ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง42 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา อชวิถนี นั้ ก็ได้ช่อื ว่านาคะวิถี อนั ฝนจกั ตกมากนกั เม่อื วสั สาวราหกเทวบตุ รออกจาก วิมานอนั เป็นทพิ ยพ์ อแกก่ าละเวลาแลว้ ก็จะกลับเขา้ สู่วิมานแหง่ ตนฝนก็บ่ตกนักก็บ่ ร้อนนัก เนื้อหาจากอรุณวดีสูตรในส่วนนี้ชี้ให้เห็นว่า หากวิถีโคจรของพระอาทิตย์ เข้ามาใกล้โลกมากจะทำ� ให้ผวิ โลกร้อนจงึ กลายเปน็ ฤดรู อ้ นและไม่มีฝนตก เนอื่ งจาก ใหเ้ หตุผลว่าเทวดาผูด้ ลบันดาลใหเ้ กดิ ฝนตกคอื วัสสาวราหกเทวบุตรไม่สามารถออก มาจากวิมานของตน จึงไมส่ ามารถเนรมติ ฝนใหต้ กได้ คัมภีร์ฉบับนเ้ี ดินเรอ่ื งด้วยการ ถามตอบของพระมหาเถรกับวัสสาวราหกเทวบุตรเพ่ือจะเช่ือมเนื้อหาของ วรรณกรรมให้มีอรรถรสขน้ึ ดังน้ี พระมหาเถระได้กล่าวถามเรอ่ื งเหตแุ ห่งฝนตกกบั วสั สาวราหกเทวบุตร วัส สาวราหกเทวบตุ รจึงตอบพระมหาเถระวา่ ข้าใคร่หอื้ ฝนตกยามใด ฝนก็ยอ่ มตกยาม นนั้ ตามใจอนั มักแห่งข้า ขอเจา้ กจู ุ่งเมอื สศู่ าลานน้ั เต๊อะ พระมหาเถระจงึ กลับเข้าสู่ ศาลาแหง่ ตน เมอ่ื นนั้ เทวบตุ รตนนนั้ กข็ บั ฟอ้ นและซอ๒๔ ดว้ ยเสยี งอนั เปน็ ทพิ ยแ์ หง่ ตน แลว้ กย็ กมือขนึ้ เมฆะหา่ ฝนอันใหญ่กบ็ งั เกิดขึน้ มา แล้วฝนกต็ กลงทัว่ ดา้ วสามโยชน์ รอดทกุ เบ้ืองทุกพาย ในขณะทีเ่ ทวบุตรตนนน้ั ขบั ฟ้อนและยกมือข้ึนนั้นแล นอกจากวสั สาวราหกแลว้ ยงั ปรากฏเทวดาอกี ๕ กล่มุ ผดู้ ลบนั ดาลให้เกดิ สภาวะการเปลยี่ นแปลงทางธรรมชาตอิ นั นอกเหนอื จากฤดกู าลปกติ เชน่ อากาศหนาวจดั ในฤดฝู น พายุฝนตกในฤดรู อ้ น หรืออากาศผิดปกติตา่ งๆ ด้วยเชอ่ื ว่าสาเหตุเกดิ จาก การดลบันดาลใหเ้ กิดจากเทวดาตา่ งๆ ดงั ปรากฏในคมั ภรี ว์ ่า สว่ นวา่ วราหกเทวบตุ รเจ้าก็มี ๕ จำ� พวก อันน่งึ ชอ่ื สตี ะวราหก อันนึง่ ช่อื อณุ หะวราหก อนั หนงึ่ ชื่อตาวาวราหก อันหนึ่งช่ืออัพพาวราหก อันหน่ึงชอื่ วา่ วัสสาว ราหก ฤดแู ลอากาศอนั หนาวและเย็นกว่าปกติน้นั หากเกดิ แต่อนุภาวะแห่งเทวบตุ ร ตนทช่ี ่อื สีตะวราหกแล ฤดแู ลอากาศอันร้อนกว่าปกติ รอ้ นในฤดหู นาว ร้อนในฤดู ฝนหากเกดิ แต่อนภุ าพแหง่ อุณหะวราหกเทวบุตรหอ้ื เกดิ เปน็ แล อัพภาหรือฝ้าเมฆ ฝนอนั ใดเกดิ เมอื่ ฤดหู นาวฤดรู อ้ นอนั บใ่ ชป่ กตฤิ ดู ขนึ้ มาเทาปกดำ� พระจนั ทรแ์ ลพระอาทติ ยไ์ ว้ กระท�ำหือ้ ฟ้ามืดมัวมากนัก ก็เปน็ ด้วยอานภุ าพแห่งเทวดาตนช่ืออพั ภาวราหกน้ันแล สว่ นลมอนั เกิดมีในฤดหู นาวฤดูร้อนอันบใ่ ชป่ กตฤิ ดคู วรเพงิ กลัว ลมอันน้ันหากเปน็ ๒๔ ซอ ในทนี่ หี้ มายถงึ การขบั รอ้ ง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 43 อานุภาพแห่งวาตาวราหก แลเมฆฝนอันตกด้วยดีในฤดูเกิดด้วยอานุภาพแห่ง วสั สาวราหกน้นั แล ในคมั ภรี อ์ รณุ วดสี ตู รไดก้ ลา่ วถงึ เหตผุ ล ๘ ประการทเี่ มฆฝนตกลงมาบนโลก ประการแรกคอื ดว้ ยอานุภาพแห่งนาคท้งั หลายออกมาเล่นนำ�้ ประการท่ีสอง ตกมา ดว้ ยอานภุ าพแหง่ ครฑุ ทง้ั หลาย ประการทสี่ าม ตกลงดว้ ยอานภุ าพแหง่ เทวบตุ รเทวดา ทง้ั หลาย ประการทสี่ ่ี ตกลงดว้ ยอานภุ าพแหง่ สจั จะกริ ยิ าแหง่ สปั ปรุ สิ ะเจา้ ทงั้ หลายตน มบี ญุ สมภาร ประการทห่ี ้า ตกดว้ ยฤดกู าลหากนำ� พาใหเ้ กดิ ประการท่หี ก ตกลงด้วย อ�ำนาจแหง่ มารทัง้ หลาย ประการทเ่ี จด็ ตกดว้ ยอานภุ าพแห่งขีนาสาวก อรหนั ต์เจ้า ท้งั หลาย และเหตปุ ระการท่แี ปด ตกลงดว้ ยอานภุ าพอันกระทำ� ให้ฉิบหายแก่โลก คอื กาละเวลาเม่อื ม้างกปั ดว้ ยน้�ำ ส่วนสาเหตทุ ฝี่ นไมต่ กนั้นมี ๕ ประการตามคัมภรี ์ กล่าวไว้คือ อนั นง่ึ เตโชธาตุมีอากาศพายบนเป็นอนั กลา้ แข็งนัก แมน่ วา่ เมฆอันใหญห่ ากเกดิ มกี ็จกั กลับ หายเสีย ก็เพราะเหตุย้อนเตโชธาตนุ ัน้ แล อนั นง่ึ ชือ่ วาโยธาตุคือลมในอากาศกลา้ คะนองนัก ก�ำจดั ยังฝา้ เมฆอันใหญ่ห้ือหายเสียกม็ แี ล อันนง่ึ พญาไอศวรอสุรินทร์ บั เอา นำ้� ในอากาศด้วยฝ่ามอื ไปถอก๒๕ เสียยังในมหาสมุทร อันนึ่งเทวดาตนชือ่ วสั สาวรา หกอยดู่ ว้ ยประมาทบก่ ระทำ� กิจอนั จกั หอ้ื ฝนตก อันน่ึงท้าวพญาเสนาอามาตยผ์ ู้เปน็ ประธานแกค่ นทง้ั หลายบ่ประกอบชอบด้วยธรรมฝนก็ลวดบ่ตกกม็ ีแล เมือ่ ท้าวพญา บป่ ระกอบชอบในธรรมเทวดาทงั้ หลายกบ็ ช่ น่ื ชมยนิ ดปี ติ ดิ ง่ั อน้ั ฤดกู าลกบ็ บ่ วั รมวลดว้ ย ดฟี า้ ฝนกบ็ ต่ กแล แมน่ ทา้ วพญาประกอบชอบธรรมดง่ั อน้ั พระจนั ทรพ์ ระอาทติ ยก์ น็ �ำไป ดนี ักกบั ตามคลองแหง่ ฤดบู วั รมวลชอุ นั แท้แล นอกจากนี้ยงั มวี ธิ กี ารทำ� นายฝนดว้ ยการสงั เกตสตั ว์ต่างๆ ในธรรมชาติ เช่น การสังเกตปู ซงึ่ ปกติจะทำ� รูสองอนั อยู่ใกลน้ ำ�้ ปีใดกต็ ามท่ปี ทู ัง้ หลายปดิ รลู า่ งไวแ้ ลว้ เข้าออกรูบนปีนั้นฝนไม่มาก ปใี ดก็ตามทปี่ ูทั้งหลายปิดรบู นไว้แล้วเขา้ ออกรลู า่ งปีนนั้ ฝนจะตกมาก หรือสังเกตจากการทำ� รงั ของนกกระจอก หากปใี ดสรา้ งรังในที่ตำ่� ใกล้ หนองนำ้� ปนี น้ั ฝนจะแลง้ ปใี ดกต็ ามนกกระจอกทำ� รงั อยปู่ ลายไมท้ สี่ งู ปนี นั้ ฝนจะตกมาก เป็นตน้ ๒๕ เททงิ้
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง44 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพวงโคจรของพระอาทติ ย์ทเ่ี คลือ่ นตัวขยับเขา้ ออกจากศูนย์กลางคอื โลกหรือเขา พระสเุ มรุ อันเปน็ เหตทุ �ำใหเ้ กดิ ฤดกู าล ทม่ี า:สมุดภาพไตรภมู ิฉบับอกั ษรธรรมลา้ นนา และอกั ษรขอม.กรมศลิ ปากร
ธวัชชยั ท�ำ ทอง 45 พระอาทิตยแ์ ละพระจันทร์ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ตามหลกั ดาราศาสตร์ กลมุ่ ดาวเคราะหใ์ นระบบสรุ ยิ ะทง้ั หมดนนั้ พระอาทติ ย์ และพระจนั ทรถ์ อื วา่ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ โลกมากทสี่ ดุ โดยนอกจากจะเปน็ ตวั กำ� หนดฤดกู าล แล้วยังเป็นตัวก�ำหนดกาลเวลาคือ กลางวันและกลางคืน ต่อเน่ืองมาถึงเร่ืองของ อณุ หภมู บิ นโลก ดว้ ยพระเคราะหท์ ง้ั สองดวงนที้ ำ� ใหอ้ ณุ หภมู บิ นพนื้ โลกมคี วามสมดลุ และอบอุน่ พอดีกบั การอยู่อาศัยของสรรพสตั วแ์ ละเกดิ ข้นึ ของสรรพสิง่ บนโลก แสง พระอาทติ ยใ์ นเวลากลางวันให้ความร้อนในยามกลางวนั และยามกลางคืนโลกกจ็ ะ คลายความรอ้ นจนเย็นลง จากการทแี่ สงของพระอาทติ ยส์ อ่ งพืน้ โลกทีละครง่ึ ซีกใช้ เวลาประมาณ ๑๒ ชัว่ โมง ด้านทีไ่ มถ่ ูกแสงอาทติ ย์ก็จะระบายความร้อนจากผิวโลก ไดพ้ อดีคือกลางคืน โดยถือเอาพระจนั ทร์เปน็ สัญลักษณ์ ตำ� นานมลู โลกไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะสณั ฐานของพระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทรไ์ วว้ า่ โลกแห่งพระอาทิตยแ์ ละพระจันทร์ราบเพียงทางบน มนทางลมุ่ เปน็ ดัง่ หน่วยมะโอ ปาดเกง่ิ ๒๖ เหตนุ ้ีแลคนเราอยูท่ างลมุ่ จงึ หนั มน ทางบนพระอาทิตย์ราบเพียงดง่ั หน้า กลองชยั กว้าง ๕๐ โยชน์ มีปราสาททิพย์ตง้ั อยู่บนหลังพระอาทติ ย์ พระอาทติ ย์น้ันสูง ๑๒ โยชน์กวา้ ง ๑๒ โยชนเ์ ท่ากนั แลว้ ด้วยแกว้ ๗ ประการ มเี ทวบุตรอยู่ในปราสาท ท่นี ้นั ประมาณ ๑๐๐ ตน เทวบุตรเหล่านน้ั ทรงผา้ กัมพลทพิ ยแ์ ดงงามเป็นดง่ั ดอกใหม่ มอี ายุเทา่ กับพระอาทติ ย์ เสวยของทิพยท์ ุกตน พน้ื ปราสาทนน้ั มที างรถจกั รแกว้ ทิพย์ เจด็ ประการพาเอาพระอาทิตย์เดินไปในอากาศ สว่ นโลกพระจนั ทร์ กว้าง ๔๙ โยชน์ มีปราสาททิพย์อยู่บนหลงั พระจันทร์ สูง ๑๒ โยชน์กว้าง ๑๒ โยชนเ์ ท่ากัน แลว้ ดว้ ย แก้ว ๕ ประการมีเทวดาอยใู่ นปราสาททนี่ ้นั ประมาณพนั ตน ทรงผา้ ส�ำลีอ่อนนวล เปน็ ด่ังฝา้ ยขาว เทวดาเสวยของทิพย์ทกุ ตนมีอายุเท่าพระจนั ทร์ พ้นื ปราสาทแห่ง พระจันทรม์ ที างรถจกั รแกว้ ทพิ ย์ ๕ ประการพาเอาพระจันทรเ์ ดนิ เทียวแวดเขาสเิ นโร การตีความเร่ืองพระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นได้มีการอธิบายความไว้ หลากหลายรปู แบบนอกจากสญั ลกั ษณข์ องกลางวนั และกลางคนื แลว้ ยงั เปน็ สญั ลกั ษณ์ ๒๖ สม้ โอผา่ ครง่ึ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง46 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ของเพศหญงิ เพศชายในอุดมคติซึ่งมักจะโยงต่อไปถึงเรอ่ื งซา้ ยและขวา ซึง่ คนโบราณ มักจะมกี ารกลา่ วค�ำว่า หญิงซา้ ยชายขวาเสมอ เรอื่ งซา้ ยและขวานน้ั ปรากฏ อกี นยั ยะหน่ึงคอื ขวามงคลและซ้ายอวมงคล โดยสงั เกตได้จากการเดินเวียนรอบสถานที่ ศักด์สิ ทิ ธทิ์ ง้ั หลายตอ้ งเดนิ เวยี นขวาคือการเดินประทักษณิ หรือทักษณิ าวฏั โดยการ หันขา้ งขวาของผูเ้ ดนิ เข้าหาศนู ยก์ ลาง หรอื ตัวอาคารนัน้ ๆ ส่วนการเวยี นซ้ายนยิ มใช้ กบั การเดินเวียนรอบศพ หรือเมรุซ่งึ ถอื เปน็ งานอวมงคลนั่นเอง อย่างไรกต็ ามทงั้ ซ้าย และขวากไ็ มส่ ามารถจะแยกขาดออกจากกนั ได้ เนอ่ื งจากว่าทั้งสองคอื สมดลุ ยภาพ แห่งทกุ สรรพสง่ิ ที่จะชว่ ยประคับประคองใหโ้ ลกจรรโลงอยู่ได้ เป็นหลักการความเชื่อ เดียวกันกบั ศาสตร์ หยนิ และหยางของจีน สัญลักษณ์ของพระอาทิตย์และพระจันทร์น้ันยังสามารถส่ือความหมายไป ถึงเรื่องของภมู ิศาสตร์ในการตั้งเมืองโบราณ ยกตัวอย่างการตงั้ เมอื งเชียงใหม่อันเปน็ ชยั ภมู ทิ ดี่ ี สามารถสอื่ ถงึ เมอื งทม่ี คี วามหมายในอดุ มคตติ ามหลกั จกั รวาล จดุ เดน่ หลกั ของภูมศิ าสตรเ์ มอื งเชียงใหม่ คือ เมืองเชียงใหม่ต้งั อยู่ทรี่ าบลมุ่ เชงิ เขา มดี อยสเุ ทพอยู่ เบอื้ งหลงั ดา้ นหนา้ เมอื งทศิ ตะวนั ออกซง่ึ เปน็ ทศิ แหง่ พระจนั ทรม์ แี มน่ ำ้� ปงิ เปน็ สายนำ�้ หลกั ทใ่ี ชใ้ นการอปุ โภคบรโิ ภคและเปน็ เสน้ ทางสญั จรทสี่ ำ� คญั สญั ลกั ษณด์ งั กลา่ ว ดอยสเุ ทพ หรือภเู ขา คอื สัญลักษณข์ องพระอาทิตยแ์ ละความเป็นผชู้ าย คอื หนกั แน่นมน่ั คง เปรียบเป็นธาตดุ ินและธาตไุ ฟ แม่นำ�้ ปงิ คือสญั ลักษณแ์ ห่งพระจนั ทร์ คอื ผ้หู ญิง อัน ส่อื ถึงธาตนุ ้�ำและธาตลุ ม คอื ความออ่ นโยน และแปรปรวน การแพร่กระจาย๒๗ โดย ทัง้ สองอยูข่ นาบเมอื งเชียงใหม่ ดอยสุเทพอยฝู่ ่ังขวาของเมอื งและแม่น้ำ� ปงิ อยฝู่ ั่งซ้าย ของเชียงใหม่จึงถือว่าเป็นชัยภูมิท่ีดีอุปมาด่ังเขาพระสุเมรุหรือจักรวาลท่ีพระอาทิตย์ และพระจนั ทรเ์ ป็นบริวาร ๒๗ อปุ มาดง่ั ศวิ ะลงึ คท์ ต่ี ง้ั อยบู่ นฐานโยนอี นั เปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่ เพศหญงิ และเพศชายเมอ่ื ทงั้ สองอยรู่ ว่ มกนั จงึ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องการกำ� เนดิ และความอดุ มสมบรู ณ์
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 47 ภาพพระประธานภายในวหิ ารน้�ำแตม้ วดั พระธาตุลำ� ปางหลวง ทม่ี ีฉากผนัง ด้านหลังตกแตง่ ด้วยจิตรกรรมลายคำ� รปู ตน้ ศรมี หาโพธิ์ พระอาทิตยพ์ ระจนั ทร์ อยู่ดา้ นขวาและด้านซ้ายขององค์พระพทธรปู
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง48 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา กำ� เนิดสรุ ิยคราส และจันทรคราส สมัยโบราณนัน้ การเกดิ สรุ ยิ คราส และจันทรคราสถือเปน็ เร่อื งอาถรรพ์หรือ ลางบอกเหตุความมืดมวั ความชว่ั รา้ ยต่างๆ ซ่งึ เกดิ จากราหู ดงั นัน้ ราหูในทัศนะคน โบราณจงึ มกั เป็นเร่อื งร้ายเสียเปน็ ส่วนใหญ่ แตด่ ้วยความทีร่ าหูมอี ำ� นาจจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งกราบไว้บูชาราหกู นั ตามความเชือ่ การเกดิ จดุ คราสนั้นคนสมยั โบราณจะเรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ กบกนิ เดือน จะค่านตอื เดือน โดยคำ� ว่าจะคา่ นนน้ี ่าจะเพย้ี นมาจากคำ� ว่าจนั ทคราสนีเ่ อง นทิ านมุขปาฐะเก่ียวกับเรื่องราหูกบั จุดคราสนีม้ ีมาก ซงึ่ มกั จะ อ้างอิงถึงความชัว่ รา้ ยของราหทู ง้ั สิ้น คัมภรี ์อรณุ วดสี ตู รส�ำนวนล้านนาไดก้ ล่าวถึง การก�ำเนดิ สรุ ยิ คราส และจนั ทรคราสไว้วา่ ในเมอื่ พระจนั ทร์พระอาทิตย์มอี านุภาพมากนกั ฉันนี้ เหตใุ ดผูค้ นจึงโจทนา กล่าวว่า เมื่อราหอู สุรินทะนเ้ี ข้ามาตอื เอามณฑลพระจันทร์และพระอาทติ ยน์ ัน้ จัก กลืนกนิ ไดร้ ือ เมอ่ื ถามฉันนน้ั ปรหิ ารกั บุคคลกเ็ พงิ กล่าววา่ ดังจักหอ้ื กลืนกินกไ็ ด้ แมน่ จกั อมไวก้ ไ็ ดด้ หี ลี เหตวุ ่าราหอู สรุ นิ ทะน้นั มีตนอันใหญส่ ูงนกั มีขนาดได้๔ พัน ๘ ร้อย โยชน์จกั นบั เปน็ วาได้ ๘ โกฏิปลาย ๘ ล้านวา นบั แต่ขา้ งขวาถงึ ซา้ ยได้พันปลาย ๒ ร้อยโยชน์ วดั ราหทู ่ที ัดอกราหู ได้พันปลาย ๒ รอ้ ยโยชน์เปน็ ๑๙ โกฏปิ ลาย ๒ ล้าน วาแล ตนตวั ของราหูหนาตั้งแต่อกเมือถึงหลงั ได้ ๖๐๐ โยชน์เป็นโกฏิปลาย ๑๐๐ วา หัวราหูยาวแตค่ างขึ้นถึงกระหมอ่ ม ได้ ๑๐๐ โยชน์เปน็ ๑๖๐ โกฏวิ าแล หน้าผาก ราหูยาวลุ่มบนได้ ๓๐๐ โยชน์ เปน็ ๔ โกฏิปลาย ๘ ลา้ นวาแล หวา่ งค้ิวท้งั สองแห่ง ราหูกว้างได ้ ๕๐ โยชนเ์ ป็น ๘ ลา้ นวา ปากราหูยาว ๒ ร้อยโยชนเ์ ปน็ ๓ โกฏิปลาย ๒ ล้านวา ปากราหูลึกเมือในถงึ ทสี่ ดุ รคู อ ได้ ๓๐๐ โยชนเ์ ป็น ๔ โกฏิปลาย ๘ ลา้ น ฝ่าตีนฝ่ามือราหหู นาได้ ๒๐๐ โยชน์ เป็น ๓โกฏปิ ลาย ๒ ล้านวา ปล้องนว้ิ มอื และอนั และอนั ยาวได้ ๕๐ โยชน์เปน็ ๘ ลา้ นวา ดงั ๒๘ราหูยาวแตห่ ัวค้ิว ลงได้ ๓๐๐ โยชน์ เป็น ๔ โกฏปิ ลาย ๖ ล้านวา ค้วิ และตาราหยู าว ๖ ร้อยโยชน์เปน็ โกฏิปลาย ๑๐๐ วา และ ๙๖ โกฏวิ าแล ๒๘ จมกู
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ทำ�ทอง 49 อันว่าราหูอสุรินทะมีตนใหญ่มากนักฉันนี้ เม่ือมันเห็นพระจันทร์และ พระอาทติ ย์อันรุ่งเรอื งงาม หากเดินเทียวไปในอากาศ มนั มคี วามอจิ ฉาขอยอนั มาก มันอดบ่ได้ก็ขึ้นไปสู่วิถีคลองหนทางเทียวแห่งพระจันทร์และพระสุริยะ อ้าปากอัน กวา้ งได้ ๒๐๐ โยชนน์ ง่ั อยตู่ อ้ นพระจนั ทรพ์ ระสรุ ยิ ะอาทติ ยอ์ ยพู่ ายหนา้ แล ในกาลนน้ั จนั ทรว์ มิ านแลสุริยวมิ านก็เข้าไปในปากราหู เป็นประดจุ ดัง่ เข้าไปในรูอันลกึ ได้ ๑๐๐ โยชน์นั้น สว่ นเทวดาทั้งหลายอนั อยูภ่ ายในวิมานทัง้ สองรู้วา่ มีภยั จึงพากันกลวั ตาย จงึ พรอ้ มกนั รอ้ งหยุ ทหี นงึ่ ทเี ดยี วดว้ ยเสยี งอนั ดงั มากนกั ราหนู น้ั ลางคาบกนั้ วมิ านดว้ ยมอื ลางคาบมาคีบไวใ้ ตค้ างแหง่ ตน บางคาบก็แมบล้นิ ออกลุ่มคางแลว้ กงั้ ไว้ด้วยลน้ิ ตน แลว้ ก็อมไวใ้ นปากตน ประดจุ ดงั่ กินน้นั ไว้ในละแวกปากภายในเข้ยี วแห่งตน ถงึ แม้ ราหจู ะบบี เบยี นฉนั นนั้ กด็ ี ราหกู บ็ อ่ าจหา้ มยงั กำ� ลงั แรงแหง่ พระอาทติ ยพ์ ระจนั ทรน์ นั้ ได ้ เมอื่ ราหูอม วมิ านทง้ั สองไว้ แมน่ คดิ ใส่ใจว่าตนจักห้ามกำ� ลงั แหง่ วิมานทั้งสองว่าบห่ ือ้ เทยี วไปไดอ้ น้ั แล จกั จง้ั ไวก้ บ็ ไ่ ดต้ ามกำ� ลงั วมิ านทง้ั สอง จงึ เลกิ มา้ งยงั ขมอ่ มหวั แหง่ ราหู แมน่ ก้งั ไวด้ ้วยฝ่ามอื ดว้ ยล้นิ ดว้ ยปากราหู ก็หากไปดว้ ยกำ� ลงั แห่งอันแรงแหง่ วมิ าน ทงั้ สองนนั้ สง่ิ เดยี วแล ข้อความดังกล่าวได้สื่อถึงรูปลักษณะและขนาดของราหู ซ่ึงอุปมาว่าเป็น เทวบุตรตนหน่ึงที่มีความอิจฉาริษยาต่อพระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่ส่องแสงรัศมี จ�ำรัสในจักรราศีและท้องฟ้า จึงเข้าขวางเส้นทางโคจรพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพอ่ื ปิดบงั รศั มแี ห่งดาวพระเคราะหท์ งั้ สองนั้นด้วยวธิ ีการต่างๆ เชน่ การกลืนกิน เอา คางหนบี ไว้ เอามือบังหรือแลบลิน้ ออกมาบังไว้ ซง่ึ จินตนาการของคนโบราณดังกล่าว ไดส้ อื่ ถงึ ลักษณะการเกดิ สรุ ยิ คราส หรือจนั ทรคราสแบบตา่ งๆ เช่น กินแบบเตม็ ดวง หรอื กินแบบไมเ่ ตม็ ดวง เมอื่ ราหูอมวมิ านทั้งสองไว้ กไ็ มส่ ามารถที่จะหยุดกำ� ลังแห่ง วมิ านทัง้ สองไม่ให้โคจรต่อไปได้ กำ� ลังของวมิ านทัง้ สองก็จกั เลกิ มา้ งยงั ขมอ่ มหวั แหง่ ราหูหรือทะลุผ่านหัวของราหูออกไป ไม่ว่าจะเป็นการกินด้วยวิธีใด สะท้อนถึง ลักษณะราหูตามหลกั ความเป็นจรงิ ว่า ราหูมไิ ด้เป็นดาวพระเคราะห์ แตเ่ ป็นเพยี งจุด คราสหรือเงาของโลก ที่ไปสัมพันธก์ ับพระจนั ทร์และพระอาทิตย์น่ันเอง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง50 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ภาพยันตร์ าหู เคร่อื งรางท่นี ยิ มสรา้ งขึน้ เพ่ือแกอ้ าถรรพ์อันเกิดจากราหู โดยนยิ มสรา้ งดว้ ยกะลาตาเดยี ว มักจะทำ� เปน็ คูค่ อื สรุ ิยะประภาและจนั ทรประภา คือการจำ� ลองเหตุการณ์ สุริยคราสและ จันทรคราสขน้ึ แล้วอาศยั อ�ำนาจแหง่ พุทธคุณชว่ ยให้สรุ ิยเทวบตุ รและจันทรเทวบุตร รอดพน้ จากภัยทเ่ี กดิ จากราหู อุปมาดัง่ บุคคลผมู้ ภี ัยอันตรายจากสิง่ ตา่ งๆ อ�ำนาจพทุ ธคุณ จากยันต์กะลาราหนู ี้จะชว่ ยให้พน้ ภยั นัน่ เอง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ทำ�ทอง 51 เม่ือเกดิ ปรากฏการณ์ดังกลา่ ว คนโบราณจึงช่วยกนั ตฆี อ้ งร้องป่าว เคาะ ต้นไม้ ตีปบ๊ี ฯลฯ เพอ่ื จะไดช้ ว่ ยกนั ขับไลร่ าหใู หพ้ ้นจากพระอาทติ ย์หรือพระจนั ทร์ เพอื่ ให้ความสมบูรณแ์ ห่งธรรมชาติกลบั คนื มาอกี คร้งั อีกนยั ยะหน่งึ คือการรอ้ งขอ พลังอ�ำนาจแห่งดาวทั้งหลายที่ก�ำลังกลืนกินกัน ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์ของการสมสู่ของ ดวงดาว อันเปน็ ต้นก�ำเนิดและนำ� พามาซง่ึ ความอดุ มสมบรู ณ์ นอกจากนีน้ กั ปราชญ์ลา้ นนาผูป้ ระพันธค์ ัมภีร์ฉบับนไี้ ด้ผกู โยงปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติดังกล่าวให้เช่ือมโยงเข้ากับเรื่องราวทางพุทธศาสนาโดยได้กล่าวว่า สรุ ยิ เทวบตุ รและจนั ทรเ์ ทวบตุ ร ไดอ้ ธษิ ฐานจติ รอ้ งขอพลานภุ าพแหง่ พระพทุ ธเจา้ เขา้ มาชว่ ยเหลอื ให้ตนทัง้ สองพ้นจากทกุ ขภาวะอันเกดิ จากราหดู ังนี้ ส่วนเทวบุตรท้ังสองอันถูกราหูกลืนกินอยู่น้ันก็กลัวมากนักก็พากันส่ัน ระสายไปมา จึงระนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่า ภันเตข้าแด่เจ้ากูตน พน้ จากอปุ ทั วะกงั วลอนั เปน็ ทกุ ขท์ งั้ มวล บดั นต้ี นขา้ กไ็ ดถ้ งึ ยงั ทกุ ขอ์ นั เปน็ กงั วล คอื ไดถ้ งึ อำ� นาจแห่งข้าศกึ ก็มีฉนั น้แี ล ขอพระพุทธเจา้ จุง่ เปน็ ที่พ่งึ แกข่ ้าผู้อปุ ทั วะ ทั้งมวลอนั หนั มาป่านน้ีเต๊อะ พระพทุ ธเจา้ ตนประกอบด้วยมหากรณุ ากป็ รารภซ่งึ ขาทัง้ สองแลว้ ก็กล่าวคาถาถึงราหู ว่าดูราอสุรินทะ ขาทง้ั สองได้ถึงซง่ึ พระตถาคตผู้เป็นอรหันตา สมั มาสัมพทุ ธะด้วยอาการวา่ ขอเปน็ ที่พง่ึ พระตถาคตทงั้ หลายเทียรยอ่ มกรุณาโลก ท้งั มวลดีหลี เหตดุ ั่งอ้ันทา่ นราหจู ุง่ วางเทวบตุ รท้งั สองนั้นเสยี เตอ๊ ะ พระพุทธเจา้ จึง กลา่ วพระปรติ รสตู รหอื้ เปน็ ทพี่ งึ่ แกเ่ หลา่ เทวบตุ รทงั้ สองตน เมอื่ อนั้ ราหอู สรุ นิ ทะเทวบตุ ร กเ็ ป็นอันด่วนอนั รีบมากนกั ก็สวะวาง ยงั จนั ทรเ์ ทวบุตรและ สุริยเทวบตุ รเสีย แล้ว ราหูจึงหนไี ปยงั ที่อยแู่ หง่ พญาไอศวรตนช่ือเวปจิตตอิ สรุ ินทร์ เมือ่ เข้าไปแล้วกย็ ังตกใจ กลัวสะหลง้ั เส้นขนลกุ อยู่ทหี น่งึ พญาไอศวรตนช่ือเวปจติ ติก็เอย่ ถามยังราหูวา่ เหตุใด ท่านมสี ภาวะดงั น้ดี ้วยอนั รีบอนั ดว่ นปลงวางยังจนั ทวิมานแลสุรยิ ะวิมาน แลท่านเป็น สภาวะอนั สะดงุ้ ตกใจกลวั เหตดุ ังรือถงึ เขา้ มายืนอยทู่ ่นี น้ี น้ั จา เมอ่ื นัน้ ราหูจึงกล่าวแก่ พญาไอศวรวา่ อะหงั อันว่าขา้ นี้อันพระพทุ ธเจ้าตนประเสรฐิ หากหือ้ ข้ากลัวด้วยคาถา คันวา่ ไดย้ นิ แล้วบว่ างเสยี ด่ังอัน้ หัวแห่งข้าจกั แตกเป็น ๗ เสยี่ งชะแล การทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ขา้ มาวา่ กลา่ วตกั เตอื นราหู และชว่ ยเหลอื สรุ ยิ เทวบตุ ร และจนั ทรเทวบตุ รนน้ั เปน็ ภาพสะทอ้ นถึงความยง่ิ ใหญใ่ นบญุ บารมแี ละพลานุภาพ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง52 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา แหง่ องคส์ มเดจ็ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ อยเู่ หนอื สง่ิ ใดแมแ้ ตพ่ ระราหผู ทู้ รงอำ� นาจ พระอาทติ ย์ และพระจันทร์ผู้เป็นท่ีพึ่งแก่เหล่าสรรพสิ่งในจักรวาลก็ยังต้องมาพ่ึงในบารมีแห่ง พระพทุ ธองค์ ยำ�้ เตอื นถงึ ความเป็นพระไตรโลกนาถ หรือผเู้ ป็นทพ่ี งึ่ แห่งโลกท้ังสาม ได้เปน็ อยา่ งดี ดงั นน้ั สมยั โบราณเม่ือเกิดเหตุการณป์ ระหลาดหรอื เกิดอาเพทข้นึ ท่ี คนเมืองเรียกว่า ขดึ จึงมกั มีการนมิ นตพ์ ระสงฆ์มาเจริญพระพทุ ธมนตช์ ยั ปรติ รคาถา เพอ่ื ขบั ไลส่ งิ่ ชว่ั รา้ ยตา่ งๆ ออกไปใหพ้ น้ ภยั ดว้ ยเหตผุ ลจากนทิ านดงั กลา่ ว ภาพอธบิ ายการเกิดสุริยคราสและจันทรคราส ซ่ึงจะมีช่อื เรยี กและความหมายต่างๆ คือ ๑ ปทั ทวาสพั พโรคาภวสิ ติ ๒.ราชะวฒุ สิ พั พะสขุ ขาภวสิ ะเร ๓.สพั พะสตั โตอปุ ทั ทโวโลเกภวสิ เรติ ๔.ปรปิ ุณเณวุฒิโกโลเกพหเุ ทโวสุขิโตโหติ ๕.ทุกขิภิกขะภยังปนุสสะทุกขงั ภวิสะเร ๖.อคั คิภยังจะรงั จะเรอปุ ทั ทวังทกุ ขังสพั พชนัง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ทำ�ทอง 53 ตามหลักโหราศาสตร์ ราหถู ือวา่ มอี ิทธพิ ลตอ่ ชะตาของบคุ คลโดยทั่วไป ใน ต�ำราโหราศาสตร์ล้านนาหลายฉบับได้กล่าวลักษณะบุคคลท่ีเข้าข่ายมีเคราะห์หนัก หรือเจ็บป่วย เน่ืองด้วยเหตุผลท่ีไม่สามารถพิสูจน์ได้ในสมัยนั้นว่าเกิดจากอิทธิพล ของราหู จึงมีพิธีกรรมต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับราหูหลายอย่างด้วยเช่ือว่าจะช่วยให้ เคราะหก์ รรมเหลา่ นนั้ เบาบางลง เชน่ การสง่ พระราห ู บชู าพระราหู ยันตพ์ ระราหู กะลาราหู เปน็ ต้น โดยเฉพาะการบชู าหรอื สง่ พระราหูไดม้ ีการจำ� แนกรายละเอยี ด ของเภทภยั อันเกดิ จากราหูไวอ้ กี หลายประเภทเช่น ราหไู ฟ ราหูน�้ำเนา่ ราหคู ้อน กอ้ ม ราหูขี่ดาบ ราหเู ชอื กเหล็ก ราหเู ทครัว ราหูมรณา ราหูกำ� เนิด ซึ่งราหตู า่ งๆเหลา่ นมี้ นี ยั ความหมายทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ลกั ษณะเคราะห์กรรมทแ่ี ฝงไว้เชน่ ราหนู ำ�้ เน่า คือ ราหูที่ท�ำให้เกดิ อาเพศทีท่ ำ� ให้เสอ่ื มเสยี ชื่อเสียง ราหเู ชือกเหลก็ คือราหทู ี่เปน็ เหตใุ ห้ ตอ้ งโทษใส่ข่ือคาจองจำ� ราหเู ทครวั คอื ราหูทเ่ี ปน็ เหตใุ หส้ ญู เสียบคุ คลในครอบครัว หรือราหูมรณาคือราหูท่ีเป็นเหตุให้เกิดภัยพิบัติหรือโรคภัยร้ายแรงมากสุดถึงขั้นเสีย ชวี ิตเปน็ ต้น นอกจากน้ียังมีต�ำนานที่เป็นเรื่องมุขปาฐะเล่าสืบทอดกันมาเกี่ยวกับเหตุ ของการเกิดสุริยคราสและจันทรคราสว่า คร้ังหนึ่งมีพ่ีน้องสามคนอยู่ร่วมกันอย่าง แร้นแคน้ วันหน่งึ มีงานบญุ เกดิ ขึน้ ในชมุ ชน พี่ทั้งสองจึงไปชว่ ยงานบญุ นั้นโดยการ ชว่ ยท�ำอาหาร ดว้ ยความหวิ น้องคนเลก็ จงึ เขา้ ไปรบเร้าขอกินอาหาร พ่ีท้ังสองก็ไม่ ยอมตกั ใหเ้ พราะยงั ไมถ่ งึ เวลาอนั ควร เมอื่ พท่ี ง้ั สองเผลอ นอ้ งคนเลก็ จงึ ไดห้ ยบิ ปา้ ก๒๙ มาเลียและคาบเพ่ือให้ได้รสน�้ำแกง เม่ือพ่ีท้ังสองมาเห็นจึงใช้ป้าก นั้นตีที่หัวและ ด่าทอท่ามกลางผู้คน ท�ำให้น้องคนเล็กรู้สึกอับอายขายหน้าและผูกพยาบาทไว้ว่า เกดิ ชาติหนา้ ฉนั ใดจะตามจองเวรพี่ทัง้ สองคนน้ีตลอดไป หลงั จากที่ทง้ั สามพี่นอ้ งได้ จตุ ติ ายไปแลว้ พค่ี นโตกไ็ ดไ้ ปเกดิ เปน็ สรุ ยิ เทวบตุ ร คนทส่ี องไปเกดิ เปน็ จนั ทรเ์ ทวบตุ ร สว่ นนอ้ งคนสดุ ทอ้ งไปเกดิ เปน็ อสรุ นิ ทราหู ดว้ ยเหตนุ ร้ี าหซู งึ่ มจี ติ ผกู พยาบาทพท่ี ง้ั สอง เมอ่ื มโี อกาสจะใชป้ ากของตนคาบพระอาทติ ยแ์ ละพระจนั ทรไ์ ว้ ดว้ ยเหตเุ พราะตนเอง อบั อายเนอ่ื งจากการใชป้ ากคาบปา้ กในอดีตชาตนิ ่ันเอง ๒๙ ทพั พี
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง54 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพผา้ ยนั ตพ์ ระสงิ หห์ ลวงแบบลา้ นนา เดิมใช้เป็นผา้ เพดานหรอื นิยมเขียนเป็นรปู จติ รกรรม ไว้บนเพดานเหนือองค์พระพทุ ธรปู ในศรีลงั กา ตอ่ มานิกายลงั กาวงศไ์ ดส้ ่งตอ่ มาถงึ อาณาจกั รมอญ พกุ าม พมา่ และลา้ นนา ตัวยนั ตเ์ ปน็ การขน้ึ โครงด้วยผงั จกั รราศี มี พระพทุ ธเจา้ เปน็ ศนู ยก์ ลางจักรวาลลอ้ มรอบดว้ ยพระอรหันตแ์ ละเป็นองค์ประกอบอ่นื ๆ อนั เป็นมงคลอนั มที ีม่ าจากพทุ ธประวตั ิโดยจะถูกจัดให้อย่ใู นวงกลมซึ่งแบง่ ออกเป็น ๑๒ ชอ่ ง ตามผงั จักราศี สะท้อนถงึ ความหมายวา่ พระพุทธองค์คอื ศูนยก์ ลางผู้เป็นพระโลกนาถ และพระจกั รพรรดิ แห่งพุทธจักรวาล
ธวชั ชัย ท�ำ ทอง 55 พทุ ธศาสนากบั ดาราศาสตร์ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ความเก่ียวข้องในเรื่องดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์กับพระพุทธศาสนาน้ัน มมี าตั้งแตค่ รั้งพุทธกาล ตามพุทธประวัติเมือ่ คร้งั พระพุทธองค์ทรงประสูติ ได้รับการ ท�ำนายทายทักจากเหล่าพราหมณ์ต่างๆ ถึงดวงชะตาก�ำเนิดของพระองค์ว่าจะได้ เปน็ พระเจา้ จกั รพรรดหิ รอื พระพทุ ธเจา้ แตม่ เี พยี งอสติ ะดาบสและโกณทญั ญะพราหมณ์ เทา่ นน้ั ทท่ี ำ� นายและยนื ยนั วา่ พระองคจ์ ะไดเ้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ ผเู้ ปน็ มหาศาสดาแหง่ โลก อย่างแน่นอน ภายหลังโกณทัญญะพราหมณ์ไดร้ บั แต่งตั้งให้เป็นราชครผู ูส้ อนศาสตร ศิลป์ต่างๆ ให้แก่เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชโกณ ทญั ญะพราหมณ์จงึ ตาม ไปเปน็ สาวก และหลังจากท่พี ระพุทธองคต์ รัสรู้แลว้ ได้เสดจ็ ไปประกาศพระศาสนาโดยเลือกโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้าก่อน ภายหลังจากเทศนา ธรรมจกั รกปั ปวตั นสตู ร โกณทญั ญะพราหมณจ์ งึ ไดด้ วงตาเหน็ ธรรมบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ต์ และเปน็ พระสงฆร์ ูปแรกในพุทธศาสนา พนื้ ฐานวชิ าดาราศาสตรแ์ ละโหราศาสตรท์ แี่ พรห่ ลายสบื ตอ่ กนั มานน้ั เรม่ิ ตน้ จากสงั คมและวฒั นธรรมอนิ เดยี จงึ เปน็ ศาสตรห์ นง่ึ ทพี่ ระพทุ ธองคไ์ ดร้ บั การถา่ ยทอด จากราชครูต่างๆ ดังนั้นพระองคจ์ ึงทรงมิไดป้ ฏเิ สธหลกั วชิ าดาราศาสตร์ แตไ่ มม่ ุ่งเนน้ ให้ศึกษาวชิ าโหราศาสตร์ เนอ่ื งจากพระองค์ได้ศกึ ษาจนเข้าใจและทรงเห็นว่า วิชา โหราศาสตรจ์ ะเป็นอุปสรรคขวางทางเขา้ สู่พระนิพพาน ด้วยเหตผุ ลคอื หากพระสงฆ์ หรือพุทธศาสนิกชนมัวแต่สนใจเรื่องโหราศาสตร์ก็จะยึดติดกับโลกแห่งอดีตและ อนาคต ยดึ มัน่ ถอื มนั่ กบั สิ่งทีเ่ กดิ ขึน้ แล้วไม่รูจ้ กั ปล่อยวาง หรือคาดหวงั สิ่งทจ่ี ะเกิดข้นึ ในอนาคตอนั เปน็ บ่อเกดิ แห่งตณั หา จึงไมเ่ หมาะแกก่ ารศึกษาเพอ่ื บรรลุธรรม เพราะ หัวใจหลักของคำ� สอนในพุทธศาสนาอย่างหน่ึงคือ การมสี ตอิ ยู่กับปจั จบุ ัน รปู้ จั จุบนั เห็นปัจจบุ นั นัน่ เอง อกี ท้ังเปน็ การสุ่มเสยี่ งตอ่ พระสงฆผ์ ู้ศกึ ษาทอี่ าจจะหลงระเริงกับ วชิ าตา่ งๆ เหลา่ นเ้ี พอ่ื ลาภสกั การะและเขา้ ขา่ ยอวดอตุ รมิ นษุ ยธ์ รรมอนั เปน็ อาบตั หิ นกั ของพระวนิ ยั สงฆท์ ท่ี รงบญั ญตั ไิ ว้ ดงั นนั้ หลายคมั ภรี ท์ เี่ ปน็ วรรณกรรมทางพทุ ธศาสนา ในล้านนาท่ีเก่ียวข้องกับเร่ืองดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์นี้มักจะกล่าวบทน�ำใน
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง56 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ลักษณะเดียวกัน คือค�ำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มี ประโยชนอ์ ะไรกบั ตวั ผถู้ ามเลย มไิ ดม้ สี าระแกน่ สารอนั ใดทจี่ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ หนทาง สพู่ ระนพิ พาน แตส่ ดุ ทา้ ยพระพทุ ธองคก์ ไ็ ดเ้ ลา่ เพอ่ื ไขปญั หาคาใจแกพ่ ระภกิ ษเุ หลา่ นนั้ เสมอ โดยเร่ืองส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นให้เห็นสภาวะความเป็นจริงท่ีเกิดขึ้นในธรรมชาติ การ กำ� เนดิ โลก ดวงดาว และจกั รวาล เพอ่ื ความเขา้ ใจในเหตแุ ละผล หรอื ปจั จยั ทป่ี รงุ แตง่ ขน้ึ ชใ้ี หเ้ ห็นท่ีมาและความเปน็ ไปของโลก เรยี กว่าวชิ า โลกธาตุ เนอื้ หาของวิชาโลกธาตโุ ดยย่อนนั้ กลา่ ววา่ ห้วงอวกาศน้นั จกั รวาลหรอื จะ เรยี กอกี ชอื่ วา่ โลกธาต ุ มอี ยูม่ ากมายจำ� นวนนบั ไมถ่ ้วน พระพทุ ธองคท์ รงตรสั แสดง บอกลักษณะของโลกนี้ว่า มหาปฐพนี ้ีตัง้ อย่บู นนำ�้ คอื แผ่นดินตัง้ อยู่บนมหาสมทุ ร น�้ำ ตง้ั อยบู่ นลม คอื มหาสมทุ รตงั้ อยบู่ นชนั้ บรรยากาศ ลมตงั้ อยบู่ นอากาศ ชน้ั บรรยากาศ ตั้งอยใู่ นช้ันอวกาศ ดว้ ยเหตุนเ้ี มอื่ ใดกต็ ามที่ลมใหญ่พดั บนโลกนนั้ ลมใหญ่พัดอยู่ ย่อมยังนำ้� ใหไ้ หว นำ้� ไหวแลว้ ยอ่ มยังแผน่ ดินให้ไหวตามไปด้วย ดงั นัน้ เหตุการณท์ ่ี ปรากฏขึ้นบนโลกน้ที กุ อยา่ งล้วนมเี หตแุ ละผลต่อเนื่องซึ่งกนั และกันเสมอ แท้ที่จริงแล้วตามหลักศาสนาพุทธถือว่าจักรวาลท่ีเราอยู่นี้เป็นเพียงส่วน หนง่ึ ของโลกธาตเุ ท่านน้ั ตำ� ราไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะสณั ฐานของโลกธาตุไว้วา่ โลกธาตุ มีแสนโกฏิจักรวาลหรือ ๑ ลา้ นลา้ นจักรวาล คือแบ่งเปน็ จักรวาลขนาดเล็ก เช่น สรุ ยิ จักรวาล จกั รวาลขนาดกลาง เช่น กาแล็คซ่ี และจักรวาลขนาดใหญ่ หรือเอกภพ ๑,๐๐๐ จักรวาลขนาดเลก็ เป็น ๑ โลกธาตขุ นาดเลก็ ๑,๐๐๐ จกั รวาลขนาดกลาง เป็น ๑ โลกธาตขุ นาดกลาง ๑,๐๐๐ จักรวาลขนาดใหญเ่ ป็น ๑ โลกธาตขุ นาดใหญ่ ดังน้ัน ๑,๐๐๐ จกั รวาลขนาดเล็กจงึ เปน็ ๑ จกั รวาลขนาดกลาง ๑,๐๐๐ จักรวาล ขนาดกลางจึงเทา่ กับ ๑ จักรวาลขนาดใหญ่ และ ๑,๐๐๐ โลกธาตุขนาดเลก็ เป็น ๑ โลกธาตุขนาดกลาง ๑,๐๐๐ โลกธาตุขนาดกลางเป็น ๑ โลกธาตุขนาดใหญ่ โลกธาตุ ขนาดใหญจ่ งึ มี ๑,๐๐๐ โลกธาตุ เมอ่ื รวมจักรวาลทง้ั สนิ้ จะได้แสนโกฏจิ ักรวาล แต่ในความรอู้ นั ไม่มีขอบเขตของพระสมั มาสัมพุทธเจา้ ทุกพระองค์ และ ดว้ ยญาณทศั นะอันบรสิ ุทธ์ิ ทรงพบวา่ ในแต่ละจักรวาล มีโลกมนษุ ยอ์ ยู่อยา่ งเรานี้ ๔ โลก มีโลกทมี่ ีความเป็นอยปู่ ระณตี ไมย่ งุ่ เก่ียวกบั กามคุณ มอี ารมณท์ างจติ อยูอ่ ย่าง เดยี วตลอดเวลา อกี ๒๐ โลกเรยี กวา่ พรหมโลก ส่วนโลกทีม่ คี วามเปน็ อยทู่ ี่ทุกข์
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 57 ทรมานเดือดร้อนมอี ยู่ ๔ โลกคือ นรก เปรต อสรุ กายและดริ จั ฉาน รวมทั้งหมดเป็น ๓๑ ภูมิ โดยสรรพสตั วท์ ี่เกิดในภูมิต่างๆ ท้ัง ๓๑ ภมู ิน้ี สายตาของมนุษย์มองเห็นได้ เพยี ง ๒ ภูมคิ ือ มนษุ ยด์ ว้ ยกนั และสัตวด์ ริ จั ฉานบางจำ� พวก ภมู ิต่างๆ เหลา่ นจ้ี ะเปน็ ท่ีอยู่ของเหล่าสรรพสตั ว์หลังความตายที่ทำ� กรรมดหี รือกรรมชั่ว หรอื ไม่ดีไม่ชวั่ กต็ าม ผลของกรรมจะชีนำ� ให้วญิ ญาณเหล่านนั้ ไปเกิดตามภพภูมิต่างๆ ซึง่ จะเปน็ ท่ีรองรับ ชีวติ ทอ่ี ยใู่ นสภาวะทางวญิ ญาณตามผลกรรมทีเ่ คยกระทำ� ไว้ นอกจากน้แี นวทางพทุ ธศาสนายงั ได้กลา่ วถงึ ความไมเ่ ที่ยงใดๆ ในโลกธาตุ น้ี คือการลม่ สลายไปของโลกธาตุตา่ งๆ อันมเี หตใุ ห้สญู สิ้นไป แล้วกลับมารวมตัวกนั ตามกฎของไตรลกั ษณค์ ือ เกิดขน้ึ ต้ังอยู่ และดับไป และวนเวยี นเป็นวัฏจักร โดย แตล่ ะจกั รวาลจะมผี ลต่อเนื่องสมั พันธก์ นั ท้งั หมด ด้วยการแตกสลายและท�ำลายลา้ ง จากธาตตุ ่างๆ กลา่ วคอื การสน้ิ สลายไปของจักรวาลขนาดเล็กเปน็ ๑ จุลกปั ป์ จกั รวาลขนาดเลก็ แตก ๗ ครงั้ ในครงั้ ท่ี ๘ จกั รวาลขนาดกลางจะแตกเรยี กวา่ มชั ฌมิ กปั ป์ จกั รวาลขนาดกลางแตก ๗ ครงั้ ในครงั้ ท่ี ๘ จกั รวาลขนาดใหญจ่ ะแตกเรยี กวา่ มหากปั ป์ จกั รวาลขนาดเล็กแตกดว้ ยธาตไุ ฟ จกั รวาลขนาดกลางแตกดว้ ยธาตุน้�ำ จักรวาล ขนาดใหญแ่ ตกดว้ ยธาตลุ ม ในวันส้นิ โลกคมั ภีร์มลู โลกไดก้ ล่าววา่ ดวงอาทิตย์จะมี ขนาดใหญ่ขึ้นถงึ ๗ เท่า หรอื อาจมมี ากถึง ๗ ดวง ถา้ หากข้ึนพรอ้ มกันทั้งหมดแล้ว โลกกจ็ กั เปน็ อนั รอ้ นอนั ไหม้ เกดิ เปน็ เปลวเปน็ ลำ� มา้ งแทง่ หนิ ทง้ั ๔ ทวปี และเขาสเิ นโร เขาสตั ตภณั ฑ์ ๗ ยอด ลงลึกแสน ๒ หมื่นโยชน์ แตกกระจดั กระจายเป็นมกุ เป็นมุ่น เป็นเม็ดหนิ เมด็ ทรายใหญ่ เปน็ ฝุน่ เปน็ ดนิ ไป เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตถงึ สงิ่ ทพี่ ระพทุ ธองคท์ รงตรสั ไวเ้ กย่ี วกบั โลกธาตุ ซง่ึ ภายหลงั ได้มีการคน้ พบจกั รวาลอนื่ ๆ ตรงตามคำ� กลา่ วของพระพุทธองค์ โดยโลกวทิ ยาศาสตร์ สมัยใหม่ เหลอื เพยี งแตน่ กั ดาราศาสตร์ยงั ไม่พบดาวดวงอน่ื นอกเหนือจากโลกของ เราท่มี สี ิง่ มีชีวิตดำ� รงอย ู่ ในทางพทุ ธศาสนาไดก้ ล่าวอธิบายไว้ว่า ในสว่ นสรรพชีวติ ใน ภูมิอน่ื ๆ นั้นมีเพียงมนุษยผ์ ู้ฝึกจติ ไวด้ เี ท่านัน้ จึงจะมองเหน็ ได้ ยกตวั อยา่ ง สัตวห์ รอื สง่ิ มีชวี ติ มากมายท่ีอยูใ่ นโลกบางชนดิ รา่ งกายของสตั ว์เหล่านั้นโปรง่ ใสจนสายตาของ มนุษย์มองไมเ่ หน็ อุปมาเปน็ ด่ังโลกในอกี มิติหนง่ึ ซึ่งเปน็ คนละภพภูมิกบั มนษุ ย์ ภมู ิท่ี เปน็ เทวดาหรือภูตผนี ้ันคนธรรมดาท่วั ไปจึงไม่สามารถมองเห็นได้เชน่ กัน
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง58 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา แนวคดิ เรอ่ื งของโลกธาตแุ ละการกำ� เนดิ โลกทางพทุ ธศาสนานน้ั ช้ใี ห้เห็นถึง วงจรของการเวียนว่ายตายเกดิ เปน็ วฏั จกั รของทกุ สรรพสิ่งในแดนโลกธาตนุ ้ี เปน็ กฎ ไตรลกั ษณ์ทีม่ ีอยู่แลว้ ในธรรมชาติ ซึง่ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ผู้ชนี้ �ำใหเ้ หน็ ทางสวา่ ง คอื สภาวะแห่งความเป็นจริงในธรรมชาติ หรือเรียกส้ันๆ วา่ ธรรมมะ การระบถุ งึ ช่วง เวลาในการสิ้นสูญของโลกธาตหุ รือชว่ งเวลาทเี่ รยี กวา่ การมา้ งกปั ป์ จึงเป็นรอยต่อ สำ� คัญของการกำ� เนดิ และเรม่ิ ตน้ ใหม่ของทกุ สรรพสงิ่ ในแดนโลกธาตุ เปน็ การเลยี่ ง บาลีท่ีจะตอบค�ำถามของคนท่ัวไปวา่ มนุษย์เกดิ มาจากไหน หรอื สรรพสงิ่ ในโลกเกดิ ข้นึ เม่อื ใด เพราะเปน็ ค�ำถามทีไ่ ม่สามารถจะตอบได้อย่างชัดเจน เปน็ อจินไตยปญั หา ไม่มีคำ� ตอบทส่ี นิ้ สดุ จึงใชว้ รรณกรรมเหลา่ นีเ้ ปน็ คำ� ตอบ เช่น ค�ำตอบในเรือ่ งการ ก�ำเนิดมนุษย์นั้นคือเหตุผลในเร่ืองของบุพกรรมหรือกุศลกรรมเก่าที่สร้างมาแต่ชาติ ปางกอ่ นจึงได้เกิดเปน็ พรหมช้นั สูง ท่ีไม่ถกู ไฟมา้ งกัปป์เผาท�ำลาย หลังจากอณุ หภมู ิ โลกเยน็ ลงจงึ ไดจ้ ตุ ลิ งมาเปน็ โอปปาตกิ ะ ลงมากนิ งว้ นดนิ จนกลายเปน็ ตน้ กำ� เนดิ เผา่ พนั ธ์ุ มนุษย์ในเวลาต่อมา เป็นต้น เมื่อมีค�ำถามต่อไปอีกว่า โลกจะส้ินอายุขัยเม่ือไหร่ ค�ำตอบก็คือการแบง่ ช่วงเวลา ออกเปน็ กัปปต์ า่ งๆ เชน่ ในช่วงเวลาท่ีเราอย่ใู นโลก ปัจจุบันนี้จะเรียกวา่ ภทั รกัปป์ ในภัทรกปั ป์น้กี �ำหนดช่วงเวลาของโลกดว้ ยช่วงเวลา ในพุทธศาสนา ซึง่ จะมีพระพุทธเจา้ ทัง้ หมด ๕ พระองค์ โดยพระพทุ ธเจ้าองคป์ ัจจบุ ัน จะมีช่วงอายศุ าสนายาวนานถงึ ๕,๐๐๐ ปี เมื่อพระพุทธเจา้ อุบัติขึ้นจนครบหา้ พระองค์แล้ว จึงถอื ว่าครบช่วงเวลาของภัทรกปั น้ี และเกิดไฟมา้ งกัปป์ข้นึ อีกคร้งั เปน็ ต้น ทัง้ หมดคอื ค�ำตอบทเ่ี ตรียมไว้ดแี ล้ว ซ่ึงพระสงฆท์ ่ีศกึ ษาคมั ภรี ์เหลา่ นี้นีจ้ น แตกฉาน จะสามารถสอดแทรกหลกั ธรรมทโ่ี นม้ นา้ วใหค้ นประพฤตดิ ี ทำ� ดตี ามแนวทาง พุทธศาสนา ผลตอบแทนของกศุ ลกรรม หรืออกุศลกรรมทบ่ี ุคคลต่างๆ ไดก้ ระทำ� น้นั ค�ำตอบจะโยงไปท่ีวรรณกรรมอีกฉบับหนึ่งท่ีเขียนขึ้นมาเพ่ือตอบโจทย์ดังกล่าวคือ วรรณกรรมเร่ืองไตรภูมิหรือจักรวาลทีปนี เพ่ือช้ีให้เห็นรายละเอียดปลีกย่อยของ สถานทอ่ี ยตู่ ามผลกรรมท่ีสรา้ งไว้ ท้ังภูมิสุขาวดี และอบายภมู ิ การทีว่ ิชาโลกธาตุเปน็ สว่ นหนึ่งของการเรียนการสอนในพระพทุ ธศาสนาจึง ทำ� ให้พระสงฆส์ ว่ นใหญไ่ ด้รบั การศกึ ษาถงึ เรือ่ งดาราศาสตร์ไปดว้ ย และเป็นการงา่ ย ทจ่ี ะตอ่ ยอดศกึ ษาในเรือ่ งโหราศาสตร์ พระสงฆท์ เ่ี รียนส่วนใหญ่จะศึกษาไว้เพื่อใช้
ธวชั ชยั ท�ำ ทอง 59 ช่วยเหลอื ชาวบา้ น จะเหน็ ได้วา่ บทบาทพระสงฆ์กับโหราศาสตร์ในล้านนานั้นมีการ ผสมกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ออกทั้งทางตรงและทางอ้อมกล่าวคือ พิธีกรรมทาง พทุ ธศาสนาในลา้ นนานัน้ มักจะพบวา่ พิธกี รรมบางอย่างเปน็ พิธที ม่ี ีเฉพาะถิน่ ลา้ นนา ซงึ่ ไม่ใช่วถิ พี ทุ ธเถรวาทแบบลังกาวงศ์ท่วั ไป เชน่ พธิ ีสบื ชะตาสะเดาะเคราะห์ พิธี ถอนขดึ ตา่ งๆ พธิ บี วชนาค พธิ ที เี่ กย่ี วขอ้ งกบั งานศพหรอื ภตู ผี เปน็ ตน้ พธิ ตี า่ งๆเหลา่ นี้ พระสงฆล์ ว้ นมีบทบาทในการประกอบพิธี ซึง่ หลายพธิ ีดังกลา่ ว สบื เน่ืองมาจากคติ ความเชอ่ื เดมิ คอื การนบั ถอื ผี และคติทางโหราศาสตร์ ในประวตั ศิ าสตร์ล้านนาจะ พบพระสงฆ์ในบทบาทของโหราจารยผ์ พู้ ยากรณ์เหตุการณโ์ ดยตรง เชน่ กำ� เนดิ ทิพย์ จักรวงศ์ในเมืองลำ� ปางนัน้ เกดิ จากการคำ� นวณโหราศาสตรเ์ พื่อหาผทู้ จ่ี ะกอบกู้บา้ น เมืองจากท้าวมหายศเจ้าเมืองล�ำพูน โดยต�ำนานกล่าวว่าผู้ค�ำนวณเลขโหรานั้นคือ ครูบาวดั พระแกว้ ชมพู นอกจากนย้ี งั มีอีกหลายรปู ทีม่ ีช่อื เสยี งทางด้านดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เชน่ ครบู าวดั หนองเงอื กลำ� พนู ครูบาญาณสมุทรวดั ศาลา ครบู าอาโนชยั ธรรมจนิ ดามนุ วี ดั ปงสนกุ เหนอื ครบู าโสภาวดั ฝายหนิ ครบู าเถมิ้ วดั แสนฝาง เป็นต้น การศึกษาโหราศาสตร์ของพระสงฆ์สมัยก่อนนั้นเป็นไปเพ่ือท�ำความเข้าใจ โลกและความเปน็ ไปของมนุษยแ์ ละเห็นวฏั ฏะสงสารการเวยี นวา่ ยตายเกิดท่เี หน็ จาก การโคจรของดวงดาววนเวียนอยู่เช่นน้ันไม่มีท่ีส้ินสุดเม่ือเข้าใจแล้วจึงเกิดการปลง สงั เวช ดังนัน้ พระเถระทเ่ี รยี นโหราศาสตรจ์ นถงึ ทส่ี ุดแลว้ มักจะปลอ่ ยวางและหันมา ศกึ ษาเรื่องวปิ สั สนากรรมฐานเป็นส่วนใหญ่ หากจ�ำเป็นจะต้องใชก้ เ็ พื่อประโยชน์ของ บ้านเมืองหรือใช้ชว่ ยเหลอื ชวี ติ ของบุคคล เป็นทพ่ี ึง่ ทป่ี รกึ ษาเพือ่ หาทางออกท่ีดแี ก่ ชวี ติ โดยใชอ้ งค์ความรูด้ ้านโหราศาสตร์ช่วยแก้ไขด้วยวิธีตา่ งๆ อันแตกแขนงออกมา เป็นเรือ่ งการทำ� นายทายทกั เรอ่ื งยาสมุนไพร และเร่ืองพิธกี รรม เพือ่ ให้อยู่สขุ สวสั ดี ไม่ใช่เป็นการดูดวงทายทกั พรำ่� เพรอ่ื ทั่วไปแบบปัจจบุ ัน ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
60 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพลักษณะกลุ่มดาวฤกษ์ตา่ งๆจำ� นวน ๒๗ กล่มุ ท่มี า:สมุดภาพไตรภมู ิ ฉบับอักษรธรรมลา้ นนาและอักษรขอม.กรมศลิ ปากร ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง
ธวัชชัย ท�ำ ทอง 61 การสังเกตดวงดาวกบั การเปล่ยี นแปลง เหตุการณ์บา้ นเมืองทางธรรมชาติ ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง จากการเฝ้าสังเกตและบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ของคนโบราณ นับตงั้ แต่อนิ เดียมาจนถึงลา้ นนา มกั จะมีการบนั ทึกเร่อื งราวการเปลีย่ นแปลงของ ดวงดาวท่ีการโคจรไปสัมพันธ์กันกับดวงดาวเคราะห์หรือดาวฤกษ์ในรูปแบบต่างๆ พร้อมกันน้ันได้ประพันธ์นิยายหรือต�ำนานที่เก่ียวข้องกับดวงดาวข้ึน เพ่ือให้เกิด ความเขา้ ใจและบ่งชี้ถึงทีม่ าของดาว เมอ่ื มาถงึ ล้านนา โหราจารย์ล้านนาไดม้ ีการ บันทึกสืบต่อมาจนเป็นต�ำราการดูดาวเพ่ือท�ำนายทายทัก หรือการศึกษาเพื่อเป็น ประสบการณ์และเตรียมการแก้ไขส�ำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัยหลักการโคจรของดาวนพเคราะห์ทั้งหมดเคลื่อนที่ไปตามราศีต่างๆ กระทบดาวเคราะห์ดว้ ยกนั หรอื ไปสถิตร่วมดาวฤกษ ์ การโคจรสัมพันธ์กนั ของดาว ท้งั สองกลุ่มนน้ั จะมผี ลแตกต่างกนั ในด้านต่างๆ ท้งั ดีและร้าย หรอื การเปลย่ี นแปลง สภาวะธรรมชาตทิ ผี่ ดิ ปกติ จงึ มกี ารบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ ตำ� ราเพอ่ื การศกึ ษาสบื ทอดตอ่ กนั มา ต�ำราการดูดาวนีผ้ เู้ ขยี นได้ปริวรรตมาจากพับสาเลม่ หลวง ของวดั ปงสนกุ เหนอื จงั หวัดลำ� ปาง เปน็ หลัก เดิมเป็นบันทึกของครูบาอาโนชยั หรือ พระธรรม จนิ ดามุนี เจา้ อาวาสวดั ปงสนุกเหนือ เจา้ คณะจงั หวัดล�ำปางรปู แรก ประกอบกับ ต�ำราดาราศาสตร์วดั ป่าตนั กุมเมือง จังหวดั ลำ� ปาง วดั สันป่าเลียง จังหวัดเชยี งใหม่ วดั หนองเงือก จังหวัดลำ� พูน ตำ� ราโหราศาสตรข์ องวัดชมพหู ลวง อ�ำเภอเมืองลำ� ปาง และตำ� ราโหราศาสตร์ของวดั ศาลาหม้อ อำ� เภอเกาะคา จังหวัดล�ำปาง โดยผเู้ ขียนได้ แบ่งกลุ่มหมวดหมใู่ นการสังเกตดวงดาวตามตำ� ราไว้ดังน้ี การสังเกตจันทคราส ๑.การสงั เกตและบนั ทกึ การเกดิ จนั ทคราสในวนั หนไทกลา่ วไวว้ า่ จนั ทคราส ทอื วนั ไจข้ า้ วจกั แพง ทอื วนั เปา้ ฝนจกั แลง้ ทอื วนั ยคี นจกั ทกุ ขย์ าก ทอื วนั เหมา้ ขา้ วจกั ถกู ทอื วันสจี กั แพส้ ตั ว์ส่ีตีนในเถอ่ื น ทอื วนั ไส้น�ำ้ และลมมมี าก ทอื วนั สง้า แพข้ นุ เมอื ง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง62 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ทือวันเมด็ ของจักแพง ทอื วนั สันจักมีสุขมากนัก ทอื วนั เล้าไฟจกั ไหมบ้ ้านไหมเ้ มอื ง ทือวันเส็ดจักแพข้ องเล้ยี งแพข้ ุนเมอื ง ทอื วันไก๊ คน ทั้งหลายจักตายเจ็บไขม้ ากแล ๒. การสงั เกตและบนั ทกึ การเกดิ จนั ทคราสในวนั เมง็ กลา่ ววา่ ผวิ า่ จนั ทคราส ทอื วนั ๑ จกั เปน็ อบุ าทวบ์ า้ นเมอื ง สตั วส์ ตี่ นี สองตนี จกั ตาย ทอื วนั ๒ ขา้ วจกั แพง จกั เสยี บ้านเมอื ง ทอื วัน ๓ คนช้างม้าจกั ตายฟา้ ฝนจักแล้ง ทอื วนั ๔ ขนุ เมืองและสตั วส์ ่ีตีน จักตายขนุ เมืองแลบ้านเมอื งมักมีอบุ าต ทือวัน ๕ บ้านเมืองจักมีภัย ขา้ วจะแพงมาก ทือวัน ๖ นำ้� และไฟและลมกเ็ สมอเทา่ ว่าชา้ งม้าจกั ตายคนทัง้ หลายจกั ไดพ้ ลัดพราก จากทอ่ี ยูแ่ ล ทอื วนั ๗ นำ�้ มาก เงอื กจา ลมจา ผจี า ขา้ วจักแพงขนุ เมอื งนางเมอื งจักมี อบุ าทว์เคราะห์บา้ นเคราะห์เมืองจกั มีมากชะแล ๓.การสงั เกตและบนั ทึกการเกิดจันทคราสในเดือนตา่ งๆกล่าวไวว้ ่า จาดว้ ย จนั ทะสุริยา อันราหอู สุรินทะจับมีสันน้ี จับเดือน ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ คนทง้ั หลายอย่บู ว่ ุฒิ อันน่งึ จกั บังเกดิ ด้วยภาวะอนั อดอยากมากนกั แล จับเดอื น ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑ ๒ ๓ ๔ ขา้ วกลา้ ไรน่ าดบี รมิ วลด้วยฟ้าฝน คนทั้งหลายอยู่สขุ สำ� ราญบานสขุ นักแล จับวัน ๑ และ ๔ จักแล้งข้าวกล้าจกั ตาย จับวนั ๑ วนั ๕ คนท้ังหลายอยู่สุขสำ� ราญบานใจ จบั วันแรมคำ่� นึง่ ฝนมนี ้�ำมาก จบั แรม ๒ คำ�่ จักมที นิ าธกิ กะปนี ั้น จับแรม ๓ค่ำ� แรม ๓ ค่ำ� จกั มีอธิกมาสปีนน้ั แล จับวนั ๑ ๒ ๓ ๕ ไพรน่ อ้ ยจบั ด้วยการทกุ ข์มากนกั ขุนนางอยู่ สุขสำ� ราญ จบั วัน ๔ วัน ๖ คนท้งั หลายอยู่ สวัสดมี ากนัก จบั วัน ๗ วัน ๒ จกั เกิดด้วย กรยี คุ ฆ่าฟนั กันชะแล คนั มีวรรณะขาวคนท้ังหลายอยู่ดีมสี ขุ มวี รรณะแดง บ้านเมอื ง ทั้งหลายเปน็ ทกุ ขด์ ว้ ยอาหารและไฟจักไหม้ มีวรรณะแหลข้ า้ วก่�ำฟ้าฝนดนี �้ำมาก มี วรรณะเขยี ว ลมมาก จักแลง้ เกดิ ดว้ ยทุกภิขภยั อยากขา้ ว จกั เกดิ ด้วยโจรมากมากนกั มีวรรณะอันดำ� บา้ นเมอื งจักควรด้วยกรยี ุคฆ่าฟนั กนั มวี รรณะเหลอื งนัน้ สตั วท์ ัง้ หลายฉิบหายดว้ ยพายมุ ากนัก มีวรรณะหมน่ ท้าวพญาเสนาอามาตย์อยู่ดมี สี ขุ เทา่ ว่าแพ้แม่มานชะแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 63 การสงั เกตฟา้ รอ้ ง ท่นี จี้ ักกล่าวดว้ ยฟา้ ร้องครางเดอื นหกฟ้ารอ้ งรวนลมหวั ป ี ผวิ า่ รอ้ งวนั ๑ บา้ นเมอื งจกั เสยี บอ่ น้ั คนทงั้ หลายจกั พา่ ยหนมี ากแล ผวิ า่ รอ้ งวนั ๒ เงอื กจา ผจี า เสอื จา เสิกจา หวน่ั ไหวนัก ผิวา่ รอ้ งวัน ๓ ฝนมมี ากนักกลางปี หลา้ ปี ปูปลามักกัดรวงขา้ ว ฟา้ ร้องวนั ๔ ลูกเหบ็ จกั ตกมาก ผวิ า่ รอ้ งวัน ๕ ขา้ วนาดีปานกลาง ผิว่ารอ้ งวัน ๖ ตน้ ข้าวงามลามปีลาบลมนกั แล ผิวา่ ร้องวัน ๗ นำ้� มาก ขา้ วบด่ ี รวงข้าวบ่สู้หลายสมณะ พราหมณม์ ักเจ็บไข้แล การดูแผ่นดินไหว การสงั เกตและบนั ทึกการเกดิ แผน่ ดนิ ไหวในวันหนไทกลา่ ววา่ ผิว่าแผ่นดิน ไหว วนั ไจ้เปา้ วนั ยี จกั แพแ้ มม่ าน ผิว่าไหววนั เหม้าสีวนั ไสว้ ันสะง้าข้าวจักตายซง บ้าน เมืองจักเป็นเสิกเสอื แล ผิว่าไหววนั เมด็ สนั ด่งั อัน้ สัตว์ส่ตี นี จกั เสียชะแล ผิไหววันเลา้ วนั เส็ดวนั ไก๊ ดงั่ อัน้ บ้านเมืองจักต่นื ตว้ งหวั่นไหวเคราะห์เกณฑจ์ ักมบี า้ นเมอื งจักหลุ จกั ปังเสยี แล ผิวา่ แผน่ ดินไหวยามเชา้ จกั ใกลร้ ุง่ จกั แพ้ขนุ เมือง ผวิ า่ ไหวยามกองงาย ปนี ้นั ขา้ วนำ�้ ดแี ล ผิวา่ ไหวยาม ถะแหล(แตร)จักใกลเ้ ทีย่ ง ขุนผู้ใหญ่จกั มอี บุ าทว์มัก ตายแล ผิว่าไหวยามเท่ียงแท้คนทงั้ หลายจักพงั พ่ายหนชี า ผวิ ่ายามตดู จ้ายข้าวไรข่ า้ ว นาจกั ตายชง และผิว่าไหวยามกองแลงขา้ วจกั แพงจกั อบึ มากนัก ผวิ ่าไหวยาวพลันค่�ำ ด่งั อั้น บ้านเมืองจักหวน่ั ไหวชะแล ผวิ า่ ไหวยามกองเดกิ จกั แพ้สตั วส์ ตี่ นี ชะแล การสังเกตและบันทึกการเกดิ แผน่ ดินไหวในวันเม็งกลา่ วว่า แผน่ ดินไหววัน ๑ ฝนบ่มแี ล แล้งนัก วนั ๒ ข้าวนำ้� ดี เต้าแตงหนว่ ยไมด้ ีนักแล ลกู ผเู้ กิดในวนั นีม้ ีประ หยาดนี ัก วนั ๓ บ้านเมืองจักเปน็ ศกึ รอ้ นไหม้ โจรภยั มีมาก วนั ๔ ผ้ปู ระหยาจักมา เมือง วัน ๕ เจ้าเมอื งจกั ไดช้ า้ งหลวงงวงใหญ่ ตา่ งเมอื งจกั มีเครอ่ื งปัณณาการแล วนั ๖ ทา้ วพญาขุนเมืองจักเป็นคำ� วัน ๗ แพ้สมณะพราหมณ์แล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง64 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ภาพตวั อยา่ งตำ� ราการบันทึกการสงั เกตุดวงดาวที่มีผลตอ่ การเปลย่ี นแปลง กับสภาวะธรรมชาติ และเหตกุ ารณ์ในบา้ นเมอื ง จากพับสา วัดหนองเงือก จงั หวดั ล�ำพูน และ วัดป่าตันกมุ เมือง จงั หวัดลำ� ปาง
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ทำ�ทอง 65 การสังเกตดวงอาทติ ย์ เดือน ๖ กลางวนั ตอื กุบ ๓๐ สองเผาสามเผาสี่เผาห้าเผาด่งั อ้ัน จักเปน็ ภยั แกข่ นุ เมอื งแล เงาเหลอื งเงาดำ� เกยี้ ว ๓๑ ตะวนั อยบู่ พ่ ราก ขนุ เมอื งจกั มใี จคดตอ่ เจา้ เมอื งแล ตาวนั ออกหมอก เปน็ ดง่ั รูปงู อยูท่ า่ มกลางตะวนั ดง่ั อ้นั คนท้งั หลายจกั เจ็บไข้มากจักมี กันว่ารูปงูน้ันเป็นตัวเผือกคนท้ังหลายจักอยู่สุขบาน กนั เป็นตัวดำ� ฝนจักตกนักแล ภายเหนือตะวนั เป็นดั่งควนั ไฟเส้าอยู่ บ้านเมืองจกั แลง้ สามปีชะแล ตะวนั เปน็ ขอบด�ำบร่ ่งุ บใ่ สบ้านเมืองจกั แลง้ จักมศี กึ ชา ตะวนั เป็นหมอกเปน็ เสน้ แดงอยจู่ างราง อย่พู าดใต้ฟ้าดง่ั อนั้ ไรน่ าจักราบ เสยี บด่ ี ตะวันภายในดำ� อยู่ทางขอบพ้อยเหลือง คนเลง็ ดบู ่สู้หนั ถี่ คนทง้ั หลาย จักผดิ เถยี งกนั มาก บอ่ ัน้ ก่มกั เจ็บไข้ ผีหา่ มกั ตกบ้านตกเมืองชะแล ๓๐ พระอาทิตยท์ รงกลด ๓๑ ออ้ ม
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง66 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันแดงเปิด เล็งดคู ราสองวนั สามวนั คนท้งั หลายจกั ตายมากนักแล ตะวันออกหมอกเป็นด่ังหูอยู่สองป้าง บ่เป็นภัยสัง ผิว่ายังเป็นอยู่พ้นปี ขา้ มปไี ปจกั มอี ุบาทวช์ ะแล ตะวนั ออกหมอกเปน็ ดง่ั ควนั อยปู่ า้ งขา้ งใตเ้ หนอื ปนี นั้ จกั ไหมใ้ จคนศกึ ชะแล ตะวนั ออกหมอกเปน็ ใบยมแวดด่งั อ้ัน คนท้งั หลายจกั รกั จักเรียมกนั เป็น ถ้อยเป็นค�ำด้วยกันบ่ขาดแล ตะวันออกหมอกเหลอื งมาเก้ียวอ้อมอยู่ วนั นงึ่ สองวนั ดงั่ อั้น ฝนตกกม่ าก ศกึ ก่จักมี ดาวเข้าอยู่กลางตะวันปนี ั้นคนท้งั หลายจกั ฉิบหายมากแล ตะวนั ออกเปน็ สองลกู อยปู่ ระมาณเกา้ วนั สบิ วนั คนจกั ชงิ กนั เปน็ เจา้ ชะแล กลางใจตะวันดำ� มดื อยู่สองวนั สามวนั จ่งิ จกั แจ้งมาดัง่ อนั้ ของแดงจักแพง คนทงั้ หลายบค่ บบย่ ำ� ๓๒ กนั คนทงั้ หลายมวี วิ าทบา้ นเมอื งจกั รบราบปราบกนั แล ๓๒ คบย�ำ หมายถงึ เคารพ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 67 ตะวันเปน็ หูยอ้ ยไขว่กนั ทงั้ สองฝา่ ยดง่ั น้ี ฝนจกั ตกมากนัก แผน่ ดินกจ่ กั ไหวปอบา่ หินผาฟดั กันชะแล ตะวนั พายเหนอื ตะวนั ยอ้ ยหอ้ ยอยยู่ งั ฟา้ ยงั ดนิ อยปู่ อสองวนั บห่ าย ผใู้ หญ่ จักฆ่าจกั ฟนั กันตายชะแล ตะวันบ้างเกิ่ง ๓๓ อยปู่ นุ่ เดือนนึ่ง จกั ได้ออกศกึ ใหญ่ปอ ๗ วนั ๗ คืนชะแล ตะวนั ด�ำเกิง่ ขาวเก่งิ บ้านเมอื งจักรกรามเสียชะแล ตะวันเปน็ หมอกเปน็ หางเหลอื ง อยทู่ ิป ๓๔ ทั้ง ๔ เปน็ อยู่ดมี ีสขุ คา้ ขายเปน็ ดีมากชะแล ตะวันแตกเป็นลูกเล็กลูกน้อยดั่งน้ีไฟจักไหม้บ้านไหม้เมืองคนทั้งหลายจัก ได้เปน็ ทกุ ขน์ กั แล ตะวันออกเป็นสก่ี ีบ แล้วผวิ เขียวก่มี ดำ� กม่ ี มดื มืดอยดู่ ่งั อัน้ คนท้งั หลาย จักเจบ็ ไข้มากนักศึกกจ่ กั มีบ่คราสชะแล ๓๓ ครึ่ง ๓๔ หมายถงึ ทวีป
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง68 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ตะวนั แผห่ ยาดยายกนั อยเู่ ปน็ ดง่ั มหี ลายหวั ของเลยี้ งจกั แพง ลกู เหบ็ จกั ตก คนเมอื งเยียะสร้างใดบเ่ ปน็ น้ันแล ตะวันเป็นหมอกด�ำก่ดีเขียวก่ดีอ้อมเอื้อมอยู่ คนท้ังหลายและชาวเมือง ท้ังมวลบม่ ีภยั เยื่องใดอย่ดู มี สี ุขชะแล ปา้ งขา้ งตะวนั มหี มอกเอ้อื มอยูส่ องปายดงั่ น้ี เมืองจกั ลุลายลามเสยี ชะแล กลางตะวันหมอกขาวเป็นเส้นมาผา่ กลางอยสู่ ันนี้บ้านเมอื งบเ่ ปน็ สงั ผวิ ่า เส้นแดงจกั มภี ยั สะนอ้ ยชะแล ตะวันเปน็ ตอ่ มนง่ึ ฝนตกนกั เปน็ สองต่อมบ่มลี ม เปน็ สามต่อมบ่มีฝน เป็นสีต่ ่อมแล้งนัก เปน็ หา้ ต่อมบ้านเมืองจักลลุ ามเสียชะแล ตะวันเป็นขอบสี่แจ่งจะเป็นอุบาทว์แก่นางญิงท้ังหลาย เยียะนาบ่มีน้�ำ รามเสยี ชะแล ตะวันออกเป็นลูกอยู่ปอปีบ่หาย คนท้ังหลายจักร้อนใจด้วยภัยหลาย ประการชะแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 69 ตะวันเป็นปกี เป็นฝากนั ดงั่ นี้ ปีนัน้ ขนุ เมืองจกั ไขเ้ ป็นทุกข์นกั ชะแล ในตะวนั เปน็ รปู นกสต่ี นี คนทง้ั หลายจกั ตายจากกนั คนทงั้ หลายจกั กระทำ� บาปมากนักแลปนี ั้น ตะวนั เปน็ ตมุ่ เปน็ หนามออกแวดลอ้ มดง่ั นเ้ี ทยี่ งจกั ไดอ้ อกไปศกึ บค่ ลาดบค่ รา หวั ศกึ จกั ตายมากนักชะแลปีน้นั ตะวนั เปน็ ควนั ดำ� สองเสน้ มาไควก่ นั อยดู่ งั่ น้ี คนทง้ั หลายจกั กน้ั อยาก ทกุ ขย์ าก บา้ นเมอื งจกั หลากคราสญู เสยี ชะแล ตะวันเป็นรูปนกอา้ ปีกอยใู่ ตเ้ หนอื ฟา้ จักแลง้ ขา้ วเกดิ รามเสียชะแล ตะวนั เปน็ ขอบอยปู่ ายใตด้ งั่ น้ี คนทง้ั หลายจกั ปากนั อบึ ๓๕ กนั้ อยาก ปากนั ตายมากชะแล ขุนเมืองจักรอ้ นใจมากชะแล ปายเหนอื ตะวนั มหี มอกเหลอื งมาจำ้� อยพู่ น้ หลายวนั ขนุ เมอื งและนางเมอื ง จกั ไดเ้ ถิงโศกทกุ ข์ ๓๕ หมายถงึ ที่อับทบึ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง70 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันมีรูปค้อนเหล็กแทงไคว่เก๋ียง๓๖ อยู่ ขุนผู้น้อยจักชิงเป็นใหญ่ แล เมอื งใตฟ้ ้าจักมเี สิกจา ตะวนั มีรูประสัน๓๗ เหล็กมาแทงทบออกสนั น้ี ขุนกใ่ จบห่ ้อย บ่เปิงใจ บท่ ดั ใจเจา้ ตน คนทง้ั หลายยงั เมอื งจักอบึ ยากนักแล ตะวนั มีหมอกขาวสองอนั มาเอ้อื มอยู่ บ่รุ่งเรืองบใ่ สบ่สวา่ ง คนท้งั หลาย จกั ไดร้ ้อนไหม้ในใจ ดว้ ยภยั ตา่ งๆ นาๆ ตะวันออกหมอกเป็นรปู ดาบทางเหนือผ่าเขา้ ตะวนั ศกึ จักมี จกั ไดร้ อ้ นใจ คนท้งั หลายนักแล ตะวนั ออกหมอกเป็นเส้นด�ำแทงเขา้ ตะวนั นี้ ๔ ทปิ จักมอี ุบาทว์เจ็บไข้ มากนกั ตะวันออกหมอกมาอุ้มสองฝ่ายดั่งนี้ คนต่างประเทศจกั เขา้ มา ๓๖ ไควเ่ กยี๋ ง หมายถงึ กากะบาตร ดงั เชน่ ชอ่ งทเี่ จาะเปน็ รปู กากบาทตามกำ� แพงเมอื งจะเรยี กวา่ “ฮเู กยี๋ ง” ๓๗ ลกู ศร
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ท�ำ ทอง 71 เหนอื ตะวันเป็นขอบแดงมีฝา่ มอื มากั้ง จกั เป็นศึก คนผ้ดู จี ักเปน็ ทกุ ข์มาก ตะวันผา่ กันเป็นสองลกู บ้านเมืองจกั เปน็ ศึก ร้อนไหม้เสยี สองเทา่ สาม เทา่ ชะแล กลางตะวนั มขี อบหา้ ขอบ ๓๘ มขี อบเหลอื งดแี ทบ้ เ่ ปน็ สงั ๓๙ คนั วา่ ขอบขาว ฝนมาก คันว่าขอบด�ำก�่ำอยู่ด่ังอ้ันใต้ฟ้านาคก่จักยุ่งมี่นัน เมืองคนจักมี ศึกพ้นวันนง่ึ จกั ดมี าชะแล ตะวันเป็นขอบด�ำ นาคนำ้� จักยุ่งนัก เมอื งคนจักมศี กึ พุ่นส่วี ันจง่ิ คนื ดมี า ตะวันซ้อนกันเป็นสี่ลูกด้วยหมอกฟ้าหากกระท�ำห้ือเป็นแถวซ้อนกันด่ัง หันนี้ ทปิ ท้ังสองทปิ อยู่พายเหนือจกั รอ้ นใจเปน็ ทกุ ข์ ทิปทัง้ สองทิปฝ้าย ใต้บ่าเป็นสังแล ตะวนั บา้ งเกง่ิ เปน็ รปู ดาบอยใู่ ต้ ขนุ ผใู้ หญฟ่ า้ วอ้ ง ๔๐ จกั เปน็ ศกึ หลวง พนื้ ฟา้ ปายวัน ออกน่ึงจา ๓๘ ไมเ่ ปน็ ไร ๓๙ เสยี งอนั ดงั ๔๐ เมอื งว้อง คือหวั เมืองของจีนฮ่อโบราณ ปจั จบุ นั อยใู่ นเขตมณฑลยนู นาน
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง72 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ตะวันเปน็ รูปหอกสองเล่มดัง่ น้ี เมอื งวอ้ งและเจา้ ฟ้าวอ้ งจักหลอนฆ่าฟนั กันตายรอ้ นใจคนท้งั หลายมากนกั ๔๑ การสงั เกตพระจันทร์ ทีน่ ี้จักกลา่ วจันทร์เลง็ ส่องโลกโลกากอ่ นแล พระจันทร์เล็งส่องใสแล หมอกเหลืองแตกมาล้อมอยู่ดั่งนี้ ฝนมีมาก ฝนตกบข่ าดน้�ำจักนอง พระจนั ทร์มหี มอกขาวหมอกเหลอื งมาเกยี้ วขุน่ มัวอยู่ดง่ั อั้นบา้ นเมืองกจ่ ัก ตนื่ ตว้ ง กันหมอกขาวมาเก้ยี วหมอกดำ� ดง่ั อน้ั ปีน้ันหรือสองปี จักเจ็บไข้ มากนักแล พระจันทร์ผา่ กันดว้ ยหมอกหากกระทำ� จกั มีเคราะห์เกณฑม์ ากชะแล พระจนั ทรห์ มอกเป็นไม้ง้�ำอยู่ดงั่ อ้ันข้าวไร่นาเปน็ ต้นแล้ว มอดแมงกนิ เสยี ขนุ วา่ จกั กินได้บจ่ า พระจนั ทร์ออกมาขับเส้ียงเดอื นน่งึ หมอกบ่ออ้ มบ่งำ� ดัง่ อัน้ เมอื งคนจักมี ศกึ จกั บังเกิดห้อื มชี า ๔๑ นา่ สงั เกตวา่ การสังเกตดวงดาวของลา้ นนาไดใ้ หค้ วามสำ� คัญกับสถานการณใ์ นเมืองฮ่อ ซงึ่ ลกั ษณะ ดวงดาวหลายรปู แบบส่อื ถึงเมอื งๆ น้บี างครง้ั ใชค้ �ำว่าเมืองใต้ฟา้ หรอื เมืองฮ่อลมุ่ ฟา้
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 73 พระจันทรม์ ฝี า้ กาบฟา้ มาเซาอยูท่ ้ังนอกและใน นานปนี ึง่ ฝนบต่ กปอ เดือนนง่ึ เมอื งคนบ่เปน็ สงั จันทคราสตอื เดอื นน้อย ปอเก่งิ คืนคายเสียด่ังอัน้ บ้านเมืองบ่เปน็ สังแล พระจนั ทรผ์ า่ กนั ลกู พญาเมอื งใตฟ้ า้ จกั ไดก้ ำ� ดาบกำ� หลาว ฆา่ ฟนั กนั เทย่ี งแท้ ดาวเขา้ ในพระจันทร์บา้ นเมืองจกั ย่งุ เสยี กู่ท่กี ่เู มอื งชะแล พระจนั ทรเ์ ป็นหมอกขอบดงั่ อนั้ คันผิวเส้า จกั มีลมมาก คนั ด�ำจักมีฝนตก บส่ เู้ ปน็ หา่ ข้าวบส่ ูม้ ากราบไปเสยี ชะแล พระจนั ทรม์ หี มอกมาเป็นรปู ดาบ ปลายดาบไปพายใดพายนั้นจกั เป็นศกึ บค่ ราดชะแล พระจันทรเ์ ปน็ ต่มุ แดง ดังต่อมเลอื ดนัน้ เมอื งจกั แห้งแล้ง แต่เดอื นส่ีถึง เดอื นเจด็ คนั เปน็ ต่อมดำ� แควนจักแรงชะแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง74 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ตอ่ มขาวในขาวออมเหลอื ง หนั เมอื่ เดือนดงั นี้ ภูเขาแดนเมอื งมัททะราช เมอื งมธรุ า พญาทั้ง ๒ เมอื งจกั รบกัน ถา้ วา่ เดอื นข้ึนใสด่ ง่ั น้ีสพั พะพิสสฤกษแ์ ควนทกั ขณิ ะทิสใส่ ฝนบ่มแี ล ถา้ วา่ เหน็ เดือนขึ้นเป็นดั่งนี้ใส่สัพพะพิสสฤกษ์ ทิศหนอดุ รฝนจกั ดแี ล เห็นเดอื นข้ึนดั่งน้ีจักมีความสขุ แล เดอื นขึน้ ดงั่ นี้ชะตาเจ้าบา้ นเจ้าเมอื งจกั ขาดแล เห็นเดือนข้นึ ด่งั นีร้ ปู ปะโยรสัพ กษัตริยท์ ้งั หลายจกั อิ่มด้วยขา้ วนำ�้ โภชนะ อาหารจักสขุ สวรรค์ม่วนมนตรชี ะแล เดือนข้ึนด่งั นี้เจา้ เมอื งจักไดส้ พั พะข้าวของสมั ปัตตบิ รโภคมากแล เดือนขน้ึ ด่ังนีเ้ จา้ เมืองจกั รกั ใฝแ่ ปงกัน
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ทำ�ทอง 75 เมื่อเห็นเดอื นขน้ึ ดงั่ นี้ ไพรฝ่ ้าจกั ฆา่ เจา้ เมอื ง กบฏแล ถา้ วา่ ดาวพธุ เหลอ่ื มอยดู่ ง่ั นเี้ สกิ จกั มาจกั เกดิ อบุ าทวท์ กุ ภขิ ภยั กบั บา้ นเมอื งแล ถ้าวา่ ดาวเสาร์ขึน้ อยู่กับเดือนดัง่ น้ี เสกิ จกั มากับบ้านกบั เมอื งเป็นอบุ าทว์ บ้านเมอื งแล ถา้ วา่ ดาวพระหสั อยพู่ นื้ เดอื นดง่ั น้ี ขา้ เสกิ ศตั รจู กั กระทำ� รา้ ยแกเ่ จา้ เมอื งแล ยามเมื่อเดอื นผงขึน้ หนั ดงั่ นฝ้ี นจักดีนำ้� มากแล ยามเมื่อเดือนขึ้นแล้วหันด่ังน้ีเมืองใต้จักเป็นอุบาทบ้านเมืองจักเพิงแกน มากนักแล หันสีเหลอื งอย่ใู นข้างนึง่ ดั่งนผี้ ูห้ นั จักตายแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง76 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา หันพระจันทร์ข้ึนดั่งน้ีปลายเหลืองจักเกิดอุบาทว์แก่ชาวบ้านชาวเมืองจัก ยากแค้นเคิงมากแล เดอื นออกดงั นผ้ี ตี องปรากฏในอากาศเขา้ กลางผดั ๓ วนั รอื ๗ วนั จกั เสยี เมอื งแล เดอื นออกดงั่ นเ้ี จา้ เมอื งจกั ตาย คันว่าหนั เมอ่ื เดือนออกยงั ผงคืนตราบถึง ๘ ค�่ำมีดังนี้ เขาจักกระทำ� รา้ ย แก่เจ้าเมืองแล เดือนข้ึนในแดงขอบขาวด่ังน้จี ักมีโทษ ๔ ประการคอื โจร โรคา ขา้ วแพง ขา้ เสิกจกั มาเมอื งแล เดือนขึ้นดงั่ นี้กลางหมน่ นอกขาว ผหู้ ันน้ันจกั ถึงแก่ความสขุ จกั ได้ลาภ สการแล เดอื นขน้ึ แดงในกลางเหลอื งนอกขาว พญาเจ้าเมอื งคนทั้งหลายจักเกิด อบุ าทวม์ ากนัก
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ท�ำ ทอง 77 หันพระจันทร์ขึน้ ด่งั น้ีข้าเสิกจักมาถึงเมืองแล เมอ่ื เดือนขนึ้ ด่ังนี้ราชะทั้งหลายจักชมชืน่ ยนิ ดมี ากนกั เม่อื เดือนลงดั่งนี้ อุบาทวจ์ กั เกดิ มีแกค่ นท้งั หลายมากนักแล เดือนเปง็ ขึน้ ในแดงขอบขาวต่อมขาวแวดดั่งนร้ี พิ ลโยธาจกั สั่นระสาย เดือนขึ้นในแดงรอบขาวนอกเหลืองเดือนแรมจักไกล้ดับดวงพระจันทร์ เปน็ ดงั่ เดอื นเปง็ เจา้ เมอื งจกั ตาย บอ่ นั้ จกั ไดห้ นเี สยี เมอื ง จกั มภี ยั อนั ใหญแ่ ล เมือ่ เดอื นแรมจักไกลด้ ับออกมาดง่ั นี้ ริพลโยธาจักสัน่ ระสายแล เดือนขึ้นขอบบนขาวขอบลุ่มเหลืองดั่งน้ีจักเกิดอุบาทว์มีแก่สัตว์ในน�้ำทั้ง มวลแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง78 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา พระจันทร์หมอกด�ำไหลมาห้อยอยู่สองป่างสันน้ันบ้านเมืองทั้งหลายกัน ได้วา่ พ้นจากเคราะหเ์ กณฑ์อยเู่ ย็นเป็นสุขชะแล พระจนั ทรม์ ีขอบหลายช้ันเมอื งใต้ฟ้าจกั มไี ฟไหม้ ศึกก่จักมี พระจนั ทร์เป็นสองผากบา้ นเมืองจักมีศกึ มาก พระจนั ทร์มีดาวเข้ามาหา้ ลกู ล้อมอยู่ ลกู เห็บตกมากปีนน้ั พระจนั ทรม์ ฝี า้ ดำ� มาเกยี้ วอยจู่ กั มภี ยั อนั ใหญจ่ า คนั วา่ ฝา้ เหลอื งจกั มอี บุ าทว์ คนั วา่ ฝา้ นั้นขาวดัง่ อนั้ คนทง้ั หลายจักอยดู่ มี ีสุข พระจันทร์มีฝ้าหมอกเป็นเขาจักเป็นแก่สัตว์ของเล้ียงท้ังมวลแลเมื่อ ปายลูนจกั สุขแล พระจนั ทรด์ ำ� เสา้ เสยี ทง้ั มวลบห่ นั ใตฟ้ า้ จกั มภี ยั ฉบิ หายมากคา้ งคาใจนกั ชะแล พระจันทร์เป็นหลายขอบแล้วย้อยลงสองป่าง เมืองใต้ฟ้าจักมีหัวช้าง หวั ม้า ควั ช้างคัวมา้ กลวั เก๊ากนั บข่ าดชะแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชัย ทำ�ทอง 79 พระจันทร์ด�ำเสียผากน่ึงทังนอกน้ัน พ้อยมีรูปกระต่ายเผือกด่ังอ้ันบ้าน เมืองจกั เปน็ ศึกบ่คลาดชะแล พระจันทร์หมอกเปน็ ขอบด�ำชั้นนน้ั ข้าวจักแพงศึกจกั มชี ะแล พระจนั ทรก์ ลายเปน็ ขอบแดงแวดดง่ั นเ้ี คราะหเ์ กณฑจ์ กั มสี ามปรี า้ ยแทแ้ ล พระจันทรเ์ ป็นหมอกเปน็ ขอบมาง�ำอยู่ คนเมืองจกั ทกุ ขย์ ากผานใจ พระจันทร์ด�ำเสียทั้งลูกอยู่น้อยน่ึง ดาวมาเกี้ยวกันแวดอยู่ด่ังน้ีศึกจักมี ตัง้ แต่เดอื นส่ีไปฟ้าจักแล้ง รอดเดือนห้าเดอื นหกของค่าจกั แพงถึงเดือน เจด็ จักมภี ัย ถึงเดอื นแปดไฟจักไหม้ ถึงเดือนเก้าฟา้ จักแรงแดด ถงึ เดอื น สบิ จกั แพข้ องเลย้ี ง ถงึ เดอื นสบิ เอด็ เดอื นสบิ สองขา้ วจกั แพงของจกั แพงกสุ ง่ิ กอุ นั พระจันทร์เป็นรูปหนูเผือกอยู่ในเดือนเม่ือเดือนบ่เป็งเตื่อจักมีภัย เมื่อเปง็ มณฑลเตม็ แล้วบา้ นเมอื งจักดีมาอยู่สุขใจ พระจนั ทร์เปน็ รูปคนขี่มา้ ตือแส้อยใู่ นเดือนบ่ดแี ล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง80 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา พระจนั ทร์หนั เปน็ รปู คนอยใู่ นเดอื นหกหวั ปฝี นจกั ตกนกั ถงึ เมอื่ หลา้ ปจี ักรู้ ข่าวศกึ มาแล การสงั เกตลกั ษณะการเปล่ียนแปลงของดวงดาว นักขัตฤกษ์คือว่าดาวแตกเป็นห้าก่ิงดังนี้ลมจักมีมาก คนทั้งหลายจักมี เคราะห์อุบาทว์นกั จักมีชะแล ดาวออกควันออ้ มอยูด่ ัง่ นี้ บา้ นเมอื งจกั แล้งขา้ วกล้าบ่ดแี ล ดาวออกหางยาวดงั น้ีคนทั้งหลายจกั มีอุบาทว์เจบ็ ไข้มากนกั ชะแล ดาวเป็นสข่ี อบห้าขอบดงั่ นกี้ ่แดนว่าจกั แล้งถ้วนสามปีชะแล ดาวมีขนออกจดุ ้านจพุ ายด่งั น้ีคนเมืองจะได้ผัดแผกนั ชะแล ดาวขนสามลูกออกมาเรียงกันอยู่ หวั เมอื งไฟจักไหม้ชะแล ดาวเปน็ สองขอบแลว้ เป็นหางหยอ่ นลงดง่ั น้ี หางออกหนใด บ้านเมอื ง หนนน้ั จกั อยู่เปน็ สขุ ชะแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ทำ�ทอง 81 ดาวเป็นส่ีหางดั่งนี้ บ้านเมืองจักเป็นศึกคนท้ังหลายจักได้พ่ายหนีเสีย เมืองชะแล ดาวออกหางพายวนั ออก จกั แพค้ นท้งั หลายหือ้ เปน็ อุบาทว์แล ดาวเป็นรูปช้างดั่งนป้ี นี ั้นลมจักมมี ากชะแล ดาวมสี องขอบสามขอบแลว้ ตอมกนั เปน็ สามลกู ดงั่ น้ี ขา้ วจกั แพงปนุ่ สามปแี ล ดาวเปน็ หางหย่อนลงใต้ ไฟจักไหมป้ ลาอยนู่ ำ้� ก่บเ่ ย็นใจชะแล ดาวเปน็ หางตกพายใต้เรียงกันด่งั นี้จักมีศึกจา ดาวออกหางเปน็ เครือสล่ี ูกด่ังน้ีหัวบ้านหวั เมืองจักมศี กึ ชะแล ดาวด�ำเสียท้ังลูกแล้วเงาขอบนอกเหลืองนั้นบ้านเมืองบ่หมั้นบ่เท่ียงจักได้ พพุ ายชะแล
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง82 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ดาวเปน็ หางก�๊ำฟ้าด่ังนป้ี ่างตังบนพ้อยมวั อยู่จกั แล้วพอ ๑,๐๐๐ วันชะแล ดาวพายในขาวขอบนอกพอ้ ยด�ำอยดู่ ่งั นเี้ คราะหเ์ มืองมีมากชะแล ดาวเป็นขอบแล้วหมอกเปน็ ใบเปน็ แจง่ ๔๒ รับดาวสนั น้ี ผวิ ่าเป็นลายเขียว อยู่ป้างใตฝ้ นมากนกั แล ผิว่าหางอยู่พายใตแ้ พส้ ตั วอ์ ยู่เหนือแผน่ ดินแล ดาวเปน็ หางหยอ่ นลงไปใตฟ้ า้ เปน็ ดง่ั หางตงุ ดงั่ อนั้ ฟา้ จกั ผา่ แผน่ ดนิ ลกู เหบ็ ตกมาเป็นต่อมเปน็ กอ้ นกจ่ ักตกจุที่จุแหง่ ชะแล ดาวเปน็ ขอบแลว้ ออกหางยาวดั่งนข้ี ้าวจกั แพง คนทั้งหลายจกั มอี ุบาทว์ เจ็บไขม้ ากนกั แล ดาวสี่ลูกเป็นสี่แจง่ แลว้ ดาวลกู นงึ่ มาห้อยแล้วออกหางหยอ่ นลงดง่ั น้ี เม่ือ เดอื นขน้ึ บ่เป็นสงั เมอื เดอื นแรมข้าวจกั แพงชะแล ดาวสแี่ จง่ มลี กู นงึ่ เอาหางขนึ้ เมอื บนดง่ั น้ี ปรากฏในเมอื งอนั ใดเมอื งอนั นน้ั แผน่ ดนิ จกั ไหวพอห้อื แผ่นดินแตกชะแล ๔๒ มุม
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวัชชยั ทำ�ทอง 83 ดาวยายกนั ๔๓ เปน็ ถอ้ ยดง่ั นี้ แลว้ ดาวหางมาอยกู่ ลางดงั่ อน้ั อบุ าทวจ์ กั เกดิ มีนักตนทง้ั หลายจักกดั๊ ใจผานใจมากนกั ชะแล ดาวหกลูกมาลอ้ มดาวหางดั่งน้ีคนทงั้ หลายจกั อยดู่ ีมสี ขุ ตามใจชะแล ดาวหางมาออกหวา่ งกลางเครอื สามลกู ดงั่ น้ี คนทง้ั หลายจกั พากนั กนั้ อยาก มากนักแล ดาวหางออกท่ใี กลพ้ ระจนั ทรด์ ง่ั น้ี เมอื งใหญจ่ ักปูจาเมอื งน้อยชะแล ดาวหางออกผา่ กลางพระจนั ทรด์ งั่ อนั้ คนทง้ั หลายจะไดพ้ รากจากกนั ชะแล ดาวหางมาผา่ ดาวเครือสามลูก ผิวา่ เงาแดงเงาขาวศึกจักมี จักร้อนใจคน ท้ังหลายชะแล ดาวหางออกมาผ่าดาวชา้ งหลวงดังน้ี บา้ นเมืองจักมศี ึกบข่ าด ข้าวกจ่ กั แพงชะแล ดาวหางนอี้ อกพายหัวเมอื งฝนจกั ตกแล ๔๓ เรียงกนั
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง84 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ลกั ษณะดาวกระทบ (ดาวเขา้ เดือน เดือนเขา้ ดาว) - ผวิ า่ ดาว ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ดาว ๕ ลูกนเี้ ข้าเดอื นบ้านเมอื งจกั กัน้ อยาก ฟ้าฝนแล้งคนทั้งหลายลักแลมแกมโจรก่จักมีมาก บ้านเมืองต่ืนต้วง สนนั่ หวั่นไหว คนใจหาญจกั ตายมากนกั ชะแล - ผิว่าดาว ๓ มาอยู่แอ้มเดือนพายวันตก บ้านเมืองจักนันเนืองมาก เจ้าบา้ นเจา้ เมอื งจักตายชะแล - ผวิ า่ ดาว ๗ มาอยตู่ างหน้าเดอื นด่งั อนั้ หอกดาบบ่ได้ใสฝ่ กั สกั เตื่อ จัก เปน็ ศกึ บข่ าดบ้านเมอื งจกั กั้นอยากชะแล - ผวิ า่ เดอื นสเ่ี ข้าเดือนดงั อนั้ คนลกั คนโจรมีมากนกั นอกบา้ นรมิ เมอื ง จกั เสยี แล - ดาว ๕ เขา้ เดอื นดงั่ อนั้ เสนาอามาตย์ผู้ใหญ่ จักลักซือ้ ลักขาย จกั ขัด ขุนเมือง จักมีววิ าทกนั มากนักแล - ผวิ ่าดาว ๖ เข้าเดือนดัง่ อ้นั ขุนจกั ลม้ ชิงกันชะแล ทง้ั หลายฝงู กลา่ ว มานี้ กันเป็นเมือ่ เดือนขึ้นรอดเป็ง เท่าจกั มีถอ้ ยคำ� บด่ าย กนั เปน็ เมอื่ เดือนแรมบด่ ีชะแล - ผิวา่ ดาว ๗ และดาว ๓ หากเตยี วกันไปกอ่ นหนา้ เดือนดง่ั อน้ั ตั้งวนั ที่ หนั ไปปนุ่ ๖ เดอื นไปหนา้ ขนุ เมอื งทงั้ หลายจกั ไดอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ นกั แล - ผวิ า่ ดาว ๔ นน้ั ถกู เดอื นเมอื่ เดอื นเทย่ี งปนู่ เดอื นนง่ึ ขนุ เมอื งจกั มลี าภะ เป็นใหญ่กวา่ เกา่ ชะแล - ผิวา่ ดาว ๕ ไปก่อนหนา้ เดอื นดั่งอ้ัน ฝนจักตกหัวปีเมือ่ หล้าปี ๔๔ ก่เสมอกนั ดคี นทัง้ หลายจกั ได้อยู่ดมี ีสุขชะแล - ผิวา่ ดาว ๕ เขา้ เดอื นเม่ือเดือนเที่ยงดัง่ อน้ั ขนุ ผู้ใหญจ่ ักหลุจักวาย พ้นไปได้ ๗ เดือนจักเป็นอุบาทว์กัน้ อยากมากนกั ชะแล เพ่ินทอี่ ื่นจกั มาแพ้ เหยียบย�่ำคำ� รามชะแล - ผิว่าดาว ๗ มาอยพู่ ายวันตกเดือน คนบา้ นคนเมอื งทงั้ หลายจักมี ความสพั พะสวัสดีชะแล ๔๔ ทา้ ยปี
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชัย ทำ�ทอง 85 - ผิวา่ ดาว ๖ มาอยู่หนา้ เดอื นพ้นเสียเดอื นนึ่ง ต้ังเดอื นน้นั ไปได้ ๕ เดอื น เจ้าเมืองจา นางเมืองจา จักมีอุบาทว์ใหญ่บ่มคี ลาดชะแล - ยามเดือนเที่ยง ดาว ๖ ถูกเดือน ปุ่น ๒ เดือน ๓ เดือนไปหน้า เหตุการณบ์ า้ นเมืองจักมีท้าวพญา จกั ไดก้ ดั๊ อกยากใจ จกั ไดเ้ สียข้าว ของชะแล ดาว ๖ ถูกเดอื นเมอื่ เดอื นจา้ ย ไปพายหน้าป่นุ ๖ เดอื น จักมลี าภะชะแล - ดาว ๗ ถกู เดอื นปายวนั ออก ขอบบา้ นแคมเมอื ง ๔๕ จกั หยุ เนอื งนนั เจ้าเมืองจักตาย คนท้งั หลายจกั กนั้ อยาก คนโจรจกั มชี ะแล - ดาว ๗ คันถูกเดอื นเมอ่ื เทีย่ ง จกั ไดข้ ้าวของมากนัก แลดาว ๗ ถกู เดือนพายวันตก นักปราชญ์บัณฑิตจักได้อภิเษกนักฝูงเก่าจักหาย นกั ปราชญ์ใหม่จกั เข้ามาอยู่แทนชะแล - คมิ หันอตุ ตุ ดาว ๓ ถกู เดือนคนท้ังหลายจกั มศี กึ แก่กันชะแล - เหมันตอุตตุ ดาว ๗ ดาว ๓ ผ่าเข้าเดือน พ้นไป ๒ เดือนจักไดค้ วาม สวัสดี - คิมหันอตุ ตุดาว ๗ ดาว ๓ ถกู เดือนดแี ล - วสั สานะอตุ ุ ดาว ๗ ดาว ๓ ถูกเดอื นจกั เปน็ อบุ าทวใ์ หญช่ ะแล - เหมนั ตอตุ ตุดาว ๗ ดาว ๓ ถกู เดือนบ้านเมอื งจักมีอบุ าทว์ - ดาว ๕ ดาว ๖ ถูกกนั บค่ ากัน พ้น ๖ เดือนเจา้ จกั ตายแล - ดาวมาฆะมอนทราย มลู ชา้ งนอ้ ย ปลาในคำ� ดาวทบศอก ดาวตชี า้ ง นอ้ ยพายหลงั ดาวคานหามผี ฝงู นเ้ี ขา้ ถกู ในเดอื นดง่ั อนั้ ขนุ หวั ศกึ ๔๖ จักตายชะแล - ผิว่าดาววิสาขาสวนผัก กิตตกิ าดาววี ภรณดี าวก้อนเสา้ คำ� ปสุ ยะดาว ขาเปีย้ มาฆะดาวมอนทราย ๑๓ ๑๔ ปักกจรยิ ามลู ตงั กนั เขา้ เดือน ดัง่ อัน้ เหนอื แผ่นดนิ ทัง้ มวลจักยงุ่ จกั เป็นศกึ แผน่ ดินปอเปน็ ฝนุ่ ชะแล - ดาว ๕ ถกู ดาวมอนทราย และดาวสวนผัก ศึกจักมชี ะแล ๔๕ หวั เมืองชายแดน ๔๖ แม่ทัพ
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง86 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา - ดาว ๗ ถกู ดาวทบศอก ถกู ดาวควนั ไฟ ถกู ดาวมคุ าง ถกู ดาวงวงชา้ งนอ้ ย ถกู ดาวตนี ชา้ งนอ้ ย ถกู ดาวปลาในคำ� ดงั่ อนั้ บา้ นเมอื งจกั เสยี ชะแล - ดาว ๓ ถูกดาวมอนทรายถกู ดาว ช้างนอ้ ย ถกู ดาวปลาในค�ำ ถกู ดาว เรอื นหา่ ง ถูกดาวทบศอก ถกู ดาวดังวา่ มานี้ อามาตย์และผใู้ หญ่ จกั ตายมาก หอกดาบจกั ลกุ เหลอ้ื มดงั่ สายไฟบา้ นเมอื งจกั ฆา่ แทงกนั ชะแล - ดาว ๓ ถูกเดือนพายวนั ตก เมือ่ เดือนขน้ึ หาเดือนเปง็ สตั ว์อย่เู ถอ่ื น จักสบิ หายตาย - ดาว ๕ ถกู เดอื นพายวันออก ฝนจกั ตกหัวปีหล้ามี ดีดว้ ยคัวเคร่ือง ปลูก คนท้ังหลายมกั เจบ็ ท้องชะแล - ดาว ๕ ถกู เดอื นเมอื่ เดอื นเทย่ี ง บา้ นเมอื งจกั กน้ั อยากเจบ็ ไขม้ อี บุ าทวป์ นุ่ ๗ เดอื นชะแล - ดาว ๕ ถูกเดอื นเม่อื เดือนเทย่ี ง พายวันตกดั่งอั้นเจ้าใหญ่ขนุ ใหญจ่ กั ตาย ดาว ๕ ถกู คิมหนั ตก์ นั พน้ ไป ๖ เดือน ๗ เดอื น ๘ เดอื น ๙ เดือน ขนุ เมอื งหลวงจกั ตาย ดาว ๕ ถูกเม่ือเหมนั ต์กนั พ้นไป ๖ เดอื น อามาตยข์ นุ ใหญจ่ กั ไดค้ วามสวสั ดชี ะแล ถกู วสั สานะกนั พน้ ไป ๖ เดอื น นั้นจักมอี บุ าทว์ชะแล - เหมนั ตา๋ ดาว ๕ ดาว ๓ ถกู กนั กนั พน้ ไป ๖ เดอื นบา้ นใหญเ่ มอื งหลวง จักมีอุบาทว์แล - ดาวเรือนหา่ ง ดาวตอ่ ไก่ ถกู เดอื น บา้ นเมืองจักยงุ่ ชะแล - ดาววดี าวคางถกู เดอื น คนทง้ั เมอื งจกั เจบ็ ไขอ้ อกตมุ่ ออกสกุ ออกแดงชะแล - ดาวหัวเนื้อถูกเดอื นเมื่อเดือนเทีย่ งจักแพส้ ตั วส์ ีต่ นี ชะแล - ดาวไม้คานหามผี ถูกเดือน ขุนจักตายขอบบา้ นริมเมืองจักเสียชะแล - ดาว ๔ ถูกเดือนฟา้ จักแลง้ แดด กั้นอยากนัก - ดาว ๕ ถกู เดือนขุนจักได้พรากเสียเมือง - ดาว ๖ ถกู เดอื นลูกเจา้ หลานขุนจักตาย จกั ยากใจขนุ เมอื งชะแล - ดาว ๗ ถูกเดือนบ้านเมืองจกั เปน็ ภัยด้วยหอกดาบชะแล - ดาว ๗ ดาว ๔ ดาว ๕ เขา้ สามลกู น้ี เป็นคุณแก่กัน แลดาว ๓ ดาว ๔
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ทำ�ทอง 87 ดาวราหู เข้าสามลกู นยี้ ายีต่อกนั กเ่ ปน็ เหตุอนั ต่างๆ - ผิว่าดาวคุณเป็นดาวยายีส่องเหลื้อมอยู่ขุนผู้ใหญ่จักมีศึกแก่กันชะแล ผิว่าดาวคุณนนั้ แควนส่องแจง้ ดาวขนุ เมืองนางเมอื งอยู่ดี ดาวคณุ จกั แพช้ ะแล - ผิวา่ ดาวยายนี น้ั แควนสอ่ งใส ขนุ เมืองนามดาวยายีจักแพช้ ะแล - ผิวา่ ดาว ๓ ถกู ดาวขอบด้ง บ้านเมืองจกั กนั้ อยากชะแล - ดาว ๓ ถกู ดาวตนี ชา้ งนอ้ ย คนจกั กนั้ อยากใตฟ้ า้ เหนอื ดนิ นำ้� หว้ ยหนอง ร่องรู จักแห้งเส้ยี งแล คนก่จักออกสกุ ร้อนไหมเ้ ป็นพยาธชิ ะแล - ดาว ๓ ถกู ดาววีถูกดาวปลาในคำ� นำ�้ กห่ ลาย ไฟก่จกั ไหม้ - ดาว ๓ ถกู ดาวรวงข้าว ถกู ดาวงาชา้ งของปลกู บ่ดีแล กลา่ วห้องนกั ขัตฤกษ์เขา้ ถูกต้องกันกแ่ ลว้ หนหี้ ้องน่ึงกอ่ นแล ผิว่าดาววแี ฝงกันไปดัง่ น้ี ดาววีปอ้ ยเข้าเดอื น แผ่นดินก่ไหวดั่งอัน้ เป็น นมิ ิต คนทงั้ หลาย จกั มที างเจบ็ ทางไขจ้ กั มเี คราะหเ์ กณฑแ์ กเ่ หลา่ สมณะ พราหมณใ์ นวดั เดือน ๑๐ บ้านเมอื งจักยุ่งนักชะแล ผวิ า่ ดาวตอ่ ไกเ่ ขา้ เดอื น จกั เปน็ เคราะหแ์ กส่ มณะพราหมณก์ จ่ กั ตาย ชา้ ง มา้ ขนุ เมือง นางเมืองกจ่ กั ตายชะแล ผิว่าเดือนถูกดาวเรือนห่าง จักเป็นภัยคนโจรจักมีมากนัก เจ้าเมือง ขุนเมืองผูใ้ หญ่จักร้อนใจนกั ตายแล ผวิ า่ เดอื นผา่ ดาวสะเปา จกั เปน็ ภยั แกเ่ สนาอามาตย์ จกั แพช้ า้ งมา้ ปปู ลา อยู่ในน้�ำก่จักตายชะแล ผิว่าผ่าดาวห่างเรือน จักเป็นภัยแก่สมณะ พราหมณ์ยงั อาวาสจักตายแล พญากย่ ังจกั ตายบ่ครา
88 ดาราศาสตร์กับวิถีชีวิตคนล้านนา ผิว่าเดือนมาอยู่ท่ามกลางดาววีและดาวคางด่ังน้ี เมียขุนเสนาและ นางราชเทวีจกั ตาย คนเมอื งจกั กั้นอยากออกตุ่มสกุ ตุ่มใสและฝีชะแล ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ผวิ า่ เดอื นมาอยหู่ วา่ งกลางดาวตอ่ ไกแ่ ละดาวหา่ งเรอื นจกั เปน็ อบุ าทวแ์ ก่ อามาตยแ์ ละขา้ คนทง้ั หลาย - ผิวา่ ดาวสามเขา้ เดือนเม่ือเดอื นเทีย่ ง ลนู น้ันได้เดือนนึ่ง เจ้าเมืองจกั ได้ลาภ ผิวา่ ดาวนั้นอยพู่ ายหนวันออกลนู นนั้ ๖ เดอื นเจ้าเมืองจกั ได้ ความสวัสดชี ะแล ล�้ำ ๖ เดือนไปจกั มีอุบาทวอ์ อบบา้ นแคมเมืองจกั เสยี ชะแล - ผิวา่ ดาว ๔ เขา้ เดอื นฝนบ่มีหลายข้าวบ่ดี หมากเต้าหมากแตงบด่ ี คนทง้ั หลายกัน้ อยากผรี า้ ยเบียน คนทัง้ หลายจกั ตายมากนัก - ผวิ ่าดาว ๕ เข้าเดือนจกั แพ้เจา้ บ้านเจา้ เมืองจกั มีอบุ าทว์ผวิ ่าเขา้ เมื่อ เดอื นเทย่ี งบด่ แี ทแ้ ล ลนู นนั้ ไปไดป้ อ ๗ เดือนจง่ึ จกั ดมี า - ผิว่าดาว ๕ เขา้ เดือนพายวนั ออก ฝนจักดบี ัวรมวลชอุ นั ผิวา่ เข้าเข้า ทางวนั ตกเจ้าเมอื งจกั ได้ลาภอนั เปิงใจ - ดาว ๖ เขา้ เดอื นจกั ไดเ้ ปน็ ภยั ใหญแ่ กบ่ า้ นเมอื งจกั ปองแพป้ องเหลอื แล ผวิ า่ ดาว ๖ เขา้ พายวนั ออกลนู นนั้ ไดเ้ ดอื นนงึ่ นางราชเทวจี กั มรณาแล ผิว่าเข้าเดือนเท่ียงลูนน้ันไปสองเดือนขุนเมืองจักได้ลาภ กันเข้า เดอื นพายวันตกลนู นน้ั ไดน้ าน ๖ เดอื นขุนเมืองจักได้นางชะแลผวิ า่ ดาวน้ันบ่ห่อนได้หันบ่ห่อนมีแลออกมาเป็นหมู่เป็นจุมดั่งอ้ัน หรือ ออกมาหอ้ื หนั ตงั้ เดอื น ๔ ๕ ๖ ถงึ เดอื น ๑๐ ออกมาจกั หนั เหตใุ หญช่ ะแล - ผวิ ่าดาว ๗ เข้าเดอื นจักมีศึก เข้าพายวันออกจกั สบิ หายโจรแล ลูน นั้นจึ่งจักดีมา - ผวิ า่ ดาว ๓ เขา้ เดอื นเมอ่ื ฤดฝู นบา้ นเมอื งจกั เปน็ ศกึ ผวิ า่ เขา้ ฤดหู นาว
ธวัชชยั ท�ำ ทอง 89 จ่ึงอยู่สวัสดีแล - ผิวา่ ดาว ๗ ดาว ๓ เข้ากันเม่อื ฤดหู นาวจกั อยูส่ วสั ดีแล - ผิว่าดาว ๓ ดาวราหูเข้ากัน เม่ือฤดูหนาวเดือนสาม เดือนส่ี ขอบบา้ นรมิ เมืองจักตนื่ ตว้ งคัดใจจกั มศี ึกชะแล ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ดาว ๕ ดาว ๖ เขา้ กนั เมื่อเดือน ๕ ๖ ๗ ฤดรู อ้ น ขุนเมอื งผใู้ หญจ่ ักตาย ดาว ๓ ดาว ๘ ดาว ๑ ดาว ๖ สี่ลกู นีเ้ ข้ากัน ขุนเมืองจกั ถูกโทษใหญ่แล ดาว ๗ ดาว ๔ ดาว ๕ สามลูกนเ้ี ขา้ กันขนุ เมอื งจกั มโี ทษแล - ดาวยายี ๔๗ สี่ลกู ดาว คณุ สามลูก ขดเขา้ กนั จักมีศกึ - คมิ หันอตุ ุ วสั สาอตุ ุ เหมันต์อุตุ สามฤดูนกี้ นั ตะวนั ตกดาว ๖ ออกมา จักมศี กึ บ่คลาดชะแล - เมื่อวันพ้อยหันดาวสว่างใสพายวันออกเดือนใดก่ดี บ้านเมืองจัก บท่ ัดกนั แล ดาวออกเมอื่ วันพายวนั ตกจักเปน็ อบุ าทว์แล ผวิ า่ ดาว ๗ ดาว ๓ เขา้ กนั เดอื นใดกด่ ี ตะวนั กอ่ อกควนั เดอื นนนั้ แผน่ ดนิ ไหว ด่ังอ้ัน เจ้าเมืองพายหนวันออกจักปองฆ่ากันตายด้วยอุปนิขิตในใจบ่ ห้ือใผรู้ดว้ ยอุบาย ๔๗ ดาวปาปะเคราะห์
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง90 ดาราศาสตร์กบั วิถีชีวิตคนล้านนา ผวิ ่าดาว ๕ ดาว ๗ เขา้ กนั พ่อศึกใหญจ่ ักได้เป็นเจา้ ชะแล เมอ่ื โพธสิ ตั วเ์ จา้ ไดเ้ ปน็ เชสกุ มุ าร วนั นน้ั ดาว ๕ ดาว ๓ และเดอื นออกแฟกนั ๔๘ ตะวันกอ่ อกควัน พทุ ธรปู เจ้าก่ออกเหงอ่ื เจ้าเชสุกมุ ารไดเ้ ป็นหัวเสกิ แลว้ พอ้ ยตายเลา่ แล ก่เหตุวา่ ดาว ๓ และดาว ๕ เข้ากนั กบั เดอื นน้นั แล ตะวนั ออกควัน พระพุทธรูปเจา้ ออกเหงอื่ นัน้ แล - ในเมอ่ื พญาอาภยั ทฏุ ะตายวันนนั้ อรหนั ตากเ่ ข้ามาเมอื ง ผยี กั กม่ ารอ้ งมาหดื ดาว ๓ กเ่ ข้าเดือนเกณฑ์เดือนกถ่ ูกอนั เดยี วกัน ดาวอยฟู่ ้ากม่ าหากนั หนใต้ เมอ่ื พญา อาภัยตายวนั น้นั แล ตะวันออกควัน ตะวนั ออกควนั วนั ๑ คันหนั เมอื่ จา้ ย ๔๙ เจ้าอยู่พายวนั ออกจักตาย ตะวนั ออกควนั วนั ๒ หนพายวันตกเจา้ เมอื งจกั พรากทอี่ ยู่ท่ีกิน ตะวนั ออกควันวัน ๓ บา้ นเมืองใดอยูใ่ กล้แม่นำ�้ ใหญจ่ ักเปน็ อบุ าทว์เจบ็ ไข้ ตะวันออกควนั วัน ๔ คนผ้มู ัง่ มเี ป็นสะค่วยเศรษฐีจกั มีอุบาทว์ ๔๘ ออกคขู่ นานกัน ๔๙ ชว่ งเวลาบา่ ย
ํสา ันกศิลปะและ ัวฒนธรรม มหาวิทยาลัยราช ัภฏ ํลาปาง ธวชั ชยั ทำ�ทอง 91 ตะวนั ออกควนั วนั ๕ เจา้ เมอื งจกั ไดล้ าภสกั การ แกว้ แหวนชา้ งมา้ เงนิ คำ� ชะแล ตะวนั ออกควนั วนั ๖ เจา้ เมืองจักอยชู่ มุ่ เยน็ ได้นางอันประเสรฐิ ตะวนั ออกควันวัน ๗ ผืนดนิ จกั ไหวฝนห่าใหญ่จกั ตก การสังเกตดาวควนั ๕๐ หนั ดาวควนั พายวันออกผูน้ อ้ ยจักปองเจา้ เมอื งหอื้ ตาย หนั ดาวควนั พงุ่ ข้นึ เมือเหนอื บา้ นเมืองใหญจ่ กั เสียชะแล หันดาวควันพายใตเ้ มอื ง เจ้าเมอื งอายบุ ย่ นื หนั ดาวควนั พายวนั ตก จกั มศี กึ มเี สอื ผเู้ ปน็ ขนุ จกั เอากนั เปน็ กนั ฟน้ื เจา้ เมอื ง ๕๑ หันดาวควัน พายหวั เมือง เจ้าเมืองจกั อยดู่ มี สี ขุ มีอายมุ น่ั ยืนยาวกวา่ คน ทง้ั หลายจะบัวระมวลดว้ ยปัจจัยทั้งส่ี ๕๐ ดาวหาง หรอื มลี ักษณะดัง่ เปลวควนั ๕๑ ก่อกบฏตอ่ เจา้ เมือง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250