Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง บทเรียนการนำร่วมจากผู้ขับเคลื่อนสังคม

ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง บทเรียนการนำร่วมจากผู้ขับเคลื่อนสังคม

Description: ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง บทเรียนการนำร่วมจากผู้ขับเคลื่อนสังคม

Search

Read the Text Version

“ศลิ ปะคอื หวั ใจสำ� คญั ในการพฒั นาเดก็  ชว่ ยใหเ้ ดก็ คน้ พบเสน้ ทางทจ่ี ะ กลับบ้าน มีพื้นท่ีแสดงออก ไม่ไปก้าวร้าวกับใคร ช่วยลดพฤติกรรมความ รุนแรงลงไปได้เยอะมาก  เด็กบางคนถึงกับหยุดเร่ร่อนเพราะค้นพบตัวตน และคุณค่าของตัวเอง” (ครูนำ�้ , 18 พฤศจิกายน 2559) อย่างไรก็ตาม แนวคิดดังกล่าวดูจะยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในช่วง เวลานั้น อาจเพราะยังเป็นเรื่องใหม่ในสายตานักสังคมสงเคราะห์ทั่วไป แหลง่ ทนุ สนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื เดก็ เรร่ อ่ นทงั้ ในไทยและตา่ งประเทศตา่ งตง้ั ขอ้ สังเกตเกี่ยวกับวิธีเยียวยาเด็กด้วยกระบวนการศิลปะว่าเห็นผลค่อนข้างช้า เม่ือเปรียบเทียบกับแบบประเมินโครงการซ่ึงยึดเอาตัวชี้วัดเชิงประจักษ์ไว้ ส�ำหรับพิจารณาผลส�ำเร็จอันเป็นรูปธรรม คือให้ความส�ำคัญกับการ สงเคราะห์ด้านที่พักอาศัยและเครื่องอุปโภคบริโภคเสียมากกว่า  หลายๆ ครง้ั ทค่ี รนู �้ำพยายามสานตอ่ แนวคดิ ตนเองดว้ ยการรา่ งโครงการเสนอขอทนุ มาดำ� เนนิ งานพฒั นาเดก็ เรร่ อ่ น เธอจงึ ถกู ปฏเิ สธจนท�ำใหไ้ มส่ ามารถปฏบิ ตั ิ งานไดอ้ ย่างท่ีใจคิด  ความผิดหวังที่เกดิ ขน้ึ คร้ังแล้วครง้ั เล่าช่วยให้ค้นพบว่า แผนงานพฒั นาเดก็ เรร่ อ่ นไมอ่ าจเปน็ จรงิ ไดเ้ พราะขาดปจั จยั สำ� คญั  2 ประการ คือ เวลาและทุนทรัพย์  ความมุ่งมั่นมีใจให้แก่การใช้ศิลปะพัฒนามนุษย์ คอ่ ยๆ ทวขี น้ึ เรอ่ื ยๆ กลายเปน็ สง่ิ บบี คนั้ ใหเ้ ธอจำ� เปน็ ตอ้ งตดั สนิ ใจเลอื กทาง เดินชีวิต ว่าจะทุ่มเทสรรพกำ� ลังท้ังหมดที่มีให้การเป็นครูข้างถนนอย่างเต็ม ตัว หรือแค่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ห่างๆ ในยามมีเวลาว่างจากงานหลัก เพยี งเทา่ น้นั ครนู ำ�้ หวั เราะเสยี งดงั ขน้ึ เปน็ พเิ ศษเมอื่ เลา่ มาถงึ จดุ พลกิ ผนั ทผี่ ลกั ดนั ให้ เธอกา้ วออกจากสถานะพนกั งานออฟฟศิ สกู่ ารเปน็ ครขู า้ งถนนอยา่ งเตม็ ตวั เธอไม่เคยลังเลเลยแม้แต่น้อยว่าจะต้องตัดสินใจอย่างไร เพราะรู้ใจตัวเอง อยู่เสมอว่าแรงกระตุ้นและความมุ่งหวังท้ังหมดในชีวิตการทำ� งานนั้นคือแค่ เพียงได้มีความสุขกับส่ิงที่ได้ลงมือกระท�ำ  แน่นอนว่าความพยายาม บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผขู้ บั เคลื่อนสังคม 51

เปลย่ี นแปลงบทบาทหนา้ ทอี่ าจเปน็ การตดั สนิ ใจทต่ี อ้ งอาศยั ความกลา้ มาก พอที่จะละทิ้งพื้นท่ีปลอดภัยของตนเอง (comfort zone) แต่เธอก็คิดว่าถึง เวลาอนั เหมาะสมแลว้ กบั การเรม่ิ ตน้ งานทห่ี วั ใจเรยี กรอ้ งตอ้ งการอยา่ งจรงิ จงั ทั้งยังเชื่อมั่นว่าการตัดสินใจคร้ังนั้นจะเป็นส่ิงถูกต้องเสมอไม่ว่าผลลัพธ์จะ ออกมาเช่นไร  ความกังวลเพียงเรื่องเดียวในตอนนั้นคือจะต้องขออนุญาต ลาออกจากบรษิ ทั กับเจ้านายท่ที ง้ั รักและเอ็นดเู ธอมาโดยตลอด “แทบไม่ต้องคิดเลย พ่ีตัดสินใจทันทีว่าจะมาท�ำงานเป็นครูข้างถนน แบบเต็มตัว เริ่มวางแผนเก็บสตางค์มาท�ำงานช่วยเหลือเด็กตามความเชื่อ ของตนเอง  เมอ่ื กอ่ นหายากมาก คนทจี่ ะใหท้ นุ  เพราะเราไมม่ ชี อื่ เสยี ง  แม้ เคยขอไปแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาเน่ืองจากเห็นว่าโครงการท่ีเขียนไปมันไม่ เป็นรูปธรรม ต้องหาตัวช้ีวัดแบบเห็นจะจะ  มันจะเห็นจะจะได้ยังไงว่าเด็ก เปลี่ยนแปลงในทันที บางครั้งต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะท�ำให้เห็นว่าเด็กมี ความก้าวร้าวน้อยลง  แล้วสิ่งท่ีเกิดขึ้นจากนิทรรศการท่ีหัวล�ำโพงยังไม่ชัด พออีกหรือ” (ครูน้�ำ, 18 พฤศจกิ ายน 2559) การตดั สนิ ใจครงั้ นน้ั ยนื อยบู่ นพนื้ ฐานความเขา้ ใจเปน็ อยา่ งดวี า่ หนทาง ข้างหน้านั้นไม่แน่นอน  ครูน้�ำรู้ว่าปัจจัยท่ียังขาดส�ำหรับการปฏิบัติงานครู ขา้ งถนนอยา่ งเตม็ ตวั คอื เวลาและทนุ ทรพั ย ์  แนน่ อนวา่ เมอื่ ตดั สนิ ใจลาออก จากงานประจ�ำ ข้อจ�ำกัดเรื่องเวลาท่ีขาดหายไปก็ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป ส่วนเร่ืองทุนทรัพย์ส�ำหรับขับเคล่ือนงานใหม่ เธอได้เตรียมความพร้อมไว้ ต้ังแต่ก่อนลาออก โดยการท�ำงานอย่างหนัก เก็บหอมรอมริบให้ได้เงิน จ�ำนวนหนึ่งซ่ึงมากพอส�ำหรบั การออกเดนิ ทางครง้ั ใหม่ “ไมม่ สี ตางคก์ ไ็ มเ่ ปน็ ไร เรากห็ าเอาเอง ลองดวู า่ จะทำ� ไดห้ รอื ไม ่  พเี่ รง่ ท�ำงาน ท�ำโอท ี ใครให้ทำ� อะไรพีท่ �ำหมด เก็บเงนิ ได้เกือบแสนแล้วกล็ าออก จากท่ีท�ำงานเลย เพราะรู้สึกว่างานออกแบบท่ีท�ำอยู่ตอนนั้นท�ำไปก็ไม่มี ความสขุ เทา่ กับการได้ช่วยเหลอื เด็ก” (ครนู ้�ำ, 18 พฤศจิกายน 2559) 52 ใจคน ชมุ ชน การเปลย่ี นแปลง 

เรียนรจู้ ากแบบอยา่ งเพ่ือคน้ หาวิถีท่ีแตกต่าง จรงิ อยวู่ า่ การทำ� งานในเขตพน้ื ทก่ี รงุ เทพฯ เปน็ สงิ่ คนุ้ เคย แตด่ ว้ ยความ เชอ่ื วา่ หอ้ งเรยี นสำ� หรบั ครขู า้ งถนนคอื ทกุ ตารางนวิ้ ของสงั คมทปี่ รากฏผดู้ อ้ ย โอกาสอยู่ ประกอบกับความตีบตันเร่ืองแนวทางปฏิบัติงานซึ่งอาศัย กระบวนการนอกกระแสนยิ ม ทำ� ใหค้ รนู ำ�้ เรมิ่ มองหาลทู่ างกา้ วเดนิ ตามความ ฝันของตนเองในพ้ืนท่ีที่แตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือเป็นพื้นท่ีท่ีน่าจะเปิด โอกาสให้เธอได้ใช้ความสามารถทางศิลปะสร้างประโยชน์แก่เด็กชายขอบ ผู้พรอ้ มจะเรียนรกู้ ระบวนการดงั กล่าวไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามตน้ ทุนที่มี  ความตง้ั ใจใฝร่ เู้ กยี่ วกบั การท�ำงานเปน็ ครขู า้ งถนนชกั น�ำใหค้ รนู ำ�้ ไดพ้ บ กับหนังสือเล่มหน่ึงช่ือว่า แม่จัน สายนำ�้ ที่ผันเปล่ียน ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจ ใหเ้ ธออยา่ งมหาศาล  หนงั สอื เลม่ นร้ี วบรวมเรอ่ื งราวประสบการณง์ านอาสา สมัครบนดอยสูงในยุคบุกเบิก เขียนโดย เตือนใจ ดีเทศน์ หรือท่ีครูน�้ำเรียก ติดปากว่า “พ่ีแดง” ผู้ท�ำงานพัฒนาชาวเขาเผ่าลีซูแห่งบ้านปางสา อ�ำเภอ แม่จัน จังหวัดเชียงราย นับต้ังแต่ปี พ.ศ. 2517 สมัยยังเป็นบัณฑิตอาสา จนกลับไปท�ำงานอยู่ในพ้ืนท่ีลุ่มแม่น้�ำจัน สร้างประโยชน์แก่สังคมต่อเน่ือง ยาวนานถึง 4 ทศวรรษ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิพัฒนาชุมชนในเขตภูเขา ผลักดันเรื่องคนไร้สัญชาติชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อยเข้าสู่เวทีการเมือง ระดบั ประเทศในฐานะสมาชกิ วฒุ สิ ภาจงั หวดั เชยี งราย ยงั ผลใหส้ งั คมวงกวา้ ง ได้รับรู้เร่ืองราวมากขึ้นเกี่ยวกับการถูกจ�ำกัดสิทธิการเดินทาง การถือครอง ท่ีดิน การท�ำงาน ท้ังที่พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาหลายช่ัวอายุคน (เตอื นใจ ดีเทศน์, 2555) หลังจากได้อ่านหนังสือเล่มน้ีเป็นครั้งแรก ครูน้�ำรู้สึกอยากท�ำงาน ช่วยเหลือเด็กอย่างท่ีคุณเตือนใจท�ำส�ำเร็จ เพราะเธอเห็นว่าเด็กเร่ร่อนและ เด็กด้อยโอกาสบนดอยสูงเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องการความช่วยเหลือ บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผูข้ ับเคลื่อนสงั คม 53

อย่างเร่งด่วน เธอจึงตัดสินใจนั่งรถไฟด้ันด้นมาขอพบคุณเตือนใจที่อ�ำเภอ แม่จันในปี พ.ศ. 2538 โดยมีเป้าหมายส�ำคัญคือมาขอเรียนรู้งานพัฒนา เด็กบนดอยก่อนเตรียมตัวย้ายมาทำ� งานที่จังหวัดเชียงรายอย่างถาวรต่อไป ในอนาคต “หนงั สอื  แมจ่ นั  สายนำ้� ทผี่ นั เปลย่ี น ของพแ่ี ดงทำ� ใหเ้ กดิ แรงบนั ดาลใจ อยากทำ� งานกบั เดก็ บนดอย  สง่ิ ทพ่ี แี่ ดงทำ� เปน็ ตวั อยา่ งความสำ� เรจ็ รปู แบบ หนงึ่ ของการใหค้ วามชว่ ยเหลอื เดก็  ซง่ึ พกี่ ใ็ ฝฝ่ นั มากวา่ อยากท�ำงานในพนื้ ท่ี แบบน้ี” (ครูน้ำ� , 18 พฤศจิกายน 2559) สงิ่ ทแี่ บกตดิ ตวั มาเตม็ บา่ คอื ความคาดหวงั วา่ จะนำ� กระบวนการศลิ ปะ มาช่วยเติมเต็มศักยภาพความเป็นมนุษย์ให้แก่เด็กบนดอย  ครูน้�ำยอมรับ ว่าการท่ีสังคมเริ่มหันมาให้ความสนใจปัญหาเด็กไร้สัญชาติเป็นเพียงความ สำ� เรจ็ เบอื้ งตน้ ทร่ี อการตอ่ ยอด และเธอตอ้ งการสานตอ่ ความสำ� เรจ็ ดงั กลา่ ว ควบคู่กับการพิสูจน์ให้สังคมได้เห็นว่าความเช่ือที่ตนยึดถือคือหนทางที่ควร ได้รับการสนับสนุน  จนกระท่ังได้มาพบกับคุณเตือนใจ เธอก็ยังเน้นใช้ กระบวนการทางศิลปะเป็นหลักในการพัฒนาเด็ก แม้จะถูกต้ังค�ำถามก็ ยังคงยึดมั่นวิธีการท�ำงานแบบเดิม ขณะเดียวกันก็มิได้ปฏิเสธการเรียนรู้ ประสบการณใ์ หมๆ่   เธอสะทอ้ นใหฟ้ งั วา่ สง่ิ สำ� คญั ทสี่ ดุ ซง่ึ ไดเ้ รยี นรจู้ ากการ ลงพื้นที่ท�ำงานในชุมชนที่อ�ำเภอแม่จันประมาณ 3 เดือน คือความเข้าใจ ปญั หาอนั ซับซ้อนของคนไร้สัญชาติ “ตอนแรกพี่แดงก็เกิดค�ำถามเหมือนคนอื่นๆ คือมาท�ำแล้วจะดีหรือ จะได้หรือ มาท�ำเร่ืองสอนหนังสือก่อนดีไหม แต่เราก็ตอบไปว่าหนูจะมา สอนเดก็ ใหท้ ำ� แตง่ านศลิ ปะอยา่ งเดยี วเลย” (ครนู ำ�้ , 18 พฤศจกิ ายน 2559) ค�ำแนะน�ำจากคุณเตือนใจคือ หากต้องการท�ำงานโดยใช้กระบวนการ ศลิ ปะซง่ึ ตอ้ งอาศยั ระยะเวลายาวนานกจ็ �ำเปน็ ตอ้ งมโี ครงการรองรบั  คอื ตอ้ ง มีทุนสนับสนุนอย่างเพียงพอ  หากมุทะลุทำ� ต่อเนื่องโดยไม่มีความพร้อมก็ 54 ใจคน ชมุ ชน การเปลย่ี นแปลง 

ยากจะเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย  คุณเตือนใจจึงให้ความช่วยเหลือจัด ส่งโครงการที่ครูน้�ำเขียนข้ึนระหว่างเดินทางมาอ�ำเภอแม่จันไปยังแหล่งทุน หลายแหง่ ในตา่ งประเทศ แตผ่ ลปรากฏกเ็ ชน่ เดมิ  คอื ถกู ปฏเิ สธกลบั มาดว้ ย เหตผุ ลเรอื่ งตวั ชว้ี ดั สำ� หรบั ประเมนิ ผลสำ� เรจ็   แมค้ ณุ เตอื นใจพยายามชกั ชวน ใหม้ าชว่ ยกนั สอนหนงั สอื แทน แตค่ รนู ำ้� กช็ ดั เจนวา่ ยงั ตอ้ งการท�ำงานดว้ ยวธิ ี การของตนเองมากกว่า และยังคงเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ กับเชียงราย แถบดอยแม่สลองและดอยตุงต่อไปราว 1 ปีเต็มเพื่อสอนศิลปะตามแนว ทางท่ีออกแบบไว้ การให้ความช่วยเหลือดูแลครูน้�ำสะท้อนให้เห็นว่า คุณเตือนใจเป็น ตัวอย่างส�ำคัญในเรื่องการรับฟังความคิดเห็นท่ีแตกต่างอย่างต้ังใจ  แม้จะ เคยผ่านงานพัฒนาเด็กบนดอยมาอย่างยาวนาน สามารถให้ค�ำแนะน�ำท่ีดี แกผ่ ใู้ ฝร่ อู้ ยา่ งครนู ำ้� ได ้ แตก่ ไ็ มเ่ คยนำ� เสนอวธิ กี ารแบบเบด็ เสรจ็ เพอื่ ใหผ้ ดู้ อ้ ย ประสบการณ์กว่าท�ำตาม ย่ิงไปกว่าน้ันกลับสนับสนุนวิธีการท่ีแตกต่างแต่ น่าลอง แม้จะมีโอกาสประสบความส�ำเร็จไม่มากนักก็ตาม  ความใจกว้าง เย่ียงนี้อาจเป็นจุดหนึ่งท่ีท�ำให้คุณเตือนใจท�ำงานยากได้ส�ำเร็จจนเป็นที่ ยอมรับ  ท่าทีการรับฟังอย่างต้ังใจดังกล่าวอาจเป็นจุดเริ่มต้นสลายก�ำแพง ทางความคิดของคู่สนทนาได้อย่างหนึ่งด้วย ดังปรากฏจากการแสดงออก ของครนู �้ำทบี่ ง่ บอกถงึ ความเคารพในตวั คณุ เตอื นใจอยา่ งสงู ในยามบอกเลา่ เรือ่ งราวความสัมพนั ธท์ ่เี คยมตี อ่ กันเมอ่ื นานมาแล้ว แม่จัน สายน้�ำที่ผันเปล่ียน มิใช่แค่ค�ำบอกเล่าของคุณเตือนใจ ดีเทศน์ ผู้ซ่ึงคุณหมอประเวศ วะสี เขียนไว้ในค�ำนิยมของหนังสือเล่มนี้ว่า เธอคือผู้ หญงิ ตวั เลก็ ทใี่ จใหญ ่  การทำ� งานอยบู่ นภเู ขาชายขอบสงั คมไทยสะทอ้ นภาพ การศึกษาในอุดมคติที่ว่า “ชีวิตคือการศึกษา การศึกษาคือชีวิต”  เร่ืองราว ในหนังสือสามารถใช้เป็นต้นทุนการเรียนรู้ ท้าทาย และกระตุ้นเตือนจิต ส�ำนึกทางสังคมของครูน�้ำให้เร่ิมต้นค้นหาแนวทางการท�ำงานตามวิถีทาง บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผขู้ ับเคลื่อนสงั คม 55

