาลัยกรุงเทพ ท่ีรู้จักผ่านการท�ำงานกับ สกว. อีกด้วย เครือข่าย ทรัพยากรเหล่านี้อาจส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการท�ำงานพัฒนา เมอื งอยา่ งเตม็ รปู แบบทที่ ราเวลลท์ �ำรว่ มกบั ชมุ ชน ซงึ่ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ เรอื่ งรอบ ด้าน ทั้งการศึกษา สิ่งแวดล้อม ระบบขนส่งสาธารณะ ไปจนถึงที่อยู่อาศัย โดยสรปุ การสรา้ งเครอื ขา่ ยของทราเวลลเ์ กดิ ขน้ึ ผา่ นแรงผลกั 2 อยา่ ง แรงผลักแรกคือการใช้เป้าหมายหรือประเด็นร่วมกับภาครัฐและกลุ่มอาสา สมัครกลุ่มอื่น เช่นกลุ่ม Trash Hero ท่ีท�ำงานเรื่องการเก็บขยะเพ่ือปรับ สภาพภูมิทัศน์ แรงผลักที่สองคือการมีจิตสาธารณะของคนรุ่นใหม ่ แหล่ง ทุน และที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญสาขาต่างๆ เช่น สถาปนิกชุมชน นัก วชิ าการ และนกั กฎหมาย ทราเวลลเ์ นน้ วธิ สี รา้ งเครอื ขา่ ยกบั คนรนุ่ ใหมท่ ม่ี ี จิตอาสาผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะเฟซบุ๊กซึ่งสามารถส่งต่อ ขอ้ มลู ไดใ้ นวงกวา้ งผา่ นการแชร ์ และใหป้ ระสบการณร์ ว่ มผา่ นฟงั กช์ นั่ เฟซบกุ๊ ไลฟ์ บทเรยี นการน�ำ ร่วมจากผขู้ ับเคล่อื นสังคม 213
สรุปบทเรยี นการน�ำร่วม ภาวะการน�ำรว่ มในกลุ่มทราเวลล์ จากการลงพนื้ ทพ่ี ดู คยุ และสงั เกตการทำ� งานของทราเวลลใ์ นระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา และจากการศึกษางานวิชาการเก่ียวกับภาวะการน�ำร่วม ซ่ึงมีกุญแจส�ำคัญอยู่ที่ความสามารถในการดึงคนที่มีศักยภาพและความ เช่ียวชาญขน้ึ มาเปน็ ผนู้ ำ� ในสถานการณท์ ่ีเหมาะสม การแบง่ ปนั ข้อมลู อย่าง ทั่วถึงในทีม และการตัดสินใจร่วมกัน (Friedrich, Vessey, Schuelke, Ruark, & Mumford, 2009) ทมี นกั วจิ ยั เหน็ พอ้ งกนั วา่ ทราเวลลม์ ลี กั ษณะ การทำ� งานทเ่ี ออ้ื ใหเ้ กดิ ภาวะการนำ� รว่ ม โดยสว่ นหนง่ึ อาจเกดิ จากขนาดของ กลมุ่ ยงั มขี นาดเลก็ สว่ นใหญเ่ ปน็ คนรนุ่ เดยี วกนั มสี ถานะทางสงั คมใกลเ้ คยี ง กัน และยึดถือคุณค่าทางสังคมคล้ายๆ กัน นอกจากนี้พ้ืนฐานวิชาชีพอัน แตกต่างหลากหลายของแต่ละคนยังท�ำใหเ้ กดิ การเคารพความคิดเห็นและ ความเชี่ยวชาญของกันและกัน มีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน และให้ อิสระในการท�ำงานพอสมควร แต่ระหว่างทางก็มีการกลับมาแลกเปลี่ยน ข้อมูลท่ีได้รับมาหรือปรึกษางานด้านที่ตนเองรับผิดชอบ จึงไม่มีใครคนใด คนหนึ่งสวมบทบาทผู้นำ� ที่ยดึ ครองอำ� นาจในการตัดสินใจเพียงผเู้ ดยี ว อย่างไรก็ดี แม้จะบอกว่าไม่มีผู้น�ำแนวด่ิงในทีม แต่ชื่อที่เราได้ยินบ่อย ท่ีสุดในช่วงเก็บข้อมูล ท้ังจากปากคนในทีมทราเวลล์และเหล่าเรนเจอร์คือ ช่ือ ศานนท์ เช่นเวลามีการประชุมร่วมกันระหว่างทีมวิจัยกับทีมทราเวลล์ ทุกคนในทีมจะให้ศาเป็นคนพูดก่อน ท�ำให้เกิดคำ� ถามข้ึนในใจว่า เสียงของ ศา “ดงั ” กวา่ คนอนื่ หรอื เปลา่ และศาเปน็ ผนู้ ำ� ของกลมุ่ หรอื ไม ่ ทวา่ เมอื่ นกั 214 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
ตัวเขาเชอื่ วา่ เมอื งมนั เปลี่ยนได ้ ปอ้ มมหากาฬมันอยูไ่ ด้ ...คอื รวู้ ่ามนั ยาก แตเ่ ขามองว่ามันเปน็ ไปได้ ...พอพ่ีศาช้ีวา่ มันเปน็ ไปได้จริงๆ มนั นา่ จะเปน็ ไปได้ ทุกคนก็เลยกล้ามาทำ� วจิ ยั เขา้ สงั เกตการณแ์ บบไมม่ สี ว่ นรว่ มอยวู่ งนอก เชน่ ในการประชมุ วางแผน ท�ำค่าย Neighbor Youth Camp เราสังเกตเห็นว่าศาไม่ได้มีบทบาทหรือ อำ� นาจมากกวา่ คนอน่ื ในทางกลบั กนั ทมี พเ่ี ลย้ี งอยา่ งโมและมมู น้ิ เปน็ คนนำ� การประชุมเสยี ด้วยซ้ำ� ถึงกระนน้ั คำ� ถามนยี้ งั คงวนเวยี นอยูใ่ นความคิดฉัน จนกระทง่ั วนั ทไี่ ดค้ ยุ กบั เนยและแวน ทงั้ คตู่ อบเปน็ เสยี งเดยี วกนั วา่ ศาไมไ่ ด้ ท�ำตัวเปน็ ผู้น�ำทกี่ ุมอ�ำนาจ แตเ่ ขาเป็นผู้จุดประกาย เนย : หนวู า่ เขาเปน็ คนจดุ ประกายมากกวา่ เปน็ ผสู้ ง่ั การ เปน็ คนทชี่ วน คนนั้นคนนี้มาทำ� เหมือนเปน็ hub ของทุกอยา่ ง เปน็ จดุ ศนู ย์กลางที่ดึงคน น้ันคนน้ีมาท�ำ ชวนคนนั้นมาท�ำจับคู่กับคนนี้ จับคู่ต่อจุดต่างๆ เข้าด้วยกัน มากกวา่ เปน็ ผนู้ ำ� ทกุ คน พาทุกคนไป เนยว่าพศี่ าพยายามยอ่ ตัวเองใหเ้ ลก็ มากๆ คนนน้ั คนนม้ี าทำ� ดกี วา่ เขาชอบพดู วา่ เขาไมเ่ กง่ ไมเ่ กง่ อะไรเลย แต่ จรงิ ๆ สงิ่ ทเี่ ขาเกง่ มากๆ คอื การรจู้ กั คนนน้ั คนนแี้ ลว้ ชวน แลว้ กเ็ อาไฟในตวั เขาท�ำให้คนอ่นื อยากมาทำ� ด้วย บทเรียนการนำ�ร่วมจากผขู้ ับเคลือ่ นสงั คม 215
แวน : เหมือนเขาเป็นคนจุดประกาย มาท�ำอันน้ีกัน อย่างโพรเจ็กต์ Neighbor Youth จุดประกายเสร็จแล้วก็กลายเป็นพ่ีโมพี่มูม้ินเป็นหัวหน้า อันน้ีไป หลายๆ อย่างกเ็ ปน็ พี่โมพม่ี มู ิ้นเป็นคนตดั สนิ ใจ ฉนั ถามตอ่ ดว้ ยความสนใจยงิ่ ไปกวา่ เดมิ วา่ “แลว้ อะไรในตวั ศาทม่ี นั จดุ ประกายใหท้ กุ คน” เนย : หนูว่าพี่ศาเขามองว่าทุกอย่างเป็นไปได้...ตัวเขาเชื่อว่าเมืองมัน เปลี่ยนได้ ป้อมมหากาฬมันอยู่ได้ เห็นความเป็นไปได้ในสิ่งน้ันๆ คือรู้ว่า มันยาก แต่เขามองว่ามันเป็นไปได ้ เพราะฉะน้ันคนอื่นเห็นว่าเขาเชื่อว่ามัน เปน็ แบบน ้ี เหน็ วา่ พอพศี่ าชวี้ า่ มนั เปน็ ไปไดจ้ รงิ ๆ มนั นา่ จะเปน็ ไปได้ ทกุ คน ก็เลยกลา้ มาทำ� (เนยและแวน, 8 ธันวาคม 2559) การท�ำตัวให้เล็กและมองว่าทุกอย่างเป็นไปได้เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการ กล่าวถึงนักในงานวิชาการที่ผ่านมาเก่ียวกับภาวะผู้นำ� ร่วม แต่มันเป็นส่วน ประกอบที่ส�ำคัญยิ่ง และเป็นสองส่ิงที่เก่ียวโยงกันอยู่ ค�ำพูดท่ีว่า “ไม่เก่ง อะไรเลย” และการชักชวนคนอื่นมาร่วมท�ำงานบ่งบอกถึงความเช่ือม่ันใน ศกั ยภาพของผอู้ นื่ เปน็ การทำ� งานทใี่ หค้ ณุ คา่ กบั การทำ� งานเปน็ ทมี เมอื่ เชอื่ มั่นในศักยภาพของคนแล้วก็เปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นได้แสดงศักยภาพที่มี อยู่ได้อย่างเต็มท ่ี โดยมองว่าทุกอย่างเป็นไปได้หากคนทำ� มีความปรารถนา อันแรงกล้าและมีความตั้งใจจริง ลักษณะการท�ำงานแบบนี้คล้ายกับคำ� ว่า empowerment ทหี่ มายถงึ การมอบอำ� นาจ ความรบั ผดิ ชอบ และอสิ รภาพ ในการท�ำงานให้แก่คนอื่น ส่วนการท�ำงานแบบ one-man show ที่คน คนเดยี วสามารถท�ำไดท้ กุ อยา่ ง ศาบอกวา่ “สง่ิ ทผี่ มคดิ มนั มที กั ษะทบ่ี างคน ตอ้ งนำ� ถา้ ผมไมป่ รกึ ษา ไมเ่ กดิ การคยุ กนั ตกผลกึ รว่ มกนั มนั กจ็ ะทำ� ไมไ่ ด”้ (ศา, 8 ธนั วาคม 2559) 216 ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง
ปญั หาใหญ่ทผ่ี มเห็นตอนนคี้ อื motivation ท่ีจะทำ�สิ่งนน้ั ไปได้นานๆ มนั นา่ จะเป็นเรื่องสำ�คญั กว่าเงนิ ซะอกี ลกั ษณะเดน่ อกี 2 ประการของศาคอื การมเี ครอื ขา่ ยทก่ี วา้ งขวางและ ความสามารถในการเชอื่ มโยงคนใหเ้ หมาะกบั งาน ศาเปน็ ทรี่ จู้ กั ตงั้ แตส่ มยั เรียนมหาวิทยาลัยจากการท�ำค่ายอาสาและการเป็นนายกองค์การบริหาร สโมสรนสิ ติ จฬุ าฯ ศาจงึ รจู้ กั คนหลากหลายซง่ึ มคี วามเชยี่ วชาญในเรอ่ื งทต่ี า่ ง กันไป และสามารถดึงคนเหล่าน้ันมาช่วยในการท�ำงานด้านต่างๆ ของ ทราเวลล์ ท้ังการให้ค�ำปรึกษา การลงแรง และการให้เงินทุน ดังน้ันศาจึง มองวา่ “เงนิ สำ� หรบั ผมไมใ่ ชเ่ รอ่ื งยาก ถา้ คณุ จะทำ� หรอื วา่ คณุ อยากทำ� เรอ่ื ง นี้ แล้วคุณต้องใช้งบก้อนแรกเท่านี้น่ะ มันหาได้ ปัญหาใหญ่ที่ผมเห็นตอน นี้คือ motivation ที่จะท�ำส่ิงน้ันไปได้นานๆ มันน่าจะเป็นเร่ืองส�ำคัญ กวา่ เงนิ ซะอกี ” (ศา, 8 ธันวาคม 2559) บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผู้ขับเคลอื่ นสังคม 217
