แผนการจดั การเรียนรู้ หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ จดั ทาโดย นางสาวนวรตั น์ สขุ สอน ครูอาสาสมัคร สานักงานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอพระนครศรีอยธุ ยา
โครงสร้างหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขน้ั พืน้ พุทธศกั ราช 2551 ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ กศน.อาเภอพระนครศรีอยุธยา สานักงาน กศน. จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ที่ สาระการเรียนรู้ จานวนหน่วยกติ 1 ทกั ษะการเรียนรู้ วชิ าบงั คบั วชิ าเลอื ก 2 ความร้พู ื้นฐาน 3 การประกอบอาชีพ 54 4 ทักษะการดาเนนิ ชวี ติ 5 การพัฒนาสงั คม 16 6 รวม 86 กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต 5 6 40 16 56 200 ช่ัวโมง หมายเหตุ วชิ าเลือกจดั ใหผ้ ู้เรยี นเรียนร้จู ากการทาโครงงาน จานวนอยา่ งนอ้ ย 3 หนว่ ยกติ
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ คุณค่าเกย่ี วกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะคุณคา่ เก่ียวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2.ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายธรรมชาติและความสาคญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี . 2. อธิบายทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ท้งั 13 ทกั ษะได้ 3.อธิบายกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ท้งั 5 ข้นั ตอนได้ . 4. นาความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใชแ้ กป้ ัญหาตา่ งๆได้ 3.สาระสาคญั วทิ ยาศาสตร์เป็นเร่ืองของการเรียนรู้เก่ียวกบั ธรรมชาติ มนุษยใ์ ชท้ กั ษะตา่ งๆสารวจและ ตรวจสอบ ทดลองเกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาผลท่ีไดม้ าจดั ใหเ้ ป็ นระบบและต้งั ข้ึน เป็นทฤษฎี ในการดาเนินการหาคาตอบเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงจะตอ้ งใชท้ กั ษะทางวทิ ยาศาสตร์แลว้ คาตอบจะตอ้ งกาหนดข้นั ตอนอยา่ งเป็นระบบต้งั แตต่ น้ จนจบเรียกลาดบั ข้นั ตอนน้ีวา่ กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ 4.สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 1. กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสาคญั ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.2 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2.1 วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ 5 ข้นั 1.2.2 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 13 ทกั ษะ 1.2.3 เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ 2. เทคโนโลยี 2.1 ความหมาย และความสมั พนั ธ์ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยตี ่อชีวิตและสงั คม 2.2 ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยใี นปัจจุบนั 2.3 เทคโนโลยกี บั การประกอบอาชีพ และการนาเทคโนโลยไี ปใชใ้ นชีวติ
3. วสั ดุ และอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ 3.1 ประเภทของวสั ดุและอุปกรณ์ 3.2 วธิ ีใชว้ สั ดุ และอุปกรณ์ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายธรรมชาติและความสาคญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ด้ 2. อธิบายกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์และเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ได้ 3. นาความรู้ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใชแ้ กป้ ัญหาตา่ งๆ ได้ 4. อธิบายความหมาย ความสาคญั และความสมั พนั ธ์ของเทคโนโลยตี อ่ ชีวิต และสังคมได้ 5. นาความรู้ และเลือกใชเ้ ทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งเหมาะสม 6. เลือกใชว้ สั ดุ และอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม 7. เกิดเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 8. มีจิตวทิ ยาศาสตร์ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 สนทนากบั ผเู้ รียนเกี่ยวกบั พ้ืนฐานในหวั ขอ้ ท่ีจะเรียนของผเู้ รียน ข้นั ท่ี 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.2 ใหน้ กั ศึกษาลองมองดูรอบๆตวั แลว้ จงบอกวา่ สิ่งใดที่เป็นธรรมชาติ ส่ิงใดที่เป็น วทิ ยาศาสตร์ ส่ิงใดเป็ นเทคโนโลยี 6.3 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็น 4 กลุ่ม ครูแจกใบงานใหแ้ ตล่ ะกลุ่มอภิปรายในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี . กลุ่มท่ี 1 อภิปราย เรื่องธรรมชาติ กลุ่มท่ี 2 อธิบายเร่ือง วทิ ยาศาสตร์ . กลุ่มที่ 3 อธิบายเรื่อง เทคโนโลยี . กลุ่มท่ี 4 บอกวธิ ีการนาวทิ ยาศาสตร์ใชแ้ กป้ ัญหาต่างๆ 6.4 ครูใหผ้ เู้ รียนช่วยกนั สรุปเน้ือในเรื่องอภิปรายร่วมกนั ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัติและการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.5 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็ น 4 กลุ่ม ให้ร่วมกนั แลกเปล่ียนเรียนรู้ศึกษาใบความรู้ แลว้ ทา กิจกรรมในใบงาน
6.6 ผเู้ รียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั สรุปกิจกรรมจากหวั ขอ้ อภิปรายท่ีแตล่ ะกลุ่มไดร้ ับ ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7 ประเมินจากการสงั เกต การอภิปราย การสมั ภาษณ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการ ทดลอง การมีส่ วนร วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงานการทดสอบการประเมินการนาไปใช้ ประโยชน์ ในชีวติ ประจาวนั 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เติมดงั นี้ 7.1 ธรรมชาติและความสาคญั ของวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7.2 ความหมาย ความสาคญั และความสมั พนั ธ์ของเทคโนโลยตี ่อชีวติ และสังคม 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 8.3 ใบความรู้ 9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การรายงาน
ใบความรู้ เร่ือง ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์และทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์เป็นเร่ืองของการเรียนรู้เกี่ยวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสังเกต สารวจ ตรวจสอบ ทดลองเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และนาผลมาจดั เป็ นระบบหลกั การ แนวคิดและทฤษฎีแนวคิดและทฤษฎี ดงั น้นั ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จึงเป็นการปฏิบตั ิเพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงคาตอบในขอ้ สงสัยหรือขอ้ สมมติฐานต่าง ๆ ของมนุษยต์ ้งั ไว้ ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. การสงั เกตเป็นวธิ ีการไดม้ าของขอ้ สงสัย รับรู้ขอ้ มูล พจิ ารณาขอ้ มูลจากปรากฏการณ์ทาง ธรรมชาติที่เกิดข้ึน 2. ต้งั สมมติฐานเป็นการการระดมความคิด สรุปสิ่งที่คาดวา่ จะเป็นคาตอบของปัญหาหรือขอ้ สงสยั น้นั ๆ 3. ออกแบบการทดลองเพ่ือศึกษาผลของตวั แปรท่ีตอ้ งศึกษาโดยควบคุมตวั แปรอ่ืน ๆ ที่อาจมี ผลตอ่ ตวั แปรท่ีตอ้ งการศึกษา 4. ดาเนินการทดลองเป็นการจกั กระทากบั ตวั แปรที่กาหนดซ่ึงไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรที่ตอ้ งควบคุม 5. รวบรวมขอ้ มูลเป็นการบนั ทึกรวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาของตวั แปร ที่กาหนด 6. แปลและสรุปผลการทดลอง ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบด้วย 13 ทักษะ ดงั นี้ 1. ทกั ษะข้นั มูลฐาน 8 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ 1.1 ทกั ษะการสังเกต ( Observing ) 1.2 ทกั ษะการวดั ( Measuring ) 1.3 ทกั ษะการจาแนกหรือทกั ษะการจดั ประเภทสิ่งของ ( Classifying ) 1.4 ทกั ษะการใชค้ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งสเปสกบั เวลา( Using Space/Relationship ) 1.5 ทกั ษะการคานวณและการใชจ้ านวน ( Using Numbers )
1.6 ทกั ษะการจดั กระทาและส่ือความหมายขอ้ มูล ( Communication ) 1.7 ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล ( Inferring ) 1.8 ทกั ษะการพยากรณ์ ( Predicting ) 2. ทกั ษะข้นั สูงหรือทกั ษะข้นั ผสม 5 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ 2.1 ทกั ษะการต้งั สมมุติฐาน ( Formulating Hypothesis ) 2.2 ทกั ษะการควบคุมตวั แปร ( Controlling Variables ) 2.3 ทกั ษะการตีความและลงขอ้ สรุป ( Interpreting data ) 2.4 ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ ( Defining Operationally ) 2.5 ทกั ษะการทดลอง ( Experimenting ) รายละเอยี ดทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ท้งั 13 ทกั ษะ มีรายละเอยี ดโดยสรุปดังนี้ ทกั ษะการสังเกต (Observing) หมายถึง การใชป้ ระสาทสัมผสั ท้งั 5 ในการสงั เกต ไดแ้ ก่ ใช้ ตาดูรูปร่าง ใชห้ ูฟังเสียง ใชล้ ิ้นชิมรส ใชจ้ มูกดมกล่ิน และใชผ้ ิวกายสัมผสั ความร้อนเยน็ หรือใชม้ ือ จบั ตอ้ งความอ่อนแขง็ เป็นตน้ การใชป้ ระสาทสัมผสั เหล่าน้ีจะใชท้ ีละอยา่ งหรือหลายอยา่ งพร้อมกนั เพอื่ รวบรวมขอ้ มูลกไ็ ดโ้ ดยไม่เพ่ิมความคิดเห็นของผสู้ งั เกตลงไป ทักษะการวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกและการใช้เคร่ืองมือวดั ปริมาณของส่ิงของ ออกมาเป็ นตวั เลขที่แน่นอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และถูกตอ้ งโดยมีหน่วยกากบั เสมอในการวดั เพ่ือหา ปริมาณของส่ิงที่วดั ตอ้ งฝึ กให้ผูเ้ รียนหาคาตอบ 4 ค่า คือ จะวดั อะไร วดั ทาไม ใชเ้ ครื่องมืออะไรวดั และจะวดั ไดอ้ ยา่ งไร ทักษะการจาแนกหรือทักษะการจัดประเภทส่ิงของ (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวก หรือการเรียงลาดบั วตั ถุ หรือสิ่งท่ีอยใู่ นปรากฏการณ์โดยการหาเกณฑห์ รือสร้างเกณฑใ์ นการจาแนก ประเภท ซ่ึงอาจใชเ้ กณฑค์ วามเหมือนกนั ความแตกต่างกนั หรือความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ก็ได้ ซ่ึงแลว้ แต่ผเู้ รียนจะเลือกใชเ้ กณฑใ์ ด นอกจากน้ีควรสร้างความคิดรวบยอดใหเ้ กิดข้ึนดว้ ยวา่ ของ กลุ่มเดียวกนั น้นั อาจแบ่งออกไดห้ ลายประเภท ท้งั น้ีข้ึนอยูก่ บั เกณฑท์ ี่เลือกใช้ และวตั ถุชิ้นหน่ึงใน เวลาเดียวกนั จะตอ้ งอยเู่ พียงประเภทเดียวทา่ น้นั ทักษะการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา (Using Space/Relationship) หมายถึง การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งมิติต่างๆ ที่เก่ียวกบั สถานท่ี รูปทรง ทิศทาง ระยะทาง พ้ืนท่ี เวลา ฯลฯ เช่น การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง สเปสกบั สเปส คือ การหารูปร่างของวตั ถุโดยสังเกตจากเงาของ วตั ถุ เมื่อใหแ้ สงตกกระทบวตั ถุในมุมตา่ งๆกนั ฯลฯ การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง เวลากบั เวลา เช่น การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งจงั หวะการแกวง่ ของลูกตุม้ นาฬิกากบั จงั หวะการเตน้ ของชีพจร ฯลฯ การหาความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง สเปสกบั เวลา เช่น การหาตาแหน่งขอวตั ถุที่เคลื่อนท่ีไปเมื่อเวลา เปลี่ยนไป ฯลฯ
ทกั ษะการคานวณและการใช้จานวน (Using Numbers) หมายถึง การนาเอาจานวนที่ไดจ้ าก การวดั การสังเกต และการทดลองมาจดั กระทาให้เกิดค่าใหม่ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร การหา คา่ เฉลี่ย การหาค่าต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ เพือ่ นาค่าท่ีไดจ้ ากการคานวณ ไปใชป้ ระโยชน์ในการแปล ความหมาย และการลงขอ้ สรุป ซ่ึงในทางวทิ ยาศาสตร์เราตอ้ งใชต้ วั เลขอยตู่ ลอดเวลา เช่น การอ่าน เทอร์โมมิเตอร์ การตวงสารต่าง ๆ เป็นตน้ ทักษะการจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึงการนาเอาขอ้ มูล ซ่ึงไดม้ าจากการสังเกต การทดลอง ฯลฯ มาจดั กระทาเสียใหม่ เช่น นามาจดั เรียงลาดบั หาค่าความถี่ แยกประเภท คานวณหาค่าใหม่ นามาจัดเสนอในรูปแบบใหม่ ตวั อย่างเช่น กราฟ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร ฯลฯ การนาข้อมูลอย่างใดอย่างหน่ึง หรือหลาย ๆ อย่างเช่นน้ีเรียกว่า การสื่อ ความหมายขอ้ มูล ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับ ขอ้ มูลท่ีมีอยู่อยา่ งมีเหตุผลโดยอาศยั ความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ขอ้ มูลอาจจะไดจ้ ากการ สังเกต การวดั การทดลอง การลงความเห็นจากขอ้ มูลเดียวกนั อาจลงความเห็นไดห้ ลายอยา่ ง ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนหาคาตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศยั ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสังเกต การวดั รวมไปถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปรท่ีไดศ้ ึกษามาแลว้ หรืออาศยั ประสบการณ์ท่ีเกิดซ้า ๆ ทักษะการต้ังสมมุติฐาน (Formulating Hypothesis) หมายถึง การคิดหาค่าคาตอบล่วงหน้า ก่อนจะทาการทดลอง โดยอาศยั การสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิมเป็ นพ้ืนฐาน คาตอบที่คิด ล่วงหน้ายงั ไม่เป็ นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน คาตอบท่ีคิดไวล้ ่วงหน้าน้ี มกั กล่าวไวเ้ ป็ น ขอ้ ความท่ีบอกความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตามเช่น ถา้ แมลงวนั ไปไข่บนกอ้ นเน้ือ หรือขยะเปี ยกแลว้ จะทาใหเ้ กิดตวั หนอน ทกั ษะการควบคุมตัวแปร (Controlling Variables) หมายถึงการควบคุมส่ิงอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตวั แปรอิสระ ที่จะทาให้ผลการทดลองคลาดเคล่ือน ถา้ หากว่าไม่ควบคุมให้เหมือนๆกนั และเป็ นการ ป้องกนั เพื่อมิใหม้ ีขอ้ โตแ้ ยง้ ขอ้ ผดิ พลาดหรือตดั ความไม่น่าเชื่อถือออกไป ตวั แปรแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ตวั แปรอิสระหรือตวั แปรตน้ 2. ตวั แปรตาม 3. ตวั แปรที่ตอ้ งควบคุม ทกั ษะการตคี วามและลงข้อสรุป ( Interpreting data ) ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของลกั ษณะตาราง รูปภาพ กราฟ ฯลฯ การนา ขอ้ มูลไปใชจ้ ึงจาเป็นตอ้ งตีความใหส้ ะดวกที่จะส่ือความหมายไดถ้ ูกตอ้ งและเขา้ ใจตรงกนั การตคี วามหมายข้อมูล คือ การบรรยายลกั ษณะและคุณสมบตั ิ
การลงข้อสรุป คือ การบอกความสัมพนั ธ์ของขอ้ มูลที่มีอยู่ เช่น ถา้ ความดนั นอ้ ย น้าจะเดือด ท่ี อุณหภูมิต่าหรือน้าจะเดือดเร็ว ถา้ ความดนั มากน้าจะเดือดที่อุณหภูมิสูงหรือน้าจะเดือดชา้ ลง ทักษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining Operationally) หมายถึง การกาหนด ความหมาย และขอบเขตของคาต่าง ๆที่มีอยใู่ นสมมุติฐานท่ีจะทดลองให้มีความรัดกุม เป็ นที่เขา้ ใจ ตรงกนั และสามารถสังเกตและวดั ได้ เช่น “การเจริญเติบโต” หมายความว่าอย่างไร ตอ้ งกาหนด นิยามใหช้ ดั เจน เช่น การเจริญเติบโดหมายถึง มีความสูงเพิ่มข้ึน เป็นตน้ ทักษะการทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบตั ิการโดยใชท้ กั ษะต่าง ๆ เช่น การสงั เกต การวดั การพยากรณ์ การต้งั สมมุติฐาน ฯลฯ มาใชร้ ่วมกนั เพ่ือหาคาตอบ หรือทดลอง สมมุติฐานที่ต้งั ไว้ ซ่ึงประกอบดว้ ยกิจกรรม 3 ข้นั ตอน 1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏิบตั ิการทดลอง 3. การบนั ทึกผลการทดลอง การใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ แสวงหาความรู้ หรือแกป้ ัญหาอย่างส่าเสมอ ช่วยพฒั นา ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือผลิตภณั ฑ์ทางวิทยาศาสตร์ เกิดผลผลิตหรือ ผลิตภณั ฑท์ างวทิ ยาศาสตร์ ท่ีแปลกใหม่ และมีคุณคา่ ตอ่ การดารงชีวติ ของมนุษยม์ ากข้ึน คุณลกั ษณะของบุคคลทมี่ ีจิตวทิ ยาศาสตร์ 6 ลกั ษณะ 1. เป็นคนที่มีเหตุผล 1) จะตอ้ งเป็นคนท่ียอมรับ และเชื่อในความสาคญั ของเหตุผล 2) ไม่เชื่อโชคลาง คาทานาย หรือส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิตา่ ง ๆ 3) คน้ หาสาเหตุของปัญหาหรือเหตุการณ์และหาความสมั พนั ธ์ของสาเหตุกบั ผลท่ีเกิดข้ึน 4) ตอ้ งเป็ นบุคคลท่ีสนใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน และจะตอ้ งเป็ นบุคคลที่พยายามคน้ หา คาตอบวา่ ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ น้นั เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร และทาไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นน้นั 2. เป็นคนที่มีความอยากรู้อยากเห็น 1) มีความพยายามที่จะเสาะแสวงหาความรู้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 2) ตระหนกั ถึงความสาคญั ของการแสวงหาขอ้ มูลเพ่ิมเติมเสมอ 3) จะตอ้ งเป็นบุคคลที่ชอบซกั ถาม คน้ หาความรู้โดยวธิ ีการต่าง ๆ อยเู่ สมอ 3. เป็นบุคคลที่มีใจกวา้ ง 1) เป็นบุคคลท่ีกลา้ ยอมรับการวพิ ากษว์ จิ ารณ์จากบุคคลอื่น 2) เป็นบุคคลท่ีจะรับรู้และยอมรับความคิดเห็นใหม่ ๆ อยเู่ สมอ 3) เป็นบุคคลที่เตม็ ใจท่ีจะเผยแพร่ความรู้และความคิดให้แก่บุคคลอื่น 4) ตระหนกั และยอมรับขอ้ จากดั ของความรู้ท่ีคน้ พบในปัจจุบนั 4. เป็นบุคคลท่ีมีความซื่อสตั ย์ และมีใจเป็นกลาง
1) เป็นบุคคลที่มีความซ่ือตรง อดทน ยตุ ิธรรม และละเอียดรอบคอบ 2) เป็นบุคคลท่ีมีความมน่ั คง หนกั แน่นต่อผลท่ีไดจ้ ากการพสิ ูจน์ 3) สังเกตและบนั ทึกผลตา่ ง ๆ อยา่ งตรงไปตรงมา ไมล่ าเอียง และมีอคติ 5. มีความเพียรพยายาม 1) ทากิจกรรมที่ไดร้ ับมอบหมายใหเ้ สร็จสมบูรณ์ 2) ไม่ทอ้ ถอยเมื่อผลการทดลองลม้ เหลว หรือมีอุปสรรค 3) มีความต้งั ใจแน่วแน่ต่อการคน้ หาความรู้ 6. มีความละเอียดรอบคอบ 1) รู้จกั ใชว้ จิ ารณญาณก่อนที่จะตดั สินใจใด ๆ 2) ไมย่ อมรับส่ิงหน่ึงส่ิงใดจนกวา่ จะมีการพิสูจนท์ ่ีเช่ือถือได้ 3) หลีกเล่ียงการตดั สินใจ และการสรุปผลท่ียงั ไมม่ ีการวเิ คราะห์แลว้ เป็ นอยา่ งดี
ใบงาน เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ 2. แบ่งกลุ่มและร่วมกนั อภิปราย สรุป 6 คุณลกั ษณะของบุคคลท่ีมีจิตวทิ ยาศาสตร์ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................
เฉลยแบบฝึ กหดั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี คาตอบ 1. เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสงั เกต สารวจ ตรวจสอบ ทดลองเกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนาผลมาจดั เป็นระบบ หลกั การ แนวคิดและทฤษฎี ดงั น้นั ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ จึงเป็นการปฏิบตั ิเพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงคาตอบ ขอ้ สงสัย หรือขอ้ สมมติฐานตา่ งๆที่มนุษยต์ ้งั ไว้ 2. (1) การสังเกต เป็นวธิ ีการไดม้ าของขอ้ สงสยั รับรู้ขอ้ มูล พจิ ารณาขอ้ มูล จากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติท่ี เกิดข้ึน (2) ต้งั สมมติฐาน เป็ นการระดมความคิด สรุปส่ิงที่คาดวา่ จะเป็นคาตอบของปัญหา ขอ้ สงสัยน้นั (3) ออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตวั แปรที่ตอ้ งศึกษา โดยควบคุมตวั แปรอ่ืนๆท่ีอาจจะมีผลต่อตวั แปรที่ตอ้ งการศึกษา (4) ดาเนินการทดลองเป็ นการจดั กระทาตวั แปรที่กาหนด ไดแ้ ก่ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรที่ตอ้ ง ควบคุม (5) รวบรวมขอ้ มูล เป็นการบนั ทึก รวบรวมผลการทดลองหรือผลจากการกระทาของตวั แปรท่ีกาหนด (6) แปรและสรุปผลการทดลอง
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ ลกั ษณะ โครงสร้าง องค์ประกอบ และหน้าทขี่ องเซลล์ รหัสวชิ า พว. 21001 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 เร่ือง ส่ิงมีชีวติ และสิ่งแวดล้อม ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ ลกั ษณะ โครงสร้าง องคป์ ระกอบ และหนา้ ที่ของเซลล์ 2.ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. อธิบายลกั ษณะโครงสร้าง องคป์ ระกอบและหนา้ ที่ของเซลลไ์ ด้ . 2. เปรียบเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ัตวไ์ ด้ 3.สาระสาคญั ลกั ษณะรูปร่างของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั ว์ องคป์ ระกอบโครงสร้างและหนา้ ท่ีของเซลล์ พืชและเซลลส์ ตั ว์ กระบวนการท่ีผา่ นเซลล์ 4.สาระการรียนรู้/เนื้อหา 1. ลกั ษณะรูปร่างของเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ 1.1 ส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดียว 1.2 สิ่งมีชีวติ หลายเซลล์ 2. องคป์ ระกอบโครงสร้างและหนา้ ท่ีของเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ัตว์ 3. กระบวนการที่สารผา่ นเซลล์ 3.1 การแพร่ 3.2 ออสโมซิส 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายลกั ษณะ โครงสร้าง องคป์ ระกอบ และหนา้ ที่ของเซลลไ์ ด้ 2. เปรียบเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ตั วไ์ ด้
6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 การนาเขา้ สู่บทเรียน . - สนทนากบั ผเู้ รียนเก่ียวกบั พ้นื ฐานในหวั ขอ้ ที่จะเรียนของผเู้ รียน ข้นั ท่ี 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.2 เขา้ สู่เน้ือหาใหน้ กั ศึกษาเรียนรู้ความหมายของเซลลพ์ ชื เซลลส์ ัตว์ 6.3 แบง่ นกั ศึกษาออกเป็น 4 กลุ่ม ครูแจกใบงานใหแ้ ตล่ ะกลุ่มอภิปรายในหวั ขอ้ ต่อไปน้ี . กลุ่มท่ี 1 อภิปรายความหมายสิ่งมีชีวติ เซลลเ์ ดียว . กลุ่มที่ 2 อภิปรายความหมายสิ่งมีชีวติ หลายเซลล์ . กลุ่มท่ี 3 อธิบายโครงสร้างหนา้ ท่ีของเซลลพ์ ืช . กลุ่มที่ 4 อภิปรายโครงสร้างหนา้ ที่ของเซลลส์ ตั ว์ 6.4 ครูใหผ้ เู้ รียนช่วยกนั สรุปเน้ือในเรื่องอภิปรายร่วมกนั ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 6.5 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็ น 4 กลุ่ม ให้ร่วมกนั แลกเปล่ียนเรียนรู้ศึกษาใบความรู้ แลว้ ทา กิจกรรมในใบงาน 6.6 ผเู้ รียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั สรุปกิจกรรมจากหวั ขอ้ อภิปรายที่แต่ละกลุ่มไดร้ ับ ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7 ประเมินจากการสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการทดลอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพมิ่ เติมดงั นี้ 7.1 ลกั ษณะรูปร่างของเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ัตว์ 7.2 องคป์ ระกอบโครงสร้างและหนา้ ที่ของเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั ว์ 7.3 กระบวนการท่ีสารผา่ นเซลล์ 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 8.3ใบความรู้
9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เคร่ืองมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การรายงาน
ใบความรู้ เรื่อง เซลล์และทฤษฏีเซลล์ (Cell and cell theory) เซลลเ์ ป็นหน่วยโครงสร้างพ้นื ฐานของส่ิงมีชีวติ ท่ีเลก็ ที่สุดของสิ่งมีชีวติ เซลลร์ วมกนั เป็ นเน้ือเยอ่ื เน้ือเยอื่ รวมกนั เป็ นอวยั วะ สิ่งมีชีวติ บางชนิดมีเพยี ง เซลลเ์ ดียว บางชนิดมีหลายเซลล์ เซลลข์ องส่ิงมีชีวติ มีรูปร่าง ขนาด และโครงสร้างแตกต่างกนั พ.ศ. 2381 มัตทอิ สั ชไลเดน นกั พฤกษศาสตร์ชาวเยอรมนั คน้ พบวา่ พชื เป็นสิ่งมีชีวติ ท่ีมีหลายเซลล์ พ.ศ. 2382 เทโอดอร์ ชวนั น์ นกั สตั วว์ ทิ ยาชาวเยอรมนั คน้ พบวา่ สัตวท์ ้งั หลายมีเซลลเ์ ป็นองคป์ ระกอบ ท้งั 2 คน จึงร่วมกนั ก่อต้งั ทฤษฎเี ซลล์์ (Cell theory) มีใจความวา่ ส่ิงมีชีวติ ท้งั หลายประกอบด้วยเซลล์ และเซลล์คือหน่วยพืน้ ฐานของสิ่งมีชีวติ ทุกชนิด ความสาคญั ของทฤษฎเี ซลล์ 1. สิ่งมีชีวติ ท้งั หลายอาจมีเซลลเ์ ดียวหรือหลายเซลล์ ซ่ึงภายในมีสารพนั ธุกรรมและ กระบวนการแมแทบอลิซึมทาใหเ้ ซลลด์ ารงชีวติ อยไู่ ด้ 2. เซลลเ์ ป็นหน่วยพ้ืนฐานท่ีเลก็ ท่ีสุดของสิ่งมีชีวติ ที่มีการจดั ระบบการทางานภายในโครงสร้างของเซลล์ 3. เซลลม์ ีกาเนิดมาจากเซลลแ์ รกเริ่ม เซลลเ์ กิดจากการแบง่ ตวั ของเซลลเ์ ดิม แมว้ า่ ชีวติ แรกเร่ิมจะมีววิ ฒั นาการมาจาก ส่ิงไม่มีชีวติ แตน่ กั ชีววทิ ยายงั คงถือวา่ การเพ่ิมข้ึนของ จานวนเซลลเ์ ป็นผลสืบเนื่องมาจากเซลลร์ ุ่นก่อน เซลลม์ ีส่วนท่ีเหมือนกนั คือ เย่ือหุ้มเซลล์ ไซโทพลา ซึม นิวเคลยี ส ในไซโทพลาซึมมีโครงสร้างขนาดเลก็ ทาหนา้ ท่ีเฉพาะอยา่ ง คือ ออร์แกเนลล์ (organelle) ออร์แกเนลลม์ ีหลายชนิด ซ่ึงมี รูปร่าง จานวน และหนา้ ที่ต่างกนั ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของเซลล์ โครงสร้างพ้ืนฐาน ของเซลลแ์ บง่ เป็น 3 ส่วน คือ นิวเคลยี ส ไซโทพลาซึม และส่วนทหี่ ่อหุ้มเซลล์ ส่ิงมีชีวติ และชีวติ พืช
พชื สัตว์ มนุษย์ จะมีโครงสร้างพ้นื ฐานเล็ก ๆ เพื่อจะก่อใหเ้ กิดลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิด โดย โครงสร้างเลก็ ๆ น้นั จะมารวมกนั มีกิจกรรมตา่ งๆร่วมกนั จนก่อใหเ้ กิดลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ ตา่ งๆ โครงสร้าง ที่กล่าวถึงน้ีจดั วา่ มี ขนาดเลก็ ท่ีสุด ซ่ึงเราเรียกวา่ เซลล์ (cell) เซลลเ์ ป็นหน่วยที่เลก็ ที่สุดของส่ิงมีชีวติ เซลล์ ของส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดมีรูปร่างลกั ษณะขอบเขต และโครงสร้างของเซลล์ ซ่ึงโครงสร้างบางส่วน จะสามารถ ระบุไดว้ า่ เซลลน์ ้นั เป็ นลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ ชนิดใด ส่ วนประกอบของเซลล์พืช ผนงั เซลล(์ Cell wall)เป็นส่วนที่อยนู่ อกสุดของเซลลพ์ ืช ประกอบดว้ ยสสารพวกเซลลูโลสทา หนา้ ที่เสริมสร้างความแขง็ แรงใหแ้ ก่เซลลพ์ ชื เยอ่ื หุม้ เซลล์ (cell Membrane) เป็นเย่อื บาง ๆ ทาหนา้ ที่ควบคุมการผา่ นเขา้ ออกของสาร เช่น น้า อากาศ และ สารละลายตา่ ง ๆระหวา่ งภายนอกเซลลก์ บั ภายในเซลล์ ไซโทรพลาสซึม (Cytoplasm) เป็นของเหลวภายในเซลลท์ ่ีไหลไปมาได้ มีสิ่งมีชีวติ ตา่ ง ๆ ปนอยเู่ ช่น ส่วนประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ อาหารก๊าซ และของเสียตา่ งๆ โดยทว่ั ไป เซลลส์ ตั วจ์ ะมีรูปร่าง ลกั ษณะ แตกตา่ งไปตามชนิดของอวยั วะ แต่จะมีลกั ษณะร่วมกนั ดงั น้ี เยอื่ หุม้ เซลล์ ไซโทพลาสซึม นิวเคลียส ในเซลล์ สัตวจ์ ะไมพ่ บผนงั เซลลแ์ ละคลอโรพลาสต์ โครงสร้างของเซลล์ เซลล์พืช เซลล์สัตว์ ผนงั เซลล์ เยอื่ หุม้ เซลล์ ไซโทพลาสซึมคลอ โรพลาสต์ นิวเคลียส พชื สัตวแ์ ละสิ่งมีชีวติ อ่ืน ๆ ต่างประกอบไปดว้ ยเซลลห์ ลาย ๆ เซลลท์ ่ีมารวมกนั และทาหนา้ ที่ร่วมกนั กล่าวคือ การรวมกนั ของเซลล์ ก่อใหเ้ กิดเน้ือเยอื่ หลายเน้ือเยื่อรวมกนั ก่อใหเ้ กิดอวยั วะ หลายอวยั วะรวมกนั ก่อให้เกิดระบบอวยั วะและ ร่างกายของสิ่งมีชีวติ แต่ละชนิด สิ่งมีชีวติ ท่ีมีลกั ษณะดงั กล่าวมาน้ีเรียกวา่ ส่ิงมีชีวติ หลายเซลล์ เช่น พชื สตั ว์ มนุษย์ แต่สิ่งมีชีวติ บางชนิดท่ีมีเพียงเซลลเ์ ดียวแลว้ สามารถดารงชีวติ มีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การกินอาหาร สืบพนั ธุ์ ขบั ถ่ายและเคลื่อนท่ีได้ เรียกส่ิงมีชีวติ ชนิดน้ีวา่ สิ่งมีชีวติ เซลลเ์ ดียว เช่นแบคทีเรีย อะมีบา พารามี เซียม เซลล์พืช vs เซลล์สัตว์
ตารางเปรียบเทยี บความแตกต่างระหว่างเซลล์แต่ละชนิด โพรคาริโอต ยูคาริโอต พืช สัตว์ ผนงั เซลล์ มี มี ไม่มี เยอ่ื หุม้ เซลล์ มี มี มี นิวเคลียส ไมม่ ี มี มี โครโมโซม ไมม่ ี (เป็นเพียงรูปวงแหวน) มี มี นิวคลีโอลสั ไม่มี มี มี ไรโบโซม มี (ขนาด 70 s) มี (ขนาด 80 s) มี ER ไม่มี มี มี กอลจิบอดี ไม่มี มี มี ไมโทคอนเครีย ไม่มี มี มี พลาสติด ไมม่ ี มี มี แวคิวโอล ไมม่ ี มี มี (ในบางเซลล)์ ไลโซโซม ไมม่ ี มี (ในบางเซลล)์ มี (เป็นส่วนใหญ)่ ขนาดเซลล์ เลก็ มาก ( 1-10 ไมครอน) 30-50 ไมครอน 10-20 ไมครอน การหายใจระดบั เซลล์ ในไซโทพลาซึม ในไมโทคอนเดรีย การแบ่งเซลล์ โดยการแบง่ จาก 1 เป็น 2 หรือ การแตกหน่อ ไมโอซิสหรือไมโทซิส สรุปไดว้ า่ สิ่งมีชีวติ ทุกชนิดประกอบไปดว้ ยเซลล์ โดยมีท้งั ส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดียวและสิ่งมีชีวติ หลาย เซลล์ จนทาใหเ้ กิดลกั ษณะรูปร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด เช่น พืช สตั ว์ มนุษย์ และสิ่งมีชีวติ เหล่าน้ีก็ สามารถดารงชีวิตอยไู่ ด้ ปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การดารงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ คือ อาหาร เซลลก์ ็เช่นเดียวกนั เซลล์ กม็ ีชีวติ อาหารของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดก็ตอ้ งเป็นอาหารของเซลลด์ ว้ ย แตเ่ น่ืองจากเซลลม์ ีขนาดเล็ก นกั เรียน คิดวา่ อาหารจะเขา้ สู่เซลลน์ ้นั จะผา่ นเขา้ โดยวธิ ีใด ใหน้ กั เรียนศึกษาเรื่อง กระบวนการนาสารเขา้ สู่เซลล์
ใบงาน เร่ือง สิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม ใหน้ กั เรียน ตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ทฤษฎีเซลลใ์ นปัจจุบนั ครอบคลุมใจความสาคญั 3 ประการ มีอะไรบา้ ง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายขนาดและรูปร่างของเซลล์ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
เฉลยแบบฝึ กหดั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง สิ่งมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม คาตอบ (1) 1. สิ่งมีชีวติ ท้งั หลายอาจมีเพยี งเซลลเ์ ดียวหรือหลายเซลลซ์ ่ึงภายในมีสารพนั ธุกรรมและมีกระบวนการ ทาง เมแทลบอลิซึม ทาใหส้ ิ่งมีชีวติ รวมอยไู่ ด้ 2. เซลลเ์ ป็นหน่วยพ้นื ฐานที่เลก็ ที่สุดของส่ิงมีชีวติ ที่มีการจดั ระบบการทางานภายในโครงสร้างของ เซลล์ 3. เซลลม์ ีกาเนิดมาจากเซลลแ์ รกเร่ิมเกิดจากการแบง่ ตวั ของเซลลเ์ ดิมชีวติ แรกเร่ิมมีววิ ฒั นาการมาจาก สิ่งไม่มีชีวติ นกั ชีววทิ ยายงั คงถือวา่ การเพ่มิ ข้ึนของจานวนเซลลเ์ ป็นผลสืบเนื่องมาจากเซลลร์ ุ่นก่อน คาตอบ (2) เซลลส์ ่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ไม่สามารถมองเห็นดว้ ยตาเปล่าตอ้ งใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ส่องแตก่ ม็ ีเซลลบ์ าง ชนิดที่มีขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน เช่น เซลลไ์ ข่ รูปร่างของเซลลแ์ ต่ละชนิดจะแตกตา่ งกนั ไปตามชนิด หนา้ ที่และตาแหน่งท่ีอยขู่ องเซลล์
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ สมบตั ิของสาร ธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม รหัสวิชา พว. 21001 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เร่ือง สารเพื่อชีวติ ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ สมบตั ิของสาร ธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั อธิบายเกี่ยวกบั สมบตั ิทางกายภาพและทางเคมีของสาร การจาแนก สาร กรด เบส ธาตุ สารประกอบสารละลายและของผสมและใช้ สารและผลิตภณั ฑใ์ นชีวติ ประจาวนั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และปลอดภยั ตอ่ ชีวติ 3.สาระสาคัญ สมบตั ิทางกายภาพและสมบตั ิทางเคมี ความแตกต่าง และจาแนกธาตุสารประกอบ สารละลาย และสารผสมจาแนกสารโดยใชเ้ น้ือหาสารและสถานะเป็นเกณฑไ์ ด้ 4.สาระการรียนรู้/เนื้อหา 1. สมบตั ิของสาร . 1.1 สมบตั ิทางกายภาพของสาร . 1.2 สมบตั ิทางเคมีของสาร . 2. เกณฑใ์ นการจาแนกสาร . 2.1 ใชส้ ถานะ . 2.2 ใชเ้ น้ือสาร . 3. สมบตั ิของสาร สารประกอบสารละลาย สารผสม 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายสมบตั ิทางกายภาพและสมบตั ิทางเคมีได้ 2. อธิบายความแตกต่าง และจาแนกธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสมได้ 3. จาแนกสารโดยใชเ้ น้ือสารและสถานะเป็นเกณฑไ์ ด้
6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1 นาเขา้ สู่บทเรียน . - ครูและผเู้ รียนสนทนาร่วมกนั เตรียมความพร้อมแก่ผูเ้ รียน . - อธิบายเน้ือหาสาระที่จะเรียนใหก้ บั ผเู้ รียน ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.2 เขา้ สุ่เน้ือหาใหน้ กั ศึกษาเรียนรู้ความหมายสมบตั ิทางกายภาพและทางเคมีของสาร 6.3 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็น 3 กลุ่ม แจกใบความรู้และใบงานใหแ้ ตล่ ะกลุ่ม . กลุ่มที่ 1 อภิปรายสมบตั ิของสาร . กลุ่มท่ี 2 อธิบายสมบตั ิทางกายภาพของสาร . กลุ่มท่ี 3 อภิปรายสมบตั ิทางเคมีของสาร 6.4 ครูใหผ้ เู้ รียนช่วยกนั สรุปเน้ือในเร่ืองอภิปรายร่วมกนั ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ตั ิและการนาไปประยุกต์ใช้ (I : Implementation) 6.5 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็ น 3 กลุ่ม ให้ร่วมกนั แลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาใบความรู้ แลว้ ทา กิจกรรมในใบงาน 6.6 ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั สรุปกิจกรรมจากหวั ขอ้ อภิปรายท่ีแตล่ ะกลุ่มไดร้ ับ ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7 ประเมินจากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการทดลอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ ดังนี้ 7.1 สมบตั ิของสาร 7.2 เกณฑใ์ นการจาแนกสาร 7.3 สมบตั ิของสาร สารประกอบสารละลาย สารผสม 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 8.3ใบความรู้
9. กระบวนการวดั ผลประเมินผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การรายงาน
ใบความรู้ เรื่องเกณฑ์ในการจาแนกสาร เรื่องที่ 1 สมบัตขิ องสาร และเกณฑ์ในการจาแนกสาร สมบัตขิ องสาร หมายถึง ลกั ษณะเฉพาะตวั ของสาร เช่น เน้ือสาร สี กล่ิน รส การนาไฟฟ้า การละลายน้า จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเป็นกรด – เบส เป็นตน้ สารแต่ละชนิดมีสมบตั ิเฉพาะตวั ท่ีแตกตา่ งกนั แบง่ เป็น 2 ประเภทคือ 1. สมบตั ิทางกายภาพของสาร เป็นสมบตั ิของสารท่ีสามารถสงั เกตไดง้ ่าย เพื่อบอกลกั ษณะของสารอยา่ ง คร่าว ๆ ไดแ้ ก่ สถานะ ความแขง็ ความอ่อน สี กลิ่น ลกั ษณะผลึก ความหนาแน่นหรือเป็นสมบตั ิที่อาจ ตรวจสอบไดโ้ ดยทาการทดลองอยา่ งง่าย ๆ ไดแ้ ก่ การละลายน้าการหาจุดเดือด การหาจุดหลอมเหลว หรือ จุดเยอื กแขง็ การนาไฟฟ้า การหาความถ่วงจาเพาะ การหาความร้อนแฝง 2. สมบตั ิทางเคมี หมายถึง สมบตั ิเฉพาะตวั ของสารที่เก่ียวขอ้ งกบั การเกิดปฏิกิริยาเคมี เช่น การเกิดสาร ใหม่ การสลายตวั ใหไ้ ดส้ ารใหม่ การเผาไหม้ การระเบิด และการเกิดสนิมของโลหะ เป็ นตน้ เกณฑ์ในการจาแนกสาร ในการศึกษาเร่ืองสาร จาเป็นตอ้ งแบ่งสารออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อใหง้ ่ายต่อการจดจาสาร โดยทว่ั ไป นิยมใชส้ มบตั ิทางกายภาพดา้ นใดดา้ นหน่ึงของสารเป็นเกณฑใ์ นการจาแนกสาร ซ่ึงมีหลายเกณฑด์ ว้ ยกนั เช่น 1. ใชส้ ถานะเป็นเกณฑ์ จะแบง่ สารออกไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คือ 1.1 ของแขง็ ( solid ) หมายถึงสารท่ีมีลกั ษณะรูปร่างไมเ่ ปล่ียนแปลง และมีรูปร่างเฉพาะตวั เน่ืองจากอนุภาคในของแขง็ จดั เรียงชิดติดกนั และอดั แน่นอยา่ งมีระเบียบไม่มีการเคลื่อนท่ีหรือเคลื่อนที่ได้ นอ้ ยมาก ไม่สามารถทะลุผา่ นไดแ้ ละไมส่ ามารถบีบหรือทาใหเ้ ล็กลงได้ เช่น ไม้ หิน เหลก็ ทองคา ดิน ทราย พลาสติก กระดาษ เป็นตน้ 1.2 ของเหลว ( liquid ) หมายถึงสารท่ีมีลกั ษณะไหลได้ มีรูปร่างตามภาชนะท่ีบรรจุ เนื่องจาก อนุภาคในของเหลวอยหู่ ่างกนั มากกวา่ ของแขง็ อนุภาคไม่ยดึ ติดกนั จึงสามารถเคล่ือนท่ีไดใ้ นระยะใกล้ และ มีแรงดึงดูดซ่ึงกนั และกนั มีปริมาตรคงที่ สามารถทะลุผา่ นได้ เช่น น้า แอลกอฮอล์ น้ามนั พืช น้ามนั เบนซิน เป็ นตน้ 1.3 แก๊ส ( gas ) หมายถึงสารที่ลกั ษณะฟุ้งกระจายเตม็ ภาชนะท่ีบรรจุ เน่ืองจากอนุภาคของแกส๊ อยู่ ห่างกนั มาก มีพลงั งานในการเคล่ือนท่ีอยา่ งรวดเร็วไปไดใ้ นทุกทิศทางตลอดเวลา จึงมีแรงดึงดูดระหวา่ ง อนุภาคนอ้ ยมาก สามารถทะลุผา่ นไดง้ ่าย และบีบอดั ใหเ้ ล็กลงไดง้ ่าย เช่น อากาศ แก๊สออกซิเจน แก๊สหุงตม้ เป็ นตน้ 2. ใชค้ วามเป็นโลหะเป็นเกณฑ์ แบง่ ไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คือ 2.1 โลหะ ( metal)
2.2 อโลหะ ( non-metal ) 2.3 ก่ึงโลหะ ( metaliod ) 3. ใชก้ ารละลายน้าเป็นเกณฑ์ แบง่ ได้ 2 กลุ่ม คือ 3.1 สารที่ละลายน้า 3.2 สารที่ไมล่ ะลายน้า 4. ใชเ้ น้ือสารเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ 4.1 สารเน้ือเดียว ( homogeneous substance ) 4.2 สารเน้ือผสม ( heterogeneous substance เร่ืองที่ 2 สมบตั ิของธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม ธาตุ (Element) หมายถึง สารบริสุทธ์ิท่ีมีองคป์ ระกอบอยา่ งเดียว ธาตุไมส่ ามารถจะนามาแยกสลาย ให้กลายเป็ นสารอ่ืนโดยวธิ ีการทางเคมี ธาตุมีท้งั สถานะท่ีเป็ นของแข็ง เช่น ธาตุสังกะสี(Zn) ตะกวั่ (Pb) เงิน (Ag) และดีบุก (Sn) , เป็ นของเหลว เช่น ปรอท (Hg) เป็ นก๊าซ เช่น ไนโตรเจน (N2) ฮีเลียม (He) ออกซิเจน (O2) ไฮโดรเจน (H2) เป็นตน้ สารประกอบ (compound) หมายถึง “สารบริสุทธ์ิเน้ือเดียวท่ีเกิดจากธาตุต้งั แตส่ องชนิดข้ึนไปเป็ น องคป์ ระกอบ” สารประกอบเกิดจากการรวมตวั ของธาตุโดยวธิ ีการทางเคมี สามารถแยกสลายใหเ้ กิดเป็นสาร ใหม่หรือกลบั คืนเป็นธาตุเดิมได้ สารประกอบจะมีสมบตั ิเฉพาะตวั ท่ีแตกต่างจากธาตุเดิม เช่น น้า มีสูตรเคมี เป็ น H2O น้าเป็ นสารประกอบที่เกิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) แต่มีสมบตั ิแตกต่างจาก ไฮโดรเจนและออกซิเจน น้าตาลทรายประกอบดว้ ยธาตุคาร์บอน ( C ),ไฮโดรเจน (H) ,และออกซิเจน (O) เป็ นตน้ สารละลาย (solution) หมายถึง สารเน้ือเดียวท่ีไม่บริสุทธ์ิ เกิดจากสารต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไปมา รวมกนั สารผสม หมายถึง สารที่มีองคป์ ระกอบภายในแตกต่างกนั หรือสารที่เน้ือไม่เหมือนกนั ทุกส่วน เช่น พริกเกลือ คอนกรีต ดินหรืออาจเป็ นสารต้งั แต่สองชนิดข้ึนไปผสมกนั อยู่ โดยท่ีสารเหล่าน้ียงั มีสมบตั ิ เหมือนเดิมและสามารถแยกออกจากกนั ไดโ้ ดยวธิ ีง่ายๆ
ใบงาน เร่ือง สารเพ่ือชีวติ ใหน้ กั เรียน ตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายสมบตั ิของสาร .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... 2. ใหน้ กั ศึกษาอธิบายสมบตั ิของธาตุ สารละลาย สารผสม .......................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................
เฉลยแบบฝึ กหดั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง สารเพื่อชีวติ คาตอบ (1) หมายถึง ลกั ษณะเฉพาะตวั ของสาร เช่น เน้ือสาร สี กลิ่น รส การนาไฟฟ้า การละลายน้า จุดเดือด จุด หลอมเหลว ความเป็นกรด- เบส คาตอบ (2) ธาตุ หมายถึง สารบริสุทธ์ิ มีองคป์ ระกอบอยา่ งเดียว ไม่สามารถจะมาแยกสลายใหก้ ลายเป็นสารอ่ืนโดย วธิ ีการทางเคมี ธาตุมีสถานะท่ีเป็นของแขง็ เช่น ธาตุสังกะสี ตะกว่ั เงิน และดีบุก เป็นของเหลว เช่น ปรอท เป็นก๊าซ เช่น ไนโตรเจน ฮีเล่ียม ออกซิเจน ไฮโดรเจน สารประกอบ หมายถึง สารบริสุทธ์ิเน้ือเดียว ท่ีเกิดจากธาตุ ต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไป สารประกอบเกิดจากการ รวมตวั ของาตุดว้ ยวธิ ีการทางเคมีสามารถที่จะสลายใหเ้ กิดเป็นสารใหม่หรืกลบั คืนเป็ นธาตุเดิมได้ สารประกอบจะมีสมบตั ิเฉพาะตวั ท่ีแตกต่างจากธาตุเดิม สารละลาย หมายถึง สารเน้ือเดียวท่ีไม่บริสุทธ์ิ เกิดจากสารต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไปมารวมตวั กนั สารผสม หมายถึง สารท่ีมีองคป์ ระกอบภายในแตกตา่ งกนั หรือสารที่เน้ือไม่เหมือนกนั ทุกส่วน เช่น พริก เกลือ คอนกรีต ดินหรืออาจ เป็นสารต้งั แต่ 2 ชนิดข้ึนไป ผสมกนั อยู่ เพราะสารเหล่าน้ียงั มีสมบตั ิเหมือนเดิม และสามารถแยกออกจากกนั ไดโ้ ดยวธิ ีง่ายๆ
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มีความรู้ ความเข้าใจ ความหมายของงานและพลงั งาน รูปของพลงั งานประเภทต่างๆ รหัสวชิ า พว. 21001 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 4 เรื่อง แรงและพลงั งานเพื่อชีวติ ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ ความหมายของงานและพลงั งาน รูปของพลงั งานประเภทตา่ งๆ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. อธิบายความหมายของงานและพลงั งานรูปแบบต่างๆได้ . 2. ตอ่ วงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายได้ . 3. ใชก้ ฎของโอห์มในการคานวณได้ . 4. บอกวธิ ีการอนุรักษแ์ ละประหยดั พลงั งานได้ . 5. อธิบายสมบตั ิของแสงพลงั งานความร้อนและนาประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั ได้ . 6. อธิบายพลงั งานทดแทนและเลือกใชไ้ ด้ 3.สาระสาคญั ความหมายของงานและพลงั งาน รูปของพลงั งานประเภทต่างๆ พลงั งานไฟฟ้า กฎของ โอห์ม การต่อวงจร ความตา้ นทานแบบต่างๆ การคานวณหาค่าความตา้ นทาน การใชป้ ระโยชนจ์ าก ไฟฟ้าในชีวติ ประจาวนั และการอนุรักษพ์ ลลงั งานไฟฟ้า แสงและคุณสมบตั ิ .และสีชนิดตา่ งๆ ประโยชน์และโทษของแสงตอ่ ชีวติ แหล่งกาเนิดของพลงั งานความร้อน การนาความร้อนไปใช้ ประโยชนพ์ ลงั งาน.ทดแทน 4.สาระการรียนรู้/เนื้อหา 1. ความหมายของงานและพลงั งาน . 2. รูปของพลงั งาน . 3. ไฟฟ้า . 3.1. พลงั งานไฟฟ้า . 3.2. กฎของโอห์ม . 3.3. การตอ่ ความตา้ นทานแบบตา่ งๆ
. 3.4. การหาค่าความตา้ นทาน . 3.5.ไฟฟ้าในชีวติ ประจาวนั . . . 3.6. การอนุรักษพ์ ลงั งานไฟฟ้า . 4. แสง . 4.1.แสงและสมบตั ิของแสง . 4.2.เลนส์ . 4.3.ประโยชน์และโทษของแสง 5. พลงั งานความร้อนและแหล่งกาเนิด 5.1. พลงั งานความร้อนและแหล่งกาเนิด 5.2. อุณหภูมิและการวดั การขยายตวั ของวตั ถุ 5.3. การนาไปใชป้ ระโยชน์ 5.4. พลงั งานทดแทนและการใชป้ ระโยชน์ เช่น เอทานอน ไบโอดีเซล พลงั งาน นิวเคลียร์ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ แรงและพลงั งานเพอื่ ชีวติ 5.1 แรงและการใชป้ ระโยชน์ 1. อธิบายประเภทและความหมายของแรงประเภทต่างๆ ได้ 2. อธิบายการกระทาของแรงและโมเมนตข์ องแรงได้ 3. บอกระบุประโยชนข์ องแรงในชีวติ ประจาวนั ได้ 4. การหาคา่ ผลจากการกระทบของแรง และโมเมนตไ์ ด้ 5. ใหค้ วามรู้ในเร่ืองโมเมนตใ์ นชีวติ ประจาวนั ได้ 5.2 งานและพลงั งาน 1. อธิบายความหมายของงานและพลงั งานในรูปแบบต่างๆได้ 2. การตอ่ วงจรไฟฟ้าอยา่ งง่ายได้ 3. ใชก้ ฎของโอห์มในการคานวณได้ 4. บอกวธิ ีการอนุรักษแ์ ละประหยดั พลงั งานได้ 5. อธิบายสมบตั ิของแสง พลงั งานความร้อน และนาประโยชน์ไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้ 6. อธิบายพลงั งานทดแทน และเลือกใชไ้ ด้
6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 6.1. นาเขา้ สู่บทเรียน . - ครูและผเู้ รียนสนทนาร่วมกนั เตรียมความพร้อมแก่ผเู้ รียน . - อธิบายเน้ือหาสาระที่จะเรียนใหก้ บั ผเู้ รียน ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) 6.2. เขา้ สู่เน้ือหาใหน้ กั ศึกษาเรียนรู้ความหมาย ของงานและพลงั งานและอธิบาย พลงั งานในรูปแบบต่างๆ . 6.3 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็ น 4 กลุ่ม แจกใบความรู้และใบงานใหแ้ ต่ละกลุ่ม . กลุ่มที่ 1 อภิปรายวงจรไฟฟ้า . กลุ่มท่ี 2 อธิบายการอนุรักษพ์ ลงั งานไฟฟ้า . กลุ่มที่ 3 อภิปรายคุรสมบตั ิของแสง . กลุ่มที่ 4 อภิปรายพลงั งานความร้อนและแหล่งกาเนิด 6.4 ครูใหผ้ เู้ รียนช่วยกนั สรุปเน้ือในเรื่องอภิปรายร่วมกนั . ข้นั ที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) 6.5 แบง่ นกั ศึกษาออกเป็น 4 กลุ่ม ใหร้ ่วมกนั แลกเปล่ียนเรียนรู้ศึกษาใบความรู้ แลว้ ทากิจกรรมในใบงาน 6.6 ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั สรุปกิจกรรมจากหวั ขอ้ อภิปรายที่แต่ละกลุ่มไดร้ ับ ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) 6.7 ประเมินจากการสังเกต การอภิปราย การสมั ภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงาน การทดลอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เตมิ ดังนี้ 7.1 ประเภทและความหมายของแรงประเภทต่างๆ 7.2 วธิ ีการอนุรักษแ์ ละประหยดั พลงั งาน 7.3 สมบตั ิของแสงพลงั งานความร้อนและนาประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 8.3ใบความรู้
9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สงั เกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การรายงาน
ใบความรู้ เรื่อง โมเมนต์ โมเมนต์ (Moment) หมายถึง ผลของแรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุหมุนไปรอบจุดคงท่ี ซ่ึงเรียกวา่ จุดฟัลคมั (Fulcrum) ค่าของโมเมนต์ หาไดจ้ ากผลคูณของแรงที่มากระทากบั ระยะที่วดั จากจุดฟัลครัมมาต้งั ฉากกบั แนวแรง ดงั สูตร M = F x S หรือ ทิศทางของโมเมนต์ มี 2 ทิศทาง คือ 1. โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา คาน A B มีจุดหมุนที่ F มีแรงมากระทาที่ ปลายคาน A จะเกิดโมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา 2. โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา คาน A B มีจุดหมุนที่ F มีแรงมากระทาที่ปลายคาน B จะเกิดโมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา รูปแสดงทศิ ทางของโมเมนต์ จากภาพ F เป็นจุดหมุน เอาวตั ถุ W วางไวท้ ่ีปลายคานขา้ งหน่ึง ออกแรงกดที่ปลายคานอีกขา้ งหน่ึง เพื่อใหไ้ ม้ อยใู่ นแนวระดบั พอดี โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา = WxL2 (นิวตนั -เมตร) โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา = ExL1 (นิวตนั -เมตร) กฎของโมเมนต์ เม่ือวตั ถุหน่ึงถูกกระทาดว้ ยแรงหลายแรง แลว้ ทาใหว้ ตั ถุน้นั อยใู่ นสภาวะสมดุล (ไม่ เคล่ือนท่ีและไมห่ มุน) จะไดว้ า่ ผลรวมของโมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา = ผลรวมของโมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา
คาน หลกั การของโมเมนต์ เรานามาใชก้ บั อุปกรณ์ที่เรียกวา่ คาน (lever) หรือคานดีดคานงดั คานเป็น เคร่ืองกลชนิดหน่ึงที่ใชด้ ีดงดั วตั ถุใหเ้ คลื่อนท่ีรอบจุดหมด (fulcrum) มีลกั ษณะเป็นแท่งยาว หลกั การทางาน ของคานใชห้ ลกั ของโมเมนต์ รูปแสดงลกั ษณะของคาน ถา้ โจทยไ์ ม่กาหนดนา้ หนกั คานมาใหแ้ สดงวา่ คานไมม่ ีนา้ หนกั จากรูป กาหนดให้ W = แรงความตา้ นทาน หรือนา้ หนกั ของวตั ถุ E = แรงความพยายาม หรือแรงที่กระทาต่อคาน a = ระยะต้งั ฉากจากจุดหมุนถึงแรง ตา้ นทาน b = ระยะทางต้งั ฉากจากจุดหมุนถึงแรงพยายาม โดยมี F (Fulcrum) เป็นจุดหมุนหรือจุดฟัลกรัม เมื่อคานอยใู่ นภาวะสมดุล โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา = โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา W x a = E x b การจาแนกคาน คานจาแนกได้ 3 ประเภทหรือ 3 อนั ดบั ดงั น้ี 1. คานอนั ดับท่ี 1 เป็นคานที่มีจุด (F) อยรู่ ะหวา่ ง แรงความพยายาม (E) และแรงความตา้ นทาน (W) เช่น กรรไกรตดั ผา้ กรรไกรตดั เล็บ คีมตดั ลวด เรือแจว ไม้ กระดก เป็นตน้ คานอนั ดบั 2 เป็นคานที่มีแรงความตา้ นทาน (W) อยรู่ ะหวา่ งแรงความพยายาม (E) และจุดหมุน (F) เช่น ท่ี เปิ ดขวดนา้ อดั ลม รถเขน็ ทราย ท่ีตดั กระดาษ เป็นตน้
คานอนั ดบั ที่ 3 เป็นคานที่มีแรงความพยายาม (E) อยรู่ ะหวา่ งแรงความตา้ นทาน (W) และจุดหมุน (F) เช่น ตะเกียบ คีมคีบถ่าน แหนบ เป็นตน้ การผอ่ นแรงของคาน จะมีค่ามากหรือนอ้ ยโดยดูจากระยะ E ถึง F และ W วา่ ถา้ ระยะ EF ยาวหรือส้นั กวา่ ระยะ WF ถา้ ในกรณีที่ยาวกวา่ ก็จะช่วยผอ่ นแรง ถา้ ส้นั กวา่ กจ็ ะไมผ่ อ่ นแรง หลกั การและข้นั ตอนการคานวณเร่ืองคานและโมเมนต์ 1. วาดรูปคาน พร้อมกบั แสดงตาแหน่งของแรงท่ีกระทาบนคานท้งั หมด 2. หาตาแหน่งของจุดหมุนหรือจุดฟัลครัม ถา้ ไมม่ ีใหส้ มมติข้ึน 3. ถา้ โจทยไ์ ม่บอกนา้ หนกั ของคานมาให้ เราไม่ตอ้ งคิดนา้ หนกั ของคานและ ถือวา่ คานมีขนาด สม่าเสมอกนั ตลอด 4. ถา้ โจทยบ์ อกนา้ หนกั คานมาใหต้ อ้ งคิดนา้ หนกั คานดว้ ย โดยถือวา่ นา้ หนกั ของคานจะอยจู่ ุด ก่ึงกลางคานเสมอ 5. เม่ือคานอยใู่ นสภาวะสมดุล โมเมนตท์ วนเข็มนาฬิกาเท่ากบั โมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกา
6. โมเมนตท์ วนเขม็ นาฬิกา หรือโมเมนตต์ ามเขม็ นาฬิกามีคา่ เท่ากบั ผลบวกของโมเมนตย์ อ่ ยแตล่ ะ ชนิด การใช้โมเมนต์ในชีวติ ประจาวนั ความรู้เกี่ยวกบั เรื่องของโมเมนต์ สามารถนาไปใชใ้ น ชีวติ ประจาวนั ในดา้ นตา่ งๆ มากมาย เช่น การเล่นกระดานหก การหาบของ ตราชง่ั จีน การแขวน โมบาย ที่เปิ ดขวด รถเขน็ คีม ท่ีตดั กระดาษ เป็นตน้ หรือในการใชเ้ ชือกหรือสลิงยดึ คานเพอื่ วางคาน ยนื่ ออกมาจากกาแพง
ใบงาน เรื่อง แรงและพลงั งานเพ่ือชีวิต ใหน้ กั เรียน ตอบคาถามต่อไปน้ี 1. ใหน้ กั ศึกษาอธิบาย คาวา่ “งาน” .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .. 2. พลงั งานทดแทน หมายถึง .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................................
เฉลยแบบฝึ กหดั วชิ าวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง แรงและพลงั งานเพ่ือชีวติ คาตอบ (1) หมายถึง งานอาจมีความหมายที่แตกต่างกนั ไป เช่น คุณทางานหรือยงั เหล่าน้ีเป็นตน้ แตก่ ารทางานเหล่าน้ี ในทางวทิ ยาศาสตร์ไม่ถือวา่ เป็นงาน การทางานในทางวทิ ยาศาสตร์เป็นงานท่ีไดจ้ ากการออกแรงเพ่ือทาให้ วตั ถุเคลื่อนที่ในทิศทางของแรงที่กระทากบั วตั ถุน้นั คาตอบ (2) หมายถึง พลงั งานที่นามาใชแ้ ทนน้ามนั เช้ือเพลิง สามารถแบง่ ตามแหล่งท่ีไดม้ าเป็ น 2 ประเภท คือ พลงั งาน ทดแทน หรือเรียกวา่ พลงั งานสิ้นเปลือง ไดแ้ ก่ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ และพลงั งานทดแทนอีก ประเภทหน่ึง เรียกวา่ พลงั งานหมุนเวยี น ไดแ้ ก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้าและไฮโดรเจน
แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น สาระการเรียนรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะ และเห็นคุณค่าเกย่ี วกบั เทคโนโลยี สิ่งมชี ีวิต และระบบนิเวศ รหสั วชิ า พว. 21001 รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 เร่ือง ดาราศาสตร์เพื่อชีวติ ดวงดาวกบั ชีวติ ระยะเวลา 6 ชั่วโมง 1.มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเห็นคุณค่าเกี่ยวกบั เทคโนโลยี ส่ิงมีชีวติ และระบบนิเวศ 2.ผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. ผเู้ รียน ระบุช่ือของกลุ่มจกั ราศีได้ . 2. อธิบายวธิ ีการหาดาวเหนือได้ 3. อธิบายประโยชนจ์ ากกลุ่มดาวฤกษต์ อ่ การดารงชีวติ ประจาวนั ได้ 4. อธิบายการใชแ้ ผนท่ีดาวได้ 3.สาระสาคัญ มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเห็นคุณคา่ เก่ียวกบั เทคโนโลยี ส่ิงมีชีวติ และนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ในทอ้ งถิ่นและประเทศ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ เปลี่ยนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการ ดาเนินชีวติ 4.สาระการรียนรู้/เนื้อหา ดวงดาวกบั ชีวิต 1 กลุ่มดาวจกั ราศี 2 การสังเกตตาแหน่งของดาวฤกษ์ 3 การหาดาวเหนือ 4 แผนที่ดาว 5 การใชป้ ระโยชน์จากกลุ่มดาวฤกษ์ 5.จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. ระบุชื่อของกลุ่มจกั ราศีได้ 2. อธิบายวธิ ีการหาดาวเหนือได้
3. อธิบายการใชแ้ ผนท่ีดาวได้ 4. อธิบายประโยชน์จากกลุ่มดาวฤกษต์ อ่ การดารงชีวิตประจาวนั ได้ 6.กระบวนการจัดการเรียนรู้ ONIE MODEL ข้นั ท่ี 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) นาเขา้ สู่บทเรียน . - ครูและผเู้ รียนสนทนาร่วมกนั เตรียมความพร้อมแก่ผเู้ รียน . -แจง้ เน้ือหาและจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนทราบ ข้นั ที่ 2. แสวงหาข้อมูลและจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (N : New ways of learning) เขา้ สู่เน้ือหา - ผเู้ รียนแบง่ กลุ่มคน้ ควา้ เน้ือหาที่ตนไดร้ ับมอบหมายและวเิ คราะห์เน้ือหาท่ีเรียน - ออกมานาเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรียน ตามใบกิจกรรม ข้นั ท่ี 3 การปฏิบตั ิและการนาไปประยกุ ต์ใช้ (I : Implementation) -แลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาใบความรู้ แลว้ ทากิจกรรมในใบงาน -ครูและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปเน้ือหาท่ีเรียนท้งั หมด เพอ่ื นาความรู้ไปใชใ้ น ชีวติ ประจาวนั ไดจ้ ริง ข้นั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู้ (E : Evaluation) - ประเมินจากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการทดลอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน 7. แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ค้นคว้าหาความรู้เพม่ิ เติมดงั นี้ 7.1 กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ 7.2 ตาแหน่งของกลุ่มดาวจกั ราศี 7.3 การใชป้ ระโยชน์จากกลุ่มดาวฤกษ์ 8. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สืบคน้ ใน Internet 8.2 หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า พว. 21001 8.3ใบความรู้
9. กระบวนการวดั ผลประเมนิ ผล 9.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล . 9.1.1 สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม 9.1.2 สังเกตพฤติกรรมการทางานของผเู้ รียนรายบุคคล 9.2 เครื่องมือวดั และประเมินผล . 9.2.1 แบบฝึกหดั . 9.2.2 ใบงาน 9.2.3 การรายงาน
ใบความรู้ จักราศี จักรราศี (Zodiac - มาจากภาษากรีก ζῳδιακός หมายถึง \"สัตว\"์ ) เป็ นแถบสมมติบนทอ้ งฟ้าที่ มีขอบเขตประมาณ 8 องศา ค่อนไปทางเหนือและใตข้ องแนวเส้นทางท่ีดวงอาทิตยป์ รากฏเคล่ือนผา่ น (สุริย วถิ ี) ซ่ึงครอบคลุมแนวเส้นทางปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาวเคราะห์ในระบบสุริยจกั รวาลอีก 7 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวองั คาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยเู รนสั และดาวเนปจูน ส่วนดาวพลูโตน้นั ความเอียงของวงโคจรมีค่ามากดาวพลูโตจึงมีเส้นทางปรากฏห่างจากสุริยวถิ ี กล่มุ ดาวจักรราศี กลุ่มดาวจกั รราศี หมายถึง กลุ่มดาวฤกษจ์ านวน 12 กลุ่ม ท่ีอยหู่ ่างไกลจากดวงอาทิตยอ์ อกไป ซ่ึงเม่ือ มองจากโลกจะเห็นกลุ่มดาวเหล่าน้ี ปรากฏแตกต่างกนั ไปตามช่วงระยะเวลาของเดือน ซ่ึงมนุษยใ์ นสมยั โบราณก็จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาวเป็ นสิ่งต่างๆ และมีการคน้ พบ รูปของกลุ่มดาวจกั รราศีวาดอยู่บน โลงศพของมมั ม่ีของชาวอียิปตโ์ บราณดว้ ย ต่อมามนุษยไ์ ดแ้ บ่งกลุ่มดาวฤกษท์ ่ีอยตู่ ามแนวทางเดินของดวง อาทิตย์ ที่เรียกวา่ เส้นสุริยะวถิ ี ออกเป็น 12 กลุ่ม จริงๆแลว้ กลุ่มดาวดงั กล่าวไม่ไดอ้ ยูบ่ นแนวสุริยวถิ ีพอดี แต่ จะอยู่ในช่วงแถบกวา้ งประมาณ 18 อาศา ผ่านแนวสุริยวิถี โดยมี12 กลุ่มดาว แต่ละกลุ่มดาวห่างกัน ประมาณ 30องศาเม่ือประมาณ 1000 ปี ก่อนคริสตศกั ราช กลุ่มดาวกลุ่มแรก ท่ีดวงอาทิตยเ์ คลื่อนท่ีผา่ น จุดท่ี สุริยะวิถี เคลื่อนที่ตดั กบั เส้นศูนยส์ ูตรฟ้าพอดี ในเริ่มตน้ ของฤดูร้อน คือ กลุ่มดาวแกะ (Aries) กลุ่มดาวแกะ จึงถูกเรียกในสมยั น้นั ว่า March Equinox หรือ 0 Aries กลุ่มดาวถดั มา คือ กลุ่มดาวววั , กลุ่มดาวคนคู่, กลุ่ม ดาวปู, กลุ่มดาวสิงห์, กลุ่มดาวผหู้ ญิงสาว,กลุ่มดาวคนั ชงั่ , กลุ่มดาวแมงป่ อง, กลุ่มดาวคนยงิ ธนู, กลุ่มดาวมกร , กลุ่มดาวคนแบกหม้อน้า และกลุ่มดาวปลาคู่ รวมเป็ น 12 กลุ่มดาวจกั รราศีต่อมา เมื่อประมาณ ค.ศ. 0 จุด Equinox ดงั กล่าวได้ขยบั มาอยู่ในกลุ่มดาวปลาคู่ (Pisces) เขา้ สู่ยุคท่ีเรียกว่า the Age of Pisces หรือ ยุค the New Great Age นนั่ เอง และคาดว่า ประมาณปี ค.ศ.2600 จุดดงั กล่าวจะขยบั เขา้ สู่กลุ่มดาวคนแบก หมอ้ น้า (Aquarius) เร่ิมตน้ ยุคที่เรียกวา่ the Age of Aquariusโดยทุกๆประมาณ 2100 ปี จุด Equinox จะขยบั ไปทางทิศตะวนั ตกทีละ 1 จกั รราศีนนั่ เองเนื่องจากโลกโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ โดยท่ีแกนโลกเอียงทามุม ประมาณ 23.5 องศา กบั แนวต้งั ฉากกบั แนวการเคลื่อนท่ีของโลก รอบดวงอาทิตย์ แกนดงั กล่าวไม่ไดเ้ อียง คงที่ แตจ่ ะส่ายเช่นเดียวกบั แกนของลูกข่าง ท่ีส่ายในขณะท่ีหมุน และเคลื่อนที่ไปรอบๆ เพยี งแต่ขนาดของวง โคจร ที่โลกเคล่ือนท่ี มีขนาดใหญ่กวา่ มาก ทาให้คาบเวลาในการส่าย ใชเ้ วลานานถึง 26,000 ปี ซ่ึงปัจจุบนั แกนข้ัวฟ้าเหนือ ช้ีไปใกล้กับดาวเหนือ (Polaris) และจะช้ีไปใกล้ดาวเหนือมากท่ีสุ ด ประมาณปี ค.ศ.2100 และในอีกประมาณ 13,000 ปี จากปัจจุบนั แกนข้วั ฟ้าเหนือ จะช้ีไปใกลด้ าววกี า (Vega) ในกลุ่มดาว พิณ (Lyra) แทน ซ่ึงการเปลี่ยนแปลงน้ี ทาให้จุด Vernal Equinox ค่อยๆขยบั ไปทางทิศตะวนั ตกชา้ ๆ ปี ละ ประมาณ 50 ฟิ ลิปดา (50/3600 องศา) น่ันเอง ในอดีตกาล ดาวข้ัวฟ้าเหนือของชาวอียิปต์โบราณ
ประมาณ 4800 ปี มาแลว้ คือ ดาวทูบาน (Thuban) ในกลุ่มดาวมงั กร(Draco) ซ่ึงเป็ นดาวดวงท่ี 3 นบั จากหาง รูปมงั กร ซ่ึงทาใหป้ ิ ระมิดของชาวอียปิ ต์ มีช่องจากภายใน ช้ีไปดาวทูบานนนั่ เอง 12 กลุ่มดาวจักรราศี 1. กล่มุ ดาวแกะ (ARIES ) - ราศี เมษ (13 เมษายน - 13 พฤษภาคม) กลุ่มดาวแกะ เป็ นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าดา้ นเหนืออยถู่ ดั จากกลุ่มดาวปลาไปทางทิศตะวนั ออกดวงอาทิตยจ์ ะ ผา่ นกลุ่มดาวแกะระหวา่ งวนั ที่ 19 เมษายน ถึง 14 พฤษภาคม กลุ่มดาวแกะประกอบดว้ ยดาวฤกษ์ 4 ดวงเป็ น อยา่ งนอ้ ย โดย 3 ดวงแรกเป็ นส่วนของหวั แกะ ( Hamal เป็ นดาวฤกษส์ ีเหลืองมีความสวา่ ง 2.00 อยหู่ ่างจากโลก ประมาณ 66 ปี แสง ชื่อดาว หมายถึง Lamp , Sheraton มีความสวา่ ง 2.64 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 60 ปี แสง ช่ือ ดาว หมายถึง Mark หรือ Sign เน่ืองจากจุด March Equinox หรือ 0 Aries อยู่ใกล้กับดาวดวงน้ีมากที่สุด ในช่วง 300-400 ปี ก่อนคริสตศ์ กั ราช , Aries มีความสวา่ ง 4.0 อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 148 ปี แสง ) และอีก 1 ดวงเป็นสะโพกของแกะ กลุ่มดาวแกะจะข้ึนทางจุดทิศตะวนั ออกเฉียงไปทางเหนือเล็กนอ้ ยประมาณ 22.5 องศา และจะปรากฏบนทอ้ งฟ้านานวนั ละ 12 ชวั่ โมง กลุ่มดาวแกะเม่ือคร้ังสมยั กรีกโบราณ (1000 ปี ก่อน คริสตศ์ กั ราช) เคยเป็ นกลุ่มดาวที่แนวการเคล่ือนที่ของดวงอาทิตยต์ ดั กบั แนวเส้นศูนยส์ ูตรฟ้าพอดีในฤดูใบไม้ ผลิ ( ราววันที่ 21 มีนาคมของทุกปี ) เราเรี ยกจุดน้ีว่า The March Equinox หรื อ 0 Aries หรื อปัจจุบัน เรียกวา่ The Vernal Equinox ในปัจจุบนั จุดดงั กล่าวไดข้ ยบั ไปอยใู่ นกลุ่มดาวปลาคู่ ( Pisces ) 2. กลุ่มดาวววั ( TAURUS ) – ราศีพฤษภ (14 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน) กลุ่มดาวววั เป็นกลุ่มดาวที่สงั เกตเห็นไดง้ ่าย มีดาวฤกษเ์ รียงกนั เป็นรูปตวั วอี ยา่ งนอ้ ย 9 ดวง เป็นกลุ่มดาวทาง ฟ้าซีกเหนือ โดยจะปรากฏข้ึนทางทิศตะวนั ออกเฉียงไปทางทิศเหนือ คนไทยโบราณเรียกกลุ่มดาวววั น้ี
วา่ ดาวไมค้ ้าเกวียน หรือ ดาวธง ดวงอาทิตยจ์ ะเคล่ือนที่ผา่ นกลุ่มดาวววั ระหวา่ งวนั ที่ 14 พฤษภาคม ถึง 21 มิถุนายน ในกลุ่มดาวววั จะมีดาวฤกษส์ ีส้มแดงสว่างท่ีสุดอยูห่ น่ึงดวงเป็ นตาขวาของววั ชื่อว่า ดาวอลั ดิบะ แรน (ALDEBARAN) หรือ ดาวโรหิณี (ความสว่าง 0.85) มีความหมายว่า ผูต้ ิดตามเพราะดาวดวงน้ีอยู่ ตามหลงั กลุ่มดาวลูกไก่ห่างไปทางทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือประมาณ 15 องศา จะเป็ นกระจุกดาวเปิ ดที่มีชื่อ วา่ กระจุกดาวลูกไก่ (PLEIADES) หรือ ดาวเจด็ สาวพ่ีนอ้ งตามนิทานของกรีก ซ่ึงประกอบดว้ ยดาวฤกษน์ บั ร้อยดวง แต่สามารถเห็นชดั ไดด้ ว้ ยตาเปล่าเป็นดาวสวา่ งมาก 6 ดวงและสวา่ งนอ้ ย 1 ดวง ซ่ึงดาวท่ีสวา่ งที่สุด ในกระจุกดาวน้ีเป็นดาวฤกษส์ วา่ งสีขาว ชื่อวา่ ดาวอลั ซีโยน (ALCYONE) ในกลุ่มดาวววั ประกอบดว้ ยดาวและกระจุกดาวฤกษท์ ่ีสาคญั ดงั น้ี Aldebaran ดาวอลั เดบารอน หรือช่ือไทยวา่ ดาวตาววั เป็ นดาวฤกษ์แปรแสงสีแดงส้ม มีความสว่างระหว่าง 0.75-0.95 เป็ นดาวฤกษ์ที่สว่างเป็ นอนั ดบั 5 ของ ทอ้ งฟ้าตอนกลางคืน อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 65 ปี แสง ช่ือดาว Aldebaran หมายถึง ผูต้ ิดตาม เนื่องจากมนั ข้ึน- ตกตามกระจุกดาวลูกไก่นน่ั เอง นอกจากน้ี ดาวตาววั ยงั เป็นดาวหน่ึงในส่ีของดาวราชาท้งั ส่ี (The Four Royal Stars) ซ่ึงประกอบดว้ ย ดาวหัวใจสิงห์ ดาวตาววั ดาวปาริชาต และดาวโฟมาออท ซ่ึงแต่ละดวงจะแบ่งเส้น รอบวงทอ้ งฟ้าออกเป็ น 4 ส่วน โดยอยูห่ ่างพอๆกนั ประมาณคร่ึงทอ้ งฟ้า (90 องศา) ทาให้เรามองเห็นดาว ราชาอยา่ งนอ้ ย 1 คู่เสมอElnath ดาวเอลแนต มีความสวา่ ง 1.65 อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 131 ปี แสง ช่ือดาว หมายถึง ส่วนปลายของอาวุธ (The butting one) ซ่ึงอยใู่ นตาแหน่งปลายเขาของววั ดา้ นเหนือ เดิมเคยเป็นดาว ร่วมกบั กลุ่มดาวสารถี แต่ปัจจุบนั ถูกจดั ให้อยู่ในกลุ่มดาวววั Taurus ดาวเซตา้ ววั เป็ นดาวคู่ 2 ดวง มีความ สวา่ ง 3.0 และ 5.0 โคจรซ่ึงกนั และกนั อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 417ปี แสง ช่ือดาว อยูใ่ นตาแหน่งปลายเขา ของววั ดา้ นใต้ M1 - The Crab Nebula เนบิวลารูปปู - มองเห็นไดด้ ว้ ยกลอ้ งสองตา อยูด่ า้ นบนของปลายเขา ด้านใต้ ปัจจุบนั เป็ นซากของ Supernova ท่ีเกิดข้ึนเมื่อปี พ.ศ.1597 (ค.ศ.1054) ซ่ึงมองเห็นได้ชัดเจนนาน หลายปี ท่ีชื่อเนบิวลารูปปูเนื่องจาก มีรูปร่างคลา้ ยปูนน่ั เอง M45 - Pleiadesกระจุกดาวลูกไก่เป็ นกระจุกดาวที่ มีชื่อเสียง และอยใู่ กลโ้ ลกมากที่สุด ห่างจากโลกประมาณ 212 ปี แสง มีความสวา่ งประมาณ 2.87 ดาวท่ีสวา่ ง ที่สุดในกลุ่มกระจุกดาว คือ ดาวอลั ซีโอเน (Alcyone) กระจุกดาวลูกไก่ อยใู่ นตาแหน่งของโหนกววั สามารถ เห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า 6-8 ดวง ส่วนชื่อ พลิอะดีส (Pleiades) เป็นภาษาละติน หมายถึง ลูกสาวท้งั เจด็ (The seven sisters) ของ Titan Atlas และ PleioneThe Hyadesกระจุกดาวไฮแอดส์ (หรือสามเหล่ียมหนา้ ววั ) เป็ นกระจุก ดาวเปิ ดท่ีเห็นไดช้ ดั เจนดว้ ยตาเปล่า เรียงกนั เป็ นรูปหนา้ ววั (ตวั V) ไมร่ วมดาวตาววั ส่วนคนไทยจะเห็นเป็ น
รูปธง จึงเรียกว่า \"กลุ่มดาวธง\" ห่างจากโลกประมาณ 140 ปี แสง มีความสว่างประมาณ 0.5 ช่ือกระจุก ดาว \"ไฮแอดส์\" (Hyades) หมายถึง Rainy onesเน่ืองจาก จะเร่ิ มมองเห็นกลุ่มดาวววั ในช่วงสิ้นเดือน พฤษภาคม โดยมาพร้อมกบั ฝน หรือพายนุ นั่ เอง 3. กล่มุ ดาวคนคู่ ( GEMINI ) – ราศีเมถุน (14 มถิ ุนายน - 14 กรกฎาคม) กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวที่อยถู่ ดั จากกลุ่มดาวววั ไปทางทิศตะวนั ออก ประกอบดว้ ยดาวฤกษอ์ ยา่ ง นอ้ ย 8 ดวงเรียงกนั เป็ นรูปคนคู่ หรือ ฝาแฝด มีช่ือวา่ คาสเตอร์ ( CASTER ) เป็ นดาวฤกษแ์ ฝดหกซ่ึงเป็นดาว ดวงท่ี 5 ในกลุ่มดาวคนคู่ และ พอลลกั ซ์ ( POLLUX ) ซ่ึงเป็ นดาวดวงท่ี 4 ในกลุ่มดาวคนคู่ ดวงอาทิตยจ์ ะ ผา่ นเขา้ สู่กลุ่มดาวคนคู่ระหวา่ งวนั ท่ี 21 มิถุนายน ถึง 21 กรกฎาคม เป็ นกลุ่มดาวท่ีเห็นชดั ตลอดคืนในฤดู หนาว โดยเฉพาะเดือนมกราคมจะเห็นอยตู่ ลอดท้งั คืน กลุ่มดาวคนคู่ เป็นกลุ่มดาวอนั ดบั ท่ีสามของกลุ่มดาวจกั รราศี เน่ืองจากเป็นกลุ่มดาวท่ีอยใู่ นแนวสุริย วถิ ี อยทู่ างดา้ นตะวนั ออกเฉียงเหนือ ของกลุ่มดาวนายพราน (Orion) โดยมีดาวฤกษส์ ุกสวา่ งท่ีสังเกตง่ายและ อยู่ใกล้กัน 2 ดวง คือ ดาวคาสเตอร์ (Caster)และ ดาวพอลลกั ซ์ (Pollux) อยู่บนทางช้างเผือก (The Milky Way) ส่วนคนไทยเห็นกลุ่มดาวคนคู่ เรียงกนั เป็ นส่ีเหล่ียมผืนผา้ คลา้ ยโลงศพ จึงเรียกชื่อกลุ่มดาวน้ีวา่ กลุ่ม ดาวโลงศพ และเห็นดาวสามดวงท่ีอยู่ตรงด้านขา้ งโลงเหมือน นกกาที่มาเกาะโลงอยู่ แลว้ เรียกกลุ่มดาว ดงั กล่าวว่า กลุ่มดาวกา เราสามารถเห็นกลุ่มดาวคนคู่ ข้ึนไปสูงสุดกลางทอ้ งฟ้า ราวเท่ียงคืนของเดือน มกราคม ประกอบด้วยกลุ่มดาวที่สาคญั ดงั น้ี Caster ดาวคาสเตอร์ เป็ นดาวฤกษ์ในระบบดาวคู่ (Double Star) ท่ี ม อ ง เ ห็ น ไ ด้ด้ว ย ต า เ ป ล่ า โ ด ย 2 ด ว ง แ ร ก (ชื่ อ Caster A แ ล ะ Caster B) มี ค ว า ม ส ว่า ง เท่ากับ 1.94 และ 2.92 ตามลาดับ โดยโคจรรอบกันและกันประมาณ 510 ปี ต่อรอบ อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 52 ปี แสง ดาวคาสเตอร์ เป็ นศีรษะของหน่ึงในสองคนของคนคู่ Pollux เป็ นดาวฤกษส์ ีเหลือง มี
ความสว่างเท่ากับ 1.14อยู่ห่างจากโลกประมาณ 34 ปี แสง ชาวอารบิก เรียกดาวพอลลักซ์ อีกชื่อหน่ึง วา่ Rasalgeuse หมายถึง ศีรษะของคนคู่ Alhena เป็ นดาวฤกษ์สีเหลือง มีความสวา่ งประมาณ 1.93 อยู่ห่าง จากโลกประมาณ 105 ปี แสง M35 เป็นกระจุกดาวเปิ ด (Open Cluster) ในกลุ่มดาวคนคู่ มองเห็นคอ่ นขา้ งยาก ดว้ ยตาเปล่า อยูเ่ หนือดาวเอตาประมาณ 2 องศา ประกอบดว้ ยดาวฤกษส์ วา่ งประมาณ 200 ดวงข้ึนไป มีความ สวา่ งประมาณ 5.1 อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 2200 ปี แสง กลุ่มดาวปู ( CANCER ) – ราศีกรกฎ (15 กรกฎาคม - 16 สิงหาคม) กลุ่มดาวปู เป็ นกลุ่มดาวที่ถดั มาจากกลุ่มดาวคนคู่ทางทิศตะวนั ออก ดวงอาทิตยจ์ ะผา่ นกลุ่มดาวปู ระหวา่ งวนั ท่ี 21 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม กลุ่มดาวปูประกอบไปดว้ ยดาวฤกษแ์ สงริบหร่ีอยา่ งนอ้ ย 5 ดวง ทาให้มองเห็นได้ยาก แต่ในต้นเดือนกุมภาพนั ธ์จะเห็นได้ตลอดคืน ในกลุ่มดาวปูน้ีจะมีฝ้าขาวๆอยู่ เรียกว่า กระจุกดาวรวงผ้งึ ( PRAESEPE ) หรือ ที่คนไทยเรียกวา่ กระจุกดาวปุยฝ้าย ซ่ึงเป็ นกระจุกดาวเปิ ด ประกอบไปดว้ ยดาวฤกษจ์ านวนมาก และสามารถมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า กลุ่มดาวปู เป็ นกลุ่มดาวที่มีความสวา่ งน้อยท่ีสุดในกลุ่มดาวจกั รราศี ซ่ึงไม่มีดาวดวงใดในกลุ่มดาวเลย ท่ีมี ความสวา่ งนอ้ ยกวา่ 4.0 กลุ่มดาวปู อยูร่ ะหวา่ งกลุ่มดาวคนคู่ (Gemmini) และกลุ่มดาวสิงโต (Leo) โดยกลุ่ม ดาวปูจะข้ึนไปสูงสุดกลางทอ้ งฟ้าประมาณเท่ียงคืนของปลายเดือนมกราคมและตน้ เดือนกุมภาพนั ธ์ มีกลุ่ม ดาวท่ีสาคญั ดงั น้ี Acubens เป็ นดาวฤกษส์ ีน้าเงินขาว มีความสวา่ งประมาณ 4.3 ช่ือดาว หมายถึง กา้ มปู (The Claw) Altarf มีความสว่างประมาณ 3.52 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 290 ปี แสง ชื่อดาว หมายถึง ปลายขา ปู Asellus Borealis เป็ นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสว่างประมาณ 4.7 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 230 ปี แสง หมายถึง ลา (The Assess) Asellus Austrailis เป็นดาวฤกษส์ ีเหลือง มีความสวา่ งประมาณ 4.2 อยหู่ ่างจากโลก ประมาณ 220 ปี แสง M44 - The Beehive Cluster or Praesepe Open Cluster กระจุกดาวรวงผ้ึง เป็ นกระจุก
ดาวเปิ ดท่ีมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า โดยจะมองเห็นเป็ นฝ้า มีขนาดของเส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ 3 เท่าของ ดวงจนั ทร์ (ประมาณ 80 ลิปดา) ประกอบดว้ ยดาวฤกษเ์ กือบ 100 ดวง มีความสวา่ งปรากฏประมาณ 3.1 อยู่ ห่างจากโลกประมาณ 520 ปี แสง ชื่อกระจุกดาว หมายถึง รางหญ้า (The Manger) นิทานดาว ปูถูก จูโน (Juno) ส่งใหไ้ ปทาร้ายเฮอร์คิวลิส (Hercules) ที่กาลงั ต่อสู้กบั งูไฮดรา (Hydra) แต่ไม่สาเร็จ ในท่ีสุดจูโน จึงนาไปไวบ้ นทอ้ งฟ้า กลายเป็นกลุ่มดาวปู 4. กล่มุ ดาวสิงโต ( LEO ) – ราศีสิงห์ (17 สิงหาคม - 16 กนั ยายน) กลุ่มดาวสิงโต ประกอบดว้ ยดาวฤกษอ์ ยา่ งนอ้ ย 9 ดวง ดวงอาทิตยจ์ ะเคล่ือนที่ผา่ นกลุ่มดาวราศีสิงห์ ระหวา่ งวนั ท่ี 11 สิงหาคม ถึง 17 กนั ยายน เป็ นกลุ่มดาวที่สังเกตไดง้ ่ายบนฟ้า เพราะมีดาวฤกษด์ วงใหญ่สีน้า เงินขาวสว่างที่สุดในกลุ่มดาวน้ี 1 ดวง อยูต่ รงบริเวณหนา้ อกของสิงโต เรียกวา่ ดาวเรกิวลุส ( REGULUS ) หรือ ดาวหัวใจสิงห์ มีความสว่างถึง 1.35 และ ตรงปลายหางของสิงโตจะมีดาวฤกษ์สวา่ งสีขาวอีก 1 ดวง เรียกว่า ดาวหางสิงห์ ( DENEBOLA ) มีความสว่าง 2.14 ในวนั เพ็ญข้ึน 15 ค่า เดือน 3 น้ัน ดวงจนั ทร์จะ ปรากฏเตม็ ดวงบริเวณหวั ของสิงโต ท่ีเรียกวา่ มาฆฤกษ์ กลุ่มดาวสิงโต เป็ นกลุ่มดาวอนั ดบั ที่หา้ ของกลุ่มดาวจกั รราศี เป็ นกลุ่มดาวท่ีอยูใ่ นแนวสุริยวิถีที่สังเกต และ จดจาไดง้ ่ายโดยรูปสิงโตของกลุ่มดาวสิงโต จะหนั หนา้ ไปทางทิศตะวนั ตก ดาวในส่วนหวั ของสิงโตจะเรียง กนั เป็ นรูปเครื่องหมายคาถามกลบั ดา้ น(Reversed Question Mark) โดยมีดาวฤกษส์ ุกสวา่ งคือ ดาวเรกูลสั ซ่ึง จะอยู่ตรงตาแหน่งหัวใจของสิงโต จึงมีอีกชื่อหน่ึงว่า ดาวหัวใจสิงห์ มีดาวที่สาคญั ดงั น้ี Regulus or Cor Leonic ดาวหัวใจสิ งห์ (ดาวเรกูลัส) เป็ นดาวฤกษ์สี น้ าเงิน-ขาวท่ีอยู่บนแนวสุ ริ ยวิถี มีความสว่าง ประมาณ 1.35 เป็ นดาวฤกษท์ ่ีสว่างเป็ นอนั ดบั 21 ของทอ้ งฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลกประมาณ 77 ปี แสง ช่ือดาว Regulus หมายถึง หัวใจสิงห์ เป็ นดาวหน่ึงในสี่ของดาวราชาท้งั สี่ (The Four Royal Stars) ซ่ึง
ประกอบดว้ ย ดาวหัวใจสิงห์ ดาวตาววั ดาวปาริชาต และดาวโฟมาออท ซ่ึงแต่ละดวงจะแบ่งเส้นรอบวง ทอ้ งฟ้าออกเป็ น 4 ส่วน โดยอยูห่ ่างพอๆกนั ประมาณคร่ึงทอ้ งฟ้า (90 องศา) ทาให้เรามองเห็นดาวราชาอยา่ ง นอ้ ย 1 คู่เสมอ นอกจากน้ีดาวหวั ใจสิงห์เป็นดาวคู่โดยโคจรรอบดาวฤกษอ์ ีกดวงซ่ึงกนั และกนั พอมองเห็นได้ ดว้ ยกลอ้ งสองตา Denebola ดาวเดเนบโบลา มีความสวา่ งประมาณ 2.14 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 36 ปี แสง ชื่อดาว หมายถึง หางสิงโต (The lion's tail) ซ่ึงอยู่ในตาแหน่งหางสิงโตพอดีโดยดาว Denebola เป็ นดาวคู่ เช่นกนั แต่ไม่สามารถเห็นดาวคู่ไดด้ ว้ ยกลอ้ งดูดาวขนาดเล็ก Algieba ดาวอลั จีบา เป็ นดาวคู่ มีความสว่าง ประมาณ 2.2 และ 3.47 สามารถเห็นดาวคู่ไดด้ ว้ ยกลอ้ งดูดาวขนาดเล็กอยูห่ ่างจากโลกประมาณ 126 ปี แสง โคจรรอบซ่ึงกนั และกนั โดยใช้เวลาประมาณ 620 ปี ต่อรอบ ช่ือดาวหมายถึง หนา้ ผาก (The Forehead) แต่ จริ งๆแล้วอยู่ในตาแหน่งคอของสิงโต นอกจากน้ีเราสามารถเห็นฝนดาวตกสิงโต (Leonid Meteor Shower) ไดต้ รงตาแหน่งประมาณ 2 องศาไปทางดา้ นตะวนั ตกเฉียงเหนือของดาวดวงน้ีโดยจะเห็นมากสุด ทุก 33 ปี โดยคร้ังล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999) Adhafera ดาวแอดฮาเฟอรา เป็ นดาวคู่เช่นกนั อยู่ห่างจาก โลกประมาณ 260 ปี แสงโดยที่อีกดวงมีความสว่างประมาณ 6 พอมองเห็นดาวคู่ได้ด้วยกล้องสอง ตา M95 M96 M105 - The Galaxy M95 และ M96 เป็ นกาแลกซีแบบกงั หนั (Spiral Galaxy) ส่วนM105 เป็ น กาแลกซีแบบทรงกลม (Elliptical Galaxy) กล้องสองตา อยู่ห่างจากดาวหัวใจสิงห์ ไปทางตะวนั ออก ประมาณ 9 องศาอยหู่ ่างจากโลกประมาณ 30 ลา้ นปี แสงจากกาแลกซีทางชา้ งเผอื กมีความสวา่ งประมาณ 9.7, 9.2 และ 9.3 ตามลาดบั นิทานดาว สิงโต เป็ นราชาหรือเจา้ แห่งสัตวป์ ่ าของโลก ออกล่าเหยอื่ รบกวนชาวบา้ น จึงถูกฆ่าโดย เฮอร์คิวลิส (Hercules) แตเ่ น่ืองจากสิงโตตวั น้ี มีหนงั หนาและเหนียว ฟันแทงไมเ่ ขา้ จึงถูกเฮอร์คิวลิสฆ่า โดย ลอ็ คคอดว้ ยมือเปล่า (Headlock) จากน้นั เฮอร์คิวลิสก็ถลกหนงั โดยใชเ้ ลบ็ ของสิงโตเอง จากน้นั ก็เอาหนงั มา ทาเครื่องแต่งกาย และเกราะ ทาให้เฮอร์คิวลิสดูน่าเกรงขาม จากน้นั Selene เทพธิดาแห่งดวงจนั ทร์ ไดน้ า สิงโตข้ึนไปอยูบ่ นทอ้ งฟ้า เป็ นหน่ึงในกลุ่มดาวจกั ราศี โดยท่ีสิงโตจะวิ่งหนีเฮอร์คิวลิสตลอดเวลา โดยสิงโต อยสู่ ูงสุดบนทอ้ งฟ้า ในขณะท่ีเฮอร์คิวลิสกาลงั ข้ึน และตกในขณะท่ีเฮอร์คิวลิส อยสู่ ูงสุดบนทอ้ งฟ้าเสมอ 5. กล่มุ ดาวหญงิ สาวพรหมจารี ( VIRGO ) – ราศีกนั ย์ (17 กนั ยายน - 16 ตุลาคม) กลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็ นกลุ่มดาวจกั รราศีท่ีดวงอาทิตยจ์ ะเคล่ือนท่ีผา่ นระหวา่ งวนั ท่ี 17 กนั ยายน ถึง วนั ท่ี 1 พฤศจิกายน ถือวา่ เป็ นกลุ่มดาวจกั รราศีที่ดวงอาทิตยใ์ ชเ้ วลาเคล่ือนท่ีผ่านนานที่สุด คือ 46 วนั รองลงมาคือ กลุ่มดาวววั 39 วนั ประกอบดว้ ยดาวฤกษเ์ รียงต่อกนั อยา่ งนอ้ ย 11 ดวง มีกลุ่มดาวที่สวา่ ง
มากอยู่ 6 ดวงเรียงกนั เป็ นรูปตวั วาย ดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด คือ ดาวสไปก้า ( SPICA ) เป็ นดาวฤกษ์สีขาว เหลือง มีหมายถึง รวงขา้ วสาลีที่หญิงสาวถือไวใ้ นมีซ้าย มีความสว่าง 0.97 และอยูใ่ ตเ้ ส้นสุริยะวิถีเล็กนอ้ ย เม่ือถึงวนั เพญ็ ข้ึน 15 ค่า เดือน 5 ดวงจนั ทร์จะตรงกบั ดาวสไปกา้ พอดี จึงเรียกวา่ จิตรฤกษ์ กลุ่มดาวหญิงสาว หรือกลุ่มดาวหญิงสาวพรหมจารี เป็ นกลุ่มดาวอนั ดบั ที่หกของกลุ่มดาวจกั รราศี มีพ้ืนที่ ใหญ่เป็ นอนั ดบั ที่สองรองจากกลุ่มดาวงูไฮดรา (Hydra) กลุ่มดาวหญิงสาว อยทู่ างซีกฟ้าใต้ มีลาตวั ทอดยาว ขนานไปตามแนวสุริยวถิ ี (อยดู่ า้ นเหนือของสุริยะวถิ ี) มีดาวฤกษส์ ุกสวา่ ง คือ ดาวรวงขา้ ว เป็นดาวฤกษท์ ่ีเห็น ได้เด่นชดั และหาไดง้ ่าย โดยกลุ่มดาวหญิงสาว จะข้ึนไปสูงสุดกลางทอ้ งฟ้า ประมาณเที่ยงคืนของเดือน เมษายน มีดาวท่ีสาคญั ดงั น้ี Spica ดาวรวงขา้ ว หรือดาวสไปกา เป็นดาวแปรแสง มีความสวา่ งระหวา่ ง 0.97- 1.04 อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 262 ปี แสง ดาวรวงขา้ ว อยใู่ นตาแหน่งกา้ นของรวงขา้ ว ที่หญิงสาวถือไวด้ ว้ ย มือซ้าย คาวา่ Spica มาจากภาษาอารบิก หมายถึง ไม่สามารถสู้ได้ (Defenceless or unarmed one) เน่ืองจาก ไม่มีดาวฤกษ์ที่สว่างใดใกล้เคียงบริเวณน้ันและถ้ามองไปตามแนวสุริยวิถีจะพบว่า ดาวรวงขา้ วจะอยู่ ประมาณก่ึงกลางระหวา่ ง ดาวหวั ใจสิงห์ และดาวปาริชาตโดยห่างไปประมาณ 50 องศา Zavijava ดาวซานิซ จาวา เป็ นดาวฤกษ์สีเหลืองมีความสวา่ งประมาณ 3.8 ปัจจุบนั จุด Autumnal Equnix ก็อยู่ใกลก้ บั ดาวดวงน้ี มากท่ีสุด Porrima ดาวพอร์ริมา เป็ นดาวคู่ มีความสวา่ งรวมประมาณ 2.76 สามารถเห็นท้งั คู่ไดด้ ว้ ยกลอ้ งดูดาว หรือกลอ้ งโทรทรรศน์ขนาดเล็กท้งั คู่มีความสว่างประมาณ 3.5 ท้งั สองดวง โคจรรอบซ่ึงกนั และกนั ใช้เวลา ประมาณ 169 ปี ต่อรอบอยู่ห่างจากโลกประมาณ 39 ปี แสง ช่ือดาว พอร์ริมา เป็ นช่ือเทพธิดาแห่งการทานายใน สมยั โรมนั (the Roman Goddess of Prophecy) ดาวดวงน้ี มีอีกชื่อหน่ึงว่า Carmenta Auva เป็ นดาวฤกษ์ยกั ษส์ ีแดง มีความสวา่ งประมาณ 3.38 อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 202 ปี แสง มีอีกชื่อหน่ึงวา่ Minalava Vindemiatrix ดาววิน ดามิอาทริกซ์ มีความสวา่ งประมาณ 2.83 อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 102 ปี แสง อยใู่ นตาแหน่งแขนขวาของหญิง สาว ชื่อดาวมาจากภาษาละติน หมายถึง ผเู้ กบ็ เก่ียวตน้ องุ่น (The femaie grape-gatherer) ซ่ึงในอดีต ดาวดวงน้ี เป็ นสัญญาณบอกถึง การเขา้ สู่ฤดูการทาไวน์นน่ั เอง The Virgo Cluster of Galaxies กระจุกกาแล็กซีในกลุ่ม ดาวหญิงสาวเป็ นกระจุกดาวที่มีกาแล็กซีจานวนมาก ในกลุ่มดาวหญิงสาว อยใู่ นบริเวณศีรษะของหญิงสาว ระหว่างกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices)และกลุ่มดาวนกกา (Corvus) ห่างจากโลกโดยเฉล่ีย ประมาณ 65 ปี แสง มีความสวา่ งระหวา่ งช่วง 8.6-11.9 ไดแ้ ก่ M49, M58, M59, M60, M61, M84, M86, M87, M89, M90, M104 เป็ นต้น M87 - The Virgo A Galaxy มีชื่ อว่า The Virgo A Galaxy มีความสว่าง
ประมาณ 8.6 เป็ นกาแล็กซีแบบทรงกลม (The Elliptical Galaxy) ประเภท E0 ที่สว่างที่สุด ในกลุ่มดาวหญิง สาว อยูร่ ะหวา่ งแนวต่อระหวา่ ง กลุ่มดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวผมของเบเรนิซ (Coma Berenices) และจะมี กาแล็กซี และกระจุกดาวทรงกลมมากมาย รอบๆบริเวณน้ี M104 - The Sombrero Galaxy เป็ นกาแล็กซีท่ีมี ความสว่าง อยู่ในอนั ดบั ตน้ ๆ ของกลุ่มดาวหญิงสาวเป็ นกาแล็กซีแบบมีแขน (Spiral Galaxy) ประเภท Sa ถา้ กลอ้ งโทรทรรศน์ มีกาลงั ขยายพอ จะเห็นเป็ นแถบดา คาดอยูก่ ลางกาแล็กซีน้ี อยรู่ ะหวา่ งแนวต่อระหวา่ ง กลุ่ม ดาวหญิงสาว และกลุ่มดาวนกกา (Corvus) นิทานดาว เทพธิดาแอสเตรีย เป็ นลูกสาวของจูปิ เตอร์และเทมิส เธอลงมาจากสวรรค์ พร้อมนอ้ งสาว ช่ือว่า พูดิซิเตรีย ท้งั คู่ไร้เดียงสา ไม่รับประทานเน้ือสัตว์ เทพธิดาแอสเตรีย เป็ นเทพธิดาแห่งความยุติธรรม เธอปรารถนาใหโ้ ลกร่มเยน็ ไม่เบียดเบียนกนั และกนั แต่มนุษยก์ ลบั รบราฆ่าฟันกนั ขโมยขา้ วของ กดขี่ข่ม เหง เธอทนไม่ไดจ้ ึงหนีเขา้ ไปอยใู่ นป่ า จนในที่สุด ตอ้ งหนีกลบั สวรรค์ โดยจะปรากฏใหเ้ ห็นเฉพาะ คนที่รัก และใฝ่ หาสันติภาพ กบั ความยุติธรรมเท่าน้นั และเพ่ือเป็ นเครื่องเตือนสติ เธอจึงบดรวงขา้ ว แลว้ หวา่ นเมล็ด ขา้ ว ไปรอบฟ้า กลายเป็นทางชา้ งเผอื กท่ีสวยงาม ร่มเยน็ และสนั ติสุข 6. กลุ่มดาวคนั ช่ัง ( LIBRA ) – ราศีตุล (17 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน) กลุ่มดาวคนั ชงั่ เป็นกลุ่มดาวที่เป็นส่ิงของกลุ่มดาวเดียวในกลุ่มดาวจกั รราศี เป็นกลุ่มดาวซีกฟ้าดา้ น ทิศใต้ อยูถ่ ดั จากหวั แมงป่ องไปทางทิศตะวนั ตก ประกอบดว้ ยดาวฤกษแ์ สงริบหร่ีอย่างนอ้ ย 6 ดวง เรียงกนั คลา้ ยวา่ วปักเป้า ดวงอาทิตยจ์ ะผา่ นกลุ่มดาวคนั ชงั่ ระหวา่ งวนั ที่ 1 ถึง 21 พฤศจิกายน มองเห็นไดไ้ ม่ชดั เจน บนทอ้ งฟ้า ตอ้ งใชก้ ลุ่มดาวแมงป่ อง หรือ กลุ่มดาวรวงขา้ วช่วยในการคน้ หา ซ่ึงสามารถเห็นกลุ่มดาวคนั ชง่ั ไดต้ ลอดคืนในเดือนพฤษภาคม 7. กล่มุ ดาวแมงป่ อง ( SCOPIUS ) – ราศีพจิ ิก (16 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม)
กลุ่มดาวแมงป่ อง ปรากฏอยทู่ างตะวนั ตกของกลุ่มดาวคนยงิ ธนู เป็นกลุ่มดาวทางซีกฟ้าดา้ นใต้ ซ่ึงดวง อาทิตยจ์ ะโคจรผา่ นระหวา่ งวนั ท่ี 23 ถึง 30 พฤศจิกายน กลุ่มดาวแมงป่ องประกอบดว้ ยดาวฤกษอ์ ย่างนอ้ ย 15 ดวง โดยดวงท่ีเห็นไดช้ ดั เจนท่ีสุดเป็นดาวฤกษส์ ีแดง ช่ือ แอนทาเรส ( ANTARES ) แปลวา่ คู่แขง่ ของดาวองั คาร เป็ นดาวแปรแสงแฝดคู่ขนาดยกั ษ์ มีเส้นผ่านศูนยก์ ลาง 700 เท่าของดวงอาทิตย์ คนไทยเรียกดาวดวงน้ีวา่ ดาว ปาริชาต กลุ่มดาวแมงป่ อง เป็ นกลุ่มดาวท่ีมีดาวฤกษเ์ รียงตวั ปรากฏเป็ นรูปแมงป่ องอยา่ งชดั เจนมาก ปรากฏอยู่ ทางทิศตะวนั ตกของกลุ่มดาวคนยิงธนู ทางซีกฟ้าด้านใตแ้ ละเป็ นกลุ่มดาวแนวกาแล็กซี่ทางช้างเผือก ( The Milky Way ) พาดผา่ น ดวงอาทิตยจ์ ะผา่ นกลุ่มดาวแมงป่ องระหวา่ งวนั ท่ี 23 ถึง 30 พฤศจิกายน กลุ่มดาวแมงป่ อง ประกอบไปดว้ ยดาวฤกษอ์ ยา่ งน้อย 15 ดวง โดย 3 ดวงแรกเป็ นหัว ถดั ไปอีก 4 ดวงเป็ นลาตวั และท่ีเหลือเป็ น ส่วนหาง กลุ่มดาวแมงป่ องน้ีจะอยู่บนทอ้ งฟ้านานถึงคืนละ 8 ช่ัวโมง ดาวที่สาคญั ในกลุ่มดาวแมงป่ อง มี ดงั น้ี Antares ดาวแอนทาเรส เป็นดาวฤกษย์ กั ษส์ ีแดง ( Supergiant ) มีขนาดใหญ่กวา่ ดวงอาทิตย์ประมาณ 700 เท่า เป็ นดาวคู่ มีความสว่าง 0.9 ซ่ึงเป็ นดาวฤกษ์ท่ีสว่างเป็ นอนั ดบั 15 ของทอ้ งฟ้าตอนกลางคืน อยู่ห่างจากโลก ประมาณ 604 ปี แสง ชื่อดาวหมายถึง คู่แข่งของดาวองั คาร ( the Rival to Ares ) เนื่องจากมีสีแดงคลา้ ยดาวองั คาร นนั่ เอง นอกจากน้ียงั มีอีกชื่อหน่ึงว่า Cor Scorpii ซ่ึงหมายถึง หัวใจแมงป่ อง ( the Heart of Scorpion ) ส่วนคน ไทยเรียกช่ือดาวดวงน้ีว่า ดาวปาริชาต Acrab or Graffias เป็ นดาวในระบบดาวคู่ท่ีอยู่ใกล้กันมาก มีความ สว่าง 2.62 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 530 ปี แสง Dschubba เป็ นดาวในระบบดาวคู่ที่อยู่ใกล้กันมาก มีความ สว่าง 2.32 อยู่ห่างจากโลกประมาณ 522 ปี แสง ชื่อดาวหมายถึง หน้าผากของแมงป่ อง ( the Forehead of the Scorpion )Shaula เป็นดาวแปรแสง มีความสวา่ ง 1.59-1.65 คาบประมาณ 0.21 วนั อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 359 ปี แสง ชื่อดาวหมายถึง หางเหล็กไนของแมงป่ อง ( Sting ) Sargas มีความสวา่ ง 1.87 อยหู่ ่างจากโลกประมาณ 272 ปี แสง Lesath มีความสว่าง 2.69 อยูห่ ่างจากโลกประมาณ 518 ปี แสง นอกจากน้ีในกลุ่มดาวแมงป่ องยงั มีกระจุก ดาวและเนบิวลาท่ีสาคญั ดงั น้ี M6เป็ นกระจุกดาวเปิ ดมีความสวา่ งประมาณ 4.2 พอมองเห็นไดด้ ว้ ยตาเปล่า M7 เป็ นกระจุกดาวเปิ ดมีความสว่างประมาณ 3.3 ซ่ึงสว่างกว่า M6 พอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าIC4606 The Red Nebulaเป็ นเนบิวลาสีแดง ( The reddish Nebula )อยู่รอบๆดาวปาริชาตมองเห็นไดด้ ว้ ยกลอ้ งดูดาวห่างจากโลก ประมาณ 7,000 ปี IC4604 The Bluish Purple Nebulaเป็นเนบิวลาสีม่วง อยรู่ อบๆดาวโรห์ซ่ึงจริงๆแลว้ อยใู่ นกลุ่ม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179