ถกเถยี งวัฒนธรรม ในงานวิจยั ภาคกลาง
หนงั สือชดุ การประเมินและสังเคราะห์ สถานภาพองค์ความรู้จากการวจิ ัยวฒั นธรรม เล่ม 1 ถกเถียงวฒั นธรรมในงานวิจัยภาคกลาง บรรณาธกิ ารหนงั สือชดุ อานนั ท์ กาญจนพันธ์ุ บรรณาธกิ ารเล่ม ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ ผู้จดั พิมพ์ ภาควิชาสงั คมวทิ ยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ 239 ต.สุเทพ อ.เมอื ง จ.เชียงใหม่ โทร. 053-943546 Email : [email protected] Website : www.soc.cmu.ac.th แบบปก สุขุม ชวี าเกียรตยิ ิ่งยง พมิ พ์ท ่ี บลมู มิ่ง ครีเอช่นั 77/1 หมู่ 5 ต.สเุ ทพ อ.เมอื ง จ.เชียงใหม่ โทร. 081-7165246 พิมพ์คร้งั ที่ 1 มนี าคม 2558 จ�ำนวน 500 เล่ม สนบั สนนุ การจดั พมิ พ์ สำ� นกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ (ปัจจุบัน กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรม กระทรวงวฒั นธรรม) ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของสำ� นกั หอสมุดแหง่ ชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ. ถกเถยี งวฒั นธรรมในงานวิจยั ภาคกลาง.-- เชยี งใหม่ : ภาควิชาสงั คมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา คณะสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่, 2015. 236 หน้า.- (การประเมินและสังเคราะห์ สถานภาพองค์ความรู้จากการวจิ ัยวัฒนธรรม เล่ม 1). 1. ไทย--ความเป็นอยู่และประเพณ.ี 2. วัฒนธรรมไทย--ท้องถ่ิน--ไทย. I. ชือ่ เรือ่ ง. 390.09593 ISBN 978-974-672-950-5
ค�ำ นำ� หนงั สอื ชดุ นมี้ อี ยดู่ ว้ ยกนั 4 เลม่ เกดิ จากความพยายามปรบั ปรงุ ผลงานวจิ ยั ใน “โครงการประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวิจัยวัฒนธรรมใน ประเทศไทย” ทไ่ี ดร้ บั การสนบั สนนุ จากส�ำนกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรมแหง่ ชาติ (สวช.) หรือ กรมส่งเสริมวัฒนธรรมในปัจจุบัน ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะ อนกุ รรมการวิจัยวัฒนธรรม ท่ีมี ศ.ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธุ์ เป็นประธาน เพ่ือ ประมวลรวบรวมและศึกษาวิเคราะห์งานวิจัยทางวัฒนธรรมที่ผลิตข้ึนมาในช่วง ระหว่าง พ.ศ.2537-2547 จากความพยายามดงั กลา่ ว คณะผวู้ จิ ยั ไดช้ ว่ ยกนั ปรบั ปรงุ และเขยี นผลงาน วจิ ัยขึน้ มาใหม่ ในลักษณะเป็นบทความ ตามประเดน็ หลกั 4 ประเด็น ที่ได้มาจาก การแยกแยะออกมาศึกษาวิจัยในโครงการดังกล่าว เพ่ือชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ เชอ่ื มโยงกนั อย่างซับซ้อน ประกอบด้วย 1. พลงั ความคิดและภมู ปิ ัญญา 2. ศิลปะและวัฒนธรรม 3. ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ 4. วัฒนธรรมกบั การพัฒนา ในการด�ำเนินงานวิจัยของโครงการน้ีได้แบ่งกลุ่มศึกษาแยกออกมาเป็น ภมู ภิ าค รวม 4 ภาคคอื ภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคใต้ ซ่ึงท�ำให้การจัดพิมพ์ครั้งนตี้ ้องแยกหนงั สือออกเป็น 4 เล่มตามรายภาคด้วยเช่น เดยี วกัน
แม้โครงการวิจัยนจ้ี ะเริ่มทำ� งานคร้ังแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 แต่ก็ต้องอาศัย กระบวนการท�ำงานและการประสานงานท่ีซับซ้อน และต้องเผชิญกับปัญหา ขลกุ ขลกั อยา่ งมากมาย เพราะเกยี่ วขอ้ งกบั นกั วชิ าการจ�ำนวนมาก ทเี่ ขา้ มามสี ว่ นรว่ ม จากแต่ละภูมิภาค จนต้องใช้เวลานานมากจึงส�ำเร็จลุล่วงไปได้ และในท้ายท่ีสุดก็ สามารถปรบั ปรงุ ผลการวจิ ยั นน้ั เพอื่ เขยี นเปน็ บทความยอ่ ยๆ และพมิ พอ์ อกมาเป็น หนงั สือท้ัง 4 เล่มนี้ ซึ่งน่าจะมีส่วนส�ำคัญในการกระตุ้นและผลักดันงานวิจัยทาง วฒั นธรรมให้มพี ลังทางสติปัญญามากย่งิ ขึน้ ในระยะแรกของการวจิ ยั จะเนน้ เฉพาะการส�ำรวจและรวบรวมผลงานวจิ ยั ทง้ั ในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ด้วยการประมวลและสร้างเป็นบรรณานกุ รมขึน้ มา พร้อมกับการปริทัศน์เนื้อหาสรุป เพ่ือให้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานที่ช่วยช้ีหมุดหมายและ ทิศทางการวิจัยส�ำหรับช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมท้ังอ�ำนวยความสะดวกให้กับการ ค้นคว้าวจิ ยั ทางวฒั นธรรมในอนาคต สว่ นในระยะทสี่ องของการวจิ ยั นกั วจิ ยั ในโครงการจะประเมนิ และสงั เคราะห์ สถานภาพความรู้ของงานวิจัยทางวัฒนธรรม ตามประเด็นต่างๆ ท่ีได้แยกแยะไว้ แลว้ ขา้ งตน้ โดยใหค้ วามส�ำคญั กบั การวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาความรทู้ ค่ี น้ พบจากการวจิ ยั ตลอดจนประเมนิ แนวความคิดและวธิ วี ทิ ยาทใี่ ช้ในการวิจัย เพือ่ เปิดเวทใี ห้เกิดการ ถกเถียง และช่วยแสวงหาทางเลือกใหม่ๆ ในการพัฒนางานวิจัยทางวัฒนธรรม ต่อไป ส�ำหรับการปรบั ปรุงผลงานวิจัยจากโครงการนี้ เพอ่ื เขยี นเป็นบทความและ พิมพ์เป็นหนงั สือในคร้ังน้ี ผู้เขียนบทความแต่ละคนได้เลือกงานวิจัยเพียงบางส่วน ท่ีน่าสนใจเท่านนั้ ขึ้นมาประเมินและสังเคราะห์เท่าที่จะท�ำได้ในวงจ�ำกัด แต่บาง บทความก็ได้พยายามศึกษางานวิจัยใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน เพ่ือให้ ครอบคลุมและเป็นประโยชน์มากที่สุด ต่อการพัฒนางานวิจัยทางวัฒนธรรมใน อนาคต
ในนามของประธานคณะวิจัยต้องขอขอบคุณนักวิจัยในโครงการทุกท่าน ท่ีช่วยกันผลักดันการวิจัยที่ยากล�ำบากนจ้ี นส�ำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และขอขอบคุณ ส�ำนกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช.) และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในปจั จบุ นั ในการสนบั สนนุ โครงการวจิ ยั ทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ การชห้ี มดุ หมายใหก้ บั เสน้ ทางการวจิ ยั ทางวฒั นธรรม และมปี ระโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ตอ่ การพฒั นางานวจิ ยั ทาง วัฒนธรรมให้เป็นอกี พลงั หนงึ่ ในการขบั เคลือ่ นสงั คมไทย อานนั ท์ กาญจนพันธุ์ เชียงใหม่ 2557
สารบัญ บทที่ 1 บทนำ� 9 ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ บทท่ี 2 ความเขา้ ใจ “วฒั นธรรม” ในงานวิจยั สังคมไทย 25 30 อานนั ท์ กาญจนพันธุ์ 44 2.1 บทนำ� 55 2.2 กลุ่มศกึ ษาวฒั นธรรมคตินิยมพน้ื ฐานดง้ั เดิม 66 2.3 กลุ่มศึกษาวฒั นธรรมท้องถิน่ และความหลากหลายทางชาติพนั ธุ์ 80 2.4 กลุ่มศกึ ษาวัฒนธรรมเชิงความหมายในบรบิ ทของสังคมสมัยใหม่ 86 2.5 กลุ่มศกึ ษาวาทกรรมในบรบิ ทของการบรโิ ภคและ การช่วงชงิ ความหมาย 2.6 กลุ่มศึกษาวัฒนธรรมปฏบิ ตั ิการและความเคลอื่ นไหว ในบรบิ ทของความขดั แย้งทางเศรษฐกจิ การเมอื ง 2.7 บทสรปุ บทที่ 3 พลงั ทางวฒั นธรรมของความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ 101 3.1 บทนำ� 110 3.2 สงครามและการอพยพในประวตั ศิ าสตร์ของความหลากหลาย 120 ทางชาติพันธุ์ 3.3 ความหลากหลายของวถิ ีชวี ิตชมุ ชนชาตพิ นั ธ์ุ
3.4 การปรับตัวของกลุ่มชาติพนั ธุ์ในบริบทของการพัฒนา 149 3.5 การศึกษาจติ สำ� นกึ และอตั ลักษณ์ชาติพนั ธุ์ 156 3.6 บทสรปุ : พรมแดนและช่องว่างความรู้ 161 บทที่ 4 วัฒนธรรมกบั การพฒั นาทางเลือก อมรา พงศาพชิ ญ์, กนกรัตน์ กิตติววิ ัฒน์, ธนภมู ิ อตเิ วทนิ 4.1 บทนำ� 187 4.2 การพัฒนากบั การเปลย่ี นแปลงวถิ ชี วี ติ /วฒั นธรรมของกลุ่มคน 190 4.3 วฒั นธรรมในฐานะเป็นอดุ มการณ์การพัฒนาแบบทางเลอื ก 192 4.4 วัฒนธรรมและการจดั การทรพั ยากรในบริบทของการพัฒนา 196 4.5 การอนรุ ักษ์และฟื้นฟูวฒั นธรรมในบรบิ ทการพฒั นา 201 อตุ สาหกรรมการท่องเที่ยว 4.6 วธิ วี ทิ ยาในงานวิจัยวัฒนธรรมกบั การพฒั นา 207 4.7 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 214
บทท่ี 1 บทน�ำ ฉววี รรณ ประจวบเหมาะ บทความวจิ ยั ทป่ี รากฏอยใู่ นหนงั สอื เลม่ นเ้ี ปน็ ผลงานของนกั วจิ ยั ทไี่ ดด้ ำ� เนนิ การตาม “โครงการประเมนิ และสงั เคราะหส์ ถานภาพองคค์ วามรกู้ ารวจิ ยั วฒั นธรรม ในประเทศไทย” ในชว่ งระหวา่ งพ.ศ.2530-2550 ซง่ึ ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากส�ำนกั งาน วฒั นธรรมแห่งชาตพิ นั ธ์ุ (สวช.)1 หรอื กรมส่งเสรมิ วฒั นธรรมในปจั จบุ นั ด้วยเหตผุ ล ท่ีว่าในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการขยายงานการวิจัยทางวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก ดว้ ยการสนบั สนนุ ของ สวช.และหนว่ ยงานอนื่ ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง นา่ จะถงึ เวลาเหมาะสม ท่ีมีการประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้การวิจัยในประเทศไทยว่า เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้มีการวางแผนก�ำหนดทิศทางการวิจัยวัฒนธรรมต่อไป จึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการประกอบด้วยอนุกรรมการวิจัยวัฒนธรรมทั้ง 5 ภาค โดยมี ศ.ดร.อานนั ท์ กาญจนพันธ์ เป็นประธาน เพื่อท�ำหน้าท่ีด�ำเนนิ การภารกิจ ดงั กล่าว ในการดำ� เนนิ การคณะอนกุ รรมการฯ ไดก้ ำ� หนดใหแ้ ยกประเมนิ งานวจิ ยั ทาง วัฒนธรรมเป็นของแต่ละภาค คอื ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรงุ เทพมหานคร ซงึ่ ใน 4 ภาคแรก ไดก้ �ำหนดประเดน็ การประเมนิ และ สังเคราะห์งานวิจัยวฒั นธรรมร่วมกนั คอื 1 ช่วงระหว่างปีงบประมาณ 2547-2549
10 ถกเถียงวฒั นธรรม 1. ความหลากหลายทางชาติพันธ์ุและวัฒนธรรม 2. วัฒนธรรมกบั การพฒั นา 3. พลงั ความคิดและภมู ปิ ัญญา 4. ศิลปะ และวฒั นธรรม ส่วนกรุงเทพมหานครได้ตกลงปรับเปลี่ยนประเด็นไปบ้างให้เหมาะสมกับ ปรากฏการณ์ทางวฒั นธรรมและงานวจิ ยั ทมี่ เี กี่ยวกบั กรงุ เทพมหานคร นอกจากน้ีคณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอแนะแนวทางในการประเมินและ สังเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยวัฒนธรรมในแต่ละประเด็นว่า นอกจากน�ำเสนอการ ประมวลองค์ความรู้ในเชิงเนื้อหาของข้อค้นพบในงานวิจัยวัฒนธรรมตามประเด็น นน้ั แล้ว ควรให้ความส�ำคัญกับการประเมินทิศทางการพัฒนาแนวคิดและทฤษฏี และวธิ วี ทิ ยาตา่ งๆ รวมทง้ั ขอ้ จำ� กดั ตา่ งๆ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการสง่ เสรมิ ศกั ยภาพการ วจิ ยั ทางวัฒนธรรมต่อไปในอนาคต ในการด�ำเนินการประเมินและสังเคราะห์งานวิจัยทางวัฒนธรรมใน ภาคกลางในช่วงสองทศวรรษใน 4 ประเด็นตามทค่ี ณะอนกุ รรมการฯได้กำ� หนดไว้ ใหน้ นั้ ผเู้ ขยี นบทนำ� นไี้ ดล้ องสำ� รวจดวู า่ ไดเ้ คยมกี ารประเมนิ และสงั เคราะหง์ านวจิ ยั วัฒนธรรมในช่วงเวลาก่อนพ.ศ.2530 ในลกั ษณะดงั ท่ีมกี ารดำ� เนนิ การกันในคราวนี้ บ้างหรอื ไม่ ปรากฏว่ายงั ไม่มี จึงไม่มีภาพเปรยี บเทียบกับงานในหนงั สือเล่มน้ี แต่ อาจจะมีงานวิจัยทางวัฒนธรรมบางงานที่มีลักษณะใกล้เคียงกับการประเมินและ สงั เคราะหใ์ นงานน้ี ซงึ่ จะนา่ จะนำ� มากลา่ วถงึ เพอ่ื ใหเ้ หน็ ภาพงานวจิ ยั ทางวฒั นธรรม ก่อนพ.ศ.2530 บ้างพอเป็นสังเขป เพ่ือได้เห็นความต่อเนื่องของการท�ำงานวิจัย วัฒนธรรมในภาคกลาง ภาพสังเขปงานวจิ ยั ทางวฒั นธรรมในช่วงก่อน พ.ศ.2530-ต้นทศวรรษ 2330 โดย ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม (2539, orig. 2534) ใหข้ อ้ สงั เกตวา่ เมอื งหลายเมอื งในภาคกลาง ในสมัยเมอื่ ประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว มีหลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่าเป็น
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 11 เมืองส�ำคัญเช่นเมืองอินทร์บุรี (ในเขต จ.สิงห์บุรี) เมืองดงคอน และเมืองอู่ตะเภา (ในเขต จ.ชยั นาท) แต่จรงิ ๆ แล้ว เมอื งเหล่านไ้ี ม่ได้รวมเป็นกลุ่มก้อนเดยี วกนั เป็น อาณาจักรใดอาณาจักรหนง่ึ หากต่างก็มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาที่ แตกตา่ งกนั และมลี กั ษณะทางวฒั นธรรมทส่ี ะท้อนวา่ ไมไ่ ด้มเี อกภาพทางการเมอื ง อย่างทเ่ี คยคิดกนั ว่านคี่ อื “อาณาจกั รทวารวด”ี ที่มีศนู ย์กลางอยู่ท่ีเมอื งนครชยั ศรี หรอื นครปฐมโบราณ ซงึ่ มพี ทุ ธศลิ ปเ์ ปน็ ลกั ษณะเฉพาะ ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 11-17 เพราะท่ีจริงแล้วเม่ือพินิจพิเคราะห์ให้ลึกลงไป จะเห็นว่าเมืองต่างๆ อาจจะมี พฒั นาการทางวฒั นธรรมทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไปได้ อยา่ งเชน่ เมอื งอทู่ อง ในลมุ่ นำ�้ ทา่ จนี และเมืองศรีมโหสถในลุ่มน้�ำบางปะกง ซึ่งในช่วงแรกได้พบโบราณวัตถุที่เป็นของ ต่างถิน่ ร่วมสมัยกับรัฐฟูนนั แต่พอถึงพุทธศตวรรษที่ 11-12 เรมิ่ เหน็ ความแตกต่าง ของวัฒนธรรมวัตถุที่พบในบริเวณเมืองทั้งสองกล่าวคือ พบร่องรอยของอิทธิพล พุทธศาสนามากขึ้นท่ีเมืองอู่ทอง ในขณะท่ีหลักฐานทางศาสนาท่ีเมืองศรีมโหสถ แสดงว่าได้รับอิทธิพลของฮนิ ดมู ากกว่า จากข้อสังเกตดังกล่าวของศรีศักร แสดงให้เห็นว่าได้มีความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมในบริเวณเมืองโบราณต่างๆ ซ่ึงอยู่ในภาคกลางปัจจุบันมาแต่อดีต แต่จากข้อมูลดังกล่าวยังยากท่จี ะระบุ “กลุ่มชาตพิ นั ธุ์” ท่ีเป็นเจ้าของวัฒนธรรมท่ี หลากหลายดงั กลา่ ว ในชว่ งอดตี กาลนน้ั ได้ เพราะขาดหลกั ฐานทช่ี ดั เจน ดงั ขอ้ สงั เกต ของธิดา สาระยา (2532) ว่าท่ีพอจะมีหลักฐานอยู่บ้างก็จะเป็นหลักฐานทาง วฒั นธรรมในสมยั หลงั พทุ ธศตวรรษที่ 19 ไปแลว้ คอื การพฒั นาการของรฐั ตา่ งๆ ซง่ึ สำ� หรบั ภาคกลางคอื อยธุ ยาทม่ี หี ลกั ฐานการกลา่ วถงึ กลมุ่ ตา่ งๆ ทเ่ี รยี กวา่ “ชนชาต”ิ ตา่ งๆ ซงึ่ มคี นไทยเปน็ กลมุ่ หลกั และมี “ชาวตา่ งชาตติ า่ งภาษา” อกี หลายกลมุ่ เชน่ มอญ ยวน(ไตยวน) เขมร ลาว จนี แขก (หลายจำ� พวก เชน่ แขกตานี แขกจาม แขกชวา และแขกเทศ) และฝรง่ั จากประเทศตา่ งๆ เชน่ ปอตเุ กศ ฝรงั่ เศส และวลิ นั ดา ชอื่ เรยี ก “ชนชาต”ิ เหล่านี้ไม่ได้มีความชดั เจนนกั ว่าจ�ำแนกด้วยเกณฑ์อะไรแน่ แต่สงั เกตได้ ว่ามีหลายเกณฑ์ร่วมกัน เช่น ภาษา ประเพณบี างอย่าง ถ่ินฐานทม่ี า และศาสนา เป็นต้น
