Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิลินทปัญหา เล่ม ๑

มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Description: มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

มิลินทปญ หากัณฑ ๗๗ ก็แล ตัณหาน้ัน เม่ือจะเกิดขึ้น ยอมเกิดขึ้นในอุปาทาน ขันธ ๕ น้ัน ดวยสามารถแหงวิปลาสวา งามบาง วาเท่ียงบาง วาเปนสุขบาง วาเปนอัตตาบาง เมื่อจะดับไปสิ้นไปก็ยอมดับไป สิ้นไปในอุปาทานขันธ ๕ นั้นน่ันแหละ ดวยสามารถแหงมรรค- ภาวนา. ความวา อุปาทานขันธ ๕ เปนท่เี กิดและเปนท่ีดับตัณหา ขอน้ีสมจริงดังท่ีตรัสไวในมหาสติปฏฐานสูตรวา “ยํ โลเก ปยรูป สาตรูป, เอตฺเถสา ตณฺหา อุปฺปชฺชมานา อุปฺปชฺชติ - สภาวะ ที่นารัก สภาวะท่ีนายินดีในโลก (คือในอุปาทานขันธ ๕) ใด, ตัณหาน้ี เม่ือจะเกิดข้ึน ยอมเกิดขึ้นในสภาวะที่นารัก สภาวะที่ นายินดีน้ี” ดังนี้. และวา “ยํ โลเก ปยรูป สาตรูป, เอตฺเถสา ตณฺหา ปหิยฺยมานา ปหิยฺยติ, เอตฺถ นิรุชฺฌมานา นิรุชฺฌติ - สภาวะที่นารัก สภาวะท่ีนายินดีในโลก ใด, ตัณหานี้ เมื่อจะถูก ละไป ยอมถูกละไปในสภาวะที่นารักที่นายินดี น้ี, เมื่อจะดับไป ยอมดับไปในสภาวะท่ีนารัก ที่นายินดีน้ี” ดังนี้. เมื่อเปนที่ดับ ตัณหา คือเปนท่ีละใหส้ินไป ก็ช่ือวาเปนนิพพาน. ก็แลคําวา สอุปาทิเสสนิพพาน มีความหมายวา พระนิพพานท่ีเปนไปกับ อุปาทิคืออุปาทานขันธ ๕ ซ่ึงยังเหลืออยู อันจะส้ินสุดไปเม่ือพระ อรหันตถึงคราวจุติ โดยประการท่ีอุปาทินั้นเปนท่ีดับตัณหา. เม่ือ เปนเชน นี้ สอุปาทิเสสนพิ พาน นนั้ จงึ มอี นั นับเนอ่ื งเขาในอุปาทาน ขันธ ๕ ซึ่งเปนอุปาทานขันธ ๕ ที่มีอยูในภพนี้ ท่ียังทรงอยูนี้. และเมื่อนับเน่ืองเขาในอุปาทานขันธ ก็ยอมถึงการสงเคราะห เขาในทุกขสัจ.

๗๘ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   สวน อนุปาทิเสสนิพพาน แปลวา พระนิพพานที่ไมมี อุปาทิอันเปนสวนเหลือ. หมายความวา เมื่อพระอรหันตจุติ ก็ไม มีอุปาทิคืออุปาทานขันธ ๕ น้ันเหลืออยูอีกเลย กลาวคือไมมี เหลือยืดเยื้อไปในภพหนา. เพราะฉะน้ัน อนุปาทิเสสนิพพานจึง เล็งเอาอุปาทานขนั ธ ๕ ทีจ่ ะมีตอ ไปในภายภาคหนาคือในภพหนา แตมีไมไดเพราะมรรคภาวนาถึงความบริบูรณดีแลวโดยประการ ทั้งปวง. ก็แล พระนิพพานจะไดชื่อ ไดบัญญัติ ไดสมัญญา ได โวหาร วา อนุปาทิเสสนิพพาน ก็ในเม่ือมีการเพงถึงขันธในภพ หนานั่นเทียว. เมื่อเปนเชนน้ี แมอนุปาทิเสสนิพพานนี้ ก็มีอันนับ เนื่องเขาในอุปาทานขันธ ๕ น่ันเทียว เม่ือนับเนื่องเขาใน อุปาทานขันธ ๕ ก็ยอมถึงการสงเคราะหเขาในทุกขสัจนั้น เหมือนกัน. ก็อุปาทิเสสนิพพาน และอนุปาทิเสสนิพพานที่มาคูกันน้ี เปนการจําแนกพระนิพพานโดยปริยายคือโดยเหตุ อันไดแก ตัณหาและอุปาทานขันธ นั่นเอง. จึงไมใชอสังขตธรรม (ธรรมที่ หาปจจัยพรอมเพรียงกันสรางข้ึนมิได) ไมใชอมตธาตุ (ธาตุที่ไม ตาย คือไมถึงความดับไป) ไมอาจสงเคราะหเขาในนิโรธสัจได. สวนคาํ วา อนุปาทาปรินิพพาน ท่ีมาในปญหาน้ี และ ในรถวินีตสูตรเปนตน มีอรรถาธิบายวา พระนิพพานอันเปน อสังขตธรรม ซึ่งไมนับเนื่องเขาในขันธ ๕ อันเปนสังขตธรรม, เปนอมตธาตุ ซึ่งไมนับเนื่องเขาในธาตุท้ังหลายที่เกิดขึ้นแลวก็ ถึงความดับไป, และเปน อารมณแ หง มรรคและผล ช่ือวา อนปุ าทา

มิลนิ ทปญหากัณฑ ๗๙ เพราะอรรถวาหาปจจัยทําใหเกิดขึ้นมิได, และช่ือวา ปรินิพพาน เพราะอรรถวาผูใดบรรลุ กิเลสของผูนั้นก็ถึงความดับรอบไป เพราะเหตุน้ัน จึงไดชื่อรวมกันวา อนุปาทาปรินิพพาน. อนุปาทาปรินิพพานนี้ นั่นเทียวถึงการสงเคราะหเขาในนิโรธสัจ. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๕ ปญหาที่ ๖, ปฏิสนธิปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน บางคนตาย แลวไมป ฏสิ นธิ (ไมเกิดอกี ) มีอยูห รือ?” พระเถระถวายวิสัชชนาวา: “บางคนปฏิสนธิ, บางคนไม ปฏสิ นธ”ิ พระเจามิลินท: “ใครปฏิสนธิ, ใครไมปฏิสนธิ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ผูมีกิเลสปฏิสนธิ, ผูไมมี กิเลสไมปฏสิ นธ”ิ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ตัวทานจักปฏิสนธิ หรือไม? ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาหากวาอาตมภาพเปน ผูมีอุปาทาน อาตมภาพก็จักปฏิสนธิ, ถาหากวาอาตมภาพเปนผู ไมมีอุปาทาน อาตมภาพก็จักไมปฏิสนธิ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบปฏิสนธิปญ หาที่ ๖

๘๐ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   คําอธิบายปญหาที่ ๖: คาํ วา ปฏิสนธิปญหา ไดแกปญหาที่เกี่ยวกับปฏิสนธิ. คําวา ผูมีอุปาทาน คือผูมีปจจัย (อันไดแกกิเลสน่ัน แหละ). คําวา ผูไมมีอุปาทาน คือผูไมมีปจจัย. จบคําอธิบายปญหาที่ ๖ ปญหาที่ ๗, โยนิโสมนสกิ ารปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน บุคคลใด ไมปฏิสนธิ, บุคคลน้ันยอมไมปฏิสนธิ เพราะมีโยนิโสมนสิการ ใชหรือไม?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บคุ คลยอมไม ปฏิสนธิ เพราะมีโยนิโสมนสิการ เพราะมีปญญา และเพราะมี กุศลธรรมทั้งหลายอยางอ่ืน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา โยนิโสมนสิการนั่นแหละก็ เปนปญญามิใชหรือ?” พระนาคเสน: “หามไิ ด ขอถวายพระพร (โยนโิ ส) มนสกิ าร ก็อยา งหน่งึ , ปญ ญาก็อยางหนึ่ง, ขอถวายพระพร แมพวกสัตว เหลา นค้ี อื แพะ แกะ โค กระบือ อูฐ ลา กม็ ี (โยนโิ ส) มนสกิ ารได, แตว าสตั วเ หลานั้นหามีปญ ญาไม” พระเจา มลิ นิ ท: “พระคุณเจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ”. จบโยนิโสมนสิการปญหาท่ี ๗

มลิ นิ ทปญหากณั ฑ ๘๑ คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๗: คําวา โยนิโสมนสิการปญหา แปลวา ปญหาเกี่ยวกับ โยนิโสมนสิการ. กค็ าํ วา โยนโิ สมนสิการ ปรากฏในท่ีมาหลายแหลง เชน ใน เปฏโกปเทสปกรณ ที่วา “ปรโต จ โฆโส สจฺจานุสนฺธิ, อชฺฌตฺตฺจ โยนิโสมนสิกาโร๑ - ปรโตโฆสะ (คําบอกกลาว จากผูอ่ืน) อันมีการตามสืบตอสัจจะ, และโยนิโสมนสิการภาย ใน” ดังน้ีเปนตน. คาํ วา โยนิโส แปลวาโดยถูกอุบาย คือโดยถูกทาง โดย ถูกชอง. คําวา มนสิการ แปลวา การทาํ ไวใ นใจ. การทําไวใ นใจ โดยถูกอุบาย ช่ือวา โยนิโสมนสิการ. หมายความวา ไดแกการ ทําไวในใจ คือใสอารมณเฉพาะท่ีควรใสใจ เปนอารมณท่ีใสใจ แลวก็เปนเหตุใหเกิดความรูข้ึนไดในเวลาน้ัน ไมปลอยใจแสไปใน อารมณตาง ๆ มากมายภายนอก. ก็โยนิโสมนสิการ นี้ ไมใชวิปสสนาปญญา ทั้งไมใชมัคค- ปญญา เพราะฉะน้ัน พระเถระคร้ันปฏิเสธวา “หามิได ขอ ถวายพระพร” ดังนี้แลว จึงถวายวิสัชชนาตอไป วา “โยนิโส- มนสิการก็อยา งหนงึ่ , ปญ ญาก็อยา งหนึง่ ขอถวายพระพร แม พวกสตั วเ หลา นี้ .... แตวาสตั วเหลานัน้ หามีปญญาไม” ดังน้ี.                                                ๑. เปฏโกปเทส ๑. (ฉบับภมู ิพโลภกิ ขฺ ุ)

๘๒ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   เพ่อื ความแจมแจง แหง ความทีว่ า สัตวเ ดรัจฉานก็มโี ยนิโส- มนสกิ ารได แตไมอ าจมีปญ ญา (คอื วิปส สนาปญญาและมัคค- ปญ ญา) ได นี้ บณั ฑติ พงึ สาธกเร่ืองของนกแขกเตาทภี่ ิกษุณเี ล้ยี ง ไวใ นสํานกั สอนใหม นสกิ ารกรรมฐาน วา “อฏั ฐิ อัฏฐ”ิ - “กระดกู กระดูก” ทุกเมอ่ื เชื่อวัน วนั หน่งึ ถกู เหย่ยี วใชกรงเลบ็ โฉบเอาตวั ไป แมม นสกิ ารไปวา กระดูก ๆ เกดิ ความรคู วามเห็นวา “มีแตก อง กระดกู , กองกระดูกถูกกองกระดูกโฉบเอาไป” ดังนก้ี ็ไมอาจสบื ตอ ความรูความเห็นน้ันจนเปนปจจัยแกวิปสสนาปญญาและมัคค- ปญญาได ตามท่ีทานเลาไวในอรรถกถามหาสติปฏฐานสูตร เถิด. พึงทราบวา สาํ หรับสัตวเดรัจฉานทั้งหลายน้ัน แมทาน จะกลาววา ไมมีปญญา ก็ไมไ ดหมายเอาปญ ญาทกุ อยา ง หมาย เอาเฉพาะวปิ ส สนาปญญาและมัคคปญ ญา (รวมทัง้ ปญญาอยา ง อ่ืนท่ีเปนผลเปนอานิสงสของวิปสสนาปญญาหรือมัคคปญญา) เทาน้ัน เพราะวาปญญาท่ีตํา่ กวาน้ัน สัตวเดรัจฉานก็สามารถทํา ใหเกิดไดดวยอาศัยโยนิโสมนสิการที่มีไดน้ันน่ันแหละเปนปจจัย. โยนิโสมนสิการไมใชปญญา เปนสภาวธรรมคนละอยางกับ ปญญา เปนเพียงเหตุ เปนเพียงปจจัยแหงปญญาเทาน้ัน ขอนี้ สมจริงดังท่ีตรัสไววา “นาหํ ภิกฺขเว อฺํ เอกธมฺมํป สมนุปสฺสามิ, เยน อนุปฺปนฺนา วา สมฺมาทิฏิ อุปฺปชฺชติ อุปฺปนฺนา วา สมฺมาทิฏิ ปวฑฒฺ ติ ยถยทิ ํ ภกิ ฺขเว โยนโิ ส-

มิลนิ ทปญ หากณั ฑ ๘๓ มนสิกาโร๑ - ดกู รภกิ ษุทงั้ หลาย เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอยางอน่ื แม สักอยางเดียว ท่ีเปนเหตุใหสัมมาทิฏฐิอันยังไมเกิดขึ้นไดเกิดขึ้น, หรือสัมมาทิฏฐิอันเกิดข้ึนแลวไดเจริญขึ้น เหมือนอยางโยนิโส- มนสิการนี้นะ ภิกษุท้ังหลาย” ดังนี้. ก็คาํ วา “สัมมาทิฏฐิ” ที่ ตรัสไวในสูตรน้ี ไดแกวิปสสนาสัมมาทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิอัน เปนวิปสสนาปญญา) และมัคคสัมมาทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิอัน เปนมัคคปญญา) นั่นเอง. จบคําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญหาท่ี ๘, มนสิการลักขณปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน มนสิการมี อะไรเปนลักษณะ, ปญญามีอะไรเปนลักษณะ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร มนสิการมีการ จับไวเปนลักษณะ, ปญญามีการตัดเปนลักษณะ” พระเจามลิ ินท: “มนสกิ ารมีการจบั ไวเ ปนลกั ษณะอยางไร, ปญญามีการตัดเปนลักษณะอยางไร ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองคทรง รูจักคนเกี่ยวขาวบางหรือไม?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา ขาพเจารูจัก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พวกคนเก่ียวขาว เก่ียว ขาวกันอยางไร?”                                                ๑. อง.ฺ เอกก. ๒๐/๔๒

๘๔ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   พระเจา มลิ นิ ท: “พระคณุ เจา พวกเขาใชมือซา ยจับมัดขา ว ไว ใชมือขวาถือเคียว ตัดขาวดวยเคียว” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พวกคนท่ีเก่ียวขาวใช มือซายจับมัดขาวไว ใชมือขวาถือเคียวตัดขาว ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรก็ยอมใชมนสิการจับจิตไว แลวใชปญญา ตัดกิเลสท้ังหลาย ฉันน้นั , ขอถวายพระพร มนสิการมีการจับไว เปนลักษณะ ปญญามีการตัดเปนลักษณะ ตามประการดังกลาว มานี้” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ”. จบมนสิการลักขณปญหาท่ี ๘ คาํ อธบิ ายปญหาที่ ๘: คําวา มนสิการลักขณปญหา แปลวาปญหาเก่ียวกับ ลักษณะของมนสิการ. เม่ือพระเจามิลินททรงยอมรับแลววา โยนิโสมนสิการเปน สภาวธรรมคนละอยางกับปญญา ก็ทรงประสงคจะทราบตอไป วา ธรรมทั้ง ๒ น้ี มีลักษณะเฉพาะตนตางกันอยางไร จึงตรัส ถามวา “พระคุณเจานาคเสน มนสิการมีอะไรเปนลักษณะ” ดังนี้ เปนตน. ในคาํ วิสัชชนานั้น คําวา อูหนลกฺขโณ แปลวา มีการจับ ไวเปนลักษณะ.

มลิ นิ ทปญหากัณฑ ๘๕ อธบิ ายวา กล็ กั ษณะทจ่ี บั ถือของมนสกิ าร จะเหมือนอยาง ลักษณะท่ีจับถืออารมณของวิตก คือยกจิตข้ึนสูอารมณก็หาไม, ก็แตวาพระโยคาวจรใชมนสิการจับถือจิตไวใหคอยรูอารมณ (อารมณกรรมฐาน). เมือ่ จิตนนั้ คอยตามรูอารมณอยกู ็ยอ มตดั กเิ ลส ทั้งหลายไดด วยวิปสสนาปญญาและมคั คปญ ญาตามลาํ ดับ. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๘ ปญหาท่ี ๙, สลี ลักขณปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ก็แตวา ทาน กลาวคําน้ีวา ‘และเพราะมีกุศลธรรมท้ังหลายอยางอ่ืน’ ดังนี้ใด, กุศลธรรมเหลาน้ัน อะไรบาง?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ศีล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ, ธรรมเหลานี้ช่ือวา กุศลธรรมเหลาน้ัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ศีลมีอะไรเปนลักษณะ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ศีล มีความเปนที่ต้ังเปน ลักษณะ คือ ศีลเปนท่ีต้ังแหงกุศลธรรมท้ังหลายท้ังปวงอันไดแก อินทรีย พละ โพชฌงค องคมรรค สติปฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิ- บาท ฌาน วิโมกข สมาธิ สมาบัติ, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร ผูต้ังในศีล อาศัยศีล ต้ังในศีลแลว ยอมเจริญอินทรียท้ัง ๕ คือ สัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย ปญญินทรีย ได, กุศลธรรมท้ังหลายทั้งปวงยอมไมเสื่อมไป”

๘๖ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา พืช ตนไม เหลาใดเหลาหนึ่ง ยอมถึงความงอกงาม ความไพบูลย, พืช ตนไมเหลาน้ันลวนอาศัยแผนดิน ตั้งบน แผนดินแลว ก็ยอมถึงความงอกงาม ไพบูลยได ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรอาศัยศีล ต้ังในศีลแลว ก็ยอมเจริญ อินทรีย ๕ คือ สัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย ปญญินทรียไ ด ฉันนนั้ เหมือนกัน” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหย่ิงอีกหนอย เถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา คนทั้งหลายยอมทําการงานท่ีตองทาํ ดวยกาํ ลังเหลา ใดเหลาหน่ึง, คนท้ังหลายเหลานั้นอาศัยแผนดิน ต้ังอยูบน แผนดิน แลวก็ยอมกระทําการงานเหลาน้ันได ฉันใด, ขอถวาย พระพร พระโยคาวจรอาศัยศีล ตั้งในศีลแลว ก็ยอมเจริญ อินทรีย ๕ คือ สัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย ปญญินทรียได ฉันนั้นเหมือนกัน”. พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมาใหย่ิงอีกหนอย เถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร เปรียบเหมือน วา ชางสรางเมือง ตองการจะสรางเมือง ทีแรกก็ใหเขาชําระที่ ต้ังเมือง พรากตอและหนามออกไป ปรับพื้นท่ีใหเรียบภายหลัง

มิลินทปญหากณั ฑ ๘๗ จากน้ันก็จําแนกโดยการตัดแบงเปนถนนเปนทางส่ีแพรงเปนตน สรางเมืองข้ึนมา ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจรอาศัยศีล ต้ังในศีลแลว ก็ยอมเจริญอินทรีย ๕ คือสัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย ปญญินทรียได ฉันนั้นเหมือนกัน” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหย่ิงอีกหนอย เถดิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร เปรยี บเหมือน วา นักแสดงกายกรรม ตองการแสดงศิลปะ ก็ยอมใหเขาถาง พื้นดิน ขจัดกอนกรวดกระเบื้องออกไป ปรับพ้ืนใหเรียบแลวจึง แสดงศิลปะบนพ้ืนที่นุมได ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร อาศัยศีล ต้ังในศีลแลว ก็ยอมเจริญอินทรีย ๕ คือ สัทธินทรีย วริ ิยินทรยี  สตินทรีย สมาธินทรยี  ปญ ญินทรียไดฉ ันนนั้ เหมือนกนั . ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคทรงภาสิตความขอน้ีไววา: สีเล ปติฏาย นโร สปฺโ. จิตฺตํ ปฺฺจ ภาวยํ อาตาป นปิ โก ภกิ ขฺ ุ, โส อมิ ํ วชิ ฏเย ชฏ๑ํ แปลวา: นระผูมีปญญา ตั้งในศีลแลว เจริญจิตและปญญา เปน ผูมคี วามเพยี ร ฉลาด เปนภิกษุ ผนู น้ั จะพงึ ถางชฏั (คือตัณหา) นี้ได. ดังนี.้                                                ๑. ส.ํ สคาถ. ๑๕/๑๘.

๘๘ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   อน่ึง ศีลนี้เปนรากเหงาแหงความเจริญย่ิงแหงกุศลธรรม ทั้งหลาย ดุจธรณีน้ี เปนท่ีตั้งแหงสัตวทั้งหลายฉะน้ัน ในพระ ศาสนาของพระชินวรพุทธเจาทุกพระองค ก็มีศีลนี้เปนประธาน ไดแกกองศีลอันมีในพระปาติโมกขอันประเสริฐ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสีลลักขณปญหาท่ี ๙ คาํ อธิบายปญหาที่ ๙: ปญหาเกี่ยวกับลักษณะของศีล ช่ือวา สีลลักขณปญหา (ฉบับของไทยเปน สีลปติฏฐาลักขณปญหา) ก็ศีลสังวร ๔ อยาง คือ ปาติโมกขสังวรศีล (ศีลอัน เปนความสํารวมปาติโมกข) อันไดแกศีลในสิกขาบทท้ังหลาย ๑, อินทริยสังวรศีล (ศีลอันเปนความสํารวมอินทรีย ๖ มีตา เปนตน) ๑, อาชวี ปารสิ ทุ ธศิ ลี (ศีลอนั เปน ความบรสิ ทุ ธ์แิ หงอาชพี ) ๑, ปจจัยสันนิสสิตศีล (ศีลอาศัยปจจัยคือการพิจารณาปจจัย กอนใชสอย) ๑ ช่ือวา ศีล ท่ีประสงคเอาในปญหาน้ี. ตอไปน้ีเปน อรรถาธิบายเกยี่ วกบั คําวา “อนิ ทรีย” เปนตน . ธรรม ๕ อยางมีศรัทธาเปนตน ช่ือวา อินทรีย โดย ความหมายวา เปนใหญ กลาวคือ ยังธรรมทั้งหลายใหเปนไป คลอยตามอาํ นาจของตน เม่ือตนแกกลาก็แกกลาตาม เม่ือตน ออนก็ออนตาม.

มิลินทปญ หากัณฑ ๘๙ ศรัทธา (ความเช่ือ ความเล่ือมใส) เม่ือเกิดขึ้น ยอมมี ความเปนใหญในลักษณะที่นอมใจเช่ือของตนเกี่ยวกับยังธรรม ทัง้ หลายทเ่ี กดิ รวมกันกบั ตน มผี สั สะ วิตก วิจาร มนสิการ เปน ตน รวมท้งั อนิ ทรียทีเ่ หลอื ใหน อ มไปดว ยดี โอนไปดวยดี เงอ้ื มไปดว ยดี ในอารมณที่ตนนอมใจเชื่อ ราวกะวาจะรวมนอมใจเชื่อไปกับตน เพราะเหตนุ น้ั จึงชื่อวาเปน อนิ ทรีย ทา นเรียกวา สทั ธนิ ทรยี . สวน วิริยะ (ความเพยี ร) เมื่อเกดิ ขนึ้ ยอ มมคี วามเปน ใหญ ในลักษณะท่ีคอยประคอง คือคํ้าจุนธรรมทั้งหลายที่เกิดรวมกับ ตน ใหเปนไปในอารมณน้ัน ๆ บอย ๆ เนือง ๆ ไมทอดท้ิง ธรรม เหลานั้นอันวิริยะคอยประคองไวอยูอยางนี้ก็ยอมขวนขวายในกิจ ของตน ๆ ในอารมณน้ัน ๆ ไมทอแท ไมทอดทิ้งตามอาํ นาจแหง วิริยะ เพราะเหตุนั้นจึงช่ือวาเปนอินทรีย ทานเรียกวา วิริยินทรีย. สติ (ความระลึกได) เม่ือเกิดข้ึนยอมมีความเปนใหญใน ลักษณะที่เขาไปต้ังอยูท่ีอารมณ. ธรรมท้ังหลายที่เกิดรวมกับสติ ยอมคลอยไปตามอํานาจแหงสติ คือยอมถูกสติทาํ ใหเขาไปตั้งอยู ท่ีอารมณท่ีสติเขาไปตั้งอยูน้ัน เพราะเหตุนั้นจึงชื่อวาเปนอินทรีย ทานเรียกวา สตินทรีย. สมาธิ (ความตั้งม่ันเสมอในอารมณเดียวแหงจิต) เมื่อ เกิดขึ้น ยอมมีความเปนใหญในลักษณะที่ไมฟุงซาน. ธรรม ท้ังหลายท่ีเกิดรวมกับสมาธิ ยอมคลอยไปตามอาํ นาจแหงสมาธิ คือยอมตั้งม่ันอยูในอารมณเดียวกันกับที่สมาธิตั้งม่ันอยูน้ัน ไม

๙๐ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   ฟุงซาน คือไมซัดสายไปในอารมณอ่ืน เพราะเหตุน้ันจึงช่ือวา เปนอินทรีย ทานเรียกวา สมาธินทรีย. เวน ปญญา เสีย การแทงตลอดสัจจธรรมตามความเปน จริงก็หามไี ดไม. กใ็ นคราวทป่ี ญ ญาจะเกดิ ขน้ึ มาแทงตลอดสจั จธรรม ตามความเปนจริงนั้น ธรรมท้ังหลายที่เกิดรวมกัน ยอมเปนไป ดวยดี ในอารมณเฉพาะท่ีเปนประโยชนแกปญญาจะไดเกิดข้ึน มาเห็นตามความเปนจริงเทาน้ัน กลาวคือ ผัสสะก็คอยกระทบ อารมณนั้น ไมกระทบอารมณอื่นท่ีไมเปนประโยชนแกปญญา วิตกก็คอยยกจิตข้ึนสูอารมณนั้น วิจารก็คอยแตจะตามเคลา อารมณนั้น ศรัทธาก็นอมใจเชื่ออยูเฉพาะอารมณนั้นอยางน้ี เปนตน ธรรมท่ีเกิดรวมกับปญญาเหลาน้ัน เมื่อมีความเปนไป อยางนี้ก็ชื่อวาเปนไปตามอาํ นาจแหงปญญา ดุจบาวที่คอย อาํ นวย, คอยเอื้อสนองประโยชนแกผูเปนนาย ฉะนั้น เพราะ เหตุนั้น ปญญาจึงชื่อวาเปนอินทรีย ทานเรียกวา ปญญินทรีย. ธรรม ๕ อยางมีศรัทธาเปนตน ชื่อวาเปนอินทรียโดยความ- หมายตามประการดังกลาวมานี้. ก็ธรรม ๕ อยางมีศรัทธาเปนตน เหลาน้ันน่ันแหละเม่ือ มีกําลังขึ้น ธรรมท้ังหลายที่เปนปฏิปกษก็ไมอาจทําใหหวั่นไหว ได คือไมอาจทาํ ใหพินาศได ใหแปรปรวนได ทานเรียกวา พละ ความวา: ศรัทธา เม่ือมีกาํ ลังก็ยอมเปนธรรมชาติที่อัสสัทธิยะ (ความเปนผูไมมีศรัทธา คืออกุศลธรรมทั้งหลายที่เปนปฏิปกษ

มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๙๑ ตอศรัทธา) ไมอาจทาํ ใหหว่ันไหวได เพราะเหตุนั้นจึงเรียกวา สัทธาพละ. วิริยะ เม่ือมีกาํ ลังก็ยอมเปนธรรมชาติท่ีโกสัชชะ (ความ เกียจคราน) ไมอาจทําใหหว่ันไหวได เพราะเหตุน้ันจึงเรียกวา วิรยิ พละ. สติ เมื่อมีกาํ ลัง ก็ยอมเปนธรรมชาติท่ีมุฏฐสัจจะ (ความ หลงลืมสติ คืออกุศลธรรมท้ังหลายเกิดขึ้นครอบงําจิตแลวก็ทํา ใหเกิดความหลงลืม) ไมอาจทําใหหว่ันไหวได เพราะเหตุนั้นจึง เรียกวา สติพละ. สมาธิ เม่ือมีกําลัง ก็ยอมเปนธรรมชาติที่ความฟุงซานไม อาจทําใหหว่ันไหวได เพราะเหตุน้ันจึงเรียกวา สมาธิพละ. ปญญา เม่ือมีกาํ ลัง ก็ยอมเปนธรรมชาติท่ีอวิชชา (ความไมรู) ไมอาจทําใหหว่ันไหวได เพราะเหตุนั้นจึงเรียกวา ปญญาพละ. ธรรมชาติ ๕ อยาง มีศรัทธาเปนตน ช่ือวาพละโดย ความหมายตามประการดังกลาวมานี้. ธรรม ๗ อยาง กลาวคือ สติ ๑, ธัมมวิจยะ (ปญญาที่ วิจัยธรรมคือวิปสสนาปญญา) ๑, วิริยะ ๑, ปติ (ความอิ่มเอิบ ใจที่เกิดรวมกับวิปสสนาจิต) ๑, ปสสัทธิ (ความระงับจาก นิวรณแหงจิต) ๑, สมาธิ ๑, อุเบกขา (ความวางเฉยคือความ เปนกลาง ไมยินดียินรายในอารมณ) ๑ ชื่อวา โพชฌงค เพราะเปนองคคือเปนองคประกอบ เปนสัมภาระแหงโพธิ (ความตรัสรู) อันไดแกพระอริยมรรคมีองค ๘ เปนหมวด

๙๒ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   ธรรมท่ีพระโยคาวจรพึงทาํ ใหเต็มใหบริบูรณ เพ่ือความเกิดขึ้น แหงพระอริยมรรคมีองค ๘ เพราะเหตุนั้นจึงเรียกวา สติ- สัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค เปนตน. สวนธรรม ๘ อยาง คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ชื่อวา องคมรรค เพราะมีความหมายวา เปนองคประกอบที่ เปนทางคือเปนอุบายบรรลุพระนิพพาน. สวน สติ ที่พระโยคาวจร ทาํ ใหเขาไปตั้งอยูท่ีธรรม ๔ อยาง คือ กาย เวทนา จิต และธรรม อันเปนไปเพื่อละวิปลาส (ความสําคัญคลาดเคล่ือน) ๔ อยาง คือ สุภวิปลาส (ความ สําคัญคลาดเคลื่อนวางาม), สุขวิปลาส (ความสําคัญคลาด เคลื่อนวาเปนสุข), นิจจวิปลาส (ความสําคัญคลาดเคล่ือนวา เท่ียง), อัตตวิปลาส (ความสาํ คัญคลาดเคล่ือนวาเปนอัตตาใน กายซ่ึงไมงามเปนตน เรียกวา สติปฏฐาน, นับวามี ๔ อยาง มี กายานุปสสนาสติปฏฐานเปนตน ก็เพราะเหตุก็เขาไปต้ังอยูใน อารมณ ๔ อยาง มีกายเปนตนน้ันน่ันแหละ. วิริยะ ที่เปนไปในกิจ ๔ อยาง กลาวคือ: - เพียรละอกุศลธรรมทั้งหลายท่ีเกิดข้ึนแลว - เพียรปองกันอกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไมเกิดข้ึน ไมให เกิดขน้ึ - เพียรทํากุศลธรรมทั้งหลายท่ียังไมเกิดข้ึน ใหเกิดข้ึน - เพียรทาํ กุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดข้ึนแลวใหตั้งอยูไดให เจริญยิ่ง ๆ ข้ึนไป ทานเรียกวา สัมมัปปธาน. นับวามี ๔ เรียกวา

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๙๓ สัมมัปปธาน ๔ ก็เก่ียวกับมีกิจ ๔ อยางตามที่กลาวมาแลว นั่นเทียว. ธรรม ๔ อยาง คือ ฉันทะ (ความพอใจ, คือความใครท่ี จะทาํ ใหสาํ เร็จ) ๑, วิริยะ ๑, จิตตะ (ท่ีฝกไฝในอารมณน้ันเปน พิเศษ) ๑, วิมังสา (ปญญาท่ีไตรตรอง) ๑, ท่ีเกิดข้ึนแกพระ โยคาวจรผูมีความดําริวา “ก็ความสาํ เร็จพึงมีแกผูมีฉันทะที่ เปนเชนใด, แมเราก็จะมีฉันทะท่ีเปนเชนน้ัน” ดังน้ีเปนตน แลวทําฉันทะเปนตนน้ันใหเปนธุระ ใหเปนใหญ ใหออกหนา ประกอบการงานของตนไปจนบรรลุความสําเร็จ ชอื่ วา อทิ ธบิ าท. มี ๔ อยาง คือ ฉันทิทธิบาท เปนตน. คาํ วา ฌาน ไดแ ก ฌาน ๔ มีปฐมฌาน เปน ตน ซึง่ ได ช่ือวา ฌาน โดยความหมายวา เพงอารมณ และโดยความ หมายวา แผดเผาธรรมอันเปนขาศึก. ไดแกโลกิยฌานท่ีพระ โยคาวจรใชเปนบาทแหงวิปสสนา ซ่ึงเพงอารมณมีกสิณเปนตน เผาธรรมอันเปนขาศึกคือนิวรณทั้งหลาย โดยประการที่ขมไวได. และโลกุตตรฌาน ที่เกิดพรอมกับพระอริยมรรค ๔ มีโสดาปตติ- มรรคเปนตน ซึ่งเพงอารมณคือพระนิพพาน และแผดเผาธรรม อันเปนขาศึกคือนิวรณทั้งหลาย โดยประการท่ีตัดขาดเสียได. คําวา วิโมกข ไดแก วิโมกข ๓ คือ อนิมิตตวิโมกข อัปปณิหิตวิโมกข และสุญญตวิโมกข. ความวา: พระนิพพาน ชื่อวา “อนิมิตตะ” เพราะเปนที่ปราศจาก นิมิตคือสังขารทั้งหลาย พระอริยมรรคทั้งหลายมีโสดาปตติมรรค

๙๔ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   เปน ตน ชือ่ วา “วิโมกข” เพราะเปน เหตหุ ลดุ พน จากกิเลสทัง้ หลาย. พระอริยมรรคน้ันนั่นแหละ เมื่อเปนไปกระทาํ พระนิพพานอัน ช่ือวาอนิมิตตะน้ันใหเปนอารมณ ก็เปนเหตุหลุดพนจากกิเลส ทั้งหลายได เพราะเหตนุ นั้ จึงชอื่ วา อนมิ ติ ตวิโมกข. พระนิพพาน ไดช ือ่ วา “อปั ปณหิ ติ ะ” เพราะไมเ ปน ทปี่ รารถนาแหงราคะ, ช่อื วา “สุญญตะ” เพราะวา งเปลาจากสงั ขารท้ังหลาย. พระอริยมรรค ไดชือ่ วา อัปปณิหติ วิโมกข ไดช ื่อวา สุญญตวโิ มกข ก็โดย นัยดังไดกลาวแลว . คําวา สมาธิ ไดแก อนมิ ิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธแิ ละ สญุ ญตสมาธิ ในทน่ี ี้ประสงคเอาสมาธทิ เ่ี กดิ รว มกบั พระอริยมรรค ท้ังหลาย ซ่ึงไดช่ือวาอนิมิตตสมาธิเปนตน ก็เพราะความที่ตั้ง ม่ันอยูในอารมณเดียวคือพระนิพพานที่ชื่อวา อนิมิตตะเปนตน น้ัน. คําวา สมาบัติ ไดแก อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ และสุญญตสมาบัติ. ก็พระอริยผลทั้งหลาย ช่ือวา “สมาบัติ” เพราะอรรถวาพระอริยบุคคลยอมเขา คือทําใหเปนไปสืบตอชั่ว ระยะเวลาท่ีตองการ. สมาบัติเหลาน้ัน ชื่อวา อนิมิตตสมาบัติ เปนตน ก็เพราะความที่มีพระนิพพานอันชื่อวาอนิมิตตะเปนตน เปนอารมณนั่นแหละ. ในคาถา: คําวา นระ แปลวาสัตว. คําวา ผูมีปญญา คือ ผูมีปญญาท่ีเกิดจากกรรมอันเปนปญญาที่มาพรอมกับปฏิสนธิ. คําวา ตั้งในศีล ความวา เม่ือเปนผูทาํ ศีลใหเต็มใหบริบูรณได

มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๙๕ ก็ชื่อวา ต้ังในศีล . คําวา เจริญจิตและปญญา คือเจริญสมาธิ และวิปสสนาปญญา ก็สมาธิ ในที่นี้ตรัสเรียกวาจิตก็เพราะ เปนความต้ังมั่นแหงจิต, คาํ วา เปนผูมีความเพียร คือเปนผูมี ความเพียรท่ีถึงความเปนตบะเผาผลาญกิเลสดวยอํานาจการ กระทาํ ติดตอกัน. คําวา ฉลาด คือเปนผูมีปริหาริกปญญาอัน เปนผูนําในกิจทั้งปวง. คาํ วา เปนภิกษุ คือเปนผูมีปกติเล็งเห็น ภัยในสังสารวัฏ. คาํ วา จะพึงถางชัฏนี้ได คือจะพึงถางรกชัฏคือ ตัณหานี้ได. ก็ตัณหา ทานเรียกวา “ชัฏ” ก็โดยเกี่ยวกับเกี่ยวพัน สัตวทั้งหลายไวใหติดอยูกับภพนอยภพใหญ. เปรียบเหมือนวาบุรุษยืนอยูบนพ้ืนดิน เง้ือมีดที่ลับดีแลว บนหินลับมีด ถางกอไผใหญได ฉันใด พระโยคาวจร ต้ังในศีล แลวก็ใชมือคือปาริหาริกปญญาท่ีกาํ ลังของความเพียรประคับ ประคองอยู เงื้อมีดคือวิปสสนาปญญาท่ีลับดีแลวบนหินคือ สมาธิ ถางคือตัดทาํ ลายรกชัฏคือตัณหาได ฉันน้ัน. เปรียบเหมือนวาธรณีน้ีเปนท่ีต้ังแหงสัตวท้ังหลาย ฉันใด, ศีลน้ีก็เปนรากเหงาคือเปนที่ตั้งเพื่อความเจริญย่ิงแหงกุศลธรรม ทั้งหลาย ฉนั นนั้ . ในพระศาสนาของพระชินวรพทุ ธเจา ก็มีกองศีล อันมีในพระปาติโมกข คือมีในคาํ สอนท่ีเปนเหตุยังสัตวผูมีปกติ ตกไปในอบายและวัฏฏทุกข ใหพนจากภัยในอบายและภัยใน วัฏฏทุกข อันเปนศีลที่ประเสริฐน้ีนี่แหละ เปนประธานคือเปน หัวหนา เปนเบื้องตน ฉะน้ี แล. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๙

๙๖ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   ปญหาท่ี ๑๐. สัมปสาทนลักขณสัทธาปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคณุ เจานาคเสน ศรทั ธามอี ะไร เปน ลักษณะ?” พระนาคเสน: ขอถวายพระพร มหาบพิตร ศรัทธามี ความทาํ ใหเล่ือมใสดวยดีเปนลักษณะ และมีความทําใหแลนไป ดวยดีเปนลักษณะ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ศรัทธาช่ือวามีความทาํ ให เล่ือมใสดวยดีเปนลักษณะ อยางไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ศรัทธาเม่ือเกิดขึ้นยอม ขมนิวรณทั้งหลายได, จิตท่ีปราศจากนิวรณยอมเปนจิตท่ีใส ผองใส ไมขุนมัว. ขอถวายพระพร ศรัทธามีความทําใหเล่ือม ใสดวยดีเปนลักษณะ อยางน้ี” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร เปรยี บเหมอื น วา พระเจาจักรพรรดิผูเสด็จดาํ เนินทางไกล พรอมกับกองทัพ ๔ เหลา ตองเสด็จขามแองน้าํ ไป. แองนา้ํ นั้นก็มีอันตองฟุงขึ้น ขุนมัว กลายเปน นาํ้ โคลนไป เพราะเหลา ชา ง เหลามา เหลา รถ และเหลา พลเดินเทาท้ังหลาย. ก็พระเจาจักรพรรดิผูเสด็จขามไปแลว พึง รับสั่งกะคนทั้งหลาย วา ‘น่ีแนะ พนายจงนาํ นาํ้ ด่ืมมา, เราจักดื่ม นํ้าละ’ ดังน้ี, ก็พระราชา ทรงมีแกวมณีท่ีใชทําน้ําใหใสได อยู. คนท้ังหลายกราบทูลรับพระบัญชาของพระเจาจักรพรรดิ วา

มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๙๗ ‘พระเจา ขา ’ ดังนแ้ี ลว กใ็ สแ กวมณีที่ใชท ํานํา้ ใหใ สน้นั ลงไปในน้ํา. เม่อื เพียงแตใ สแ กว มณีลงไปในนา้ํ นน้ั เทาน้นั บรรดาสาหราย จอก แหน ทงั้ หลาย กพ็ ึงปราศนาการไป, และตะกอนก็สงบน่งิ ไป ทเี ดียว, นํา้ ก็กลายเปน นา้ํ ใส ผอ งใส ไมข นุ มัว. ตอจากนน้ั ก็จะ พงึ นอมนาํ ถวายใหเ ปน นาํ้ เสวยแกพระเจา จักรพรรดิ กราบทลู วา ‘ขา แตพระองคผทู รงเปน สมมุติเทพ ขอจงเสวยเถดิ พระเจาขา ’ ดังน.้ี ขอถวายพระพร ผูเปนบัณฑิตพึงเห็นจิตวาเปนดุจนาํ้ , พึงเห็นพระโยคาวจรวาเปนดุจคนเหลานั้น, พึงเห็นกิเลสทั้ง หลายวาเปนดุจสาหราย จอก แหน และตะกอน, พึงเห็นศรัทธา วาเปนดุจแกวมณีท่ีใชทาํ น้าํ ใหใส. เปรียบเหมือนวาเมื่อเพียงแต ใสแกวมณีลงไปในน้ําเทาน้ัน สาหราย จอก แหน ก็พึงปราศนา- การไป, และตะกอนก็สงบน่ิงไป, นาํ้ ก็กลายเปนนํ้าใส ผองใส ไมขุนมัว ฉันใด, ศรัทธาเม่ือเกิดข้ึน ยอมขมนิวรณท้ังหลายได, จิตท่ีปราศจากนิวรณยอมเปนจิตท่ีใส ผองใส ไมขุนมัว ฉันน้ัน เหมือนกัน, ขอถวายพระพร ศรัทธาชื่อวามีความทาํ ใหเล่ือมใส ดวยดีเปนลักษณะ ตามประการดังกลาวมานี้แล” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสัมปสาทนลักขณสัทธาปญหาที่ ๑๐

๙๘ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   คาํ อธิบายปญหาที่ ๑๐: คําวา สัมปสาทนลักขณสัทธาปญหา แปลวา ปญหา วาดวยศรัทธาท่ีมีความทําใหเล่ือมใสดวยดีเปนลักษณะ. คาํ วา นิวรณท้ังหลาย ความวา ธรรมทั้งหลายชื่อวา นิวรณ เพราะมีความหมายวากางกั้นกุศลจิต. มี ๕ อยาง คือ กามฉันทนิวรณ พยาปาทนิวรณ ถีนมิทธนิวรณ อุทธัจจกุกกุจจ- นิวรณ วิจิกิจฉานิวรณ. ฉันทะคือความพอใจอันเปนความใครในกามคุณ ๕ น่ันเองเปนนิวรณ ชื่อวา กามฉันทนิวรณ. ความโกรธ ช่ือวา พยาบาท เพราะเปนเหตุใหจิตถึงความพินาศ, พยาบาทน่ัน เองเปนนิวรณ ช่ือวา พยาปาทนิวรณ. ถีนะคือความหดหู แหงจิตและมิทธะคือความโงกงวงน่ันเองเปนนิวรณ ช่ือวา ถีน- มิทธนิวรณ. อุทธัจจะคือความฟุงซานและกุกกุจจะคือความ หงุดหงิดราํ คาญใจน่ันเองเปนนิวรณ ช่ือวา อุทธัจจกุกกุจจ- นิวรณ. วิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยน่ันเองเปนนิวรณ ชื่อวา วิจิกิจฉานิวรณ. จบคําอธิบายปญหาที่ ๑๐ ปญ หาท่ี ๑๑, สมั ปก ขนั ทนลักขณสัทธาปญ หา พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ศรัทธา ชื่อวา มีความทาํ ให แลนไปดวยดีเปนลักษณะอยางไร?”

มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๙๙ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เหมือนอยาง พระโยคาวจร พอเห็นจิตที่หลุดพนของทานผูอื่นแลว ก็ยอมแลน ไปดวยดีในพระโสดาปตติผลบาง ในพระสกทาคามิผลบาง ใน พระอนาคามิผลบาง ในพระอรหัตตผลบาง ยอมกระทําความ เพียรเพ่ือถึงธรรมท่ียังไมถึง เพ่ือบรรลุธรรมที่ยังไมบรรลุ เพื่อทํา ใหแจงซึ่งธรรมท่ียังมิไดทําใหแจง. ขอถวายพระพร ศรัทธาชื่อวา มีความทําใหแลนไปดวยดีเปนลักษณะอยางนี้แล” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบเหมือน วา ฝนหา ใหญ พึงโปรยปรายลงมาเบอ้ื งบนภูเขา, นาํ้ ฝนนนั้ ก็จะไหล ไปตามท่ีราบลุม ทําซอกเขา หวยระแหงทั้งหลายใหเต็ม แลวก็ไป ทําแมนํา้ ใหเต็ม, แมนา้ํ น่ันแหละ (เต็มเปยมแลว) ก็จะไหลเซาะ ฝง ทง้ั ๒ ขางไป, ตอ มา หมูม หาชนมาถงึ แลว เมื่อไมรูวาแมน้ํานัน้ ต้ืนหรือลึก ก็กลัวจึงยืน (รีรอ) อยูท่ีฝงอันกวาง, ลําดับน้ัน มีบุรุษคนหนึ่งมาถึง เม่ือเล็งเห็นความเขมแข็งและกําลังของ ตนอยู ก็ผูกชายพกไวแนน แลนขามไปไดดวยดี, แมหมูมหาชน คร้ันเห็นเขาขามได ก็พึงขามบาง ฉันใด, ขอถวายพระพร พระโยคาวจร พอเห็นจติ ท่หี ลุดพนของทานผอู ่นื แลว กย็ อมแลน ไปดวยดีในพระโสดาปตติผลบาง ในพระสกทาคามิผลบาง ใน พระอนาคามิผลบาง ในพระอรหัตตผลบาง ยอมกระทําความ เพียรเพ่ือถึงธรรมที่ยังไมถึง เพ่ือบรรลุธรรมท่ียังไมบรรลุ เพ่ือ กระทาํ ใหแจงซ่ึงธรรมท่ียังมิไดกระทาํ ใหแจง ฉันนั้นเหมือนกัน.

๑๐๐ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   ขอถวายพระพร ศรัทธา ช่ือวา มีความทาํ ใหแลนไปดวยดี เปนลักษณะอยางนี้ แล. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ทรงภาสิตความขอนี้ไวในสังยุตตนิกายอันประเสริฐ วา:- “สทฺธาย ตรตี โอฆํ, อปฺปมาเทน อณฺณวํ วรี ิเยน ทุกขฺ มจฺเจติ, ปฺ าย ปริสุชฌฺ ติ๑ แปลวา: บุคคลยอมขามหวงน้าํ ไดดวยศรัทธา ยอมขามทะเลได ดวยความไมประมาท ยอมลวงทุกขไดดวยความ- เพียร ยอมบริสุทธิ์ไดดวยปญญา.” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสัมปกขันทนลักขณสัทธาปญหาท่ี ๑๑ คําอธบิ ายปญหาที่ ๑๑: ปญหาที่มีการถามถึงลักษณะที่ทําใหแลนไปดวยดีแหง ศรัทธา ช่ือวา สัมปกขันทนลักขณสัทธาปญหา. คําวา ยอมแลนไปดวยดีในพระโสดาปตติผลบาง เปนตน ความวา พอเห็นจิตท่ีหลุดพนของผูอ่ืน คือทราบวาทาน ผูนี้เปนผูมีจิตหลุดพนแลว ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส วา “ปฏิปทาน้ี ไมเปนของเหลวเปลาหนอ” ดังน้ี แลวก็สงจิตไปในพระ โสดาปตติผลเปนตน คือเกิดความคิดในอันปฏิบัติเพื่อถึง พระโสดาปตติผล เปนตนน้ัน                                                ๑. สํ. สคาถ. ๑๕/๒๙๘.

มลิ ินทปญ หากณั ฑ ๑๐๑ คําวา เพื่อถึงธรรมทยี่ งั ไมถึง คือ เพอ่ื ถงึ ผลทตี่ นยงั ไมถ ึง คาํ วา เพ่อื บรรลธุ รรมท่ียังไมบรรลุ คือ เพ่ือบรรลมุ รรค ที่ตนยังไมบรรลุ คาํ วา เพื่อทําใหแจงซ่ึงธรรมท่ียังมิไดทาํ ใหแจง คือ เพื่อทาํ ใหแจงซ่ึงพระนิพพาน หรือผลนั้นน่ันแหละซ่ึงตนยังมิได ทําใหแจง. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๑๑ ปญหาท่ี ๑๒, วีริยลักขณปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน วิริยะมีอะไร เปนลักษณะ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร วิริยะมีการ ค้าํ จุนไวเปนลักษณะ, กุศลธรรมท้ังหลายทั้งปวงที่วิริยะค้ําจุน ไวแลวนั้น ยอมไมเส่ือมไป” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา เมื่อ เรือนจะลม บุรุษ (ผูเปนเจาของเรือน) ก็จะพึงใชไมทอนหนึ่ง ค้ําไว, เรือนน้ันถูกไมคาํ้ อยูอยางน้ีแลว ก็ไมอาจลมลงได ฉันใด, ขอถวายพระพร วิริยะมีการคํ้าจุนไวเปนลักษณะ, กุศลธรรม ท้ังหลายท้ังปวงท่ีวิริยะคาํ้ จุนไวแลว ยอมไมเส่ือมไป ฉันน้ัน เหมือนกัน”

๑๐๒ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   พระเจามิลนิ ท: “ขอทานจงกระทาํ อปุ มายิ่งอีกหนอยเถดิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร เปรยี บเหมอื นวา กองทัพใหญอาจจะตีกองทัพเล็กกวาได เพราะเหตุน้ัน พระราชา จึงทรงสมทบ ทรงหนุนเขาไป ประทานกําลังพลแกกองทัพเล็ก ของพระองคไปเร่ือย ๆ, กองทัพเล็กพรอมทั้งกองทัพสมทบและ กองทัพหนุนน้ัน ก็จะพึงตีกองทัพใหญไดฉันใด, ขอถวายพระพร วิริยะมีการคา้ํ จุนไวเปนลักษณะ, กุศลธรรมทั้งหลายท้ังปวงที่ วริ ิยะคํ้าจนุ แลว ยอมไมเ สอ่ื มไป ฉนั น้นั เหมอื นกัน ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคทรงภาสิตความขอนี้ไววา:- ‘วีริยวา โข ภิกฺขเว อริยสาวโก อกุสลํ ปชหติ, กุสลํ ภาเวติ สาวชฺชํ ปชหติ อนวชฺชํ ภาเวติ. สุทฺธมตฺตานํ ปริ- หรติ๑ - ดูกร ภิกษุท้ังหลาย พระอริยสาวกผูมีความเพียร ยอม ละอกุศลได, ยอมเจริญกุศลได. ยอมละธรรมที่มีโทษได ยอม เจริญธรรมที่ไมมีโทษได. ยอมบริหารตนใหหมดจดได’ ดังนี้ แล” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบวีริยลักขณปญหาท่ี ๑๒ คําอธิบายปญหาท่ี ๑๒: ปญหาท่ีมีการถามถึงลักษณะของวิริยะ ช่ือวา วีริย- ลักขณปญหา.                                                ๑. อง.ฺ สตฺตก. ๒๓/๑๒๑.

มลิ นิ ทปญหากณั ฑ ๑๐๓ ในอุปมาแรก, กุศลท้ังหลายเปรียบเหมือนเรือน วิริยะ เปรียบเหมือนไมคา้ํ เรือน. เรือนไมลมเพราะมีไมค้าํ ไว ฉันใด, กุศลทั้งหลายไมเสื่อมหายไปเพราะมีวิริยะคอยค้าํ จุนไว ฉันน้ัน. ในอุปมาท่ี ๒, คําวา ทรงสมทบ คือทรงสงกองทัพเล็ก อื่น ๆ เขาไปสูกองทัพเล็กน้ันอยูเรื่อย ๆ คําวา ทรงหนุน คือ รับส่ังใหกองทัพเล็กอ่ืน ๆ ตามเขาไปรักษากองทัพเล็กน้ันไวทั้ง ๒ ขาง. กุศลธรรมท้ังหลายเปรียบเหมือนกองทัพเล็ก, วิริยะ เปรยี บเหมอื นกองทพั สมทบและกองทพั หนุน กองทพั เลก็ ไมแ ตก พายไปเพราะมีกองทัพสมทบและกองทัพหนุนคอยชวยเหลือ ค้ําจุนไวฉันใด กุศลทั้งหลายไมเส่ือมหายไป เพราะมีวิริยะคอย ค้ําจุนไว ฉันนั้น. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๑๒ ปญหาท่ี ๑๓, สติลักขณปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน สติมีอะไร เปนลักษณะ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติมีความ ไมเลอะเลือน (ไมสับสน) เปนลักษณะ, และมีความเขาไปถือ เอาเปนลักษณะ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา สติชื่อวามีความไมเลอะ- เลือนเปนลักษณะ อยางไร?”

๑๐๔ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติ เม่ือเกิด ขึ้น ยอมไมเลอะเลือน (ไมสับสน) ซึ่งธรรมท่ีเปนกุศล ธรรมที่เปน อกศุ ล, ธรรมทมี่ โี ทษ ธรรมทไี่ มม โี ทษ, ธรรมท่เี ลว ธรรมทีป่ ระณตี , ธรรมท่ีดาํ ธรรมที่ขาว, ธรรมที่เหมาะสม ธรรมที่ไมเหมาะสม. ยอมไมเลอะเลือนธรรมทั้งหลายวา น้ีคือสติปฏฐาน ๔, น้ีคือ สมั มปั ปธาน ๔, น้ีคืออทิ ธบิ าท ๔, นค้ี อื อินทรีย ๕, นค้ี อื พละ ๕, น้ีคอื โพชฌงค ๗, นค้ี อื พระอริยมรรคมีองค ๘, นค้ี ือสมถะ, น้ีคอื วปิ สสนา, นค้ี ือวชิ ชา, นคี้ อื วมิ ุตติ ดงั น้ี. เพราะลกั ษณะทีไ่ มเ ลอะ เลอื นนนั้ พระโยคาวจร จงึ เสพแตธ รรมท่ีควรเสพ ไมเ สพธรรมท่ไี ม ควรเสพ, คบแตธ รรมทคี่ วรคบ ไมค บธรรมทไ่ี มควรคบ. ขอถวาย- พระพร สติ ชื่อวา มคี วามไมเลอะเลอื นเปน ลักษณะ อยางนี้ แล” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรยี บเหมอื น วา ขุนคลังของพระเจาจักรพรรดิยอมไมเลอะเลือน (ไมสับ สน) ยอมกราบทูลพระเจาจักรพรรดิใหทรงระลึกถึงพระราช อิสริยยศในเวลาเย็น ในเวลาเชา วา ‘ขาแตพระองคผูทรงเปน สมมุติเทพ พระองคทรงมีชางอยูเทาน้ี, มีมาอยูเทาน้ี, มีรถอยู เทาน้ี, มีพลเดินเทาอยูเทาน้ี, มีเงินอยูเทาน้ี, มีทองอยูเทานี้, มีสิ่งของของพระองคอยูเทาน้ี’ ดังนี้ ยอมไมเลอะเลือนพระ ราชทรัพย ฉันใด, ขอถวายพระพร สติ เม่ือเกิดข้ึน ยอมไม เลอะเลือน (ไมสับสน) ซึ่งธรรมท่ีเปนกุศล ธรรมที่เปนอกุศล, ธรรมท่ีมีโทษ ธรรมท่ีไมมีโทษ, ธรรมที่เลว ธรรมท่ีประณีต,

มิลนิ ทปญ หากณั ฑ ๑๐๕ ธรรมท่ีดํา ธรรมท่ีขาว, ธรรมที่เหมาะสม ธรรมท่ีไมเหมาะสม. ยอมไมเลอะเลือนวา น้ีคือสติปฏฐาน ๔, น้ีคือสัมมัปปธาน ๔, นี้คืออิทธิบาท ๔, น้ืคืออินทรีย ๕, น้ีคือพละ ๕, นี้คือโพชฌงค ๗, นี้คือพระอริยมรรคมีองค ๘, นี้คือสมถะ, นี้คือวิปสสนา, น้ีคือวิชชา, น้ีคือวิมุตติ ดังนี้. เพราะลักษณะที่ไมเลอะเลือน นั้น พระโยคาวจรจึงเสพแตธรรมท่ีควรเสพ ไมเสพธรรมที่ไม ควรเสพ, คบแตธรรมท่ีควรคบ ไมคบธรรมที่ไมควรคบ ฉันน้ัน เหมือนกัน. ขอถวายพระพร สติ ชื่อวา มีความไมเลอะเลือน เปนลักษณะ อยางน้ีแล” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา สติมีความเขาไปถือเอา เปนลักษณะ อยางไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติ เมื่อเกิด ข้ึนยอมรับรูดวยดีซ่ึงคติแหงธรรมทั้งหลายท่ีเกื้อกูลและท่ีไม เกื้อกูล วา ‘ธรรมเหลาน้ีเก้ือกูล ธรรมเหลานี้ไมเกื้อกูล, ธรรม เหลาน้ีมีอุปการะ ธรรมเหลานี้ไมมีอุปการะ’ ดังน้ี. เพราะลักษณะ นน้ั พระโยคาวจรก็ยอ มขจัดธรรมทไ่ี มเก้อื กลู เสยี ได, เขา ไปถือเอา แตธรรมที่เกื้อกูล. ขจัดธรรมที่ไมมีอุปการะ เขาไปถือเอาแตธรรม ที่มีอุปการะ. ขอถวายพระพร สติ ช่ือวา มีการเขาไปถือเอาเปน ลักษณะ อยางนี้ แล” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ปรนิ ายกแกว ของพระเจา จกั รพรรดิ ยอมรจู กั บุคคลผทู ่ี

๑๐๖ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   เก้ือกูลและผูท่ีไมเก้ือกูลแกพระราชา วา ‘คนเหลานี้เก้ือกูล คน เหลาน้ีไมเก้ือกูล, คนเหลานี้มีอุปการะ คนเหลานี้ไมมีอุปการะ’ ดงั นี.้ เพราะเหตนุ ้นั ก็ยอมขจัดคนท่ไี มเก้อื กูล เขา ไปถือเอาแตค น ทเ่ี กือ้ กูล, ขจดั คนท่ีไมม ีอปุ การะ เขา ไปถือเอาแตคนทม่ี อี ปุ การะ ฉันใด, ขอถวายพระพร สตเิ มือ่ เกดิ ขน้ึ ยอ มรับรดู วยดีซ่งึ คติแหง ธรรมทั้งหลายท่ีเกื้อกูลและไมเกื้อกูล วา ‘ธรรมเหลานี้เก้ือกูล ธรรมเหลา นไี้ มเ กื้อกูล, ธรรมเหลานมี้ อี ปุ การะ ธรรมเหลานไี้ มม ี อุปการะ’ ดังน้ี. เพราะลักษณะที่เขาไปถือเอานั้น พระโยคาวจร ก็ยอมขจัดธรรมท่ไี มเ กอื้ กลู เสียได, เขาไปถอื เอาแตธรรมท่เี ก้อื กลู . ขจัดธรรมที่ไมม อี ุปการะ เขาไปถอื เอาแตธรรมท่ีมีอปุ การะ ฉนั นั้น เหมอื นกัน. ขอถวายพระพร สตชิ อื่ วา มีความเขา ไปถอื เอาเปน ลกั ษณะ อยา งนี้ แล. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาคทรงภาสิต ความขอนี้ไว วา: “สติฺจ ขฺวาหํ ภิกขฺ เว สพฺพตถฺ ิกํ วทามิ๑ - ดูกร ภิกษุท้งั หลาย เราขอกลาวถึงสติวา เปนธรรมท่ีจําปรารถนา ในกิจทั้งปวง แล” ดังนี้. พระเจา มิลนิ ท: “พระคุณเจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ” จบสติลักขณปญหาท่ี ๑๓ คาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๑๓: คาํ วา สติมีความไมเลอะเลือนเปนลักษณะ ความวา สติช่ือวา มีความไมเลอะเลือนเปนลักษณะ เพราะมีสภาวะไม                                                ๑. สํ. มหา. ๑๙/๑๕๐.

มลิ ินทปญหากัณฑ ๑๐๗ เลอะเลือน คือ มีสภาวะหยั่งลงจับเอาอารมณตามท่ีไดเห็นแลว ตามท่ีไดถือไวแลว. คาํ วา สติ เมือ่ เกิดขึน้ ยอมไมเ ลอะเลือนซงึ่ ธรรมทเี่ ปน กศุ ล ธรรมท่ีเปนอกุศล เปน ตน ความวา สตเิ มอ่ื เกดิ ขึน้ ยอมไม เลอะเลือนอยางนว้ี า “นี้กศุ ล ควรเสพ นีอ้ กศุ ล ไมควรเสพ, นี้มี โทษ คือเปน อกศุ ล ไมค วรเสพ นไ้ี มม โี ทษ คอื เปน กุศล ควรเสพ, นี้เลว คือเปนอกุศล ไมควรเสพ นี้ประณีต คือเปนกุศล ควรเสพ, นี้ดาํ คือเปนอกุศล ไมควรเสพ น้ีขาว คือเปนกุศล ควรเสพ, นี้เหมาะสม คือเปนกุศล ควรเสพ นี้ไมเหมาะสม คือ เปนอกุศล ไมควรเสพ” ดังนี้. คาํ วา ยอมไมเลอะเลือนธรรมท้ังหลายวา นี้คือสติ- ปฏฐาน ๔ เปนตน ความวา ยอมไมเลอะเลือนธรรมท้ังหลาย อยางนี้วา “น้ีคือสติปฏฐาน ๔ เปนกุศลที่ควรเสพ” ดังนี้ เปนตน. ในบรรดาขันธ ๓ สีลขันธ (กองศีล), สมาธิขันธ (กอง สมาธิ) และปญญาขันธ (กองปญญา) สมถะ มีอันสงเคราะห ไดดวยขันธ ๒ คือศีลขันธ และสมาธิขันธ. สวนวิปสสนา มีอัน สงเคราะหไดดวยขันธเดียว คือปญญาขันธ. คาํ วา วิชชา ไดแก ผลญาณ (ญาณท่ีประกอบรวมกัน กับพระอริยผล) คาํ วา วิมุตติ ไดแกพระนิพพาน โดยเปนนิสสรณวิมุตติ (ธรรมท่ีหลุดพนคือที่สลัดออกแหงสังขารท้ังปวง)

๑๐๘ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   อีกนัยหนึ่ง คําวา วิชชา ไดแกสัมมาญาณ (ญาณที่รู ชอบ) โดยความเปนญาณที่ละมิจฉาญาณ (โมหะท่ีรูผิด). คํา วา วิมุตติ ไดแกสัมมาวิมุตติ (ความหลุดพนชอบ) โดยความ เปนวิมุตติท่ีเปนปฏิปกษตอมิจฉาวิมุตติ (ความหลุดพนโดย ไมชอบ คือ ไมดวยดี). เพราะฉะน้ัน จึงเปนอันทานกลาวสัม- มัตตธรรม (ธรรมซึ่งมีสภาวะอันชอบคือถูกตอง) ๑๐ ประการ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ฯลฯ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุตติ แลวดวยคาํ วา “พระอริยมีองค ๘”, ดวยคํา วา “วิชชา” และดวยคําวา “วิมุตติ” นี้. คาํ วา สติมีความเขาไปถือเอาเปนลักษณะ ความวา สติชื่อวามีความเขาไปถือเอาเปนลักษณะ เพราะมีสภาวะที่เขา ไปไตรตรองแลวถือเอาอารมณตามที่เห็นแลว ตามที่จิตถือเอา แลว. คาํ วา สติเมื่อเกิดข้ึนยอมรับรูคติแหงธรรมท้ังหลาย ที่เก้ือกูล และไมเกื้อกูล ความวา สติ เมื่อเกิดข้ึน ยอมรับรูคติ คือความเปนไปแหงธรรมทั้งหลาย วา “น้ีเกื้อกูล คือเปนกุศล ควรถือเอา, น้ีไมเก้ือกูล คือเปนอกุศลไมควรถือเอา ควรขจัด ไป, นี้มีอุปการะ คือเปนกุศลควรถือเอา, น้ีไมมีอุปการะ คือ เปน อกุศลไมควรถือเอา ควรขจัดไป.” คําวา บุคคลผูท่ีเกื้อกูลและผูท่ีไมเกื้อกูลแกพระราชา คือบุคคลผูเปนเหตุเจริญ และบุคคลผูเปนเหตุเส่ือม. แมคําวา

มิลนิ ทปญหากัณฑ ๑๐๙ คนมีอุปการะ, คนไมมีอุปการะ ก็เปนไวพจนของคําวา ผูท่ี เกื้อกูล, ผูที่ไมเกื้อกูล น้ันนั่นเอง จบคําอธิบายปญหาท่ี ๑๓ ปญหาท่ี ๑๔, สมาธิปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน สมาธิมี อะไรเปนลักษณะ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สมาธิมีความ เปนประมุข เปนลักษณะ, กุศลธรรมทั้งหลายเหลาใดเหลาหนึ่ง, กุศลธรรมทั้งหมดเหลานั้นลวนมีสมาธิเปนประมุขนอมไปสูสมาธิ โอนไปสูสมาธิ เงื้อมไปสูสมาธิ” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมือนวา ไมก ลอน หลังคา (จันทัน) ท้ังหลาย แหงเรือนยอดเหลาใดเหลาหน่ึง, ไม กลอนหลังคาท้ังหมดเหลานั้น ลวนมีอันไปสูยอด นอมไปสูยอด รวมกันอยูท่ียอด, บรรดาไมกลอนหลังคาเหลาน้ันยอดเรือนกลาว ไดวายอดเยี่ยมฉันใด, ขอถวายพระพร กุศลธรรมท้ังหลายเหลา ใดเหลาหน่ึง, กุศลธรรมท้ังหมดเหลาน้ันลวนมีสมาธิเปนประมุข นอมไปสูสมาธิ เง้ือมไปสมาธิ โอนไปสูสมาธิ ฉันน้ันเหมือนกัน” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหยิ่งอีกหนอย เถิด”

๑๑๐ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา พระ ราชาพระองคหนึ่ง ทรงหย่ังลงสูสงคราม พรอมกับกองทัพมี องค ๔, กองทัพท้ังปวงเลยเทียว คือ พลชางก็ดี พลมาก็ดี พล รถก็ดี พลเดินเทาก็ดี ลวนมีพระราชาพระองคนั้นเปนประมุข นอมไปสูพระราชาพระองคนั้น โอนไปสูพระราชาพระองคน้ัน เง้ือมไปสูพระราชาพระองคนั้น จะพึงคลอยตามพระราชาพระ องคน้ันเทาน้ัน ฉันใด, ขอถวายพระพร กุศลธรรมท้ังหลายเหลา ใดเหลาหน่ึง, กุศลธรรมทั้งหมดเหลาน้ันลวนมีสมาธิเปนประมุข นอมไปสูสมาธิ โอนไปสูสมาธิ เงื้อมไปสูสมาธิ ฉันน้ันเหมือนกัน. ขอถวายพระพร สมาธิชื่อวา มีความเปน ประมุขเปน ลักษณะ ตามประการดงั กลาวมาน.้ี ขอถวายพระพร พระผมู ีพระภาคไดท รง ภาสติ ความขอ น้ีไวว า “สมาธึ ภิกขฺ เว ภาเวถ, สมาหโิ ต ภิกขฺ เว ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาติ๑ - ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเจริญ สมาธเิ ถิด, ภิกษุผูม ีจิตตง้ั มน่ั ยอมรูช ดั ไดต ามความเปน จรงิ ” ดังน้ี” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบสมาธิปญหาท่ี ๑๔ คําอธิบายปญ หาท่ี ๑๔: ปญหาเก่ียวกับสมาธิ ชื่อวา สมาธิปญหา (ฉบับของไทย เปน สมาธิลักขณปญหา)                                                ๑. สํ.มหา. ๑๙/๕๑๒

มิลินทปญหากณั ฑ ๑๑๑ คาํ วา กุศลธรรมท้ังหมดเหลานั้นลวนมีสมาธิเปน ประมุข ความวา กุศลธรรมท้ังหลายมีศรัทธาเปนตนเหลาน้ัน ลวนมีสมาธิเปนหัวหนา คือถึงความเปนไปรวมกันในอารมณ เดียวดวยอาํ นาจสมาธิ, มุงไปสมทบกับสมาธิเพื่อทาํ กิจของ ตน ๆ ในอารมณเดียวท่ีสมาธิต้ังอยูน้ัน เพราะเหตุนั้น ทานจึง กลาววา “นอมไปสูสมาธิ” เปนตน. คาํ วา ไมกลอนหลังคา ไดแกไมจันทัน คําวา ลวนมอี ันไปสยู อด ความวา ลว นไปจดกนั อยูทย่ี อด คาํ วา รวมกันอยูที่ยอด คือประชุมกันอยูท่ียอด. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๑๔ ปญหาท่ี ๑๕, ปญญาลักขณปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ปญญามี อะไรเปนลักษณะ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อาตมภาพ ไดกลาวในคราวกอนแลววา ‘ปญญามีการตัดเปนลักษณะ’ , อีก อยางหน่ึง ปญญา มีความสองสวางเปนลักษณะ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ปญญาชื่อวา มีความสอง สวางเปนลักษณะ อยางไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ปญญาเม่ือเกิดขึ้นยอม กําจดั ความมืดคืออวชิ ชา, ยอมทําความสวา งคอื วิชชา ใหเ กดิ ขึ้น, ยอ มสอ งแสงสวางคือญาณ, ยอ มกระทําอรยิ สจั ทงั้ หลายใหป รากฏ.

๑๑๒ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   เพราะลกั ษณะท่สี อ งสวา งน้นั พระโยคาวจรจงึ เห็นไดด ว ยปญ ญา ชอบ วา ‘ไมเท่ียง’ บาง วา ‘เปนทุกข’ บาง, วา ‘เปนอนัตตา’ บาง” พระเจามิลินท: “ขอทานจงทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา บุรุษพึงนาํ ประทีปเขาไปในเรือนท่ีมีแตความมืด, ประทีปที่นาํ เขาไปน้ัน ยอมกําจัดความมืด, ยอมทาํ ความสวาง ใหเกิดขึ้น, ยอมสองแสงสวาง, ยอมทาํ รูป (ภาพ) ท้ังหลายให ปรากฏ ฉันใด, ขอถวายพระพร ปญญาเมื่อเกิดขึ้น ยอมกาํ จัด ความมืดคืออวิชชา, ยอมทาํ ความสวางคือวิชชาใหเกิดขึ้น, ยอม สองแสงสวางคือญาณ. ยอมกระทาํ อริยสัจทั้งหลายใหปรากฏ ฉันนั้น. เพราะลักษณะท่ีสองสวางนั้น พระโยคาวจรจึงเห็นได ดวยปญญาชอบวา ‘ไมเที่ยง’ บาง, วา ‘เปนทุกข’ บาง, วา ‘เปน อนัตตา’ บาง. ขอถวายพระพร ปญญา ชื่อวา มีความสองสวาง เปนลักษณะ ตามประการดังกลาวมาน้ีแล” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบปญญาลักขณปญหาท่ี ๑๕ คําอธิบายปญหาที่ ๑๕: ปญหาท่ีมีการถามถึงลักษณะของปญญา ชื่อวา ปญญา ลกั ขณปญหา.

มิลนิ ทปญหากัณฑ ๑๑๓ อวิชชา ไดช่ือวา “ความมืด” ก็เพราะมีอาการท่ีปดบัง สัจจะ, ไมใหสัจจะทั้งหลายปรากฏตามความเปนจริง. ปญญา เม่ือเกิดข้ึน ยอมกาํ จัดความมืดคืออวิชชานั้นไดก็เพราะมีการ สรางแสงสวางคือวิชชา, สองแสงสวางคือญาณ. เม่ือความมืด คืออวิชชาสิ้นไป สัจจะทั้งหลายก็ปรากฏ เพราะเหตุนั้น ทานจึง กลาววา “ยอมกระทําอริยสัจท้ังหลายใหปรากฏ” ดังนี้. ในอุปมาและอุปมัยน้ัน ประทีปกาํ จัดความมืดได ทํารูป ท้ังหลายใหปรากฏแกสายตาของบุรุษไดก็จริงอยู ถึงกระนั้นก็มี กาํ หนดขอบเขตวา สามารถกําจดั ความมืดไดก ็ในบรเิ วณชั่วระยะ เทาน้ีเทาน้นั ไมเ กินเลย ไมไ กลไปกวานี้ สามารถสองรปู (ภาพ) ใหปรากฏแกส ายตาไดก ใ็ นบรเิ วณชัว่ ระยะเทานเี้ ทา นั้น ไมเกนิ เลย ไมไ กลไปกวา นี.้ อนง่ึ ไมส ามารถจะสองใหเ หน็ รปู ท่ถี ูกวตั ถุอน่ื มี ฝาเรือนเปนตนปดบังอยูได. สวนปญญามีความสามารถในการ กําจดั ความมืดคืออวชิ ชา ทําแสงสวา งคอื วิชชาใหเกดิ สองแสง สวางคือญาณ อยา งหาขอบเขตมิได ธรรมทงั้ หลาย จะอยใู นที่มดื มดิ เพียงไรกต็ าม ตง้ั อยใู นท่ไี กลแสนไกลเพียงไรกต็ าม ละเอยี ด สุขมุ เพียงไรก็ตาม มีวัตถุอื่นอะไร ๆ ปดบงั อยูกต็ าม ปญญาเมอ่ื เกิดข้ึน ยอมตามรูตามความเปนจริงวา ‘ไมเท่ียง’ บาง, วา ‘เปน ทกุ ข’ บา ง, วา ‘เปน อนตั ตา’ บาง ไดท งั้ สนิ้ ไมขดั ขอ งในอนั ที่ จะรูน้ัน เพราะเหตุน้ันจึงตรัสไววา “นตฺถิ ปฺาสมา อาภา๑ -                                                ๑. สํ. สคาถ. ๑๕/๘.

๑๑๔ วรรคที่ ๑, มหาวรรค   แสงสวา งที่เสมอดวยแสงสวา งคอื ปญญาหามไี ม” ดังนี.้ คาํ วา อริยสัจ แปลวา สัจจะของพระอริยบุคคล หรือ สัจจะท่ีสรางความเปนพระอริยบุคคลมี ๔ อยาง มีทุกขอริยสัจ เปนตน. จริงอยู ธรรม ๔ อยางมีทุกขเปนตน นับวาเปนสัจจะ (ของจริง) ก็เพราะความที่ไมวิปริตกลับกลอก. ธรรม ๔ อยาง น้ันนั่นแหละ ผูใดเห็นดวยปญญาชอบแลวผูน้ันก็สําเร็จเปน พระอริยบุคคล เพราะเหตุน้ันจึงเรียกวา อริยสัจ. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๑๕ ปญหาที่ ๑๖, นานาธัมมานงั เอกกจิ จอภินปิ ผาทนปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ธรรมท้ัง หลายอันมีอยางตาง ๆ กันเหลานี้ ยอมใหสาํ เร็จประโยชนอยาง เดียวกันหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ธรรมท้ัง หลายอันมีอยางตาง ๆ กันเหลานี้ ยอมใหสําเร็จประโยชนอยาง เดียวกนั , คือ กาํ จัดกิเลสทั้งหลายได” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ธรรมทั้งหลายอันมีอยาง ตาง ๆ กันเหลาน้ี ยอมใหสําเร็จประโยชนอยางเดียวกัน, คือ กําจัดกิเลสทั้งหลายไดอยางไร ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “เปรียบเหมือนวา กองทัพท้ังหลายอันมี อยางตาง ๆ กัน คือ กองทัพชาง กองทัพมา กองทัพรถ และ กองทัพพลเดินเทา ยอมใหสาํ เร็จประโยชนอยางเดียวกัน คือ

มิลินทปญ หากณั ฑ ๑๑๕ ชนะกองทัพฝายอ่ืนในการสงครามได ฉันใด, ขอถวายพระพร ธรรมท้ังหลายอันมีอยางตาง ๆ กันเหลานี้ ก็ยอมใหสาํ เร็จ ประโยชนอยางเดียวกัน คือกาํ จัดกิเลสทั้งหลายได ฉันนั้น เหมือนกัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนานาธัมมานัง เอกกิจจอภนิ ปิ ผาทนปญ หาที่ ๑๖ คําอธิบายปญ หาที่ ๑๖: คาํ วา นานาธัมมานัง เอกกิจจอภินิปผาทนปญหา แปลวา ปญหาเก่ียวกับการที่ธรรมท้ังหลายตาง ๆ กันใหสาํ เร็จ กิจอยางเดียวกัน. คําวา ธรรมทั้งหลายอันมีอยางตาง ๆ กันเหลาน้ี ไดแก ธรรม ๗ อยางเหลานี้คือ โยนิโสมนสิการ ศีล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปญญา. คําวา มีอยางตาง ๆ กัน คือ เปนคนละอยางกัน. คาํ วา ใหสาํ เร็จประโยชนอยางเดียวกัน คือ ใหสาํ เร็จ กิจอยางเดียวกัน. เปรียบเหมือนวา กองทัพท้ังหลาย แมวามีความแตกตาง กัน เปนกองทัพคนละประเภทกัน โดยเก่ียวกับวา กองทัพนี้เปน กองทัพชาง กองทัพโนนเปนกองทัพมาเปนตน ถึงกระนั้นก็ทํา กิจอยางเดียวกัน คือรวมกันรบชนะกองทัพฝายตรงขาม ฉันใด,

๑๑๖ วรรคท่ี ๑, มหาวรรค   ธรรมเหลานี้แมวามีความแตกตางกัน เปนธรรมคนละอยางกัน โดยเกี่ยวกับวา เปนโยนิโสมนสิการบาง เปนศีลบาง เปนตน ถึงกระนั้นก็ทาํ กิจอยางเดียวกันคือรวมกันละกิเลสฉันนั้น. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๑๖ จบมหาวรรคที่ ๑ ในวรรคน้ีมี ๑๖ ปญหา

มิลนิ ทปญหากัณฑ ๑๑๗ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค ปญหาท่ี ๑, ธัมมสันตตปิ ญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ผูใดจะเกิด, เขาผูน้ันนั่นแหละเกิด, หรือวาผูอื่นเกิดเลา?” พระเถระถวายวิสัชชนาวา: “ผูนั้นเกิดก็ไมใช, ผูอื่นเกิดก็ ไมใช” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองคจะ ทรงสาํ คัญความขอน้ันอยางไร เปรียบเหมือนวา พระองคเคย ทรงเปนเด็กออนนอนแบมาแลว, มาบัดนี้ พระองคผูเคยทรงเปน เด็กออนนอนแบน้ันน่ันแหละ กลายเปนผูใหญ หรือไร?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา เด็กออนนอนแบนั้น ก็เปนคนหนึ่ง, ขาพเจาผูใหญในบัดน้ีก็เปนอีกคนหนึ่ง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เมื่อเปนเชนน้ี แมผูที่ บุตรเรียกวา ‘มารดา’ ก็จักไมมี, แมผูท่ีบุตรเรียกวา ‘บิดา’ ก็จัก ไมมี, แมผูท่ีศิษยเรียกวา ‘อาจารย’ ก็จักไมมี, แมผูท่ีเขาเรียกวา ‘ผูมีศิลปะ’ ก็จักไมมี, แมผูที่เขาเรียกวา ‘ผูมีศีล’ ก็จักไมมี, แมผู ท่ีเขาเรียกวา ‘ผูมีปญญา’ ก็จักไมมี, ขอถวายพระพร มารดา ของผูที่ยังเปนกลละอยูก็เปนคนหนึ่งตางหาก, มารดาของผูท่ี เปนอัพพุทะก็เปนอีกคนหน่ึง, มารดาของผูที่เปนเปสิก็เปนอีก คนหน่ึง, มารดาของผูเปนฆนะก็เปนอีกคนหน่ึง, มารดาของ

๑๑๘ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  ผูเปนเด็กเล็กก็เปนอีกคนหน่ึง, มารดาของผูเปนเด็กโตก็เปน อีกคนหน่ึง, คนหน่ึงเรียนศิลปะ แตผูเรียนจบวิชาศิลปะ เปนอีก คนหน่ึง, คนหนึ่งทํากรรมชั่วไว แตอีกคนหน่ึงถูกตัดมือตัดเทา หรือไรหนอ?” พระเจามิลินท: “มิใชหรอก พระคุณเจา. ก็เม่ือขาพเจา กลาวไปแลวอยางนี้ (วา “เด็กออนนอนแบนั้นก็คนหนึ่ง ขาพเจา ผูใหญในบัดน้ีก็เปนอีกคนหน่ึง”) ตัวทานเองจะกลาววากระไร เลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อาตมภาพก็จะขอกลาว วา อาตมภาพน่ันแหละเคยเปนเด็กออนนอนแบ อาตมภาพ คนเดียวกันน่ันแหละ เปนผูใหญในบัดนี้, ทุกคนเหลานั้นรวมเขา เปนคนเดียวกันได ดวยอาศัยกายเดียวกันนี้แหละ” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมายิ่งอีกหนอยเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวาบุรุษ บางคนพึงตามประทีปไว, ประทีปน้ันพึงสองไปตลอดทั้งคืนหรือ ไม?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา ประทีปพึงสองไปตลอด ทั้งคืน” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปลวไฟในยามตน มา เปนเปลวไฟในยามกลางหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา”

มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๑๑๙ พระนาคเสน: “เปลวไฟในยามกลาง มาเปนเปลวไฟ ในยามสุดทายหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ประทีปในยามตนก็ เปนดวงหนึ่ง, ประทีปในยามกลางก็เปนอีกดวงหนึ่ง, ประทีปใน ยามสุดทายก็เปนอีกดวงหน่ึงหรือไร?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา, แสงประทีปสองอยู ไดตลอดท้ังคืนไดดวยอาศัยตัวประทีปดวงเดียวกันน้ันน่ันแหละ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใดอุปมัยก็ฉัน นั้น ธรรมสันตติ (ธรรมที่สืบตอกัน) ยอมสืบตอกันไป คนหนึ่ง เกิดขึ้น อีกคนดับไป, สืบตอกันไปราวกะวาไมกอนไมหลังน้ัน, เพราะเหตุน้ัน จะเปนคนเดียวกันน้ันก็มิใช, จะเปนคนละคนกัน ก็มิใช, ผูมีวิญญาณดวงหลัง๑ ยอมถึงความรวมกันเขาในผูมี วิญญาณดวงกอน ๆ” พระเจามิลนิ ท: “ขอทานจงกระทําอปุ มาย่ิงอีกหนอยเถดิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา นมสด ทเี่ ขารีดไว ในกาลตอมาก็กลายเปนนมสม, จากนมสมก็กลาย เปนเนยสด, จากเนยสดก็กลายเปนเนยใส, มหาบพิตร ผูใด กลาวอยางน้ีวา ‘นมสดอันใด นมสมก็อันนั้นนั่นแหละ, นมสม                                                ๑. ปาฐะเปน ปจฺฉิมวิฺาณํ อรรถกถาเปน ปจฺฉิมวิฺาโณ ไดแปลตามอรรถกถา เพราะเขา กบั เรอ่ื งดีกวา .

๑๒๐ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  อันใด เนยสดก็อันนั้นนั่นแหละ, เนยสดอันใด เนยใสก็อันนั้น น่ันแหละ’ ดังน้ี, ผูที่กลาวน้ันช่ือวากลาวถูกตองหรือ?” พระเจามิลนิ ท: “ไมช ่อื วากลาวถกู ตอ งหรอก พระคุณเจา คอื มันเปนสงิ่ ท่ีเกดิ ข้นึ ดว ยอาศยั นมสดอันเดียวกันน้ันนน่ั แหละ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อปุ มาฉนั ใด อุปมยั กฉ็ ัน นน้ั ธรรมสันตตยิ อมสบื ตอกนั ไป, คนหนึ่งเกดิ ขนึ้ อีกคนหน่งึ ดบั ไป สืบตอกันไปราวกะวาไมกอ นไมหลงั กัน, เพราะเหตนุ ัน้ จะเปน คน เดยี วกนั กม็ ิใช จะเปน คนละคนกนั กม็ ิใช ผูมวี ิญญาณดวงหลัง ยอ มถงึ ความรวมกันเขาในผมู ีวิญญาณดวงกอน” พระเจา มลิ นิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ” จบธัมมสันตติปญหาที่ ๑ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๑: ปญหาเกี่ยวกับธรรมท้ังหลายท่ีเปนไปสืบตอกัน ชื่อวา ธัมมสันตติปญหา. คาํ วา หามิได พระคุณเจา เด็กออนนอนแบน้ันก็เปน คนหน่ึง ขาพเจาผูใหญในบัดน้ีก็เปนอีกคนหนึ่ง ความวา ใน คราวที่ขาพเจายังเปนเด็กออนนอนแบ ในคราวน้ันยังหาความ เปนผูใหญเหมือนอยางในบัดนี้มิได, ในบัดน้ีขาพเจาเปนผูใหญ ในบัดน้ีขาพเจาก็หาความเปนเด็กออนนอนแบมิไดแลว เพราะ ฉะน้ัน เด็กออนนอนแบในคราวนั้นก็เปนคนหนึ่ง ขาพเจาผูใหญ ในบัดนี้ก็เปนอีกคนหนึ่ง.

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๑๒๑ คาํ วา ขอถวายพระพร เม่ือเปนอยางนี้ แมผูท่ีบุตร เรียกวามารดาก็จักไมมี ฯลฯ แมผูท่ีเขาเรียกวา ผูมีปญญา ก็จักไมมี ความวา เมื่อเปนคนละคนกันอยางน้ี แมผูท่ีบุตรจะ พึงเรียกวา มารดาก็จักไมมี เพราะเหตุไร เพราะในภพเดียวกัน ในคราวที่ยังเปนเพียงกลละ ก็มีมารดาคนหน่ึง เมื่อเปนความ กลละหมดไป ถึงความเปนอัพพุทะ ก็มีมารดาเปนอีกคนหน่ึง เพราะในคราวน้ีเม่ือเปน อัพพุทะก็ไมใ ชบุตรของมารดาผูเปนเพียง กลละ เมอื่ เปน อยา งนี้ สัตวผ ูเกดิ ในครรภจะพงึ นบั เอาใครวาเปน มารดาตนสกั คนเลา กเ็ ปน อนั วา แมมารดาก็จักไมมี. คาํ ทเี่ หลือ กพ็ ึงทราบโดยนยั นี.้ เพราะเหตนุ น้ั ทา นจึงกลา ววา มารดาของผู ท่ยี งั เปน กลละอยกู ็เปน คนหนง่ึ ตางหาก ดังน้ี เปนตน. ก็ในคําวา มารดาของผูที่ยังเปนกลละอยู เปนตน เปน คํากลาวถึงลาํ ดับขั้นตอนความเกิดขึ้นแหงอัตภาพของสัตว ดวย อาํ นาจความเติบโตไปตามวัย จับต้ังแตปฏิสนธิจนกระท่ังเกิด อวัยวะมีมือเทาเปนตน บริบูรณ ตามที่ตรัสไววา: ปมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพพฺ ทุ ํ อพพฺ ทุ า ชายเต เปสิ เปสิ นิพพฺ ตฺตตี ฆโน ฆนา ปสาขา ชายนตฺ ิ เกสา โลมา นขาป จ ยจฺ สสฺ ภุฺชติ มาตา อนนฺ ํ ปานจฺ โภชนํ เตน โส ตตฺถ ยาเปติ มาตกุ จุ ฉฺ คิ ฺคโต นโร๑                                                ๑. สํ. สคาถ. ๑๕/๒๘๖.

๑๒๒ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  แปลวา: แรกเกิดเปนกลละ ตอจากกลละก็เปนอัพพุทะ ตอจาก อัพพุทะก็เกิดเปสิ ตอจากเปสิก็เกิดฆนะ ตอจากฆนะ ก็เกิดปญจสาขา ท้ังผม ขน และเล็บ อนึ่ง มารดาของ สตั วผูน้ันบรโิ ภคอาหารคอื ขา วและนํา้ ใด สัตวผูอยใู นทอง ของมารดาน้ันยอมเปนไปในทองของมารดานั้น ดวย อาหารท่ีมารดาบริโภคน้ัน. ก็ในพระคาถานี้ คาํ วา กลละ ไดแกรูปท่ีเปนเพียงนํ้าใส ๆ มีประมาณเทานํ้ามันงาใสอันเปอนอยูที่ปลายขนแกะ. ตอมามี ปรมิ าณมากขน้ึ และขนุ ขน้ึ มีสเี หมอื นนาํ้ ลา งเนือ้ เรยี กวา อพั พทุ ะ. สวน เปสิ ไดแกรูปที่แข็งตัวขึ้นจนเปนวุน เปนชิ้นขึ้นมักเรียกวา กอนเลือด, จากเปสิน้ันนั่นแหละ มีวัยเจริญเติบโตตอไปอีก จน เปนกอนเนื้อก็เรียกวา ฆนะ ภายหลังตอมา ปญจสาขา (สาขา๕) คือ มือ ๒ เทา ๒ ศีรษะ ๑ ก็ปรากฏขึ้น เปนอยูดวยอาหารที่ มารดากลืนกินซึ่งแผซานอยูในตัวของมารดา และอาหารท่ีถูก สงไปทางสายสะดือ จนกวาจะคลอดจากครรภ. คาํ วา คนหน่ึงเรียนศิลปะ, แตผูเรียนจบวิชาศิลปะ เปน อกี คนหน่งึ เปน ตน ความวา ในภพเดยี วกนั คนทเ่ี รยี นศิลปะ อยู ยังเรียนไมจบ ก็เปนคนหนึ่ง, สวนวาในเวลาใดเรียนจบแลว นับแตเวลาน้ันไปก็ไมตองเรียนอีก จึงเปนอีกคนหน่ึงตางหาก จากผูท่ียังเรียนไมจบ โดยเกี่ยวกับเปนคนละข้ันตอนกัน. ในภพ เดียวกัน คนหนึ่งทํากรรมช่ัวไว คนที่ถูกลงโทษตัดมือและเทา เพราะการทาํ กรรมชั่วน้ันเปนปจจัย หาใชคนท่ีทาํ กรรมช่ัวน้ันไม

มลิ ินทปญ หากณั ฑ ๑๒๓ เพราะเปนคนละข้ันตอนกันเก่ียวกับเวลาที่ทาํ ก็ไมไดถูกลงโทษ ในเวลาท่ีถูกลงโทษก็ไมไดทํา. คาํ วา ทุกคนเหลาน้ันรวมเขาเปนคนเดียวกันได ดวย อาศัยกายเดียวกันน้ี ความวา เด็กและผูใหญถึงความเปน คนเดียวกัน ดวยอาศัยธรรมสันตติที่สืบตอกันอยูในกายเดียว กันน้ี. คาํ วา ดวยอาศัยประทีปดวงเดียวกนั นนั้ คือ ดวยอาศัย กระเบื้อง ไส นา้ํ มัน อนั ประกอบเปน ประทปี ดวงเดียวกนั นนั้ . คาํ วา คนหนึ่งเกิดข้ึน อีกคนหนึ่งดับไป คือ ในธรรม- สันตติที่สืบตอกันอยูโดยโวหารวา วัย น้ัน คนหน่ึงคือผูใหญเกิด ขึ้น อีกคนหน่ึงคือเด็กดับไป. คําวา ผูมีวิญญาณดวงหลัง ทานกลาวหมายเอาคนท่ี เปนผูใหญ. คําวา ผูมีวิญญาณดวงกอน ทานกลาวหมายเอาคนท่ี เปนเด็ก. จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๑ ปญหาที่ ๒, ปฏสิ นั ทหนปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ทานผูไม ปฏิสนธิยอมรูหรือวา เราจักไมปฏิสนธิ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใช, ทานผูไม ปฏิสนธิ ยอมรูวา เราจักไมปฏิสนธิ”

๑๒๔ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  พระเจามิลินท: “รูไดอยางไร พระคุณเจา?” พระนาคเสน: “เหตุใด ปจจัยใด พึงมีเพ่ือปฏิสนธิ, เพราะระงับเหตุน้ัน ปจจัยนั้นได ทานจึงรูวา เราจักไมปฏิสนธิ” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบเหมือน วา คฤหบดีชาวนาไถและหวานแลว ก็พึงทํายุงฉางใหเต็มได, สมัยตอมา เขาไมไถเลย ไมหวานเลย ไดแตบริโภคขาวที่มีบาง จําหนายไปบาง ทาํ ไปตามสมควรแกปจจัยบาง, ขอถวายพระพร คฤหบดีชาวนาผูน้ัน อาจรูหรือไมวา ยุงฉางของเราจักไมเต็ม (พรอง) เสียแลว?” พระเจามิลินท: “ใช, อาจรูได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “เขาจะพึงรูไดอยางไร” พระเจามิลินท: “เหตุใดปจจัยใด พึงมีเพ่ือความเต็ม แหงยุงฉาง, เพราะระงับเหตุนั้น ปจจัยนั้นเสีย จึงรูวา ยุงฉาง ของเราจักไมเต็มเสียแลว” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉัน นั้น เหตุใดปจจัยใด พึงมีเพื่อปฏิสนธิ เพราะระงับเหตุนั้นปจจัย นั้น ทานจึงรูวา เราจักไมปฏิสนธิ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบปฏิสนั ทหนปญหาที่ ๒

มลิ ินทปญหากัณฑ ๑๒๕ คําอธิบายปญหาที่ ๒: ปญหาเกีย่ วกบั ปฏสิ นธิชอ่ื วา ปฏิสนั ทหนปญ หา (ฉบบั ของไทยเปน นัปปฏิสนธิคหณชานนปญหา - ปญหาเก่ียวกับ ความรูวาไมมีการถือเอาปฏิสนธิ). คําวา เหตุใด ไดแ กป จ จยั มีอวิชชาเปน ตน (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม) ใด ซึ่งไดช่ือวาเหตุ (แหงปฏิสนธิ) ก็โดยเกี่ยวกับ เปนผูทาํ ใหเกิด. คําวา ปจ จยั ใด ไดแก ปจ จยั อนื่ ๆ มผี สั สะ เวทนา สญั ญา เปนตน อันเกิดรวมกับอวิชชาเปนตนน้ัน ซ่ึงไดช่ือวาปจจัย (แหง ปฏิสนธิ) ก็โดยเก่ียวกับเปนผูอุปถัมภ. คาํ วา ยอมมีเพ่ือปฏิสนธิ คือ ยอมมีเพ่ือการทาํ ปฏิสนธิ ใหต ัง้ ข้ึนในภพถดั ไป ในลาํ ดับแหง จุตจิ ติ ในวาทะทภ่ี พน้ีสน้ิ สดุ ลง. คําวา เพราะระงับเหตุนัน้ ปจจัยนน้ั ความวา เพราะดับ คือสํารอกไดไมมีเหลือ ซึ่งเหตุน้ันปจจัยน้ัน ดวยอรหัตตมรรค. คาํ วา ทานจึงรูวา เราจักไมปฏิสนธิ ความวา เม่ือรูวา เราส้ินความเกิดแลว กิจอะไร ๆ ท่ีเราตองทําเพื่อสิ้นความเกิดน้ี ไมมีอีกแลว ดังนี้ ก็ชื่อวา รูวาเราจักไมปฏิสนธิ. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, ญาณปญญาปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ผูใดมีญาณ เกิดข้ึนแลว ผูนั้นชื่อวามีปญญาเกิดขึ้นแลวหรือไร?”

๑๒๖ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ถูกตอง, ผใู ด มีญาณเกิดขึ้นแลว, ผูนั้นช่ือวา มีปญญาเกิดขึ้นแลว” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ญาณอันใด, ปญญาก็อัน นั้นหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ใช ญาณอันใดปญญาก็ อันน้ัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ก็แตวาผูใดมีญาณนั้นน่ัน แหละ มีปญญาน้ันนั่นแหละ เกิดข้ึนแลว, เขานั้นก็ยังอาจหลง (คือไมรู) ได หรือวาไมอาจหลงไดเลยเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ยงั อาจหลงไดในบางส่ิง บางอยา ง, ไมอ าจหลงไดเ ลยในบางสง่ิ บางอยาง” พระเจามิลินท: ”ยังอาจหลงไดในอะไรบาง พระคุณเจา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ยังอาจหลงในวิชาศิลปะ ที่ไมเ คยรบู า ง, ในทศิ ทีไ่ มเคยไปบาง, ในชื่อหรือบัญญัตทิ ี่ไมเ คยได ยินบา ง” พระเจามิลินท: “ไมอาจหลงในอะไรบาง?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร กิจที่ปญญานั้นไดทําไว แลววา ไมเที่ยง ก็ดี, วาเปนทุกขก็ดี, วาเปนอนัตตาก็ดี ใด ไมอาจ หลงในกิจที่ทําแลวน้ัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ก็ความหลงของเขาไปไหน เสยี ?”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook