มิลินทปญ หากณั ฑ ๒๒๗ รองรับไวฉันใด, แมนํา้ ที่รองรับแผนดินน้ัน ก็เปนน้ําท่ีลมรองรับไว ฉันนน้ั ” พระเจามิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบปฐวสิ ันธารกปญหาท่ี ๗ คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๗ : ปญหาที่มีการพูดถึงนํ้ารองรับแผนดิน ช่ือวา ปฐวิสัน- ธารกปญหา. จบคําอธิบายปญหาที่ ๗ ปญ หาท่ี ๘, นิโรธนิพพานปญหา พระราชารบั สงั่ ถามวา : “พระคณุ เจานาคเสน นิโรธชอ่ื วา นพิ พานหรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ถกู ตอ ง นโิ รธ ชื่อวานพิ พาน” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน นโิ รธช่ือวานิพพาน อยา งไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ปถุ ุชนคนพาลทง้ั หลาย ทงั้ ปวง ยอมเพลดิ เพลนิ ยอมชืน่ ชม ยอ มยดึ ติดอายตนะภายใน และอายตนะภายนอกทั้งหลาย. ปุถุชนคนพาลเหลานั้นจึงถูก กระแส (ตณั หา) น้ัน พดั พาไป, จงึ ไมพ นจากความเกดิ จากความ แก จากความตาย จากความเศราโศก จากความร่ําไหรําพัน จาก
๒๒๘ วรรคที่ ๔, นิพพานวรรค ความทุกขกาย จากความทกุ ขใ จ จากความคับแคน ใจ อาตมภาพ กลาววา ยอมไมพนจากทุกข. ขอถวายพระพร พระอรยิ สาวกผมู ี ธรรมอันไดสดับแลว ยอมไมเพลิดเพลิน ไมช่ืนชม ยอมไมยึดติด อายตนะภายในและอายตนะภายนอกท้ังหลาย. เม่ือพระอริย- สาวกนั้นไมเพลิดเพลิน ไมชื่นชม ไมยึดติดอายตนะภายในและ อายตนะภายนอกทั้งหลายน้ัน ตัณหาก็ยอมดับไป, เพราะตัณหา ดับไป อุปาทานจึงดับไป, เพราะอุปาทานดับไป ภพจึงดับไป, เพราะภพดับไป ความเกิดจึงดับไป, เพราะความเกิดดับไป ความ แก ความตาย ความเศราโศก ความรํ่าไหรําพัน ความทุกขกาย ความทุกขใจ ความคับแคนใจ จึงดับไป, นิโรธ (ความดับ) แหง กองทุกขท้ังสิ้นนี้ยอมมีไดโดยประการดังกลาวมานี้. ขอถวาย พระพร นิโรธ ช่อื วานิพพาน อยางที่กลา วมาน้ี.” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนิโรธนพิ พานปญหาท่ี ๘ คาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๘: ปญหาที่มีการถามถึงนิโรธและนิพพาน ช่ือวา นิโรธ- นพิ พานปญ หา. คาํ วา พระคุณเจานาคเสน นโิ รธช่ือวานิพพานอยา งไร มีความหมายวา “พระคุณเจานาคเสน นิโรธ (ความดับ) ของใคร, เรียกนิโรธของผูน้ันวานิพพานไดไฉน?”
มลิ ินทปญ หากณั ฑ ๒๒๙ บทวา สุตวา - ผูมีธรรมอันไดสดับแลว คือพระอริย- สาวกผูมีสุตะ ดวยสุตะคือพระอริยมรรค. จริงอยู บุคคลแทง ตลอดธรรมใด ธรรมน้ันช่ือวาสุตะ แปลวา ธรรมอันตนไดสดับดี แลว . พระอรยิ มรรคมีองค ๘ เปน ธรรมทีพ่ ระอรยิ สาวกแทงตลอด แลว เพราะเหตนุ น้ั จงึ ไดช ่ือวา สุตะ - ธรรมอนั ไดสดับแลว และพระ อริยบุคคลทัง้ หลาย กช็ ่อื วา สตุ วา - ผมู ีธรรมอนั ไดส ดบั แลว . คาํ วา ไมเพลิดเพลิน ไมช่ืนชม ไมยึดติด คือ ไมเพลิดเพลินวา “ดี” , ไมชื่นชมวา “ดี”, ไมยึดติดวา “ดี”, ดวยอํานาจแหงปญญาท่ีเห็นแลววาไมงาม ไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนตั ตา. ดว ยคาํ วา ตณหฺ านโิ รธา-เพราะตัณหาดบั ไป, อปุ า- ทานนโิ รธา-เพราะอุปาทานดับไป, ภวนโิ รธา-เพราะภพดับ ไป, ชาตนิ ิโรธา-เพราะชาติดับไป ดังนี้ อันเปนคําที่กลา วถงึ ความดับไปแหงเหตุ ทานแสดงความดับไปแหงสมุทัยสัจอันเปน สัจจะที่มรรคจะพึงละใหหมดไป. สวน ดวยคําวา อุปาทาน- นิโรโธ-อุปาทานจึงดับไป, ภวนิโรโธ-ภพจึงดับไป, ชาติ- นิโรโธ-ความเกิดจึงดับไป, ชรามรณ ฯ เป ฯ อุปายาสา นิรุชฌนฺติ-ความแก ความตาย ฯลฯ ความคับแคนใจจึงดับ ไป อันเปนคาํ กลาวถึงความดับไปแหงผล ทานแสดงความ ดับไปแหงทุกขสัจจะอันเปนสัจจะที่มรรคจะพึงกาํ หนดรู. ความ ดับไปแหง เหตุ ชอื่ วา นิโรธ เพราะคาํ วา “นิโรธ” ตรสั หมายเอา ความดับไปเพราะถูกละจนสิ้นไปแหงเหตุกลาวคือสมุทัย. ความ
๒๓๐ วรรคท่ี ๔, นิพพานวรรค ดับไปแหงผลช่ือวา นิพพาน เพราะคําวา “นิพพาน” ตรัส หมายเอาความดับไป คือความเกิดข้ึนอีกตอไปไมไดแหงผล กลา วคอื ทุกข. ก็แล ผล จะถึงความดับไปไมเกิดอีกเพราะมี ความดับแหงเหตุ เพราะฉะน้ัน นิโรธ จึงเปนอันเดียวกันกับ นิพพาน ฉะนแี้ ล. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๘ ปญ หาท่ี ๙, นิพพานลภนปญ หา พระราชารับส่ังถามวา: “พระคุณเจานาคเสน บุคคลยอม ไดพระนิพพานกันทกุ คนหรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุคคลจะ ไดพระนิพพานกันทุกคนหามิได ขอถวายพระพร ก็แตวา ผูใดแล เปนผูปฏิบัติชอบ รูยิ่งซ่ึงอภิญเญยยธรรม, กําหนดรูปริญเญยย- ธรรม, ละปหาตัพพธรรม, เจริญภาเวตัพพธรรม, กระทําใหแจง ซ่ึงสัจฉิกาตพั พธรรม ผนู น้ั ยอ มไดพ ระนพิ พาน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว .” จบนพิ พานลภนปญหาท่ี ๙ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๙: ปญหาท่ีมกี ารถามถงึ การไดพระนิพพาน ชื่อวา นพิ พาน- ลภนปญหา.
มิลินทปญหากัณฑ ๒๓๑ คําวา อภิญเญยยธรรม แปลวา ธรรมท่ีควรรูยิ่ง. ความวา รูยิ่งซ่ึงธรรมท่ีควรรูยิ่ง โดยเก่ียวกับเปนความหย่ัง รูลักษณะเฉพาะตนของธรรมน้ัน ๆ อยางนี้วา “ธรรมชาติท่ีมี ลักษณะแข็งกระดาง คือธาตุดิน, ธรรมชาติที่มีลักษณะเกาะกุม คือธาตุน้ํา ฯลฯ ธรรมชาติท่ีมีลักษณะกระทบอารมณ คือผัสสะ, ธรรมชาตทิ ีม่ ลี ักษณะเสวยอารมณ คือเวทนา” ดังน้ีเปน ตน . คาํ วา ปริญเญยยธรรม แปลวา ธรรมที่ควรกาํ หนดรู ความวา กาํ หนดรู คือกําหนดถอื เอาดวยสติ แลวรลู ักษณะสามัญ แหงธรรมน้ัน ๆ ดวยอาํ นาจแหง วิปส สนาปญ ญา อยางนี้วา “ไม เทยี่ ง, เปน ทกุ ข, เปน อนตั ตา” ดังน้ี. คําวา ปหาตัพพธรรม แปลวา ธรรมที่ควรละ. ความวา ละธรรมท่ีควรละ คอื ราคะ โทสะ โมหะ โดยเกย่ี วกบั ทําใหสยบไป ดวยอาํ นาจแหงญาณท่ีตามเห็นแตความดับไป ความปราศไป ความสนิ้ ไปแหงธรรมทั้งหลาย อยเู นอื ง ๆ. คําวา ภาเวตัพพธรรม แปลวา ธรรมที่ควรเจริญ. ความวา ยอมเจริญธรรมที่ควรเจริญ คือกุศลธรรมอันเปน ฝกฝายแหงการตรัสรู อันไดแกสมถะ และวิปสสนา. คาํ วา สัจฉิกาตัพพธรรม แปลวา ธรรมท่ีควรกระทํา ใหแจง. ความวา ยอมกระทําใหแจงซึ่งธรรมที่ควรกระทําใหแจง คอื พระนพิ พาน. อีกนัยหนึ่ง อริยสัจ ๔ ช่ือวา อภิญเญยยธรรม เพราะ เปนธรรมที่ควรรูยิ่ง คือควรรูดวยปญญาอันยิ่งกวาปญญาปกติ
๒๓๒ วรรคที่ ๔, นิพพานวรรค ธรรมดา คอื วปิ สสนาปญ ญา และมัคคปญ ญา. ทุกขอริยสัจ คืออปุ าทานขันธ ๕ ชือ่ วา ปรญิ เญยยธรรม เพราะเปนธรรมท่ีควรกาํ หนดรูดวยสติและปญญา โดยเกี่ยว กับเปนความหย่ังรูลักษณะเฉพาะตนของธรรมน้ัน ๆ อยางนี้ วา “ธรรมชาติที่มีลักษณะแข็งกระดางคือธาตุดิน, ธรรมชาติ ที่มีลักษณะกระทบอารมณคือผัสสะ” ดังนี้ เปนตน, และโดย เกี่ยวกับเปนความหย่ังรูลักษณะสามัญอยางน้ีวา “ไมเท่ียง, เปนทุกข, เปนอนัตตา”. ทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหา ช่ือวา ปหาตัพพธรรม เพราะเปนธรรมที่ควรละใหหมดไป. ทุกขนิโรธอริยสัจ คือพระนิพพาน ช่ือวา สัจฉิกาตัพพ- ธรรม เพราะเปนธรรมที่ควรทาํ ใหแจง คือควรกระทาํ ใหเปน อารมณประจักษ เหมือนอยางมองดูผลมะขามปอมบนฝามือ ฉะนน้ั . ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือพระอริยมรรคอัน มีองค ๘ ช่ือวา ภาเวตัพพธรรม เพราะเปนธรรมที่ควรเจริญ คือควรทาํ ใหเกิดข้ึน และเพิ่มพูน ฉะน้แี ล. คําวา ผูน้ันยอมไดพระนิพพาน คือผูนั้นยอมได คือ ยอมบรรลุพระนิพพานอันเปนธรรมที่ดับทุกขมีความเกิดเปนตน หมายความวา ผูน้ันยอมพนจากความเกิดเปนตน. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๙
มลิ ินทปญ หากัณฑ ๒๓๓ ปญหาที่ ๑๐, นิพพานสุขชานนปญหา พระราชารบั ส่ังถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน ผูทไี่ มไ ดพระ นพิ พานจะรหู รือไมว า พระนพิ พานเปน สขุ ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร ใช ผทู ไี่ มได พระนิพพานก็รวู า พระนิพพานเปน สุขได” พระเจา มลิ นิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน เมอื่ ไมไดแ ลวจะรวู า พระนพิ พานเปน สขุ ไดอยางไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสําคัญ ความขอนั้นอยางไร, คนพวกทไ่ี มเคยถูกตัดมอื ตัดเทา มากอ นอาจ ทราบหรือไมว า การถกู ตดั มอื หรือเทาเปน ทุกข?” พระเจามิลนิ ท: “ใช อาจทราบได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “อาจทราบไดอ ยางไร?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา เขาไดยินเสียงรองครวญ ครางของคนอ่ืนท่ีถูกตัดมือหรือเทาแลว ก็ยอมรูวา การถูกตัด มือหรือเทา เปนทุกข” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน คนท้ังหลายไดสดับเสียง (สรรเสริญ) ของทาน ผูที่เห็นพระนิพพานแลว ก็ยอมรูวาพระนิพพานเปนสุข” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนพิ พานสขุ ชานนปญ หาท่ี ๑๐