12 ถกเถยี งวัฒนธรรม การศกึ ษาวฒั นธรรมในภาคกลางในชว่ งกอ่ นทศวรรษ 2530 ไดเ้ นน้ การศกึ ษา วฒั นธรรมของชมุ ชนชาวนาไทยเปน็ หลกั โดยมกี ารศกึ ษาชมุ ชนจนี และชมุ ชนมอญ บ้าง งานวจิ ยั วฒั นธรรมชมุ ชนในภาคกลาง ส�ำคัญๆ ซ่ึงเน้นการศึกษาภาคสนาม ที่นกั มานุษยวิทยาเรียกว่า “การสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม” เป็นงานที่เกิดจาก โครงการวจิ ยั บางชนั ของมหาวทิ ยาลยั คอรแ์ นลล์ สหรฐั อเมรกิ า ซง่ึ เรม่ิ ในปี พ.ศ.2490 ทีม่ ลี อว์ริสตัน ชาร์ป (Lauriston Sharp) เป็นหัวหน้าโครงการ โดยมเี ป้าหมายส�ำคญั ทจี่ ะศกึ ษาผลกระทบของเทคโนโลยสี มยั ใหมต่ อ่ ชมุ ชนชนบทภาคกลาง ลกั ษณะงาน วิจัยในโครงการนจี้ ึงมิติหลายๆ มิติประกอบกัน คือพิจารณาท้ังกระบวนการทาง ประวัติศาสตร์ โครงสร้างสังคม และวถิ ีชีวิตชุมชน อย่างเช่น การเล้ียงลกู ลักษณะ บุคลิกภาพร่วมของชาวนาไทย การเกษตรกรรมและสุขภาวะอนามัย โดยมีโจทย์ สำ� คญั วา่ กระบวนการพฒั นาการไปสคู่ วามทนั สมยั ทง้ั ในแงเ่ ศรษฐกจิ (เชน่ การตลาด และขนส่ง) เทคโนโลยกี ารเกษตร เทคโนโลยใี นการรกั ษาพยาบาล ได้ส่งผลกระทบ ต่อโครงสร้างสังคม ค่านยิ ม และบคุ ลกิ ภาพ ของชาวนาในภาคกลางอย่างไรบ้าง ซ่ึงโจทย์เหล่านี้ได้พัฒนาการไปสู่ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนชนบท ในเชิงวฒั นธรรมในภาคกลาง อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษของ 2500 และ 2510 การศกึ ษาวฒั นธรรมชุมชน ชนบทไทยในภาคกลางของนกั มานษุ ยวทิ ยาอเมรกิ นั เรม่ิ ลดนอ้ ยลง แตไ่ ดข้ ยายความ สนใจไปท่ีภาคเหนือและภาคอีสานเป็นหลัก แต่พ้ืนที่ภาคกลางยังเป็นความสนใจ ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่ีเน้นการศึกษาชุมชนชนบทใน จงั หวดั อยธุ ยาเป็นหลกั และมปี ระเดน็ หลกั ในเรอื่ งความสมั พนั ธ์ของการพฒั นาทม่ี ี ตอ่ สถาบนั ทางสงั คมและวฒั นธรรมในชมุ ชน แตไ่ มไ่ ดม้ กี ารประมวลและสงั เคราะห์ งานให้เห็นภาพรวมของงานที่ท�ำในช่วงสองทศวรรษนี้ ในปี พ.ศ.2532 โครงการศกึ ษาประเทศไทยในปี 2010 (คริสต์ศักราช)2 ได้ เออ้ื อ�ำนวยให้มกี ารประมวล และสงั เคราะห์งานวิจยั ต่างๆ ตั้งแต่หลังสงครามโลก คร้ังที่ 2 เป็นต้นมาใน เร่อื ง “การเปลี่ยนแปลงสงั คมและวฒั นธรรมและพัฒนาการ 2 โครงการ “Socio-cultural Change and Political Development in Thailand” ซงึ่ ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากองคก์ ารบรหิ าร วิเทศกิจแห่งประเทศแคนาดา และมูลนธิ สิ ถาบันวิจัยเพอื่ การพฒั นาประเทศไทย
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 13 ทางการเมอื งในช่วงระหว่างพ.ศ.2493-2533 ของภาคต่างๆ ในประเทศไทย สำ� หรับ ภาคกลาง อมรา พงศาพชิ ญ์ และคณะ (Pongsapich et al. 1993) เปน็ ผปู้ ระมวลและ สงั เคราะห์งานวิจยั ที่เก่ยี วข้องต่างๆ ในภาคกลาง ซงึ่ ครอบคลุมจงั หวัด 25 จงั หวดั ทจี่ �ำแนกได้เป็น 4 เขตย่อยคือทางเขตตะวันตก ตอนกลางล่าง ตอนกลางบน และ ทางด้านตะวันออกตามลักษณะเด่นทางภูมิศาสตร์และคุณลักษณะทางทรัพยากร และไดน้ ำ� เสนอภาพรวมของยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นา และล�ำดบั ขนั้ ของพฒั นาการเชงิ พาณชิ ย์ในช่วงเวลาต่างๆ ซง่ึ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบคุณค่าของผู้คนในภาคกลาง การประเมนิ และสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทางวฒั นธรรมในคราวนเี้ มอื่ เปรยี บเทยี บ กบั การประเมนิ และสงั เคราะหง์ านทผี่ า่ นมานบั วา่ ครอบคลมุ ประเดน็ ตา่ งๆ มากกวา่ เดมิ เพราะมโี จทยท์ างวฒั นธรรมทห่ี ลากหลายเกย่ี วขอ้ งกบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ การพฒั นา พลงั ภมู ปิ ญั ญา และศลิ ปะ จงึ นา่ ชว่ ยทำ� ใหผ้ ทู้ ส่ี นใจงานวจิ ยั วฒั นธรรมในภาคกลาง มองเห็นงานในช่วงเวลา 2530-2550 ในหลายมิตมิ ากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามใน หนงั สอื เลม่ นสี้ ามารถนำ� เสนอไดเ้ พยี ง 2 ประเดน็ คอื ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ และวฒั นธรรม กับ วฒั นธรรมและการพฒั นาในภาคกลาง จากการทบทวนงานวิจัยวัฒนธรรมแต่ละงานเก่ียวกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภาคกลางในช่วงเวลาที่ได้ก�ำหนดไว้นน้ั ผู้วิจัย (ฉวีวรรณ ประจวบเหมาะ) ได้ตงั้ ข้อสังเกตว่างานวจิ ยั ได้ครอบคลมุ วัฒนธรรมของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุถึง 20 กลุ่มด้วยกนั แต่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้รับความสนใจจากนักวิชาการแตกต่างกันไป กลุ่ม ชาติพันธุ์ที่มีงานศึกษามากที่สุดคือ มอญ กะเหรี่ยง จีน ลาวพวน และลาวโซ่ง ตามล�ำดับ ท้ังน้ีมีข้อสังเกตว่าในการประเมินและสังเคราะห์งานน้ี ไม่ได้นับรวม งานวิจยั วัฒนธรรมเกยี่ วกับกลุ่มคนไทยภาคกลางด้วย3 ผู้เขยี นได้ตง้ั ข้อสังเกตว่างานวจิ ัยวฒั นธรรมเก่ยี วกบั กลุ่มชาตพิ ันธุ์ต่างๆ ใน ภาคกลางแตล่ ะงานทที่ ำ� ในชว่ งเวลาดงั กลา่ วนน้ั ไมไ่ ดใ้ หค้ วามสนใจตอ่ การอธบิ าย ความเป็นมาของความหลากหลายทางชาติพนั ธุ์ โดยตรง เพราะแต่ละงานเน้นการ พรรณนาความเป็นมาของกลุ่มชาติพันธ์ุแต่ละกลุ่ม เช่น ลาวโซ่ง หรือลาวพวน ว่า 3 ตามข้อตกลงของคณะอนกุ รรมการด�ำเนนิ งาน
14 ถกเถียงวัฒนธรรม ได้เข้ามาต้ังถ่ินฐานในภาคกลางของประเทศไทยตั้งแต่เม่ือไร ท่ีไหน และอย่างไร แต่เมื่อประมวลงานต่างๆ นน้ั เข้าด้วยกนั แล้ว จะเป็นภาพรวมทนี่ ่าสนใจว่า ความ หลากหลายทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมในภาคกลาง เกิดขึ้นได้ด้วยเง่ือนไขของ การทำ� สงครามระหวา่ งรฐั หรอื เมอื งต่างๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ซง่ึ มปี ระเพณี ของการอพยพและกวาดตอ้ นผคู้ นเปน็ เชลยสงคราม กบั การอพยพโดยสมคั รใจทงั้ ที่ เกยี่ วเนอื่ งกบั สงครามทเี่ กดิ ขนึ้ หรอื เปน็ การอพยพโดยสมคั รใจเพอื่ แสวงหาทท่ี �ำกนิ ท่อี ดุ มสมบูรณ์กว่าถน่ิ เดมิ กลุ่มชาติพนั ธ์ุต่างๆ ทีถ่ กู อพยพหรอื อพยพโดยสมัครใจ เข้ามาอยู่ในภาคกลางซ่ึงท�ำให้เกิดความหลากหลายในเชิงชุมชนชาติพันธุ์และใน ทางวัฒนธรรมในปัจจุบันส่วนใหญ่ เกิดขน้ึ ไม่เกนิ 300 ปีที่ผ่านมา (เท่าทม่ี ขี ้อมูล) ส่วนความหลากหลายทางชาตพิ นั ธุ์ (ไม่ได้นับคนไทยท่อี ยู่มาก่อน) ในสมัยอยุธยา ตอนกลางและตอนปลาย ท่ีได้ระบุในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งท่ีเป็น คนดง้ั เดิมและคนทอ่ี พยพเข้ามา คงจะได้ผสมผสานกลมกลนื กนั คนไทยในท้องถน่ิ จนแยกแยะยาก กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ท่ียังรักษาวัฒนธรรมด้ังเดิมไว้จนเป็นสีสันความ หลากหลายของภาคกลาง ส่วนใหญ่เข้ามาในช่วงต้นและกลางรัตนโกสินทร์ มีท้ัง ท่ีพูดภาษาตระกูลย่อย ไท/ไต และภาษาอ่ืนๆ เช่น มอญ เขมร และจีน เป็นต้น สว่ นกลมุ่ ชาตพิ นั ธท์ุ เี่ ขา้ มาอยตู่ ง้ั แตส่ มยั อยธุ ยาไดผ้ สมผสานกลมกลนื กบั คนไทยใน ท้องถิ่นไปมากแล้ว โดยอาจจะหลงเหลอื สญั ลักษณ์วฒั นธรรมดง้ั เดิมไว้บ้าง แต่คง ตอ้ งอาศยั งานศกึ ษาทางชาตพิ นั ธว์ุ รรณา ซงึ่ ในขณะนแี้ ทบไมม่ อี ยู่ สว่ นใหญง่ านทมี่ ี เป็นการศกึ ษาท่ีตั้งถนิ่ ฐานหลงั สมยั กรุงธนบุรมี าแล้ว ความหลากหลายทางวัฒนธรรมท่ีมองเห็นจะเป็นความหลากหลายของ ชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ เน่ืองจากงานวิจัยแต่ละงานจะเน้นการศึกษาระดับจุลภาค คือ ชุมชนชาติพันธุ์เฉพาะพ้ืนท่ี ยังขาดการประมวลลักษณะร่วมทางวัฒนธรรม ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุแต่ละกลุ่ม อย่างไรกต็ ามจากงานทมี่ ีอยู่ผู้เขียนพอจะประมวลได้ ว่าภายในกล่มุ ชาตพิ นั ธ์แุ ตล่ ะกลมุ่ มคี วามแตกต่างทางวฒั นธรรมอย่บู า้ ง อยา่ งใน “ลาวพวน” มักนิยมต้งั ถนิ่ ฐานอยู่ริมแม่น�้ำ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เป็นล�ำนำ�้ ธรรมชาติ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 15 และมวี ถิ ชี วี ติ ดงั้ เดมิ ทที่ ำ� นาเปน็ หลกั โดยมอี าชพี เสรมิ หลากหลายกนั ไป เชน่ คา้ ขาย ปลกู ไผ่ และรับจ้าง หรือบางแห่งอย่างเช่น ท่บี ้านหมีม่ ีการทอผ้าเป็นอาชพี ส�ำคญั แบบแผนดงั้ เดมิ นม้ี กี ารเปลยี่ นแปลงในหลายชมุ ชนทส่ี ดั สว่ นของครวั เรอื นทท่ี �ำนาลด น้อยลง อย่างเช่นทหี่ ินปัก อ.บ้านหม่ี เหลือครวั เรอื นท่ที ำ� นาเป็นหลกั เพียง 46.8% ซ่ึงส่วนใหญ่ก็เหมือนชาวนาในภาคกลางที่มีหนี้สินในระดับที่สูง เม่ือพิจารณางาน ต่างๆ ในประเดน็ ทเ่ี กยี่ วกับการจดั ระเบยี บสงั คม (แบบแผนครอบครัว การแต่งงาน และความสัมพันธ์ทางสังคมอ่ืนๆ) พบว่ามีน้อยมาก นกั วิชาการท่ีเขียนเรื่องนี้มัก เป็นนกั มานุษยวิทยา ท�ำให้พอเห็นภาพบ้างว่าในวัฒนธรรมของลาวพวน ผู้หญิง เป็นแกนกลางของครอบครวั และเครอื ญาติมคี วามส�ำคัญต่อวถิ ชี วี ิตของลาวพวน ลกั ษณะสำ� คญั ทางวฒั นธรรมทลี่ าวพวนมรี ว่ มกนั กค็ อื ความเชอ่ื เรอื่ งผดี งั้ เดมิ ผสมผสานกบั ความเชอื่ และพธิ ใี นพทุ ธศาสนา ซง่ึ การผสมผสานนมี้ คี วามหลากหลาย แตกตา่ งกนั ในแตล่ ะชมุ ชน/ทอ้ งถน่ิ แตพ่ ธิ ที เ่ี กา่ แกแ่ ละแสดงความเปน็ พวนมากทสี่ ดุ ในมุมมองของลาวพวน คือ “พธิ ีบญุ กำ� ฟ้า” ซ่งึ มรี ากฐานความเชือ่ ในเรือ่ ง “ผีฟ้า” ท่ีมีความส�ำคัญต่อความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน ท่ีจริงงานวิจัยบางงานได้ระบุว่า ในบางท้องถ่นิ ได้เลิกปฏบิ ตั ิไปบ้างแล้ว แต่ได้มีการฟื้นฟกู ันข้นึ มาใหม่ ตัวอย่างกลุ่มชาติพันธุ์อีกกลุ่มหน่ึงท่ีพอจะยกข้ึนมาเปรียบเทียบได้ก็คือ “ลาวโซ่ง” ซง่ึ ถกู อพยพหรืออพยพเข้ามาในเวลาใกล้เคียงกบั “ลาวพวน” และพูด ภาษาตระกลู ไทเหมอื นกนั และจากประสบการณ์ของ “ลาวโซ่ง” ท่ีอายุเกิน 60 ปี ได้บอกว่าพูดภาษากบั ลาวพวนรู้เรอ่ื งกันประมาณ 2 ใน 3 แต่ลาวโซ่งมเี อกลกั ษณ์ วฒั นธรรมทแี่ ตกตา่ ง “ลาวพวน” ทงั้ ในแงภ่ าษา การแตง่ กาย การจดั ระเบยี บสงั คม ซงึ่ ถอื และสบื ผขี า้ งพอ่ ทที่ ำ� ใหแ้ ตกตา่ งจาก “ลาวพวน” และจากกลมุ่ คนทพี่ ดู ภาษา ตระกลู ไทอน่ื ๆ ดว้ ย เพราะลาวโซง่ มพี ธิ เี สนเรอื น (การเซน่ ไหวผ้ เี รอื น ซง่ึ เปน็ ผขี า้ งพอ่ ) เป็นสัญลักษณ์ท่ีส�ำคัญของกลุ่ม นอกจากนี้แบบแผนการต้ังถิ่นฐานแตกต่างจาก ลาวพวนท่ีนยิ มอยู่ตามลุ่มน�้ำ แต่ลาวโซ่งถือการต้ังถน่ิ ฐานตามแบบดงั้ เดิม คอื อยู่ เชิงเขาหรือที่ดอน ซ่ึงมีห้วยน�้ำซับ เมื่อพิจารณางานวิจัยซึ่งศึกษาชุมชนลาวโซ่ง ในถ่ินต่างๆ กัน พบว่าส่วนใหญ่ได้ต้ังถิ่นฐานตามความคิดความเชื่อดั้งเดิม แต่มี
16 ถกเถียงวัฒนธรรม บางกรณีอย่างเช่น ชมุ ชนเกาะแรด จ.นครปฐม ท่ีตง้ั อยู่ใกล้คลองบางปลาไหล ซึ่ง มีลักษณะภูมปิ ระเทศและทรพั ยากรแตกต่างจากท้องถิน่ อืน่ ๆ อย่างไรกต็ ามลาวโซ่งกค็ ล้ายกับลาวพวนหรอื มอญ และชาวนาไทยในภาค กลางทวั่ ๆ ไปทมี่ รี ากฐานชวี ติ ดง้ั เดมิ อยกู่ บั การท�ำนาและการเกษตรกรรมอนื่ ๆ เปน็ หลกั และเผชิญหน้ากบั การเปลยี่ นแปลงท่ีว่าวถิ ีชวี ติ ในช่วงหลังสนธิสัญญาบาวร่งิ ต้องก้าวไปสู่การเกษตรกรรมเชิงพาณชิ ย์มากข้ึนเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในช่วง หลังแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับต่างๆ เป็นต้นมาซ่ึงมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต ในมติ อิ น่ื ๆ เชน่ การจดั ระเบยี บสงั คมและพธิ กี รรม ตลอดจนระบบคณุ คา่ ตา่ งๆ จาก การศกึ ษาของฉววี รรณ และวรานนั ท์ (พ.ศ.2543) ซงึ่ ศกึ ษาหนองเลา หรอื หนองปรง ท่ีเป็น “บ้านเก่า” หรือชุมชนถิ่นก�ำเนดิ ของลาวโซ่งในประเทศไทย และงานวิจัย ท่ีศึกษาชุมชนลาวโซ่งในที่อื่นๆ จะเห็นว่ามีการยืดหยุ่นในการต้ังถ่ินฐานหลัง การแต่งงานมากข้ึน รวมท้ังการปรับเปลี่ยนและการปฏิบัติในพิธีกรรมต่างๆ ที่มี การลดความส�ำคัญลง ความหลากหลายทางวัฒนธรรมท่ีปรากฏในงานศึกษาสะท้อนความ หลากหลายทางวัฒนธรรมดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และการแปรเปลี่ยน อนั เนอ่ื งจากการปรบั ตวั ทางวฒั นธรรมของกลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นบรบิ ทของการพฒั นาไป สคู่ วามทนั สมยั ซงึ่ มงี านศกึ ษาจำ� นวนหนง่ึ แมว้ า่ ไมม่ ากนกั ทส่ี นใจในการปรบั ตวั และ การเปลยี่ นแปลงในวถิ ชี วี ติ ชมุ ชนชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ เหลา่ นี้ อยา่ งเชน่ ในกรณกี ารศกึ ษา ลาวพวนทบี่ ง่ บอกวา่ การคมนาคม เศรษฐกจิ แบบตลาด และการศกึ ษาแบบทางการ ของรฐั ไทย ทำ� ใหล้ าวพวนรนุ่ หลงั ไปเรยี นในตวั เมอื งและเปลย่ี นอาชพี ไป และชมุ ชน บางชุมชนเน้นการบรโิ ภคนิยมและการผลิตจนให้ความส�ำคัญในการปฏิบัติทาง พธิ กี รรมเกย่ี วกบั ความเชอ่ื เรอื่ ง “ผ”ี นอ้ ยลง และสง่ิ บนั เทงิ ตา่ งๆ แบบสมยั ใหมก่ เ็ ขา้ มาแทนท่กี ารละเล่นตามประเพณี และงานศึกษาลาวโซ่งได้บ่งชี้ในทำ� นองเดียวกัน โดยให้ความส�ำคัญกับการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการจัดระเบียบทางสังคมว่า พ่อแม่ไม่อาจควบคุมแรงงานลูกและครอบครัวลูกเหมือนในระบบด้ังเดิม และการ ย้ายถิ่นของคนในครอบครัว ได้ส่งผลกระทบต่อความผูกพันและความม่ันคงของ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 17 ระบบตระกูลตามแบบเดิม ส่วนในกรณขี องชมุ ชนมอญ ไตยวน และโพล่ง กเ็ ผชิญ ชะตากรรมท่ีคล้ายๆ กัน ในแง่น้ีอาจกล่าวได้ว่าบริบทการพัฒนาได้ลดความหลากหลายทาง วัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ลงไปบ้าง แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าท�ำให้เหมือนๆ กัน ไปเสียทีเดียวเพราะกระบวนการปรับตัวอาจจะหลากหลายกันไปซ่ึงยังไม่มีข้อมูล สนับสนนุ ได้อย่างชดั เจน อาจกล่าวได้ว่าประเด็นศึกษา จิตส�ำนกึ และอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของกลุ่ม ชาติพันธุ์ต่างๆ ได้มีความส�ำคัญในการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในช่วงเวลาระหว่าง ทศวรรษของ 2530-2550 แลว้ แตป่ รากฏวา่ นกั วจิ ยั ทศี่ กึ ษากลมุ่ ชาตพิ นั ธใ์ุ นภาคกลาง น้อยรายท่ีให้ความสนใจในประเด็นนี้ ท�ำให้ความรู้ในเร่ืองน้ียังมีน้อยมากท้ังที่เป็น เร่ืองหลักในการทจี่ ะเข้าใจกลุ่มชาติพันธุ์ อย่างไรกต็ ามมีงานบางงานทีแ่ สดงความ สนใจในเรอื่ งกลไกการเรยี นรคู้ วามเปน็ ลาวพวน และบางงานไดเ้ ปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ความหลากหลายในเรื่องจิตส�ำนกึ อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ของลาวพวนซ่ึงอยู่ระหว่าง ความเป็นไทยและความเป็นลาวพวนในชุมชนลาวพวนที่ต่างถ่ินกัน ส่วนบางงาน สืบย้อนไปในอดีตถึงการก่อตัวและพัฒนาอัตลักษณ์ลาวพวนในบริบทการ เปล่ียนแปลงในลักษณะความสัมพันธ์กับคนไทย และรัฐไทย ที่เร่ิมจากการ ดูถูกเหยียดหยามมาสู่การแต่งงานข้ามกลุ่มกันท�ำให้เกิดความทับซ้อนเชิง อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ระหว่างการเป็นคนไทยและการเป็นลาวพวน มีลักษณะเป็น ทวลิ กั ษณ์ (double identity) ในลกั ษณะเดยี วกนั กบั ที่ อาร์ โคห์ลนิ (R.Coughlin) เคย ระบุถงึ อัตลักษณ์ชาตพิ นั ธ์ุของคนจีนในประเทศไทย สำ� หรบั การศกึ ษาอตั ลกั ษณ์ชาตพิ ันธุ์ของลาวโซ่งมีจำ� นวนน้อยกว่า แต่ได้มี การพาดพิงถึงบ้าง อย่างเช่นในงานหนงึ่ ซ่ึงศึกษาหนองปรงได้กล่าวถึงคำ� บอกเล่า ของผู้รู้ลาวโซ่งท่ีแยกแยะความแตกต่างระหว่างลาวโซ่ง ลาวพวน และลาวเวียง ท่ีถูกอพยพเข้ามาพร้อมๆ กัน แต่ได้แยกแยะตัวเองจากไทด�ำในเวียดนามซ่ึงเป็น บรรพบรุ ษุ ของตนเอง สว่ นวา่ ท�ำไมจงึ ถกู เรยี กวา่ ลาวโซง่ และเรยี กตวั เองวา่ ลาวโซง่ มีหลายข้อสันนิษฐาน แต่งานหน่ึงสันนิษฐานว่า ค�ำว่า “ลาว” คงมีมานาน
18 ถกเถยี งวัฒนธรรม พอสมควร (เพราะลาวโซ่งบางส่วนได้ถูกอพยพไปไว้บริเวณใกล้เวียงจันทร์มาก่อน แลว้ ) เพราะมคี ำ� พงั เพยของลาวโซง่ วา่ “บเ่ คยอนิ้ กอน ฟอ้ นแถน บแ่ มน่ ผลู้ าว” สว่ น ในช่วงเวลาท่ีศึกษานนั้ ปรากฏว่ามีความหลากหลายในเร่ืองอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ใน ชุมชนหนองปรง ผู้อาวุโสลาวโซ่งมีความภูมิใจในความเป็นลาวโซ่งโดยทั่วไป แต่ เม่ือพูดภาษาลาวโซ่งกันก็จะเรียกตนเองว่า “ผู้ลาว” ส่วนลาวโซ่งท่ีอายุน้อยกว่า 40 ปี มีความรู้สึกทห่ี ลากหลาย แต่ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เรียกตัวเองว่า “โซ่ง” หรือ “ไทยโซ่ง” เพราะไม่ชอบถกู เรยี กว่า “ลาว” แมว้ า่ งานศกึ ษาชมุ ชน “มอญ” ในประเดน็ นจ้ี ะมนี อ้ ยงานแตเ่ ปน็ งานทศี่ กึ ษา ในประเดน็ นโี้ ดยตรง ซง่ึ ศกึ ษาชมุ ชนมอญบา้ นมว่ งและแสดงใหเ้ หน็ วา่ มอญบา้ นมว่ ง มอี ตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธท์ุ ซี่ บั ซอ้ น คอื มที งั้ ความเปน็ มอญและความเปน็ ไทยควบคกู่ นั ไป ซง่ึ แสดงออกผา่ นสญั ลกั ษณว์ ฒั นธรรมในรปู ลกั ษณต์ า่ งๆ เชน่ ภาษา และการแตง่ กาย กลไกส�ำคัญในการธ�ำรงอัตลักษณ์ชาติพันธุ์ความเป็นมอญก็คือการเรียนรู้ผ่าน ครอบครวั และการถือปฏิบัติ ทางพิธีกรรมต่างๆ เช่นพิธีเลยี้ งผีและพธิ รี ำ� ผเี ป็นต้น ซ่ึงนกั วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่าจิตส�ำนกึ ชาติพันธุ์ของคนรุ่นหลังจะเอนเอียงมาทาง ความเปน็ ไทยมากกวา่ ความเปน็ มอญ สว่ นอกี งานหนงึ่ ซง่ึ ศกึ ษามอญบางกระดี่ ได้ เสนอว่ามอญไดธ้ �ำรงอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธผ์ุ ่านประเพณแี ละความเชอื่ โดยแสดงออก ผ่านสญั ลักษณ์ทางวฒั นธรรมเช่นการแต่งกายแบบมอญไปวัด การสวดแบบมอญ การถือผีบรรพบรุ ษุ และการรักษาประเพณีสงกรานต์แบบมอญ วัฒนธรรมกับการพัฒนาเป็นประเด็นที่ส�ำคัญอีกประเด็นหนงึ่ ในการที่จะ เข้าใจการเปล่ียนแปลงปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรมในภาคกลาง ซึ่งใน บางส่วนได้พอเห็นภาพผ่านการปรับตัวทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต่อ กระบวนการพฒั นาอยา่ งเชน่ การคมนาคมและการขนสง่ แบบทนั สมยั กระบวนการ ผลิตทางการเกษตรเชิงพาณชิ ย์ การพฒั นาฐานเศรษฐกจิ สู่การอตุ สาหกรรม และ พัฒนาการของระบบตลาดท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในชุมชนชาติพันธุ์ ต่างๆ ซ่ึงไม่ได้รวมคนไทยด้ังเดิมในภาคกลาง ภาพที่เห็นจึงเป็นส่วนเสี้ยวของการ เปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมในภาคกลางอันเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนา ในหัวข้อนี้
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 19 เปน็ การศกึ ษางานตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วขอ้ งโดยตรงกบั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวฒั นธรรมและ การพฒั นา ซง่ึ งานทศ่ี กึ ษาส่วนใหญเ่ ป็นงานศกึ ษาชมุ ชนคนไทยทวั่ ไปในภาคกลาง และมบี างสว่ นไดร้ วมชมุ ชนชาตพิ นั ธอ์ุ นื่ ๆ ดว้ ย จงึ นา่ จะทำ� ใหเ้ หน็ ภาพทส่ี มบรู ณข์ น้ึ งานวิจัยท่ีจัดอยู่ในกลุ่มการพัฒนากับการเปล่ียนแปลงวิถีชีวิตวัฒนธรรม ในชุมชนน�ำเสนอให้เห็นว่ากระบวนการพัฒนาในลักษณะต่างๆ ตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมของชาติว่าได้น�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชนต่างๆ ทั้ง เมอื งและชนบท ทำ� ใหว้ ฒั นธรรมชมุ ชนภาคกลางซง่ึ มคี วามหลากหลายถกู ทำ� ลายลง เพราะวา่ เปน็ กระบวนการพฒั นาทเี่ นน้ การปลกู พชื พาณชิ ยเ์ ชงิ เดยี่ ว และการพฒั นา สู่อุตสาหกรรม ซึ่งให้ความส�ำคัญกับการพัฒนาตามแนวคิดของประเทศตะวันตก ทเ่ี นน้ การพงึ่ พาเทคโนโลยจี ากตา่ งประเทศมาก ผลกระทบทเี่ กดิ ขนึ้ ตอ่ ผคู้ นในชมุ ชน ตา่ งๆ กค็ อื การทำ� ใหก้ ลายเปน็ ผผู้ ลติ ในภาคเกษตรไมว่ า่ จะเปน็ การทำ� นา ทำ� ไร่ หรอื การประมงท่ีผูกตดิ กบั ตลาดโลกหรือกลายเป็นแรงงานรบั จ้างในภาคอตุ สาหกรรม การประมวลและสงั เคราะหง์ านวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั วฒั นธรรมกบั การพฒั นา ของทีมวิจัยภาคกลางนอกจากจะแสดงให้เห็นมิติผลกระทบของการพัฒนาท่ีมี ต่อชุมชนและวัฒนธรรมด้ังเดิมแล้ว ยังได้น�ำเสนองานท่ีสะท้อนปรากฏการณ์อีก ด้านหนงึ่ คือการแสวงหาทางเลือกการพัฒนาท่ีตรงข้ามกับแนวพัฒนากระแสหลัก โดยการสง่ เสรมิ วฒั นธรรมดงั้ เดมิ เปน็ ศนู ยก์ ลางของการพฒั นาแทนการเน้นพฒั นา ตามแนวเศรษฐกิจแบบตะวันตก จึงเน้นการมองวัฒนธรรมในเชิงพลังสร้างสรรค์ (อานนั ท์ กาญจนพนั ธ์ุ 2538) หรอื ในบางแนวคดิ กอ็ าจเรยี กวา่ แนวคดิ วฒั นธรรมชมุ ชน (บำ� รงุ บญุ ปญั ญา 2549) ซง่ึ ใชใ้ นการศกึ ษาและพฒั นาชมุ ชน โดยทบทวนคณุ คา่ และ ศกั ยภาพทแี่ ทจ้ รงิ ของชมุ ชนในการจดั การการพฒั นา และประคองตนเอง การรอ้ื ฟน้ื ความทรงจ�ำร่วมของชาวชุมชนด้วยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ การใช้พลัง ของการรวมกลุ่ม ภูมิปัญญาและทรัพยากรที่มีอยู่เป็นหลักส�ำคัญในการแสวงหา ทางเลอื กในการพฒั นาและงานบางงานไดน้ �ำเสนองานผา่ นกระบวนการเกบ็ ขอ้ มลู โดยเรียกงานของตนเองว่า “แนวทางประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน” แม้ว่าแนวทางทั้ง 3 แนวนจ้ี ะมีจุดเน้นท่ีแตกต่างกัน แต่ถ้ามองในเชิงเนื้อหาแล้วพอจะประมวลและ
20 ถกเถยี งวัฒนธรรม สงั เคราะห์ร่วมกนั ไดค้ อื จะมองเหน็ ภาพความพยายามของนกั วจิ ยั /พฒั นาทที่ ำ� งาน รว่ มกบั ชมุ ชนตา่ งๆ ตงั้ คำ� ถามกบั ผลกระทบของการพฒั นากระแสหลกั ตามนโยบาย ของรัฐและพยายามจะหาทางเลือกในการพัฒนาที่เหมาะสมกับชุมชนของตนเอง อยา่ งเชน่ งานวจิ ยั เกยี่ วกบั การสบื สรา้ งประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมของชมุ ชน ชาวสวน อัมพวา ซึ่งพบว่าชุมชนดังกล่าวมีประวัติศาสตร์มายาวนานท่ีพ่ึงตนเอง แต่การ พัฒนาอุตสาหกรรมในท้องถ่ินท�ำให้ชุมชนอ่อนแอลงเรื่อยๆ นกั วิจัยโดยอาศัยวิธี วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบชุมชนมีส่วนร่วมท�ำให้ชุมชนเรียนรู้ร่วมกันในประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของตนเอง และช่วยกันวิเคราะห์ปัญหาและทางเลือกในการพัฒนาท่ี เหมาะสมกบั ตนเอง น�ำไปสู่ความเข้มแขง็ ในการพ่ึงตนเองของชุมชนมากขึน้ คณะผปู้ ระมวลและสงั เคราะหป์ ระเดน็ วฒั นธรรมกบั การพฒั นาไดช้ ใ้ี หเ้ หน็ วา่ งานศึกษาในประเด็นวัฒนธรรมกับการจัดการทรัพยากรได้แสดงประเด็นและ มุมมองท่ีหลากหลายอย่างเช่น มีท้ังงานท่ีแสดงให้เห็นว่าการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐานเช่นเขื่อนป้องกันน�้ำเค็ม ได้เอ้ืออ�ำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และ ส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่น และงานที่แสดงว่าโครงการรูปแบบการจัดการน�้ำในพื้นท่ี ใกล้เคียงกันน�ำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ในท้องถ่ินซ่ึงได้หาทาง แก้ไขร่วมกันด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการจากการสนับสนนุ ของสถาบันวิชาการจาก ภายนอก สว่ นบางงานกน็ �ำเสนอภาพผลกระทบของวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ จากนโยบาย ส่งเสริมการเกษตรของทางราชการและการพัฒนาอุตสาหกรรมคือวัฒนธรรมการ ทำ� ตาลของเพชรบรุ ี และระบบนเิ วศไดร้ บั ผลกระทบจากการสง่ เสรมิ การทำ� นาปลี ะ 2 ครงั้ หรอื การอนญุ าตให้ใช้พ้นื ที่ท�ำโรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้น ส่วนในประเด็น การอนุรักษ์วัฒนธรรมและการบริหารจัดการท่องเที่ยวใน บริบทของการพัฒนาได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการพัฒนาความทันสมัย ตั้งแต่หลังสงครามคร้ังท่ี 2 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชากร ในเขตเมือง ในหลายแง่ด้วยกนั เช่น มชี ีวติ ที่เร่งรีบ แข่งขนั และเอารัดเอาเปรียบ มีความตึงเครียด มีความโดดเดี่ยวทางสังคม และเผชิญหน้ากับการเปล่ียนแปลง อยา่ งรวดเรว็ เกดิ ความรสู้ กึ โหยหาอดตี ใฝฝ่ นั อยากกลบั ไปสคู่ วามเรยี บงา่ ย มนี ้�ำใจ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 21 ตอ่ กนั พฤตกิ รรมการทอ่ งเทยี่ วเปน็ กจิ กรรมทจ่ี ะผอ่ นคลายความตงึ เครยี ดซง่ึ มหี ลาย ลักษณะ แต่การท่องเที่ยวบางแบบได้น�ำไปสู่การส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรม ทอ้ งถนิ่ ซงึ่ มปี ระเดน็ ทน่ี า่ สนใจวา่ สทิ ธกิ ารปรบั เปลยี่ นหรอื รอ้ื ฟน้ื อตั ลกั ษณว์ ฒั นธรรม ทอ้ งถนิ่ เพอื่ ตอบสนองตอ่ การทอ่ งเทยี่ วนค้ี วรจะตกเปน็ ของผใู้ ด และจะนำ� ไปสคู่ วาม ขดั แย้งของกลุ่มประโยชน์ในชุมชนมากน้อยซกั เพยี งใด ในภาพรวมงานศกึ ษาความหลากหลายทางชาติพันธ์แุ ละวัฒนธรรมในช่วง สองทศวรรษไดใ้ หน้ ำ้� หนกั กบั การศกึ ษาวถิ ชี วี ติ ของชมุ ชนชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ในภาคกลาง เป็นหลัก (ไม่นับรวมชุมชนคนไทยจากภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้) โดย เน้นการวิเคราะห์เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนชาติพันธุ์ซ่ึงเป็นลักษณะร่วม ของชาติพันธุ์ในแต่ละกลุ่ม มีงานเป็นส่วนน้อยท่ีให้ความสนใจกับจิตส�ำนกึ และ อัตลักษณ์ชาติพันธ์ุอย่างจรงิ จัง ส�ำหรับงานประมวลและสังเคราะห์ในประเด็นวัฒนธรรมและการพัฒนา ชี้ให้เห็นว่า งานที่ศึกษาในช่วงเวลาดังกล่าวอาจถูกจ�ำแนกตามความสนใจของ นกั วจิ ัยเป็นแนวทางหลักๆ คอื ในแนวหนงึ่ ศกึ ษาผลกระทบของการพัฒนาประเทศ ต่อวิถีชมุ ชนต่างๆ ทัง้ ในเมืองและชนบท ส่วนในอีกแนวหนง่ึ กลบั ให้ความสนใจกบั ปรากฏการณ์ท่ีเป็นกระแสต้านการพัฒนาที่ตามรูปแบบตะวันตก และบางงานได้ บรู ณาการการวจิ ยั และการพฒั นาเขา้ ดว้ ยกนั ภายใตว้ ธิ วี ทิ ยาทเ่ี รยี กวา่ “การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารแบบชมุ ชนมสี ว่ นรว่ ม” และโดยอาศยั วฒั นธรรมชมุ ชน/ทอ้ งถน่ิ เปน็ กลไก ส�ำคัญในการขับเคลื่อนจิตส�ำนกึ การพัฒนาเพื่อการพ่ึงตนเองอย่างยั่งยืน แต่งาน ตา่ งๆ ในแนวทางที่ 3 เนน้ การศกึ ษาบทบาทของวฒั นธรรมในการจดั การทรพั ยากร ดว้ ยมมุ มองทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป สว่ นในแนวที่ 4 เปน็ เรอื่ งการศกึ ษาซง่ึ สะทอ้ นมมุ มอง ทีต่ ่างกันในเร่ืองบทบาทของวฒั นธรรมในการบรหิ ารการจดั การการท่องเท่ยี ว นอกจากบทความวจิ ัย 2 ประเด็นดังกล่าว ซง่ึ นำ� เสนอเน้อื หาสาระเกี่ยวกบั ข้อค้นพบและวิธีวทิ ยา ที่ได้ประมวลและสงั เคราะห์จากงานศึกษาภาคกลางต่างๆ ทม่ี อี ยใู่ นชว่ งเวลาทไี่ ดก้ ำ� หนดไวแ้ ลว้ หนงั สอื เลม่ นยี้ งั ไดน้ ำ� บทความเรอ่ื ง “ความเขา้ ใจ วฒั นธรรมในงานวจิ ยั สังคมไทย” ของ อานนั ท์ กาญจนพันธุ์เพม่ิ เตมิ เข้ามาด้วยใน
22 ถกเถยี งวัฒนธรรม บทที่ 2 ซง่ึ ไดป้ ระมวลพฒั นาการความพยายามของนกั วชิ าการตา่ งๆ ทจี่ ะทำ� ความ เข้าใจ “วัฒนธรรม” ในสังคมไทยในบริบททางประวัติศาสตร์ และอิทธิพลของ แนวทางการศึกษาท่ีหลากหลายจากส�ำนกั คิดในสังคมตะวันตก บทความนจี้ ะมี ประโยชน์อย่างย่งิ ต่อผู้อ่าน เพราะว่าจะช่วยทำ� ให้เหน็ มมุ มองทตี่ ่างกัน ในแนวทาง ทางการศึกษาต่างๆ พร้อมทั้งคุณประโยชน์ และข้อจ�ำกัดในการพรรณนาและ อธิบายวฒั นธรรมในสงั คมไทย จากข้อสังเกตของผู้เขียนซึง่ มปี ระสบการณ์มานาน ในการศกึ ษาสงั คมไทย นอกจากนย้ี งั ช่วยทำ� ใหม้ องเหน็ สถานภาพการใชป้ ระโยชน์ และแนวทางการศึกษาท่ีมีอยู่ ในการท�ำความเข้าใจชาติพันธุ์และวัฒนธรรมใน ภาคกลาง โดยเปรียบเทียบกับการใช้แนวทางการศกึ ษาวฒั นธรรมในภาคอน่ื ๆ ใน การท�ำความเข้าใจภาพรวมทางวัฒนธรรมในสังคมไทย เพราะหนงั สือเล่มน้ีเป็น เล่มแรก ในชุดของโครงการการประเมินและสังเคราะห์สถานภาพองค์ความรู้จาก การวิจัยวฒั นธรรม
บทที่ 2 ความเข้าใจ “วัฒนธรรม” ในงานวิจยั สังคมไทย1 อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์ 2.1 บทน�ำ แม้สังคมไทยจะมีวัฒนธรรมสืบทอดมาอย่างยาวนานแล้วก็ตาม แต่ความ เข้าใจ “วัฒนธรรม” ในฐานะเป็นแนวความคิด หรือค�ำท่ีมีความหมายเฉพาะ ซงึ่ สามารถแยกออกมาพจิ ารณาไดต้ า่ งหากนนั้ เพงิ่ จะปรากฏขน้ึ ราวๆ 80 ปมี านเี้ อง ในระยะแรกๆ นนั้ จะใช้ทับศพั ท์ภาษาอังกฤษว่า “คัลเชอร์” ดังปรากฏในปาฐกถา ของกรมหมนื่ พทิ ยาลงกรณ2์ เรอ่ื ง “ภาวะอยา่ งไรหนอทเ่ี รยี กวา่ ซวิ ไิ ลซ”์ ซง่ึ ทรงแสดง ทส่ี ามคั ยาจารยส์ โมสรสถาน เมอื่ วนั ที่ 27 ธนั วาคม 2475 (พทิ ยาลงกรณ์ 2513: 433) สำ� หรบั การใช้คำ� ว่า “วฒั นธรรม” ในภาษาไทยครง้ั แรก เท่าที่สามารถหาหลกั ฐาน เป็นภาษาเขียนได้ในขณะน้ี พบอยู่ในหนงั สือเร่อื ง “ปรชั ญาของสยามใหม”่ ของ จ�ำกัด พลางกูร (2479) ซึ่งเขียนขณะเรียนหนงั สืออยู่ท่ีมหาวิทยาลัยออกส์ฟอร์ด 1 ในการปรบั ปรงุ ครงั้ น้ี ผเู้ ขยี นขอขอบคณุ ดร. ยกุ ติ มกุ ดาวจิ ติ ร ผวู้ จิ ารณ์ขอ้ เขยี นน้ี ในการน�ำเสนอตอ่ การประชมุ ประจำ� ปีทางมานุษยวทิ ยาครงั้ ท่ี 7 เรอ่ื ง ยกเครอ่ื งวฒั นธรรมศกึ ษา ณ ศนู ยม์ านุษยวทิ ยาสริ นิ ธร เมอ่ื 26 มนี าคม 2551 ซง่ึ มสี ว่ นชว่ ยใหช้ ดั เจนมากขน้ึ 2 ผเู้ ขยี นขอขอบคณุ ศ. สายชล สตั ยานุรกั ษ์ ในความเออ้ื เฟ้ือแนะน�ำเอกสารหลายชน้ิ เกย่ี วขอ้ งกบั การใชค้ ำ� วา่ วฒั นธรรมในอดตี
26 ถกเถียงวัฒนธรรม ประเทศองั กฤษ แตจ่ ะเนน้ ในความหมายของความเจรญิ งอกงาม ทวี่ วิ ฒั นาการขน้ึ มาในสังคมเป็นหลัก ความเข้าใจวัฒนธรรมในทศวรรษท่ี 2470 จงึ น่าจะยังมีความ สบั สนปนเปอยู่กบั ความหมายของอารยธรรม ในยุคก่อนหน้านนั้ ปัญญาชนไทย เช่น ก.ศ.ร กุหลาบ เม่ือเขียนหนงั สือ “อายะติวัฒน์” ในปี พ.ศ.2454 มักใช้ค�ำว่า “ธรรมเนียมแก้ว” ในความหมาย ใกล้เคยี งกบั วฒั นธรรม และใช้ค�ำว่า “ขนบธรรมเนียมเรียบร้อย” หมายถงึ ซวิ ไิ ลซ์ ด้วยการวงเล็บไว้หลังค�ำดังกล่าว (2538: 82) ซ่ึงต่อมาค�ำนจี้ ึงถูกบัญญัติข้ึนเป็น ภาษาไทยว่า อารยธรรม ความสบั สนเหล่านสี้ ะท้อนถึง ปัญหาของปัญญาชนไทย ในขณะนนั้ ทพ่ี ยายามจะเล่าความเข้าใจของตนเกยี่ วกบั ความสัมพันธ์กับประเทศ ตะวันตก ซึ่งพวกเขายอมรับว่าเจริญกว่า แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรเจริญ เพราะ ขาดค�ำในภาษาไทยท่ีจะอธิบายสภาวะดังกล่าว ในกรณีของ ก.ศ.ร กุหลาบ จะใชว้ ธิ เี พม่ิ เตมิ คำ� เขา้ ไปขยายความ เพอ่ื แสดงนยั ของธรรมเนยี มทดี่ ี และมนี ยั เกยี่ ว กับความเจรญิ ขึน้ แม้แต่กรมพระยาด�ำรงราชานุภาพก็ยังทรงสับสน เพราะท่านทรงใช้ วัฒนธรรม ด้วยการใส่ความหมายในวงเล็บท้ายค�ำว่า Civilization ในพระนิพนธ์ เร่ือง “สมาคมไทยอย่างโบราณ” ในหนงั สือ นทิ านโบราณคดี ซึ่งทรงนิพนธ์ไว้ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2483-2485 โดยทรงต้ังข้อสงั เกตว่า สมาคม (หมายถงึ สงั คม ชมุ ชน) ของไทยโบราณมคี วามเทา่ เทยี มกนั และอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งเปน็ สขุ “จงึ เหน็ ควร นบั ว่าเป็นวฒั นธรรมอยา่ งสูง ตามสมควรแก่ท้องถน่ิ ” จนทรงคดิ ว่าเป็นลกั ษณะ หนง่ึ ของสงั คมนยิ ม ท่มี อี ยู่ในสงั คมไทยมาก่อนแล้ว (ด�ำรงราชานุภาพ 2514: 323) ส่วนการให้ความหมายของค�ำว่า “วัฒนธรรม” ตรงกับค�ำว่า “Culture” ในภาษาอังกฤษนน้ั พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงเป็น ผบู้ ญั ญตั ขิ น้ึ หลงั จากทที่ รงแปลวา่ “พฤทธธิ รรม” มากอ่ น แตไ่ มเ่ ปน็ ทน่ี ยิ ม ตอ่ มาจงึ ทรงเปลย่ี นเปน็ วฒั นธรรม (นราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ 2544: 116) ซงึ่ สนั นษิ ฐานวา่ คงจะ บัญญัติขึ้นในช่วงใกล้เคียงกับการออกพระราชบัญญัติบ�ำรุงวัฒนธรรมแห่งชาติ ปี พ.ศ.2483 (ยกุ ติ 2548: 90) ในครง้ั นนั้ วฒั นธรรมจงึ ถกู ผกู โยงเขา้ กบั ความเปน็ ไทย
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 27 เปน็ สำ� คญั ตามนโยบายของรฐั จนทำ� ใหค้ วามเขา้ ใจวฒั นธรรมยดึ ตดิ อยกู่ บั เอกภาพ ของความคิด ที่เป็นแบบชาตินิยมอย่างแยกกันไม่ออก ขณะเดียวกันวัฒนธรรม ยังคงมีนัยของอารยธรรมหรือความเจริญงอกงามผสมผสานอยู่ด้วย อาจกล่าวได้ว่า ความเข้าใจวัฒนธรรมทั้งสองนัยน้ีถือเป็นความคิด กระแสหลัก และสามารถครองใจปัญญาชนไทยมาอย่างต่อเนื่องได้จนถึงทุกวัน น้ี โดยเฉพาะปัญญาชนในส่วนกลาง ส่วนหนงึ่ อาจเป็นเพราะความตรึงใจในฐานะ ความเข้าใจครั้งแรก อีกส่วนหนึ่งมาจากการที่ปัญญาชนเองก็ถูกดึงให้เข้ามามี ส่วนร่วม ในกระบวนการสร้างรฐั ชาติด้วย ทงั้ โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ด้วยเงื่อนไขทว่ี ่า คร้ังนั้นสังคมไทยยังไม่ให้ความส�ำคัญกับวัฒนธรรมของการวิพากษ์วิจารณ์ นัก ระบบการศึกษาไทยจึงถูกนโยบายชาตินิยมและกระบวนการสร้างรัฐชาติ ครอบงำ� ไดง้ า่ ย ขณะเดยี วกนั ระบบการศกึ ษากย็ งั ค่อนข้างปดิ และการแลกเปลยี่ น กบั สังคมภายนอกก็ยังจำ� กดั อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัญญาชนท้องถ่ินท่ีเริ่มสนใจศึกษาวัฒนธรรมของตนเองใน ลักษณะสมัครเล่น กลับไม่ได้ใส่ใจกับเอกภาพของความคิดตามอย่างส่วนกลาง แต่หันมามองความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในท้องถิ่นของตนแทน ซึ่งบางครั้งก็แฝงไว้ด้วยนัยของการไม่ยอมรับความคิดครอบง�ำจากส่วนกลาง จน กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจวฒั นธรรมทห่ี ลากหลายขึ้นมา พร้อมๆ กบั กอ่ ตวั ขน้ึ เปน็ จารตี ของการศกึ ษาวฒั นธรรมทแ่ี ตกตา่ งจากสว่ นกลางตามมาอกี ดว้ ย ในช่วงทศวรรษท่ี 2480 มีงานศึกษาวจิ ัยวัฒนธรรมอย่างเป็นทางการขน้ึ ใน สงั คมไทยเปน็ ครง้ั แรก จากกรณขี องงานวจิ ยั วฒั นธรรมชาวลวั ะแถบแมฮ่ อ่ งสอนของ หมอ่ มเจา้ สนทิ รงั สติ (Steinmann and Sanidh 1939) ซงึ่ ศกึ ษาวชิ ามานษุ ยวทิ ยาจาก ประเทศเยอรมัน แต่ผลงานวิจัยคร้ังน้ีไม่แพร่หลายในสังคมไทย ส่วนหนงึ่ ก็เพราะ เขียนเป็นภาษาเยอรมัน จึงอาจจะยังไม่มีอิทธิพลต่อการศึกษาสังคมไทยมากนกั ส่วนการศกึ ษาอย่างจรงิ จังนน้ั เรมิ่ ต้นข้นึ ราวปลายทศวรรษที่ 2480 โดยนกั วิชาการ ท่บี ่มเพาะตวั เองข้นึ มาในสงั คมไทย เช่น พระยาอนมุ านราชธน บญุ ช่วย ศรสี วสั ดิ์ และจติ ร ภมู ศิ กั ด์ิ เปน็ ตน้ หลงั จากปี พ.ศ.2510 เปน็ ตน้ มากเ็ รม่ิ มนี กั วจิ ยั วฒั นธรรมที่
28 ถกเถยี งวฒั นธรรม ศกึ ษาเลา่ เรยี นวชิ ามานษุ ยวทิ ยาจากประเทศตะวนั ตกมาสมทบ เชน่ สนทิ สมคั รการ พัทยา สายหู และ สุเทพ สุนทรเภสัช เป็นต้น การศึกษาวัฒนธรรมหลังจากปี พ.ศ.2490 เป็นต้นมาได้ค่อยๆ สถาปนาความเข้าใจวัฒนธรรม ซึ่งกลายเป็นแบบ ฉบับของการนยิ ามความเข้าใจวัฒนธรรมในระยะต่อๆ มา แตค่ วามเขา้ ใจวฒั นธรรมในสงั คมไทยอาจจะยงั ไมช่ ดั เจน ตามแนวทางของ ทฤษฎใี นสงั คมตะวนั ตกเสยี ทดี ยี ว เพราะการศกึ ษาสงั คมไทยในเชงิ วฒั นธรรมมกั จะ เน้นการเกบ็ รวบรวมและประมวลข้อมูล และนำ� เสนอในเชิงพรรณนาเป็นส่วนใหญ่ ซงึ่ อาจประเมนิ ไดว้ า่ เปน็ การศกึ ษาทไ่ี มย่ ดึ ตดิ กบั ทฤษฏี แตน่ า่ จะเปน็ ความพยายาม ผสมผสานหลายๆ ทฤษฏีเข้าด้วยกัน เม่ือได้ทบทวนและสังเคราะห์งานวิจัยสังคมไทยเชิงวัฒนธรรมอย่างจริงจัง ซงึ่ ไม่ได้จ�ำกดั อยู่เฉพาะในสาขามานุษยวทิ ยาเท่านน้ั เพราะจะครอบคลมุ สหสาขา วิชาต่างๆ อย่างหลากหลาย ทั้งวิชาภาษาวรรณคดี คติชนวิทยา ประวัติศาสตร์ สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์แล้ว ผู้เขียนพบว่า การศึกษาวัฒนธรรมในสังคมไทย เกดิ ขน้ึ ในบรบิ ทของการตอ่ สทู้ างความคดิ 2 กระแสหลกั ดว้ ยกนั คอื ดา้ นหนงึ่ จะยดึ ตดิ อยู่ในกรอบของความคิดเชิงอุดมการณ์แบบชาตินิยม ขณะท่ีในอีกด้านหนึ่งจะ พยายามวิพากษ์วจิ ารณ์ความคดิ เก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อปรับทิศทาง ในการพัฒนา ในบรบิ ทของสงั คมไทย การตอ่ สทู้ างความคดิ 2 กระแสดงั กลา่ วประกอบกบั ความพยายามผสมผสานทางทฤษฏีและแนวทางของปฏิบัติการในการศึกษาวิจัย จะมีส่วนอย่างส�ำคญั ในการหล่อหลอมให้เกิดกระบวนทศั น์ท่แี ตกต่างกันในความ เข้าใจวัฒนธรรม ดงั นนั้ การสงั เคราะห์ความเข้าใจวฒั นธรรมครัง้ นจี้ ะจำ� กดั เฉพาะ งานวจิ ยั ของคนไทยเปน็ หลกั ขณะทสี่ งั คมตะวนั ตก ซงึ่ มกั จะเนน้ มมุ มองทางทฤษฎี เป็นด้านหลัก จึงสามารถแยกแยะความเข้าใจวัฒนธรรมออกได้ 3 กระบวนทัศน์ อย่างชัดเจน คือ วัฒนธรรมสากลนิยม วัฒนธรรมสัมพัทธ์นิยม และวัฒนธรรม การสรา้ งนยิ ม ในสงั คมไทย ความเขา้ ใจวฒั นธรรมของนกั วจิ ยั คนไทย อาจจะปะปน อยู่ใน 5 กระบวนทัศน์ด้วยกันคือ ความเข้าใจวัฒนธรรมเชิงคุณค่า ความเข้าใจ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 29 วัฒนธรรมเชิงความสัมพันธ์ ความเข้าใจวัฒนธรรมเชิงความหมาย ความเข้าใจ วฒั นธรรมเชงิ วาทกรรม และความเขา้ ใจวฒั นธรรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร ซง่ึ อาจคาบเกยี่ ว และซ้อนทบั กบั กระบวนทัศน์ในตะวันตกด้วยเช่นกนั จากการศึกษาทบทวนงานวิจยั สงั คมไทยทีส่ �ำคัญๆ บางส่วน โดยพิจารณา ในด้านความเข้าใจวัฒนธรรม ความเช่ือมโยงกับความคิดอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง และ วิธีวิทยาในการศกึ ษาประกอบกัน ผู้เขียนสามารถจำ� แนกแนวการศกึ ษาวัฒนธรรม ออกได้ 5 กลมุ่ คอื กลมุ่ ศกึ ษาวฒั นธรรมคตนิ ยิ มพน้ื ฐานดง้ั เดมิ กลมุ่ ศกึ ษาวฒั นธรรม ท้องถ่ินและความหลากหลายทางชาติพันธุ์ กลุ่มศึกษาวัฒนธรรมเชิงความหมาย ในบริบทของสังคมสมัยใหม่ กลุ่มศึกษาวัฒนธรรมเชิงวาทกรรมในบริบทของ การบรโิ ภคและการช่วงชิงความหมาย และกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมปฎิบัติการและ ความเคลื่อนไหว ในบริบทของความขัดแย้งทางเศรษฐกิจการเมือง ท้ังนี้เพื่อ สังเคราะห์หาความเช่ือมโยงระหว่างความเข้าใจวัฒนธรรมกับกระบวนทัศน์ท้ัง 5 กระบวนทศั นด์ งั กลา่ ว ขณะทแ่ี ตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษายงั มวี ธิ วี ทิ ยาในการศกึ ษาวจิ ยั แตกตา่ ง กนั ออกไปอกี อยา่ งหลากหลาย ซง่ึ เกดิ จากการมคี วามคดิ พนื้ ฐานรว่ มกนั แตม่ มี มุ มอง ด้านอน่ื ๆ แตกต่างกนั จนท�ำให้มกี ารโต้เถยี งกันเองภายในกลุ่มเดยี วกันด้วย กลมุ่ ศกึ ษาวฒั นธรรมทง้ั 5 กลมุ่ น้ี อาจจะกอ่ ตวั ขน้ึ ในชว่ งเวลาทแี่ ตกตา่ งกนั บา้ ง บางกลมุ่ อาจจะเรมิ่ กอ่ น และบางกลมุ่ อาจจะเพง่ิ ปรากฏตวั ขน้ึ เมอื่ ไมน่ านมานี้ แตก่ ลมุ่ ศกึ ษาทง้ั หมดกย็ งั คงมนี กั วจิ ยั สมาทานความคดิ ไปใชใ้ นการศกึ ษาวฒั นธรรม อย่างต่อเน่ืองมาจนถึงปัจจุบัน ดังนนั้ จึงไม่ได้แตกต่างกันในเชิงวิวัฒนาการของ ความเข้าใจวัฒนธรรม เพราะความเข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม อาจจะทั้ง แตกต่างและขัดแย้งกัน รวมทั้งถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์กันและกันอยู่ในที แต่ อาจจะไมไ่ ดโ้ ตเ้ ถยี งกนั โดยตรง สว่ นใหญม่ กั จะตา่ งกลมุ่ ตา่ งศกึ ษากนั ตามแนวทาง ของตนไป ยกเว้นนกั วิจยั บางคนอาจจะมีความคดิ คาบเกย่ี วกบั หลายกลุ่ม การจ�ำแนกกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมในที่นี้ มีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยแยกแยะ ให้เห็นความเข้าใจวฒั นธรรมท่แี ตกต่างกนั ชดั เจนยงิ่ ข้ึน ซ่งึ อาจจะมปี ัญหาอยู่บ้าง ตรงที่นกั วิจัยบางท่านอาจจะสังกัดหลายกลุ่มได้ในช่วงเวลาท่ีแตกต่างกัน เพราะ
30 ถกเถียงวฒั นธรรม ท่านเหล่านนั้ อาจจะปรับเปล่ียนความเข้าใจวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา เม่ือเปลี่ยน ประเดน็ ปญั หาและวธิ วี ทิ ยาในการวจิ ยั ไป ดงั นน้ั การจำ� แนกกลมุ่ ศกึ ษาจงึ ยงั ไมอ่ าจ แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดได้ แต่อาจจะถือเป็นเพียงแบบจำ� ลองในฐานะเป็น เคร่ืองช่วยคิดและช่วยวิเคราะห์ เพ่ือสร้างความเข้าใจในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ท่ีน่า จะน�ำไปสู่การสร้างความเข้าใจวัฒนธรรมใหม่ๆ ตลอดจนการปรบั ทศิ ทางของการ ศกึ ษาวิจยั วฒั นธรรมในอนาคต 2.2 กลมุ่ ศกึ ษาวฒั นธรรมคตนิ ยิ มพนื้ ฐานดงั้ เดมิ (Primordialism) การศึกษาวัฒนธรรมกลุ่มน้ีน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ในสังคมไทย แต่ยังคง สบื สานจารตี มาจนถงึ ปจั จบุ นั โดยเรมิ่ กอ่ ตวั ขน้ึ มากอ่ น ในหมชู่ นชนั้ นำ� ของสว่ นกลาง แต่อยู่นอกแวดวงวิชาการโดยตรง ในบริบทของการสร้างรัฐชาติ จึงมักจะแฝงไว้ ด้วยคติชาตินิยมปะปนอยู่ด้วยเสมอ จากความพยายามท่ีจะนิยามวัฒนธรรมให้ มีความหมายเท่ากับความเป็นไทย เพอ่ื สร้างคตนิ ยิ มพน้ื ฐานให้กบั การรวมอำ� นาจ อยู่ท่ีศูนย์กลาง ซ่ึงจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการให้ความส�ำคัญกับวัฒนธรรม ของชาติ ในชว่ งหลงั ปี พ.ศ.2480 ผา่ นบทบาทของหลวงวจิ ติ รวาทการ ผทู้ ม่ี สี ว่ นอยา่ ง ส�ำคัญในการนิยามความหมายของวัฒนธรรมไทย ในฐานะท่ีเป็นวัฒนธรรมของ ความเจรญิ มาตง้ั แตอ่ ดตี กาล ซง่ึ ฝงั ตดิ อยกู่ บั นสิ ยั ทด่ี งี ามตา่ งๆ จนถอื เปน็ จติ ใจหรอื คตพิ ืน้ ฐานด้ังเดิมทย่ี ดึ ถอื กนั ต่อมา ว่าเป็นลกั ษณะพิเศษเฉพาะของวัฒนธรรมไทย แม้ว่าภายหลังหลวงวิจิตรวาทการจะนิยามความเป็นไทย ด้วยการสร้างภาพแทน ความจรงิ อนื่ ๆ อกี มากมายก็ตาม (สายชล 2544) แต่การนยิ ามวฒั นธรรมเชื่อมโยง กับความเป็นไทยดังกล่าวของหลวงวิจิตรวาทการ ก็ได้สถาปนาและปลูกฝังความ เข้าใจวัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นคตินิยมพื้นฐานดั้งเดิมข้ึนในสังคมไทย ซ่ึงยังคง มีอิทธิพลอยู่ต่อมาได้จวบจนถึงปัจจุบันอย่างไม่น่าเช่ือ ส่วนหนง่ึ ก็เพราะยังคงมี การตอกยำ้� และสบื ทอดความคดิ ดงั กลา่ วมาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ดงั ปรากฏอยใู่ นแนวการ ศกึ ษาต่างๆ ของกลุ่มศกึ ษาวฒั นธรรมกลุ่มนใ้ี นหลายๆ แนวด้วยกัน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 31 สำ� หรบั การศกึ ษาวฒั นธรรมอยา่ งเปน็ ทางการของสงั คมไทย ในเชงิ วชิ าการ นน้ั น่าจะเชือ่ มโยงอยู่กบั บทบาทของพระยาอนมุ านราชธน (2431-2512) ผู้เร่มิ ต้น สร้างความเข้าใจวัฒนธรรมจากการศึกษาวิจัยด้วยตนเองอย่างจริงจังหลังจากปี พ.ศ.2480 เป็นต้นมา นอกจากจะได้รับอทิ ธพิ ลทางความคิดว่าด้วยวัฒนธรรมของ ความเป็นไทย ในช่วงก่อนหน้านน้ั แล้ว พระยาอนุมานราชธนยังได้รับความคิด วัฒนธรรมจากสังคมตะวันตก ผ่านการอ่านหนังสือของนักมานุษยวิทยา ชาวต่างประเทศอกี หลายคน เรมิ่ จากการอ่านหนงั สอื เรือ่ ง The Golden Bough (1890) ของนกั มานุษยวิทยาชาวอังกฤษช่ือ James Frazer ขณะที่รับราชการใน กรมศลุ กากร3 (2447-2476) ซง่ึ ทำ� ใหม้ โี อกาศตดิ ตอ่ กบั ชาวตา่ งประเทศ หนงั สอื เลม่ นี้ เป็นที่นิยมอ่านกันทั่วไป เพราะได้รวบรวมประเพณีและความเชื่อด้านไสยศาสตร์ ที่หลากหลายจากทั่วโลก และคงจะสร้างแรงบันดาลใจให้พระยาอนุมานราชธน สนใจศึกษาประเพณคี วามเช่ือด้านไสยศาสตร์และการนับถือผีสางเทวดาของไทย อย่างมาก จนเริ่มท�ำงานค้นคว้าในท�ำนองเดียวกัน ในระยะต่อมาอย่างมากมาย (อนุมานราชธน 2491) ต่อมาเม่ือได้ย้ายมาทำ� งานที่กรมศลิ ปากร (2478-2491) และสอนหนงั สอื ใน มหาวิทยาลัย พระยาอนุมานราชธนได้รู้จกั มกั คุ้นกับนกั มานษุ ยวทิ ยาชาวอเมริกัน โดยเฉพาะส�ำนกั มหาวิทยาลัยคอร์แนลล์ ท่ีเข้ามาวิจัยหมู่บ้านบางชัน จึงได้รับ คำ� แนะน�ำให้อ่านหนงั สอื ของนกั มานษุ ยวิทยาอเมรกิ ันเพมิ่ เติม เช่น A. L. Kroeber (1948) และ Melville J. Herskovitz (1948) เป็นต้น ทัง้ สองต่างก็เป็นศษิ ย์ของ Franz Boas (1858-1942) ผู้บุกเบิกวิชามานษุ ยวทิ ยาในอเมริกา ความคดิ ต่างๆ จากการ อ่านหนงั สอื เหล่านี้ คงจะมีส่วนอย่างส�ำคญั ในการชกั นำ� ให้พระยาอนมุ านราชธน หันมาสนใจศึกษา การเปล่ียนแปลงทางวัฒนธรรมที่เป็นวิถีชีวิตมากข้ึน โดยเน้น ท่ีลักษณะสร้างสรรค์ของวัฒนธรรม เพราะเห็นว่ามีส่วนช่วยให้เกิดการประดิษฐ์ คดิ คน้ และเสรมิ สรา้ งความเจรญิ จนในทสี่ ดุ ทา่ นกไ็ ดน้ ยิ ามวฒั นธรรมไวว้ า่ “คอื สงิ่ ท่ี 3 ขอ้ มลู น้ี สมจยั อนุมานราชธน ยนื ยนั ใน “รำ� พงึ ถงึ คุณพอ่ ” รวมพมิ พอ์ ย่ใู น 100 ปี พระยาอนุมานราชธน (สำ� นกั งานคณะกรรมวฒั นธรรมแหง่ ชาติ 2531: 69)
32 ถกเถยี งวฒั นธรรม มนษุ ยเ์ ปลย่ี นแปลงปรบั ปรงุ หรอื ผลติ สรา้ งขน้ึ เพอ่ื ความเจรญิ งอกงามในวถิ ชี วี ติ ของ ส่วนรวม วัฒนธรรม คือ วิถีแห่งชีวิตของมนุษย์ในส่วนรวม ที่ถ่ายทอดกันได้ เอาอย่างกันได้” (อนุมานราชธน 2515: 103) เร่ิมต้นจากความเข้าใจความหมายของวัฒนธรรมอย่างกว้างๆ ดังกล่าว พระยาอนุมานราชธนยังได้แยกแยะวัฒนธรรมออกเป็น 2 ระดับคือ วัฒนธรรม ทางวตั ถุ และวฒั นธรรมทางจติ ใจ วฒั นธรรมในระดบั แรกจะเกย่ี วขอ้ งกบั การครองชพี ขณะที่ระดับหลังจะเป็นเร่ืองของปัญญาความคิดและคติความเช่ือ ซึ่งเกี่ยวกับ ความเจรญิ งอกงามทางจติ ใจ (อนมุ านราชธน 2515: 110-111) และยังรวมถึงนสิ ยั สงั คมอกี ดว้ ย (อนมุ านราชธน 2515: 258) จดุ นเี้ องพระยาอนมุ านราชธนเหน็ ตรงกบั หลวงวจิ ิตรวาทการว่า วัฒนธรรมส่วนนถ้ี อื เป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมเดิม และยัง คงจะดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง แมจ้ ะมกี ารรบั พทุ ธศาสนาเขา้ มาเพม่ิ เตมิ ในภายหลงั อีกก็ตาม เพราะจะผสมผสานซ้อนๆ กันอยู่กับคติผีสางเทวดาและลัทธิพิธีอื่นๆ ท่ีเป็นเสมือนรากเหง้า พ้ืนฐานด้ังเดิมส่วนนจี้ ะเข้มข้นมากในวิถีชีวิตของชาวบ้าน (อนุมานราชธน 2515: 191-192) จนท�ำให้พระยาอนุมานราชธนหันไปสนใจศึกษา ชีวิตชาวบ้านมากข้ึน (อนุมานราชธน 2505 และ 2510) แต่ไม่ใช่ด้วยมุมมองของ การขัดกันระหว่างวัฒนธรรมชาวบ้านกับวัฒนธรรมหลวง ตามแนวทางศึกษาใน กลมุ่ ทสี่ อง เพราะพระยาอนมุ านราชธนจะเนน้ ความสอดคลอ้ ง และความกลมกลนื ระหว่างวฒั นธรรมท้ังสองมากกว่า ความเขา้ ใจวฒั นธรรมของพระยาอนมุ านราชธน ทม่ี งุ่ เนน้ ลกั ษณะรากเหงา้ ดั้งเดมิ ของความเป็นไทยนนั้ นอกจากจะแฝงไว้ด้วยคตชิ าตินิยมแล้ว ยงั อาจแสดง ถงึ อทิ ธพิ ลทางความคดิ จากวชิ ามานษุ ยวทิ ยาสายอเมรกิ นั อยหู่ ลายประการดว้ ยกนั ทง้ั ในดา้ นทย่ี ดึ ถอื วา่ วฒั นธรรมจะแฝงคตพิ นื้ ฐานไวภ้ ายใน ซง่ึ เปน็ พลงั ทส่ี รา้ งสรรค์ และรวมกนั เป็นลกั ษณะนสิ ัยทฝี่ งั ลกึ อย่ใู ต้จติ ส�ำนกึ จงึ ทำ� ให้วฒั นธรรมมอี ิสระจาก อทิ ธพิ ลภายนอก และมพี ลังอำ� นาจในฐานะตัวกำ� หนดชีวิตด้านอื่นๆ ตลอดจนการ ให้ความส�ำคัญกับลักษณะพิเศษเฉพาะของวัฒนธรรมในพื้นท่ีหน่ึงๆ ซึ่งเท่ากับ ไม่เห็นด้วยกบั ความคิดววิ ัฒนาการแบบสากลนยิ ม ที่มอี ิทธิพลอย่างมากในยุโรป
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 33 ความเข้าใจวัฒนธรรมเช่นนี้ ถือเป็นหลักการส�ำคัญในวิชามานุษยวิทยา อเมริกนั นับต้ังแต่สมยั ของ Franz Boas มาแล้ว พระยาอนุมานราชธนน่าจะเรียนรู้ ความคดิ เหลา่ น้ี ผา่ นการอา่ นงานเขยี นของศษิ ยค์ นส�ำคญั ๆ ของ Franz Boas ดงั กลา่ ว ขา้ งตน้ แมพ้ ระยาอนมุ านราชธนจะเขยี นเกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการแหง่ วฒั นธรรมมาตง้ั แต่ ปี พ.ศ.2496 แลว้ กต็ าม (อนมุ านราชธน 2515) แตม่ คี วามหมายเพยี งการเปลย่ี นแปลง วัฒนธรรมท่ีเกิดข้ึนในประวัติศาสตร์ มากกว่าแสดงนัยของความคิดแบบ วิวัฒนาการนยิ ม ซึง่ เน้นความแตกต่างทางความคิดระหว่างวัฒนธรรมในแต่ละยคุ ขณะที่พระยาอนุมานราชธนจะยึดม่ันอยู่กับคติพื้นฐานด้ังเดิมในวัฒนธรรม ที่ สามารถด�ำรงอยู่ได้อย่างต่อเนือ่ ง ท้งั นพ้ี ระยาอนมุ านราชธนจะสนใจศกึ ษาเฉพาะ วัฒนธรรมของความเป็นไทยเท่านน้ั โดยไม่ได้สนใจความสัมพันธ์แลกเปลี่ยนหรือ การผสมผสานระหว่างวฒั นธรรม ซงึ่ เป็นแนวทางส�ำคญั ของมานษุ ยวทิ ยาอเมรกิ นั สำ� นกั ของ Franz Boas พระยาอนมุ านราชธนจงึ รบั เอามาเฉพาะการศกึ ษาดา้ นคตชิ น ของกลุ่มชนใดกลุ่มชนหนงึ่ เป็นหลัก ทจ่ี รงิ แลว้ ความเข้าใจวฒั นธรรมของ Franz Boas ซงึ่ เกดิ มาเปน็ ชาวเยอรมนั ก่อนทจี่ ะอพยพมาอยู่อเมรกิ า ถอื ว่ามรี ากเหง้าอยู่ในสังคมเยอรมันมาก่อน เพราะ สบื สานความคดิ มาจาก Johan Gottfried von Herder (1744-1803) ผนู้ ยิ ามความหมาย ของวัฒนธรรมอย่างชดั เจนเป็นคนแรกๆ และมีชีวิตอยู่ร่วมสมยั กบั Immanuel Kant ผู้เป็นนกั ปรัชญาคนส�ำคัญของยุครู้แจ้งในยุโรป ด้วยการช้ีให้เห็นถึงความส�ำคัญ ของความคิดแบบมีเหตุผลทีเ่ ป็นพืน้ ฐานของความรู้และวิธีคิดแบบวิทยศาสตร์ แต่ Herder วจิ ารณค์ วามคดิ ดงั กลา่ ววา่ เปน็ วธิ คี ดิ เชงิ เดยี่ ว ดว้ ยการเสนอใหห้ นั มาสนใจ ความคิดซับซ้อนในวัฒนธรรมมากขึ้น ในความเข้าใจของ Herder นน้ั วัฒนธรรม หมายถึง จติ ใจ จิตวญิ ญาณ พลังสร้างสรรค์ และลกั ษณะของความเป็นชาติ ท่ีอยู่ ในคติชาวบ้านและปรากฏอยู่ในศิลปะและหัตถกรรมพ้ืนบ้าน ซ่ึงเป็นองค์รวมของ ความสร้างสรรค์ในวถิ ชี ีวิตประจ�ำวนั ความคดิ ของ Herder จึงมีนัยแบบวฒั นธรรม สัมพัทธ์นิยมอย่างชัดเจน กล่าวคือพยายามปกป้องลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรม ขณะเดยี วกนั กม็ นี ยั ของความคดิ ชาตนิ ยิ มอยอู่ ยา่ งเตม็ ที่ เพราะมองลกั ษณะเฉพาะ
34 ถกเถยี งวฒั นธรรม ของวัฒนธรรมและชาติเป็นเรื่องเดียวกัน ตามบริบทในยุคสมัยของ Herder เอง ที่มีความพยายามรวบรวมรัฐเล็กรัฐน้อย ให้เข้ามาอยู่ในการปกครองของปรัสเซีย (Inglis 2004: 11-15) อาจกลา่ วไดว้ า่ ความเขา้ ใจวฒั นธรรมในการศกึ ษาวฒั นธรรมกลมุ่ แรกนร้ี บั ความคดิ วฒั นธรรมจากส�ำนกั Boas บางส่วน แตม่ มี มุ มองสว่ นใหญ่โน้มเอยี งไปใน ทางเดยี วกบั Herder อยา่ งมาก เพราะสอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของสงั คมไทยเชน่ เดยี วกนั ที่เร่ิมมาจากการสร้างความเข้าใจว่า วัฒนธรรมและชาติเป็นเร่ืองเดียวกัน และมี ส่วนส�ำคัญในการหล่อหลอมความเข้าใจวัฒนธรรมให้มีความหมายไปในแนวทาง ทเี่ น้นความคดิ จติ ใจ จติ วญิ ญาณ คติชน พลังสร้างสรรค์ และลกั ษณะนสิ ัยของ ความเป็นชาติ ซ่ึงถือเป็นลักษณะเฉพาะหรือลักษณะพิเศษของกลุ่มชน จึงทำ� ให้ สนใจมองเฉพาะความกลมกลืนภายในสังคมของกลุ่มชน ขณะที่จะไม่ให้ความ สนใจศึกษา ท้ังในด้านของโครงสร้างสังคมและความสัมพันธ์ของการแลกเปลี่ยน วัฒนธรรม ระหว่างสังคมของกลุ่มชาติพนั ธุ์ทีห่ ลากหลาย ซงึ่ อาจอาศยั อยู่ในพ้ืนท่ี เดียวกัน ต่อมาก็ได้พัฒนาจุดเน้นในการศึกษาวิจัยแยกแยะแตกต่างกันออกไปอีก หลากหลายแนวทางด้วยกนั แนวทางแรก การศึกษาค่านิยมและโลกทัศน์ แนวทางนี้เป็นกลุ่มใหญ่ ทส่ี บื สานแนวทางการศกึ ษาของพระยาอนมุ านราชธนอยา่ งชดั เจน แตจ่ ะครอบคลมุ การศึกษาหลายสาขาวชิ า โดยมจี ุดมุ่งหมายร่วมกนั ในความพยายามจะทำ� ความ เข้าใจระบบคุณค่าหลักในวัฒนธรรม ซึ่งแสดงออกมาเป็นค่านิยมเฉพาะเร่ืองของ คนในวัฒนธรรมนนั้ และพยายามหาความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับโลกทัศน์ ในฐานะ มมุ มองทม่ี ลี กั ษณะนามธรรมทวั่ ไป และมกั จะเกยี่ วขอ้ งกบั ศาสนาและจกั รวาลวทิ ยา พร้อมๆ กันไปด้วย วิธีการศึกษาส่วนใหญ่จะศึกษาจากความเช่ือในศาสนา การศึกษาเชิงคติชนต่างๆ จากวรรณกรรมท้ังลายลักษณ์และมุขปาฐะ นิทาน ประเพณี การละเล่น และการแสดงอ่นื ๆ เช่น ลิเก หนงั ตะลุง และ ล�ำตัด ซึง่ เป็น เร่ืองของค่านิยมในอดีต เพ่ือท�ำความเข้าใจกับการธ�ำรงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม (อมรา 2541: 88-94)
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 35 การศึกษาแนวทางน้ีส่วนใหญ่ จึงมีลักษณะของการเก็บรวบรวมและ ประมวลขอ้ มลู เชงิ พรรณนาดา้ นคตชิ นวทิ ยา ตลอดจนการรวบรวมรายละเอยี ดของ จารตี ประเพณตี า่ งๆ ในเชงิ ชาตพิ นั ธว์ุ รรณา เพอ่ื แสวงหาความเขา้ ใจเกย่ี วกบั เนอื้ หา ของเรอ่ื งทศี่ กึ ษา มากกวา่ การถกเถยี งและเชอื่ มโยงประเดน็ ไปสแู่ งม่ มุ ทางสงั คมดา้ น อนื่ ๆ โดยมงุ่ เจาะลกึ หาระเบยี บหรอื กฎเกณฑข์ องความสมั พนั ธ์ ภายในระบบคณุ คา่ และโลกทัศน์ทางศาสนา ที่เห็นว่าด�ำรงอยู่ก่อนแล้ว ดังนน้ั จึงมักจะเสนอภาพของ ความคดิ เชงิ แก่นสารนยิ มทหี่ ยดุ นง่ิ ด้วยการเนน้ มมุ มองทว่ี ่า คา่ นยิ มเปน็ ความเชอื่ ที่มลี ักษณะถาวร เพราะเป็นเป้าหมายชีวิตท่ีสมควรปฏิบตั ิ (อมรา 2541: 94) ส�ำหรับผู้ศึกษาในเชิงคติชนจะสนใจท้ังโลกทัศน์ของคนไทยโดยรวม และ โลกทัศน์ของท้องถ่ิน เช่น โลกทัศน์ของชาวล้านนา (สิทธิ์ บุตรอินทร์ 2523 และ สรุ สงิ ห์ส�ำรวม 2526) และโลกทัศน์ทางการเมืองจากวรรณกรรมอสี าน (จารวุ รรณ ธรรมวตั ร 2523) เปน็ ตน้ ในกรณที ผี่ ศู้ กึ ษาเปน็ นกั เรยี นทางมานษุ ยวทิ ยากจ็ ะเชอ่ื มโยง ความคดิ กับพฤตกิ รรมด้วย เช่น สนทิ สมคั รการ พยายามโยงค่านยิ มเรอ่ื ง “มีเงิน กน็ ับว่าน้อง มที องก็นบั ว่าพี”่ ว่าสะท้อนพฤตกิ รรมแบบปัจเจกชนนิยมของคนไทย (สนทิ 2519) หรือมองเช่ือมโยงกับสังคมสมัยใหม่ เช่น งานของสุภางค์ จันทวนชิ (2525) เร่ือง บทบาทของวัฒนธรรมพืน้ บ้านในสังคมสมัยใหม่ เป็นต้น งานวจิ ยั บางชน้ิ อาจจะมคี วามพยายามวเิ คราะห์ และศกึ ษาหาความแตกตา่ ง ภายในความคิดอยู่บ้าง เช่น งานของ สมบัติ จันทรวงศ์ ที่ศึกษาวรรณกรรม ได้วิเคราะห์ว่าโลกทัศน์ของสุนทรภู่เกี่ยวข้องกับความคิดแบบพุทธศาสนาของ ชาวบ้าน ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซ่ึงแตกต่างจากพุทธศาสนาในพระธรรม ค�ำสอนหลัก เป็นต้น (Amara et. al. 1985) แต่งานของ นธิ ิ เอียวศรีวงศ์ เร่ือง วัฒนธรรมกระฎุมพีกับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์ (2527) นับเป็นงานชิ้นแรกๆ ทว่ี เิ คราะหว์ า่ วฒั นธรรมกระฎมุ พไี มใ่ ชร่ ะบบคณุ คา่ ทมี่ อี ยกู่ อ่ นแลว้ เพราะไดก้ อ่ รปู ขน้ึ มาจากการเปลย่ี นแปลงเงอ่ื นไขทางเศรษฐกจิ ชว่ งตน้ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ซงึ่ เหน็ ได้ จากการศกึ ษาวรรณกรรมในช่วงนน้ั
36 ถกเถียงวฒั นธรรม เมอ่ื มกี ารศกึ ษาคตคิ วามเชอ่ื จากสอ่ื รว่ มสมยั อนื่ ๆ มากขน้ึ เชน่ นยิ ายรว่ มสมยั ละคร เพลง และภาพยนตร์ การศึกษาวฒั นธรรมจึงเริ่มหันมาสนใจอย่างจรงิ จังว่า ค่านิยมก็เปล่ียนแปลงได้ด้วย ตามการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในสังคมแต่ละยุค แตล่ ะสมยั และไมไ่ ดม้ ลี กั ษณะตายตวั ตามทเี่ ขา้ ใจมาแตเ่ ดมิ เชน่ จรุ ี วจิ ติ รวาทการ ศึกษาค่านิยมและโลกทัศน์จากเนื้อหาของหนงั ไทย และพบว่ามีการเปลี่ยนแปลง หลายอย่างเกดิ ขนึ้ ในสงั คมไทยยุคปัจจบุ ัน (จุรี 2527) แนวทางทส่ี อง การศกึ ษาภมู ปิ ญั ญาและคตชิ าวบา้ น แนวทางนพ้ี ฒั นาขนึ้ มา จากการศกึ ษาแบบคตชิ นวทิ ยาของกงิ่ แกว้ อตั ถากร และกหุ ลาบ มลั ลกิ ะมาส กอ่ น แลว้ จงึ คอ่ ยๆ มผี หู้ นั มาเนน้ ศกึ ษาวฒั นธรรมของชาวบา้ นมากขนึ้ โดยเฉพาะในงาน ของนกั คติชนท้องถิ่น เช่น สุธิวงศ์ พงษ์ไพบลู ย์ (2525 และ 2544) ซงึ่ สนใจศึกษา วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ภาคใต้ และจารวุ รรณ ธรรมวตั ร (2536) ซงึ่ ศกึ ษาวฒั นธรรมอสี าน ท้ังคู่จะมองวัฒนธรรมท้องถ่ินในฐานะเป็นภูมิปัญญา และถือว่าเป็นระบบความรู้ ท่ียึดโยงอยู่กับพื้นฐานทางวัฒนธรรม ที่มีลักษณะเฉพาะถิ่น เพราะเกิดจากการ ผสมผสานคติด้านต่างๆ ในท้องถิ่นอย่างกลมกลืน จนกลายเป็นพลงั สำ� คญั ในการ ดำ� รงชวี ติ อยกู่ บั ธรรมชาตอิ ยา่ งสมดลุ ย์ การหนั มาสนใจคตชิ นในเชงิ ภมู ปิ ญั ญาเชน่ น้ี ก็เพราะเกิดข้ึนในบริบทของการวิพากษ์กระแสการพัฒนา บนพื้นฐานของการรับ ความรู้จากภายนอก ซึง่ มีนัยเสมือนหนง่ึ ชาวบ้านไม่มีความรู้ จึงมลี ักษณะเป็นการ ศึกษาเพื่อตอบโต้ต่อกระแสการพฒั นาจากภายนอกอกี ด้วย (ปรติ ตา 2548) ในฐานะนกั คติชนวิทยา สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์ ศึกษาวัฒนธรรมท้องถ่ินที่ สืบทอดด้วยวิธีมุขปาฐะต่างๆ ท้ังแสดงออกผ่านส่ือด้านภาษา ศิลปะการแสดง ศิลปวัฒนธรรมอื่นๆ และประเพณีพิธีกรรม เพื่อเน้นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ท่ีเป็นมรดกทางภูมิปัญญาเฉพาะถ่ินของกลุ่มชน ด้วยการอธิบายว่า วัฒนธรรม ทอ้ งถน่ิ นน้ั ผสมผสานขน้ึ มาอยา่ งซบั ซอ้ น จากวฒั นธรรมราษฎรแ์ ละวฒั นธรรมหลวง จนตกผลึกกลายเป็นพื้นฐานของพลังทางปัญญา หรือโครงสร้างทางวัฒนธรรม เฉพาะถ่ิน ท่ีเป็นทั้งคติและพฤติกรรมร่วม ซ่ึงถือเป็นรากเหง้าเชิงอุดมคติและ จิตวิญญาณ ทีส่ ามารถถ่ายทอดผ่านศรัทธาความเชื่อ ในระยะต่อมาจึงนยิ มเรียก ว่า ภูมิปัญญา เพราะเห็นว่าคติท้องถิ่นต่างๆ เป็นระบบคิดและแบบแผนในการ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 37 ด�ำเนนิ ชีวติ ทส่ี ามารถเป็นพลังของสงั คมได้ (สุธิวงศ์ 2544) แนวคิดต่างๆ เหล่าน้ี กย็ งั คงสะทอ้ นสายใยทางความคดิ จากพระยาอนมุ านราชธนไดอ้ ยา่ งชดั เจน แมจ้ ะ หนั มาเน้นวฒั นธรรมท้องถ่ินเพม่ิ มากขน้ึ ก็ตาม การให้ความส�ำคัญกับพลังทางความคิดในคติท้องถ่ินนี้เอง ที่ผลักดันให้ นกั วิชาการด้านคติชนหันมาใช้ค�ำว่า ภูมิปัญญาพื้นบ้าน มากขึ้น ดังจะเห็นได้ ชดั เจนเม่อื พจิ ารณาผ่านงานเขียนต่างๆ ของ จารวุ รรณ ธรรมวตั ร ซึ่งมองเห็นพลัง ความสามารถของภูมปิ ัญญาแฝงอยู่ในคุณค่าของการด�ำรงชวี ติ เพราะมรี ากเหง้า มาจากการผสมผสานคติความเชื่อที่เป็นฐานคิดด้านต่างๆ ในชีวิตประจ�ำวันอย่าง หลากหลาย ท้งั ศาสนาพุทธ พราหมณ์ และคตทิ ้องถนิ่ ทง้ั ส่วนท่เี ป็นโลกทัศน์และ ชีวทัศน์ จนหลอมรวมกันเข้าเป็นค่านิยมและส�ำนกึ เชิงอุดมการณ์ของความเป็น สว่ นรวม ในระดบั เครอื ญาตแิ ละครอบครวั เพอ่ื อยรู่ ว่ มกบั สภาวะแวดลอ้ มทางสงั คม และธรรมชาติอย่างกลมกลืน ดังนน้ั ภูมิปัญญาจึงเป็นแก่นสารความคิดหรือคติ ที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี และภาษาวรรณกรรม ซึ่งสามารถ ถ่ายทอดและใช้ขดั เกลาคนในท้องถ่ิน เพื่อให้ด�ำเนนิ ชวี ิตไปตามอุดมการณ์ แตม่ มุ มองเชน่ นเ้ี องกม็ กั จะกลายเปน็ ขอ้ จำ� กดั ไปดว้ ย เพราะเนน้ เฉพาะดา้ น ความรู้เกิดจากภายในท้องถิ่นเท่านน้ั และจะมองความรู้อื่นๆ จากภายนอก โดย เฉพาะความรู้แบบวิทยาศาสตร์จากตะวันตกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ผลที่ตามมาก็คือ นกั วิชาการด้านคติชนมักติดกับดักของความคิดแบบคู่ตรงข้าม จึงไม่สนใจท้ังการ แลกเปล่ียนความรู้ ความขัดแย้ง และการเปล่ยี นแปลงทีอ่ าจแฝงอยู่ในวิถชี ีวิตด้วย แม้ในภายหลัง สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์ (2544) จะเร่ิมสนใจการเปล่ียนแปลง มากข้นึ เมอ่ื หันมาศึกษาวิถีชวี ิตท้องถนิ่ กบั การพฒั นา ด้วยการมองว่าภูมปิ ัญญา นน้ั มพี ลวตั ซง่ึ หมายถงึ ความสามารถในการปรบั ตวั กบั การเปลยี่ นแปลง แตก่ ย็ งั คง มองการปรับตัวบนพ้ืนฐานของโครงสร้างความคิดที่สั่งสมมา ในฐานะพลังทาง วัฒนธรรมจากภายในท่ีเป็นอัตลักษณ์และศักดิ์ศรีของท้องถิ่น มากกว่าการ ผสมผสานกบั ความรแู้ บบอนื่ ๆ จากภายนอก เพอื่ สรา้ งภมู ปิ ญั ญาขนึ้ มาใหม่ เพราะ ยงั คงยดึ โยงอยู่กับพนื้ ฐานความคิดดั้งเดิมนน่ั เอง
38 ถกเถยี งวฒั นธรรม ขณะทนี่ กั การศกึ ษาอยา่ ง เอกวทิ ย์ ณ ถลาง (2540) ซง่ึ หนั ไปศกึ ษาภมู ปิ ญั ญา ชาวบ้านทั่วประเทศในส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับการด�ำรงชีวิต แทนท่ีจะศึกษาจาก ดา้ นคตชิ นอยา่ งเดยี ว จงึ ยอมรบั วา่ ภมู ปิ ญั ญาไมใ่ ชร่ ากเหงา้ ดง้ั เดมิ ทต่ี ายตวั เสมอไป เพราะสามารถปรับปรนและเปล่ียนแปลงได้ ในความสัมพันธ์กับการด�ำรงชีพ ในระบบนเิ วศ และสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมและวฒั นธรรมทไ่ี ดพ้ ฒั นาสบื สานกนั มา ด้วยการอธิบายการปรับปรนว่า หมายถึง การท้ิงบางความรู้อย่างไปบ้าง และ การรบั ของใหมม่ าบา้ ง ซงึ่ แสดงถงึ ความสามารถในการผสมผสานความรตู้ า่ งๆ กนั ได้อย่างแนบเนียน รวมทั้งความรู้แบบอ่ืนๆ จากภายนอกชมุ ชนด้วย แต่ก็ยงั ไม่ได้ ให้ความสนใจกบั ความสัมพนั ธ์ทีข่ ัดแย้งต่างๆ ในท้องถิ่นมากนกั ท่ีจริงความเข้าใจวัฒนธรรมท�ำนองน้ี ก็คล้ายคลึงกับความคิดของพระยา อนมุ านราชธน เพราะในบทความบางชนิ้ พระยาอนมุ านราชธนกห็ นั มาสนใจประเดน็ การผสมผสานความรู้อยู่บ้าง เช่น บทความเร่อื ง “บ่อเกิดแห่งวฒั นธรรมไทย” ซงึ่ ทา่ นอธบิ ายบคุ ลกิ ของคนไทยวา่ “รจู้ กั นำ� เอาวฒั นธรรมคนอน่ื ทเ่ี หน็ วา่ เปน็ คณุ เปน็ ประโยชน์ มาแทรกซึมวัฒนธรรมเดมิ ของตน และสามารถปรบั ปรงุ เปล่ียนแปลงให้ เกิดเป็นของใหม่ และลกั ษณะพิเศษของไทยเอง…… บคุ ลกิ ลักษณะอย่างนม้ี ีอยู่แก่ ชนชาตไิ ทยสมยั สโุ ขทยั และสบื ตอ่ มาจนถงึ ปจั จบุ นั ” (อนมุ านราชธน 2531: 270-273) แตก่ ระนนั้ กต็ าม คงจะเหน็ ไดว้ า่ ทา่ นยงั ยนื หยดั อยกู่ บั ลกั ษณะทางวฒั นธรรมพนื้ ฐาน ดงั้ เดมิ อย่างเหนยี วแน่น แนวทางทสี่ าม การศกึ ษาวฒั นธรรมชมุ ชนไท แนวทางนเ้ี รม่ิ ตน้ มาจากความ สนใจศกึ ษาเปรยี บเทยี บลกั ษณะพน้ื ฐานของวฒั นธรรมชนชาตไิ ทกลมุ่ ตา่ งๆ ทอ่ี าศยั อยู่ในท้องถ่ินท้ังหลายนอกประเทศไทย ภายใต้บริบทของการพัฒนาสังคมไทยที่ ขยายตวั มากขน้ึ จนชว่ ยใหค้ นไทยสามารถเดนิ ทางทอ่ งเทย่ี วไปในประเทศเพอื่ นบา้ น มากขน้ึ พรอ้ มๆ กบั อทิ ธพิ ลของคตนิ ยิ มพน้ื ฐานดง้ั เดมิ ในงานของหลวงวติ รวาทการ และพระยาอนมุ านราชธน ทย่ี งั คงมสี ายใยแฝงอย่เู สมอในการศกึ ษาวฒั นธรรม ซง่ึ ปลุกให้เกิดกระแสความสนใจการศกึ ษาวัฒนธรรมชนชาตไิ ทข้นึ มาอีกคร้ังในช่วงปี พ.ศ.2520 หลังจาก บรรจบ พันธเุ มธา และ บญุ ช่วย ศรีสวัสด์ิ ได้บุกเบิกไว้ตง้ั แต่
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 39 ช่วงปลายทศวรรตท่ี 2490 ดังผลงานในหนงั สือส�ำคญั เร่อื ง กาเลหมา่ นไต (2504) ซ่ึงเน้นศึกษาวัฒนธรรมด้านภาษาของชาวไทอาหมในรัฐอัสสัมของอินเดีย และ ไทยสิบสองปนั นา (2498) ซ่ึงรวบรวมวฒั นธรรมประเพณขี องชาวไทล้ือ แนวการศึกษาวัฒนธรรมชนชาติไทยครั้งใหม่นี้ เริ่มศึกษาวัฒนธรรม เชิงชาติพันธ์ุวรรณาของกลุ่มชนชาติไท ท่ีอาศัยอยู่ในประเทศไทยก่อน ซ่ึงมจี �ำนวน มากมาย ทงั้ ทเ่ี ปน็ วทิ ยานพิ นธแ์ ละการศกึ ษาของนกั วชิ าการทอ้ งถน่ิ พรอ้ มๆ กนั นน้ั ก็มีนักภาษาศาสตร์พยายามเดินตามรอยอาจารย์บรรจบไปศึกษาชุมชนไท นอกประเทศด้วย เช่น วิไลวรรณ ขนิษฐานนั ท์ (2519) ต่อมาจึงเร่ิมมีนกั วิชาการ ตามออกไปศึกษาคนไทนอกประเทศอีกหลายคน เช่น บุญยงค์ เกศเทศ (2532) ที่ออกไปศกึ ษาวฒั นธรรมของชาวไทค�ำตี่ในพม่าและอินเดยี เป็นต้น ในส่วนการผลักดันการศึกษาวัฒนธรรมชุมชนไทอย่างจริงจังนนั้ ฉตั รทิพย์ นาถสภุ า นบั เปน็ ผมู้ บี ทบาทส�ำคญั อยา่ งยงิ่ ทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การศกึ ษาวจิ ยั เปน็ คณะใหญ่ ภายใตค้ วามพยายามคน้ หารากเหงา้ ดง้ั เดมิ ของคนไท ทถ่ี อื เปน็ ลกั ษณะ เฉพาะพเิ ศษในโครงสรา้ งความคดิ ความเชอื่ และการจดั การองคก์ รชมุ ชน และไมใ่ ช่ ความคดิ ความเชอ่ื ในพทุ ธศาสนา ซง่ึ ฉตั รทพิ ยเ์ รยี กวา่ วฒั นธรรมตน้ แบบ โดยเชอ่ื วา่ วฒั นธรรมระดับรากบริสทุ ธเิ์ ช่นนี้เป็นเสมือนจติ ใต้ส�ำนกึ คุณค่า และจิตวิญญาณ ที่จะยังคงสามารถด�ำรงอยู่และสืบทอดได้ในชุมชนผ่านการใช้ภาษา ขณะท่ี วัฒนธรรมในสังคมระดับอ่ืนๆ ได้ผสมผสานและกลายไปหมดแล้ว ด้วยการชี้ชัด ถงึ ฐานคดิ นคี้ รง้ั แรกในบทความเรอ่ื ง ความเชอ่ื และพธิ กี รรมของชาวไทอาหม (2528) ท่ีรวมพิมพ์อยู่ในหนงั สือเร่ือง วัฒนธรรมไทยกับขบวนการเปล่ียนแปลงสังคม (2534) ซึ่งถอื เป็นความพยายามในการต่อยอดความคดิ เพมิ่ เติมมาจากการศกึ ษา ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจหมู่บ้าน และวัฒนธรรมชุมชนหมู่บ้านไทยก่อนหน้าน้ี (อานนั ท์ 2544ง) จากแนวทางการศกึ ษาวฒั นธรรมชมุ ชนไทดงั กลา่ ว ไดย้ นื ยนั อยา่ งชดั เจนวา่ ฉตั รทพิ ย์ ใหค้ วามสำ� คญั กบั วฒั นธรรมในระดบั ชมุ ชนอยา่ งมาก ในฐานะทสี่ ามารถ สืบทอดลักษณะพืน้ ฐานของวัฒนธรรมไว้ได้ ซงึ่ ถอื เป็นพลงั ของความเป็นชุมชนใน
40 ถกเถยี งวัฒนธรรม การรวมตวั กนั เพอื่ ยนื หยดั ตอ่ สกู้ บั การครอบงำ� จากภายนอกทม่ี งุ่ เอาเปรยี บ และชว่ ย รกั ษาความมอี สิ ระของตนเองตลอดมา (ฉตั รทพิ ย์ 2540) ดงั นน้ั ฉตั รทพิ ย์ จงึ เสนอให้ ศกึ ษาวฒั นธรรมชมุ ชน ผา่ นการวเิ คราะหท์ างประวตั ศิ าสตร์ เพอื่ เขา้ ใจกระบวนการ ก่อรูปของแก่นแกนทางความคิดและโครงสร้างความสัมพันธ์ท่ีอยู่ในพลังดังกล่าว พรอ้ มๆ กบั การศกึ ษาเชงิ เปรยี บเทยี บกบั ประวตั ศิ าสตรว์ ฒั นธรรมชมุ ชนไทในทตี่ า่ งๆ ด้วย ท้ังนี้เพือ่ เชือ่ มโยงพลงั ทางวฒั นธรรมกบั การเสริมสร้างศักยภาพชุมชนในการ พฒั นา ซ่งึ สอดคล้องกับแนวคดิ วฒั นธรรมชมุ ชนขององค์กรพฒั นาเอกชน นอกจากการศึกษาวัฒนธรรมชมุ ชนไทตามแนวทางของฉตั รทิพย์แล้ว กย็ งั มีการศึกษาในแนวทางอ่นื ๆ อีก ส่วนใหญ่จะเน้นการศกึ ษาด้านภาษา วรรณกรรม และคติชน (ศิราพร 2545) ส่วนอีกแนวหนง่ึ จะเป็นการศึกษาเชิงชาติพันธุ์วรรณา เช่น งานของ สมุ ิตร ปิติพฒั น์ (2545) ซง่ึ สนใจศึกษาเปรยี บเทยี บรายละเอียดของ ความเชื่อด้านต่างๆ และพิธีกรรม รวมท้ังระบบครอบครัวและเครือญาติพ้ืนฐาน ในชมุ ชนไทกลมุ่ ตา่ งๆ เพอื่ คน้ หาและตรวจสอบลกั ษณะรว่ มพน้ื ฐาน ทเี่ ปน็ โครงสรา้ ง หรือระเบียบภายในระบบความคิดทางศีลธรรม โดยเฉพาะในโลกทัศน์เก่ียวกับ อ�ำนาจเหนือธรรมชาติ จักรวาลวิทยา โครงสร้างความคิดในพิธีกรรม รวมท้ัง ความเช่ือมโยงกับการจัดระเบียบทางสังคม แนวทางท่ีสี่ การธ�ำรงความเป็นชาติพันธุ์ แนวทางน้ียึดถือความเข้าใจ วฒั นธรรมคตนิ ิยมพ้ืนฐานด้งั เดมิ อย่างมน่ั คง แต่แทนทจ่ี ะผูกตดิ ความคดิ กบั ความ เปน็ ชาติ กลบั หนั มาเชอ่ื มโยงกบั ความเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ จนทำ� ใหม้ องวฒั นธรรมของกลมุ่ ชาติพันธุ์ขนาดเล็กแบบแก่นสารนิยม (Essentialism) ในแง่ท่ีกลุ่มขนาดเล็กเหล่าน้ี สามารถธ�ำรงความเป็นชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นแก่นแกนหรือเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ของตนเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะเปล่ียนแปลงลักษณะทางวัฒนธรรมผิวเผิน ท่ีอยู่ภายนอกไปบ้างก็ตาม ทงั้ นี้เพราะต้องต่อสู้เพอื่ ความอยู่รอด ในความสัมพันธ์ กับกลุ่มชนทมี่ อี ำ� นาจมากกว่า การศึกษาแนวน้ีเร่ิมต้นขึ้นในสังคมไทยตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 2480 เม่ือ หมอ่ มเจา้ สนทิ รงั สติ ไดศ้ กึ ษาวฒั นธรรมของชาวลวั ะในภาคเหนอื และพบวา่ ชาวลวั ะ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 41 ซง่ึ เปน็ กลมุ่ ชนดงั้ เดมิ สามารถธ�ำรงรกั ษาความเปน็ ชาตพิ นั ธม์ุ าไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แม้ จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของอ�ำนาจรัฐล้านนามานาน ด้วยการสืบทอดผ่านแก่นแกน ของวัฒนธรรมหินต้ัง (Megalithic Culture) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ ที่มีรากเหง้ามาจาก ความเชอื่ ในการนบั ถอื ผขี องผกู้ อ่ ตง้ั ชมุ ชน ตอ่ มาในระยะหลงั หนิ ตง้ั กไ็ ดเ้ ปลย่ี นรปู ไป และกลายเป็นเสาไม้ ที่ปักไว้ใจกลางชุมชน ซึ่งใช้เป็นสถานที่ทำ� พิธีเซ่นไหว้บูชาผี จนถงึ ปัจจบุ ัน (Steinmann and Sanidh 1939) หนงั สอื เรอ่ื ง “ลวั ะเมอื งนา่ น” ของชลธริ า สตั ยาวฒั นา (2530) ไดพ้ ฒั นาและ ขยายแนวทางการศึกษานตี้ ่อมา ด้วยการผสมผสานข้อมูลจากท้งั ชาตพิ นั ธุ์วรรณา และต�ำนาน เพื่อวิเคราะห์ให้เห็นความต่อเน่ืองของเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ใน ประวตั ศิ าสตร์ ซงึ่ ถอื เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมในดา้ นตา่ งๆ ของชวี ติ จนชลธริ าเรยี กวา่ เป็น “สายวัฒนธรรม” พร้อมท้ังเชื่อมโยงให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมลัวะท่ี มีต่อประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา แม้จะมีแนวความคิดแบบวัฒนธรรม พื้นฐานด้ังเดมิ เช่นเดยี วกบั แนวทางก่อนหน้านี้ แต่แนวการธำ� รงความเป็นชาติพันธุ์ มักจะโต้แย้งกับความคิดกระแสหลัก แทนท่ีจะเห็นว่าวัฒนธรรมของชนช้ันน�ำ ครอบง�ำกลุ่มชนขนาดเล็ก ก็จะเน้นให้เห็นถึง อิทธิพลทางวัฒนธรรมของกลุ่มชน ด้งั เดมิ ที่มตี ่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมของกลุ่มท่ีมอี �ำนาจ ความเข้าใจวัฒนธรรมตามแนวการศึกษานี้ยังแฝงอยู่ ในการศึกษากลุ่ม ชาติพนั ธุ์ขนาดเลก็ อื่นๆ อีก โดยเฉพาะการศึกษาวัฒนธรรมกะเหร่ียง แต่จะหันไป เน้นท่ีความต่อเนื่องของโลกทัศน์และภูมิปัญญา แทนสัญลักษณ์และต�ำนาน ดัง ตวั อย่างในงานวิจยั ของปิ่นแก้ว เหลอื งอร่ามศรี (2539) เร่ือง “ภมู ิปัญญา: ระบบ นเิ วศวทิ ยาชนพน้ื เมอื ง ศกึ ษากรณชี มุ ชนกะเหรยี่ งในปา่ ทงุ่ ใหญน่ เรศวร” ซง่ึ อาจจะ มีแนวทางคาบเกยี่ วกบั แนววัฒนธรรมชมุ ชน ในกลุ่มศกึ ษาท่สี องด้วย ในระยะหลังๆ แนวทางการศึกษาการธำ� รงความเป็นชาติพันธุ์ มักจะเน้น กลุ่มชาติพันธุ์ขนาดเล็ก ท้ังชาติพันธุ์ไท และกลุ่มอื่นๆ เช่น วัฒนธรรมชาวมอญ ในภาคกลาง เป็นต้น ด้วยการเน้นท่ีความสมารถของกลุ่มเหล่านี้ในการสืบทอด ความต่อเนื่องทางวัฒนธรรม ผ่านการผลิตซ�้ำพิธีกรรมและความเชื่อ ตลอดถึง
42 ถกเถียงวัฒนธรรม แบบแผนของจารตี ต่างๆ ซึ่งถอื ว่าเป็นภูมปิ ัญญาด้านต่างๆ ของกลุ่มชน และเป็น ความเขม้ แขง็ ของชมุ ชนดว้ ย จนบางครงั้ กถ็ กู นกั วชิ าการตา่ งประเทศวพิ ากษว์ จิ ารณ์ ว่า อาจจะเป็นการสร้างภาพทางวัฒนธรรมที่หยุดนง่ิ ตายตัวเกินไป โดยไม่สนใจ บรบิ ทอน่ื ๆ ทอี่ าจมผี ลกระทบตอ่ ความเปน็ ชาตพิ นั ธ์ุ (Walker 2001) แตน่ กั วชิ าการไทย เช่น ยศ สันตสมบตั ิ กอ็ อกมาววิ าทะด้วยว่า ลักษณะทางวัฒนธรรมดงั กล่าวอาจ จะถอื ว่าเป็น “ทนุ วัฒนธรรม” กไ็ ด้ จากการสงั เคราะห์ความเข้าใจวฒั นธรรม ในกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมคตนิ ยิ ม พ้ืนฐานดั้งเดิม แม้จะพบว่าในภายหลังได้มีการเปลี่ยนแปลง และแยกแยะวิธี การศกึ ษาแตกต่างกนั ออกไปได้อกี หลายแนวทาง ดงั กล่าวมาแล้ว แต่ทกุ แนวทาง ต่างก็ยังคงยึดม่ันอยู่ในความเข้าใจวัฒนธรรมท่ีใกล้เคียงกัน จนอาจจัดได้ว่ามี กระบวนทัศน์ทางวัฒนธรรมร่วมกัน นนั่ คือต่างก็มองวัฒนธรรมเป็นภาพรวมของ โครงสรา้ งความคดิ จติ ใจ และความรู้ ทเี่ ปน็ แกน่ แกนมนั่ คง และมรี ะเบยี บแบบแผน พรอ้ มทงั้ มพี ลงั สรา้ งสรรค์ จนสามารถผสมผสานกนั ไดอ้ ยา่ งกลมกลนื ในวถิ ชี วี ติ ซง่ึ ถอื เป็นลักษณะพเิ ศษหรือเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชนนน้ั ๆ และสามารถสบื ทอด ได้อย่างต่อเน่ือง บางแนวทางยังอาจจะแฝงนัยของความคิดแบบชาตินิยมรวม เอาไว้ด้วย เพราะมีลักษณะของการปิดพรมแดนทางวัฒนธรรมเอาไว้ภายใน กลุ่มชนหนง่ึ ๆ เท่านน้ั ความเข้าใจวัฒนธรรมแบบรากเหง้าดั้งเดิม ซึ่งมีลักษณะรวบยอดแบบ เหมารวมและมีลักษณะกลมกลืนกันเช่นนี้ โดยเฉพาะแนวความคิดวัฒนธรรม ชุมชนไทย จึงมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงการสร้างภาพของวัฒนธรรม ในเชิงอุดมคติ หรือเป็นเพียงภาพตัวแทนที่ถูกสร้างขึ้นมากกว่าภาพของความจริง (ยุกติ 2538) ทง้ั นี้เพราะเน้นการให้เหน็ เพียงภาพรวมทั่วๆ ไปทีห่ ยดุ นงิ่ มากกว่าจะ เสนอภาพเฉพาะเจาะจง ทอ่ี าจผนั แปรไปตามบรบิ ททเี่ กยี่ วขอ้ ง เพอื่ ใหเ้ หน็ ภาพของ วฒั นธรรมทห่ี ลากหลายและเปลย่ี นแปลงได้ ดว้ ยเหตนุ เ้ี อง จงึ พบวา่ กลมุ่ ศกึ ษาวฒั นธรรมนี้ ยงั มขี อ้ จำ� กดั อยหู่ ลายประการ ท้ังในด้านการเชื่อมโยงความคิด และด้านวิธีวิทยา ส่วนหน่ึงก็สืบเนื่องมาจาก
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 43 ความสนใจเฉพาะความซับซ้อนขององค์ประกอบเชิงโครงสร้างความคิดภายใน วัฒนธรรม แต่กลับมองข้ามการให้ความหมายที่แตกต่างกันของคนในวัฒนธรรม นน้ั เอง แม้จะอ้างว่าสนใจความคิดของคนในวฒั นธรรมกต็ าม แต่ก็ไม่ได้มองคนใน ในฐานะทเ่ี ปน็ ผกู้ ระทำ� การ ทม่ี คี วามรสู้ กึ นกึ คดิ เปน็ ของตนเอง เพราะภาพรวมทวั่ ไป ของวัฒนธรรมท่ีน�ำเสนอนน้ั มีลักษณะเป็นเพียงภาพตัวแทนความจริง ด้วยการ เน้นให้เห็นเฉพาะด้านของความแตกต่างจากวัฒนธรรมภายนอก มากกว่าความ ขดั แย้งแตกต่างภายใน จนกลายเป็นเพียงการตดิ กับดกั ของคู่ตรงข้าม ในลักษณะ ของคู่ความขัดแย้งหรอื การต่อสู้กัน ระหว่างวัฒนธรรมภายในกบั ภายนอกเท่านนั้ ข้อจ�ำกัดอีกประการหน่ึงก็คือ การเน้นลักษณะอิสระของวัฒนธรรม ใน ฐานะท่ีเป็นตัวก�ำหนดมากเกินไป จึงมักขาดความสนใจท่ีจะมองความเชื่อมโยง กับโครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมด้านอ่ืนๆ ที่เก่ียวข้อง อีกทั้งยังไม่สนใจ ศึกษาการแลกเปลี่ยนระหว่างวัฒนธรรมเท่าท่ีควร จนมองไม่เห็นความแตกต่าง หลากหลาย และความสมั พันธ์ท่ีอาจขัดแย้งกันของผู้คนในวัฒนธรรมเอง และแม้ จะอ้างถึงโครงสร้างอยู่บ้าง ก็มีนัยเพียงโครงสร้างของความคิดหรือโครงสร้างของ สังคมท่ถี ูกวัฒนธรรมก�ำหนดเท่านน้ั ในเชิงวิธีวิทยาก็จะไม่สนใจเง่ือนไขและบริบทต่างๆ โดยเฉพาะบริบทของ ความสัมพันธ์ทางสังคม ท้ังภายในและภายนอก ซ่ึงหลายส่วนจะเก่ียวข้องกับ โครงสร้างอ�ำนาจในสังคม และมีส่วนอย่างส�ำคัญ ท้ังในการผลิตสร้างวัฒนธรรม พร้อมๆ ไปกบั การครอบง�ำทางวฒั นธรรม แทนทจ่ี ะมองวฒั นธรรมว่าเป็นความคดิ พ้ืนฐานท่ีมีอยู่ก่อนแล้วเท่านนั้ จึงท�ำให้ยังมองวัฒนธรรมแบบตายตัวมากเกินไป แม้บางส่วนจะอ้างว่าสนใจพลวัตของวัฒนธรรม แต่ก็มีนัยเพียงความสามารถใน การปรับตัวและสืบทอดลักษณะพื้นฐานต่อไปเท่านนั้ เพราะยังไม่ได้มองไปไกลถึง เร่อื งของการผลิตสร้างความรู้หรือความหมายใหม่ หรอื การช่วงชงิ ความหมาย ใน ความพยายามจะปรบั เปลี่ยนความสัมพนั ธ์เชิงอำ� นาจระหว่างผู้คนต่างๆ ทม่ี คี วาม สมั พันธ์เชอื่ มโยงกันอยู่
44 ถกเถยี งวฒั นธรรม อย่างไรก็ตาม กลุ่มศึกษาวัฒนธรรมนี้บางส่วน อาจจะมีความพยายาม ปรบั แกข้ อ้ จำ� กดั เหลา่ นอ้ี ยบู่ า้ งแลว้ แตก่ ารยดึ ตดิ อยใู่ นกระบวนทศั นท์ างวฒั นธรรม เช่นน้ี การแก้ไขจึงท�ำได้เฉพาะในส่วนย่อยๆ เท่านน้ั ยงั ต้องอาศยั การถกเถียงและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมกลุ่มอ่ืนๆ ท่ีจะกล่าวถึงต่อไป อีกมาก จึงจะสามารถมองเห็นความเข้าใจวัฒนธรรมท่ีหลากหลายและเปิดกว้าง มากกว่านีไ้ ด้ 2.3 กลุ่มศกึ ษาวัฒนธรรมท้องถน่ิ และความหลากหลาย ทางชาติพนั ธุ์ การศึกษาวัฒนธรรมกลุ่มน้ี มีท่ีมาเริ่มแรกอยู่ในบริบทของสังคมไทยมา ก่อนเช่นกัน แต่ในระยะแรกอาจจะจ�ำกัดอยู่เฉพาะในหมู่ผู้สนใจศึกษาระดับท้อง ถน่ิ ในแบบสมคั รเลน่ เทา่ นนั้ ดงั จะเหน็ ไดช้ ดั เจนในกรณขี องภาคเหนอื จากตวั อยา่ ง งานเขียนเร่ือง “ผีของชาวลานนาไทยโบราณ” ซ่ึงเรียบเรียงเขียนขึ้นโดย นายแกว้ มงคล ชยั สรุ ยิ นั ต์ ผสู้ บื สกลุ มาจากเจา้ ผคู้ รองนครนา่ น แตม่ าเปน็ ขา้ ราชการ ประจำ� อยู่ในจงั หวดั เชียงราย และได้มีโอกาสพบเห็นการทำ� พธิ ีไหว้ผีเมอื งเชียงราย (ผีนาค) ครัง้ สุดท้ายด้วยตัวเองในปี พ.ศ.2462 การท�ำพิธคี ร้ังนน้ั มีวัตถุประสงค์เพื่อ สะเดาะเคราะห์ เมื่อเกิดอหิวาตกโรคระบาดขึ้น หลังจากท่ีเลิกท�ำพิธีน้ีไปแล้ว ในปี พ.ศ.2460 นายแกว้ มงคลไดบ้ นั ทกึ การทำ� พธิ ดี งั กลา่ วไวท้ นั ทใี นเบอ้ื งตน้ ตอ่ มา ในปี พ.ศ.2467 เม่ือย้ายมาอยู่ในกรุงเทพ จึงเริ่มเขยี นอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม ทลี ะเล็กทีละน้อย จนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2485 และได้ตีพิมพ์เป็นหนงั สืองานศพใน กรงุ เทพ (แกว้ มงคล 2486) ทงั้ นค้ี งจะเกดิ จากผเู้ ขยี นภมู ใิ จประเพณที อ้ งถนิ่ ของตน ทมี่ ี สว่ นสำ� คญั ในการแกป้ ญั หาความระสำ่� ระสายได้ และอยากเผยแพรค่ วามรสู้ กึ นกึ คดิ นนั้ ให้คนต่างถ่นิ ได้รับรู้ ความรู้สึกเช่นนคี้ งจะค่อยๆ ก่อตวั ข้ึนในหมู่ผู้มีการศึกษา จนผลกั ดันให้เกิด ความพยายามเขยี นเกยี่ วกบั วฒั นธรรมประเพณใี นทอ้ งถนิ่ ของตน ซงึ่ มอี ยหู่ ลายคน
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 45 ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2480-2510 เช่น ส. (แสน) ธรรมยศ ชาวล�ำปาง ผู้เป็น บรรณาธกิ ารวารสาร โยนก และสงวน โชตสิ ขุ รตั น์ ซง่ึ รวบรวมและจดั พมิ พป์ ระเพณี และตำ� นานทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ จำ� นวนมาก เปน็ ตน้ แตผ่ ทู้ ม่ี ผี ลงานโดดเดน่ ในการรวบรวม วฒั นธรรมประเพณขี องกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ กค็ อื บญุ ชว่ ย ศรสี วสั ดิ์ ซงึ่ เขยี นหนงั สอื เรื่อง “30 ชาติในเชียงราย” (2493) และหนงั สือเก่ียวกับวัฒนธรรมท้องถ่ินของ ชาวไทยนอกประเทศอกี จำ� นวนหนงึ่ ผลงานเหลา่ นบี้ ง่ บอกถงึ ความเขา้ ใจวฒั นธรรม วา่ มลี กั ษณะเปน็ “ความรสู้ กึ นกึ คดิ รว่ มกนั ” ของผคู้ นในทอ้ งถน่ิ ทส่ี มั พนั ธเ์ ชอื่ มโยง อยู่กับสงั คม ในเชงิ ทอ่ี าจจะเรยี กได้ว่ามี “หน้าที่” ในการธ�ำรงรกั ษาความต่อเนอื่ ง ด้วยการแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ ในชีวิตของผู้คนในสงั คม งานของจติ ร ภมู ศิ กั ดิ์ (2519) กอ็ าจจะจดั อยใู่ นกลมุ่ นดี้ ว้ ย โดยเฉพาะหนงั สอื เร่ือง “ความเป็นมาของค�ำสยาม ไทย ลาวและขอม” ซึ่งเน้นลักษณะร่วม ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในฐานะเป็นพลังส�ำคัญของแต่ละกลุ่ม ที่เป็นพื้นฐานใน การจัดความสัมพันธ์กับกลุ่มอ่ืนๆ อย่างซับซ้อน จิตรจะให้ความสำ� คัญกับความ หลากหลายทางวฒั ธรรม และการผสมผสานของกลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งๆ ท�ำนองเดยี วกนั กบั งานของบญุ ชว่ ย แตแ่ ทนทจ่ี ะศกึ ษาดว้ ยจารตี ทอ้ งถนิ่ ลว้ นๆ จติ รจะเรมิ่ น�ำความคดิ ตา่ งประเทศมาผสมผสานบา้ ง ดว้ ยการอา้ งองิ งานของชาวตา่ งประเทศ เชน่ Bernatzik (1958) เป็นต้น แม้ว่าแรงจูงใจในการศึกษาวัฒนธรรมท้องถ่ินและชาติพันธุ์ต่างๆ แรกเริ่ม อาจจะต้องการเผยแพร่ประเพณขี องตนเองให้คนถิ่นอ่ืนได้รู้จัก แต่ก็อาจจะแฝง ความตอ้ งการทจ่ี ะชใี้ หเ้ หน็ ถงึ ความแตกตา่ งและการขดั กนั กบั วฒั นธรรมชาติ ทกี่ �ำลงั ขยายอทิ ธพิ ลเขา้ มามากขนึ้ จากสว่ นกลางอยดู่ ว้ ย ขณะทวี่ ฒั นธรรมชาตจิ ะเนน้ ความ เป็นอันหนง่ึ อันเดียวกันของประชากร วัฒนธรรมท้องถ่ินจะเน้นถึงการอยู่ร่วมกัน ของความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทปี่ ระกอบไปด้วยกลุ่มคนต่างชาติพนั ธุ์ จารีตของการศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ในท้องถ่ินดังกล่าว นับว่าแตกต่างจาก จารีตเดมิ ท่เี คยมีอยู่ในสงั คมไทยก่อนหน้านน้ั (ก่อนปี พ.ศ.2480) ซึ่งมกั จะอยู่ในรูป ของบนั ทกึ การเดนิ ทางของกลมุ่ ชนชน้ั นำ� ในสว่ นกลาง ทที่ อ่ งเทยี่ วไปในดนิ แดนสว่ น
46 ถกเถียงวฒั นธรรม ต่างๆ ของประเทศไทย และบนั ทึกเร่อื งราวและลกั ษณะ “แปลกประหลาด” ของ กลมุ่ ชนชาตติ า่ งๆ เชน่ บนั ทกึ ของขนุ ประชาคดกี จิ (2428) เรอ่ื ง “วา่ ดว้ ยประเภทของ คนปา่ หรอื ขา้ ฝา่ ยเหนอื ” และ บนั ทกึ ของหลวงบรพิ นั ธรุ ารตั น์ (Boriphanturarat 1923) เรอื่ ง “ชาตแิ มว้ ” นอกจากนย้ี งั มบี นั ทกึ ทำ� นองเดยี วกนั นอี้ กี จำ� นวนมาก และภายหลงั ไดถ้ กู นำ� มาพมิ พ์รวมกนั ในหนงั สอื ชดุ “ลทั ธธิ รรมเนยี มตา่ งๆ” ของกรมศลิ ปากร ซงึ่ ธงชยั วนิ จิ จะกลุ ไดว้ เิ คราะหไ์ วอ้ ยา่ งนา่ สนใจวา่ บนั ทกึ เหลา่ นน้ั เปน็ ความพยายาม ของชนช้ันน�ำจากส่วนกลาง ในการแยกแยะกลุ่มชนต่างๆ ในชาติ เสมือนเป็น “คนอนื่ ” ทอ่ี ยใู่ นประเทศเดยี วกนั แตแ่ ตกกนั ตามระดบั ววิ ฒั นาการของความเจรญิ จากคนป่า มาเป็นคนบ้านนอก ส�ำหรบั คนกรุง ซ่ึงมีความเจริญมากกว่า จึงควรมี อำ� นาจปกครอง (Thongchai 2000) หลังจากปี พ.ศ.2510 งานวิจัยของกลุ่มท้องถ่ินนจ้ี ะได้รับอิทธิพลความคิด ทางวัฒนธรรมจากตะวันตกมากขึ้น เพราะมีนกั วิชาการอาชีพมาสืบสานต่อ ด้วย การไปร�่ำเรียนวิชามานุษยวิทยามาจากประเทศตะวันตกโดยตรง จนได้รับอิทธิพล ของต่างประเทศชดั เจน คนส�ำคัญในรุ่นแรกนี้ได้แก่ สนทิ สมคั รการ พทั ยา สายหู และสเุ ทพ สนุ ทรเภสชั ท้งั สามท่านล้วนให้ความสำ� คัญกบั การศกึ ษากลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ในท้องถิ่นต่างๆ ในวิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาเอก สนทิ สมคั รการศกึ ษาสังคมไทยพวน สว่ นพทั ยา สายหู ศกึ ษาชมุ ชนมสุ ลมิ ในภาคใต้ และสเุ ทพ สนุ ทรเภสชั ศกึ ษาสงั คม มสุ ลมิ ในเชยี งใหม่ ส�ำหรับการวิจัยภาคสนามต่อๆ มาจะเน้นการศึกษาสังคมชาวบ้าน ดงั ตวั อยา่ งหนงั สอื ของสเุ ทพ สนุ ทรเภสชั เรอ่ื ง “สงั คมวทิ ยาหมบู่ า้ นภาคตะวนั ออก เฉียงเหนือ” (2511/2548) ซึ่งนอกจากจะเน้นความแตกต่างทางวัฒนธรรมใน หมู่บ้านอีสานกับภาคกลางแล้ว ยังช้ีให้เห็นถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผสมผสานในท้องถิ่นด้วย นัยส�ำคัญของหนงั สือเล่มนจ้ี ึง สะท้อนถึงการสานต่อกระแสความคิดท้องถ่ิน ท่ีต้องการช้ีความแตกต่างและ การขดั กนั ระหวา่ งวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ และวฒั นธรรมของชาติ โดยเฉพาะการเชอ่ื มโยง กบั ความคดิ อาณานคิ มภายใน ทส่ี ะทอ้ นถงึ ความพยายามของวฒั นธรรมสว่ นกลาง ในการครอบง�ำท้องถิ่นต่างๆ ภายในรฐั ชาติ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 47 แม้กระแสความคิดดังกล่าวจะมีท่ีมาในบริบทของสังคมไทยอยู่แล้ว แต่ก็ สอดรบั กบั กระแสทเ่ี กดิ ขน้ึ ในสงั คมตะวนั ตกดว้ ยเชน่ กนั เพราะคลอ้ งจองกบั ความคดิ ของนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันช่ือ Robert Redifeld (1897-1958) ซ่ึงเสนอให้ นกั มานุษยวิทยาศึกษาสังคมชาวบ้านเพ่ิมเติมจากที่เคยเน้นศึกษาแต่สังคมชุมชน บพุ กาล โดยตงั้ ขอ้ สงั เกตวา่ มคี วามตงึ เครยี ดแฝงอยรู่ ะหวา่ งวฒั นธรรมหลวง (Great Tradition) ของสังคมรฐั ที่ซบั ซ้อน กบั วฒั นธรรมท้องถ่นิ (Little Tradition) ของชมุ ชน ชาวบา้ น (Peasant Community) เพราะวฒั นธรรมหลวงก�ำลงั พยายามขยายอทิ ธพิ ล ครอบง�ำวัฒนธรรมชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ในบริบทของกระแสการเผชิญหน้ากัน ระหว่างวัฒนธรรมหลวงและ วฒั นธรรมชาวบา้ นนเี้ อง ทผ่ี ลกั ดนั ใหเ้ กดิ การคน้ คว้าวจิ ยั อย่างตอ่ เนอื่ ง ในงานของ นกั วจิ ยั วฒั นธรรมท้องถนิ่ คนส�ำคญั คือ ศรศี ักร วลั ลโิ ภดม ผู้ซงึ่ นำ� วชิ าโบราณคดี และมิติทางประวัติศาสตร์มาช่วยในการศึกษาชีวิตวัฒนธรรมของชุมชนชาวบ้าน โดยเฉพาะในภาคอีสาน จนสามารถอธิบายความเคล่ือนไหวและศักยภาพของ วฒั นธรรมในดา้ นการผลติ และการดำ� รงชพี บนพนื้ ฐานความเชอื่ และความสมั พนั ธ์ ร่วมกัน ของกลุ่มชนหลากหลายชาติพันธุ์ ท่ีช่วยให้ท้องถ่ินสามารถปรับตัวกับ การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ ในช่วงเวลาต่างๆ ท่ีผ่านมาในประวัติศาสตร์ ดงั จะเห็นได้ชดั เจนในหนงั สอื เรือ่ ง “แอ่งอารยธรรมอสี าน” (2533) กลุ่มศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นเช่นน้ีมีลักษณะร่วมกันหลายประการด้วยกัน เร่ิมต้ังแต่มีความเข้าใจวัฒนธรรมคล้ายคลึงกัน และแตกต่างจากลุ่มศึกษาแรก อย่างชดั เจน กล่าวคอื แทนที่จะเข้าใจว่าวัฒนธรรมเป็นคุณค่าพนื้ ฐานดงั้ เดิม หรือ เป็นรากเหง้าของกลุ่มชน ที่สามารถด�ำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะหันมามองว่า วัฒนธรรมเป็นส�ำนกึ ร่วมกัน ที่ยึดโยงอยู่กับโครงสร้างและ ความสมั พนั ธ์ทางสงั คม ซง่ึ ชว่ ยผนกึ ให้สว่ นตา่ งๆ ของสงั คมอยรู่ วมกนั ไดอ้ ยา่ งเปน็ ระบบและกลมกลืน ความเข้าใจวัฒนธรรมเช่นนี้ยังมีส่วนอย่างสำ� คัญในการมอง วฒั นธรรมในฐานะทเี่ ปน็ กลไกทางสงั คม ซง่ึ เหน็ อยา่ งชดั เจนจากหนงั สอื ของพทั ยา สายหู เรือ่ ง “ความเข้าใจเก่ยี วกับกลไกทางสังคม” (พทั ยา 2516)
48 ถกเถียงวฒั นธรรม ความเขา้ ใจดงั กลา่ วคลา้ ยคลงึ และอาจไดร้ บั อทิ ธพิ ลอยบู่ า้ ง จากแนวคดิ ทาง ทฤษฎแี นวโครงสรา้ งและหนา้ ทน่ี ยิ มของ Emile Durkheim และ A.R. Radcliffe-Brown ทแี่ พรห่ ลายในสงั คมตะวนั ตกในชว่ งระหวา่ งปี ค.ศ 1930-1970 สำ� หรบั Durkheim แลว้ ถือว่าเป็นนกั คิดคนสำ� คัญที่มองวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นสำ� นกึ ร่วมกัน (Collective Consciousness) ในขณะที่ Radcliffe-Brown จะเนน้ ชวี ติ อสิ ระของสงั คมทอ้ งถนิ่ ดว้ ย การใหเ้ หตผุ ลวา่ สงั คมขนาดเลก็ ๆ นนั้ มกี ลไกทางวฒั นธรรมและสถาบนั ทางสงั คม ต่างๆ ท่ที ำ� หน้าท่ีในการจดั การและรกั ษาดุลยภาพของระบบสงั คมของตนเอง แต่ แทนทก่ี ลมุ่ ศกึ ษาวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ในสงั คมไทยจะเนน้ ความเปน็ เอกภาพดา้ นเดยี ว ตามแนวทางของทฤษฎีแนวโครงสร้างและหน้าท่ีนิยม ก็กลับมุ่งความสนใจไปที่ การผสมผสานกันของวฒั นธรรมและชาตพิ นั ธุ์ที่หลากหลายในท้องถน่ิ การท่ีกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมท้องถ่ินในสังคมไทย ให้ความส�ำคัญอย่างมาก กบั ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ ทำ� ใหส้ ามารถวเิ คราะหไ์ ดว้ า่ กระบวนการกอ่ ตวั ของกลุ่มการศกึ ษานี้ไม่ได้รับอิทธิพลจากความคดิ ตะวนั ตกด้านเดียวทง้ั หมด หาก ยงั หลอ่ หลอมขนึ้ มาจากเงอื่ นไขสว่ นหนงึ่ ในบรบิ ทของสงั คมไทยเองดว้ ย โดยเฉพาะ บริบทของกระแสความไม่ลงรอยกันหรือการขัดกันระหว่างวัฒนธรรมหลวงและ วฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ซงึ่ ด�ำรงอยอู่ ย่างต่อเนอื่ งในสงั คมไทย จากการผลกั ดนั ความคดิ ชาตนิ ยิ มข้นึ มา หลงั การเปลีย่ นแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา จากจุดเน้นในความหลากหลายทางชาติพันธุ์น้ีเอง ท�ำให้การศึกษา วัฒนธรรมกลุ่มน้ีมีการผสมผสานความคิดวัฒนธรรมขึ้นมาใหม่อย่างน่าสนใจ เพราะสามารถผสมความคดิ ตา่ งๆ ทขี่ ดั แยง้ กนั ตามความเขา้ ใจในแบบตะวนั ตกให้ อยู่ร่วมกนั ได้ ดังจะเหน็ ได้อย่างชดั เจนในงานของ ศรีศกั ร วัลลโิ ภดม ในการเลอื ก รวมแนวความคดิ ววิ ฒั นาการกบั ความหลากหลายทางวฒั นธรรมเขา้ ดว้ ยกนั ทง้ั ๆ ท่ี ในความคิดทางตะวันตกจะถือว่า แนวความคิดวิวัฒนาการสังกัดมิติสากลนิยม ทางวัฒนธรรม ซึ่งโต้แย้งกับความคิดเร่ืองความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่อยู่ ภายใต้มิติสัมพัทธนิยมทางวัฒนธรรม แต่งานของ ศรีศักร สามารถรวมความคิด ท้ังสองเข้าด้วยกันในการวิจัยได้ โดยไม่มีปัญหาขัดแย้งในด้านมิติของความเข้าใจ
งานวิจัยวัฒนธรรมภาคกลาง 49 วัฒนธรรมท้ังสอง จึงแสดงให้เห็นว่า การศึกษาวัฒนธรรมกลุ่มนี้ไม่ได้ยึดติดมิติ หรือกรอบอย่างตายตัว แต่ให้ความส�ำคัญกับการเปล่ียนแปลงทางประวัติศาสตร์ ของวัฒนธรรม ซ่ึงเน้นถึงความเคล่ือนไหวและพลวตั ของวฒั นธรรม ในฐานะทเ่ี ป็น พลังหรือศักยภาพ ท่ีช่วยให้สามารถปรับตัวกับระบบนิเวศต่างๆ ได้ ภายหลังจึง ปรับเปลยี่ นการมองวัฒนธรรมในแง่นว้ี ่าเป็นภมู ิปัญญาในระยะต่อมา เม่ือมีการปรับเปลี่ยนมุมมองส�ำนึกร่วม ในนัยท่ีเป็นภูมิปัญญามากข้ึน การศกึ ษาวฒั นธรรมกลุ่มนก้ี ไ็ ด้แตกตัวออกไปอกี หลายแนวทางด้วยกนั แนวทางแรกอาจจัดอยู่ใน “แนวนิเวศวัฒนธรรม” ซึ่งเน้นพลังหรือ ศักยภาพของวัฒนธรรม ในแง่ที่เป็นส�ำนกึ ร่วมกันของชุมชนหรือหน่วยทางสังคม ในระดบั ท้องถิน่ ท่สี ามารถผสมผสานกนั อย่างกลมกลนื ภายใน จนกลายเป็นพลัง ทางภูมิปัญญา ในการก่อตัวข้ึนเป็นกลไกเชิงสถาบัน ท่ีประกอบด้วยกฎเกณฑ์ และองค์กรทางสังคม ซง่ึ มหี น้าทส่ี �ำคญั ในการปรับตัวกบั ระบบนเิ วศ ทเ่ี ป็นเสมือน สภาวะแวดล้อมของหน่วยท้องถิ่นนน้ั แนวทางนไ้ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลทางความคดิ แนวนเิ วศวฒั นธรรม (Cultural Ecology) จากส�ำนกั มานุษวิทยาอเมริกัน ซึ่งมีพื้นฐานความคิดแบบหน้าท่ีนิยมอย่างชัดเจน จงึ มักจะเน้นเอกภาพและความกลมกลืนภายในหน่วย จนอาจทำ� ให้ละเลยมติ ขิ อง ความหลากหลายทางชาตพิ นั ธ์ุ รวมทง้ั มติ ทิ างประวตั ศิ าสตร์ ทเ่ี คยเปน็ องคป์ ระกอบ ส�ำคัญของกลุ่มศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นกลุ่มน้ีไปบ้าง แต่ในระยะหลังจะหันมาให้ ความสำ� คญั กบั องคก์ รทางสงั คม ในลกั ษณะทสี่ ามารถขยายตวั ในรปู ของเครอื ขา่ ย มากขน้ึ แนวทางนม้ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ นกั พฒั นาชมุ ชนขององคก์ รพฒั นาเอกชนอยา่ งมาก เพราะมกี ารนำ� ไปปรบั ใชใ้ นการพฒั นาอยา่ งกวา้ งขวาง จนกลายเปน็ กระแสความคดิ หลักในการพัฒนาอยู่ช่วงเวลาหน่ึง ท่ีเรียกว่า แนววัฒนธรรมชุมชน ซ่ึงเน้น ศักยภาพในภูมิปัญญาของชุมชน พ้ืนฐานความเชื่อ และความสัมพันธ์ในชุมชน ในฐานะทีเ่ ป็นพลงั ในพัฒนาและการจดั การแก้ไขปัญหาของตนเอง ความเขา้ ใจวฒั นธรรมตามแนวทางนี้ แมจ้ ะเนน้ วฒั นธรรมชมุ ชน เชน่ เดยี วกบั การศึกษาในกลุ่มแรก แต่จะไม่ได้เน้นเฉพาะระบบคุณค่าเท่านัน้ หากจะสนใจ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237