Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กาลานุกรม

กาลานุกรม

Description: กาลานุกรม

Search

Read the Text Version

โปรเตสแตนตป์ ฏริ ูป ที่ ๓ (Paul III) จึงทรงจดั ใหม้ ีคณะกรรมาธิการของพระ อาทิตยเ์ ปน็ ศนู ย์กลางของจกั รวาล ถือว่าเป็นการเรมิ่ ตน้ คาทอลิกย้อนปฏริ ูป ก็รบกนั ใหญ่ คารด์ นิ ัลขึน้ มากำ� กับ เป็นศาลสงู สุดในการไตส่ วนศรทั ธา ปฏวิ ตั ิวทิ ยาศาสตร์ (scientific revolution) ซง่ึ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๑๓๑ (ค.ศ. 1588) โป๊ป/สันตะปาปา พ.ศ. ๒๐๘๓ หรือ ๒๑๐๒-๒๑๕๓ (ค.ศ. 1540 ซกิ ซตสั ท่ี ๕ (Sixtus V) ได้จดั ต้ังให้มรี ปู รา่ งชดั เจนเปน็ แต่เพราะขดั กบั ค�ำสอนของศาสนาคริสต์ซ่งึ ยงั มี หรือ 1559-1610) การปฏริ ูปโดยโปรเตสแตนต์น้ันตาม the Congregation of the Roman and Universal อำ� นาจอยูม่ าก จึงเปน็ เหตใุ หน้ ักวทิ ยาศาสตรท์ ี่เผยแพร่ มาดว้ ยการย้อนปฏริ ูป (Counter-Reformation) ของ Inquisition เรียกส้นั ๆ วา่ the Holy Office ความรเู้ ชน่ นนั้ ถกู จบั ขน้ึ ศาลไตส่ วนศรทั ธา (Inquisition) ฝา่ ยโรมนั คาทอลกิ ท่ีจะเรง่ กำ� จดั พวกโปรเตสแตนต์ให้ และลงโทษ เช่น บรูโน (Giordano Bruno) ถกู เผาท้งั หมดสิ้น เร่ิมตน้ ปฏวิ ัตวิ ิทยาศาสตร์ เป็นใน ค.ศ. 1600 กาลเิ ลโอ (Galileo Gali lei) แมจ้ ะ ขดั กบั ศาลคริสต์ ยอมรบั ผดิ ลดโทษ ก็ถกู กักขงั ให้อย่แู ต่ในบ้านจนตายใน โป๊ปตั้งศาลสงู สดุ ค.ศ. 1642 กำ� กบั การไต่สวนศรทั ธาอกี ชน้ั พ.ศ. ๒๐๘๖ (ค.ศ. 1543) โคเปอรน์ คิ สั (Copernicus) พมิ พห์ นงั สือ On the Revolutions of จากซ้าย: พ.ศ. ๒๐๘๕ (ค.ศ. 1542) เน่ืองจากไดม้ ีศาสนา Celestial Spheres (วา่ ดว้ ยปริวรรตแหง่ เวหาสมณฑล) สันตะปาปา ปอลท่ี ๓ ครสิ ตน์ กิ ายโปรเตสแตนตเ์ กิดขน้ึ ซ่ึงการกำ� จัด (perse- แสดงหลกั ความจรงิ วา่ โลกหมนุ รอบดวงอาทิตย์ โดยมีดวง สันตะปาปา ซิกซตัสท่ี ๕ cution) จะตอ้ งจดั การเปน็ พิเศษ โป๊ป/สนั ตะปาปา ปอล นิโคลัส โคเปอร์นิคสั จอร์ดาโน บรโู น กาลิเลโอ กาลิเลอิ 138 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

จากซา้ ย: พระนางแมรที ่ี ๑ พระเจา้ ฟรานซิสท่ี ๒ กับ พระนางแมรสี จว๊ รต์ วนั เซนตบ์ าร์โธโลมิว สเปนนักล่า ทำ� ลายแอสเทคแล้ว กวาดลา้ ง (persecution) พวกโปรเตสแตนต์อย่าง ในรัชกาลพระเจา้ ฟรานซสิ ที่ ๒ มีการกวาดล้าง ก็ถลม่ อินคา รุนแรง เช่น ให้จำ� คุกบชิ อพแหง่ วูร์ซเตอร์ และบชิ อพแห่ง (persecution) พวกโปรเตสแตนต์ ท่ีเรียกว่าฮเู กนอตส์ ลอนดอน ๒ ปี ออกจากคกุ แลว้ กใ็ หเ้ อาทงั้ ๒ บชิ อพนน้ั ไป (Huguenot) อยา่ งรุนแรง ฮูเกนอตสจ์ ึงสมคบกนั วางแผน พ.ศ. ๒๐๙๖ (ค.ศ. 1553) หลงั จากลม้ อาณาจกั ร เผาทง้ั เปน็ ทอี่ อกซฟอรด์ เปน็ ตน้ จนไดส้ มญาวา่ “Bloody (Conspiracy of Amboise) จะโคน่ พวกคาทอลกิ ทปี่ กครอง แอสเทคลงในปี ๒๐๕๕-๕๗ แล้ว ถงึ ปีนี้ นักลา่ อาณานคิ ม Mary” (แมรี่กระหายเลือด หรอื แมร่ีละเลงเลอื ด) ในปี ๒๑๐๓ แตแ่ ผนแตก เลยถกู จบั แขวนคอราว ๑,๒๐๐ คน ของสเปน ก็ตีอาณาจักรอินคาพนิ าศ สงครามศาสนาในยโุ รป จากนั้นอีก ๒ ปี กเ็ กดิ สงครามศาสนากลางเมอื ง พระนางแมรล่ี ะเลงเลือด เปน็ ระยะๆ รวม ๓๖ ปี (๒๑๐๕-๒๑๔๑/1562-1598) โดย กวาดลา้ งโปรเตสแตนต์ในองั กฤษ “สงครามศาสนา” (Wars of Religion) ทป่ี ระวัติ ท่พี วกฮเู กนอตส์ไดท้ พั โปรเตสแตนตต์ ่างชาตมิ าช่วยด้วย ศาสตร์ตะวนั ตกเล่าไว้นี้ หมายถงึ สงครามในศาสนาคริสต์ พ.ศ. ๒๐๙๘ (ค.ศ. 1555) หลงั สิน้ รชั กาลของ เอง ระหวา่ งคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ ระหว่างนี้มเี หตกุ ารณใ์ หญค่ รัง้ รา้ ยยง่ิ คือ ชาว พระราชบดิ า คอื เฮนรีที่ ๘ ซ่งึ ไดต้ ง้ั ศาสนจกั รองั กฤษ คาทอลกิ สงั หารเหมาชาวโปรเตสแตนตใ์ นวันเซนต์ ขน้ึ แล้ว พระนางแมรีท่ี ๑ (Mary I หรอื Mary Tudor) พ.ศ. ๒๑๐๓ (ค.ศ. 1560) ฝรง่ั เศส ซงึ่ เปน็ ประเทศ บาร์โธโลมิว (Saint Bartholomew’s Day Massacre) ซึ่งเป็นราชธดิ าของมเหสีองคเ์ ก่า ขนึ้ ครองราชย์ กลับ คาทอลกิ ไดพ้ ยายามกวาดลา้ งโปรเตสแตนตอ์ ย่างรนุ แรง ปี ๒๑๑๕/1572 ต้งั แต่ ๒๔ ส.ค. ไป ๒ เดือนเศษ ตาย หันไปฟนื้ ฟนู ิกายโรมันคาทอลกิ และด�ำเนนิ การกำ� จัด ตง้ั แต่ระยะแรก ถงึ กบั เกดิ สงครามศาสนาหลายครง้ั ราว ๑๓,๐๐๐ คน (หลังจากนีร้ าวคร่ึงศตวรรษ จะถึงรชั กาลพระเจ้า หลยุ ส์ที่ ๑๓ ต่อดว้ ยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มหาราช องค์ท่ี มีไมตรีกบั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช สมัยอยุธยา ซง่ึ จะ กวาดลา้ งโปรเตสแตนต์อย่างรุนแรงย่งิ จนจบสิ้น) พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 139

อาณาจักรฮนิ ดูสดุ ท้าย วชิ ยั นคร ซึง่ ชาวโปรตเุ กสทเ่ี ดนิ ทางมาได้เขียนบนั ทกึ ไว้ ราวปี ๒๐๖๓ ว่าใหญ่โตอย่างกับโรม พ.ศ. ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) อาณาจกั รฮนิ ดสู ดุ ทา้ ย ท่ีเหลืออยใู่ นทักษณิ าบถ คือ วชิ ยั นคร (Vijayanagar (ดินแดนสว่ นล่างของอนิ เดียน้มี ีการตดิ ต่อโดย Empire) ถึงกาลอวสาน หลงั จากยืนหยัดอยไู่ ดท้ า่ มกลาง เฉพาะทางการค้ากบั โรมมานาน อย่างน้อยต้ังแตต่ ้นครสิ ต์ อ�ำนาจคุกคามของอาณาจักรมุสลิมที่ลอ้ มรอบเป็นเวลา ศักราชในยคุ อาณาจักรโจฬะ ดังทีใ่ นทางโบราณคดไี ด้พบ ๒๒๙ ปี เหรยี ญกระษาปณข์ องโรมนั มากมายในผนื แผ่นดนิ แถบน)ี้ จกั รวรรดวิ ชิ ยั นครนมี้ เี นอ้ื ทค่ี รา่ วๆ ขนาดใกลเ้ คยี ง กับอริ กั ในปจั จุบัน อย่สู ว่ นลา่ งตลอดถงึ ปลายสดุ ของ แผ่นดินอนิ เดยี เจรญิ รุ่งเรอื งมาก มกี ารติดต่อคา้ ขายกบั กรงุ โรม โปรตุเกส ไปจนถงึ จนี มีเมืองหลวงชอื่ เดียวกนั ว่า จากซ้าย: แมรีส่ ิ้นสมยั นอ้ งแมรห่ี นั ไป ทัง้ สเปน เนเธอร์แลนด์ เมอื งขึน้ ในอเมรกิ า และดนิ แดน ราชนิ ีเอลิซาเบธท่ี ๑ ก�ำราบคาทอลิก ของโปรตเุ กสทง้ั หมด ได้ต้ังพระทัยเด็ดเดี่ยวว่าจะบดขย้ี พระเจ้าฟิลปิ ส์ที่ ๒ พวกโปรเตสแตนต์ให้ดบั สนิ้ จากดินแดนเหลา่ นี้ ทรงเร่ิม พ.ศ. ๒๑๐๖ (ค.ศ. 1563) เมอ่ื สิน้ รชั กาลพระนาง กำ� จดั โดยเขา้ โจมตโี ปรเตสแตนตใ์ น เนเธอร์แลนด์ แล้ว แมร่ีท่ี ๑ แล้ว ราชินเี อลิซาเบธท่ี ๑ (Elizabeth I) ซึ่งเปน็ กลายเป็นสงครามรบกันยดื เย้อื ถึง ๘๐ ปี (๒๑๑๑-๙๑/ ราชธดิ าของมเหสอี งคใ์ หม่ ข้นึ ครองราชย์ ทรงหันกลบั 1568-1648) มาบำ� รุงนกิ ายอังกฤษ และก�ำจดั (persecution) พวก คาทอลิก ระหวา่ งนัน้ ในปี ๒๑๓๑/1588 ก็ยกกองทัพเรอื มหมึ าไปปราบอังกฤษทีเ่ ป็นประเทศโปรเตสแตนต์ แต่ถูก ฝร่ังเศสว่าแรง ต้องเทยี บสเปน เผาแพ้กลับมายับเยิน พ.ศ. ๒๑๑๑ (ค.ศ. 1568) สเปนซง่ึ เป็นประเทศ ในที่สุดก็ไมส่ ามารถเปลีย่ นพวกดทั ช์และพวก คาทอลกิ ส�ำคัญอกี หนงึ่ กก็ วาดล้าง (persecution) อังกฤษให้เป็นคาทอลกิ ได้ด้วยการบงั คบั โปรเตสแตนตอ์ ยา่ งต่อเนื่อง ในสเปน การก�ำจัดคนผไู้ มเ่ ปน็ คาทอลกิ อีกดา้ น ปนี ี้ พระเจา้ ฟลิ ิปส์ท่ี ๒ ซ่งึ ยิง่ ใหญม่ าก ปกครอง หนงึ่ ซงึ่ รนุ แรงมาก และยดื เยือ้ ยิ่ง คอื ศาลไตส่ วนศรัทธา (Spanish Inquisition) ซง่ึ ใชว้ ิธีเผาทัง้ เปน็ เปน็ ต้น ยาว นานถึงประมาณ ๓๕๐ ปี (๒๐๒๑-๒๓๗๗/1478-1834) 140 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

อวสานแห่งวชิ ยั นคร มุสลิมครองสุดอนิ เดีย หลังจากสรู้ บกบั อาณาจกั รข้างเคียงครองอำ� นาจ ถงึ คราวน้ีอ�ำนาจของมสุ ลมิ กค็ ลมุ ไปถึงสุดแผ่นดิน มาได้ยาวนาน ในท่ีสุด ผ่านเข้ามาในยุคราชวงศ์โมกลุ ถงึ จดมหาสมุทรอินเดยี ปี ๒๑๐๘ (ค.ศ. 1565) อาณาจักรมุสลิม ๔ แคว้น คอื พิชาปุระ พที ร อาหหมัดนคร และกอลคอนดา ไดร้ วม กษตั รยิ แ์ หง่ วชิ ัยนครได้หนีไปตง้ั เมอื งอยู่ในท่ีใหม่ กำ� ลงั กนั เข้าตี เอาชนะวิชยั นครได้ หา่ งออกไป และสบื ราชย์กันมาอยา่ งไม่ราบร่ืน จนกระท่ัง ปี ๒๒๑๕ (ค.ศ. 1672) กษัตริยอ์ งค์สดุ ทา้ ยสวรรคต ก็สนิ้ ท้ังน้ี ผูโ้ จมตีมไิ ดต้ ้องการครอบครอง เพยี งแตจ่ ะ วงศ์ ทำ� ลายอำ� นาจ เมอื่ ชนะแลว้ จงึ เขา้ เผาทำ� ลายบา้ นเรอื นทรพั ย์ สนิ ไลฆ่ า่ ฟนั ผคู้ นจนหมดสน้ิ โดยใชเ้ วลารวม ๕ เดอื น แลว้ อนิ เดยี ปล่อยท้ิงให้เป็นทีร่ กร้างไร้ประโยชน์ไม่อาจฟื้นขึ้นไดอ้ กี แหลมโคโมริน สวติ เซอรแ์ ลนด์ สงครามสำ� คัญพลกิ ผนั อารยธรรม สงครามศาสนาในยุโรป ทรี่ ุนแรงกวา่ นี้ จะเกิดข้ึน กลางทวีปยโุ รป เปน็ สงคราม ๓๐ ปี เรม่ิ แตป่ ี ๒๑๖๑/ 1618 ข้างหนา้ ผลสืบเน่อื งสำ� คัญอย่างหนึง่ ของการกวาดล้าง (persecution) และสงครามศาสนา (religious wars) ในยุโรป กค็ ือการถ่ายเทประชากรขนานใหญ่ เชน่ ยวิ ราว ๑๗๐,๐๐๐ คน ถกู ขบั ออกจากสเปนในปี ๒๐๓๕/1492 พวกฮเู กนอตสก์ วา่ ๔๐๐,๐๐๐ หนจี ากฝร่งั เศสในชว่ ง ใกล้ปี ๒๒๒๘/1685 และการอพยพหลบหนีคราวใหญ่ น้อยอ่ืนๆ ทงั้ ท่ไี ปในประเทศอน่ื ในยุโรป ตลอดจนไปยงั อเมริกา การถา่ ยเทประชากรนี้ นบั วา่ เปน็ ปัจจยั ส�ำคัญ อย่างหน่งึ ท่ีก่อรูปแปลงร่างอารยธรรมตะวันตก พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 141

โมกุลเริ่มใหเ้ สรีภาพทางศาสนา เจ้านายฮินดูเขา้ รบั ราชการ โดยเฉพาะพวกเจา้ ราชบตุ ร ไดต้ ำ� แหน่งสูงๆ พ.ศ. ๒๑๒๔ (ค.ศ. 1581) อักบาร์ (Akbar) จักรพรรดโิ มกุลองคท์ ่ี ๓ ผยู้ ่งิ ใหญท่ ี่สดุ ในราชวงศ์ ซ่ึงข้นึ ยิง่ กว่าน้ันยงั ทรงให้ผรู้ ู้ในศาสนาต่างๆ ท้ังมุสลิม ครองราชย์ต้งั แต่ปี ๒๐๙๙/1556 เม่ือพชิ ติ ขยายดนิ แดน ฮินดู เชน ครสิ ต์ ปาร์ซี มาถกถอ้ ยทางศาสนาตอ่ เบื้อง ไดม้ ากมายแล้ว กพ็ ยายามสรา้ งความจงรักภกั ดี รวมคน พระพักตร์ในพระราชวัง โดยใหเ้ สรภี าพทางศาสนา ตอ่ มาถงึ กับทรงประกาศใหพ้ ระองค์เองเป็นผูม้ ี นอกจากยกเลิกภาษรี ายหัวคนไมเ่ ป็นมสุ ลิมแล้ว อำ� นาจชข้ี าดสงู สดุ ในเรอื่ งราวปญั หาเกย่ี วกบั ศาสนาอสิ ลาม ก็ถงึ กับทรงยกเลิกการบงั คับเชลยศึกใหน้ ับถืออิสลาม เหนอื กว่าศาสนบุคคลทงั้ ปวง ทรงอภเิ ษกสมรสกบั เจา้ หญิงฮนิ ดู เปดิ ใหเ้ จ้าชายและ อกั บาร์ พระนเรศวรมหาราช เสยี กรุง ครง้ั ที่ ๑ พระญาตขิ องพระเจา้ บเุ รงนอง ฝรงั่ เรยี ก Tabinshwehti) พระนเรศวรฯ กเู้ อกราช รกุ รานแผ่ขยายอาณาเขต มฝี รง่ั รว่ มรบโดยชาวโปรตุเกส ที่มาตัง้ บา้ นเรือนค้าขายในกรุงศรอี ยธุ ยาเขา้ ประจำ� การ พ.ศ. ๒๑๓๓–๒๑๔๘ (ค.ศ. 1590-1605) ที่กรุง ๑๒๐ คน (ในสงครามรชั กาลตอ่ ไป ท้ังฝา่ ยไทยฝ่ายพม่า ศรอี ยุธยา หลงั รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โอรส ต่างก็มีคนโปรตุเกสเขา้ กองทพั มากขึ้น) จงึ เร่ิมมกี ารใช้ปืน ๒ พระองคค์ รองราชยต์ อ่ มา คอื สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช คาบศิลาและปืนใหญ่ในการรบ และหลงั ชนะศึก ทรง ที่ ๓ (๒๐๓๑-๒๐๓๔/1488-1491) และสมเด็จพระรามา- ปนู บำ� เหน็จตา่ งๆ รวมท้ังทรงอนญุ าตให้สรา้ งโบสถ์ มี ธิบดีท่ี ๒ (๒๐๓๔-๒๐๗๒/1491-1529 เขา้ ยคุ โปรตเุ กส บาทหลวงสอนศาสนาคริสตแ์ ต่นนั้ มา ครองมะละกา) จากนน้ั มกี ษตั รยิ อ์ กี ๒ พระองค์ คอื สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๔ (๒๐๗๒-๒๐๗๖/1529-1533 เมอ่ื พระชัยราชาธิราช (ไชยราชาธริ าช ก็เขยี น) เพียง ๔ ปีก็สวรรคตดว้ ยไขท้ รพษิ ) สมเดจ็ พระรัษฎาธิราช สวรรคตในปี ๒๐๘๙ โอรสคอื พระแกว้ ฟา้ ซงึ่ มพี ระชนมายุ กมุ าร (๒๐๗๖/1533 เพยี ง ๕ เดือน กถ็ กู ส�ำเรจ็ โทษ) ก็ถงึ ๑๑ พรรษา ครองราชยต์ อ่ มาได้ ๒ ปี กถ็ กู ขนุ วรวงศาธริ าช รัชกาลสมเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช (๒๐๗๗-๒๐๘๙/1534- คบคดิ กบั พระราชมารดา (เจา้ แม่ศรสี ุดาจันทร)์ ชงิ ราช- 1546) ในรัชกาลนี้ ไทยเริ่มมสี งครามกับพมา่ เป็นคร้ังแรก สมบตั ิ โดยประหารชวี ติ เสีย เม่อื ผชู้ งิ ราชยค์ รองราชย์ได้ ในปี ๒๐๘๑ เพราะพระเจ้าตะเบง็ ชเวต้ี (คอื มังตรา เปน็ ๔๒ วนั ถกู ก�ำจัดแล้ว กม็ าถงึ รัชกาลสมเดจ็ พระมหาจักร- พรรดิราช (๒๐๙๑–๒๑๑๑/1548-1568) และมีสงคราม

ศาสนาใหม่ของจักรพรรดอิ กั บาร์ เรยี กวา่ ศาสนาใหมข่ องอักบาร์ มีผู้นับถือเพียงไมเ่ กิน ๑๙ คน และเมื่อสวรรคตในปี ๒๑๔๘/1605 ศาสนานน้ั ก็ดบั เฉพาะอยา่ งยิ่ง ในปี ๒๑๒๔/1581 อักบาร์ไดท้ รง ลบั ไปด้วย ต้ังหลักศาสนาใหม่ อนั เน้นด้านจริยธรรมข้ึน โดยรวมค�ำ สอนของศาสนาต่างๆ เข้าด้วยกนั เรยี กว่า Din-e llahi อกี ครง่ึ ศตวรรษจากน้ี จกั รพรรดอิ อรงั เซบจะกำ� จดั (Divine Faith = ทพิ ยศรทั ธา) และมอี งคอ์ ักบารเ์ องเปน็ ฮนิ ดอู ย่างรนุ แรง ศูนย์รวมแหง่ ความจงรกั ภกั ดี แตเ่ ร่ืองนีก้ ลายเปน็ การสร้างความไม่พอใจแกช่ าว มสุ ลิมท่ีเครง่ หลกั เกดิ มีปฏิกิรยิ า บา้ งกบ็ ันทกึ วา่ พระองค์ สรา้ งศาสนาใหม่ ละท้งิ อสิ ลาม แต่จะอย่างไรกต็ าม สิ่งท่ี The Tomb of Akbar Shah กับพม่าต่อมา ครนั้ พระเจ้าตะเบง็ ชเวตี้แห่งพม่าสวรรคต (ถนิ่ มอญตอ่ แดนไทย) ใน พ.ศ. ๒๑๒๗/1584 และพระ รัฐฉาน ในปี ๒๐๙๓ และเมอ่ื พระเจ้าบเุ รงนอง (คือจะเด็ด ฝร่งั เกยี รตยิ ศยงิ่ ขจรขจายเมื่อไดท้ รงชนะศกึ ยทุ ธหตั ถใี นปี เรยี ก Bayinnaung) ขน้ึ ครองแผน่ ดนิ แลว้ กแ็ ผเ่ ดชานภุ าพ ๒๑๓๕/1592 ครั้นพระราชบิดา คอื สมเด็จพระมหา- เชียงใหม่ หลวงพระบาง ตอ่ มาจนไดเ้ ชยี งใหม่ ประจวบพอดใี นฝา่ ยไทยที่เตรยี ม ธรรมราชาธริ าช (๒๑๑๒–๒๑๓๓) สวรรคตแล้ว พระองค์ รับศึก พระเจา้ อยหู่ ัวทรงได้ช้างเผือก ๗ เชือก เฉลิมพระ จงึ ไดท้ รงครองราชย์สบื ต่อมา ๑๕ ปี (ถึง ๒๑๔๘/1605) หงสาวดี สุโขทยั ราชสมญั ญา “พระเจ้าชา้ งเผือก” พระเจา้ บุเรงนองทรง เหน็ โอกาส จงึ ทำ� อบุ ายสง่ พระราชสาสน์ มาทลู ขอชา้ งเผอื ก ในรัชกาลนี้ นอกจากทหารอาสาชาวโปรตเุ กส อยธุ ยา เสียมราฐ ๒ เชอื ก เมอ่ื ฝา่ ยไทยปฏิเสธ สงครามใหญ่กเ็ รม่ิ ต้ังแต่ปี แลว้ กม็ ีทหารญปี่ ุน่ ในกองทัพไทยด้วย (คราวยทุ ธหัตถี ๒๑๐๖ จนในที่สุดจบลงในรชั กาลต่อมาของพระราชโอรส มีทหารญปี่ นุ่ ๕๐๐ คน) และนอกจากสเปนส่งทูตจาก นครปฐม คือสมเด็จพระมหินทราธริ าช ด้วยการท่กี รงุ ศรอี ยุธยา มนลิ ามาท�ำหนงั สอื สัญญาทางพระราชไมตรีและการคา้ เสียแกพ่ ม่าใน พ.ศ. ๒๑๑๒ คร้ันแล้วพระเจา้ บุเรงนองก็ แล้ว ผูแ้ ทนดัทช์กไ็ ดเ้ ข้าเฝา้ ใน พ.ศ. ๒๑๔๗ อ่าวไทย ไดอ้ ภเิ ษกพระมหาธรรมราชาเปน็ พระศรีสรรเพชญ์ ครอง กรุงศรอี ยุธยา ในฐานะเจ้าเมอื งประเทศราชของพมา่ กาล ทะเลอันดามัน ผ่านมา ๑๕ ปี สยามจงึ ไดเ้ ป็นเอกราชเมือ่ สมเด็จพระ ไชยา นเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพจากพมา่ ที่เมอื งแครง ลังกาสุกะ เคดาห์ รัฐมาเลย์ จกั รวรรดมิ ชปหิต พระเจ้าบุเรงนอง

จากซา้ ย: ญ่ปี ุ่นปดิ ประเทศ เมือ่ รู้เจตนานกั บวช ศาสนา (religious war) ระหว่างประเทศคาทอลิก กับ Kamakura Buddha Daibutsu ทมี่ ากับนักล่าอาณานคิ ม ประเทศโปรเตสแตนต์ โดยกองทัพของจกั รวรรดโิ รมัน แมทธวิ เปอรร์ ี อันศักดิ์สิทธ์ยิ กมาทำ� ลายพวกโปรเตสแตนต์ แล้วกม็ ี Thirty Years War พ.ศ. ๒๑๔๐ (ค.ศ. 1597) หนั ไปทางญ่ีปุ่น พวก ประเทศอนื่ ๆ มาชว่ ยฝ่ายโนน้ ฝ่ายน้ี เชน่ เดนมารก์ โชกุนท่ีปกครองบา้ นเมือง ซึ่งได้ส่งเสริมและสนิทสนมเปน็ นอรเวย์ สวีเดน ออสเตรีย ฝรง่ั เศส และสเปน รบกันจน อยา่ งดี กบั มชิ ชนั นารีทัง้ หลายทม่ี ากับประดาเรอื ค้าขาย ยตุ ิใน พ.ศ. ๒๑๙๑ (ค.ศ. 1648) จงึ เรียกวา่ “สงคราม เกดิ ล่วงรวู้ ่านกั สอนศาสนาเหล่านัน้ เป็นสอ่ื ทอดไปสูก่ าร ๓๐ ป”ี (Thirty Years’ War) ทหารและการเมือง ทีจ่ ะเข้ามายึดครองอาณานคิ ม จึง พลกิ ท่าทหี นั ไปเป็นศัตรู แล้วดำ� เนินการกวาดลา้ ง (per- เยอรมนีซ่ึงเป็นสนามรบหลักหมดประชากรไป ๗ secution) คนทีไ่ ปถอื ครสิ ต์ ถึงกับออกเป็นประกาศ ลา้ นคน คอื ๑ ใน ๓ ของท้ังประเทศเวลาน้นั (คนเยอรมนั ราชการตอ่ เนือ่ งเปน็ ชุด เรม่ิ แตป่ ี ๒๑๔๙ และขบั ไล่ฝรัง่ ตายในสงครามน้ีมากกว่าตายในสงครามโลกครง้ั ที่ ๑) ออกไป แลว้ ปดิ ประเทศตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๑๘๓ (ค.ศ. 1640) และถงึ ตอนนี้ จกั รวรรดิโรมนั อันศักดิ์สทิ ธ์ิทอ่ี ่อนเปล้ียมา เปน็ ต้นมา รวมเวลา ๒๐๐ ปเี ศษ กระท่งั นายพลแมทธวิ ตัง้ แต่เกิดโปรเตสแตนตข์ น้ึ ก็นบั ได้วา่ สลาย เหลอื สกั แต่ เปอร์รี นำ� เรือรบอเมรกิ ันมาบังคับให้ญป่ี นุ่ เปดิ ประเทศอกี ชื่อจักรวรรดแิ ละนามพระจกั รพรรดิทเี่ ป็นเกียรตยิ ศ ใน พ.ศ. ๒๓๙๗ (ค.ศ. 1854) คาทอลิก-โปรเตสแตนต์ รบกัน ๓๐ ปี “เม่อื บา้ นเมืองดี เยอรมนยี อ่ ยยบั เขาสร้างวดั ใหล้ ูกท่านเล่น” พ.ศ. ๒๑๖๑-๙๑ (ค.ศ. 1618-48) ช่วงเวลาใน พ.ศ. ๒๑๖๓–๒๑๗๑ (ค.ศ. 1620-1628) ที่กรุง ยโุ รป ซึ่งมสี งครามศาสนาระหวา่ งโรมันคาทอลกิ กบั ศรีอยธุ ยา หลงั รชั กาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแลว้ โปรเตสแตนต์ ที่เรียกวา่ “สงคราม ๓๐ ปี” (Thirty พระราชอนุชา คอื สมเดจ็ พระเอกาทศรถครองราชย์ตอ่ มา Years’ War) อกี ๑๕ ปี (๒๑๔๘/1605–๒๑๖๓/1620) จากนน้ั เปน็ รัชกาลของโอรส ๒ พระองคต์ ดิ ตอ่ กนั คอื เจา้ ฟา้ ศร-ี ความขดั แย้งและท�ำลายล้างกนั ระหว่างชาวครสิ ต์ เสาวภาคย์ ซงึ่ ครองราชยไ์ มถ่ งึ ๑ ปี กถ็ กู จมน่ื ศรเี สาวรกั ษ์ นกิ ายใหมค่ อื โปรเตสแตนต์ กับนิกายเดมิ คือ โรมนั กับพวกจับสำ� เร็จโทษเสยี แลว้ ถวายราชสมบตั แิ ก่โอรส คาทอลิก รนุ แรงและขยายกวา้ งออกไปเร่ือยๆ จนในทส่ี ดุ อีกพระองค์หนึ่งท่ีประสตู ิแตพ่ ระสนม ซง่ึ ไดผ้ นวชอยทู่ ่ี เวลาผ่านมา ๑๐๑ ปี ถึง พ.ศ. ๒๑๖๑ กเ็ กิดเป็นสงคราม 144 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

วัดระฆังจนมีสมณศกั ดิ์เปน็ พระพมิ ลธรรม ลาสกิ ขามา โดยเฉพาะชาวญปี่ นุ่ ไดเ้ ขา้ มาอยนู่ านแลว้ มากมาย จากซ้าย: ขน้ึ เสวยราชยใ์ น พ.ศ. ๒๑๖๓ (บางตำ� ราว่า ๒๑๕๓) เปน็ พระเจา้ ทรงธรรมทรงสง่ ทตู คณะแรกไปญป่ี นุ่ เมอื่ ปี ๒๑๖๔ พระเจ้าเจมสท์ ่ี ๑ สมเด็จพระอินทราชาธิราช (พระราชพงศาวดารฉบบั ชาวญป่ี ุ่นมบี ทบาทส�ำคญั ถึงกับมีกรมทหารอาสาญ่ปี นุ่ มณฑปพระพุทธบาท พระราชหตั ถเลขา เรยี กว่า สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๑) ซง่ึ หัวหนา้ ช่อื ยามาดา นางามาซา มคี วามดคี วามชอบใน ออกญาเสนาภิมขุ ประชาชนยกยอ่ งถวายพระนามวา่ พระเจ้าทรงธรรม ราชการหลายครง้ั จนพระเจา้ ทรงธรรมทรงตงั้ เปน็ ออกญา เสนาภมิ ขุ (ต่อมาถูกพระเจา้ ปราสาททองสง่ ไปเปน็ เจ้า- บอกหนงั สอื พระภิกษุสามเณรทพี่ ระทีน่ งั่ จอมทองสาม ถึงยคุ น้ี สยามได้มชี าวต่างชาติเขา้ มาค้าขาย เมอื งนครศรธี รรมราช และท�ำอบุ ายกำ� จดั เสีย) แต่ทหาร หลงั เนืองๆ (ในยคุ รัตนโกสินทร์ ก็มปี ระเพณีบอกหนงั สอื ต้ังถนิ่ ฐาน ตลอดจนเข้ารบั ราชการกันมากแล้ว เร่ิมด้วย ญป่ี ุน่ กข็ ึ้นตอ่ เจ้านายทตี่ า่ งกันไป จงึ มบี างพวกก่อปญั หา พระในพระบรมมหาราชวังสืบมา) เมื่อมผี พู้ บรอยพระ โปรตุเกสมาในรชั กาลสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๒ (๒๐๓๔- ขน้ั รุนแรงถึงกับเป็นขบถ เม่ือถกู ปราบได้หนีไปยึดเมอื ง พทุ ธบาทบนไหลเ่ ขาสวุ รรณบรรพต เมอื งสระบรุ ี กไ็ ดท้ รง ๒๐๗๒/1491-1529) สเปนและดทั ช์กม็ ที ูตเขา้ มาตั้งแต่ เพชรบุรี แล้วหนตี อ่ ไปยดึ เมืองบางกอก กว่าจะแกป้ ญั หา ถวายทด่ี ินโดยรอบกวา้ ง ๑ โยชน์ โปรดใหส้ รา้ งมณฑป รัชกาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ตอ่ มาในรชั กาล เสรจ็ ใชเ้ วลาถึงปคี รึ่ง สวมรอยพระพุทธบาท สร้างพระอารามทเ่ี ชิงเขา และให้ สมเด็จพระเอกาทศรถ นอกจากกษัตรยิ ฮ์ อลันดา (ดทั ช)์ ฝรัง่ ส่องกลอ้ งตดั ถนนจากต�ำบลทา่ เรือมาถึงเชิงเขา โปรด ไดส้ ง่ ทตู มาเพอื่ ไมตรที างการค้าแล้ว พระองค์ก็ทรงส่ง พระเจ้าทรงธรรมได้ทรงศึกษาพระปรยิ ัติธรรม ใหป้ ระชมุ ราชบณั ฑติ แตง่ กาพยม์ หาชาตใิ นปี ๒๑๗๐ และ ราชทูตไปยงั ฮอลแลนดใ์ นปี ๒๑๕๐ และได้พระราชทาน ช�ำนาญมาแต่ยังผนวช และได้มพี ระราชศรทั ธาเสด็จออก โปรดให้สร้างพระไตรปฎิ กไว้จบบริบูรณ์ เมือ่ มาถงึ ยุคนี้ ท่ีดนิ ใหพ้ วกดัทช์ต้งั ภูมิลำ� เนาอยู่ทางใตก้ รุง บนริมแม่น้ำ� ไดม้ ีความนิยมสร้างวัดกนั มากข้ึน จนกระท่งั วา่ ผู้ใดมีเงิน ฝ่งั ตะวันออก อังกฤษกน็ ำ� เรอื คา้ ขายเขา้ มากรุงศรีอยุธยา มีฐานะพอ ก็มกั สรา้ งวัดไว้ประจำ� วงศ์ตระกูล เปน็ ทเ่ี ก็บ เปน็ คร้ังแรกต้งั แตป่ ี ๒๑๕๕ ครัน้ ถงึ รชั กาลพระเจา้ อฐั บิ รรพบุรุษ และวดั เปน็ ท่ีศกึ ษาเลา่ เรยี น จนมีค�ำกลา่ ว ทรงธรรมนี้ พระเจา้ James I แหง่ อังกฤษ (ครองราชย์ กันมาว่า “เมอ่ื บา้ นเมอื งดี เขาสรา้ งวัดให้ลกู ทา่ นเล่น” 1603/๒๑๔๖–1625/๒๑๖๘ ตอ่ จากพระราชินเี อลซิ าเบธ ท่ี ๑) ได้มีพระราชสาส์นเข้ามาขอรับความสนับสนนุ ให้ ชาวอังกฤษไดร้ บั ความสะดวกในการค้าขาย อย่างไรก็ดี การคา้ ขายของชาวตา่ งชาตเิ หล่าน้มี กี ารแก่งแย่งแข่งดกี นั มาก จนปะทะกนั รุนแรงหรือถึงกบั รบกนั เช่น ในช่วงปี ๒๑๖๐–๒๑๖๒ คราวหน่งึ พวกโปรตเุ กสยึดเรอื ฮอลนั ดา ด้วยไมพ่ อใจวา่ ได้สิทธทิ างการค้าเหนอื ตน ตอ่ มา เรอื องั กฤษ ๒ ล�ำ รบกบั เรอื ฮอลนั ดา ๓ ล�ำ ในอา่ วปตั ตานี แตก่ รุงสยามก็แก้ปญั หาใหส้ งบไปไดด้ ้วยดี พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 145

ทชั มาฮาล อนุสรณ์รกั ตลอดกาล ชาฮ์ ชะฮานเตรยี มการจะสรา้ งอนุสรณ์ท่ีฝังศพ ของพระองคไ์ ว้เคียงค่ทู ชั มาฮาล แตเ่ มือ่ พระองคป์ ระชวร พ.ศ. ๒๑๙๑ (1648) ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ณ ในปี ๒๒๐๐/1657 โอรสสอี่ งคไ์ ด้ชงิ อำ� นาจกนั เมอื งอัครา (Agra) ทพ่ี ระเจ้าชาฮ์ ชะฮาน (Shah Jahan) จกั รพรรดิโมกลุ สร้างเปน็ อนุสรณ์ท่ีฝังศพมเหสี มมุ ตซั ออรงั เซบชนะแลว้ ปลดราชบิดา ขึ้นเป็นจักรพรรดิ มาฮาล (Mumtaz Mahal) ซงึ่ สวรรคตเมือ่ ปี ๒๑๗๒ โดย เอง และขงั พระเจา้ ชาฮ์ ชะฮานไวใ้ นปอ้ มอคั รา (Agra fort) เริ่มสร้างในปี ๒๑๗๓ ไดเ้ สร็จสนิ้ ลง ใชเ้ วลาสร้าง ๑๗ ปี จนสวรรคตในปี ๒๒๐๙/1666 (มุมตซั สวรรคตเมื่อพระชนม์ ๓๔ พรรษา ขณะที่ ชาฮ์ ชะฮาน มีพระชนม์ ๓๗ พรรษา หลังจากมโี อรสธิดา ๑๔ องค์) จากซา้ ย: เรือ Mayflower ข้ึนฝง่ั ที่พลมี ธั เกาะแมนฮัตตัน กาลิเลโอขนึ้ ศาล หนภี ัยศาสนา สู่อเมริกา หาอสิ รภาพ ในนวิ อิงแลนด์ (เขตรฐั แมสซาชูเซตส์) เมอื่ เดือนธนั วาคม เกาะแมนฮตั ตนั นวิ ยอรก์ ราคา๒๔เหรยี ญ คณะนมี้ ี ๑๐๒ คน ได้ช่อื วา่ “พิลกริมส์” (Pilgrims) พ.ศ. ๒๑๗๓ (ค.ศ. 1620) ชาวคริสตพ์ วกเพียว- พ.ศ. ๒๑๗๙ (ค.ศ. 1626) พวกฮอลนั ดาซ้อื เกาะ รติ นั (Puritans) ซง่ึ หนกี ารกำ� จดั กวาดลา้ ง (persecution) แมนฮัตตนั (ในเมอื งนิวยอรก์ ) จากชาวอนิ เดยี นแดง ของโปรเตสแตนต์นิกายองั กฤษไปยงั อัมสเตอรด์ ัมใน เจา้ ถนิ่ ในราคา ๒๔ เหรียญ ($24) (ถ่นิ น้ชี าวดทั ชเ์ รยี กว่า ฮอลแลนด์ต้ังแต่ ค.ศ. 1608 ไดล้ งเรอื Mayflower มาหา นวิ อัมสเตอรด์ ัม/New Amsterdam; ต่อมาอังกฤษยดึ อสิ รเสรภี าพในแผน่ ดนิ อเมรกิ า ขน้ึ ฝง่ั ทพี่ ลมี ธั (Plymouth) ไปไดแ้ ละต้ังชือ่ ใหมว่ ่า นิวยอรก์ /New York) 146 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

โมกลุ ก�ำจัดฮินดูอีก จากซา้ ย: พระเจา้ ชาห์ ชะฮาน พ.ศ. ๒๒๐๑ (1658) พระเจ้าออรงั เซบ (Aurang- พระนางมมุ ตัซ มาฮาล zeb) ขึ้นครองราชย์ ขยายอาณาเขตออกไปได้กวา้ งทส่ี ุด พระเจ้าออรังเซบ ในยุคโมกุล แตไ่ ดม้ ุ่งม่ันหำ้� ห่ันบฑี า (persecution) ชาว ฮินดแู ละสิกข์ เปน็ เหตุให้ราชวงศ์โมกุลสูญเสียอำ� นาจ ปกครองราษฎรลงไปมาก ออรังเซบครองราชย์อยู่ ๔๙ ปี เม่อื สวรรคตในปี ๒๒๕๐ แลว้ จักรวรรดิโมกลุ ได้แตกสลายอยา่ งรวดเร็ว ท้ัง เพราะเกิดสงครามสืบราชสมบตั ิ ทง้ั ต่างประเทศรุกราน และแควน้ ใหญ่นอ้ ยกต็ ั้งตัวเป็นอิสระ คารด์ นิ ัลริเชลลู กาลเิ ลโอข้นึ ศาลสอบศรทั ธา มหาราช (Louis XIV King of France หรอื Louis the รอดตายเพราะยอมสละคำ� สอน Great; คลุมรัชกาลสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช แหง่ กรงุ ศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๒๐๐-๒๒๓๑) พ.ศ. ๒๑๘๖ (ค.ศ. 1633) กาลิเลโอ (Galileo Galilei) นักวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ เผยแพร่ความรูว้ า่ ดวง อำ� นาจอันยิง่ ใหญข่ องรชั กาลน้ี สบื มาจากฐานท่ี อาทิตยเ์ ปน็ ศูนย์กลางของจกั รวาล ถูกคริสตศ์ าสนจกั ร วางไว้แลว้ ในสมัยของพระราชบิดา คือ พระเจ้าหลุยสท์ ่ี จับขน้ึ ศาลไตส่ วนศรัทธา (Inquisition) ยอมสละค�ำสอน ๑๓ คร้ังนน้ั แม้วา่ ฝร่งั เศสจะเป็นดนิ แดนคาทอลกิ แตก่ าร ของตน ได้พน้ โทษประหาร แตต่ ้องโทษกักขังอยูใ่ นบา้ น กวาดลา้ งพวกโปรเตสแตนต์ ทไี่ ดก้ ระทำ� อยา่ งรนุ แรงทสี่ ดุ จนตายใน ค.ศ. 1642 อยา่ งท่เี รียกว่าใหเ้ หยี้ นแผ่นดินนนั้ กเ็ ป็นการกระท�ำอยา่ ง อิสระ ไมร่ อฟงั กรุงโรม โดยมบี าทหลวงใหญ่ช้นั คาร์ดินัล บาทหลวงใหญ่ วา่ การแผ่นดนิ ฝร่ังเศส (ระดบั รองโป๊ป) ชอื่ ริเชลลู (Cardinal Richelieu, 1585- 1642) เป็นอัครมหาเสนาบดี บญั ชาการแผน่ ดินแทนพระ พ.ศ. ๒๑๘๖-๒๒๕๘ (ค.ศ. 1643-1715) ที่ องค์ น�ำฝร่ังเศสเขา้ ร่วมสงคราม ๓๐ ปี พยายามทำ� ลาย ฝร่ังเศส เป็นรัชกาลที่ยาวยง่ิ ของพระเจา้ หลุยสท์ ่ี ๑๔ อำ� นาจของสเปน และไดแ้ ผข่ ยายดนิ แดนออกไปอกี บนั่ ทอน จกั รวรรดโิ รมันอันศักดสิ์ ิทธิ์ให้อ่อนเปล้ียหนกั ลงไป พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 147

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ฝรงั่ เศสมา พาการทูตคึกคัก ลงท้าย แลว้ พระศรีสธุ รรมราชา อนชุ าของพระเจา้ ปราสาททอง ฝรั่งเศสถกู ไล่ พาเมอื งไทยเขา้ เงยี บ ครองราชยไ์ ด้ ๒ เดอื น กอ่ เร่อื งขัดเคอื งพระทยั แกส่ มเดจ็ พระนารายณ์ซ่ึงได้ร่วมสงั หารเจา้ ฟา้ ชยั มาดว้ กัน จงึ ถูก พ.ศ. ๒๑๙๙–๒๒๓๑ (ค.ศ. 1656-1688) ที่กรุง ปลงพระชนม์ บัดน้ี พ.ศ. ๒๑๙๙ มาถึงรชั กาลอันยาว ศรีอยุธยา สิ้นรชั กาลพระเจา้ ทรงธรรมแลว้ ๒๘ ปีต่อมา ๓๒ ปี ของสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ซึ่งเป็นพระ มกี ษตั รยิ ถ์ งึ ๕ พระองค์ และใน ๕ พระองคน์ น้ั ๔ พระองค์ ราชโอรสของพระเจา้ ปราสาททอง มีเวลาครองราชย์รวมกนั เพยี ง ๓ ปี กลา่ วสั้นๆ ว่า ๒ พระองคแ์ รก คอื พระราชโอรสของพระเจา้ ทรงธรรม ไดแ้ ก่ ในรัชกาลน้ี ความสัมพนั ธก์ บั ประเทศต่างๆ สมเด็จพระเชษฐาธริ าชครองราชยไ์ ด้ปเี ศษหรือไมถ่ งึ ปี ก็ เจริญสบื ต่อมา แตค่ ราวหน่ึงได้เกิดพิพาทกบั อังกฤษถงึ ถกู เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์สำ� เร็จโทษเสีย (พระเจา้ กับประกาศสงคราม จึงขาดไมตรีกนั ไปชว่ งหนึ่ง และมี ทรงธรรมเอง เอกสารบางแหลง่ ก็ว่าทรงถูกเจ้าพระยา ประเทศมิตรใหม่คอื ฝรั่งเศสซง่ึ เรม่ิ เข้ามาค้าขายท่กี รงุ ศรี- กลาโหมฯ วางยาพิษ) แล้วพระอนุชาคอื สมเดจ็ พระ- อยุธยาใน พ.ศ. ๒๒๒๔/1681 แตใ่ นความสัมพันธก์ บั อาทติ ยวงศ์ พระชนมายุ ๙ พรรษา ครองราชยไ์ ด้ ๓๘ วนั ฝร่ังเศสน้ี เนอื่ งจากจุดหมายของพระเจ้าหลุยสท์ ี่ ๑๔ ก็ถกู ยกลงจากเศวตฉตั ร (ต่อมากถ็ กู ประหารชวี ติ ) แลว้ ทรงม่งุ จะน�ำศาสนาครสิ ตน์ กิ ายโรมันคาทอลิกเขา้ มาเป็น เจา้ พระยากลาโหมฯ กข็ นึ้ เปน็ กษตั รยิ พ์ ระนามวา่ พระเจา้ สำ� คญั ดังทพี่ ระองคท์ รงดำ� เนนิ การอยา่ งถึงทีส่ ุดใน ปราสาททอง ครองราชยอ์ ยู่ ๒๕ ปี (๒๑๗๓/1630– ประเทศฝร่งั เศสเอง เปา้ หมายน้ีเปน็ แกนขบั เคล่อื นให้ ๒๑๙๘/1655) เมอื่ สวรรคตแลว้ เจา้ ฟา้ ชยั ซงึ่ เปน็ พระราช- สมั พนั ธไมตรีกับฝร่งั เศสแขง็ ขัน โดยความสมั พนั ธ์ทาง โอรสองคใ์ หญค่ รองราชยไ์ ด้ ๓-๔ วนั กถ็ กู จบั สำ� เร็จโทษ ศาสนานนั้ พว่ งพนั กนั ไปกบั ความสมั พนั ธท์ างดา้ นการเมอื ง และการทหาร ยิ่งมีฟอลคอน (Constantine Phaulkon, ชาวไอโอเนยี นกรกี /โยนก มากบั เรอื พาณิชย์ขององั กฤษ) ทีม่ ารบั ราชการกา้ วหน้าจนไดเ้ ปน็ เจา้ พระยาวชิ เยนทร์ ช่วยจดั ชว่ ยหนนุ ดว้ ย กิจการงานเมืองดา้ นฝร่ังเศสก็เป็น เรอ่ื งเด่น จนความสมั พนั ธ์กบั ประเทศอน่ื ๆ เลือนรางไป ไทยกส็ ่งคณะทูตไปฝรงั่ เศส และฝรั่งเศสกส็ ง่ ทูตมาไทย ผลดั เปลี่ยนแลกกนั ไปมา โดยเฉพาะคร้งั ส�ำคญั คือท่พี ระ วิสูตรสนุ ทร (โกษาปาน) เปน็ หวั หนา้ คณะนำ� ไป ค่ขู นาน กบั การทตู ฝรงั่ เศสกส็ ง่ ทหารมาจำ� นวนมาก ซง่ึ ไดไ้ ปประจำ� รักษาปอ้ มที่เมอื งสำ� คัญๆ โดยจัดเขา้ ในราชการไทย 148 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ในการนี้ ด้านประโยชน์ก็มมี าก เช่น คนไทยไดฝ้ กึ ฝรง่ั เศสได้เขียนเปน็ ข้อสังเกตส�ำคัญไวใ้ น จดหมายเหตุ หัดการทหารและการชา่ งอย่างตะวนั ตก ได้เรียนรู้วิชาการ การเดินทางของพระสงั ฆราชแห่งเบริธประมขุ มิสซงั สู่ ใหมๆ่ นกั เรยี นไทยไดไ้ ปศกึ ษาในฝรง่ั เศส แตใ่ นขณะเดยี วกนั อาณาจักรโคจนิ จีน วา่ “ข้าพเจา้ ไมเ่ ชื่อวา่ จะมปี ระเทศใด กก็ ่อให้เกดิ ความหวาดระแวงวา่ ฝรงั่ เศสจะเปน็ ก�ำลังหนนุ ในโลก ที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถ รว่ มกบั เจา้ พระยาวชิ เยนทรค์ ดิ การใหญค่ รอบครองเมอื งไทย ปฏิบตั พิ ธิ กี ารของตนไดอ้ ย่างเสรีเท่ากบั ประเทศสยาม” ในทีส่ ุด ขณะเมอ่ื สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชประชวร (กรมศิลปากร, ๒๕๓๐) หนัก แล้วเสดจ็ สวรรคตในปี ๒๒๓๑ พระเพทราชาและ ขุนหลวงสรศกั ด์ิ (ต่อมาคอื พระเจ้าเสอื ) ก็ไดย้ ดึ อ�ำนาจ ในด้านพระพทุ ธศาสนา ประเพณบี วชเรยี นทสี่ บื กำ� จดั เจา้ พระยาวชิ เยนทรก์ บั พวก และขบั ไลท่ หารฝรง่ั เศส มา คงเป็นทน่ี ยิ มแพรห่ ลายมาก และในรชั กาลน้ี ผู้บวช ออกจากเมอื งไทย แล้วพระเพทราชาก็ขึน้ ครองราชย์ ก็ได้รับพระบรมราชปู ถัมภ์อยา่ งดี ท�ำให้คนหลบเลี่ยง ราชการไปบวชกันมาก จึงคราวหนึ่งมรี บั สง่ั ใหอ้ อกหลวง ต่อจากน้ี กรงุ สยามซงึ่ เคยเปดิ กวา้ งในการต้อนรับ สรศกั ดิ์ เปน็ แมก่ องประชุมสงฆส์ อบความรพู้ ระภิกษุ ชาวตา่ งชาติ กเ็ ปลย่ี นนโยบายกลบั ตรงขา้ ม แมจ้ ะไมถ่ งึ กบั สามเณร ผ้ทู ่หี ลบลบ้ี วช สอบไดค้ วามชดั วา่ ไมม่ คี วามรใู้ น ปดิ ประเทศอยา่ งญป่ี นุ่ (๒๑๔๐–๒๓๙๗/1597-1854) ก็ พระศาสนา ถกู บงั คบั ใหล้ าสกิ ขาจำ� นวนมาก นอกจากน้ี จำ� กดั และระมดั ระวงั ความสมั พนั ธก์ บั ตา่ งประเทศจงึ นอ้ ยลง ประเพณีบวชแล้วพน้ ราชภัย กไ็ ดป้ รากฏในรัชกาลนี้ ดว้ ย ดงั ปรากฏวา่ เมอ่ื ประชวรจะสวรรคต พระเพทราชา ในดา้ นกจิ การศาสนา สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช กบั ขนุ หลวงสรศกั ดไ์ิ ดล้ อ้ มวงั ไวเ้ ตรยี มจะยดึ อำ� นาจ ก็ทรงด�ำเนนิ ตามวิถีไทยพืน้ ฐาน คอื ทรงให้เสรีภาพในการ พระองคโ์ ปรดใหช้ ว่ ยชวี ติ บรรดาขา้ ราชการฝา่ ยในไว้ ดว้ ย นับถอื ศาสนา นอกจากทรงออกพระราชกฤษฎีกาอนญุ าต การถวายพระราชวงั เปน็ วสิ งุ คามสมี า แลว้ พระสงฆม์ สี มเดจ็ ใหร้ าษฎรนับถอื ศาสนาใดๆ กไ็ ดแ้ ลว้ ยงั ทรงอปุ ถมั ภค์ รสิ ต์ พระสงั ฆราชเป็นประธานท�ำสงั ฆกรรมอปุ สมบทบคุ คล ศาสนาและศาสนาอนื่ ๆ เชน่ โปรดใหส้ รา้ งวดั เซนตโ์ ยเซฟ ท่ี เหลา่ น้นั นำ� ไปพระอาราม เป็นอนั พน้ ภัย สถติ ของสงั ฆนายกทอ่ี ยธุ ยา และสรา้ งวดั เซนตเ์ ปาโลทล่ี พบรุ ี และตะนาวศรี เปน็ ต้น พระเจา้ หลยุ ส์ที่ ๑๔ ถงึ กับทรงคิด สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเอาพระทยั ใส่ ว่าพระองค์ทรงเลอื่ มใสในครสิ ต์ศาสนา และได้มพี ระราช ในการพระศาสนา การศึกษา และสง่ เสรมิ วรรณคดมี าก สาสน์ ทลู เชญิ เขา้ รตี ดว้ ยใน พ.ศ. ๒๒๒๘ แต่สมเด็จพระ- ดงั ได้ทรงมพี ระราชปุจฉาไปยงั คณะสงฆห์ ลายครั้ง มี นารายณ์มหาราชทรงผ่อนผนั ด้วยพระปรชี าญาณวา่ หาก วรรณคดพี ทุ ธศาสนาเหลอื มาถงึ ปจั จบุ นั หลายเรอื่ ง เปน็ พระผเู้ ป็นเจ้าพอพระทยั ใหพ้ ระองคเ์ ข้ารตี เมื่อใด กจ็ ะ ยคุ หนงึ่ ทรี่ งุ่ เรอื งของวรรณคดี ทง้ั ทรงพระราชนพิ นธเ์ อง บนั ดาลใหเ้ กดิ ศรทั ธาขน้ึ ในพระทยั ของพระองคเ์ มอื่ นน้ั เอง และมกี วสี ำ� คญั มากทา่ น เชน่ ศรปี ราชญ์ พระมหาราชครู พระโหราธิบดี ขนุ เทพกวี พระศรมี โหสถ เสรภี าพทางศาสนาในเมอื งไทยน้ี บาทหลวง พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 149

จากซ้าย: เนเดอร์ ชาห์ บลั ลงั ก์นกยงู เพชรโกอินวั ร์ หนา้ ตรงข้าม: มงกุฎพระราชินี วิกตอเรีย ฝร่ังเศสสมยั พระนารายณ์ กำ� จัดครสิ ต์ต่างนกิ าย ในพ.ศ. ๒๒๐๘ (ค.ศ. 1665) พระเจา้ หลุยสท์ ่ี ๑๔ ครนั้ ถึงปี ๒๒๕๘ (ค.ศ. 1715) พระเจ้าหลุยสท์ ่ี (Louis XIV) ด�ำเนนิ การก�ำจัดกวาดลา้ ง (persecution) ๑๔ กป็ ระกาศวา่ พระองคไ์ ดท้ ำ� ใหก้ ารทกุ อยา่ งของศาสนา พวกฮเู กนอตส์ (โปรเตสแตนต)์ ครงั้ ใหม่ และยง่ิ กวา่ นนั้ ใน โปรเตสแตนต์ในฝร่ังเศสจบสน้ิ แลว้ พ.ศ. ๒๒๒๘ (ค.ศ. 1685) ได้ยกเลกิ โองการแหง่ แนนต์สท์ ่ี พระเจา้ เฮนรที ี่ ๘ ประกาศไว้ แลว้ กำ� จดั หนกั ขน้ึ เพอ่ื ลา้ งใหส้ น้ิ การนที้ ำ� ใหช้ าวโปรเตสแตนตห์ นไี ปอยตู่ า่ งประเทศ เชน่ องั กฤษ ปรสั เซยี เนเธอรแ์ ลนด์ และอเมรกิ า มากกวา่ ๔ แสนคน หลายจงั หวัดถึงกบั รา้ งทีเดยี ว (“...several provinces were virtually depopulated.” <The Concise Columbia Encyclopedia, 1991) ท�ำให้ ฝรง่ั เศสสญู เสยี กำ� ลงั คนท่ีมคี ุณภาพ ขาดกำ� ลังงานของ ชาตใิ นยุคปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรม ทีก่ �ำลังจะมาถงึ พระเจ้าหลยุ ส์ที่ ๑๔ 150 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ชาหต์ เี ดลี ขนทรัพย์ไป ทัพชาหท์ �ำลายพระ พ.ศ. ๒๒๘๒ (ค.ศ. 1739) เนเดอร์ ชาห์ แห่ง อนง่ึ กองทัพของเนเดอร์ ชาห์น้ี เป็นผู้ทำ� ลายพระ จกั รวรรดิอิหร่าน ต้องการทนุ ทรัพย์จำ� นวนมาก จึงมาตี พักตร์พระพุทธรปู ใหญ่ ๒ องค์ (สูง ๕๓ และ ๓๗ เมตร) ยดึ นครเดลีของโมกุลในปี ๒๒๘๒ แลว้ ขนเอาสมบตั ิ ทีพ่ ามยิ าน อนั อยู่บนทางผา่ นสูเ่ ดลี ซึ่งต่อมาพวกทาลิบัน มหาศาลไป รวมท้งั บลั ลงั ก์นกยงู และเพชรโกอนิ ัวร์ ได้ทำ� ลายคร้ังสุดทา้ ยหมดทง้ั องค์ เมอื่ ตน้ ปี ๒๕๔๔ (Koh-i-noor diamond คอื เพชร ๑๐๙ กะรัตทม่ี าอยู่ ในมงกฎุ พระราชินวี ิกตอเรีย ตลอดถงึ กษัตรยิ ์อังกฤษใน บัดน)้ี ชว่ ยใหง้ ดเกบ็ ภาษีในอหิ ร่านได้ถึง ๓ ปี อหิ ร่านห้�ำห่นั มุสลมิ สหุ น่ี ที่ต่างนิกาย เปอร์เซียออ่ นกำ� ลงั และอา้ งการทม่ี ุสลิมสุหน่ถี กู รงั แก ก็ “เนเดอร์ ชาห”์ (Nadir Shah) จากนน้ั ก็รบขยายดินแดน บุกเขา้ มา ทางฝ่ายพระเจา้ ซารแ์ ห่งรสั เซยี กฉ็ วยโอกาส จนจักรวรรดอิ หิ รา่ นหรือเปอร์เซยี น้ัน ยงิ่ ใหญ่ไมห่ ยอ่ น พ.ศ. ๒๒๖๒ (ค.ศ. 1719) เน่ืองจากอิหรา่ น หรอื ขยายแดนเข้ามา แล้วทง้ั สองกม็ าตกลงเอาดนิ แดนรอบ กวา่ สมยั กอ่ น รวมท้งั ทะลอุ ัฟกานสิ ถานเข้ามา และไดม้ าตี เปอรเ์ ซีย ซ่ึงประชากรส่วนใหญ่เป็นมสุ ลมิ นกิ ายชอี ะฮ์ นอกของเปอร์เซยี มาแบ่งกนั ยึดนครเดลีของราชวงศ์โมกลุ ในปี ๒๒๘๒ ขนทรัพย์ไป ได้ห้�ำหนั่ บีฑา (persecution) พวกมุสลิมนกิ ายสุหนี่ มากมาย ท่ีเป็นขา้ งน้อย คร้งั น้นั เฮราท (Herat; ปัจจบุ นั อย่ใู น ชาหผ์ ู้ไมช่ อบสวรรค์ อัฟกานสิ ถาน ต.ตก ฉ.เหนือ) ซึง่ เป็นสหุ นี่ ได้แขง็ เมือง อยา่ งไรก็ดี ความเกง่ กาจของเขาท่ีว่ารบไหนชนะ ชาห์แห่งราชวงศซ์ าฟาวิด (Safavid dynasty) จึงส่งทพั พ.ศ. ๒๒๗๙ (ค.ศ. 1736) ระหวา่ งนนั้ ขา่ นผหู้ นงึ่ น่นั นน้ั ขึ้นชื่อแตใ่ นเร่อื งความโหดร้าย ขร้ี ะแวง วนุ่ กับการ ไปปราบ แต่พลาดพ่ายสญู เสียกำ� ลังมาก ซงึ่ เปน็ ขา้ เกา่ ท่ีจงรกั ภกั ดีของชาห์แห่งราชวงศ์ซาฟาวดิ หาทุนมาท�ำสงคราม และสนใจแต่การรบราฆา่ ฟนั ปราบ ไดซ้ ่องสุมก�ำลังและเข้ามารบจนในทส่ี ุดกก็ บู้ ลั ลงั ก์ที่เสยี ปราม ถึงขนาดทเี่ มอื่ มผี ้ทู ูลวา่ ในสวรรค์ไมม่ สี งคราม ก็ ตอ่ มาอกี ๓ ปี (ค.ศ. 1722) เจา้ ผู้ครองกนั ทหาร ไป ๔ ปี จากพวกอฟั กันคืนใหแ้ ก่โอรสของชาหอ์ งค์เกา่ ได้ ตรัสว่า “แลว้ อย่างนนั้ ในสวรรคจ์ ะไปสนกุ อะไร” (Kandahar ในอฟั กานิสถาน) ซ่ึงเคยเป็นส่วนหน่ึงของ แลว้ ออกรบกูด้ ินแดนจากพวกออตโตมานเตอร์ก ตลอด เปอร์เซยี ก็ยกทัพมาตีชนะเปอรเ์ ซีย ตัง้ ตวั เป็นชาห์เอง จนเอาดนิ แดนคืนจากรัสเซยี เนเดอร์ ชาห์ ไม่ใสใ่ จบำ� รงุ สขุ ของประชาชน แถม ฆา่ ฟนั ลา้ งโคตรลม้ ราชวงศซ์ าฟาวดิ กบั ท้ังขุนนางขา้ ราช- ย่งิ ชรากย็ ่งิ รา้ ย ไปไหนกส็ ง่ั ฆา่ ส่งั ทรมานคน ราษฎรเดอื ด บรพิ ารเป็นตน้ อยา่ งโหดเหยี้ ม แต่แลว้ ตัวเขาเองกเ็ กิด ในท่ีสุดคงเห็นวา่ ชาหแ์ ละโอรสอ่อนแอ ก็เลยขน้ึ รอ้ นมาก ตอ่ มาก็เกิดความไมส่ งบขึน้ ท่โี น่นท่ีน่ี ตอ้ งปราบ เสียจริต หลานขึ้นครองแทน และการฆา่ ฟนั สงั หารก็ ครองราชย์เองในปี ๒๒๗๙ (ค.ศ. 1736) เฉลิมพระนามวา่ กันเรอ่ื ย ในทส่ี ดุ ทหารของชาห์กป็ ลงชพี พระองคเ์ สียเอง ดำ� เนินตอ่ ไป ใน พ.ศ. ๒๒๙๐ (ค.ศ. 1747) ฝา่ ยสุลตา่ นแหง่ ออตโตมานเตอร์ก ฉวยโอกาสที่ พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 151



๘ ๐ ๐ ปี ที่ อิ น เ ดี ย ไ ม่ มี พุ ท ธ ศ า ส น า ข) ฝรงั่ มา พทุ ธศาสนากลบั เร่มิ ฟื้น

ค) ยุคอังกฤษปกครอง องั กฤษชนะฝรง่ั เศส ไดเ้ บงกอล องั กฤษร่วมปกครองอนิ เดีย พ.ศ. ๒๓๐๐ (ค.ศ. 1757) อังกฤษกับฝรัง่ เศส ต่อมาปี ๒๓๑๗/1774 บรษิ ัทอนิ เดยี ตะวนั ออก หลงั จากแข่งอทิ ธิพลกนั มานานเพ่อื ครองอำ� นาจในอนิ เดยี ขององั กฤษ กเ็ ขา้ รว่ มจดั การปกครองประเทศอนิ เดยี โดย บรษิ ัทอนิ เดยี ตะวันออก ขององั กฤษ (British East มีวอรเ์ รน ฮาสติงส์ (Warren Hastings) เปน็ ข้าหลวงใหญ่ India Company) รบชนะบรษิ ัทอนิ เดยี ตะวนั ออกของ อังกฤษคนแรก จากนั้นก็ขยายอ�ำนาจออกไปเรือ่ ยๆ ฝร่ังเศส (French East India Company) ทรี่ วมกำ� ลงั กบั กองทัพของกษตั รยิ โ์ มกุลแห่งอนิ เดยี องั กฤษชนะแล้วได้อ�ำนาจปกครองแควน้ เบงกอล วอร์เรน ฮาสตงิ ส์ อังกฤษรุง่ อตุ สาหกรรมเร่ิม ปฏิวัติสคู่ วามก้าวหนา้ ยุคใหม่ จากบน: เครอื่ งจกั รทอผ้า พ.ศ. ๒๒๙๓-๒๓๙๓ (ค.ศ. 1750-1850) เกิด ความเปลีย่ นแปลงนี้ สืบเน่อื งจากการคืนชพี ของ เครื่องจักรไอนำ�้ การปฏวิ ัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution) ซึ่ง ศลิ ปวทิ ยาการตงั้ แตป่ ี ๑๙๙๖/1453 จนกระทั่งเกิดการ พระอุบาลเี ถระ เริม่ ขึ้นในประเทศองั กฤษ โดยมกี ารประดษิ ฐค์ ิดค้น การ ปฏวิ ัตวิ ิทยาศาสตร์ทเี่ รม่ิ ขึน้ เมือ่ ปี ๒๐๘๖/1543 และ พบแหล่งพลังงานใหญอ่ ยา่ งใหม่ การใชเ้ ครอื่ งจกั รกล เชน่ ดำ� เนนิ ตอ่ มาตลอด ค.ศต.ที่ ๑๖ และ ๑๗ ซงึ่ ทำ� ใหป้ ระชาชน เคร่ืองจกั รทอผ้า เคร่ืองจกั รไอน�ำ้ เปน็ ตน้ มกี ารจัดตง้ั เกิดความตน่ื ตัวทางปญั ญายิง่ ขึ้น จนทำ� ให้ ค.ศต.ที่ ๑๘ โรงงาน น�ำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยแี ละอตุ สาหกรรม ไดช้ อื่ วา่ เปน็ (ยคุ แหง่ ) การเรอื งปญั ญา (Enlightenment) สืบต่อมา เม่ือมาประสานกับการปฏวิ ัติอุตสาหกรรมน้ี ก็ ทำ� ให้เกดิ ความเปล่ยี นแปลงคร้งั ใหญข่ องวิถีชีวติ ในยุโรป ท้งั ทางความคดิ ความเช่อื เศรษฐกิจ และสังคม มนษุ ย์ สมยั ใหมพ่ ากันเช่อื ในคติแหง่ ความกา้ วหน้า (idea of progress) วา่ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยจี ะพามนุษยไ์ ป สูค่ วามเจรญิ และสขุ สมบรู ณ์ยิ่งขน้ึ ไปไมม่ ีทส่ี ้ินสุด 154 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

อังกฤษสำ� รวจโบราณสถาน จากซา้ ย: เซอร์ วลิ เลยี ม โจนส์ บคุ คลเรม่ิ แรกสำ� คัญในด้านนี้ ท่ีจะเสริมความรู้ แซมมวล จอหน์ สัน ประวัติศาสตรโ์ ลกโดยเชอ่ื มโยงตะวันตก-ตะวนั ออก ดว้ ย เรอื่ งการเดนิ ทพั ของอเลกซานเดอรม์ หาราช กบั อาณาจกั ร กรีก/โยนกในอาเซียกลาง คอื เซอร์ วลิ เลยี ม โจนส์ (Sir William Jones) ผูพ้ พิ ากษาศาลฎีกาแห่งกลั กัตตา ทา่ นผนู้ ้ี เมอ่ื ปี ๒๓๑๗ ไดร้ ว่ มกบั แซมมวล จอหน์ สนั (Samuel Johnson เปน็ ผชู้ ำ� นาญงานพจนานกุ รม) เรง่ เรา้ ใหผ้ ู้สำ� เร็จราชการขององั กฤษ ทีป่ กครองอนิ เดียเวลาน้นั คอื วอรเ์ รน ฮาสตงิ ส์ (Warren Hastings) ดำ� เนนิ งานส�ำรวจ ซากโบราณสถานและสืบคน้ หาเมืองเกา่ ๆ ในอินเดยี จน กระทง่ั ตอ่ มาอกี ๑๐ ปี กม็ กี ารตง้ั อาเซยี สมาคมแหง่ เบงกอล เกิดสยามวงศ์ในลงั กาทวีป โปรตเุ กสเปน็ นักล่าอาณานิคมพวกแรกทม่ี าถึงลงั กาทวีป อุปถมั ภเ์ รอื เดินสมทุ ร ในปี ๒๐๔๘/1505 เม่อื มีอ�ำนาจขึน้ กไ็ ดข้ ม่ เหงประชาชน (พวกดทั ชน์ ี้ ได้ชว่ ยชาวลงั กาทวปี รบขับไล่พวก พ.ศ. ๒๒๙๓ (ค.ศ. 1750) เนอ่ื งจากศาสนวงศ์ใน ฆา่ พระสงฆ์ ทำ� ลายวัด บงั คบั คนให้เขา้ รตี เปน็ คาทอลกิ ลังกาทวปี สูญส้นิ พระเจ้ากิตตสิ ิรริ าชสิงหจ์ ึงทรงส่งคณะ และขนทรัพยไ์ ปเมอื งของตน รวมทงั้ ขนบัลลงั กง์ าช้างของ โปรตุเกสออกไปจนหมดในปี ๒๒๐๑/1658 แต่แลว้ พวก ทตู มายงั ราชอาณาจักรสยาม ในรชั กาลพระเจา้ อยู่หวั กษัตริย์สงิ หฬไปยังกรงุ ลสิ บอน ดทั ชก์ เ็ ขา้ ครองดนิ แดนชายทะเลแทนทพี่ วกโปรตเุ กส และ บรมโกศ แห่งกรุงศรีอยธุ ยา ขอพระสงฆ์ไทยไปอปุ สมบท แผศ่ าสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ แม้จะไม่โหดรา้ ย ชาวลงั กา ไดพ้ ระอบุ าลีเถระเปน็ หวั หนา้ คณะเดินทางไป ตอ่ มา พระเจ้าราชสงิ หท์ ี่ ๑ รบชนะโปรตเุ กส ข้ึน มากอยา่ งพวกโปรตเุ กส ชาวสงิ หฬต้องรบกับพวกดัทช์ ในปี ๒๒๙๖ พ�ำนักทวี่ ัดบุพพาราม กรุงแกนดี ประกอบ ครองราชยใ์ นปี ๒๑๒๔/1581 แต่พระองคไ์ ด้ท�ำปิตุฆาต อกี เกือบ ๑๖๘ ปี จนพวกอังกฤษมาขบั ไล่ดทั ชไ์ ปใน พธิ ผี กู สีมาแล้วอปุ สมบทกุลบตุ ร ฟื้นสังฆะในลงั กาทวีป พระสงฆ์วา่ เปน็ อนันตริยกรรมแกไ้ ขไม่ได้ จงึ ทรงหันไป ปี ๒๓๓๙/1796 แต่แล้วในที่สุด ณ วนั ที่ ๒ มีนาคม ขึน้ ใหม่ เกดิ เปน็ คณะสงฆอ์ ุบาลีวงศ์ หรือสยามวงศ์ หรอื บ�ำรงุ ศาสนาฮนิ ดูนกิ ายไศวะ และท�ำลายพระพุทธศาสนา ๒๓๕๘/1815 อังกฤษก็ปลดพระเจา้ ศรวี กิ รมราชสิงห์ สยามนิกาย อนั เป็นคณะสงฆใ์ หญ่ที่สุดในศรลี ังกาจน โดยเผาคัมภรี ์ และฆ่าพระสงฆ์จนหมดสิน้ เช้ือสายทมฬิ จากราชบัลลงั ก์ เปน็ อันส้นิ วงศก์ ษัตรยิ ์ของ ปจั จบุ นั สามเณรสรณงั กร ซงึ่ ได้รบั อุปสมบทในคราวนัน้ ลังกาทวีป และเอาประเทศเป็นเมอื งขนึ้ หมดสน้ิ ) ได้รับสถาปนาเป็นพระสังฆราชแห่งลังกาทวีป คร้ันพระเจ้ากติ ติสิรริ าชสงิ ห์ขน้ึ ครองราชย์ จะ ทรงฟน้ื ฟพู ระพุทธศาสนา จึงทรงสง่ คณะทูตไปยงั สยาม พึงทราบเหตุทส่ี ังฆะในศรีลังกาสญู สิน้ ว่า พวก ประเทศ ทัง้ นี้ โดยได้รับความร่วมมือจากพวกดทั ช์ ช่วย พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 155

เสยี กรุงครั้งที่ ๒ สังคมได้ คนทีจ่ ะมเี หยา้ เรอื น ต้องไดบ้ วชเรยี นเป็น “คน เสีย และทรงต้งั พระราชโอรสพระองคน์ อ้ ยคือ เจา้ ฟา้ พระเจา้ ตากสิน กู้เอกราช ต้งั กรุงธนบุรี สกุ ” ก่อน ปรากฏว่า ในรัชกาลน้ี ผู้ทจี่ ะเปน็ ขุนนางมยี ศ อทุ ุมพร กรมขนุ พรพินติ เป็นพระมหาอุปราช เพื่อสืบ ต้องเปน็ ผูท้ ่ีได้บวชแลว้ จงึ จะทรงตัง้ ถึงเจ้านายในพระ ราชสมบัตติ ่อไป แต่ตอ่ มา เมือ่ พระเจา้ บรมโกศประชวร พ.ศ. ๒๓๑๐–๒๓๒๕ (ค.ศ. 1767-1782) ที่กรุง ราชวงศก์ ็ผนวชทกุ พระองค์ แตใ่ นลงั กาทวีป ศาสนวงศ์ หนกั เจา้ ฟ้าเอกทัศกล็ อบลาผนวชมาตง้ั พระองคเ์ ป็น ศรีอยุธยา สนิ้ รชั กาลสมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช ใน สูญส้ิน พระเจ้ากิตตสิ ิริราชสิงหจ์ งึ ทรงส่งสิรวิ ัฒนอ�ำมาตย์ อิสระอยู่ในวงั คร้นั เมือ่ พระเจ้าบรมโกศสวรรคตในปี ปี ๒๒๓๑/1688 แล้ว ผ่านมาอีก ๓ รัชกาล คือ สมเด็จ เป็นราชทูตมาใน พ.ศ. ๒๒๙๓/1750 เพื่อขอพระภิกษุ ๒๓๐๑/1758 แล้ว สมเด็จพระเจ้าอทุ มุ พรครองราชย์ได้ พระเพทราชา (ตน้ ราชวงศ์สดุ ทา้ ยของกรุงศรอี ยธุ ยา คอื สงฆ์ไปใหอ้ ปุ สมบทบวชกลุ บุตรที่นั่น คณะสงฆ์ไทย มี ยงั ไมเ่ ตม็ ๒ เดอื น ทรงพระประสงคม์ ใิ หเ้ กดิ เหตเุ ดอื ดรอ้ น ราชวงศ์พลูหลวง, ๒๒๓๑–๒๒๔๖/1688-1703) พระเจ้า พระอบุ าลีเปน็ หวั หนา้ เดินทางไปในปี ๒๒๙๖ และไดฟ้ ืน้ จงึ ถวายราชสมบตั ิแกเ่ จ้าฟ้าเอกทัศ ซึง่ ข้นึ ครองราชย์ เสอื (สมเดจ็ พระสรรเพช็ ญ์ที่ ๘ หรือขุนหลวงสรศักด์ิ สงั ฆะขนึ้ ใหม่ เกิดเปน็ คณะสงฆ์อุบาลีวงศ์ หรือสยามวงศ์ เป็นสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวพระท่นี ง่ั สุริยาสน์อมรนิ ทร์ โอรสของสมเดจ็ พระนารายณ์ แตเ่ ปน็ บุตรเลีย้ งของพระ หรอื สยามนกิ ายสืบมา (“ขุนหลวงข้เี ร้อื น”) สว่ นพระองค์เองเสดจ็ ออกไปทรง เพทราชา, ๒๒๔๖–๒๒๕๑/1703-1708) และสมเดจ็ ผนวชแลว้ ประทับทีว่ ดั ประดู่ ครน้ั พม่ายกทพั มาตกี รงุ พระเจ้าอยู่หวั ทา้ ยสระ (สมเด็จพระสรรเพชญท์ ี่ ๙ โอรส พระเจ้าบรมโกศครองราชย์อยู่ ๒๖ ปี มพี ระราช- ศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๐๓ จึงไดล้ าผนวชออกมาชว่ ยแกไ้ ข องค์ใหญข่ องพระเจ้าเสอื , ๒๒๕๑–๒๒๗๕/1708-1732) โอรสเปน็ เจา้ ฟา้ ชาย ๓ พระองค์ (มพี ระราชธดิ าทเ่ี ปน็ เจา้ - สถานการณ์โดยทรงออกว่าราชการแผน่ ดนิ จนเมื่อพม่า รวม ๔๕ ปี เมอ่ื จะขน้ึ รชั กาลใหม่ เกดิ การแย่งราชสมบัติ ฟา้ หญงิ และพระราชโอรสพระราชธิดาที่เปน็ พระองคเ์ จา้ ถอยทพั ไปแลว้ ทรงเหน็ พระเจา้ เอกทศั มพี ระอาการระแวง เป็นศึกกลางเมืองครั้งใหญท่ ีส่ ดุ ระหว่างพระราชอนชุ าซึ่ง อีกหลายพระองค)์ พระองคใ์ หญ่คอื เจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร์ กไ็ ดเ้ สดจ็ ออกผนวชอกี จงึ ไดพ้ ระนามวา่ “ขนุ หลวงหาวดั ” เป็นกรมพระราชวังบวร (พระมหาอุปราช) กบั พระราช- กรมขนุ เสนาพิทักษ์ (“เจ้าฟ้ากุ้ง”) คร้ังหนึง่ ท�ำความผดิ (ต่อมา เมอื่ พม่ายกทัพมาอีก และกรงุ ใกล้จะแตกในปี โอรสองค์กลางที่ได้รบั มอบราชสมบัติ (พระองคใ์ หญไ่ ม่ ฉกรรจ์ถึงโทษประหาร จึงทรงผนวชเพ่อื พน้ ราชภัย และ ๒๓๑๐ ข้าราชการและราษฎรวงิ วอนให้ลาผนวชถึงกบั ยอมรบั ราชสมบตั ิจงึ ออกผนวช) ในท่ีสดุ กรมพระราชวงั เลยได้ทรงศึกษาธรรม กบั ท้ังทรงสามารถเชงิ กวี ไดน้ ิพนธ์ เขียนหนงั สอื ทลู เชญิ ใสใ่ นบาตรยามเสด็จออกบิณฑบาต บวรชนะแล้วขึน้ ครองราชย์ เรียกกนั วา่ สมเดจ็ พระเจ้า วรรณคดเี รอ่ื งนนั โทปนนั ทสตู รค�ำหลวง และพระมาลยั สตู ร ก็มไิ ด้ทรงยอมตามอกี ) อยหู่ วั บรมโกศ (สมเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ ๓, ๒๒๗๕– ค�ำหลวง (ตอ่ มา ทรงนพิ นธก์ าพยเ์ หเ่ รอื และกาพยห์ อ่ โคลง ๒๓๐๑/1732-1758) และทรงกำ� จัดกวาดลา้ งข้าราชการ ที่ขน้ึ ชอ่ื ลือชาและเปน็ แบบฉบบั , เจา้ ฟ้ากุณฑล และ กษัตรยิ พ์ มา่ คือพระเจา้ มังระ แหง่ กรงุ อังวะ ได้ วงั หลวงเสยี มากมาย เปน็ เหตหุ นึ่งให้บา้ นเมืองอ่อนแอลง เจ้าฟ้ามงกุฎ ซงึ่ เปน็ พระกนษิ ฐภคนิ ี ก็ไดท้ รงนิพนธ์เรอื่ ง โปรดให้เนเมยี วสหี บดี และมงั มหานรธา ยกทพั มาตกี รุง อิเหนาใหญ่ และอิเหนาเลก็ ) เม่ือได้รบั พระราชทาน ศรอี ยุธยา ไดล้ อ้ มกรุงอยู่ ๒ ปี ในที่สดุ ก็เสียกรุงแก่พมา่ โดยทัว่ ไป ในรชั กาลน้ี บา้ นเมืองสงบสขุ การบวช อภัยโทษแลว้ ต่อมาไดเ้ ปน็ พระมหาอุปราช แต่ในที่สดุ ได้ ในวนั ที่ ๗ เมษายน ๒๓๑๐ (จุลยทุ ธการวงศ์ วา่ ในปีจอ เรยี นคงจะได้เปน็ ประเพณีทางการศึกษาท่ีแน่นแฟน้ ขึ้น ลอบเป็นชูก้ ับพระมเหสอี งค์หนึง่ จึงถกู ลงพระราชอาชญา ตอ่ ปกี ุน วนั องั คาร เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค�่ำ) พม่าเก็บกวาดคน แล้ว ตามทีช่ าวบ้านถือกนั มาว่าคนทบ่ี วชเรยี นแล้วเปน็ ส้นิ พระชนม์ ส่วนพระราชโอรสพระองค์กลางคือ เจา้ ฟา้ และทรพั ยส์ มบัติเอาไป เผาพระนครหมดสนิ้ และท�ำลาย ทดิ (น่าจะเปน็ “ฑติ ” ซ่ึงกรอ่ นจาก “บัณฑติ ”) มคี วามรู้ เอกทัศ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเจ้าบรมโกศทรงเห็นว่า แมก้ ระทัง่ กำ� แพงเมือง เปน็ อวสานของกรงุ ศรอี ยุธยาทไี่ ด้ ความคิดเป็นผใู้ หญ่ พร้อมทจ่ี ะรับผดิ ชอบครอบครวั และ เปน็ ผู้โฉดเขลา จะพาให้บา้ นเมอื งพิบัติ จึงโปรดให้ผนวช เป็นเมืองหลวงมา ๔๑๗ ปี มกี ษัตริย์ ๓๔ พระองค์ 156 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

เมื่อใกล้ท่ีกรงุ จะแตก พระยาตาก ซึ่งมาช่วยรบ ทง้ั ส้รู บกบั พม่าทเ่ี ข้ามาเปน็ คู่สงคราม และแกป้ ญั หา สรา้ งสมุดภาพไตรภมู อิ นั วจิ ติ รขนาดใหญย่ ่งิ และกองทพั ปอ้ งกนั พระนคร มองเห็นความออ่ นแอของผปู้ กครอง แว่นแคว้นขา้ งเคียง แต่กระนน้ั กท็ รงใสพ่ ระทยั จัดการ ทไี่ ปตเี วียงจนั ทน์ไดเ้ มอื งแลว้ อญั เชิญพระแก้วมรกตลงมา บ้านเมืองและสถานการณ์ท่จี ะรักษาไวไ้ มอ่ ยู่ ได้ตดั สินใจ บ้านเมอื งใหส้ งบและร่มเยน็ มั่นคงในทางสนั ติ ดังท่ีวา่ ตอนปลายรชั กาล ทรงใฝพ่ ระทยั ในการบ�ำเพญ็ กรรมฐาน น�ำพลจำ� นวนหนงึ่ ตฝี า่ วงลอ้ มของพม่าออกไป แล้วยอ้ น พอเริม่ ตงั้ กรงุ กท็ รงตัง้ หลกั ทางจิตใจ ศีลธรรม และการ มาก และท้ายสุด ในปี ๒๓๒๕/1782 มีเรือ่ งบันทกึ มาว่า กลับมากูก้ รุงกลับได้ แตม่ องเหน็ สภาพอันไม่เหมาะท่จี ะ ศึกษาใหแ้ ก่ประชาชน เฉพาะอย่างย่งิ จดั วดั ตา่ งๆ ในกรงุ ทรงมีพระสติฟ่ันเฟอื น ถงึ กบั ทรงพสิ จู น์ความบริสุทธข์ิ อง กลับฟื้นคืนขน้ึ เปน็ ราชธานี จงึ มาต้ังกรงุ ธนบรุ ี แล้วเริ่ม ขน้ึ เป็นวัดหลวง เลอื กสรรพระภิกษุทที่ รงศีลทรงธรรม พระสงฆด์ ว้ ยการใหด้ �ำนำ้� และเขา้ พระทัยวา่ ทรงไดเ้ ปน็ เป็นกษตั รยิ ์ปกครองในวนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๓๑๐ ทรงปญั ญาอาราธนามาสถาปนาเปน็ สมเด็จพระสังฆราช พระอรยิ บคุ คล ทรงใหพ้ ระสงฆก์ ราบไหว้พระองค์ และ ตัง้ เปน็ พระราชาคณะ เปน็ ตน้ และโปรดใหร้ วบรวม ลงโทษพระสงฆ์ท่ไี มย่ อมตาม ในกรุงก็เริม่ เกดิ เหตวุ ุ่นวาย ตลอดรชั กาลของพระเจ้าตากสินมหาราช ๑๕ ปี คมั ภรี ์พระไตรปิฎกจากหวั เมืองมาเลือกคัดจดั เป็นฉบบั จนตอ้ งระงับเรือ่ งโดยในวาระสดุ ท้ายพระองคถ์ กู สำ� เร็จ เต็มไปดว้ ยการศกึ สงคราม ทง้ั ปราบก๊กต่างๆ ของคนไทย หลวง แม้จะไมท่ นั เรยี บรอ้ ยกอ่ นสน้ิ ราชการ โปรดใหจ้ ัด โทษ เป็นอันสิน้ รชั กาล ที่แตกแยกและตงั้ ตวั กนั ขึน้ มายามบ้านเมอื งระสำ�่ ระสาย พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 157

อังกฤษใฝ่ศึกษา ตั้งอาเซียสมาคม ผู้ไดศ้ ึกษาเล่าเรยี นมากและมคี วามใฝ่รยู้ ง่ิ ข้นึ ไป การทอ่ี งั กฤษมาปกครองอินเดยี เมอ่ื มองในแงผ่ ล พ.ศ. ๒๓๒๗ (ค.ศ. 1784) นักปราชญน์ ักศึกษา ชาวตะวนั ตกไดต้ ั้งอาเซยี สมาคมแหง่ เบงกอลข้ึน เพื่อ ดี ก็ทำ� ใหเ้ กดิ การศึกษารู้เรื่องราวแตโ่ บราณ จนกระทง่ั เปน็ ที่ใหช้ าวยุโรปผูส้ นใจศิลปวทิ ยาของอาเซยี มาพบปะ ประวัตศิ าสตร์แห่งอารยธรรมของชมพูทวปี ปรากฏเด่นชัด หาความรกู้ ัน โดยเฉพาะในเรอ่ื งโบราณคดี เหรียญ ขน้ึ มา ดังเชน่ ความเปน็ มาของพระพทุ ธศาสนาและเรอ่ื ง กระษาปณ์ และศิลาจารกึ ต่างๆ พร้อมทัง้ วรรณคดแี ละ พระเจ้าอโศกมหาราช ทจ่ี มซอ่ นอยใู่ ต้ผืนแผน่ ดนิ และจาง ตน้ ฉบบั บนั ทึกทัง้ หลาย หายไปหมดแล้วจากความทรงจ�ำของชาวอินเดยี เอง ก็ได้ ปรากฏข้ึนมาใหม่ด้วยอาศัยการศกึ ษาคน้ คว้าของชาว ท้ังนเี้ กดิ จากความดีพเิ ศษอนั เป็นสว่ นที่ควร องั กฤษเหล่าน้ี ยกย่องของชาวองั กฤษวา่ แมจ้ ะมขี ้อเสยี ที่ไปมีเมอื งขึ้น แต่นักปกครองและนักบริหารขององั กฤษแทบทุกคน เป็น กัปตันคกุ เดนิ เรือไป โลกได้รู้จกั National Library of Australia ทวีปออสเตรเลีย องั กฤษได้อาณานิคม พ.ศ. ๒๓๑๑ (ค.ศ. 1768) กปั ตันคกุ (Captain James Cook, เรียกกนั ว่า “Captain Cook”) ได้รบั มอบ หมายให้ไปที่เกาะตาฮีติ (Tahiti) เพือ่ ราชการบางอยา่ งใน งานทางดาราศาสตร์ แต่มีค�ำสง่ั ลับว่า รัฐบาลองั กฤษให้ เขาหาทางยึดครองแผน่ ดนิ ที่ลอื กนั วา่ เป็นทวีปทางใต้ช่อื ว่า Terra Australis เขาเดนิ เรือจากตาฮีติต่อลงไปทางใต้ ถงึ จะไม่พบทวปี ลึกลบั น้นั แตก่ ็ไปถึงนิวซีแลนด์ (New Zealand) แลว้ เลยไปทางตะวนั ตกจนพบแผน่ ดนิ ทเ่ี ปน็ ทวีปออสเตรเลีย (Australia) ทำ� ให้อังกฤษไดอ้ าณานคิ ม อกี มากมาย เขาเดินทางหลายเที่ยวไปจนถึงฝงั่ ทวปี อเมริกาเหนอื ในที่สุด ถกู คนพื้นถ่ินฆา่ ตายที่เกาะฮาวาย 158 กาลานกุ รม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

องั กฤษอ่านจารกึ อโศกได้ สมาชกิ สำ� คญั คนหนงึ่ ของอาเซียสมาคมแหง่ เบงกอลนี้ คอื เจมส์ ปรินเสป (James Prinsep; ช่วง ชีวิต ค.ศ. 1799-1840) ไดเ้ ปน็ เลขานุการของสมาคม ตงั้ แตป่ ี ๒๓๗๕ และเป็นบคุ คลแรกที่เพียรพยายามอา่ น ตวั อกั ษรพราหมี และอกั ษรขโรษฐี จนอ่านศลิ าจารกึ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้สำ� เร็จในปี ๒๓๘๐ จากซา้ ย: เจมส์ ปรินเสป อักษรพราหมี อกั ษรขโรษฐี ประเทศอเมรกิ าเพงิ่ เกิด นักดาราศาสตร์อังกฤษ พบดาวมฤตยู พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๖ (ค.ศ. 1775-83) เกิดปฏิวตั ิ พ.ศ. ๒๓๒๔ (ค.ศ. 1781) เซอร์ วลิ เลยี ม เฮอเชล อเมรกิ ัน (American Revolution) เปน็ สงครามกบั (Sir William Herschel) นักดาราศาสตร์ชาวองั กฤษ อังกฤษ เพอ่ื ปลดเปลอ้ื งอเมริกาให้พ้นจากการเป็นอาณา- (เกดิ ในเยอรมนี) คน้ พบดาวเคราะหท์ ่ตี ่อมาเรยี กว่า นคิ มคือเมืองขน้ึ ขององั กฤษ ซึง่ ใช้เวลา ๘ ปคี รง่ึ โดย “ดาวมฤตยู” (Uranus) ซงึ่ อยู่ห่างดวงอาทติ ย์ประมาณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นดว้ ยการประกาศอิสรภาพ ๒,๘๗๐ ล้าน กม. เปน็ ล�ำดับที่ ๗ ในบรรดาดาวเคราะห์ ณ วนั ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๓๑๙/1776 ทง้ั ๙ เสน้ ผ่าศนู ย์กลาง ๕๒,๒๙๐ กม. หมนุ รอบดวง อาทิตยร์ อบละ ๘๔.๐๗ ปี อทิ ธิพลใหญต่ ่อโลกเวลานี้ หนา้ ตรงขา้ มจากซ้าย: พ.ศ. ๒๓๑๙ (ค.ศ. 1776) อดัม สมธิ (Adam กัปตันคกุ Smith) ชาวสกอต พิมพ์เผยแพร่ Wealth of Nations อนสุ าวรยี ์เทพีเสรีภาพ อันเปน็ หนังสือทีม่ อี ทิ ธพิ ลอยา่ งย่งิ ต่อระบบทุนนยิ มท่ี หนา้ น้ีจากซ้าย: ครอบง�ำโลกยุคปัจจบุ ัน จอร์จ วอชิงตนั อดัม สมิธ ระฆงั แหง่ เสรีภาพ วิลเลยี ม เฮอเชล Wealth of Nations พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 159

จากซา้ ย: พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก พระบรมมหาราชวัง หน้าตรงข้ามจากซ้าย: กฎหมายตราสามดวง วดั พระเชตพุ นฯ “... ยอยกพระพทุ ธศาสนา รัตนโกสนิ ทร์ มหนิ ทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรตั นราช- ปอ้ งกันขอบขัณฑสีมา ธานบี รู ีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพมิ านอวตาร- รักษาประชาชนและมนตรี” สถติ สกั กะทตั ตยิ วิษณกุ รรมประสทิ ธิ์”; เฉพาะ “อมร- รตั นโกสนิ ทร”์ ในรัชกาลท่ี ๔ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปลี่ยนจาก พ.ศ. ๒๓๒๕ (ค.ศ. 1782) วนั ท่ี ๖ เมษายน ที่ คำ� เดิมวา่ “บวรรตั นโกสินทร”์ ประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก มหาราช เสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์ เป็นปฐมกษัตรยิ ์แห่ง ในรัชกาลนี้ (๒๓๒๕–๒๓๕๒/1782-1809) พม่า ราชวงศจ์ ักรี แล้วทรงย้ายเมอื งหลวงมาตัง้ ทก่ี รุงเทพฯ ซึง่ กย็ งั ยกทัพมาตอี ยา่ งต่อเน่ือง แตไ่ ทยกช็ นะในสงคราม ทรงสรา้ งขึน้ บนฝั่งตะวนั ออกของแม่น้�ำเจ้าพระยา โดย ใหญ่ทุกครง้ั เริม่ ตงั้ แตส่ งครามเกา้ ทัพใน พ.ศ. ๒๓๒๘ ซ่งึ มวี ดั พระศรรี ตั นศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง เป็น พระเจ้าปดงุ มีกำ� ลังพลถึงแสนส่ีหม่นื สพี่ ันคน จัดเป็น ๙ ที่ประดษิ ฐานพระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากร พระแก้ว ทัพ ยกมาตี ๕ ทาง วางก�ำหนดจะตีกรงุ เทพฯ พร้อมกัน มรกต เริม่ ยุครัตนโกสินทร์ จากทกุ ด้าน แตพ่ ม่ามาไมถ่ งึ กรงุ เทพฯ ไทยมกี �ำลงั เพียง เจ็ดหมื่นเศษ จดั เปน็ ๔ ทพั กต็ ีทพั พม่าแตกกลับไป โดย กรงุ เทพฯ มชี ื่อเต็มว่า “กรุงเทพมหานคร อมร- เผดจ็ ศึกทีส่ นามรบทุง่ ลาดหญา้ จ.กาญจนบุรี 160 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ธนบุรี กรงุ เทพมหานครฯ แมน่ ำ้� เจา้ พระยา แมว้ า่ บา้ นเมืองยงั มศี ึกสงครามมากมาย ก็ทรง จากการทบ่ี า้ นเมอื งยุง่ กับศกึ สงครามระส่�ำระสาย พระสงฆ์และคฤหสั ถท์ �ำกิจพิธมี คี วามสมั พันธ์ต่อกนั และ มีพระทัยมงุ่ บำ� รงุ ประโยชนส์ ุขของประชาราษฎร์ เริ่ม กว่าจะกู้บา้ นกเู้ มอื งขึ้นมาฟ้นื ฟูจัดใหเ้ ข้ารูปได้ ไมน่ อ้ ย ประพฤตกิ ารท้ังหลายในทางพระศาสนาใหถ้ กู ต้อง เฉพาะ ดว้ ยด้านท่ีสำ� คัญ งานรวบรวมพระไตรปิฎกทพ่ี ระเจ้า กว่า ๒๐ ปี ราษฎรแตกกระสานซา่ นเซน็ ยากแคน้ เตม็ ไป อยา่ งยิง่ ให้การบวชเปน็ เรือ่ งของการศึกษาเล่าเรียนตาม กรงุ ธนบรุ ไี ดท้ รงเร่ิมไวย้ งั คา้ งอยู่ ครนั้ ถงึ ปี ๒๓๓๑ โปรด ดว้ ยการปล้นฆา่ แย่งชงิ เบยี ดเบียนกนั สดุ ลำ� เคญ็ ไม่เปน็ วตั ถปุ ระสงค์ ดังความในกฎพระสงฆฉ์ บบั ที่ ๒ วา่ “...ถ้า ใหอ้ าราธนาพระสงฆป์ ระชุมท�ำสังคายนา ครั้งท่ี ๙ (ครง้ั อนั ได้ศกึ ษาหรือคิดการสร้างสรรค์ การบวชเรียนก็วปิ ริต สามเณรรปู ใด มอี ายุสมควรจะอุปสมบทแล้ว กใ็ หบ้ วช แรกของกรงุ เทพฯ) เสร็จแล้วคัดลอกสรา้ งเป็นพระ พระสงฆ์ขาดปัจจยั เครอื่ งอาศยั ฝดื เคอื งเปน็ อยไู่ ม่ไหว เขา้ ร่ำ� เรียนคนั ถธุระ วปิ สั นาธรุ ะ อยา่ ใหเ้ ทีย่ วไปมาเรยี น ไตรปฎิ กฉบบั หลวง เรียกว่า ฉบบั ทองใหญ่ (เดิมเรียกว่า ลาสกิ ขาไปจำ� นวนมาก แตค่ นพวกหนึง่ กลบั บวชมาหา ความรอู้ ทิ ธฤิ ทธิ์ให้ผดิ ธรุ ะท้งั สองไป .... จับได้ จะเอาตวั ฉบบั ทองทบึ ) ประดิษฐานไวใ้ นหอพระมณเฑยี รธรรม เพ่ือ เล้ียงชพี โดยใช้ความเช่อื เหลวไหลไสยศาสตร์ลอ่ หาลาภ สามเณรแลชีตน้ อาจารยญาติโยมเปนโทษจงหนกั ” และ เป็นหลกั ของแผน่ ดนิ (ตอ่ มาทรงสรา้ งเพ่มิ ๒ ฉบับ คือ การบวชมี แต่สารัตถะคอื การเรยี นหามีไม่ พระองค์ได้ กฎพระสงฆ์ฉบบั ที่ ๔ วา่ “… แตน่ ้สี ืบไปเม่อื หนา้ หา้ ม ฉบบั รองทอง และฉบับทองชบุ ) ทรงสรา้ งและปฏิสงั ขรณ์ ตรัสแสดงพระบรมราโชบายวา่ “ฝ่ายพระพทุ ธจักรพระ อยา่ ให้มภี ิกษุโลเลละวฏั ะประนิบัด ... มิไดร้ ำ่� เรียนธุระ พระอารามถึง ๑๓ แหง่ เช่นทรงสรา้ งวัดพระเชตพุ นฯ ราชอาณาจักรยอ่ มพร้อมกนั ทงั สองฝา่ ยชวนกนั ชำ� ระพระ ทงั สองฝ่าย อย่าให้มไี ด้เปนอันขาดทีเดยี ว” โปรดใหม้ ี (จดั วา่ เปน็ วัดประจำ� รัชกาลที่ ๑) ทรงฟ้นื วรรณคดที ีถ่ ูก สาศนา” ถงึ กบั ไดท้ รงตรากฎพระสงฆ์ รวม ๑๐ ฉบบั การสอนพระปรยิ ตั ธิ รรมในพระบรมมหาราชวงั ตลอด เผาและสญู หายคร้ังกรงุ แตก เช่น รามเกยี รต์ิ อเิ หนา และ เพอื่ กวดขันมใิ ห้ภิกษุสามเณรประพฤติผิดเพี้ยนจากพระ จนวังเจา้ นาย และบ้านข้าราชการผูใ้ หญ่ และทรงสบื ตอ่ อณุ รุท ธรรมวินยั มิใหต้ ิดหลงหรือชักน�ำคนในไสยศาสตร์ ให้ท้ัง ประเพณีมีพระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์ พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 161

เนปาลเสียเอกราช พ.ศ. ๒๓๕๗-๒๓๕๙ (ค.ศ. 1814-16) เกดิ สงคราม กูรขา่ ซง่ึ อังกฤษชนะแล้วผนวกเนปาลเข้ามาเปน็ รฐั ใน อารักขา (protectorate; ไดเ้ อกราชในปี ๒๔๖๖/1923) ฝรง่ั เศสสู่ประชาธิปไตย รฐั ธรรมนญู ฝรง่ั เศสเรม่ิ ทคี่ ำ� ปรารภวา่ ดว้ ยประกาศ แห่งสทิ ธิของมนุษย์และพลเมือง (Declaration of พ.ศ. ๒๓๓๒-๒๓๕๘ (ค.ศ. 1789-1815) เกดิ the Rights of Man and Citizen) อนั เป็นเอกสาร การปฏิวัติฝร่งั เศส (French Revolution) เป็นการ ประวัติศาสตร์สำ� คัญ เปลีย่ นแปลงทางการเมอื งที่ลม้ ล้างระบอบเกา่ ในฝร่งั เศส ซงึ่ มีขุนนาง (nobility) และคณะบาทหลวงคาทอลกิ การปฏิวตั นิ ที้ ำ� ใหป้ ระเทศฝร่งั เศสเปลีย่ นจาก (clergy) เปน็ ผปู้ กครองประเทศ มาสูร่ ะบอบการปกครอง ราชอาณาจกั รเป็นสาธารณรฐั แต่การขนึ้ ครองอำ� นาจ โดยรัฐธรรมนญู ตามค�ำขวัญวา่ “Liberty, Equality, ของพระเจ้านะโปเลียนไดแ้ ทรกคัน่ ให้กลับไปเป็นระบอบ Fraternity” (เสรีภาพ สมานภาพ ภราดรภาพ) อันถือ สมบรู ณาญาสิทธริ าชย์ระยะหน่งึ กันวา่ เปน็ แบบอย่างของการปกครองแบบประชาธปิ ไตย จากซา้ ย: Declaration of the Rights of Man and Citizen การส�ำเร็จโทษพระเจ้าหลยุ สท์ ่ี ๑๔ ด้วยกโิ ยตนิ 162 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

พมา่ หมดอิสรภาพ พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๖๙ (ค.ศ. 1824-26) สงคราม พม่ารบอังกฤษครง้ั แรก ต่อมาปี ๒๓๙๕ กม็ สี งครามครงั้ ท่ี ๒ แต่ละครัง้ เสยี ดินแดนไปเพมิ่ ขน้ึ ๆ จนในทสี่ ดุ ปี ๒๔๒๙/ 1886 พมา่ กก็ ลายเป็นแควน้ หน่งึ ในอนิ เดยี ของอังกฤษ จนมาไดเ้ อกราชในปี ๒๔๙๑/ 1948 นะโปเลยี นเปลี่ยนโฉมยุโรป ภาษามอื เพือ่ คนหูหนวก ขยายโอกาส จากซ้าย: ในการศึกษาออกไปกว้างไกล นะโปเลียน พ.ศ. ๒๓๔๗-๒๓๕๗ (ค.ศ. 1804-1814) ดยุคแหง่ เวลลิงตนั พระเจา้ นะโปเลยี นท่ี ๑ จักรพรรดฝิ รง่ั เศส (Napoleon พ.ศ. ๒๓๖๐ (ค.ศ. 1817) นักการศกึ ษาอเมรกิ ัน ยุทธการทวี่ อเตอร์ลู I; เดิมเรียก Napoleon Bonaparte) แผอ่ ำ� นาจไปทวั่ ช่ือ โธมสั แกลลอเดท (Thomas Hopkins Gallaudet) โธมสั แกลลอเดท ผนื แผน่ ดนิ ใหญข่ องทวีปยุโรป ท�ำให้จักรวรรดโิ รมันอัน หลังจากไปยุโรปเพือ่ ศกึ ษาหาวธิ สี อนเด็กหหู นวก ในทส่ี ุด ศักดส์ิ ิทธิถ์ ึงกาลอวสานในปี ๒๓๔๙/1806 ได้พอใจรับเอาวิธีสอนภาษามอื หรือภาษาสัญญาณ (sign คนหูหนวกใหเ้ ปลา่ แหง่ แรกของอเมริกา บตุ รชายทง้ั สอง language) จากฝรั่งเศส ครั้นถึงปี ๒๓๖๐ เขาไดต้ ั้ง ของเขาไดส้ บื ต่อและขยายงานกุศลในการสอนคนหูหนวก แตส่ ุดท้าย นะโปเลยี นกไ็ ด้พ่ายแพ้แกก่ องทัพ Hartford School for the Deaf ขน้ึ เป็นโรงเรยี นสอน ให้เจริญแพรห่ ลายยง่ิ ข้ึนไปอีก อังกฤษของ ดยคุ แหง่ เวลลิงตัน (Duke of Wellington) ในยทุ ธการท่ี วอเตอรล์ ู (Waterloo) เมอื่ ปี ๒๓๕๘/1815 พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 163

ในรัชกาลนี้ (๒๓๕๒–๒๓๖๗/1809-1824) อักษรเบรลล์ เพอ่ื คนตาบอด สมเดจ็ พระสงั ฆราช (มี) ได้ขยายหลกั สตู รการเรยี นภาษา ความก้าวหนา้ สำ� คญั ทางการศกึ ษา บาลี จาก ๓ ช้นั (คอื เปรยี ญตรี-โท-เอก) เปน็ ๙ ประโยค และส่อื สาร ก�ำเนิดธรรมยุตตกิ นิกาย พ.ศ. ๒๓๗๒ (ค.ศ. 1829) ที่ประเทศฝรั่งเศส หลุยส์ เบรลล์ (Louis Braille) ตาบอดมาตง้ั แตอ่ ายุ ๓ พ.ศ. ๒๓๗๒ (ค.ศ. 1829) ทป่ี ระเทศไทย ใน ขวบ ถึงปีนี้มีอายุ ๒๐ ปี ไดพ้ ฒั นาวิธีอ่าน เขยี น (และ รชั กาลที่ ๓ เจา้ ฟ้ามงกุฎ (ร.๔ ก่อนครองราชย์) หลงั จาก พมิ พ)์ หนังสือส�ำหรบั คนตาบอดไดส้ ำ� เร็จ เรียกวา่ อกั ษร โสกันต์แล้ว ได้ทรงผนวชเปน็ สามเณร ๗ เดอื น ตอ่ มา เบรลล์ เปน็ รอยนนู ของจดุ ทเ่ี รยี งกัน อา่ นดว้ ยการสมั ผัส ทรงผนวชเปน็ พระภกิ ษใุ นปี ๒๓๖๗ ประทับทวี่ ดั มหาธาตุ วสิ าขบูชาหายไปคราวส้ินอยุธยา อันเป็นท่ีสถติ ของสมเดจ็ พระสงั ฆราช ทรงสอบได้เปรียญ กลับฟน้ื ข้ึนมาเป็นงานใหญ่ ๕ ประโยค ไดท้ รงเล่ือมใสในความเคร่งวินยั ของพระ ภกิ ษมุ อญช่อื ซาย พุทฺธวโํ ส (ไดเ้ ปน็ พระราชาคณะที่ พ.ศ. ๒๓๖๐ (ค.ศ. 1817) ทปี่ ระเทศไทย ใน พระสุเมธาจารย์ อยวู่ ัดบวรมงคล) มีพระประสงคจ์ ะ รัชกาลที่ ๒ (พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั ) ประพฤตเิ ครง่ ครดั เชน่ นน้ั จงึ เสดจ็ ไปประทบั ทว่ี ดั สมอราย มคี วามในพระราชกำ� หนดพิธวี ิสาขบูชา จ.ศ. ๑๑๗๙ ว่า (วัดราชาธิวาส) ใน พ.ศ.๒๓๗๒ ทรงอปุ สมบทใหม่ แล้ว “ทรงมีพระทยั ปรารถนาจะบ�ำเพ็ญพระราชกศุ ลใหม้ ผี ล กำ� หนดด้วยการฝังลูกนมิ ิตผูกสมี าใหมข่ องวัดสมอรายใน วิเศษยิ่งกวา่ ทไ่ี ดท้ รงกระท�ำมา จงึ มีพระราชปุจฉาถาม พ.ศ. ๒๓๗๖ ว่าเป็นการตง้ั คณะธรรมยุต หรือธรรมยตุ - คณะสงฆ์ มีสมเด็จพระสงั ฆราช (มี) เป็นประธาน ซึง่ ได้ ติกนิกาย (คณะธรรมยุติกา ก็เรียก) จากน้ันไดเ้ สดจ็ มา ถวายพระพรถึงโบราณราชประเพณงี านวิสาขบูชาดงั สมัย ประทับ ณ วัดบวรนเิ วศ ถอื เปน็ ศนู ย์กลางของคณะ พระเจา้ ภาตกิ ราช แหง่ ลงั กาทวปี ” เป็นเหตใุ หท้ รงมี ธรรมยตุ ต่อมา พระราชโองการก�ำหนดวันพธิ วี ิสาขบชู านกั ขัตฤกษ์ใหญ่ ครั้งละ ๓ วัน จากซา้ ย: รัชกาลท่ี ๒ หลยุ ส์ เบรลล์ อกั ษรเบรลล์ 164 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

วัดโพธม์ิ จี ารึกสรรพวิทยา เปิดแห่งแรกของไทย และเมื่อวันที่ ๓๑ มนี าคม ๒๕๕๑ โดยชีวติ ส่วนใหญ่ได้เสยี สละบ�ำเพญ็ ประโยชนใ์ หแ้ กส่ ังคม จากซา้ ย: เปน็ มหาวิทยาลยั เปิดแห่งแรกของไทย (วนั คลา้ ยวนั พระราชสมภพของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ ไทยมากมาย ตง้ั แตก่ ลางรัชกาลที่ ๓ ตลอดรัชกาลท่ี ๔ รชั กาลที่ ๓ เจา้ อยู่หัว) ณ พระอโุ บสถวดั พระเชตุพนฯ มพี ธิ ถี วาย (๒๓๙๔–๒๔๑๑/1851-1868) จนถงึ ตน้ รัชกาลที่ ๕ เป็น หมอบรดั เลย์ พ.ศ. ๒๓๗๔ (ค.ศ.1831) ท่ปี ระเทศไทย ใน ประกาศนียบัตรของยูเนสโก (UNESCO) ข้ึนทะเบียน ผทู้ �ำการผา่ ตัดแผนปัจจบุ ันครั้งแรก ริเร่ิมปลูกฝีปอ้ งกนั จารึกวดั โพธ์ิ รชั กาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรด “จารกึ วัดโพธ์”ิ เป็นเอกสารมรดกความทรงจ�ำของโลก ไข้ทรพษิ ตงั้ โรงพิมพห์ นังสอื ไทยคร้งั แรก ทำ� ใหค้ นไทย ใหป้ ฏสิ งั ขรณว์ ัดพระเชตพุ นฯ เป็นครั้งใหญ่ และโปรดให้ (Memory of the World) แหง่ ภมู ิภาคเอเชียแปซิฟิก รู้จกั ส่ิงพิมพ์สมัยใหม่และไดป้ ระโยชน์ทางการศกึ ษาอย่าง ประชมุ นักปราชญร์ าชบัณฑิตชว่ ยกนั แตง่ และรวบรวม มาก เชน่ พมิ พ์ประกาศห้ามสบู ฝิน่ ของทางราชการ ต�ำรา สรรพวทิ ยามาจารกึ ลงบนแผน่ หนิ ๑,๓๖๐ แผ่น ประดับ ในรัชกาลน้ี (๒๓๖๗–๒๓๙๓/1824-1850) ปลกู ฝี คมั ภีร์ครรภร์ ักษา ต�ำราเรียนภาษาอังกฤษ พระ ไวต้ ามผนังพระอุโบสถ เสาระเบียงรอบพระอุโบสถ พระ นอกจากโปรดให้สรา้ งพระไตรปฎิ กฉบับหลวงเพ่ิมจำ� นวน ราชพงศาวดารไทย พงศาวดารจีน (เชน่ สามก๊ก) นริ าศ วหิ าร วิหารคด และศาลารายรอบพระมณฑป รวม ๘ ข้ึนมาก ทรงสรา้ ง ทรงปฏสิ ังขรณพ์ ระอาราม และทรง ลอนดอน กจิ จานกุ จิ อกั ขราภธิ านศรบั ท์ ปฏทิ นิ ภาษาไทย หมวด เชน่ เรือ่ งพระพทุ ธศาสนา ตำ� รายาและแพทยแ์ ผน ส่งเสรมิ การสร้างและปฏิสงั ขรณ์วดั มากเป็นพิเศษแล้ว ตลอดจนหนงั สอื รายปี (บางกอกกาลนั เดอร์/Annual โบราณ วรรณคดี สุภาษติ และภาพฤาษดี ดั ตน เรียกว่า ทรงขยายการบอกพระปรยิ ัตธิ รรมแกพ่ ระภกิ ษสุ ามเณร Bangkok Calendar) รายเดือน (บางกอกรีคอรเ์ ดอร์/ “ประชมุ จารกึ วัดพระเชตุพน” หรอื เรียกงา่ ยๆ วา่ “จารึก ในพระบรมมหาราชวังเต็มท้ัง ๔ มุขของพระทนี่ ัง่ ดุสิต Bangkok Recorder) และจดหมายเหตุ เมอ่ื ถึงแกก่ รรม วัดโพธ”์ิ ท�ำให้วดั พระเชตพุ นฯ ได้ช่อื ว่าเป็นมหาวิทยาลัย มหาปราสาท โปรดใหจ้ า้ งอาจารยบ์ อกพระปรยิ ัติธรรม ณ ๒๓ มิ.ย. ๒๔๑๔ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ ทุกพระอารามหลวง พระราชทานอปุ ถมั ภ์แก่พระภิกษุ เจ้าอยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานความชว่ ยเหลอื เกย่ี วกบั การศพ สามเณรท่ีสอบไดต้ ลอดไปถึงโยมบิดามารดา และโปรดให้ เพราะครอบครวั ไมม่ แี ม้แตเ่ งินค่าท�ำศพ จ้างอาจารย์สอนหนงั สือไทยแก่เด็ก หมอบรัดเลย์ ริเริม่ งานการแพทย์และ การพิมพแ์ กส่ ังคมไทย พ.ศ. ๒๓๗๘–๒๔๑๔ (ค.ศ. 1835-1871) ท่ี ประเทศไทย หลังจากได้เร่มิ มีมิชชันนารีอเมริกนั เข้ามาใน พ.ศ. ๒๓๗๑ แลว้ ถงึ ปี ๒๓๗๘ มชิ ชนั นารอี เมริกันทา่ น หนึง่ ท่ีคนไทยรจู้ ักกันดใี นชือ่ วา่ หมอบรัดเลย์ (Rev. Dan Beach Bradley) ได้เขา้ มาทำ� งานเผยแพร่ครสิ ต์ศาสนา พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 165

ตัง้ โรงเรียนอนบุ าล ใหก้ ารเรียน ต้งั ฐานความคิดของคอมมิวนิสต์ ไวใ้ น เปน็ ประสบการณ์ ทร่ี า่ เริงเบิกบาน “The Communist Manifesto” พ.ศ. ๒๓๘๐ (ค.ศ. 1837) ทป่ี ระเทศเยอรมนี พ.ศ. ๒๓๙๑ (ค.ศ. 1848) ท่ีกรงุ ลอนดอน นกั การศกึ ษาเยอรมัน ช่ือเฟรอเบล (Friedrich Wilhelm ประเทศอังกฤษ สันนิบาตคอมมิวนสิ ต์ (Communist August Froebel) ตั้งโรงเรยี นอนบุ าล (kindergarten) League) มมี ติรบั The Communist Manifesto ขนึ้ เปน็ แห่งแรก โดยมงุ่ หวังให้การเรียนเปน็ ประสบการณ์ (Manifest des Kommunismus, “ค�ำประกาศ ทีเ่ ปน็ ไปเองแกเ่ ดก็ ด้วยความร่าเรงิ สดใสเบกิ บาน ผลงาน คอมมวิ นสิ ต”์ หรือ “ค�ำแถลงปณธิ านคอมมวิ นสิ ต”์ ) ท่ี เลม่ ส�ำคัญท่ีสดุ ของเขาชอ่ื ว่า The Education of Man มารก์ ซ์ (Karl Heinrich Marx) และเองเกลส์ (Friedrich (1826) Engels) ไดเ้ ขยี นขึ้น อนั เป็นการแถลงหลกั การ เจตจำ� นง และแนวปฏบิ ัตกิ ารของคอมมิวนิสต์ เริ่มดว้ ยถือว่า ได้ข้อยตุ ิพอตั้งทฤษฎี ประวตั ิศาสตร์ คือประวัติการต่อสู้ของชนชัน้ กรรมกร ว่าชีวติ ประกอบขน้ึ ดว้ ยเซลล์ ทว่ั โลกจะตอ้ งรวมตวั กนั ทำ� การปฏิวัตขิ องคอมมวิ นิสต์ ในท่สี ุด ชยั ชนะจะเป็นของชนกรรมาชีพ การตอ่ ส้ขู อง พ.ศ. ๒๓๘๒ (ค.ศ. 1839) ท่ีประเทศเยอรมนี ชนช้ันจะจบส้นิ โดยคอมมิวนสิ ต์จะเป็นทพั หนา้ ของชน นักพฤกษศาสตร์ ชือ่ ชไลดึน (Matthias Jakob Schlei- กรรมาชีพนัน้ ซงึ่ มาลม้ ลา้ งการยึดครองทรพั ย์สินส่วนตวั den) กบั นักสตั ววิทยาชื่อ ชวานน์ (Theodor Schwann) และยกชนกรรมาชพี ขนึ้ เป็นผ้ปู กครองอยา่ งไรกต็ าม ใน รว่ มกนั ศกึ ษาจนลงความเหน็ ว่า ชีวติ น้ัน ไมว่ า่ สัตวห์ รือ ช่วงเวลาระยะแรกทปี่ ระกาศน้อี อกมา ยังไมม่ ีอทิ ธิพลเปน็ พชื ลว้ นประกอบข้นึ ดว้ ยเซลล์ กลา่ วคือ เซลล์เป็น ทส่ี นใจมาก มาร์กซ์และเองเกลสเ์ ก็บตวั เงยี บอยหู่ ลายปี องค์ประกอบพนื้ ฐานของชีวติ ถือกันว่าสองทา่ นนีเ้ ป็นผู้ จนกระทั่ง ๑๖ ปีตอ่ มา ในปี 1864/๒๔๐๗ มกี ารชมุ นมุ วางรากฐานแหง่ ทฤษฎีว่าดว้ ยเซลล์ ตง้ั สมาคมคนงานนานาชาติขึ้น (เรยี กกันว่า “First Inter- national”) มารก์ ซจ์ งึ ไดข้ น้ึ มาเป็นผ้นู ำ� ความคดิ และไม่ จากบนซ้าย: ชา้ ลทั ธิมาร์กซก์ ็แพร่ไปในประเทศตา่ งๆ บนผืนแผ่นดนิ เฟรอเบล ทวีปยุโรปอยา่ งรวดเร็ว ชไลดึน ชวานน์ เองเกลส์ มารก์ ซ์ 166 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

สรา้ งเจดยี ์ใหญ่ ไดภ้ เู ขาทอง ตอ่ มา มีการซ่อมใหญ่โดยกรมชลประทานเปน็ ร. ๔ ทรงเร่มิ พิธีมาฆบชู า เจา้ การ ในปี ๒๔๙๓–๒๔๙๗/1950-1954 และครง้ั ล่าสุด พ.ศ. ๒๓๙๓ (ค.ศ. 1850) ทีป่ ระเทศไทย ใน ในปี ๒๕๐๙/1966 มีการบุโมเสกสีทองหุม้ พระเจดยี ์บน พ.ศ. ๒๓๙๔ (ค.ศ. 1851) ที่ประเทศไทย ใน รัชกาลท่ี ๓ ทว่ี ัดสระเกศ พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกลา้ ยอด สรา้ งพระเจดียเ์ ล็กขน้ึ สีม่ ุม และซมุ้ เจดีย์ท้งั สที่ ศิ รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ได้ เจา้ อย่หู ัว มพี ระราชประสงคจ์ ะสร้างพระเจดยี ใ์ หญอ่ งค์ ทรงพระราชด�ำรถิ งึ ความสำ� คญั ของการประชุมใหญ่แห่ง หนงึ่ ใหเ้ หมอื น แตใ่ ห้ใหญก่ ว่า “พระเจดยี ์ภเู ขาทอง” ที่ บรมบรรพต (ภูเขาทอง) สงู ๗๖ เมตร กวา้ งโดย พระอรหนั ตสาวก ทเ่ี รียกว่าจาตุรงคสันนบิ าต คราวที่ วดั ภเู ขาทอง ทกี่ รุงเกา่ แตพ่ ื้นดนิ บรเิ วณน้ันเป็นทีล่ ุ่ม กอ่ เส้นผา่ ศูนย์กลาง ๑๕๐ เมตร ฐานวัดโดยรอบ ๓๓๐ เมตร พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงพระโอวาทปาฏิโมกข์ คือหลกั ค�ำ พระเจดยี ์ขนึ้ ไปก็ทรดุ ลงมาทกุ ที จนต้องหยดุ ทิง้ คา้ งไว้ มีบันไดเวยี น ๒ ทาง บนั ไดขนึ้ ทางทิศใตม้ ี ๓๗๕ ข้นั สอนส�ำคญั อันเปน็ ใหญ่เป็นประธาน ดังนนั้ ในปีท่เี สด็จ ไมเ่ ป็นรปู พระเจดีย์ มีแต่กองอิฐ แลว้ ต้นไม้ก็ขึน้ คลุมรก บนั ไดลงทางทิศเหนือมี ๓๐๔ ขนั้ ข้นึ ครองราชย์นน้ั เอง จึงโปรดใหจ้ ัดงานวนั มาฆบชู า ขึ้น ตอ่ มา คำ� ตน้ วา่ “พระเจดยี ”์ กห็ ายไป เหลอื แต่ “ภเู ขาทอง” เป็นครงั้ แรก คร้นั มาในรัชกาลที่ ๔ ได้โปรดใหซ้ ่อมแปลงภเู ขา กอ่ พระเจดยี ์ขน้ึ ไว้บนยอด โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปลีย่ นชื่อ ภเู ขาทองว่า “บรมบรรพต” เหมอื นอย่างพระเมรุบรม- บรรพตอนั เคยสรา้ งท่ที อ้ งสนามหลวง และซอ่ มต่อมา ตลอดรัชกาล จนส�ำเร็จในรัชกาลท่ี ๕ พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั โปรดให้อัญเชิญพระบรม สารีริกธาตุที่ไดร้ ักษาไวใ้ นพระบรมมหาราชวงั ไปทรง บรรจใุ นพระเจดีย์ใหญ่ บนบรมบรรพต ใน พ.ศ. ๒๔๒๐ ตอ่ มา ในปี ๒๔๔๑/1898 อปุ ราชองั กฤษผูป้ กครอง อนิ เดยี ซ่ึงเคยอยูท่ ่กี รงุ เทพฯ และค้นุ เคยกบั พระองค์ ได้ ถวายพระบรมสารีรกิ ธาตซุ ึ่งขุดพบที่เมืองกบลิ พสั ดุ์ โปรด เกล้าฯ ใหเ้ จ้าพระยายมราช (ป้นั สขุ มุ ) ไปอญั เชิญมา แลว้ มีพระราชพธิ ีบรรจุในพระเจดยี ์บนยอดบรมบรรพต เมอ่ื ๒๓ พ.ค. ๒๔๔๒ นบั เป็นการบรรจคุ ร้ังท่ี ๒ พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยตุ โฺ ต ) 167

องั กฤษมาทำ� สญั ญาค้าขาย อย่างนก้ี ับประเทศอน่ื ๆ ในยุโรป ตลอดจนอเมริกาและ จากบนซ้าย: พระราชนิ ีวกิ ตอเรยี , เซอร์ จอห์น บาวริง, ฟรานซสิ บี แซยร,์ ประธานาธบิ ดีวลิ สนั ไทยเปดิ ประเทศรับอารยธรรมตะวันตก ญ่ปี ุ่น แม้ว่าตามสนธิสญั ญานี้ ไทยจะต้องเสียเปรียบบาง อยา่ ง และเกิดสทิ ธสิ ภาพนอกราชอาณาเขต (extrater- พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ. 1855) ทีป่ ระเทศไทย ใน ritoriality, extraterritorial rights) แตเ่ ปน็ การกา้ วฝ่า รชั กาลท่ี ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว ไปในโลกยุคใหม่ทเ่ี วลานั้นประดาประเทศเจ้าอาณานคิ ม ก่อนครองราชย์ ไดผ้ นวชอย่นู านถงึ ๒๗ พรรษา ไดท้ รง กำ� ลังแผข่ ยายอ�ำนาจ โดยไทยยอมเสยี สละบางอยา่ งทาง ศกึ ษาพระธรรมวนิ ัยจนเช่ียวชาญ และทรงเรยี นรู้ กฎหมายและการเงิน เป็นการผอ่ นผันกันไม่ให้เขากา้ วไป วิทยาการสมยั ใหม่ โดยทรงคบหารู้จักชาวตะวันตกเปน็ ใชอ้ �ำนาจทางทหารและความกดดนั ทางการเมืองเข้ามา อย่างดี ทรงชำ� นาญทงั้ ภาษาบาลแี ละภาษาองั กฤษ ทรง ครอบง�ำ อย่างท่ีท�ำกับประเทศข้างเคียงรอบเมืองไทย จารกิ ไปไดเ้ หน็ ชวี ติ ผ้คู นและสภาพบา้ นเมืองทวั่ ไป เม่อื เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย์ จงึ ทรงรเิ รม่ิ การใหมๆ่ เปลยี่ นโฉมหนา้ เรอ่ื งของเมืองไทยนี้ มขี อ้ เทยี บคล้ายกบั ประเทศ ของบา้ นเมอื ง เรม่ิ นำ� ประเทศไทยเขา้ สสู่ มยั ใหม่ โดยเฉพาะ ญ่ีปุ่น ซึง่ โชกุนไดป้ ดิ ประเทศเพราะปญั หาจากโปรตุเกส การเปิดประเทศ มสี มั พันธไมตรีกบั ประเทศตะวนั ตก และสเปนใน พ.ศ. ๒๑๘๒ (เมอื่ สมเดจ็ พระนารายณ์ ท่วั ไป ท่เี ปน็ กา้ วใหญ่ คือ ในปี ๒๓๙๘/1855 น้ี พระ มหาราชประสตู ไิ ด้ ๗ พรรษา) และเปิดประเทศดว้ ยสนธิ ราชินวี กิ ตอเรยี (Queen Victoria) ไดท้ รงส่งเซอร์ จอหน์ สญั ญากานากาวา/Treaty of Kanagawa กบั อเมรกิ า บาวรงิ (Sir John Bowring) เป็นผแู้ ทนพระองคเ์ ขา้ มา ในปี ๒๓๙๗ (กอ่ นไทยท�ำสญั ญาบาวรงิ ๑ ปี) จบระยะ เจรจาใหส้ ยามยกเลกิ ข้อจำ� กัดตา่ งๆ ทางการคา้ ยอมให้ เวลา “sakoku”/national seclusion (1639-1854) อังกฤษต้งั กงสุลในกรงุ เทพฯ เกดิ เป็นสนธิสัญญาบาวรงิ (1688-1855) (Bowring Treaty) จากน้นั ไทยก็ทำ� สัญญาหรือข้อตกลง 168 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

อินเดียเปน็ เมืองข้นึ อังกฤษ เมอ่ื องั กฤษปราบกบฎเสรจ็ ใน พ.ศ. ๒๔๐๑ ก็ ยุบเลกิ บรษิ ัทอนิ เดยี ตะวนั ออกเสยี แล้วรฐั บาลองั กฤษ พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) เมอ่ื องั กฤษปราบ ก็เขา้ ปกครองอินเดยี เองโดยตรง ใหอ้ นิ เดียมฐี านะเป็น อาณาจกั รสิกข์ลงได้ในปี ๒๓๙๒/1849 แลว้ องั กฤษโดย อปุ ราชอาณาจักร คือเปน็ เมอื งขึ้นโดยสมบูรณ์ บริษัทอินเดียตะวนั ออก (British East India Com- pany) กไ็ ด้ปกครองอินเดยี หมดสน้ิ แตต่ อ่ มาปี ๒๔๐๐ ทหารอินเดียทางภาคเหนือไดก้ อ่ กบฎข้ึนแล้วราษฎรก็ รว่ มด้วยขยายกว้างออกไป สว่ นท่เี มอื งไทย พระเพทราชาขับไล่ฝรง่ั เศสออก ต่างประเทศ ไดร้ ับพระราชทานบรรดาศกั ดเ์ิ ปน็ พระยา ศึกษาโดยเดก็ เป็นศนู ยก์ ลาง ไปใน พ.ศ. ๒๒๓๑ (เม่ือสมเด็จพระนารายณม์ หาราช กัลยาณไมตรี) ไดไ้ ปเจรจาขอเปลย่ี นสัญญากับประเทศ สวรรคต) ถึงจะไมไ่ ดป้ ิดประเทศเป็นทางการอยา่ งญป่ี ุน่ ต่างๆ ในยุโรปจนเสร็จสิ้นใน พ.ศ. ๒๔๖๘ (หลงั เสร็จ พ.ศ. ๒๔๐๒-๙๕ (ค.ศ. 1859-1952) ช่วงชวี ิต แต่ความสัมพันธ์ตา่ งประเทศก็เบาบางลงไป จนมาเปดิ ภารกิจ พระยากัลยาณไมตรีถวายบังคมลากลบั อเมรกิ า ของจอหน์ ดวิ อี้ (John Dewey) นกั ปรัชญาปฏบิ ัตนิ ิยม ประเทศแก่การค้าเสรีด้วยสนธิสัญญาบาวรงิ /Bowring ไปสอนท่ี ม.ฮารว์ ารด์ แต่ยงั ยินดเี ป็นขา้ ราชการของ และนักการศกึ ษาอเมรกิ ัน ผทู้ �ำใหก้ ารศึกษาแบบ Treaty กบั อังกฤษในปี ๒๓๙๘ นี้ (หลงั ญี่ปุ่นทำ� สัญญา ประเทศไทยโดยไม่รบั เงินเดอื น) กา้ วหน้า (progressive education) ท่หี นนุ แนวคดิ กับอเมรกิ า ๑ ป)ี เรยี กไดว้ า่ จบชว่ งเวลาจ�ำกดั ความ ให้เดก็ เปน็ ศนู ย์กลาง (child-centered education) สัมพันธ์ (1688-1855) โดดเด่นเปน็ ท่นี ิยมขึ้นมา เรอ่ื งสทิ ธิสภาพนอกราชอาณาเขต ไดแ้ ก้ไข ทฤษฎีววิ ัฒนาการอนั ลอื ลั่น เสร็จในรัชกาลท่ี ๖ หลงั จบสงครามโลกคร้งั ที่ ๑ โดย ประธานาธิบดอี เมริกนั (Woodrow Wilson) สนบั สนนุ พ.ศ. ๒๔๐๑ (ค.ศ. 1858) ชารล์ ส์ ดาร์วิน และแกส้ ญั ญาให้ไทยเปน็ ประเทศแรกในปี ๒๔๖๓/ (Charles Darwin) ชาวองั กฤษ ประกาศทฤษฎี 1920 ตามมาดว้ ยประเทศอน่ื ๆ คณะทูตพิเศษท่ีไป วิวฒั นาการ (theory of evolution) ว่าด้วยการ ด�ำเนนิ การเรอ่ื งนชี้ ่วงท้าย มีชาวอเมริกนั รวมอย่ดู ว้ ย คือ คัดเลือกโดยธรรมชาติ อันลือล่ัน และสั่นสะเทือน โดย ดร.ฟรานซสิ บี แซยร์ (Francis B. Sayre, เปน็ บตุ รเขย เฉพาะตอ่ วงการคริสต์ศาสนา ของประธานาธิบดวี ิลสัน ไดเ้ ป็นศาสตราจารย์แล้วมา เมอื งไทยในปี ๒๔๖๖ เข้ารบั ราชการเป็นทีป่ รึกษาการ จากซ้าย: ชาร์ลส์ ดาร์วิน จอห์น ดวิ อ้ี พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 169

คันนิ่งแฮม ความสนใจในเร่ืองประวัติศาสตรอ์ ินเดยี และชอบศกึ ษา ผไู้ ด้ท�ำคุณไว้ ในการฟ้นื พทุ ธสถาน โบราณวตั ถุท้ังหลาย จงึ ลาออกมาเพ่อื อทุ ศิ เวลาให้แก่การ ขุดคน้ วัดวาอารามโบราณสถาน พ.ศ. ๒๔๐๖ (ค.ศ. 1863) องั กฤษตง้ั หน่วยงาน ส�ำรวจโบราณคดอี ินเดยี เรยี กว่า Indian Archaeo- ในปที ไ่ี ดร้ ับแตง่ ต้งั ในตำ� แหนง่ ดงั กล่าว ก็ไปท�ำงาน logical Survey โดยมี เซอร์ อเลกซานเดอร์ คนั นงิ แฮม ขดุ ฟน้ื ทตี่ กั สลิ า (กอ่ นหนา้ นที้ า่ นไดข้ ดุ คน้ มาแลว้ ทสี่ ารนาถ (Sir Alexander Cunningham) เปน็ ผอู้ ำ� นวยการคนแรก เมอ่ื ปี ๒๓๘๐/1837 และท่สี าญจใี นปี ๒๓๙๓/1850 รวมทงั้ ทำ� การสำ� คัญในการขดุ ฟ้ืนพุทธคยา; ทา่ นเกิด ท่านผนู้ มี้ ารบั ราชการทหารในอินเดยี ได้ ๒๘ ปี ถึง ค.ศ. 1814 ไดเ้ ป็นเซอร์ ค.ศ. 1887 สิน้ ชพี ค.ศ. 1893) ปี ๒๔๐๔ ขณะเป็นพลตรี ก็ขอลาออก เพราะตง้ั แตร่ ะยะ แรกทรี่ ับราชการทหาร เมอื่ ได้พบกับเจมส์ ปรินเสป กเ็ กิด สงครามกลางเมอื งจบไป อเมรกิ าไดเ้ ลกิ ทาส ทาสในรัฐท่มี อี ยแู่ ล้ว เขาคดิ ว่าบรรพบุรุษผูก้ ่อต้ังประเทศ อเมรกิ ามงุ่ ใหร้ ะบบทาสคอ่ ยๆ ลดจนหมดส้นิ ไปในทีส่ ุด พ.ศ. ๒๔๐๔–๒๔๐๘ (ค.ศ. 1861–65) ท่ีสหรัฐ จงึ ตอ้ งป้องกนั ไมใ่ ห้ระบบทาสนั้นขยายออกไปยังถน่ิ อื่น อเมริกา เกิดสงครามกลางเมือง ระหวา่ งรฐั ฝ่ายเหนือ เขาได้รับเลอื กตง้ั เป็นประธานาธบิ ดใี นปี ๒๔๐๓ โดยไม่ เรียกว่า “Union” กับรฐั ฝา่ ยใตท้ ีถ่ อนตัวแยกออกไป ซ่งึ ได้เสยี งจากรฐั ลึกภาคใต้ (Deep South) แมแ้ ตค่ ะแนน เรยี กกลุ่มของตนวา่ “Confederacy” (ทางใต้เรยี ก เดยี ว และยังไมท่ นั ถึงวันปฏิญาณตนเข้ารบั ต�ำแหนง่ (๔ สงครามน้วี ่า “สงครามระหวา่ งรัฐ” แต่ทางเหนอื เรียก มี.ค. ๒๔๐๔) รัฐ South Carolina ก็ประกาศถอนตัวแยก เป็นทางการว่า “สงครามกบฏ”) สงครามน้ีมเี หตุปัจจยั ออกจากส่วนรวมของประเทศ (ทเ่ี รียกว่า Union, แยก หลายอย่างสะสมมาหลายปี รวมทงั้ ปัญหาว่ารฐั บาลกลาง เม่ือ ๒๐ ธ.ค. ๐๓) ตามด้วยรฐั อื่นในภาคใต้อีก ๖ รัฐ แลว้ ควรมีอ�ำนาจควบคุมแคไ่ หน แต่ละรัฐควรมสี ิทธเิ์ ทา่ ใด แต่ ๔ ก.พ. ๐๔ ก็รว่ มกันตรารฐั ธรรมนูญของตน ซึง่ กค็ ลา้ ย ส�ำคัญท่ีสดุ ก็คือปัญหาเรือ่ งทาส ซ่งึ รองรบั เศรษฐกิจของ กบั รัฐธรรมนูญสหรฐั นน่ั เอง ต่างในข้อท่ีรบั รองสถาบัน รัฐภาคใต้ ว่าควรจะมีตอ่ ไป หรือจะเลิกเสีย และถ้าจะมี ทาสนโิ กร และเรือ่ งสิทธิของรฐั ต้งั รฐั บาลชั่วคราวของ หรือจะเลิก จะมีในรปู ลักษณะไหน หรอื จะเลกิ อยา่ งไร ตนเองขึ้น เปน็ Confederate States of America (เรียกง่ายๆ วา่ Confederacy) มที ท่ี ำ� การ มธี ง มีเงินตรา อบั ราฮัม ลนิ คอล์น (Abraham Lincoln) แสดง และเกบ็ ภาษีเอง พอถึง ๑๒ เม.ย. สงครามกลางเมือง การตอ่ ต้านระบบทาสมาต้งั แตร่ ะยะแรกในชวี ิตการเมือง แตไ่ ม่ถึงกบั จะให้ล้มเลิก โดยยอมรับสทิ ธขิ องรัฐท้ังหลาย ท่จี ะจัดกิจการของตน ถอื ว่ารฐั ธรรมนญู กค็ ุม้ ครองระบบ 170 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

อดตี อันรุง่ เรอื ง ท่ไี ม่เหลอื แม้รอ่ งรอย ดนิ แดนชมพูทวปี ทพี่ ระพทุ ธศาสนาเคยรุ่งเรือง นับเฉพาะภาคเหนือ วดั ตงั้ แตเ่ บงกอลขนึ้ ไป ถงึ บากเตรยี หรือจากแคว้นอังคะถึงโยนก เป็นระยะทางตัดตรงยาว ราว ๒,๗๐๐ กโิ ลเมตร ตลอดชว่ งเวลา ๑,๗๐๐ ปี เต็ม ไปดว้ ยมหาอาณาจักรตา่ งๆ มีปราสาทราชวัง อันใหญ่โต มโหฬาร และวดั วาอาราม สถานศกึ ษา มหาสถูป เจดยี ์ ปูชนียสถาน ท่ีวจิ ติ รงดงาม มากมายสดุ จะนับได้ แตใ่ น เวลาทนี่ กั โบราณคดเี หลา่ นี้เริม่ ขดุ คน้ แทบไมม่ รี ่องรอย อะไรเหลอื อย่เู ลยบนผืนแผน่ ดิน (Civil War) กเ็ ร่มิ ขนึ้ และมรี ฐั แยกออกไปอกี ๔ รัฐ รวม สงั คมอเมรกิ นั ไปอีกนาน และความขดั แย้งนี้ นอกจากท�ำ ประชาชน โดยประชาชน เพือ่ ประชาชน” (“… gov- เป็นฝา่ ย Confederacy ๑๑ รัฐ รบกนั ๔ ปี ถงึ ๙ เม.ย. ให้อเมริกาสูญเสียประธานาธิบดีท่ยี ่งิ ใหญ่ที่สุดทา่ นหน่ึง ernment of the people, by the people, for the ๐๘ กองทพั ฝา่ ยใต้ยอมแพ้ แตอ่ ีก ๕ วันตอ่ มา (๑๔ เม.ย.) ไปแลว้ กไ็ ดส้ ูญเสียก�ำลังคนไปทั้งหมดถงึ ๖๑๘,๒๒๒ people, ...”) กเ็ ปน็ คำ� ท่ีกล่าวในสงครามกลางเมืองน้ี คอื ประธานาธบิ ดีลนิ คอล์นก็ถูกลอบสงั หาร คน (ฝา่ ย Union สญู เสีย ๓๖๐,๒๒๒ คน โดยตายใน ในคำ� ปราศรยั ณ สุสานสงครามกลางเมอื งอุทิศแก่ทหารท่ี การรบ ๑๑๐,๐๐๐ คน และฝ่าย Confederacy สญู เสยี ลม้ ตายไป ที่เมอื งเกตตีสเบอรก์ รฐั เพนซลิ เวเนีย เม่ือวนั ท่ี อยา่ งไรกต็ าม กอ่ นหน้าน้นั ลินคอล์นไดเ้ ซน็ เห็น ๒๕๘,๐๐๐ คน โดยตายในการรบ ๙๔,๐๐๐ คน และท้ัง ๑๙ พ.ย. 1863/๒๔๐๖ เรียกว่า Gettysburg Address ชอบการแก้ไขรัฐธรรมนญู ไปแล้ว โดยเพิ่มอนุบญั ญัติ สองฝา่ ยบาดเจบ็ อย่างนอ้ ย ๔๗๑,๔๒๗ คน) เปน็ สงคราม ข้อที่ ๑๓ ซ่ึงให้เลิกทาสตามความวา่ “การเป็นทาส ก็ ท่คี นอเมริกนั ตายมากทีส่ ุด ยงิ่ กวา่ ในสงครามใดๆ (ใน ดี การรับใช้โดยไม่สมคั รใจ ก็ดี มใิ หม้ ีในสหรัฐ …” พอ สงครามปฏวิ ตั อิ เมรกิ นั คอื คราวประกาศอสิ รภาพจาก ประธานาธิบดีจอห์นสันรับตำ� แหน่งแล้ว ก็รบี ดำ� เนินการ อังกฤษ ซง่ึ จบในปี 1783/๒๓๒๖ คนอเมริกันตายในการ ใหอ้ นบุ ัญญัติที่ ๑๓ นั้นไดร้ ับมติเห็นชอบ มผี ลบังคับใช้ รบ ๔,๔๓๕ คน, ในสงครามโลกคร้งั ท่ี ๑ ทหารอเมริกนั ตงั้ แต่วันที่ ๑๘ ธนั วาคม ๒๔๐๘ ตายประมาณ ๕๓,๕๑๓ คน และในสงครามโลกครัง้ ที่ ๒ คนอเมรกิ ันตายประมาณ ๒๙๒,๖๐๐ คน) สงครามกลางเมืองจบลง โดยเปน็ ความสำ� เรจ็ ของ ประธานาธบิ ดีลนิ คอลน์ ทร่ี กั ษาประเทศใหค้ งอยรู่ วมเป็น วาทะหนึง่ ของประธานาธิบดลี ินคอลน์ ทนี่ ำ� มา อนั เดยี วได้ และชือ่ ว่าเปน็ ผ้เู ลิกทาส แต่สงครามน้ี แม้จะ อ้างกันบอ่ ยมาก โดยถอื วา่ แสดงความหมายของประชา- เลกิ ทาสได้ ก็ยงั ไม่สามารถแก้ปมของเร่อื งทซี่ อ้ นลกึ ลงไป ธปิ ไตยไดก้ ะทัดรดั ชดั เจน คอื ขอ้ ความว่า “รฐั บาลของ อกี ชนั้ หนง่ึ คอื ปญั หาการแบง่ แยกเหยยี ดผวิ ทจี่ ะรงั ควาญ พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 171

จากรายงานของนกั สำ� รวจ: ชดั เจนวา่ พระพทุ ธศาสนาทน่ี ่ี (ทเี่ มอื งกบิลพสั ดุ)์ ได้ บางแหง่ กระดูกคนบา้ ง เหล็กบา้ ง ไมบ้ ้าง พระพทุ ธรปู ความสูญสน้ิ เพราะถูกทำ� ลาย ถกู ท�ำลายล้างด้วยไฟและดาบ” บ้าง ฯลฯ ถูกเอามารวมสมุ กันไว้เปน็ กองมหมึ า...” นักโบราณคดเี หลา่ นบ้ี ันทกึ ไว้ว่า สถานท่แี ละสิ่ง นักโบราณคดอี กี คนหนึง่ ส�ำรวจอีกทหี่ นงึ่ เขยี นว่า การทำ� ลายวัดใหญ่นี้คงต้องเกิดขนึ้ อยา่ งฉบั พลนั กอ่ สรา้ งเหลา่ นัน้ สูญสิ้นไปเพราะการท�ำลายของคน และ “การขดุ คน้ ทุกทที่ กุ แห่งใกลๆ้ สารนาถ พบร่องรอยของ และไมไ่ ด้คาดหมาย เพราะ พ.ต.คิตโต ไดพ้ บซากเศษ เป็นการท�ำลายแบบแทบสิน้ ซากสิน้ เชงิ เชน่ ท่ี Mr. Carl- ไฟท้งั น้นั ตัวขา้ พเจ้าเองก็พบไม้ทไ่ี หมเ้ กรียม และเมลด็ สงิ่ ของตามทต่ี า่ งๆ ในลกั ษณะทีท่ �ำใหม้ องเหน็ เหตุการณ์ lyle เขยี นไวใ้ นรายงานการสำ� รวจโบราณคดี เล่ม ๑๘ ขา้ วสารทไี่ หมไ้ ฟด�ำไปครงึ่ ๆ คอ่ นๆ” พนั ตรี คติ โต (Major ว่า เกิดไฟไหม้ชนิดทีค่ นจุดโหมเขา้ มาฉับพลนั ทนั ใด ท�ำให้ (Archaeological Survey Reports, vol.18) วา่ “พบ Kittoe) เลา่ สรุปว่า “ทุกแหง่ ถูกบกุ ปล้นและเผา ไม่ว่าจะ ภกิ ษทุ ัง้ หลายตอ้ งละท้ิงอาหารทก่ี ำ� ลงั ฉันอยู่ไปทันที กระดกู คนมากมาย และวตั ถทุ ถี่ กู ไฟไหมด้ �ำเกรยี มนานาชนดิ เป็นพระสงฆ์ กุฏิวิหาร หรอื พระพทุ ธรูปหมดไปดว้ ยกนั อยตู่ ามหอ้ งชน้ั นอกและประตทู างเขา้ ออกทงั้ สองดา้ น เปน็ ท่ี องคก์ รขาวพิฆาตดำ� รางวลั โนเบล (Nobel Prize) จากบนซ้าย: เพอ่ื ผู้ทำ� คุณประโยชนอ์ ันยง่ิ ใหญ่ คู คลกั ซ์ แคลน พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) ที่รฐั เทนเนสซี (Ten- เหรยี ญรางวัลโนเบล nessee) อเมรกิ า เกิดองค์กรลบั “คู คลักซ์ แคลน” พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) นกั เคมแี ละวศิ วกรชาว อลั เฟรด โนเบล (Ku Klux Klan) ซ่ึงถอื การแบง่ แยกรังเกียจผวิ อย่าง สวีเดน ชอ่ื อลั เฟรด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel) รนุ แรง โดยท�ำงานขู่ ฆ่า รังควานคนผวิ ด�ำ และใครกต็ าม ประดิษฐ์ดนิ ระเบดิ (dynamite) ส�ำเรจ็ แต่เขาไมร่ ้สู ึก ท่ีจะให้คนดำ� มีสทิ ธเิ ทา่ เทียมกับคนขาว แต่ราว ๑๐ ปี ช่นื ชมกับโชคลาภอยา่ งนัน้ และได้สละเงนิ ส่วนใหญ่ตัง้ องค์กรนกี้ ็ซบเซา ขนึ้ เป็นกองทนุ ประเดมิ $9,200,000 เพ่อื ให้จัดสรรเปน็ รางวัลประจ�ำปีแกผ่ ู้ทสี่ ร้างสรรคค์ ุณประโยชนย์ งิ่ ใหญ่ หลังสงครามโลกครั้งท่ี ๑ คู คลกั ซ์ แคลน ฟน้ื ให้แก่มนุษยชาติใน ๕ ดา้ น คือ ฟสิ ิกส์ เคมี สรรี วิทยา ใหม่และยิ่งใหญข่ ้ึนมาก ในปี 1924 มสี มาชกิ ถึง ๔ ล้าน หรือการแพทย์ วรรณคดี และสนั ติภาพ กองทุนได้ คน ครองอำ� นาจการเมอื งอเมริกาถึง ๗ รฐั ขยายความ เพิม่ พูนขึ้น และหลังจากเขาสิ้นชพี แล้วครบปที ่ี ๕ จงึ มี รังเกียจไปยงั คนต่างชาติ ต่างนกิ ายศาสนาท้ังหมด ถือ การจดั มอบรางวัลทง้ั ๕ นัน้ เปน็ ครัง้ แรกเมือ่ ๑๐ ธ.ค. อดุ มการณ์ “White Supremacy” ชูปา้ ย “America ๒๔๔๔/1901 ตอ่ มาถงึ ปี ๒๕๑๒/1969 ได้จดั มอบรางวัล for Americans” เพมิ่ ข้นึ เปน็ สาขาท่ี ๖ ทางเศรษฐศาสตร์ (เม่อื ปี ๒๕๓๕ รางวลั หน่ึงๆ มมี ูลคา่ ประมาณ $1.2 ลา้ น) 172 กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก

คนั นงิ่ แฮมคิดถึงใคร ทมี่ าเผา-ฆา่ แมแ้ ต่ต้ังใจไปขดุ ฟื้น บางแห่งกท็ ำ� ไมไ่ ด้ โดยเฉพาะที่ฝงั ศพมสุ ลมิ มากแห่งก็สรา้ งซอ้ นขึ้น ไวข้ ้างบน ทบั สถานที่ซงึ่ ถกู ท�ำลายไปแล้วนัน้ เอง ท�ำใหไ้ ม่ นายพลคันนิ่งแฮมรสู้ ึกหงดุ หงดิ ขุ่นเคอื ง เพราะ สถูป เจดีย์ ปชู นยี สถานทัง้ หลายเป็นอนั มาก เมอ่ื สามารถจะไปขุดค้นดอู ะไรได้ กลายเปน็ อุปสรรคสำ� คญั ท่ี จะไปท่ีซากปรักหักพังของพทุ ธสถานท่ีไหน กเ็ จอกระดูก ถกู ทำ� ลายลงไปแล้ว ชาวมสุ ลมิ เตอร์กกน็ ำ� เอาวสั ดุจาก ขวางก้นั การขดุ คน้ ไหมด้ ำ� และส่ิงทบ่ี ง่ บอกถึงการจดุ ไฟเผาทุกแห่งไป ใคร สถานทที่ ีท่ ำ� ลายไปแล้วนั้น มาใช้สรา้ งทีฝ่ งั ศพมุสลิม ดัง หนอท่ีมาหำ�้ หั่นขม่ เหงชาวพทุ ธผไู้ ม่เบียดเบยี นทำ� ร้ายใคร ท่นี ายพลคนั นง่ิ แฮมเขยี นไวว้ า่ “ทุกทศิ ของเมืองพหิ ารจะ ทำ� เหมือนอย่างทศี่ าลไต่สวนศรัทธาของคริสต์ในสเปน เหน็ ท่ีฝังศพมสั ซลุ หม่าน (musulman เป็นคำ� เตอรก์ ตรง ไดท้ �ำกับคนทีถ่ กู หาว่านอกศาสนา ตอนแรกนายพลคัน กบั คำ� วา่ มสุ ลิมของอาหรับ) ท่ขี นาดยอ่ มกส็ รา้ งดว้ ยอฐิ นิ่งแฮมคงคิดวา่ เป็นพวกพราหมณ์ เขาจึงใช้คำ� วา่ “พวก ขนาดใหญ่กส็ รา้ งดว้ ยกอ้ นหินท่สี ะกดั และแกะสลกั แล้ว พราหมณ์ใจร้าย” (malignant Brahmans) ตอ่ มาก็ จากแหล่งสามญั ของชาวมะหะหมดั คอื ซากสง่ิ ก่อสรา้ ง ชัดเจนวา่ เป็นการกระทำ� ของทพั มุสลมิ เตอร์ก ของพทุ ธหรือพราหมณ์ที่ถูกทำ� ลายลงไปแล้ว” เทคโนโลย:ี เครอื่ งพมิ พด์ ดี เกดิ ทอ่ี เมรกิ า พมา่ สร้างพระไตรปิฎกฉบับหินอ่อน จากซา้ ย: Remington No.1 พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) มีคนอเมรกิ นั ประดษิ ฐ์ พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. 1872) ที่มัณฑะเลย์ ในพม่า Typewriter (1873) เครอ่ื งพมิ พด์ ดี ไดส้ ำ� เรจ็ ซง่ึ ทำ� ใหผ้ ลติ เครอื่ งพมิ พด์ ดี เรมงิ ตนั พระเจา้ มินดงทรงอุปถัมภ์สังคายนาครั้งท่ี ๕ มีการแปล วัดมหรรณพาราม (Remington) เคร่อื งแรกออกมาในเดือนกนั ยายน 1873 พระไตรปฎิ กครัง้ ใหญ่ และโปรดใหจ้ ารึกพระไตรปิฎกลง พระไตรปฏิ กหินอ่อน ในแผ่นหินออ่ นสขี าวจบใน ๗๒๙ แผ่น พระเจ้ามินดง ในกรุง “โรงเรียนหลวงส�ำหรบั ราษฎร” พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 173 เกิดกอ่ นที่วัดมหรรณพ์ พ.ศ. ๒๔๑๔ (ค.ศ. 1871) ทป่ี ระเทศไทย ใน รชั กาลท่ี ๕ ดว้ ยพระบรมราชโองการ “โปรดเกลา้ ฯ จะให้ มอี าจารยส์ อนหนงั สือไทยและสอนเลขทกุ ๆ พระอาราม” การศกึ ษาแบบสมยั ใหมใ่ นประเทศไทยก็เรมิ่ ตง้ั ตน้ ท้งั น้ี โดยให้พระสงฆร์ บั ภาระช่วยการศกึ ษาของชาติ ครั้นแล้ว ใน พ.ศ. ๒๔๒๗ ก็โปรดใหต้ ้ังโรงเรยี นหลวงส�ำหรบั ราษฎร ข้ึนตามวดั เร่ิมทีว่ ดั มหรรณพาราม เปน็ โรงเรียนแรก

ฝรัง่ แตง่ หนงั สือธรรมโด่งดัง ลทั ธิชงั ยิว vs. ลัทธยิ ิวรกั ถนิ่ พ.ศ. ๒๔๒๒ (ค.ศ. 1879) ทอ่ี งั กฤษ เซอร์ เอดวนิ พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881) ท่รี สั เซยี พระเจ้าซาร์ อารโ์ นลด์ (Sir Edwin Arnold) แต่งบทประพนั ธ์อัน อเลกซานเดอร์ ที่ ๓ ขึน้ ครองราชย์ นอกจากหำ้� หน่ั ไพเราะ แสดงพุทธประวตั ิและคำ� ตรัสสอน ชือ่ เร่อื ง The (persecution) พวกโรมนั คาทอลิกแลว้ ก็ด�ำเนนิ การ Light of Asia (ประทีปแห่งทวปี อาเซยี ) ท�ำให้คนอินเดีย กวาดล้างยิว ถึงขนาดปฏญิ าณวา่ จะก�ำจัดยวิ ใหห้ มด และชาวตะวันตกจำ� นวนมากสนใจพระพทุ ธศาสนา บ้างก็ ประเทศ โดยฆ่าเสยี ๑ ใน ๓ ขับไลอ่ อกไป ๑ ใน ๓ และ ถึงกับหนั มานับถือ ทเ่ี หลอื จากนั้นให้เปลี่ยนศาสนา แลว้ ก็เริม่ ตน้ สงั หารทีละ มากๆ เป็นเหตใุ หใ้ นระยะ ๓๐ ปตี อ่ มา คนยวิ อพยพหนี ลอนดอน มอี งคก์ รพมิ พ์พระไตรปฎิ ก จากรสั เซยี หลายล้านคนและท�ำใหเ้ กิดลทั ธไิ ซโอน (Zion- ism คอื ลัทธิมวลยวิ รกั ถ่ิน หรือขบวนการรวมมวลชนยวิ พ.ศ. ๒๔๒๔ (ค.ศ. 1881) ทอี่ งั กฤษ ท.ี ดับลิว. ท่วั โลกร่วมใจคนื ถิ่นสร้างดินแดนของตนในปาเลสไตน)์ รสี เดวิดส์ (T.W. Rhys Davids) ตงั้ Pali Text Society (สมาคมบาลีปกรณ)์ ข้ึนในกรงุ ลอนดอน “to foster and การกวาดลา้ งยวิ ในรัสเซียดำ� เนินมาเรอ่ื ยๆ โดย promote the study of Pali texts” ไดพ้ มิ พ์คัมภรี ์ แรงข้นึ เป็นระยะๆ เช่น ช่วงต่อมา ในปี ๒๔๔๖, ๒๔๔๘- พระพทุ ธศาสนาภาษาบาลี เร่ิมแตพ่ ระไตรปฎิ กและ ๙ (1903, 1905-6) มกี ารสงั หารหมู่อย่างหนัก ยง่ิ หลงั อรรถกถา ดว้ ยอกั ษรโรมนั พร้อมท้ังคมั ภีร์แปล ตลอด สงครามโลกคร้งั ที่ ๑ แล้ว ทฐิ ิชังยิว หรือลัทธิต่อตา้ นยิว จนพจนานุกรมบาล-ี องั กฤษ อันเก้อื กลู ตอ่ การศึกษา (anti-Semitism) กย็ ง่ิ รนุ แรงแผข่ ยายในยโุ รป กวา้ งออกไป พระพุทธศาสนาเปน็ อันมาก ดูโลกปัจจุบัน จากบนซ้าย: อยา่ มองข้ามนกั เศรษฐศาสตร์ท่านน้ี เซอร์ เอดวนิ อาร์โนลด์ ที.ดบั ลวิ . รสี เดวดิ ส์ พ.ศ. ๒๔๒๖-๘๙ (ค.ศ. 1883-1946) ช่วงชวี ิต พระเจา้ ซาร์ อเลกซานเดอร์ ท่ี ๓ ของจอห์น เมยน์ ารด์ เคนส์ (John Maynard Keynes) จอห์น เมย์นารด์ เคนส์ ชาวอังกฤษผู้เปน็ นกั เศรษฐศาสตร์ที่มีอิทธพิ ลมากท่สี ดุ แหง่ คริสต์ศตวรรษท่ี 20 174 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ไทยพมิ พพ์ ระไตรปิฎกเป็นเล่มหนงั สือ ใช้ ร.ศ. แทน จ.ศ. ชดุ แรกของโลก พ.ศ. ๒๔๓๒ (ค.ศ. 1889) ต้งั แต่วันท่ี ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ (ค.ศ. 1888) ทปี่ ระเทศไทย พระบาท เป็นเรม่ิ ตน้ ท่ปี ระเทศไทย ในรชั กาลท่ี ๕ โปรดให้ใช้ สมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ ร.๕ โปรดใหพ้ มิ พพ์ ระไตรปฎิ ก รตั นโกสนิ ทรศก เปน็ ศกั ราชทางราชการ แทน “จลุ ศกั ราช” บาลี ด้วยอักษรไทย เป็นเล่มหนงั สือสมัยใหม่ อนั นับวา่ ซึ่งใชก้ ันสืบมายาวนาน (เปน็ การใชอ้ ย่างพมา่ ) ดงั นนั้ ๑ เปน็ คร้ังแรกของโลก จบละ ๓๙ เลม่ (ยงั ขาดปฏั ฐาน) เมษายน จ.ศ. ๑๒๕๑ (พ.ศ. ๒๔๓๒) จงึ เปลีย่ นใชว้ ่า ๑ ๑,๐๐๐ ชดุ เสรจ็ และฉลองในปี ๒๔๓๖ พรอ้ มกบั เมษายน ร.ศ. ๑๐๘ (พ.ศ. = ร.ศ. + ๒๓๒๔; พ.ศ. = จ.ศ. รัชดาภเิ ษก แลว้ สง่ ไปพระราชทานแกน่ านาประเทศ + ๑๑๘๑; จ.ศ. = ร.ศ. + ๑๑๔๓) มีโรงเรียนแล้ว ต้องมโี รงพยาบาล พระไตรปฎิ กปาฬิ จลุ จอมเกลา้ บรมธัมมิกมหาราช เปน็ ฐานของชวี ติ และสงั คม (ชดุ ทไี่ ดร้ ับพระราชทานและเกบ็ รกั ษาไวใ้ นประเทศญปี่ ุ่น) พ.ศ. ๒๔๓๑ (ค.ศ. 1888) ทป่ี ระเทศไทย ใน รชั กาลที่ ๕ “ได้เปดิ โรงพยาบาลรักษาคนไขเ้ ปน็ ครง้ั แรก เม่ือวันท่ี ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวนั พฤหสั บดี แรม ๑ ค่�ำ เดือน ๖ ปีชวด และเมอื่ วนั ที่ ๒๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ไดพ้ ระราชทานนามว่า โรงศริ ริ าชพยาบาล ตามพระนามสมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจ้าฟา้ ศิริราช- กกธุ ภณั ฑ”์ (ประวตั กิ ระทรวงศกึ ษาธกิ าร ๒๔๓๕–๒๕๐๗, หนา้ ๖๕) พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 175

จากซ้าย: อนาคาริก ธรรมปาละ พ.อ. ออลคอตต์ อนาคาริก ธรรมปาละ พระพทุ ธศาสนา โดยครองตนเปน็ อนาคารกิ เพอื่ ใหท้ ำ� งาน ผนู้ ำ� การฟ้ืนฟพู ุทธศาสนาในอินเดีย ไดส้ ะดวก และใชช้ อ่ื ใหมว่ า่ อนาคารกิ ธรรมปาละ พ.ศ. ๒๔๓๔ (ค.ศ. 1891) อนาคารกิ ธรรมปาละ ณ วนั ท่ี ๒ มกราคม ๒๔๓๔ หลงั จากเยอื นสารนาถ (Anagarika Dharmapala) ชาวลงั กา เกดิ เม่อื พ.ศ. ธรรมปาละไดม้ าที่พทุ ธคยา เมอ่ื เหน็ สภาพของอภ-ิ ๒๔๐๗=ค.ศ. 1864 ในตระกูลผ้ดู ีลงั กาทีเ่ ปลี่ยนไปนบั ถือ สัมพทุ ธสถานท่ถี กู ทอดทง้ิ ทรุดโทรมและตกอยู่ใต้การ ครสิ ตส์ มยั เปน็ อาณานคิ มขององั กฤษ เดมิ ช่ือ David ครอบครองของพวกนกั บวชฮนิ ดทู เี่ รยี กวา่ มหนั ตแ์ ลว้ ได้ Hewavitharne ปฏญิ าณต่อหน้าตน้ พระศรมี หาโพธิ์ ว่าจะอุทิศชีวิตของ ตนเพือ่ กูพ้ ทุ ธสถานส�ำคญั นัน้ กลับคืนขน้ึ มาส่คู วามเป็น ต่อมา David ไดเ้ รยี นรจู้ กั พระพทุ ธศาสนาจาก ทศั นยี ปูชนยี สถานให้จงได้ ชาวอเมริกัน ชื่อ พ.อ. ออลคอตต/์ Col. H.S. Olcott จึง หนั มานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา และเมอ่ื ไดร้ สู้ ภาพพระพทุ ธ- ศาสนาทถี่ กู เบยี ดเบยี นตา่ งๆ จึงไดต้ ง้ั ปณธิ านท่จี ะฟ้ืนฟู วิทยาลยั แหง่ แรกของไทย มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ประกาศตงั้ เปน็ มหาวิทยาลยั ฝ่ายพระพทุ ธศาสนา ๙ ม.ค. ๒๔๙๐ เปิด พ.ศ. ๒๔๓๒ (ค.ศ. 1889) ทปี่ ระเทศไทย พระบาท การศึกษา ๑๘ ก.ค. ๒๔๙๐ ให้ปรญิ ญาพุทธศาสตร- สมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ร.๕ โปรดให้ยา้ ยที่ราชบณั ฑิต บณั ฑติ มีฐานะสมบูรณ์ตามกฎหมายเมอ่ื รัฐตรา พรบ. บอกหนงั สอื พระ จากในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ออกมา มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๔๐ จัดเปน็ บาลวี ทิ ยาลยั ขึ้นที่วดั มหาธาตุ เรียกวา่ “มหาธาตุ วิทยาลัย” เปน็ คร้งั แรกท่ใี ชน้ ามวทิ ยาลยั ในประเทศไทย ต่อมา ณ ๑๓ ก.ย. ๒๔๓๙ เสดจ็ ไปทรงวางศิลา ฤกษส์ งั ฆเสนาสนร์ าชวทิ ยาลัย ประกาศพระราชปรารภ เปลี่ยนนามมหาธาตวุ ทิ ยาลัยเปน็ “มหาจฬุ าลงกรณ- ราชวิทยาลยั ” ใหเ้ ปน็ ทศ่ี ึกษาพระปรยิ ัติธรรมและวชิ า ชน้ั สูง 176 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ตง้ั มหาโพธิสมาคมเป็นฐาน ตอ่ มาเริ่มจัดคณะไปนมัสการพทุ ธคยา และพทุ ธ- เร่มิ งานฟนื้ พทุ ธสถาน สถานอนื่ ๆ เปน็ ครง้ั แรกในเดอื น ธ.ค. ๒๔๓๗ แลว้ ในเดอื น ก.พ. ๒๔๓๘ ได้นำ� พระพทุ ธรูปเข้าไปตง้ั บชู าในพระเจดีย์ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๔๓๔ นั้นเอง ก็ไดต้ ้งั พทุ ธคยา (พระพทุ ธรูปองค์นี้เปน็ แบบญีป่ ุ่น) แต่คนของ Maha Bodhi Society (มหาโพธิสมาคม) แหง่ แรกขึ้น ฮนิ ดมู หนั ตไ์ ด้นำ� พระพทุ ธรปู น้นั ออกมาทิง้ ข้างนอก เรื่อง มาเปน็ ฐานในการทำ� งาน ให้ชอ่ื ว่า Buddhagaya Maha เปน็ ความขน้ึ ศาลกนั และพยายามกันตอ่ มา จนใน ต.ค. Bodhi Society (พทุ ธคยามหาโพธิสมาคม แต่ต้งั ขนึ้ ที่ ๒๔๔๔ แมช้ าวพุทธจะไดอ้ สิ รภาพในการเข้าไปบชู าใน ลงั กา) จากนัน้ ไดม้ ุ่งมั่นท�ำงานเพอ่ื จุดหมายทต่ี งั้ ไว้ ต้อง พระพุทธคยาเจดีย์ แต่องคพ์ ระเจดยี ก์ ย็ ังเปน็ ทรพั ยส์ ิน เดินทางไปในประเทศต่างๆ มาก โดยเฉพาะไปเผยแผ่ ในความดแู ลของฮินดมู หนั ตก์ ับรฐั บาล คณะของท่าน ธรรมในอเมริกา (แวะเมอื งไทย ก.พ. ๒๔๓๗) ตลอดจนไป ธรรมปาละท�ำได้เพียงซือ้ ท่ีสรา้ งท่ีพกั ไวใ้ กลๆ้ รว่ มประชุมสภาศาสนาโลกที่ชิคาโกใน ก.ย. ๒๔๓๖ (the 1893 World’s Parliament of Religions in Chicago) ต่อมาไมน่ านได้ซอ้ื ทเ่ี พือ่ สร้างวหิ ารทสี่ ารนาถ จน กระทงั่ สรา้ งมูลคันธกฏุ วี หิ ารเสรจ็ ทนี่ ัน่ ในปี ๒๔๗๓ ต้ังกระทรวงธรรมการ ใหธ้ รรมะ มหาวทิ ยาลัยสงฆ์แห่งแรก คมุ ศาสนา และเป็นแกนของการศึกษา ในประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) วนั ที่ ๑ เมษายน ที่ พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ. 1893) ทป่ี ระเทศไทย ประเทศไทย ในรชั กาลท่ี ๕ มีพระบรมราชโองการ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าฯ ร.๕ เสด็จไปทรงเปดิ ประกาศตัง้ กรมธรรมการข้นึ เป็น “กระทรวงธรรมการ” “มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย” ที่สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า (พรอ้ มกับกระทรวงอื่นๆ รวมเป็น ๑๐ กระทรวง) ให้รบั กรมพระยาวชริ ญาณวโรรสทรงจดั ตง้ั ข้ึน ผดิ ชอบการศกึ ษาทั้งฝา่ ยบ้านเมอื งและพระศาสนาเนอื่ ง อยใู่ นนโยบายอันเดียวกัน โดยกอ่ นนี้ ในปี ๒๔๓๒ ได้ มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ประกาศตง้ั เปน็ มหาวทิ ยาลยั โปรดให้รวมกรมศกึ ษาธกิ ารท่ตี งั้ ขน้ึ แต่ พ.ศ. ๒๔๓๐ กับ สงฆ์ ช่อื สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลยั ณ ๓๐ กรมอืน่ ๆ อีก ๓ กรม เขา้ ในกรมธรรมการมาพรอ้ มแล้ว ธ.ค. ๒๔๘๘ เปิดการศกึ ษา ๑๖ ก.ย. ๒๔๘๙ ใหป้ รญิ ญา ศาสนศาสตรบณั ฑิต มีฐานะสมบรู ณต์ ามกฎหมายเมื่อรัฐ ตรา พรบ. มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พ.ศ. ๒๕๔๐ พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 177

อเมรกิ ันชายนำ� เขา้ มา แมจ้ ะสิ้นชพี อเมริกนั หญงิ ชว่ ยทุนใหเ้ ดนิ หนา้ ขอเกิดมาท�ำงานพุทธศาสนาต่อไป การเพอื่ พระศาสนาทง้ั นี้ รวมทั้งการสร้างโรงเรยี น ตอ่ มา พ.ศ. ๒๔๗๔ อนาคาริก ธรรมปาละ ชรา และโรงพยาบาลเพอ่ื การสงเคราะห์ควบคู่ไป ได้รับความ ลง ได้บวชโดยมีนามว่า ศรี เทวมติ ร ธรรมปาละ จากน้นั ร่วมมอื จากชาวพทุ ธหลายแห่ง โดยเฉพาะบคุ คลท่ชี ว่ ย อีก ๒ ปีกไ็ ด้อุปสมบท (ตรงนี้ ผู้บนั ทกึ ล�ำดบั เหตกุ ารณ์ เหลือโดยตลอดและมากท่สี ดุ จนสุดทา้ ยตัง้ เปน็ กองทนุ ในประวัติเขยี นไว้สบั สนว่า ค.ศ. 1931: Ordained as a คือ เศรษฐนิ ชี าวอเมริกนั ชื่อ Mrs. Mary Foster Bhikkhu... แล้ว ค.ศ. 1933: Received Higher Ordi- (กองทนุ ชือ่ Mary Foster Permanent Fund, ตัง้ ใน nation. ท�ำใหส้ งสัยวา่ เป็นการบนั ทกึ ผิดพลาด ครง้ั แรก ก.ค. ๒๔๖๗) อาจบรรพชาเปน็ สามเณร แล้วคร้งั หลงั อุปสมบทเป็นพระ ภิกษุ หรือเปน็ ภิกษุแล้วบวชซ�ำ้ แบบทำ� ทัฬหกี รรม) เจดีย์พุทธคยา หลังการบรู ณะ แต่เวลาผา่ นมาเพยี ง ๒ เดอื นเศษ ณ ๒๙ เม.ย. ๒๔๗๖ ทา่ นกถ็ งึ มรณภาพทสี่ ารนาถ เมอื งพาราณสี กลา่ ว วาจาสดุ ทา้ ยวา่ “ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดเ้ กดิ ใหม.่ ..ขา้ ฯ ขอเกดิ อกี ๒๕ ชาติ เพื่อเผยแพร่ธรรมของพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้า” ค้นพบเอกซเรย์ จากซ้าย: Wilhelm C. Roentgen พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. 1895) ณ วันท่ี ๕ พ.ย. นัก เอกซเรยช์ ้นิ แรก ฟิสิกส์เยอรมัน ชือ่ เรนิ ตเ์ กน (Wilhelm C. Roentgen) 1896 Olympic Medal คน้ พบรังสีแม่เหลก็ ไฟฟา้ ความถสี่ งู ทเ่ี รียกวา่ “เอกซเรย์ ตราสัญลกั ษณ์กฬี าโอลมิ ปกิ (X-ray)” และได้รบั รางวลั โนเบล ประจำ� ปี ๒๔๔๔/1901 กีฬาโอลิมปกิ คนื ชีพ พ.ศ. ๒๔๓๙ (ค.ศ. 1896) กีฬาโอลิมปกิ ของกรกี โบราณ ซ่งึ หยุดไปเพราะถกู พวกโรมนั หา้ ม ตัง้ แตป่ ี ๗๓๗/ 194 ไดร้ ับการฟ้ืนฟู เร่ิมจัดขึน้ ใหมท่ ่ีเมอื งเอเธนส์ 178 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

ปลูกเมล็ดพืชไว้ บุคคลท่ไี ด้บำ� เพ็ญประโยชนอ์ ยา่ งมากแก่พระพุทธศาสนา มหาโพธิสมาคม ผลเผล็ดใหผ้ ู้อนื่ ชนื่ ชมต่อไป และแกช่ าวพุทธสมยั ปจั จบุ ัน โดยเฉพาะผทู้ ี่มานมสั การ พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 179 สงั เวชนยี สถานคงจะอนโุ มทนาอัตถจรยิ าเพอ่ื กพู้ ทุ ธสถาน กาลล่วงมาถงึ พ.ศ. ๒๔๙๒ (ค.ศ. 1949) หลงั จาก ทที่ า่ นไดบ้ �ำเพญ็ แล้ว ทา่ นธรรมปาละสิ้นชพี ไปแล้ว ๑๖ ปี งานทีท่ า่ นเพยี รท�ำ ไว้จงึ สำ� เรจ็ บ้างบางส่วน เมอ่ื รฐั บาลรฐั พิหารออก พรบ. ปราชญ์อินเดยี ตืน่ ตวั ตามฝรงั่ ศาสนสถานพทุ ธคยา (Buddha Gaya Temple Act) ตง้ั สมาคมทางพุทธ กำ� หนดให้การจดั การมหาโพธิเจดยี ์เป็นอำ� นาจของคณะ กรรมการที่ประกอบด้วยชาวฮนิ ดูและชาวพทุ ธมีจำ� นวน พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) ปราชญช์ าวอนิ เดยี เกิด ฝ่ายละเทา่ กนั ความตืน่ ตวั ขน้ึ จากแรงกระตุน้ ที่ไดเ้ ห็นชาวตะวนั ตกศึกษา ค้นคว้าพระพุทธศาสนากันจริงจงั จึงไดต้ งั้ Buddhist มหาโพธิสมาคมในอนิ เดีย มีส�ำนกั งานใหญ่อยทู่ ่ี Text Society (สมาคมพทุ ธศาสนปกรณ)์ ขน้ึ บา้ งในเมอื ง เมืองกลั กตั ตา (Kolkata หรือ Calcutta) มสี าขาหลาย กลั กัตตา แหง่ หลายเมือง ออกวารสารช่ือ The Maha Bodhi อนาคาริก ธรรมปาละ เป็นชาวพุทธผู้มบี ทบาท สำ� คัญยง่ิ ในการฟนื้ ฟูพระพทุ ธศาสนาในชมพทู วปี เปน็ พุทธแบบเซนเดน่ ก่อน ท่อี เมริกา พ.ศ. ๒๔๔๐ (ค.ศ. 1897) ที่อเมรกิ า ซซู กู ิ (Daisetz Teitaro Suzuki) ปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา นกิ ายเซน ด้วยการบรรยายตามมหาวิทยาลัยอเมรกิ ัน และเขียนหนงั สือ ได้ท�ำใหช้ าวตะวนั ตกรู้เขา้ ใจพระ พทุ ธศาสนา และนิยมสมาธแิ พรห่ ลายออกไปมาก พรอ้ ม กบั นยิ มพระพุทธศาสนาแบบเซนดว้ ย

ในหวั เมือง เผดียงพระสงฆ์ ราชสำ� นกั อังกฤษ คดิ อ่านตรวจตราสบื หาแบบแผน จากบนซา้ ย: สอนทว่ั ราชอาณาจักร และทำ� ความเหน็ วธิ ีที่จะแก้ไขจดั การศึกษา …” พระยา กรมหม่นื ดำ� รงราชานุภาพ วิสุทธสุริยศักดไ์ิ ดด้ �ำเนนิ การแลว้ ส่งมายงั กระทรวง ครูพระ พ.ศ. ๒๔๔๑ (ค.ศ. 1898) ท่ปี ระเทศไทย ใน ธรรมการ และกรมศกึ ษาธกิ ารประมวลเรยี บเรยี งเสร็จ พระยาวิสทุ ธสุรยิ ศักด์ิ รชั กาลที่ ๕ มพี ระบรมราชโองการ “ประกาศจดั การ นำ� ขน้ึ ทลู เกลา้ ฯ ซึ่งทรงพอพระราชหฤทัยและตรสั ชม นกั เรยี นยุโรปสมัย ร.๕ เลา่ เรียนในหวั เมอื ง” เผดียงพระสงฆท์ ่ัวราชอาณาจกั ร สำ� เร็จเป็น “โครงการศกึ ษา พ.ศ. ๒๔๔๑” (บางทีเรยี ก ให้เอาใจใสส่ ัง่ สอนธรรมแกป่ ระชาชน และฝกึ สอนวิชา เป็น “โครงการศกึ ษาสำ� หรบั ชาติ พ.ศ. ๒๔๔๑” กม็ ี) (กอ่ นเปลีย่ นแปลงการปกครอง เรียก “โครงการ ความรตู้ า่ งๆ แกก่ ลุ บตุ ร เพอ่ื การน้ี ทรงอาราธนากรมหมน่ื อันควรถือว่าเป็นแผนการศึกษาแหง่ ชาติ ฉบบั แรกของ ศึกษา” เปน็ พ้ืน มีเรยี กเป็นแผนการศกึ ษาสลบั บ้าง ตอ่ วชิรญาณวโรรส เจา้ คณะใหญ่ บงั คับการพระอารามใน ประเทศไทย มา ต้งั แต่ปีเปลีย่ นการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ จงึ เรียก หวั เมืองในส่วนการพระศาสนาและการศึกษา และทรง ว่า “แผนการศกึ ษาชาต”ิ แลว้ ต่อมาอกี ถึงปี ๒๕๐๒ มี มอบหมายกรมหมนื่ ด�ำรงราชานุภาพเป็นเจ้าหนา้ ทีอ่ นกุ ูล ตามโครงการศกึ ษา พ.ศ. ๒๔๔๑ น้ี การเลา่ เรียน ประกาศคณะปฏิวตั ติ ั้งสภาการศกึ ษาแห่งชาตขิ ึน้ แต่ ในฝ่ายกจิ การของฆราวาส สามญั แบง่ ลำ� ดับชัน้ เปน็ ๔ คือ การเล่าเรยี นเบือ้ งแรก นีไ้ ปเตมิ “แหง่ ” เรมิ่ ดว้ ย “แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ (มลู ศึกษา) เบ้อื งตน้ (ประถมศกึ ษา) เบื้องกลาง (มัธยม พุทธศักราช ๒๕๐๓”) แผนการศกึ ษาแห่งชาติ ศึกษา) และเบ้อื งสงู สุด (อุดมศกึ ษา) ในตอนวา่ ดว้ ย ฉบบั แรกของประเทศไทย อุดมศึกษา มคี วามตอ่ ทา้ ยวา่ “หมายเหตุ: ได้หวังใจไว้วา่ ในปสี ุวรรณาภเิ ษก ถา้ จะเปน็ ได้ จะไดร้ วมมหามกุฏ- พ.ศ. ๒๔๔๑ (ค.ศ. 1898) ท่ปี ระเทศไทย ใน ราชวิทยาลัย เปน็ ส่วนวทิ ยาลยั สำ� หรับวนิ ยั และศาสตร์ รัชกาลท่ี ๕ เนื่องด้วย “การศึกษาท่ไี ดเ้ ร่ิมจดั การมาแต่ มหาธาตุวทิ ยาลยั เปน็ วทิ ยาลยั สำ� หรบั กฎหมาย โรงเรยี น ต้นนั้น ยงั ไมไ่ ดร้ ูปการลงเป็นหลกั ฐานแน่นอน จนใน แพทยากรเป็นวทิ ยาลัยสำ� หรบั แพทย์ และตงั้ โรงเรยี น พ.ศ. ๒๔๔๐ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั เป็นวิทยาลัยสำ� หรับวทิ ยา และมีหอสากลวิทยาข้ึนแหง่ เสด็จพระราชด�ำเนินประพาสทวีปยโุ รปครัง้ แรก ได้ทอด หนงึ่ รวมวิทยาลัยตา่ งๆ เหลา่ นี้ เขา้ เป็นรตั นโกสนิ ทร- พระเนตรเหน็ นกั เรียนซง่ึ ได้มาเลา่ เรียนอยชู่ ้านาน ยงั เรยี น สากลวิทยาลยั ” (สากลวทิ ยาลยั คือคำ� คร้ังน้ันส�ำหรบั ไมส่ �ำเร็จทันพระราชประสงค์ที่จะทรงใชร้ าชการ เปน็ เหตุ university) แตพ่ ระองคไ์ ด้เสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๔๕๓ ให้ไมพ่ งึ พอพระราชหฤทยั จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้เจ้าพระยา กอ่ นถงึ ปีสุวรรณาภิเษก (พ.ศ. ๒๔๖๑) นัน้ การจึงไม่เปน็ พระเสดจ็ สุเรนทราธบิ ดี (ม.ร.ว. เปีย มาลากุล) ซงึ่ ขณะ ไปตามโครงการนี้ นนั้ เปน็ พระยาวิสทุ ธสรุ ยิ ศกั ดิ์ อัครราชทูตพิเศษประจ�ำ 180 กาลานกุ รม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

วิทยาศาสตร์+เทคโนโลย:ี อเมรกิ นั ตา่ งกท็ ำ� หลอดไฟฟา้ ขนึ้ มาใชไ้ ดส้ ำ� เรจ็ ในปี ๒๔๐๓ จากบนซ้าย: ความก้าวหน้าท่ีควรสนใจ /1860 และ ๒๔๒๒/1879 เอดสิ นั เปน็ นกั ประดษิ ฐย์ งิ่ ใหญ่ แพลงค์ ไอนส์ ไตน์ พ.ศ. ๒๔๔๓-๕๙ (ค.ศ. 1900-16) เปน็ ชว่ งทม่ี คี วาม มาร์โคนี ก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลายอย่าง เชน่ ออรว์ ิลล์ ไรท์ วิลเบอร์ ไรท์ ด้านวทิ ยาศาสตร์: เบกแลนด์ เบลล์ แมกซ์ แพลงค์ (Max Planck) นักฟสิ ิกส์เยอรมนั สแวน วางฐานแหง่ ทฤษฎคี วอนตมั ในปี ๒๔๔๓/1900; เอดสิ นั ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นกั ฟสิ ิกสอ์ เมรกิ นั (เยอรมัน โดยกำ� เนิด) พัฒนาทฤษฎีพิเศษแหง่ สัมพัทธภาพ ในปี มผี ลงานประดิษฐ์กว่า ๑,๐๐๐ อยา่ ง และเปน็ ผตู้ งั้ โรง ๒๔๔๘/1905 และเผยแพรท่ ฤษฎีทว่ั ไปแหง่ สมั พัทธภาพ ไฟฟ้ากลางแห่งแรกของโลก ท่เี มืองนิวยอรก์ (1881-2) ในปี ๒๔๕๙/1916 ดา้ นเทคโนโลย:ี มาร์โคนี (Guglielmo Marconi) ชาวอิตาลี ใช้ วิทยทุ ี่ตนประดิษฐ์ขึ้นส่งขา่ วเปน็ ครัง้ แรก ในปี ๒๔๔๔/ 1901; ออร์วิลล์ ไรท์ (Orville Wright) ขับขีเ่ ครื่องบินที่ ตน และพี่ชาย คอื วลิ เบอร์ ไรท์ (Wilbur Wright) สรา้ ง ขึ้น สำ� เรจ็ ครง้ั แรกในวนั ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๔๔๖/1903; เบกแลนด์ (Leo Hendrik Baekeland) นกั เคมอี เมริกัน เช้ือสายเบลเยีย่ มสร้างสารสังเคราะหเ์ ปน็ พลาสตกิ สมยั ใหมข่ ึ้นในปี ๒๔๕๒/1909 ใกล้ๆ กอ่ นช่วงน:้ี เบลล์ (Alexander Graham Bell) ชาวอเมรกิ นั ไดป้ ระดษิ ฐโ์ ทรศพั ทแ์ ลว้ ใชค้ รง้ั แรก ๑๐ มี.ค. ๒๔๑๙/1876; สแวน (Sir Joseph Wilson Swan) ชาวอังกฤษ และเอดิสัน (Thomas Alva Edison) ชาว พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยตุ ฺโต ) 181

พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ฉบบั แรก ท�ำมาหากิน จึงทรงเตรียมการเป็นข้นั ตอนอย่างละมนุ เมืองไทยเริ่มใช้ “พุทธศกั ราช” ถัดจาก “กฎพระสงฆ”์ ใน ร. ๑ ละม่อม รวมท้ังการเตรยี มอาชีพ โดยเฉพาะทรงเห็นว่า “การหนงั สือ” จะช่วยทาสใหเ้ ป็นไทยไดแ้ ทจ้ รงิ ดว้ ยการ พ.ศ. ๒๔๕๖ (ค.ศ. 1913) ต้ังแต่วันท่ี ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๕ (ค.ศ. 1902) วนั ท่ี ๑๖ มิถุนายน มโี รงเรยี น อยา่ งมโี รงทาน จะเหน็ วา่ เรมิ่ แต่ พ.ศ. ๒๔๑๑ ก็ เป็นตน้ สบื ไป ทีป่ ระเทศไทย ในรชั กาลท่ี ๖ พระบาท ทป่ี ระเทศไทย ในรัชกาลที่ ๕ มพี ระบรมราชโองการ ทรงออก “ประกาศวา่ ด้วยทาษลูกหนี้ จุลศักราช ๑๒๓๐” สมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยูห่ ัว โปรดให้ใช้ พุทธศกั ราช ประกาศ “พระราชบญั ญตั ลิ ักษณะปกครองคณะสงฆ์ เปน็ ศักราชทางราชการ แทน “รตั นโกสนิ ทรศก” (พ.ศ. = ร.ศ. ๑๒๑” เพือ่ ให้ฝ่ายพุทธจกั รมกี ารปกครองเป็น พอถึงปี ๒๔๑๗/1874 กม็ ี “ประกาศเกษียณอายุ ร.ศ. + ๒๓๒๔) แบบแผนเรียบร้อยคู่กันกบั ฝา่ ยพระราชอาณาจกั รทีไ่ ด้ ลูกทาสลกู ไทย” ใน จ.ศ. ๑๒๓๖ ดงั นี้เป็นต้น จนทา้ ย แก้ไขขน้ึ แล้ว “… การปกครองสงฆมณฑล ย่อมเปน็ การ สุด หลงั จากทรงเตรยี มการเปน็ ล�ำดับมา ๓๐ ปีเศษ ก็ สำ� คัญ ท้ังในประโยชนแ์ ห่งพระศาสนา และในประโยชน์ ทรงตรา “พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะเลิกทาส ร.ศ. ๑๒๔” ความเจรญิ ของพระราชอาณาจักรดว้ ย … จะชักน�ำ อนั มีผลตง้ั แต่วนั ที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๔๘ และ ประชาชนท้ังหลายใหเ้ ลื่อมใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาส- กำ� กบั ทา้ ยด้วยกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ (พ.ศ. โนวาท ประพฤตสิ ัมมาปฏิบตั ิ และร่�ำเรยี นวชิ าคณุ ใน ๒๔๕๑) วางโทษผูซ้ ้ือขายทาสเทา่ กับโจรปลน้ ทรัพย์ สงฆสำ� นกั ยิ่งขึ้นเป็นอันมาก” ท้งั น้ี โดยมพี ระราชด�ำริวา่ การด�ำเนนิ การตามประกาศจดั การเล่าเรียนในหวั เมอื ง กา้ วใหมข่ องการศึกษาพระปริยัตธิ รรม: เม่อื พ.ศ. ๒๔๔๑ นัน้ บรรลผุ ลทป่ี ระสงค์ สมควรตง้ั เปน็ บาลีสอบเขียน มีนกั ธรรมมาเคยี ง แบบแผนการปกครองคณะสงฆ์ให้ม่นั คงเรยี บร้อยได้ พ.ศ. ๒๔๕๔ (ค.ศ. 1911) ที่ประเทศไทย ใน เมอื งไทยเลิกทาส อยา่ งนุม่ นวล รชั กาลที่ ๖ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณ ดว้ ยวธิ กี ารเปน็ ขั้นตอน วโรรส ทรงให้น�ำวธิ ีแปลโดยเขยี น มาใช้แทนการสอบ แปลปากเปลา่ ในการสอบบาลีสนามหลวง เปน็ ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๔๘ (ค.ศ. 1905) ทป่ี ระเทศไทย ในรชั กาล เริ่มดว้ ยประโยค ๑-๒ และประกาศใช้เป็นทางการส�ำหรบั ที่ ๕ แมว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั จะ ทกุ ประโยคใน พ.ศ. ๒๔๕๘ ครบถงึ ประโยค ๙ ในปี ๒๔๖๙ ทรงมพี ระราชดำ� รใิ นการเลกิ ทาสมาแตต่ น้ รชั กาล แตส่ ถาบนั ทาสมีความซบั ซ้อน โดยเฉพาะเปน็ เรอื่ งของผลประโยชน์ อนึง่ ได้ทรงจดั การศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมขึน้ ใหม่ ไมเ่ ฉพาะฝา่ ยนายเงนิ แมแ้ ตท่ าสเองบา้ งกไ็ มพ่ อใจ ยงั อยาก อกี หลกั สูตรหน่งึ โดยเมื่อเร่ิมแรกเรียกว่า “องคข์ อง เปน็ ทาส เพราะไมต่ อ้ งทำ� มาหากนิ และไมร่ จู้ กั ทางทจ่ี ะไป สามเณรรูธ้ รรม” แล้วเข้ารูปลงตัวเปน็ “นกั ธรรม” สอบ ครั้งแรกเมอ่ื เดอื นตลุ าคม ๒๔๕๔ 182 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

สงครามโลกคร้ังที่ 1 หอพระสมดุ สำ� หรบั พระนคร กอ่ นมาเปน็ หอสมุดแหง่ ชาติ ความเปลยี่ นแปลงใหญ่ ทีน่ ำ� สูค่ วามเปลี่ยนแปลงต่อไป พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ. 1916) ทปี่ ระเทศไทย ใน รัชกาลท่ี ๖ โปรดใหย้ ้าย หอพระสมุดส�ำหรับพระนคร พ.ศ. ๒๔๕๗-๖๑ (1914-18) สงครามโลก ครั้งท่ี (เดิมทเี ดียว คอื หอพระสมดุ วชริ ญาณ ซ่งึ ตง้ั อยู่ใน ๑ (World War I) ระหวา่ งฝา่ ยอ�ำนาจกลาง (Central พระบรมมหาราชวัง) มาตง้ั ท่ตี กึ สังฆเสนาสน์ราชวทิ ยาลยั Powers มเี ยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี บลั กาเรีย และ (ตรงข้ามสนามหลวง แถบวดั มหาธาต)ุ และได้เสด็จ จกั รวรรดิออตโตมาน ทีต่ อ่ มาสลายและตัง้ ส่วนที่เหลอื พระราชด�ำเนินทรงประกอบพธิ เี ปดิ เมอ่ื ๖ ม.ค. ๒๔๕๙ เปน็ สาธารณรฐั เตอรก์ ี) กบั ฝ่ายสัมพนั ธมิตร (Allies มี องั กฤษ ฝร่งั เศส รสั เซยี เบลเย่ียม อติ าลี ญปี่ นุ่ สหรัฐฯ ตอ่ มา หลังจากตั้งกรมศลิ ปากรข้นึ ในปี ๒๔๗๖ เป็นตน้ ) สนามรบสว่ นใหญค่ อื ยโุ รป และตะวนั ออกกลาง และมกี องหอสมดุ หอพระสมดุ ส�ำหรบั พระนครได้เปลย่ี น ในทสี่ ดุ ฝา่ ยแรกพ่ายแพ้ ช่ือเป็นหอสมดุ แห่งชาติ และต้งั อยทู่ ่ีนั่นจนถึง ๕ พ.ค. ๒๕๐๙ จงึ ไดม้ ีพิธีเปิดอาคารหอสมดุ แห่งชาติ ท่ีไดส้ รา้ ง ในสงครามใหญน่ ี้ คนตายทง้ั ส้นิ ๑๔.๖ ลา้ นคน ขน้ึ ใหม่ท่ีบรเิ วณทา่ วาสุกรี (ทหาร ๘ + พลเรอื น ๖.๖) แยกเป็นฝา่ ยสัมพันธมติ ร ตาย ๘ ล้านคน (ทหาร ๔.๘ + พลเรอื น ๓.๒) ฝา่ ยอำ� นาจ เกดิ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย กลางตาย ๖.๖ ลา้ นคน (ทหาร ๓.๑ + พลเรอื น ๓.๕) มหาวทิ ยาลัยแหง่ แรกของประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๕๙ (ค.ศ. 1916) ทป่ี ระเทศไทย ใน รัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั “...ไดป้ ระกาศประดิษฐานโรงเรยี นข้าราชการพลเรือน ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ขน้ึ เป็น จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั เมือ่ วนั ท่ี ๒๖ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๕๙ และโอนไปขน้ึ อยู่ในกระทรวงธรรมการแล้ว … จึง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัง้ กรมมหาวทิ ยาลัยขึ้นอีก กรมหนึ่ง เมือ่ วันท่ี ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๐” (ประวัติ กระทรวงศกึ ษาธิการ ๒๔๓๕–๒๕๐๗, หนา้ ๒๕๔) พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 183

จากบนซา้ ย: รสั เซยี ไปเปน็ คอมมูนิสต์ จุดพลาดสุดท้ายทีท่ �ำให้ถึงอวสานกค็ ือ การเขา้ เลนิน ท่จี ตรุ สั แดง ออตโตมานมาถงึ อวสาน สู่สงครามโลกครั้งท่ี ๑ โดยอยขู่ า้ งเยอรมนั ร่วมรบแลว้ Abdul Aziz Al Saud กเ็ ลยร่วมแพด้ ้วย เฉพาะอย่างยงิ่ ในชว่ งสงครามโลกคร้งั เจ้าอับดลุ เลาะห์ พ.ศ. ๒๔๖๑ (ค.ศ. 1918) ผลแก่ฝ่ายแพจ้ าก ที่ ๑ น้นั ไดเ้ กิดกระแสลทั ธชิ าตินยิ มแพรไ่ ปในหมู่ชนชาว สงครามใหญน่ ี้ นอกจากเยอรมนถี กู สนธสิ ญั ญากดบบี หนกั อาหรบั ฝร่งั โดยเฉพาะองั กฤษกเ็ ขา้ หนนุ ชาวอาหรบั ให้ จนระเบดิ เป็นสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ตอ่ มาแล้ว เหตกุ ารณ์ ลุกขน้ึ กู้ชาตกิ ้แู ผ่นดินจากพวกเตอรก์ เม่อื ถูกโถมทบั ทั้ง สบื เน่ืองทงั้ ในระหว่างและภายหลังท่สี �ำคญั คอื เกดิ การ จากพวกชาตินยิ มอาหรับที่ลุกฮอื ก่อกบฎขนึ้ ภายใน และ ปฏิวัติของพวกบอลเซวิกในรสั เซีย ในปี ๒๔๖๐ ท่ีทำ� ให้ สงครามจากขา้ งนอก ออตโตมานก็สลายในทีส่ ุด รสั เซยี กลายเปน็ คอมมวิ นสิ ต์ จกั รวรรดอิ อสเตรยี -ฮงั การี หรอื เรียกงา่ ยๆ วา่ จักรวรรดิฮับสเบอร์กสิ้นสลาย และที่ เตอร์กฟบุ อาหรบั ฟื้น ยิวเข้าทางท่จี ะฟู น่าสังเกตพิเศษ กค็ อื อวสานของจกั รวรรดอิ อตโตมาน ยกตวั อย่าง เริม่ แต่กอ่ นสงครามโลก ซาอดุ ซึ่งต่อ จักรวรรดิสุลตา่ นออตโตมานรุ่งเรอื งสุดถงึ ราว มาไดเ้ ปน็ กษัตริยแ์ ห่งประเทศซาอุดอี าระเบีย ท่ตี ั้งขึ้น กลางคริสตศ์ ตวรรษที่ 16 จากนน้ั กเ็ รม่ิ เสือ่ ม ท�ำสงคราม ใหม่ ได้บกุ มารุกรบจนขับไล่พวกเตอร์กออกจากอาระเบยี แพ้พวกยุโรปคราวใหญค่ ร้ังแรกใน พ.ศ. ๒๑๑๔ (ค.ศ. ตะวันออกในปี ๒๔๕๖/1913) และในช่วง ค.ศ. 1916- 1571) ตอ่ จากนน้ั กร็ บแพพ้ วกยโุ รปและเสยี ดนิ แดนไป 1918 องั กฤษได้ชว่ ยและร่วมรบกบั เจ้าอาหรบั ขบั ไล่ เรือ่ ยๆ จนถูกตั้งสมญาว่า “บรุ ุษอมโรคแห่งยโุ รป” (“Sick เตอรก์ ออกจากดินแดนส่วนต่างๆ ของอาหรบั ตลอดจน Man of Europe”) เหตุที่แพ้นอกจากเพราะภายใน ดำ� เนนิ การเมื่อสิ้นสงครามแล้ว ท�ำใหเ้ จา้ ไฟซาลได้เปน็ ออ่ นแอลงแล้ว ข้อส�ำคญั คือ ตกเปน็ เบยี้ ล่างในทาง กษัตรยิ ์ไฟซาลที่ ๑ ของราชอาณาจักรอิรกั ท่ีต้งั ข้นึ ใหม่ อาวธุ และอปุ กรณ์ตา่ งๆ เพราะถึงยุคน้วี ิทยาศาสตร์และ และเจ้าอับดุลเลาะห์ไดเ้ ปน็ เจ้าผคู้ รองทรานสจอร์แดน เทคโนโลยไี ด้เจรญิ ข้นึ มาในประเทศตะวันตก ในปี ๒๔๖๔/1921) ส่วนอังกฤษเองกย็ กทพั เข้ายดึ เยรซู าเล็ม และ ครอบครองปาเลสไตน์ ในเดอื นธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ (ค.ศ. 1917) แลว้ จัดการดูแลมาจนสิ้นสงครามโลกครั้ง ที่ ๒ 184 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

จากบน: เตอรก์ สลดั ความเป็นรฐั อสิ ลาม มุสตาฟา เคมาล ออสมานที่ ๑ ปีตอ่ มา ๒๔๖๗ ยบุ เลกิ ตำ� แหนง่ กาหลิฟ ลม้ ราช- วงศอ์ อตโตมานทีส่ ุลตา่ นออสมาน/อสุ มาน ท่ี ๑ ต้งั ไวเ้ ม่ือ จากจักรวรรดอิ อตโตมาน ปี ๑๘๓๓/ค.ศ. 1290 และขับสมาชกิ ราชวงศ์ออตโตมาน เป็นสาธารณรฐั เตอรก์ ี ออกจากเตอร์กีหมดสน้ิ และปี ๒๔๗๑ ให้เตอร์กเี ป็น คามิยรฐั หรือรัฐคามิยการ (secular state) แทๆ้ ลว้ นๆ พ.ศ. ๒๔๖๔ (ค.ศ. 1921) หลังจากรว่ มแพ้ใน สตรเี อาผ้าคลุมหน้าออก ชาวเตอร์กหนั ไปแต่งกายอยา่ ง สงครามโลกคร้งั ที่ ๑ จกั รวรรดิออตโตมานเตอร์ก แตก ชาวตะวันตก ใชอ้ กั ษรโรมนั แทนอกั ษรอาหรับ และนับ สลาย ดินแดนอาหรบั ในตะวันออกกลางหลดุ มอื ไปหมด วนั เวลาตามปฏิทินฝรงั่ แทนฮจิ เราะห์ คร้ันถึง พ.ศ.๒๔๗๓ แล้ว ก็ไดม้ ีการจดั การปกครองประเทศกันใหม่ ก็ใหเ้ ปลีย่ นช่อื เมอื งคอนสแตนติโนเปลิ เปน็ อิสตนั บลุ (Constantinople -> Istanbul) และเมอื งหลวงใหม่ ในที่สดุ ถงึ ปี ๒๔๖๔ สภามีมติประกาศชือ่ ประเทศ จากแองกอรา เปน็ องั การา (Angora -> Ankara) เปน็ เตอรก์ ี ปี ๒๔๖๕ ยุบเลกิ ต�ำแหนง่ สลุ ต่าน ปี ๒๔๖๖ ประกาศใหป้ ระเทศเปน็ สาธารณรฐั เตอรก์ ี โดยมมี สุ ตาฟา จบยคุ มสุ ลมิ เตอรก์ เคมาล (เคมาล อะตาเตอรก์ ) เป็นประธานาธิบดคี นแรก มสุ ลิมอาหรับต้ังตัวข้นึ ใหม่ ปลอ่ ยท้งิ คอนสแตนติโนเปลิ เมอื งหลวงเกา่ ของจักรวรรดิ ออตโตมาน (ท่ียดึ มาจากจกั รวรรดิโรมันตะวันออกหรอื โดยนัยน้ี จักรวรรดิออตโตมาน (Ottoman Em- บแี ซนทนี ตงั้ แต่ ค.ศ. 1453=พ.ศ. ๑๙๙๖) เสยี ตง้ั แองกอรา pire) ของเตอร์ก ทไี่ ด้เปน็ ศูนย์อ�ำนาจของอสิ ลามมาเกนิ เปน็ เมอื งหลวงของสาธารณรัฐใหม่ กวา่ ๖ ศตวรรษ ตง้ั แต่ ค.ศ. 1290 (พ.ศ. ๑๘๓๓) ตอ่ จาก พวกเซลจกู เตอรก์ ทต่ี ่อจากอาหรับ กถ็ งึ กาลอวสาน ตอ่ น้ไี ป ศนู ยก์ ลางของอสิ ลามกลับไปอยู่ในหมู่ ชนชาวอาหรับแถบตะวันออกกลาง คล้ายยคุ เริ่มกำ� เนิด คือ ส้ินยคุ มสุ ลิมเตอร์กเปน็ ใหญ่ กลบั มาส่ยู คุ ของมสุ ลิม อาหรบั พระพรหมคณุ าภรณ์ ( ป. อ. ปยุตฺโต ) 185

พระไตรปิฎกบาลีเมอื งไทย พมิ พ์ใหม่ พระเณรเรียนนักธรรมกนั สืบมา ครบชดุ ครงั้ แรก เรยี กวา่ “ฉบบั สยามรฐั ” คฤหสั ถเ์ รม่ิ มีธรรมศึกษาให้เรียน พ.ศ. ๒๔๖๘ (ค.ศ. 1925) ท่ีประเทศไทย ใน พ.ศ. ๒๔๗๒ (ค.ศ. 1929) ที่ประเทศไทย ใน รชั กาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั เสด็จ รชั กาลที่ ๗ เร่มิ เปิดโอกาสให้คฤหัสถเ์ รียนพระปรยิ ตั ธิ รรม ขนึ้ ครองราชย์ โปรดใหจ้ ดั พมิ พพ์ ระไตรปฎิ กฉบบั สยามรฐั แผนกธรรม โดยแยกจากแผนกนักธรรมสำ� หรบั พระภกิ ษุ จบละ ๔๕ เลม่ จ�ำนวน ๑,๕๐๐ จบ เพ่ืออุทิศถวายพระ สามเณร เรียกวา่ “ธรรมศกึ ษา” ราชกศุ ล แดพ่ ระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยูห่ ัว เปน็ อันสบื ตอ่ งานพมิ พพ์ ระไตร-ปิฎกบาลี ที่ ร. ๕ ทรงเร่ิม นักดาราศาสตร์อเมรกิ ัน พบดาวยม ไว้เมอื่ พ.ศ. ๒๔๓๑ คอื “พระไตรปิฎกบาฬี จุลจอมเกลา้ บรมธมั มกิ มหาราช” อนั ขาดคมั ภีร์ปฏั ฐาน จงึ ยงั มี ๓๙ พ.ศ. ๒๔๗๓ (ค.ศ. 1930) ท่ีสหรฐั อเมริกา นกั เล่ม ให้ครบเต็มชุดสมบูรณ์ เสรจ็ แลว้ พระราชทานไปใน ดาราศาสตร์อเมรกิ ัน ชือ่ ว่า ทอมบอฆ์ (Clyde W. Tom- นานาประเทศประมาณ ๔๐๐–๔๕๐ จบ และโปรดใหจ้ ัด baugh) คน้ พบดาวเคราะหท์ เ่ี รยี กว่า “ดาวยม” (Pluto, งานฉลองในวันที่ ๒๕–๒๗ พ.ย. ๒๔๗๓ พระยม ก็เรียก) ซึง่ อยู่ห่างทส่ี ุดจากดวงอาทิตย์ ไกลโดย เฉลย่ี ประมาณ ๕,๙๑๔ ล้าน กม. เปน็ ล�ำดบั สุดท้าย คือ จากบน: ท่ี ๙ ในบรรดาดาวเคราะหท์ ั้ง ๙ ไมอ่ าจมองเห็นด้วย พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ตาเปล่า เสน้ ผ่าศนู ย์กลางประมาณ ๒,๓๐๐ กม. (บ้าง ทอมบอฆ์ ว่า ๓,๓๐๐ กม., ไม่ถึงครึ่งหนง่ึ ของโลก) หมนุ รอบดวง รัชกาลที่ ๗ อาทติ ยร์ อบละ ๒๔๘.๔ ปี หน้าตรงขา้ มจากบน: พทุ ธทาสภกิ ขุ เมืองไทยเปลย่ี นการปกครอง ปรีดี พนมยงค์ เปน็ ประชาธิปไตย ม.ธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1932) ที่ประเทศไทย ในวนั ที่ ๒๔ มถิ นุ ายน คณะราษฎร ไดย้ ดึ อำ� นาจ เปลยี่ นการปกครอง จากสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ เปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย 186 กาลานุกรม พระพุทธศาสนาในอารยธรรมโลก

กำ� เนิดพุทธทาสภิกขุ สถาปนาราชบณั ฑติ ยสถาน (The Royal Institute) สืบ และสวนโมกขพลาราม แทนราชบัณฑิตยสภา ซ่งึ ไดโ้ ปรดใหต้ ัง้ ขน้ึ โดยประกาศลง วันที่ ๑๙ เม.ย. ๒๔๖๙ พ.ศ. ๒๔๗๕ (ค.ศ. 1932) ทปี่ ระเทศไทย พระ มหาเงือ่ ม อินฺทปญฺโ ซ่งึ มาศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรมอยูใ่ น มหาวทิ ยาลยั วชิ าธรรมศาสตรแ์ ละการเมอื ง กรุงเทพฯ ไดต้ ัดสินใจหยดุ การเลา่ เรยี นแล้วเดนิ ทางกลบั มาเป็นมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ไปยังบ้านเกดิ ทพี่ มุ เรียง ไชยา สุราษฎรธ์ านี หลงั จากหา เสนาสนะอันวเิ วก ก็ได้พบ แลว้ เข้าอย่ใู นวัดรา้ งตระพงั จกิ พ.ศ. ๒๔๗๗ (ค.ศ. 1934) ที่ประเทศไทย ใน เนอื้ ทีป่ ระมาณ ๖๐ ไร่ ในวันวิสาขบชู า ที่ ๑๒ พฤษภาคม รัชกาลที่ ๘ โดย “พระราชบญั ญตั มิ หาวิทยาลยั วชิ า- ๒๔๗๕ เนื่องจากท่ีนนั่ มตี น้ โมกและต้นพลามาก จึงคิดค�ำ ธรรมศาสตร์และการเมือง พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๖” ขน้ึ มาตง้ั ชื่อทีน่ ้นั ว่า “สวนโมกขพลาราม” แลว้ ดว้ ยใจมงุ่ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองได้เกดิ ขน้ึ มน่ั ทจ่ี ะมอบกายถวายชีวิตสนองงานของพระพทุ ธเจา้ จึง และไดท้ �ำพธิ ีเปิดเม่ือวนั ท่ี ๒๗ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ซ่งึ เรียกตนวา่ “พทุ ธทาส” และตอ่ มาในเดอื นพฤษภาคม ถือเป็นวันสถาปนามหาวทิ ยาลัย โดยมีหลวงประดิษฐ์ ๒๔๗๖ กไ็ ดอ้ อกหนงั สอื พมิ พร์ ายตรมี าส ชอ่ื “พทุ ธสาสนา” มนูธรรม คอื ศาสตราจารย์ ดร.ปรดี ี พนมยงค์ เปน็ “ผู้ เป็นขน้ั ตน้ ของงานเผยแผธ่ รรมของพทุ ธทาสภิกขุ ซ่ึงต่อ ประศาสนก์ าร” คนแรก เมือ่ เริม่ กอ่ ตัง้ มหาวทิ ยาลัยมีชอื่ มาไดแ้ พรข่ ยายออกไปอย่างกว้างขวาง เปน็ ท่ีรู้ท่วั ไปใน ว่า “มหาวิทยาลยั วิชาธรรมศาสตรแ์ ละการเมือง” สังคมไทย โดยเฉพาะในหมู่ชนระดบั ท่เี คยเรยี กว่าปญั ญา (ม.ธ.ก. หรอื ตามนิยมว่า มธก.) และนับว่าไดร้ บั ชว่ ง ชน ตลอดจนในวงการพทุ ธศาสนาระหวา่ งประเทศ การศกึ ษาทางกฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายเดิม (ที่ เชิงสะพานผา่ นพิภพลีลา) มเี ปา้ หมายท่ีจะเปน็ ตลาด ราชบณั ฑติ ยสถาน เครอื ขา่ ยทางปญั ญา วชิ า ต่อมา ในปี ๒๔๙๕ รัฐบาลไดต้ รา “พระราชบญั ญตั ิ แหลง่ อา้ งอิงทางวิชาการ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๕” เป็นเหตุ ใหช้ อื่ ของมหาวทิ ยาลยั ไมม่ ีค�ำวา่ “การเมือง” และสน้ั พ.ศ. ๒๔๗๖ (ค.ศ. 1933) ท่ีประเทศไทย ใน เขา้ เปน็ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ (ม.ธ. หรือ มธ.) ดงั รชั กาลท่ี ๗ สภาผแู้ ทนราษฎรตราพระราชบัญญตั วิ ่าด้วย ปรากฏในปัจจบุ ัน ราชบณั ฑติ ยสถาน พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๖ ให้ประกาศใช้เป็น กฎหมาย ในวันที่ ๓๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งถือเป็นวนั พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป. อ. ปยุตโฺ ต ) 187


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook