Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มิลินทปัญหา เล่ม ๑

มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Description: มิลินทปัญหา เล่ม ๑

Search

Read the Text Version

มิลนิ ทปญ หากณั ฑ ๑๒๗ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เมื่อเพียงแตญาณเกิดข้ึน เทาน้ัน ความหลงก็ยอมดับไปในท่ีน้ันนั่นแหละ” พระเจามลิ นิ ท: “ขอทา นจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา บุรุษบางคนพึงต้ังประทีปไวในเรือนมืด, เพราะเหตุ น้ัน ความมืดก็พึงดับไป ความสวางก็พึงปรากฏ ฉันใด ขอถวาย พระพร เม่ือเพียงแตญาณเกิดขึ้นเทานั้น ความหลงก็ยอมดับไป ในที่น้ันน่ันแหละ ฉันนั้นเหมือนกัน” พระเจามิลินท: “สวนวาปญญาเลา จะไปไหน พระคุณ เจา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร แมปญญาพอไดทาํ กิจ ของตนแลว ก็ยอมดับไปในกิจที่ไดทาํ ไวนั้นนั่นแหละ, แตกิจท่ี ปญญานั้นไดทําไวแลว วาไมเท่ียงก็ดี, วาเปนทุกขก็ดี, วาเปน อนัตตาก็ดี ใด, กิจที่ไดทําไวแลวน้ัน หาดับไปไม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน คาํ ท่ีทานกลาววา ‘ปญญาพอไดทํากิจของตนแลวก็ยอมดับไปในกิจท่ีไดทาํ ไวนั้น นั่นแหละ, แตกิจที่ปญญานั้นไดทําไวแลว วาไมเที่ยงก็ดี, วาเปน ทุกขก็ดี, วาเปนอนัตตาก็ดี ใด, กิจที่ไดทาํ ไวแลวนั้นหาไดดับไป ไม’ ดังนี้ ใด, ขอทานจงกระทาํ อุปมา สาํ หรับคาํ นน้ั เถดิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวาบุรุษบางคนตองการจางใหเขาเขียนหนังสือในตอน กลางคืน จึงเรียกนักเขียนมา ต้ังประทีปไวใหเขาเขียน, เมื่อเขา

๑๒๘ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  เขียนหนังสือเสร็จแลว ก็ดับประทีปเสีย, แมเมื่อประทีปถูกดับ ไปแลว ตัวหนังสือ (ท่ีเขียนไวแลว) ก็หาพินาศไปไม ฉันใด, ขอ ถวายพระพร ปญญาพอไดทาํ กิจของตนแลวก็ยอมดับไปในกิจ ท่ีไดทาํ ไวนั้นน่ันแหละ, แตกิจท่ีปญญานั้นไดทาํ ไวแลว วาไม เท่ียงก็ดี, วาเปนทุกขก็ดี, วาเปนอนัตตาก็ดี ใด, กิจที่ไดทาํ แลว นั้นหาดับไปไม ฉันนั้นเหมือนกัน” พระเจามิลินท: “ขอทานจงทาํ อุปมาย่ิงอีกหนอยเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวาผูคนในชนบททางทิศตะวันออก ต้ังโองนํ้าไวตามลาํ ดับ เรือน เรือนละ ๕ โอง เหนือหลังคา เพื่อใชดับไฟ, เม่ือเรือนหลัง หนึ่งถูกไฟไหม เขาก็ยอมเทน้าํ ท้ัง ๕ โองเหลาน้ันไปเบื้องบนของ เรือน, ไฟยอมดับไปเพราะเหตุนั้น, ขอถวายพระพร ผูคนเหลา น้ันยอ มเกิดความคิดอยางนี้วา เราจกั ใชโ อง ทัง้ ๕ เหลาน้ัน ทาํ กิจ ที่ควรทําดวยโองอีก ดังนี้หรือไมหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมหรอกพระคุณเจา พอทีละดวยโอง ทั้งหลาย ประโยชนอะไรดวยโองเหลาน้ันอีกเลา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พึงเห็นอินทรีย ๕ คือ สัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย ปญญินทรีย เปน ดุจโองนาํ้ ๕ โอง เถิด, พึงเห็นพระโยคาวจรเปนดุจผูคนเหลา นั้น พึงเห็นกิเลสท้ังหลายเปนดุจไฟ. ผูคนทั้งหลายยอมใชนํ้า ๕ โอง ดับไฟ ฉันใด, พระโยคาวจรก็ยอมใชอินทรีย ๕ ดับ กิเลสท้ังหลาย แมกิเลสท้ังหลายถูกดับไปแลว ก็ยอมไมเกิดอีก

มิลนิ ทปญ หากณั ฑ ๑๒๙ ฉันนั้น. ขอถวายพระพร ปญญาช่ือวา พอไดทํากิจของตนแลว ก็ยอมดับไป, แตกิจที่ปญญานั้นไดทาํ ไวแลว วาไมเท่ียงก็ดี, วาเปนทุกขก็ดี, วาเปนอนัตตาก็ดี, กิจท่ีไดทําไวแลวน้ันหา ดับไปไม ตามประการดังกลาวมาน้ี แล” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมาย่ิงอีกหนอยเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา แพทยถือเอาเครื่องยาที่เปนรากไม ๕ อยาง ไปหา คนไข บดเคร่ืองยาที่เปนรากไม ๕ อยางเหลานั้นละลายใหคน ไขด่ืม ก็โทษ (โรค) ทั้งหลายพึงหายไปเพราะเครื่องยาเหลานั้น, ขอถวายพระพร แพทยผูนั้นยอมเกิดความคิดอยางน้ีวา เราจัก ใชเครื่องยาท่ีเปนรากไม ๕ อยางเหลาน้ัน ทํากิจที่ควรทําดวย ยาอีก ดังน้ีหรือไมหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมหรอก พระคุณเจา พอทีละดวย เครื่องยาท่ีเปนรากไม ๕ อยางเหลาน้ัน ประโยชนอะไรดวย เครื่องยาท่ีเปนรากไม ๕ อยางเหลานั้นอีกเลา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พึงเห็นอินทรีย ๕ คือ สัทธินทรีย วิริยินทรีย สตินทรีย สมาธินทรีย ปญญินทรีย เปน ดุจเคร่ืองยาที่เปนรากไม ๕ อยางเถิด, พึงเห็นพระโยคาวจร เปนดุจแพทย, พึงเห็นกิเลสทั้งหลายเปนดุจความเจ็บปวย, พึง เห็นผูเปนปุถุชนเปนดุจบุรุษผูเจ็บปวย. โทษ (โรค) ทั้งหลาย ของคนไขหายไปเพราะแพทยใชเคร่ืองยาที่เปนรากไม ๕ อยาง, เมื่อโทษท้ังหลายดับไปแลว คนไขก็เปนอันหายโรค ฉันใด,

๑๓๐ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  พระโยคาวจรก็ยอมใชอินทรีย ๕ ทํากิเลสทั้งหลายใหดับไป, และกิเลสทั้งหลายท่ีถูกทําใหดับไปแลว ยอมไมเกิดอีก ฉันนั้น. ขอถวายพระพร ปญญาชื่อวาพอไดทํากิจของตนแลวก็ยอมดับ ไปในกิจน้ันนั่นแหละ แกกิจที่ปญญาน้ันไดทําไวแลว วาไมเท่ียง ก็ดี, วาเปนทุกขก็ดี, วาเปนอนัตตาก็ดี ใด, กิจที่ไดทาํ ไวแลว นั้น ยอมไมดับไป ตามประการดังกลาวมานี้ แล” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมายิ่งอีกหนอยเถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบเหมือน วานักรบผูคร่าํ หวอดในสนามรบควาเอาลูกธนูได ๕ ลูกแลวก็ หยั่งลงสูสนามรบ เพื่อเอาชนะกองทัพปรปกษ, นักรบผูน้ันถึง สนามรบแลว ก็พึงยิงลูกธนู ๕ ลูกน้ัน, และปรปกษก็แตกพาย ไปเพราะลูกธนูเหลาน้ัน, ขอถวายพระพร นักรบผูครํา่ หวอดใน สนามรบผูนั้น พึงเกิดความคิดอยางนี้วา เราจักใชลูกธนู ๕ ลูก เหลาน้ัน ทํากิจที่ควรทําดวยลูกธนูอีก ดังน้ีหรือไมหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมหรอกพระคุณเจา พอทีละดวยลูกธนู เหลานั้น, ประโยชนอะไรดวยลูกธนูเหลาน้ันอีกเลา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พึงเห็นอินทรีย ๕ คือ สทั ธนิ ทรีย วริ ยิ นิ ทรยี  สตนิ ทรีย สมาธนิ ทรีย ปญญินทรยี  เปน ดุจ ลูกธนู ๕ ลูก พึงเห็นพระโยคาวจรเปนดุจนักรบผูคราํ่ หวอด ในสนามรบ, พึงเหน็ กเิ ลสท้ังหลายเปน ดุจกองทพั ปรปก ษ, กองทพั ปรปก ษแ ตกพา ยไปเพราะลกู ธนู ๕ ลูก ฉนั ใด, กิเลสทั้งหลาย ยอมแตกหักไป เพราะอินทรีย ๕ และกิเลสท่ีแตกหักแลว

มิลนิ ทปญหากณั ฑ ๑๓๑ ก็ไมเกิดอีก ฉันน้ัน. ขอถวายพระพร ปญญาชื่อวาพอไดทํากิจของตนแลว ก็ดับไปในกิจน้ันน่ันแหละ, แตกิจที่ปญญานั้นไดทําไวแลว วา ไมเที่ยงก็ดี, วาเปนทุกขก็ดี, วาเปนอนัตตาก็ดี ใด, กิจท่ีไดทาํ ไว แลวนั้น ยอมไมดับไปตามประการดังกลาวมาน้ี แล” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทานตอบสมควรแลว” จบญาณปญ ญาปญ หาท่ี ๓ คาํ อธิบายปญหาท่ี ๓: ปญหาที่มีการถามถึงญาณและปญญา ชื่อวา ญาณ- ปญญาปญหา คาํ วา ผูใดมีญาณเกิดข้ึน ความวา พระโยคาวจรผูใดมี ญาณคือวิปสสนาญาณ หรือมีมัคคญาณอันมีวิปสสนาญาณน้ัน เปน เหตุ เกิดข้ึนแลว . ธรรมชาติเดียวกันคือปญญาน่ันแหละ ช่ือวา ญาณ โดย ความหมายวา “รู ในส่งิ ท่คี วรรู” ชอ่ื วา “ปญ ญา” โดยความหมาย วา “รโู ดยประการทั้งหลาย” คําวา ผูน้ันชื่อวามีปญญาเกิดแลว ความวา พระ โยคาวจรผูน้ันชื่อวามีปญญา คือวิปสสนาปญญา หรือมีมัคค- ปญญาอันมีวิปสสนาปญญาน้ันเปนเหตุ เกิดข้ึนแลว คําวา ในวิชาศิลปะที่ไมเคยรู ความวา ยังอาจหลงคือ ยังอาจไมรูวิชาศิลปะท้ังหลายท่ีไมเคยรูมากอน จะเปนงานศิลปะ

๑๓๒ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  ในทางโลกกต็ าม จะเปน งานศิลปะคอื ธรรมและวินยั กต็ าม เพราะ ไมเคยทาํ การส่ังสมความรูไว โดยเกี่ยวกับการเรียนและการ สอบถามทาํ นองอยางน้ีวา “อะไรหนอ, อยางไรหนอ, อยางน้ี หรือหนอ, ไมใชอยางน้ีหรือหนอ” เปนตน ในวิชาศิลปะ เหลาน้ัน. คาํ วา ในชื่อหรือบัญญัติท่ีไมเคยไดยิน ความวา ผูมี ญาณหรอื ปญญานั้น ยงั เปนปุถชุ นอยกู ต็ าม เปนพระเสกขะกต็ าม หรือแมเปนพระอรหันตก็ตาม ก็ยังอาจหลง คือ ยังอาจไมรูในช่ือ บัญญัติ สมัญญา โวหาร ภาษา คําเรียกขาน ที่ไมเคยไดยิน คือไมเคยเงี่ยโสตสดับมากอน ทาํ นองอยางนี้วา ช่ือวากระไร, เรียกวากระไร, กลาวขานกันวาอยางไร, อยางน้ีหรือหนอ, ไมใช อยางน้ีหรือหนอ, เปนตน. คําวา กจิ ทป่ี ญ ญานั้นไดท าํ ไวแ ลว ความวา ความหย่งั รู ช่อื วา กิจของปญ ญา กก็ ิจนนั้ ยอ มเปน ไปโดยประการ ๒ คอื ทํา ลักษณะใหปรากฏตามความเปนจริง ๑ ละความหลงท่ีปดบัง ลักษณะเหลานั้น ๑ ดวยวาในปญหานี้ พระเถระกลาวหมายเอา วิปสสนาปญญาเปนสําคัญ (ถาเปนมัคคปญญา ก็ยอมทํากิจ ๔ อยาง ในบรรดากจิ แหง อริยสจั ๔ มีการกําหนดทุกขเปน ตน). คาํ วา ความหลงยอมดับไปในท่ีนั้นนนั่ แหละ คือ ความ หลงยอมดับไปในท่ีท่ีตนเกิด คอื ในตวั พระโยคาวจรนั้นนนั่ แหละ. เปรียบเหมือนวา เม่ือตั้งประทีปในเรือนมืด ประทีปยอม ทําความสวางใหปรากฏ ผูมีตาดีจึงมองเห็นรูปทั้งหลายได ท้ัง