เจ้า motivation หรือแรงจูงใจน้ีแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คอื แรงจงู ใจจากภายนอก (extrinsic motivation) เชน่ คำ� ชม โบนสั หรอื แม้ กระท่ังค�ำพูดสร้างแรงบันดาลใจ ซ่ึงต้องมีการเติมอยู่เร่ือยๆ จากภายนอก ส่วนท่ีสองคือ แรงจูงใจจากภายใน (intrinsic motivation) เกิดขึ้นเวลา คนไดท้ ำ� สง่ิ ทตี่ นเองรกั ดว้ ยความปรารถนาอยา่ งแรงกลา้ (passion) มนั เปน็ แรงผลกั จากภายในทที่ ำ� ใหค้ นสามารถทำ� สงิ่ สง่ิ หนงึ่ อยา่ งลมื วนั ลมื คนื หรอื ที่เรียกว่า flow (Csikszentmihalyi & Hermanson, 1995) และตั้งใจ ท�ำสิ่งนนั้ ใหอ้ อกมาดที ่สี ุด ฉันคิดว่าแรงจูงใจท่ีศาหมายถึงคือ แรงจูงใจจากภายใน เพราะศาเคย เล่าว่า “ผมแฮปปี้เวลาผมรู้ว่าใครมี passion อะไรจริงๆ เพราะมันเป็นสิ่ง เดยี วทที่ ำ� ใหเ้ วลาเจออาการอะไร เขาจะไมห่ ลดุ เขาจะเดนิ ตอ่ ” (ศา, 8 ธนั วาคม 2559) ศาจึงเลือกคนที่มีความถนัดและความมุ่งม่ันในการท�ำหน้าท่ีน้ัน เข้ามาท�ำงาน และศาเช่ือว่าประสิทธิภาพในการท�ำงานมาพร้อมกับความ สขุ ทเี่ กดิ จากการไดท้ ำ� สง่ิ ทรี่ กั ดงั นน้ั หากคนในทมี คน้ พบวา่ ตนเองไมเ่ หมาะ กับงานไหน หรือค้นพบสิ่งท่ีตนเองรักและอยากท�ำ ศาและคนอ่ืนๆ ใน ทราเวลลก์ พ็ รอ้ มจะสนบั สนนุ ใหท้ ำ� สงิ่ นนั้ หรอื นำ� สง่ิ นนั้ เขา้ มาเปน็ สว่ นหนงึ่ ในการท�ำงาน เช่นล่ีท่ียังรักในการท�ำหนังอาจท�ำหนังสารคดีเก่ียวกับชุมชน เพ่ือสนับสนุนการท�ำงานของทราเวลล์และโครงการ “สาธารณะ” ในอีก รูปแบบหน่งึ ที่ไมใ่ ช่แคก่ ารน�ำทัวร ์ นอกจากน้ันการเป็นผู้น�ำในแง่ของภาวะผู้น�ำร่วมไม่ได้เป็นต�ำแหน่ง หวั โขนทต่ี ายตวั แตส่ ามารถเปลย่ี นแปลงและยดื หยนุ่ ไดต้ ลอดเวลา ขนึ้ อยู่ กับโอกาสและลักษณะงานในตอนนั้น เน่ืองจากงานแต่ละงานต้องอาศัย ความเชย่ี วชาญทห่ี ลากหลาย เมอื่ งานเรยี กรอ้ งความเชยี่ วชาญอยา่ งหนงึ่ คน ที่มคี วามช�ำนาญและสามารถตอบสนองความตอ้ งการน้นั ไดก้ จ็ ะขน้ึ มาเป็น ผู้น�ำ แต่เม่ือความเชี่ยวชาญท่ีต้องการเปล่ียนไป คนอื่นก็จะข้ึนมาน�ำ 218 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
แทน “เหมอื นวา่ เราเปน็ ผนู้ ำ� ในบางประเดน็ แลว้ ในบางประเดน็ ทเี่ ราไมถ่ นดั เราก็ตอ้ งเปน็ ผ้ตู าม” (ล่,ี 2 ธันวาคม 2559) แต่ภาวะการน�ำร่วมแนวระนาบแบบน้ีก็มีข้อจ�ำกัด การท่ีทุกคนเป็น เพื่อนรุ่นเดียวกนั พยายามจะเคารพและรบั ฟังความคดิ เหน็ ของกนั และกนั ทำ� ใหไ้ มม่ ใี ครพยายามท�ำตวั เปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชา ประกอบกบั การทที่ ราเวลล์ แบ่งหน้าท่ีกันอย่างชัดเจน และทุกคนต่างมีอิสระในการท�ำงานของตนเอง สง่ ผลใหไ้ มม่ คี นมองภาพรวมวา่ แตล่ ะจดุ ทท่ี ำ� สามารถเชอื่ มโยงกนั ไดอ้ ยา่ งไร นอกจากนั้นในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ทราเวลล์ท�ำโครงการเพ่ิมอีก 2-3 เรื่อง พร้อมกับให้ความช่วยเหลือชุมชนในด้านต่างๆ แต่สิ่งท่ีท�ำเหล่านี้ส่ง ผลอยา่ งไรตอ่ เปา้ หมายทว่ี างไว ้ คนในทมี ทราเวลลเ์ องกส็ ะทอ้ นความกงั วล เหล่าน้อี อกมาคลา้ ยๆ กนั “เรือ่ งน้ียังเปน็ ปญั หาอยูเ่ ลก็ นอ้ ย ตอนน้ีต้องมาคยุ วา่ ต้องมงุ่ ไปในหนึ่ง ทาง แล้วช่วยกันท�ำ เหมือนปั้นหม้อ ต้องปั้นหนึ่งหม้อ แล้วคนหน่ึงเขียน ลวดลาย อีกคนหนง่ึ อะไรยงั งี ้ มนั จะต้องเป็นในเชงิ นัน้ แตป่ กตคิ อื คนน้ไี ป ทำ� ชมุ ชนน ี้ คนนก้ี ไ็ ปทำ� ชมุ ชนน ี้ แลว้ พอมนั ลกึ ไปแตล่ ะดา้ น มนั ไมค่ อ่ ยมคี น มองภาพรวม” (ล,ี่ 2 ธนั วาคม 2559) จากสง่ิ ทลี่ เี่ ลา่ ใหฟ้ งั มนั เหมอื นเปน็ การแบง่ หนา้ ทต่ี ามความถนดั แลว้ ต่างคนต่างแยกย้ายไปท�ำส่วนท่ีตนรับผิดชอบ ท�ำให้งานที่ท�ำแยกออกจาก กนั เพราะไมม่ ใี ครเปน็ คนมองภาพรวม เปรยี บเสมอื นการปน้ั หมอ้ คนหนง่ึ ข้ึนรูป คนหนึ่งท�ำหู อีกคนท�ำฝา แต่ไม่มีคนท่ีเข้าใจว่าสุดท้ายหม้อใบน้ีจะ หนา้ ตาเปน็ อยา่ งไรและเอาไวใ้ ชท้ ำ� อะไร ซง่ึ คลา้ ยกบั ทศี่ าเปรยี บการทำ� งาน เปน็ การขับรถ ศา : ผมวา่ เลนมันเยอะไป คอื ถนนมันใหญ.่ ..เรารวู้ า่ ทกุ คนมี passion ในสงิ่ ทเ่ี ราอยากทำ� กนั หมด แลว้ ไอ ้ passion นจ้ี รงิ ๆ มนั กเ็ สรมิ สง่ิ ทเี่ รากำ� ลงั บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผูข้ ับเคลือ่ นสังคม 219
ท�ำร่วมกันได้ แต่พอถนนมันกว้างไปก็เลยไม่เดินไปในเส้นเดียวกัน กลาย เป็นมีรถกันคนละคัน แล้วก็มีจังหวะท่ีมาน่ังด้วยกันบ้างในบางโพรเจ็กต์... เหมือนแต่ละเลนมันมีส่ิงกีดขวางต่างกันน่ะ อย่างตอนท�ำป้อม ทุกคนรุม เสร็จ จริงๆ จะถึงจุดหมายแล้วนะ แต่เหมือนน้�ำมันหมด คือเจ้าของท่ีไม่ เข้าใจเลย แต่อีกคนั นะ่ น้�ำมันเต็มถัง แต่พวกเรายงั ไม่ได้ข้ึนรถกัน มัย : แตก่ ็รสู้ กึ ว่าช่วงหน่ึงปีที่ผา่ นมายงั พดู ค�ำว่า “ทดลอง” นะ เพราะ ว่าจรงิ ๆ มันก็เปน็ การแวะที่มีประโยชน.์ ..ไดเ้ ห็นอะไรเยอะมากขึน้ เลย (ศาและมยั , 2 กมุ ภาพันธ์ 2560) ท้ังการปั้นหม้อและการขับรถเป็นอุปมาท่ีท�ำให้เห็นภาพข้อจ�ำกัดใน การท�ำงานได้กระจ่างขึ้น โดยเฉพาะด้านภาพรวมและเป้าหมายร่วมของ ทราเวลล์ เพราะหลายกิจกรรมเป็นการทำ� “หน้างาน” เนื่องจากถูกเร่งรัด และบบี คน้ั จากภยั คกุ คามภายนอก เชน่ กรณปี อ้ มมหากาฬ ดงั นนั้ ทราเวลล์ จึงอาจยังไม่มีเวลาคิดถึงภาพรวมมากนัก และอย่างที่มัยกล่าว “การแวะ” ทำ� บางอยา่ งกช็ ว่ ยเสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งทราเวลล์ กบั ชมุ ชน จดุ แวะนน้ั อาจจำ� เปน็ ตอ่ การทำ� งานกบั ชมุ ชนในระยะยาวกเ็ ปน็ ได้ นอกจากภาพรวม ยังมีอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจจากอุปมาการขับ รถ ไดแ้ ก ่ สง่ิ กดี ขวางบนถนนแตล่ ะเลน รถทน่ี ำ้� มนั หมด และรถทนี่ ำ้� มนั เตม็ แต่ยังไม่ได้ขึ้น ส่ิงกีดขวางที่ต่างกันในแต่ละเลนอาจเปรียบได้กับอุปสรรค และความท้าทายที่ทราเวลล์ตอ้ งเผชิญในแต่ละพ้ืนที ่ บางอยา่ งอาจจะใหญ่ โตเปน็ ภเู ขาทไ่ี มส่ ามารถขา้ มพน้ ไปได้ แตบ่ างอยา่ งอาจเปน็ เพยี งลกู ระนาด ทที่ ำ� ใหร้ ถตอ้ งชะลอความเรว็ ลง เชน่ การสรา้ งความไวว้ างใจกบั กลมุ่ ตา่ งๆ ในชุมชน การปรับทัศนคติในการท�ำงานให้ตรงกัน และการท�ำความเข้าใจ กับผู้ใหญ่ในชมุ ชนใหพ้ าบุตรหลานมาเข้ารว่ มคา่ ยพัฒนาเยาวชน เป็นต้น ประเด็นที่สอง ในบางกรณีทราเวลล์อาจเติมนำ�้ มันมาเต็มถังพอให้ขับ 220 ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง
ออ้ มตน้ ไมท้ ล่ี ม้ ขวางทางอยไู่ ปจนถงึ ปลายทางได ้ แตพ่ อขบั ออ้ มไปแลว้ กลบั พบวา่ ไมใ่ ชแ่ คต่ น้ ไมล้ ม้ แตม่ ดี นิ ถลม่ ดว้ ย นำ้� มนั เลยหมดกอ่ นจะขา้ มผา่ นไป ได้ สองประเด็นแรกนี้มีปัจจัยภายนอกท่ีอยู่นอกเหนือการควบคุมของ ทราเวลล์เขา้ มาเกยี่ วขอ้ ง ในประเดน็ สดุ ทา้ ย ทราเวลลม์ รี ถอกี คนั ทมี่ นี ำ้� มนั เตม็ ถงั และปลายทาง อาจจะอยู่ใกล้กว่า การเลือกท่ีจะข้ึนรถหรือไม่นั้นเป็นปัจจัยที่ทราเวลล์ ควบคมุ ได ้ แตท่ กุ คนในทมี กำ� ลงั อยรู่ ะหวา่ งทางไปทอี่ นื่ อย ู่ ทำ� ใหร้ ถคนั นต้ี อ้ ง จอดทง้ิ ไวเ้ ฉยๆ เหมอื นกบั สถานการณป์ จั จบุ นั ทท่ี ราเวลลม์ งี านในชมุ ชนลน้ มืออยูแ่ ลว้ ทง้ั ยงั มขี ้อจำ� กัดเร่อื งเวลา แรงงาน และทรัพยากรอ่นื ๆ ฉะนน้ั หากมกี ารทบทวนก�ำลงั ของทมี เปน็ ระยะ และกำ� หนดจดุ หมายปลายทางไว้ อยา่ งชดั เจน ทราเวลลอ์ าจสามารถจดั สรรทรพั ยากรไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ มากข้ึน รู้ว่าเม่ือไรควรจะเติมน้�ำมันเพ่ิม เมื่อไรควรจะหยุดแวะข้างทาง เป็นการเพ่ิมทางเลือกใหแ้ ก่ตนเอง ภาวะการน�ำรว่ มระหว่างทราเวลลก์ บั ชมุ ชน นอกเหนอื จากกระบวนการท�ำงานในทมี ทราเวลลเ์ อง หนงึ่ ปที ผ่ี า่ นมา ทกุ คนในทราเวลลล์ ว้ นมปี ระสบการณก์ ารท�ำงานรว่ มกบั ชมุ ชนทง้ั สนิ้ ไมว่ า่ จะเป็นการจัดทัวร์ ขอข้อมูลเพ่ือประชาสัมพันธ์ การท�ำกระบวนการสร้าง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน (co-creation) และการจัดกิจกรรมในชุมชน ทราเวลลท์ ำ� งานอยบู่ นฐานคดิ ทวี่ า่ คนในชมุ ชนเปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญในวถิ ชี วี ติ และ ของดขี องเขา สว่ นทราเวลลเ์ ขา้ ไปชว่ ยในสงิ่ ทต่ี นเองถนดั และชว่ ยสรา้ งเครอื ข่ายที่อาจมีประโยชน์ต่อชุมชน เม่ือน�ำความเช่ียวชาญของท้ังสองกลุ่มมา ผสมผสานกันจะท�ำให้เสน่ห์ของชุมชนเด่นชัดขึ้นจนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่ บทเรียนการนำ�ร่วมจากผขู้ บั เคลื่อนสังคม 221
หลาย ท�ำให้ชุมชนสามารถดำ� รงอย่ไู ด้อย่างยงั่ ยนื ถึงแม้ทราเวลล์จะพยายามเข้าไปคุยกับคนหลายกลุ่มท่ีเกี่ยวข้องกับ ชมุ ชน และรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากชมุ ชนตงั้ แตแ่ รกโดยไมบ่ งั คบั หรอื ยดั เยยี ด ความคดิ ของตนใหช้ าวบา้ น เชน่ การปรบั เปลย่ี นรปู แบบผลติ ภณั ฑอ์ ยา่ งกรง นกเขา แต่กิจกรรมบางอย่างในช่วงแรกก็ยังเกิดจากความคิดของทราเวลล์ เป็นหลัก เช่นการท�ำถุงผ้าจากเศษจีวรที่ชุมชนวังกรมฯ หรือทริปท่องเที่ยว ในชุมชนนางเลิ้งท่ีถึงแม้จะมีการประสานงานและปรึกษาเส้นทางการท่อง เทย่ี วกบั คนในชมุ ชน แตท่ ราเวลลก์ เ็ ปน็ ตน้ คดิ เรอ่ื งการนำ� นกั ทอ่ งเทย่ี วเขา้ ไป “แตก่ ่อนผมจะคิดวา่ อันนีด้ ี แล้วผมจะพยายามคยุ กับเขา เพอ่ื ท่ีเรามา ชว่ ยดา้ นน ี้ คณุ กต็ อ้ งเชอื่ ในดา้ นนข้ี องเรา เราเชอื่ ในดา้ นนขี้ องเขา แตว่ า่ มนั เปลย่ี นไป อยา่ งในสถาปนกิ ชมุ ชนทมี่ าทำ� บา้ นกนั ถา้ เปน็ แตก่ อ่ น [เราเปน็ ] expert บ้าน [พี่ฟังผม] แต่เปล่ียนทุกอย่าง ต้องบอกว่าพ่ีก็สร้างบ้านได้ เออ วธิ กี ารคดิ ใหม ่ เปน็ วธิ กี ารคดิ แบบพก่ี ส็ รา้ งได ้ พวี่ าดมาส ิ พอพว่ี าดเสรจ็ แลว้ กไ็ มใ่ ชพ่ ค่ี นเดยี ว เอาคนอน่ื มาดว้ ย มาใหห้ มดเลย เอามาวาดบา้ น แลว้ ก็ถกเถียงกัน ตกผลึก แล้วก็เปล่ียนใหม่ วาดใหม่ มันกลายเป็นว่าได้บ้าน ท่ีเขาอยากได้ ได้บ้านของเขา ผมก็เลยรู้สึกว่าทริปท่ีเราสร้างมันเป็นทริป ของเรา เป็นการทอ่ งเที่ยวของเรา เปน็ สิ่งทเี่ ราคดิ มาก่อน แลว้ มาคุยกบั เขา เขามีจังหวะคิดแหละ ให้เขาช่วยดีไซน์แหละ แต่เราไม่เคยถามเขาเลย...มัน ไมเ่ คยถกู ตกผลกึ co-create รว่ มกนั วา่ จรงิ ๆ...วธิ กี ารทเี่ ราบอกวา่ จะกระจาย เงนิ ผา่ นการทอ่ งเทยี่ วเนยี่ เขาอยากไดร้ เึ ปลา่ เขาพรอ้ มรเึ ปลา่ ทผ่ี มเรยี นรู้ มามันเป็นวิธีการคิดแบบใหม่ท่ีผมได้ตอนท�ำป้อม แล้วผมว่าทีมทุกคนได้ หมด” (ศา, 8 ธนั วาคม 2559) การท�ำงานร่วมกับชุมชนเป็นอะไรที่มากกว่าการพบกันคร่ึงทาง มัน ไม่ใช่ว่าเราเชี่ยวชาญด้านน้ี ชาวบ้านเช่ียวชาญด้านนั้น แล้วมาเจอกันตรง กลาง แต่มันหมายถึงความเช่ือมั่นในศักยภาพของคนและการเคารพการ 222 ใจคน ชมุ ชน การเปลย่ี นแปลง
การทำ�งานรว่ มกบั ชมุ ชนเปน็ อะไรทม่ี ากกว่าการ พบกนั คร่ึงทาง มนั ไม่ใช่วา่ เราเชี่ยวชาญด้านน ้ี ชาวบา้ น เช่ยี วชาญด้านนนั้ แล้วมาเจอกันตรงกลาง แต่มันหมายถึง ความเชื่อม่นั ในศักยภาพของคนและการเคารพ การตัดสินใจของชาวบา้ นผเู้ ป็นเจ้าของพ้ืนที่และวถิ ชี ีวติ ตดั สนิ ใจของชาวบา้ นผเู้ ปน็ เจา้ ของพนื้ ทแี่ ละวถิ ชี วี ติ ไมว่ า่ จะเปน็ ผใู้ หญห่ รอื เดก็ วธิ คี ดิ แบบนที้ ำ� ใหท้ ราเวลลเ์ ชญิ ชวนใหช้ าวบา้ นเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการ รเิ รมิ่ ทำ� สงิ่ ตา่ งๆ ตงั้ แตต่ น้ อกี ทงั้ ยงั ทำ� ใหเ้ ขา้ ใจบทบาทของตนเองมากขน้ึ วา่ สิ่งท่ีทราเวลล์ท�ำได้คือการเสนอแนะเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ของคนในชมุ ชน “เหมือนเราก็รู้ตัวเองว่าเราเป็นคนนอก เราก็จะพยายามเคารพส่ิงท่ี เขาเปน็ พยายามไมไ่ ปแตะจดุ ทเ่ี ขาจะรสู้ กึ วา่ ลว่ งลำ้� กำ้� เกนิ เขาเกนิ ไป...เราก็ เหมอื นเปน็ เพอ่ื นคนนงึ [ทบี่ อกวา่ ] อนั นม้ี นั ดนี ะ ถา้ ลองทำ� ดอู าจจะดอี ะไร อยา่ งน้ ี ถ้าเขาโอเคก็มาช่วยกนั ” (เนย, 8 ธนั วาคม 2559) บทเรียนการน�ำ ร่วมจากผ้ขู บั เคลือ่ นสังคม 223
นอกจากนนั้ ทราเวลลย์ งั มีความยดื หยนุ่ พรอ้ มจะปรบั เปลยี่ นแผนให้ เข้ากับสถานการณ์อยู่เสมอ เช่นเมื่อรู้สึกว่าการเข้าไปของทราเวลล์ท�ำให้ เกดิ ความแตกแยกระหวา่ งแกนนำ� สองกลมุ่ ในชมุ ชนนางเลงิ้ มากขน้ึ พวกเขา จงึ เลือกท่จี ะถอยออกมาเพ่อื ให้ชุมชนได้ผสานรอยรา้ ว ผลจากการปรับเปล่ียนวิธีการท�ำงานและการวางตัวที่เหมาะสมของ ทราเวลลจ์ ึงทำ� ใหพ้ วกเขาได้รับการตอ้ นรับจากคนในชมุ ชนอยา่ งอบอุ่นขน้ึ การเปลยี่ นแปลงภายในตนเอง ของทราเวลล์ ส�ำหรับหลายคนในทีมทราเวลล์ หนึ่งปีหรือคร่ึงปีที่ผ่านมาน้ีเป็นครั้งแรก ท่ีพวกเขาได้ท�ำงานอย่างใกล้ชิดกับคนในสาขาอาชีพอื่นและคนในชุมชน ท้ังยังได้ลงพื้นที่ 4 แห่งท่ีต่างกันท้ังด้านวิกฤติพ้ืนท่ีและด้านความสัมพันธ์ กบั คน ดงั ทม่ี ยั กลา่ ว มนั เปน็ ปแี หง่ การทดลอง และการ “แวะ” ในหลายๆ คร้ังก็ท�ำให้ทราเวลล์ได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างเก่ียวกับชุมชนและตนเอง ทมี นกั วจิ ยั สนใจเปน็ อยา่ งยง่ิ วา่ ประสบการณเ์ หลา่ นส้ี ง่ ผลอยา่ งไรหรอื กอ่ ให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวพวกเขา เพราะการท�ำงานกับคนที่มีความ เชยี่ วชาญอนั แตกตา่ งหลากหลายนนั้ ในแงห่ นง่ึ กค็ อื การรวมตวั กนั ของคนที่ มีความคิดคนละแบบ ใช้ภาษาคนละภาษา บางคร้ังกว่าจะเข้าใจตรงกันได้ กต็ อ้ งใชเ้ วลาคยุ กนั นาน และตอ้ งพยายามมองจากมมุ ของอกี ฝา่ ยเพอื่ จะหา วธิ ีส่ือสารให้เขา้ ใจกนั ได้ 224 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
“กอ่ นหนา้ นค้ี อื ท�ำบรษิ ทั มา ทกุ คนเรยี นจบจากคณะใกลๆ้ กนั เพราะ ฉะน้ันระบบความคิดทุกคนก็จะใกล้กัน ระบบการจัดเรียงความคิดก็จะ เหมอื นกนั แตพ่ อมาทำ� งานกบั คนทจี่ บมาคนละสาย มคี วามถนดั คนละอยา่ ง มากๆ บางทกี ารทำ� ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั มนั กต็ อ้ งยากขน้ึ กจ็ ะเหนอื่ ยขนึ้ พอไป ท�ำกับชุมชนก็ต้องเปลี่ยนเป็นอีกแบบนึงว่า เออ เราจะคิดแบบนี้ไม่ได้แล้ว จะคดิ เปน็ ระบบเปะ๊ ๆ ไมไ่ ดแ้ ลว้ เพราะชาวบา้ นเขาไมไ่ ดม้ องสงิ่ นเ้ี หมอื นเรา ก็ต้องเข้าใจเขา แล้วก็ต้องเข้าใจว่าเราอยากได้อะไร เรามีวิธีการคุยกับเขา ยังไง” (ปอ, 11 ตลุ าคม 2559) แต่การท�ำงานกับคนที่มีความคิดหลากหลายก็เป็นการเปิดโลกทัศน์ จากมุมมองใหม่ๆ เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ศาเอง คงมองเห็นถึงแง่มุมนี้ จึงมีบางครั้งที่เขามอบหมายงานให้น้องๆ ในทีม คน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ เกยี่ วกบั ศาสตรใ์ หมๆ่ เพอื่ นำ� ไปจบั กบั สง่ิ ทแี่ ตล่ ะคนมคี วาม รู้ความถนัดอยู่แล้ว เช่นการให้เนยที่มีพ้ืนฐานการเขียนวรรณกรรมส�ำหรับ เด็กลองศึกษาเร่ืองการวางตำ� แหน่งแบรนด ์ (brand positioning) เพ่ือวาง บทบาทของทราเวลลใ์ นการทำ� งานดา้ นการทอ่ งเทย่ี วใหช้ ดั เจนขน้ึ โดยอาศยั ข้อมูลท่ีเนยช่วยเก็บรวบรวมจากการลงชุมชนต่างๆ “เราเห็นความเป็นไป ได้มากข้ึนว่าถ้าเรามีความรู้เร่ืองน้ีไปจับกับความรู้เร่ืองนี้ มันจะสร้างอะไร ใหเ้ กดิ ขนึ้ ไดอ้ กี เยอะแยะเลย ทำ� ใหเ้ หน็ โลกกวา้ งขนึ้ มาก” (เนย, 8 ธนั วาคม 2559) การลงไปท�ำงานกับชุมชนยังช่วยส่งเสริมทักษะการฟังและการสังเกต ท�ำให้หลายคนในทราเวลล์เปลี่ยนจากเด็กรุ่นใหม่ท่ีมักอยู่กับตัวเอง กลาย เปน็ คนทสี่ นใจและใสใ่ จคนรอบขา้ งมากขน้ึ นำ� ไปสคู่ วามเขา้ ใจในความเปน็ มนุษย์อันเท่าเทียมกันในสังคม และระมัดระวังมากข้ึนในการไม่ตัดสินคน จากภายนอก “พอท�ำงานกับชุมชนไปเร่ือยๆ เราจะเริ่มรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการ บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผูข้ ับเคล่ือนสงั คม 225
อะไร ปญั หาทเี่ ขาเผชญิ อยคู่ อื อะไรกนั แน ่ มนั ทำ� ใหร้ วู้ า่ เราไมส่ ามารถตดั สนิ ใครได้จากภายนอก อย่างคนท่ีอยู่ในสลัม หรือเด็กท่ีพ่อแม่ติดยา เราเห็น คณุ คา่ ของเขามากขน้ึ จากทเ่ี รารสู้ กึ วา่ มนั เปน็ เรอื่ งไกลตวั พอไดม้ าทำ� งาน ร่วมกับเขาก็รู้สึกว่าจริงๆ เขาควรได้รับโอกาส มันเหมือนกับเรารู้สึกว่าทุก คนเป็นคนเหมือนกนั ” (เม, 11 ตุลาคม 2559) “มันท�ำให้เรามีน้�ำจิตน้�ำใจต่อคนทั่วไปมากข้ึน พอเข้ามาท่ีนี่มัน เปน็ การทำ� งานทแี่ รกทผี่ มรสู้ กึ วา่ ปา้ กนิ ขา้ วยงั ครบั หรอื ปา้ ทำ� อะไร...คอื เรา มีความรู้สกึ เหมอื นคนโบราณที่เราสงสยั แมม่ ากวา่ แม่คุยกบั ชาวบา้ นไปทวั่ ไดย้ งั ไง เมอ่ื กอ่ นผมไมเ่ ปน็ เลย ผมไมร่ วู้ า่ ขา้ งบา้ นมพี ฒั นาการไปยงั ไงบา้ ง ตงั้ แตเ่ ขา้ มาทนี่ ก่ี เ็ รมิ่ พดู คยุ สอ่ื สารหรอื ถามอะไรมากขนึ้ ...นน่ั คอื สงิ่ ทเ่ี ปลย่ี น ไปจากการท�ำงานทเี่ กา่ ทที่ �ำทกุ อยา่ งเรว็ ๆ เพอ่ื เงนิ ทน่ี ม่ี คี วามชา้ ลงเพอ่ื ฟงั หรือช่วยอะไรมากขึน้ ” (แวน, 8 ธนั วาคม 2559) เมอ่ื เรมิ่ เหน็ ความเปน็ มนษุ ยข์ องคนในชมุ ชนและเขา้ ใจปญั หาทเี่ ขากำ� ลงั เผชิญอยู่ มันย่ิงผลักดันให้คนรุ่นใหม่กลุ่มนี้มีความสนใจชีวิตความเป็นอยู่ ของคนเหล่าน้ีย่ิงกว่าเดิม น�ำไปสู่การท�ำงานร่วมกับชาวบ้านเพ่ือแก้ปัญหา และสรา้ งความเปลยี่ นแปลงใหเ้ กดิ ขนึ้ โดยหนง่ึ ในจดุ ประสงคท์ เี่ ขา้ ไปคอื การ หยิบยื่นโอกาสในการเลือกใช้ชีวิตให้แก่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แม้พื้นที่เหล่านี้ ก�ำลังเผชิญกับวิกฤติทั้งจากภายนอกและภายในชุมชน บางเร่ืองก็ใหญ่และ อยเู่ หนอื การควบคมุ ของทราเวลล์ แตพ่ วกเขากเ็ ลอื กจะเขา้ ไปแกป้ ญั หาจาก จดุ เล็กๆ เท่าทส่ี ามารถท�ำได้ “พอมาอยู่ท่ีนี่ เราก็ยอมรับความเปลี่ยนแปลง [ของเมือง] ได้ดีขึ้น หนอ่ ย...แตใ่ นขณะเดยี วกนั เรากจ็ ะไมย่ อมรบั ปญั หา...ไมม่ องวา่ ยงั ไงกค็ งเปน็ ไปไม่ได้ แต่วา่ ภายใต้ขอ้ จ�ำกัดน้ ี โอเค มนั ต้องเปลีย่ น เราจะเปล่ียนยงั ไงให้ ดีส�ำหรับทกุ คน” (เนย, 8 ธันวาคม 2559) จากค�ำตอบของทุกคน ฉันคิดว่าการท�ำงานในปีแรกของทราเวลล์ 226 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ยี นแปลง
ประสบความส�ำเร็จเป็นอย่างมากในการเป็นพ้ืนท่ีแลกเปล่ียนเรียนรู้และ เตบิ โต มนั ทำ� ใหฉ้ นั ยอ้ นคดิ ถงึ คำ� พดู ของพก่ี บทว่ี า่ คนในปอ้ ม “เลอื กทำ� สงิ่ ทย่ี าก” มากกวา่ สง่ิ ทงี่ า่ ย เพราะฉนั คดิ วา่ ทราเวลลเ์ องกไ็ มต่ า่ งกนั พวกเขา สามารถใชช้ วี ติ เปน็ มนษุ ยเ์ งนิ เดอื น หรอื นำ� ทวั รไ์ ปลงชมุ ชนไดโ้ ดยไมจ่ �ำเปน็ ต้องต่อสู้ร่วมกับคนในป้อม จัดเวทีพูดคุยกับคนในชุมชน หรือสร้างค่าย พัฒนาเยาวชน แต่พวกเขาก็เลือกท่ีจะพัฒนาเมืองโดยมีคนเป็นท่ีตั้ง และ เลอื กทจี่ ะเปดิ ใจเพอื่ เขา้ ใจมมุ มองของชาวบา้ น ใหช้ าวบา้ นเขา้ มาเปน็ ผรู้ เิ รมิ่ ความคดิ ในการพัฒนาชมุ ชนของตนเอง ถงึ แมเ้ งนิ จะเปน็ สงิ่ จำ� เปน็ ในการอยรู่ อดของธรุ กจิ แตส่ งิ่ หนง่ึ ทฉี่ นั มน่ั ใจ คือ ก�ำไรไม่ใช่สิ่งส�ำคัญที่สุดในการเข้ามาท�ำงาน ณ จุดจุดนี้ของทราเวลล์ คุณค่าจากการท�ำประโยชน์เพื่อสังคมต่างหากที่เป็นแรงผลักดันให้แก่การ ท�ำงานในทุกๆ วันของพวกเขา หากเปรียบการท�ำงานของทราเวลล์เป็น หนงั สอื หนงึ่ ปที ผ่ี า่ นมาอาจเปน็ เพยี งปฐมบท เปน็ กา้ วแรกทพ่ี วกเขาไดเ้ รยี น รจู้ ากชมุ ชนนำ� รอ่ ง และไดร้ จู้ กั ตนเองมากขนึ้ เพอื่ เตรยี มเขา้ สบู่ ทตอ่ ไปในการ ท�ำงานกบั ชมุ ชน งานวิจัยชิ้นน้ีคงไม่สามารถบอกเล่าทุกรายละเอียดเก่ียวกับทราเวลล์ ได ้ สงิ่ ทฉี่ นั เรยี นรแู้ ละถา่ ยทอดออกมาเปน็ เพยี งสว่ นเลก็ ๆ สว่ นหนง่ึ ในการ ท�ำงานอันไม่หยุดน่ิงของพวกเขา ทุกคร้ังท่ีฉันได้คุยหรือได้เจอคนในกลุ่ม ทราเวลล ์ ฉันได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ เสมอ เป็นเรื่องใหญ่บ้างเล็กบ้าง บาง เรื่องเป็นสิ่งท่ีฉันไม่เข้าใจจนกระท่ังได้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ เช่นถึงแม้สมาชิก บางคนอย่างนุ่นไม่ได้อยู่ท�ำทราเวลล์แบบเต็มตัว แต่แนวคิดในการท�ำงาน ด้านการท่องเที่ยวและพัฒนาชุมชนของบริษัทการท่องเที่ยวที่นุ่นทำ� อยู่ก็มี ผลตอ่ ทิศทางการท�ำงานของทราเวลล์ ฉนั เพง่ิ เขา้ ใจวา่ น้�ำหนงึ่ หยดสรา้ งแรงกระเพอื่ มไดข้ นาดไหน บอ่ ยครงั้ ฉันมองแต่ทราเวลล์ว่าเป็นหยดน�้ำท่ีหล่นลงมาแตะพ้ืนน�้ำ แต่ลืมนึกไปว่า บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผขู้ ับเคล่ือนสังคม 227
เมอื่ หยดนำ�้ ของทราเวลลห์ ยดลงมาแลว้ กก็ ลายเปน็ สว่ นหนงึ่ ของนำ้� ในลำ� ธาร ทจี่ ะไดร้ บั แรงกระเพอ่ื มจากหยดนำ�้ หยดอน่ื ทตี่ กลงมาดว้ ย ฉนั รสู้ กึ ยนิ ดแี ละ ขอบคุณเป็นอย่างย่ิงที่ได้รู้จักน้องๆ กลุ่มน้ี ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มี โอกาสติดตามการท�ำงานและการเติบโตของพวกเขาตอ่ ไป ตดิ ตามข้อมลู ข่าวสารของทราเวลลไ์ ดท้ ี่ เว็บไซต ์ : www.trawellthailand.com เฟซบุ๊ก : www.facebook.com/Trawellthailand/ 228 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง
เอกสารอ้างองิ ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2557). การส�ำรวจองค์การเอกชนท่ีไม่แสวงหาก�ำไร พ.ศ. 2556. สืบค้นจาก http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/ survey/nonProfitFull56.pdf สำ� นกั งานสรา้ งเสรมิ กจิ การเพอื่ สงั คมแหง่ ชาต.ิ (ม.ป.ป.). ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั กจิ การเพ่ือ สังคม. สืบค้นจาก http://oranuch.nsdv.go.th/main/attachments/237_ 2012text1.pdf.pdf Austin, J., Stevenson, H., & Wei-Skillern, J. (2006). Social and commercial entrepreneurship: Same, different, or both?. Entrepreneurship Theory and Practice, 30(1), 1-22. Csikszentmihalyi, M., & Hermanson, K. (1995). Intrinsic motivation in museums: Why does one want to learn? In Falk, J. H., & Dierking, L. D. (Eds.), Public institutions for personal learning: Establishing a research agenda (pp. 67-77). Washington, DC: American Associa- tion of Museums. Friedrich, T. L., Vessey, W. B., Schuelke, M. J., Ruark, G. A., & Mumford, M. D. (2009). A framework for understanding collective leadership: The selective utilization of leader and team expertise within networks. The Leadership Quarterly, 20(6), 933-958. One Young World. (n.d.). Thai young leaders programme. Retrieved from https://www.oneyoungworld.com/thai-young-leaders/en บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผูข้ ับเคลือ่ นสังคม 229
บ ท สั ง เ ค ร า ะ ห์ ฐติ กิ าญจน์ อัศตรกุล 230 ใจคน ชุมชน การเปล่ียนแปลง
หากการท�ำความรู้จักกับพื้นท่ีท้ังสามแห่งท่ีผ่านมาเปรียบเสมือนการ แวะเรียนรู้ตามสถานีต่างๆ บทสังเคราะห์นี้ก็คงเปรียบได้กับช่วงเวลาแห่ง การเดินทางกลับบ้าน ซ่ึงผู้เขียนจะน�ำเสนอภาพรวมสิ่งท่ีได้เรียนรู้จากทั้ง สามพนื้ ท ่ี ไดแ้ ก ่ มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ้� โคกสลงุ และทราเวลล ์ ทง้ั ประเดน็ ทเ่ี ปน็ จุดร่วมและจุดต่างของภาวะการน�ำร่วมในการท�ำงานขับเคล่ือนสังคมผ่าน บริบทท่ีแตกต่างกันไป โดยแบ่งเน้ือหาเป็น 2 ส่วน ส่วนท่ี 1 เป็นบริบท การขับเคลื่อนพ้ืนท ี่ ต้ังแต่เร่ิมเกิดวิกฤติปัญหา ไปจนถึงการเปล่ียนแปลงท่ี เกดิ ขน้ึ สว่ นท ี่ 2 เปน็ องคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั การนำ� รว่ มทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะห์ ข้อมูลในพ้ืนท ี่ แบ่งเป็น องค์ประกอบการนำ� ร่วม และโมเดลการขับเคล่ือน สงั คมผา่ นภาวะการนำ� ร่วม บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผ้ขู บั เคลื่อนสงั คม 231
สว่ นท ่ี 1 บรบิ ทการขับเคลอ่ื นพืน้ ที่ วิกฤตทิ ่ีไมอ่ าจหลีกหนี พื้นท่ีเหล่าน้ีมีกลุ่มคนลุกขึ้นมาทำ� งานสร้างการเปล่ียนแปลงเพ่ือต่อสู้ หรือรับมือกับวิกฤติในบริบทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงวิกฤติจากนโยบาย ภาครัฐที่ส่งผลกระทบท้ังทางตรงและทางอ้อม ดังพ้ืนที่มูลนิธิบ้านครูน�้ำ ซงึ่ ตอ้ งเผชญิ กบั ปญั หาตา่ งๆ ในการทำ� งานพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ เดก็ ตามแนว ชายแดนอยู่แล้ว แต่นโยบายการส่งเสริมพ้ืนที่เขตเศรษฐกิจพิเศษและ นโยบายเกี่ยวกับคนไร้สัญชาติกลับยิ่งท�ำให้ปัญหาซับซ้อนทวีคูณยิ่งข้ึน เช่นเดียวกับพ้ืนท่ีโคกสลุงท่ีถูกนโยบายผังเมืองก�ำหนดให้เป็นพื้นท่ีเขต อุตสาหกรรม ส่วนพื้นท่ีย่านเมืองเก่าเขตพระนครอันเป็นท่ีตั้งชุมชนซึ่งมี ประวัติศาสตร์มายาวนานกำ� ลังจะถูกท�ำให้เป็นพ้ืนท่ีสีเขียวปราศจากผู้คน เพื่อประโยชน์ของประชาชนบางสว่ นในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทยใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นแนวทาง ในการพฒั นาประเทศมาเปน็ ระยะเวลาเกอื บ 60 ปนี บั ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2504 ที่เร่ิมใช้แผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 1 จนถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2560 ซ่ึงเป็นช่วง เริ่มต้นฉบับที่ 12 เมื่อมองย้อนไปยังช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 1-7 พบว่า มิติกระบวนการพัฒนาส่วนใหญ่เน้นด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยได้รับ อิทธิพลจากวาทกรรมการพัฒนา (development discourse) ที่แพร่ กระจายไปทว่ั โลกหลงั สงครามโลกครงั้ ท ่ี 2 วาทกรรมดงั กลา่ วเปน็ ระบบคดิ แบบหน่งึ ทีก่ �ำหนดนยิ ามการพัฒนาว่า ตอ้ งเปน็ ไปในทศิ ทางเพือ่ ตอบโจทย์ 232 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ยี นแปลง
สำ�หรบั คนบางกล่มุ ปญั หาเรอื้ รงั ทส่ี ะสมมานาน ไมไ่ ด้ทำ�ให้พวกเขาหมดหวงั มันกลบั เปน็ การกระต้นุ แรงขับภายใน ทำ�ใหม้ กี ล่มุ คนลกุ ข้ึนมาพยายาม ค้นหาทางออกดว้ ยตนเอง เกิดเป็นการเคลอ่ื นไหว ทางสงั คมรปู แบบตา่ งๆ ทางเศรษฐกิจเป็นส�ำคัญ กระบวนการพัฒนาต้องด�ำเนินตามแบบแผนที่ ชาตติ ะวนั ตกเหน็ วา่ เปน็ สงิ่ ดงี าม (ไชยรตั น ์ เจรญิ สนิ โอฬาร, 2542) ดงั นน้ั หากกระบวนการใดไม่ตอบโจทย์มูลค่าท่ีวัดได้ด้วยเม็ดเงินก็จะถูกมองข้าม และผลักออกไปจากการมสี ว่ นรว่ มทางอำ� นาจตา่ งๆ การกำ� หนดแผนพฒั นาฯ ของไทยเองกเ็ ปน็ ไปในลกั ษณะการใชอ้ ำ� นาจ จากส่วนบนลงสู่ส่วนล่าง และตลอดระยะเวลาแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 1-7 ไทยประสบผลสำ� เรจ็ ดา้ นการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ อยา่ งมากโดยเฉพาะใน ชว่ งตน้ ทศวรรษ 2530 ทไี่ ทยผลติ สนิ คา้ สง่ ออกและเปน็ ฐานการผลติ สนิ คา้ อตุ สาหกรรมมากมายจนตวั เลขจดี พี หี รอื ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศ ขยายตัวขึ้นมากในช่วงนั้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาท่ีมุ่งเน้นเฉพาะมิติ ด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก น�ำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ อย่างส้ินเปลืองโดยไม่ค�ำนึงถึงความย่ังยืน ใช้แรงงานราคาถูกโดยหลงลืม ความเปน็ มนษุ ย ์ ไดส้ รา้ งบาดแผลเรอ้ื รงั ใหแ้ กส่ งั คม โดยเฉพาะกลมุ่ คนดอ้ ย โอกาสทีถ่ ูกผลักออกมาอยู่ชายขอบการพัฒนา บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผู้ขบั เคลอ่ื นสงั คม 233
การพฒั นาตามระบบคดิ นยี้ งั คงดำ� เนนิ ตอ่ ไปจนถงึ จดุ เปลย่ี นครงั้ สำ� คญั ในป ี พ.ศ. 2540 เมอื่ ประเทศไทยเผชญิ วกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ ครงั้ สำ� คญั ทเี่ รยี กวา่ “วกิ ฤติตม้ ย�ำกุง้ ” ส่งผลใหผ้ มู้ บี ทบาทในภาคส่วนต่างๆ เรมิ่ หนั กลับมามอง หาคุณค่าที่มีอยู่ดั้งเดิม และพยายามสร้างวาทกรรมการพัฒนาท่ีให้ความ ส�ำคัญกับภูมิปัญญาชาวบ้านหรือความเป็นมนุษย์มากขึ้น (แต่มิได้หมาย ความว่าระบบคิดท่ีให้คุณค่ากับเม็ดเงินเป็นหลักจะหายไป) แผนพัฒนาฯ ตง้ั แตฉ่ บบั ท ่ี 8 เปน็ ตน้ มาเรมิ่ ใหค้ วามสำ� คญั กบั การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน แต่กระบวนการจัดท�ำแผนพัฒนาฯ ยังคงเป็นรูปแบบบนลงล่าง ผู้บริหาร ประเทศเป็นผู้ก�ำหนดนโยบาย ส่งผลให้การพัฒนาไม่เป็นไปตามความ ต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชน รวมถึงไม่สอดคล้องกับบริบทที่แตกต่าง ในแตล่ ะชมุ ชน นอกจากนกี้ รอบคดิ ในการพฒั นาประเทศยงั ถกู ครอบงำ� ดว้ ย ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ กระแสทุนนิยมทวีความรุนแรงมากย่ิงข้ึน และดูเหมือนว่านายทุนจะมีบทบาทส�ำคัญต่อการออกแบบนโยบายของรัฐ เพราะสงั คมเราถกู ทำ� ใหเ้ ชอื่ วา่ คนกลมุ่ นเี้ ปรยี บเสมอื นภาคสว่ นสำ� คญั ทชี่ ว่ ย ขับเคล่ือนประเทศ ขณะที่ประชาชนท่ัวไปกลับถูกผลักออกจากการมีส่วน ร่วมในการวางแผนหรือออกแบบนโยบายใดๆ ย่ิงนานวันสภาวะเหล่านี้ ก็ยิ่งฝังลึกจนกลายเป็นเร่ืองธรรมดา ความรู้สึกชินชาแปรเปลี่ยนเป็นความ เช่ือว่าตนเป็นเพียงคนธรรมดาผู้ไม่มีพลังอ�ำนาจใดๆ และค่อยๆ รู้สึกหมด หวังกับการสร้างความเปล่ียนแปลงใดๆ ให้เกิดข้ึน มันคือความรู้สึกของ คนที่ไม่สามารถก�ำหนดชะตาชีวิตตนเองได้อีกต่อไป จนหลายคนอาจเกิด คำ� ถามในใจวา่ แลว้ เราจะหายใจต่อไปท�ำไม แต่ส�ำหรับคนบางกลุ่ม ปัญหาเร้ือรังที่สะสมมานานเหล่าน้ีไม่ได้ท�ำให้ พวกเขาหมดหวัง มันกลับเป็นการกระตุ้นแรงขับภายในให้คนที่เกิดค�ำถาม ในใจเชน่ กัน ทว่าเปน็ คำ� ถามเร่ืองการบรหิ ารจัดการอันไรป้ ระสทิ ธภิ าพของ ภาครัฐที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีการแบบเดิมอีกต่อไป ค�ำถามดัง 234 ใจคน ชุมชน การเปลยี่ นแปลง
กล่าวท�ำให้มีกลุ่มคนลุกขึ้นมาพยายามค้นหาทางออกด้วยตนเอง จนเกิด เปน็ การเคลอ่ื นไหวทางสงั คม (social movement) รปู แบบตา่ งๆ ในแตล่ ะ พ้ืนท่ีซึ่งมีความแตกต่างกันท้ังเชิงกายภาพ เช่น พ้ืนที่ในเขตเมือง ชุมชน นอกเมือง และพื้นที่ติดชายแดน ความแตกต่างด้านรูปแบบองค์กรหรือ กลุ่มคน เช่น การรวมกลุ่มกันของสมาชิกในชุมชน องค์กรธุรกิจ ผู้มีอุดม- การณด์ า้ นสทิ ธมิ นษุ ยชนเหมอื นกนั สง่ ผลใหร้ ปู แบบการท�ำงานแตกตา่ งกนั อยา่ งไรกต็ าม ทกุ พน้ื ทมี่ เี ปา้ หมายหลกั รว่ มกนั คอื เพอ่ื สรา้ งความมนั่ คง และยงั่ ยนื ในพน้ื ทขี่ องตนเองผา่ นกระบวนการหรอื แนวทางตา่ งๆ เชน่ มลู นธิ ิ บ้านครูน้�ำท่ีน�ำการศึกษามาใช้เป็นใบเบิกทางเพ่ือคืนความเป็นมนุษย์ให้ เดก็ ไรส้ ญั ชาตบิ รเิ วณชายแดนทถี่ กู ระบบคดิ จากการพฒั นาบบี ใหต้ อ้ งกลาย เป็นคนชายขอบและไร้สิทธิขั้นพื้นฐานในด�ำรงชีวิต โคกสลุงใช้วัฒนธรรม เป็นเครอ่ื งมอื ตอ่ รองกบั อ�ำนาจรฐั ทตี่ อ้ งการเปล่ยี นพืน้ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของคนใน ชุมชนให้เป็นพ้ืนที่เขตโรงงานอุตสาหกรรม โดยในระหว่างการต่อรองกับ สถานการณ์ภายนอกก็ต้องให้ความส�ำคัญกับกระบวนการท�ำให้สมาชิกใน ชมุ ชนเกดิ ความรสู้ กึ วา่ ตนเองมรี ากเดยี วกนั เพราะหากคนภายในไมม่ คี วาม มน่ั คงเพยี งพอกไ็ มอ่ าจตอ่ รองกบั ภายนอกได ้ สว่ นทราเวลลต์ งั้ ใจใชก้ ารทอ่ ง เที่ยวเป็นเคร่ืองมือพัฒนาเมืองให้อยู่ร่วมกับคนและชุมชนได้อย่างยั่งยืน ในขณะท่ีนโยบายภาครัฐให้ความสำ� คัญกับลักษณะทางกายภาพของแหล่ง ทอ่ งเที่ยวมากกว่าคนในพน้ื ท่ ี เมอื่ พจิ ารณานยิ ามของคำ� วา่ “พนื้ ท”่ี ในบรบิ ทตา่ งๆ จากการวจิ ยั ครง้ั นี้ พ้ืนท่ีมูลนิธิบ้านครูน�้ำคงเปรียบได้กับเด็ก ส่วนโคกสลุงและทราเวลล์คือ คนในชุมชน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเชื่อมโยงกันข้างต้นมีการท�ำงาน ในลักษณะ “พ้ืนที่ภายนอก” ซึ่งเทียบได้กับการบริหารจัดการของรัฐ และ “พน้ื ทภี่ ายใน” ทเี่ ปรยี บเสมอื นแรงผลกั ดนั ของคนทำ� งาน หากมแี รงกระทบ จากปญั หาภายนอกสะสมมากขึ้น แรงผลกั ดนั กจ็ ะมากข้นึ ตามไปดว้ ย บทเรยี นการน�ำ ร่วมจากผขู้ บั เคลือ่ นสงั คม 235
ส�ำนึกทางสังคม เมล็ดพนั ธส์ุ �ำคญั ในตัวผูน้ �ำ “แทบไม่ต้องคิดเลย พี่ตัดสินใจทันทีว่าจะมาท�ำงานเป็นครูข้างถนน แบบเต็มตวั ” (ครนู ำ้� , 18 พฤศจิกายน 2559) วิกฤติจากภายนอกท่ีถาโถมเข้ามาและสภาพปัญหาสังคมท่ีนับวันจะ ทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นล้วนปรากฏอยู่ท่ัวไป เช่น ความ เหลอ่ื มลำ้� ทางสงั คม การทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั่ ความขดั แยง้ ทางความคดิ เปน็ ตน้ บางคนไมอ่ าจสมั ผสั ความผดิ ปกตเิ หลา่ นไี้ ด ้ บางคนสมั ผสั ไดแ้ ละรสู้ กึ ชนิ ชา กบั มนั บางคนคดิ วา่ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งของตนตราบใดทย่ี งั ไมไ่ ดร้ บั ผลกระทบโดยตรง สาเหตุประการหนึ่งอาจเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่กลัวการเปล่ียน แปลง กลัวว่าจะต้องหลุดออกจากพ้ืนท่ีสะดวกสบาย (comfort zone) และไม่อยากเสี่ยงกับความไม่มั่นคงในชีวิต ทว่าในเวลาเดียวกันน้ันคน บางคนหรือบางกลุ่มกลับลุกขึ้นมาสร้างความเปล่ียนแปลงให้เกิดข้ึนโดยไม่ ได้ค�ำนึงถึงผลประโยชน์หรือความคุ้มค่าทางเม็ดเงินใดๆ ที่ตนเองจะได้รับ ดังท่ีครูน�้ำตัดสินใจลาออกจากงานประจ�ำที่มีรายได้ม่ันคง และใช้เงินเก็บ จำ� นวนหน่ึงเปน็ ทนุ ส�ำหรบั เริ่มท�ำงานเยียวยาเด็กเร่ร่อนดว้ ยศลิ ปะ พอ่ มืด ยอมสละเวลาของตนเองเต็มเวลาเพ่ือท�ำงานให้ชุมชนโดยไม่ได้รับค่า ตอบแทน และยอมเลกิ เหลา้ เพอ่ื ใหค้ นในชมุ ชนทต่ี อ้ งรว่ มชะตากรรมดว้ ยกนั ใหค้ วามเชอ่ื ถอื และไวว้ างใจในตนเองมากขน้ึ ขณะทที่ ราเวลลเ์ ลอื กทำ� ธรุ กจิ ท่ีสนับสนุนให้ชุมชนรอบข้างอยู่ดีมีสุขและได้รับการพัฒนาอย่างย่ังยืน มากกวา่ มงุ่ หวงั กอบโกยก�ำไรมากมายตามกระแสสังคมทนุ นิยมในปัจจบุ นั ตัวแปรส�ำคัญที่ท�ำให้พวกเขาลุกข้ึนมากระท�ำเช่นน้ันอาจเช่ือมโยง กับ “ส�ำนึกทางสังคม” (social consciousness) คือการที่บุคคลตระหนัก ว่าตนเองเป็นส่วนหนึง่ ของสงั คม รูร้ อ้ นรูห้ นาวตอ่ ประเด็นต่างๆ ทางสงั คม และรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีด�ำเนินไป ในสังคม ท้ังมิติการเมือง เศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อม โดยส�ำนึกทางสังคม 236 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
จะเป็นตวั กำ� หนดการกระทำ� ของบุคคล (Berman, 1997) ส�ำนึกทางสังคมแบ่งได้เป็น 5 ระดับตามความเข้มข้นของความข้อง เกยี่ วกบั สงั คมรอบขา้ ง ไดแ้ ก ่ 1) ความตระหนกั ทฝี่ งั ในตวั ตน (embedded) บุคคลรับรู้ว่าตนเองเก่ียวข้องกับสังคม โดยเป็นส�ำนึกท่ีเกิดข้ึนในตัวบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคมหรือวัฒนธรรมภายนอกตัว 2) สะท้อนคิด (self-reflexive) บุคคลเร่ิมตระหนักผ่านกระบวนการสะท้อนคิดว่าเง่ือนไข ทางสังคมมีผลกระทบต่อตัวตนของพวกเขาหรือพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของ สังคม 3) เข้าร่วม (engaged) บุคคลไม่เพียงตระหนักว่าตนเองเป็นส่วน หนง่ึ ของสงั คม แตเ่ รม่ิ สนใจกระทำ� บางสง่ิ เพอื่ ใหส้ งั คมดขี น้ึ 4) สรา้ งความ รว่ มมือ (collaborative) บคุ คลเรม่ิ สร้างความรว่ มมือกบั บุคคลอ่ืนในสังคม มากข้ึนเพื่อท�ำงานขับเคลื่อนสังคมให้ดีข้ึน และ 5) สร้างแรงกระเพ่ือม (resonant) บคุ คลมคี วามรสู้ กึ และประสบการณร์ ว่ มกับสมาชกิ ในกล่มุ ทาง สังคม น�ำไปสู่การสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างจนท�ำให้เกิดการเปล่ียน แปลงในสงั คม (Schlitz, Vieten, & Miller, 2010) เราสามารถนำ� แนวคดิ ขา้ งตน้ มาพจิ ารณารว่ มกบั ระดบั ส�ำนกึ ทางสงั คม ของผนู้ ำ� ทงั้ สามพนื้ ท ี่ โดยเปรยี บกบั เมลด็ พนั ธใ์ุ นตวั แตล่ ะคนทพี่ รอ้ มเตบิ โต ตามข้ันตอน 5 ระดับจากภายใน เริ่มต้ังแต่การด�ำเนินชีวิตด้วยความเข้าใจ ว่าตนเองเกี่ยวข้องกับสังคม เมื่อมีโอกาสได้สะท้อนคิดหรือเผชิญกับเหตุ การณ์ที่มากระตุ้น เมล็ดพันธุ์น้ันจึงเร่ิมเจริญเติบโต พัฒนาเป็นการเริ่ม ตระหนักว่าตนเองเป็นส่วนหน่ึงของสังคมแห่งน ้ี มีหน้าท่ีท�ำอะไรบางอย่าง กับความไม่ปกติที่เกิดขึ้น และเร่ิมมีความปรารถนาจะลุกข้ึนมาสร้างการ เปล่ียนแปลงด้วยตนเอง จากนั้นยกระดับสู่การท�ำงานร่วมกับผู้อ่ืนมากข้ึน สร้างเครือข่ายกับผู้อื่น แล้วขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนแปลง ทางสังคมจึงเปรียบเสมือนการโยนก้อนหินลงน้�ำแล้วเกิดวงคลื่นกระเพ่ือม ออกไปเป็นชั้นๆ จากการเปล่ียนแปลงตนเองสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม บทเรียนการนำ�รว่ มจากผู้ขับเคลื่อนสงั คม 237
รสู กึ และมปี ระสบการณร วมกับ คนอ่ืนๆ ที่ทาํ งานขบั เคลอื่ นสังคม สรางเครอื ขา ย ทํางานรว มกบั ผูอ ื่น ทําบางสิง่ เพ่ือใหสังคมดขี ้ึน ตระหนกั ผา นการ สะทอนคิดวาเงอื่ นไขทางสังคม มีผลกระทบตอ ตนเอง เขา ใจวาตนเอง เกย่ี วขอ งกบั สงั คม ภาพท่ี 1 ลักษณะการเติบโตของส�ำ นกึ ทางสังคม ทีม่ า : ผลการศกึ ษา 238 ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง
กา้ วยา่ งอย่างมจี ริยธรรม คำ� วา่ “จรยิ ธรรม” ในความหมายทว่ั ไปนนั้ เปน็ เรอ่ื งเกยี่ วกบั หลกั ปฏบิ ตั ิ อย่างมีศีลธรรม เป็นกระบวนการไตร่ตรองว่าควรปฏิบัติต่อผู้อ่ืนอย่างไร การกระทำ� แบบใดทคี่ วรใหค้ ณุ คา่ พฤตกิ รรมไหนดหี รอื ไมด่ ี สว่ น พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายว่า “จริยธรรม” คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤตปิ ฏิบัต ิ ศลี ธรรม กฎศีลธรรม อย่างไรก็ตาม จนถึง ปัจจุบันยังมีการถกเถียงในประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมว่าจะใช้เกณฑ์ใดมา ตดั สนิ วา่ สงิ่ ใดดหี รอื เลว จรยิ ธรรมสำ� หรบั คนรนุ่ หนง่ึ สามารถน�ำไปใชก้ บั คน อีกรุ่นได้หรือไม่ ผู้ใช้กระบวนการทางจริยธรรมเพ่ือบรรลุเป้าหมายอันไร้ ศีลธรรมนับเป็นบุคคลท่ีมีจริยธรรมหรือไม่ หรือผู้ใช้กระบวนการซ่ึง ปราศจากจริยธรรมเพ่ือบรรลุเป้าหมายท่ีมีจริยธรรมจะถือเป็นบุคคลท่ีมี จรยิ ธรรมไดห้ รอื ไม ่ แนวคิดที่อาจใช้เป็นแนวทางพิจารณาร่วมกับผู้น�ำในงานวิจัยน้ีได้คือ แนวคิดภาวะผู้น�ำเชิงจริยธรรม (Ethical Leadership) ซ่ึง Northouse (2010) รวบรวมจากงานเขียนของนักวิชาการ ทั้ง Heifetz, Burns และ Greenleaf ที่ให้ความส�ำคัญกับจริยธรรมส�ำหรับผู้น�ำ แนวคิดนี้อธิบายว่า พื้นฐานทางจริยธรรมของผู้น�ำประกอบด้วยความเคารพผู้อ่ืน การบริการ ผอู้ น่ื ความยตุ ธิ รรม ความซอ่ื สตั ย ์ และความใสใ่ จตอ่ ชมุ ชน อยา่ งไรกต็ าม งานสงั เคราะหอ์ งคค์ วามรจู้ ากบคุ คลทท่ี �ำงานขบั เคลอื่ นพนื้ ทค่ี รง้ั นเ้ี ปน็ เพยี ง การน�ำเสนอประเด็นทางจริยธรรมผ่านกลุ่มบุคคลในเรื่องน้ีเท่าน้ัน จึงอาจ ไม่สามารถตอบค�ำถามทั้งหมดท่ีเกริ่นไว้ข้างต้นได้ แต่ผู้เขียนคิดว่ามันเป็น ประเด็นท่ีจ�ำเป็นต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลง และเป็นสิ่งท่ีขาดหายไป จากสังคมในปัจจุบัน ครูน้�ำ พ่อมืด และศานนท์ ใช้จริยธรรมเป็นเสมือน เขม็ ทศิ นำ� ทางในการทำ� งาน โดยแตล่ ะคนต่างถือเขม็ ทศิ ของตนเองดงั น้ี บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผขู้ ับเคล่ือนสงั คม 239
ครูน้�ำ-ความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชน : นับต้ังแต่การช่วยเหลือเด็ก เร่ร่อนในกรุงเทพฯ ไปจนถึงเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติบริเวณชายแดนจังหวัด เชียงราย ครูน�้ำล้วนท�ำงานบนฐานความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิท่ีจะมี ชีวิตอยู่ ทุกคนมีเสรีภาพและความเสมอภาค ชายแดนหรือพรมแดนทาง กายภาพไม่ควรกีดก้ันศักดิ์และศรีแห่งความเป็นมนุษย ์ หัวใจส�ำคัญในการ ขับเคลื่อนงานเพื่อชุมชนจึงเริ่มต้นจากความเชื่อม่ันศรัทธาในศักยภาพของ มนุษย์และความปรารถนาอยากเห็นเด็กเหล่าน้ัน ไม่ว่าจะเกิดหรือเติบโต จากทีใ่ ด ได้หลดุ พ้นจากความทกุ ข ์ พอ่ มดื -การเหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวม : การไดร้ บั เงนิ เวนคนื ทดี่ นิ จาก การสร้างเข่ือนท�ำให้โคกสลุงเปลี่ยนไป และก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา ท้ังปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง ยาเสพติด และหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็ว ถ้าปล่อยไว้ต่อไปเรื่อยๆ คงถึงวันท่ีโคกสลุงล่มสลาย พ่อมืดและ แกนน�ำชุมชนคนอ่ืนๆ จึงลุกขึ้นมาช่วยกันหาทางออกโดยมุ่งหวังประโยชน์ สว่ นรวมเปน็ ตวั ตงั้ จนเกดิ เปน็ พพิ ธิ ภณั ฑพ์ นื้ บา้ นไทยเบง้ิ โคกสลงุ ซง่ึ เปรยี บ เสมือนสัญลักษณ์ชุมชนโคกสลุงที่รวบรวมเร่ืองราววิถีชีวิตและวัฒนธรรม ของพวกเขาไว้ และแม้เมื่อพิพิธภัณฑ์เริ่มซบเซาลง พ่อมืดก็เป็นผู้กลับมา สานต่องานพิพิธภัณฑ์อย่างจริงจังอีกครั้ง การท�ำงานในลักษณะนี้เป็นดัง ท่ีพ่อมืดกล่าวไว้ว่า “ผู้น�ำท่ีแท้จริงจะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องเป็นคนเอาธุระ ส่วนรวม” ศานนท์-ความยุติธรรมในการพัฒนาเมือง : ระบบทุนนิยมมีวิธีคิดที่ มงุ่ พฒั นาเมอื งดว้ ยการไลค่ นออกจากเมอื ง โดยเฉพาะคนทไี่ มม่ สี ทิ ธม์ิ เี สยี ง ในสงั คมซง่ึ มกั ถกู ระบบผลกั ใหอ้ อกไปอยนู่ อกเหนอื การมสี ว่ นรว่ ม เพยี งเพอ่ื ใหพ้ น้ื ทเ่ี หลา่ นนั้ สวยงามในเชงิ กายภาพ สามารถดงึ ดดู นกั ทอ่ งเทย่ี วและการ ลงทุนจากนายทุนยักษ์ใหญ่ แต่ศานนท์และเพื่อนสมาชิกกลุ่มทราเวลล์ กลับไม่คล้อยตามกระแสการพัฒนาแบบน้ี การได้มีโอกาสท�ำงาน พูดคุย 240 ใจคน ชมุ ชน การเปลย่ี นแปลง
เม่อื นำ�ฐานความเชือ่ ที่แต่ละคนใชใ้ นการทำ�งาน ขบั เคลือ่ นสังคมมาพจิ ารณาร่วมกนั ท้ังความเช่อื ม่ัน ในสทิ ธิมนุษยชน การเหน็ แก่ประโยชน์สว่ นรวม และความยุติธรรมในการพฒั นาเมือง จะพบวา่ มจี ริยธรรม การนำ�ทท่ี ับซ้อนกนั อยู่ คือการเห็นคุณค่าของคน แลกเปลี่ยน และสัมผัสวิถีชีวิตคนในชุมชน ท�ำให้ฐานความคิดของพวกเขา ชัดเจนมากข้ึนว่ามนุษย์ทุกคนควรมีสิทธิ์และเสียงในการตัดสินใจเก่ียวกับ พืน้ ท่ีทพ่ี วกเขาใชอ้ ยู่อาศยั และเตบิ โตขึ้นมา เม่ือน�ำฐานความเช่ือท่ีแต่ละคนใช้ในการท�ำงานขับเคล่ือนสังคมมา พจิ ารณารว่ มกนั ทง้ั ความเชอ่ื มนั่ ในสทิ ธมิ นษุ ยชน การเหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ น รวม และความยตุ ธิ รรมในการพฒั นาเมอื ง จะพบวา่ มจี รยิ ธรรมการน�ำทท่ี บั ซ้อนกนั อย ู่ คอื การเห็นคณุ คา่ ของคน (ภาพท ี่ 2) บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผู้ขบั เคลื่อนสังคม 241
ความเชอื่ มน่ั คน การเหน็ แก ในสิทธิมนษุ ยชน ประโยชนสวนรวม จรยิ ธรรม คน คน ความยุติธรรม ในการพฒั นาเมือง ภาพท่ี 2 จริยธรรมที่ใช้ในการท�ำ งานขับเคล่ือนสังคม ทีม่ า : ผลการศกึ ษา 242 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ยี นแปลง
ไมม่ ีเปลือก แกน่ ก็พัง เม่ือจินตนาการถึงดินสอที่เราคุ้นเคยกันมาต้ังแต่เด็กๆ ทุกคนคงนึก ภาพออก และเหน็ พอ้ งกนั วา่ สว่ นประกอบทจ่ี �ำเปน็ ตอ่ การใชง้ านทสี่ ดุ คอื ไส้ ดินสอที่ท�ำจากแร่แกรไฟต์ เพราะประโยชน์ของดินสอคือใช้เขียนหรือวาด แต่สาเหตุท่ีเราไม่เคยใช้งานไส้ดินสอเปล่าๆ เลยก็เน่ืองจากแร่แกรไฟต์มี คุณสมบัติอ่อนนุ่มและเปราะง่าย ดินสอทุกแท่งจึงต้องมีเนื้อไม้ห่อหุ้มอยู่ ด้านนอกเสมอ เน้ือไม้เปรียบได้กับเปลือกซ่ึงท�ำหน้าท่ีห่อหุ้มแก่นเอาไว้ หากขาดส่ิงน้ีไป แก่นก็เปราะหักได้ง่าย และประสิทธิภาพการใช้งานก็ ลดลงตามไปด้วย เมอื่ นำ� เรอ่ื งเปลอื กและแกน่ นมี้ าพจิ ารณารว่ มกบั การถอดบทเรยี นภาวะ การนำ� ของมลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ ชมุ ชนโคกสลงุ และกลมุ่ ทราเวลล ์ พบวา่ แตล่ ะ กลมุ่ อาจมบี คุ คลผเู้ ปรยี บเสมอื นเปน็ แกน่ หรอื ศนู ยร์ วมจติ ใจ หรอื ในบางครง้ั อาจเปน็ เพียงผจู้ ุดประกาย แตก่ ม็ ีคนอนื่ ๆ ในพ้นื ท่ีซ่ึงมีบทบาทเปน็ เสมอื น เปลือกคอยหอ่ หุ้มแกน่ เอาไว ้ และชว่ ยขับเคลอ่ื นพ้นื ท่ไี ปดว้ ยกนั มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ มไิ ดม้ แี คค่ รนู ำ้� ทำ� งานเพยี งลำ� พงั แตม่ กี ลมุ่ ครขู า้ งถนน ลงพื้นท่ีท�ำงานกับเด็กๆ สอนหนังสือเด็ก พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กอย่าง ต่อเน่ือง นอกจากน้ียังมีเจ้าหน้าท่ีประจ�ำทั้งมูลนิธิฯ และศูนย์ดร็อปอินท่ี คอยสนบั สนนุ การทำ� งานใหค้ รนู ำ้� อกี ทง้ั กลั ยาณมติ รในพนื้ ทซ่ี งึ่ มเี ปา้ หมาย ร่วมกันในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลหรือองค์กร ที่ให้การสนับสนุนด้านการเงิน สิ่งของ องค์ความรู้ ค�ำปรึกษา เครือข่าย ดา้ นการศกึ ษา การรกั ษาพยาบาลและการบ�ำบัดผู้ติดยาเสพติด เป็นตน้ ชุมชนโคกสลุงมิได้มีพ่อมืดเพียงคนเดียวท่ีเป็นผู้คิดและลงมือทำ� งาน ขับเคล่ือนชุมชน แต่มีแกนน�ำชุมชนคนอ่ืนๆ ช่วยท�ำงานน้ีร่วมกัน ไม่ว่าจะ เป็นกลุ่มสถาบันไทยเบ้ิงโคกสลุงเพื่อการพัฒนา กลุ่มครูภูมิปัญญาซึ่ง บทเรียนการน�ำ ร่วมจากผู้ขบั เคลือ่ นสังคม 243
ประกอบด้วยผู้สูงอายุในชุมชน คอยท�ำหน้าท่ีสอนภูมิปัญญาด้ังเดิมให้แก่ เดก็ และเยาวชนในกลมุ่ เมลด็ ขา้ วเปลอื กไทยเบงิ้ ทจ่ี ะเปน็ ผสู้ านตอ่ ภมู ปิ ญั ญา ไทยเบิ้ง และท่ีขาดไม่ได้คือกลุ่มแกนน�ำจิตสาธารณะซ่ึงเป็นชาวบ้านวัย ท�ำงานทคี่ อยชว่ ยงานพิพิธภณั ฑ์พน้ื บา้ นไทยเบง้ิ ฯ มานานหลายป ี กลมุ่ ทราเวลลอ์ าจดเู หมอื นมศี านนทเ์ ปน็ ผนู้ �ำ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ หาก มองจากสายตาคนภายนอก แตเ่ มอ่ื เขา้ ไปสงั เกตการทำ� งานจรงิ ๆ พบวา่ เขา ไม่ได้มีบทบาทมากกว่าคนอื่น ดังท่ีเนยและแวนกล่าวว่าเขาเป็นเพียงผู้จุด ประกาย แล้วสมาชิกคนอื่นๆ ซ่ึงต่างมีบทบาทหน้าท่ีชัดเจนจึงช่วยกันขับ เคลอ่ื นการทำ� งาน ทวา่ ลำ� พงั ทมี ทราเวลลเ์ องกไ็ มอ่ าจทำ� ใหท้ กุ อยา่ งสำ� เรจ็ ลุล่วงได้หากขาดการสนับสนุนจากคนในชุมชนและเครือข่ายภายนอก ท้ัง นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งกลุ่มคนอื่นๆ ท่ีท�ำงาน พัฒนาเมือง หากบคุ คลหรอื กลมุ่ คนเหลา่ นซี้ งึ่ เปรยี บเสมอื นไสด้ นิ สอไมม่ เี ปลอื กหมุ้ ไวก้ ค็ งพาพน้ื ทต่ี นเองเดนิ มาถงึ จดุ ทอ่ี ย ู่ ณ ปจั จบุ นั ไดย้ าก หรอื หนา้ ตาพนื้ ท่ี อาจดแู ปลกไป และคงยากจะบรรลเุ ปา้ หมายทพี่ วกเขามรี ว่ มกนั คอื การขดี เขยี นลายเสน้ ลงบนผนื กระดาษแหง่ สงั คม เพอ่ื ใหค้ วามสวยงามของลายเสน้ นี้สรา้ งการเปลยี่ นแปลงในสังคม ประเดน็ เยน็ กบั ความขดั แยง้ ระดับสังคม ความขดั แยง้ นบั เปน็ เรอื่ งปกตขิ องมนษุ ย ์ เรม่ิ ตง้ั แตก่ ารขดั แยง้ กบั ความ คดิ ของตนเอง และยง่ิ เมอ่ื ตอ้ งอยรู่ ว่ มกบั บคุ คลอนื่ ทงั้ ระดบั ครอบครวั ชมุ ชน องค์กร และสังคมอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนท่ีลุกข้ึนมาท�ำงานเปล่ียนแปลง สังคม ย่อมต้องมีโอกาสเผชิญกับความขัดแย้งมากกว่า เพราะการเปลี่ยน 244 ใจคน ชุมชน การเปล่ียนแปลง
แปลงยอ่ มกระทบตอ่ ผลประโยชนข์ องบคุ คลหรอื กลมุ่ คนอน่ื ๆ ทตี่ อ่ ตา้ นการ เปล่ียนแปลง นอกจากน้ีการทำ� งานขับเคลื่อนในยุคปัจจุบันอาจทำ� ได้ยาก หากปราศจากเครอื ขา่ ยและกลั ยาณมติ รคอยเกอ้ื หนนุ รว่ มมอื กนั ดงั นนั้ การ ยอมรบั ความแตกตา่ งหลากหลายดว้ ยความเขา้ ใจ และไมต่ ดั สนิ คนทมี่ ฐี าน ความคิดความเชื่อแตกต่างจากตนจงึ เป็นสิง่ สำ� คญั ในการทำ� งาน หลายครั้งความขัดแย้งก็อาจไม่ได้เร่ิมต้นจากตัวบุคคล แต่มีจุดก�ำเนิด มาจากอำ� นาจภายนอก แม้เราจะไมย่ ่งุ เกี่ยวกับการเมอื ง แต่การเมืองกจ็ ะ เข้ามายุ่งเก่ียวกับเราทุกคน เพราะการเมืองเชื่อมโยงอยู่กับอ�ำนาจในสังคม ที่เราอาศัยอยู่ เม่ือการใช้อ�ำนาจนั้นก้าวเข้ามากระทบกับเรา โดยเป็นสิ่งที่ เราไมพ่ งึ ปรารถนา เราจะจดั การกบั มนั อยา่ งไร และกลมุ่ คนในพน้ื ทวี่ จิ ยั ทง้ั สามแห่งจะจดั การกับมนั อยา่ งไร น่คี ือสิง่ ทง่ี านวิจยั ชน้ิ น้ีมุ่งหาค�ำตอบ เราพบว่าทุกพ้ืนท่ีเลือกใช้ประเด็นเย็นเป็นหนทางต่อรองกับปัญหา ความขัดแย้งหรือเพ่ือแสวงหาทางออก ค�ำว่า “ประเด็นเย็น” ในที่น้ีหมาย ถึงประเด็นหรือแนวทางแก้ปัญหาท่ีหลีกเล่ียงความขัดแย้งอันรุนแรง หลีก เลยี่ งการตอ่ สเู้ รยี กรอ้ งโดยใชก้ �ำลงั หรอื การประทว้ ง แตเ่ ปน็ การเลอื กใชแ้ นว ทางอนื่ ๆ ดงั ทท่ี ราเวลลใ์ ชส้ อ่ื เพอื่ สง่ ตอ่ ความคดิ เผยแพรอ่ ดุ มการณ ์ นำ� ไป สกู่ ารสรา้ งอดุ มการณร์ ว่ มกบั บคุ คลอนื่ ๆ นอกพน้ื ท ี่ ขณะทมี่ ลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ หยบิ ยกประเดน็ ด้านการศกึ ษาเพื่อสรา้ งทักษะชีวติ ควบคกู่ บั สทิ ธทิ ่จี ะได้รับ บัตรหัวศูนย์ การท�ำให้เด็กดูน่ารักเพื่อให้คนในพ้ืนท่ียอมรับว่าเด็กกลุ่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ส่วนชุมชนโคกสลุงก็หยิบประเด็นทางวัฒนธรรม หรือความเป็นคนไทยเบิ้งขึ้นมาเพ่ือหลอมรวมคุณค่าและความเป็นราก เดียวกันของคนในพื้นท่ี นอกจากน้ียังสร้างเครือข่ายร่วมกับคนนอกพื้นที่ ท่ีเห็นความส�ำคัญของการใช้ประเด็นด้านวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาพ้ืนท่ีหรือ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน การต่อสู้ด้วยแนวทางน้ีเป็นไปตามถ้อยคำ� ที่พ่อมืดกล่าวไว้ว่า “เราต้องสู้ด้วยความรู้ ไม่ใช่สู้ด้วยอารมณ์” (พ่อมืด, บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผ้ขู บั เคลอ่ื นสังคม 245
22 ตุลาคม 2559) อย่างไรก็ตาม ส�ำหรับกลุ่มคนที่ท�ำงานขับเคล่ือนสังคมมาเป็นระยะ เวลานานอย่างมูลนิธิบ้านครูน�้ำ และชุมชนโคกสลุง ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ ประเด็นเย็น พวกเขาเคยใช้ประเด็นร้อนมาก่อน เช่น การเผชิญหน้ากับคน ของรฐั ดว้ ยทา่ ทไี มเ่ ปน็ มติ ร การประทว้ ง การขบั เคลอ่ื นดว้ ยวธิ กี ารลกั ษณะ นอี้ าจชว่ ยสรา้ งแรงกระเพอื่ มใหเ้ กดิ ขน้ึ ในสงั คมไดบ้ า้ ง ทำ� ใหค้ นภายนอกหนั มาเห็นปัญหาของพวกเขามากข้ึนก็จริง แต่มันก็ไม่ช่วยให้แก้ไขปัญหาได้ สำ� เรจ็ เนอื่ งจากรฐั ยงั คงเปน็ ผมู้ อี �ำนาจเหนอื กวา่ ประชาชน ความลม้ เหลว เหลา่ นก้ี อ่ ใหเ้ กดิ กระบวนการเรยี นรแู้ ละการเปลย่ี นแปลงการท�ำงานในเวลา ตอ่ มา ในขณะทท่ี ราเวลลม์ แี นวทางแตกตา่ งออกไป อาจเพราะสมาชกิ เปน็ คนรุ่นใหม่ที่เห็นความล้มเหลวจากการต่อสู้กับอ�ำนาจรัฐด้วยวิธีการรุนแรง มามากมาย จงึ เรม่ิ ตน้ แกป้ ญั หาเรอื่ งรอ้ นๆ ดว้ ยการใชป้ ระเดน็ เยน็ กอ่ น โดย เฉพาะกรณีไล่ร้ือชุมชนป้อมมหากาฬ แทนท่ีจะเรียกร้องด้วยการประท้วง พวกเขากลับเลือกวิธีการเปลี่ยนแปลงพ้ืนท่ีป้อมให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต เพอ่ื ใหค้ นในชุมชนสามารถอยู่รว่ มกับพน้ื ทน่ี น้ั ได้ การเปลยี่ นแปลงระดับบคุ คลคอื พนื้ ฐาน สูก่ ารเปลีย่ นแปลงระดบั สังคม การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่มักมีจุดเริ่มต้นมาจากการเปลี่ยนแปลง ในจุดเล็กๆ เสมอ หากมองเฉพาะเร่ืองมนุษย์กับสรรพส่ิงท่ีมนุษย์มีความ สัมพันธ์ด้วย การเปลี่ยนแปลงระดับเล็กสุดคงเกิดข้ึนในตัวมนุษย์ทุกคนท่ี พร้อมจะเปลย่ี นแปลง ผนู้ ำ� คอื คนธรรมดาทไ่ี มไ่ ดว้ เิ ศษกวา่ ผอู้ นื่ ทกุ คนเปน็ ผนู้ �ำไดถ้ า้ สามารถ 246 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ยี นแปลง
เอาชนะใจตนเอง ดังค�ำกล่าวของพระไพศาล วิสาโล (อ้างถึงใน รัตติกรณ์ จงวิศาล, 2556) ที่ว่า ผู้น�ำที่จะน�ำพาคนได้นั้นต้องน�ำตนเองให้ได้ก่อน โดยจะตอ้ งเอาชนะใจตนเองใหไ้ ดก้ อ่ น ไมต่ กเปน็ ทาสของกเิ ลส ผนู้ ำ� ทที่ ำ� ให้ เกิดการเปล่ียนแปลงอันดีงามขึ้นได้จะต้องเร่ิมจากการเปล่ียนแปลงตนเอง กอ่ น เช่นเดียวกับปรัชญาเต๋าเต็กเก็งท่ีกล่าวว่า “คนฉลาดรู้จักคนอ่ืน คนรู้ จริงรู้จักตนเอง คนแข็งแรงชนะคนอื่น คนเข้มแข็งชนะตนเอง” (ประชา หตุ านวุ ตั ร, 2559, น. 30) แมเ้ ตา๋ เตก็ เกง็ จะใหค้ วามส�ำคญั กบั การรใู้ จคน รอบขา้ งหรอื บคุ คลทร่ี ว่ มงานดว้ ย แตท่ สี่ ำ� คญั ไปกวา่ นนั้ คอื “การรจู้ กั ตนเอง” เพราะมนษุ ยเ์ ปน็ สง่ิ มชี วี ติ ทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ น มคี วามตอ้ งการหรอื ปมลกึ ๆ ในจิตใจ หลายคร้ังบุคคลกระท�ำกิจกรรมหน่ึงโดยบอกผู้อ่ืนว่าท�ำไปด้วย เหตุผลเช่นนี้ แต่ความเป็นจริงแล้วท�ำลงไปเพราะอีกเหตุผลหน่ึงซึ่งมาจาก ปมลึกๆ หรือแรงปรารถนาอันแรงกล้าภายในตน โดยที่บางคร้ังบุคคลนั้น กไ็ ม่รู้ตวั และไมส่ ามารถตอบตัวเองได้วา่ แท้จริงแล้วกระทำ� สงิ่ นน้ั ไปเพราะ อะไรกันแน่ การไม่ชัดเจนกับความต้องการท่ีแท้จริงของตนเองเปรียบเสมือนการ หลอกตวั เองวา่ ส่งิ ท่ีทำ� อยนู่ น้ั มคี วามสขุ แต่แทจ้ รงิ แลว้ อาจไมใ่ ช ่ ดงั ทีค่ รนู ำ้� ไมส่ ามารถฝนื ทำ� งานเปน็ พนกั งานบรษิ ทั ตอ่ ไปไดแ้ มจ้ ะเปน็ แนวทางกระแส หลักที่สร้างความม่ันคงปลอดภัยให้แก่ชีวิต เพราะมันขัดต่อแรงปรารถนา อันแรงกล้าในใจที่ต้องการลงมือทำ� อะไรสักอย่างเพ่ือช่วยเหลือเด็กๆ ครู นำ้� จงึ เลอื กกา้ วออกมาจากพน้ื ทสี่ ะดวกสบายไปสหู่ นทางทไ่ี มม่ คี วามแนน่ อน ส่ิงที่ครูน�้ำกระท�ำส่ือถึงการรู้จักและรู้ใจตนเอง รู้ความต้องการลึกๆ ว่า ตนเองต้องการอะไร การตัดสินใจครั้งน้ันนับเป็นจุดเร่ิมต้นสำ� คัญของการ เปลี่ยนแปลงสังคมอันย่ิงใหญ่ในสายตาเด็กๆ ผู้ถูกสังคมเพิกเฉยต่อความ เป็นมนุษย์ บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผู้ขับเคลอื่ นสังคม 247
“ก็เข้าใจว่ามันเป็นเร่ืองยากล�ำบาก พ่ีก็เอาเร่ืองเหล่านี้มาเป็นความ ท้าทาย บอกตัวเองว่าไม่มีสตางค์ก็ไม่เป็นไร เราก็หาเอาเอง ลองดูว่าจะ ท�ำได้หรือไม่ พ่ีเร่งท�ำงาน ท�ำโอที ใครให้ท�ำอะไรพ่ีท�ำหมด จนเก็บเงินได้ เกือบแสน ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะมากนะ แล้วก็ลาออกจากที่ท�ำงานเลย เพราะรู้สึกว่างานออกแบบทที่ �ำอยตู่ อนนั้น ทำ� ไปก็ไม่มีความสุขเท่ากบั การ ไดช้ ่วยเหลือเด็ก” (ครูน�้ำ, 18 พฤศจกิ ายน 2559) อยา่ งไรกต็ าม การรจู้ กั และเขา้ ใจแรงปรารถนาลกึ ๆ ของตนเองอาจยงั ไมเ่ พยี งพอ เพราะบางครง้ั แรงปรารถนานนั้ อาจขดั ตอ่ ศลี ธรรมอนั ดที สี่ งั คม ยดึ ถอื หรอื อาจสรา้ งความเดอื ดรอ้ นแกส่ งั คม เตา๋ เตก็ เกง็ จงึ ใหค้ วามส�ำคญั กบั “การเอาชนะใจตนเอง” ดว้ ย การเอาชนะใจตนเองนบั เปน็ เรอ่ื งทา้ ทาย ต่อตัวบุคคลมาก เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นการเปล่ียนแปลงในจุดเล็กที่สุด แต่มันอาจต้องแลกกับการพาตัวเองก้าวออกมาจากจุดที่คุ้นเคยและรู้สึก สะดวกสบาย ไม่เหมือนกับการเอาชนะผู้อื่นที่แค่ใช้ก�ำลัง อ�ำนาจ หรือ ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทองกไ็ ดม้ าซงึ่ ชยั ชนะ พอ่ มดื คอื ตวั อยา่ งคนทเ่ี อาชนะใจตนเอง ไดด้ ว้ ยการเลกิ ดมื่ เหลา้ และเลกิ สบู บหุ ร ี่ เพราะมองเหน็ ถงึ เปา้ หมายทสี่ ำ� คญั กว่าแค่เร่ืองความสุขฉาบฉวยในแต่ละวัน นั่นคือความเป็นอยู่ท่ีดีขึ้นของ ชุมชนโคกสลุงอันเปน็ พื้นที่บา้ นเกิดของตน “สงิ่ ทยี่ ากทส่ี ดุ ในการทำ� งานชมุ ชนไมใ่ ชก่ ารประสานงาน หางบประมาณ หรือคิดแผนยุทธศาสตร์ แต่เป็นการก้าวข้ามอัตตาของตนเอง ความเป็น ตวั ตนของคนทำ� งาน ซง่ึ เปน็ อปุ สรรคสำ� คญั ทท่ี ำ� ใหง้ านไมส่ ำ� เรจ็ การละวาง ส่ิงนี้เป็นเรื่องยาก ผมเองก็เคยทำ� ไม่ได ้ แต่ถ้าเรามองไปยังเป้าหมายหลักที่ ตง้ั เอาไว ้ เรากจ็ ะละวางความเปน็ ตวั ตนนน่ั ได”้ (พอ่ มดื , 21 ตลุ าคม 2559) สำ� หรบั สมาชกิ กลมุ่ ทราเวลลซ์ ง่ึ เปน็ เดก็ รนุ่ ใหมใ่ นครอบครวั ชนชนั้ กลาง และเตบิ โตมากบั สงั คมเมอื ง การไดท้ ำ� งานรว่ มกบั คนในชมุ ชนทำ� ใหพ้ วกเขา ได้เรียนรู้ เติบโต เปล่ียนแปลงจากข้างใน และมีวิธีการมองโลกแตกต่างไป 248 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง
จากเดิม ตระหนักถึงคุณค่าในตัวมนุษย์ทุกคนเพิ่มข้ึน มองเห็นปัญหาได้ ลึกซ้งึ และเชอ่ื มโยงกันได้มากข้ึน “พอท�ำงานกับชุมชนไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาต้องการ อะไร ปญั หาทเ่ี ขาเผชญิ อยคู่ อื อะไรกนั แน ่ มนั ทำ� ใหร้ วู้ า่ เราไมส่ ามารถตดั สนิ ใครได้จากภายนอก อย่างคนที่อยู่ในสลัม หรือเด็กที่พ่อแม่ติดยา เราเห็น คณุ คา่ ของเขามากขน้ึ จากทเี่ รารสู้ กึ วา่ มนั เปน็ เรอื่ งไกลตวั พอไดม้ าทำ� งาน ร่วมกับเขาก็รู้สึกว่าจริงๆ เขาควรได้รับโอกาส มันเหมือนกับเรารู้สึกว่าทุก คนเปน็ คนเหมือนกนั ” (เม, 11 ตุลาคม 2559) กระบวนการเปลยี่ นแปลงภายในมกั คอ่ ยๆ ดำ� เนนิ ไประหวา่ งการเขา้ ไป สัมผัสประสบการณ์ พบเจอผู้คนใหม่ๆ ที่มีพื้นฐานความคิดต่างจากตน หรือเกิดการเรียนรู้ขึ้นระหว่างท�ำงาน ซ่ึงบางคร้ังบุคคลน้ันอาจไม่รู้ตัวว่า ตนเองเปลย่ี นแปลงไปแลว้ เปลยี่ นไปอยา่ งไร หรอื อาจไมเ่ ปลย่ี นเลย ดงั นนั้ การมีโอกาสได้ท�ำความรู้จักกับเคร่ืองมือต่างๆ ท่ีจะช่วยให้บุคคลตระหนัก รู้เพ่ือการเปลี่ยนแปลงตนเองนับเป็นตัวช่วยน�ำพาพวกเขาให้ค้นพบตัวเอง ได้เร็วขึ้น เคร่ืองมือชิ้นแรกคือ “การฟังอย่างลึกซึ้ง” ที่เป็นการฟังในระดับ ลกึ กวา่ การทำ� ความเขา้ ใจขอ้ ความหรอื คำ� พดู ทผ่ี พู้ ดู กลา่ วออกมาในลกั ษณะ การฟังทั่วๆ ไป แต่เป็นการฟังโดยอยู่กับขณะปัจจุบัน ตั้งใจฟัง และสนใจ แคต่ วั ผพู้ ดู ทอี่ ยตู่ รงหนา้ โดยปราศจากการคดิ วเิ คราะหห์ รอื ตงั้ คำ� ถาม หอ้ ย แขวนการตดั สนิ และไมพ่ ดู แทรกขณะฟงั การฟงั ชนดิ นน้ี บั เปน็ เครอ่ื งมอื ที่ ช่วยให้บุคคลได้ฝึกละวางอัตตา ขยายขอบเขตพ้ืนที่ในหัวใจเมื่อต้องเผชิญ กับเร่ืองราวที่มีความหลากหลาย และบางครั้งก็ขัดกับพ้ืนฐานความเชื่อ ของตน เครื่องมือช้ินถัดไปคือ “สุนทรียสนทนา” ซ่ึงมักน�ำมาใช้ในการท�ำงาน ขับเคล่ือนพื้นท่ี มันเป็นกระบวนการสนทนารูปแบบหน่ึงท่ีไม่ได้ตั้งวาระไว้ ชัดเจนเหมือนการประชุมอื่นๆ ที่มุ่งหาข้อสรุปในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง จึงเกิด บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผูข้ ับเคลอ่ื นสงั คม 249
การโต้เถียง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นหรือข้อเสนอของผู้อ่ืน สุนทรีย- สนทนามไิ ดต้ อ้ งการใหเ้ กดิ เหตกุ ารณเ์ ชน่ นนั้ การสนทนารปู แบบนไี้ มไ่ ดค้ าด หวังว่าแต่ละคนต้องได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน หรือเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เหมือนกัน ทว่ามีวัตถุประสงค์เพ่ือให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ตนเอง เข้าใจ ความหลากหลายของความคิดความเช่ือ และตระหนักถึงคุณค่าท่ีตนเอง และผู้อนื่ ยดึ ถอื เครอื่ งมอื เหลา่ นชี้ ว่ ยใหค้ นทำ� งานในพนื้ ทซ่ี ง่ึ ตอ้ งทำ� งานในสถานการณ์ จริง พบเจอบุคคลท่ีมีความเช่ือหรือยึดถือคุณค่าแตกต่างจากตน ก้าวผ่าน ร่องการทำ� งานแบบเดิมๆ ไปสู่ก้าวตอ่ ไปในการทำ� งานร่วมกับผูอ้ น่ื ได้ ดงั ที่ ครูน้�ำกล่าวว่า “พี่เป็นพวกใบเลี้ยงเดี่ยว...ไม่ใช่ว่าไม่เช่ือใครนะ แต่เราจะไม่ ค่อยเรียนรู้ผู้อ่ืน เพราะเราม่ันใจว่าเราท�ำงานกับชีวิตคนจริงๆ เลยมักมอง ผู้อื่นเป็นพวกโลกสวย การได้เข้าโครงการผู้น�ำฯ ช่วยให้มองเห็นกลุ่มคน ทห่ี ลากหลายมากยง่ิ ขน้ึ เขา้ ใจตวั เองมากขนึ้ ดว้ ย” (ครนู ำ้� , 18 พฤศจกิ ายน 2559) 250 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312