Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิลินทปัญหา เล่ม ๑

มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Description: มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

มิลินทปญ หากณั ฑ ๒๒๗ รองรับไวฉันใด, แมนํา้ ที่รองรับแผนดินน้ัน ก็เปนน้ําท่ีลมรองรับไว ฉันนน้ั ” พระเจามิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบปฐวสิ ันธารกปญหาท่ี ๗ คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๗ : ปญหาที่มีการพูดถึงนํ้ารองรับแผนดิน ช่ือวา ปฐวิสัน- ธารกปญหา. จบคําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญ หาท่ี ๘, นิโรธนิพพานปญหา พระราชารบั สงั่ ถามวา : “พระคณุ เจานาคเสน นิโรธชอ่ื วา นพิ พานหรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ถกู ตอ ง นโิ รธ ชื่อวานพิ พาน” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน นโิ รธช่ือวานิพพาน อยา งไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ปถุ ุชนคนพาลทง้ั หลาย ทงั้ ปวง ยอมเพลดิ เพลนิ ยอมชืน่ ชม ยอ มยดึ ติดอายตนะภายใน และอายตนะภายนอกทั้งหลาย. ปุถุชนคนพาลเหลานั้นจึงถูก กระแส (ตณั หา) น้ัน พดั พาไป, จงึ ไมพ นจากความเกดิ จากความ แก จากความตาย จากความเศราโศก จากความร่ําไหรําพัน จาก

๒๒๘ วรรคที่ ๔, นิพพานวรรค   ความทุกขกาย จากความทกุ ขใ จ จากความคับแคน ใจ อาตมภาพ กลาววา ยอมไมพนจากทุกข. ขอถวายพระพร พระอรยิ สาวกผมู ี ธรรมอันไดสดับแลว ยอมไมเพลิดเพลิน ไมช่ืนชม ยอมไมยึดติด อายตนะภายในและอายตนะภายนอกท้ังหลาย. เม่ือพระอริย- สาวกนั้นไมเพลิดเพลิน ไมชื่นชม ไมยึดติดอายตนะภายในและ อายตนะภายนอกทั้งหลายน้ัน ตัณหาก็ยอมดับไป, เพราะตัณหา ดับไป อุปาทานจึงดับไป, เพราะอุปาทานดับไป ภพจึงดับไป, เพราะภพดับไป ความเกิดจึงดับไป, เพราะความเกิดดับไป ความ แก ความตาย ความเศราโศก ความรํ่าไหรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ ความคับแคนใจ จึงดับไป, นิโรธ (ความดับ) แหง กองทุกขท้ังสิ้นนี้ยอมมีไดโดยประการดังกลาวมานี้. ขอถวาย พระพร นิโรธ ช่อื วานิพพาน อยางที่กลา วมาน้ี.” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนิโรธนพิ พานปญหาท่ี ๘ คาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๘: ปญหาที่มีการถามถึงนิโรธและนิพพาน ช่ือวา นิโรธ- นพิ พานปญ หา. คาํ วา พระคุณเจานาคเสน นโิ รธช่ือวานิพพานอยา งไร มีความหมายวา “พระคุณเจานาคเสน นิโรธ (ความดับ) ของใคร, เรียกนิโรธของผูน้ันวานิพพานไดไฉน?”

มลิ ินทปญ หากณั ฑ ๒๒๙ บทวา สุตวา - ผูมีธรรมอันไดสดับแลว คือพระอริย- สาวกผูมีสุตะ ดวยสุตะคือพระอริยมรรค. จริงอยู บุคคลแทง ตลอดธรรมใด ธรรมน้ันช่ือวาสุตะ แปลวา ธรรมอันตนไดสดับดี แลว . พระอรยิ มรรคมีองค ๘ เปน ธรรมทีพ่ ระอรยิ สาวกแทงตลอด แลว เพราะเหตนุ น้ั จงึ ไดช ่ือวา สุตะ - ธรรมอนั ไดสดับแลว และพระ อริยบุคคลทัง้ หลาย กช็ ่อื วา สตุ วา - ผมู ีธรรมอนั ไดส ดบั แลว . คาํ วา ไมเพลิดเพลิน ไมช่ืนชม ไมยึดติด คือ ไมเพลิดเพลินวา “ดี” , ไมชื่นชมวา “ดี”, ไมยึดติดวา “ดี”, ดวยอํานาจแหงปญญาท่ีเห็นแลววาไมงาม ไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนตั ตา. ดว ยคาํ วา ตณหฺ านโิ รธา-เพราะตัณหาดบั ไป, อปุ า- ทานนโิ รธา-เพราะอุปาทานดับไป, ภวนโิ รธา-เพราะภพดับ ไป, ชาตนิ ิโรธา-เพราะชาติดับไป ดังนี้ อันเปนคําที่กลา วถงึ ความดับไปแหงเหตุ ทานแสดงความดับไปแหงสมุทัยสัจอันเปน สัจจะที่มรรคจะพึงละใหหมดไป. สวน ดวยคําวา อุปาทาน- นิโรโธ-อุปาทานจึงดับไป, ภวนิโรโธ-ภพจึงดับไป, ชาติ- นิโรโธ-ความเกิดจึงดับไป, ชรามรณ ฯ เป ฯ อุปายาสา นิรุชฌนฺติ-ความแก ความตาย ฯลฯ ความคับแคนใจจึงดับ ไป อันเปนคาํ กลาวถึงความดับไปแหงผล ทานแสดงความ ดับไปแหงทุกขสัจจะอันเปนสัจจะที่มรรคจะพึงกาํ หนดรู. ความ ดับไปแหง เหตุ ชอื่ วา นิโรธ เพราะคาํ วา “นิโรธ” ตรสั หมายเอา ความดับไปเพราะถูกละจนสิ้นไปแหงเหตุกลาวคือสมุทัย. ความ

๒๓๐ วรรคท่ี ๔, นิพพานวรรค   ดับไปแหงผลช่ือวา นิพพาน เพราะคําวา “นิพพาน” ตรัส หมายเอาความดับไป คือความเกิดข้ึนอีกตอไปไมไดแหงผล กลา วคอื ทุกข. ก็แล ผล จะถึงความดับไปไมเกิดอีกเพราะมี ความดับแหงเหตุ เพราะฉะน้ัน นิโรธ จึงเปนอันเดียวกันกับ นิพพาน ฉะนแี้ ล. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๘ ปญ หาท่ี ๙, นิพพานลภนปญ หา พระราชารับส่ังถามวา: “พระคุณเจานาคเสน บุคคลยอม ไดพระนิพพานกันทกุ คนหรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุคคลจะ ไดพระนิพพานกันทุกคนหามิได ขอถวายพระพร ก็แตวา ผูใดแล เปนผูปฏิบัติชอบ รูยิ่งซ่ึงอภิญเญยยธรรม, กําหนดรูปริญเญยย- ธรรม, ละปหาตัพพธรรม, เจริญภาเวตัพพธรรม, กระทําใหแจง ซ่ึงสัจฉิกาตพั พธรรม ผนู น้ั ยอ มไดพ ระนพิ พาน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว .” จบนพิ พานลภนปญหาท่ี ๙ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๙: ปญหาท่ีมกี ารถามถงึ การไดพระนิพพาน ชื่อวา นพิ พาน- ลภนปญหา.

มิลินทปญหากัณฑ ๒๓๑ คําวา อภิญเญยยธรรม แปลวา ธรรมท่ีควรรูยิ่ง. ความวา รูยิ่งซ่ึงธรรมท่ีควรรูยิ่ง โดยเก่ียวกับเปนความหย่ัง รูลักษณะเฉพาะตนของธรรมน้ัน ๆ อยางนี้วา “ธรรมชาติท่ีมี ลักษณะแข็งกระดาง คือธาตุดิน, ธรรมชาติที่มีลักษณะเกาะกุม คือธาตุน้ํา ฯลฯ ธรรมชาติท่ีมีลักษณะกระทบอารมณ คือผัสสะ, ธรรมชาตทิ ีม่ ลี ักษณะเสวยอารมณ คือเวทนา” ดังน้ีเปน ตน . คาํ วา ปริญเญยยธรรม แปลวา ธรรมที่ควรกาํ หนดรู ความวา กาํ หนดรู คือกําหนดถอื เอาดวยสติ แลวรลู ักษณะสามัญ แหงธรรมน้ัน ๆ ดวยอาํ นาจแหง วิปส สนาปญ ญา อยางนี้วา “ไม เทยี่ ง, เปน ทกุ ข, เปน อนตั ตา” ดังน้ี. คําวา ปหาตัพพธรรม แปลวา ธรรมที่ควรละ. ความวา ละธรรมท่ีควรละ คอื ราคะ โทสะ โมหะ โดยเกย่ี วกบั ทําใหสยบไป ดวยอาํ นาจแหงญาณท่ีตามเห็นแตความดับไป ความปราศไป ความสนิ้ ไปแหงธรรมทั้งหลาย อยเู นอื ง ๆ. คําวา ภาเวตัพพธรรม แปลวา ธรรมที่ควรเจริญ. ความวา ยอมเจริญธรรมที่ควรเจริญ คือกุศลธรรมอันเปน ฝกฝายแหงการตรัสรู อันไดแกสมถะ และวิปสสนา. คาํ วา สัจฉิกาตัพพธรรม แปลวา ธรรมท่ีควรกระทํา ใหแจง. ความวา ยอมกระทําใหแจงซึ่งธรรมที่ควรกระทําใหแจง คอื พระนพิ พาน. อีกนัยหนึ่ง อริยสัจ ๔ ช่ือวา อภิญเญยยธรรม เพราะ เปนธรรมที่ควรรูยิ่ง คือควรรูดวยปญญาอันยิ่งกวาปญญาปกติ

๒๓๒ วรรคที่ ๔, นิพพานวรรค   ธรรมดา คอื วปิ สสนาปญ ญา และมัคคปญ ญา. ทุกขอริยสัจ คืออปุ าทานขันธ ๕ ชือ่ วา ปรญิ เญยยธรรม เพราะเปนธรรมท่ีควรกาํ หนดรูดวยสติและปญญา โดยเกี่ยว กับเปนความหย่ังรูลักษณะเฉพาะตนของธรรมน้ัน ๆ อยางนี้ วา “ธรรมชาติที่มีลักษณะแข็งกระดางคือธาตุดิน, ธรรมชาติ ที่มีลักษณะกระทบอารมณคือผัสสะ” ดังนี้ เปนตน, และโดย เกี่ยวกับเปนความหย่ังรูลักษณะสามัญอยางน้ีวา “ไมเท่ียง, เปนทุกข, เปนอนัตตา”. ทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหา ช่ือวา ปหาตัพพธรรม เพราะเปนธรรมที่ควรละใหหมดไป. ทุกขนิโรธอริยสัจ คือพระนิพพาน ช่ือวา สัจฉิกาตัพพ- ธรรม เพราะเปนธรรมที่ควรทาํ ใหแจง คือควรกระทาํ ใหเปน อารมณประจักษ เหมือนอยางมองดูผลมะขามปอมบนฝามือ ฉะนน้ั . ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือพระอริยมรรคอัน มีองค ๘ ช่ือวา ภาเวตัพพธรรม เพราะเปนธรรมที่ควรเจริญ คือควรทาํ ใหเกิดข้ึน และเพิ่มพูน ฉะน้แี ล. คําวา ผูน้ันยอมไดพระนิพพาน คือผูนั้นยอมได คือ ยอมบรรลุพระนิพพานอันเปนธรรมที่ดับทุกขมีความเกิดเปนตน หมายความวา ผูน้ันยอมพนจากความเกิดเปนตน. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๙

มลิ ินทปญ หากัณฑ ๒๓๓ ปญหาที่ ๑๐, นิพพานสุขชานนปญหา พระราชารบั ส่ังถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน ผูทไี่ มไ ดพระ นพิ พานจะรหู รือไมว า พระนพิ พานเปน สขุ ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ใช ผทู ไี่ มได พระนิพพานก็รวู า พระนิพพานเปน สุขได” พระเจา มลิ นิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน เมอื่ ไมไดแ ลวจะรวู า พระนพิ พานเปน สขุ ไดอยางไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสําคัญ ความขอนั้นอยางไร, คนพวกทไ่ี มเคยถูกตัดมอื ตัดเทา มากอ นอาจ ทราบหรือไมว า การถกู ตดั มอื หรือเทาเปน ทุกข?” พระเจามิลนิ ท: “ใช อาจทราบได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “อาจทราบไดอ ยางไร?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา เขาไดยินเสียงรองครวญ ครางของคนอ่ืนท่ีถูกตัดมือหรือเทาแลว ก็ยอมรูวา การถูกตัด มือหรือเทา เปนทุกข” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน คนท้ังหลายไดสดับเสียง (สรรเสริญ) ของทาน ผูที่เห็นพระนิพพานแลว ก็ยอมรูวาพระนิพพานเปนสุข” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนพิ พานสขุ ชานนปญ หาท่ี ๑๐

๒๓๔ วรรคที่ ๔, นพิ พานวรรค   คาํ อธบิ ายปญหาที่ ๑๐: ปญหาท่ีมีการถามถึงความรูวา พระนิพพานเปนสุข ช่ือ วา นิพพานสุขชานนปญหา. คําวา อปุ มาฉนั ใด อุปมัยกฉ็ นั น้ันเหมอื นกัน ความวา คนท่ีไมเคยถูกตัดมือหรือเทามากอน ไดยินเสียงรองครวญคราง ของคนท่ีถูกตัดมือหรือเทาแลว ก็ยอ มรวู า การถูกตัดมือหรือเทา เปนทุกข ฉันใด, คนท่ีไมเคยกระทาํ พระนิพพานใหแจงมากอน ไดสดับเสียงสรรเสริญคุณของพระนิพพาน อยางน้ีวา “เปนธรรม ท่ีดับทุกข, เปนธรรมท่ีสงบจากทุกข, เปนธรรมท่ีดับไฟมีราคะ เปนตน” ดังนี้แลว ก็ยอมทราบวา พระนิพพานเปนสุข ฉันน้ัน เหมือนกัน. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๑๐ จบนพิ พานวรรคที่ ๔ ในวรรคนี้มี ๑๐ ปญหา

มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๒๓๕ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค ปญหาที่ ๑, พทุ ธัสสะ อัตถินัตถภิ าวปญ หา พระราชารบั สง่ั ถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน ทานเคยเหน็ พระพุทธเจา หรอื ?” พระนาคเสน: “อาตมภาพไมเ คยเห็นหรอก มหาบพติ ร” พระเจามิลินท: “ถาอยางนั้น อาจารยท้ังหลายของทาน เคยเหน็ พระพทุ ธเจาหรอื ไร?” พระนาคเสน: “อาจารยทั้งหลายของอาตมภาพก็ไมเคย เห็นหรอก มหาบพิตร” พระเจามิลินท: “ถาอยางน้ันนะ พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจาก็ไมมีจริง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคเคยทรงทอด พระเนตรเห็นแมนํา้ อูหานที ที่ภูเขาหิมพานตหรือ?” พระเจา มลิ นิ ท: “ไมเ คยเห็นหรอก พระคณุ เจา ” พระนาคเสน: “ถาอยางน้ัน พระชนกของพระองค เคย ทรงทอดพระเนตรเห็นแมน้ําอูหานทีหรือ?” พระเจามิลินท: “ก็ไมเคยทรงทอดพระเนตรเห็นหรอก พระคณุ เจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถา อยา งนน้ั แมน าํ้ อหู านที ก็ไมมีจริง” พระเจา มิลินท: “มจี ริง พระคณุ เจา นาคเสน ขา พเจาไมเ คย เห็นแมนา้ํ อูหานที, แมบิดาของขาพเจาไมเคยเห็นแมน้าํ อูหานที

๒๓๖ วรรคที่ ๕, พุทธวรรค   กจ็ ริงอยู, ถงึ กระนั้น แมนาํ้ อูหานที กม็ จี ริง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน อาตมภาพไมเคยเห็นพระผูมีพระภาค, แม อาจารยท้ังหลายของอาตมภาพก็ไมเคยเห็นพระผูมีพระภาค ก็ จริงอยู ถึงกระน้ัน พระผูมีพระภาค ก็มีจริง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบพทุ ธสั สะ อัตถนิ ัตถิภาวปญหาท่ี ๑ คําอธิบายปญหาที่ ๑: ในพุทธวรรคน้ีมี ๑๐ ปญหา. ปญหาท่ีมีการถามถึงความมีหรือไมมีแหงพระพุทธเจา ช่ือวา พุทธัสสะ อัตถนิ ตั ถภิ าวปญ หา. คาํ วา แมนาํ้ อูหานที ไดแกแมนํ้าที่ไหลแยกออกจาก สระอโนดาตบนภูเขาหิมพานต ซ่ึงไดช่ือวา “อูหา” เพราะไหลไป ก็สงเสียงดัง วา “อูหา, อูหา”. ความจริงก็เปนช่ือของแมนํา้ คงคา ที่ไหลมาจากสระอโนดาต ตรงสวนท่ีเปนวังนํา้ วนนั่นเอง. จบคําอธบิ ายปญ หาท่ี ๑ ปญหาท่ี ๒, พุทธัสสะ อนุตตรภาวปญ หา. พระราชารบั สัง่ ถามวา: “พระคุณเจา นาคเสน พระพทุ ธเจา ทรงเปนบุคคลผูท่ีหาใครยิ่งกวามิไดจริงหรือ?”

มิลินทปญหากัณฑ ๒๓๗ พระนาคเสน: “ถูกตอง มหาบพิตร พระผูมีพระภาคทรง เปนบุคคลผูท่ีหาใครยิ่งกวามิไดจริง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานก็ไมเคยเห็น พระพุทธเจา ทานจะทราบไดอยางไรวา พระพุทธเจาทรงเปน บุคคลผูหาใครย่ิงกวามิได?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสาํ คัญ ความขอนั้นอยางไร พวกคนท่ีไมเคยเห็นมหาสมุทร จะทราบได หรือไมวา มหาสมุทรกวางใหญ ลึก หาประมาณมิได หยั่งถึงได ยาก เปนท่ีแมนํา้ ใหญ ๕ สายเหลาน้ี ไหลมาบรรจบเปนประจาํ สมา่ํ เสมอ คือแมน้าํ คงคา แมนํ้ายมุนา แมน้ําอจิรวดี แมนํ้าสรภู แมนา้ํ มหี, มหาสมุทรน้ัน ไมปรากฏวาพรองไปหรือเต็มลนฝง เลย?” พระเจามิลินท: “ใช, ทราบได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน อาตมภาพไดพบเห็นพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ผูดับรอบแลว ก็ทราบวา พระผูมีพระภาคทรงเปนบุคคลท่ีหา ใครย่ิงกวามิได” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบพทุ ธสั สะ อนตุ ตรภาวปญ หาท่ี ๒

๒๓๘ วรรคท่ี ๕, พุทธวรรค   คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๒: ปญหาเก่ียวกับความเปนผูท่ีหาใครย่ิงกวามิไดแหง พระพุทธเจา ช่ือวา พุทธัสสะ อนุตตรภาวปญหา คําวา อนุตฺตโร - ผูที่หาใครย่ิงกวามิได คือ ผูที่หาใคร ยิ่งกวาคือวิเศษกวาดวยคุณทั้งหลายมิได. คาํ วา อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน ความวา เปรียบเหมือนวา ผูที่ไมเคยเห็นมหาสมุทร คือไมเคยไปในมหา- สมุทร เห็นแมนาํ้ ใหญ ๕ สายที่ไหลไปบรรจบกันท่ีมหาสมุทร เหลาน้ีแลว ก็ยอมทราบวามหาสมุทรกวางใหญ ฉันใด, อาตม- ภาพไดพบเห็นพระสาวกผูยิ่งใหญที่เปนภิกษุ เปนภิกษุณี เปน กษัตริย เปนพราหมณ เปนคฤหบดี ผูอยูประพฤติพรหมจรรย ในธรรมวินัยของพระผูมีพระภาค ผูมีกิเลสทั้งหลายดับรอบเหลา นี้แลว ก็ยอมทราบวา พระผูมีพระภาคทรงเปนนายสารถีฝกบุรุษ ผูที่อาจฝกได หาใครย่ิงกวามิไดฉันน้ันเหมือนกัน. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, พุทธัสสะ อนตุ ตรภาวชานนปญ หา พระราชารับส่ังถามวา: “พระคุณเจานาคเสน เราอาจ ทราบไดหรือไมวา พระพุทธเจาทรงเปนบุคคลผูที่หาใครยิ่งกวา มิได?” พระนาคเสน: “ใช ขอถวายพระพร เราอาจทราบไดวา พระผูมีพระภาคทรงเปนบุคคลผูที่หาใครยิ่งกวามิได”

มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๒๓๙ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เราอาจทราบได อยางไร วาพระพุทธเจาทรงเปนบุคคลผูท่ีหาใครย่ิงกวามิได?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร กอนหนาน้ี ก็เคยมี พระอาจารยนักเขียนชื่อวา พระติสสเถระ, เมื่อทานมรณภาพ ลวงไปแลวหลายป คนท้ังหลายยังรูจักทานไดอยางไร?” พระเจามิลินท: “คนทั้งหลายยังรูจักทาน โดยงานเขียน” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ผูใดเห็นพระธรรม, ผูน้ันยอมเห็นพระผูมี พระภาค, เพราะวาพระธรรม พระผูมีพระภาคทรงแสดงไว” พระเจามิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบพทุ ธสั สะ อนตุ ตรภาวชานนปญ หาที่ ๓ คําอธิบายปญ หาท่ี ๓: ปญหาเก่ียวกับการรูถึงความเปนผูท่ีหาใครย่ิงกวามิได แหงพระพุทธเจา ช่ือวา พุทธัสสะ อนุตตรภาวชานนปญหา คําวา อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันน้ัน ความวา เปรียบ เหมือนวา คนทั้งหลายรูจักทานพระติสสเถระผูเปนอาจารย นักเขียน ซ่ึงมรณภาพไปหลายปแลว โดยงานเขียน คือโดยการ พบเห็นงานเขียนของทาน ฉันใด, พวกเราก็ยอมเห็น คือยอม รูจักพระผูมีพระภาคโดยพระธรรม คือโดยการเห็นธรรมท่ีพระ- ผูมีพระภาคน้ัน ทรงแสดงไว ฉันน้ัน. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๓

๒๔๐ วรรคที่ ๕, พุทธวรรค   ปญ หาท่ี ๔, ธัมมทฏิ ฐปญ หา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน ทานไดเห็น พระธรรมแลว หรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พวกสาวก ควรประพฤติธรรมตลอดชีวิต เพราะเปนส่ิงท่ีพระพุทธเจาทรง แนะนาํ ไว เพราะเปนส่ิงที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไว” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบธมั มทิฏฐปญ หาท่ี ๔ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๔: ปญหาเก่ียวกับธรรมท่ีไดเห็นแลว ช่ือวา ธัมมทิฏฐ- ปญหา คาํ วา เพราะเปนสิ่งท่ีพระพุทธเจาทรงแนะนาํ ไว เปนตน คือเพราะเปนส่ิงท่ีพระพุทธเจาผูมีพระปญญาจักษุ แมทุกพระองค ทรงแนะนําไว คือทรงแสดงไว และทรงบัญญัติ ไว. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๔ ปญหาท่ี ๕, อสังกมนปฏสิ นั ทหนปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน จิตไม เคลื่อนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวยหรือ?”

มิลนิ ทปญ หากณั ฑ ๒๔๑ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกตองแลว จิตไมเคลื่อนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวย” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน จิตไมเคล่ือนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวย อยางไร ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุรุษบางคน พึงจุดไฟตะเกียง (ใหม) ข้ึนจากไฟตะเกียง (เกา), ไฟตะเกียง (ใหม) เปนไฟท่ีเคล่ือนจากตะเกียง (เกา) ไปหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน จิตไมเคล่ือนไปดวย ก็ปฏิสนธิได” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาย่ิงอีกหนอยเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เม่ือคร้ังท่ีพระองคยังทรง เปนพระราชกุมาร พระองคยังทรงจําไดหรือไม วา ทรงไดรับ เกียรติคุณบางอยางในสํานักของอาจารยผูมีเกียรติคุณ?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา ขาพเจายังจําได” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เกียรตคิ ณุ ท่พี ระองคทรง ไดรับน้ัน เคล่ือนไปจากตัวพระอาจารยหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน จิตไมเคลื่อนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวย” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทานตอบสมควรแลว” จบอสังกมนปฏิสนั ทหนปญหาท่ี ๕

๒๔๒ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค   คาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๕: ปญหาวาดวยการไมเคล่ือนไปก็ปฏิสนธิได ชื่อวา อสัง- กมนปฏสิ ันทหนปญ หา. คําวา จิตไมเคล่ือนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวยหรือ ความวา พระราชารับสั่งถามวา จิตปฏิสนธิ (เกิด) ในภพใหมได โดยที่ไมมีการเคลื่อนไปจากภพกอนหรือ. ในคําน้ัน จิตดวงกอนหนาอันเปนจิตดวงสุดทายของภพ กอน ช่ือวาจุติ (เคล่ือน), จิตดวงหลังอันเปนจิตดวงแรกของภพน้ี ชื่อวา ปฏิสนธิ. จิตดวงกอนหนา ทําหนาท่ีจุติคือเคลื่อนจากภพ แลวก็แตกดับไปในขณะน้ันนั่นแหละ หาเคล่ือนไปในภพถัดไปได ไม เพราะฉะนั้น จึงกลาวไดวา ไมมีจิตอะไร ๆ เคล่ือนจากภพเกา สูภพน้ี. ก็ท่ีไดช่ือวา จุติจิต แปลวา จิตเคล่ือนก็เพราะวามีกิจหรือ หนาท่ีที่เปนเหมือนการเคลื่อนจากภพเทานั้น โดยเก่ียวกับวา พอ ดับไปก็เปนเหตุใหมีภพใหม, ไมใชเคล่ือนไปไดจริง ๆ. อนึ่ง พอ จิตดวงกอนน้ีดับไปแลว จิตดวงหลังก็เกิดขึ้นทาํ หนาท่ีปฏิสนธิ คือทาํ หนาท่ีเหมือนกับวาเชื่อมภพใหมเขากับภพเกา ทําใหมีภพ ใหมตอไปอีก เม่ือเปนอยางน้ีก็กลาวไดวา จิตดวงนี้ไมใชจิตที่ เคลื่อนมาจากภพกอน. ก็เปนอันวาจิตดวงกอนกับจิตดวงหลัง เปนจิตคนละดวงกัน ไมปะปนกัน แตวาเปนไปเก่ียวของกันโดย เหตุและผลกันตามประการดังกลาวมาน้ี ฉะน้ี แล. จบคําอธิบายปญหาที่ ๕

มิลินทปญหากัณฑ ๒๔๓ ปญหาท่ี ๖, เวทคปู ญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน เวทคูมีอยู จรงิ หรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร วาโดย ปรมัตถ เวทคหู ามีอยูจ ริงไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบเวทคูปญหาที่ ๖ คําอธบิ ายปญหาที่ ๖: ปญหาที่มีการถามถึงเวทคู คือตัวอัตตาชีวะภายใน หรือ บุคคลซ่ึงเปนผูคอยรูอารมณทางทวารทั้ง ๖ ช่ือวา เวทคูปญหา. คาํ วา โดยปรมัตถ คือ วาตามความจริงโดยปรมัตถอัน เพิกแลวจากสัตวบุคคล. ความวา วาตามความจริงโดยปรมัตถ อัตตาชีวะ หรือบุคคล ไมมีอยูจริงหรอก. ปญ หาท่ี ๗, อญั ญกายสังกมนปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน สัตวอะไร ๆ ผูเคลื่อนจากกายนี้ไปสูกายอ่ืนมีอยูหรือ?” พระนาคเสน: “ไมมีหรอก ขอถวายพระพร” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ถาหากวาสัตวผู เคลื่อนจากกายน้ีสูกายอื่นไมมีไซร, ก็จักเปนผูพนจากกรรมช่ัว ท้ังหลายได มิใชหรือ?”

๒๔๔ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค   พระนาคเสน: “ใชแลว ขอถวายพระพร ถาหากวาเขาไม ปฏิสนธิ เขาก็จักเปนผูพนจากกรรมชั่วทั้งหลายได, ขอถวาย พระพร แตเพราะเหตุท่ีเขายังปฏิสนธิ, เพราะฉะน้ันก็หาเปนผู พนจากกรรมช่ัวท้ังหลายไดไม” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษ บางคนขโมยมะมวงของบุรุษอีกคนหนึ่งไป, บุรุษผูน้ันจะตองเปน ผตู องโทษมใิ ชหรือ?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา เขาจะตองเปนผูรับโทษ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร บุรุษผูนั้นมิไดขโมย มะมวงที่บุรุษผูเปนเจาของน้ันปลูกไว, เพราะเหตุไรเขาจึงตอง เปนผูตองโทษเลา?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา มะมวง (ที่ถูกขโมย) เหลา น้ัน, อาศัยมะมวง (ท่ีบุรุษผูเปนเจาของปลูกไว) เหลาน้ันจึงเกิด ได, เพราะฉะน้ัน เขาตองเปนผูตองโทษ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลทํากรรมดีบาง ช่ัวบาง ดวยนามรูปนี้, นามรูปอ่ืนจึงปฏิสนธิเพราะกรรมน้ัน, เพราะฉะนั้น จึงหาเปน ผูพนจากกรรมช่ัวทั้งหลายไดไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบอัญญกายสงั กมนปญ หาที่ ๗

มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๒๔๕ คําอธิบายปญหาท่ี ๗: ปญหาที่มีการถามถึงการเคล่ือนจากกายน้ีสูกายอื่น ชื่อวา อัญญกายสังกมนปญหา. คําวา กายน้ี ไดแกกายคือนามรูปนี้ ในภพปจจุบันน้ี, คําวา กายอื่น ไดแกกายคือนามรูปอ่ืน ในภพอื่น. ในอุปมาและอุปมัย มีนัยเปรียบเทียบกันดังตอไปน้ี: มะมวงท่ีถูกขโมย อาศัยมะมวงท่ีผูเปนเจาของปลูกไว จึงเกิดได เพราะฉะนั้น บุรุษผูขโมยมะมวงอ่ืนจากมะมวงที่ เจาของปลูกไวนั้น จึงไมอาจพนจากความเปนผูตองโทษ ฉันใด, นามรูปอ่ืน อาศยั กรรมดีหรอื ช่ัวทไ่ี ดทาํ ไวดวยนามรูปนี้ จงึ ปฏสิ นธิ ได เพราะฉะน้ัน สัตวผูที่ทํากรรมชั่วไวนั้น แมเปนไปเนื่องกับ นามรปู อื่นจากนามรปู นแี้ ลว ก็ไมช่ือวาพน จากกรรมช่วั น้นั ฉนั นนั้ . คาํ ที่เหลือก็พึงทราบตามนัยท่ีไดกลาวแลวในปญหา กอน ๆ เถิด. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๗ ปญหาที่ ๘, กมั มผลอตั ถิภาวปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน กุศลกรรม ก็ตาม อกุศลกรรมก็ตาม ท่ีสัตวไดทาํ ไวดวยนามรูปน้ี, กรรม เหลาน้ันตั้งอยูท่ีไหน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร กรรมเหลา นั้นพึงตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป ฉะนั้น”

๒๔๖ วรรคที่ ๕, พุทธวรรค   พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานอาจแสดง กรรมเหลานั้นไดหรือไม วา กรรมเหลาน้ันต้ังอยูท่ีตรงนี้ หรือวา ท่ีตรงน้ี?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ใคร ๆ ไมอาจแสดงกรรม เหลาน้ันไดวา กรรมเหลาน้ันต้ังอยูที่ตรงน้ี หรือวาที่ตรงนี้” พระเจามลิ นิ ท: “ขอทา นจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสาํ คัญ ความขอนั้นอยางไร, ตนไมที่ยังไมมีผลบังเกิด, พระองคทรง สามารถแสดงผลไมเหลาน้ันไดหรือไมวา ผลเหลานั้นจะต้ังอยู (จะบงั เกดิ ) ท่ีตรงน้ี หรือวา ทต่ี รงน?้ี ” พระราชา: “ไมสามารถแสดงไดหรอก พระคุณเจา” พระนาคเสน: “อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันน้ันเหมือนกัน เมื่อ ความสืบตอ (แหงนามรูป) ยังไมขาดสาย ใคร ๆ ก็ไมอาจแสดง กรรมเหลาน้ันไดวา กรรมเหลานั้นต้ังอยูที่ตรงน้ี หรือวาท่ีตรงนี้” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบกมั มผลอตั ถภิ าวปญหาที่ ๘ คาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๘: ปญหาเก่ียวกับภาวะท่ีกรรมมีผล ช่ือวา กัมมผลอัตถิ- ภาวปญ หา.

มิลนิ ทปญหากัณฑ ๒๔๗ คาํ วา กรรมเหลานน้ั พึงตามตดิ พันไปเหมอื นเงาท่ีติด ตามตัวไปฉะน้ัน ดังน้ี เปนการณโวหาร (คําพูดถึงเหตุคือกรรม) พงึ ทราบความหมายอยา งนี้ วา นามรปู อันเปน ผลของกรรมนนั้ พึง ตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป, เปนคาํ ที่ทานกลาวไว เสมอเหมือนกันท้ังกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม หรือเปนสาธารณะ. แตใ นธรรมบท ตรสั ไวสาํ หรบั อกศุ ลกรรม วา “ตโต นํ ทกุ ขฺ มเนวฺ ติ จกฺกํว วหโต ปทํ๑ - เพราะทุจริต ๓ อยางนั้น ทุกขจึงติดตาม เขาไปเหมือนอยางลอเกวียนท่ีหมุนติดตามรอยเทาโค (ผูลาก เกวียน) ไปฉะน้ัน”. ตรัสไวสําหรับกุศลกรรมวา “ตโต นํ สุขมนฺเวติ ฉายาว อนุปายินี๒ - เพราะสุจริต ๓ อยางนั้น สุขจึงติดตามเขาไปเหมือนอยางเงาท่ีติดตามตัวไปฉะนั้น”. ใน พระดํารัสนี้ มีความหมายวา เพราะทุจริต ๓ อยางอันเปน อกุศลกรรมที่เขาไดกอไวน้ัน ทุกขคือนามรูปอันเปนท่ีประชุมแหง ทุกข หรือนามรูปที่บังเกิดในทุคติ อันเปนผลของอกุศลกรรมน้ัน ยอมติดตามเขาไป คือจักติดตามไปบังเกิดแกเขาในกาลทั้ง ๓. เหมือนอยางอะไร? เหมือนอยางลอเกวียนท่ีติดตามรอยเทาโค ผูชักลากเกวียนไปขางหนา ฉะนั้น, เพราะสุจริต ๓ อยาง อันเปนกุศลกรรมน้ัน สุขคือนามรูปอันเปนที่ประชุมแหงสุข หรือนามรูปท่ีบังเกิดในสุคติ อันเปนผลของกุศลกรรมนั้นยอม                                                ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๑๕ ๒. ขุ. ธ. ๒๕/๑๕

๒๔๘ วรรคท่ี ๕, พทุ ธวรรค   ติดตามเขาไป คือจักติดตามไปบังเกิดแกเขาในกาลท้ัง ๓. เหมือนอะไร? เหมือนเงาท่ีติดตามตัวไปฉะนั้น. ก็คาํ วา “เหมือน อยางลอเกวียนติดตามรอยเทาโค” ก็ดี, คาํ วา “เหมือนอยางเงา ที่ติดตามตัวไป” ก็ดี, วาโดยอรรถก็เปนอันเดียวกัน เพราะเหตุ น้ัน ในท่ีน้ี คาํ อุปมาท่ีวา “เหมือนเงาที่ติดตามตัวไปฉะนั้น” พระ เถระจึงกลาวไวเปนสาธารณะแกทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม. เปรียบเหมือนวา เมื่อรางกายเดินไป, เงาซึ่งเปนของเน่ือง อยูกับรางกายน้ี ก็ยอมเดินไปดวย, เม่ือยืนก็ยืนดวย, เม่ือนั่งก็น่ัง ดวย, เมื่อนอนก็นอนดวย เงา จึงช่ือวา ติดตามบุคคลนั้นไป ฉันใด, เม่ือไดทาํ กุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี นามรูปอันเปน ผลของกรรมเหลาน้ัน ก็ยอมติดตามบังเกิดในกาลท้ัง ๓ ตาม โอกาสของกรรมนั้น ๆ กรรมอันเปนเหตุของนามรูปนั้นจึงช่ือวา ติดตามบุคคลนั้นไป ฉันน้ัน เพราะเหตุนั้นน่ันแหละใคร ๆ จึงไม อาจแสดงได วา กรรมที่จะทาํ นามรูปใหบังเกิดน้ันต้ังอยูท่ีตรงน้ี หรือวาตรงน้ี ดงั น้ไี ด. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๘ ปญ หาที่ ๙, อปุ ปชชติชานนปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน สัตวผูจะ เกิด ยอมรูไดหรือวา เราจักเกิด?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใช สัตวผู จะเกิดยอมรูไดวา เราจักเกิด”

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๒๔๙ พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร คฤหบดีชาวนาฝงเมล็ด ขาวไวที่พื้นดิน เมื่อมีฝนตกดี ยอมรูหรือไมวา ธัญญชาติจัก บังเกิด?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจานาคเสน เขายอมรูได” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน สัตวผูจะเกิดยอมรูไดวา เราจักเกิด” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบอุปปช ชติชานนปญ หาท่ี ๙ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๙: ปญหาเกี่ยวกับความรูวาจักเกิดแหงสัตวผูจะเกิด ชื่อวา อุปปชชติชานนปญหา. คฤหบดีชาวนาฝงเมล็ดขาวไวท่ีพื้นดิน เม่ือฝนตกดียอม รูไดวา ธัญญชาติจักบังเกิด ฉันใด, พอคา แมวาเปนคนยากจน เมื่อกองทรพั ยเ พิ่มมากขน้ึ เร่ือย ๆ เพราะการคา ของตน ก็ยอมรวู า เราจักไดเปนเศรษฐี ฉันใด, ขาราชบริพารที่พระราชาทรงชุบเล้ียง ไวดว ยคา จา งเพยี งเลก็ นอ ย แมวามยี ศศกั ดิ์นอย เม่อื ไดท ําความดี พิเศษตอพระราชามีการจับผูที่คิดรายตอพระราชาไดเปนตน ก็ ยอมรูไดวา เราจักไดเปนอาํ มาตย ฉันใด, บุคคลผูมีอวิชชา ตัณหา อุปาทานและกรรม เมื่อไดสดับธรรมของพระตถาคต รูวา

๒๕๐ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค   อวิชชา ตัณหา อุปาทานและกรรมเปนเหตุนาํ มาซ่ึงความเกิด ดังนี้แลว ก็ยอมรูวา เราจักเกิดอีกฉันน้ัน. จบคําอธบิ ายปญ หาท่ี ๙ ปญหาท่ี ๑๐, พุทธนทิ ัสสนปญหา พระราชารับสง่ั ถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน พระพทุ ธเจา มีจรงิ หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร พระผูมีพระ- ภาคมจี รงิ ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ก็แตวา ทานอาจ แสดงไดหรือไม วา พระพุทธเจาประทับอยู ณ สถานที่นี้ หรือ วา ณ สถานท่ีนี้?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ทรงปริ- นิพพานแลวดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ใคร ๆ ไมอาจแสดงได วา พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ สถานท่ีน้ี หรือวา ณ สถานที่นี้” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสําคัญ ความขอนั้นอยางไร, เปลวไฟแหงกองไฟใหญท่ีลุกโพลง ถึง ความดับไปแลว พระองคอาจแสดงไดหรือไมวา เปลวไฟนั้นไป อยู ณ สถานท่ีน้ี หรือวา ณ สถานที่นี้?” พระเจา มลิ นิ ท: “ไมอาจแสดงไดหรอก พระคุณเจา , เปลวไฟ ที่ดับไปแลวน้ัน ถึงความไมปรากฏแลว”

มิลินทปญหากัณฑ ๒๕๑ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน พระผูมีพระภาคทรงปรินิพพานแลว ทรงถึง ความดับแลว ดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ใคร ๆ จึงไมอาจ แสดงไดวา พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ สถานท่ีนี้ หรือวา ณ สถานท่ีน้ี, ขอถวายพระพร ก็แตวา บุคคลอาจแสดงพระผูมีพระ- ภาค (วามีจริง) ไดดวยพระธรรมกาย เพราะวาพระธรรมพระ- ผูมีพระภาคไดทรงแสดงไว” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ” จบพทุ ธนิทสั สนปญ หาที่ ๑๐ คําอธิบายปญ หาที่ ๑๐: ปญหาที่มีการแสดงวา พระพุทธเจามีจริงหรือไม ช่ือวา พทุ ธนิทัสสนปญ หา. คาํ วา “ขอถวายพระพร ก็แตวาบุคคลอาจแสดงพระ- ผมู ีพระภาค (วา มอี ยูจริง) ไดด วยพระธรรมกาย เพราะวา พระธรรม พระผูมพี ระภาคไดทรงแสดงไว” ดังน้ี นี้ พระเถระ กลา วหมายเอาพระสตู รทวี่ า “สิยา โข ปนานนทฺ ตมุ หฺ ากํ เอวมสฺส อตตี สตถฺ กุ ํ ปาวจนํ ฯเปฯ โส โว มมจฺจเยน สตถฺ า๑ - นี่แนะ อานนท พวกเธออาจจะมีความคิดอยางนี้วา พระดํารัส ที่เปนประธานของพระศาสดาก็ลวงไปแลว, พวกเราไมมีพระ- ศาสดาเสยี แลว ดงั น.ี้ น่ีแนะ อานนท พวกเธอไมค วรคิดเห็นอยาง                                                ๑. ที. มหา. ๑๐/๑๗๙.

๒๕๒ วรรคท่ี ๕, พุทธวรรค   น้ี, นี่แนะ อานนท ธรรมและวินัยที่เราไดแสดงไวแลว บัญญัติ ไวแลว ใด, ธรรมและวินัยน้ัน ยอมเปนศาสดาของพวกเธอ ท้ังหลาย เม่ือเราไดลวงลับไปแลว” ดังน้ี. ก็ธรรมและวินัยที่ ตรัสถึงน้ันนั่นแหละ ช่ือวา พระธรรม ในคําวา ธรรมกาย นี้. พระธรรมน้ี แตกเปน ๓ อยาง คือสวนที่ทรงเรียกวาวินัย ก็ เรียกวาวินัยน่ันแหละ สวนท่ีทรงเรียกวาธรรม แบงเปน ๒ อยาง คือสูตร และอภิธรรม. กายคืออยู หรือกองรวมแหงธรรม ๓ อยางเหลาน้ี เรียกวา ธรรมกาย. บุคคลยอมรูวา พระพุทธเจา มีจริง เพราะไดเห็น คือไดรูธรรมกายท่ีทรงแสดงไวน้ี. อีกอยางหนึ่ง พระโลกุตตรสัทธรรม ๙ อยาง คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เปน ๑๐ พรอมท้ังพระปริยัติ ช่ือวา พระธรรม. พระผูมีพระภาคทรงพระนามวา พระธรรมกาย เพราะทรงมี พระธรรมเปน พระสรรี กาย. ผูใดเหน็ พระธรรมเหลานดี้ ว ยปญ ญา ผนู น้ั ชื่อวาเห็นพระสรีรกายของพระองค ยอมทราบวาพระองค มีจริง สมจริงตามที่ตรัสไววา “โย หิ ปสฺสติ สทฺธมฺมํ โส มํ ปสฺสติ ปณฺฑิโต๑ - ผใู ดเห็นพระสัทธรรม (ธรรมของสัตบุรุษมี ๑๐ อยาง มีมรรค ๔ เปนตน เหลานั้น น่ันแหละ) ผูน้ันชื่อวา เปนบัณฑิตยอมเหน็ เรา” ดังนี้. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๑๐ จบพุทธวรรคท่ี ๕ ในวรรคนี้ มี ๑๐ ปญหา                                                ๑. ข.ุ อป. ๓๓/๑๙๔.

มิลินทปญ หากัณฑ ๒๕๓ วรรค ท่ี ๖, สตวิ รรค ปญหาท่ี ๑, กายปยายนปญหา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน รางกายเปน ท่ีรักของพวกบรรพชิตหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร รางกายหา เปนท่ีรกั ของพวกบรรพชติ ท้งั หลายไม” พระเจามิลินท: “เม่ือเปนเชนน้ันนะ พระคุณเจา เพราะ เหตุไรพวกบรรพชิตจึงยังปรนนิบัติรางกาย ยังรักใครรางกาย อยูเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร นักรบผไู ปในสงครามของ พระองค บางครัง้ บางคราวถกู ทํารายดว ยธนู กม็ อี ยู มิใชหรือ?” พระเจามลิ นิ ท: “ใช มีอยู พระคณุ เจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร บาดแผลน้ัน เขาตองใช ยาทาแผลทาไว ใชนา้ํ มันลูบไลไว และใชผาเนื้อละเอียดพันไว มิใชหรือ” พระเจามิลนิ ท: “ใช พระคณุ เจา เขาตองใชยาทาแผลทาไว ใชน้าํ มันลูบไลไ ว และใชผา เนอ้ื ละเอียดพนั ไว” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ก็บาดแผลเปนท่ีรักของ เขาหรือไร เขาจึงตองใชยาทาแผลทาไว ใชนา้ํ มันลูบไลไวและใช ผาเนื้อละเอียดพันไว?”

๒๕๔ วรรคที่ ๖, สตวิ รรค พระเจามิลินท: “บาดแผลจะเปนท่ีรัก หามิไดพระคุณเจา, แตวาเขาตองใชยาทาแผลทาไว ใชน้ํามันลูบไลไว และใชผาเนื้อ ละเอียดพันไว เพื่อประโยชนแกการสมานเนื้อ (สมานแผล)” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน รางกายมิไดเปนท่ีรักของพวกบรรพชิตหรอก พวกบรรพชิตท้ังหลายผูไมสยบในรางกาย ยอมบริหารรางกาย เพ่ืออนุเคราะหพรหมจรรย, ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง พระผูมีพระภาคตรัสถึงรางกายวา มีอุปมาเหมือนบาดแผล, เพราะเหตุน้ัน พวกบรรพชิตทั้งหลายผูไมสยบในรางกาย จึง บริหารรางกายดุจรักษาแผล. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ทรงภาสิตความขอนี้ไววา: ‘อลลฺ จมฺมปฏจิ ฉฺ นโฺ น, นวทวฺ าโร มหาวโณ. สมนฺตโต ปคฺฆรติ, อสุจิปูตคิ นฺธโิ ย’๑ แปลวา: “รางกายอันหอหุมดวยหนังสด มีทวารท้ัง ๙ เปนแผล ใหญ สิ่งสกปรกมีกล่ินเหม็น ยอมหลั่งออกท่ัวท้ังตัว” ดงั น้ี. พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบกายปย ายนปญ หาที่ ๑                                                ๑. วสิ ทุ ธิมคคฺ . ๑/๓๑๕ (ฉบบั ภมู พิ โลภิกข)ุ

มลิ นิ ทปญหากัณฑ ๒๕๕ คําอธบิ ายปญหาที่ ๑: ในสติวรรคนี้ มี ๑๐ ปญหา. ปญหาเก่ียวกับความ ประพฤติดจุ วารางกายเปนทีร่ ัก ชื่อวา กายปยายนปญ หา. คําวา รา งกาย ในทนี่ ้ี ไดแกส รีรกายอันเปนทปี่ ระชมุ แหง มหาภตู ๔ อันประกอบดว ยโกฏฐาสใหญนอยทง้ั หลาย. คําวา รางกายเปน ท่ีรักของพวกบรรพชิตหรอื ความวา พระราชารับสั่งถามวา สรีรกายเปนที่รัก คือเปนท่ีประพฤติดวย ความรกั ของพวกบรรพชติ หรอื . คําวา รา งกายหาเปนที่รักของพวกบรรพชติ ทง้ั หลาย ไม ความวา พระเถระปฏิเสธวา รา งกายหาเปนท่ีรัก คอื หาเปน ท่ี ประพฤตดิ วยความรกั ของพวกบรรพชิตทง้ั หลายไม. คําวา เมือ่ เปนเชนนัน้ คอื เม่ือรางกายมิไดเ ปน ทรี่ ักของ พวกบรรพชติ . คําวา เพราะเหตุไร พวกบรรพชิตจึงยังปรนนิบัติ รา งกาย ยังรักใครรา งกายอยูเลา ความวา เพราะเหตุไรพวก บรรพชิตจึงยงั ปรนนบิ ตั ริ างกาย คือยงั บาํ รุงบาํ เรอรา งกาย ยงั รกั ใครรางกาย คือยังชอบใจรางกาย โดยบริหารดวยการนุงการหม เปน ตน เลา. คาํ วา ไมสยบ คือพวกบรรพชติ ไมส ยบ คือไมติดของใน รางกายดวยอํานาจแหงตัณหา, เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา พวกบรรพชิตทั้งหลายจึงบริหารรางกายดุจรักษาแผล ดังน้ี. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๑

๒๕๖ วรรคที่ ๖, สตวิ รรค ปญ หาท่ี ๒, สพั พัญภู าวปญหา พระราชารับสั่งถามวา : “พระคุณเจา นาคเสน พระพุทธเจา ทรงเปนพระสัพพัญู-ผูรูทุกส่ิงทุกอยาง, เปนพระสัพพทัสสาวี- ผูเห็นทุกส่ิงทุกอยาง หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกตอง พระผูมีพระภาคทรงเปนพระสัพพัญู-ผูรูทุกส่ิงทุกอยาง, เปน พระสัพพทัสสาวี-ผูเห็นทุกส่ิงทุกอยาง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เม่ือเปนเชนนั้น เพราะเหตุไรจึงทรงคอย ๆ บัญญัติสิกขาบทแกสาวกทั้งหลายไป ตามลําดบั เลา ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร แพทยบาง คนที่รูจักยาทุกชนิดในแผนดินนี้ ก็มีอยูมิใชหรือ?” พระเจามิลินท: “ใช มีอยู พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร แพทยผูนั้น ใหคนไขกินยาในเวลาท่ีถึงคราวเปนไข หรือวาในเวลาท่ียังไม ถึงคราวเปนไขเลา?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา แพทยผูน้ันยอมใหคนไขกิน ยาในเวลาที่ถึงคราวเปนไข, ไมใชในเวลาที่ยังไมถึงคราวเปนไข” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน พระผูมีพระภาคผูทรงเปนพระสัพพัญู เปน พระสัพพทัสสาวี ไมทรงบัญญัติสิกขาบทแกสาวกทั้งหลาย ใน เวลาท่ียังไมถึงคราว, ทรงบัญญัติสิกขาบทแกสาวกท้ังหลาย ใน

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๕๗ เวลาท่ีถึงคราว เปนสิกขาบทท่ีสาวกทั้งหลายไมพึงลวงละเมิด ตลอดชีวิต” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสัพพัญภู าวปญ หาท่ี ๒ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๒ : ปญหาที่มีการถามถึงความเปนพระสัพพัญูของพระ- พุทธเจา ช่ือวา สัพพัญูภาวปญหา. พระพุทธเจาทรงพระนามวา พระสัพพัญู เพราะอรรถ วา ทรงรูสิ่งท่ีควรรูทุกสิ่งทุกอยาง. ทรงพระนามวา พระสัพพทัส- สาวี เพราะทรงมีปกติเห็นทุกสิ่งทุกอยาง, ๒ คํานี้ มีความหมาย เปนอยางเดียวกัน แสดงถึงความเปนผูมีพระสัพพัญุตญาณ เทาน้ัน เพราะฉะน้ัน จึงเปนคาํ ที่ยักยายใชแทนกันได. คําวา เพราะเหตุไรจงึ ทรงคอย ๆ บญั ญตั ิสกิ ขาบทแก สาวกท้ังหลาย ไปตามลําดับ ความวา พระราชาตรัสถามวา เพราะเหตุไร จึงทรงคอยบัญญัติสิกขาบทไปทีละขอ เม่ือมีเรื่อง เกดิ ขน้ึ ไมบ ญั ญัตไิ วเ สียกอน พรอ มกนั ทุกขอ คราวเดยี วกัน. คาํ วา ในเวลาท่ียังไมถึงคราว คือในเวลาที่ยังไมมีเรื่อง เกิดขึ้น อันเปนเร่ืองที่บ่ันทอนศรัทธาของผูท่ีมีศรัทธา ไมทํา ศรัทธาของผูที่ยังไมมีศรัทธาใหเกิดข้ึน หรือยังความเส่ือมเสียแก พระศาสนา.

๒๕๘ วรรคท่ี ๖, สติวรรค คําวา ในเวลาทีถ่ งึ คราว คอื ในเวลาท่ีมีเร่อื งเกดิ ขึ้นแลวก็ ทรงเล็งเห็นอํานาจประโยชน ๑๐ อยาง มีความยินยอมพรอมใจ แหงสงฆ เปนตน แลวทรงบัญญัติสิกขาบทขอน้ัน ๆ ข้ึน. คําวา เปนสิกขาบทท่ีสาวกท้ังหลายไมพึงลวงละเมิด ตลอดชีวิต อธิบายวา เปนสิกขาบทท่ีสาวกทั้งหลายไมพึง ลวงละเมิด คือประพฤติตามท่ีทรงบัญญัติไวอยางเครงครัด ตลอดชีวิต นับต้ังแตที่ไดทรงบัญญัติไวแลว และไมพึงลวง ละเมิด แมเพื่อประโยชนแกชีวิต. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๒ ปญ หาที่ ๓, มหาปุรสิ ลักขณปญหา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจา ทรงเปนผูประกอบพรอมดวยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระวรกาย ดุจทองคํา มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคํา มีพระรัศมีสรานออกไป ประมาณ ๑ วา จริงหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปนความ จริง พระผูมีพระภาคทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริส- ลักษณะ ๓๒ ประการ และประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระวรกายดุจทองคํา มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคาํ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วา”

มิลินทปญหากณั ฑ ๒๕๙ พระเจามิลนิ ท: “พระคณุ เจา ก็แตวา แมพระชนกชนนีของ พระองค ก็ทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มี สีพระวรกายดุจทองคาํ มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคาํ มีพระรัศมี สรานออกไปประมาณ ๑ วา หรอื ไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระชนกชนนีของ พระองค หาทรงเปนผูประกอบพรอมดวยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ฯลฯ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วาไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เม่ือเปนอยางนี้ พระพุทธเจาจะทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริส- ลักษณะ ๓๒ ประการ ฯลฯ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วา ไดอยางไร เพราะวาผูเปนบุตรยอมเปนผูแมนเหมือน มารดา หรือวาเปนขางเดียวกับมารดา, เปนผูแมนเหมือนบิดา หรือวาเปนขางเดียวกับบิดา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ดอกบัวสตปตตะ (ดอกบวั รอยใบ?) ชนิดหน่ึง ก็มีอยูมิใชหรือ?” พระเจามิลินท: “ใช มีอยู พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ก็ดอกบัวชนิดน้ัน เกิดไดในท่ีไหน?” พระเจามิลินท: “ยอมเกิดไดในเปอกตม อาศัยอยูในนํ้า” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ดอกบัวมีสีก็ดี มีกล่ินก็ดี มีรสก็ดี เหมือนกันกับเปอกตมหรือไร?” พระเจา มิลนิ ท: “หามไิ ด พระคุณเจา ”

๒๖๐ วรรคท่ี ๖, สติวรรค พระนาคเสน: “ถาเชนนั้น มีสีก็ดี มีกลิ่นก็ดี มีรสก็ดี เหมือนกันกับน้ํา?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน พระผูมีพระภาคทรงเปนผูประกอบพรอมดวย พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ฯลฯ มีพระรัศมีสราน ออกไปประมาณ ๑ วาจริง, แตวา พระชนกชนนีของพระองค หาทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ฯลฯ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วาไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบมหาปุรสิ ลักขณปญหาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๓: ปญหาท่ีมีคําถามเก่ียวกับลักษณะของทานผูเปนมหา- บุรุษช่ือวา มหาปุริสลักขณปญหา. พระผูมีพระภาคทรงไดพระนามวา มหาบุรุษ เพราะ อรรถวา ทรงเปนบุรุษผูย่ิงใหญดวยคุณทั้งหลายมีศีลเปนตน ครอบงาํ คุณของสัตวท้ังหลายท้ังปวง, หรือเพราะอรรถวา ทรง เปนบุรษุ ผทู เี่ ทวดาและมนษุ ยท ้งั หลายบูชา. ลักษณะของทานผูเปนมหาบุรุษ อันเปนเครื่องแสดงให ทราบวา ทานผูน้ีเปนมหาบุรุษ ชื่อวา มหาปุริสลักษณะ มี ๓๒

มิลินทปญ หากัณฑ ๒๖๑ ประการ มีฝาพระบาทที่ยืนเหยียบพ้ืนไดเรียบเสมอกันทุกสวน เปนตน. ประการยอย ๆ ท่ีเปนเหมือนเคร่ืองประดับพระวรกาย เฉพาะทานที่เปนมหาบุรุษ ชื่อวา พระอนุพยัญชนะ มี ๘๐ ประการ มีลายกงจักรท่ีฝาพระบาทเปนตน. คาํ วา มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคํา คือมีพระฉวีประพิม ประพายคลายทองคํา. คาํ วา เปนขางเดียวกบั มารดา คอื ผเู ปน บุตรก็ยอ มเปนผู มีรูปรางผิวพรรณสัณฐานอวัยวะคอนไปทางมารดา. แมคําวา เปนขางเดียวกับบิดา ก็มีนัยนี้แหละ. เปนอันพระราชาตรัส ถามวา เมื่อพระชนกชนนีไมเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหา- ปุริสลักษณะเปนตน เพราะเหตุไร พระพุทธเจาผูประสูติแต พระชนกชนนีน้ัน กลับทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหา- ปรุ ิสลักษณะเปนตน ไปไดเ ลา นา จะทรงเปน เหมอื นอยา งคนอืน่ ๆ ท่ีมีรูปรางผิวพรรณ สัณฐานอวัยวะ แมนเหมือนมารดาหรือบิดา. ความวา ความเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ความเปนผูประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พระองคทรงไดมาเพราะเหตุ คือพระบารมีที่ทรงสั่งสม มาดีแลวมากมายในภพกอน ๆ อันเปนการกระทําที่ยอดเย่ียม หาผูเสมอเหมือนมิได มิใชทรงไดมาตามสายโลหิต. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๓

๒๖๒ วรรคท่ี ๖, สตวิ รรค ปญหาที่ ๔, ภควโต พรหมจาริปญหา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจา ทรงเปนพรหมจารี (ผูประพฤติเยี่ยงอยางพระพรหม) หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใช พระผูมี- พระภาคทรงเปน พรหมจาร”ี พระเจามิลินท: “ถาอยางน้ันนะ พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจาก็ช่ือวาทรงเปนศิษยของพระพรหม” พระนาคเสน: ขอถวายพระพร พระองคทรงมีชางทรง ประธานอยู มิใชหรือ?” พระเจามลิ นิ ท: “มอี ยู พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ชา งเชอื กนัน้ บางคร้ังบาง คราวก็บันลือโกญจนาท (สงเสียงรองอยางเสียงนกกระเรียน) มิใชหรือ?” พระเจามิลนิ ท: ใช พระคุณเจา มนั บนั ลือโกญจนาท” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาอยา งนัน้ ชา งเชือกนัน้ ก็ชื่อวาเปนศิษยของนกกระเรียน” พระเจา มลิ นิ ท: “ไมใ ชห รอก พระคุณเจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระพรหมเปนผูที่ตองมี พระพุทธเจา หรือวาไมตองมีพระพุทธเจา เลา?” พระเจามิลินท: “เปนผูตองมีพระพุทธเจา พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาอยางน้ัน พระพรหมก็ ตองเปน ศิษยข องพระพทุ ธเจา ”

มลิ ินทปญ หากัณฑ ๒๖๓ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบภควโต พรหมจาริปญหาที่ ๔ คําอธิบายปญ หาท่ี ๔: ปญหาเกี่ยวกับความเปนพรหมจารีของพระผูมีพระภาค ชอื่ วา ภควโต พรหมจารปิ ญ หา ตามพระมติของพระเจามิลินท ทรงกําหนดไววา พระ- พุทธเจาทรงพระนามวา พรหมจารี เพราะมีความหมายวาทรง ประพฤติอยางท่ีพระพรหมทรงประพฤติ, เพราะฉะน้ันจึงตรัส วา พระพุทธเจาทรงเปนศิษยของพระพรหม. สวน ตามมติ ของพระเถระ พระผูมีพระภาคทรงพระนามวา พรหมจารี เพราะอรรถวา ทรงประพฤติขอควรประพฤติท่ีเปนพรหมคือ ประเสริฐสุด เพราะคําวา “พรหม” มีความหมายวา ประเสรฐิ สุด ก็ได เพราะฉะนนั้ ทานจึงไดถามวา “พระพรหมเปนสพุทธิกะ -ตองมีพระพุทธเจา หรือวาเปน อพุทธิกะ-ไมตองมีพระพุทธเจา” ดังนี้. ในคําเหลานั้น คาํ วา สพุทธิกะ แปลวา ผูตองมี พระพุทธเจา คือเปนไปอาศัยพระพุทธเจา ทําตนใหถึงความสุข ความสวัสดีไดดวยอาศัยคาํ สอนของพระพุทธเจา. คําวา อพุทธิกะ แปลวาผูไมตองมีพระพุทธเจา คือมิไดเปนไปอาศัย พระพุทธเจา ไดแกพระสัมมาสัมพุทธเจาและพระปจเจก-

๒๖๔ วรรคที่ ๖, สติวรรค พุทธเจาทั้งหลาย ในอัตภาพสุดทาย. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๔ ปญหาท่ี ๕, ภควโต อปุ สมั ปทาปญหา พระราชารบั สัง่ ถามวา “พระคณุ เจานาคเสน การอปุ สมบท เปนของดีหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ใช มหาบพิตร การบวช เปน ของด”ี พระเจามิลินท: “พระคุณเจา พระพุทธเจาทรงมีการ อุปสมบท หรือวาไมทรงมีเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ก็ทรงได อุปสมบทแลวที่โคนตนโพธิ์ พรอมกับพระสัพพัญุตญาณ, ไมมี ผูอื่นถวายการอุปสมบทแกพระผูมีพระภาค, เปนเหมือนอยางท่ี พระผูมีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทแกพวกสาวกท้ังหลาย อัน เปนสกิ ขาบททส่ี าวกท้ังหลายไมควรลวงละเมิดตลอดชีวติ ฉะน้ัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบภควโต อุปสัมปทาปญ หาที่ ๕ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๕: ปญหาที่มีการถามถึงการอุปสมบทของพระผูพระภาค ช่ือวา ภควโต อุปสัมปทาปญหา.

มลิ ินทปญ หากณั ฑ ๒๖๕ คาํ วา อปุ สมั ปทา - การอปุ สมบท สําหรับผทู เ่ี ปน สาวก ท้ังหลาย ยอมไดการอุปสมบทโดยการที่ผูอื่นใหถือสิกขา ๓, คือพระพุทธเจา หรือคณะสงฆ ใหถือสิกขา ๓ กลาวคือ อธิศีล- สิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปญญาสิกขา, สวนสาํ หรับพระผูมี- พระภาคทรงไดการอุปสมบท โดยทรงประพฤติจริยา ๓ อยาง คือ โลกัตถจริยา - ประพฤติเพ่ือประโยชนแกชาวโลก, ญาตัตถ- จริยา - ประพฤติเพ่ือประโยชนแกญาติ และพุทธัตถจริยา- ประพฤติเพ่อื ประโยชนแกความเปนพระพุทธเจา อันสาํ เร็จพรอม กับพระสัพพัญุตญาณ คือทันทีท่ีทรงบรรลุพระสัพพัญุต- ญาณ ฉะน้ี แล. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๕ ปญหาที่ ๖, อสั สเุ ภสชั ชาเภสชั ชปญหา พระราชารับสั่งถามวา: “พระคุณเจานาคเสน คนหน่ึง เม่ือมารดาตายก็รองไห, อีกคนหนึ่งรองไหดวยความรักในธรรม, บรรดาคนท่ีรองไหอยูท้ัง ๒ คนน้ัน นาํ้ ตาของคนไหนจัดเปนยา, ของคนไหนไมจัดเปนยา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร น้าํ ตาของคน หนึ่งมีมลทิน รอนเพราะไฟคือราคะ โทสะ และโมหะ, น้ําตาของ อีกคนหน่ึงปราศจากมลทิน เย็นเพราะปติและโสมนัส, ขอถวาย พระพร น้ําตาท่ีเย็นจัดเปนยา, นา้ํ ตาท่ีรอนไมจัดเปนยา”

๒๖๖ วรรคที่ ๖, สติวรรค พระเจา มิลนิ ท: “พระคุณเจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ” จบอสั สเุ ภสชั ชาเภสชั ชปญ หาที่ ๖ คําอธิบายปญ หาที่ ๖: ปญหาที่มีการถามถึงนํา้ ตาที่เปนยา และที่ไมเปนยา ชื่อ วา อสั สุเภสัชชาเภสชั ชปญหา. คาํ วา รองไหดวยความรักในธรรม คือรองไห มีนํ้าตา หล่ังไหลดวยความรัก คือดวยปติโสมนัส อันมีกาํ ลังที่เกิดข้ึน เพราะการไดส ดับธรรม หรอื หยั่งรูธรรม. ชื่อวา น้าํ ตาเย็น เพราะมิไดรอนเพราะไฟมีราคะเปนตน. ช่ือวา จัดเปนยา ก็เพราะความที่เปนปจจัยกําจัดความปวยไข คือกิเลสทั้งหลายได. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๖ ปญหาท่ี ๗, สราควตี ราคนานากรณปญหา พระราชารบั สัง่ ถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน คนผูมรี าคะ กับคนผปู ราศจากราคะ มีอะไรเปน ขอ ที่แตกตางกนั ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร คนหน่ึงเปน ผูสยบ, อกี คนหนงึ่ เปนผไู มสยบ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ช่ือวาเปนผูสยบ, เปนผูไม สยบ นค้ี ืออะไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร คือวา คนหนึ่งมีความ ตองการ อีกคนหนึ่งหาความตองการมิได”

มลิ ินทปญ หากัณฑ ๒๖๗ พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ขาพเจาเห็นอยูแตวา เหมือน ๆ กัน คือ คนที่มีราคะก็ดี คนท่ีปราศจากราคะก็ดี ทุกคน เหลาน้ี ลวนแตตองการสิ่งดี ๆ เหมือนกัน ไมวาจะเปนของเคี้ยว หรือวาของกนิ , ใคร ๆ กไ็ มต อ งการของไมด”ี พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร คนผยู ังไมปราศจากราคะ บริโภคอาหาร ก็เปนผูรูจักรสดวย, รูจักยินดีในรสดวย, สวนคนผู ปราศจากราคะบริโภคอาหาร เปนผูรูจักรสอยางเดียว หาเปนผู รูจักยินดีในรสดวยไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสราควีตราคนานากรณปญ หาที่ ๗ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗: ปญหาท่ีมีการถามถึงขอท่ีแตกตางกันแหงคนผูมีราคะ กับคนผปู ราศจากราคะ ชอื่ วา สราควตี ราคนานากรณปญ หา. คาํ วา บริโภคอาหารเปนผูรูจักรส คือบริโภคอาหาร เปนผูรูจักรสดวยเวทนา อันเกิดจากชิวหาสัมผัสสะ (การกระทบ ทางลิ้น) คาํ วา เปนผูรูจักยินดีในรส คือเปนผูรูจักยินดีในรส ดวยราคะท่ีเกิดจากชิวหาสัมผัส. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๗

๒๖๘ วรรคที่ ๖, สติวรรค ปญหาท่ี ๘, ปญญาปติฏฐานปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน ปญญา ยอมอยปู ระจํา ณ ทไี่ หน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ปญญาหา ไดอยูประจาํ ณ ท่ไี หนไม” พระเจามลิ นิ ท: “พระคุณเจานาคเสน ถา อยางนนั้ ปญญา ก็ไมม จี รงิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ลมยอมอยูประจํา ณ ท่ี ไหน?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ลมหาไดอยูประจาํ ณ ท่ีไหน ไม” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาอยางนน้ั ลมกไ็ มมจี ริง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบปญญาปติฏฐานปญ หาที่ ๘ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๘: ปญหาท่ีมีการถามถึงท่ีต้ังแหงปญญา ชื่อวา ปญญา- ปติฏฐานปญหา. พระราชาทรงเล็งถึงลัทธิที่วา สิ่งที่มีอยูจริง ยอมมีที่อยู ประจาํ จึงไดตรัสถามวา “ปญญายอมอยูประจํา ณ ที่ไหน” ดงั นี้

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๖๙ ก็ปญญา เม่ือเกิดข้ึน ยอมเกิดขึ้นเปนธรรมท่ีสัมปยุตกับ จิต ถือเอาอารมณเดียวกันกับจิต ถึงขณะท้ัง ๓ คือเกิดขึ้น ต้งั อยู และดับไป พรอมกันกับจิต, ปญญานั้น พนขณะท้ัง ๓ น้ันไป แลว ก็ถึงความเปนของไมเที่ยง กลาวคือถึงความดับไป ปญญา ท่ีถึงความดับไปแลว ยอมไมเกิดอีก. เมื่อปจจัยแหงปญญาถึง พรอมอีก ปญญาอื่นยอมเกิดข้ึน เกิดขึ้นแลวก็ถึงความดับไป อยางน้ันนั่นแหละอีก. เพราะเหตุท่ีเมื่อมีปจจัยก็เกิดข้ึน เม่ือยัง ไมมีปจจัยก็ยังไมเกิดขึ้นอยางนี้นั่นเอง พระเถระจึงกลาววา “ปญญาหาไดอยูประจํา ณ ที่ไหนไม” ดังน้ี. จบคาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๘ ปญหาท่ี ๙, สังสารปญ หา พระราชารับส่ังถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ส่ิงที่ทาน เรียกวา ‘สังสารวัฏ’ นี้ใด, สังสารวัฏน้ันเปนไฉน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุคคลเกิดใน โลกน้ีแลวก็ตายในโลกน้ีน่ันแหละ คร้ันตายในโลกน้ีแลว ก็เกิด ข้ึนในโลกอ่ืน, เกิดในโลกนั้นแลวก็ตายในโลกน้ันน่ันแหละ ครั้นตายในโลกนั้นแลว ก็เกิดข้ึนในโลกอื่นอีก, ขอถวายพระพร สงั สารวัฏเปน อยางนแ้ี ล. พระเจามลิ นิ ท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หน่ึงเค้ียวกินผลมะมวงสุก แลวเพาะเมล็ดมะมวงนั้นไว, ตอจาก

๒๗๐ วรรคท่ี ๖, สตวิ รรค เมล็ดมะมวงที่เพาะไวนั้น พึงบังเกิดเปนตนมะมวงใหญแลว ใหผล, ลําดับนั้นบุรุษผูน้ันก็จะพึงเคี้ยวกินผลมะมวงสุก แมจาก ตนมะมวงตนที่ ๒ น้ัน แลวก็เพาะเมล็ดมะมวงไว, แมตอจาก เมล็ดมะมวงที่เพาะไวน้ัน พึงบังเกิดเปนตนมะมวงใหญแลว ใหผล, เมอื่ เปนอยา งนี้ ตนแรกสุดแหง บรรดาตน มะมวงเหลา นั้น ก็ยอมไมปรากฏ ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลเกิดในโลกนี้แลว ก็ตายในโลกนี้น่ันแหละ คร้ันตายในโลกน้ีแลว ก็เกิดข้ึนในโลก อื่น, เกิดข้ึนในโลกนั้นแลวก็ตายในโลกน้ันนั่นแหละ คร้ันตาย ในโลกน้ันแลว ก็เกิดขึ้นในโลกอื่นอีก ฉันนั้น, ขอถวายพระพร สังสารวัฏยอมมีตามประการดังกลาวมานี้”. พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสังสารปญหาที่ ๙ คําอธิบายปญหาท่ี ๙: ปญหาเก่ียวกับสังสารวัฏ ชื่อวา สังสารปญหา. พึงทราบถึงการเปรียบเทียบความในอุปมาและอุปมัย ดังตอไปน้ี-: ปจจัยแหงความเกิด คือกิเลสและกรรม ที่สัตวส่ังสม ไวในชาติกอน ๆ เปรียบเหมือนเมล็ดมะมวงจากมะมวงตน กอน ๆ ท่ีบุรุษผูน้ันเพาะไว นามรูปที่สมมติวา สัตวบุคคลท่ี เกิดขึ้นในชาติตอ ๆ ไป เพราะกิเลสและกรรมที่ไดสั่งสมไว

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๗๑ ในชาติกอน ๆ น้ัน เปรียบเหมือนตนมะมวงตนใหมท่ีเกิดข้ึน เพราะเมล็ดมะมวงแหง ตนมะมว งตนกอน ๆ ทบี่ รุ ษุ ผนู ั้นเพาะไว, สุขและทุกขที่สัตวพึงเสวยในชาตินั้น ๆ เปรียบเหมือนผล มะมวงสุกท่ีบุรุษพึงเค้ียวกิน ฉะนี้แล. คําวา ตนแรกสุดยอมไมปรากฏ ความวา ตนแรกสุด ใคร ๆ ไมอาจรูได. จบคําอธบิ ายปญหาที่ ๙ ปญ หาท่ี ๑๐, จิรกตสรณปญ หา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน บุคคล ยอมระลึกถึงกิจที่ลวงไปแลว ที่ไดทําไวนานแลว ไดดวย อะไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เขายอม ระลึกไดดวยสติ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เขายอมระลึกได ดว ยจิตมิใชห รือ, ไมใชด ว ยสติหรอก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคก็ทรงทราบดี มิใชหรือ วาพระกรณียกิจบางอยางท่ีพระองคทรงทาํ แลวหลง ลืมไป (ระลกึ ไมได) ก็มีอยู?” พระเจามลิ นิ ท: “ใช ขา พเจาทราบดี พระคุณเจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ก็ในสมัยนั้น พระองค ทรงเปนผูไมมีจิตหรือไร?”

๒๗๒ วรรคที่ ๖, สตวิ รรค พระเจามิลินท: “หามิไดพระคุณเจา ในสมัยนั้นไมมี สติตางหาก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เมื่อเปนเชนน้ัน เพราะ เหตุไร พระองคจึงตรัสอยางน้ีวา ‘เขายอมระลึกไดดวยจิต, ไมใช ดวยสตหิ รอก’ ดังน้เี ลา” พระเจา มลิ นิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบจริ กตสรณปญ หาท่ี ๑๐ คําอธิบายปญหาท่ี ๑๐: ปญหาเก่ียวกับการระลึกถึงกิจท่ีไดทําไวนานแลว ช่ือวา จริ กตสรณปญหา. ธรรมท่ีเปนความระลึกได หรือเปนเหตุใหสัตวระลึกได ช่ือวา สติ. สติเปนธรรมที่เกิดในจิต ยอมมีเม่ือมีจิตก็จริง แต ในเวลาใดมีจิต เวลาน้ันจะมีสติเกิดข้ึนดวยแนนอน หามิได. จิต มีอยูเปนประจาํ แกสัตวตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู แตสติหาไดมีอยู เปน ประจาํ ตลอดเวลาเชน นั้นไม, ในเวลาทบ่ี คุ คลระลึกไดใ นเวลา นั้นกลาวไดวามีสติเกิดข้ึน. ในเวลาใดระลึกไมได ทั้ง ๆ ที่มีจิต, ในเวลาน้ันกลาวไดวาไมมีสติเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงกลาวได วา บุคคลยอมระลึกไดดวยสติ ไมใชดวยจิต. คําวา หลงลืมไป คือหลงลืมสติไป. ความวา ระลึกไมได เพราะไมมีสติเกิดข้ึน. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๑๐

มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๒๗๓ ปญหาท่ี ๑๑, อภชิ านันตสตปิ ญหา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน สติพอเกิด ขึ้นมาก็รูทันทีท้ังน้ันหรือ, หรือวามีแตสติที่เปนเหตุใหรูภายหลัง ทําไปแลว เทา น้นั ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติแมที่รูทันที ก็มี, แมท่ีเปนเหตุใหรูภายหลังทําไปแลว ก็มี” พระเจามิลินท: “เปนอยางนี้ตางหาก พระคุณเจานาคเสน สติลวนมีแตท่ีรูทันที, สติที่เปนเหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ไมมีหรอก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาหากวาสติที่เปน เหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ไมมีไซร, พวกศึกษางานศิลปะ ทั้งหลายก็ไมมีกิจอะไร ๆ ท่ีควรทาํ โดยเปนการงานท่ีควรทาํ โดยเปนศิลปะที่ควรทํา หรือโดยเปนฐานะแหงวิชชา, ทั้งพวก อาจารยท้ังหลาย ก็ยอมเปนคนไรประโยชน, ขอถวายพระพร แตเพราะเหตุท่ีสติท่ีเปนเหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ก็มีอยู, เพราะฉะน้ันจึงมีกิจที่ควรทาํ โดยเปนการงานที่ควรทํา โดยเปน ศิลปะที่ควรทํา หรือโดยเปนฐานะแหงวิชชา, และประโยชน ดวยอาจารยท้ังหลายก็มีอยู” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบอภิชานันตสตปิ ญหาท่ี ๑๑

๒๗๔ วรรคท่ี ๖, สติวรรค คําอธิบายปญหาท่ี ๑๑: คาํ วา สติพอเกิดข้ึนมาก็รูทันที ความวา สติทันทีท่ี เกิดข้ึนมา ก็ประกอบพรอมดวยปญญาอันเปนความรู. คาํ วา สติท่ีเปนเหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ความวา สติพอเกิดขึ้นมาก็ยังไมอาจรูไดทันที คือ ยังไมประกอบพรอม ดวยปญญา แตพอไดทาํ กิจเกี่ยวกับการศึกษาในการงานน้ัน ๆ ตามท่ีผูอื่นไดทาํ ไวเปนตัวอยาง หรือตามท่ีอาจารยสอน ก็เปน เหตุใหเกิดปญญาไดในภายหลัง คือเปนธรรมชาติท่ีประกอบ พรอมดวยปญญาในภายหลัง. คําวา ถาหากสตทิ เ่ี ปนเหตใุ หร ูภ ายหลงั ทาํ ไปแลว ไม มีไซร ฯลฯ พวกอาจารยทง้ั หลาย กย็ อ มเปน คนไรป ระโยชน ความวา ถาหากสติที่เปนเหตุใหรูภายหลังทําไปแลว ไมมีไซร เม่ือเปนเชนนี้ กิจเกี่ยวกับการศึกษาในงานศิลปะท้ังหลายก็ ยอมไมมี คือไมอาจปรารภได เพราะการจะทํากิจเหลาน้ันได จําตองอาศัยความเปนผูมีสติ แตในเวลาน้ันไมอาจทําสติให เกิดได เพราะสติลวนแตวาจะตองเกิดรวมกับปญญา ซ่ึงใน เวลานั้นยังไมใชโอกาสของปญญา เพราะยังศึกษาอยู ยังไมจบ การศึกษา และเพราะเหตุน้ันน่ันแหละ อาจารยทั้งหลายก็ยอม เปนผูไรประโยชน กลาวคือ ไมอาจสอนใหผูอื่นทาํ กิจเก่ียวกับ การศึกษาได เพราะสติของคนเหลานั้นไมเกิด. ก็แตวา ตามความเปนจริง พวกศึกษางานศิลปะ ทั้งหลายแมยังไมมีปญญา ยังไมมีความรอบรูในงานศิลปะ

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๗๕ นั้น ๆ ก็ยอมทาํ กิจเก่ียวกับการศึกษาของตนได ซ่ึงเปนเคร่ือง แสดงวาสามารถทําสติใหเกิดได เพราะเหตุนั้น สติท่ีไมประกอบ พรอมดวยปญญา อันเปนสติที่เปนเหตุใหเกิดปญญาในภายหลัง ท่ีไดทํากิจเก่ียวกับการศึกษาสมบูรณแลว ก็มีอยู เพราะเหตุนั้น น่ันแหละ ประโยชนดวยอาจารยทั้งหลาย ยอมมี เพราะเหตุท่ี ความจริงเปนอยางน้ี พระเถระจึงกลาวถวายวิสัชชนาวา “ขอ ถวายพระพร แตเพราะเหตุท่ีสติท่ีเปนเหตุใหรูภายหลัง ทาํ ไปแลว ก็มีอยู” ดังนี้เปนตน. จบคําอธิบายปญ หาที่ ๑๑ จบสตวิ รรคท่ี ๖ ในวรรคนี้ มี ๑๑ ปญหา

๒๗๖ วรรคที่ ๗, อรูปววตั ถานวรรค วรรคที่ ๗, อรปู ววตั ถานวรรค ปญหาท่ี ๑, สตอิ ุปปชชนปญหา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน สติยอม เกดิ ขน้ึ โดยอาการเทาไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติยอมเกิด ขึ้นโดยอาการ ๑๗” พระเจามิลินท: “สติยอมเกิดขึ้นโดยอาการ ๑๗ อะไร บาง?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติยอมเกิด ข้นึ แมเ พราะเปนคนคงแกเ รียน, สตยิ อ มเกิดขนึ้ แมเ พราะเปน คน ทีผ่ อู ืน่ กระตนุ เตือนใหรสู ง่ิ ทไ่ี ดท ําไปแลว, สตยิ อ มเกิดขึน้ แมเ พราะ วิญญาณหยาบ, สติยอมเกิดขึ้น แมเพราะวิญญาณที่เก้ือกูล, สตยิ อมเกิดข้นึ แมเพราะวิญญาณทไ่ี มเกอื้ กลู , สติยอมเกดิ ขึ้น แมเ พราะนมิ ติ ทีม่ สี วนเหมือนกัน, สติยอ มเกดิ ขึ้น แมเ พราะนมิ ิต ทีม่ สี วนผดิ กนั , สตยิ อ มเกดิ ขนึ้ แมเ พราะการเขา ใจคาํ พดู , สติ ยอมเกิดขน้ึ แมเ พราะลกั ษณะ, สตยิ อมเกดิ ข้ึน แมเ พราะการถูก ผูอน่ื บอกใหร ะลึก, สตยิ อ มเกดิ ขึ้น แมเ พราะมีวิธบี นั ทกึ , สตยิ อม เกิดขึน้ แมเ พราะมวี ธิ ีนับ, สตยิ อ มเกิดขึน้ แมเ พราะมวี ธิ ที รงจาํ , สตยิ อมเกดิ ขนึ้ แมเ พราะภาวนา, สตยิ อมเกิดขน้ึ แมเพราะคํา นพิ นธใ นคัมภรี , สติยอ มเกิดขึ้น แมเพราะการเกบ็ ไว, สตยิ อม เกิดขน้ึ แมเ พราะเปน อารมณท ่ีเคยเสวย ฉะนแ้ี ล.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook