ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง192 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ทักษากับความเชอ่ื เร่ืองผี และ พทุ ธศาสนา พื้นฐานความเช่ือด้ังเดิมของชาวล้านนาก่อนท่ีจะมีพุทธศาสนาเข้ามาคือ ความเชื่อเร่อื งผีหรือส่งิ เร้นลับทไี่ มส่ ามารถพสิ จู นไ์ ด้ เช่ือว่าการเปล่ยี นแปลงใดๆ ใน โลก ล้วนมาจากผเี ปน็ ผู้ดลบันดาลใหเ้ กดิ ข้ึน เพื่อให้เข้าใจง่ายขนึ้ ผเู้ ขยี นจึงแบ่งผีออก เปน็ สามกลมุ่ คอื ผีท่ปี กปกั รกั ษาตัวบุคคลพอ่ เกิดแม่เกดิ รวมไปถึงความเช่อื เรอื่ ง ขวัญในตัวบุคคล ผีกลมุ่ ท่ีสองคอื ผที อี่ ย่ใู นส่งิ แวดล้อมในวถิ ีชวี ิต เช่น ผบี า้ น ผเี รือน ผบี รรพบุรุษ ผปี ่าเขา ผตี น้ ไม้ ผใี นน�ำ้ ผีกลมุ่ ทีส่ าม คอื ผฟี ้าหรอื เรียกกันว่า ผีแถน ซง่ึ จะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ คนทว่ั ไปในเรอ่ื งของความสมบรู ณข์ องธรรมชาติ ลมพายุ ฝนตก ฟา้ รอ้ ง แสงแดด ฯลฯ เมอื่ ศาสนาพทุ ธเขา้ มาพรอ้ มกบั วชิ าดาราศาสตรห์ รอื โหราศาสตร ์ รวมถงึ วทิ ยาการตา่ งๆ ทเี่ ปน็ หลกั การ และเปน็ ท่ยี อมรับจากชนช้ันปกครองกอ่ นท่ีจะแพร่ กระจายลงสูช่ าวบา้ น ผจี งึ ถกู จดั ระบบระเบียบใหม่ให้เข้ากับหลกั การใหมด่ งั กลา่ ว ถงึ แมค้ นลา้ นนาจะนบั ถอื พุทธศาสนาเป็นสรณะท่ีพงึ่ แตก่ ย็ งั อยูร่ ว่ มกบั ผีได้ โดยการแบง่ พน้ื ทรี่ ะหวา่ งศาสนาพทุ ธกบั ผ ี โดยศาสนาพทุ ธเปน็ หลกั คดิ ทเี่ ชอื่ มโยงกับ ฝ่ายการปกครองหรือจารีตของบ้านของเมืองให้มีระเบียบแบบแผนเป็นอันหนึ่งอัน เดียวกัน พร้อมกับค�ำสง่ั สอนของพุทธศาสนานน้ั เนน้ เรอื่ งเหตแุ ละผล มีพื้นท่ีรองรับ ชีวติ หลงั ความตาย คอื ภพภูมติ ่างๆ ใหค้ วามหวงั กบั ชวี ิตในโลกหนา้ ด้วยผลแหง่ การกระทำ� ดชี ั่ว สร้างความเกรงกลวั ต่อบาปอกุศลกรรม ศลี ขอ้ ห้ามตา่ งๆ จงึ ช่วยให้ บา้ นเมอื งอยู่อย่างปกติสขุ ในขณะทผ่ี เี ปน็ จารีตดงั้ เดมิ ท่ีไมส่ ามารถแยกออกจากวิถี คนล้านนาได้ เน่อื งจากผมี ีบทบาทในเรอ่ื งของระบบเครอื ญาติ การนบั ถือผใี นสาย ตระกลู เปน็ ตวั บ่งชี้ถึงความสัมพนั ธ์ของคนในชุมชน มีข้อหา้ มเพอ่ื ไม่ให้เกดิ การผดิ ผี ในกรณตี ่างๆ เช่น การแตง่ งานในเครือญาติ การถูกเนื้อต้องตวั กันของหนุ่มสาว การล่วงลำ้� เข้าไปในพื้นทส่ี ่วนตวั อาทิ หอ้ งนอน เป็นตน้ เมือ่ มกี ารผดิ ผกี จ็ ะมกี ารเซ่น ไหวข้ อขมาตอ่ ผบี รรพบรุ ษุ ของตนเองหรอื คกู่ รณี เปน็ การประจานพฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสม ต่อคนในชุมชน อีกทง้ั ผยี งั มบี ทบาทของความเป็นผู้ให้ ผมู้ อี ำ� นาจดลบนั ดาลตาม ความต้องการของชาวบา้ นท่ีร้องขอดว้ ยการบนบานศาลกลา่ ว เพอ่ื ให้ไดต้ ามทใ่ี จ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 193 ปรารถนา เชน่ การเดนิ ทางคา้ ขาย การรกั ษาความเจบ็ ปว่ ย หรอื ตามหาของหาย ฯลฯ เมอ่ื ไดต้ ามใจปรารถนากเ็ ชอื่ วา่ เปน็ ผลอนั เกดิ จากการดลบนั ดาลของผี จงึ มกี ารตอบแทน ดว้ ยเครอื่ งพลเี ครอ่ื งสงั เวยตา่ งๆ และยงั คงสบื ทอดเปน็ จารตี จนถงึ ปจั จบุ นั โดยภาพรวมแลว้ ผคี อื ความหวังในโลกปจั จบุ ัน แต่พุทธศาสนาเป็นความ หวงั ของโลกหน้า ทั้งสองตา่ งมกี รอบกฎระเบยี บท่ีเชื่อมโยงกัน เพอ่ื โอบอมุ้ สงั คมให้ สงบสขุ อยูร่ ว่ มกนั ไดเ้ ป็นอย่างด ี ในอีกมติ หิ นงึ่ ด้วยความเช่ือในพลังอ�ำนาจ ผจี งึ ได้ รบั บทบาทเปน็ ผปู้ กปอ้ งคมุ้ ครองตงั้ แตร่ ะดบั ตวั บคุ คลขนึ้ ไปจนถงึ บา้ นเมอื ง คอื พอ่ เกดิ แมเ่ กิด ผีบา้ นผเี รอื น ผีเสอื้ บ้านผีเสือ้ เมอื ง๑๔๕ ต่อมาได้เชญิ ผมี าเปน็ ผ้ปู กปอ้ งศาสนา ดว้ ย คือ ผอี ารกั ษต์ า่ งๆ หรือผีเสือ้ วัดเสือ้ วา ซง่ึ จะพบอย่ทู กุ วัดในล้านนาสะท้อนให้ เห็นถึงการอยู่รว่ มกนั ระหว่างพทุ ธกับผีไดเ้ ป็นอย่างดี ภาพเจา้ พ่อกมุ ภณั ฑ์ ภายในวัดเจดยี ห์ ลวง อารักษ์ผปู้ กปักรกั ษา เสาอนิ ทขลิ เมอื งเชียงใหม่ ๑๔๕ ค�ำว่าผีเส้อื บ้านเส้ือเมอื ง หมายถงึ ผีผ้ปู กป้อง ผู้รักษาบ้าน เมอื ง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง194 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพเจา้ พอ่ กุมภณั ฑผ์ ู้เปน็ อารกั ษ์พระธาตุลำ� ปางหลวง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 195 เมอ่ื ผีอย่รู ว่ มกันกบั พุทธจงึ มกี ารจัดระเบยี บแบบแผนใหม่ ใหผ้ ีมีทมี่ าทไี่ ปที่ เป็นระบบ มกี ารเขยี นตำ� นานผตี ่างๆ ท่โี ยงกับพทุ ธศาสนา หรอื การเปรยี บเทียบผใี ห้ เขา้ กบั หลกั ทางพทุ ธศาสนา เชน่ ผฟี า้ ผแี ถนคอื เทวดาชน้ั ตา่ งๆบนสวรรค์ ผเี จา้ ปา่ เจา้ เขา กลายเป็นรกุ ขเทวดา เจา้ ทีเ่ จา้ ทางกเ็ ปลย่ี นเป็นพระภูมิ เปน็ ตน้ เม่อื ผบี างสว่ นถกู ผนวกกบั พุทธ กจ็ ะมีการจัดการพืน้ ท่ขี องผใี ห้ถกู กาลเทศะ ส่วนผีทเี่ ปน็ ผบี รรพบรุ ษุ ก็ ยงั ดูแลกนั ตามจารีต เพียงแตม่ กี ารจดั การท่ีประณตี ขึน้ กว่าเดิม หลักทกั ษา คือ ตารางท่วี างตำ� แหนง่ ดวงดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ ตามทศิ ต่างๆ โดยมีทศิ หลัก ๘ ทศิ สว่ นหอ้ งกลางเป็นต�ำแหนง่ ของดาวเกตุ คอื เลข ๙ อันหมายถึง วิญญาณธาตุ หรือ ทิศเบอื้ งบน ดังนัน้ ตำ� แหน่งของผงั ทักษาท่มี คี วามเกีย่ วข้องกับ ความเช่ือเร่อื งผีจงึ ปรากฏให้เห็นอยโู่ ดยทัว่ ไปเช่น ในทักษาเมอื ง เสาหลกั เมอื งถือ เปน็ สงิ่ ส�ำคญั มักจะตั้งอย่ใู จกลางเมืองหรอื ตำ� แหน่งทีเ่ รียกวา่ สะดือเมือง คือท่อี ยู่ อาศัยของเทวดารักษาเมือง หรอื ผีเสอ้ื บา้ นเมอื งเมอื ง เปน็ จุดเช่ือมต่อระหวา่ งโลกกับ เทวดาเบื้องบนหรือส่ือความถึงพระอินทร์ตามความหมายของค�ำว่า เสาอินทขิล การบชู าเสาอนิ ทขิลก็เลือกเอาชว่ งเวลาเดอื น ๘ เขา้ เดือน ๙ ออก๑๔๖ เลข ๘ และ ๙ คอื ราหแู ละเกตุ ถอื เป็นดวงดาวทีม่ คี วามหมายอนั เช่อื มโยงกับวญิ ญาณทงั้ สิ้น โดยจารตี ของชาวลา้ นนานนั้ มกั จะนยิ มเลยี้ งผี หรอื เลยี้ งครู ในชว่ งเดอื น ๙ เหนอื รวมไปถงึ การสรา้ งผามฟอ้ นผีมดดว้ ยเสา ๙ ตน้ ซึ่งวางตามตำ� แหนง่ ทักษาห้องกลาง หรอื เสากลางมกั จะเป็นทห่ี ้อยผ้า ซ่งึ หมายถึงทางผา่ นเชอ่ื มต่อระหว่างผกี ับร่างทรง สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความหมายของดาวเกตไุ ดช้ ดั เจน นอกจากน้ียงั มเี คร่อื งประกอบ พิธใี นงานฟ้อนผีอนื่ ๆ ทีส่ ะท้อนเร่อื งแนวคิดเรือ่ งผังดวงดาวตามหลกั ทกั ษา เช่น ผา้ เวียนผามอันนา่ จะสื่อถึงทอ้ งฟา้ หรือเส้นทางโคจรของดาว ตาแหลว๑๔๗ สัญลักษณ์ ของดวงดาวทีท่ ำ� หนา้ ทปี่ กป้อง ท่ีสงิ่ ช่วั ร้ายเภทภยั ต่างๆ เปน็ ต้น ๑๔๑ ประเพณกี ารบชู าเสาอินทขลิ ทกุ ปีจะก�ำหนดเรม่ิ เอาวันแรม ๑๒ ค่�ำเดอื น ๘ และไปส้นิ สุดในวันขน้ึ ๔ คำ่� เดือน ๙ จงึ เป็นท่มี าของค�ำวา่ เดอื นแปดเข้าเดอื นเกา้ ออก ๑๔๒ โดยความหมายตรงตัวตาแหลวหมายถึงตาของนกเหยย่ี วชนิดหนึง่ ซ่ึงภาษาลา้ นนาเรียกวา่ แหลว อีก นัยยะหนงึ่ หมายถึงเครื่องรางทีใ่ ชไ้ มไ้ ผส่ านเพอ่ื ปอ้ งกันส่ิงอปั มงคล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง196 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพตาแหลว ๗ ชน้ั ในพิธีฟอ้ นผี เปน็ การแสดงปริมณฑลพิธีกรรม และเป็นเครอ่ื งปอ้ งกนั ภัยอันตราย ต่างๆที่จะเกิดขึน้ กบั พธิ กี รรมโดย อาศัยคณุ อ�ำนาจแห่งดวงดาวทัง้ ๗ ช่วงปกปอ้ งคุม้ ครอง มณฑลพธิ ใี นการฟอ้ นผกี บั มณฑลพธิ ใี นพธิ กี รรมทางพทุ ธศาสนาแบบลา้ นนานน้ั มคี วามหมายเดียวกันคอื การกำ� หนดขอบเขตพื้นทศ่ี กั ดสิ์ ิทธ์ิ กลา่ วคอื พธิ ีกรรมใน พุทธศาสนาเปน็ ต้นว่า พิธีการกอ่ สร้างพระพทุ ธรูป พธิ ีสร้างเจดยี ์ พธิ ีพทุ ธาภิเษก พิธวี างศลิ าฤกษ์ ฯลฯ มักจะมีการกำ� หนดขอบเขตมณฑลพธิ ี โดยมอี งคป์ ระกอบโดย ทั่วไปคือ รัว้ ราชวตั รส่มี มุ ทางเขา้ ประตูทางเข้าส่ีทิศ ด้ายสายสิญจน์หรือหญ้าคา เขียวฟ่นั เปน็ เชอื ก ตาแหลว๗ ชั้น ห้อยไว้กบั เชอื กคาเขยี วหรอื ด้ายสายสิญจน์ ทัง้ หมด น้ีเป็นสญั ลกั ษณ์ของการกำ� หนดขอบเขตหรือพน้ื ทีเ่ ฉพาะส�ำหรับพิธีกรรมนน้ั ๆ กลา่ ว คอื ขอบเขตที่ใชร้ วั้ ราชวัตรก้ันน้นั เป็นสัญลักษณ์แห่งพ้ืนทีท่ อ่ี ุปมาใหเ้ ปน็ ด่ังจกั รวาล ที่มขี อบเขต เบ้ืองลา่ งคือรั้วราชวัตรทางเข้าทิศทั้งส่ีคือประตูสูท่ วีปทงั้ สี่ ด้ายสาย สิญจนห์ รอื เชอื กคาเขียว คอื วงโคจรของดวงดาวเคราะหต์ า่ งๆ ทใ่ี ช้สัญลักษณ์คือ ตาแหลว ๗ ชัน้ ๔ ด้าน คือดาวสตั ตเคราะห์ท้ัง ๗ ทีโ่ คจรตามเสน้ วถิ รี อบจกั รวาล หรือรอบมณฑล เพอ่ื อ�ำนาจหรอื พลังแห่งดวงดาวจะช่วยปกป้องอปุ ทั วนั ตรายทจี่ ะ เขา้ มาทำ� ลายพธิ กี รรมนน้ั ผลงานทเี่ กดิ ขนึ้ จากบรเิ วณศนู ยก์ ลางของมณฑลพธิ กี รรมนน้ั จึงเป็นส่ิงที่พิเศษ เกิดจากโลกแห่งความเป็นทิพย์ที่สมมุติขึ้น จึงท�ำให้อาคาร พระพทุ ธรูปหรือวตั ถุมงคลอ่ืนๆ ท่สี ร้างขึน้ ในมณฑลพธิ ีน้ันเป็นของดขี องวิเศษ
ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 197 ขนั ตั้ง ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ในพิธีกรรมแบบล้านนา ท้ังในศาสนาพุทธและความเชื่อเรอื่ งผี ตา่ งใหค้ วาม สำ� คญั กบั ขนั ตง้ั ซงึ่ ถอื เปน็ เครอื่ งประกอบพธิ ที สี่ ำ� คญั คนทเี่ รยี นศาสตรแ์ ละศลิ ปด์ า้ นตา่ งๆ มักจะมีขันตั้งที่ได้รับการสืบทอดจากครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาเสมอ ความสำ� คัญของขันต้ังนั้นมีสองนยั ยะ กล่าวคอื ๑. เพอื่ ให้ต้ังมนั่ ในธาตขุ นั ธ์ มีสติ ในการเลา่ เรียนศกึ ษา และพึงระลึกถงึ ค�ำ สงั่ สอน หรอื ขอ้ ห้ามของครบู าอาจารยอ์ ยเู่ สมอ เมอื่ ระลึกถงึ คำ� ส่งั สอนของครบู า อาจารย์ ศิษยย์ อ่ มระลึกถึงคณุ ของครูบาอาจารย์ไปดว้ ย ดงั น้ัน การรบั ขนั ตง้ั จงึ เปน็ พธิ กี รรมทส่ี ำ� คญั ทถี่ อื วา่ ครบู าอาจารยน์ น้ั ไดร้ บั ผทู้ จี่ ะมาเลา่ เรยี นเปน็ ลกู ศษิ ยอ์ ยา่ งเตม็ ตวั ๒. ขนั ตงั้ ในเชงิ ความหมายสญั ลักษณท์ ีแ่ ฝงอยใู่ นบทไหวค้ รูของล้านนา มัก จะนยิ มกลา่ วถงึ ครบู าอาจารยผ์ ปู้ ระสทิ ธป์ิ ระสาทวชิ าวา่ “ครเู กา๊ ครปู า๋ ยครตู ายครยู งั ” สะทอ้ นใหเ้ ห็นว่า นอกจากจะบูชาครูท่ยี ังมีชีวิตอยู่ ยงั ระลึกถึงคณุ ครูบาอาจารยท์ ี่ ตายไปแลว้ ซง่ึ ก็ตอ้ งกลับมาสเู่ รื่องผีอีกคร้ัง ผีในทนี่ ถี้ ือวา่ เปน็ ผีครู ยกตวั อยา่ งเช่น การยกย่องให้ผคี รูช่าง เป็นพระปิศน๑ู๋ ๔๘ หรือพระพิศนุกรรมเทวบตุ ร เมอื่ มีการไหว้ ครูทีอ่ ย่บู นฟ้าหรือสรวงสวรรค์ อันมีวมิ านอาศัยเปน็ ดวงดาวต่างๆ กก็ ลับมาสู่เรอื่ ง ของดวงดาวอีกครั้ง จากองค์ประกอบของขนั ต้ัง ทมี่ กั จะมีสวยดอก สวยหมากพลู จ�ำนวนธปู เทียน หรือจ�ำนวนเงนิ ที่ใส่ในขันตัง้ ฯลฯ ทเ่ี รม่ิ ต้นด้วยเลข ๗ เลข ๘ เลข ๙ เป็นสัญลกั ษณข์ องการบูชาดวงดาว สตั ตเคราะห์ อฐั เคราะห์ และนพเคราะห์ หรอื จ�ำนวนเท่ากับก�ำลังดาวพระเคราะห์ท่ีให้คุณในศาสตร์นั้นๆ เม่ือรวมก�ำลังแห่ง ดาวอฐั เคราะหท์ ง้ั ๘ จะได้ ๑๐๘ พอดี ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ขนั ตงั้ หลวงทจี่ ะใชก้ บั งานพธิ สี ำ� คญั นอกจากนีต้ ัวเลข ๑๐๘ ซึง่ เป็นก�ำลังแหง่ ดาวอัฐเคราะหใ์ นผงั ทักษา ยังสอื่ ถงึ คุณแห่ง พระรัตนตรยั อนั มีคุณพระพทุ ธเจา้ ๕๖ ประการคณุ พระธรรม ๓๘ ประการคณุ พระสงฆ์ ๑๔ ประการเมอ่ื รวมแลว้ จึงเป็นจ�ำนวน ๑๐๘ พอดี ดังนั้นเม่อื มีพธิ ีกรรม ทางพุทธศาสนาแบบล้านนา การข้ึนขันตง้ั หลวง ผทู้ �ำหนา้ ทขี่ น้ึ ขันต้งั ส่วนใหญ่มักจะ อ้างถงึ ทม่ี าของตัวเลข ๑๐๘ จากคณุ พระรัตนตรัยเสมอโดยทลี่ ืมไปวา่ แท้ทจ่ี รงิ แลว้ ยงั มีความหมายอกี นัยยะหนง่ึ คือเรอื่ งดวงดาวนน่ั เอง ๑๔๘ พระปิศนู๋ แทท้ ่ีจริงแล้วมีท่มี าจากพระพิษณกุ รรมเทวบุตรในทางพทุ ธศาสนาไมใ่ ช่ พระพิฆเณศ ใน ศาสนาฮินดอู ย่างท่ีหลายคนเขา้ ใจ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง198 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพเพดานรปู ผงั กระบวนดาวฤกษ์ ๒๗ ตวั แบบลา้ นนา ภายในวหิ ารวดั ประตตู ้นผงึ้ อ.เมอื ง จ.ลำ� ปาง
ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 199 คติเรอื่ งดวงดาวในงานพทุ ธศิลป์ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง คติการสรา้ งวัดในล้านนาโบราณเราจะพบวา่ ทุกวัดคอื การจำ� ลองโลกทพิ ย์ หรอื มณฑลจกั รวาลทีแ่ ยกตัวออกเป็นเอกเทศจากโลกปกติ ผงั วัด ตัวอาคาร และ ลวดลายตกแตง่ ทั้งหมดล้วนสื่อถึงเรื่องผังและทิศทางของดวงดาวท้ังสน้ิ หากมอง อีกมุมหน่ึงการสร้างวัดในล้านนาคือการสร้างโลกทิพย์หรือสวรรค์วิมานที่มีจริงบน โลกมนษุ ย์ สญั ลกั ษณร์ ปู แบบการตกแตง่ ทางศลิ ปกรรมหรอื อาคารสถาปตั ยกรรมดงั กลา่ ว ทำ� ใหผ้ คู้ นทงั้ หลายไดจ้ นิ ตนาการไปพรอ้ มกบั หลกั ธรรมหรอื วรรณกรรมทางพทุ ธศาสนา นอกจากวัดแล้วยังมีพระราชวังที่สร้างข้ึนอย่างวิจิตรเนื่องด้วยกษัตริย์หรือเจ้านาย ผ้อู ยอู่ าศยั ภายในวงั คือสมมุตเิ ทพหรือเทพเจ้า พระสงฆ์และเจ้านายต่างเปน็ ผู้มศี กั ด์ิ และสทิ ธพ์ิ เิ ศษกวา่ สามญั ชนทว่ั ไป พระเถระหรอื พระสงฆร์ ปู สำ� คญั จะไดร้ บั การยกยอ่ ง และแบ่งช้ันการปกครองเช่นเดียวกับทางโลกการเดินทางของพระเถระหรือเจ้านาย ชั้นสูงจึงนิยมน่ังบนเสลี่ยงคานหามประดุจเทพยดาท่ีเดินทางด้วยการเหาะลอยไปใน ท้องฟ้าอากาศ การแต่งกายของเจา้ นายกย็ ำ้� เตือนความเป็นสมมตุ เิ ทพคือแต่งกายให้ เป็นเทวดา เม่อื พระเถระผู้ใหญม่ รณภาพหรอื เจา้ นายถงึ คราจุตติ าย กต็ ้องจดั การศพ แบบพเิ ศษไมเ่ หมอื นสามญั ชนทวั่ ไป โดยใหเ้ หตผุ ลทตี่ อกยำ�้ ความคดิ เรอื่ งสมมตุ เิ ทพวา่ การตายของเจ้านายหรือพระเถระในล้านนาน้ันคือการเดินทางกลับสู่เขาพระสุเมรุ โดยมนี กหัสดีลิงค์เปน็ ผู้น�ำกลบั สู่ดนิ แดนโลกทพิ ยน์ ัน่ เอง เม่ือคนทั่วไปได้เห็นการจ�ำลองโลกทิพย์หรือสวรรค์วิมานต่างๆ ก็จะเกิด เปน็ แรงจูงใจให้เกดิ การสรา้ งบุญกุศลด้วยวิธีการต่างๆ หรอื ปฏบิ ตั ติ นให้อยใู่ นกรอบ ของพระธรรมค�ำสั่งสอน โดยเช่ือวา่ หากประพฤตกิ รรมดแี ล้วกจ็ ะได้ไปสูภ่ พภูมิที่ดี หรอื สวรรค์วมิ าน ดง่ั ทเี่ หน็ ตัวอยา่ งจากวัดหรอื วัง ดงั น้ีแล้ว งานศิลปะในสมยั โบราณ จึงถอื ว่าเป็นของสูง ต้องใช้กับวดั วาอารามหรือเวียงวงั มากกว่าบา้ นเรอื นทอ่ี ย่อู าศัย หากสรา้ งบา้ นเรือนด้วยการตกแตง่ ศิลปกรรมมากเหมือนวดั หรือวงั ก็จะถูกสงั คมตี ตราวา่ “ขดึ ” ทำ� ผิดแผกจากประเพณเี ดิม
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง200 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพดาวเพดานรูปทกั ษาโดยสอดแทรกยันต์อรหันตท์ ั้ง ๘ ตามทิศ รายลอ้ มดว้ ยรปู สตั ว์ ตัวเปงิ้ ในทกั ษาแบบลา้ นนาที่วดั เจ็ดยอด อ.เมอื ง จ.เชียงราย ท่มี า : อ.ฐาปกรณ์ เครอื ระยา
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ทำ�ทอง 201 ผงั ทกั ษากับผงั การสร้างวัด การสร้างวัดในล้านนา ส่ิงส�ำคัญประการแรกที่พึงค�ำนึงคือ ท�ำเลท่ีต้ัง การตงั้ วดั ในสมยั โบราณนนั้ มกั จะเลอื กทำ� เลสามประการคอื ทดี่ อนหรอื เนนิ สงู ทศิ เหนอื ของชมุ ชนทม่ี กั จะเรยี กวา่ หวั บา้ น และหา่ งจากตวั ชมุ ชน เชน่ มที งุ่ นาหรอื แมน่ ำ้� เลก็ ๆ คนั่ อยู่ เม่ือไดท้ �ำเลท่เี หมาะสมแลว้ กอ่ นทจี่ ะกระท�ำการใดๆ ต้องมีการขออนุญาต เจ้าของที่ก่อน นน่ั คือการบอกกล่าวแกเ่ จา้ ที่เจา้ ทาง เมือ่ ตง้ั วดั เสรจ็ เจ้าที่เจ้าทางเหล่า นนั้ กจ็ ะถูกปรบั เปลย่ี นเปน็ ผอี ารักษ์หรือผเี สอื้ วัดไปโดยปรยิ าย เมื่อได้ทำ� เลการตงั้ วดั แลว้ ประการตอ่ มาคือการวางแผนผงั และทิศทางของวดั โดยถือคตวิ ่า พระพทุ ธรปู ประธานของวดั จะต้องหนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวันออกเสมอ เม่ือค�ำนึงถงึ พระพุทธรูป แล้ว อาคารท่ีประดิษฐานพระพทุ ธรปู ก็ต้องสมั พันธ์กันด้วยกลา่ วคือ วหิ ารกต็ อ้ งหนั หนา้ ไปทางทิศตะวันออกเสมอเช่นกนั แตท่ ว่าในแตล่ ะเดือนในรอบปีนน้ั พระอาทติ ย์ ยามเชา้ จะโคจรขึ้นเหนอื ลอ่ งใตต้ ลอดเวลา จึงส่งผลใหว้ ดั แตล่ ะวัดหันหน้าวหิ ารใน ทิศทางทผ่ี ิดเพี้ยนกันไปตามเดือนที่สร้างและทิศทางท่ีพระอาทิตย์ขึน้ น่ันเอง ภาพผงั การวางตำ� แหนง่ เขตสงั ฆาวาสของวดั ในลา้ นนา
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง202 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา เม่อื ไดแ้ นวแกนหลักของวัด คือตวั วหิ ารแลว้ จะมกี ารแบง่ เขตวดั ออกเป็น สองสว่ นคอื พทุ ธาวาสและสงั ฆาวาส ในเขตสงั ฆาวาสนนั้ จะมอี าคารสำ� คญั คอื กฏุ ติ ง้ั อยู่ การหาต�ำแหน่งทเ่ี หมาะสมส�ำหรบั การตง้ั กฏุ ิจะอาศัยหลกั ตาราง ๙ หอ้ งแบบทกั ษา โดยให้ความหมายหรือโฉลกของแตล่ ะช่องไว้ โดยไม่นิยมสร้างเขตสังฆาวาสหรือกุฏิ ไวด้ า้ นทศิ ตะวนั ออกและทศิ เหนอื โดยใหค้ ำ� นยิ ามทศิ ตะวนั ออกวา่ ทศิ มรณา ทศิ เหนอื คอื ปราชิก กลา่ วคือ ทิศตะวนั ออกที่เรยี กวา่ ทิศมรณาน้ันให้เหตุผลวา่ การสรา้ งกฏุ ขิ วาง หนา้ ประตวู หิ าร หรอื ตรงกบั สายตาพระประธานของวดั ถอื เปน็ เรอ่ื งอปั มงคล เนอ่ื งจาก ขวางสายตาพระเจา้ โดยการสร้างพระพทุ ธรปู สมยั โบราณล้านนา ได้อปุ มาดวงตา พระพทุ ธรปู เปรยี บประดุจด่ังพระอาทติ ย์และพระจันทร์ ดงั น้นั การสร้างกุฏิหรอื บ้านเรือนขวางหรืออยู่ตรงต�ำแหน่งประตูวิหารหรือประตูวัดพอดีมักจะต้องอาเพศ หรอื ตกขดึ ในกรณที ช่ี ุมชนเกิดขนึ้ ก่อนวัด ประตูหน้าวัดจึงไมต่ รงประตูวหิ ารโดยจะ เบี่ยงซ้ายหรือขวา ตามท�ำเลทเี่ หมาะสม เพ่อื จะได้มแี นวก�ำแพงวดั ขวางหนา้ วหิ าร เอาไว้ ทศิ ทไี่ ม่เปน็ มงคลทิศทีส่ อง คอื ทิศเหนอื โดยมีคำ� กำ� กับไวว้ า่ ปราชิก เน่อื งดว้ ย ทิศเหนอื เป็นทิศของดาวศุกร์ ซ่ึงหมายถึง สตรีเพศ เสนห่ า ความงาม ศิลปะ และ ทรพั ยส์ มบัติ ความหมายทงั้ หมดน้อี าจเปน็ ตวั ล่อลวงใหพ้ ระภิกษุเกิดกเิ ลสตณั หาสุ่ม เสย่ี งตอ่ การลาสกิ ขาหรอื ตอ้ งอาบตั ปิ ราชกิ ได ้ โฉลกและคำ� อธบิ ายทศิ ทเี่ หลอื คอื ศาลา ปา่ ชา้ ลาภา โกลาหล มชั ฌมิ าและอตุ ตมะ อธบิ ายดงั น้ี ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งใตค้ อื ทศิ ศาลา กล่าวคือการสร้างเขตสังฆาวาสและกุฏิในทิศน้ีจะเหมาะแก่การมีแขกบ้านแขกเมือง หรอื ผ้สู ัญจรไปมาขออาศยั พกั อย่บู อ่ ยครั้ง หรือเจ้าอาวาสจะอยูไ่ ม่ยืดยาวแคม่ าอยู่ เสมอื นมาพกั ในศาลาชว่ั ครชู่ วั่ คราวกล็ าสกิ ขาหรอื ยา้ ยวดั ทศิ ใตเ้ ปน็ ตำ� แหนง่ ของโฉลก ท่เี รียกว่า ป่าช้า ถือว่าเปน็ ทิศท่นี ยิ มมากที่สดุ ในการวางตำ� แหนง่ ผงั วดั เนอื่ งจากทศิ ปา่ ช้า โหราจารยไ์ ด้ให้ความหมายว่าเป็นทศิ ท่เี หมาะแก่การปฏิบตั ธิ รรม เพราะปา่ ช้า คอื ทีเ่ งยี บสงัด สัปปายะ เหมาะแกก่ ารปลงสงั เวชและบรรลธุ รรม ทศิ ตะวันตกเฉียง ใตเ้ ป็นทิศลาภา คือทศิ แห่งโชคลาภหรอื ลาภสักการะ ทศิ ตะวนั ตกคือทศิ โกลาหล กุฏิ หรือเขตสังฆาวาสท่ีตั้งในทิศน้ีจะหมายถึงวัดจะมีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลาหรือไม่ก็ มักจะเปน็ สำ� นักเรยี น โรงเรยี น ท่ีจะมนี ักเรียนเขา้ ออกอย่ตู ลอด สว่ นทิศตะวนั ตก เฉียงเหนือ คอื ทศิ มัชฌิมา เป็นทิศกลางๆ ไม่ดีไมร่ ้าย และสุดท้ายคอื ทิศตะวันออก
ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 203 เฉยี งเหนือคือทศิ อตุ ตมะ เปน็ ทศิ ทเี่ หมาะสมแกพ่ ระภกิ ษทุ ีม่ พี รรษาสูงหรือพระเถระ ผูใ้ หญ่ผปู้ ฏิบัตดิ ีปฏิบตั ชิ อบจึงจะอยู่ได้ ภาพจากตำ� ราการสร้างพระพทุ ธรูปปนู ป้นั ไดร้ ะบุลักษณะอวยั วะต่างๆ ทจ่ี ะบรรจไุ ว้ในองค์ พระพทุ ธรปู รวมถึงต�ำแหน่งดวงตาของพระพทุ ธรปู ขา้ งซา้ ยและขวาคือจันธมิ าและสุรโิ ย อนั หมายถงึ พระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทร์ นอกจากนที้ ำ� เลทตี่ ง้ั ของชมุ ชนในลา้ นนาสว่ นใหญ่ มกั จะเปน็ ตำ� แหนง่ เดยี วกนั กบั ต�ำแหน่งสงั ฆาวาส กล่าวคือชมุ ชนจะตง้ั อยูใ่ นด้านทิศใตห้ รอื ทิศตะวันตกของวัด เปน็ สว่ นใหญใ่ นบรเิ วณทเ่ี รยี กวา่ ใจบา้ นหรอื หางบา้ น ตำ� แหนง่ ของวดั ทอ่ี ยทู่ างทศิ เหนอื มักจะเรียกว่าตำ� แหนง่ หวั บา้ นเสมอ ภายหลังชุมชนเรมิ่ ขยายตวั จงึ ท�ำให้ท�ำเลที่ตัง้ ระหว่างชุมชนกบั วดั ผดิ เพยี้ นไปจากเดมิ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง204 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพการขดุ หลมุ บรรจพุ ระธาตแุ บบตารางทกั ษา
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 205 ผงั ทักษากบั การสร้างเจดีย์ นอกจากผงั การวางตำ� แหน่งวดั แล้ว ยังพบวา่ การสร้างพระธาตเุ จดียแ์ บบ ล้านนานั้นตามต�ำราต้องมีการขุดหลุมลึกลงไปใต้ดินเพื่อประดิษฐานองค์พระธาตุ พร้อมกบั เคร่อื งควรบชู าอันมีความหมายเป็น อเุ ทสกิ เจดีย์ ลงไวใ้ นหลุมด้านลา่ ง มี การจารกึ บทพุทธมนตส์ ำ� คญั ลงบนแผ่นโลหะ คอื ปฏิจจสมปุ บาท ธรรมจักรกปั ปวตั ตนสตู ร มหาสมยั สูตร เปน็ ตน้ บทพทุ ธมนตเ์ หลา่ นส้ี ่ือถงึ พระธรรมเจดีย์ มกี ารจำ� ลอง เครอื่ งอัฐบรขิ ารตา่ งๆ ดว้ ยโลหะมคี า่ ต่างๆส่อื ถึงบรโิ ภคเจดยี ์ ดังนน้ั การสรา้ งพระ เจดยี ์แบบล้านนาจงึ เป็นพระธาตุเจดยี ์ ทีม่ ีความหมายของพระเจดีย์ ๔ ประเภทอยู่ อย่างครบถว้ นสมบูรณ์ คอื ธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ บริโภคเจดีย์ และอุเทสกิ เจดยี ์ เม่ือ บรรจพุ ระธาตแุ ละองค์ประกอบอ่ืนๆ แลว้ ก็จะท�ำการปิดหลุมพระธาตุให้มิดชิด หลงั จากนนั้ จะทำ� การ “กอ่ เจดียก์ ว๋ ม” หรือ “กอ่ เจดยี ป์ ก” ค�ำวา่ กอ่ ก๋วมหรอื ก่อปก หมายถงึ การกอ่ เจดยี ์ครอบปากหลุมทบ่ี รรจุพระธาตไุ ว้ สมยั โบราณคนล้านนาจงึ เรยี กการสรา้ งพระธาตเุ จดยี ว์ า่ “ปกธาต”ุ อนั มคี วามหมายสองประการ คอื การกอ่ พระ เจดยี ค์ รอบหลมุ พระธาตุ และการตง้ั พระธาตขุ นึ้ มานน่ั เอง ดว้ ยเหตนุ จ้ี งึ มกี ารสรา้ งรวั้ ลำ� เวยี งพระธาต๑ุ ๔๙ เพ่อื มใิ หค้ นลว่ งลำ�้ สอู่ งคพ์ ระธาตุ แมแ้ ตเ่ งาของคนไปตกทบั ฐานพระธาตุ กถ็ อื วา่ เปน็ บาปกรรมแกต่ นเอง การสรา้ งรวั้ พระธาตสุ ว่ นใหญจ่ งึ กำ� หนดเกณฑค์ วาม กวา้ งระหวา่ งฐานเจดยี ก์ บั แนวรั้วพระธาตปุ ระมาณ ๑ ชว่ งตวั คน เมอ่ื ก่อองคเ์ จดยี ์ ตามรปู ทรงสถาปตั ยกรรมแลว้ กจ็ ะมกี ารบรรจพุ ระธาตุ พระพทุ ธรปู หรอื สงิ่ ของควร บชู าอกี ครงั้ ทบ่ี รเิ วณหมอ้ ควำ่� หรือระฆงั ควำ�่ ของเจดยี อ์ กี ส่วนหนง่ึ จากต�ำนานพระธาตุสำ� คัญในล้านนาส่วนใหญ่ พบว่ามีการบรรจุพระธาตไุ ว้ ภายใต้หลุมเสมอ เช่น ตำ� นานพระธาตุดอยสุเทพ พญากือนาให้ขดุ หลมุ ลกึ ลงไปแล้ว ใช้หินผามาก่อด้านข้างเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมแล้วจึงบรรจุพระธาตุไว้ในหลุมและใช้ แผน่ หินปิดไว้ จากนน้ั จึงให้ช่างก่อเจดียค์ รอบ หรอื ตำ� นานพระธาตลุ ำ� ปางหลวงระบุ ว่ามีการขุดหลุมลึกลงไปเบื้องล่างแล้วหล่อสิงห์ด้วยทองค�ำเพื่อใช้ต่างผอบพระธาตุ สององคไ์ ว้บนหลงั สงิ ห์ ลงบรรจไุ ว้กน้ หลมุ แลว้ ปดิ ไวแ้ ละกอ่ องคเ์ จดียค์ รอบเป็นต้น ผเู้ ขยี นพบวา่ มกี ารใชแ้ นวคิดเรอ่ื งผงั ทกั ษาในการสร้างพระเจดยี ์สองสว่ นคือ ๑๔๙ หมายถงึ รว้ั หรือกำ� แพงท่มี ักจะสรา้ งด้วยปูน หรือ โลหะเชน่ เหล็กหรอื หลอ่ สำ� ริด
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง206 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพสงิ หไ์ มแ้ กะสลักทีจ่ ำ� ลองรูปสงิ ห์ทองคำ� ซงึ่ หล่อขน้ึ เพ่ือใชต้ ่างผอบบรรจุพระธาตุ แลว้ บรรจไุ ว้ทา่ มกลางหลมุ ทข่ี ดุ ลกึ ลงไปก่อนทจี่ ะสร้างพระเจดีย์ครอบ ตามต�ำนานพระธาตลุ �ำปางหลวง ส่วนที่ ๑ การขุดหลมุ พระธาต ุ ต�ำราการสร้างเจดีย์แบบลา้ นนาหลายฉบบั ไดร้ ะบุถงึ การขดุ หลุม พระธาตุ ในแนวทางเดยี วกันกลา่ วคือ เมือ่ ขุดหลมุ ลึกตามทต่ี อ้ งการแลว้ ก้นหลุมมักจะมกี าร ก่อเปน็ รปู แบบผังตารางทกั ษาคือกอ่ เปน็ ตาราง ๙ ห้อง โดยจะกำ� หนดความหมาย ของแต่ละหอ้ งไว้ตามหลักแผนผงั ของต�ำแหน่งสตั ตะมหาสถาน โดยมีตน้ ศรีมหาโพธิ์ เปน็ จุดศูนยก์ ลางและต่อเนือ่ งด้วย อนมิ ิสเจดีย ์ รตั นจงกรมเจดยี ์ รัตนฆรังเจดีย์ อช ปาละนโิ ครธเจดีย์ มจุ ลนิ ทเ์ จดยี ์ และราชายตนะเจดยี ์ เมอื่ กำ� หนดต�ำแหนง่ ตามทศิ แลว้ แต่ละจดุ มกั จะสรา้ งรปู สัญลักษณข์ องตำ� แหนง่ ต่างๆ ขึ้น และวางลงบนตำ� แหน่ง ตามทิศนน้ั ๆ คอื การสร้างต้นศรีมหาโพธิไ์ ว้กลางหลมุ พร้อมสร้างพระพทุ ธรูปประทบั น่งั อยูภ่ ายใตต้ ้นศรีมหาโพธิน์ ัน้ หรือในยุคหลงั จะมีการสร้างพระพทุ ธรูปปางต่างๆ ใส่ลงไปในชอ่ งตามความหมายที่พอ้ งกนั กับสตั ตะมหาสถาน เชน่ สระมจุ ลินท์ สรา้ ง พระพุทธรปู ปางนาคปรก อนมิ สิ เจดยี ์สรา้ งพระพุทธรูปปางถวายเนตรเปน็ ตน้
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 207 ภาพการเขยี นจำ� ลองตำ� แหนง่ สัตตมหาสถานและสถานท่ี ส�ำคญั ใน พทุ ธประวตั ิ ทม่ี า:สมุดภาพ ไตรภมู ิฉบับอักษรธรรม ลา้ นนาและอักษรขอม. กรมศิลปากร นอกจากนี้ยงั มเี ครื่องประกอบปลีกยอ่ ยอน่ื ๆ อกี มากที่สะท้อนถงึ แนวคดิ การสรา้ งพระธาตุของชาวลา้ นนา เชน่ ตำ� แหนง่ ห้องกลางนอกจากพระพุทธรปู ประทับนัง่ ใตต้ ้นศรมี หาโพธ์แิ ลว้ ยังมผี อบพระธาตุซ่ึงมักจะสรา้ งดว้ ยโลหะมีค่าซอ้ น ช้ันวางไว้บนห้องกลางซึ่งบางต�ำราระบุว่าห้องกลางต้องก่อด้วยดินก่ีเงินดินก่ีค�ำ๑๕๐ ตรงตำ� แหน่งใตต้ ้นศรีมหาโพธห์ิ รอื กลางหลมุ มกั จะเปน็ ที่ต้ังของผอบพระธาตุ โดย บรรจไุ ว้ในเจดยี ์จ�ำลองอกี ชัน้ หนึง่ และมักจะสร้างเจดยี ์ขนาดเล็กอกี องคห์ น่ึงเสยี บ กลบั หัวลงตรงต�ำแหน่งผอบพระธาตุสำ� คัญนน้ั โดยให้ความหมายว่า เจดียท์ ี่กลบั หวั จะเปน็ ต�ำแหน่งหมายรทู้ ต่ี งั้ พระธาตุแก่ไอศวร๑๕๑ เพ่อื มใิ หเ้ กดิ ฟา้ ผา่ ตรงตำ� แหนง่ นั้น ในบันทึกการสร้างเจดีย์หลวง ได้ระบุว่า ...พญาแสนเมืองมาให้คนแผ้วถางตรง บริเวณกลางเมืองเชียงใหม่ ทิศใต้คุ้มวังของพระองค์ ปรับพ้ืนที่ให้ดีเพื่อสร้าง พระมหาเจดยี ์องค์ใหญ่ ชา่ งจงึ ขดุ ดนิ ลงไปสรา้ งฐานพระเจดีย์ สรา้ งตน้ โพธ์ิทลี่ ำ� ตน้ ทำ� ดว้ ยเงนิ ใบและยอดเป็นทองคำ� สงู เทา่ พญาแสนเมอื งมาตน้ หน่งึ หลอ่ พระพุทธรปู ๑๕๐ ดนิ กี่ หมายถงึ อิฐ ๑๕๑ ลกั ษณะฟา้ ผา่ ในแบบทปี่ ระจไุ ฟฟา้ จากเมฆลงสพู่ น้ื โลกเปน็ ขวั้ บวกหรอื ลบมาเจอกนั พอดเี ปน็ อนั ตราย แก่คนสตั วห์ รอื อาคาร คนสมัยโบราณเรยี กการผา่ แบบนว้ี า่ ไอศวรยิง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง208 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ทองคำ� องคห์ นึง่ พระพุทธรูปเงินองคห์ นึ่งประทบั นง่ั ใต้ต้นโพธ์ิท่สี ร้างพรอ้ มกนั และ แต่งเครื่องบูชาทั้งหลายบรรจุใต้ฐานพระมหาเจดีย์..จากบันทึกน้ีช้ีให้เห็นว่าแนวคิด การสร้างเจดีย์และการจ�ำลองสัตตมหาสถานดังกล่าวได้เข้ามาแพร่หลายในดินแดน ล้านนามากวา่ ๕๐๐ ปแี ลว้ การขุดหลมุ พระเจดียเ์ ปน็ ๙ หอ้ งโดยนัยยะคือ เส้นทางโคจรของดวงดาว ในจักรวาล เม่ือนำ� ผังนไี้ ปครอบกับบรเิ วณใดบริเวณนั้นถือเปน็ อีกปรมิ ณฑลหนง่ึ ดัง นนั้ การใชผ้ งั ๙ หอ้ งในการสรา้ งเจดยี ์แบบลา้ นนาจึงเปน็ การกำ� หนดขอบเขตพ้นื ท่ี จักรวาลมณฑลศักด์ิสิทธิ์ อนั เป็นการยำ้� เตอื นถึงความสำ� คัญของสถานทีด่ ังกล่าววา่ เป็นจุดเปล่ียนแปลงสถานะจากบุคคลธรรมดาของเจ้าชายสิทธัตถะมาเป็น พระพทุ ธเจา้ การสรา้ งเจดยี จ์ งึ เปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ การระลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ อยา่ งสมบรู ณ์ จากองคป์ ระกอบต่างๆ ดังได้กล่าวมาน้ี ภาพพับสาที่ระบุวธิ ีการขดุ หลุมและตำ� แหนง่ การวางพระธาตุแบบ ผังทกั ษา ๙ ห้อง
ธวัชชยั ทำ�ทอง 209 ภาพพบั สาทรี่ ะบวุ ธิ ีการ ขุดหลมุ และต�ำแหนง่ การวาง พระธาตแุ ละเครอ่ื งสกั การะ ทม่ี า:อ.ดร.ชาญคณิต อาวรณ์ ภาพตารางผงั การขุดหลุมพระ ธาตุเจดีย์ แบบท่ี ๑ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง210 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพตารางผงั การขุดหลมุ พระธาตุเจดีย์ แบบท่ี ๒ สว่ นที่ ๒ การประดับตกแตง่ ภายนอก เมือ่ บรรจุพระธาตไุ วภ้ ายในหลุมแล้ว ขัน้ ตอนตอ่ ไปคือการก่อครอบซง่ึ ข้นั ตอนนี้จะให้ความส�ำคัญกับรูปแบบและสัญลักษณ์ที่สื่อถึงคติทางพุทธศาสนาผ่านรูป แบบทางศิลปกรรม โดยทั่วไปนอกจากตวั องค์พระเจดียแ์ ลว้ ยงั ต้องประกอบด้วย สว่ นอืน่ ๆ เชน่ รว้ั หรือลำ� เวียงพระธาตุ หอยอ หรอื หอไหว้ทง้ั สี่ทศิ สปั ทนสมี่ มุ อารักษ์ หรอื เทวดาผูป้ กป้อง หรอื จำ� ลองท้าวจตโุ ลกบาลไว้ตามทศิ ทงั้ ๔ ดงั ปรากฏทวี่ ดั พระ ธาตุหรภิ ญุ ชัย เปน็ ต้น นอกจากนี้แผนผงั หรือตำ� แหนง่ ขององคพ์ ระเจดียย์ งั มคี วาม
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ทำ�ทอง 211 สัมพันธ์สอดคล้องกบั ตวั อาคารอืน่ ๆ โดยเฉพาะผงั วดั หลวงในลา้ นนา ไดม้ กี ารจัด วางแผนผงั ของวัดใหล้ งตัวตามแนวคดิ เรอื่ งจกั รวาลคต ิ ผังคตจิ ักรวาลกับการสร้าง วดั มผี ูศ้ กึ ษาไว้มาก ผูเ้ ขยี นจึงกลา่ วโดยสรปุ คือ พระเจดยี ถ์ ือเปน็ องคป์ ระกอบสำ� คัญ ในแผนผงั ของวัดโดยมีความหมายทสี่ ่อื ถงึ เขาพระสุเมรตุ ามผงั จกั รวาลคติ เช่อื มโยง สอดคลอ้ งกับวหิ ารหลวงหรอื วหิ ารทศิ อนั ส่ือถึงทวีปทั้งส่ี มกี �ำแพงจกั รวาลลอ้ มรอบ และพน้ื ลานทรายในวดั สอื่ ถงึ มหานทสี ที นั ดร สถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรมทปี่ รากฏ ภายในวัดดังกล่าวมาล้วนเป็นสัญลักษณ์ท่ีสร้างข้ึนจากแนวคิดที่ปรากฏใน วรรณกรรมเร่ืองไตรภมู หิ รือจักรวาลทปี นที ง้ั สน้ิ ภาพดาวเพดานรปู สตั ว์ประจำ� ทกั ษาแบบพมา่ จากจองวัดหนองคำ� อ.เมือง จ.เชยี งใหม่
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง212 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพเจดียแ์ บบพมา่ ท่ีมีการป้ันราหู ประดบั ไว้เพอ่ื การสะเดาะเคราะห์ ทมี่ า:อ.ฐาปกรณ์ เครือระยา ภาพเจดียว์ ดั ปา่ ฝาง อ.เมอื ง จ. ลำ� ปาง เป็นตัวอย่างเจดยี ศ์ ิลปะพมา่ ทมี่ กี ารวางผงั ตาม ตำ� แหนง่ ทักษาพมา่ โดยล้อมรอบฐานเจดยี ์ด้วยพระพุทธรปู ประจ�ำวันเกดิ และประดับรปู สัตว์ประจ�ำวันเกิดตามทศิ ทกั ษาแบบพม่า
ธวัชชยั ท�ำ ทอง 213 ภาพวิหารพระเจ้าพันองคแ์ ละพระเจดยี ์ ซึ่งตั้งอยู่บนเนนิ ดนิ ต�ำแหนง่ สะดือเมอื งลำ� ปาง ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง214 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา วิหารพระเจา้ พนั องคว์ ัดปงสนุกเหนอื วหิ ารพระเจา้ พนั องค์วดั ปงสนกุ เหนอื เปน็ วิหารจัตรุ มุขทรงปราสาทยอด ท่ี ได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๙ โดยครูบาอาโนชัย หรอื พระธรรมจินดามุนี เจ้าคณะจังหวัดลำ� ปางรปู แรก๑๕๒ ความพเิ ศษของอาคารหลงั นเ้ี กี่ยวข้องกับศาสตร์ เรื่องดวงดาวมี ๒ ประการ กล่าวคือ ประการที่ ๑ ความหมายในคติพุทธและดาราศาสตร์ ผังตัวอาคารหลังน้ี สร้างข้นึ เป็นรูปผัง ๙ หอ้ ง หอ้ งกลางเปน็ ท่ีประดษิ ฐานพระพทุ ธรูป ๔ พระองค์ หันพระพักตรไ์ ปทิศหลักทง้ั ๔ โดยพระพุทธรูปทงั้ หมดนัง่ อย่ภู ายใตต้ ้นศรีมหาโพธิ์ ตามหลกั ทกั ษาหอ้ งกลางคอื ดาวเกตหุ รอื วญิ ญาณธาตุ หมายถงึ ทศิ เบอ้ื งบน พระพทุ ธรปู ๔ องคน์ ีเ้ ปน็ คตทิ ี่นิยมสรา้ งขน้ึ ตามตำ� นานของพระเจ้า ๕ พระองคใ์ นภัทรกปั ป์น้ี คือ พระกกุสนั ธะ พระกสั สปะ พระโกนาคม พระโคตมะ และพระศรอี ารยิ ะเมตตรยั โดย ต�ำนานพืน้ ถิ่นลำ� ปางได้มีการผกู ต�ำนานเก่ียวกับพระเจ้า ๕ พระองคข์ ึ้นเรยี กวา่ ตำ� นานแมก่ าเผือก หรอื ตำ� นานการบูชาผางประทีป จนกลายเปน็ ท่ีมาช่อื บา้ นนาม เมอื งของชมุ ชนแถบอ�ำเภอวงั เหนือ พะเยา และ เวียงปา่ เป้า๑๕๓ บริเวณส่วนฐาน พระพุทธรปู และส่วนคอสองของอาคาร ประดับด้วยรูปสัตวต์ ัวเปิง้ ตามหลักทกั ษา ทัง้ หมด ๘ ตวั ตรงกันทงั้ สว่ นบนและสว่ นล่าง และตรงตามทิศในหลักทักษา ฝานำ�้ ยอ้ ยภายในประดบั ดว้ ยพระพมิ พห์ ลอ่ ดว้ ยตะกว่ั หรอื ภาษาทอ้ งถนิ่ เรยี กวา่ จนื ตดิ เรยี ง จนเต็มผนังมีจ�ำนวนกว่าพันองค์จนเป็นท่ีมาของช่ือวิหารพระเจ้าพันองค์ซ่ึงเป็น สัญลกั ษณ์ของพระปจั เจกพุทธ หรอื พระอดีตพทุ ธเจ้าในกัปป์อื่นๆ ดังน้นั การสรา้ ง ๑๕๒ ครูบาอาโนชัย หรอื พระธรรมจินดามนุ ีเปน็ พระมหาเถระสำ� คัญของเมืองลำ� ปางทีม่ คี วามรูแ้ ตกฉาน ทางคัมภรี บ์ าลแี ละคลองกรรมฐาน นอกจากนี้ยังมีความเชียวชาญทางดา้ นดาราศาสตรโ์ หราศาสตร์ อีก ท้ังยังมีผลงานโดดเด่นในเร่อื งงานเชิงชา่ งอยู่มากมากมายทั่วจงั หวัดล�ำปางจนได้รบั ฉายานามวา่ ครูเมอื ง ละกอน ครูบาอาโนชัย เกดิ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๖๙ และมรณภาพเม่อื ปพี .ศ. ๒๔๕๔ ศิริอายุ ๘๕ ปี ๑๕๓ ชอื่ บา้ นนามเมอื งนามเมอื งบรเิ วณนมี้ กั จะผกู โยงกบั ตำ� นานแมก่ าเผอื ก ตามตำ� นานเรม่ิ ตง้ั แตถ่ นิ่ ฐานบ้าน เกิดของแมก่ า ปจั จบุ นั เปน็ เขตชมุ ชนบ้านแมก่ าในจังหวดั พะเยา บรเิ วณท่ีแมก่ าออกไปหากินและพลัด หลงจนท�ำให้กลบั รังไมถ่ กู ปัจจุบันเป็นทีต่ ั้งของเวยี งกาหลง เมอ่ื ลมพัดรังของแม่กาลงสแู่ ม่นำ้� และแมก่ า บนิ ตามหาไขข่ องนางตามสายน้ำ� นัน้ จึงเปน็ ทม่ี าของชือ่ แม่นำ้� หวงั และเมอื งหวัง ต่อมาจงึ เพีย้ นเป็นแม่นำ้� วัง และเมืองวงั (อำ� เภอวังเหนอื ) เมอื่ ไขท่ ัง้ ท้ัง ๕ ใบของแม่กาออกมาเกดิ เปน็ พระโพธสิ ตั ว์ บรเิ วณนัน้ จงึ ตัง้ ชอ่ื ว่าพระเกิด คือวัดพระเกิดในเขตอ�ำเภอวังเหนอื ในปจั จบุ นั
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 215 วิหารหลังนคี้ รูบาอาโนชัยไดจ้ ำ� ลองพุทธจกั รวาลไว้อยา่ งครบถว้ นสมบรู ณ์ โดยไดแ้ ฝง สัญลกั ษณ์ทางพุทธศาสนา และดาราศาสตรไ์ วก้ อปรกบั องค์ความรเู้ ชิงช่างทคี่ รบู า ชำ� นาญอยแู่ ล้วจงึ ออกแบบและก่อสรา้ งอาคารหลังน้ีขึน้ อย่างลงตวั ประการท่ี ๒ มูลเหตขุ องการสร้างอาคารหลังน้ีเก่ยี วขอ้ งกบั ความสำ� คญั ของวัดปงสนุกในฐานะสะดือเมอื งล�ำปาง กล่าวคือ หัวเมืองล้านนาในสมัยโบราณน้ัน มกั ปรากฏการกำ� หนดจดุ ศนู ยก์ ลางของเมอื งทเี่ รยี กวา่ สะดอื เมอื ง อยเู่ สมอ ดงั ปรากฏ หลักฐานในเมอื งต่างๆ เชน่ สะดือเมืองเชยี งราย วัดสะดอื เมืองเชียงใหม่ หรือวิหาร สะดือเมืองล�ำพูน เป็นต้น การสรา้ งสะดอื เมอื งแต่เดมิ มคี วามสมั พนั ธ์กับการสรา้ งเสา ใจบา้ นของกลมุ่ ชาวไทลอื้ และเสาสะกา้ งของกลมุ่ ชาวลวั ะ ซง่ึ เปน็ คตคิ วามเชอื่ ดงั้ เดมิ ช้ีให้เห็นถึงการเช่ือมโยงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันในล้านนา เมอื่ พุทธศาสนาเขา้ มาเผยแผใ่ นภูมิภาคนผี้ นวกกบั อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ จึงมี คตกิ ารสรา้ งพระมหาธาตุสำ� คญั กลางเมอื งต่างๆ ของลา้ นนา เชน่ พระธาตหุ รภิ ุญชัย เมืองล�ำพนู วดั เจดยี ห์ ลวงเมอื งเชยี งใหม่ วัดพระธาตุช้างคำ้� เมืองน่าน เปน็ ต้น จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่าเมืองล�ำปางได้มีการปรับเปลี่ยน โครงสร้างผังเมอื งมาแล้วสามชว่ งยุคสมยั คือ ยุคหรภิ ุญชยั ทีเ่ รยี กวา่ เมอื งเขลางค์ นคร มวี ัดพระแก้วดอนเตา้ สุชาดาราม เปน็ พระมหาธาตุประจ�ำเมอื งและนา่ จะเป็น ตำ� แหนง่ สะดือเมืองเดิม ตอ่ มาในสมยั ล้านนาได้มกี ารสร้างเวยี งทบั ซอ้ นเวียงเดมิ โดย ขยายเมอื งลงมาทางทศิ ใตเ้ รยี กวา่ เมอื งนคร หรอื เวยี งละกอน ในจารกึ หนา้ คมั ภรี ใ์ บลานที่ พบในจังหวดั ลำ� ปางนยิ มใชช้ ื่อวา่ เมอื งนครไชยบรุ ี และได้ก�ำหนดศนู ยก์ ลางเมือง หรอื สะดอื เมืองในยุคนีท้ ่วี ัดศรเี ชียงภูมิ โดยมพี ระธาตุเจดยี ์ศรจี อมไคล เป็นตำ� แหน่ง สะดอื เมอื ง ซง่ึ ปัจจบุ นั คือวดั ปงสนกุ พระธาตปุ ระจำ� เมืองลำ� ปางทัง้ สองรุ่นน้ี มี ลกั ษณะรว่ มกนั คอื การสรา้ งพระธาตบุ นเนนิ ดนิ ทเ่ี กดิ จากการถมเปน็ เนนิ เขาขนาดเลก็ เพ่อื ตง้ั ประดิษฐานองคพ์ ระธาตเุ จดยี ์ เพื่อเนน้ ยำ้� ความส�ำคัญของตำ� แหน่งใจกลาง เมอื งหรือสะดอื เมอื ง ใหส้ งู เดน่ สงา่ ดังชอ่ื วัด คือศรเี ชียงภมู ิ และเน้นย�้ำถงึ คติความ เช่ือเรื่องการสร้างพระธาตุเจดีย์เพ่ือเป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุท่ีอยู่ใจกลาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง216 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา จกั รวาล ต่อมาไดม้ ีการฝังเสาหลกั เมืองล�ำปางข้นึ ตามคตพิ ราหมณซ์ ่ึงนา่ จะไดร้ บั อิทธิพลจากสยามเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๐๐ ไดก้ �ำหนดฝังเสาหลักเมอื งหลกั แรกขึ้นทีว่ ัดปง สนกุ แห่งน้ี ท้ังๆที่ศูนยก์ ลางอำ� นาจของเมอื งลำ� ปางในสมัยนั้นได้ยา้ ยไปยงั ฝั่งเมือง ใหมแ่ ลว้ คอื เมืองนครล�ำปาง ต้งั แต่ช่วงต้นของราชวงศเ์ จา้ เจ็ดตน๑๕๔ การเลือกตงั้ เสา หลักเมืองหลักแรกขึ้นที่วดั ปงสนกุ จึงเปน็ ภาพสะทอ้ นถึงความส�ำคัญของวัดนใ้ี น ฐานะสะดือเมอื ง ศนู ยก์ ลางจักรวาลของเมอื งล�ำปางทีส่ ืบทอดมาแตส่ มัยล้านนา ตอ่ มาได้มีการปรับดวงเมอื งและฝงั เสาหลักเมอื งใหม่อกี คร้ังเป็นหลักที่ ๒ ในปีพ.ศ. ๒๔๑๖ บรเิ วณตลาดราชวงศฝ์ งั่ เมอื งใหม่ ซ่ึงได้กำ� หนดเอาวดั หลวงราช สณั ฐานกลางเวยี ง หรอื วดั บญุ วาทยว์ หิ ารในปจั จบุ นั เปน็ วดั ประจำ� เมอื ง และครงั้ สดุ ทา้ ย ได้ตัง้ เสาหลกั เมืองใหมอ่ ีกคร้ัง โดยย้ายเสาหลกั เมืองเดมิ ทีฝ่ ังกอ่ นหน้านีท้ ั้งสองหลัก มาอยู่รวมกันในปพี .ศ. ๒๔๒๙ จงึ เปน็ ประเด็นทน่ี า่ สงั เกตวา่ ครูบาอาโนชยั ได้บรู ณะ อาคารหลังน้ีเม่ือปี พ.ศ.๒๔๒๙ ซ่ึงเป็นปเี ดยี วกันกบั การยา้ ยเสาหลักเมอื งหลักแรก ออกจากวดั ปงสนกุ และตง้ั ศาลหลกั เมอื งลำ� ปางใหมค่ อื ตำ� แหนง่ ศาลหลกั เมอื งปจั จบุ นั จงึ เปน็ ไปได้วา่ แต่เดิมอาคารวิหารพระเจ้าพนั องค์หลงั น ี้ นา่ จะเคยเป็นท่ตี ้ังของเสา หลกั เมืองลำ� ปางหลกั แรกมากอ่ น เพราะภายในบริเวณวัดปัจจุบนั ไมม่ สี ถานทีท่ ่ี เหมาะสมกบั การตง้ั เสาหลักเมืองนอกจากบริเวณดา้ นเนินบนพระธาตุ ตอ่ มาหลงั จากทม่ี กี ารยา้ ยเสาหลกั เมอื งออกไป จงึ มกี ารปรบั ปรงุ ตวั อาคารใหเ้ ปน็ วหิ ารทป่ี ระดษิ ฐาน พระพุทธรูปแทนทเี่ สาหลักเมอื งในปเี ดียวกัน พรอ้ มกนั น้ันยงั ได้วางผงั และตกแต่ง ตัวอาคารให้สอดคล้องเพ่ือเป็นการเสริมดวงเมืองโดยอาศัยอ�ำนาจพุทธคุณและ กำ� ลงั แหง่ ดวงดาวตามหลกั ทกั ษา หรอื อาจจะเปน็ ไปไดใ้ นอกี กรณหี นงึ่ คอื การตกแตง่ อาคารเป็นลักษณะเดมิ ท่สี ร้างมาแตต่ ้น เม่อื ครง้ั สรา้ งอาคาร เพอ่ื เป็นทีต่ ้ังของเสา หลักเมอื งโดยการตง้ั เสาหลกั เมืองให้อยู่ ท่ามกลางผงั อาคารทีเ่ ป็นรปู แบบผัง ๙ ห้อง ๑๕๔ จากบนั ทกึ ของครูบาอโนชัยธรรมจนิ ดามนุ ี ไดก้ ลา่ วถงึ วา่ พระเจ้าสุวรรณหอค�ำดวงทิพย์แฮกสร้าง เวียงใตใ้ นปี พ.ศ.๒๓๖๑ ซ่งึ ในความเปน็ จรงิ แลว้ เริ่มมีการทยอยย้ายเมืองข้ามฝ่งั มาก่อนหนา้ พระเจา้ สุวรรณหอค�ำดวงทิพย์ดังปรากฏหลักฐานการสร้างวัดหลวงกลางเวียง ซ่ึงเป็นวัดที่สร้างขึ้นโดย เจ้าหลวงค�ำโสม โดยระบุชือ่ ว่า วดั หลวงกลางเวียงมาต้งั แต่ต้น จงึ เป็นหลกั ฐานชใี้ หเ้ หน็ ว่ามกี ารวาง ต�ำแหน่งผังเมืองล�ำปางฝั่งเมืองใหม่มาก่อนหน้าน้ีแต่อาจจะก�ำหนดฤกษ์มงคลและแล้วเสร็จในสมัยหลัง ตามบนั ทึกของครบู าอโนชยั ก็เปน็ ไปได้
ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 217 ตามหลักทักษา โดยให้ความส�ำคัญกับห้องกลางในฐานะศูนย์กลางจักรวาล คือ เขาพระสุเมรุตามคตพิ ราหมณ์ โดยไดส้ รา้ งรปู สตั ว์ตวั เปิง้ ตามหลักทกั ษาล้านนา แทนสัญลักษณ์ของดวงดาวทโี่ คจรรอบเขาพระสุเมรุ อันเปน็ มณฑลพื้นท่ศี กั ดิ์สิทธิ์ เมอ่ื ยา้ ยเสาหลกั เมอื งออกไป ครบู าอาโนชยั จงึ บรู ณะอาคารหลงั น้ี แลว้ นำ� พระพทุ ธรปู ประธานทงั้ ๔ องคเ์ ขา้ มาแทนทพี่ รอ้ มกบั สรา้ งตน้ ศรมี หาโพธเิ์ ปน็ ศนู ยก์ ลางโดยอาศยั หลักการเดิมคอื จกั รวาลตามคตพิ ราหมณ์เปลี่ยนใหเ้ ปน็ จกั รวาลตามคตพิ ุทธ หรอื อีกข้อสันนษิ ฐานหนึ่งคอื อาคารวิหารพระเจ้าพันองค์หลังน้ี อาจจะเคยใช้สำ� หรบั พธิ ีกรรมบางอย่างอนั เกย่ี วข้องกบั ดวงเมืองกเ็ ป็นได้ การสร้างเสาหลักเมืองไว้บริเวณสะดือเมืองหรือพระธาตุประจ�ำเมืองน้ี สะท้อนใหเ้ หน็ การอย่รู ว่ มกันของความเช่ือในพุทธศาสนา คติพราหมณ์ และคติ ความเชอ่ื เรอื่ งผี ทตี่ งั้ อยบู่ นภมู สิ ถานแหง่ เดยี วกนั คอื สะดอื เมอื งหรอื ใจกลางของเมอื ง หากผกู โยงเข้ากับหลักทักษาตามผัง ๙ ห้องของวิหารหลงั นี้ เสาหลกั เมืองจะต้ังอยู่ ศูนย์กลางคือเกตุเมืองพอดี ซงึ่ เราจะพบรูปแบบแนวคิดลกั ษณะเดียวกันคือ การยา้ ย เสาอนิ ทขลิ มารวมไวใ้ นตำ� แหนง่ ใจกลางเมอื ง ซงึ่ ถกู กำ� หนดตำ� แหนง่ ดว้ ยพระมหาธาตุ กลางเมืองทีว่ ดั เจดยี ์หลวงเมืองเชยี งใหม่ อีกทัง้ ของอาคารท่ีตง้ั เสาอนิ ทขลิ ท่วี ดั เจดีย์ หลวงยงั มีรูปแบบผงั อาคาร ๙ ห้องคลา้ ยกนั กบั วดั ปงสนุกอกี ดว้ ย ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง218 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพภายในวิหารพระเจ้าพนั องค์ วดั ปงสนุกเหนอื จงั หวดั ลำ� ปาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ทำ�ทอง 219 ภาพเสาหลักเมอื งลำ� ปาง ทม่ี า : ขว่ งเมืองและวดั หวั ขว่ ง, ศ.เกยี รตคิ ณุ สรุ พล ดำ� รหิ ก์ ลุ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง220 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หลกั ทักษากบั การผกู สมี า นอกจากทีก่ ลา่ วมาแลว้ ข้างต้น ระบบทกั ษายงั มีบทบาทส�ำคัญกับการวาง ตำ� แหน่งเขตสมี าในปัจจุบัน คอื การฝงั ลูกนมิ ิตจำ� นวน ๙ ลูก ซึง่ เป็นกฎพระราช บัญญัตคิ ณะสงฆท์ ่ีบงั คบั ใช้ท่ัวประเทศไทย แท้ที่จริงแล้วตามพระวนิ ยั เร่อื งสีมานน้ั อนุญาตให้อุปโลกนส์ มี าได้หลายรูปแบบ ท้ังท่สี รา้ งขนึ้ มาและอาศัยสงิ่ แวดล้อมใน ธรรมชาติ เดมิ ล้านนารับพทุ ธศาสนานิกายลังกาวงศ์เขา้ มา จึงนิยมการใชอ้ ุทกสีมา ตามแบบลงั กา ซึ่งมีทง้ั แบบที่สรา้ งถาวร และแบบที่ใช้อุปโลกนช์ ว่ั คราว แบบท่ี อุปโลกน์ช่ัวคราวน้ันเรียกว่า แพขนาน ส่งผลท�ำให้พระภิกษุท่ีได้รับการบวชบน แพขนาน จะถกู เรยี กขานวา่ ตขุ๊ นาน เมอ่ื ลาสกิ ขา คำ� วา่ ขนานจึงเปน็ คำ� นำ� หน้านาม เรียกว่าขนาน หรอื หนาน มาจนถงึ ปัจจบุ นั การใชอ้ โุ บสถนำ้� หรอื อุทกสมี านนั้ สว่ นใหญม่ กั จะใชเ้ ฉพาะการอุปสมบท หรอื เป้กตุ๊ เทา่ นัน้ โดยนิยมสร้างเปน็ แพไม้แบบชัว่ คราว หรืออุปโลกน์เกาะทราย กลางแมน่ ำ้� เมอื่ เสรจ็ พิธจี งึ ถอนอโุ บสถนัน้ เสยี มีสว่ นน้อยท่ีจะสรา้ งเปน็ อุโบสถกลาง หนองนำ้� ใกลว้ ดั หรอื ในวดั แตก่ พ็ อหลงเหลอื ใหเ้ หน็ หลกั ฐานอยบู่ า้ ง สว่ นการทำ� สงั ฆกรรม อนื่ ๆ เชน่ การฟงั ปาฏโิ มกข์ หรอื พธิ ถี วายผา้ กฐนิ จะใชอ้ โุ บสถบกบางครง้ั เรยี ก โฮงอโุ บสถ หรอื พัทธสีมา โดยจะสรา้ งเป็นอาคารถาวร และมกี ้อนหินวางเป็นหมุดหมายเขต ของสมี านน้ั ดงั นนั้ พทุ ธศาสนาในวถิ แี บบลา้ นนาจะใชอ้ โุ บสถสองแบบนคี้ วบคกู่ นั เสมอ โดยอโุ บสถบกนแี้ ตเ่ ดิมหน่ึงตำ� บลจะมเี พยี งอุโบสถเดียวเท่าน้ัน โดยแต่ละวัดจะมา รวมตวั กนั ท�ำสังฆกรรม เรยี กวา่ หวั หมวดอุโบสถ ต่อมาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ได้ บัญญตั ิว่า วดั จะต้องขอพระราชทานวิสงุ คามสีมาจึงทำ� ใหแ้ ตล่ ะวดั ในปจั จบุ ันตอ้ งมี อโุ บสถเปน็ ของตนเอง เนอื่ งจากทด่ี นิ ทงั้ หมดถอื วา่ เปน็ กรรมสทิ ธขิ์ องพระมหากษตั รยิ ์ หรอื พระเจา้ แผน่ ดนิ ตอ้ งขอพระราชทานมาเพอื่ ใหท้ ดี่ นิ ของวดั เปน็ พน้ื ทข่ี องฝา่ ยพทุ ธจกั ร ลกั ษณะสำ� คญั ทกี่ ำ� หนดไวใ้ นการสรา้ งอโุ บสถในสมยั ปจั จบุ นั คอื การกำ� หนด เขตพ้นื ทขี่ องพระอโุ บสถดว้ ยลกู นิมติ ทั้ง ๙ ลกู สว่ นรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมไมไ่ ดก้ �ำหนดชัดเจนข้ึนอยกู่ บั ความนิยมของทอ้ งถิน่ การวางต�ำแหนง่ ลกู นมิ ิตนั้นจะวางตามต�ำแหน่งทศิ ตามหลกั ทกั ษา โดยหลุมกลางจะอย่ภู ายในตัว
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 221 อาคาร เมื่อทำ� พธิ ีอปุ โลกน์สมี าพระสงฆจ์ ะเดนิ เวยี นขวาต่อกนั เปน็ ลูกโซจ่ นครบรอบ การก�ำหนดเขตสีมาด้วยหลักทักษานั้นสะท้อนให้เห็นแนวคิดในเร่ืองการก�ำหนดเขต พน้ื ที่ศักดส์ิ ิทธิด์ ้วยผงั แห่งดวงดาวหรอื จักรวาลในอดุ มคตทิ แี่ ฝงอยู่ในพทุ ธศาสนา นอกจากนี้การสรา้ งงานศลิ ปกรรมอนื่ ๆ ยังเป็นผลสะท้อนจากความเชอื่ เรือ่ งโหราศาสตรเ์ ชน่ การสรา้ งพระพุทธรปู ประจำ� ชะตาของตนเอง หรอื การสร้าง พระพมิ พ์ตามจ�ำนวนอายุของตนเองโดยมักจะสรา้ งให้มจี ำ� นวนมากกวา่ อายุ ๑ องค์ โดยเชอื่ วา่ เปน็ การตอ่ ชะตาใหผ้ เู้ จบ็ ปว่ ย หรอื ในกลมุ่ ชาวไทใหญเ่ ชอ่ื วา่ หาก ดวงชะตา ตกในปนี น้ั พงึ ทำ� บญุ ดว้ ยวตั ถสุ ง่ิ ของตา่ งๆ ตามแตล่ กั ษณะดาวทกี่ ระทบ หากดวงตก หนักมากเจอดาวราหูหรือดาวเสาร์เข้ากุมดวงชะตาก็มักจะสร้างเจดีย์ถวายเป็นกุศล ทานแกศ่ าสนา ถอื วา่ ไดอ้ านิสงสส์ งู สดุ และจะทำ� ใหช้ ะตาพลิกฟืน้ คืนมาดดี งั เดมิ ภาพพบั สาการวางผงั ตำ� แหน่งลกู นมิ ิตในเขตสีมา
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง222 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพจิตรกรรมจากพบั สารูปสีมา ตามพระวินยั แบบต่างๆซ่ึงชี้ให้เหน็ วา่ การก�ำหนดสมี านนั้ ทำ� ไดห้ ลากหลายรูปแบบ ท่ีมา:สมุดภาพไตรภมู ิฉบบั อกั ษรธรรมล้านนาและอกั ษรขอม. กรมศลิ ปากร
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 223 ทักษากับคตกิ ารสร้างเมอื ง กรณีศึกษาผงั เมอื งเชียงใหม่ แนวคดิ ในการสรา้ งเมืองในสมัยโบราณนนั้ ไม่ว่าจะเป็นผังเมอื งรปู สี่เหล่ียม วงกลม หอยสงั ข์ ล้วนมีที่มาจากคตเิ รอื่ งดวงดาวทง้ั สิ้น แตกต่างกนั เพียงว่า เมอื งไหน จะใช้ตำ� ราใดในการอา้ งองิ จะเหน็ ได้จาก กล่มุ เมอื งทมี่ ีพื้นฐานจากศาสนาฮนิ ดกู ็มกั จะนิยมต้งั ชือ่ เมืองหรือผงั เมืองตามคตฮิ ินดู เชน่ เมอื งพระพษิ ณโุ ลก เมืองอยธุ ยาศรี รามเทพนคร เมอื งศรเี ทพ เป็นต้น ช่ือเมอื งเหล่านล้ี ้วนสะท้อนใหเ้ ห็นถึงแนวคดิ ใน การตงั้ ชอื่ เมือง และจะโยงมาส่เู ร่ืองของผังการสรา้ งเมืองด้วยเชน่ กนั ศาสนาฮินดู และศาสนาพทุ ธมีหลกั แนวคิดเรอื่ งดวงดาวจักรราศใี นแบบเดียวกัน แต่ตา่ งกันใน ส่วนเนื้อหาปรชั ญา ทั้งสองต่างก็อาศัยแผนภมู จิ กั รวาลแบบเดียวกนั แต่ปรับเปล่ยี น โครงสร้างบางประการใหเ้ ขา้ กบั ลัทธิความเชือ่ ของตน เชน่ ศูนยก์ ลางจกั รวาลในคติ พุทธคอื เขาพระสเุ มรุ ซ่งึ ปลายยอดสุดของเขาพระสเุ มรุไม่ไดม้ ีไวเ้ พอ่ื เทพเจ้าสงู สดุ แต่เปน็ หนทางช้ไี ปถงึ จดุ สงู สุดคอื พระนิพพาน ซ่งึ ตา่ งกันกบั ใน คตพิ ราหมณ์คอื ยอด เขาไกรลาศเปน็ ทีป่ ระทับแห่งองคเ์ ทพเจ้าสงู สดุ เปน็ ตน้ คติดาราศาสตร์ทเ่ี กี่ยวกับผังเมืองในล้านนานน้ั ไมป่ รากฏเดน่ ชัดแต่ยงั คง หลงเหลือหลักฐานพอให้จับประเด็นเรื่องแนวคิดการสร้างเมืองจากภูมิสถานหลาย แห่ง เชน่ ตำ� แหนง่ คุ้มวัง ทิศทางหรอื ประตมู งคลของเมอื ง วดั กลางเวียง กล่มุ ชมุ ชน ชา่ ง ตลาดเมืองหรอื ย่านตลาดการค้า หรือสภาพภูมศิ าสตร์ แหล่งน้�ำ เนนิ ดนิ ภูเขา กบั การวางทศิ ทางของเมือง เป็นตน้ เมืองโบราณในอาณาจักรลา้ นนา ที่ปรากฏคตทิ กั ษาเมืองชัดเจนมากทีส่ ุด คอื เมอื งเชยี งใหม ่ จากการชำ� ระและตรวจสอบดวงเมอื งเชยี งใหมไ่ ดส้ รปุ วา่ พญามงั ราย ไดก้ ำ� หนดฤกษต์ ง้ั เมอื งเชยี งใหม่ เมอื่ วนั พฤหสั บดี ที่ ๑๒ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๑๘๓๙ เดอื นวสิ าขะ ออก ๘ ค�่ำ วนั ๕ ไทเมืองเป้า ยามแตรรุ่ง สองลกู นาทปี ลายสองบาทน�้ำ ผกู ลัคนาในราศมี ีน อาโปธาตุ ปนุ พั พัสสุฤกษ์ ผูกทักษาท่ดี าวพฤหสั จงึ เริ่มนับทีด่ าว พฤหสั ซงึ่ อยปู่ ระจำ� ทศิ ตะวนั ตกเปน็ บรวิ าร ตามตำ� แหนง่ คอื ประตสู วนดอก อายเุ มอื ง คือแจ่งหัวริน ซ่ึงเป็นแหลง่ นำ้� สำ� คญั ทีไ่ หลมาหล่อเลี้ยงชวี ติ ผู้คนในเมือง เดชเมืองคือ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง224 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ประตชู า้ งเผอื กศรเี มอื งคอื แจง่ ศรภี มู ิมลู เมอื งคอื ประตทู า่ แพอตุ สาหะเมอื งคอื แจง่ คะตำ�๊ และบรเิ วณชมุ ชนชา่ งตา่ งๆ มนตรเี มอื งคอื ประตเู ชยี งใหม่ และกาลกณิ เี มอื งคอื แจง่ กเู่ รอื ง เป็นตน้ จากการวางผังดังกลา่ วผู้เขียนได้มขี อ้ คดิ เห็นเกี่ยวกับทกั ษาเมืองเชยี งใหมไ่ ว้ ดังนี้ ทักษาเมืองเชียงใหม่มิได้วางรูปแบบให้ลงตัวตามผังทักษามาแต่ต้นในสมัย พญามงั ราย แตเ่ ปน็ การพฒั นาการมาเรอื่ ยๆ จนถกู ตอ้ งครบถว้ นตามหลกั ดาราศาสตร์ และทักษาในสมยั หลงั หลายตำ� แหนง่ ในทักษาเมืองเชยี งใหมม่ ีการสรา้ งในยคุ หลัง พญามังราย โดยความคิดเร่ืองผงั เมอื งเชียงใหม่ในช่วงแรก น่าจะเปน็ การรับเอา ผงั เมอื งสโุ ขทยั มาเปน็ แมแ่ บบมากกวา่ การคดิ เรอ่ื งทกั ษา อกี ทงั้ ภมู ศิ าสตรเ์ มอื งเชยี งใหม่ และสุโขทัยกม็ คี วามคลา้ ยคลึงกันเปน็ อย่างมาก จงึ เป็นการงา่ ยต่อการบรหิ ารจดั การ ยามมีขา้ ศึก รวมถงึ ระบบการบริหารจัดการนำ�้ หลักฐานทีช่ ัดเจนคอื การทพ่ี ญามงั รายทรงเชิญพ่อขนุ รามค�ำแหงมารว่ มปรึกษาในการสร้างเมอื งในครั้งน้ัน ในตำ� นาน พ้ืนเมืองเชียงใหม่ได้ระบุว่าพญามังรายทรงลดขนาดเมืองลงตามค�ำแนะน�ำของ พอ่ ขนุ รามค�ำแหง ตอ่ มาในยคุ หลงั ศาสตรค์ วามรูอ้ ื่นๆ ที่มาพรอ้ มกับพุทธศาสนาเขา้ มามอี ทิ ธิพลในความคิดเร่ืองการวางผังเมอื งมากข้ึน เม่ือศาสตรค์ วามรเู้ รือ่ งทักษาเขา้ มาและเปน็ ทนี่ ยิ มใชก้ ันทวั่ ไปในภมู ิภาคน้ี จงึ มีผลต่อการปรับผงั เมอื งเชียงใหม่ โดย อาศัยโครงสรา้ งผงั เมืองเดิมท่ีมีอย่ใู หส้ อดคล้องกับหลักการใหม่ ดงั ปรากฏในตำ� นาน พื้นเมืองเชียงใหม่ในยุคหลังซ่ึงระบุถึงต�ำแหน่งมงคลเมืองตามทักษาบางจุดท่ีชัดเจน ข้นึ ในสมยั พญาตโิ ลกราช หลังจากนั้นไม่นานเมืองเชียงใหม่ไดเ้ สือ่ มอำ� นาจลงและตก เปน็ เมืองขึ้นของพมา่ ตอ่ มาในยคุ พระเจา้ กาวลิ ะไดท้ ำ� การฟน้ื มา่ นและเขา้ ฟน้ื ฟเู มอื งเชยี งใหมอ่ กี ครงั้ เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ สง่ิ สำ� คญั ประการหนง่ึ ของการฟน้ื บา้ นเมอื งใหมค่ อื การยา้ ยเสาอนิ ทขลิ จากทเี่ ดมิ คือวดั สะดือเมืองมาท่ีวัดเจดยี ห์ ลวง การยา้ ยเสาอินทขิลหรอื เสาหลกั เมือง น้ันตามหลักโหราศาสตรแ์ ล้วคอื การยา้ ยดวงเมืองและผูกดวงเมอื งใหม่ เน่อื งจากดวง เมืองเก่าทผี่ ูกมาแต่ครั้งพญามงั รายนั้นได้เส่อื มลงเป็นเวลานานแล้ว จงึ สะท้อนให้ เห็นว่าพระเจ้ากาวิละได้ยึดถือเอาแนวคิดเรื่องดวงเมืองและทักษาเมืองมาใช้เป็น ส่วนหน่ึงในฟื้นฟูบ้านเมือง โดยพยายามคงไว้ซึ่งจารีตประเพณีเดิมท่ีมีมาต้ังแต่
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 225 ราชวงศม์ งั ราย ดังนน้ั เมือ่ มีการฟนื้ เมอื งเชยี งใหม่ข้นึ จงึ ได้จดั สรรบา้ นเมืองใหถ้ ูกต้อง ลงตัวตามหลกั ผังและทิศในทกั ษาทม่ี มี าแตเ่ ดิม เช่น การแบ่งไพร่หรือช่างฝีมอื ดใี ห้ อยใู่ นต�ำแหน่งอุตสาหะเมือง หรอื ตำ� แหน่งมลู เมืองหรอื ยา่ นตลาด การค้าคือถนน ทา่ แพตามเดมิ เปน็ ตน้ ภาพตารางทักษาเมอื งเชยี งใหม่ การย้ายเสาหลักเมืองมาท่ีวัดเจดีย์หลวงคือการย้ายศูนย์กลางเมืองตาม แนวคดิ จกั รวาลคตแิ ละหลกั ทกั ษา โดยถอื วา่ วดั เจดยี ห์ ลวงเปน็ พระมหาธาตปุ ระจำ� เมอื ง มเี สาอนิ ทขลิ เปน็ หมดุ หมายของสะดอื เมอื งและเปน็ ทอ่ี ยขู่ องเทวดาอารกั ษป์ ระจำ� เมอื ง พบว่าในพธิ กี ารบชู าเสาอินทขิลของเมอื งเชียงใหม่นัน้ นอกจากจะบูชาเสาอนิ ทขิล แล้ว ยังมกี ารบูชาเทวดาอารักษอ์ ื่นๆ ในคราเดยี วกัน ประเดน็ สำ� คัญคอื มกี ารบูชา ชา้ งแปดตัวทอ่ี ยรู่ อบองค์เจดยี ์หลวงซึ่งมนี ยั บางประการซ่อนอยู่ กล่าวคอื ตามรูปแบบทางกายภาพของเจดีย์หลวงน้ันเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอดทรง ระฆังคว่�ำและประกอบดว้ ยฐานชา้ งลอ้ ม ซงึ่ เป็นรปู ทรงเจดยี ์ทไี่ ด้รบั รปู แบบอิทธิพล มาจากพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ท่ีเข้ามาสู่ล้านนาโดยผ่านทางอาณาจักรสุโขทัย ซ่ึงฐานช้างล้อมดงั กล่าวประกอบไปด้วยชา้ งปูนป้นั จ�ำนวน ๒๘ เชือก ซงึ่ ไมส่ ัมพนั ธ์
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง226 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา สอดคล้องกนั กับพธิ ีการบูชาช้างทัง้ ๘ เชอื กในพิธีบชู าเสาอินทขิลดงั กลา่ ว ต่อมาผู้ เขยี นพบวา่ ในต�ำแหน่งภูมิตา่ งๆบนสวรรค์นน้ั ได้ปรากฏช่ือช้างผู้รักษาทิศทั้ง ๘ ท่ี คอยดแู ลปกป้องเขาพระสุเมรซุ งึ่ ปรากฏช่อื ต่างๆคอื ช้างรกั ษาหนใต ้ ชอื่ วา่ กุมทุ โท ชา้ งรักษาหนพายัพ ชื่อว่า อัญชโุ น ชา้ งรกั ษาหนวันตก ช่ือวา่ ปณุ ฑะลิโก ช้างรักษาหนวนั ออก ชอ่ื วา่ เอราวัณโณ ช้างรกั ษาหนหรดี ชอ่ื ว่า ปุพพะทัณโต ช้างรกั ษาหนเหนือ ช่ือวา่ วามะโน ช้างรักษาหนอาคะไนย ชอ่ื ว่า สพั พะภุมโม ช้างรกั ษาหนอสี าน ชือ่ ว่า สุปปะติโก จากขอ้ มลู ดงั กลา่ วทำ� ใหผ้ เู้ ขยี นสนั นษิ ฐานวา่ ชา้ งทงั้ ๘ ทร่ี กั ษาเมอื งเชยี งใหม่ อนั อยรู่ อบพระธาตุเจดยี ห์ ลวงนน้ั คอื คติการจำ� ลองเมืองเชยี งใหม่ให้เป็นจักรวาลใน อดุ มคติ โดยมีพระธาตเุ จดีย์หลวงเปน็ ศูนย์กลางจักรวาลอุปมาเป็นดั่งเขาพระสุเมรุ เมือ่ เป็นเชน่ น้ีแล้ว ช้างทั้ง ๘ ตัวที่เปน็ ผปู้ กป้องรกั ษาเขาพระสเุ มรตุ ามทศิ ทัง้ ๘ บน สวรรค์จึงถกู จ�ำลองลงมาดว้ ย ดังนั้นการบูชาช้างแปดตัวทีอ่ ยรู่ อบเจดยี ์หลวงจึงไมใ่ ช่ การบชู าชา้ งปนู ปน้ั ทอี่ ยรู่ อบองคพ์ ระเจดยี ์ แตห่ ากเปน็ นามธรรมสมมตุ ติ ามคตดิ งั กลา่ ว โดยปกติ การบชู าชา้ งแปดตวั จะบชู าชา้ งทอ่ี ยทู่ างทศิ อสี านกอ่ นเปน็ อนั ดบั แรก และเรยี งไปตามทศิ ของทักษาโดยช้างแตล่ ะตวั จะมีคาถายันตก์ ำ� กับอยู่ โดยช่อื ของ ชา้ งแต่ละตัวคอื เมฆบังวนั ข่มพลแสน ปนื แสนแหล้ง ไฟแสนเตา หน้าไม้แสนเกียง แสนเมอื งกา้ น ดาบแสนดำ�้ หอกแสนคัน อกี นัยหนง่ึ การบชู าช้าง ๘ ตัวรอบองค์ เจดยี ์หลวงแทท้ ีจ่ ริงคอื สญั ลักษณข์ องการเชญิ คุณอำ� นาจแห่งดวงดาวอฐั เคราะห์ ประจ�ำทิศท้ังแปดโดยมพี ระเจดีย์หลวงเปน็ ดาวเกตุอยู่ศนู ยก์ ลาง นอกจากน้ีชอ่ื ชา้ ง แต่ละตัวก็ส่อื ถงึ ความมพี ลังอำ� นาจท้งั สน้ิ การบูชาชา้ งแปดตวั ในงานบชู าเสาอินทขิล จงึ เปน็ สญั ลกั ษณห์ นงึ่ ของการบชู าดาวพระเคราะหท์ ม่ี อี ำ� นาจปกปกั รกั ษาเมอื งนน่ั เอง อกี นัยยะหนง่ึ คนล้านนามคี วามเชอื่ เรอื่ ง การปอ้ งกันอาเพศ ภัยอันตราย ท่ี จะเกิดกับบา้ นเมืองดว้ ยไสยศาสตรแ์ ละคาถาอาคม หนง่ึ ในวิชาเหลา่ น้ันคอื การฝังธนู ซง่ึ ในวชิ าการฝงั ธนูแบบลา้ นนานัน้ มอี ยูส่ ามประเภทคอื ธนชู า้ ง ธนสู งิ ห์ และธนูวัว
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 227 ภาพหออินทขิลซง่ึ อยูภ่ ายในวัดเจดยี ห์ ลวง ภาพเจดยี ์หลวง ศูนยก์ ลางดวงเมืองในสมัยพระเจา้ กาวิละ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง228 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หากศึกษาประวัติศาสตรเ์ มืองเชียงใหมจ่ ะพบวา่ ช้าง สงิ ห์ และววั คอื ส่วนหนึ่งของ ต�ำแหน่งอารักษ์เมืองเชียงใหม่ ดังนั้นต�ำแหน่งช้างแปดตัวท่ีเจดีย์หลวง อาจจะ เป็นการฝังธนูช้างเพื่อป้องกันอาเพศที่จะเกิดข้ึนกับเมืองก็เป็นได้ นอกจากน้ียังมี พธิ กี ารสบื ชะตาเมืองตามประตแู ละแจง่ เมืองต่างๆ ในชว่ งเวลาเดียวกัน พธิ ีกรรมที่ จดั ขึน้ ในช่วงการบูชาเสาอนิ ทขิลน้ี จงึ สะทอ้ นถึงการใหค้ วามส�ำคญั กับดวงเมอื งมา ตัง้ แตอ่ ดตี และสบื เน่อื งมาจนถงึ ปจั จุบนั เมอื่ หลายปีที่ผา่ นมา มีประเดน็ เรื่องวัดในทักษาเมอื งเกดิ ขึ้น ได้มีการเสนอ ทัศนะจากนักวชิ าการซึง่ เหน็ ตา่ งกนั สองกลุม่ คือ กลุ่มทเี่ ช่อื ว่ามีวัดในทักษา และกลมุ่ ท่ีไม่เชื่อว่ามีวัดในทักษาเมืองเชียงใหม่ โดยประเด็นต่างก็ยกเหตุผลท่ีหักล้างกันไป ตา่ งๆ เช่น วดั แตล่ ะวัดทม่ี กี ารยกขน้ึ มาเปน็ วัดในทกั ษาเมืองเชียงใหม่นั้น เป็นวดั ที่ สร้างในชว่ งเวลาท่ตี า่ งกนั ด้วยเหตุผลและแรงจงู ใจในการสร้างวัดที่ตา่ งกนั และ แตล่ ะวัดนั้นสร้างขนึ้ ในชว่ งรัชสมยั ท่ีตา่ งกัน จึงเป็นไปไมไ่ ดท้ ี่จะมีการกำ� หนดวดั ใน ทกั ษาเมือง แตก่ ็ยอมรบั ในหลักคิดเรื่องทกั ษาที่มีผลต่อทศิ และต�ำแหน่งตา่ งๆ ของ เมืองเชียงใหมท่ ่เี ขา้ มาภายหลงั โดยเรม่ิ ปรากฏหลกั ฐานการกลา่ วถงึ เร่ืองทกั ษาใน ช่วงสมัยทล่ี ้านนาเจริญรงุ่ เรืองหรอื ในชว่ งยุคทองเป็นต้นมา ต่อมาช่วงสมัยพระเจ้ากาวิละมีการย้ายเสาอินทขิลมาตั้งที่วัดเจดีย์หลวง กอปรกับพธิ ีการบชู าชา้ ง ๘ ตัวรอบเจดยี ์หลวง สะทอ้ นให้เห็นวา่ วัดเจดียห์ ลวงน่ามี สถานะเปน็ เกตุเมอื ง กาลครงั้ เม่อื พระเจา้ กาวิละยกพลขนึ้ มาตั้งเมอื งเชยี งใหมจ่ ะเห็น ได้ว่าพระองค์ได้เลือกเวลาฤกษ์ยามที่เกือบจะตรงกับเวลาตั้งเมืองของพญามังราย กล่าวคือ ทรงเลือกช่วงเวลาเดอื น ๖ พระอาทติ ย์ และดาวพฤหัสสถติ อยู่ในราศีมนี แต่ดวงเมืองสมัยพญามังรายเลือกตั้งลัคนาที่ราศีมีน ทรงเลือกวันพฤหัสเพ่ือเป็น บรวิ ารเมอื งตามหลกั ทักษา ดงั น้นั ก่อนเขา้ เวียงพระองค์จึงไดห้ ยุดพกั ไพรพ่ ลทว่ี ัด สวนดอกเปน็ ปฐม ซง่ึ เป็นจดุ เริ่มตน้ ของทกั ษาเมอื งเชียงใหมค่ ือบรวิ ารเมอื ง แล้วเดนิ ประทักษณิ รอบเมืองตามหลกั ผงั ทักษา จากน้ันจึงไปหยดุ ที่ทิศตะวันตกวดั เชียงยนื และเสด็จเข้าไปไหว้พระประธานท่ีวัดเชียงยืนก่อนเข้าเวียงในเวลาใกล้เท่ียงซึ่งเป็น เวลาทีพ่ ระอาทิตย์และดาวพฤหัสอยตู่ รงหัวตำ� แหน่งกมั มะ ดาวทัง้ สองถอื วา่ เป็นดาว คู่มติ รส่งอิทธพิ ลโดยตรงกบั ดวงเมือง อกี ทัง้ พฤหัสเป็นต�ำแหนง่ ดาวเกษตรเจา้ เรือน
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 229 ในราศีมนี อาโปธาต ุ ดงั นน้ั เมืองเชียงใหมย่ ุคหลงั จงึ ผกู ลัคนาทร่ี าศเี มถนุ ดาวราหกู มุ ลคั นา ฤกษ์ในการเข้าเวยี งเวลาใกลเ้ ท่ียงคอื ฤกษ์ตวั ท่ี ๗ ช่อื ปนุ ัพพสุ เชน่ เดยี วกนั กบั ฤกษ์ทพ่ี ญามงั รายต้ังเมอื งเชียงใหม่ ย�้ำใหเ้ ห็นถึงการใหค้ วามส�ำคญั กบั ดวงเมืองและ จารีตประเพณีเดมิ ทส่ี ัมพันธ์กบั ระบบทักษาเมอื งในยคุ หลังได้เป็นอยา่ งดี อีกประการหน่ึงผู้เขียนได้ต้ังข้อสังเกตว่า ดวงเมืองเชียงใหม่ที่ผูกในสมัย พญามงั รายนั้น ฤกษต์ ้งั เมอื งเป็นเวลาเชา้ มดื ใกลส้ ว่าง คาบเกีย่ วกบั เวลาของวนั พธุ กลางคืน ซ่ึงสมผสุ เวลาพระอาทิตย์ข้นึ ของวนั นัน้ ยงั ไมส่ วา่ งหรือพระอาทิตย์ยังไม่ขนึ้ โดยหลักโหราศาสตร์แล้วถ้าจงใจเอาระบบทักษาเข้าเทียบต้ังแต่ต้นดวงเมือง เชียงใหม่ต้องเป็นนามราหู แต่นี่เป็นการผูกดวงดาวตามหลักดาราศาสตร์ถือตาม คัมภีร์สรุ ยิ ะยาตรา ซึ่งระบวุ ่า ลคั นาผกู ไว้ที่นวางค์ลกู พฤหสั ในราศีมนี หรอื โหราจารย์ สมยั น้นั อาศัยหลกั การใช้นามเมอื งมาเป็นตัวบง่ ช้ี กลา่ วคือ ชอื่ เมอื งเชยี งใหม่น้นั คอื ตวั ม. เปน็ อักษรซ่ึงอย่ใู นหมวดของนามวนั พฤหัสคอื ปะ ผะ ปะ๊ พะ มะ เปน็ ไปได้ หรือไมว่ ่า ดวงเมอื งเชียงใหม่ที่อา้ งอิงหลกั จารกึ วัดเชยี งม่ันนน้ั เปน็ การเขียนขนึ้ ภาย หลงั รัชกาลของพญามังราย ตามหลักคิดเรื่องทักษาท่ีมาภายหลัง เพอ่ื ตอ้ งการให้ เมอื งเชยี งใหมใ่ ชด้ าวพฤหสั เปน็ ดาวประจำ� เมอื ง ซง่ึ ถอื เปน็ ประธานในกลมุ่ ดาวศภุ เคราะห์ เป็นเหตุท�ำใหต้ �ำแหน่งตา่ งๆ ของเมอื งลงตวั ตามหลักทางโหราศาสตร์ จึงมกี ารเขยี น ดวงเมืองขึ้นในภายหลังเพอื่ ใหเ้ ชื่อมโยงกันกบั หลกั ทกั ษาท่เี ข้ามาใหมใ่ นยุคนน้ั ข้อสังเกตประเด็นท่ีสองคือระบบดวงดาวเคราะห์โบราณนั้นเริ่มต้นที่ระบบ ดาวสตั ตะเคราะห์ คือดาวท้งั ๗ ดวงโดยยงั ไม่มรี าห ู ต่อมาเม่ือมีระบบทกั ษาเกิดข้นึ จงึ มีดาวราหูเพ่มิ เข้ามาอีกหนงึ่ ดวง รวมเปน็ ดาวอัฐเคราะหท์ ัง้ ๘ ดวง๑๕๕ ภายหลงั เร่มิ มีการใชร้ ะบบดาวนพเคราะห์ข้นึ โดยเพมิ่ ดาวเกตขุ นึ้ มารวมเปน็ ๙ ดวง เม่ือนำ� มาวาง ตามต�ำแหน่งทักษาจึงให้ดาวเกตุอยตู่ รงกลาง แตศ่ ูนยก์ ลางของเมอื งในยคุ น้ันไมใ่ ช่ เกตุเมอื ง แต่เป็นสะดือเมือง ดังนัน้ คำ� วา่ เกตุเมืองจงึ น่าจะเป็นแนวคิดที่ใชก้ บั ผงั ดวง เมืองเชียงใหม่ในชว่ งปลายราชวงศ์มงั รายหรอื ช่วงพระเจ้ากาวลิ ะเป็นตน้ มา ๑๕๕ พบวา่ หลกั ศลิ าจารกึ หลายหลกั ทเ่ี ขยี นขนึ้ ในพทุ ธศตวรรตท่ี ๒๐ ใชจ้ ำ� นวนตวั เลขของดาว ๗ และ ๘ ดวง เปน็ สว่ นใหญ่ แตพ่ อปรากฏดาวเกตอุ ยบู่ า้ งไมม่ าก
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง230 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา นอกจากน้ีต�ำราโหราศาสตร์ลา้ นนาหลายฉบับที่เขียนคัดลอกสบื ทอดตอ่ กันมา พบว่ามกี ารเขยี นเรอื่ งการผูกเกณฑเ์ มืองและดวงเมอื งตา่ งๆ ในล้านนาทข่ี ้นึ ตรงกบั เมอื งเชียงใหมซ่ งึ่ ศนู ย์กลางอำ� นาจ สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความส�ำคญั ของวชิ าโหราศาสตร์ ทเี่ ปน็ สว่ นหนงึ่ ในการควบคมุ และบรหิ ารราชการบา้ นเมอื งกบั หวั เมอื งตา่ งๆ ในลา้ นนา อกี ท้ังโหราจารยส์ มัยโบราณจำ� เปน็ ต้องรู้และศึกษาเกณฑช์ ะตาบา้ นเมอื งอ่ืนๆ หรอื อาณาจกั รโดยรอบและคอยระมดั ระวงั อยเู่ สมอ โดยพน้ื ฐานตามหลกั ทกั ษาเมอ่ื กำ� หนด ผกู นามทกั ษาแลว้ แตล่ ะปดี วงดาวและทกั ษาปกรณ์ จะโคจรหมนุ เวยี นขวาไปปลี ะ ๑ ช่องเรอื่ ยๆ เรียกว่าทกั ษาจร ยกตัวอย่างในทางที่ดี หากตำ� แหน่งศรีจรมาทบั มูลละ เมือง ปีน้ันเศรษฐกิจบ้านเมืองการค้าเจริญรุ่งเรืองพ่อค้าต่างบ้านต่างเมืองเข้ามา พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบรู ณ์ หากศรีจรมาทบั มนตรเี มือง ขุนนางผู้ใหญห่ รอื เจา้ นายจักไดล้ าภสักการะหรือสรา้ งผลงานเปน็ ที่เลือ่ งลือ เป็นต้น ในทางรา้ ย ปใี ดกต็ าม หากกาลกิณจี รมาทบั ตำ� แหนง่ มงคลของเมือง เชน่ กาลกิณจี รมาทบั อายเุ มือง แสดง ว่าเจ้าเมืองหรือขุนนางใหญ่อาจเจ็บป่วยหรือประสบเคราะห์กรรมหนัก หรือเกิด อาเพศภยั ธรรมชาติ หากกาลกิณีจรมาทบั ตำ� แหน่งเดชเมอื ง แสดงว่าอาจจะเกดิ ภาวะสงคราม หรอื อำ� นาจการบรหิ ารแผน่ ดนิ อาจจะมปี ญั หา หรอื เจา้ เมอื งถกู ลดิ รอน อ�ำนาจ กาลกิณจี รมาทับศรีเมือง มีตัวอยา่ งใหเ้ ห็นในประวตั ศิ าสตร์เมืองเชยี งใหม่ ชัดเจนในการพยายามท�ำลายศรีเมอื ง เพอื่ ใหเ้ มอื งเสื่อมอำ� นาจลง หรอื กาลกณิ ีจร ทับมูลละเมือง แสดงถึงสภาพเศรษฐกิจของเมอื งที่เสือ่ มถอยลง เปน็ ต้น ดงั นี้แล้ว โหราจารย์ประจ�ำเมืองจึงตอ้ งคอยตรวจตราดวงเมอื ง ดวงเจ้าเมอื ง และคอยสังเกต ดวงดาวบนท้องฟ้าและอาเพทอนื่ ๆ อยเู่ สมอเพอื่ เตรียมการแกไ้ ขสถานการณ์ดว้ ยวธิ ี การตา่ งๆ เนื่องจากโหราจารยข์ องหัวเมืองอ่ืนทเี่ ปน็ คูศ่ ตั รจู ะอาศัยชว่ งเวลาดงั กล่าว เปน็ ฤกษย์ ามในการเขา้ ตเี มอื งในปที ดี่ วงเมอื งเสอ่ื มถอย หรอื ตงั้ คา่ ยจโู่ จมในทศิ ทเ่ี มอื ง เสื่อมอำ� นาจ ในสมยั พระเจา้ กาวลิ ะยงั ไมพ่ บการบนั ทกึ เกณฑเ์ มอื งและดวงชะตาเมอื งอ่ืนๆ แต่ทว่า ขอ้ สังเกตบางประการจากการฝงั เสาหลักเมอื งกรุงเทพใหม่ครัง้ ที่ ๒ ใน ปีพทุ ธศักราช ๒๓๙๕ ในสมยั รชั กาลท่ี ๔ พบว่า หลงั จากท่ีมีการปรบั ปรงุ ดวงเมอื ง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 231 กรงุ เทพคร้ังนน้ั หัวเมืองตา่ งๆ ในลา้ นนาเริ่มมีการฝังเสาหลกั เมือง หรอื ย้ายเสาหลกั เมอื งตามๆ กนั มา โดยเฉพาะเมืองลำ� ปางมกี ารปรบั ยา้ ยเสาหลกั เมืองและผูกดวง เมอื งใหมถ่ งึ ๓ ครง้ั ในระยะเวลาไลเ่ ล่ียกนั นอกจากนใ้ี นชว่ งหลังการปรับปรุงระบบ หัวเมืองล้านนาจากประเทศราชมาเป็นมณฑลเทศาภิบาลยังพบว่ามีการปรับแก้ ตำ� แหนง่ สถานทหี่ รอื จดุ สำ� คัญในดวงเมอื งหลายๆ เมืองขึ้นใหม่ ชี้ใหเ้ หน็ วา่ หลักการ เร่ืองดาราศาสตร์ดวงดาวที่คล่ีคลายมาเป็นโหราศาสตร์มีบทบาทส�ำคัญและเป็นส่วน หน่ึงทใ่ี ช้ในการบริหารจัดการบ้านเมือง ดังกล่าวมาน้ี วสั สาวราหกเทวบตุ ร
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง232 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา บทส่งทา้ ย จากเนอ้ื หาทผ่ี เู้ ขยี นไดอ้ ธบิ ายมานนั้ แตล่ ะหวั ขอ้ สามารถจำ� แนกรายละเอยี ด ในเชิงลกึ ไดอ้ กี มาก ช้ใี หเ้ ห็นว่าวิชาดาราศาสตรม์ ีความเกยี่ วข้องเชื่อมโยงกับวิถชี วี ิต คนลา้ นนาอยา่ งไร แสดงถงึ การสงั่ สมภมู ิปัญญาของคนโบราณ และสะท้อนใหเ้ ห็นถึง ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของอาณาจกั รลา้ นนาในอดตี ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี การศกึ ษาเรอื่ งดาราศาสตร์ ลา้ นนานน้ั จะเหน็ ไดว้ า่ มหี ลายมติ ทิ เ่ี กย่ี วเนอ่ื งสมั พนั ธก์ นั นอกจากน้ี ยงั พบวา่ มรี อยตอ่ สำ� คญั ทเ่ี กดิ จากองคค์ วามรเู้รอื่ งดวงดาว คอื จดุ เชอื่ มระหวา่ งความเชอ่ื ดงั้ เดมิ กบั พทุ ธศาสนา ดงั จะเห็นได้จากเน้ือหาเรื่องการกำ� เนดิ โลกและดวงดาวทีเ่ ขียนขึ้นในล้านนา พบวา่ วรรณกรรมเหลา่ นลี้ ว้ นมที ม่ี าจากการผสมองคค์ วามรหู้ ลกั สองสว่ นคอื ความเชอื่ ดงั้ เดมิ และหลกั การทางพุทธศาสนาทีเ่ ข้ามาภายหลงั ลักษณะการเผยแผ่ศาสนาแบบโบราณน้ันหลักการส�ำคัญอย่างหนึ่งคือ การครอบง�ำองค์ความรู้ หรือความเช่ือด้ังเดิมด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยเหตุนี้ท�ำให้ ศาสนาพทุ ธทกี่ ระจายอยใู่ นทกุ ภมู ภิ าคจงึ มคี วามแตกตา่ งกนั เนอื่ งจากพนื้ ฐานความเชอื่ หรอื ลัทธิด้ังเดมิ ในแต่ละท้องถิน่ มีความหลากหลาย เม่ือมีการผสมผสานเขา้ กับหลกั การทางพทุ ธศาสนาและอยู่รว่ มกันเป็นเวลานาน จึงกลายเป็นลักษณะเฉพาะถนิ่ จน บางคร้งั หลงลืมไปวา่ อันไหนคอื ของดัง้ เดิม อันไหนมาใหม่ ดังจะเห็นได้จากพธิ ีกรรม มากมายในลา้ นนาทไ่ี มเ่ กย่ี วขอ้ งกบั หลกั ปรชั ญาทางพทุ ธศาสนา เชน่ การสบื ชะตา การสขู่ วญั การบวชนาค การถวายตงุ การถวายไมค้ ำ�้ ตน้ ศรีมหาโพธ์ิ การสวดถอน เป็นตน้ พิธกี รรมต่างๆ เหลา่ นล้ี ้วนเปน็ พธิ กี รรมเฉพาะถิน่ ทไ่ี ม่เกย่ี วขอ้ งกับพทุ ธ ศาสนา แตก่ ลบั กลายเป็นวา่ พระสงฆ์หรือผูท้ ่เี คยบวชเรียนจะต้องเป็นผ้ทู ี่ประกอบ พธิ ีกรรม หรอื ในการกล่าวคำ� โองการพิธีกรรมนั้นมักจะอาราธนาคุณพระรตั นตรัย มาปกป้องคุ้มครอง เปน็ ต้น จากการศกึ ษาเรื่องดาราศาสตร์ลา้ นนา ท�ำใหพ้ บวา่ เอกสารท่ีบนั ทกึ ความรู้ เกยี่ วกบั เรอื่ งนนี้ นั้ สว่ นใหญเ่ ปน็ วรรณกรรมทางพทุ ธศาสนา โดยแบง่ ออกเปน็ สองกลมุ่ กลุม่ แรก คือวรรณกรรมท่ีเขยี นครอบงำ� องคค์ วามร้ดู ้ังเดิม เช่น ต�ำนานปฐมมูลมูลี
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ทำ�ทอง 233 หรอื ตำ� นานมลู โลก คอื ตำ� นานทก่ี ลา่ วถงึ การกำ� เนดิ โลกและจกั รวาลตามโลกทศั นข์ อง คนโบราณ โดยแตเ่ ดมิ อาจจะเปน็ ต�ำนานหรือนทิ านพื้นบ้านทเ่ี ลา่ สืบทอดกนั มา แลว้ รวบรวมเขียนเป็นวรรณกรรมและสอดแทรกเน้ือหาปรัชญาทางพุทธศาสนาเข้าไปใน ภายหลงั กลมุ่ ท่ีสองคือ องค์ความร้ทู ี่เข้ามาใหมพ่ รอ้ มกับพุทธศาสนา ดงั นน้ั จงึ ปรากฏต�ำนานทเ่ี ก่ียวเนอ่ื งกบั การก�ำเนดิ โลกและดวงดาวจกั รราศีอีกแบบหนงึ่ เช่น คมั ภรี ์ไตรภมู ิ จักรวาลทีปนี อรณุ วดีสตู ร เปน็ ต้น โดยวรรณกรรมเหลา่ น้ีมักจะมกี าร เขียนขยายความและลงรายละเอยี ดมากกว่าของเดิม พรอ้ มสอดแทรกปรชั ญาหรือ หลกั ธรรมค�ำสอนทางพุทธศาสนา และอภินหิ ารของพระพุทธเจ้า หรอื พระอรหันต์ สาวก เพื่อสรา้ งความประทับใจและดงึ ดดู ผู้คนให้เข้ามานบั ถอื พทุ ธศาสนา ในตำ� นาน พระบาทพระธาตตุ า่ งๆ มักจะระบุวา่ พระพทุ ธเจา้ เสด็จมาในดนิ แดนล้านนาหลาย ครง้ั และแสดงปาฏหิ าริย์ใหก้ ับชนพืน้ เมืองเดิมทเี่ รยี กว่า ลัวะ หรอื ยกั ษ์เสมอ ดังนนั้ เมอ่ื ศึกษาขอ้ มูลเรอ่ื งดาราศาสตรจ์ ึงพบวา่ ข้อมลู ทัง้ สองส่วนดังกลา่ ว อยู่ร่วมกัน ยกตัวอย่างกลุ่มดาวฤกษ์ ๒๗ กลุ่มซึ่งเป็นแบบแผนของอินเดีย อันเป็นระบบสากลท่ีนยิ มใช้กันท่วั ไปในภมู ภิ าคน้ี มกั จะมชี ื่อดาวแบบท้องถ่นิ กำ� กบั อยู่เสมอ ชื่อของดาวและความหมายแบบท้องถ่ินจึงมักจะไม่ตรงกับต้นฉบับจาก อนิ เดยี แตกตา่ งกันไปตามแต่ละท้องถิ่น นอกจากนย้ี งั ปรากฏหลกั ฐานทเ่ี ป็นรอยตอ่ ความเชื่อระหวา่ งพทุ ธกบั ผีอีกมาก เชน่ ใจเมือง สะดอื เมอื ง เสาหลกั เมือง เกตเุ มือง เทวดาอารักษผ์ ูป้ กปกั รกั ษาเมือง เสื้อวัดเส้อื วา หรือวรรณกรรมท้องถน่ิ ทีผ่ ูกโยงให้ เขา้ ไปเปน็ ส่วนหนงึ่ ในพุทธศาสนา ดงั ได้กล่าวมาแล้วในเนือ้ หาขา้ งต้น ตัวแปรส�ำคัญอีกประการหน่ึงท่ีจ�ำเป็นต้องเข้าใจและแยกแยะถึง ววิ ัฒนาการเรื่องดวงดาว เพอ่ื ใช้ประโยชน์ในการจำ� แนกพธิ กี รรม ความเชือ่ หรือ สญั ลักษณ์ทีส่ ่อื เกยี่ วเนื่องกบั ดวงดาว คือ ระบบกลมุ่ ดาว สัตตะเคราะห์ อฐั เคราะห์ และนพเคราะห์ ซ่งึ แตล่ ะระบบมีววิ ฒั นาการในช่วงเวลาที่แตกต่างกนั แต่อยู่ร่วมกัน มายาวนานจนถึงปัจจุบัน ระบบดาวพระเคราะตา่ งๆเหลา่ นไี้ ม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ว่าเร่ิมเข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนล้านนาเมื่อใด รวมถึง พัฒนาการต่อเนื่องมาอย่างไร ทราบแต่เพียงว่าพบหลักฐานการระบุว่ามี การใชร้ ะบบดวงดาวท้ัง ๓ แบบน้ีมาต้ังแต่ช่วงยคุ ทองของล้านนามาแลว้ ดงั จะพบได้
234 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตามจาเติ้ก หรอื แผ่นศลิ าจารกึ โบราณท่ีมีการระบถุ งึ ระบบกลุ่มดาวทัง้ ๓ รูปแบบ ถึงแม้ว่าภายหลังโลกวิทยาศาสตร์จะมีการค้นพบระบบสุริยะจักรวาลแล้วก็ตาม องค์ความรู้ดั้งเดิมของล้านนาคือระบบเขาพระสุเมรุหรือจักรวาลคติท่ีมองโลกเป็น ศูนยก์ ลางก็ยังใช้สืบเน่อื งกนั ตอ่ มาจนถึงปจั จุบัน โดยทั่วไปวิชาดาราศาสตร์และโหราศาสตร์มักถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงาย แต่ในความเป็นจรงิ ศาสตรเ์ หลา่ นี้มีอทิ ธิพลตอ่ รากฐานความคิดและวิถีชีวิตของคน โบราณเปน็ อย่างมาก ดงั นั้นผู้ทศี่ กึ ษาเรอื่ งราวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ประวตั ิศาสตร์ ประเพณี วถิ ชี ีวติ ของคนโบราณ อย่าได้อย่ามองข้ามบริบททส่ี ำ� คญั เหล่าน้ไี ป ผู้เขยี นหวังว่า ประเด็นต่างๆ ในหนังสือเล่มนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นในการเรียนรู้แก่ผู้ ที่สนใจในวิชาดาราศาสตรข์ องคนลา้ นนา และเป็นประโยชนส์ �ำหรบั ผู้ท่ีศึกษาค้นคว้า ในเรอ่ื งราวเหลา่ นี้ตอ่ ไป ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 235 บรรณานกุ รม ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปางกรกนก รตั นวราภรณ์. จักรวาลคติในการวางผังวดั หลวงล้านนา : สญั ลักษณ์ สะท้อนอ�ำนาจรัฐในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงพุทธ ศตวรรษที่ ๒๑ . เชยี งใหม:่ หลักสตู รศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขา ภมู ภิ าคศกึ ษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๔๕. เกรกิ อคั รชิโนเรศ . สรรพน์ พิ นธ์ลา้ นนาคดี เลม่ ๑ . เชียงใหม่: โรงพมิ พส์ ันติภาพ. ๒๕๔๕. คณะกรรมการตรวจสอบและสืบค้นดวงเมืองและต�ำนานพ้ืนเมืองเชียงใหม่. จดหมายเหตุ การตรวจสอบและสืบค้นดวงเมือง “นพบุรีศรีนครพิงค์ เชยี งใหม”่ . เชยี งใหม่: ส.ทรัพยก์ ารพมิ พ์, ๒๕๓๗. เชย บัวกา้ นทอง. ตำ� ราเลข ๗ ตวั แบบเชียงแสน .กรุงเทพ: เกษมบรรณกจิ , ๒๕๒๗. ดวงจนั ทร์ อาภาวัชรุตน,์ ยุพิน เข็มมกุ และวรวิมล ชยั รตั น.ไม่มีวดั ในทักษาเมือง เชียงใหม่ บทพิสูจน์ความจริงโดยนักวิชาการท้องถ่ิน. เชียงใหม่: โรงพมิ พม์ ง่ิ เมอื ง.มูลนิธสิ ถาบันพฒั นาเมอื ง และเครือข่ายชาวพุทธเชยี งใหม)่ , ๒๕๔๘. ต�ำราพรหมชาติ ร.ศ.๑๒๐ ฉบบั ปรบั ปรงุ . กรงุ เทพ: บนั ทึกสยาม, ๒๕๕๗. ตำ� ราโหราศาสตร.์ กรงุ เทพ: นลิ นาราการพิมพ์. (งานพระราชทานเพลิงศพ พระครู สริ ธิ รรมวิภัช (ศรีออ่ ง) อดีตเจ้าอาวาสวดั บรรพสถิต). ๒๕๔๓. เธียรชาย อักษรดิษฐ.์ ชธุ าต:ุ บทบาทและความหมายของพระธาตใุ นอนภุ มู ภิ าค อุษาคเนย์กรณีศกึ ษาความเชอื่ เรื่องพระธาตปุ เี กิดในล้านนา. เชยี งใหม่: บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่, ๒๕๔๕ บุญชู จนั ทร. โครงการพฒั นาต�ำรายา องคค์ วามร้หู มอพน้ื บา้ นลา้ นนา. เชียงใหม.่ ม.ป.ป. ประภาพร เลาหรัตนเวทย.์ โหร โหรา เบือ้ งตน้ เลม่ ๑ (เอกสารประกอบการเรียน การสอนโหราศาสตร์). ล�ำปาง: จติ วฒั นาการพมิ พ,์ ๒๕๔๐.
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง236 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา พระครูโสภณธรรมานุวฒั น์ (บุญมี สุธมั โม) , สุรยิ ยาตร จุฬามณีสาร. เชียงใหม:่ สันติภาพแพคพร้นิ ทจ์ ำ� กดั , ๒๕๕๔. พระครูอดลุ ยส์ ลี กติ ต์.ิ วนั ดวี นั เสยี ฤกษย์ าม ตามปฏทิ ินลา้ นนาฉบับวัดธาตุคำ� . เชยี งใหม:่ ดาราวรรณการพิมพ์,๒๕๕๗. พระธรรมดิลก (จนั ทร์ กสุ โล). ต�ำนานอนิ ทขลิ ฉบบั สมโภชน์ ๖๐๐ ปี พระธาตุ เจดีย์หลวง.เชยี งใหม่ : บุณยศิรกิ ารพิมพ์, ๒๕๓๘. พระอุบาลีคณุ ูปมาจารย์ (ฟู อัตตสโิ ว ป.๖). มหาชาตภิ าคพายัพสำ� นวนเอกสรอ้ ย สงั กร. พิมพ์ครัง้ ท่ี ๕ . แพร:่ วดั พระบาทม่งิ เมือง, ๒๕๑๖. พลูหลวง. คติสยาม.กรุงเทพ: ด่านสทุ ธาการพิมพ,์ ๒๕๔๐. ไพฑรู ย์ ดอกบัวแก้ว. โหราศาสตรล์ า้ นนา. เชยี งใหม่: โรงพิมพ์มงิ่ เมอื ง, ๒๕๔๗. มาลา คำ� จันทร์. ต�ำนานดาวฤกษ.์ พิมพ์ครั้งท่ี ๒ .กรุงเทพ: สำ� นักพมิ พ์ศยาม.๒๕๕๐ มาลา คำ� จันทร.์ ปา่ ดงพงพี ผสี าง และจกั รวาล. ศูนย์เผยแพรศ่ ลิ ปวัฒนธรรม ลา้ นนา เวยี งเจด็ ลนิ , ๒๕๕๐ รณี เลศิ เลอื่ มใส.ฟา้ ขวัญ เมือง จกั รวาลทศั น์ดัง้ เดมิ ของไท:ศึกษาจากคัมภรี ์ โบราณไทอาหม.ผลงานวจิ ยั , กรงุ เทพ:สำ� นกั งานกองทนุ สนบุ สนนุ การวจิ ยั (สกว.),๒๕๓๙. รายงานโครงการปริวรรตปั๊บสาครูบาอาโนชัยธรรมจินดามุนี. ล�ำปาง: ส�ำนัก ศิลปะและวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏลำ� ปาง, ๒๕๕๗. ศลิ ปากร, กรม. สมุดภาพไตรภมู ิฉบบั อักษรธรรมลา้ นนาและอักษรขอม.กรงุ เทพ: อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ แอนด์พับลชิ ช่ิง (มหาชน), ๒๕๔๗. ศนู ย์เอกสารโบราณ (ศ.อ.บ.) มูลนธิ สิ บื สานล้านนา. ต�ำนานพ้นื เมอื งเชยี งใหม่ ฉบบั นกั เรียนนักศึกษาและประชาชน. เชียงใหม่: บริษทั ทรโิ อแอดเวอรไ์ ทซง่ิ แอนมีเดีย จ�ำกดั , ๒๕๕๙. ส.ไชยนนั ทน์. โหราศาสตร์ไทยมาตรฐาน วา่ ดว้ ยเคลด็ ลบั การพยากรณ.์ พมิ พ์ครงั้ ที่ ๓.กรงุ เทพ,สำ� นักพมิ พ์เพชรกะรตั สตดู โิ อ,๒๕๔๔. ส.พลายน้อย. จันทรคตนิ ยิ าย.พิมพ์ครงั้ ท่ี ๓. กรงุ เทพ: พิมพ์ค�ำสำ� นกั พิมพ,์ ๒๕๕๓.
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 237 สถาบนั วิจยั สังคม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. ต�ำนานเชียงใหมป่ างเดมิ . เชยี งใหม่: สถาบนั วจิ ัยสังคม มหาวิทยาลยั เชียงใหม่, ๒๕๓๗. สน่ัน ธรรมธิ .ตำ� ราหมอดูลา้ นนา (โครงการการหนังสอื ชุดลา้ นนาคดี สำ� นกั สง่ เสริม ศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม)่ . เชยี งใหม:่ สเุ ทพการพมิ พแ์ อนมเี ดยี จ�ำกดั , ๒๕๕๗. สมโชติ อ๋องสกุล และสรสั วด ี ออ๋ งสกลุ . วัดในทกั ษาเมือง. เชยี งใหม:่ พงสวสั ด์ิ การพมิ พ,์ ๒๕๔๘. สมยั ยอดอินทร์ และมลั ลกิ า ถาวรอธิวาสน์. ภาพรวมของคณิตศาสตร์. เชียงใหม่: ภาควชิ าคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เชยี งใหม,่ ๒๕๔๘. สยาม ทองอย.ู่ ดาวเพดาน. พมิ พ์ครั้งท่ี ๑. กรุงเทพ: ส�ำนกั พิมพส์ ปิ ประภา, ๒๕๔๔. สรสั วด ี อ๋องสกุล. ประวัตศิ าสตรล์ า้ นนา.พมิ พ์ครั้งท่ี ๖ (ฉบบั ปรับปรงุ และเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ :ส�ำนักพิมพอ์ มรินทร์, ๒๕๕๒. สุเมธ ชมุ สาย ณ อยุธยา. น้ำ� บ่อเกิดแห่งวฒั นธรรมไทย. กรงุ เทพ: สมาคมสถาปนิก สยาม ในพระบรมราชูปถมั ภ,์ ๒๕๓๙. สุรพล ด�ำริห์กุล. ข่วงเมืองและวัดหัวข่วง. กรุงเทพ: ส�ำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๔๙. หอสมุดแห่งชาติ,ส�ำนัก.กรมศิลปากร.จกฺกวาฬทีปนี.กรุงเทพ:ศรีเมืองการพิมพ์, ๒๕๔๘ อนาโตล โรเจอร์ เปลตเิ ยร์. ตำ� นานเกา๊ ผีลา้ นนา ปฐมมลู มูล.ี กรุงเทพ: อมรินทร์ พร้นิ ต้ิงกร๊พุ , ๒๕๓๔. อรณุ รัตน์ วิเชียรเขียวและคณะ. พจนานุกรมศัพทล์ า้ นนาเฉพาะค�ำทป่ี รากฏใน ใบลาน. เชยี งใหม่: สุรยิ วงศบ์ ุ๊คเซนเตอร,์ ๒๕๓๙. อุดม รุง่ เรอื งศรี. ไตรภุมม์ (ไตรภูมฉิ บับลา้ นนา). เชยี งใหม่ : หนว่ ยส่งเสรมิ ศิลปศกึ ษา และวฒั นธรรมลานนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๒๔.
238 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา เอกสารท่ยี งั ไม่ไดต้ พี ิมพ์ อรุณวดีสตู ร ฉบบั วัดนาคตหลวง. เอกสารไมโครฟิลม์ 810701D 102-108 สถาบนั วิจยั สงั คม มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ อรณุ วดสี ูตร . คัมภีรใ์ บลานวัดปงสนกุ เหนอื ต.เวียงเหนอื อ.เมอื ง จ. ล�ำปาง จักรวาลทปี นี ,ปฐมมูลมลู ี. คมั ภีรใ์ บลานวัดศาลาหมอ้ ต.ศาลา อ.เกาะคา จ. ล�ำปาง พบั สาเลม่ หลวงบันทึกครูบาอาโนชยั และตำ� ราต่างๆ ของวดั ปงสนุกเหนือ ต.เวยี ง เหนือ อ.เมอื ง จ. ลำ� ปาง พบั สาวัดสันปา่ เลียง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พบั สาต�ำราดาราศาสตร์วัดป่าตนั กมุ เมือง ต.ปงแสนทอง อ.เมือง จ.ล�ำปาง ต�ำราโหราศาสตร์วดั ศาลาหลวง ต.ศาลา อ.เกาะคา จ. ล�ำปาง ตำ� ราโหราศาสตรว์ ดั ศาลาบัวบก ต.ศาลา อ.เกาะคา จ. ล�ำปาง ตำ� ราโหราศาสตร์ ตำ� รานทิ านดาวฤกษ์ วดั ศาลาหมอ้ ต.ศาลา อ.เกาะคา จ. ลำ� ปาง ตำ� ราโหราศาสตร์และตำ� ราการค�ำนวณปฏทิ นิ ลา้ นนาฉบับวดั ชมพูหลวง ต.ชมพู อ.เมือง จ.ล�ำปาง ต�ำรายา ตำ� ราดูช้างดมู า้ และอ่นื ๆ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ธวัชชยั ทำ�ทอง 239 ประวัติผู้เขียน ธวชั ชยั ท�ำทอง ภมู ลิ �ำเนา บ้านศาลาหมอ้ อ�ำเภอเกาะคา จงั หวดั ล�ำปาง การศึกษา โรงเรยี นบ้านศาลาสามัคคี โรงเรียนเกาะคาวทิ ยาคม โรงเรียนวิสทุ ธิว์ ทิ ยากร ศลิ ปบณั ฑติ (ศลิ ปะไทย) คณะวจิ ติ รศลิ ป ์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ (การจดั การศลิ ปะและวฒั นธรรม) บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง 240 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา
สาํ นักศลิ ปะและวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลําปาง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250