ของตนตอ่ ไปไดเ้ ปน็ อยา่ งด ี  อาจกลา่ วไดว้ า่ หนงั สอื เลม่ นไ้ี มเ่ พยี งแสดงภาพ เปรียบเปรยวิถีชีวิตผู้คนกับสายนำ�้ ท่ีผันเปล่ียน ณ อ�ำเภอแม่จันเท่านั้น แต่ ยังสร้างแรงกระเพื่อมส่งผลให้อีกหลายชีวิตเปลี่ยนมาด�ำเนินรอยตามแบบ อยา่ งคณุ ความดที ผ่ี นู้ ำ� รนุ่ หนง่ึ สง่ ตอ่ สผู่ นู้ ำ� อกี รนุ่ หนง่ึ  เพอ่ื รว่ มกนั สรา้ งความ เปลีย่ นแปลงสู่สงั คมโดยไมร่ ้จู บ เชยี งใหม ่ : ความหวังใหม่บนหลักการทีป่ รบั เปลีย่ น “พี่เหมือนคนอกหักที่ต้องออกเดินทางต่อ น่ังรถออกมาด้วยค�ำถาม ว่าจะแก้ปญั หาทเี่ กดิ ไดย้ ังไง” (ครูน�้ำ, 24 กมุ ภาพันธ ์ 2560) ค�ำพูดข้างต้นคือความรู้สึกนึกคิดของครูน�้ำเมื่อต้องเดินทางออกจาก อำ� เภอแมจ่ นั  โดยฝากความหวงั ไวก้ บั คณุ เตอื นใจวา่  ยงั ไมล่ ม้ เลกิ ความตงั้ ใจ ท่ีจะท�ำตามโครงการที่เขียนข้ึน หากมีแหล่งทุนใดติดต่อมาก็พร้อมจะกลับ มาสานต่อดังเดิม  สภาพจ�ำยอมเยี่ยงน้ีคือช่วงเวลาแห่งความสับสนปน ผดิ หวงั เมอื่ พบวา่ โอกาสทค่ี วามฝนั จะเปน็ จรงิ ไดน้ น้ั มนี อ้ ยเหลอื เกนิ   อกี มมุ หน่ึงก็เกิดข้อขัดแย้งขึ้นภายในใจว่าหากขอแรงสนับสนุนจากผู้อื่นแล้วไม่ได้ รบั การตอบรบั  กต็ อ้ งลงมอื ทำ� มนั จรงิ ๆ โดยไมร่ รี อความชว่ ยเหลอื อกี ตอ่ ไป แตจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งปรบั เปลย่ี นวธิ กี ารทำ� งานใหส้ อดคลอ้ งกบั แนวทางพฒั นาเดก็ รูปแบบอื่นดว้ ย   ความคดิ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในจงั หวะนบี้ ง่ บอกวา่ ครนู �้ำไดก้ า้ วขา้ มสงิ่ ทตี่ วั เองแบก รับไว้ตลอดช่วงเวลาการทำ� หน้าท่ีครูข้างถนน น่ันคือการยดึ ตดิ กับความคิด ทก่ี อ่ ตวั กลายเปน็  “อตั ตา” โดยไมท่ นั รตู้ วั   ปจั จยั หนนุ นำ� ใหเ้ ธอตกผลกึ ทาง ความคิดและพร้อมจะเปล่ียนแปลงตัวเองอย่างเข้าใจก็คือการมองเห็นว่า เปา้ หมายเพอื่ ชว่ ยเหลอื เพอ่ื นมนษุ ยส์ �ำคญั กวา่ รปู แบบการท�ำงาน  ความ 56 ใจคน ชุมชน การเปล่ยี นแปลง 

ตอ้ งการพสิ จู นต์ วั เองซง่ึ เปน็ ปจั จยั ส�ำคญั ทค่ี อยขบั เคลอ่ื นการเรยี นรขู้ องเธอ จึงถูกปลดเปลื้องลง ราวกับป่ารกชัฏที่ถูกแผ้วถางออกจนท�ำให้มองเห็น ลู่ทางท�ำงานเพ่ือส่วนรวมในภาพกว้างได้ดียิ่งข้ึน  มิติความกว้างที่ว่าน้ีมิใช่ แค่สายตาการมองปัญหาเพื่อหาทางแก้เท่าน้ัน แต่ยังหมายถึงจิตใจท่ียินดี เปิดกวา้ งอยา่ งแทจ้ ริงเพอ่ื รับฟังขอ้ คดิ เหน็ จากคนรอบข้างดว้ ย ปจั จยั สำ� คญั อกี ประการทที่ ำ� ใหค้ รนู ำ�้ ลม้ เลกิ ความตง้ั ใจเดนิ ทางกลบั มา ตงั้ หลกั ท่กี รุงเทพฯ คือการติดตามข่าวสารแล้วพบวา่ จงั หวัดเชียงใหมม่ เี ด็ก เร่ร่อนติดเช้ือเอชไอวีจ�ำนวนมากท่ีสุดในประเทศไทย  ช่วงปี พ.ศ. 2540 โรคเอดส์ก�ำลงั แพร่ระบาดอย่างหนกั ในไทย โดยกลุ่มเด็กเรร่ อ่ นถกู กลา่ วถึง อย่างมากในฐานะกลุ่มเสี่ยงและหนึ่งในฟันเฟืองวงจรแผ่ขยายของโรค เธอ จึงเปลี่ยนใจเดินทางสู่จังหวัดเชียงใหม่เพื่ออาสาเป็นส่วนหน่ึงในการแก้ ปญั หานี้ ครูน้�ำเริ่มต้นท�ำงานท่ีเชียงใหม่โดยเข้าร่วมกับมูลนิธิอาสาพัฒนาเด็ก (The Volunteers for Children’s Development Foundation) เป็น ส่วนหนึ่งในกลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งผ่านความร่วมมือกับองค์การยูนิเซฟและการ ทอดผ้าป่าสามัคคีเพ่ือระดมทุน  วัตถุประสงค์ส�ำคัญของมูลนิธิฯ คือลด พฤติกรรมเสี่ยง พัฒนาคุณภาพชีวิต ประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ภาครฐั และเอกชนในการชว่ ยเหลอื เดก็ เร่ร่อนด้อยโอกาส  สาเหตุส�ำคัญท่ีครูน�้ำตัดสินใจร่วมก่อต้ังมูลนิธิอาสาพัฒนาเด็กขึ้นมา ก็เพราะการยอมรับในแนวทางปฏิบัติงานซึ่งแตกต่างจากสถานสงเคราะห์ อนื่ ๆ ทเ่ี ธอเคยรจู้ กั  คอื ไมเ่ นน้ การสงเคราะหโ์ ดยใหส้ ถานทพ่ี กั พงิ อยา่ งถาวร หรอื ใหก้ ารศกึ ษาอยา่ งในระบบ แตเ่ ปน็ การมงุ่ สรา้ งทกั ษะชวี ติ ใหแ้ กก่ ลมุ่ เดก็ เร่ร่อนเป็นส�ำคัญ วิธีการดังกล่าวมีคุณเรณู อรรฐาเมศร์ ผู้ด�ำรงต�ำแหน่ง ประธานกรรมการมูลนิธิ เป็นหัวเรือใหญ่  ครูน�้ำเล่าว่าหัวใจส�ำคัญของวิธี การน้ีไม่ใช่การสอนหรือบอกเด็กว่าต้องทำ� อย่างไร แต่เป็นการปฏิบัติงาน บทเรยี นการน�ำ ร่วมจากผขู้ บั เคล่อื นสงั คม 57

และออกแบบกจิ กรรมรว่ มกนั กบั เดก็ ตงั้ แตต่ น้  โดยมงุ่ หวงั ใหเ้ ดก็ ดแู ลตวั เอง ไดท้ งั้ เรอ่ื งการปอ้ งกนั โรครา้ ย การหารายไดเ้ ลยี้ งตวั เองดว้ ยวธิ สี จุ รติ   ระบบ ที่มุ่งสร้างทักษะชีวิตน้ีดูจะสอดรับกับแนวทางการใช้ศิลปะพัฒนามนุษย์ อย่างมาก แค่เพียงปรับวัตถุประสงค์เพ่ิมเติม จากเดิมที่เน้นการสร้างพื้นท่ี แสดงตวั ตนพรอ้ มกบั รบั รคู้ ณุ คา่ ของตวั เอง กม็ กี ารตง้ั เปา้ ใหง้ านศลิ ปะแตล่ ะ ชิ้นสามารถสร้างรายได้จนอาจน�ำไปสู่การสร้างอาชีพด้วย  ผลส�ำเร็จของ กระบวนการนนี้ อกจากเดก็ จะเกดิ ทกั ษะดแู ลตวั เองแลว้  พวกเขายงั ทำ� หนา้ ที่ เปน็ กระบวนกรจัดกิจกรรมพฒั นาทักษะชวี ติ ใหแ้ กก่ ลุม่ คนในสงั คมไดด้ ว้ ย เชยี งใหมค่ อื เมอื งทอ่ งเทย่ี วสำ� คญั ทสี่ ดุ เมอื งหนงึ่ ของไทย มนี กั ทอ่ งเทย่ี ว ท้ังชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้าออกจ�ำนวนมาก ปัญหาเด็กเร่ร่อนท่ี เชียงใหม่จึงแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ ที่ครูน้�ำเคยท�ำงานมาก่อน เพราะเด็ก เรร่ อ่ นทน่ี หี่ ลงั่ ไหลมาจากหลากหลายพนื้ ทเ่ี พอื่ เขา้ มาท�ำงานและขายบรกิ าร ทางเพศ ใครไมม่ ที พี่ กั กน็ อนกนั ตามทอ้ งถนน ใตส้ ะพาน โดยเฉพาะบรเิ วณ ประตูท่าแพซ่ึงปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบถนนคนเดินในยาม ค�่ำคืน เม่ือก่อนคือจุดเจรจาเพื่อซื้อขายบริการ  ส่วนเด็กท่ีเป็นคนเชียงใหม่ โดยดงั้ เดมิ แตม่ ปี ญั หาครอบครวั จนพกั อาศยั อยบู่ า้ นตวั เองไมไ่ ดก้ ก็ ลายเปน็ กลุ่มเสี่ยงจากการมีคู่รักเป็นคนขายบริการหรือผู้ซ้ือบริการ กระทั่งอาจเป็น คนขายบริการเสียเอง   ปัญหาท่ีตามมาของเด็กเร่ร่อนในเชียงใหม่คือการถูกตีตราว่าเป็นผู้ติด เชื้อเอชไอวี เป็นพาหะของการแพร่ระบาด เป็นคนน่ารังเกียจท่ีถูกสังคม ผลกั ไส  ถา้ ครอบครวั ใดมลี กู หลานปว่ ยเปน็ โรคนกี้ จ็ ะถกู ตราหนา้ วา่ เปน็ คน ไม่ดี อาจมีอันตรายหากเข้าไปคลุกคลีด้วย  เมื่อประกอบกับความรู้เร่ือง กระบวนการแพรร่ ะบาดของโรคซงึ่ ผคู้ นรบั รตู้ า่ งกนั จนเกดิ ความเขา้ ใจวา่ โรค เอดสต์ ดิ ตอ่ กนั ไดง้ า่ ยกวา่ ความเปน็ จรงิ  ภาพผตู้ ดิ เชอ้ื ในชว่ งป ี พ.ศ. 2540- 2543 จึงเลวรา้ ยมาก 58 ใจคน ชุมชน การเปลย่ี นแปลง 

“เด็กเร่ร่อนท่ีเชียงใหม่เขาอยู่กันเป็นกลุ่มจนเกิดเป็นแก๊งต่างๆ ขึ้นมา ตกกลางคืนบางคนก็ไปขายบริการ ขายเสร็จก็มาอยู่รวมกัน ที่เป็นแฟนกัน กเ็ ลยตดิ โรคไปดว้ ยกนั   บางครง้ั กอ็ ดตกใจไมไ่ ดว้ า่ มกี ารแชรค์ นู่ อนกนั ดว้ ย” (ครูน้�ำ, 18 พฤศจิกายน 2559) มเี ดก็ เรร่ อ่ นเขา้ รว่ มโครงการสรา้ งทกั ษะชวี ติ แลว้ พบวา่ ไดร้ บั ความรนู้ ำ� ไปใชด้ แู ลตวั เอง มคี นมอบความรกั ความเอาใจใสใ่ ห้ และยงั มรี ายไดจ้ ากการ ท�ำงานศิลปะแล้วน�ำไปขายต่อ บางคนพอเห็นช่องทางประกอบอาชีพแล้ว ถึงกับหยุดเร่ร่อนก็มี  จากค�ำบอกเล่ากันปากต่อปากส่งผลให้จำ� นวนผู้เข้า ใช้บริการมูลนิธิอาสาพัฒนาเด็กเพิ่มมากข้ึนเรื่อยๆ น�ำไปสู่การจัดต้ังศูนย์ ดร็อปอินแห่งแรกในเชียงใหม่เพ่ือใช้เป็นสถานพักพิงชั่วคราวส�ำหรับเด็ก เร่ร่อนในยามที่เขาต้องการ  ปัจจุบันศูนย์ดร็อปอินแห่งน้ียังกลายเป็น ต้นแบบยุทธศาสตร์อย่างหน่ึงของมูลนิธิบ้านครูน้�ำในการท�ำงานช่วยเหลือ เด็กแบบเร่งดว่ นตามสถานการณเ์ ฉพาะหน้าอีกด้วย ครูน้�ำเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า มูลนิธิอาสาพัฒนาเด็กท่ี เชียงใหม่มเี ดก็ เรร่ อ่ นเข้ามาใชบ้ รกิ ารกวา่  300 คน ทกุ คนรว่ มกันออกแบบ กิจกรรม จัดท�ำโครงการ ช่วยเหลือซ่ึงกันและกันจนเกิดเป็นเสมือนชุมชน หรอื บา้ นหลงั หนงึ่ ซงึ่ พวกเขามสี ว่ นรว่ มเปน็ เจา้ ของ  เดก็ แทบทกุ คนรว่ มกนั สร้างหนงั สอื คูม่ ือกจิ กรรมพัฒนาทักษะชวี ิตข้นึ มา มีการน�ำคู่มือน้ีไปใชง้ าน กับคนในชุมชน โรงเรียนต่างๆ ในเชียงใหม่ด้วย แต่น่าเสียดายท่ีเด็กเหล่า นน้ั เสียชวี ติ ดว้ ยโรคเอดส์ไปเกือบหมดแลว้ “เดก็ เหมอื นเปน็ ครใู หเ้ รา ไดค้ มู่ อื และแนวทางมา แตเ่ ขากต็ าย” (ครนู ำ้� ,  18 พฤศจกิ ายน 2559) กรณีหนึ่งที่สร้างจุดพลิกผันให้แก่ครูน้�ำอีกครั้งหลังจากท�ำงานเยียวยา เดก็ เรร่ อ่ นทเ่ี ชยี งใหมเ่ ปน็ เวลากวา่  3 ป ี คอื การไดพ้ บกบั เดก็ ชายวยั  7 ขวบ คนหน่ึงซึ่งเดินทางเข้ามาขอความช่วยเหลือเนื่องจากเกิดอาการเจ็บปวด บทเรียนการนำ�ร่วมจากผ้ขู ับเคลอ่ื นสงั คม 59

บรเิ วณอวยั วะเพศ  หลงั จากพาไปพบแพทยก์ ไ็ ดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่ ความเจบ็ ปวดดังกล่าวเกิดจากอวัยวะเพศถูกหล่อด้วยปูนปลาสเตอร์แล้วดึงออกมา ยิ่งไปกว่าน้ันสิ่งท่ีสร้างความน่าสลดใจอย่างท่ีสุดคือ “เขาติดเช้ือเอชไอวี” ความหดหเู่ กดิ ขนึ้ คา้ งคาอยใู่ นความรสู้ กึ จนท�ำใหค้ รนู ำ้� ตดั สนิ ใจออกเดนิ ทาง ติดตามเส้นทางชีวิตเด็กคนนี้ว่ามีท่ีมาท่ีไปอย่างไร เพื่อมุ่งไปหาต้นตอของ ปญั หาทล่ี กึ ซงึ้ ข้ึนกว่าเดมิ   หยั่งรากลึกเพือ่ ผลิดอกออกผล หัวใจไรพ้ รมแดนบนพ้นื ทแี่ นวชายแดน เด็กชายวัย 7 ขวบคนน้ีน�ำทางครูน�้ำมาจนถึงอ�ำเภอแม่สาย จังหวัด เชยี งราย สถานทท่ี เ่ี ขาและครอบครวั ใชเ้ ปน็ เสน้ ทางลกั ลอบเขา้ สปู่ ระเทศไทย ก่อนจะย้ายไปอยู่บ้านเช่าในเขตชุมชนแออัดจังหวัดเชียงใหม่อีกต่อหน่ึง เขาเปน็ ชาวพมา่ เชอ้ื สายอาขา่  มถี นิ่ ฐานบา้ นเดมิ อยใู่ นหมบู่ า้ นอาเคอะอาขา่ รฐั ฉาน ประเทศพมา่   การไดเ้ ดนิ ทางมาถงึ อ�ำเภอแมส่ ายท�ำใหค้ รนู ้�ำพบวา่ ยงั มเี ดก็ เรร่ อ่ นจำ� นวนมากใชว้ ธิ หี ลบหนเี ขา้ มาในเขตแดนไทยเพอ่ื ทำ� งานหา รายได้เลี้ยงดูตัวเองรวมทั้งส่งต่อให้ครอบครัว คนท่ีหางานท�ำไม่ได้ก็ไปเป็น ขอทาน คนขายดอกไม้ หรือค้าประเวณี บางคนเดินทางทะลักเข้าไปไกล ถึงเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ก็มี  ปรากฏการณ์ท่ีเด็กตัวเล็กๆ เดินทาง 60 ใจคน ชมุ ชน การเปลยี่ นแปลง 

เราตอ้ งมาทำ�อะไรที่ต้นทาง ไมเ่ ช่นนั้นเดก็ จะทะลักเข้ามาอีกเยอะ การตั้งรบั ในเมอื งใหญห่ รือทำ�งานวชิ าการเพียงอย่างเดียว โดยไม่ลงพ้นื ที่ที่เปน็ ต้นตอของปัญหา จะไม่สามารถแกไ้ ขวฏั จกั รกระบวนการค้ามนษุ ยไ์ ด้ หล่ังไหลเข้ามาขายบริการยังสะท้อนให้เห็นรสนิยมการซื้อบริการซึ่งเริ่มมุ่ง ไปยงั เยาวชนอายนุ อ้ ยลงเร่ือยๆ ดว้ ย การกลับมาท�ำงานที่เชียงใหม่รอบนี้เต็มไปด้วยความอึดอัดใจ เพราะ เร่ืองท่ีได้ประสบพบเจอ ณ อ�ำเภอแม่สายท�ำให้ครูน้�ำรู้สึกเหมือนภารกิจที่ ก�ำลังปฏิบัติอยู่ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก มันเป็นการเผชิญกับปัญหาท่ี ปลายเหตุ ย่ิงเมื่อได้ลองถอยออกมามองภาพกว้างจะพบว่าการให้ความ ช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนในจังหวัดเชียงใหม่เป็นเพียงการอุดรอยร้าวเล็กๆ ของ หลุมด�ำขนาดใหญ่ เธอจึงขออนุญาตมูลนิธิอาสาพัฒนาเด็กออกส�ำรวจ ปญั หาเดก็ เรร่ อ่ นในพน้ื ทอี่ ำ� เภอแมส่ ายอยา่ งจรงิ จงั อกี ครงั้  แมท้ มี งานมลู นธิ ฯิ บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผูข้ ับเคล่อื นสงั คม 61

จะไม่เหน็ ดว้ ยนักเนื่องจากดจู ะเป็นการคดิ การใหญเ่ กินกำ� ลงั ความดูแล แต่ กจ็ �ำยอมใหไ้ ปเน่ืองจากรูด้ วี า่ คงไมอ่ าจหยดุ ยง้ั ความต้งั ใจได้ “พ่ีคิดว่าเราต้องมาทำ� อะไรที่ต้นทาง ไม่เช่นน้ันเด็กจะทะลักเข้ามาอีก เยอะ  การตั้งรับในเมืองใหญ่หรือท�ำงานวิชาการเพียงอย่างเดียวโดยไม่ ลงพื้นที่ท่ีเป็นต้นตอของปัญหาจะไม่สามารถแก้ไขวัฏจักรกระบวนการค้า มนุษยไ์ ด้” (ครนู �้ำ, 18 พฤศจกิ ายน 2559) เหตุสงครามภายในพม่าช่วงปี พ.ศ. 2544 ระหว่างรัฐบาลพม่าผู้ร่วม สนับสนุนกองทหารว้าเข้าท�ำการสู้รบกับกลุ่มกบฏรัฐฉานส่งผลให้เด็ก ชนเผ่าต่างๆ เช่น อาข่า มูเซอ ละว้า ต้องย้ายออกจากพื้นท่ีท�ำกินมาพัก อาศัยอยู่รวมกันที่บริเวณแนวชายแดนไทย-พม่า รอยต่ออ�ำเภอแม่สายกับ จงั หวดั ทา่ ขเ้ี หลก็  ซงึ่ ขณะนน้ั ดา่ นขา้ มพรมแดนถกู ประกาศปดิ ชว่ั คราว  เมอื่ ไม่มีอาชีพและที่ท�ำกินก็ด�ำรงชีวิตด้วยความอดอยากหิวโหย จึงเร่ิมอพยพ ทะลักเข้าสู่ไทย  รัฐบาลไทยแก้ปัญหาโดยพยายามใช้มาตรการรุนแรงผลัก ดนั ผอู้ พยพเหลา่ นอ้ี อกไป  สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในเวลานนั้ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ความไมล่ ง รอยกนั ทางความคดิ เกย่ี วกบั นยิ ามพน้ื ทแี่ นวชายแดน ซง่ึ วางอยบู่ นจดุ ยนื อนั แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ครูน�้ำแสดงทัศนะว่าพฤติกรรมการผลักไสผู้คนที่ กำ� ลงั เดอื ดรอ้ น หวงั เพยี งนำ� พาชวี ติ ออกไปใหพ้ น้ สนามรบ เปน็ สงิ่ ทไี่ มอ่ าจ ยอมรบั ได ้  เธอพยายามใหค้ วามชว่ ยเหลอื ทกุ วถิ ที างอยา่ งสดุ กำ� ลงั แกเ่ ดก็ ผู้ ได้รับผลกระทบจากสงคราม เท่าท่ีมนุษย์คนหน่ึงจะมอบให้แก่มนุษย์ด้วย กนั ได ้ แตก่ ารกระทำ� นน้ั กลบั กลายเปน็ เรอ่ื งผดิ กฎหมายในสายตาเจา้ หนา้ ท่ี รัฐผ้ปู ระกาศชัดว่าต้องการปกปักรักษาอธิปไตยของชาติไทย ความขัดแย้งทางความคิดเรื่องสิทธิในการดำ� รงชีวิตซ่ึงส่งผลให้มนุษย์ มีท่าทีต่อกันท้ังในฐานะมิตรและศัตรูเกิดจากการมีมโนทัศน์เร่ืองพื้นท่ีแนว ชายแดนแตกตา่ งกนั   สำ� หรบั รฐั หรอื คนทใ่ี ชร้ ฐั ใหเ้ ปน็ ประโยชนม์ องชายแดน ว่าทุกตารางน้ิวคือของกูทั้งท่ีอาจจะไม่เคยเข้าไปใช้ประโยชน์ แต่ถ้าใครมา 62 ใจคน ชุมชน การเปลย่ี นแปลง 

แย่งพื้นท่ีตรงนี้ไปก็จะรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อน น�ำมาเป็นประเด็นปลุกความ เปน็ ชาตนิ ยิ มได ้  แตส่ ำ� หรบั ชาวบา้ น ชายแดนเปน็ พน้ื ทที่ ำ� กนิ  เปน็ พนื้ ทแี่ ลก เปล่ียนสินค้า เย่ียมญาติพ่ีน้อง เป็นทางผ่านในชีวิต เป็นพื้นท่ีปฏิสังสรรค์ เปน็ พนื้ ทแี่ ลกเปลี่ยนขา่ วสารขอ้ มูล เป็นพ้นื ท่ที ่อี าจไมม่ ีกฎระเบียบเข้มงวด มากนัก และเป็นพื้นที่ตรงกลาง (ยศ สนั ตสมบัติ, 2559) การมองพ้ืนที่ว่าเป็นของรัฐใดรัฐหน่ึงแล้วระบุว่ามนุษย์คนใดมีสิทธิ เหนือพ้ืนท่ีน้ัน พยายามผลักไสมนุษย์อีกกลุ่มออกไปด้วยเหตุผลการขาด สญั ลกั ษณแ์ สดงตวั ตนทส่ี �ำคญั อยา่ งบตั รประจำ� ตวั ประชาชนคอื จดุ เรม่ิ ตน้ ที่ ทำ� ใหเ้ ดก็ และชาวบา้ นผอู้ าศยั อยบู่ รเิ วณแนวชายแดนตกเปน็  “คนไรส้ ญั ชาต”ิ (nationalityless)  ชดุ ความคดิ นผ้ี ลกั ดนั ใหพ้ วกเขาตกอยใู่ นสภาวะไมไ่ ดถ้ กู นับรวมเป็น “คนชาติ” (nationals) โดยกฎหมายของรัฐ เป็นกลุ่มบุคคลซึ่ง ไม่ได้รับการรับรองว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐชาติ ขาดสิทธิข้ันพื้นฐานใน การด�ำรงชีวิตอย่างเป็นปกติเกือบทุกด้าน ได้แก่ 1) สิทธิในการรับรอง สถานะบุคคลตามกฎหมาย 2) สิทธิในการรักษาพยาบาลและบริการ 3) สิทธิในการท�ำงานและได้รับการคุ้มครองแรงงานตามกฎหมาย 4) สิทธิ ในการศึกษา 5) สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และ 6) สิทธิอื่นๆ ในการเข้าถึงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ได้แก่ สิทธิในการเดินทางออกนอก พ้ืนท่ีที่อาศัยอยู่ สิทธิในการเคล่ือนไหว สิทธิในการก่อต้ังครอบครัวตาม กฎหมาย และสิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน (กฤตยา อาชวนิจกุล, 2554)  อาจกล่าวได้ว่าคนไร้สัญชาติคือคนชายขอบ (marginal people) ท่ีถูกกีดกัน ขาดอ�ำนาจในการต่อรอง ขาดการศึกษา และขาดการยอมรับ จากสังคมกระแสหลักไม่ทางใดกท็ างหนงึ่ หากพิจารณาปัญหาเด็กเร่ร่อนลักลอบข้ามฝั่งไปมาระหว่างพรมแดน ไทย-พม่าผ่านมุมมองครูน�้ำจะพบว่าเด็กกลุ่มน้ีมิใช่แค่ขาดท่ีพ่ึงพิง แต่พวก เขายังกลายเป็นเด็กไร้สัญชาติผู้ถูกกีดกันผลักไส (social exclusion) จาก บทเรียนการน�ำ ร่วมจากผ้ขู ับเคล่ือนสงั คม 63

ระบบการเมอื งการปกครองตามแนวคดิ รฐั สมยั ใหม ่ โดนสงั คมกดทบั ซำ้� เตมิ ความทุกข์ยากในการด�ำเนินชีวิตหนักข้ึนไปอีก  เธอมองไม่เห็นเหตุผลอัน สมควรกับวิธีคิดเช่นนี้ เพราะมีแต่จะก่อก�ำแพงปิดก้ันการมองเห็นมนุษย์ อยา่ งผมู้ สี ทิ ธเิ สรภี าพเทา่ เทยี มกนั   เธอเชอื่ วา่ หากตดั คำ� วา่ ไทยกบั พมา่ ออก ก็จะมีแต่ค�ำว่าเด็กเพียงอย่างเดียว ซึ่งนั่นควรเป็นมุมมองที่ถูกให้ความ สำ� คัญมากกว่า   “มันคือจุดที่หนักที่สุดแล้ว เด็กริมชายแดนถูกกดทับเพราะไร้สัญชาติ แถมยงั ตอ้ งเรร่ อ่ นอกี  ทำ� ใหเ้ หมอื นมกี ารกดทบั  2 ชนั้  ฉะนนั้ ความเปน็ ตวั ตน ของเขาในสังคมแทบไมม่ ีเลย” (ครูน�ำ้ , 18 พฤศจิกายน 2559) ก�ำเนดิ มูลนธิ บิ า้ นครนู ้�ำ สภาวะสงครามผนวกกับการปิดพรมแดนส่งผลให้เศรษฐกิจฝืดเคือง  เด็กเร่ร่อนก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะขาดคนดูแล เดินไปทางไหนก็ ถกู รงั เกยี จเพราะทำ� ใหร้ า้ นคา้ ซงึ่ ทำ� มาหากนิ ยากอยแู่ ลว้ ไดร้ บั ผลกระทบหนกั ยงิ่ ขนึ้ ไปอกี  หนไี มพ่ น้ การถกู มองวา่ เปน็ ตวั ปญั หาของสงั คม  ขณะนน้ั ครนู ำ้� ใช้พื้นท่ีใต้สะพานบริเวณด่านข้ามพรมแดนอำ� เภอแม่สายปฏิบัติหน้าที่ครู ข้างถนน จัดสอนศิลปะ  เม่ือมีเด็กเข้ามาขอรับความช่วยเหลือมากข้ึน เรอ่ื ยๆ ประกอบกบั เรมิ่ รจู้ กั มกั คนุ้ กบั คนในชมุ ชนแถบนนั้  เธอจงึ ตดั สนิ ใจหา บ้านเช่าเพื่อใช้เป็นท่ีพักชั่วคราวส�ำหรับเด็กเร่ร่อนทั้งสัญชาติไทยและไร้ สญั ชาติ และนี่คือการบินเด่ียวเป็นครั้งแรกโดยแยกตัวออกมาสร้างศูนย์ดร็อป อนิ อำ� เภอแมส่ ายขน้ึ ในป ี พ.ศ. 2545 มมี ลู นธิ เิ พอื่ ยตุ กิ ารแสวงหาประโยชน์ ทางเพศจากเด็ก (ECPAT Foundation) ให้การสนับสนุน  ศูนย์ดร็อปอิน 64 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง 

แห่งนี้ก่อต้ังขึ้นภายใต้ “โครงการมิตรข้างถนน” (Buddies Along the Road Side Project) มีจัดการเรียนการสอนภาษาไทย ศิลปะ กิจกรรม นนั ทนาการ และอาหารการกนิ  เอาไวใ้ ห้  กลมุ่ เปา้ หมายของโครงการนคี้ อื เด็กเร่ร่อน 2 กลุ่ม ได้แก่ เด็กผู้มีปัญหาสุขภาพ กับเด็กผู้ตกเป็นเหยื่อ ขบวนการค้ามนุษย ์ “พ่อกับแม่ผมติดยาเสพติดอย่างหนัก ชีวิตความเป็นอยู่ล�ำบากมาก ผมเลยต้องข้ามฝั่งจากพม่าเข้ามาขอทานที่ใต้สะพานบริเวณด่านชายแดน อำ� เภอแมส่ าย ครนู ำ�้ มาเจอเขา้ กช็ ว่ ยผมออกมาอยทู่ ศี่ นู ยด์ รอ็ ปอนิ ระยะหนง่ึ แล้วส่งผมต่อไปยังมูลนิธิท่ีเชียงใหม่เพื่อให้ห่างจากปัญหายาเสพติด ท่ีนั่น ให้ท่ีพักและโอกาสเรียนหนังสือจนจบ ปวช.  ผมยังคงติดต่อกับพ่อแม่อยู่ เสมอในชว่ งทไี่ มไ่ ดอ้ ยดู่ ว้ ยกนั   หากวนั นนั้ ไมไ่ ดย้ า้ ยออกมา ผมกไ็ มร่ เู้ หมอื น กนั วา่ วันน้ีจะเปน็ อยา่ งไร” (อาซานอน, 10 มนี าคม 2560) เม่ือสงครามทางการเมืองภายในพม่าสงบลง ด่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก กเ็ ปดิ ขน้ึ อกี ครง้ั  แตก่ ลบั เกดิ สงครามรปู แบบใหมข่ น้ึ มาแทน นน่ั คอื สงคราม แยง่ ชงิ ผลประโยชนแ์ สวงหารายไดเ้ พอื่ เลยี้ งปากทอ้ ง เกดิ กระแสการซอื้ ขาย เดก็ ผู้หญงิ เพอื่ ส่งตอ่ ไปยงั สถานบนั เทงิ ต่างๆ อย่างกว้างขวางยิง่ กว่าตอนมี สงครามเสยี ดว้ ยซำ�้  จนเกดิ คำ� พดู เชงิ เสยี ดสขี น้ึ วา่  “ใหมท่ โ่ี นน่  เกา่ ทน่ี ”ี่   เดก็ บางคนเมอ่ื เลกิ ขอทานกผ็ นั ตวั เองไปทำ� งานตามสถานบรกิ าร พอ่ แมบ่ างราย เสนอยกลูกสาวให้ผู้มีอันจะกินเพ่ือแลกกับการได้เงินไปซื้อยามาเสพ ปญั หาเหลา่ นแ้ี พรก่ ระจายอยา่ งรวดเรว็  กลายเปน็ คา่ นยิ มการซอื้ ขายมนษุ ย์ ซึ่งกระท�ำกันอย่างเป็นล�่ำเป็นสัน  ทีมงานครูข้างถนนของมูลนิธิบ้านครูนำ�้ ช้ีแจงว่าหน่วยงานภาครัฐแก้ไขสถานการณ์ได้ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากขาด คนลงพื้นท่ีปฏิบัติงานเชิงรุก ไม่สอดรับกับสถานการณ์จริงซ่ึงมักเป็นเหตุ ฉกุ เฉินเฉพาะหน้า ต้องรบี แก้ปญั หาและปราบปรามในทันที  “พี่เคยช่วยเด็กโดยการซ้ือไว้เอง เคยซ้ือเด็กในราคาหลักร้อยเพราะทั้ง บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผู้ขับเคลือ่ นสังคม 65

เน้ือท้ังตัวพ่ีมีอยู่แค่น้ัน เพียงเพราะพ่อแม่เขาอยากยา เคยแม้กระทั่งต้ัง คำ� ถามกบั แมเ่ ดก็ ทขี่ ายลกู ตวั เองวา่  รหู้ รอื วา่ เดก็ จะไปไดด้ กี บั คนทม่ี าซอ้ื ลกู ไป เขาตอบกลับมาว่าไปดีไม่ดีไม่รู้แหละ รู้แต่ว่าดีกว่ามาตายในมือตัวเอง” (ครนู ำ�้ , 18 พฤศจิกายน 2559) ปญั หาท่ียกมาข้างต้นคือสถานการณ์ท่ีศูนย์ดร็อปอินต้องเตรียมพร้อม รองรบั  การใหค้ วามชว่ ยเหลอื โดยไมส่ นใจวา่ เดก็ เหลา่ นน้ั สญั ชาตใิ ด เชอื้ ชาติ ไหน เรม่ิ ทำ� ใหถ้ กู เพง่ เลง็ จากหนว่ ยงานภาครฐั ซงึ่ ตง้ั ธงกวดขนั ผลกั ไสเดก็ ไร้ สญั ชาตอิ อกนอกประเทศอยแู่ ลว้  อกี ทง้ั ยงั ตอ้ งตอ่ สกู้ บั ทศั นคตเิ ชงิ ลบทคี่ นใน ชุมชนมีต่อเด็กและโครงการมิตรข้างถนนด้วย  ต้องยอมรับว่าเป็นเร่ือง ธรรมดาทมี่ ที งั้ ผเู้ หน็ ดว้ ยและพรอ้ มใหค้ วามชว่ ยเหลอื  กบั ผเู้ หน็ ตา่ งและรว่ ม กันกีดกันผลักไส สาเหตุสำ� คัญเพราะภาพลักษณ์ของโครงการฯ ซึ่งถูกมอง ว่าไปรับเอาคนไร้หัวนอนปลายเท้าผู้ก่อปัญหาแก่สังคมให้มาอยู่รวมกันใน ชมุ ชนของพวกเขา  การปฏบิ ตั งิ านเยยี วยาเดก็ เรร่ อ่ นจงึ กลายเปน็ เพยี งการ สรา้ งพนื้ ทม่ี ว่ั สมุ ในมมุ มองของผคู้ นบางกลมุ่  ไมเ่ วน้ แมแ้ ตพ่ อ่ แมเ่ ดก็ บางราย ซงึ่ โครงการฯ ยน่ื มอื ใหค้ วามชว่ ยเหลอื  แตก่ ลบั มาตอ่ วา่  ขวา้ งปาขา้ วของใส่ เพราะมองวา่ ไปขดั ขวางเสน้ ทางท�ำมาหากนิ ของเขา สง่ ผลใหศ้ นู ยด์ รอ็ ปอนิ ถูกโยกย้ายไปตามที่ต่างๆ ในอ�ำเภอแม่สายหลายครั้ง ก่อนจะมาต้ังอยู่ ณ บา้ นเกาะทราย ในปัจจุบัน “กระทั่งลุงซึ่งเป็นผู้น�ำชุมชนบ้านเกาะทรายก็ยังรู้จักมูลนิธิบ้านครูน้�ำ เพยี งผวิ เผนิ   แตพ่ อไดเ้ หน็ พวกเขาทำ� งานกเ็ รมิ่ ใหก้ ารยอมรบั  เพราะผลงาน ของเขาปรากฏเปน็ รปู ธรรม เดก็ เรร่ อ่ นหลายคนมคี วามเปน็ อยดู่ ขี นึ้   สำ� หรบั คนอื่นๆ ในชุมชน ลุงว่าเขารู้จักตัวตนของมูลนิธิฯ น้อยไปนะ เพราะพวก เขาไมค่ อ่ ยโฆษณาตัวเอง” (ลงุ หมู, 10 มนี าคม 2560) ในปี พ.ศ. 2546 ครูน้�ำกับเด็กเร่ร่อนจ�ำเป็นต้องย้ายออกจากอ�ำเภอ แม่สาย เน่ืองจากเด็กท่ีอยู่ในความดูแลกว่า 40 คนเริ่มสร้างความร�ำคาญ 66 ใจคน ชุมชน การเปล่ยี นแปลง 

ใหแ้ กค่ นในชมุ ชนมากขน้ึ เรอ่ื ยๆ  โครงการมติ รขา้ งถนนเหน็ วา่ การสรา้ งทพี่ กั พิงชั่วคราวช่วยเหลือเด็กได้เฉพาะตอนท่ีพวกเขาเข้ามาเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ใน ศูนย์ดร็อปอินเท่านั้น แต่เม่ือกลับไปบ้าน (ซ่ึงก็ใช่ว่าทุกคนจะมีบ้านของตัว เอง) พวกเขาตอ้ งเจอกบั สงิ่ แวดลอ้ มเดมิ  ปญั หาเดมิ  จงึ เกดิ แนวคดิ ทจี่ ะเสาะ หาสถานที่แห่งใหม่ส�ำหรับสร้างสถานสงเคราะห์อย่างถาวร เพ่ือใช้เป็นที่ พกั อาศยั  ใหก้ ารดแู ล และจดั การศกึ ษาระยะยาวจนกวา่ เดก็ เรร่ อ่ นจะพรอ้ ม กา้ วออกไปใชช้ ีวติ ตอ่ ดว้ ยตัวเอง   เพื่อความสะดวกในการท�ำงานกับเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติ ที่ต้ังสถาน สงเคราะห์ต้องอยู่ไม่ไกลจากอ�ำเภอแม่สายมากนัก ในเวลานั้นมีผู้เสนอ ความชว่ ยเหลือคอื ผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั  (กศน.) แนวตะเขบ็ ชายแดน โดยชกั ชวนใหเ้ ดนิ ทาง มาพักอาศัย ณ ศูนย์ กศน. อ�ำเภอเชียงแสน เน่ืองจากศูนย์ดังกล่าวมีบ้าน พกั และเนอื้ ทก่ี วา่  20 ไร ่ สามารถรองรบั เดก็ เรร่ อ่ นจ�ำนวน 40 คนไดอ้ ยา่ ง เพียงพอ ครูน�้ำและทีมงานโครงการมิตรข้างถนนจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ท่ี อ�ำเภอเชียงแสนนับแต่นนั้ เปน็ ตน้ มา การย้ายมาต้ังหลักแหล่งยังสถานท่ีใหม่มิได้ราบร่ืนอย่างใจคิด เพราะ หลังจากมาพักอาศัยอยู่ได้เพียง 10 เดือนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร และนโยบายซึ่งไม่เปิดพ้ืนท่ีให้แก่กลุ่มเด็กเร่ร่อนเหมือนอย่างเคยอีกต่อไป สง่ ผลใหค้ รนู ำ�้ และเดก็ ๆ จำ� เปน็ ตอ้ งยา้ ยออกไปจากพน้ื ทศี่ นู ยด์ งั กลา่ วอยา่ ง ปัจจุบันทันด่วน ไม่มีเวลาให้ได้คิดวางแผนจัดการล่วงหน้า ครูน�้ำและเด็ก เรร่ อ่ นจงึ ตอ้ งเดนิ ทางมาขออนญุ าตพกั อาศยั ชวั่ คราวทวี่ ดั พระธาตจุ อมกติ ติ ซงึ่ ทา่ นพระครวู กิ รมสมาธคิ ณุ  เจา้ อาวาส ใหค้ วามชว่ ยเหลอื เปน็ อยา่ งดี  แต่ เนื่องจากวัดมีพ้ืนท่ีพักอาศัยจ�ำกัด จึงจ�ำเป็นต้องแยกให้เด็กผู้ชายทั้งหมด พักท่ีวัด ส่วนเด็กผู้หญิงไปพักบ้านเช่าในตัวเมืองเชียงแสนเพ่ือประวิงเวลา เสาะหาบา้ นพักทเ่ี หมาะสมส�ำหรบั เดก็ ทัง้ หมดต่อไป บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผขู้ ับเคลอื่ นสังคม 67

“พ่ียังจ�ำวันท่ีเด็กถือธงเดินเรียงต่อกันเป็นแถวโดยยังไม่รู้ด้วยซ้�ำว่าจะ ไปทไ่ี หนกนั ด ี มนั หดหมู่ าก  พรี่ สู้ กึ ทอ้ และเหนอื่ ยเหมอื นกนั นะ แตต่ อนนนั้ เราออ่ นแอไมไ่ ด้ เรายงั ทง้ิ กนั ไมไ่ ด้ พก่ี น็ กึ ถงึ สถานทท่ี จ่ี ะใหค้ วามชว่ ยเหลอื เด็กได้ ก็คงมีแต่วัดท่ีคิดออก เลยเดินทางไปยังวัดพระธาตุจอมกิตติ” (ครู นำ้� , 18 พฤศจิกายน 2559) “ตอนมาพกั ทว่ี ดั พระธาตจุ อมกติ ต ิ พวกเราตอ้ งนอนในหอ้ งทใี่ ชเ้ กบ็ ศพ เพื่อรอท�ำพิธีสวดและเผา  แรกๆ ก็กลัวมาก แต่เพราะอยู่กันหลายคนเลย ลดความกลัวลงไปบ้าง  ครูน้�ำอยู่ดูพวกเราตลอด และบอกว่าเดี๋ยวจะหา ที่พักใหม่ให้ พวกเราก็เข้าใจ พยายามช่วยงานวัดอย่างเต็มท่ีเพื่อไม่ให้เป็น ภาระของวดั มากเกนิ ไป” (อาหลู่, 10 มีนาคม 2560) แม้พระครูวิกรมสมาธิคุณจะยินดีให้พักอาศัยต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่เคย เอ่ยปากถึงกำ� หนดเวลาย้ายออก ทว่าการมีเด็กจำ� นวนมากมาพักอาศัยอยู่ ในบรเิ วณวดั ยอ่ มสง่ ผลกระทบตอ่ อบุ าสกอบุ าสกิ าผเู้ ดนิ ทางเขา้ มาประกอบ ศาสนกจิ มากพอสมควร ครนู ำ�้ จงึ รบี เรง่ จดั หาบา้ นเชา่ ในเขตตวั เมอื งเชยี งแสน แล้วย้ายออกไปอยู่ท่ีน่ัน ก่อนจะพบกับปัญหาเดิมคือสร้างความร�ำคาญให้ ชาวบ้านละแวกน้ันจนต้องย้ายท่ีพักภายในเขตอ�ำเภอเชียงแสนอีก 3 คร้ัง กระทง่ั เมอื่ โอกาสเออ้ื อ�ำนวยดว้ ยความรว่ มมอื ระหวา่ งชาวบา้ นในชมุ ชน กบั มลู นธิ เิ พอื่ ยตุ กิ ารแสวงหาประโยชนท์ างเพศจากเดก็  ผนวกกบั การทอดผา้ ปา่ เพอ่ื การศกึ ษา ซง่ึ สามารถรวบรวมผคู้ นจำ� นวนมากรว่ มกนั บรจิ าคสมทบทนุ จัดซ้ือที่ดินจ�ำนวน 12 ไร่ ในต�ำบลโยนก อ�ำเภอเชียงแสน จึงก่อต้ังสถาน สงเคราะหเ์ ดก็ มูลนิธบิ า้ นครนู ำ้� ได้เป็นผลสำ� เร็จในป ี พ.ศ. 2548 ช่วงเร่ิมต้นสถานสงเคราะห์แห่งน้ีใช้ช่ือว่า “มูลนิธิอาสาพัฒนาเด็ก เชยี งราย (มลู นธิ บิ า้ นครนู �้ำ)” เนอ่ื งจากยงั คงด�ำเนนิ งานรว่ มกบั มลู นธิ อิ าสา พัฒนาเด็กในจังหวัดเชียงใหม่อยู่ แต่ด้วยความยากล�ำบากในการเดินทาง การจัดการประชุมและท�ำธุรกรรมอ่ืนๆ มูลนิธิบ้านครูน�้ำจึงได้แยกตัวออก 68 ใจคน ชุมชน การเปลย่ี นแปลง 

มาจดทะเบยี นสถานสงเคราะหด์ งั กลา่ วเปน็  “มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ้� ”3 เมอ่ื ป ี พ.ศ. 2559 ทผี่ า่ นมา โดยหลกั การดำ� เนนิ งานของมลู นธิ ฯิ  มคี วามชดั เจนเพมิ่ ขน้ึ เปน็ ล�ำดับดังน ี้   พื้นที่การท�ำงาน : อ�ำเภอแม่สาย อ�ำเภอเชียงแสน อ�ำเภอเชียงของ จงั หวัดเชียงราย รวมถึงพื้นทบี่ างส่วนในจังหวัดทา่ ข้ีเหลก็  ประเทศพมา่ กลมุ่ เปา้ หมาย : เดก็ เรร่ อ่ นอายแุ รกเกดิ ถงึ  18 ป ี สตรเี รร่ อ่ นไรส้ ญั ชาติ ผูถ้ กู แสวงหาผลประโยชน์และถูกทารุณกรรมทกุ รูปแบบ วตั ถปุ ระสงค ์ : 1) ลดพฤตกิ รรมเสย่ี งของเดก็ เรร่ อ่ นและเดก็ ดอ้ ยโอกาส 2) พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กเร่ร่อนและเด็กด้อยโอกาส  3) ประสานความ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนและเด็ก ดอ้ ยโอกาส 3 สถานท่ีตั้งมูลนิธิบ้านครูน้ำ�ในปัจจุบันคือ เลขท่ี 321 หมู่ 4 ตำ�บลโยนก อำ�เภอ เชยี งแสน จงั หวดั เชียงราย 57150 บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผ้ขู บั เคลอื่ นสังคม 69

ออกเดินทางสู โครงการมิตรขา งถนน มูลนิธอิ าสาพฒั นาเด็ก อาํ เภอแมจัน (ศนู ยดรอ็ ปอนิ อ.แมส าย) เชียงราย (มลู นิธิบา นครูนา้ํ ) พ.ศ. 2536 พ.ศ. 2540 พ.ศ. 2546 พ.ศ. 2559 พ.ศ. 2538 พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2548 เรมิ่ ตนชวี ิต ออกเดินทางสู ออกเดินทางสู จดทะเบยี น ครขู างถนน จงั หวดั เชยี งใหม อําเภอเชยี งแสน มูลนธิ บิ านครนู าํ้ ภาพท่ ี 1  เส้นเวลาการเดินทางและพฒั นาการของมูลนิธบิ า้ นครูนำ้� เครือขา่ ยภายใน คอื หวั ใจท่มี ีตอ่ ปญั หาเดยี วกนั แม้สถานสงเคราะห์มูลนิธิบ้านครูนำ้� จะจัดต้ังข้ึน ณ อ�ำเภอเชียงแสน เปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ย แตท่ มี งานยงั คงใชห้ ลกั การปฏบิ ตั งิ านภาคสนามอยา่ งจรงิ จงั ด้วยการรักษาโครงการมิตรข้างถนนและศูนย์ดร็อปอินที่อ�ำเภอแม่สายไว้ เชน่ เดมิ  การทำ� งานลกั ษณะนส้ี ง่ ผลใหท้ มี งานมลู นธิ ฯิ  แบง่ ออกเปน็  2 กลมุ่ คอื  ครขู า้ งถนน และเจา้ หนา้ ทด่ี แู ลมลู นธิ ฯิ  ทงั้ นท้ี มี งานมกี ารหมนุ เวยี นเขา้ ออกอยู่เสมอเนื่องด้วยวิถีการท�ำงานท่ีต้องเผชิญกับวิกฤติปัญหามากมาย กระท่ังปัจจุบัน (พ.ศ. 2560) มีผู้ร่วมปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งรวมท้ังส้ิน 12 คนดงั น้ี 70 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง 

กลุ่มครูข้างถนน ประจ�ำการปฏิบัติงานท่ีศูนย์ดร็อปอินอ�ำเภอแม่สาย ทำ� หนา้ ทล่ี งพน้ื ทใ่ี หค้ วามชว่ ยเหลอื เดก็ ผมู้ พี ฤตกิ รรมเสย่ี งตอ่ การถกู แสวงหา ผลประโยชน์และถูกทารุณกรรม ออกแบบกิจกรรม จัดการเรียนการสอน รวมทงั้ คดั กรองเดก็ เรร่ อ่ นเพอื่ ยา้ ยเขา้ ไปพกั อาศยั ตอ่ ทสี่ ถานสงเคราะหข์ อง มูลนิธิฯ ประกอบด้วยสมาชิก 5 คนคือ “ชาฟิว” ท�ำหน้าที่สอนหนังสือ เป็นลา่ ม และลงพ้นื ทเ่ี ก็บรวบรวมข้อมูลสภาพปัญหาเดก็ เรร่ ่อนฝ่งั ประเทศ พมา่   “อดู๊ ” ทำ� หนา้ ทส่ี อนหนงั สอื  ประสานงานวางแผนจดั ทำ� โครงการ และ ลงพื้นท่ีเก็บรวบรวมข้อมูลสภาพปัญหาเด็กเร่ร่อนฝั่งประเทศไทย  “แดน” ท�ำหน้าที่ประสานงานสร้างเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และ ภาคประชาสังคม รวมทั้งดูแลจัดการเอกสารส�ำคัญของโครงการมิตรข้าง ถนน  “ภลั ลพ” ทำ� หนา้ ทสี่ อนหนงั สอื  เปน็ ลา่ ม และชว่ ยชาฟวิ กบั อดู๊ ลงพนื้ ที่ เก็บข้อมูล และ “ศากุน” นักศึกษาฝึกงานจากวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เลือกมูลนิธิฯ แห่งนี้เป็นพ้ืนที่เรียน รู้ประสบการณ์ท�ำงานด้านสังคมสงเคราะห์ ท�ำหน้าที่สอนหนังสือและช่วย ชาฟวิ เก็บข้อมลู ภาคสนาม กลุ่มเจ้าหน้าท่ีดูแลมูลนิธิบ้านครูน้�ำ ประจ�ำการปฏิบัติงานดูแลเด็ก ณ สถานสงเคราะห์อ�ำเภอเชียงแสน คอยจัดการดูแลบ้านพัก ระบบ สาธารณูปโภค จัดการศึกษา และบริหารงบประมาณตลอดท้ังปี ประกอบ ด้วยสมาชิก 7 คนคือ “พี่พจน์” พี่ใหญ่ภายในทีม ผู้ร่วมงานกับครูน�้ำมา อยา่ งยาวนานทสี่ ดุ  คอยดแู ลกจิ กรรมโดยรวมของมลู นธิ ฯิ  ตดิ ตามขอ้ มลู เดก็ ทย่ี า้ ยออกไป รวมถงึ ดแู ลเจา้ หนา้ ทท่ี งั้ หมด  “โจ”้  ทำ� หนา้ ทด่ี แู ลบญั ชรี ายรบั รายจ่ายและเอกสารหลักฐานส�ำคัญซึ่งเป็นข้อมูลการบริหารงานของมูล- นธิ ฯิ   “อากา่ ” เจา้ หนา้ ทดี่ แู ลเดก็ ผชู้ าย  “หมแี่ ซะ” เจา้ หนา้ ทด่ี แู ลเดก็ ผหู้ ญงิ “อาซานอน” เจ้าหน้าที่ส�ำนักงาน ดูแลเอกสารและระบบสารสนเทศ “อาแผว่ ” ทำ� หนา้ ทพ่ี อ่ ครวั  ดแู ลเรอื่ งอาหารสำ� หรบั ทกุ คนในสถานสงเคราะห์ และ “อาหลู่” ฝ่ายซอ่ มบ�ำรุงและงานก่อสรา้ งขนาดเล็ก บทเรยี นการน�ำ ร่วมจากผ้ขู บั เคลือ่ นสังคม 71

บทบาทหนา้ ทข่ี องทมี งานแตล่ ะคนเกดิ จากการนำ� เอาประสบการณก์ าร ท�ำงานที่ผ่านมาเป็นตัวต้ัง ใครมีทักษะด้านใดเป็นพิเศษก็จะให้ท�ำงานตาม ความถนดั  ตวั อยา่ งเชน่ ชาฟวิ กบั ภลั ลพ ทง้ั คเู่ ปน็ ชาวพมา่  สอ่ื สารไดท้ งั้ ภาษา ไทย พมา่  และอาขา่  จงึ มหี นา้ ทเี่ ปน็ ครสู อนภาษา เปน็ ลา่ ม และลงพนื้ ทฝ่ี ง่ั ประเทศพมา่ เปน็ หลกั   หรอื อาหลซู่ ง่ึ เคยออกจากมลู นธิ ฯิ  ไปประกอบอาชพี ชา่ งกอ่ สรา้ ง เมอื่ กลบั มาทำ� งานทม่ี ลู นธิ ฯิ  กไ็ ดร้ บั มอบหมายใหด้ แู ลงานซอ่ ม บ�ำรุง  อย่างไรก็ตาม แม้ทีมงานทั้งหมดจะมีภาระหน้าที่ซึ่งจัดแบ่งไว้อย่าง เป็นระบบชัดเจน แต่ก็มิได้ตายตัวเสมอไป ทุกคนพร้อมสลับสับเปลี่ยน หมุนเวียนกันท�ำงานในบทบาทอื่น เน่ืองจากปัจจุบันเมื่อเทียบระหว่าง ภารกจิ ดแู ลเดก็ เรร่ อ่ นจำ� นวน 49 คนซง่ึ พกั อาศยั อยปู่ ระจำ� ทสี่ ถานสงเคราะห์ ตลอด 24 ชั่วโมง กับจ�ำนวนเจ้าหน้าท่ีเพียง 7 คน ถือว่าเป็นงานที่หนัก มาก หากยึดหน้าท่ีแบบตายตัวก็ยากท่ีงานจะด�ำเนินไปได้อย่างปกติเมื่อ ขาดใครคนใดคนหน่ึงไป เม่ือพจิ ารณาถึงประวตั คิ วามเป็นมาของทมี งานแตล่ ะคนจะพบวา่  แม้ ทุกคนมีท่มี าแตกตา่ งกนั  แตก่ ม็ จี ุดร่วมส�ำคญั บางประการซงึ่ สะทอ้ นให้เห็น โครงสรา้ งความสมั พนั ธท์ หี่ ลอมรวมพวกเขาเขา้ ดว้ ยกนั ไดอ้ ยา่ งนา่ สนใจ  จดุ ร่วมดังกล่าวอาจแบง่ พวกเขาออกไดเ้ ปน็  2 กลุ่มคือ กลมุ่ แรก เปน็ คนทรี่ ว่ มงานกนั มาอยา่ งยาวนานตงั้ แตส่ ถานสงเคราะห์ ท่ีอ�ำเภอเชียงแสนยังไม่ก่อต้ัง อย่างพี่พจน์ กับกลุ่มท่ีเคยเป็นเด็กผู้ได้รับ ความช่วยเหลือจากมูลนิธิฯ มาก่อน เม่ือเติบโตข้ึนตามวิถีแห่งตนแล้ว ตอ้ งการกลบั มาชว่ ยงานดว้ ยเหตผุ ลส�ำคญั คอื เพอ่ื ตอบแทนบญุ คณุ ของครนู ำ้� และอยากมอบโอกาสท่ีตนเองเคยได้รับให้แก่เด็กเร่ร่อนคนอื่นๆ ต่อไป ประกอบด้วย ชาฟิว ภัลลพ อาก่า หมี่แซะ อาซานอน อาแผ่ว และอาหลู่ บุคคลในกลุ่มน้ีล้วนได้รับโอกาสศึกษาเล่าเรียนจนมีท้ังผู้ส�ำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ระดบั ประถมศึกษาไปจนถงึ ปริญญาตร ี   72 ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง 

หากจะต้ังคำ�ถามวา่ อะไรคอื แรงดงึ ดดู ใหพ้ วกเขา รวมตวั กนั เปน็ ทีมปฏิบตั งิ านไดอ้ ยา่ งทรหดอดทน คำ�ตอบซง่ึ ทกุ คนสะท้อนตรงกนั โดยมิได้นดั หมายคือ การทำ�งานด้วยหวั ใจท่มี ตี อ่ ปญั หาเดยี วกัน “ครูน้�ำเป็นเหมือนแม่คนหนึ่ง  การเรียนจบแล้วมาเริ่มงานที่น่ีก่อน เพราะตอ้ งการทดแทนบญุ คณุ และเรยี นรงู้ าน  เราเคยประสบชะตาเดยี วกนั กบั เดก็ ในบา้ น เรอ่ื งการดแู ลเลยพอเขา้ ใจบา้ ง” (อากา่ , 10 มนี าคม 2560) กลุ่มที่สอง คือผู้ได้รับการทาบทามเข้ามาท�ำงาน ได้แก่แดนและอู๊ด แดนได้พบกับครูน�้ำโดยบังเอิญขณะที่เขาท�ำงานให้ศูนย์ กศน. เทศบาล เชยี งราย สว่ นอดู๊ สำ� เรจ็ การศกึ ษาดา้ นพฒั นาสงั คมจากมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งราย เคยมาฝกึ งานกบั มลู นธิ ฯิ  แลว้ พบวา่ ไดเ้ รยี นรหู้ ลกั การทำ� งานหลาย อย่าง จึงต้องการสานต่อประสบการณ์ที่ได้รับต่อไป เม่ือครูน�้ำทาบทามให้ เข้าร่วมทีมครูข้างถนน เขาจึงตัดสินใจเข้าท�ำงานกับมูลนิธิฯ ทันที  ส่วนผู้ สมัครเข้ามาคือโจ้ซ่ึงส�ำเร็จการศึกษาด้านบัญชีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏ ลำ� ปาง เขาเปน็ คนกะเหรยี่ ง เดนิ ทางมาจากจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนเพอื่ มาสมคั ร บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผู้ขับเคลื่อนสงั คม 73

งานกับมูลนิธิฯ ตามค�ำบอกเล่าของเพ่ือนสนิท  นอกจากน้ียังมีนักศึกษา ฝกึ งานอยา่ งศากนุ ทต่ี อ้ งการเขา้ มาเรยี นรสู้ ถานการณป์ ญั หาเดก็ เรร่ อ่ นและ แนวทางการปฏิบตั ิงานแก้ปญั หาเหลา่ นน้ั ตลอดระยะเวลากว่า 8 เดือนที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้วิถีความเป็นอยู่ ของคนกลุ่มน้ี หากจะตั้งค�ำถามว่าอะไรคือแรงดึงดูดให้พวกเขาสามารถ รวมตัวกันเป็นทีมปฏิบัติงานได้อย่างทรหดอดทน ค�ำตอบซ่ึงทุกคนสะท้อน ตรงกันโดยมิได้นัดหมายคือ การท�ำงานด้วยหัวใจท่ีมีต่อปัญหาเดียวกัน กลา่ วคอื มองเหน็ ความทกุ ขข์ องผดู้ อ้ ยโอกาสและวางเปา้ หมายเพอื่ แกไ้ ขทกุ ข์ นน้ั ใหท้ เุ ลาเบาบางลงเหมอื นกนั  ความตระหนกั ถงึ ปญั หาผา่ นประสบการณ์ ตรงจงึ เปน็ บอ่ เกดิ ของการหลอมรวมพวกเขาเขา้ ดว้ ยกนั   เมอื่ ไดร้ ว่ มท�ำงาน บนความยากล�ำบาก ความเข้าอกเข้าใจจึงค่อยๆ ก่อตัวเพ่ิมพูนมากขึ้น เรอ่ื ยๆ บรรยากาศการท�ำงานและความผกู พนั ระหวา่ งทมี งานจงึ มลี กั ษณะ เสมอื นเปน็ พอ่  แม ่ พ ่ี นอ้ ง ในครอบครวั  ทร่ี ว่ มสขุ รว่ มทกุ ขก์ นั มากกวา่ เปน็ เพียงเพือ่ นรว่ มงานท่ัวไป “คนท่ีอยู่ที่น่ีไม่ใช่แค่เพราะเร่ืองงานเพียงอย่างเดียว แต่เพราะความ ผกู พนั ทม่ี ใี หก้ นั  ทงั้ ระหวา่ งทมี งานและกบั เดก็ เรร่ อ่ น  พวกเราทกุ คนอยกู่ นั เหมอื นเป็นครอบครัวเดยี วกนั ไปแล้ว” (ชาฟิว, 17 พฤศจกิ ายน 2559) ครนู ำ้� บอกเลา่ ประสบการณท์ �ำงานชว่ ยเหลอื เดก็ เรร่ อ่ นมากวา่ ครง่ึ ชวี ติ ว่า ทุกวันนี้หาคนทุ่มเทใช้ชีวิตกินนอนท�ำเร่ืองต่อสู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แกผ่ ยู้ ากไรไ้ ดย้ ากมาก สว่ นใหญจ่ ะยกกระเปา๋ เขา้ มารว่ มงานดว้ ยอดุ มการณ์ อันแรงกล้าในตอนต้น เมื่อลงมือปฏิบัติงานจริงก็ต้องยกกระเป๋ากลับออก ไป เพราะทนรับสภาพไม่ไหวกับการต้องทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตให้แก่ การท�ำงานช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา  มันเป็นงานที่ไม่มีเวลาหยุดพัก แน่นอนตายตัว ไม่มีเงินเดือนมากมาย ความก้าวหน้าในชีวิตหรือยศถา บรรดาศักด์ิก็หามีไม่  หากไม่มีความรักหรือเสียสละมากพอก็ยากนักท่ีจะ 74 ใจคน ชุมชน การเปล่ยี นแปลง 

ท�ำงานแบบนี้ได้ คนที่ท�ำได้ต้องใช้ใจท�ำงาน ซึ่งเธออธิบายนิยามของมัน ง่ายๆ ว่า “ถ้าคุณเข้าไปนั่งในใจเด็กได ้ และสามารถท�ำงานอย่างมีความสุขด้วย ความพอเพยี งของคณุ  คณุ กใ็ ชช้ วี ติ อยบู่ นพนื้ ทนี่ ไ้ี ด้ หลกั ของมนั กเ็ ทา่ นเ้ี อง” (ครูน�้ำ, 18 พฤศจิกายน 2559) เห็นได้ชัดว่าสมาชิกกว่าคร่ึงหน่ึงของทีมงานมูลนิธิบ้านครูน�้ำเข้ามา ทำ� งานเพราะตอ้ งการตอบแทนบญุ คณุ ทคี่ รนู ำ้� ไดเ้ คยมอบโอกาสดๆี  ในชวี ติ ใหแ้ กพ่ วกเขา แตห่ ากคน้ ใหล้ กึ ลงไปกวา่ นนั้ กจ็ ะพบวา่ ทมี งานแตล่ ะคนมแี รง ขบั สำ� คญั เปน็ องคป์ ระกอบในการตดั สนิ ใจเลอื กทำ� งานลกั ษณะน ้ี นน่ั คอื การ เขา้ อกเขา้ ใจคนหวั อกเดยี วกนั   สว่ นทส่ี มคั รเขา้ มากม็ พี น้ื ฐานจติ ใจทตี่ อ้ งการ เหน็ ผอู้ นื่ พน้ ทกุ ข์ แมท้ กุ คนสามารถประกอบอาชพี อน่ื เพอ่ื ความกา้ วหนา้ ใน ชวี ติ  แตก่ ลบั เลอื กทำ� งานเพอ่ื สว่ นรวมแทน  พฤตกิ รรมเยย่ี งนส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ภาวะภายในซึ่งเร่มิ ต้นจากการมีสำ� นึกทางสงั คมคอยขบั เคลื่อนใหเ้ กดิ แผน งานพัฒนามนษุ ย์รปู แบบต่างๆ ตามมา “ถา้ เราลองปรบั ทศั นคตแิ ลว้ มองวา่ เดก็ กลมุ่ นเ้ี ขาเตบิ โตมาในแบบทไ่ี ม่ เหมือนเรา เปิดใจซะก่อนจะใช้อคติไปมองเขา อะไรหลายอย่างก็จะดีข้ึน แมจ้ ะเปน็ เร่ืองยากแตต่ ้องทำ� ใหไ้ ด”้  (อู๊ด, 17 พฤศจิกายน 2559) หนง่ึ ในกลั ยาณมติ รทผ่ี มเจอะเจอทกุ ครง้ั เมอื่ ครนู ้�ำจดั กจิ กรรมเพอ่ื หวงั สรา้ งเครอื ขา่ ยของมลู นธิ ฯิ  ขน้ึ มา คอื พอ่ี ว้ น  ทมี งานเปรยี บเปรยวา่ เธอเปน็ เสมือนน�ำ้ มันเชอื้ เพลงิ หลอ่ เล้ยี งให้รถคันเล็กๆ อยา่ งมลู นธิ ิฯ ยงั แลน่ ต่อไป ได้ โดยเฉพาะในบทบาทผู้คอยดูแลสุขภาพกาย ใจ และที่ปรึกษาผู้พูดคุย กันอย่างตรงไปตรงมาได้แทบทุกเร่ือง  หลายคร้ังในการประชุมจะพบว่า ความคดิ เหน็ ของอดตี นกั วจิ ยั ผมู้ ากประสบการณค์ นนค้ี อยชว่ ยขบั เคลอ่ื นการ ทำ� งานใหเ้ กิดบรรยากาศการแลกเปล่ียนเรียนรทู้ ่ดี อี ยูเ่ สมอ  พี่อ้วนแสดงความคิดเห็นถึงสภาวะการใช้ใจเป็นเครื่องมือน�ำทางการ บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผขู้ ับเคลื่อนสังคม 75

ทำ� งานวา่  เกดิ ขนึ้ จากความไวเ้ นอ้ื เชอื่ ใจตอ่ กนั อยา่ งสงู โดยเฉพาะกบั ตวั ผนู้ �ำ องค์กร  ครูน�้ำแทบจะเป็นต้นแบบในทุกๆ เรื่องของเด็กๆ และทีมงาน ท้ัง ทางความคิดและการกระท�ำ  อย่างไรก็ดี แม้ความรักเคารพที่มีให้ต่อกัน อยา่ งสงู จะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลดใี นการปฏบิ ตั งิ าน แตใ่ นทางกลบั กนั กก็ อ่ ใหเ้ กดิ การ ยดึ มน่ั ในตวั ผนู้ ำ� อยา่ งแนน่ เหนยี วตามมาดว้ ย  สง่ิ ทนี่ า่ คดิ คอื หากขาดครนู ำ้� ไป พวกเขาจะต้องพยายามเรียนรู้และท�ำความเข้าใจโลกท่ีเปล่ียนไป ต้อง พรอ้ มยนื หยดั ดว้ ยตวั เองใหไ้ ด้ เธอจงึ มองวา่ ถา้ มลู นธิ ฯิ  สามารถสรา้ งคนให้ เติบโตและมีประสบการณ์มากพอ ความย่ังยืนเจริญงอกงามในการท�ำงาน พฒั นามนษุ ย์ก็จะมากขึ้นตามไปดว้ ย “เราเห็นกันบ่อยๆ ว่าเด็กท่ีเติบโตจากมูลนิธิฯ แล้วออกไปท�ำงานข้าง นอกได้สักระยะก็จะกลับมา เพราะเขารู้สึกว่าโลกภายนอกอาจไม่ใช่โลกท่ี เหมาะกับเขา  คนที่ใช้ใจและความรักในเพื่อนมนุษย์เป็นเคร่ืองมือน�ำทาง ในการทำ� งานนน้ั หาไดไ้ มง่ า่ ยในสงั คมทว่ั ไป บางครงั้ เขาตอ้ งเรยี นรวู้ า่ จะออก ไปเตมิ เตม็ สงั คมใหด้ งี ามขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร มากกวา่ กลบั มาอยใู่ นพนื้ ทป่ี ลอดภยั เช่นเดิมเม่ือไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ได้” (พ่ีอ้วน, 17 มีนาคม 2560) กับค�ำถามที่ว่าหากครูน�้ำวางมือจากงานตรงน้ี เหล่าทีมงานมูลนิธิฯ จะยงั คงปฏบิ ตั งิ านพฒั นาเดก็ เรร่ อ่ นกนั ตอ่ ไปหรอื ไม ่ อยา่ งไร?  คำ� ตอบทไ่ี ด้ มักออกมาในลักษณะแฝงไว้ซ่ึงความกังวล ความไม่มั่นใจ บ้างก็ยืนยันว่า จะยังสานต่องานเหล่าน ี้ แต่คงขาดที่ปรึกษาผู้เปรียบเสมือนหางเสือเรือไป บา้ งกย็ งั ไมอ่ ยากคดิ ถงึ อนาคต ขออยกู่ บั ปจั จบุ นั และทำ� ใหด้ ที ส่ี ดุ กอ่ นดกี วา่ “ไม่คิดว่าครูน้�ำจะเลิกท�ำนะคะ ถ้าคิดคงเลิกท�ำไปนานแล้วเพราะเจอ ปญั หามากมายขนาดนนั้   จรงิ ๆ หนกู ไ็ มเ่ คยคดิ วา่ จะตอ้ งทำ� งานนไ้ี ปตลอด ชีวิต แต่ถ้าคิดถึงอนาคตมากเกินไปมันก็จะเครียด อย่าไปนึกถึงมันดีกว่า เราควรท�ำวนั นใี้ หด้ ที ีส่ ุดกพ็ อแลว้ ” (ชาฟวิ , 17 พฤศจกิ ายน 2559) 76 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง 

“ยังท�ำได้อยู่ แต่คงเหมือนขาดท่ีปรึกษา  ครูน�้ำเป็นคนชี้แนะแทบทุก อย่างเกี่ยวกับกิจกรรมในปัจจุบัน ไม่ว่าการเขียนแผนงานเพื่อขอทุนจัด โครงการ การตัดสินใจเม่ือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินข้ึน  เรื่องเหล่าน้ีพวกเรา พูดคุยกันอยู่เหมือนกันว่าถ้าทุกอย่างต้องปิดตัวลง พวกเราจะไปท�ำอะไร แตเ่ ราก็ไม่อยากคดิ ไปมากกวา่ นี”้  (อู๊ด, 17 พฤศจกิ ายน 2559) “ไม่หยุดครบั  จะท�ำต่อ เราเดินทางมาถึงขนาดนี้แล้วก็ควรต้องเดินต่อ ครนู ำ�้ พยายามสรา้ งทมี  สรา้ งพวกเราขน้ึ มา คงเพราะตอ้ งการใหเ้ กดิ ทมี งาน ทจี่ ะสามารถทำ� งานตอ่ ไปได ้ เปน็ ตวั แทนรนุ่ ตอ่ ไป” (แดน, 17 พฤศจกิ ายน 2559) ครนู ำ้� ในฐานะผนู้ ำ� องคก์ รทราบดถี งึ ความจำ� เปน็ ในการพฒั นาบคุ ลากร รุ่นใหม่มาสานต่อแผนงานของมูลนิธิฯ ให้เดินหน้าต่อไป  แม้จะหาคนมา ปฏิบัติงานอย่างจริงจังได้ยาก แต่เธอยังคงเช่ือม่ันว่าทีมงานชุดปัจจุบันจะ สามารถด�ำเนินงานต่อไปได้  เร่ืองการวางมือจากการท�ำงานพัฒนาเด็ก เรร่ อ่ นคงตอ้ งเกดิ ขน้ึ สกั วนั หนง่ึ เมอื่ สงั ขารรว่ งโรยไป เธอเตรยี มพรอ้ มรบั มอื กับความเปลี่ยนแปลงโดยพยายามสร้างคนรุ่นใหม่ภายใต้ความเช่ือว่า การ ลงมือปฏิบัติงานในสถานการณ์จริงจะช่วยส่งต่ออุดมการณ์ควบคู่กับการ เรียนรู้กระบวนการท�ำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด  แผนงานส�ำหรับ ต่อยอดศักยภาพคนรุ่นใหม่และวางรากฐานความยั่งยืนแก่มูลนิธิฯ จึงไม่ใช่ การพดู อธบิ ายหลกั การเพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจ แตเ่ ปน็ การมอบหมายโจทยใ์ ห้ แต่ละคนได้ลงไปเก็บเก่ียวประสบการณ์ตามความเหมาะสมให้ได้มากท่ีสุด เท่าที่จะเป็นได้ กระจายงานให้ลูกทีมทุกคนได้มีส่วนคิดและตัดสินใจใน ภารกจิ ทตี่ นดแู ลอยา่ งเตม็ ท ่ี ทกุ คนมอี สิ ระในการทำ� งาน สว่ นครนู ำ�้ คอื กรอบ อย่างหลวมๆ ที่คอยเสนอความคดิ เหน็ ในฐานะผู้มปี ระสบการณ์เท่านนั้ “ผมเคยได้รับภารกิจให้เข้าไปช่วยเหลือสองแม่ลูกชาวพม่าท่ีก�ำลังถูก ตำ� รวจควบคมุ ตวั เพราะเดนิ ทางเขา้ มาในเขตแดนไทยอยา่ งผดิ กฎหมาย  แม้ บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผขู้ ับเคลอื่ นสงั คม 77

จะพยายามอย่างไรตำ� รวจก็ไม่ยินยอมให้ท้ังแม่และลูกออกจากโรงพัก เลย โทรศัพท์รายงานครูน�้ำว่าท�ำไมส่ �ำเร็จ ครูนำ้� ก็บอกใหล้ องใหม่ ถา้ ช่วยแมไ่ ม่ ได้ อย่างน้อยก็ช่วยลูกออกมาก่อน  ผมพยายามท�ำอีกครั้ง แต่ก็ไม่ส�ำเร็จ อยดู่  ี ครนู ำ้� กเ็ ขา้ ใจ ไมเ่ คยวา่ อะไรเลย  แตท่ ผี่ มไดเ้ รยี นรคู้ อื ไมว่ า่ จะทำ� อะไร ต้องท�ำให้ถึงที่สุด ต้องมีแผนส�ำรองไว้เสมอ  ครูน้�ำจะไม่ชอบเลยถ้าพูดถึง ความเป็นไปไมไ่ ดก้ ่อนลงมอื ทำ� จริง เพราะสำ� หรับครนู ำ�้  ทุกอย่างเปน็ ไปได้ เสมอ” (อู๊ด, 17 พฤศจิกายน 2559) อาจกลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ แนวทางพฒั นาคนรนุ่ ใหมข่ องมลู นธิ บิ า้ นครนู �้ำ คอื การสร้างพื้นทแี่ ลกเปลย่ี นเรยี นรปู้ ระสบการณร์ ะหวา่ งกัน ควบค่กู ับการ เลือกหยิบเอาทักษะความเช่ียวชาญของแต่ละบุคคลในองค์กรมาใช้อย่าง เหมาะสม นับเป็นกุศโลบายกระจายบทบาทผู้น�ำตามสถานการณ์ได้เป็น อยา่ งด ี  ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั ปจั จบุ นั ทางมลู นธิ ฯิ  ยงั สนบั สนนุ ใหท้ มี งานไดม้ โี อกาส เข้าร่วมเวทีพัฒนาศักยภาพท่ีจัดข้ึนโดยหน่วยงานภายนอก อาทิเช่น เวที เครือข่ายภาวะการน�ำเพ่ือการขับเคลื่อนสังคม และค่าย Young Leader- ship ของโครงการผู้น�ำแห่งอนาคต เวทีเสวนาวิชาการขององค์กรต่างๆ โดยคาดหวังว่าผู้นำ� รุ่นต่อไปของมูลนิธิฯ จะได้รับองค์ความรู้และเกิดเครือ ขา่ ยกบั กลมุ่ คนแตกตา่ งหลากหลายเพอื่ นำ� มาใชป้ ระโยชนใ์ นระยะยาวตอ่ ไป 78 ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง 

ยุทธศาสตร์การด�ำเนนิ งาน บนฐานการสร้างเครอื ขา่ ยภายนอก มูลนิธิบ้านครูน้�ำท�ำงานโดยอาศัยความร่วมมือจากเครือข่ายภายนอก มาโดยตลอดนับต้ังแต่เร่ิมก่อต้ัง  ความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนถือเป็นสิ่ง สำ� คญั ทคี่ อยโอบอมุ้ ใหม้ ลู นธิ แิ หง่ นดี้ ำ� รงอยทู่ า่ มกลางกระแสสงั คมอนั ผนั แปร ไม่แน่นอน  เครือข่ายภายนอกท่ีมีส่วนประคับประคองวงล้อการท�ำงานให้ ขบั เคลือ่ นไปแบ่งออกได้เปน็  4 กล่มุ  คอื กลมุ่ บคุ คลหรอื องคก์ รทคี่ อยใหค้ ำ� ปรกึ ษาและมสี ว่ นกอ่ ตงั้ มลู นธิ บิ า้ น ครนู ำ้�  เชน่  วลั ลภ ตงั คณานรุ กั ษ,์  เตอื นใจ ดเี ทศน,์  เรณ ู อรรฐาเมศร,์  มลู นธิ ิ สร้างสรรค์เด็ก, มูลนิธิอาสาพัฒนาเด็ก, ส�ำนักงานส่งเสริมการศึกษานอก ระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั , มลู นธิ เิ พอ่ื ยตุ กิ ารแสวงหาประโยชนท์ าง เพศจากเด็ก, องค์การยูนิเซฟ เป็นต้น  เครือข่ายเหล่านี้ถือเป็นพันธมิตร ส�ำคัญที่มีส่วนท�ำให้ครูน�้ำได้เรียนรู้กระบวนการท�ำงานพัฒนาเด็กและ เยาวชนอยา่ งเปน็ ระบบ คอยโอบอมุ้ ยามตอ้ งการความชว่ ยเหลอื  ทงั้ ดา้ นทนุ ทรัพย์และการให้ความคิดเห็นต่อกระบวนการด�ำเนินงานต้ังแต่มูลนิธิบ้าน ครูน้ำ� ยังไมก่ ่อตงั้ อย่างเป็นทางการ เครือข่ายเสริมสร้างองค์ความรู้และดูแลสุขภาพผู้ปฏิบัติงาน เช่น โครงการผู้น�ำแห่งอนาคต, โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, โรง พยาบาลแมส่ าย, องคก์ รสรุ ยิ ะอโรคยา เปน็ ตน้   เครอื ขา่ ยเหลา่ นคี้ อยจดั เวที ฝกึ อบรมพฒั นาภาวะภายในผา่ นกระบวนการทชี่ ว่ ยใหเ้ กดิ การใครค่ รวญตวั เอง เสริมสร้างทักษะการท�ำงานโดยสร้างพ้ืนท่ีในการดึงเอาศักยภาพของ แต่ละคนออกมา รวมทั้งบ�ำบัดความตึงเครียดอ่อนล้าทางกายและใจให้แก่ ทมี งานมลู นธิ ิบา้ นครนู ำ�้ บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผ้ขู ับเคล่อื นสังคม 79

เครือข่ายสนับสนุนทางการเงินและเคร่ืองอุปโภคบริโภค เช่น Not For Sale4 หรอื  IOGT International5 สององคก์ รตา่ งประเทศทร่ี ะดม ทนุ จากผปู้ ระกอบธรุ กจิ และผมู้ ใี จอยากชว่ ยเหลอื เพอ่ื นมนษุ ยท์ วั่ ทกุ มมุ โลก คอยใหก้ ารสนบั สนนุ การกอ่ สรา้ งบา้ นพกั บนพน้ื ทสี่ ถานสงเคราะห ์ และจา่ ย ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่มูลนิธิบ้านครูน�้ำ  นอกจากน้ันยังมีเครือข่ายภายใน ประเทศอยา่ งมลู นธิ พิ ทุ ธรกั ษา6 และคนไทยทมี่ จี ติ ศรทั ธารว่ มกนั สมทบทนุ สนับสนนุ ปจั จัย 4 แก่เด็กเร่ร่อนอย่างสม่�ำเสมอ เครอื ขา่ ยปฏบิ ตั กิ ารชว่ ยเหลอื เดก็ และสตร ี เชน่  สถานสงเคราะหบ์ า้ น เด็กแม่จัน, โรงพยาบาลเชียงแสน, โรงเรียนบ้านสันธาตุ อ�ำเภอเชียงแสน, ศนู ย ์ กศน. จงั หวดั เชยี งราย, สถานบำ� บดั ผตู้ ดิ ยาเสพตดิ ครสิ ตจกั รบา้ นสนั ติ คีรี ดอยแม่สลอง เป็นต้น  เครือข่ายเหล่านี้ร่วมมือกันดูแลกลุ่มเป้าหมาย ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีปัญหาทางสุขภาพ แต่ไร้สิทธิในการเข้ารักษาพยาบาล หรือผู้ขาดโอกาสทางการศึกษาเน่ืองจากตกอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ ผ่าน กระบวนการรว่ มกนั รบั -สง่ ตอ่ ผตู้ อ้ งการความชว่ ยเหลอื ระหวา่ งกนั ตามความ เหมาะสมเป็นรายกรณี เช่นแม่เด็กที่ติดยาเสพติดอย่างหนักซึ่งมูลนิธิบ้าน ครูน้�ำช่วยเหลือมาเป็นเบื้องต้น แต่ไม่มีความพร้อมในการบ�ำบัดรักษา จะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลเชียงแสน หรือสถานบ�ำบัดผู้ติดยาเสพติด ครสิ ตจกั รบา้ นสนั ติคีรี ดอยแมส่ ลอง ต่อไป 4 ดูข้อมลู ไดจ้ ากเวบ็ ไซต์ www.notforsalecampaign.org  5 ดขู ้อมูลได้จากเว็บไซต ์ www.iogt.org 6 ดขู อ้ มูลไดจ้ ากเวบ็ ไซต์ www.buddharaksa.or.th 80 ใจคน ชุมชน การเปลีย่ นแปลง 

ครูน้�ำชี้แจงว่าเครือข่ายของมูลนิธิฯ เกิดขึ้นได้เพราะการยึดมั่นเร่ือง ความซ่ือสัตย์สุจริตเป็นท่ีตั้ง กล่าวคือต้องต้ังใจท�ำงานตามวัตถุประสงค์ที่ วางไว้อย่างเต็มก�ำลังความสามารถ และพร้อมท่ีจะเปิดเผยให้เห็นถึงความ โปร่งใสตรวจสอบได ้ มีความจริงใจท้ังต่อตนเองและผู้คนในสังคม  เมื่อผล งานปรากฏเป็นท่ีประจักษ์ ความร่วมมือด้านต่างๆ ก็ค่อยๆ งอกงามตาม มาเป็นล�ำดับ  หลังจากผมมีโอกาสเข้าไปสังเกตการปฏิบัติงานของทีมงาน ทำ� ใหพ้ บวา่  เหตทุ เี่ ครอื ขา่ ยภายนอกกอ่ ตวั ขนึ้ และด�ำรงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมนั่ คงเปน็ ผลมาจากยทุ ธศาสตร์การด�ำเนินงาน 2 ประการส�ำคัญ คือ 1. การศกึ ษาคือรากฐานของทกุ สิ่ง การจัดการศึกษาแก่เด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติคือส่ิงที่มูลนิธิบ้านครูน้�ำให้ ความส�ำคัญอย่างสูงเสมอมา  จากเดิมที่เน้นพัฒนาทักษะชีวิตให้สามารถ ดูแลตนเองจากโรคภัยไข้เจ็บโดยมิได้หวังผลพวงอย่างอื่นมากนัก เม่ือเจอ ปัญหาการต่อต้านจากคนในชุมชนท�ำให้มูลนิธิฯ ต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดเสีย ใหม่ เน่ืองจากแท้จริงแล้วการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบสอดรับกับ นโยบายภาครฐั  นอกจากจะสรา้ งการเรยี นรทู้ ดี่ ใี หแ้ กเ่ ดก็  ยงั ชว่ ยขจดั ปญั หา เรือ่ งภาพลกั ษณ์อนั เลวรา้ ยใหห้ มดไปไดใ้ นคราวเดยี วกัน กลยทุ ธท์ มี่ ลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ นำ� มาใชค้ อื การรว่ มมอื กบั ศนู ย ์ กศน. อำ� เภอ แม่สาย จัดท�ำโครงการ “การศึกษาไร้พรมแดน” ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2558 ส่ง ผลให้ศูนย์ดร็อปอินกลายเป็นสถานที่สอนหนังสือและคัดกรองเด็กเร่ร่อน ไรส้ ญั ชาตปิ อ้ นเขา้ สกู่ ารศกึ ษานอกระบบ  หากเดก็ คนใดสอบผา่ นตามเกณฑ์ กม็ สี ทิ ธไิ์ ดร้ บั การรบั รองวฒุ กิ ารศกึ ษาถกู ตอ้ งตามกฎหมายไทย  ขณะจดั การ เรียนการสอนจริง บรรดาครูข้างถนนจ�ำเป็นต้องปรับเนื้อหาแต่ละบทเรียน ใหเ้ หมาะกบั เดก็ เรร่ อ่ นผมู้ ฐี านความรแู้ ตกตา่ งกนั  ไมส่ มั พนั ธก์ บั ชว่ งอายหุ รอื หลักเกณฑ์ใดๆ ของนักเรียนในระบบการศึกษาภาคปกต ิ รวมท้ังต้องตอบ บทเรียนการน�ำ ร่วมจากผูข้ ับเคลอ่ื นสังคม 81

โจทย์ของชีวิต คือน�ำไปใช้สร้างอาชีพได้จริง ควบคู่กับการได้รับองค์ความรู้ เชิงวิชาการตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำ� หนด  การเป็นส่วนหน่ึงของศูนย์ กศน. อำ� เภอแมส่ าย ยงั ชว่ ยบรรเทาภาพลกั ษณก์ ารเปน็ แหลง่ มว่ั สมุ ของคน ไรบ้ า้ นใหก้ ลายเปน็ สถานทบ่ี ม่ เพาะเยาวชน คนในชมุ ชนจงึ เรมิ่ เปดิ ใจยอมรบั เด็กและมลู นิธฯิ  มากข้นึ  ปญั หาการถกู ขับไล่จงึ ลดลงอย่างเห็นได้ชดั “การสอนหนังสือที่ศูนย์ดร็อปอินเราต้องเรียนรู้ด้วยตนเองว่าวิธีการ แบบไหนเหมาะสม ตอนแรกใช้วิธีสอนตามต�ำราเป็นหลัก แต่ไม่ค่อยได้ผล เลยปรบั มาเปน็ การเลน่ เกมและทำ� กจิ กรรมแทน กร็ สู้ กึ วา่ ผเู้ รยี นสนกุ  เขา้ ใจ บทเรยี นดขี น้ึ  ทำ� ใหเ้ ราเรยี นรวู้ า่ หากจะสอนใหไ้ ดด้ ตี อ้ งมองทผ่ี เู้ รยี นเปน็ หลกั เพราะพวกเขามพี ื้นฐานแตกตา่ งกนั มาก” (ศากนุ , 10 มนี าคม 2560) ครูข้างถนนของมูลนิธิบ้านครูน�้ำจ�ำเป็นต้องมีทักษะด้านการสอนและ ลงพนื้ ทที่ ำ� งานภาคสนามอยา่ งมาก  จดุ สมดลุ ระหวา่ งสองบทบาทนถ้ี อื เปน็ ศิลปะการเป็นครูที่เกิดข้ึนจากประสบการณ์ตรงมากกว่าการเรียนรู้ใน หอ้ งเรยี น  อาจเพราะครขู า้ งถนนคอื ผปู้ ฏบิ ตั งิ านสอนอยตู่ รงรมิ ชายขอบการ ศกึ ษาในระบบ หนา้ ทแ่ี ละกระบวนทศั นค์ วามเปน็ ครจู งึ แตกตา่ งออกไป โดย เฉพาะเรอื่ งหอ้ งเรยี นทไ่ี มย่ ดึ ตดิ อยกู่ บั โรงเรยี นหรอื สถานศกึ ษา แตท่ กุ ตาราง น้ิวในสังคมคือสถานที่ซึ่งผู้เป็นครูต้องปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับเด็กเร่ร่อนด้อยโอกาส พ้ืนที่สร้างการเรียนรู้ของครูข้างถนน จึงเป็นพน้ื ทซ่ี ่ึงอยูน่ อกเหนือการรับร้ขู องสังคมกระแสหลกั  เนอื้ หาท่ใี ชส้ อน กไ็ มต่ ายตวั  แตต่ อ้ งปรบั ตามวถิ ชี วี ติ ของผเู้ รยี นจงึ จะเออื้ ประโยชนใ์ หเ้ กดิ ขนึ้ ได้มากที่สุด “การได้เป็นครูข้างถนนมีความหมายกับผมมาก  แต่ก่อนผมเป็นเด็ก เรร่ ่อนของมูลนธิ ิบ้านครนู ำ�้  ผมรู้สกึ ว่าครขู า้ งถนนคอื ฮีโร ่ จนวันน้ไี ด้มาเป็น เองก็ดีใจ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าท�ำไม แต่ผมก็ภูมิใจมากจริงๆ” (ภัลลพ, 10 มนี าคม 2560) 82 ใจคน ชุมชน การเปลี่ยนแปลง 

การไดเ้ ป็นครขู ้างถนนมีความหมายกบั ผมมาก แต่ก่อนผมเปน็ เดก็ เรร่ อ่ นของมูลนิธิบา้ นครนู ำ้ � ผมรสู้ ึกวา่ ครูข้างถนนคือฮโี ร่ จนวันน้ไี ดม้ าเป็นเองกด็ ใี จ บอกไมถ่ ูกเหมือนกันว่าทำ�ไม แต่ผมก็ภมู ิใจมากจรงิ ๆ นอกจากจัดการศึกษาให้ถูกต้องตามระบบแล้ว สิ่งส�ำคัญท่ีทางมูลนิธิ บ้านครูน�้ำกระท�ำควบคู่กันไปคือการผลักดันให้เด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติกลาย เปน็ กลมุ่ ประชากรผมู้ เี ลขบตั รประจ�ำตวั บคุ คลทไ่ี มม่ สี ถานะทางทะเบยี น ซง่ึ ข้ึนต้นด้วยหมายเลข “0” หรือที่เรียกกันว่า “บัตรหัวศูนย์” ตามหลักเกณฑ์ ทร่ี ะบไุ วใ้ นระเบยี บสำ� นกั ทะเบยี นกลางวา่ ดว้ ยการสำ� รวจและจดั ทำ� ทะเบยี น ส�ำหรับบคุ คลท่ีไม่มีสถานะทางทะเบียน พ.ศ. 2548  การขึน้ ทะเบียนตาม ระบบกฎหมายดังกล่าวท�ำให้เด็กไร้สัญชาติได้รับใบเบิกทางเข้าถึงสิทธิ ทางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การรักษาพยาบาล การประกอบอาชีพ การขอ อนุญาตเดินทางออกนอกพื้นท่ีควบคุมเพื่อรับการศึกษาและการรักษา พยาบาล เป็นต้น  ความเปลี่ยนแปลงจากการมีบัตรหัวศูนย์ส่งผลให้พวก เขามีโอกาสส�ำเร็จการศึกษาระดับสูงควบคู่กับการเปิดกว้างเร่ืองช่องทาง ประกอบอาชีพอีกดว้ ย   บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผูข้ บั เคลอื่ นสังคม 83

“ปัจจุบันเด็กในมูลนิธิฯ มีบัตรหัวศูนย์ประมาณคร่ึงหน่ึง ส่วนอีกครึ่ง หนึ่งยังไม่มี เนื่องจากย้ายเข้ามาอยู่หลังปี พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นช่วงท่ีรัฐบาล หยุดการข้ึนทะเบียนเอาไว้ก่อน  พี่ก็ยังหวังว่าจะมีการเปิดลงทะเบียน อีกครั้ง เพราะหากระบบนี้ยังคงอยู่ โอกาสท่ีเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติจะได้รับ สทิ ธิและมชี วี ติ ความเปน็ อยู่ดขี ้ึนกย็ งั มี” (ครูน้ำ� , 18 พฤศจิกายน 2559) แม้จะมองว่านโยบายรัฐคือกลไกกีดกันผลักไสเด็กเร่ร่อนให้กลายเป็น เดก็ เร่ร่อนไร้สญั ชาติ เป็นระบบทไ่ี ม่กอ่ ให้เกดิ ความเทา่ เทยี มในแง่สทิ ธิและ เสรภี าพของมนษุ ย ์ แตก่ ารพยายามทำ� ความเขา้ ใจวา่ ถงึ อยา่ งไรเดก็ ทกุ คนท่ี อาศัยอยู่ในประเทศไทยก็ยังคงต้องเป็นส่วนหน่ึงของระบอบการเมืองการ ปกครอง พรอ้ มเรม่ิ ปรบั วธิ คี ดิ โดยศกึ ษาหาชอ่ งทางประนปี ระนอมกบั ระบบ เพ่ือความอยู่รอด สะท้อนให้เห็นว่ายุทธศาสตร์สำ� คัญที่ทางมูลนิธิฯ ใช้เป็น ธงนำ� หนา้ เพอื่ สรา้ งสทิ ธใิ หแ้ กเ่ ดก็ เรร่ อ่ นไรส้ ญั ชาต ิ คอื ใหก้ ารศกึ ษาอยา่ งเปน็ ระบบเหมาะสมตามศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน7 อันเป็นจุดเร่ิมต้นของ การก้าวเท้าเข้าไปสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรมอีก ด้วย  ปรากฏการณ์ความร่วมมือเหล่าน้ีถือเป็นการถอดหัวโขนคนท�ำงาน เอน็ จโี อวางลงไวข้ า้ งๆ แลว้ เรม่ิ ตน้ จบั เขา่ คยุ กบั หนว่ ยงานภาครฐั เพอ่ื รว่ มกนั แก้ปัญหาอย่างจริงจงั 7 ปัจจุบันเด็กในมูลนิธิบ้านครูนำ้ �จะถูกส่งไปเรียนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาที่ โรงเรียนบ้านสันธาตุ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย  ระดับมัธยมศึกษาจะไปยังโรงเรียนต่าง จังหวัดท่ีพร้อมรับเด็กไม่มีบัตรหัวศูนย์ โดยมูลนิธิฯ อาจทำ�เร่ืองของดเว้นค่าเล่าเรียน หรือขอลดหย่อนลงคร่ึงหน่ึง  ส่วนระดับอุดมศึกษาก็ข้ึนอยู่กับว่าเด็กได้รับทุนจาก สถานศึกษาแห่งใด โรงเรียนและสถานศึกษาจึงถือเป็นเครือข่ายสำ�คัญอย่างมากต่อ คณุ ภาพชวี ติ ของเดก็ เรร่ ่อนไร้สัญชาติ 84 ใจคน ชมุ ชน การเปลยี่ นแปลง 

ศากุน นักศึกษาฝึกงานซ่ึงท�ำหน้าที่เป็นครูข้างถนนท่ีมูลนิธิบ้านครูนำ�้ มานานหลายเดือน แบ่งปันประสบการณ์ว่าเป็นไปได้ยากมากท่ีเอ็นจีโอ จะท�ำงานร่วมกับภาครัฐได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะอย่างย่ิงมูลนิธิบ้านครูน�้ำ สาเหตุที่เธอกล่าวเช่นน้ีเพราะเห็นว่ามูลนิธินี้เป็นเพียงแห่งเดียวท่ีประกาศ จุดยืนชัดเจนว่าพร้อมให้ความช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติ ย่ิงมีผู้น�ำ องค์กรอย่างครูน�้ำซ่ึงมีบุคลิกตรงไปตรงมา มีแนวคิดเก่ียวกับหลักสิทธิ มนุษยชนแตกต่างกันอย่างมากจากมุมมองภาครัฐ ส่งผลให้เกิดปัญหา ไม่ลงรอยกบั เจ้าหน้าที่รฐั อยู่เนอื งๆ   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันครูน้�ำและทีมงานทุกคนเข้าใจปัญหาข้อจ�ำกัด เรอื่ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองคก์ รซง่ึ คอยเหนย่ี วรงั้ การทำ� งานเปน็ อยา่ งด ี จงึ พยายามปรบั เปลย่ี นกลยทุ ธ์ หาวธิ สี รา้ งความเขา้ ใจเพอื่ เออื้ ใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ย ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ได้มากท่ีสุด ดังจะเห็นได้จากการผลักดัน ใหเ้ กดิ การประชมุ เครอื ขา่ ยคนท�ำงานเพอ่ื สทิ ธเิ ดก็ กบั สทิ ธผิ ไู้ มม่ สี ถานะทาง ทะเบยี น เมอ่ื วนั ท ่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2559 ซงึ่ เปน็ การสรา้ งพนื้ ทพ่ี ดู คยุ กนั ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มคนอาสาท�ำงานช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนในพ้ืนที่ อำ� เภอแมส่ าย ใหไ้ ดร้ ว่ มกนั แสดงจดุ ยนื  สะทอ้ นแนวคดิ และปญั หาจากการ ทำ� งาน  แมจ้ ะไดร้ บั ผลตอบรบั เปน็ ทนี่ า่ พอใจ แตส่ ำ� หรบั คลน่ื ลกู ใหมท่ ก่ี ำ� ลงั กอ่ ตวั เปน็ ผนู้ ำ� ในอนาคต พนื้ ทแี่ บบนคี้ อื การฝกึ ใหพ้ วกเขาไดล้ องหนั มามอง ข้อดีข้อเสียของตัวเอง เพ่ือท�ำความเข้าใจความขัดแย้งกับขั้วตรงข้ามที่มีมา ช้านาน และพร้อมจะกา้ วข้ามส่ิงสมมตุ เิ หลา่ นั้นไปใหไ้ ด้ “ในฐานะคนทำ� งานรนุ่ ตอ่ ไปจำ� เปน็ ตอ้ งบอกตวั เองเสมอวา่  เราตอ้ งฟงั เปน็  คอื ตอ้ งรบั ฟงั อยา่ งตง้ั ใจ ไมด่ ว่ นตดั สนิ ใครโดยไมเ่ ปดิ ใจใหก้ วา้ ง เพราะ สักวันหน่ึงเราอาจถูกหล่อหลอมเข้ากับกรอบคิดเร่ืองความเป็นเอ็นจีโอจน กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งกับหน่วยงานรัฐอย่างที่ก�ำลังเกิด อยใู่ นปจั จุบันโดยไม่รู้ตัว” (อ๊ดู , 10 มีนาคม 2560) บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผู้ขับเคล่ือนสงั คม 85

“เปา้ หมายหลกั ของการท�ำงานมลู นธิ ฯิ  ในตอนนคี้ อื การพยายามสรา้ ง เครอื ขา่ ยและกา้ วขา้ มปญั หาความขดั แยง้ ทางความคดิ  ดงึ ผคู้ นทกุ ภาคสว่ น มารว่ มกนั ท�ำงานให้ได้มากทีส่ ุด” (แดน, 10 มนี าคม 2560) 2. บา้ น วดั  โรงเรียน คอื เครือข่ายสรา้ งสะพานสูใ่ จคน นอกจากโรงเรยี นแลว้  บา้ น (ชมุ ชน) และวดั  คอื อกี  2 พน้ื ทซี่ ง่ึ มคี วาม ส�ำคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติ เนื่องด้วย เด็กกลุ่มนี้มีภาพลักษณ์ไม่ดีนักในสายตาคนส่วนใหญ่ซึ่งมักด่วนตัดสินว่า พวกเขาคอื ปญั หาสงั คม  แมพ้ วกเขาจะมพี ฤตกิ รรมซกุ ซนเหมอื นเดก็ ทว่ั ไป แต่การถูกตีตราให้เป็นผู้อยู่นอกกฎหมายอาจทำ� ให้พฤติกรรมแบบเดียวกัน ถกู ตัดสินดว้ ยมมุ มองที่แตกต่างกันออกไป ครนู ำ้� อธบิ ายวา่ หนทางทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพทส่ี ดุ ในการทวงคนื ภาพลกั ษณ์ ดีๆ ให้แก่เด็กๆ และมูลนิธิฯ คือการพยายามท�ำความดีในทุกโอกาสเพ่ือ สรา้ งสะพานเขา้ ไปนง่ั ในใจคนใหไ้ ด ้ และสถานทที่ จี่ ะเปดิ โอกาสใหค้ นทว่ั ไป ได้รับรู้ว่าเด็กเร่ร่อนก็มีระเบียบวินัย มีหัวใจพร้อมช่วยเหลือสังคมเช่นกันก็ คือวัด  หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ น�ำเด็กไปช่วยงานวัดโดยไม่ได้คิดถึง ผลตอบแทนใดๆ แตภ่ าพทีป่ รากฏออกไปกลับทำ� ให้ผู้คนรูส้ กึ เอ็นด ู สงสาร บา้ งกช็ น่ื ชมในความเสยี สละแรงกายมาชว่ ยเหลอื งานสว่ นรวมภายในศาสน- สถาน  เมื่อภาพความเป็นจริงเหล่านี้ได้รับการสื่อสารออกไปในวงกว้าง ความเขา้ อกเขา้ ใจในตวั เดก็ เรร่ อ่ นกย็ งิ่ เพมิ่ มากขนึ้ ตามไปดว้ ย  ปจั จบุ นั ชาว บา้ นในชมุ ชนอ�ำเภอเชียงแสนเริ่มใหก้ ารยอมรบั เด็กเร่รอ่ นของมูลนธิ ฯิ  มาก ขึ้น บางคนถึงขนาดรับไปอุปถัมภ์ก็มี ส่วนทางวัดก็แบ่งปันข้าวปลาอาหาร ใหอ้ ยา่ งสมำ่� เสมอราวกบั เดก็ เหลา่ นเ้ี ปน็ ลกู ศษิ ยว์ ดั กลมุ่ หนงึ่  ซงึ่ ชว่ ยแบง่ เบา ภาระของมูลนธิ ฯิ  ได้เป็นอยา่ งมาก “เราต้องเปลี่ยนวิธีการ จะมาคิดว่าเด็กของเราพิเศษไม่ได้ จะมัวรอ 86 ใจคน ชมุ ชน การเปลยี่ นแปลง 

ความชว่ ยเหลอื โดยไมท่ ำ� อะไรใหส้ งั คมเลยกเ็ ทา่ กบั กำ� ลงั ทำ� รา้ ยตวั เอง  เดก็ ของเราต้องน่ารัก ต้องสื่อสารออกไปว่าเราก็เป็นคนดีได้ เพราะแรงกดทับ ของเราเยอะ” (ครนู ้�ำ, 10 กนั ยายน 2559) เม่ือชุมชนเปิดใจยอมรับ โอกาสที่จะได้รับความร่วมมือจากหน่วยงาน ทง้ั ภาครฐั และเอกชนกม็ มี ากขน้ึ ตามไปดว้ ย เชน่ การขอทนุ การศกึ ษาโดยงด เว้นค่าเล่าเรียนก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้น กระท่ังผู้คนละแวกใกล้เคียงก็เห็น ว่าเด็กเหล่าน้ีไม่ใช่ปัญหาอย่างท่ีคิด แต่อาจเป็นเพราะวิธีมองของพวกเขา เองต่างหากท่ีผลักให้เด็กกลุ่มน้ีกลายเป็นปัญหา  กระบวนการสื่อสารเร่ือง ราวตัวตนดีๆ ของเด็ก และโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างบ้าน -วัด-โรงเรียน จงึ เปน็ หวั ใจหรอื ยทุ ธศาสตรห์ ลกั ในการสรา้ งเครอื ขา่ ยภายนอกอนั ทรงพลงั ที่สุดอย่างหน่ึงของมูลนธิ ิฯ การจดั การศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวติ เครือขา ย (เขา ไปนง่ั ในใจคน) บาน วัด โรงเรียน (ชุมชน) ภาพท่ ี 2 ยทุ ธศาสตร์ 3 ปัจจัยเพ่อื สร้างโอกาสทางการศึกษา ทมี่ า : ผลการวจิ ัย บทเรยี นการน�ำ รว่ มจากผูข้ บั เคลื่อนสังคม 87

“เรารู้จักกันเพราะความเมตตาอาทรต่อกัน เราเห็นปัญหาและสงสาร เด็ก เลยค่อยๆ ท�ำความรู้จักกันมากขึ้นเรื่อยๆ  เด็กๆ มาช่วยงานวัดพระ ธาตผุ าเงาตลอดทกุ เทศกาล  ญาตโิ ยมทมี่ าเขากร็ สู้ กึ เอน็ ดู เมอื่ มอี าหารหรอื ส่ิงของเครื่องใช้อะไรก็จะโทร.ไปเรียกให้มารับเอาไปเสมอ” (แม่ชีมด, 12 มีนาคม 2560) “ผมมาเลยี้ งอาหารทน่ี เ่ี ปน็ ประจำ� อยา่ งนอ้ ยปลี ะ 2-3 ครงั้  เพราะอยาก ชว่ ยดแู ลเดก็ พวกน ้ี  มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ เขาชว่ ยเหลอื เดก็ จรงิ ๆ การมาเล้ียงอาหารไม่ใช่แค่ท�ำให้เขาอ่ิมท้อง แต่เป็นการมอบความหวังให้ กันและกันดว้ ย” (ลงุ ชาญ, 12 มนี าคม 2560) นอกจากยุทธศาสตร์การสร้างสะพานสู่ใจคนเพื่อให้ได้รับการยอมรับ และการสนับสนุนช่วยเหลือแล้ว มูลนิธิบ้านครูน�้ำยังให้ความส�ำคัญกับการ สร้างรายได้และอาชีพแก่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ด้วย  ครูน้�ำ เล่าให้ฟังว่าความคิดดังกล่าวมีที่มาจากหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซ่ึงให้ความ สำ� คญั กบั คณุ ลกั ษณะ 3 ประการ คอื  1) ความพอประมาณ หมายถงึ ความ พอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เชน่ การผลติ และการบรโิ ภคทอี่ ยใู่ นระดบั พอประมาณ  2) มเี หตผุ ล หมาย ถงึ การตดั สนิ ใจเกยี่ วกบั ระดบั ความพอเพยี งนนั้ จะตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งมเี หตผุ ล โดยพจิ ารณาจากเหตปุ จั จยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ตลอดจนคำ� นงึ ถงึ ผลทคี่ าดวา่ จะเกดิ ข้ึนจากการกระท�ำน้ันๆ อย่างรอบคอบ  และ 3) มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถงึ การเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบและการเปลย่ี นแปลงดา้ นตา่ งๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล (โครงการเศรษฐกิจพอเพียง, 2555) ครนู �ำ้ นำ� คณุ ลักษณะดังกลา่ วมาประยุกตใ์ ช้เพอื่ ใหม้ ูลนิธิฯ ดแู ลตวั เอง ได ้ ลดการพงึ่ พาแหลง่ ทนุ จากเครอื ขา่ ยภายนอกซง่ึ อาจเกดิ การเปลย่ี นแปลง 88 ใจคน ชมุ ชน การเปลี่ยนแปลง 

ในอนาคต  หัวใจส�ำคัญท่ีเธอพยายามปลูกฝังให้เกิดเป็นวัฒนธรรมองค์กร คือการใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ กินอยู่แบบพอกินพอใช้ หากมีส่ิงใดเกินความ ตอ้ งการกพ็ รอ้ มจะแบง่ ปนั แกผ่ อู้ นื่ หรอื นำ� ไปขายเพอื่ เปน็ รายไดเ้ ลย้ี งดตู วั เอง ผลเชิงรูปธรรมท่ีเกิดขึ้นคือ ราวครึ่งหนึ่งบนเนื้อท่ี 12 ไร่ของสถาน สงเคราะหถ์ กู นำ� ไปใชเ้ ปน็ พน้ื ทเ่ี กษตรกรรม เชน่  ปลกู ผกั สวนครวั  ทำ� นาขา้ ว ช่วยให้พวกเขามีข้าวกินอย่างน้อย 3-4 เดือนต่อปีโดยไม่ต้องเสียเงินซ้ือ นอกจากนนั้ ยงั เลย้ี งสตั วอ์ ยา่ งหม ู ไก ่ และปลา เกบ็ ไวเ้ ปน็ อาหาร ชว่ ยลดคา่ ใช้จ่ายลงไปได้มาก  เด็กและสตรีจะได้ฝึกฝนทักษะทางศิลปะประดิษฐ์ เคร่ืองประดับ อย่างก�ำไลข้อมือ เชือกรัดผม ปักผ้าลวดลายพื้นเมืองภาค เหนือ เพ่ือส่งไปขายต่อยังร้านค้า ก่อให้เกิดรายได้ทั้งแก่ตนเองและองค์กร แม้รายได้ส่วนน้ีจะไม่มากนักแต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพยายามมองหา ลทู่ างสรา้ งความยั่งยนื ใหแ้ ก่องคก์ รทน่ี า่ สนใจอยา่ งยิ่ง   ววิ ฒั น์ของเป้าหมาย เพื่อการสรา้ งเครือข่ายแบบน�ำรว่ ม การล้มลุกคลุกคลานหลายต่อหลายคร้ังของมูลนิธิบ้านครูน�้ำคือบท เรยี นทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ คำ� ถามเกยี่ วกบั วธิ ดี ำ� เนนิ งานเพอ่ื แกป้ ญั หาเดก็ เรร่ อ่ นอยา่ ง ย่ังยืนมากย่ิงข้ึน  ครูน้�ำกล่าวว่าแม้จะลงมือท�ำงานอย่างจริงจัง เน้นการ ลยุ เดย่ี วไมส่ นใจใคร พงุ่ เขา้ ชนกบั ตน้ ตอของปญั หา แลว้ พยายามหาทางแก้ จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ อย่างไม่ลดละ แต่ดูเหมือนโลกใบใหม่ในฝันท่ีเต็มไป ดว้ ยความสดใสกย็ งั ไมม่ ที ที า่ วา่ จะเปน็ จรงิ ขนึ้ มาได ้ จนกระทง่ั กาลเวลาลว่ ง เลย เม่ือมีวุฒิภาวะมากขึ้น และมีโอกาสเจอครูท่ีเธอให้ความเคารพนับถือ อยา่ งสงู  คอื อาจารยช์ ยั วฒั น ์ ถริ ะพนั ธ ์ุ และอาจารยป์ ระชา หตุ านวุ ตั ร ผชู้ ว่ ย บทเรียนการน�ำ รว่ มจากผขู้ บั เคลอ่ื นสงั คม 89

ฉุดดึงเธอให้ถอยห่างจากปัญหา ฝึกใช้สติคิดใคร่ครวญอย่างรอบด้าน จึงท�ำให้เห็นว่าวิธีแก้ปัญหาด้วยการคิดเชิงระบบ (System Thinking) คือ หนทางชว่ ยใหง้ านมีโอกาสส�ำเร็จลุล่วงไปได้ ครูน�้ำเท้าความถึงการเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ในการท�ำงานว่า เม่ือได้ เข้าร่วมเวทีเครือข่ายภาวะการน�ำเพื่อการขับเคลื่อนสังคม (Leader- ship for Social Facilitation) รุ่นท่ี 1 ซ่ึงโครงการผู้น�ำแห่งอนาคตจัดข้ึน เธอได้พบเจอกลุ่มคนผู้ทำ� งานภาคประชาสังคมหลากหลายรูปแบบ แต่ละ คนลว้ นมคี วามนา่ สนใจ  การไดร้ จู้ กั ผคู้ นเหลา่ นน้ั ทำ� ใหเ้ กดิ พนื้ ทแี่ ลกเปลยี่ น เรียนรู้แห่งใหม่ซ่ึงช่วยเติมเต็มมุมมองการใช้ชีวิตให้มีความสมดุลมากย่ิงขึ้น สิ่งส�ำคัญอีกประการที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมนี้คือได้เรียนรู้วิถีการ ท�ำงานกับสภาวะภายในของตนเอง ซึ่งเธอแทบไม่เคยมีเวลาได้พินิจ พิจารณามันมาก่อน เพราะตลอดระยะเวลาการปฏิบัติหน้าท่ีครูข้างถนน เธอมัวแต่คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนและดูแลทีมงาน จนตวั เองแทบไมม่ ีเวลาไดห้ ยุดพัก “การเข้าร่วมโครงการผู้น�ำแห่งอนาคตท�ำให้ได้รับองค์ความรู้และ ประสบการณ์ใหม่ๆ ก็จริง แต่ส�ำหรับพ่ี ประโยชน์สูงสุดคือการได้พักท้ัง ร่างกายและจิตใจ กิจกรรมที่โครงการผู้น�ำแห่งอนาคตออกแบบช่วยสร้าง พนื้ ทใี่ หพ้ ไ่ี ดอ้ ยกู่ บั ตวั เอง ไดใ้ ครค่ รวญถงึ เรอ่ื งราวทผี่ า่ นมาวา่ เราเดนิ ทางมา ถึงจุดไหนแล้ว  พ่ีรู้สึกดีเสมอเมื่อได้เข้าร่วมกิจกรรม เหมือนได้เดินทางมา เติมพลังทางความคิดและจิตใจให้พร้อมกลับไปท�ำงานด้วยมุมมองใหม่ๆ ซง่ึ เปน็ ประโยชนต์ ่อองค์กรอย่างมาก” (ครนู ำ�้ , 19 กันยายน 2559) บทเรยี นหนงึ่ ทค่ี รนู ำ้� รสู้ กึ ประทบั ใจและกอ่ ใหเ้ กดิ ความเปลยี่ นแปลงใน การทำ� งานของตวั เองมากทส่ี ดุ จากการเขา้ รว่ มเวทเี ครอื ขา่ ยภาวะการนำ� เพอื่ การขบั เคลอ่ื นสงั คมรนุ่ ท ่ี 1 คอื กจิ กรรมทชี่ ว่ ยเปดิ มมุ มองปรากฏการณท์ าง สงั คมดว้ ยหลกั การคดิ เชงิ ระบบ ซงึ่ เปน็ กระบวนการท�ำความเขา้ ใจสงิ่ ตา่ งๆ 90 ใจคน ชุมชน การเปล่ยี นแปลง 

โดยมองเห็นระบบท่ีเป็นอยู่ว่าท�ำงานอย่างไร องค์ประกอบต่างๆ ภายใน ระบบมคี วามสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงและมอี ทิ ธพิ ลตอ่ กนั อยา่ งไร รวมถงึ โครงสรา้ ง ต่างๆ ท่ีท�ำให้เกิดระบบมีอะไรบ้าง  ความคิดเชิงระบบจึงไม่ใช่การมองตัว ปรากฏการณ์เพียงอย่างเดียว แต่มองไปถึงแบบแผน โครงสร้าง และพลัง ต่างๆ ที่ผลักดันให้เกิดปรากฏการณ์นั้นด้วย (โครงการผู้น�ำแห่งอนาคต, 2560) ครูน�้ำอธิบายว่าแนวคิดนี้ช่วยให้เข้าใจว่าปัญหาเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติท่ี ตนพยายามต่อสู้อยู่มิได้เกิดข้ึนและด�ำรงอยู่อย่างเลื่อนลอย แต่มีส่วน เกย่ี วขอ้ งกบั แบบแผนการดำ� เนนิ ชวี ติ ของมนษุ ย์ ลกึ ลงไปถงึ ระดบั ความเชอ่ื เรื่องหลักสิทธิมนุษยชนในทุกประเทศท่ัวโลก ท่ีพยายามให้คุณค่าความ ผูกพันกันโดยถือเกณฑ์การเป็นพลเมืองของรัฐเป็นส�ำคัญ น�ำไปสู่การแบ่ง แยกผคู้ นผา่ นการระบสุ ญั ชาติ  ความแตกตา่ งเรอ่ื งสญั ชาตนิ เ่ี องทผ่ี ลกั ดนั ให้ เกิดปรากฏการณ์การตกเป็นคนชายขอบซึ่งยากต่อการแก้ไขปัญหาท่ีปลาย เหตุอย่างท่ีเธอท�ำอยู่ในปัจจุบัน  มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับมโนทัศน์การมอง โลกซ่ึงก่อตัวขึ้นมาอย่างยาวนานและเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก เพราะเกาะ เกยี่ วแนบชดิ อยกู่ บั ระบบการเมอื งการปกครอง ขนบธรรมเนยี มประเพณ ี ไป จนถึงความเชอื่ ทางศาสนา ในมุมมองของผม ความตระหนักถึงต้นตอของปัญหาดังกล่าวสะท้อน ให้เห็นว่าครูน้�ำมองปัญหาเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติในระดับแตกต่างไปจากเดิม คอื มองวา่ ปญั หามคี วามซบั ซอ้ นและสมั พนั ธก์ บั กลมุ่ คนหลายกลมุ่  เนอื่ งจาก ปญั หาสทิ ธมิ นษุ ยชนมไิ ดเ้ กดิ ขนึ้ เพยี งเพราะการทมี่ นษุ ยก์ ลมุ่ หนง่ึ ถกู รฐั บาล มองข้ามในฐานะพลเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการถูกมองข้ามโดยผู้คน ในสังคมท่ีรับรู้คุณค่าความเป็นมนุษย์แตกต่างกันไปตามมุมมองเรื่อง ประวตั ศิ าสตรช์ าตพิ นั ธ ์ุ อตั ลกั ษณ ์ เศรษฐกจิ  ศลิ ปวฒั นธรรม ศาสนา และ ความเชอ่ื  เปน็ ตน้   ปรากฏการณค์ วามเหลอ่ื มลำ้� ทางสทิ ธมิ นษุ ยชนนเ้ี กดิ ขนึ้ บทเรยี นการนำ�ร่วมจากผขู้ ับเคลอ่ื นสงั คม 91

จากอุดมการณ์ “ชาตินิยม” (nationalism) ท่ีคอยท�ำหน้าท่ีตอกย้�ำความ เป็นหน่ึงเดียวกนั ของประชาชาต ิ พร้อมกับแบ่งแยกผู้ท่ีแตกต่างออกไปจาก อาณาเขตของตน ครูน�้ำเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันทิศทางการท�ำงานของเธอเปล่ียนไป คือ พยายามมองไปยงั รากของปัญหา ในลกั ษณะเดยี วกบั การมองโลกดว้ ยฐาน คดิ ทว่ี า่ สรรพสงิ่ ลว้ นสมั พนั ธก์ นั ไมท่ างใดกท็ างหนงึ่  แลว้ จงึ คอ่ ยๆ คดิ หาทาง แกไ้ ขผา่ นกระบวนการสรา้ งเครอื ขา่ ยรปู แบบใหมข่ นึ้ มา  เครอื ขา่ ยทว่ี า่ นไี้ มใ่ ช่ แค่การมุ่งรวบรวมกลุ่มคนท�ำงานด้านสิทธิมนุษยชนเพียงอย่างเดียว แต่ จ�ำเป็นต้องครอบคลุมไปถึงกลุ่มคนผู้มีความเช่ียวชาญด้านอื่นๆ เพื่อระดม ความคดิ เหน็ ทแ่ี ตกตา่ ง สามารถสะทอ้ นปญั หาหรอื เรอ่ื งราวรอบดา้ นไดใ้ กล้ เคียงกับสภาพความเป็นจริงของสังคมมากที่สุดเท่าท่ีจะเป็นได ้  เธอเช่ือว่า เครือข่ายลักษณะน้ีจะช่วยให้มองเห็นความเป็นไปของสังคมแบบองค์รวม (holistic) มากข้ึน การดำ� เนนิ งานของครนู ำ้� ดว้ ยวธิ คี ดิ เชงิ ระบบเรมิ่ ตน้ จากการสรา้ งพนื้ ที่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการจัด “โครงการผู้น�ำแห่งอนาคต การพัฒนา ศักยภาพแกนน�ำเครือข่ายคนชายขอบ”8 ข้ึนมา  โครงการน้ีเป็นความ พยายามดึงผู้คนที่ท�ำงานในรูปแบบแตกต่างหลากหลาย แต่มีคุณสมบัติ 8 โครงการน้ไี ด้รับทุนสนับสนุนจากโครงการผ้นู ำ�แห่งอนาคตในปี พ.ศ. 2559 ซ่งึ มีการ จัดเวทีย่อยอีก 4 เวทีคือ เวทีสร้างความร่วมมือพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายพลเมือง และสถาบันอิสระภาคประชาสังคม, เวทีให้ความรู้และเสริมสร้างสุขภาพคนทำ�งาน,  การประชุมเครือข่ายคนทำ�งานเพ่ือเด็กกับผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน, เวทีพัฒนา ศักยภาพแกนนำ�องค์กรเครือข่ายการค้ามนุษย์  ทุกเวทีมีเป้าหมายสำ�คัญคือการเปิด พื้นท่ีสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาค ประชาสังคม 92 ใจคน ชุมชน การเปลยี่ นแปลง 

แท้จรงิ แลว้ คนน้นั เชือ่ มร้อยกับธรรมชาติ กบั ทกุ ส่งิ ทกุ อย่าง  การแก้ปัญหาเร่ืองคนจงึ จำ�เปน็ ตอ้ งมองความสมั พนั ธ์ องค์รวมที่เกยี่ วขอ้ งกบั วิถชี ีวติ  ไม่อาจแยกปัญหาออกจาก ระบบที่เชื่อมโยงต่อกันทง้ั หมดได้ สำ� คญั รว่ มกนั ประการหนงึ่ คอื  “มสี ำ� นกึ ทางสงั คม” ตอ้ งการทำ� อะไรเพอ่ื บา้ น เพอ่ื เมอื งเหมอื นกนั  ใหไ้ ดม้ โี อกาสมาแบง่ ปนั ประสบการณเ์ พอ่ื กอ่ ใหเ้ กดิ การ เรียนรู้กระบวนการท�ำงานระหว่างกันผ่านการสนทนาแสดงวิสัยทัศน์ของ แตล่ ะคน กอ่ นจะหาจดุ รว่ มทางความคดิ  วางแผนการทำ� งานแกป้ ญั หาของ สังคม ควบคู่กับการช่วยกันดูแลสุขภาพกายและใจของผู้ท�ำงาน ทั้งภาค ประชาสงั คม ภาครฐั  และภาคเอกชน ในเขตอำ� เภอเชยี งแสน เชยี งของ และ แม่สาย “พี่เติบโตมาจากการท�ำงานเร่ืองคนจน พบว่าแท้จริงแล้วคนนั้นเช่ือม รอ้ ยกบั ธรรมชาต ิ กบั ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง การแกป้ ญั หาเรอื่ งคนจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งมอง ความสัมพันธ์องค์รวมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ไม่อาจแยกปัญหาออกจาก ระบบที่เช่ือมโยงต่อกันท้ังหมดได้  อีกอย่างการได้มาอยู่ที่อ�ำเภอเชียงแสน ทำ� ใหเ้ กดิ ความรกั ความผกู พนั กบั เมอื งนม้ี าก จงึ อยากเรมิ่ ตน้ สรา้ งเครอื ขา่ ย บทเรียนการนำ�ร่วมจากผขู้ บั เคล่อื นสงั คม 93

การท�ำงานที่จะช่วยให้มองเห็นลู่ทางพัฒนาเมืองอย่างย่ังยืนขึ้นมา ซึ่งอาจ หมายถึงการเข้าไปแก้ปัญหาเชิงนโยบายมากยิ่งข้ึน” (ครูน�้ำ, 12 สิงหาคม 2559) การลงมอื ทำ� โครงการลกั ษณะนส้ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ้� กำ� ลงั สรา้ งเครอื ขา่ ยการทำ� งานอกี รปู แบบหนงึ่ ดว้ ยการวเิ คราะหป์ รากฏการณล์ กึ ลงไปถึงระดับโครงสร้าง กล่าวคือมุ่งเสาะหาท่ีมาและเหตุปัจจัยที่ประกอบ กันจนท�ำให้เกิดปัญหาเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติขึ้นมา เป็นการมองปัญหาเด็ก เร่ร่อนไร้สัญชาติว่าเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสถาบัน ครอบครัว ชุมชน เมือง วัฒนธรรม รัฐไทย ทวีป และโลก หากเกิดความ เปลย่ี นแปลงขน้ึ กบั องคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหนง่ึ  องคป์ ระกอบอน่ื ยอ่ ม เปลี่ยนผันตามไปด้วย  แนวทางแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติจึงอาจ เปน็ การพฒั นาสถาบนั ครอบครวั ใหม้ นั่ คง สรา้ งรายไดแ้ ละอาชพี สชู่ มุ ชนโดย การพัฒนาเมืองเชียงแสนให้มีวัฒนธรรมอันเข้มแข็งมากพอจะดึงดูดให้นัก ท่องเทีย่ วเดนิ ทางเข้ามา เหลา่ นีเ้ ป็นตน้    การมองปัญหาเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติลักษณะนี้จึงเป็นการมองปรากฏ- การณ์เพ่ือหาทางแก้ไขท่ีปัจจัยอันหลากหลาย ซึ่งก่อให้เกิดความเปล่ียน แปลงแบบแผนพฤตกิ รรมและความเชอื่ ของผคู้ นในสงั คมตามมา เปน็ ความ พยายามจดั การปญั หาโดยมงุ่ ปรบั โครงสรา้ ง ซงึ่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความยง่ั ยนื กวา่ การแก้ปัญหาระดับปรากฏการณ์หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยการ สงเคราะห์เด็กตามความเดือดรอ้ นเป็นรายกรณีไป ตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมของการสร้างเครือข่ายบนวิถีการน�ำร่วมด้วย วธิ กี ารคดิ เชงิ ระบบคอื การชกั ชวนกลมุ่ เปา้ หมายเขา้ รว่ ม “เวทสี รา้ งความรว่ ม มือพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายพลเมืองและสถาบันอิสระภาคประชา สังคม” ซ่ึงมูลนิธิบ้านครูน�้ำจัดข้ึนเม่ือวันที่ 12-13 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ผคู้ นทเ่ี ขา้ รว่ มเวทนี เ้ี ตม็ ไปดว้ ยความแตกตา่ งหลากหลาย ไมว่ า่ จะเปน็ ทกั ษะ 94 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง 

การท�ำงาน ความรู้ความเชี่ยวชาญ ความสนใจในประเด็นทางสังคม เช่น ศิลปิน นักศึกษา นักวิจัย ปราชญ์ชาวบ้าน อาจารย์มหาวิทยาลัย ทหาร พอ่ คา้ แมข่ าย สมาคมคนยอง ตวั แทนกลมุ่ รกั ษเ์ ชยี งของ และนกั โบราณคดี จากกรมศิลปากร รวมท้ังสิ้น 21 ชีวิต  คนเหล่านี้ได้มาพบกันบนพ้ืนท่ีท่ี เออ้ื ตอ่ การแลกเปลยี่ นเรยี นร ู้ ไดร้ ว่ มกนั สนทนา นำ� เสนอขอ้ มลู และมมุ มอง ที่ตนมีต่อปัญหา ภายใต้โจทย์ส�ำคัญที่ว่า “เราจะส่งต่อส่ิงดีๆ ท่ีบรรพบุรุษ ได้เก็บรักษาไว้ให้เราแก่คนรุ่นหลังต่อไปอีก 3 ช่ัวอายุคนได้อย่างไร” โดย ส่ิงดีๆ ทว่ี ่านข้ี ึ้นอยูก่ บั ความสนใจเฉพาะตัวของผู้เขา้ ร่วมแตล่ ะคน โจทย์ดังกล่าวท�ำให้เกิดการแบ่งผู้สนใจประเด็นเดียวกันออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) นโยบายพ้ืนที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ  2) วัฒนธรรมและ โบราณสถาน  และ 3) กลุ่มสิทธิเด็กและสตรี โดยแต่ละกลุ่มร่วมกันแลก เปลี่ยนความคิดเห็นในวงเล็กๆ ก่อนน�ำเสนอในวงใหญ่ เกิดการแบ่งปัน ข้อมูล วิสัยทศั น ์ กระบวนการทำ� งาน กนั อย่างล่นื ไหล ทำ� ใหม้ องเหน็ วา่ ใน พื้นที่ท่ีอาศัยอยู่มีอะไรดีๆ บ้าง และส่ิงเหล่าน้ันก�ำลังจะหายไปเพราะเหตุ ใด  กิจกรรมท้ังหมดเกิดข้ึนผ่านกระบวนการส�ำคัญคือการแบ่งปันข้อมูล เช่นกลุ่มนโยบายพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษน�ำเสนอข้อมูลแนวโน้มความ เปลี่ยนแปลงในพ้ืนที่ 3 อ�ำเภอ หากถูกผลักดันเข้าสู่การเป็นเมืองอุตสาห- กรรมโดยไมใ่ หค้ วามสำ� คญั กบั รากเหงา้ ทางวฒั นธรรมทแี่ ตล่ ะอ�ำเภอมกี อ็ าจ ท�ำให้องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ล่มสลาย ท�ำให้คนรุ่นใหม่หลงลืมราก เหงา้  หมดความภาคภูมใิ จในบ้านเกดิ เมอื งนอน  กลุ่มวัฒนธรรมและโบราณสถานน�ำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าของ โบราณสถานและโบราณวตั ถุทส่ี �ำคญั ของเมอื งเชยี งแสนพรอ้ มแนวทางการ อนรุ กั ษ ์  สว่ นกลมุ่ สทิ ธเิ ดก็ และสตรกี ช็ แี้ จงทศิ ทางของปญั หาสทิ ธมิ นษุ ยชน ที่จะเกิดข้ึนหากแผนพัฒนาเมืองไม่ให้ความส�ำคัญกับระบบการจัดการชาว ต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาจนอาจน�ำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์ท่ีเพ่ิมมากข้ึน บทเรยี นการนำ�รว่ มจากผ้ขู ับเคลอื่ นสงั คม 95

ผลสรุปสุดท้ายของกิจกรรมคือข้อค้นพบที่ว่า การท�ำงานของทุกคนซึ่งมา จากหลากหลายสาขาอาชพี ลว้ นมเี ปา้ หมายและอปุ สรรคทสี่ มั พนั ธก์ นั ทงั้ สน้ิ เกิดการร่วมกันออกแบบนโยบายพัฒนาเมืองเชียงแสน เชียงของ และ แม่สาย ข้ึนมาในเบื้องต้นเพ่ือใช้เป็นต้นแบบพัฒนาต่อยอดสำ� หรับน�ำเสนอ ต่อหน่วยงานภาครฐั ตอ่ ไป ปจั จบุ นั นอกจากการขยายเครอื ขา่ ยความรว่ มมอื กนั ระหวา่ งผคู้ นหลาก หลายองค์กรซึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในขวบปีท่ีผ่านมา มูลนิธิบ้านครูน�้ำยังค้น พบกลยทุ ธก์ ารนำ� รว่ มผา่ นกระบวนการสนทนาและการประชมุ เพอื่ สรา้ งการ เช่ือมโยงประเด็นปัญหาและหัวใจของคนในทีม เป็นการเริ่มต้นท�ำงานขับ เคล่ือนสังคมทั้งในระดับ “ลึก” คือมุ่งแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนไร้สัญชาติผ่าน ความร่วมมือระหว่างผู้ท�ำงานบนปัญหาแบบเดียวกันแม้จะต่างกลุ่มเป้า หมายและวธิ กี าร เพอื่ เตมิ เตม็ จดุ บกพรอ่ งของกนั และกนั  และระดบั  “กวา้ ง” ขน้ึ  คอื ถอยมาดงู านเชงิ นโยบายซงึ่ พจิ ารณาองคป์ ระกอบโดยรวมของสงั คม อย่างเป็นระบบ  เป้าหมายของมูลนิธิฯ จึงค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย เพ่อื ท�ำใหส้ งั คมเกดิ ความเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีและยัง่ ยืนข้ึน  ประโยชน์ส�ำคัญที่เกิดข้ึนกับมูลนิธิฯ คือการปลูกฝังยุทธศาสตร์การ ด�ำเนินงานด้วยวิธีการคิดเชิงระบบ และวางรากฐานความร่วมมือระหว่าง กันให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่  อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ความร่วมแรง ร่วมใจท่ีเกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงจุดเร่ิมต้นที่ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะก่อให้เกิด ความเปลี่ยนแปลงระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมได้หรือไม่  หน่ออ่อนที่เริ่ม โผล่ข้ึนจากผิวดินยังต้องเจอบทพิสูจน์ส�ำคัญเร่ืองการออกแบบวิธีพัฒนา เมืองอย่างเป็นรูปธรรม เพ่ือผลักดันให้ชุมชนบนพ้ืนท่ีเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดเชียงรายมีความเข้มแข็งมากพอที่จะยืนหยัดไปพร้อมกับความ เปล่ียนแปลงท่ีก�ำลังจะเกิดข้ึนในอนาคตอันใกล้เม่ือการรวมกลุ่มประชาคม อาเซียนประสบความสำ� เร็จอย่างสมบูรณ์ 96 ใจคน ชมุ ชน การเปลยี่ นแปลง 

สรุปบทเรยี นการน�ำร่วม ภาวะผู้น�ำ หากมองว่ามูลนิธิบ้านครูน้�ำเป็นต้นไม้ต้นหน่ึง ครูน้�ำผู้ริเร่ิมก่อต้ังก็ เปรียบเสมือนเมล็ดพนั ธ์ทุ ี่คอ่ ยๆ เตบิ โตข้นึ อย่างชา้ ๆ  แรงขบั ภายในซงึ่ ก่อ ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงสู่ภายนอกคือคุณลักษณะของเนื้อในเมล็ดพันธุ์ เมื่อถูกฝังลงใต้ผืนดิน ได้รับน้�ำและแร่ธาตุอย่างเหมาะสม ก็พร้อมจะ งอกงามแตกกิ่งก้านสาขาออกมา  คุณสมบัตขิ องเน้ือในคอื องค์ประกอบซงึ่ ธรรมชาติได้จัดสรรบรรจุเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้นเม่ือมนุษย์คนหน่ึงลืมตาข้ึนมา ดูโลก  คุณสมบัติในที่นี้อาจหมายถึงการส่ังสมบ่มเพาะประสบการณ์ผ่าน กระบวนการเรียนรู้ต้ังแต่เล็กจนโต หรืออาจเป็นความรู้สึกนึกคิดในระดับ สัญชาตญาณท่ีติดตัวมาแต่ก�ำเนิด  ด้วยเหตุนี้อาจกล่าวได้อีกทางหนึ่งว่า มนษุ ยท์ กุ คนลว้ นมเี มลด็ พนั ธอ์ุ ยใู่ นตวั เอง แตค่ ณุ สมบตั ขิ องเนอ้ื ในจะเหมอื น หรอื ต่างกันก็สดุ แทแ้ ต่ว่าใครจะมีสิ่งใดตดิ ตวั มา   สำ� หรบั ครนู ำ้�  เรอื่ งราวความเปลย่ี นแปลงทงั้ หมดในชวี ติ การทำ� งานเปน็ ครขู า้ งถนนสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ เนอ้ื ในเมลด็ พนั ธท์ุ ผี่ ลกั ดนั ใหเ้ ธอเตบิ โตมาจนถงึ ปจั จบุ นั ประกอบดว้ ยสิ่งส�ำคญั  5 ประการ คอื   1) รู้จกั และเชื่อมั่นในตนเอง  รู้ว่าความต้องการหรอื ความสุขท่ีแท้ใน ชวี ติ คอื อะไร และเมอ่ื เชอื่ วา่ สงิ่ ใดด ี มแี นวโนม้ วา่ จะนำ� ไปสกู่ ารบรรลเุ ปา้ หมาย ได ้ กพ็ รอ้ มจะทมุ่ เทพัฒนาอย่างสุดกำ� ลงั    2) ปรารถนาใหผ้ อู้ นื่ พน้ ทกุ ข ์  ตระหนกั วา่ ผคู้ นทเี่ ผชญิ ความยากลำ� บาก ในชีวติ จะได้รบั คุณประโยชนจ์ ากการกระท�ำของตวั เองอยา่ งไรบา้ ง   บทเรียนการนำ�รว่ มจากผขู้ ับเคลอ่ื นสังคม 97

3) เชอ่ื ม่นั ในศักยภาพความเปน็ มนุษย ์  ศรทั ธาในคณุ ค่าความดีงาม ของผคู้ นในสงั คม และเชอ่ื วา่ มนษุ ยท์ กุ คนสามารถพฒั นาไดห้ ากไดร้ บั โอกาส ทีเ่ หมาะสม   4) ความกลา้   เดด็ เดย่ี วและไมห่ วน่ั เกรงตอ่ ความไมแ่ นน่ อน พรอ้ มจะ ละทิ้งพื้นที่ปลอดภัยของตนเพ่ือแสวงหาส่ิงที่ดีกว่าในระดับองค์รวม ในท่ีน้ี หมายถงึ ความกล้าท้ังในเชงิ ความคดิ และการกระท�ำดว้ ย 5) ทักษะการคิดใคร่ครวญอย่างมีวิจารณญาณ  รู้จักตั้งค�ำถามกับ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างละเอียดลึกซ้ึง จนน�ำมาซึ่งความเปลี่ยน แปลงทัง้ ตนเองและสงั คม  ความสามารถในการนำ� เอาประสบการณช์ วี ติ ทเ่ี กดิ จากการลองผดิ ลอง ถูกมาปรับปรุงต่อยอดจนเกิดเป็นหลักการปฏิบัติงานเพื่อใช้พัฒนามนุษย์ อย่างยั่งยืน พร้อมกับถ่ายทอดหลักการเหล่าน้ันสู่เพื่อนร่วมงานและสังคม วงกว้างได้อย่างชัดเจนเข้าใจง่าย เมื่อผสมผสานกับความปรารถนาอันแรง กล้าที่อยากให้เด็กเร่ร่อนไม่ว่าจะเช้ือชาติใดสัญชาติไหนได้รับสิทธิอันพึงได้ ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง คือแรงส่งซึ่งก่อให้เกิดภาวะผู้น�ำที่มีศักยภาพ สามารถตั้งค�ำถามเสียงดังๆ เพ่ือสร้างแรงกระเพื่อมทางสามัญส�ำนึก กระตุ้นเตือนให้คนรุ่นใหม่ตระหนักและหันมาร่วมมือกันแก้ปัญหาคน ชายขอบ รวมถึงแสวงหาแนวทางท่ีมนุษย์จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่าง เสมอภาค    การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมมิได้เกิดจากการชวนคิดหรือต้ัง ค�ำถามเพียงเท่าน้ัน ทว่ายังเกิดจากการลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง ด้วย ความมงุ่ มนั่ ทมุ่ เท ไมห่ วน่ั ตอ่ สายตาผคู้ นทอี่ าจตคี วามการใหค้ วามชว่ ยเหลอื เด็กเร่ร่อนว่าเป็นเพียงการท�ำงานบังหน้าเพ่ือหาผลประโยชน์  การตั้งใจ ท�ำงานอย่างหนักหน่วงยาวนานมากพอที่จะพิสูจน์ศรัทธาของตนเองและ ทีมงานคือส่ิงส�ำคัญท่ีจะช่วยคลี่คลายความคลางแคลงใจของผู้คน  ภาพ 98 ใจคน ชมุ ชน การเปล่ียนแปลง 

ทักษะการคิด รจู กั ปรารถนาให ใครครวญอยา ง และเชอื่ มน่ั ผอู ืน่ พนทกุ ข มวี ิจารณญาณ ในตนเอง เนื้อใน เมลด็ พันธุ ความกลา เชอ่ื มนั่ ในศักยภาพ ความเปน มนุษย ภาพที ่ 3  เนอ้ื ในเมล็ดพนั ธุ์ คุณสมบตั พิ ืน้ ฐานของผนู้ �ำ มลู นธิ ิบา้ นครนู �ำ้ ท่มี า : ผลการวิจัย สะทอ้ นทชี่ ดั เจนเกดิ ขน้ึ เมอ่ื มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ ถกู ทดสอบจากการเจอเรอ่ื งราว ยากล�ำบากครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ังความขัดแย้งท่ีเกิดขึ้นกับคนในชุมชนซ่ึงมอง ไม่เห็นความจ�ำเป็นว่าเหตุใดจึงต้องช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนท่ีพักอาศัยอยู่ตาม ใต้สะพาน ความขัดแย้งกับหน่วยงานภาครัฐที่ใช้นโยบายผลักไสเด็กเร่ร่อน ออกจากพื้นท่ีการดูแลของตน แม้กระท่ังข้อพิพาทกับพ่อแม่เด็กเร่ร่อนเอง ซ่ึงดูจะไม่พอใจกับการสูญเสียรายได้เม่ือลูกหลานเข้ามาพักอาศัยอยู่กับ มลู นิธฯิ    บทเรียนการนำ�รว่ มจากผู้ขบั เคลอ่ื นสงั คม 99

หลายคร้ังหลายคราท่ีการพยายามย่ืนมือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ กลบั นำ� เอาปญั หามาสตู่ วั เอง แตท่ กุ ครง้ั พวกเขากย็ งั ฝา่ ฟนั มาได้ จนในทสี่ ดุ ความส�ำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้จึงผลิดอกออกผลเป็นชีวิตความ เป็นอยู่ท่ีดีข้ึนของเด็กกลุ่มหนึ่ง บางคนได้รับการศึกษาจนจบปริญญาตรี มี หนา้ ทกี่ ารงานทดี่  ี ยงั ผลใหป้ จั จบุ นั มลู นธิ บิ า้ นครนู ำ�้ ไดร้ บั ความไวเ้ นอื้ เชอื่ ใจ น�ำไปสูก่ ารขยายเครอื ขา่ ยการทำ� งานท่ีกว้างขึ้นเปน็ ล�ำดับ ด้วยความเป็นทีมท่ีมีผู้น�ำพร้อมจะพุ่งชนกับปัญหา เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกันอย่างยาวนานนับสิบปี ทีมงานมูลนิธิ บา้ นครนู ำ�้ จงึ มมี มุ มองการปฏบิ ตั งิ านทตี่ รงกนั อยปู่ ระการหนง่ึ  เปน็ แนวทาง งา่ ยๆ เพอ่ื ไมใ่ หร้ สู้ กึ ถอดใจยอมแพใ้ นยามเจอมรสมุ รมุ เรา้  นนั่ คอื  “หากคดิ วา่ ตวั เองก�ำลงั เจอปญั หาหนกั  ใหล้ องนกึ ถงึ ครนู ้�ำแลว้ จะพบทางออกเสมอ” มุมมองดังกล่าวสะท้อนภาวะผู้น�ำโดยธรรมชาติของครูน�้ำที่แผ่อิทธิพลท้ัง ทางความคดิ และความรสู้ กึ ตอ่ ผคู้ นรอบขา้ งไดอ้ ยา่ งชดั เจน ถอื เปน็ สงิ่ มคี า่ ที่ คอยโอบอุ้มท้ังทีมงานและเด็กๆ ในมูลนิธิฯ ให้รู้สึกอบอุ่น ม่ันคง ส่งผลให้ เกดิ ความเข้มแข็งเป็นอันหน่ึงอนั เดยี วกนั ภายในองคก์ ร  “เมอื่ เรารสู้ กึ เหนอื่ ยหรอื ทอ้ แท ้ กใ็ หน้ กึ ถงึ ครนู ำ�้  เขาคอื คนทแ่ี บกปญั หา ตา่ งๆ เอาไวม้ ากกวา่ เรา แลว้ เราจะรสู้ กึ มกี ำ� ลงั ใจทำ� งานมากยงิ่ ขน้ึ ” (ชาฟวิ , 17 พฤศจกิ ายน 2559) “การกระทำ� และคำ� พดู คอื สงิ่ ทที่ ำ� ใหเ้ ดก็ เคารพครนู ำ้�   พดู คำ� ไหนคำ� นน้ั เหน่ือยด้วยกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน นี่คือแรงยึดเหน่ียวที่ท�ำให้มูลนิธิฯ เป็นเหมือนบ้าน บ้านท่ีเป็นพื้นที่ของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน” (แม่ชีมด,  12 มนี าคม 2560) 100 ใจคน ชุมชน การเปลยี่ นแปลง