๒๓๔ วรรคที่ ๔, นพิ พานวรรค คาํ อธบิ ายปญหาที่ ๑๐: ปญหาท่ีมีการถามถึงความรูวา พระนิพพานเปนสุข ช่ือ วา นิพพานสุขชานนปญหา. คําวา อปุ มาฉนั ใด อุปมัยกฉ็ นั น้ันเหมอื นกัน ความวา คนท่ีไมเคยถูกตัดมือหรือเทามากอน ไดยินเสียงรองครวญคราง ของคนท่ีถูกตัดมือหรือเทาแลว ก็ยอ มรวู า การถูกตัดมือหรือเทา เปนทุกข ฉันใด, คนท่ีไมเคยกระทาํ พระนิพพานใหแจงมากอน ไดสดับเสียงสรรเสริญคุณของพระนิพพาน อยางน้ีวา “เปนธรรม ท่ีดับทุกข, เปนธรรมท่ีสงบจากทุกข, เปนธรรมท่ีดับไฟมีราคะ เปนตน” ดังนี้แลว ก็ยอมทราบวา พระนิพพานเปนสุข ฉันน้ัน เหมือนกัน. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๑๐ จบนพิ พานวรรคที่ ๔ ในวรรคนี้มี ๑๐ ปญหา
มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๒๓๕ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค ปญหาที่ ๑, พทุ ธัสสะ อัตถินัตถภิ าวปญ หา พระราชารบั สง่ั ถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน ทานเคยเหน็ พระพุทธเจา หรอื ?” พระนาคเสน: “อาตมภาพไมเ คยเห็นหรอก มหาบพติ ร” พระเจามิลินท: “ถาอยางนั้น อาจารยท้ังหลายของทาน เคยเหน็ พระพทุ ธเจาหรอื ไร?” พระนาคเสน: “อาจารยทั้งหลายของอาตมภาพก็ไมเคย เห็นหรอก มหาบพิตร” พระเจามิลินท: “ถาอยางน้ันนะ พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจาก็ไมมีจริง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคเคยทรงทอด พระเนตรเห็นแมนํา้ อูหานที ที่ภูเขาหิมพานตหรือ?” พระเจา มลิ นิ ท: “ไมเ คยเห็นหรอก พระคณุ เจา ” พระนาคเสน: “ถาอยางน้ัน พระชนกของพระองค เคย ทรงทอดพระเนตรเห็นแมน้ําอูหานทีหรือ?” พระเจามิลินท: “ก็ไมเคยทรงทอดพระเนตรเห็นหรอก พระคณุ เจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถา อยา งนน้ั แมน าํ้ อหู านที ก็ไมมีจริง” พระเจา มิลินท: “มจี ริง พระคณุ เจา นาคเสน ขา พเจาไมเ คย เห็นแมนา้ํ อูหานที, แมบิดาของขาพเจาไมเคยเห็นแมน้าํ อูหานที
๒๓๖ วรรคที่ ๕, พุทธวรรค กจ็ ริงอยู, ถงึ กระนั้น แมนาํ้ อูหานที กม็ จี ริง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน อาตมภาพไมเคยเห็นพระผูมีพระภาค, แม อาจารยท้ังหลายของอาตมภาพก็ไมเคยเห็นพระผูมีพระภาค ก็ จริงอยู ถึงกระน้ัน พระผูมีพระภาค ก็มีจริง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบพทุ ธสั สะ อัตถนิ ัตถิภาวปญหาท่ี ๑ คําอธิบายปญหาที่ ๑: ในพุทธวรรคน้ีมี ๑๐ ปญหา. ปญหาท่ีมีการถามถึงความมีหรือไมมีแหงพระพุทธเจา ช่ือวา พุทธัสสะ อัตถนิ ตั ถภิ าวปญ หา. คาํ วา แมนาํ้ อูหานที ไดแกแมนํ้าที่ไหลแยกออกจาก สระอโนดาตบนภูเขาหิมพานต ซ่ึงไดช่ือวา “อูหา” เพราะไหลไป ก็สงเสียงดัง วา “อูหา, อูหา”. ความจริงก็เปนช่ือของแมนํา้ คงคา ที่ไหลมาจากสระอโนดาต ตรงสวนท่ีเปนวังนํา้ วนนั่นเอง. จบคําอธบิ ายปญ หาท่ี ๑ ปญหาท่ี ๒, พุทธัสสะ อนุตตรภาวปญ หา. พระราชารบั สัง่ ถามวา: “พระคุณเจา นาคเสน พระพทุ ธเจา ทรงเปนบุคคลผูท่ีหาใครยิ่งกวามิไดจริงหรือ?”
มิลินทปญหากัณฑ ๒๓๗ พระนาคเสน: “ถูกตอง มหาบพิตร พระผูมีพระภาคทรง เปนบุคคลผูท่ีหาใครยิ่งกวามิไดจริง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานก็ไมเคยเห็น พระพุทธเจา ทานจะทราบไดอยางไรวา พระพุทธเจาทรงเปน บุคคลผูหาใครย่ิงกวามิได?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสาํ คัญ ความขอนั้นอยางไร พวกคนท่ีไมเคยเห็นมหาสมุทร จะทราบได หรือไมวา มหาสมุทรกวางใหญ ลึก หาประมาณมิได หยั่งถึงได ยาก เปนท่ีแมนํา้ ใหญ ๕ สายเหลาน้ี ไหลมาบรรจบเปนประจาํ สมา่ํ เสมอ คือแมน้าํ คงคา แมนํ้ายมุนา แมน้ําอจิรวดี แมนํ้าสรภู แมนา้ํ มหี, มหาสมุทรน้ัน ไมปรากฏวาพรองไปหรือเต็มลนฝง เลย?” พระเจามิลินท: “ใช, ทราบได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน อาตมภาพไดพบเห็นพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ผูดับรอบแลว ก็ทราบวา พระผูมีพระภาคทรงเปนบุคคลท่ีหา ใครย่ิงกวามิได” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบพทุ ธสั สะ อนตุ ตรภาวปญ หาท่ี ๒
๒๓๘ วรรคท่ี ๕, พุทธวรรค คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๒: ปญหาเก่ียวกับความเปนผูท่ีหาใครย่ิงกวามิไดแหง พระพุทธเจา ช่ือวา พุทธัสสะ อนุตตรภาวปญหา คําวา อนุตฺตโร - ผูที่หาใครย่ิงกวามิได คือ ผูที่หาใคร ยิ่งกวาคือวิเศษกวาดวยคุณทั้งหลายมิได. คาํ วา อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน ความวา เปรียบเหมือนวา ผูที่ไมเคยเห็นมหาสมุทร คือไมเคยไปในมหา- สมุทร เห็นแมนาํ้ ใหญ ๕ สายที่ไหลไปบรรจบกันท่ีมหาสมุทร เหลาน้ีแลว ก็ยอมทราบวามหาสมุทรกวางใหญ ฉันใด, อาตม- ภาพไดพบเห็นพระสาวกผูยิ่งใหญที่เปนภิกษุ เปนภิกษุณี เปน กษัตริย เปนพราหมณ เปนคฤหบดี ผูอยูประพฤติพรหมจรรย ในธรรมวินัยของพระผูมีพระภาค ผูมีกิเลสทั้งหลายดับรอบเหลา นี้แลว ก็ยอมทราบวา พระผูมีพระภาคทรงเปนนายสารถีฝกบุรุษ ผูที่อาจฝกได หาใครย่ิงกวามิไดฉันน้ันเหมือนกัน. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, พุทธัสสะ อนตุ ตรภาวชานนปญ หา พระราชารับส่ังถามวา: “พระคุณเจานาคเสน เราอาจ ทราบไดหรือไมวา พระพุทธเจาทรงเปนบุคคลผูที่หาใครยิ่งกวา มิได?” พระนาคเสน: “ใช ขอถวายพระพร เราอาจทราบไดวา พระผูมีพระภาคทรงเปนบุคคลผูที่หาใครยิ่งกวามิได”
มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๒๓๙ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เราอาจทราบได อยางไร วาพระพุทธเจาทรงเปนบุคคลผูท่ีหาใครย่ิงกวามิได?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร กอนหนาน้ี ก็เคยมี พระอาจารยนักเขียนชื่อวา พระติสสเถระ, เมื่อทานมรณภาพ ลวงไปแลวหลายป คนท้ังหลายยังรูจักทานไดอยางไร?” พระเจามิลินท: “คนทั้งหลายยังรูจักทาน โดยงานเขียน” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน ผูใดเห็นพระธรรม, ผูน้ันยอมเห็นพระผูมี พระภาค, เพราะวาพระธรรม พระผูมีพระภาคทรงแสดงไว” พระเจามิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบพทุ ธสั สะ อนตุ ตรภาวชานนปญ หาที่ ๓ คําอธิบายปญ หาท่ี ๓: ปญหาเก่ียวกับการรูถึงความเปนผูท่ีหาใครย่ิงกวามิได แหงพระพุทธเจา ช่ือวา พุทธัสสะ อนุตตรภาวชานนปญหา คําวา อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันน้ัน ความวา เปรียบ เหมือนวา คนทั้งหลายรูจักทานพระติสสเถระผูเปนอาจารย นักเขียน ซ่ึงมรณภาพไปหลายปแลว โดยงานเขียน คือโดยการ พบเห็นงานเขียนของทาน ฉันใด, พวกเราก็ยอมเห็น คือยอม รูจักพระผูมีพระภาคโดยพระธรรม คือโดยการเห็นธรรมท่ีพระ- ผูมีพระภาคน้ัน ทรงแสดงไว ฉันน้ัน. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๓
๒๔๐ วรรคที่ ๕, พุทธวรรค ปญ หาท่ี ๔, ธัมมทฏิ ฐปญ หา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน ทานไดเห็น พระธรรมแลว หรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พวกสาวก ควรประพฤติธรรมตลอดชีวิต เพราะเปนส่ิงท่ีพระพุทธเจาทรง แนะนาํ ไว เพราะเปนส่ิงที่พระพุทธเจาทรงบัญญัติไว” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบธมั มทิฏฐปญ หาท่ี ๔ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๔: ปญหาเก่ียวกับธรรมท่ีไดเห็นแลว ช่ือวา ธัมมทิฏฐ- ปญหา คาํ วา เพราะเปนสิ่งท่ีพระพุทธเจาทรงแนะนาํ ไว เปนตน คือเพราะเปนส่ิงท่ีพระพุทธเจาผูมีพระปญญาจักษุ แมทุกพระองค ทรงแนะนําไว คือทรงแสดงไว และทรงบัญญัติ ไว. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๔ ปญหาท่ี ๕, อสังกมนปฏสิ นั ทหนปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน จิตไม เคลื่อนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวยหรือ?”
มิลนิ ทปญ หากณั ฑ ๒๔๑ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกตองแลว จิตไมเคลื่อนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวย” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน จิตไมเคล่ือนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวย อยางไร ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุรุษบางคน พึงจุดไฟตะเกียง (ใหม) ข้ึนจากไฟตะเกียง (เกา), ไฟตะเกียง (ใหม) เปนไฟท่ีเคล่ือนจากตะเกียง (เกา) ไปหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน จิตไมเคล่ือนไปดวย ก็ปฏิสนธิได” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาย่ิงอีกหนอยเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เม่ือคร้ังท่ีพระองคยังทรง เปนพระราชกุมาร พระองคยังทรงจําไดหรือไม วา ทรงไดรับ เกียรติคุณบางอยางในสํานักของอาจารยผูมีเกียรติคุณ?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา ขาพเจายังจําได” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เกียรตคิ ณุ ท่พี ระองคทรง ไดรับน้ัน เคล่ือนไปจากตัวพระอาจารยหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน จิตไมเคลื่อนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวย” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทานตอบสมควรแลว” จบอสังกมนปฏิสนั ทหนปญหาท่ี ๕
๒๔๒ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค คาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๕: ปญหาวาดวยการไมเคล่ือนไปก็ปฏิสนธิได ชื่อวา อสัง- กมนปฏสิ ันทหนปญ หา. คําวา จิตไมเคล่ือนไปดวย ก็ปฏิสนธิไดดวยหรือ ความวา พระราชารับสั่งถามวา จิตปฏิสนธิ (เกิด) ในภพใหมได โดยที่ไมมีการเคลื่อนไปจากภพกอนหรือ. ในคําน้ัน จิตดวงกอนหนาอันเปนจิตดวงสุดทายของภพ กอน ช่ือวาจุติ (เคล่ือน), จิตดวงหลังอันเปนจิตดวงแรกของภพน้ี ชื่อวา ปฏิสนธิ. จิตดวงกอนหนา ทําหนาท่ีจุติคือเคลื่อนจากภพ แลวก็แตกดับไปในขณะน้ันนั่นแหละ หาเคล่ือนไปในภพถัดไปได ไม เพราะฉะนั้น จึงกลาวไดวา ไมมีจิตอะไร ๆ เคล่ือนจากภพเกา สูภพน้ี. ก็ท่ีไดช่ือวา จุติจิต แปลวา จิตเคล่ือนก็เพราะวามีกิจหรือ หนาท่ีที่เปนเหมือนการเคลื่อนจากภพเทานั้น โดยเก่ียวกับวา พอ ดับไปก็เปนเหตุใหมีภพใหม, ไมใชเคล่ือนไปไดจริง ๆ. อนึ่ง พอ จิตดวงกอนน้ีดับไปแลว จิตดวงหลังก็เกิดขึ้นทาํ หนาท่ีปฏิสนธิ คือทาํ หนาท่ีเหมือนกับวาเชื่อมภพใหมเขากับภพเกา ทําใหมีภพ ใหมตอไปอีก เม่ือเปนอยางน้ีก็กลาวไดวา จิตดวงนี้ไมใชจิตที่ เคลื่อนมาจากภพกอน. ก็เปนอันวาจิตดวงกอนกับจิตดวงหลัง เปนจิตคนละดวงกัน ไมปะปนกัน แตวาเปนไปเก่ียวของกันโดย เหตุและผลกันตามประการดังกลาวมาน้ี ฉะน้ี แล. จบคําอธิบายปญหาที่ ๕
มิลินทปญหากัณฑ ๒๔๓ ปญหาท่ี ๖, เวทคปู ญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน เวทคูมีอยู จรงิ หรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร วาโดย ปรมัตถ เวทคหู ามีอยูจ ริงไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบเวทคูปญหาที่ ๖ คําอธบิ ายปญหาที่ ๖: ปญหาที่มีการถามถึงเวทคู คือตัวอัตตาชีวะภายใน หรือ บุคคลซ่ึงเปนผูคอยรูอารมณทางทวารทั้ง ๖ ช่ือวา เวทคูปญหา. คาํ วา โดยปรมัตถ คือ วาตามความจริงโดยปรมัตถอัน เพิกแลวจากสัตวบุคคล. ความวา วาตามความจริงโดยปรมัตถ อัตตาชีวะ หรือบุคคล ไมมีอยูจริงหรอก. ปญ หาท่ี ๗, อญั ญกายสังกมนปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน สัตวอะไร ๆ ผูเคลื่อนจากกายนี้ไปสูกายอ่ืนมีอยูหรือ?” พระนาคเสน: “ไมมีหรอก ขอถวายพระพร” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ถาหากวาสัตวผู เคลื่อนจากกายน้ีสูกายอื่นไมมีไซร, ก็จักเปนผูพนจากกรรมช่ัว ท้ังหลายได มิใชหรือ?”
๒๔๔ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค พระนาคเสน: “ใชแลว ขอถวายพระพร ถาหากวาเขาไม ปฏิสนธิ เขาก็จักเปนผูพนจากกรรมชั่วทั้งหลายได, ขอถวาย พระพร แตเพราะเหตุท่ีเขายังปฏิสนธิ, เพราะฉะน้ันก็หาเปนผู พนจากกรรมช่ัวท้ังหลายไดไม” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษ บางคนขโมยมะมวงของบุรุษอีกคนหนึ่งไป, บุรุษผูน้ันจะตองเปน ผตู องโทษมใิ ชหรือ?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา เขาจะตองเปนผูรับโทษ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร บุรุษผูนั้นมิไดขโมย มะมวงที่บุรุษผูเปนเจาของน้ันปลูกไว, เพราะเหตุไรเขาจึงตอง เปนผูตองโทษเลา?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา มะมวง (ที่ถูกขโมย) เหลา น้ัน, อาศัยมะมวง (ท่ีบุรุษผูเปนเจาของปลูกไว) เหลาน้ันจึงเกิด ได, เพราะฉะน้ัน เขาตองเปนผูตองโทษ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลทํากรรมดีบาง ช่ัวบาง ดวยนามรูปนี้, นามรูปอ่ืนจึงปฏิสนธิเพราะกรรมน้ัน, เพราะฉะนั้น จึงหาเปน ผูพนจากกรรมช่ัวทั้งหลายไดไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบอัญญกายสงั กมนปญ หาที่ ๗
มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๒๔๕ คําอธิบายปญหาท่ี ๗: ปญหาที่มีการถามถึงการเคล่ือนจากกายน้ีสูกายอื่น ชื่อวา อัญญกายสังกมนปญหา. คําวา กายน้ี ไดแกกายคือนามรูปนี้ ในภพปจจุบันน้ี, คําวา กายอื่น ไดแกกายคือนามรูปอ่ืน ในภพอื่น. ในอุปมาและอุปมัย มีนัยเปรียบเทียบกันดังตอไปน้ี: มะมวงท่ีถูกขโมย อาศัยมะมวงท่ีผูเปนเจาของปลูกไว จึงเกิดได เพราะฉะนั้น บุรุษผูขโมยมะมวงอ่ืนจากมะมวงที่ เจาของปลูกไวนั้น จึงไมอาจพนจากความเปนผูตองโทษ ฉันใด, นามรูปอ่ืน อาศยั กรรมดีหรอื ช่ัวทไ่ี ดทาํ ไวดวยนามรูปนี้ จงึ ปฏสิ นธิ ได เพราะฉะน้ัน สัตวผูที่ทํากรรมชั่วไวนั้น แมเปนไปเนื่องกับ นามรปู อื่นจากนามรปู นแี้ ลว ก็ไมช่ือวาพน จากกรรมช่วั น้นั ฉนั นนั้ . คาํ ที่เหลือก็พึงทราบตามนัยท่ีไดกลาวแลวในปญหา กอน ๆ เถิด. จบคําอธิบายปญหาท่ี ๗ ปญหาที่ ๘, กมั มผลอตั ถิภาวปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน กุศลกรรม ก็ตาม อกุศลกรรมก็ตาม ท่ีสัตวไดทาํ ไวดวยนามรูปน้ี, กรรม เหลาน้ันตั้งอยูท่ีไหน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร กรรมเหลา นั้นพึงตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป ฉะนั้น”
๒๔๖ วรรคที่ ๕, พุทธวรรค พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานอาจแสดง กรรมเหลานั้นไดหรือไม วา กรรมเหลาน้ันต้ังอยูท่ีตรงนี้ หรือวา ท่ีตรงน้ี?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ใคร ๆ ไมอาจแสดงกรรม เหลาน้ันไดวา กรรมเหลาน้ันต้ังอยูที่ตรงน้ี หรือวาที่ตรงนี้” พระเจามลิ นิ ท: “ขอทา นจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสาํ คัญ ความขอนั้นอยางไร, ตนไมที่ยังไมมีผลบังเกิด, พระองคทรง สามารถแสดงผลไมเหลาน้ันไดหรือไมวา ผลเหลานั้นจะต้ังอยู (จะบงั เกดิ ) ท่ีตรงน้ี หรือวา ทต่ี รงน?้ี ” พระราชา: “ไมสามารถแสดงไดหรอก พระคุณเจา” พระนาคเสน: “อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันน้ันเหมือนกัน เมื่อ ความสืบตอ (แหงนามรูป) ยังไมขาดสาย ใคร ๆ ก็ไมอาจแสดง กรรมเหลาน้ันไดวา กรรมเหลานั้นต้ังอยูที่ตรงน้ี หรือวาท่ีตรงนี้” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบกมั มผลอตั ถภิ าวปญหาที่ ๘ คาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๘: ปญหาเก่ียวกับภาวะท่ีกรรมมีผล ช่ือวา กัมมผลอัตถิ- ภาวปญ หา.
มิลนิ ทปญหากัณฑ ๒๔๗ คาํ วา กรรมเหลานน้ั พึงตามตดิ พันไปเหมอื นเงาท่ีติด ตามตัวไปฉะน้ัน ดังน้ี เปนการณโวหาร (คําพูดถึงเหตุคือกรรม) พงึ ทราบความหมายอยา งนี้ วา นามรปู อันเปน ผลของกรรมนนั้ พึง ตามติดพันไปเหมือนเงาที่ติดตามตัวไป, เปนคาํ ที่ทานกลาวไว เสมอเหมือนกันท้ังกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม หรือเปนสาธารณะ. แตใ นธรรมบท ตรสั ไวสาํ หรบั อกศุ ลกรรม วา “ตโต นํ ทกุ ขฺ มเนวฺ ติ จกฺกํว วหโต ปทํ๑ - เพราะทุจริต ๓ อยางนั้น ทุกขจึงติดตาม เขาไปเหมือนอยางลอเกวียนท่ีหมุนติดตามรอยเทาโค (ผูลาก เกวียน) ไปฉะน้ัน”. ตรัสไวสําหรับกุศลกรรมวา “ตโต นํ สุขมนฺเวติ ฉายาว อนุปายินี๒ - เพราะสุจริต ๓ อยางนั้น สุขจึงติดตามเขาไปเหมือนอยางเงาท่ีติดตามตัวไปฉะนั้น”. ใน พระดํารัสนี้ มีความหมายวา เพราะทุจริต ๓ อยางอันเปน อกุศลกรรมที่เขาไดกอไวน้ัน ทุกขคือนามรูปอันเปนท่ีประชุมแหง ทุกข หรือนามรูปที่บังเกิดในทุคติ อันเปนผลของอกุศลกรรมน้ัน ยอมติดตามเขาไป คือจักติดตามไปบังเกิดแกเขาในกาลทั้ง ๓. เหมือนอยางอะไร? เหมือนอยางลอเกวียนท่ีติดตามรอยเทาโค ผูชักลากเกวียนไปขางหนา ฉะนั้น, เพราะสุจริต ๓ อยาง อันเปนกุศลกรรมน้ัน สุขคือนามรูปอันเปนที่ประชุมแหงสุข หรือนามรูปท่ีบังเกิดในสุคติ อันเปนผลของกุศลกรรมนั้นยอม ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๑๕ ๒. ขุ. ธ. ๒๕/๑๕
๒๔๘ วรรคท่ี ๕, พทุ ธวรรค ติดตามเขาไป คือจักติดตามไปบังเกิดแกเขาในกาลท้ัง ๓. เหมือนอะไร? เหมือนเงาท่ีติดตามตัวไปฉะนั้น. ก็คาํ วา “เหมือน อยางลอเกวียนติดตามรอยเทาโค” ก็ดี, คาํ วา “เหมือนอยางเงา ที่ติดตามตัวไป” ก็ดี, วาโดยอรรถก็เปนอันเดียวกัน เพราะเหตุ น้ัน ในท่ีน้ี คาํ อุปมาท่ีวา “เหมือนเงาที่ติดตามตัวไปฉะนั้น” พระ เถระจึงกลาวไวเปนสาธารณะแกทั้งกุศลกรรม ทั้งอกุศลกรรม. เปรียบเหมือนวา เมื่อรางกายเดินไป, เงาซึ่งเปนของเน่ือง อยูกับรางกายน้ี ก็ยอมเดินไปดวย, เม่ือยืนก็ยืนดวย, เม่ือนั่งก็น่ัง ดวย, เมื่อนอนก็นอนดวย เงา จึงช่ือวา ติดตามบุคคลนั้นไป ฉันใด, เม่ือไดทาํ กุศลกรรมก็ดี อกุศลกรรมก็ดี นามรูปอันเปน ผลของกรรมเหลาน้ัน ก็ยอมติดตามบังเกิดในกาลท้ัง ๓ ตาม โอกาสของกรรมนั้น ๆ กรรมอันเปนเหตุของนามรูปนั้นจึงช่ือวา ติดตามบุคคลนั้นไป ฉันน้ัน เพราะเหตุนั้นน่ันแหละใคร ๆ จึงไม อาจแสดงได วา กรรมที่จะทาํ นามรูปใหบังเกิดน้ันต้ังอยูท่ีตรงน้ี หรือวาตรงน้ี ดงั น้ไี ด. จบคาํ อธิบายปญ หาที่ ๘ ปญ หาที่ ๙, อปุ ปชชติชานนปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน สัตวผูจะ เกิด ยอมรูไดหรือวา เราจักเกิด?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใช สัตวผู จะเกิดยอมรูไดวา เราจักเกิด”
มลิ ินทปญหากณั ฑ ๒๔๙ พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร คฤหบดีชาวนาฝงเมล็ด ขาวไวที่พื้นดิน เมื่อมีฝนตกดี ยอมรูหรือไมวา ธัญญชาติจัก บังเกิด?” พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจานาคเสน เขายอมรูได” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน สัตวผูจะเกิดยอมรูไดวา เราจักเกิด” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบอุปปช ชติชานนปญ หาท่ี ๙ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๙: ปญหาเกี่ยวกับความรูวาจักเกิดแหงสัตวผูจะเกิด ชื่อวา อุปปชชติชานนปญหา. คฤหบดีชาวนาฝงเมล็ดขาวไวท่ีพื้นดิน เม่ือฝนตกดียอม รูไดวา ธัญญชาติจักบังเกิด ฉันใด, พอคา แมวาเปนคนยากจน เมื่อกองทรพั ยเ พิ่มมากขน้ึ เร่ือย ๆ เพราะการคา ของตน ก็ยอมรวู า เราจักไดเปนเศรษฐี ฉันใด, ขาราชบริพารที่พระราชาทรงชุบเล้ียง ไวดว ยคา จา งเพยี งเลก็ นอ ย แมวามยี ศศกั ดิ์นอย เม่อื ไดท ําความดี พิเศษตอพระราชามีการจับผูที่คิดรายตอพระราชาไดเปนตน ก็ ยอมรูไดวา เราจักไดเปนอาํ มาตย ฉันใด, บุคคลผูมีอวิชชา ตัณหา อุปาทานและกรรม เมื่อไดสดับธรรมของพระตถาคต รูวา
๒๕๐ วรรคที่ ๕, พทุ ธวรรค อวิชชา ตัณหา อุปาทานและกรรมเปนเหตุนาํ มาซ่ึงความเกิด ดังนี้แลว ก็ยอมรูวา เราจักเกิดอีกฉันน้ัน. จบคําอธบิ ายปญ หาท่ี ๙ ปญหาท่ี ๑๐, พุทธนทิ ัสสนปญหา พระราชารับสง่ั ถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน พระพทุ ธเจา มีจรงิ หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร พระผูมีพระ- ภาคมจี รงิ ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ก็แตวา ทานอาจ แสดงไดหรือไม วา พระพุทธเจาประทับอยู ณ สถานที่นี้ หรือ วา ณ สถานท่ีนี้?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ทรงปริ- นิพพานแลวดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ใคร ๆ ไมอาจแสดงได วา พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ สถานท่ีน้ี หรือวา ณ สถานที่นี้” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสําคัญ ความขอนั้นอยางไร, เปลวไฟแหงกองไฟใหญท่ีลุกโพลง ถึง ความดับไปแลว พระองคอาจแสดงไดหรือไมวา เปลวไฟนั้นไป อยู ณ สถานท่ีน้ี หรือวา ณ สถานที่นี้?” พระเจา มลิ นิ ท: “ไมอาจแสดงไดหรอก พระคุณเจา , เปลวไฟ ที่ดับไปแลวน้ัน ถึงความไมปรากฏแลว”
มิลินทปญหากัณฑ ๒๕๑ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน พระผูมีพระภาคทรงปรินิพพานแลว ทรงถึง ความดับแลว ดวยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ, ใคร ๆ จึงไมอาจ แสดงไดวา พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ สถานท่ีนี้ หรือวา ณ สถานท่ีน้ี, ขอถวายพระพร ก็แตวา บุคคลอาจแสดงพระผูมีพระ- ภาค (วามีจริง) ไดดวยพระธรรมกาย เพราะวาพระธรรมพระ- ผูมีพระภาคไดทรงแสดงไว” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ” จบพทุ ธนิทสั สนปญ หาที่ ๑๐ คําอธิบายปญ หาที่ ๑๐: ปญหาที่มีการแสดงวา พระพุทธเจามีจริงหรือไม ช่ือวา พทุ ธนิทัสสนปญ หา. คาํ วา “ขอถวายพระพร ก็แตวาบุคคลอาจแสดงพระ- ผมู ีพระภาค (วา มอี ยูจริง) ไดด วยพระธรรมกาย เพราะวา พระธรรม พระผูมพี ระภาคไดทรงแสดงไว” ดังน้ี นี้ พระเถระ กลา วหมายเอาพระสตู รทวี่ า “สิยา โข ปนานนทฺ ตมุ หฺ ากํ เอวมสฺส อตตี สตถฺ กุ ํ ปาวจนํ ฯเปฯ โส โว มมจฺจเยน สตถฺ า๑ - นี่แนะ อานนท พวกเธออาจจะมีความคิดอยางนี้วา พระดํารัส ที่เปนประธานของพระศาสดาก็ลวงไปแลว, พวกเราไมมีพระ- ศาสดาเสยี แลว ดงั น.ี้ น่ีแนะ อานนท พวกเธอไมค วรคิดเห็นอยาง ๑. ที. มหา. ๑๐/๑๗๙.
๒๕๒ วรรคท่ี ๕, พุทธวรรค น้ี, นี่แนะ อานนท ธรรมและวินัยที่เราไดแสดงไวแลว บัญญัติ ไวแลว ใด, ธรรมและวินัยน้ัน ยอมเปนศาสดาของพวกเธอ ท้ังหลาย เม่ือเราไดลวงลับไปแลว” ดังน้ี. ก็ธรรมและวินัยที่ ตรัสถึงน้ันนั่นแหละ ช่ือวา พระธรรม ในคําวา ธรรมกาย นี้. พระธรรมน้ี แตกเปน ๓ อยาง คือสวนที่ทรงเรียกวาวินัย ก็ เรียกวาวินัยน่ันแหละ สวนท่ีทรงเรียกวาธรรม แบงเปน ๒ อยาง คือสูตร และอภิธรรม. กายคืออยู หรือกองรวมแหงธรรม ๓ อยางเหลาน้ี เรียกวา ธรรมกาย. บุคคลยอมรูวา พระพุทธเจา มีจริง เพราะไดเห็น คือไดรูธรรมกายท่ีทรงแสดงไวน้ี. อีกอยางหนึ่ง พระโลกุตตรสัทธรรม ๙ อยาง คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เปน ๑๐ พรอมท้ังพระปริยัติ ช่ือวา พระธรรม. พระผูมีพระภาคทรงพระนามวา พระธรรมกาย เพราะทรงมี พระธรรมเปน พระสรรี กาย. ผูใดเหน็ พระธรรมเหลานดี้ ว ยปญ ญา ผนู น้ั ชื่อวาเห็นพระสรีรกายของพระองค ยอมทราบวาพระองค มีจริง สมจริงตามที่ตรัสไววา “โย หิ ปสฺสติ สทฺธมฺมํ โส มํ ปสฺสติ ปณฺฑิโต๑ - ผใู ดเห็นพระสัทธรรม (ธรรมของสัตบุรุษมี ๑๐ อยาง มีมรรค ๔ เปนตน เหลานั้น น่ันแหละ) ผูน้ันชื่อวา เปนบัณฑิตยอมเหน็ เรา” ดังนี้. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๑๐ จบพุทธวรรคท่ี ๕ ในวรรคนี้ มี ๑๐ ปญหา ๑. ข.ุ อป. ๓๓/๑๙๔.
มิลินทปญ หากัณฑ ๒๕๓ วรรค ท่ี ๖, สตวิ รรค ปญหาท่ี ๑, กายปยายนปญหา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน รางกายเปน ท่ีรักของพวกบรรพชิตหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร รางกายหา เปนท่ีรกั ของพวกบรรพชติ ท้งั หลายไม” พระเจามิลินท: “เม่ือเปนเชนน้ันนะ พระคุณเจา เพราะ เหตุไรพวกบรรพชิตจึงยังปรนนิบัติรางกาย ยังรักใครรางกาย อยูเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร นักรบผไู ปในสงครามของ พระองค บางครัง้ บางคราวถกู ทํารายดว ยธนู กม็ อี ยู มิใชหรือ?” พระเจามลิ นิ ท: “ใช มีอยู พระคณุ เจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร บาดแผลน้ัน เขาตองใช ยาทาแผลทาไว ใชนา้ํ มันลูบไลไว และใชผาเนื้อละเอียดพันไว มิใชหรือ” พระเจามิลนิ ท: “ใช พระคณุ เจา เขาตองใชยาทาแผลทาไว ใชน้าํ มันลูบไลไ ว และใชผา เนอ้ื ละเอียดพนั ไว” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ก็บาดแผลเปนท่ีรักของ เขาหรือไร เขาจึงตองใชยาทาแผลทาไว ใชนา้ํ มันลูบไลไวและใช ผาเนื้อละเอียดพันไว?”
๒๕๔ วรรคที่ ๖, สตวิ รรค พระเจามิลินท: “บาดแผลจะเปนท่ีรัก หามิไดพระคุณเจา, แตวาเขาตองใชยาทาแผลทาไว ใชน้ํามันลูบไลไว และใชผาเนื้อ ละเอียดพันไว เพื่อประโยชนแกการสมานเนื้อ (สมานแผล)” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน รางกายมิไดเปนท่ีรักของพวกบรรพชิตหรอก พวกบรรพชิตท้ังหลายผูไมสยบในรางกาย ยอมบริหารรางกาย เพ่ืออนุเคราะหพรหมจรรย, ขอถวายพระพร อีกอยางหนึ่ง พระผูมีพระภาคตรัสถึงรางกายวา มีอุปมาเหมือนบาดแผล, เพราะเหตุน้ัน พวกบรรพชิตทั้งหลายผูไมสยบในรางกาย จึง บริหารรางกายดุจรักษาแผล. ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ทรงภาสิตความขอนี้ไววา: ‘อลลฺ จมฺมปฏจิ ฉฺ นโฺ น, นวทวฺ าโร มหาวโณ. สมนฺตโต ปคฺฆรติ, อสุจิปูตคิ นฺธโิ ย’๑ แปลวา: “รางกายอันหอหุมดวยหนังสด มีทวารท้ัง ๙ เปนแผล ใหญ สิ่งสกปรกมีกล่ินเหม็น ยอมหลั่งออกท่ัวท้ังตัว” ดงั น้ี. พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบกายปย ายนปญ หาที่ ๑ ๑. วสิ ทุ ธิมคคฺ . ๑/๓๑๕ (ฉบบั ภมู พิ โลภิกข)ุ
มลิ นิ ทปญหากัณฑ ๒๕๕ คําอธบิ ายปญหาที่ ๑: ในสติวรรคนี้ มี ๑๐ ปญหา. ปญหาเก่ียวกับความ ประพฤติดจุ วารางกายเปนทีร่ ัก ชื่อวา กายปยายนปญ หา. คําวา รา งกาย ในทนี่ ้ี ไดแกส รีรกายอันเปนทปี่ ระชมุ แหง มหาภตู ๔ อันประกอบดว ยโกฏฐาสใหญนอยทง้ั หลาย. คําวา รางกายเปน ท่ีรักของพวกบรรพชิตหรอื ความวา พระราชารับสั่งถามวา สรีรกายเปนที่รัก คือเปนท่ีประพฤติดวย ความรกั ของพวกบรรพชติ หรอื . คําวา รา งกายหาเปนที่รักของพวกบรรพชติ ทง้ั หลาย ไม ความวา พระเถระปฏิเสธวา รา งกายหาเปนท่ีรัก คอื หาเปน ท่ี ประพฤตดิ วยความรกั ของพวกบรรพชิตทง้ั หลายไม. คําวา เมือ่ เปนเชนนัน้ คอื เม่ือรางกายมิไดเ ปน ทรี่ ักของ พวกบรรพชติ . คําวา เพราะเหตุไร พวกบรรพชิตจึงยังปรนนิบัติ รา งกาย ยังรักใครรา งกายอยูเลา ความวา เพราะเหตุไรพวก บรรพชิตจึงยงั ปรนนบิ ตั ริ างกาย คือยงั บาํ รุงบาํ เรอรา งกาย ยงั รกั ใครรางกาย คือยังชอบใจรางกาย โดยบริหารดวยการนุงการหม เปน ตน เลา. คาํ วา ไมสยบ คือพวกบรรพชติ ไมส ยบ คือไมติดของใน รางกายดวยอํานาจแหงตัณหา, เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา พวกบรรพชิตทั้งหลายจึงบริหารรางกายดุจรักษาแผล ดังน้ี. จบคาํ อธบิ ายปญหาที่ ๑
๒๕๖ วรรคที่ ๖, สตวิ รรค ปญ หาท่ี ๒, สพั พัญภู าวปญหา พระราชารับสั่งถามวา : “พระคุณเจา นาคเสน พระพุทธเจา ทรงเปนพระสัพพัญู-ผูรูทุกส่ิงทุกอยาง, เปนพระสัพพทัสสาวี- ผูเห็นทุกส่ิงทุกอยาง หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกตอง พระผูมีพระภาคทรงเปนพระสัพพัญู-ผูรูทุกส่ิงทุกอยาง, เปน พระสัพพทัสสาวี-ผูเห็นทุกส่ิงทุกอยาง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เม่ือเปนเชนนั้น เพราะเหตุไรจึงทรงคอย ๆ บัญญัติสิกขาบทแกสาวกทั้งหลายไป ตามลําดบั เลา ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร แพทยบาง คนที่รูจักยาทุกชนิดในแผนดินนี้ ก็มีอยูมิใชหรือ?” พระเจามิลินท: “ใช มีอยู พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร แพทยผูนั้น ใหคนไขกินยาในเวลาท่ีถึงคราวเปนไข หรือวาในเวลาท่ียังไม ถึงคราวเปนไขเลา?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา แพทยผูน้ันยอมใหคนไขกิน ยาในเวลาที่ถึงคราวเปนไข, ไมใชในเวลาที่ยังไมถึงคราวเปนไข” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน พระผูมีพระภาคผูทรงเปนพระสัพพัญู เปน พระสัพพทัสสาวี ไมทรงบัญญัติสิกขาบทแกสาวกทั้งหลาย ใน เวลาท่ียังไมถึงคราว, ทรงบัญญัติสิกขาบทแกสาวกท้ังหลาย ใน
มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๕๗ เวลาท่ีถึงคราว เปนสิกขาบทท่ีสาวกทั้งหลายไมพึงลวงละเมิด ตลอดชีวิต” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสัพพัญภู าวปญ หาท่ี ๒ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๒ : ปญหาที่มีการถามถึงความเปนพระสัพพัญูของพระ- พุทธเจา ช่ือวา สัพพัญูภาวปญหา. พระพุทธเจาทรงพระนามวา พระสัพพัญู เพราะอรรถ วา ทรงรูสิ่งท่ีควรรูทุกสิ่งทุกอยาง. ทรงพระนามวา พระสัพพทัส- สาวี เพราะทรงมีปกติเห็นทุกสิ่งทุกอยาง, ๒ คํานี้ มีความหมาย เปนอยางเดียวกัน แสดงถึงความเปนผูมีพระสัพพัญุตญาณ เทาน้ัน เพราะฉะน้ัน จึงเปนคาํ ที่ยักยายใชแทนกันได. คําวา เพราะเหตุไรจงึ ทรงคอย ๆ บญั ญตั ิสกิ ขาบทแก สาวกท้ังหลาย ไปตามลําดับ ความวา พระราชาตรัสถามวา เพราะเหตุไร จึงทรงคอยบัญญัติสิกขาบทไปทีละขอ เม่ือมีเรื่อง เกดิ ขน้ึ ไมบ ญั ญัตไิ วเ สียกอน พรอ มกนั ทุกขอ คราวเดยี วกัน. คาํ วา ในเวลาท่ียังไมถึงคราว คือในเวลาที่ยังไมมีเรื่อง เกิดขึ้น อันเปนเร่ืองที่บ่ันทอนศรัทธาของผูท่ีมีศรัทธา ไมทํา ศรัทธาของผูที่ยังไมมีศรัทธาใหเกิดข้ึน หรือยังความเส่ือมเสียแก พระศาสนา.
๒๕๘ วรรคท่ี ๖, สติวรรค คําวา ในเวลาทีถ่ งึ คราว คอื ในเวลาท่ีมีเร่อื งเกดิ ขึ้นแลวก็ ทรงเล็งเห็นอํานาจประโยชน ๑๐ อยาง มีความยินยอมพรอมใจ แหงสงฆ เปนตน แลวทรงบัญญัติสิกขาบทขอน้ัน ๆ ข้ึน. คําวา เปนสิกขาบทท่ีสาวกท้ังหลายไมพึงลวงละเมิด ตลอดชีวิต อธิบายวา เปนสิกขาบทท่ีสาวกทั้งหลายไมพึง ลวงละเมิด คือประพฤติตามท่ีทรงบัญญัติไวอยางเครงครัด ตลอดชีวิต นับต้ังแตที่ไดทรงบัญญัติไวแลว และไมพึงลวง ละเมิด แมเพื่อประโยชนแกชีวิต. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๒ ปญ หาที่ ๓, มหาปุรสิ ลักขณปญหา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจา ทรงเปนผูประกอบพรอมดวยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระวรกาย ดุจทองคํา มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคํา มีพระรัศมีสรานออกไป ประมาณ ๑ วา จริงหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปนความ จริง พระผูมีพระภาคทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริส- ลักษณะ ๓๒ ประการ และประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระวรกายดุจทองคํา มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคาํ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วา”
มิลินทปญหากณั ฑ ๒๕๙ พระเจามิลนิ ท: “พระคณุ เจา ก็แตวา แมพระชนกชนนีของ พระองค ก็ทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ และประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มี สีพระวรกายดุจทองคาํ มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคาํ มีพระรัศมี สรานออกไปประมาณ ๑ วา หรอื ไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระชนกชนนีของ พระองค หาทรงเปนผูประกอบพรอมดวยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ฯลฯ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วาไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เม่ือเปนอยางนี้ พระพุทธเจาจะทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริส- ลักษณะ ๓๒ ประการ ฯลฯ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วา ไดอยางไร เพราะวาผูเปนบุตรยอมเปนผูแมนเหมือน มารดา หรือวาเปนขางเดียวกับมารดา, เปนผูแมนเหมือนบิดา หรือวาเปนขางเดียวกับบิดา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ดอกบัวสตปตตะ (ดอกบวั รอยใบ?) ชนิดหน่ึง ก็มีอยูมิใชหรือ?” พระเจามิลินท: “ใช มีอยู พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ก็ดอกบัวชนิดน้ัน เกิดไดในท่ีไหน?” พระเจามิลินท: “ยอมเกิดไดในเปอกตม อาศัยอยูในนํ้า” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ดอกบัวมีสีก็ดี มีกล่ินก็ดี มีรสก็ดี เหมือนกันกับเปอกตมหรือไร?” พระเจา มิลนิ ท: “หามไิ ด พระคุณเจา ”
๒๖๐ วรรคท่ี ๖, สติวรรค พระนาคเสน: “ถาเชนนั้น มีสีก็ดี มีกลิ่นก็ดี มีรสก็ดี เหมือนกันกับน้ํา?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน พระผูมีพระภาคทรงเปนผูประกอบพรอมดวย พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ฯลฯ มีพระรัศมีสราน ออกไปประมาณ ๑ วาจริง, แตวา พระชนกชนนีของพระองค หาทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ฯลฯ มีพระรัศมีสรานออกไปประมาณ ๑ วาไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบมหาปุรสิ ลักขณปญหาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๓: ปญหาท่ีมีคําถามเก่ียวกับลักษณะของทานผูเปนมหา- บุรุษช่ือวา มหาปุริสลักขณปญหา. พระผูมีพระภาคทรงไดพระนามวา มหาบุรุษ เพราะ อรรถวา ทรงเปนบุรุษผูย่ิงใหญดวยคุณทั้งหลายมีศีลเปนตน ครอบงาํ คุณของสัตวท้ังหลายท้ังปวง, หรือเพราะอรรถวา ทรง เปนบุรษุ ผทู เี่ ทวดาและมนษุ ยท ้งั หลายบูชา. ลักษณะของทานผูเปนมหาบุรุษ อันเปนเครื่องแสดงให ทราบวา ทานผูน้ีเปนมหาบุรุษ ชื่อวา มหาปุริสลักษณะ มี ๓๒
มิลินทปญ หากัณฑ ๒๖๑ ประการ มีฝาพระบาทที่ยืนเหยียบพ้ืนไดเรียบเสมอกันทุกสวน เปนตน. ประการยอย ๆ ท่ีเปนเหมือนเคร่ืองประดับพระวรกาย เฉพาะทานที่เปนมหาบุรุษ ชื่อวา พระอนุพยัญชนะ มี ๘๐ ประการ มีลายกงจักรท่ีฝาพระบาทเปนตน. คาํ วา มีพระฉวีรุงเรืองดุจทองคํา คือมีพระฉวีประพิม ประพายคลายทองคํา. คาํ วา เปนขางเดียวกบั มารดา คอื ผเู ปน บุตรก็ยอ มเปนผู มีรูปรางผิวพรรณสัณฐานอวัยวะคอนไปทางมารดา. แมคําวา เปนขางเดียวกับบิดา ก็มีนัยนี้แหละ. เปนอันพระราชาตรัส ถามวา เมื่อพระชนกชนนีไมเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหา- ปุริสลักษณะเปนตน เพราะเหตุไร พระพุทธเจาผูประสูติแต พระชนกชนนีน้ัน กลับทรงเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหา- ปรุ ิสลักษณะเปนตน ไปไดเ ลา นา จะทรงเปน เหมอื นอยา งคนอืน่ ๆ ท่ีมีรูปรางผิวพรรณ สัณฐานอวัยวะ แมนเหมือนมารดาหรือบิดา. ความวา ความเปนผูประกอบพรอมดวยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ความเปนผูประดับดวยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ พระองคทรงไดมาเพราะเหตุ คือพระบารมีที่ทรงสั่งสม มาดีแลวมากมายในภพกอน ๆ อันเปนการกระทําที่ยอดเย่ียม หาผูเสมอเหมือนมิได มิใชทรงไดมาตามสายโลหิต. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๓
๒๖๒ วรรคท่ี ๖, สตวิ รรค ปญหาที่ ๔, ภควโต พรหมจาริปญหา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจา ทรงเปนพรหมจารี (ผูประพฤติเยี่ยงอยางพระพรหม) หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ใช พระผูมี- พระภาคทรงเปน พรหมจาร”ี พระเจามิลินท: “ถาอยางน้ันนะ พระคุณเจานาคเสน พระพุทธเจาก็ช่ือวาทรงเปนศิษยของพระพรหม” พระนาคเสน: ขอถวายพระพร พระองคทรงมีชางทรง ประธานอยู มิใชหรือ?” พระเจามลิ นิ ท: “มอี ยู พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ชา งเชอื กนัน้ บางคร้ังบาง คราวก็บันลือโกญจนาท (สงเสียงรองอยางเสียงนกกระเรียน) มิใชหรือ?” พระเจามิลนิ ท: ใช พระคุณเจา มนั บนั ลือโกญจนาท” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาอยา งนัน้ ชา งเชือกนัน้ ก็ชื่อวาเปนศิษยของนกกระเรียน” พระเจา มลิ นิ ท: “ไมใ ชห รอก พระคุณเจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระพรหมเปนผูที่ตองมี พระพุทธเจา หรือวาไมตองมีพระพุทธเจา เลา?” พระเจามิลินท: “เปนผูตองมีพระพุทธเจา พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาอยางน้ัน พระพรหมก็ ตองเปน ศิษยข องพระพทุ ธเจา ”
มลิ ินทปญ หากัณฑ ๒๖๓ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบภควโต พรหมจาริปญหาที่ ๔ คําอธิบายปญ หาท่ี ๔: ปญหาเกี่ยวกับความเปนพรหมจารีของพระผูมีพระภาค ชอื่ วา ภควโต พรหมจารปิ ญ หา ตามพระมติของพระเจามิลินท ทรงกําหนดไววา พระ- พุทธเจาทรงพระนามวา พรหมจารี เพราะมีความหมายวาทรง ประพฤติอยางท่ีพระพรหมทรงประพฤติ, เพราะฉะน้ันจึงตรัส วา พระพุทธเจาทรงเปนศิษยของพระพรหม. สวน ตามมติ ของพระเถระ พระผูมีพระภาคทรงพระนามวา พรหมจารี เพราะอรรถวา ทรงประพฤติขอควรประพฤติท่ีเปนพรหมคือ ประเสริฐสุด เพราะคําวา “พรหม” มีความหมายวา ประเสรฐิ สุด ก็ได เพราะฉะนนั้ ทานจึงไดถามวา “พระพรหมเปนสพุทธิกะ -ตองมีพระพุทธเจา หรือวาเปน อพุทธิกะ-ไมตองมีพระพุทธเจา” ดังนี้. ในคําเหลานั้น คาํ วา สพุทธิกะ แปลวา ผูตองมี พระพุทธเจา คือเปนไปอาศัยพระพุทธเจา ทําตนใหถึงความสุข ความสวัสดีไดดวยอาศัยคาํ สอนของพระพุทธเจา. คําวา อพุทธิกะ แปลวาผูไมตองมีพระพุทธเจา คือมิไดเปนไปอาศัย พระพุทธเจา ไดแกพระสัมมาสัมพุทธเจาและพระปจเจก-
๒๖๔ วรรคที่ ๖, สติวรรค พุทธเจาทั้งหลาย ในอัตภาพสุดทาย. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๔ ปญหาท่ี ๕, ภควโต อปุ สมั ปทาปญหา พระราชารบั สัง่ ถามวา “พระคณุ เจานาคเสน การอปุ สมบท เปนของดีหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ใช มหาบพิตร การบวช เปน ของด”ี พระเจามิลินท: “พระคุณเจา พระพุทธเจาทรงมีการ อุปสมบท หรือวาไมทรงมีเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระผูมีพระภาค ก็ทรงได อุปสมบทแลวที่โคนตนโพธิ์ พรอมกับพระสัพพัญุตญาณ, ไมมี ผูอื่นถวายการอุปสมบทแกพระผูมีพระภาค, เปนเหมือนอยางท่ี พระผูมีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทแกพวกสาวกท้ังหลาย อัน เปนสกิ ขาบททส่ี าวกท้ังหลายไมควรลวงละเมิดตลอดชีวติ ฉะน้ัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบภควโต อุปสัมปทาปญ หาที่ ๕ คาํ อธิบายปญ หาท่ี ๕: ปญหาที่มีการถามถึงการอุปสมบทของพระผูพระภาค ช่ือวา ภควโต อุปสัมปทาปญหา.
มลิ ินทปญ หากณั ฑ ๒๖๕ คาํ วา อปุ สมั ปทา - การอปุ สมบท สําหรับผทู เ่ี ปน สาวก ท้ังหลาย ยอมไดการอุปสมบทโดยการที่ผูอื่นใหถือสิกขา ๓, คือพระพุทธเจา หรือคณะสงฆ ใหถือสิกขา ๓ กลาวคือ อธิศีล- สิกขา อธิจิตสิกขา และอธิปญญาสิกขา, สวนสาํ หรับพระผูมี- พระภาคทรงไดการอุปสมบท โดยทรงประพฤติจริยา ๓ อยาง คือ โลกัตถจริยา - ประพฤติเพ่ือประโยชนแกชาวโลก, ญาตัตถ- จริยา - ประพฤติเพ่ือประโยชนแกญาติ และพุทธัตถจริยา- ประพฤติเพ่อื ประโยชนแกความเปนพระพุทธเจา อันสาํ เร็จพรอม กับพระสัพพัญุตญาณ คือทันทีท่ีทรงบรรลุพระสัพพัญุต- ญาณ ฉะน้ี แล. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๕ ปญหาที่ ๖, อสั สเุ ภสชั ชาเภสชั ชปญหา พระราชารับสั่งถามวา: “พระคุณเจานาคเสน คนหน่ึง เม่ือมารดาตายก็รองไห, อีกคนหนึ่งรองไหดวยความรักในธรรม, บรรดาคนท่ีรองไหอยูท้ัง ๒ คนน้ัน นาํ้ ตาของคนไหนจัดเปนยา, ของคนไหนไมจัดเปนยา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร น้าํ ตาของคน หนึ่งมีมลทิน รอนเพราะไฟคือราคะ โทสะ และโมหะ, น้ําตาของ อีกคนหน่ึงปราศจากมลทิน เย็นเพราะปติและโสมนัส, ขอถวาย พระพร น้ําตาท่ีเย็นจัดเปนยา, นา้ํ ตาท่ีรอนไมจัดเปนยา”
๒๖๖ วรรคที่ ๖, สติวรรค พระเจา มิลนิ ท: “พระคุณเจา นาคเสน ทา นตอบสมควรแลว ” จบอสั สเุ ภสชั ชาเภสชั ชปญ หาที่ ๖ คําอธิบายปญ หาที่ ๖: ปญหาที่มีการถามถึงนํา้ ตาที่เปนยา และที่ไมเปนยา ชื่อ วา อสั สุเภสัชชาเภสชั ชปญหา. คาํ วา รองไหดวยความรักในธรรม คือรองไห มีนํ้าตา หล่ังไหลดวยความรัก คือดวยปติโสมนัส อันมีกาํ ลังที่เกิดข้ึน เพราะการไดส ดับธรรม หรอื หยั่งรูธรรม. ชื่อวา น้าํ ตาเย็น เพราะมิไดรอนเพราะไฟมีราคะเปนตน. ช่ือวา จัดเปนยา ก็เพราะความที่เปนปจจัยกําจัดความปวยไข คือกิเลสทั้งหลายได. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๖ ปญหาท่ี ๗, สราควตี ราคนานากรณปญหา พระราชารบั สัง่ ถามวา “พระคณุ เจา นาคเสน คนผูมรี าคะ กับคนผปู ราศจากราคะ มีอะไรเปน ขอ ที่แตกตางกนั ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร คนหน่ึงเปน ผูสยบ, อกี คนหนงึ่ เปนผไู มสยบ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ช่ือวาเปนผูสยบ, เปนผูไม สยบ นค้ี ืออะไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร คือวา คนหนึ่งมีความ ตองการ อีกคนหนึ่งหาความตองการมิได”
มลิ ินทปญ หากัณฑ ๒๖๗ พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ขาพเจาเห็นอยูแตวา เหมือน ๆ กัน คือ คนที่มีราคะก็ดี คนท่ีปราศจากราคะก็ดี ทุกคน เหลาน้ี ลวนแตตองการสิ่งดี ๆ เหมือนกัน ไมวาจะเปนของเคี้ยว หรือวาของกนิ , ใคร ๆ กไ็ มต อ งการของไมด”ี พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร คนผยู ังไมปราศจากราคะ บริโภคอาหาร ก็เปนผูรูจักรสดวย, รูจักยินดีในรสดวย, สวนคนผู ปราศจากราคะบริโภคอาหาร เปนผูรูจักรสอยางเดียว หาเปนผู รูจักยินดีในรสดวยไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสราควีตราคนานากรณปญ หาที่ ๗ คาํ อธิบายปญหาที่ ๗: ปญหาท่ีมีการถามถึงขอท่ีแตกตางกันแหงคนผูมีราคะ กับคนผปู ราศจากราคะ ชอื่ วา สราควตี ราคนานากรณปญ หา. คาํ วา บริโภคอาหารเปนผูรูจักรส คือบริโภคอาหาร เปนผูรูจักรสดวยเวทนา อันเกิดจากชิวหาสัมผัสสะ (การกระทบ ทางลิ้น) คาํ วา เปนผูรูจักยินดีในรส คือเปนผูรูจักยินดีในรส ดวยราคะท่ีเกิดจากชิวหาสัมผัส. จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๗
๒๖๘ วรรคที่ ๖, สติวรรค ปญหาท่ี ๘, ปญญาปติฏฐานปญ หา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน ปญญา ยอมอยปู ระจํา ณ ทไี่ หน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ปญญาหา ไดอยูประจาํ ณ ท่ไี หนไม” พระเจามลิ นิ ท: “พระคุณเจานาคเสน ถา อยางนนั้ ปญญา ก็ไมม จี รงิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ลมยอมอยูประจํา ณ ท่ี ไหน?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ลมหาไดอยูประจาํ ณ ท่ีไหน ไม” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาอยางนน้ั ลมกไ็ มมจี ริง” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบปญญาปติฏฐานปญ หาที่ ๘ คําอธบิ ายปญ หาที่ ๘: ปญหาท่ีมีการถามถึงท่ีต้ังแหงปญญา ชื่อวา ปญญา- ปติฏฐานปญหา. พระราชาทรงเล็งถึงลัทธิที่วา สิ่งที่มีอยูจริง ยอมมีที่อยู ประจาํ จึงไดตรัสถามวา “ปญญายอมอยูประจํา ณ ที่ไหน” ดงั นี้
มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๖๙ ก็ปญญา เม่ือเกิดข้ึน ยอมเกิดขึ้นเปนธรรมท่ีสัมปยุตกับ จิต ถือเอาอารมณเดียวกันกับจิต ถึงขณะท้ัง ๓ คือเกิดขึ้น ต้งั อยู และดับไป พรอมกันกับจิต, ปญญานั้น พนขณะท้ัง ๓ น้ันไป แลว ก็ถึงความเปนของไมเที่ยง กลาวคือถึงความดับไป ปญญา ท่ีถึงความดับไปแลว ยอมไมเกิดอีก. เมื่อปจจัยแหงปญญาถึง พรอมอีก ปญญาอื่นยอมเกิดข้ึน เกิดขึ้นแลวก็ถึงความดับไป อยางน้ันนั่นแหละอีก. เพราะเหตุท่ีเมื่อมีปจจัยก็เกิดข้ึน เม่ือยัง ไมมีปจจัยก็ยังไมเกิดขึ้นอยางนี้นั่นเอง พระเถระจึงกลาววา “ปญญาหาไดอยูประจํา ณ ที่ไหนไม” ดังน้ี. จบคาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๘ ปญหาท่ี ๙, สังสารปญ หา พระราชารับส่ังถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ส่ิงที่ทาน เรียกวา ‘สังสารวัฏ’ นี้ใด, สังสารวัฏน้ันเปนไฉน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร บุคคลเกิดใน โลกน้ีแลวก็ตายในโลกน้ีน่ันแหละ คร้ันตายในโลกน้ีแลว ก็เกิด ข้ึนในโลกอ่ืน, เกิดในโลกนั้นแลวก็ตายในโลกน้ันน่ันแหละ ครั้นตายในโลกนั้นแลว ก็เกิดข้ึนในโลกอื่นอีก, ขอถวายพระพร สงั สารวัฏเปน อยางนแ้ี ล. พระเจามลิ นิ ท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษคน หน่ึงเค้ียวกินผลมะมวงสุก แลวเพาะเมล็ดมะมวงนั้นไว, ตอจาก
๒๗๐ วรรคท่ี ๖, สตวิ รรค เมล็ดมะมวงที่เพาะไวนั้น พึงบังเกิดเปนตนมะมวงใหญแลว ใหผล, ลําดับนั้นบุรุษผูน้ันก็จะพึงเคี้ยวกินผลมะมวงสุก แมจาก ตนมะมวงตนที่ ๒ น้ัน แลวก็เพาะเมล็ดมะมวงไว, แมตอจาก เมล็ดมะมวงที่เพาะไวน้ัน พึงบังเกิดเปนตนมะมวงใหญแลว ใหผล, เมอื่ เปนอยา งนี้ ตนแรกสุดแหง บรรดาตน มะมวงเหลา นั้น ก็ยอมไมปรากฏ ฉันใด, ขอถวายพระพร บุคคลเกิดในโลกนี้แลว ก็ตายในโลกนี้น่ันแหละ คร้ันตายในโลกน้ีแลว ก็เกิดข้ึนในโลก อื่น, เกิดข้ึนในโลกนั้นแลวก็ตายในโลกน้ันนั่นแหละ คร้ันตาย ในโลกน้ันแลว ก็เกิดขึ้นในโลกอื่นอีก ฉันนั้น, ขอถวายพระพร สังสารวัฏยอมมีตามประการดังกลาวมานี้”. พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบสังสารปญหาที่ ๙ คําอธิบายปญหาท่ี ๙: ปญหาเก่ียวกับสังสารวัฏ ชื่อวา สังสารปญหา. พึงทราบถึงการเปรียบเทียบความในอุปมาและอุปมัย ดังตอไปน้ี-: ปจจัยแหงความเกิด คือกิเลสและกรรม ที่สัตวส่ังสม ไวในชาติกอน ๆ เปรียบเหมือนเมล็ดมะมวงจากมะมวงตน กอน ๆ ท่ีบุรุษผูน้ันเพาะไว นามรูปที่สมมติวา สัตวบุคคลท่ี เกิดขึ้นในชาติตอ ๆ ไป เพราะกิเลสและกรรมที่ไดสั่งสมไว
มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๗๑ ในชาติกอน ๆ น้ัน เปรียบเหมือนตนมะมวงตนใหมท่ีเกิดข้ึน เพราะเมล็ดมะมวงแหง ตนมะมว งตนกอน ๆ ทบี่ รุ ษุ ผนู ั้นเพาะไว, สุขและทุกขที่สัตวพึงเสวยในชาตินั้น ๆ เปรียบเหมือนผล มะมวงสุกท่ีบุรุษพึงเค้ียวกิน ฉะนี้แล. คําวา ตนแรกสุดยอมไมปรากฏ ความวา ตนแรกสุด ใคร ๆ ไมอาจรูได. จบคําอธบิ ายปญหาที่ ๙ ปญ หาท่ี ๑๐, จิรกตสรณปญ หา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน บุคคล ยอมระลึกถึงกิจที่ลวงไปแลว ที่ไดทําไวนานแลว ไดดวย อะไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เขายอม ระลึกไดดวยสติ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เขายอมระลึกได ดว ยจิตมิใชห รือ, ไมใชด ว ยสติหรอก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคก็ทรงทราบดี มิใชหรือ วาพระกรณียกิจบางอยางท่ีพระองคทรงทาํ แลวหลง ลืมไป (ระลกึ ไมได) ก็มีอยู?” พระเจามลิ นิ ท: “ใช ขา พเจาทราบดี พระคุณเจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ก็ในสมัยนั้น พระองค ทรงเปนผูไมมีจิตหรือไร?”
๒๗๒ วรรคที่ ๖, สตวิ รรค พระเจามิลินท: “หามิไดพระคุณเจา ในสมัยนั้นไมมี สติตางหาก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เมื่อเปนเชนน้ัน เพราะ เหตุไร พระองคจึงตรัสอยางน้ีวา ‘เขายอมระลึกไดดวยจิต, ไมใช ดวยสตหิ รอก’ ดังน้เี ลา” พระเจา มลิ นิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบจริ กตสรณปญ หาท่ี ๑๐ คําอธิบายปญหาท่ี ๑๐: ปญหาเก่ียวกับการระลึกถึงกิจท่ีไดทําไวนานแลว ช่ือวา จริ กตสรณปญหา. ธรรมท่ีเปนความระลึกได หรือเปนเหตุใหสัตวระลึกได ช่ือวา สติ. สติเปนธรรมที่เกิดในจิต ยอมมีเม่ือมีจิตก็จริง แต ในเวลาใดมีจิต เวลาน้ันจะมีสติเกิดข้ึนดวยแนนอน หามิได. จิต มีอยูเปนประจาํ แกสัตวตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู แตสติหาไดมีอยู เปน ประจาํ ตลอดเวลาเชน นั้นไม, ในเวลาทบ่ี คุ คลระลึกไดใ นเวลา นั้นกลาวไดวามีสติเกิดข้ึน. ในเวลาใดระลึกไมได ทั้ง ๆ ที่มีจิต, ในเวลาน้ันกลาวไดวาไมมีสติเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จึงกลาวได วา บุคคลยอมระลึกไดดวยสติ ไมใชดวยจิต. คําวา หลงลืมไป คือหลงลืมสติไป. ความวา ระลึกไมได เพราะไมมีสติเกิดข้ึน. จบคําอธบิ ายปญหาท่ี ๑๐
มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๒๗๓ ปญหาท่ี ๑๑, อภชิ านันตสตปิ ญหา พระราชารับสั่งถามวา “พระคุณเจานาคเสน สติพอเกิด ขึ้นมาก็รูทันทีท้ังน้ันหรือ, หรือวามีแตสติที่เปนเหตุใหรูภายหลัง ทําไปแลว เทา น้นั ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติแมที่รูทันที ก็มี, แมท่ีเปนเหตุใหรูภายหลังทําไปแลว ก็มี” พระเจามิลินท: “เปนอยางนี้ตางหาก พระคุณเจานาคเสน สติลวนมีแตท่ีรูทันที, สติที่เปนเหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ไมมีหรอก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาหากวาสติที่เปน เหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ไมมีไซร, พวกศึกษางานศิลปะ ทั้งหลายก็ไมมีกิจอะไร ๆ ท่ีควรทาํ โดยเปนการงานท่ีควรทาํ โดยเปนศิลปะที่ควรทํา หรือโดยเปนฐานะแหงวิชชา, ทั้งพวก อาจารยท้ังหลาย ก็ยอมเปนคนไรประโยชน, ขอถวายพระพร แตเพราะเหตุท่ีสติท่ีเปนเหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ก็มีอยู, เพราะฉะน้ันจึงมีกิจที่ควรทาํ โดยเปนการงานที่ควรทํา โดยเปน ศิลปะที่ควรทํา หรือโดยเปนฐานะแหงวิชชา, และประโยชน ดวยอาจารยท้ังหลายก็มีอยู” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบอภิชานันตสตปิ ญหาท่ี ๑๑
๒๗๔ วรรคท่ี ๖, สติวรรค คําอธิบายปญหาท่ี ๑๑: คาํ วา สติพอเกิดข้ึนมาก็รูทันที ความวา สติทันทีท่ี เกิดข้ึนมา ก็ประกอบพรอมดวยปญญาอันเปนความรู. คาํ วา สติท่ีเปนเหตุใหรูภายหลังทาํ ไปแลว ความวา สติพอเกิดขึ้นมาก็ยังไมอาจรูไดทันที คือ ยังไมประกอบพรอม ดวยปญญา แตพอไดทาํ กิจเกี่ยวกับการศึกษาในการงานน้ัน ๆ ตามท่ีผูอื่นไดทาํ ไวเปนตัวอยาง หรือตามท่ีอาจารยสอน ก็เปน เหตุใหเกิดปญญาไดในภายหลัง คือเปนธรรมชาติท่ีประกอบ พรอมดวยปญญาในภายหลัง. คําวา ถาหากสตทิ เ่ี ปนเหตใุ หร ูภ ายหลงั ทาํ ไปแลว ไม มีไซร ฯลฯ พวกอาจารยทง้ั หลาย กย็ อ มเปน คนไรป ระโยชน ความวา ถาหากสติที่เปนเหตุใหรูภายหลังทําไปแลว ไมมีไซร เม่ือเปนเชนนี้ กิจเกี่ยวกับการศึกษาในงานศิลปะท้ังหลายก็ ยอมไมมี คือไมอาจปรารภได เพราะการจะทํากิจเหลาน้ันได จําตองอาศัยความเปนผูมีสติ แตในเวลาน้ันไมอาจทําสติให เกิดได เพราะสติลวนแตวาจะตองเกิดรวมกับปญญา ซ่ึงใน เวลานั้นยังไมใชโอกาสของปญญา เพราะยังศึกษาอยู ยังไมจบ การศึกษา และเพราะเหตุน้ันน่ันแหละ อาจารยทั้งหลายก็ยอม เปนผูไรประโยชน กลาวคือ ไมอาจสอนใหผูอื่นทาํ กิจเก่ียวกับ การศึกษาได เพราะสติของคนเหลานั้นไมเกิด. ก็แตวา ตามความเปนจริง พวกศึกษางานศิลปะ ทั้งหลายแมยังไมมีปญญา ยังไมมีความรอบรูในงานศิลปะ
มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๒๗๕ นั้น ๆ ก็ยอมทาํ กิจเก่ียวกับการศึกษาของตนได ซ่ึงเปนเคร่ือง แสดงวาสามารถทําสติใหเกิดได เพราะเหตุนั้น สติท่ีไมประกอบ พรอมดวยปญญา อันเปนสติที่เปนเหตุใหเกิดปญญาในภายหลัง ท่ีไดทํากิจเก่ียวกับการศึกษาสมบูรณแลว ก็มีอยู เพราะเหตุนั้น น่ันแหละ ประโยชนดวยอาจารยทั้งหลาย ยอมมี เพราะเหตุท่ี ความจริงเปนอยางน้ี พระเถระจึงกลาวถวายวิสัชชนาวา “ขอ ถวายพระพร แตเพราะเหตุท่ีสติท่ีเปนเหตุใหรูภายหลัง ทาํ ไปแลว ก็มีอยู” ดังนี้เปนตน. จบคําอธิบายปญ หาที่ ๑๑ จบสตวิ รรคท่ี ๖ ในวรรคนี้ มี ๑๑ ปญหา
๒๗๖ วรรคที่ ๗, อรูปววตั ถานวรรค วรรคที่ ๗, อรปู ววตั ถานวรรค ปญหาท่ี ๑, สตอิ ุปปชชนปญหา พระราชารับส่ังถามวา “พระคุณเจานาคเสน สติยอม เกดิ ขน้ึ โดยอาการเทาไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติยอมเกิด ขึ้นโดยอาการ ๑๗” พระเจามิลินท: “สติยอมเกิดขึ้นโดยอาการ ๑๗ อะไร บาง?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สติยอมเกิด ข้นึ แมเ พราะเปนคนคงแกเ รียน, สตยิ อ มเกิดขนึ้ แมเ พราะเปน คน ทีผ่ อู ืน่ กระตนุ เตือนใหรสู ง่ิ ทไ่ี ดท ําไปแลว, สตยิ อ มเกิดขึน้ แมเ พราะ วิญญาณหยาบ, สติยอมเกิดขึ้น แมเพราะวิญญาณที่เก้ือกูล, สตยิ อมเกิดข้นึ แมเพราะวิญญาณทไ่ี มเกอื้ กลู , สติยอมเกดิ ขึ้น แมเ พราะนมิ ติ ทีม่ สี วนเหมือนกัน, สติยอ มเกดิ ขึ้น แมเ พราะนมิ ิต ทีม่ สี วนผดิ กนั , สตยิ อ มเกดิ ขนึ้ แมเ พราะการเขา ใจคาํ พดู , สติ ยอมเกิดขน้ึ แมเ พราะลกั ษณะ, สตยิ อมเกดิ ข้ึน แมเ พราะการถูก ผูอน่ื บอกใหร ะลึก, สตยิ อ มเกดิ ขึ้น แมเ พราะมีวิธบี นั ทกึ , สตยิ อม เกิดขึน้ แมเ พราะมวี ธิ ีนับ, สตยิ อ มเกิดขึน้ แมเ พราะมวี ธิ ที รงจาํ , สตยิ อมเกดิ ขนึ้ แมเ พราะภาวนา, สตยิ อมเกิดขน้ึ แมเพราะคํา นพิ นธใ นคัมภรี , สติยอ มเกิดขึ้น แมเพราะการเกบ็ ไว, สตยิ อม เกิดขน้ึ แมเ พราะเปน อารมณท ่ีเคยเสวย ฉะนแ้ี ล.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339