มลิ นิ ทปญหากัณฑ ๑๓๓ ยอมกําจัดความมืดใหส้ินไปในคราวเดียวกัน ไมกอนไมหลังกัน ฉันใด, เม่ือเพียงแตญาณหรือปญญาเกิดข้ึนเทาน้ัน ญาณหรือ ปญญาท่ีเกิดขึ้นนั้นยอมทาํ ลักษณะมีอนิจจลักษณะ (ลักษณะท่ี ไมเ ทีย่ ง) เปน ตน ใหปรากฏ ผมู ปี ญ ญาจงึ เห็น จงึ รูตามความเปน จรงิ วา สงิ่ นไ้ี มเ ทีย่ ง เปน ตน ทงั้ ยอมกําจดั ความหลงใหส น้ิ ไปใน คราวเดียวกนั ไมก อ นไมห ลงั กัน ฉนั นน้ั เหมอื นกนั . คําวา กิจทปี่ ญญานั้นไดทําไวแ ลววาไมเ ท่ียง ฯลฯ กิจ ทไ่ี ดทาํ ไวแลวนน้ั หาดบั ไปไม ความวา กิจ ๒ อยาง คือการทํา ลักษณะมอี นิจจลกั ษณะเปนตน ใหปรากฏ คือใหเ หน็ แจงประจกั ษ วา ส่ิงนไี้ มเ ทยี่ ง เปน ตน กด็ ี, การละความหลงคอื ความไมรู ก็ดี ท่ี ปญญาไดท าํ ไวแ ลว นน้ั ชือ่ วา หาดบั ไปไม เพราะเหตุไร เพราะเหตุ วา ถา หากวากิจทีท่ ําไวแ ลว นัน้ กด็ ับไปเชนเดียวกับปญญาน้นั นั่น แหละ ไซร ลักษณะที่ปรากฏแลว ก็จะหวนกลับมาไมปรากฏ คือ ถูกปกปดไวอยางเดิมอีก ความหลงก็จะหวนกลับมาอีก พระ โยคาวจรก็จะกลับมาเปนคนท่ีไมรูจักวาสิ่งน้ีเที่ยงหรือไมเท่ียง เปนตน เหมือนกอนหนาน้ีอีก แตเพราะมิไดวิปริตกลับกลอก อยางน้ี กิจท่ีปญญาไดทําไวแลวน้ันจึงช่ือวา ไมดับไป. ในอปุ มาหลงั ๆ มอี ุปมาเก่ยี วกบั โองนาํ้ ๕ โองเปน ตน ทา น พระนาคเสนยกข้นึ มาเปน เรื่องเปรียบใหเห็นการทํากจิ ของปญ ญา ท่ีเปนไปพรอมกับอินทรีย ๔ อยางท่ีเหลือมีศรัทธาเปนตนอันเปน บริวาร เน้ือหาในอุปมาเหลานั้นต้ืนอยูแลว จบคาํ อธิบายปญหาท่ี ๓

๑๓๔ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  ปญ หาที่ ๔, ปฏิสนั ทหนปคุ คลเวทยิ นปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ทานผูใดจะ ไมปฏิสนธิ (จะไมเกิดในภพใหมตอไปอีก) ทานผูน้ันยังจะเสวย ทุกขเวทนาอะไร ๆ อยูบางหรือ?” พระเถระถวายวิสัชชนาวา: “ทานยังเสวยทุกขเวทนาบาง อยาง, จะไมเสวยทุกขเวทนาบางอยาง” พระเจามิลินท: “เสวยทุกขเวทนาอะไร, ไมเสวยทุกข- เวทนาอะไร?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เสวยทุกขเวทนาทางกาย, ไมเสวยทกุ ขเวทนาทางใจ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ทานเสวยทุกขเวทนาทาง กายอยา งไร ไมเ สวยทกุ ขเวทนาทางใจ อยางไร?” พระนาคเสน: “เหตุใดปจจัยใด ยอมมีเพ่ือความเกิดขึ้น แหงทุกขเวทนาทางกาย, เพราะเหตุน้ัน ปจจัยนั้นยังไมระงับไป ทานจึงยังเสวยเวทนาทางกาย, เหตุใด ปจจัยใดยอมมีเพื่อความ เกิดข้นึ แหง ทกุ ขเวทนาทางใจ, เพราะเหตุนน้ั ปจ จัยนั้น ระงบั ไป ทานจึงไมเสวยทุกขเวทนาทางใจ. ขอถวายพระพร พระผูมี พระภาคทรงภาสิตความแมขอนี้ วา “โส เอกํ เวทนํ เวเทติ กายิกํ น เจตสิกํ - ภิกษุรูปนั้นยอมเสวยทุกขเวทนาทางกาย อยางเดียว ไมเสวยทุกขเวทนาทางใจ” ดังนี้.

มิลินทปญ หากณั ฑ ๑๓๕ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เพราะเหตุไรทานผู ยังเสวยทุกขเวทนาอยู จึงไมปรินิพพานเสียเลา? (จะไดไมตอง คอยเสวยทุกขเวทนาแมทางกายอยอู ยางนั้น)” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ทานผูเปนพระอรหันตหา มีความยินดีหรือความยินรายไม, อน่ึง พระอรหันตทั้งหลายเปน บัณฑิต ยอ มไมทาํ ขันธท ยี่ งั ไมสุกงอมใหตกไป, ยอมรอคอยความ สุกงอมอยู, ขอถวายพระพร ทานพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ ไดภาสิตความขอนี้ไววา: นาภินนทฺ ามิ มรณํ, นาภินนฺทามิ ชวี ติ ํ ฯ เป ฯ กาลจฺ ปฏิกงขฺ าม,ิ สมฺปชาโน ปตสิ สฺ โต๑ แปลวา : เราไมย นิ ดคี วามตาย, เราไมยินดีความเปน อยู ทวา เราไดแ ตเฝารอเวลาอยเู ทานั้น เหมอื นอยางลกู จางเฝา รอคาจา ง ฉะนั้น. เราไมย ินดีความตาย, เราไมย นิ ดี ความเปนอยู ทวาเราผมู ีสตเิ ฉพาะหนา มสี ัมปชญั ญะ ไดแ ตเ ฝา รอเวลาอยเู ทา นน้ั . ดงั น.ี้ พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบปฏิสนั ทหนปุคคลเวทยิ นปญ หาท่ี ๔                                                ๑. ขุ. เถร. ๒๖/๔๐๙. เปน คาํ พูดของพระขทริ วนิยเรวตเถระ ไมใชของพระสารีบุตร- เถระ.

๑๓๖ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค  คําอธบิ ายปญหาท่ี ๔: ชื่อปญหาที่ ๔ น้ี ในอรรถกถาเปน นัปปฏิสันทหน- ปุคคลเวทิยนปญหา แปลวา “ปญหาเก่ียวกับการเสวยเวทนา ของบคุ คลผูไ มม ปี ฏิสนธ”ิ ซึ่งนาจะถกู ตอ งกวา . คาํ วา ทา นผใู ดจะไมปฏิสนธิ ความวา ทานผูเ ปนพระ อรหนั ตใ ดจะไมป ฏิสนธ.ิ คําวา เพราะยงั ไมร ะงบั ไป คอื เพราะยงั ไมดบั ไป ความ วา เมื่อพระอรหันตยังมีชีวิตอยู กายประสาทก็ยังเปนไป ยังไม ระงับ เพราะฉะนัน้ เมื่อมโี ผฏฐพั พารมณท่ีไมนา ปรารถนา เชน วา รอนเกินไป เย็นเกินไป แข็งเกนิ ไป เปน ตน มากระทบกาย ทา นก็ ยอมเกิดความเจ็บปวด เม่อื มไี ฟธาตพุ ลงุ ขนึ้ มาจบั พน้ื กระเพาะใน คราวทีค่ วรกลนื กนิ อาหารแลวยงั ไมไ ดก ลืนกิน ทา นก็เกดิ ความหวิ เม่ือทรงกายอยูในอิริยาบถน้ัน ๆ นาน ๆ ทานก็เกิดความปวด เม่ือยขึ้น อยางน้ีเปนตน ความเจ็บปวดเปนตนท่ีเกิดขึ้น ชื่อวา ทกุ ขเวทนาทางกาย. เพราะเหตคุ อื กายประสาทยงั ไมระงับ เพราะ ปจจัยคืออัตภาพท้ังสิ้นอันเปนที่ต้ังแหงกายประสาทยังไมระงับ ทานจึงยังเสวยทุกขเวทนาเหลาน้ัน. คําวา เพราะระงับไป คือเพราะดับไป ความวา ทุกข- เวทนาทางใจที่เรียกวาโทมนัส มีโทสะเปนเหตุโดยเก่ียวกับวา เปนมูล มีธรรมที่เกิดรวมกันอื่น ๆ มีผัสสะ วิตก วิจาร เปนตน เปนปจจัยโดยเก่ียวกับวาเปนผูอุปถัมภ. เพราะเหตุและปจจัย เหลานั้นระงับดับไป คือถูกละไปดวยกําลังแหงมรรคภาวนา

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๑๓๗ ทุกขเวทนาคือโทมนัสน้ันจึงระงับดับไป เพราะฉะน้ัน พระ- อรหันตจึงไมมีการเสวยทุกขเวทนาทางใจ. ในคาถา คาํ วา ทวาเราไดแตรอเวลาอยูเทานั้น ความ วา เราไดแตรอเวลามรณะที่จะมาถึงเทาน้ัน. คาํ วา เหมือนอยางลูกจางเฝารอคาจาง ความวา เปรียบเหมือนวาลูกจางเฝารอคาจาง คือเวลาที่ลาภจะมาถึง ฉันใด, เราก็เฝารอเวลามรณะท่ีจะมาถึง ฉันน้ัน. จบคําอธิบายปญหาที่ ๔ ปญหาที่ ๕, เวทนาปญหา พระราชาตรัสถามวา “พระคุณเจานาคเสน สุขเวทนาเปน กุศล หรือวาอกุศล หรือวาอัพยากตะ (ไมใชท้ังกุศลท้ังอกุศล) เลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สุขเวทนา เปนกุศลก็มี เปนอกุศลก็มี เปนอัพยากตะก็มี” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา เวทนาถาหากเปนกุศล ก็ ยอมไมเปนทุกข, ถาหากเปนทุกขก็ยอมไมเปนกุศล, คําวา ‘กุศล ก็เปนทุกข’ ดังนี้ ฟงไมข้ึนหรอก” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระองคจะ ทรงสําคัญความขอนนั้ เปน ไฉน, ณ ทน่ี ี้มบี รุ ุษคนหน่ึงวางกอ นเหลก็ รอนบนฝามือขางหน่ึง, วางกอนหิมะเย็นบนฝามือขางท่ีสอง, ขอถวายพระพร ฝามือของเขาพึงไหมเกรียมทั้ง ๒ ขางหรือไร?”

๑๓๘ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  พระเจามิลินท: “ใช พระคุณเจา ฝามือของเขาพึงไหม เกรียมทั้ง ๒ ขาง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ฝามือของเขารอนทั้ง สองขางหรือ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ก็แตวาฝามือของเขา เย็นทง้ั ๒ ขางหรอื ?” พระเจามิลินท: “หามิได พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอจงทราบเถิดวา รับสั่งของพระองคเปน อันอาตมภาพขมไดแลว ถาหากกอนเหล็กรอนเทาน้ันแผดเผาได, แตฝ า มือของเขามไิ ดร อ นท้งั ๒ ขาง, เพราะเหตนุ ้ันพระดาํ รสั ของ พระองค (ที่วา “ใช พระคุณเจา ฝามือของเขาพึงไหมเกรียมทั้ง ๒ ขา ง”) ยอ มฟงไมขน้ึ ถาหากวากอ นหมิ ะเยน็ เทานนั้ แผดเผาเอา ได แตฝามือของเขาก็มิไดเย็นท้ัง ๒ ขาง, เพราะเหตุน้ัน พระ ดํารัสของพระองคยอมฟงไมขึ้น. ขอถวายพระพร ก็ฝามือของเขา ไหมเกรียมไปท้ัง ๒ ขา งไดอ ยางไรเลา , เพราะวาฝา มอื ของเขามิได รอนท้ัง ๒ ขางและมิไดเย็นท้ัง ๒ ขางเลย, ฝามือขางหนึ่งรอน ฝามือขางหน่ึงเย็น, แตก็ไหมเกรียมทั้ง ๒ มือ, เพราะฉะน้ัน พระดํารัสของพระองคยอมฟงไมข้ึน” พระเจามิลินท: “ขาพเจาไมมีความสามารถพอที่จะ โตตอบกับทานผูเปนเจาวาทะไดหรอก, ขอไดโปรดอธิบายความ ดวยเถิด” ตอจากนั้นไป พระเถระก็ไดถวายวิสัชชนา กระทําพระ

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๑๓๙ เจามิลินทใหทรงเขาใจ ดวยคําพูดท่ีประกอบดวยพระอภิธรรม ดังนี้ วา: “ขอถวายพระพรมหาบพติ ร เคหนสิ สิตโสมนสั (โสมนสั อาศัยเรือน) มี ๖ อยางเหลานี้, เนกขัมมนิสสิตโสมนัส (โสมนัส อาศยั เนกขมั มะ) ก็มี ๖ อยา ง, เคหนสิ สิตโทมนสั (โทมนสั อาศัย เรือน) ก็มี ๖ อยาง, เนกขัมมนิสสิตโทมนัส (โทมนัสอาศัย เนกขมั มะ) กม็ ี ๖ อยา ง, เคหนิสสติ อเุ บกขา (อุเบกขาอาศัยเรือน) ก็มี ๖ อยาง, เนกขัมมนิสสิตอุเบกขา (อุเบกขาอาศัยเนกขัมมะ) ก็มี ๖ อยาง, เวทนามี ๖ หมวดเหลาน้ี, เวทนาแมท่ีเปนอดีตมี ๓๖, เวทนาแมท่เี ปน อนาคตมี ๓๖, เวทนาแมทเี่ ปน ปจ จบุ นั มี ๓๖ รวบรวมเวทนาทงั้ หมดนน้ั เขา ดว ยกัน ก็เปนเวทนา ๑๐๘” เปน ตน. พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว ” จบเวทนาปญ หาที่ ๕ คําอธบิ ายปญหาที่ ๕: ปญหาเก่ียวเน่ืองกับเวทนา ชื่อวา เวทนาปญหา พระผูมีพระภาคตรัสไววา “เวทยิตํ สุขํ วา ทุกฺขํ วา อทุกฺขมสุขํ วา, ตมฺป ทุกฺขํ๑ - เวทนา สุขก็ตาม ทุกขก็ตาม                                                ๑. สํ.สฬา. ๑๘/๑๗๒ (สังคายนา)

๑๔๐ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค  อทุกขมสุข (อุเบกขา) ก็ตาม, เวทนาแมน้ัน เปนทุกข” ดังนี้ ความวา เวทนาทุกอยางเปนทุกข, จริงอยางน้ัน สุขเวทนา ก็จัดวาเปนทุกข โดยเปน วิปริณามทุกข (ทุกขคือสภาพที่แปรปรวนไป คือดับไป หมดสิ้น ไปเพราะเปนของไมเท่ียง) ทุกขเวทนา ก็จัดวาเปนทุกข โดยเปน ทุกขทุกข (ทกุ ข คอื สภาวะท่ีสตั วท้ังหลายทนไดย าก). อุเบกขา- เวทนา กจ็ ดั วา เปนทุกข โดยเปน สงั ขารทกุ ข (ทกุ ขคือสภาพที่ สังขารท้ังหลายมีอันถูกความเกิดข้ึนและความดับไปบีบค้ัน) ก็ เวทนาท้ังหลายอะไร ๆ ที่แตกไปโดยชาติ โดยภูมิเปนตน ได มากมาย ท้ังหมดลวนสงเคราะหเขาในเวทนา ๓ อยางเหลานี้ เพราะฉะน้ัน เวทนาทั้งหลายท้ังปวงลวนเปนทุกข เวทนาแม เปนกุศล ก็เปนทุกข, กลาวคือสุขเวทนาท่ีเปนกุศลยอมเปน วิปริณามทุกข, อยางน้ี เปนตน.” พระเจามิลินททรงกระทาํ ไวในพระทัย วา “เวทนา หากวา เปนอกุศล การจะกลาววาเปนทุกข ก็สมควรรับฟงได เพราะ เปนของไมนาปรารถนา, แตเวทนาหากวาเปนกุศลอันเปนสภาพ ที่เปนปฏิปกษตออกุศลทุกอยาง การจะกลาววา เปนทุกขเชน เดียวกับอกุศลน้ันน่ันแหละอีก น้ีไมนาฟงเลย” ดังน้ี แลวจึง ตรัสวา “คําวา กุศลก็เปนทุกข ดังน้ี ฟงไมข้ึนหรอก” ดังนี้. คําวา ถาหากกอนเหล็กรอนเทานั้นแผดเผาเอาได, แตฝามือของเขามิไดรอนทั้ง ๒ ขาง ความวา ถาหากวา

มิลินทปญหากณั ฑ ๑๔๑ กอนเหล็กรอนเทาน้ันมีความสามารถแผดเผาได, กอนหิมะ ไมมีความสามารถแผดเผาได ไซร, แตฝามือของเขามิได รอนท้ัง ๒ ขางเพราะอีกขางหน่ึงมีกอนหิมะเย็นวางอยู เพราะ เหตุไร ฝามือท่ีมีกอนหิมะเย็นวางอยูก็ไหมเกรียมเชนกันเลา. คําวา เพราะฉะนั้น พระดาํ รัสของพระองค ยอ มฟง ไมข้ึน ความวา เพราะฉะน้ัน พระดํารัสของพระองคท่ีวา “ใช พระคุณเจา ฝามือของเขาพึงไหมเกรียมไปท้ัง ๒ ขาง” ดังน้ี ยอมฟงไมข้ึน เพราะเมื่อมือท่ีมีของรอนวางอยูเทาน้ันพึงไหม เกรียมได เมื่อเปนอยางน้ี มือที่มีของเย็นวางอยูก็ไมนาจะไหม เกรียมดวย. แมคําวา ถาหากวากอนหิมะเทานั้น แผดเผา เอาได เปนตน ก็พึงทราบความหมาย ตามนัยท่ีกลาวมาแลวนี้. บัณฑิตพึงทราบการเปรียบเทียบดวยอุปมา อยางน้ี วา: เปรียบเหมือนวา กอนเหล็กรอนกับกอนหิมะเย็น แมมี สวนผิดกันดวยลักษณะท่ีรอนกับเย็น ถึงกระน้ัน เมื่อวางบนฝา มือแตละขาง ส่ิงของเหลานี้ก็ช่ือวามีสวนเหมือนกันดวยการ แผดเผาฝามือใหไหมเกรียมไดเสมอกัน ฉันใด, กุศลเวทนากับ อกุศลเวทนา แมวามีสวนผิดกันดวยชาติคือ กุศลกับอกุศล ถึงกระนั้นเวทนาท้ัง ๒ นี้ ก็ช่ือวามีสวนเหมือนกันดวยตางถึง ความเปนทุกข หาสุขสาระอะไร ๆ มิได ฉันนั้น. คําวา ขอถวายพระพร เคหนิสสิตโสมนัสมี ๖ อยาง เหลานี้ ความวา:

๑๔๒ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  โสมนัสท่ีเกิดขึ้นแกบุคคลผูได อิฏฐารมณ (อารมณที่นา ปรารถนา) ๖ อยางคอื รูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ และธรรม ที่ นา รัก นาพอใจ นาชอบใจ หรอื แมย งั ไมไ ด แตหวงั อยวู าจะได หรอื แมตามคํานงึ ถึงอิฏฐารมณท ี่เคยไดซ ึ่งดับไปแลว ช่อื วา เคหนิสสิต- โสมนสั มี ๖ อยาง ตามอารมณเหลาน้ันนั่นเอง. เปน โสมนสั ท่ี อาศยั กามคุณเกิดขนึ้ ดว ยวาคาํ วา “เคหะเรือน” ในที่นี้ เปน ชอื่ เรียกกามคณุ ท้ังหลาย. โสมนัสท่ีเกิดข้ึนแกบุคคลผูเห็นอยูดวยปญญาอันชอบ วา อารมณ ๖ มีรูปเปนตนเหลาน้ัน ไมเที่ยง มีความแปรปรวนไป มีความคลายไป มีความดับไปเปน ธรรมดา แลวยนิ ดีบนั เทงิ ใจอยู วา “เราจักพนจากชรามรณะ จากทุกขทั้งปวง ดวยปฏิปทาที่ เราบาํ เพ็ญไดนี้ละหนอ, เราเปนผูมีสวนรูธรรมเห็นธรรมท่ีพระ- อริยเจาท้ังหลายรูแลวเห็นแลวนั้นหนอ” ดังน้ี. ช่ือวา เนกขัมม- นิสสิตโสมนัส. ในท่ีน้ี ทานเรียกกุศลเครื่องออกจากกาม คือ วิปสสนาปญญา วา “เนกขัมมะ” โทมนัสทเ่ี กิดขน้ึ แกบ ุคคลผูประสบอนฏิ ฐารมณ (อารมณท ่ี ไมปรารถนา) มีรูปท่ีไมสวยไมงาม ไมนารัก ไมนาชอบใจเปนตน ชือ่ วา เคหนสิ สิตโทมนัส. โทมนัสที่เกิดขึ้นแกบุคคลผูแมทาํ วิปสสนาปญญาใหเกิด ได เห็นแลวดวยปญญาอันชอบ วา อารมณ ๖ มีรูปเปนตน เหลานั้น เปนของไมเท่ียงเปนตน แตเมื่อไมอาจทาํ ปญญาให กาวหนาไปจนบรรลถุ ึงมรรค แมโ ดยอาศยั เวลาอันยาวนาน ก็ยอ ม

มลิ ินทปญ หากัณฑ ๑๔๓ เสียใจ เศราโศก เปนทุกขอยูวา “เห็นทีวาเราไมอาจหยั่งลงสู อริยภูมิในอัตภาพนี้แลวเปนแน, เราตองตายท้ัง ๆ ที่ยังเปน ปุถุชน” ดังนี้ ชื่อวา เนกขัมมนิสสิตโทมนัส. พึงทราบ เคหนิสสิตอุเบกขา และ เนกขัมมนิสสิต- อุเบกขา ในคราวที่ปรารภอิฏฐารมณอยางปานกลาง หรือแม อนิฏฐารมณอยางปานกลาง, ตามทํานองดังกลาวแลวน้ันน่ัน แหละ มีขอตางกันเพียงวานั่นเปนโสมนัสหรือโทมนัส แตนี้เปน อุเบกขา. ก็เวทนาน้ี ทานเรียกวาอุเบกขา ก็โดยเก่ียวกับวางเฉย ไมสุขไมทุกข ไมดีใจ ไมเสียใจ ในอารมณท้ังหลาย. เคหนิสสิตโสมนัสมี ๖ อยาง ตามอารมณซึ่งมี ๖ อยาง ฉันใด, แมเวทนาท่ีเหลืออีก ๕ อยาง มี เนกขัมมนิสสิตโสมนัส เปนตน ก็ฉันนั้น เพราะฉะน้ัน จึงรวมเปนเวทนา ๓๖ อยาง, เปน อดีต ๓๖, เปนอนาคต ๓๖, เปนปจจุบัน ๓๖ จึงรวมเปนเวทนา ๑๐๘ อยาง ฉะนี้ แล. จบคําอธิบายปญ หาที่ ๕ ปญ หาที่ ๖, นามรปู เอกัตตนานัตตปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน, ใครปฏิ- สนธิ?” พระเถระถวายวิสัชชนาวา: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร นามรูปแล ปฏิสนธิ” พระเจามิลินท: “นามรูปนี้นี่แหละหรือ ปฏิสนธิ?”

๑๔๔ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร หาใชนามรูปนี้นี่แหละ ปฏสิ นธิไม, ขอถวายพระพร บุคคลยอ มทาํ กรรมดีบาง ช่ัวบา งดวย นามรูปนี้, นามรูปอ่ืนจึงปฏิสนธิเพราะกรรมน้ัน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ถาหากวานามรูปน้ีน่ีแหละ มิไดปฏิสนธิไซร, บุคคลผูนั้นก็จักเปนผูพนจากกรรมช่ัวท้ังหลาย ได มิใชหรือ?” พระเถระถวายวสิ ัชชนาวา : “ถาหากนามรูปไมอ าจปฏสิ นธิ ได ไซร, เขาก็พึงเปนผูพนจากกรรมช่ัวทั้งหลาย, ขอถวายพระพร แตเพราะเหตุที่นามรูปยอมปฏิสนธิ, เพราะเหตุน้ัน เขาก็ไมอาจ เปนผูพนจากกรรมชั่วท้ังหลายได.” พระเจา มลิ นิ ท: “ขอทา นจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวาบุรุษ คนหนึ่งขโมยผลมะมวงของบุรุษคนหน่ึงไป, บุรุษผูเปนเจาของ มะมวงจึงจับเอาบุรุษคนน้ันไปเฝาพระราชา กราบทูลวา ‘ขาแต พระองคผูทรงเปนเทพ นายคนนี้ขโมยผลมะมวงของขาพระองค พระเจาขา’, บุรุษผูขโมยผลมะมวงนั้นจึงกราบทูลวา ‘ขาแต พระองคผูทรงเปนเทพ ขาพระองคมิไดขโมยผลมะมวงของนาย คนน้ี, ผลมะมวงท่ีนายคนนี้เพาะปลูก (จนงอกขึ้นมาเปนตน มะมวงภายหลงั ) เปน ผลมะมวงอื่น ผลมะมว งทขี่ าพระองคเ ก็บมา เปนผลมะมวงอื่นอีกตางหาก, ขาพระองคไมนาเปนผูตองรับโทษ พระเจาขา’ ดังน้ี. ขอถวายพระพร บุรุษผูขโมยผลมะมวงน้ัน พึงเปนผูตองรับโทษหรือไรหนอ?”

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๑๔๕ พระเจา มลิ นิ ท: “ใช พระคุณเจา เขาพงึ เปนผูตองรับโทษ” พระนาคเสน: “เพราะเหตุไรหรอื ?” พระเจามิลินท: “บุรุษผูขโมยมะมวงน้ัน อาจกลาวอยางน้ี ไดก็จริงอยู, พระคุณเจา บุรุษผูนั้นบอกปดผลมะมวงผลกอน มิไดหรอก พึงเปนผูตองรับโทษเพราะมะมวงผลหลัง” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ันเหมือนกัน บุคคลยอมทาํ กรรมดีบาง ช่ัวบาง ดวยนาม รูปนี้ นามรูปอ่ืนจึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น, เพราะฉะนั้น จึง ไมอาจเปนผูพนจากกรรมชั่วท้ังหลายได” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมาใหยิ่งอีกหนอย เถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา บุรุษคนหน่ึง ขโมยขาวสาลีของบุรุษอีกคนหน่ึง ฯลฯ ขโมยออ ยของบุรษุ อกี คนหน่งึ ฯลฯ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา ในฤดูหนาว บุรุษคน หน่ึง กอไฟข้ึน ผิงไฟยังไมทันทําใหดับไป ก็ไป (ท่ีอื่น) เสีย, ไฟ น้ันก็พึงไหมนาของบุรุษอีกคนหน่ึง, บุรุษผูเปนผูเจาของนาจึงจับ เอาตัวบุรุษผูน้ีน้ันไปเฝาพระราชา กราบทูลวา ‘ขาแตพระองค ผูทรงเปนเทพ นายคนนี้เผานาของขาพระองค พระเจาขา’ บุรุษผูเผานาน้ันจึงกราบทูลวา ‘ขาแตพระองคผูทรงเปนเทพ ขา- พระองคมิไดเผานาของนายคนน้ี, ไฟท่ีขาพระองคยังมิไดดับเปน ไฟอีกกองหนึ่ง, ไฟท่ีเผานาของนายคนนี้ก็เปนไฟอีกกองหนึ่ง

๑๔๖ วรรคท่ี ๒, อทั ธานวรรค  ขาพระองคไมนาเปนผูตองรับโทษ พระเจาขา’ ดังนี้. ขอถวาย พระพร บุรุษผูก อ ไฟนน้ั พึงเปน ผตู องรับโทษหรือไรหนอ?” พระเจามลิ นิ ท: “ใช พระคณุ เจา เขาพงึ เปนผูตองรับโทษ” พระนาคเสน: “เพราะเหตไุ รหรือ?” พระเจามิลินท: “บุรุษผูกอไฟน้ันอาจกลาวอยางน้ีไดก็จริง อยู, พระคุณเจา บุรุษผูน้ันบอกปดไฟกองกอนมิไดหรอก, บุรุษ ผูนั้นพึงเปนผูตองรับโทษเพราะไฟกองหลัง” พระนาคเสน: “อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน บคุ คลยอมทํากรรมดบี าง กรรมชัว่ บา ง ดว ยนามรูปน้,ี นามรปู อ่ืน จึงปฏิสนธิเพราะกรรมนั้น, เพราะฉะนั้น จึงไมอาจเปนผูพนจาก กรรมช่ัวทัง้ หลายได” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหย่ิงอีกหนอย เถดิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมอื นวา บุรษุ คน หน่ึง พึงถือประทีปยางข้ึนปราสาท (เรือน) แลวบริโภคอาหาร, ประทีปท่ีลุกติดอยูก็ไปเผาเอาหญาเขา, หญาท่ีลุกติดอยูก็ไป เผาเอาเรือนเขา, เรือนที่ลุกติดอยูก็ไปเผาเอาละแวกบานเขา, ชาวบานจึงจับเอาตัวบุรุษผูน้ันไว แลวกลาวอยางน้ีวา ‘นาย เอย ทาํ ไมนายจึงเผาละแวกบานเสียละ?’ บุรุษผูน้ันจึงกลาว (กะชาวบาน) อยางนี้วา ‘นายเอย ฉันมิไดเผาละแวกบาน, ไฟ ประทีปที่ฉันไดอาศัยแสงสวางกินขาว เปนไฟอีกกองหนึ่ง, ไฟ ที่เผาละแวกบานก็เปนไฟอีกกองหน่ึง’ ดังนี้. คนเหลานั้น

มลิ นิ ทปญหากัณฑ ๑๔๗ ทะเลาะกันพากันมาท่ีพระราชนิเวศนของพระองค, ขอถวาย พระพร พระองคจ ะทรงจดั การยอมรับคําฟอ งของใคร?” พระเจา มลิ นิ ท: “ของชาวบาน พระคณุ เจา ” พระนาคเสน: “เพราะเหตุไรหรอื ?” พระเจา มิลนิ ท: “บรุ ุษคนนัน้ อาจกลา วอยางนไี้ ดกจ็ รงิ , แต ทวาไฟ (ที่เผาละแวกบาน) น้ัน ก็บังเกิดจากไฟประทีปน้ันน่ัน แหละ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันนั้นเหมือนกัน นามรูปกอนตาย (ในภพกอน) ก็สวนหนึ่ง, นามรูปคราวปฏิสนธิก็เปนอีกสวนหนึ่ง, แตทวานามรูป (ในคราว ปฏิสนธิ) น้ันก็บังเกิดจากนามรูปกอนตายน้ันนั่นแหละ, เพราะ ฉะน้ัน จึงไมอาจเปนผูพนจากกรรมชั่วท้ังหลายได” พระเจา มิลนิ ท: “ขอทานจงกระทําอปุ มาใหย ง่ิ อกี หนอยเถดิ ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรยี บเหมอื นวา บุรุษคน หน่ึง สูขอเด็กหญิง หมั้นแลวก็ไปเสีย, สมัยตอมา เด็กผูหญิงนั้น กถ็ ึงวัยเปนผูใหญ, ตอมาก็มีบุรุษอีกคนหนึ่งมาหม้ันแลวทําการ วิวาห, บุรุษคนกอนน้ีกลับมาแลวกลาวอยางน้ีวา ‘นี่แนะ นาย เอย เพราะเหตุไรนายจึงพาภรรยาของฉันไปเสียเลา’ ดังน้ี. บุรุษคนหลังนั้นจึงกลาวอยางนี้วา ‘ฉันมิไดพาภรรยาของนาย ไปหรอก เด็กหญิงวัยรุนที่นายสูขอและหม้ันไวนั้นเปนอีกคน หนึ่ง, เด็กหญิงที่ถึงวัยเปนผูใหญแลวท่ีฉันสูขอและหม้ันแลว น้ีก็เปนอีกคนหน่ึง’ ดังน้ี. คนท้ัง ๒ นั้นทะเลาะกัน พากันมาที่

๑๔๘ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค  พระราชนิเวศนของพระองค. ขอถวายพระพร พระองคจะทรง ยอมรับคําฟองของใคร?” พระเจามิลินท: “ของบุรุษคนกอน พระคุณเจา?” พระนาคเสน: “เพราะเหตุไรหรือ?” พระเจามิลินท: “บุรุษคนท่ี ๒ น้ันอาจกลาวอยางน้ีได ก็จริง, แตทวาหญิงที่เปนผูใหญนั้น ก็บังเกิดจากเด็กผูหญิงนั้น นั่นแหละ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉัน นั้นเหมือนกัน นามรูปกอนตายก็เปนสวนหน่ึง, นามรูปในคราว ปฏิสนธิก็เปนอีกสวนหนึ่งก็จริงอยู แตทวา นามรูปในคราว ปฏิสนธิน้ัน ก็บังเกิดจากนามรูปกอนตายนั้นนั่นแหละ,เพราะ ฉะน้ัน จึงไมอาจเปนผูพนจากกรรมช่ัวท้ังหลายได” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหยิ่งอีกหนอย เถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวาบุรุษคนหน่ึง ซื้อนมสดหมอหน่ึงจากมือของคนเลี้ยงโค ยังคงวางหมอนมไวในมือของคนเล้ียงโคนั้นน่ันแหละ (ยังมิได รับเอาไป) กลาววา ‘พรุงนี้ฉันจะมารับไป’ ดังนี้แลวก็ไปเสีย, วัน ตอมานมสดหมอนั้นก็กลายเปนนมสมไป, บุรุษคนนั้นกลับมา กลาวอยางน้ีวา ‘จงเอาหมอนมสดมาใหเรา’ ดังน้ี. คนเลี้ยงโคนั้น ก็มอบนมสมใหไป. บุรุษคนกอนน้ีก็กลาวอยางนี้วา ‘ฉันมิไดซื้อ นมสมจากมือของนาย, จงเอาหมอนมสดมาใหฉัน’ ดังน้ี. นาย

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๑๔๙ คนเล้ียงโคน้ัน จึงกลาวอยางน้ีวา ‘นมสดของทานผูไมรูอะไร กลายเปนนมสมไปแลว’ คนท้ัง ๒ ทะเลาะกัน พากันไปที่พระ ราชนิเวศนของพระองค. ขอถวายพระพร พระองคจะทรงยอม รับคาํ ฟองของใคร?” พระเจามิลินท: “ของคนเลี้ยงโค พระคุณเจา” พระนาคเสน: “เพราะเหตุไรหรือ?” พระเจามิลินท: “บุรุษคนน้ันอาจกลาวอยางนี้ไดก็จริง, แตทวานมสมนั้นก็บังเกิดจากนมสดนั้นนั่นแหละ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉัน นั้นเหมือนกัน นามรูปกอนตายก็เปนสวนหน่ึง, นามรูปในคราว ปฏิสนธิก็เปนอีกสวนหน่ึง ก็จริงอยู แตทวา นามรูปในคราว ปฏิสนธิน้ัน ก็บังเกิดจากนามรูปกอนตายน้ันน่ันแหละ, เพราะ ฉะนัน้ จึงไมอ าจเปนผูพน จากกรรมชว่ั ทัง้ หลายได” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนามรูปเอกตั ตนานตั ตปญ หาที่ ๖ คาํ อธิบายปญหาท่ี ๖: ปญหาเก่ียวกับความเปนอันเดียวกันหรือความเปนคน ละอยางกันแหงนามรูป ชื่อวา นามรูปเอกัตตนานัตตปญหา เมื่อพระราชาตรัสถามวา “พระคุณเจานาคเสน ใคร ปฏิสนธิ?” พระเถระถวายวิสัชชนากระทาํ การปฏิเสธสัตวบุคคล

๑๕๐ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค  ผูปฏิสนธิ วา “ขอถวายพระพร มหาบพิตร นามรูปแล ปฏิสนธิ” ในคาํ วิสัชชนาน้ัน พระเถระนาจะกลาววา “วิญญาณ ปฏิสนธิ” เพราะการปฏิสนธิเปนกิจของวิญญาณอันเปนวิบาก (ผล) ของกรรมดกี รรมชว่ั ตามพระบาลที ว่ี า ปฏสิ นธฺ ิ วิ ฺาณ,ํ โอกฺกนฺติ นามรูป๑ (ปฏสิ นธชิ ่อื วาเปนวิญญาณ, การกา วลงชอ่ื วานามรูป) แตทานกลับกลาววา “นามรูป ปฏิสนธิ” เพราะเม่ือ กลาวอยางน้ี ก็เปนอันสงเคราะหวิญญาณเขาดวยนามน้ันน่ัน แหละ เพราะวญิ ญาณก็เปนนามขันธอ ยางหนง่ึ ในบรรดานามขันธ ๔ อยา ง และเพราะในขณะปฏิสนธิอันเปนขณะแรกแหง ภพใหม น้ัน วิญญาณก็มีความเปนไปพรอมกับนามรูป แมในกาลตอมา หลังจากปฏิสนธิแลวก็เปนอยางนั้น วิญญาณและนามรูปยอม เปนไปดวยกัน (ในเทศนาปฏิจจสมุปปาท บทวา “วิฺาณ- ปจฺจยา นามรูป - เพราะวิญญาณเปนปจจัยจึงมีนามรูป” น้ัน พึงทราบวา ยกเวนวิญญาณขันธอันต้ังอยูในฐานะเปนปจจัย เสีย นามขันธ ๓ ทเ่ี หลือ คอื เวทนาขนั ธ สญั ญาขนั ธ และสงั ขาร- ขันธ อันเกิดรวมกับปฏิสนธิวิญญาณน้ันนั่นแหละ และรูปขันธ ชื่อวา นามรูป) กลาวงาย ๆ วา จิตใจความรูสึกนึกคิดท้ังปวง น่ันเอง เรียกวา นาม. คาํ วา นาม แปลวา ธรรมชาตทิ นี่ อ มไปสู อารมณคอื รูอารมณ ธรรมชาติน้ีไมมีอยูในคนที่ตายแลว คําวา นาม ในท่ีน้ีมิไดหมายถึงชื่อ. อัตภาพรางกายที่คอย ๆ เจริญ                                                ๑. ขุ. ปฏ.ิ ๓๑/๖๗.

มิลนิ ทปญ หากัณฑ ๑๕๑ เติบโตไปตามวัย ตามลาํ ดับนน่ั เอง เรียกวา รปู . ก็การถอื เอาวา สตั ว วา บุคคล อันพน ไปจากนามรปู หามไี ม. คาํ วา นามรูปนี้น่ีแหละหรือปฏิสนธิ ความวา นามรูป ท่ีกาํ ลังเปนไปในภพน้ีน่ีแหละหรือ หลังจากตายก็จะปฏิสนธิ (สืบตอภพใหม, เกิดใหม) ในภพหนา. หรือวานามรูปน้ีสูญสิ้นไป พรอมกับความตาย นามรูปอ่นื ปฏิสนธิเลา . คาํ วา บคุ คลยอมทาํ กรรมดีบา ง ชั่วบา ง ดว ยนามรูปนี้ นามรูปอ่ืนจึงปฏิสนธิ ความวา อาศัยธรรมสันตติ (ธรรมคือ นามรูป ที่เปนไปสืบตอกัน) จึงเกิดสมมุติวา สัตว วา บุคคล. เม่ือมีการทํากรรมดีบาง ชั่วบางในความสืบตอน้ัน กรรมนั้นนั่น แหละ ยอมเปนปจจัย ทาํ นามรูปอ่ืนใหปฏิสนธิคือใหตั้งขึ้นใน ภพใหม. คําวา ถาหากวานามรูปนี้น่ีแหละมิไดปฏิสนธิไซร บุคคลผูน้ันก็พึงเปนผูพนจากกรรมชั่วท้ังหลายมิใชหรือ ความวา เมื่อสตั วหรอื บุคคลไมมีโดยปรมัตถ เรยี กนามรูปที่เปน ไป สืบตอ กนั นั่นเองวา สตั ว วา บุคคล เพราะฉะนน้ั คาํ วา บุคคลทาํ กรรมดีบาง ช่ัวบางดวยนามรูปนี้ จึงมีความหมายวานามรูปท่ี เปนไปสืบตอกันนั้นน่ันแหละ เปนผูทํากรรมดีบาง ช่ัวบาง ถาวา นามรูปนี้ทํากรรมช่ัวไว แตนามรูปอ่ืนกลับปฏิสนธิในนรกเพราะ กรรมช่วั น้ันไซร ก็ยอ มชอ่ื วา บุคคลนท้ี าํ กรรมชั่วไวแ ตบคุ คลอื่นรบั ผลของกรรมช่ัวน้ัน เม่ือเปนเชนน้ีผูใดทาํ กรรมชั่ว ผูนั้นก็ชื่อวา พนจากกรรมช่ัว คือไมตองรับผลแหงกรรมชั่วท่ีตนทํา.

๑๕๒ วรรคที่ ๒, อทั ธานวรรค  คาํ วา ถาหากนามรูปไมอาจปฏิสนธิไดไซร เขาก็พึง เปนผูพนจากกรรมชั่วทั้งหลาย เปนตน ความวา ถาหาก บุคคลแมทาํ กรรมช่ัวดวยนามรูปนี้ไวแลว ก็ไมมีนามรูปอ่ืน ปฏิสนธิไซร ก็พึงกลาวไดวา เขาพึงเปนผูพนจากกรรมชั่ว, แต เพราะไดทาํ กรรมชั่วดวยนามรูปนี้ไวแลวน่ันเทียว นามรูปอื่นจึง มีอีก ดวยอํานาจการปฏิสนธิในภพใหมเพราะกรรมช่ัวที่ทาํ ไวน้ัน นั่นแหละ เพราะฉะนั้น จึงไมอาจพนจากกรรมช่ัวท้ังหลายได. ความจริง นามรูปบังเกิดเพราะเหตุหลายอยาง ไมใช เฉพาะกรรมเทานัน้ . เหตเุ หลา นน้ั มี ๔ อยา ง ไดแก อวชิ ชา - ความ ไมร ูสัจธรรม ๑, ตณั หา - ความอยาก ๑, อปุ าทาน - ความยึดม่นั ๑, กรรม - กรรมดี กรรมชั่วท่ีสัตวทําไว ๑, ทานกลาวไววา “อวิชฺชา ตณฺหา อุปาทานํ กมฺมนฺติ อิเม จตฺตาโร ธมฺมา นิพฺพตตฺ กตฺตา เหตุ”๑ แปลวา “ธรรม ๔ อยางเหลาน้ี คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ชื่อวาเหตุแหงนามรูปเพราะเปน ผูทาํ ใหบังเกิด” ดังน้ี. แตพระเถระกลาวถึงกรรมเทานั้นวาเปน เหตุแหงนามรูป เพราะทานประสงคกลาวเฉพาะเหตุที่เปน ประธาน เพราะบรรดาเหตุเหลานั้น กรรมนั่นแหละจัดวา เปนประธาน และเพ่ือใหสอดคลองกับคําทวงติงของพระเจา มิลินทที่ตรัสถึงกรรมวา “ถาหากนามรูปอื่นปฏิสนธิ บุคคลก็ จะพึงเปนผูพนจากกรรมช่ัวได” ดังนี้.                                                ๑. วสิ ุทธฺ มิ คคฺ . ๓/๒๖๓ (ฉบบั ภูมิพโลภิกข)ุ .

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๑๕๓ ในอุปมาท้งั หลาย, ในอปุ มาแรก ประเด็นของอปุ มามีเพยี ง วา มะมวงผลหลัง ๆ เปนมะมวงท่ีบุรุษผูเปนเจาของสวนมะมวง มิไดเพาะปลูกไวก็จริง แตเพราะเหตุท่ีบังเกิดจากมะมวงท่ีบุรุษผู นเี้ พาะปลูกไว จึงนบั วาเปนของของบุรุษผูเปน เจา ของสวนมะมว ง น้ีอยูน่ันเอง คนอื่นไมอาจถือสิทธิ์ครอบครองได ขอน้ี ฉันใด, นาม รูปท่ีปฏิสนธิยอมบังเกิดจากกรรมที่บุคคลทาํ ไวดวยนามรูปท่ี เปนไปกอนตาย ดวยอํานาจแหงความเปนไปในความสืบตอ อันเดียวกัน เพราะฉะน้ัน ยอมเปนนามรูปของบุคคลเดียวกันนั้น นั่นแหละ หาใชเปนนามรูปของบุคคลอื่นไมฉันน้ัน. เม่ือนามรูป ที่ปฏิสนธิน้ันต้ังขึ้นในนรก เพราะเปนนามรูปท่ีบังเกิดจากกรรม ชั่วท่ีทาํ ไวกอนตาย ก็ชื่อวา บุคคลผูทาํ กรรมชั่วไวกอนตายน่ัน แหละเปนผูบังเกิดในนรก เพราะฉะนั้นจึงไมอาจพนจากกรรม ชั่วท้ังหลายได หมายความวา จาํ ตองรับผลของกรรมช่ัวที่ตนทาํ ไว สวนการท่ีทานกระทําอุปมากลาวถึงคําอางเพื่อใหพนผิดของ บุคคลผูขโมยมะมวงไวนั้น ก็เพียงเพื่อแสดงใหเห็นวา ในความ สืบตออันเดียวกันตามความสัมพันธกันแหงเหตุและผล บุรุษผู เพาะปลูกมะมวงผลกอน ๆ ไวน่ันแหละยอมเปนเจาของมะมวง ผลหลัง ๆ ดวย บุรุษผูขโมยมะมวงผลหลัง ๆ ไปไมอาจอางความ เปนเจาของถือสิทธ์ิครอบครองมะมวงผลหลัง ๆ ท่ีตนขโมยไปได เลย การท่ีเขาตองรับโทษไมพนโทษไปไดน่ันแหละ เปนเครื่อง ชี้ใหเห็นวามะมวงผลหลัง ๆ เปนของบุรุษผเู พาะปลูกมะมวงผล กอน ๆ ไวแนนอน บุรุษผูขโมยเอาไปไมอาจคัดคานได อยางนี้

๑๕๔ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค  เทาน้ัน ฉะน้ีแล. ในอุปมาท่ีเหลือก็พึงทราบความหมายตามนัย ดังกลาวมานี้เถิด. จบคาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๖ ปญหาท่ี ๗, เถรปฏิสันทหนาปฏสิ ันทหนปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ทานจะ ปฏิสนธิอีกหรือไม?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อยาเลย, ประโยชนอะไรดวยคาํ ที่พระองคตรัสถามน้ันเลา. อาตมภาพได ถวายวิสัชชนาไปแลว วา ‘ถาหากวาอาตมภาพยังเปนผูมีอุปา- ทาน, อาตมภาพก็จักปฏิสนธิอีก, ถาหากวาอาตมภาพจักเปน ผูไมมีอุปาทาน อาตมภาพก็จักไมปฏิสนธิอีก’ ดังนี้ มิใชหรือ?” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา บุรุษ คนหน่ึง พึงทาํ การทะนุบํารุงพระราชา, พระราชาทรงยินดีแลว ก็ทรงใหการทะนุบาํ รุงแกเขา, เขาผูเปนอ่ิมเอิบ เพียบพรอม บาํ รุงบําเรออยูดวยกามคุณทั้ง ๕ เพราะการทะนุบาํ รุงน้ัน, ถาหากวา เขาพึงบอกแกมหาชนวา ‘พระราชามิไดทรงกระทํา ตอบแทนอะไร ๆ แกเราหรอก’ ดังน้ีไซร ขอถวายพระพร บุรุษ ผูนั้น ช่ือวาเปนผูทาํ ถูกตองแลวหรือไม?” พระเจามิลินท: “ไมหรอก พระคุณเจา”

มิลินทปญ หากัณฑ ๑๕๕ พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ัน ประโยชนอะไรดวยคําที่พระองคตรัสถามนั้นเลา อาตม- ภาพไดกลาวเจาะจงทีเดียวแลววา ‘ถาหากวาอาตมภาพยังเปน ผูมีอุปาทาน, อาตมภาพก็จักปฏิสนธิอีก, ถาหากวาอาตมภาพ จักเปนผูไมมีอุปาทาน อาตมภาพก็จักไมปฏิสนธิอีก’ ดังน้ี. มิใชหรือ?” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบเถรปฏสิ นั ทหนาปฏสิ นั ทหนปญหาท่ี ๗ คําอธิบายปญหาที่ ๗: ปญหาท่ีมีการถามถึงการปฏิสนธิหรือไมปฏิสนธิแหงพระ เถระ ช่อื วา เถรปฏิสนั ทหนาปฏสิ นั ทหนปญ หา. คาํ วา อยาเลย คือ ไมถ กู ตอ งเลย คาํ วา การทะนุบาํ รงุ คอื การอปุ การะ ในอุปมา, บุรุษน้ัน เม่ือพระราชาทรงกระทําอุปการะ ตอบแทนแกเขา ทาํ ใหเขาพอใจแลว การท่ีเขากลับไปบอกกลาว แกค นทั้งหลายวาพระราชามไิ ดทรงกระทําอุปการะอะไร ๆ แกเรา หรอก ดังนี้ ในภายหลังนนั้ ชือ่ วา ทาํ ไมถกู ตองคอื ไมสมควรฉนั ใด, การทพ่ี ระเถระไดถ วายวิสัชชนาปญ หานีแ้ กพระราชาทําพระราชา ใหยินดียอมรับกอนหนานี้แลว ในบัดนี้ พระราชาทรงกลับมาตรัส

๑๕๖ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  ถามปญหาน้ีอีก เหมือนอยางกับวาพระเถระมิไดถวายวิสัชชนา มากอนเลยน้ัน ก็ชื่อวาทรงทาํ ไมถูกตองคือไมสมควร ฉันน้ัน. จบคําอธิบายปญ หาท่ี ๗ ปญ หาท่ี ๘, นามรปู ปฏสิ ันทหนปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน ในคําที่ทาน กลาววา ‘นามรูป’ นี้, อะไรคือนาม, อะไรคือรูป?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ในคาํ วา นาม รูป น้ัน ธรรมชาติที่หยาบคือรูป, ในคาํ วา นามรูป น้ัน จิตและ เจตสิกธรรมท้ังหลาย อันเปนธรรมชาติที่ละเอียดคือนาม” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน เพราะเหตุไรนาม อยางเดียว ปฏิสนธิไมได หรือรูปอยางเดียวก็ปฏิสนธิไมไดเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ธรรมเหลานี้อิงอาศัยกัน และกัน ยอมเกิดขึ้นพรอมกันทีเดียว” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา ถาตัวออน (แรกเกิด) ของแมไกไมมี แมเย่ือไข (อัน เปนท่ีต้ังอาศัย) ก็ไมมี. ในส่ิงท้ัง ๒ น้ัน ตัวออนก็ดี, เย่ือไขก็ดี สิ่งทั้ง ๒ นี้อิงอาศัยซึ่งกันและกัน, ส่ิงทั้ง ๒ น้ีมีความเกิดข้ึน พรอมกันทีเดียว ฉันใด, ขอถวายพระพร ในนามและรูปน้ัน ถา นามไมมี, แมรูปก็ไมอาจมีได, ในนามและรูปนั้น นามก็ดี รูปก็ ดี ธรรมท้ัง ๒ น้ี อิงอาศัยซึ่งกันและกัน ธรรมท้ัง ๒ น้ี มีความ

มิลินทปญหากณั ฑ ๑๕๗ เกิดขึ้นพรอมกันทีเดียว ฉันนั้นเหมือนกัน. นามและรูปนี้ดังกลาว มาน้ี มีอันแลนไปตลอดกาลนาน” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบนามรูปปฏสิ ันทหนปญ หาที่ ๘ คาํ อธบิ ายปญหาท่ี ๘: ปญหาเกี่ยวกับการปฏิสนธิของนามรูป ช่ือวา นามรูป- ปฏสิ นั ทหนปญหา. พระราชาตรัสถามวา “เพราะเหตุไรนามอยางเดียว ปฏสิ นธไิ มไ ด” ดังนเ้ี ปน ตน ทรงหมายเอาการปฏสิ นธขิ องมนษุ ย ซึง่ เปนสตั วท เ่ี น่ืองในปญ จโวการภูมิ (ภูมิที่มขี นั ธ ๕ คือ มที ั้งรูปทั้ง นาม). เปนความจริงวา ในจตุโวการภูมิ (ภูมิท่ีมีนามขันธ ๔ ยกเวนรูปขันธ, ไดแกอรูปภูมิท้ังหลายนั่นเอง) มีแตนามอยาง เดียวเทานั้นปฏิสนธิ ไมมีรูปปฏิสนธิ. ในเอกโวการภูมิ (ภูมิท่ีมี ขันธเดียวคือรูปขันธ ไดแกอสัญญีสัตตภูมิ) มีแตรูปอยางเดียว ปฏิสนธิ ไมมีนามปฏิสนธิ. ก็ในคราวปฏิสนธิแหงสัตวในปญจ- โวการภูมิทั้งหลาย มีมนุษยเปนตนน้ัน นามรูปยอมอิงอาศัย กัน อุบัติพรอมกัน. แมนามอันมีจิตเปนประธานเทาน้ันจะทาํ หนาท่ีปฏิสนธิ หาใชรูปไมก็ตาม แตนามนั้นก็ตองมีรูปเปนท่ีตั้ง อาศัย และรูปน้นั บงั เกดิ ในคราวนัน้ ไดก็เพราะไดน ามอันมีปฏสิ นธิ- จิตเปนประธานน้ันนั่นแหละ เปนปจจัยผูทําใหเกิดขึ้น โดยเกิดขึ้น

๑๕๘ วรรคที่ ๒, อัทธานวรรค  พรอมกันกับปฏิสนธิจิตนั้น เพราะเหตุน้ัน พระเถระจึงกลาววา “นามก็ดี รูปก็ดี, ธรรมท้ัง ๒ น้ีอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ธรรม ท้ัง ๒ นี้มีความเกิดข้ึนพรอมกันทีเดียว” ดังนี้. จบคาํ อธบิ ายปญ หาท่ี ๘ ปญ หาท่ี ๙, อทั ธานปญหา พระราชาตรัสถามวา “พระคณุ เจานาคเสน คําทท่ี า นกลา ว วา ‘ตลอดกาลนาน (ทีฆอทฺธานํ)’ นี้ใด, อะไรเลาชื่อวาสิ่งมีกาล (อัทธานะ) น?้ี ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร สิ่งที่ลวงไป แลวก็ช่ือวา ส่ิงมีกาล, ท่ยี ังมาไมถึงก็ช่ือวา ส่ิงมีกาล, ส่ิงที่เกิดข้ึน เฉพาะหนา ก็ชื่อวา ส่ิงมีกาล” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา สิ่งท่ีมีกาล ลวนมีอยูท้ังนั้น หรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ส่ิงมีกาลบางอยางมีอยู, สิ่งมีกาลบางอยางไมมีอยู” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา อะไรช่ือวาส่ิงมีกาลมีอยู, อะไรช่ือวาส่ิงมีกาลไมมีอยู?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร สังขารท้ังหลายท่ีลวงไป แลว ไปปราศแลว ดับไปแลว แปรปรวนไปแลว เหลานั้นใด, น้ัน ช่ือวา สิ่งมีกาลไมมีอยู. วิบากธรรมทั้งหลายก็ดี, ธรรมท่ีใหวิบาก ธรรมท้ังหลายก็ดี, ธรรมที่กาํ ลังใหปฏิสนธิในภพอื่น ๆ อยูก็ดี ใด,

มิลินทปญหากัณฑ ๑๕๙ นั้นช่ือวา ส่ิงมีกาลมีอยู. อนึ่ง สัตวท้ังหลายท่ีไดทาํ กาละแลว ไมเกิดข้ึนในภพอื่น ใด, นั้นก็ชื่อวา ส่ิงมีกาลไมมีอยู. คือ สัตว ท้ังหลายผูปรินิพพานแลว ใด, นั้นก็ช่ือวาส่ิงมีกาลไมมีอยู เพราะ ดบั รอบแลว ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบอัทธานปญ หาท่ี ๙ คําอธบิ ายปญหาท่ี ๙: ปญหาที่มีการถามถึงอัทธานะ (กาล, สิ่งที่มีกาล) ช่ือวา อทั ธานปญ หา คาํ วา อัทธานะ (ส่ิงมีกาล) ไดแกสิ่งท่ีเปนไปเน่ืองดวย กาล ๓ มีอดีตกาลเปนตน. คาํ วา สิ่งมีกาลบางอยางมีอยู, สิ่งมีกาลบางอยางไมมี อยู ความวา ส่ิงมีกาลบางอยางคือท่ีเปนปจจุบัน มีอยู, ส่ิงมี กาลบางอยางคือที่เปนอดีต แมท่ีเปนอนาคต ไมมีอยู. คําวา สังขาร ไดแกธรรมท่ีปจจัยปรุงแตงหรือทําใหเกิด ข้ึน เปนไปเนื่องดวยปจจัย เกิดข้ึนจากปจจัยน้ัน ๆ แลวก็ถึงความ ดับไปเปนธรรมดา. คาํ วา สังขารท้ังหลายที่ลวงไปแลว ฯลฯ ช่ือวาส่ิงมี กาลไมมีอยู ความวา สังขารทั้งหลายที่ลวงไปแลวในภพกอน ชื่อวาสิ่งมีกาลโดยมีกาลอดีต และช่ือวาไมมีอยู เพราะไมมีตัว

๑๖๐ วรรคท่ี ๒, อัทธานวรรค  สภาวะเหลืออยูในภพนี้แมเพียงปลายผม เหตุเพราะลวงไปแลว ดวยอํานาจความดับไปหมดแลวน้ันน่ันแหละ. คําวา วิบากธรรมท้ังหลาย ไดแกธรรมที่เปนวิบากคือ เปนผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่สัตวทําไวในภพกอน ซึ่ง กําลังเปนไปในภพปจจุบันนี้. คาํ วา ธรรมที่ใหวบิ ากธรรมทั้งหลาย ไดแกธ รรมคอื กุศลและอกศุ ล ท่ีสตั วท ําไวในภพปจ จบุ ันน้อี ันสามารถทําวิบาก ใหเกดิ ข้ึนในภพอื่น คําวา ธรรมที่กําลังใหปฏิสนธิในภพอ่ืน ๆ ไดแกวิบาก ธรรมท่ีกาํ ลังทําหนาท่ีปฏิสนธิในภพปจจุบัน ๑ กุศลและอกุศลที่ สามารถทําวิบากธรรมใหเกิดขึ้น ทําหนาที่ปฏิสนธิในภพอื่น ๆ ๑ ชื่อวา ส่ิงมีกาลมีอยู ก็ดวยอํานาจความสัมพันธแหงเหตุและ ผล กลาวคือ เปนผลในปจจุบัน จากเหตุอดีตบาง, เปนเหตุใน ปจจุบันท่ีสรางผลในอนาคตบาง. คาํ วา ทาํ กาละแลว (ตายแลว) คือทาํ กาละแลวดวย อาํ นาจแหง จตุ ิจิต (จิตเคลื่อนจากภพ) ท่ีเกดิ ข้นึ . คําวา เกิดขึ้นในภพอ่ืน ความวา เกิดขึ้นในภพอ่ืนดวย อํานาจแหงการที่มีปฏิสนธิจิต (จิตดวงแรกท่ีทําหนาท่ีสืบตอภพ) เกิดข้ึน, สัตวผูน้ันช่ือวา สิ่งมีกาลมีอยู เพราะแมทํากาละแลวก็ ยังเปนไปไมขาดสายดวยอาํ นาจปฏิสนธิจิตที่เกิดขึ้นน้ัน. คําวา ทํากาละแลวไมเกิดข้ึนในภพอ่ืน ความวา สัตว คือทานผูเปนพระอรหันตทาํ กาละแลว ไมเกิดข้ึนในภพอ่ืนดวย

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๑๖๑ อํานาจปฏิสนธิน้ัน, ช่ือวาส่ิงมีกาลไมมีอยู โดยเก่ียวกับไมมี ปฏิสนธิอีกน่ันแหละ. เพราะเหตุนั้น ทานจึงกลาววา “คือสัตว ท้ังหลายผูปรินิพพานแลว ใด, นั้นช่ือวา สิ่งมีกาลไมมีอยู เพราะดับรอบแลว” ดังน้ี. จบคาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๙ จบอัทธานวรรคท่ี ๒ ในวรรคนี้มี ๙ ปญ หา

๑๖๒ วรรคที่ ๓, วิจารวรรค   วรรคท่ี ๓, วจิ ารวรรค ปญหาท่ี ๑, อทั ธานมูลปญหา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน อะไรเปนมูล แหงอัทธานะ (สิ่งมีกาล) ฝายอดีต, อะไรเปนมูลแหงอัทธานะ ฝายอนาคต, อะไรเปนมูลแหงอัทธานะฝายปจจุบันเลา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร อวิชชาเปน มูลแหงอัทธานะฝายอดีต, แหงอัทธานะฝายอนาคต และแหง อัทธานะฝายปจจุบัน, คือวา เพราะอวิชชาเปนปจจัยก็ยอมมี สังขาร, เพราะสังขารเปนปจจัยก็ยอมมีวิญญาณ, เพราะ วิญญาณเปนปจจัยก็ยอมมีนามรูป, เพราะนามรูปเปนปจจัย กย็ อมมอี ายตนะ ๖, เพราะอายตนะ ๖ เปน ปจ จยั ก็ยอ มมผี ัสสะ, เพราะผัสสะเปนปจจัยก็ยอมมีเวทนา, เพราะเวทนาเปนปจจัยก็ ยอ มมตี ัณหา, เพราะตณั หาเปนปจ จยั ก็ยอมมีอปุ าทาน, เพราะ อปุ าทานเปน ปจ จยั ก็ยอ มมีภพ, เพราะภพเปน ปจ จัยก็ยอ มมชี าติ, เพราะชาตเิ ปน ปจจยั กย็ อ มมชี รา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขะ โทมนัสสะ อุปายาสะ. ปลายสุดขางตนแหงอัทธานะอันเปน กองทุกขทั้งสิ้นตามประการดังกลาวมากระนี้ นี้ ยอมไมปรากฏ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบอทั ธานมลู ปญ หาท่ี ๑

มิลินทปญหากัณฑ ๑๖๓ คําอธบิ ายปญ หาท่ี ๑, ในวรรคท่ี ๓ คือวรรคนี้ มีปญหามาแลว ๑๔ ปญหา ปญหาที่มีการถามถึงมูลแหงอัทธานะ ชื่อวา อัทธานมูล- ปญหา คาํ วา มูลแหงอัทธานะ แปลวา มูลคือรากเหงาแหง อัทธานะ หมายถึงเหตุที่เปนประธานแหงอัทธานะท่ีเปนไป เน่ืองในกาล ๓. ทา นพระนาคเสนประสงคแสดงใหพระราชาทรงเลง็ เห็นวา อวิชชา ช่ือวาเปนมูลแหงอัทธานะทั้ง ๓ กาลนั้นอยางไรโดยพระ บาลี จึงกลาวปฏิจจสมุปบาทกถา วา “เพราะอวิชชาเปนปจจัย ก็ยอมมีสังขาร” ดังน้ี เปนตน. บัณฑิตพึงทราบความพิสดาร เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท (ปจจัยอันเปนท่ีผลอาศัยเกิดข้ึน) ใน ปกรณอ่ืนท้ังหลายมีวิสุทธิมรรคเปนตนเถิด. ก็ในปฏิจจสมุปบาทกถานั้น การที่ทรงแสดงองคท้ังหลาย โดยมีอวิชชาเปนองคแรกกอน วา “เพราะอวิชชาเปนปจจัยก็ ยอมมีสังขาร” นั้น หาไดเปนการแสดงวา อวิชชาเปนที่สุด เบ้ืองตน (จุดเริ่มตน) แหงอัทธานะไม, ทวา เปนการแสดงวา อวิชชาเปนเหตุท่ีเปนประธานแหงอัทธานะเทาน้ัน เพราะเหตุ นั้นนนั่ เอง พระเถระจงึ กลา ววา “ปลายสุดขา งตนแหงอัทธานะ ยอมไมปรากฏ” ดังนี้. ความวา แมอวิชชาน้ัน ก็เปนสิ่งที่มี ปจจัย คือมีอาสวะท่ีสัตวยังละไมไดเปนปจจัย ตามพระบาลี

๑๖๔ วรรคที่ ๓, วิจารวรรค   ที่วา “อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย๑ - เพราะอาสวะเกิดข้ึน อวิชชาจึงเกิดขึ้น” เพราะฉะน้ัน อวิชชา จึงหาช่ือวาเปนปลายสุด ขางตนแหงอัทธานะไม. หากจะมีคาํ ถามวา “ขอวาอวิชชาเปน มูลแหงอทั ธานะฝาย ปจจุบันนี้ จะพึงทราบไดอยางไรเลา?” ก็ขอตอบวา “พึงทราบ ไดโดยสูตรที่วา อวิชฺชา ปจฺจโย, สงฺขารา ปจฺจยสมุปฺปนฺนา ฯ เป ฯ ปจฺจยปริคฺคเห ปฺา ธมฺมิติาณํ๒ - ปญญา ใน อันกาํ หนดปจจัยไดวา อวิชชาเปนปจจัย, สังขารเปนสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะปจจัย, ธรรมทั้ง ๒ (คือ อวิชชา และสังขาร) น้ี เปนส่ิงที่ เกิดข้ึนเพราะปจจัย ดังนี้ ช่ือวา ธัมมฐิติญาณ (ปจจยปริคคห- ญาณ) เพราะเปนการกําหนดอวิชชาปจจุบันที่เปนปจจัยแก สังขารปจจุบัน. หากจะมีคําถามอีกวา “ขอวาอวิชชาเปนมูลแหงอัทธานะ ฝายอดีต, แหง อัทธานะฝา ยอนาคต นจ้ี ะพึงทราบไดอยางไรเลา ?” ก็ขอตอบวา “พึงทราบไดโดยสูตรเดียวกันนั้นแหละท่ีวา ‘อตีตํป อทฺธานํ อนาคตปํ  อทฺธานํ, อวชิ ฺชา ปจฺจโย, สงฺขารา ปจฺจยสมปุ ปฺ นฺนา ฯ เป ฯ ปจฺจยปริคฺคเห ปฺา ธมฺมิติ- าณํ๓ - ปญญาในอันกาํ หนดปจจัยได วา แมในกาลอดีต                                                ๑. ม. ม.ู ๑๒/๘๗. ๒. ข.ุ ปฏิ. ๓๑/๖๔. ๓. ข.ุ ปฏิ. ๓๑/๖๔.

มลิ ินทปญหากณั ฑ ๑๖๕ แมในกาลอนาคต อวิชชาก็เปนปจจัย, สังขารเปนสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะปจจัย, ธรรมท้ัง ๒ น้ี เปนส่ิงที่เกิดข้ึนเพราะปจจัย ดังน้ี ชื่อวา ธัมมฐิติญาณ’ ดังน้ี เพราะเปนการกําหนดอวิชชาอดีต ที่เปนปจจัยแกสังขารอดีตน้ันนั่นแหละ, และอวิชชาอนาคตท่ี เปนปจจัยแกสังขารอนาคต” จบคําอธบิ ายปญหาที่ ๑ ปญ หาท่ี ๒, ปุรมิ โกฏปิ ญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน คาํ ที่ทาน กลาววา ‘ปลายสุดขางตนไมปรากฏ’ นี้ใด, ขอทานจงกระทาํ อุปมาสาํ หรับคาํ นั้น เถิด” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร เปรียบ เหมือนวา บุรุษคนหน่ึง ฝงเมล็ดพืชเล็ก ๆ ไวที่พ้ืนดิน, ตอมา ก็มีหนองอกข้ึนมา ถึงความเติบโตงอกงามไพบูลยไปตามลาํ ดับ แลวก็ใหผล. บุรุษก็ถือเอาเมล็ดพืชจากตนนั้นไปเพาะปลูกอีก, แมตอมาก็มีหนองอกขึ้นมา ถึงความเติบโตงอกงามไพบูลยไป ตามลาํ ดบั แลว ก็ใหผล. ความสบื ตอ กันไปโดยอาการดงั กลา วมา กระนี้ นี้ มที สี่ ดุ หรือไรหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมมีที่สุดหรอก พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ ฉันน้ัน ปลายสุดขางตน แมแหงอัทธานะยอมไมปรากฏ แล” พระเจา มิลนิ ท: “ขอทา นจงกระทาํ อปุ มาย่งิ อีกหนอ ยเถดิ ”

๑๖๖ วรรคท่ี ๓, วิจารวรรค   พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนวา จากไก ก็มีไข, จากไขก็มีไก, จากไกก็มีไข. ความสืบตอกันไปโดยอาการ ดังกลาวมากระนี้ นี้ มีที่สุดหรือหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมมีหรอก พระคุณเจา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉัน นั้น ปลายสุดขางตนยอมไมปรากฏ แล” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหยิ่งอีกหนอย เถดิ ” พระเถระเขียนรูปวงลอเขาที่พ้ืนดิน ถวายพระพรถาม ความขอนั้นกะพระราชา วา: “ขอถวายพระพร รูปวงลอน้ีมีท่ี สุดหรือไมหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมมีหรอก พระคุณเจา” พระนาคเสน: “อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉันน้ันเหมือนกัน พระผมู ีพระภาคไดตรัสวงลอเหลานี้ไวอยางนี้ วา จักขุวิญญาณ (การเห็นภาพ) อาศัยประสาทตาและรูป (ภาพท่ีจะเห็น) เกิดข้ึน, ผัสสะยอมมี เพราะความพรอมเพรียงกันแหงธรรม ๓ อยาง, เพราะผัสสะเปนปจจัย ก็ยอมมีเวทนา, เพราะเวทนา เปนปจจัยก็ยอมมีตัณหา, เพราะตัณหาเปนปจจัยก็ยอมมี อุปาทาน, เพราะอุปาทานเปนปจจัยก็ยอมมีกรรม, ประสาท ตายอมเกิดจากกรรมอีก” ดังน้ี. ความสืบตอกันไปโดยอาการ ดังกลาวมากระน้ี น้ี มีท่ีสุดหรือไรหนอ?” พระเจามิลินท: “ไมมีหรอก พระคุณเจา”

มลิ นิ ทปญหากณั ฑ ๑๖๗ พระนาคเสน: “โสตวิญญาณ (การไดยินเสียง) อาศัย ประสาทหแู ละเสียงเกิดขน้ึ ฯเปฯ มโนวญิ ญาณอาศยั ใจและธรรม เกดิ ขนึ้ , ผสั สะยอมมีเพราะความพรอ มเพรยี งกันแหง ธรรม ๓ อยา ง, เพราะผัสสะเปนปจจัยก็ยอมมีเวทนา, เพราะเวทนาเปนปจจัยก็ ยอมมีตัณหา, เพราะตัณหาเปนปจจัยก็ยอมมีอุปาทาน, เพราะ อุปาทานเปนปจจัยก็ยอมมีกรรม, ใจยอมเกิดจากกรรมอีก ดังน้ี. ความสบื ตอ กันไปโดยอาการดงั กลาวมากระน้ี น้ี มีทสี่ ดุ หรือไร?” พระเจา มิลนิ ท: “ไมมีหรอก พระคณุ เจา ” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉัน น้นั ปลายสดุ ขา งตนแมแหง อทั ธานะยอ มไมปรากฏ แล” พระเจา มิลนิ ท: “พระคุณเจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบปุริมโกฏปิ ญ หาท่ี ๒ คําอธิบายปญ หาที่ ๒: ปญหาเกี่ยวกับปลายสุดขางตน ชื่อวา ปุริมโกฏิปญหา ในอุปมาแรก มีความสังเขปเพียงเทานี้ วา เปรียบ เหมือนวา ตนไมตนหลัง ๆ ยอมเกิดจากเมล็ดพืชของตนกอน ๆ แมตนกอน ๆ นั้นก็ยอมเกิดจากเมล็ดพืชของตนแมกอนหนานั้น อีก ความสืบตอกันเชนน้ี หาท่ีสุดเบื้องตนมิได หาจุดเริ่มตน มิได หมายความวา ไมอาจสืบสาวไดวา ตนไหนเปนตนแรก ขอน้ีมีอุปมาฉันใด, เก่ียวกับความสืบตอกันไปแหงอัทธานะ ก็มีอุปมาฉันนั้น. แมในอุปมาท่ีเหลือก็มีนัยน้ีแหละ.

๑๖๘ วรรคท่ี ๓, วิจารวรรค   คาํ วา จักขุวิญญาณ อาศัยประสาทตาและรูปเกิดข้ึน ความวา จักขุวิญญาณคือวิญญาณทางตาท่ีทําหนาท่ีเห็นภาพ, ไดแกการเห็นภาพนั่นแหละ, อาศัยประสาทตา โดยเก่ียวกับมี ประสาทตาเปนที่ต้ังอาศัยและเปนทวาร และอาศัยรูป คือภาพ ที่จะเห็นในคราวน้ัน แลวจึงเกิดข้ึนได. คําวา ผัสสะยอมมีเพราะความพรอมเพรียงกันแหง ธรรม ๓ อยา ง ความวา ผสั สะคอื การกระทบกบั อารมณคือภาพ ท่ีมาถึงคลองจักขุทวารนั้นนั่นแหละ ยอมมีเพราะความพรอม เพรยี งกนั แหง ธรรม ๓ อยา ง อนั ไดแ ก ประสาทตา ๑ รปู หรือภาพ ทจี่ ะเห็นนนั้ ๑ จักขวุ ญิ ญาณท่เี กิดขึ้นมาเหน็ ภาพน้ัน ๑. คําวา เพราะผัสสะเปน ปจ จัยกย็ อ มมีเวทนา ความวา พอมีผัสสะเกิดข้ึนกระทบอารมณคือรูปนั้นแลว ก็ยอมมีเวทนา เกิดขึ้นเสวยอารมณท่ีผัสสะกระทบน้ัน เปนสุขเวทนาบาง ทุกขเวทนาบาง อุเบกขาเวทนาบาง. คําวา เพราะเวทนาเปนปจจัยก็ยอมมีตัณหา ความวา เมอื่ มเี วทนาเกดิ ขึน้ เสวยอารมณค อื รูปนัน้ แลว ตณั หาความอยาก ในอารมณน้ันก็ยอมเกิดข้ึนโดยอาศัยเวทนาเปนชองทางกลาวคือ เมื่ออารมณคือรูปน้ันเปนอิฏฐารมณ นาปรารถนา นาเจริญตา เปนท่ีตั้งแหงสุขเวทนา สัตวผูเห็นแกความสุขก็ยอมเกิดตัณหา ความปรารถนาในรูปนน้ั . คาํ วา เพราะตัณหาเปนปจจัยก็ยอมมีอุปาทาน ความ วา ตัณหาที่มีกําลังทานเรียกวาอุปาทาน-ความยึดม่ัน เปนไปใน

มลิ นิ ทปญ หากัณฑ ๑๖๙ อารมณที่ไดมาแลว ก็สัตวทั้งหลาย เม่ือไดอารมณท่ีนาปรารถนา มาแลว ก็ยอมยึดมั่นวา “นี้ของเรา” เปนตน. คาํ วา เพราะอปุ าทานเปน ปจจยั ก็ยอ มมีกรรม ความ วา สตั วท ัง้ หลายเม่อื เกดิ อุปาทานในส่ิงท่ปี รารถนาแลว ก็มองไม เห็นโทษของอารมณคือรูปน้ัน ยอมทํากรรมดีบางช่ัวบางเพ่ือให ไดมาซึ่งส่ิงที่ตองการ. คําวา ประสาทตายอ มเกดิ จากกรรมอกี ความวา กรรม ทบี่ ุคคลทาํ ดว ยอาํ นาจแหงรูปตัณหา ยอ มสรางประสาทตาแกเ ขา อีก. ก็แล เมอ่ื มีประสาทตาอกี ในเวลาทีม่ ีรูปมาถึงคลองจกั ขทุ วาร จักขุวิญญาณก็อาศัยประสาทตาและรูปน้ันเกิดขึ้นอีก ผัสสะเปน ตนก็เกิดข้ึนอีกตามนยั ท่ไี ดก ลา วแลว . กค็ วามสบื ตอแหง อัทธานะ ตามประการดังกลาวมานี้ ไมอาจสืบสวนไปจนถึงจุดเร่ิมตนได เรียกวาไมมีที่สุดเบื้องตน. แมเก่ียวกับทางทวารที่เหลือมีทางหู เปนตน บัณฑิตก็พึงทราบความตามทํานองดังกลาวมานี้เถิด. จบคาํ อธบิ ายปญ หาที่ ๒ ปญหาท่ี ๓, โกฏิปญญายนปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน คําท่ีทาน กลาววา ‘ปลายสุดขางตนไมปรากฏ’ ดังน้ี ใด, ก็ปลายสุด ขางตนน้ันเปนไฉน?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพติ ร อัทธานะทล่ี วง ไปแลว ชอ่ื วา ปลายสดุ ขางตน”

๑๗๐ วรรคท่ี ๓, วิจารวรรค   พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน คําที่ทานกลาววา ‘ปลายสุดขางตนยอมไมปรากฏ’ ดังน้ี ใด, ปลายสุดขางตนน้ันแม ทกุ อยางหรอื ไมป รากฏ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ปลายสุดขา งตน บางอยาง ปรากฏ, ปลายสุดขางตนบางอยางไมปรากฏ” พระเจามิลินท: “พระคุณเจา ปลายสุดอะไร ปรากฏ, ปลายสุดอะไร ไมปรากฏ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ขอท่ีตรัสไววา กอนหนานี้ อวิชชาไมเคยมีเลยโดยส้ินเชิง โดยทุกประการทั้งส้ิน ดังน้ี ช่ือวา ปลายสุดขางตนยอมไมปรากฏ, ส่ิงใดไมมี ก็มีข้ึน, มีแลวก็กลับ ปราศไป, นี้จัดเปนปลายสุดขางตน ยอมปรากฏ.” พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ส่ิงใดไมมีก็กลับมา มีข้ึน, มีแลวก็กลับปราศไป, ส่ิงน้ันถูกตัดโดยขณะทั้ง ๒ (ขณะ เกิดข้ึนและขณะดบั ไป) แลว ยอ มถึงซง่ึ ความต้ังอยูมไิ ดมใิ ชหรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร ถาหากวาเปนส่ิงที่ถูกตัด โดยขณะทั้ง ๒ ก็ยอมถึงความต้ังอยูไมได, ปลายสุดที่ถูกตัดโดย ขณะทั้ง ๒ สามารถเจรญิ ไดห รือ?” พระราชา: “ใช ปลายสุดแมน ัน้ สามารถเจริญได. พระคุณ เจา ขาพเจามิไดถามวา ปลายสุดสามารถเจริญไดหรือไม, ถาม วา ปลายสุดสามารถเจริญไดโดยปลายสุดหรือไม?” พระนาคเสน: “ใช สามารถเจริญได” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทําอุปมา”

มิลนิ ทปญหากณั ฑ ๑๗๑ พระเถระไดกระทาํ อุปมาเร่ืองตนไมแกพระเจามิลินทนั้น, วาขันธทั้งหลายเปนพืชแหงกองทุกขทั้งส้ิน. พระเจามิลินท: “พระคุณเจานาคเสน ทานตอบสมควร แลว” จบโกฏิปญ ญายนปญ หาที่ ๓ คาํ อธิบายปญ หาที่ ๓: ปญหาเก่ียวกับความปรากฏแหงปลายสุด ช่ือวา โกฏิ- ปญญายนปญหา คําวา ปลายสุดขางตน แมทุกอยางหรือ ไมปรากฏ ความวา ปลายสุดขางตนแหงอัทธานะ (ส่ิงมีกาล) ท่ีเปนอดีต, ปลายสุดขางตนแหงอัทธานะที่เปนอนาคต, ปลายสุดขางตนแหง อัทธานะท่ีเปนปจจุบัน ทั้งหมดเลยหรือ ไมปรากฏ. เพราะเหตุน้ัน พระเถระจึงถวายวิสัชชนาวา “ขอถวายพระพร ปลายสุด ขางตนบางอยางปรากฏ ปลายสุดขางตนบางอยางไม ปรากฏ” ดังนี.้ คาํ วา กอนหนานี้อวิชชาไมเคยมี ความวา ปลายสุด ขางตนแหง อวิชชาท่ีจะพึงพิจารณาเหน็ วามีหรอื ไมมหี นอ ดังนใ้ี ด, ปลายสุดเบ้ืองตนแหงอวิชชาน้ัน ไมปรากฏ. พระเถระถวาย วสิ ัชชนา โดยยกเฉพาะอวิชชาเปน นิทสั สนะ. พงึ ทราบวา ปลายสุด ขางตนแมแหงธรรมเหลาอ่ืน มีสังขารเปนตน ลวนไมปรากฏ, ความวา อันใคร ๆ ไมอาจรูได.

๑๗๒ วรรคที่ ๓, วจิ ารวรรค   ปลายสุดขางตนบางอยาง ปรากฏอยางไร, ในความ เกิดขึ้น ต้ังอยู และดับไปแหงขันธแตละขันธ ท่ีถึงขณะท้ัง ๓ ความเกิดขึ้นที่พึงเห็นไดดวยอุทยัพพยญาณ จัดเปนปลายสุด ขางตนแหงความดับไป ช่ือวายอมปรากฏ, แมความดับไปก็ จัดเปนปลายสุดขางทายแหงความเกิดขึ้น ช่ือวายอมปรากฏ. ความเกิดขึ้น ไดแกนิพพัตติลักษณะ (ลักษณะท่ีบังเกิด) ทาน เรียกวา อุทยะ - ความเกิดขึ้น, ความดับไป ไดแกวิปริณาม- ลักษณะ ทานเรียกวา วยะ - ความปราศไป, ก็สําหรับอัทธานะ (สิง่ มกี าล) ท่ีเปนปจ จุบนั ปลายสดุ ขา งตน ยอ มปรากฏโดยปลาย สุดขา งทา ยอยางนี.้ พระโยคาวจรนั้น ยอมพิจารณาเห็นวา ในกาลแมอดีตท่ีมี ลาํ ดับกอน ๆ แหงขันธ ท่ีถึงขณะท้ัง ๓ ปลายสุดขางตนก็ได ปรากฏแลว โดยปลายสุดขางทาย, ในกาลแมอนาคต ที่มีลําดับ หลัง ๆ แหง ขนั ธ ทถ่ี ึงขณะทั้ง ๓ ปลายสดุ ขางตน กจ็ ักปรากฏโดย ปลายสุดขางทาย เหมือนอยางขันธท่ีถึงขณะทั้ง ๓ ในกาล ปจจบุ ันนนี้ นั่ เทียว. พระเถระหมายเอาความดงั กลา วมาน้นี ่ันเทียว กลาววา “สิ่งใดไมมี ก็มามีขึ้น, มีแลว ก็กลับปราศไป” ดังน้ี. ในคาํ น้ัน คาํ วา ส่ิงใด ไดแกพืช คือขันธ, คาํ วา ไมมี คือไมเคยมี มากอน. คําวา ก็มามีขึ้น คือ ก็มามีข้ึนในบัดนี้, คาํ วา มีแลว คือ มีในบัดน้ีแลว. คาํ วา กลับปราศไป คือกลับปราศไปในบัดน้ี. ปลายสุดขางตนที่พึงเห็นไดอยางน้ี ยอมปรากฏโดยปลายสุด ขางทาย.

มลิ นิ ทปญ หากณั ฑ ๑๗๓ คาํ วา ปลายสุดที่ถูกตัดโดยขณะทั้ง ๒ สามารถเจริญ ไดหรือ? คือสามารถเห็นแจงไดดวยญาณหรือ, พระเถระกลาว หมายเอาอุทยัพพญาณ, เพราะเหตุนั้น พระราชาจึงตรัสตอบวา “ใช ปลายสุดแมนั้นสามารถเจริญได” คือสามารถรูได. คําวา ปลายสุดสามารถเจริญไดโดยปลายสุดหรือไม ความวา ปลายสุดขางตนสามารถเจริญได คือรูไดไมขาดสายโดยปลาย สุดขางทา ยหรือไม. จบคําอธบิ ายปญ หาที่ ๓ ปญ หาที่ ๔, สงั ขารชายมานปญ หา พระราชาตรัสถามวา: “พระคุณเจานาคเสน สังขารเหลา ใดเหลาหนงึ่ มอี ยู, (เมอื่ มีสังขารเหลาน้ัน) สงั ขารเหลาใดเหลาหน่ึง กย็ อ มเกิดขึน้ หรอื ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถูกตองแลว สังขารเหลาใดเหลาหน่ึงมีอยู, สังขารเหลาใดเหลาหนึ่งยอม เกิดขึ้น” พระเจามิลินท: “สังขารที่มีอยู และสังขารท่ีเกิดข้ึนเหลา นั้น เปนไฉน พระคุณเจา?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร เมอื่ มีจกั ขุ (ตา) และเม่อื มี รูป (ภาพ) ก็ยอมมีจักขุวิญญาณ, เมื่อมีจักขุวิญญาณ ก็ยอมมี จักขุสัมผัสสะ, เม่ือมีจักขุสัมผัสสะ ก็ยอมมีเวทนา, เมื่อมีเวทนา ก็ยอมมีตัณหา, เม่ือมีตัณหา ก็ยอมมีอุปาทาน, เมื่อมีอุปาทาน

๑๗๔ วรรคที่ ๓, วิจารวรรค   ก็ยอมมีภพ, เม่ือมีภพ ก็ยอมมีชาติ, เม่ือมีชาติ ก็ยอมมีชรา- มรณโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส. ความเกิดขึ้นแหงกองทุกข ทั้งส้ินนี้ ยอมมีไดโดยอาการอยางน้ี. ขอถวายพระพร เม่ือไมมีจักขุ และเมื่อไมมีรูป ก็ยอมไมมี จักขุวญิ ญาณ, เมอ่ื ไมม ีจักขุวิญญาณ ก็ยอ มไมม ีจักขุสมั ผสั สะ, เม่ือไมมีจักขุสัมผัสสะ ก็ยอมไมมีเวทนา, เม่ือไมมีเวทนา ก็ ยอมไมมีตัณหา, เมื่อไมมีตัณหา ก็ยอมไมมีอุปาทาน, เม่ือ ไมมีอุปาทาน ก็ยอมไมมีภพ, เมื่อไมมีภพ ก็ยอมไมมีชาติ, เม่ือ ไมมีชาติ ก็ยอมไมมีชรามรณโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส. ความดับไปแหงกองทุกขทั้งสิ้นน้ี ยอมมีไดโดยอาการอยางนี้” พระเจา มิลนิ ท: “พระคณุ เจานาคเสน ทา นตอบสมควรแลว” จบสังขารชายมานปญหาท่ี ๔ คําอธิบายปญหาที่ ๔: ปญหาท่ีถามถึงสังขารที่เกิด ช่ือวา สังขารชายมาน- ปญหา. คําวา สงั ขารเหลาใดเหลาหนงึ่ ไดแกสังขาร (ส่ิงท่ีปจ จยั ทาํ ใหเกิดขึ้น) ท้ังหลายทั้งปวง ท่ีไดถือเอาดวยศัพทวาสังขารใน หลักฐานท่ีมาท่ีวา “สังขารท้ังหลายทั้งปวงไมเท่ียง, สังขารทั้ง หลายท้ังปวงเปนทุกข” ดังน้ี มิไดหมายเฉพาะสังขารท่ีมีอวิชชา เปนปจ จัย เปน อนั พระราชาตรัสถามวา “เมือ่ สงั ขารเหลาใดเหลา หนึ่งมีอยู, สังขารเหลาใดเหลาหนึ่งยอมเกิดข้ึนหรือ” ดังน้ีนั่นเอง.

มลิ ินทปญ หากัณฑ ๑๗๕ คําวา กตเม เต หมายความวา สงั ขารเหลา ใดเหลาหน่งึ ท่ีมีอยูน้ัน เปนไฉน และสังขารเหลาใดเหลาหน่ึงท่ีเกิดขึ้นน้ัน เปนไฉน. พระเถระตองการเฉลยคาํ ตรัสถามน้ัน จึงกลาววา “เมื่อ มีจักขุ และเมื่อมีรูป ก็ยอมมีจักขุวิญญาณ” ดังน้ีเปนตน. ใน คําวิสัชชนานั้น ถาหากวา จะถามยอนขึ้นไปวา เม่ือมีอะไรเลา จึงมีจักขุ ก็ตอบวา เม่ือมีนามรูป จึงมีจักขุ, เม่ือมีอะไรเลา จึงมี นามรูป, เม่ือมีวิญญาณ จึงมีนามรูป, เม่ือมีอะไรเลา จึงมี วิญญาณ, เม่ือมีสังขาร จึงมีวิญญาณ, เม่ือมีอะไรเลา จึงมี สังขาร, เมื่อมีอวิชชา จึงมีสังขาร ฉะน้ีแล, เพราะเหตุน้ัน จึง พึงทําการประกอบใหบริบูรณอยางน้ี วา เมื่อมีอวิชชา ก็ยอม มีสังขาร, เมื่อมีสังขาร กย็ อมมวี ิญญาณ, เม่อื มวี ญิ ญาณ ก็ยอม มีนามรูป, เมื่อมนี ามรูป ก็ยอมมีจักขุ, เม่ือมีจักขุและรูป ก็ยอมมี จักขุวิญญาณ ฯลฯ เมื่อมีชาติ ก็ยอมมีชรามรณโสกปริเทวทุกข- โทมนัสอุปายาส. แมในนิโรธวาระ ก็พึงทําการประกอบความ ใหบริบูรณอยางนี้ วา เม่ือไมมีอวิชชา ก็ยอมไมมีสังขาร ฯลฯ เมื่อไมมีจักขุและรูป ก็ยอมไมมีจักขุวิญญาณ ฯลฯ เม่ือไมมี ชาติ ก็ยอมไมมีชรามรณโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส. คําวา ความดับไป (แหงกองทุกขทั้งส้ิน) ไดแกความดับ คือความไมเกิดขึ้น โดยประการอยางน้ี คือ เม่ือวิชชาเกิดขึ้น ก็ ยอมไมมีอวิชชา, เม่ือไมมีอวิชชา ก็ยอมไมมีสังขาร ดังนี้เปนตน จบคาํ อธิบายปญ หาท่ี ๔

๑๗๖ วรรคท่ี ๓, วจิ ารวรรค   ปญหาที่ ๕, ภวันตสงั ขารชายมานปญ หา พระราชาตรสั ถามวา : “พระคุณเจา นาคเสน สังขารอะไร ๆ ที่เกิดมาเปนส่ิงไมมีอยู สังขารเหลาน้ันมีอยูหรือ?” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร สังขารอะไร ๆ ที่เกิดมา เปนส่ิงไมมีอยู สังขารเหลานั้นหามีไม, ขอถวายพระพร สังขาร ทงั้ หลายเกดิ มาลว นเปนสงิ่ มีอยูท ้งั นนั้ ” พระเจามิลนิ ท: “ขอทานจงกระทาํ อปุ มา” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร พระองคจะทรงสําคัญ ความขอน้ันอยางไร พระราชมณเฑียรท่ีพระองคประทับนั่งอยูนี้ เกิดมาเปนส่ิงไมมีอยูหรือไร?” พระเจามลิ ินท: “พระคุณเจา ในเรือนหลงั นี้ อะไร ๆ ทเ่ี กิดมา เปน สง่ิ ไมม ีอยู หามไี ม ทเ่ี กิดมาลว นเปน สง่ิ มีอยูท้งั นั้น, พระคณุ เจา ตัวไมท้ังหลายก็มีอยูแลวในปา, ดิน (ที่ใชทาํ เปนผนัง) ก็ไดมีอยู แลวที่พ้ืนแผนดิน, อาศัยความพยายามท่ีสมควรแกการนั้นของ หญิงและชายท้ังหลาย อยางน้ีแลว เรือนหลังนี้จึงสาํ เร็จได” พระนาคเสน: “ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัย ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สังขารอะไร ๆ ท่ีเกิดมาเปนส่ิงไมมีอยู, สังขารเหลาน้ันหามีไม, สังขารเหลาน้ันเกิดมาแลวลวนเปน สิ่งมีอยูทงั้ นน้ั ” พระเจามิลินท: “ขอทานจงกระทาํ อุปมาใหยิ่งอีกหนอย เถดิ ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook