Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนธ.ศ.ตรีฉบับศูนย์พระสงฆ์

หนังสือเรียนธ.ศ.ตรีฉบับศูนย์พระสงฆ์

Published by suttasilo, 2021-06-24 07:08:58

Description: หนังสือเรียนธ.ศ.ตรีฉบับศูนย์พระสงฆ์

Keywords: ธรรมศึกษาตรี

Search

Read the Text Version

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๕๐ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม วตั ถปุ ระสงค์ ๑. มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในวชิ าพุทธประวตั ิ ๒. เหน็ คุณประโยชน์ และศรทั ธาในพระพุทธศาสนาย่งิ ข้ ึน ๓. นําแบบอยา่ งทดี่ ใี นพทุ ธประวตั ิไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาํ วนั ได้ ๔. สามารถแนะนําผูอ้ ่ืนใหป้ ฏบิ ตั ติ ามได้ กิจกรรม ๑. อา่ นเน้ ือหาประจาํ บทเรยี นจากหนังสอื คู่มอื ธรรมศกึ ษาตรี ๒. ทดลองทาํ ปัญหากอ่ นเรียนและหลงั เรียน ๓. ฟังบรรยายในหอ้ งเรียน ๔. ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ ่วมวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณต์ ่าง ๆ ในระหวา่ งเรียน ๕. คน้ ควา้ เพม่ิ เติมจากหนังสอื ทแี่ นะนําทา้ ยเล่ม ประเมินผล ๑. ทาํ แบบทดสอบก่อน - หลงั เรยี น ๒. จากการทาํ กจิ กรรมในหอ้ งเรยี น ๓. จากการสอบธรรมสนามหลวง ๔. ผูเ้ รียนมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ และศรทั ธาในพุทธศาสนา นําพทุ ธจริยาไปเป็ นแบบประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจาํ วนั แบบทดสอบกอ่ นเรยี น สปั ดาหท์ ี่ ๓

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๕๑ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม คาํ สงั ่ : ใหท้ าํ เครื่องหมายกากบาท (x) หน้าคาํ ตอบทถ่ี กู ทสี่ ดุ เพยี งคาํ ตอบเดียว ๑. พระพทุ ธเจา้ ทรงปลงอายุสงั ขาร ณ สถานท่ใี ด ? ก. ปาวาลเจดีย์ ข. สาลวโนทยาน ค. มกุฏพนั ธนเจดีย์ ง. ริมฝัง่ แมน่ ้ําอโนมา ๒. พระพทุ ธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรนิ ิพพานทีเ่ มอื งใด ? ก. เมอื งปาวา ข. เมอื งพาราณสี ค. เมอื งปาฏลีบุตร ง. เมอื งกุสินารา ๓. ก่อนเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานพระองคต์ ้งั ใครเป็ นศาสดาแทน ? ก. พระอานนท์ ข. พระสารีบตุ ร ค. พระธรรมวนิ ัย ง. พระโมคคลั ลานะ ๔. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ ี มใิ ช่สงั เวชนียสถาน ? ก. สถานทีป่ ระสตู ิ ข. สถานทีต่ รสั รู้ ค. สถานท่ปี ลงพระชนมายุสงั ขาร ง. สถานทีป่ รินิพพาน ๕. พระบรมศาสดาปรินิพพานท่ใี ด ? ก. สาลวโนทยาน ข. ป่ าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ค. รมิ ฝัง่ แมน่ ้ําอโนมา ง. มกุฏพนั ธนเจดีย์ ๖. กอ่ นปรนิ ิพพานพระองคท์ รงระงบั เวทนาดว้ ยธรรมอะไร ? ก. อิทธิบาท ๔ ข. อธิวาสนขนั ติ ค. อริยสจั ๔ ง. ความไมป่ ระมาท ๗. ใครเป็ นผูถ้ วายบิณฑบาตแด่พระพุทธเจา้ เป็ นคนสดุ ทา้ ย ? ก. อนาถปิ ณฑกิ เศรษฐี ข. นายจุนทะ ค. นางวสิ าขา ง. นางสุชาดา ๘. พระพุทธเจา้ ทรงบาํ เพญ็ พุทธกิจอยกู่ ่ีพรรษา จงึ ปรินิพพาน ? ก. ๒๙ พรรษา ข. ๔๕ พรรษา ค. ๖๕ พรรษา ง. ๘๐ พรรษา ๙. ปัจฉิมโอวาท พระพุทธเจา้ ทรงแสดงเกยี่ วกบั อะไร ?

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๕๒ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม ก. ความไมป่ ระมาท ข. ความเพยี ร ค. ความทุกข์ ง. ความสามคั คี ๑๐. ใครเป็ นพระสาวกองคส์ ุดทา้ ย ? ก. อปุ กาชีวก ข. โกลิตปริพาชก ค. สุภทั ทวฑุ ฒบรรพชิต ง. สุภทั ทปรพิ าชก ๑๑. พระพทุ ธองคต์ รสั เรอ่ื งการปฏบิ ตั ติ อ่ สตรแี ก่ใคร ? ก. พระมหากสั สปะ ข. พระสารีบตุ ร ค. พระอนุรุทธะ ง. พระอานนท์ ๑๒. ใครเป็ นผูก้ ล่าวจว้ งจาบพระธรรมวนิ ัย หลงั จากทราบข่าวการปรนิ ิพพาน ? ก. พระราธะ ข. พระสุภทั ทะ ค. พระอนุรุทธะ ง. พระอทุ ายี ๑๓. วนั ถวายพระเพลิงพระบรมศพ เรียกอีกอยา่ งวา่ ? ก. วนั มาฆบชู า ข. วนั วสิ าขบชู า ค. วนั อฏั ฐมบี ูชา ง. วนั อาสาฬหบูชา ๑๔. ผูท้ าํ ใหก้ ารแบง่ พระบรมสารีริกธาตเุ ป็ นไปดว้ ยดีคือใคร ? ก. พระอานนท์ ข. โทณพราหมณ์ ค. พระมหากสั สปะ ง. พวกมลั ลกษัตริย์ ๑๕. สิง่ ที่สรา้ งข้ นึ เพื่อบรรจุคมั ภีรท์ างศาสนา เรยี กวา่ ...........? ก. ธาตเุ จดยี ์ ข. บริโภคเจดีย์ ค. ธรรมเจดีย์ ง. อทุ เทสกิ เจดยี ์ ๑๖. สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บลจดั เขา้ ในเจดียช์ นิดใด ? ก. ธาตุเจดีย์ ข. บรโิ ภคเจดยี ์ ค. ธรรมเจดีย์ ง. อทุ เทสิกเจดยี ์ ๑๗. พระเถระรูปใดทเี่ ป็ นประธานสงฆ์ในการทาํ สงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ ?

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๕๓ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพอื่ พฒั นาสงั คม ก. พระมหากสั สปะเถระ ข. พระสารีบุตรเถระ ค. พระอานนทเถระ ง. พระโมคคลั ลานะเถระ ๑๘. การกสงฆใ์ นการทาํ สงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ มกี ่รี ูป ? ก. ๕๐๐ รปู ข. ๗๐๐ รปู ค. ๑,๐๐๐ รปู ง. ๑,๕๐๐ รูป ๑๙. สงั คายนาคร้งั ที่ ๑ ทาํ หลังพระพุทธเจา้ ปรินิพพาน...... ? ก. ๓ เดือน ข. ๕ เดือน ค. ๗ เดอื น ง. ๑ ปี ๒๐. พระเถระรูปใดที่นําพระพุทธศาสนามาสสู่ ุวรรณภมู ิ ? ก. พระสารบี ตุ รและพระโมคคลั ลานะ ข. พระอานนทแ์ ละพระอนุรทุ ธะ ค. พระโสณะและพระอุตตระ ง. พระธมั มรกั ขิตเถระ ปัจฉิมโพธกิ าล หลังจากพระองค์ไดต้ รสั รูพ้ ระอนุตตรสมั มาสัมโพธิญาณแลว้ ไดป้ ระกาศ ศาสนาทรงประดิษฐานบริษัทท้ัง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ใหด้ าํ รง อยใู่ นพระสทั ธรรม เพ่อื ประโยชน์แก่ชนท้งั หลาย เป็ นเวลาท้งั ส้ นิ ๔๕ ปี ในพรรษา ท่ี ๔๕ พระองคเ์ สดจ็ จาํ พรรษา ณ บา้ นเวฬุวคาม ทรงปลงอายุสงั ขาร คร้งั น้ัน พระองคเ์ สด็จจากอัมพปาลีวนั ซ่ึงนางอัมพปาลีคณิกาถวายเป็ น สงั ฆารามแลว้ เสดจ็ พรอ้ มหมภู่ ิกษุสงฆ์ ถึงบา้ นเวฬุวคาม ในเขตเมอื งไพสาลี ตรัส ใหภ้ กิ ษุจาํ พรรษาตามอธั ยาศยั ส่วนพระองคท์ รงจาํ พรรษา ณ บา้ นเวฬุวคาม ภายในพรรษาพระองค์ทรงพระประชวรชราพาธกลา้ แต่กลับหายดว้ ย กาํ ลังอิทธบิ าทภาวนา พระองคท์ รงสงั่ สอนภิกษุดว้ ยสติปัฏฐานภาวนาและปกิณก เทศนา บาํ เพ็ญพุทธกจิ ตลอดสามเดือนฤดูฝน

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๕๔ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่ือพฒั นาสงั คม ในพรรษาน้ันพระองคแ์ สดงนิมติ อันชัดถึงอานุภาพแห่งอิทธิบาทภาวนา ว่าสามารถทําใหผ้ ูเ้ จริญดํารงอยู่อายุกัปหนึ่ง หรือมากกว่าน้ัน แต่มารเขา้ ดลใจ พระอานนทเ์ สีย จงึ ไมส่ ามารถเขา้ ใจความในนิมิตน้ัน พระองคจ์ งึ ขบั พระอานนท์ เสียจากท่ีน้ัน เม่ือพระอานนท์ไปแลว้ มารไดเ้ ขา้ ไปเฝ้าพระองคย์ กความแต่หนหลังท่ี พระองคต์ รสั รูใ้ หมๆ่ ขณะทป่ี ระทบั ควงไมอ้ ชปาลนิโครธ ซ่ึงพระองคต์ รสั วา่ “หาก บริษทั ๔ ไม่ฉลาดในธรรม และพรหมจรรยไ์ ม่ประกาศแพรห่ ลาย ท้งั เทพย ดาและมนุษย์ พระองคจ์ ะไม่ปรินิพพาน” บัดน้ ี ปริสสมบัติและพรหมจรรยก์ ็ สมบูรณ์ทุกประการแลว้ ขอพระองค์ทรงปรินิพพานเถิด พระองค์ตรัสวา่ “ดูก่อน มารผูใ้ จบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด อีก ๓ เดือนแต่น้ ีตถาคตจัก ปรินิพพาน” พระองคม์ พี ระสติสมั ปชญั ญะ ปลงอายสุ งั ขาร ณ ปาวาลเจดยี ์ พระองคต์ รสั เหตุ ๘ ประการทท่ี าํ ใหเ้ กดิ แผน่ ดนิ ไหวใหญ่ ๑. ลมกาํ เริบ ๒. ทา่ นผูม้ ฤี ทธ์บิ นั ดาล ๓. พระโพธิสตั วจ์ ตุ ิจากดุสิตลงสพู่ ระครรภม์ ารดา ๔. พระโพธสิ ตั วป์ ระสูติ ๕. พระตถาคตเจา้ ตรสั รู้ ๖. พระตถาคตเจา้ แสดงพระธรรมจกั ร ๗. พระตถาคตเจา้ ปลงอายสุ งั ขาร ๘. พระตถาคตเจา้ ปรนิ ิพพาน พระองค์ทรงเล่าเหตุการณ์แต่หนหลังคร้ังประทับ ณ อชปาลนิโครธ และเล่า เรื่องที่มารทูลเชิญใหป้ รินิพพาน พระอานนท์ทราบดังน้ันจึงทูลอาราธนาพระผูม้ ีพระ ภาคเจา้ ใหด้ าํ รงพระชนม์อยู่กปั หนึ่ง เพ่ือประโยชน์แก่คนเป็ นอนั มาก พระองคป์ ฏิเสธ พระอานนท์กราบทูลถึงสามคร้ัง พระองค์จึงบอกว่า พระองค์ให้โอกาสพระอานนท์ แลว้ แต่พระอานนทไ์ มว่ งิ วอนในขณะน้ัน จงึ เป็ นความผิดของพระอานนท์

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๕๕ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพอื่ พฒั นาสงั คม ประทานโอวาทแกภ่ กิ ษุสงฆ์ เสด็จกูฏาคารศาลา ป่ ามหาวนั เมืองเวสาลี ประทบั ณ อุปัฏฐากศาลา โรงฉัน ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ดว้ ยอภิญญาเทสิตธรรม (โพธิปักขิยธรรม ๓๗) และทรงแสดงสงั เวคกถาและอปั ปมาทธรรมแก่ภิกษุท้งั หลายวา่ “ดูก่อนภิกษุ ท้งั หลาย บดั น้ ีเราเตือนเธอท้งั หลายใหร้ วู้ ่า สงั ขารท้งั ปวงลว้ นมคี วามเสอ่ื มไปเป็ น ธรรมดา เธอท้งั หลายจงยังความไมป่ ระมาทใหถ้ ึงพรอ้ มเถิด จากน้ ีไปอกี ๓ เดือน ตถาคตจกั ปรนิ ิพพาน” ร่งุ เชา้ พระองคก์ ลับจากบิณฑบาต ทรงหยุดยนื แลว้ ผินพระพกั ตรก์ ลับมา ทอดพระเนตรเมืองไพสาลีเป็ นนาคาวโลก(มองอย่างชา้ งเหลียวหลัง) ทรงรับสัง่ กับพระอานนท์วา่ “อานนท์ การเห็นเมอื งไพสาลีของพระตถาคตคร้ังน้ ี เป็ นคร้งั สดุ ทา้ ยแลว้ ” เสด็จพุทธดําเนินถึงบา้ นภัณฑุคาม เสด็จประทับ ณ ที่นั่น แล้วตรัส เทศนาแสดงอริยธรรม ๔ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ โดยใจความวา่ ไตรสิกขา คือศลี สมาธิ ปัญญา เป็ นปฏปิ ทาแหง่ วมิ ตุ ต(ิ ความหลุดพน้ ) วมิ ุตติเป็ น แกน่ แหง่ พระธรรมวนิ ัย ผูจ้ ะบรรลุวมิ ตุ ตไิ ดน้ ้ันตอ้ งทาํ ไตรสกิ ขาใหบ้ ริบรู ณ์ ประทับ ณ บา้ นภัณฑุคามตามอัธยาศัยแล้ว เสด็จไปยังบา้ นหัตถีคาม บา้ นอมั พคามและชัมพุคาม เสด็จต่อไปยงั โภคนคร ประทับ ณ อานันทเจดีย์ใน เขตโภคนคร ตรสั มหาประเทศ ๔ ประการเพื่อเป็ นเครือ่ งวนิ ิจฉัยพระธรรมวนิ ัย ปัจฉิมบิณฑบาต สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถพรอ้ มดว้ ยหมู่พระภิกษุสงฆ์ เสด็จถึงปาวา นคร ประทับอยู่ ณ อัมพวนั ป่ าไมม้ ะมว่ งของนายจุนทะ บุตรนายช่างทอง ตรสั ธรรมกี ถาใหน้ ายจุนทะกมั มารบุตรเห็นในทางกรรมและวบิ าก ใหถ้ ือมนั่ ในกุศล จริยา ใหก้ ลา้ หาญร่ืนเริงในธรรมจริยาปฏิบตั ิ นายจุนทะ กัมมารบุตรทูลเชิญรับ ภตั ตาหารในวนั รุ่งข้ ึน รุ่งเชา้ ของวันอังคารข้ ึน ๑๕ คํา่ เดือน ๖ ปี มะเส็ง พระองค์เสด็จจาก อมั พวนั ถึงเคหสถานของนายจุนทะ พระองคต์ รสั เรียกนายจุนทะว่า “ดูก่อนจุนทะ

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๕๖ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม สกุ รมทั วะอนั ใดท่านไดต้ กแต่งไวเ้ ป็ นอาหารบิณฑบาต ทา่ นจงองั คาสเรา สว่ นขาทนียะ โภชนียะอันใดท่ีท่านตกแต่งไวเ้ ป็ นบิณฑบาต ท่านจงอังคาสพระภิกษุสงฆเ์ ถิด” คร้นั เสร็จภตั ตกิจแลว้ ตรัสเรียกนายจุนทะใหน้ ําสุกรมทั วะท่ีเหลือไปฝังเสีย เพราะคน อื่นนอกจากพระตถาคตเจา้ แลว้ ไมส่ ามารถทจ่ี ะย่อยสกุ รมทั ทวะน้ันได้ ทรงพระประชวร พระองค์เสวยภัตตาหารของนายจุนทะแลว้ ก็เกิดอาพาธกลา้ ทรงพระ ประชวรลงพระโลหิต พระองคท์ รงอดกล้ันดว้ ยขนั ติธรรม ตรสั ชวนพระอานนท์ไป เมอื งกุสนิ ารา ระหวา่ งทางแวะประทบั รม่ พฤกษา รบั สงั่ ใหพ้ ระอานนทไ์ ปหาน้ํามา ขณะน้ัน ปุกกุสะ บุตรแห่งมลั ละกษัตริย์ ผูเ้ ป็ นสาวกของอาฬารดาบส กาลามโคตร ออกจากเมอื งกุสนิ าราจะไปยงั ปาวานคร เหน็ พระพทุ ธเจา้ ประทบั ใต้ ร่มพฤกษา จึงเขา้ ไปถวายอภิวาท ไดฟ้ ังสนั ติวิหารธรรม เกิดเล่ือมใส น้อมถวาย ผา้ สิงคิวรรณคูห่ นึ่ง พระองคท์ รงรบั ผืนหนึ่ง และใหถ้ วายพระอานนทผ์ ืนหนึ่ง ผิวกายพระตถาคตผ่องใสย่ิงใน ๒ กาล เมอื่ ปกุ กุสะไปแลว้ พระอานนทน์ ้อมผา้ สงิ คิวรรณเขา้ ไปถวายพระผูม้ ีพระ ภาคเจา้ ทนั ทีท่ีพระองคท์ รงครองผา้ สองผืนน้ัน ผิวกายของพระองค์ก็พลันเปล่ง ประกายรัศมีงามบริสุทธ์ิผุดผ่องยิ่งนัก พระอานนท์เห็นเช่นน้ันจึงกราบทูล สรรเสริญ พระองค์ตรัสว่า “ผิวกายแห่งพระตถาคตย่อมผุดผ่องย่ิงนักใน ๒ กาล คือในราตรีท่ีจะตรสั รูพ้ ระอนุตตรสมั มาสัมโพธิญาณ และในราตรีท่ีจะ ปรินิพพานดว้ ยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูก่อนอานนท์ ในยามท่ีสุดแห่งราตรนี ้ ี ความปรินิพพานแห่งพระตถาคต จกั มีระหว่างตน้ สาละท้ังคู่ ณ สาลวนั แห่งมัล ลกษัตรยิ ์ ดูก่อนอานนท์ เรามาไปพรอ้ มกนั ยงั แมน่ ้ํากกุธานที” บณิ ฑบาตทาน ๒ คราวมีผลเสมอกนั เสด็จถึงกกุธานที พระองค์เสด็จลงสนานแลว้ รับสัง่ ใหพ้ ระจุนทเถระปู ลาดผา้ สังฆาฏิ ทรงพระบรรทมสีหไสยาสน์พกั ผ่อนพระวรกาย เมื่อทรงบรรเทา ความเหน็ดเหน่ือยแลว้ จึงตรัสบอกพระอานนทว์ ่า “อานนท์ ต่อไปภายหน้า หาก

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๕๗ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพือ่ พฒั นาสงั คม จะมีใครทําความรอ้ นใจใหแ้ ก่จุนทะกัมมารบุตรโดยพูดว่า ‘ที่พระพุทธเจา้ ตอ้ ง ปรินิพพานน้ันก็เพราะเสวยอาหารบิณฑบาตของท่าน’ เธอจงระงับความรอ้ นใจ ของจุนทะดว้ ยพูดวา่ ‘ดกู ่อนจนุ ทะ เป็ นลาภของทา่ นแลว้ ท่ีไดถ้ วายบิณฑบาตเป็ น ครง้ั สุดทา้ ย แลว้ พระองคเ์ สด็จปรินิพพาน ดกู ่อนจนุ ทะ เราไดฟ้ ังมาต่อหนา้ พระ พกั ตรข์ องพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ว่า บิณฑบาต ๒ อยา่ งน้ ี มีผลเสมอกัน มีวิบากเสมอ กนั มีอานิสงสใ์ หญ่กวา่ บณิ ฑบาตท้งั หลาย คือบณิ ฑบาตใดพระตถาคตบริโภคแลว้ ตรัสรูพ้ ระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ บิณฑบาตใดพระตถาคตบริโภคแล้ว ปรินิพพานดว้ ยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑’ ดงั น้ ี” บรรทมอนุฏฐานไสยา พระองค์เสด็จขา้ มแม่น้ําหิรญั ญวดี(อจิรวดี) ถึงเมืองกุสินาราในเวลาเย็น ไดเ้ สด็จเขา้ ไปยังสาลวนั พระราชอทุ ยานของมลั ลกษัตริย์ ตรสั สงั่ พระอานนท์ใหป้ ู ลาดเตียงผนั พระเศียรไปทางทิศอุดร ระหว่างตน้ สาละคู่หนึ่ง เมื่อพระอานนท์ปู ลาดเตียงพระแท่นเรียบรอ้ ยแลว้ พระองคท์ รงสาํ เร็จสีหไสยาโดยพระปรศั วเ์ บ้ ือง ขวา ทรงซอ้ นพระบาทเหลื่อมดว้ ยพระบาท มพี ระสติสมั ปชญั ญะ แตม่ ไิ ดม้ อี ุฏฐาน สญั ญามนสิการ คือไม่คิดจะลุกข้ ึนอีกดว้ ยเป็ นไสยาวสาน(การนอนคร้งั สุดทา้ ย) เรยี กวา่ อนุฏฐานไสยา ทรงปรารภสกั การบูชา พระองคต์ รสั ยกยอ่ ง ปฏิบตั บิ ชู ามากกวา่ อามสิ บูชา เพราะการปฏิบตั บิ ูชา หรือการปฏิบตั ิธรรมน้ัน เป็ นสิ่งที่พระองคป์ ระสงค์และสามารถรักษาศาสนาให้ สถาพรดาํ รงอย่ไู ด้ ทรงแสดงความเป็ นไปแห่งเทวดา ก่อนท่ีพระองค์จะปรินิพพานน้ัน เทพยดาท้ังหลายมาประชุมพรอ้ มกัน เพ่ือท่ีจะเห็นพระพุทธเจา้ ก่อนปรนิ ิพพาน แต่พระอุปวาณะ พระอุปัฏฐากพระองค์ ยืนถวายงานพดั บงั อยู่ พระองคจ์ งึ ทรงรบั สงั่ ใหพ้ ระอปุ วาณะไปทอี่ ่นื มใิ หม้ ายืนอยู่

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๕๘ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพ่อื พฒั นาสงั คม เบ้ ืองหน้า พระอานนท์สงสัยจึงกราบทูลว่า พระอุปวาณะเป็ นพระอุปัฏฐากอยู่ ใกลช้ ิดพระองค์มานาน ทําไมเวลาสุดทา้ ยที่พระองค์จะปรินิพพานจึงมาขับพระ อุปวาณะไม่ให้ยืนอยู่เบ้ ืองหน้าเล่า พระองค์ตรัสว่า เทพยดาจํานวนมากมา เพื่อท่ีจะเห็นเราตถาคต แต่พระอุปวาณะบังอยู่ เทพยดาเหล่าน้ัน จึงยกโทษว่า “เราท้งั หลายมาจากท่ีไกลหวงั จะเห็นพระตถาคตเจา้ เพราะพระตถาคตเจา้ ย่อม บงั เกิดในโลกบางคร้งั บางคราว ความปรนิ ิพพานของพระตถาคตจกั มี ณ ทส่ี ดุ แห่ง ราตรีแลว้ แต่ภิกษุศักดาใหญ่ผูน้ ้ ีมาบังเราไม่ใหเ้ ห็นพระตถาคต” เพราะเหตุน้ ี พระองคจ์ งึ ใหพ้ ระอุปวาณะไปอยู่ทอี่ นื่ พระอานนท์กราบทูลถามประวัติแห่งเทพยดา พระองค์ตรัสว่า เหล่า เทพยดาท้งั หลายมีความเขา้ ใจผิดวา่ อากาศเป็ นปฐพี บางเหล่าเขา้ ใจวา่ ปฐพีเป็ น อากาศดงั น้ ี ตา่ งองคก์ โ็ ศกเศรา้ กล้ ิงเกลือกไปมาคราํ่ ครวญถึงพระตถาคตวา่ พระผู้ มีพระภาคเจา้ ปรินิ พพานเร็วนัก พระสุคตจักปรินิ พพานเร็วนัก ดวงจักษุ อันตรธานหายเสียในโลกเร็วนัก ส่วนเทพยดาที่เป็ นอนาคามีและอรหันต์ ปลง ธรรมสังเวชวา่ “สงั ขารท้ังหลายไม่เท่ียง ส่ิงที่เที่ยงซึ่งสตั วท์ ้งั หลายประสงคน์ ักน้ัน สัตวท์ ้งั หลายจะพึงไดใ้ นสงั ขารน้ ีแต่ไหนเล่า” พระองคท์ รงแสดงความเป็ นไปแหง่ เทพยดาท่ีมาประชมุ ณ คร้งั น้ันแกพ่ ระอานนท์ ดว้ ยประการฉะน้ ี สงั เวชนียสถาน ๔ ตาํ บล พระอานนทไ์ ดก้ ราบทลู วา่ ในกาลก่อนภิกษุท้งั หลายยอ่ มมาเฝ้าพระองค์ เป็ นอาจณิ เมอื่ พระองคจ์ ากไปแลว้ ขา้ พระองคท์ ้งั หลายไมม่ โี อกาสไดเ้ หน็ พระองค์ อีก พระพุทธเจา้ จงึ ทรงแสดงสถานท่ี ๔ ตําบล ว่าเป็ นสถานท่ีควรจะดูควรจะเหน็ ควรใหเ้ กิดสงั เวชแห่งผูม้ ศี รทั ธาคือ ๑. สถานที่ประสูติ ๒. สถานที่ตรสั รู้ ๓. สถานทีแ่ สดงพระธรรมจกั ร ๔. สถานท่ปี รินิพพาน

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๕๙ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพือ่ พฒั นาสงั คม การปฏบิ ตั ติ อ่ สตรเี พศ พระอานนท์ทูลถามถึงขอ้ ปฏิบัติท่ีภิกษุจะพึงปฏิบตั ิต่อสตรีเพศ พระองค์ ตรสั วา่ ๑. การไมม่ องดูเสียเลย จดั เป็ นการดี ๒. ถา้ จาํ เป็ นตอ้ งมอง การไมพ่ ูดจาดว้ ย เป็ นขอ้ ปฏิบตั ิท่ีสมควร ๓. ถา้ จาํ เป็ นตอ้ งพดู ดว้ ย ใหส้ าํ รวมระวงั ต้งั สตไิ วใ้ หม้ นั่ คง อย่าใหแ้ ปร ปรวนดว้ ยอาํ นาจราคะความกาํ หนัด วิธีปฏิบตั ใิ นพระพทุ ธสรรี ะ พระอานนทก์ ราบทูลถามถึงวิธีปฏิบตั ิในพระพุทธสรีระ พระองค์ตรสั ว่า “ดกู ่อนอานนท์ ภิกษุสหธรรมิกบริษัท จงอย่าขวนขวายเพ่ือบูชาสรีระตถาคตเลย เราตกั เตือนท่านท้ังหลาย จงเป็ นผูไ้ ม่ประมาท เป็ นบุคคลมีความเพียรเผากิเลส และบาปธรรม เป็ นบุคคลมุ่งต่อท่ีสุดแห่งพรหมจรรยอ์ ยู่ทุกอิริยาบถเถิด ดูก่อน อานนท์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีท้ังหลายผู้เล่ือมใสในตถาคตมีอยู่ บุคคล เหลา่ นน้ั จกั ทาํ ซ่ึงสักการะบูชาพระสรีระแหง่ ตถาคต” พระอานนทไ์ ดก้ ราบทูลถามวา่ “หากบณั ฑิตมกี ษัตริยเ์ ป็ นตน้ จะพึงปฏิบตั ิ ต่อพระสรีระของพระองค์ พวกเขาจะปฏบิ ตั ิอยา่ งไรบา้ ง” พระองคต์ รสั ตอบวา่ “ชน ท้งั หลายปฏิบัติต่อสรีระแหง่ จกั รพรรดิราชอย่างไร พึงปฏิบัติต่อพระสรีระตถาคต อย่างน้ันเถิด” พระอานนท์ทูลถามว่า “ชนท้ังหลายปฏิบัติต่อสรีระพระเจ้า จกั รพรรดิราชเจา้ อย่างไร” พระองค์ตรสั ต่อไปวา่ “ดูก่อนอานนท์ ชนท้ังหลายพงึ ปฏิบัติต่อสรีระของจกั รพรรดิราชดว้ ยผา้ ใหม่แลว้ ซับดว้ ยสาํ ลีแล้วห่อดว้ ยผา้ ใหม่ แลว้ ซบั ดว้ ยสาํ ลีอีก ทาํ อย่างน้ ี ๕๐๐ คู่ แลว้ เชิญพระสรีระลงประดิษฐาน ณ ราง เหล็กอันเต็มดว้ ยน้ํามนั ปิ ดครอบดว้ ยรางเหล็กอ่ืนเป็ นฝา ทาํ จิตกาธานล้วนแต่ ดว้ ยไมห้ อม แลว้ ทาํ ฌาปนกจิ ถวายพระเพลิงพระสรรี ะพระเจา้ จกั รพรรดริ าช เสร็จ แลว้ เชญิ พระอฐั ิธาตบุ รรจทุ าํ เป็ นสถูปไว้ ณ ทปี่ ระชมุ แหง่ ถนนใหญ่ท้งั ๔”

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๖๐ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพื่อพฒั นาสงั คม ถปู ารหบุคคล ๔ คร้นั แลว้ พระองคจ์ งึ ตรสั ถงึ อฐั ิของบุคคล ๔ จาํ พวกทีส่ มควรจะบรรจุไวใ้ น สถปู เพอ่ื เป็ นทีส่ กั การบชู า คอื ๑. พระอรหนั ตสมั มาสมั พุทธเจา้ ๒. พระปัจเจกพทุ ธเจา้ ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจา้ จกั รพรรดิราช ประทานโอวาทแกพ่ ระอานนท์ พระองค์ตรัสว่า “อานนท์ เธออย่าเศรา้ โศก อย่าราํ่ ไรไปเลย เราเคยได้ บอกไวแ้ ลว้ มใิ ช่หรอื วา่ สงั ขารท้งั หลายไมเ่ ทยี่ งจะหาความเทย่ี งแทจ้ ากสงั ขารไดแ้ ต่ ที่ไหน ทุกส่ิงที่เกิดข้ ึนมาแล้ว ลว้ นตอ้ งแปรปรวน และแตกดับทําลายสลายส้ ิน เชน่ เดยี วกนั ท้งั น้ัน อานนท์ เธอเป็ นคนมบี ุญอนั ไดส้ งั่ สมไวแ้ ลว้ เธอจงหมนั่ ปฏิบตั ิ บาํ เพ็ญเพียรเถิด ไมช่ า้ แลว้ เธอกจ็ กั ถึงซึง่ ความดบั ส้ นิ ไปแหง่ อาสวะ” ตรสั สรรเสรญิ พระอานนท์ พระองคท์ รงแสดงขอ้ อศั จรรย์ ๔ ประการในพระอานนทว์ า่ “เมอื่ ใด ภิกษุ บริษัท ภิกษุณีบรษิ ัท อุบาสกบริษัท และอุบาสิกาบรษิ ัท เขา้ ไปใกลเ้ พ่ือจะเห็นพระ อานนท์ บริษัทน้ันแมไ้ ดเ้ ห็นเธอแลว้ กม็ จี ติ ยินดี ถา้ อานนทแ์ สดงธรรมเล่า บรษิ ัท น้ันกม็ จี ติ ช่นื ชมดว้ ยภาษิตของอานนท์ ไมอ่ มิ่ ไมเ่ บอื่ ดว้ ยธรรมกี ถาท่อี านนทแ์ สดง น้ันเลย คร้นั อานนทน์ ่ิงหยุดธรรมีกถา บริษัทท้งั ๔ ซึ่งไดส้ ดบั น้ัน กม็ จี ติ ยินดีและ ไมอ่ ม่ิ ไมเ่ บอ่ื ประหนึ่งพระเจา้ จกั รพรรดิราช ผซู้ ึ่งใหเ้ กิดความชืน่ ชมและไมอ่ ิ่มดว้ ย ภาษิตแกก่ ษัตรยิ ์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณบรษิ ัท ฉะน้ัน” เมอื งกสุ นิ ารา พระอานนทไ์ ดท้ ลู ใหพ้ ระพุทธเจา้ เสด็จไปปรนิ ิพพานทเี่ มอื งอ่นื อย่างเช่น เมืองราชคฤห์ เพราะเป็ นเมืองใหญ่ท้ังยังดูสมพระเกียรติอีกดว้ ย ไม่ควรเสด็จ ปรินิพพานในเมอื งเล็กๆ อยา่ งเมอื งกุสนิ าราน้ ี

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๖๑ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม พระองคต์ รสั หา้ มเสยี แลว้ ตรสั วา่ แต่ปางกอ่ นเมอื งกุสินารามพี ระเจา้ มหา สุทัศน์จักรพรรด์ิเป็ นผู้ปกครองมีมหาสมุทรท้ัง ๔ เป็ นขอบเขต พระองค์ชนะ ปัจจามติ รดว้ ยธรรม ไมต่ อ้ งใชท้ ณั ฑแ์ ละศสั ตรา พระองคม์ แี กว้ ๗ ประการ เมอื ง กุสินาราน้ ี เม่ือก่อนเป็ นราชธานีชื่อ กุสาวดี เป็ นเมืองท่ีมงั่ คัง่ มีประชาชนมาก อาหารสมบูรณ์ เป็ นที่บันเทิงอารมณ์สนุกสนานคลา้ ยท่ีอย่ขู องทา้ วจาตุมมหาราช เมอื งกุสาวดนี ้ันกกึ กอ้ งท้งั กลางวนั กลางคืน ไมส่ งบดว้ ยเสยี งท้งั ๑๐ คือ เสยี งคช สาร เสียงอสั สพาชี เสียงรถ เสียงเภรี เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขบั รอ้ ง เสียง กงั สดาล เสียงสงั ข์ และเสยี งประชาชนเรยี กกนั บริโภคอาหาร ตรสั สงั ่ ใหแ้ จง้ ขา่ วปรนิ ิพพานแกม่ ลั ลกษตั รยิ ์ ด้วยพุทธประสงค์ไม่ต้องการให้มัลลกษั ตริย์กล่าวตําหนิ ไ ด้ว่า พระพุทธเจา้ ปรินิพพาน ณ เมอื งของเรา แต่เรามไิ ดเ้ ห็นพระตถาคตเจา้ ช่างไม่ บอกใหพ้ วกเรารูเ้ ลย เพราะเหตุน้ ีจงึ ใหพ้ ระอานนทแ์ จง้ ข่าวใหท้ ราบ พระอานนท์ เป็ นผจู้ ดั การเก่ยี วกบั การเขา้ เฝ้าของพวกมลั ลกษัตริย์ พรอ้ ม ดว้ ยโอรส สณุ ิสา ปชาบดี และบริษัทบริวาร เขา้ ถวายบงั คมพระพุทธเจา้ ดว้ ยเศียร เกลา้ แหง่ ตนโดยทวั่ กนั และเสรจ็ กอ่ นปฐมยาม ปัจฉิมสาวก สุภทั ทปริพาชกจะขอเขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ พระอานนทห์ า้ มไวถ้ ึง ๓ คร้ัง กลัวจะรบกวนพระพุทธองคซ์ ่ึงกาํ ลังจะปรินิพพาน แต่พระองคท์ รงหา้ ม และทรง แสดงธรรมโปรดสุภัททะ มีใจความว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ มีอยู่ในศาสนาใด ศาสนาน้ันยอ่ มมสี มณท่ี ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔∗ และหากภิกษุยงั คงปฏบิ ตั ชิ อบในธรรม วินัยแล้วโลกก็จกั ไม่ว่างจากพระอรหันต์ สุภัททะบังเกิดความเลื่อมใสจึงทูลขอ อุปสมบท พระองค์จึงตรัสสัง่ ใหพ้ ระอานนท์นําสุภัททะไปบรรพชา พระอานนท์ ∗ สมณท่ี ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไดแ้ ก่ พระอริยบุคคล ๔ คือ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี และ พระอรหนั ต์

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๖๒ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม กระทําตามรบั สงั่ เสร็จแลว้ ไดน้ ําสุภัททะเขา้ มาหาพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ให้ สุภัททะอุปสมบทเป็ นภิกษุพรอ้ มท้ังตรัสบอกกรรมฐาน หลังจากอุปสมบทแลว้ พระสุภทั ทะก็หลีกออกจากหมู่มาบาํ เพ็ญเพียร และสาํ เร็จเป็ นพระอรหันต์ในวัน น้ันเอง พระสภุ ทั ทะจงึ เป็ นปัจฉิมสาวก คอื สาวกองคส์ ดุ ทา้ ยท่ีทนั เห็นพระพุทธองค์ พระธรรมวินยั เป็ นศาสดาแทนพระองค์ พระองคต์ รสั ประทานโอวาทแก่ภกิ ษุสงฆ์ โดยตรสั เรียกชื่อพระอานนท์ว่า “...อานนท์ ธรรมและวินยั ใด ที่เราไดแ้ สดงแลว้ ไดบ้ ญั ญตั ิแลว้ ธรรมและวินยั น้ัน จกั เป็ นศาสดาแหง่ เธอทง้ั หลาย โดยกาลลว่ งไปแหง่ เรา...” พรหมทณั ฑ์ “อานนท์ เมื่อเราล่วงไปแล้ว สงฆ์พึงทําพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุเถิด ฉันนภิกษุจะพึงปรารถนาเจรจาคําใด ก็พึงเจรจาคําน้ัน ฉันนภิกษุน้ัน อันภิกษุ ท้งั หลาย ไมพ่ ึงวา่ ไมพ่ งึ โอวาท ไมพ่ งึ สงั่ สอนเลย น้ ีแลชื่อวา่ พรหมทณั ฑ”์ ปัจฉิมโอวาท ลําดับน้ัน พระพุทธองค์ได้ตรัสกับภิกษุท้ังหลายเป็ นคร้ังสุดท้ายว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บดั น้ ีเราขอเตือนท่านท้ังหลายว่า สังขารท้ังหลายมีความ เส่ือมไปเป็ นธรรมดา ท่านท้ังหลายจงยงั ประโยชนต์ นและประโยชนผ์ ูอ้ ่ืน ใหถ้ ึง พรอ้ มดว้ ยความไม่ประมาทเถิด ” ปรนิ ิพพาน แต่น้ันพระองคไ์ มไ่ ดต้ รสั อกี เลย ทรงทาํ ปรินิพพานบรกิ รรมดว้ ยอนุบุพพ- วิหารท้ัง ๙∗ ท้ังอนุโลมและปฏิโลม พระองค์ปรินิพพานในลําดับแห่งความ พิจารณาองคแ์ ห่งจตตุ ถฌาน ณ ปัจฉิมยามแห่งราตรวี สิ าขปรุ ณมี ∗ อนุบุพพวหิ าร ๙ คอื รูปฌาน ๔ อรปู ฌาน ๔ และสญั ญาเวทยิตนิโรธ, สมาบตั ิ ๙ กเ็ รยี ก

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๖๓ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม ทา้ วสหัมบดีพรหม กล่าวคาถาความว่า “บรรดาสัตวท์ ้งั ปวงถว้ นหน้า ไม่ มีเหลือในโลก ลว้ นจะทอดท้ ิงซ่ึงร่างกายไวถ้ มปฐพี แมแ้ ต่องค์พระตถาคตซึ่งเป็ น ศาสดา ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงเช่นน้ ี ไม่มีผูใ้ ดจะเปรียบปาน ทรงพระสยัมภู ญาณตรัสรูโ้ ดยลําพัง พระองค์ถึงซึ่งกําลัง คือทสพลญาณแล้ว ยังมิถาวรมนั่ คง ดาํ รงอยไู่ ด้ ยงั มาดบั ขนั ธปรนิ ิพพานเสียแลว้ ควรจะสงั เวชสลดนัก” ท้าวโกสิยราช กล่าวคาถาความว่า “สังขารท้ังหลายไม่เท่ียงหนอ มี เกิดข้ นึ และเสอื่ มส้ ินไปเป็ นธรรมดา เกดิ ข้ ึนแลว้ ย่อมดบั ไป ไมย่ งั่ ยนื ถาวรมนั่ คงอยู่ ได้ ความท่ีสังขารนามรูปเบญจขันธ์เหล่าน้ันระงับเสียมิไดเ้ ป็ นไป นํามาซึ่ง ความสุข เหตุสงั ขารทุกข์ คือชาติ ชรา มรณะ มไิ ดม้ มี าครอบงาํ ” พระอนุรทุ ธเถระ กล่าว ๒ พระคาถาวา่ “ลมอสั สาสะปัสสาสะของพระมุนี โลกนาถผูม้ ีพระทัยต้ังมัน่ คงที่ มิไดห้ วนั่ ไหวสะทกสะทา้ นดว้ ยมรณธรรมอันใด ทรงปรารภสนั ติความระงบั คือนิพพานเป็ นอารมณ์ ทําแลว้ ซึ่งกาละอันใด อันพน้ วิสัยสามัญญสัตว์ มิไดม้ ีแลว้ พระองค์มีจิตมิไดส้ ะทกสะทา้ นหดหู่พรัน่ พรึงต่อ มรณธรรมเลย ไดอ้ ดกล้ันซ่ึงทุกขเวทนาดว้ ยสติสัมปชัญญะ ความพน้ แห่งจิตดว้ ย อนุปาทเิ สสนิพพานไดม้ แี ลว้ ประหน่ึงประทีปอนั ไพโรจน์ชชั วาลดบั ไปฉะน้ัน” พระอานนท์กล่าวคาถาความว่า “เม่อื พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ผูป้ ระกอบ ดว้ ยอาการอันประเสริฐท้ังปวง ดับขันธปรินิพพานแล้ว เหตุมหัศจรรย์อันให้ สยดสยองสะดุง้ หวาดกลวั และใหโ้ ลมชาตชิ ูชนั ไดป้ รากฏข้ นึ แก่เทพยดาและมนุษย์ ท้งั หลายแลว้ ” อปรกาล เหตกุ ารณห์ ลงั ปรนิ ิพพาน เมอื่ พระพุทธองค์เสด็จดับขนั ธปรินิพพานแล้ว ยังไม่สว่างพระอนุรุทธะ และพระอานนทก์ ็แสดงธรรมไปพลางใหบ้ ริษัทช่ืนจติ ดว้ ยสังเวชและเลื่อมใส คร้นั สว่างแล้วพระอนุรุทธเถระบัญชาใหพ้ ระอานนท์ไปบอกแก่มัลลกษัตริย์เมือง กุสินาราใหท้ ราบข่าวปรินิพพาน คร้ังน้ันมัลลกษัตริย์มาประชุมพร้อมกัน ณ

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๖๔ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพ่อื พฒั นาสงั คม สัณฐาคารศาลา พระอานนท์แจง้ ข่าวปรินิพพานใหท้ ราบ พวกมัลลกษัตริย์ได้ ทราบตา่ งก็เศรา้ โศกเสียใจเป็ นกาํ ลัง และไดต้ รสั สงั่ ใหป้ ระกาศข่าวการปรนิ ิพพาน ของพระพุทธเจา้ ทวั่ พระนครกุสินารา จากน้ันก็นําดอกไมข้ องหอม เคร่ืองดนตรี นานาชนิด กบั ผา้ จาํ นวน ๕๐๐ พบั มาสกั การะบูชาพระสรีระแห่งพระผูม้ ีพระภาค เจา้ ทาํ การบูชาเช่นน้ ีอยู่ ๖ วนั วนั ท่ี ๗ มลั ลกษัตรยิ ป์ รกึ ษากนั วา่ “เราจะเชิญพระ สรีระแห่งพระผูม้ พี ระภาคไปทางทิศทกั ษิณแห่งพระนคร ถวายพระเพลิงนอกพระ นครเถดิ ” แตไ่ มส่ ามารถจะเคล่ือนยา้ ยได้ จงึ ถามพระอนุรุทธเถระ ทา่ นแสดงเหตุ ว่า “เทพยดาท้งั หลายคิดจะเชิญพระสรีระไปโดยทิศอุดรแห่งพระนคร เขา้ ยังพระ นครโดยอุดรทวาร เชิญไปท่ามกลางพระนคร ออกทางทวารทิศบูรพา เชิญพระ สรีระไปประดิษฐานถวายพระเพลิง ณ มกุฏพนั ธนเจดีย์ ดา้ นตะวนั ออกแห่งพระ นครกุสินารา” พวกมลั ลกษัตริยจ์ งึ ทาํ ตามความประสงค์ของเทพยดา และปฏิบตั ิ ต่อพระสรรี ะของพระพุทธองคต์ ามท่ีพระอานนทไ์ ดส้ ดับมา ณ ท่เี ฉพาะพระพกั ตร์ เม่ือเตรียมการเสร็จแลว้ นําเพลิงเขา้ ไปยงั เชิงตะกอน ก็ไมส่ ามารถจะจุดเพลิงได้ พวกมัลลกษัตริย์สงสัยจึงถามพระอนุรุทธะ พระอนุรุทธะแสดงว่า “เทพยดา ท้ังหลาย ประสงคจ์ ะใหร้ อพระมหากัสสปเถระ ถวายบงั คมพระบาทพระผูม้ ีพระ ภาคเจา้ ดว้ ยเศียรเกลา้ ก่อนจึงจะถวายพระเพลิงได”้ พวกมลั ลกษัตริย์ก็ปฏิบัติ ตามน้ัน ฝ่ ายพระมหากสั สปะพรอ้ มบริวาร ๕๐๐ รูปเดินทางมาแต่ปาวานครพัก อยูใ่ ตร้ ่มไมแ้ ห่งหน่ึง ไดเ้ หน็ อาชวี กะผูห้ น่ึงถือดอกมณฑารพ จงึ ถามถึงขา่ วพระผูม้ ี พระภาค อาชวี กบอกวา่ พระสมณโคดมปรนิ ิพพานได้ ๗ วนั แลว้ ดอกมณฑารพน้ ี เราเก็บมาจากที่ปรนิ ิพพานแห่งพระสมณโคดม เมอ่ื ไดฟ้ ังเช่นน้ัน พระภิกษุปุถุชนก็ไมอ่ าจอดกล้ันความเศรา้ โศกไวไ้ ดต้ ่าง รอ้ งไหค้ รํา่ ครวญ ส่วนภิกษุผูข้ ีณาสพก็อดกล้ันโดยธรรมสังเวช เมื่อเห็นความ แตกดบั แห่งสงั ขาร คร้งั น้ัน ภกิ ษุสุภทั ทะผบู้ วชเมอ่ื แก่ รอ้ งหา้ มภิกษุท้งั หลายวา่ “หยดุ เท่านั้น เถดิ ท่านทัง้ หลายอย่าเศรา้ โศกรา่ํ ไรถึงพระสมณะนั้นเลย เราทั้งหลายไดพ้ น้ เสีย แลว้ ดว้ ยดีจากพระสมณะนั้น ดว้ ยทา่ นสอนวา่ ส่ งิ น้ีควรทาํ ส่ ิงน้ีไมค่ วรทาํ เราเกรง

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๖๕ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม ก็ตอ้ งทาํ ตาม เป็ นความลาํ บากนัก บัดน้ีเราจะทาํ ส่ ิงใด หรือมิพอใจทาํ ส่ ิงใดก็ได้ ตามความปรารถนา จะตอ้ งเกรงแตบ่ ญั ชาของผใู้ ดเลา่ ” พระมหากัสสปะไดย้ ินเช่นน้ันคิดจะยกเป็ นอธิกรณ์ข้ ึนทํานิคคหกรรมแต่ เห็นว่ายงั ไมค่ วรก่อน จึงพาภิกษุสงฆ์ไปหวงั ถวายบงั คมพระบาทยุคลพระผูม้ ีพระ ภาคเจา้ คร้ันเมื่อถึงมงคลสถานมกุฏพันธนเจดีย์ ทําผา้ อุตตราสงค์บังสุกุลจีวร เฉวียงบ่าข้างหนึ่ ง ยกอัญชลีกระพุ่มหัตถ์ประนมนมัสการ ทําประทักษิณซ่ึง จติ กาธาน ๓ รอบ ถวายบงั คมพระบาทยคุ ลพระผูม้ ีพระภาคเจา้ ดว้ ยเศียรแหง่ ตน พรอ้ มดว้ ยภิกษุบริวาร ๕๐๐ ทนั ใดน้ันเอง พระเพลิงกพ็ ลันพวยพลุ่งโชติช่วงข้ ึนเอง โดยลําพงั เมื่อไฟมอดดับลง พระอัฐิ พระเกศา พระโลมา พระนขา พระทันตา และผา้ อีกคู่หน่ึงยงั คงเหลือเป็ นปกติอยู่ มไิ ดถ้ ูกไฟเผาไหมเ้ ป็ นผุยผงไปดว้ ย คร้นั เมอื่ เสร็จฌาปนกิจแลว้ มลั ลกษัตริยท์ ้งั หลาย จงึ เชิญพระสารีริกธาตุ ไปประดษิ ฐานในสณั ฐาคารศาลา ทรงทาํ สกั การะบชู า ส้ นิ กาล ๗ วนั แจกพระบรมสารรี กิ ธาตุ คร้งั น้ัน กษัตริย์ และพราหมณ์ รวม ๗ นคร ไดส้ ่งทูตของตนไปขอแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุ ณ เมืองกุสินารา เพ่ือนําไปสักการะบูชา ณ เมืองของตน พวกมลั ลกษัตรยิ ไ์ มย่ อมแบง่ ให้ ฝ่ ายกษัตรยิ แ์ ละพราหมณ์เหล่าน้ันก็ไมย่ อม ไดย้ ก ทัพมาล้อมเมืองกุสินาราเพ่ือทําศึกแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ เกือบจะเกิด สงครามใหญ่ ขณะน้ัน โทณพราหมณ์ซงึ่ เป็ นอาจารยส์ ัง่ สอนไตรเพทเป็ นท่ีเคารพ ของคนจาํ นวนมาก พิจารณาเห็นวา่ ถา้ ไมห่ าทางระงบั เสยี จะเกิดสงครามนองเลือด แน่นอน จึงข้ ึนไปยืนปรากฏตัวบนที่สูงกล่าวสุนทรพจน์หา้ มศึกสงคราม คําพูด ของโทณพราหมณ์ไดเ้ ตือนพระสติของกษัตริยเ์ หล่าน้ัน จงึ ยงั มิทนั ไดล้ งมือเขน่ ฆา่ กนั แลว้ ตา่ งพระองคก์ ร็ ว่ มใจกนั ตกลงใหโ้ ทณพราหมณเ์ ป็ นผทู้ าํ หน้าทจี่ ดั การแบ่ง พระบรมสารรี ิกธาตุ

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๖๖ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพื่อพฒั นาสงั คม โทณพราหมณ์จึงจดั การแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ โดยเอาตุมพะทะนาน ทองตวงพระบรมสารีริกธาตุแบ่งออกเป็ น ๘ ส่วนเท่าๆ กัน แจกใหแ้ ก่กษัตริย์ท้งั ๘ นครคือ ๑. พระเจา้ อชาตศตั รู แหง่ นครราชคฤห์ ๒. กษัตริยล์ ิจฉวี แห่งนครไพสาลี ๓. ศากยกษัตริย์ แหง่ นครกบลิ พสั ดุ์ ๔. ถูลีกษัตรยิ ์ แหง่ อลั ลกปั ปนคร ๕. โกลิยกษัตรยิ ์ แหง่ รามคามนคร ๖. มลั ลกษัตรยิ ์ แห่งปาวานคร ๗. มหาพราหมณ์ แห่งเวฏฐทปี กนคร ๘. มลั ลกษัตริย์ แหง่ กุสนิ ารานคร ส่วนโทณพราหมณ์ ทูลขอตุมพะ(ทะนาน)อันไดต้ วงพระบรมสารีริกธาตุ ควรแกเ่ จดยี สถาน กษัตรยิ แ์ ละพราหมณ์ไดอ้ นุญาต ต่อมา พระเจา้ โมริยะ กษัตริยเ์ มืองปิ ปผลิวนั ไดท้ ราบข่าวการปรินิพพาน ของพระพุทธเจา้ จึงไดส้ ่งราชทูตมาขอส่วนแบ่งบา้ ง แต่พระบรมสารีริกธาตุได้ จดั แบง่ และแจกไปหมดแลว้ มลั ลกษัตรยิ จ์ งึ มอบพระองั คาร(เถา้ )ใหไ้ ป ประเภทแหง่ สมั มาสมั พทุ ธเจดีย์ กษัตรยิ ท์ ้งั ๗ และมหาพราหมณไ์ ดส้ รา้ งพระสถปู บรรจุพระธาตุ รวมพระ ธาตุสถปู เป็ น ๘ แหง่ ฝ่ ายโทณพราหมณก์ เ็ ชญิ ตุมพะไปกอ่ สถปู ไว้ มนี ามวา่ ตมุ พ สถปู กษัตรยิ เ์ มอื งปิ ปผลิวนั เชิญพระองั คารไปบรรจไุ วใ้ นสถปู นามวา่ พระองั คาร สถปู เมอ่ื ตน้ ปฐมกาลมพี ระสถูปเจดียสถาน ๑๐ ตาํ บลดว้ ยกนั เมอื่ รวมท้งั หมดไดเ้ จดียเ์ ป็ น ๒ ประเภทคอื ธาตเุ จดีย์ ๑ บรโิ ภคเจดยี ์ ๑ พระบรมสารรี ิกธาตทุ ้งั ๘ สว่ น จดั เป็ น ธาตเุ จดยี ์ สว่ นตุมพสถูป องั คารสถปู และ สงั เวชนียสถานท้งั ๔ แห่ง รวมถึงบาตร จวี ร เตยี ง ตงั่ กุฏิ วหิ าร ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรง เคยไดป้ ระทบั และใชส้ อย จดั เป็ น บริโภคเจดยี ์

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๖๗ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพือ่ พฒั นาสงั คม สาธุชนบางพวกสร้างพระสถูปบรรจุใบลานที่ไดจ้ ารึกพระพุทธวจนะ ปรยิ ตั ธิ รรมมปี ฏิจจสมปุ บาทเป็ นตน้ เรียกวา่ “ธรรมเจดีย”์ ต่อมาภายหลังสาธุชนไดส้ รา้ งพระพุทธปฏิมา เป็ นเครื่องระลึกถึงพระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระพทุ ธปฏมิ าหรือพระพทุ ธรูปน้ันเรยี กวา่ “อทุ เทสิกเจดยี ”์ สงั คตี กิ ถา (การทาํ สงั คายนา) การรอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ัย หรือการประชุมตรวจชาํ ระสอบทานและจดั หมวดหมู่คําสัง่ สอนของพระพุทธเจ้าวางลงเป็ นแบบฉบับที่ถูกตอ้ ง เรียกว่า สงั คายนา สงั คายนาน้ันมี ๕ คร้งั ดงั น้ ี ครง้ั แรก ทาํ ทถี่ ้าํ สตั ตบรรณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ ภายหลัง พุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน ปรารภเร่ืองสุภทั ทวุฑฒบรรพชิตกล่าวจว้ งจาบพระ ธรรมวินัย และปรารภท่ีจะทําให้พระศาสนารุ่งเร่ืองสถาพรอยู่สืบไป มีพระ มหากสั สปะเป็ นประธานและทาํ หน้าท่ีเป็ นผูถ้ าม พระอบุ าลีเป็ นผูว้ ิสชั นาพระวนิ ัย พระอานนทเ์ ป็ นผูว้ ิสชั นาพระธรรม จาํ นวนสงฆป์ ระชุมทําสงั คายนาคร้งั น้ ี ๕๐๐ รปู พระเจา้ อชาตศตั รูทรงเป็ นศาสนูปถมั ภก ใชเ้ วลา ๗ เดอื น จงึ แลว้ เสรจ็ คร้งั ที่สอง ทําที่วาลิการาม เมืองเวสาลี หลังพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี ปรารภเร่ืองภิกษุชาววชั ชีบุตรแสดงวตั ถุ ๑๐ ประการนอกธรรมนอกวนิ ัย มีพระ ยสกากณั ฑกบุตรเถระเป็ นประธาน พระเรวตเถระเป็ นผูถ้ าม พระสพั พกามีเป็ นผู้ วสิ ชั นา จาํ นวนสงฆ์ ๗๐๐ รูป พระเจา้ กาลาโศกราชทรงเป็ นศาสนูปถมั ภก ใชเ้ วลา ๘ เดอื น จงึ เสรจ็ คร้งั ที่สาม ทําท่ีอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร หลังพุทธปรินิพพาน ๒๓๕ ปี ปรารภเร่ืองพวกเดียรถีย์ปลอมบวช พระโมคคลั ลีบุตรติสสเถระเป็ นประธาน และทาํ หน้าท่ีเป็ นผูถ้ าม ภิกษุในเมืองปาฏลีบุตรท้งั หมดเป็ นผูต้ อบ เม่ือมีภิกษุรูป ใดรูปหน่ึงตอบผิดธรรมผิดวินัยก็ถูกจบั สึก จาํ นวนสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป พระเจา้ อโศก มหาราชทรงเป็ นศาสนูปถมั ภก ใชเ้ วลา ๙ เดอื น จงึ เสร็จ

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๖๘ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่อื พฒั นาสงั คม คร้ังท่ีสี่ ทําที่ถูปาราม เมืองอนุ ราธบุรี ประเทศศรีลังกา หลังพุทธ ปรินิพพาน ๒๓๘ ปี ปรารภจะใหพ้ ระพุทธศาสนามนั่ คงในลังกาทวปี พระมหินท เถระเป็ นประธานและทาํ หน้าที่เป็ นผูถ้ าม พระอริฏฐเถระเป็ นผูว้ ิสัชนา จาํ นวน สงฆ์ ๑๖,๐๐๐ รูป (บางแห่งว่า ๖๘,๐๐๐ รูป) พระเจา้ เทวานัมปิ ยติสสะทรงเป็ น ศาสนูปถมั ภก ใชเ้ วลา ๑๐ เดอื น จงึ เสร็จ คร้งั ท่ีหา้ ทําที่อาโลกเลณสถาน มลัยชนบท ประเทศศรีลังกา หลังพุทธ ปรินิพพาน ๔๕๐ ปี ปรารภสงฆจ์ ะแตกกันเป็ น ๒ ฝ่ าย คือฝ่ ายมหาวหิ ารกบั ฝ่ าย อภัยคีรีวหิ าร และปรารภเหตุที่จะหาผูท้ รงจาํ พระธรรมวนิ ัยดว้ ยปากเหล่าไดย้ าก ในอนาคตกาล จึงควรจารึกพระธรรมวินัยลงในใบลานไวเ้ ป็ นหลักฐาน พระ พุทธทัตตเถระเป็ นประธานและทําหน้าที่เป็ นผู้ถาม พระมหาติสสเถระเป็ นผู้ วสิ ชั นา จาํ นวนสงฆ์ ๑,๐๐๐ รูป พระเจา้ วฏั ฏคามนิ ีอภยั ทรงเป็ นศาสนูปถัมภก ใช้ เวลา ๑ ปี จงึ แลว้ เสร็จ เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น วิชาพทุ ธประวตั สิ ปั ดาหท์ ่ี ๓ ๑. ก ๒. ง ๓. ค ๔. ค ๕. ก ๖. ข ๗. ข ๘. ข ๙. ก ๑๐. ง ๑๑. ง ๑๒. ข ๑๓. ค ๑๔. ข ๑๕. ค ๑๖. ข ๑๗. ก ๑๘. ก ๑๙. ก ๒๐. ค

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๖๙ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพื่อพฒั นาสงั คม แบบทดสอบหลงั บทเรยี นวชิ าพทุ ธประวตั ิ คาํ สงั ่ : ใหท้ าํ เคร่ืองหมายกากบาท (x) หน้าคาํ ตอบทีถ่ กู ที่สดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว ๑. ประเทศใด ไมอ่ ยู่ในดนิ แดนชมพูทวปี ? ค. อนิ โดนีเซยี ง. เนปาล ก. อินเดยี ข. ปากีสถาน ๒. ก่อนที่สิทธตั ถราชกุมารจะจุตมิ ายงั โลกน้ ี อยูใ่ นสวรรคช์ ้นั ไหน ? ก. จาตุมมหาราช ข. ยามา ค. ดาวดึงส์ ง. ดุสิต ๓. พระพุทธองคป์ ระสูติกอ่ นพุทธศกกี่ปี ? ก. ๑ ปี ข. ๘๐ ปี ค. ๙๐ ปี ง. ๑๐๐ ปี ๔. อาสภวิ าจา พระพุทธเจา้ ตรัสในวนั ใด ? ก. วนั ประสูติ ข. วนั ปรนิ ิพพาน ค. วนั แสดงธรรมคร้งั แรก ง. วนั ปลงอายุสงั ขาร ๕. พระนางสริ ิมหามายาทวิ งคต เมอื่ เจา้ ชายสิทธตั ถะประสูติไดก้ ีว่ นั ? ก. ๓ วนั ข. ๕ วนั ค. ๗ วนั ง. ๑๕ วนั ๖. เทวทตู ใด ท่เี จา้ ชายสิทธตั ถะเห็นแลว้ ทรงดาํ รอิ อกผนวช ? ก. คนแก่ ข. คนเจบ็ ค. คนตาย ง. สมณะ ๗. เมอ่ื เจา้ ชายสทิ ธัตถะทรงออกผนวช ใครนําบรขิ ารมาถวาย ? ก. สหมั บดีพรหม ข. ฆฏิการพรหม ค. โกสียเ์ ทวราช ง. สกั กเทวราช ๘. เจา้ ชายสิทธตั ถะอธิษฐานเพศบรรพชา ณ ริมฝั่งแมน่ ้ําอะไร ? ก. แมน่ ้ําอโนมา ข. แมน่ ้ําเนรญั ชรา ค. แมน่ ้ําคงคา ง. แมน่ ้ําสินธุ

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๗๐ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่อื พฒั นาสงั คม ๙. ขอ้ ใด กล่าวถูกตอ้ งในการเสด็จออกบรรพชา ? ก. ทรงมา้ ฉนั นะ มนี ายกณั ฐกะติดตาม ข. ทรงมา้ อสั ดร มนี ายฉันนะตดิ ตาม ค. ทรงมา้ อาชาไนย มนี ายฉันนะติดตาม ง. ทรงมา้ กณั ฐกะ มนี ายฉนั นะตดิ ตาม ๑๐. ปัญจวคั คยี อ์ อกบวชตามเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ดว้ ยเหตุผลอะไร ? ก. บวชดว้ ยความเคารพนับถือ ข. บวชดว้ ยความเชอื่ ตามตาํ รา ค. บวชเพราะพระอาจารยส์ งั่ ไว้ ง. บวชดว้ ยหวงั จะบรรลุตามบา้ ง ๑๑. ใครเป็ นผูถ้ วายขา้ วมธุปายาสในวนั ตรัสรู้ ? ก. นางสจุ ติ รา ข. นางสชุ าดา ค. นางสธุ มั มา ง. นางสุนันทา ๑๒. ใครเป็ นผูถ้ วายหญา้ คาแกพ่ ระมหาบุรุษ ? ก. โสตถยิ พราหมณ์ ข. สนุ ิธพราหมณ์ ค. เวรญั ชพราหมณ์ ง. โกสิยพราหมณ์ ๑๓. พระพุทธเจา้ ตรสั รู้ เมอ่ื พระชนมายเุ ท่าไร ? ก. ๒๙ พรรษา ข. ๓๕ พรรษา ค. ๓๖ พรรษา ง. ๔๕ พรรษา ๑๔. พระพทุ ธเจา้ ตรสั รอู้ ะไร ? ก. สมมตสิ จั จะ ข. ธรรมสจั จะ ค. อรยิ สจั จะ ง. ปรมตั ถสัจจะ ๑๕. คาํ วา่ “ เทววาจกิ อุบาสก ” หมายความวา่ อย่างไร ? ก. ผถู้ งึ พระพทุ ธเจา้ เป็ นสรณะ ข. ผถู้ งึ พระพทุ ธ พระธรรม เป็ นสรณะ ค. ผถู้ ึงพระรตั นตรยั เป็ นสรณะ ง. ผูถ้ งึ พระพทุ ธเจา้ พระสงฆ์ เป็ นสรณะ ๑๖. พราหมณ์ท่ีชอบตวาดวา่ หึ หึ ไดพ้ บกบั พระพุทธเจา้ ท่ีใด ? ก. ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ ข. ตน้ มุจจลินท์ ค. ตน้ อชปาลนิโครธ ง. ตน้ ราชายตนะ

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๗๑ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพือ่ พฒั นาสงั คม ๑๗. ท่ีสุด ๒ อยา่ งและทางสายกลาง อยูใ่ นพระสูตรไหน ? ก. เวทนาปริคคหสูตร ข. ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ค. อาทติ ตปรยิ ายสตู ร ง. อนัตตลักขณสูตร ๑๘. ผูไ้ ดด้ วงตาเห็นธรรมเบ้ ืองตน้ เป็ นพระอรยิ บคุ คลช้นั ไหน ? ก. พระโสดาบนั ข. พระสกทาคามี ค. พระอนาคามี ง. พระอรหนั ต์ ๑๙. พระสาวกองคท์ ่ี ๖ บรรลุธรรมสูงสุด ดว้ ยพระธรรมเทศนาใด ? ก. อนัตตลกั ขณสูตร ข. ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ค. อาทิตตปรยิ ายสตู ร ง. อนุปุพพกี ถาและอริยสจั ๒๐. อบุ าสกคนแรกผูถ้ งึ รตั นะ ๓ คอื ใคร ? ก. อนาถปิ ณฑิกเศรษฐี ข. ตปุสสะและภลั ลิกะ ค. พระเจา้ สุทโธทนะ ง. บิดาของพระยสะ ๒๑. พระสาวกทีอ่ อกไปประกาศพระศาสนาคร้งั แรกก่อี งค์ ? ก. ๕ องค์ ข. ๑๐ องค์ ค. ๖๐ องค์ ง. ๖๑ องค์ ๒๒.“ ทา่ นจะพงึ แสวงหาหญิงน้ันดีกวา่ หรอื จะพึงแสวงหาตนดกี วา่ ” พระพุทธองค์ ตรสั แกใ่ คร ? ก. ยสกุลบตุ ร ข. นทีกสั สปะ ค. ปัญจวคั คีย์ ง. ภทั ทวคั คยี ์ ๒๓. ใครปรารถนาขอเห็นพระอรหนั ต์ เป็ นคนแรก ? ก. พระเจา้ สุทโธทนะ ข. พระนางปชาบดี ค. พระเจา้ ปเสนทิโกศล ง. พระเจา้ พมิ พิสาร ๒๔. วดั แหง่ แรกทพี่ ระเจา้ แผน่ ดินมคธสรา้ งถวายในพระพทุ ธศาสนามชี ่ือวา่ อะไร ? ก. เวฬุวนั ข. ลฏั ฐิวนั ค. บุพพาราม ง. เชตวนั

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๗๒ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพอื่ พฒั นาสงั คม ๒๕. วนั จาตุรงคสนั นิบาต พระพทุ ธองคท์ รงแสดงหลกั ธรรมอะไร ? ก. พระอภิธรรม ข. โอวาทปาฏิโมกข์ ค. อรยิ ธรรม ง. วมิ ุตติธรรม ๒๖. พระสาวกองคใ์ ด ถือวา่ เป็ นยอดกตญั �ู ? ก. พระมหากสั สปะ ข. พระอานนท์ ค. พระอสั สชิ ง. พระสารีบุตร ๒๗. พระอคั รสาวกท้ังคู่ เคยบวชเป็ นอะไรมากอ่ น ? ก. ปริพาชก ข. ดาบส ค. อาชีวก ง. ชฎลิ ๒๘. พระพทุ ธเจา้ ตรสั กบั พระสาวกรปู ใด ไมใ่ หช้ ูงวงเขา้ ไปสตู่ ระกูล ? ก. พระสารบี ุตร ข. พระมหาโมคคลั ลานะ ค. พระมหากสั สปะ ง. พระอรุ ุเวลกสั สปะ ๒๙. พระสารีบตุ รสาํ เร็จเป็ นพระอรหนั ต์ หลังจากอุปสมบทแลว้ กวี่ นั ? ก. ๗ วนั ข. ๑๒ วนั ค. ๑๕ วนั ง. ๒๐ วนั ๓๐. พระสารีบุตรสาํ เรจ็ เป็ นพระอรหนั ตด์ ว้ ยพระธรรมเทศนาใด ? ก. อรยิ สจั ๔ ข. อนุปพุ พกี ถา ค. อริยธรรม ง. เวทนาปริคคหสตู ร ๓๑. ภรรยาของปิ ปผลิมาณพมนี ามวา่ อย่างไร ? ก. ยโสธรา ข. ปชาบดี ค. กสี าโคตมี ง. ภทั ทกาปิ ลานี ๓๒. ใครทลู เชญิ พระพทุ ธเจา้ เสด็จกรุงกบลิ พสั ดุไ์ ดส้ าํ เรจ็ ? ก. ฉนั นอาํ มาตย์ ข. โลลุทายี ค. กาฬทุ ายี ง. ราหลุ กุมาร ๓๓. ใครทาํ ปุพพเปตพลีเป็ นคนแรก ในพระพทุ ธศาสนา ? ก. พระเจา้ พิมพิสาร ข. พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ค. อนาถปิ ณฑิกเศรษฐี ง. ธนัญชยั เศรษฐี ๓๔. ใครถวายบณิ ฑบาตแดพ่ ระพุทธเจา้ เป็ นคนสุดทา้ ย ? ก. นายสุภทั ทะ ข. นายจนุ ทะ ค. นางวสิ าขา ง. นางสุชาดา

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๗๓ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่ือพฒั นาสงั คม ๓๕. คาํ วา่ “ ปลงอายุสงั ขาร ” หมายถึงอะไร ? ก. ทรงต้งั พระทยั จะปรินิพพาน ข. ทรงรูพ้ ระองคเ์ องวา่ ส้ นิ อายุ ค. ทรงต้ังพระทยั ต่ออายุสงั ขาร ง. ทรงตดั พระทยั การครองเรือน ๓๖. พระพทุ ธเจา้ ทรงปลงอายสุ งั ขาร ณ สถานทใ่ี ด ? ก. ธาตุเจดยี ์ ข. อนิมมสิ เจดีย์ ค. ปาวาลเจดยี ์ ง. รตั นฆรเจดีย์ ๓๗. ใครเป็ นพระอรหนั ตอ์ งค์สุดทา้ ยกอ่ นพระพทุ ธเจา้ ปรินิพพาน ? ก. พระอานนท์ ข. พระอนุรทุ ธะ ค. พระสุภทั ทะ วฑุ ฒบรรพชติ ง. พระสุภทั ทะ ปริพาชก ๓๘. ใครไปส่งข่าวการเสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ ิพพานแก่เจา้ มลั ลกษัตริย์ ? ก. พระอานนท์ ข. พระอนุรุทธะ ค. พระนันทะ ง. พระฉันนะ ๓๙. พระพทุ ธองคท์ รงจาํ พรรษาที่ ๔๕ ทีไ่ หน ? ก. นาลนั ทา ข. เวฬวุ คาม ค. เวฬวุ นั ง. กลั ลวาลมตุ ตคาม ๔๐. กอ่ นปรนิ ิพพาน พระพทุ ธเจา้ ทรงแต่งต้งั ใครเป็ นศาสดาแทน ? ก. พระมหากัสสปะ ข. พระอานนท์ ค. พระไตรปิ ฎก ง. พระธรรมวนิ ัย ๔๑. ในเวลาจวนจะปรินิพพานของพระศาสดา มพี ระเถระรูปใดบา้ งท่อี ยู่ในท่ีน้ัน ? ก. พระสารีบตุ ร – พระโมคคลั ลานะ ข. พระมหากสั สปะ – พระกาฬทุ ายี ค. พระอานนท์ – พระอนุรุทธะ ง. พระอานนท์ – พระสารีบตุ ร ๔๒. พระพุทธรูป จดั เป็ นเจดยี ป์ ระเภทใด ? ก. ธาตเุ จดยี ์ ข. ธรรมเจดยี ์ ค. อุทเทสิกเจดีย์ ง. บรโิ ภคเจดยี ์

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๗๔ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม ๔๓. ผใู้ ดถวายผา้ สิงคิวรรณแด่พระพุทธเจา้ ? ก. มลั ลกษัตริยช์ ื่อปุกกุสะ ข. วสิ าขา มหาอบุ าสิกา ค. อนาถปิ ณฑิกเศรษฐี ง. พระนางปชาบดโี คตมี ๔๔. พระพุทธเจา้ ทรงมพี ระวรกายผอ่ งใสยิง่ นักในคราวใดบา้ ง ? ก. คราวประสูติ และ ปรินิพพาน ข. คราวประสูติ และตรสั รู้ ค. คราวจะตรสั รูแ้ ละแสดงธรรม ง. คราวจะตรสั รู้ และใกลป้ รนิ ิพพาน ๔๕. พระบรมสารรี ิกธาตุ ถกู แบ่งออกเป็ นกี่สว่ น ? ก. ๖ ส่วน ข. ๗ สว่ น ค. ๘ สว่ น ง. ๙ ส่วน ๔๖. ในคราวเสด็จปรินิพพาน พระพุทธเจา้ ทรงมพี ระชนมายุเทา่ ไร ? ก. ๖๐ ปี ข. ๗๐ ปี ค. ๘๐ ปี ง. ๙๐ ปี ๔๗. ปัจฉิมโอวาท พระพุทธเจา้ ทรงแสดงเกี่ยวกบั อะไร ? ก. ความไมป่ ระมาท ข. ความเพยี ร ค. ความทุกข์ ง. ความสามคั คี ๔๘. ใครเป็ นพระสาวกองคส์ ดุ ทา้ ย ? ก. อุปกาชวี ก ข. โกลิตปรพิ าชก ค. สุภทั ทวฑุ ฒบรรพชติ ง. สุภทั ทปรพิ าชก ๔๙. ใครเป็ นผแู้ บ่งพระบรมสารรี กิ ธาตุ ? ก. พระอานนท์ ข. พระมหากสั สปะ ค. โทณพราหมณ์ ง. วสั สการพราหมณ์ ๕๐. หลงั การทาํ สงั คายนาคร้งั ที่เท่าใด ทีม่ กี ารส่งสมณทตู ออกประกาศพระ ศาสนา ๙ สาย ? ก. คร้งั ที่ ๑ ข. คร้งั ที่ ๒ ค. คร้งั ที่ ๓ ง. คร้งั ท่ี ๔

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๗๕ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม เหตกุ ารณส์ าํ คญั ปฏสิ นธิ วนั เพญ็ เดอื น ๘ กอ่ นพทุ ธศก ๘๐ ปี ๑๐ เดอื น ประสูติ วนั เพญ็ เดือน ๖ ก่อนพทุ ธศก ๘๐ ปี พระชนมายุ ๕ วนั ขนานพระนาม พระชนมายุ ๗ วนั พระมารดาส้ ินพระชนม์ (ทิวงคต) พระชนมายุ ๗ พรรษา ศกึ ษาศลิ ปวทิ ยา,ขุดสระโบกขรณี ,ไดป้ ฐมยาม พระชนมายุ ๑๖ พรรษา ทรงอภิเษกสมรส , สรา้ งปราสาท ๓ ฤดูถวาย พระชนมายุ ๒๙ พรรษา มพี ระโอรส และเสด็จออกผนวช พระชนมายุ ๓๕ พรรษา ตรสั รู้ พระชนมายุ ๘๐ พรรษา ปรินิพพาน ทรงบาํ เพญ็ พุทธกิจเป็ นเวลา ๔๕ ปี สถานทส่ี าํ คญั ๑. สวนลุมพนิ ี เป็ นสถานที่ประสูติ ๒. ตน้ พระศรมี หาโพธ์ริ ิมฝั่งแมน่ ้ําเนรญั ชรา เป็ นสถานทต่ี รสั รู้ ๓. ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั เป็ นสถานท่ีแสดงปฐมเทศนา ๔. ปาวาลเจดีย์ เป็ นสถานทป่ี ลงอายสุ งั ขาร ๕. สาลวโนทยาน เป็ นสถานท่ปี รนิ ิพพาน ๖. มกุฏพนั ธนเจดีย์ เป็ นสถานทถ่ี วายพระเพลิง ใครมีศกั ดิเ์ ป็ นอะไรกบั พระพุทธเจา้ ๑. พระเจา้ ชยั เสนะ ทรงเป็ น ทวด (พระไปยกา) ๒. พระเจา้ สหี นุ ทรงเป็ น ป่ ู (พระอยั กา) ๓. พระนางกญั จนา ทรงเป็ น ยา่ (พระอยั ยิกา) ๔. พระเจา้ อญั ชนะ ทรงเป็ น ตา (พระอยั กา) ๕. พระนางยโสธรา ทรงเป็ น ยาย (พระอยั ยิกา)

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๗๖ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพื่อพฒั นาสงั คม ๖. พระเจา้ สทุ โธทนะ ทรงเป็ น พอ่ (พระชนก/พระพุทธบิดา) ๗. พระนางสริ ิมหามายา ทรงเป็ น แม่ (พระชนนี/พระพทุ ธมารดา) ๘. พระเจา้ สุปปพุทธะ ทรงเป็ น ลุง (พระมาตลุ า) ๙. พระนางปชาบดี ทรงเป็ น น้า (พระมาตุจฉา) ๑๐. พระเจา้ สกุ โกทนะ, อมโิ ตทนะ, ฆนิโตทนะ, โธโตทนะ ทรงเป็ นอาชาย (พระปิ ตลุ า) ๑๑. พระนางปมติ า , อมติ า ทรงเป็ นอาหญิง (พระปิ ตุจฉา) ๑๒. พระนางยโสธรา (พมิ พา) ทรงเป็ น ภรรยา (พระชายา) ๑๓. นันทะ, อานนท์ ทรงเป็ น น้องชาย (พระอนุชา) ๑๔. รูปนันทา ทรงเป็ น น้องสาว (พระขนิษฐา) ๑๕. ราหุล ทรงเป็ น ลูก (พระโอรส) เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น วิชาพทุ ธประวัติ ๑. ค ๒. ง ๓. ข ๔. ก ๕. ค ๖. ง ๗. ข ๘. ก ๙. ง ๑๐. ง ๑๑. ข ๑๒. ก ๑๓. ข ๑๔. ค ๑๕. ข ๑๖. ค ๑๗. ข ๑๘. ก ๑๙. ง ๒๐. ง ๒๑. ค ๒๒. ง ๒๓. ง ๒๔. ก ๒๕. ข ๒๖. ง ๒๗. ก ๒๘. ข ๒๙. ค ๓๐. ง ๓๑. ง ๓๒. ค ๓๓. ก ๓๔. ข ๓๕. ก ๓๖. ค ๓๗. ง ๓๘. ก ๓๙. ข ๔๐. ง ๔๑. ค ๔๒. ค ๔๓. ก ๔๔. ง ๔๕. ค ๔๖. ค ๔๗. ก ๔๘. ง ๔๙. ค ๕๐. ค

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๗๗ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม วิชา ศาสนพธิ ี สปั ดาหท์ ่ี ๔ ความหมาย , ประโยชน์ , กุศลพธิ ี สาระสาํ คญั ศาสนพิธี คือ พิธกี รรมทางศาสนา เป็ นวธิ ีการสําคญั ที่จะนําคนทวั่ ไปให้ ใกลช้ ิดกบั ศาสนามากข้ นึ ซ่ึงแตล่ ะศาสนาก็มพี ธิ ีกรรมเป็ นของตนเอง พระพุทธ ศาสนาเป็ นศาสนาหน่ึงท่มี พี ิธกี รรมต่าง ๆ เกย่ี วเน่ืองกบั หลักธรรมคาํ สอนในทาง ศาสนา เป็ นกระบวนการในการดงึ คนเขา้ หาธรรมะ ดงั เช่น กุศลพธิ ี พิธีวา่ ดว้ ย การบาํ เพ็ญกุศล อนั ไดแ้ กก่ ารปฏิญาณตนถือเอาพระพทุ ธเจา้ เป็ นทพ่ี ึ่ง การรกั ษา ศลี การเวยี นเทยี น ซงึ่ พธิ ีกรรมเหล่าน้ ี เป็ นส่งิ สะทอ้ นใหค้ นมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม ในตนเอง และไดก้ ลายเป็นประเพณีวฒั นธรรมในท่ีสดุ ดงั น้ัน เพื่อความฉลาดรอบรูใ้ นการประกอบพิธีกรรมตา่ ง ๆ จงึ จาํ เป็ น ตอ้ งเรยี นรูศ้ าสนพธิ ี ซงึ่ ในสปั ดาหท์ ่ี ๔ น้ ี จกั ไดศ้ ึกษาศาสนพธิ ีดังน้ ี : - ความหมายของศาสนพิธี ประโยชนข์ องศาสนพิธี หมวดกุศลพิธี คือพิธีบาํ เพ็ญกุศล - พธิ ีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ - พธิ รี กั ษาอโุ บสถ - พธิ เี วยี นเทียน วตั ถปุ ระสงค์ ๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในวชิ าศาสนพธิ ี ๒. เห็นคุณประโยชน์ของศาสนพิธี ๓. ประพฤติปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ของศาสนพธิ ไี ด้ ๔. สามารถแนะนําผูอ้ ื่นใหป้ ฏบิ ตั ติ ามได้

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๗๘ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม กิจกรรม ๑. อา่ นเน้ ือหาประจาํ บทเรียนจากหนังสือคู่มอื ธรรมศึกษาตรี ๒. ทาํ ปัญหาก่อนเรยี น ๓. ฟังบรรยายในหอ้ งเรยี น ๔. รว่ มกนั ทาํ กจิ กรรมในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๕. คน้ ควา้ เพิม่ เตมิ จากหนังสอื ที่แนะนําทา้ ยเล่ม ประเมินผล ๑. ทาํ แบบทดสอบก่อนเรยี น ๒. จากการทาํ กิจกรรมใน – นอก หอ้ งเรียน ๓. จากการสอบธรรมสนามหลวง ๔. สามารถทาํ กิจตา่ ง ๆ ท่เี กย่ี วกบั ศาสนพิธไี ด้ แบบทดสอบกอ่ นเรยี นวชิ าศาสนพธิ ี สปั ดาหท์ ี่ ๔ คาํ สงั ่ : ใหท้ าํ เครือ่ งหมายกากบาท (x) หน้าคาํ ตอบท่ีถกู ทีส่ ดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว ๑. ศาสนพิธี คืออะไร ? ก. พธิ ีบวชนาค ข. พิธใี นทางศาสนา ค. พธิ ีทาํ บุญข้ ึนบา้ นใหม่ ง. ถูกทกุ ขอ้ ๒. วนั สาํ คญั ในการเวยี นเทียนมกี ว่ี นั ? ง. ๖ วนั ก. ๓ วนั ข. ๔ วนั ค. ๕ วนั ๓. ทกั ษิณาวฏั หมายถึงอะไร ? ก. การเดินเวยี นขวา ข. การเดนิ เวยี นซา้ ย ค. การเดินตรง ง. การเดินเวยี นเทยี น ๔. วนั มาฆบูชา ตรงกบั วนั ใด ? ข. แรม ๑๕ คาํ่ เดือน ๓ ก. ข้ ึน ๑๕ คาํ่ เดือน ๓ ง. ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๘ ค. ข้ นึ ๑๕ คาํ เดือน ๖

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๗๙ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพือ่ พฒั นาสงั คม ๕. วนั วสิ าขบูชา ตรงกบั วนั ใด ? ก. ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๓ ข. แรม ๑๕ คาํ่ เดอื น ๓ ค. ข้ นึ ๑๕ คาํ เดือน ๖ ง. ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ ๖. วนั อาสาฬหบูชา ตรงกบั วนั ใด ? ก. ข้ ึน ๑๕ คาํ่ เดอื น ๓ ข. แรม ๑๕ คาํ่ เดือน ๓ ค. ข้ นึ ๑๕ คาํ เดือน ๖ ง. ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๘ ๗. แบบอยา่ ง หรือแบบแผน ทพี่ งึ ปฏิบตั ใิ นทางศาสนา เรียกวา่ อะไร ? ก. ศาสนปฏบิ ตั ิ ข. ศาสนธรรม ค. ศาสนศึกษา ง. ศาสนพธิ ี ๘. ศาสนพิธีในพระพุทธศาสนาเกิดข้ ึนเมอ่ื ไร ? ก. พรอ้ มกบั ศาสนา ข. หลงั ศาสนา ค. ก่อนศาสนา ง. ไมม่ หี ลกั ฐานปรากฏ ๙. หลกั การทาํ บญุ ในศาสนพิธี เกดิ จากคาํ สอนเรื่องใด ? ก. บุญกริ ิยาวตั ถุ ข. สงั คหวตั ถุ ค. ทานวตั ถุ ง. กุศลมลู ๑๐. บุญกริ ยิ าวตั ถุ หมายถึงอะไร ? ก. ของสาํ หรบั ทาํ บญุ ข. การต้งั ใจทาํ บุญ ค. สถานท่ที าํ บุญ ง. สง่ิ เป็ นท่ตี ้งั แหง่ การทาํ บญุ ๑๑. บุญกิรยิ าวตั ถุ ๓ คอื ขอ้ ใด ? ก. ศลี สมาธิ ปัญญา ข. ทาน ศีล ภาวนา ค. ทาน ศีล สมาธิ ง. ทาน ศีล ปัญญา ๑๒. ขอ้ ใด จดั เป็ นกุศลพธิ ี ? ก. ช่วยเหลือคนตาบอด ข. ทาํ บญุ ข้ นึ บา้ นใหม่ ค. รกั ษาอุโบสถศีล ง. ถวายสงั ฆทาน ๑๓. ผรู้ บั นับถอื พระพทุ ธเจา้ เป็ นของตน เป็ นความหมายของขอ้ ใด ? ก. อุบาสกิ า ข. อุบาสก ค. พุทธมามกะ ง. สาวก

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๘๐ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม ๑๔. คาํ วา่ “เอสาหงั ภนั เต สุจริ ะปรนิ ิพพุตัมปิ ฯลฯ พทุ ธะมามะโกติ มงั สงั โฆ ธาเรตุ” เป็ นคาํ อะไร ? ก. คาํ ขอบรรพชา ข. คาํ แสดงตนเป็ นอบุ าสก ค. คาํ ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ง. ไมม่ ขี อ้ ถกู ๑๕. การประกอบพธิ ีเวยี นเทยี นในวนั สาํ คญั ทรงพระพุทธศาสนาเพอ่ื น้อมระลึก ถงึ ใคร ? ก. พระพุทธเจา้ ข. พระธรรม ค. พระสงฆ์ ง. พระรตั นตรยั ๑๖. ขอ้ ใด ตรงกบั วนั ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ? ก. วนั วสิ าขบฃู ชา ข. วนั อฏั ฐมบี ชู า ค. วนั อาสาฬหบชู า ง. วนั มาฆบชู า ๑๗. คาํ วา่ “อุโบสถ” แปลวา่ อะไร ? ก. การจาํ ศีล ข. การรกั ษาศลี ค. การถือศีล ง. การเขา้ จาํ ๑๘. พิธีรกั ษาอโุ บสถศีลเป็ นเร่อื งของ...? ก. กุศลพธิ ี ข. บุญพธิ ี ค. งานมงคล ง. ทานพิธี ๑๙. พธิ รี กั ษาอโุ บสถศลี ขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ ง ? ก. ประกาศองคอ์ โุ บสถศีลและอาราธนาอโุ บสถศีล ข. อาราธนาอโุ บสถศีลแลว้ ประกาศองคอ์ ุโบสถศลี ค. อาราธนาอุโบสถศีลแลว้ อธิษฐานอุโบสถศีล ง. ถกู ทกุ ขอ้ ๒๐. คาํ วา่ “วสิ งุ วสิ งุ ” มคี วามหมายตรงกบั ขอ้ ใด ? ก. ต้งั ใจรกั ษาศีลจริงๆ ข. ขอรกั ษาศีลแยกขอ้ กนั ค. ระบุเวลาในการรกั ษาศีล ง. เป็ นคาํ แทนตวั ผอู้ าราธนา

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๘๑ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพือ่ พฒั นาสงั คม ความหมายของศาสนพธิ ี ศาสนพิธี มาจากคําว่า “ศาสน” หรือ “ศาสนา” คือ คําสอน กับคําว่า “พิธี” คือ แบบอย่าง หรือแบบแผนต่าง ๆ รวมเป็ นคําว่า ศาสนพิธี หมายถึง แบบอย่าง หรือแบบแผนตา่ ง ๆ ทพ่ี ึงปฏบิ ตั ิในทางพระศาสนา ศาสนพิธีเป็ นเร่ืองท่ีเกิดข้ ึนทีหลังศาสนา หมายความว่า มีศาสนาเกิดข้ ึน กอ่ นแลว้ จงึ มพี ธิ กี รรมตา่ ง ๆ เกิดตามมาภายหลัง เหตุเกิดศาสนพิธี เนื่องจากหลักการของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจา้ ได้ ตรสั ไวอ้ นั เรียกว่า “โอวาทปาฏิโมกข”์ ในโอวาทปาฏิโมกขน์ ้ัน มีหลักการสําคัญท่ี ทรงวางไวเ้ ป็ นหลักทวั่ ๆ ไป ๓ ประการ คือ ๑. สอนไมใ่ หท้ าํ ความชวั่ ท้ังปวง ๒. สอนใหอ้ บรมกุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม ๓. สอนใหท้ าํ จติ ใจของตนใหผ้ ่องใส การพยายามทําตามคําสอนในหลักการน้ ีเป็ นการพยายามทําความดีท่ี เรียกวา่ ทาํ บญุ และการทาํ บญุ น้ ี พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงวตั ถุคือท่ีต้งั แห่งการทําบุญไว้ โดยยอ่ เรยี กวา่ บุญกิรยิ าวตั ถุ มี ๓ ประการ คือ ๑. ทาน การบริจาคส่ิงของของตนใหเ้ ป็ นประโยชน์แก่ผูอ้ ื่น ๒. ศีล การรกั ษากายวาจาใหส้ งบเรียบรอ้ ย ไมล่ ่วงบญั ญัตทิ ท่ี รงหา้ ม ๓. ภาวนา การอบรมจติ ใจใหผ้ ่องใสในการกุศล บุญกิริยาวัตถุน้ ี เป็ นแนวทางใหพ้ ุทธบริษัทประพฤติตามหลักการท่ีกล่าว ขา้ งตน้ และเป็ นเหตุใหเ้ กิดศาสนพธิ ีตา่ งๆ ข้ ึนโดยนิยม ประโยชนข์ องศาสนพิธี ๑. เป็ นวธิ กี ารดึงคนเขา้ สู่หลกั ธรรมทางพระศาสนา ๒. เป็ นรูปแบบวธิ กี ารท่ีมแี บบแผน งดงาม สอดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมไทย ๓. เป็ นกระบวนการทีท่ ําใหค้ นในสังคมมคี วามรกั สามคั คี ปรารถนาดตี อ่ กนั

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๘๒ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม ๔. ผูท้ ีศ่ ึกษาศาสนพธิ ีดีแลว้ ย่อมเป็ นผฉู้ ลาดในพิธีกรรมทีต่ อ้ งปฏบิ ตั ิในการ บาํ เพ็ญบุญกุศล ๕. สามารถจรรโลงใหพ้ ระพุทธศาสนามคี วามเจริญยงั่ ยืนสืบไป ศาสนพิธีแบง่ ออกเป็ น ๔ หมวด เม่ือพิธีกรรมใดเป็ นท่ีนิยมและรับรองปฏิบัติสืบ ๆ มาจนเป็ นประเพณี พิธีกรรมน้ันก็กลายเป็ นศาสนพิธีข้ ึน ฉะน้ัน ศาสนพิธีจึงมีมากมาย แต่เมื่อแยก เป็ นหมวดแลว้ มี ๔ หมวด คอื ๑. หมวดกุศลพธิ ี วา่ ดว้ ยพธิ บี าํ เพญ็ กุศล ๒. หมวดบญุ พธิ ี วา่ ดว้ ยพธิ ที าํ บญุ ๓. หมวดทานพิธี วา่ ดว้ ยพิธีถวายทาน ๔. หมวดปกิณณกะ วา่ ดว้ ยพธิ เี บด็ เตล็ด หมวดกุศลพธิ ี ว่าดว้ ยพิธีบาํ เพ็ญกุศล กุศลพิธี คือ พธิ ีบาํ เพญ็ กุศลต่าง ๆ อนั เก่ียวเน่ืองดว้ ยความดงี ามทาง พระพทุ ธศาสนาส่วนบคุ คล ไดแ้ ก่ พธิ กี รรมทาํ ความดใี หแ้ กต่ วั เอง มี ๓ อย่าง คอื ๑. พธิ ีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ ๒. พธิ รี กั ษาอโุ บสถ ๓. พธิ เี วยี นเทยี นในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา พิธีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ คาํ วา่ พุทธมามกะ แปลวา่ ผูร้ บั เอาพระพทุ ธเจา้ เป็ นของตน การแสดงตน เป็ นพทุ ธมามกะ หมายถงึ การประกาศตนของผูแ้ สดงวา่ เป็ นผรู้ บั นับถอื พระพุทธเจา้ เป็ นของตน

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๘๓ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพือ่ พฒั นาสงั คม การปฏิญาณตนเป็ นผูน้ ับถือพระพุทธศาสนาไม่จําเป็ นตอ้ งทําเฉพาะ คราวเดียว ทาํ ซ้าํ ๆ ตามกําลังแห่งศรทั ธาและความเล่ือมใสก็ได้ เช่น พระสาวก บางรูป ภายหลังแต่ไดร้ บั การอุปสมบทแลว้ ก็ลนั่ วาจาว่า พระผูม้ พี ระภาคเจา้ เป็ น พระศาสดาของขา้ พระองค์ ๆ เป็ นสาวก ดงั น้ ีเป็ นตน้ ความเป็ นมาของการแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ เมื่อความนิยมในการบวชสามเณรลดลง พร้อมกับการส่งเด็กไปเรียนใน ต่างประเทศมากข้ ึน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว (ร.๕) ทรงพระราช ปริวิตกว่า เด็กๆ จกั ไม่มีความรูส้ ึกท่ีดีต่อพระพุทธศาสนาจึงโปรดให้พระโอรสของ พระองค์ทรงปฏิญาณพระองค์เป็ นผูน้ ับถือพระพุทธศาสนาก่อน และพระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกลา้ เจา้ อย่หู วั (ร.๖)ไดเ้ ป็ นพระองคแ์ รกที่ปฏิญาณพระองคต์ ามธรรม เนียมที่ทรงต้ังข้ ึนใหม่น้ัน และใชเ้ ป็ นราชประเพณีต่อมาอีกหลายพระองค์ เช่น พระ เจา้ วรวงศเ์ ธอพระองค์จุมพฎพงศ์บรพิ ตั ร พระโอรสสมเด็จพระเจา้ น้องยาเธอ เจา้ ฟ้ากรม หลวงนครสวรรค์วรพินิตกับหม่อมเจา้ องค์อื่น ๆ ก่อนจะไปศึกษาในยุโรปก็ไดแ้ สดง พระองคเ์ ป็ นพุทธมามกะกอ่ น เป็ นตน้ โดยเหตุน้ ี จงึ เกิดเป็ นประเพณีนิยมแสดงตนเป็ นพุทธมามกะข้ ึนสืบต่อกันมา แต่ในปัจจบุ นั ความนิยมของชาวพุทธในประเทศไทยมีสรปุ ดงั น้ ี คอื ๑. เม่ือบุตรหลานของตนรู้เดียงสาเจริญวัยอยู่ในระหว่าง ๑๒–๑๕ ปี ก็ ประกอบพธิ ีใหบ้ ุตรหลานไดแ้ สดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ เพื่อใหเ้ ด็กสืบความเป็ นชาวพุทธ ตามตระกูลตอ่ ไป ๒. เม่ือจะส่งบุตรหลานไปเรียนยังต่างประเทศที่มิใช่ดินแดนของพระพุทธ ศาสนา ๓. เมือ่ จะปลูกฝังนิสยั ของเยาวชนใหม้ นั่ คงในพระพุทธศาสนา ส่วนมากทาง โรงเรียนจะเป็ นผูจ้ ดั ทาํ พิธกี รรม อาจจะเป็ นปี ละคร้งั ๔. เม่ือมีบุคคลต่างศาสนาเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต้องการจะ ประกาศตนเป็ นชาวพทุ ธ

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๘๔ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่ือพฒั นาสงั คม ระเบียบพิธีการแสดงตนเป็ นพุทธมามกะ นิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูปเขา้ พระอุโบสถ หรือศาลา หรือสถานที่ที่ เหมาะสมแลว้ คณะผูป้ ฏิญาณตนนั่งพรอ้ มกันหน้าพระสงฆ์ ตัวแทนจุดเทียนธูปบูชา พระรตั นตรยั (ถา้ นัง่ กบั พ้ นื พงึ นัง่ คุกเขา่ ถา้ นัง่ บนเกา้ อ้ ี ใหย้ ืน ประนมมอื ) แลว้ กล่าว คาํ บูชาตามผนู้ ํา ดงั น้ ี อมิ นิ า สกั กาเรนะ พทุ ธงั ปูเชมะ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายบูชาพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยเคร่ืองสกั การะน้ ี อิมนิ า สกั กาเรนะ ธมั มงั ปเู ชมะ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายบชู าพระธรรมดว้ ยเคร่ืองสกั การะน้ ี อมิ นิ า สกั กาเรนะ สงั ฆงั ปูเชมะ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายบชู าพระสงฆด์ ว้ ยเครอ่ื งสกั การะน้ ี จากน้ัน ผูป้ ฏิญาณตนหันหน้าไปทางพระสงฆ์ แล้วว่านะโม ๓ จบตามผู้ กล่าวนํา ดงั น้ ี นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุทธสั สะ ขอนอบน้อมแดพ่ ระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ ้ัน (วา่ ๓ จบ) ต่อดว้ ย คาํ ปฏญิ าณตนเป็ นพทุ ธมามกะ ดงั น้ ี เอเต มะยงั ภนั เต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ , ตงั ภะคะวันตัง สะระณงั คจั ฉามะ, ธมั มญั จะ, สงั ฆญั จะ, พทุ ธะมามะกาติ โน สงั โฆ ธาเรตุ ขา้ แตพ่ ระสงฆ์ผูเ้ จรญิ ขา้ พเจา้ ท้งั หลายขอถงึ พระผูม้ ีพระภาคเจา้ พระองค์ น้ัน แมป้ รินิพพานไปนานแลว้ ท้งั พระธรรมและพระสงฆเ์ ป็ นสรณะท่ีระลึกนับถอื ขอพระสงฆจ์ งจาํ ขา้ พเจา้ ท้ังหลายไวว้ า่ เป็ นพทุ ธมามกะ ผรู้ บั เอาพระพุทธเจา้ เป็ น ของตน คือ ผนู้ ับถือพระพุทธเจา้ (หมายเหตุ : ถา้ ปฏิญาณคนเดียว ใหเ้ ปล่ียนคาํ ปฏิญาณ ดงั น้ ี เอเต มะยงั เป็ น เอสาหงั คจั ฉามะ เป็ น คจั ฉามิ, พุทธะมามะกาติ ชายเปล่ียนเป็ น พุทธะมามะโกติ หญิงเปลี่ยน เป็ น พทุ ธะมามิกาต,ิ โน เป็ น มงั , คาํ แปลวา่ ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย เป็ น ขา้ พเจา้ )

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๘๕ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพ่อื พฒั นาสงั คม พระสงฆ์ท้ังน้ันประนมมือรับ “สาธุ” พรอ้ มกัน จากน้ัน ผูป้ ฏิญาณตนนั่ง ประนมมอื ฟังโอวาทจากพระสงฆ์ หลงั จากจบโอวาทแลว้ ตวั แทนกล่าวคาํ อาราธนาศีล ดงั น้ ี มะยงั ภนั เต วสิ ุง วสิ งุ รกั ขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ จากน้นั ประธานสงฆจ์ ะเป็ นผูใ้ หศ้ ีล ผูป้ ฏิญาณว่าตาม ดงั น้ ี นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ (พระสงฆว์ า่ “ยะมะหงั วะทามิ ตงั วะเทหิ” ผปู้ ฏิญาณรบั วา่ “อามะ ภนั เต”) พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ธมั มงั สะระณงั คจั ฉามิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ ธมั มงั สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ยิ มั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ ตะตยิ มั ปิ พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ตะติยมั ปิ ธมั มงั สะระณงั คจั ฉามิ ตะติยมั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉามิ (พระสงฆว์ า่ “ตสิ ะระณะคะมะนงั นิฏฐติ งั ” ผปู้ ฏิญาณรบั วา่ “อามะ ภนั เต”) ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ อทินนาทานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทิยามิ กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๘๖ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพือ่ พฒั นาสงั คม มสุ าวาทา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สมาทิยามิ อิมานิ ปัญจะ สกิ ขาปะทานิ สะมาทิยามิ ขา้ พเจา้ สมาทานสิกขาบท ๕ ขอ้ เหล่าน้ ี (บทน้ ีผูป้ ฏญิ าณพงึ วา่ ๓ หน) สเี ลนะ สคุ ะตงิ ยนั ติ สีเลนะ โภคะสมั ปะทา สีเลนะ นิพพตุ ิง ยนั ติ ตสั มา สีลงั วโิ สธะเย (บทน้ ี ผูป้ ฏิญาณไมต่ อ้ งวา่ ตาม, พอพระวา่ จบแลว้ ใหก้ ราบ ๓ คร้งั ) ลาํ ดบั จากน้ ี ถา้ มเี คร่ืองไทยธรรม พึงนําเคร่อื งไทยธรรมมาถวายพระสงฆ์ เสร็จแลว้ พระสงฆอ์ นุโมทนา ผูป้ ฏิญาณกรวดน้ํารบั พร เสร็จแลว้ กราบพระสงฆ์ ๓ คร้งั เป็ นอนั เสรจ็ พิธี พธิ รี กั ษาอโุ บสถ อุโบสถเป็ นเร่ืองของกุศลกรรมสําคัญประการหนึ่งของคฤหัสถ์ แปลว่า การเขา้ จาํ เป็ นอุบายขัดเกลากิเลสอย่างหยาบใหเ้ บาบางและเป็ นทางแห่งความ สงบ อโุ บสถของคฤหสั ถ์ มี ๒ อยา่ ง คอื ๑. ปกติอุโบสถ คือ อุโบสถที่รักษากนั ตามปกติเฉพาะวนั หน่ึง และคืน หนึ่งในวนั พระ ๒. ปฏิชาครอุโบสถ คือ อุโบสถที่รกั ษาคราวละ ๓ วนั โดยแบ่งเป็ นวนั รบั ๑ วนั วนั รกั ษา ๑ วนั และวนั สง่ ๑ วนั การรักษาอุโบสถท้งั ๒ อย่างน้ ี โดยเน้ ือแทก้ ็คือการสมาทานรกั ษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด เป็ น เอกัชฌสมาทาน มนั่ คงอยู่ดว้ ยความผูกใจจนตลอดกาลของ อโุ บสถท่ีตนสมาทานน้ัน

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๘๗ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพื่อพฒั นาสงั คม คาํ อธิษฐานอุโบสถ อิมัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตงั , พุทธะปัญญัตตงั อุโปสะถงั , อิมัญจะ รตั ติง อิมญั จะ ทิวะสงั , สมั มะเทวะ อะภริ กั ขติ งุ สะมาทิยามิ ขา้ พเจา้ ขอสมาทานอุโบสถพุทธบญั ญัติ อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการน้ ี เพอ่ื จะรกั ษาไวใ้ หด้ ี มใิ หข้ าดมใิ หท้ าํ ลาย ตลอดคืนหนึ่งและวนั หนึ่ง ในเวลาน้ ี คาํ อาราธนาอุโบสถศีล อะหงั ภนั เต ตสิ ะระเณนะ สะหะ อฏั ฐังคะสะมนั นาคะตงั อุโปสะถงั ยาจามิ ขา้ แต่พระสงฆ์ผูเ้ จริญ ขา้ พเจา้ ย่อมขอซึ่งอุโบสถศีล อันประกอบดว้ ยองค์ ๘ ประการ พรอ้ มกบั ไตรสรณคมน์ เสรจ็ แลว้ นัง่ รบั ศีลไปตามลาํ ดบั เมอื่ พระสงฆก์ ล่าวคาํ วา่ “ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตงั ” พึงรับพรอ้ มกนั ว่า “อามะ ภันเต” และเมอื่ พระสรุปศีลว่า “อิมานิ อัฏฐะสิกขาปะทานิ อุโปสะถะสีละวะเสนะ สาธุกัง กัตวา อัปปะมาเทนะ รกั ขิตพั พานิ” พงึ รบั พรอ้ มกนั วา่ “อามะ ภนั เต” อุโบสถศีล (ศีล ๘) ๑. ปาณาตปิ าตา เวระมณี : เวน้ จากการฆ่าสตั ว์ ๒. อทินนาทานา เวระมะณี : เวน้ จากการถอื เอาส่งิ ของทเ่ี ขาไมไ่ ดใ้ ห้ ๓. อะพรหั มะจะริยา เวระมะณี : เวน้ จากการประพฤติผิดพรหมจรรย์ ๔. มุสาวาทา เวระมะณี : เวน้ จากการพดู เท็จ ๕. สุราเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี : เวน้ จากการดม่ื น้ําเมาคอื สุราและเมรยั อนั เป็ นท่ตี ้งั แหง่ ความประมาท ๖. วกิ าละโภชนา เวระมะณี : เวน้ จากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล ๗. นัจจะคีตะวาทิตะวสิ ูกะทสั สะนะ มาลาคนั ธะวเิ ลปะนะธาระณะมณั ฑะนะ วภิ สู ะนัฏฐานา เวระมะณี : เวน้ จากการฟ้อนราํ ขบั รอ้ ง ประโคมเครอ่ื ง ประโคมต่างๆ ดูการละเล่น และลูบทา ทดั ทรงประดบั ตกแต่งซง่ึ ร่างกาย ดว้ ยระเบยี บดอกไมแ้ ละของหอมเครือ่ งทาเคร่ืองยอ้ มผวิ ตา่ งๆ

คมู่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๘๘ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพ่ือพฒั นาสงั คม ๘. อจุ จาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี : เวน้ จากการนัง่ นอนบนทนี่ อน อนั สงู ใหญ่ พธิ เี วียนเทยี นในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา วนั สาํ คญั ในทางพระพุทธศาสนาทีพ่ ุทธศาสนิกชนนิยมประกอบพิธีกรรม บูชา เพ่ือระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็ นพิเศษ แต่เดิมกําหนดไว้ ๓ วัน คือ วัน มาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมบี ูชา ภายหลังเพิ่มวนั อาสาฬหบูชาเขา้ มาอีกหน่ึง วนั รวมเป็ น ๔ วนั คอื วนั มาฆบูชา วนั วสิ าขบูชา วนั อฏั ฐมบี ูชา วนั อาสาฬหบชู า วนั มาฆบชู า วนั มาฆบูชา ตรงกบั วนั เพ็ญเดอื น ๓ (ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๓) ถา้ ปี ใดมีอธิกมาส ปี น้ันเลื่อนไปเป็ นวนั เพ็ญเดือน ๔ เป็ นวนั คลา้ ยวนั ท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาฏิ โมกขใ์ นที่ประชุมสงฆ์ และการประชุมกนั ในวนั น้ันเรียกว่า จาตรุ งคสนั นิบาต คือ การ ประชุมที่ประกอบดว้ ยองค์ ๔ คําวา่ มาฆะ เป็ นช่ือของเดือน ๓ มาฆบูชา ย่อมาจาก คําว่า มาฆปุณณมบี ูชา แปลวา่ การบูชาพระในวนั เพ็ญเดือน ๓ และเน่ืองจากเป็ น วนั ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงแสดงโอวาทปาฎิโมกข์ จงึ เรียกวนั น้ ีวา่ “ วนั พระธรรม ” พิธกี รรมในวนั มาฆบูชาน้ ีทาํ เป็ นทางราชการเมือ่ สมยั รชั กาลท่ี ๔ วนั วิสาขบชู า วนั วสิ าขบชู า ตรงกบั วนั เพญ็ เดือน ๖ (ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดอื น ๖) ถา้ ปี ใดมี อธกิ มาส ปี น้ันเลื่อนไปเป็ นวนั เพ็ญเดือน ๗ คาํ วา่ วิสาขะ เป็ นช่อื ของเดอื น ๖ วิสาขบูชา ยอ่ มาจากคาํ วา่ วสิ าขปุณณมบี ชู า แปลวา่ การบชู าพระในวนั เพญ็ เดอื น ๖ เป็ นวนั คลา้ ยวนั ประสูติ ตรสั รู้ และปรนิ ิพพานของพระพทุ ธเจา้ วนั วสิ าขบูชาในประเทศไทยน้ ี มมี าต้งั แต่สมยั สโุ ขทยั แตไ่ ดม้ กี ารฟ้ ืนฟู อย่างจริงจงั เมอ่ื ในสมยั รชั กาลที่ ๒ และมกี ารจดั ประเพณีเรือ่ ยมาจนถึงปัจจบุ นั

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๘๙ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม วนั วสิ าขบูชาน้ ี ถือเป็ นวนั เกิดของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจา้ เป็ นผตู้ ้งั หรือประดษิ ฐานพระพทุ ธศาสนาข้ นึ จงึ เรียกอกี วา่ “วนั พระพุทธเจา้ ” วนั ที่ ๑๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ องคก์ ารสหประชาชาตไิ ดป้ ระกาศใหว้ นั วิสาขบูชาเป็ นวนั สําคญั สากลของโลก และวนั ท่ี ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ ประกาศใหเ้ ป็ น วนั สมาธิโลก เม่อื วนั ท่ี ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๒ คณะรัฐมนตรีมีมติใหว้ นั วิสาขบูชา เป็ น “วนั ตน้ ไมป้ ระจาํ ปี แหง่ ชาต”ิ วนั อฏั ฐมบี ูชา วันอัฏฐมีบูชา ตรงกับวนั แรม ๘ คํา่ เดือน ๖ ถา้ ปี ใดมีอธิกมาส ปี น้ัน เล่ือนไปเป็ นวนั แรม ๘ คํา่ เดือน ๗ นับจากวนั วิสาขบูชาไป ๗ วนั เป็ นวนั คลา้ ย วนั ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจา้ ณ มกุฏพนั ธนเจดยี ์ เมอื งกุสนิ ารา แควน้ มลั ละ วนั อาสาฬหบูชา วนั อาสาฬหบชู า ตรงกบั วนั เพ็ญเดือน ๘ (วนั ข้ นึ ๑๕ คาํ่ เดือน ๘) กอ่ น เขา้ พรรษา ๑ วนั คาํ วา่ อาสาฬหะ เป็ นชอ่ื ของเดือน ๘ อาสาฬหบชู า ย่อมาจาก คาํ วา่ อาสาฬหปณุ ณมบี ูชา แปลวา่ การบูชาในวนั เพ็ญเดอื น ๘ เป็ นวนั คลา้ ยวนั ที่ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา คอื การแสดงธรรมคร้งั แรก มชี ่อื วา่ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสตู ร ทปี่ ่ าอสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณาสี แควน้ กาสี เป็ น วนั ทีม่ พี ระอริยสงฆร์ ูปแรก คือ พระอญั ญาโกณฑญั ญะ เป็ นวนั ทม่ี รี ตั นะเกดิ ข้ นึ ใน โลกครบท้งั ๓ จงึ เรยี กวนั น้ ีวา่ “ วนั พระสงฆ์ ” การทาํ พธิ ีบูชาในวนั สาํ คญั ท้งั ๔ น้ ี คอื อาจจะมกี ารประชมุ ทาํ วตั ร สวดมนต์ และฟังเทศน์กอ่ นแลว้ จงึ เวยี นเทยี นก็ได้ การเวียนเทียน คือ การน้อมระลึกถึงคุณของพระรตั นตรยั โดยการท่ี พทุ ธบริษัทถอื ดอกไมธ้ ปู เทียนทจ่ี ุดแลว้ ประนมมอื ทาํ ประทกั ษิณ คือ เดินเวยี นขวา ท่ีเรียกวา่ ทกั ษิณาวฎั รอบปูชนียสถานในวดั หรือในสถานทแี่ ห่งใดแห่งหนึ่ง ๓

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๐ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพือ่ พฒั นาสงั คม รอบ โดยสง่ ใจระลึกถึงคุณพระรตั นตรยั ในขณะท่เี ดนิ เวยี น คือ ในรอบที่ ๑ ระลึก ถึงคุณของพระพทุ ธเจาั โดยสวดบทวา่ อติ ปิ ิ โส ภะคะวา ฯลฯ รอบท่ี ๒ ระลึกถงึ คุณพระธรรม โดยสวดบทวา่ สวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม ฯลฯ รอบท่ี ๓ ระลึกถงึ คุณพระสงฆโ์ ดยสวดบทวา่ สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ฯลฯ เมอ่ื เสร็จ แลว้ นําดอกไมธ้ ูปเทียนน้ันปักบูชาปชู นียวตั ถุทเ่ี วยี นรอบ ในภาชนะทท่ี างวดั จดั ไว้ ระเบยี บปฏิบตั ิของพุทธศาสนิกชนผูเ้ ขา้ รว่ มพิธีเวียนเทยี น ๑. มาถึงบริเวณพิธกี อ่ นเวลา ๒. จุดธูปเทยี นและกล่าวคาํ บูชาพระรตั นตรยั ตามผูน้ ํา ๓. ขณะเวยี นเทียนตอ้ งใหพ้ ระเณรอยหู่ น้า ๔. ทาํ การ ทกั ษิณาวฏั คอื เดินเวยี นขวา และสาํ รวมกาย วาจา ใจ ๕. ระหวา่ งเวยี นเทยี นตอ้ งน้อมจติ ระลึกถึงคุณพระรตั นตรยั ตลอดเวลา ๖. เมอ่ื เดนิ ครบ ๓ รอบแลว้ ใหน้ ําธปู เทียนดอกไมไ้ ปวางไวใ้ นท่ที ่ีจดั ไว้ บางวดั อาจจะมกี ารฟังเทศน์ สวดมนตก์ ่อนก็ได้ แลว้ แตค่ วามนิยมของแตล่ ะวดั เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นวชิ าศาสนพธิ ี สปั ดาหท์ ี่ ๔ ๑. ข ๒. ข ๓. ก ๔. ก ๕. ค ๖. ง ๗. ง ๘. ข ๙. ก ๑๐. ง ๑๑. ข ๑๒. ค ๑๓. ค ๑๔. ค ๑๕. ง ๑๖. ข ๑๗. ง ๑๘. ก ๑๙. ก ๒๐. ข

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๙๑ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่อื พฒั นาสงั คม สปั ดาหท์ ี่ ๕ บุญพธิ ี , ทานพธิ ี , ปกิณณกะ สาระสาํ คญั ศาสนพิธีวา่ ดว้ ยพิธีการทําบุญท่เี ป็ นมงคลแก่ชีวติ และครอบครัว เชน่ ทาํ บญุ ข้ นึ บา้ นใหม่ ทําบุญงานแต่งงาน และพิธที ําบญุ งานอวมงคลเป็ นพิธีทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั การตายหรอื ทําบญุ อุทิศแก่บรุ พการีชนที่ล่วงลบั ไปแลว้ พธิ ีถวายทานเชน่ การถวาย ทานในเทศกาลงานบญุ ต่างๆท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ชวี ิตของพทุ ธศาสนิกชน และพิธเี บ็ดเตล็ด ทวั่ ไปเชน่ การแสดงความเคารพพระ การอาราธนาศลี อาราธนาธรรม เป็ นตน้ เป็ น ส่ิงจาํ เป็ นทพี่ ุทธศาสนิกชนควรศกึ ษาใหม้ คี วามรูค้ วามเขา้ ใจ เพอื่ ท่ีจะไดน้ ําไป ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิไดอ้ ย่างถูกตอ้ งตามหลัก ศาสนพิธีตามจุดมุ่งหมายต่อไป ดงั น้ัน ศาสนพิธีจงึ มีความจําเป็ นต่อวิถีชีวิตของชาวพุทธ เพราะเป็ นสิ่งท่ี หล่อหลอมจติ ใจใหม้ คี วามอ่อนโยนและทาํ ใหจ้ ิตใหน้ ้อมไปในหลักธรรมของพระพุทธ ศาสนาในสปั ดาหท์ ่ี ๕ น้ ี จกั ไดศ้ กึ ษาศาสนพิธีดงั น้ ี : - หมวดบุญพิธี ว่าดว้ ยพิธีทาํ บญุ - วธิ ีทาํ บญุ งานมงคล - วธิ ที าํ บุญงานอวมงคล หมวดทานพิธี ว่าดว้ ยพิธีถวายทาน - ทานวตั ถุ - ทาน ๒ ประเภท - กาํ หนดเวลาของการถวายทาน - ระเบียบพิธีถวายทาน - คาํ ถวายสงั ฆทานประเภทสามญั

คูม่ อื ธรรมศึกษาตรี - -๙๒ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพ่อื พฒั นาสงั คม หมวดปกิณณกะ ว่าดว้ ยพิธีเบด็ เตลด็ - วธิ แี สดงความเคารพพระ - วธิ ปี ระเคนของพระ - วธิ ีทาํ หนังสืออาราธนาและทาํ ใบปวารณา - วธิ ีอาราธนาศลี อาราธนาพระปรติ ร อาราธนาธรรม - วธิ ีกรวดน้ํา วตั ถปุ ระสงค์ ๑. มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในวชิ าศาสนพิธี ๒. เหน็ คุณประโยชน์ของศาสนพิธี ๓. ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นตามหลกั ของศาสนพธิ ไี ด้ ๔. สามารถแนะนําผูอ้ ่ืนใหป้ ฏบิ ตั ติ ามได้ กิจกรรม ๑. อ่านเน้ ือหาประจาํ บทเรียนจากหนังสอื คู่มอื ธรรมศึกษาตรี ๒. ทดสอบทาํ ปัญหากอ่ นเรยี นและหลงั เรยี น ๓. ฟังบรรยายในหอ้ งเรียน ๔. รว่ มกนั ทาํ กจิ กรรมในวนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๕. คน้ ควา้ เพม่ิ เตมิ จากหนังสือทีแ่ นะนําทา้ ยเล่ม ประเมินผล ๑. ทาํ แบบทดสอบก่อน - หลงั เรียน ๒. จากการทาํ กจิ กรรมใน – นอก หอ้ งเรยี น ๓. จากการสอบธรรมสนามหลวง ๔. สามารถทาํ กจิ ตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วกบั ศาสนพิธีได้

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๓ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่อื พฒั นาสงั คม แบบทดสอบก่อนเรียน วิชาศาสนพธิ ีสปั ดาที่ ๕ คาํ สงั่ : ใหท้ าํ เคร่อื งหมายกากบาท (x) หน้าคาํ ตอบที่ถูกทส่ี ุดเพยี งคาํ ตอบเดยี ว ๑. การทาํ บุญในวนั คลา้ ยวนั เกิด จดั เขา้ ในหมวดพิธีใด ? ก. กุศลพิธี ข. บุญพธิ ี ค. ทานพธิ ี ง. ปกณิ กพธิ ี ๒. บญุ พิธี แบง่ ออกเป็ นก่ีประเภท ? ก. ๒ ประเภท ข. ๓ ประเภท ค. ๔ ประเภท ง. ๕ ประเภท ๓. ขอ้ ใดไมจ่ ดั เป็ นงานมงคล ? ก. ทาํ บญุ ฉลองเรอื ประมงลงในน้ํา ข. ทาํ บุญครบรอบหน่ึงขวบลูกชาย ค. ทาํ บญุ ครบรอบหนึ่งปี ใหม้ ารดาผูล้ ะโลก ง. ทาํ บญุ ครอบรอบสามสบิ ปี แหง่ การแต่งงาน ๔. ในงานมงคลทกุ ประเภท นิยมใชส้ ายสิญจก์ ีเ่ สน้ ก. ๓ เสน้ ข. ๕ เสน้ ค. ๗ เสน้ ง. ๙ เสน้ ๕. พระท่ีนิมนตม์ าเจริญพระพทุ ธมนต์ รูปไหนตอ้ งใหศ้ ีล ? ก. พระรปู ที่ ๑ ข. พระรปู ที่ ๒ ค. พระรูปที่ ๓ ง. พระรปู ไหนกไ็ ด้ ๖. พระทน่ี ิมนตม์ าเจรญิ พระพุทธมนต์ รปู ไหนตอ้ งรบั สพั พี ? ก. พระรปู ท่ี ๑ ข. พระรปู ท่ี ๒ ค. พระรปู ที่ ๓ ง. พระรปู ไหนกไ็ ด้ ๗. เจา้ ภาพพึงจุดเทยี นน้ํามนต์ เมอ่ื พระสงฆ์สวดถึงบทไหน ? ก. ยงั กิญจิ วติ ตงั ... ข. เมตตญั จะ... ค. โพชฌงั โค... ง. อะเสวะนา จะ...

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๔ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพ่ือพฒั นาสงั คม ๘. ในคาํ กล่าวถวายขา้ วพระพุทธ ทาํ ไมทา่ นจงึ ใชค้ าํ วา่ “พุทธสั สะ ปเู ชม”ิ ? ก. เพราะเป็ นการถวายอาหาร ข. เพราะถวายอาหารและน้ําครบชุด ค. เพราะเป็ นการถวายตามธรรมเนียม ง. เพราะไมไ่ ดถ้ วายใหพ้ ระพุทธเจา้ เสวย ๙. การกรวดน้ํา จะตอ้ งทาํ ในเวลาใด ? ก. เมอ่ื พระสงฆว์ า่ ยะถา ข. เมอ่ื พระสงฆร์ บั สพั พีตโิ ย ค. เมอ่ื พระสงฆข์ ดั สคั เค ง. เมอื่ พระสงฆอ์ นุโมทนาเสร็จแลว้ ๑๐.การเจรญิ พระพุทธมนต์ ใชส้ าํ หรบั งานเชน่ ใด ? ก. งานอวมงคล ข. งานศพ ค. งานมงคล ง. งานทาํ บญุ วนั สารท ๑๑.“สวดพระพทุ ธมนต์” ใชส้ าํ หรบั งานประเภทใด ? ก. งานมงคล ข. งานทาํ บุญข้ นึ บา้ นใหม่ ค. งานอวมงคล ง. งานทาํ บุญอายุ ๑๒.งานอวมงคล คืองานเช่นไร ? ก. งานโกนจกุ ข. งานมงคลสมรส ค. งานทาํ บญุ บวชนาค ง. งานทาํ บุญฉลองอฐั ิ ๑๓.ขอ้ ใด จดั เป็ นงานอวมงคล ? ก. นายพานพบทาํ บุญอุทศิ ใหน้ างแสนเสน่ห์ ข. นางชวนชมทาํ บุญอายคุ รบ ๖๐ ปี ค. กาํ นันชา้ งทาํ บญุ ข้ ึนบา้ นใหม่ ง. ผใู้ หญ่ลีทาํ บุญครบรอบวนั แต่งงาน ๑๔.ทานวตั ถุ จาํ แนกไวก้ ปี่ ระการ ? ก. ๘ ประการ ข. ๙ ประการ ค. ๑๐ ประการ ง. ๑๒ ประการ

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๕ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพือ่ พฒั นาสงั คม ๑๕.การถวายทานเจาะจงพระภิกษุรปู ใดรปู หนึ่ง เรยี ก...? ก. อามสิ ทาน ข. ปาฏิบุคลิกทาน ค. วตั ถุทาน ง. สงั ฆทาน ๑๖.การถวายสงั ฆทาน หมายถงึ ขอ้ ใด ? ก. ถวายถังสงั ฆทานเจาะจงเจา้ อาวาส ข. ถวายภตั ตาหารเฉพาะพระทรี่ ูจ้ กั กนั ค. ทาํ บญุ เล้ ียงพระโดยไมเ่ จาะจง ง. ถวายยาระบชุ ่ือภกิ ษุอาพาธรูปหนึ่ง ๑๗.การทอดกฐินกาํ หนดใหท้ าํ ในชว่ งเวลาใด ? ก. กอ่ นเขา้ พรรษา ๑ เดอื น ข. หลงั เขา้ พรรษา ๑ เดือน ค. ก่อนออกพรรษา ๑ เดือน ง. หลังออกพรรษา ๑ เดอื น ๑๘.ทีก่ ล่าววา่ “เผดียงสงฆ”์ หมายถงึ ...? ก. ประเคนของพระ ข. กราบพระ ค. อาราธนาพระ ง. แจง้ ความประสงคใ์ หส้ งฆท์ ราบ ๑๙.การประนมมอื ตรงกบั บาลีขอ้ ใด ? ก. วนั ทา ข. อญั ชลี ค. อภวิ าท ง. นมสั การ ๒๐.การกราบดว้ ยเบญจางคประดิษฐ์ หมายถงึ การกราบเชน่ ไร ? ก. กราบครบองค์ ๕ ข. กราบ ๓ คร้งั ค. กราบ ๕ คร้งั ง. ก และ ข ถูก

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๖ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผ่ธรรมเพอ่ื พฒั นาสงั คม หมวดบุญพิธี ว่าดว้ ยการบาํ เพ็ญบญุ บุญพิธี คอื พิธที าํ บุญเนื่องดว้ ยประเพณีในครอบครวั ของพุทธศาสนิกชน บุญพิธีน้ ีเป็ นประเพณีเกย่ี วกบั ชวี ติ ของคนไทยทวั่ ไป การทาํ บญุ น้ันสว่ นมากทาํ กนั เพ่ือความเป็ นสริ ิมงคลบา้ ง เพอ่ื เป็ นการฉลองบา้ ง เพอ่ื ประกอบกจิ เก่ียวกบั เร่อื ง ความตายบา้ ง เป็ นการแสดงออกซง่ึ ความรกั ความกตญั �กู ตเวทที ถ่ี ือปฏิบตั สิ บื ๆ กนั มา บญุ พธิ ี มี ๒ ประเภท คอื ๑. ทาํ บุญงานมงคล หมายถงึ การทาํ บญุ เพอ่ื ความเป็ นสริ มิ งคล ๒. ทาํ บุญงานอวมงคล หมายถงึ การทาํ บญุ เกีย่ วกบั เรอ่ื งการตาย หรอื อทุ ิศส่วนบญุ สว่ นกุศลใหผ้ ูต้ าย ในการทาํ บญุ ท้งั ๒ ประเภทน้ัน มผี ทู้ เี่ กี่ยวขอ้ งในการปฏิบตั ิ ๒ ฝ่ าย คือ ๑. ฝ่ ายเจา้ ภาพ คือ ทายก ทายิกา ผปู้ ระกอบการทาํ บญุ ๒. ฝ่ ายพระสงฆ์ คือ ผูร้ บั ทานและประกอบพธิ ีกรรม วธิ ีทาํ บุญงานมงคล การทาํ บญุ งานมงคล หมายถงึ การทาํ บุญเล้ ียงพระเพอ่ื ความเป็ นสิริ มงคล เพือ่ ความสขุ ความเจริญแกจ่ ติ ใจโดยปรารภเหตุที่ดีเป็ นมลู บา้ ง เกี่ยวกบั ฉลองความสาํ เรจ็ ในชวี ติ บา้ ง เช่น ฉลองพระบวชใหม่ หรอื เกย่ี วกบั การเร่มิ ชวี ติ ใหมเ่ พ่อื ใหเ้ กิดความสาํ เร็จตามปรารถนาดว้ ยดตี ลอดไป เช่น ทาํ บญุ ข้ ึนบา้ นใหม่ ทาํ บุญงานแต่งงาน (มงคลสมรส) เป็ นตน้ หนา้ ทปี่ ฏิบตั ขิ องฝ่ ายเจา้ ภาพ ๑. การอาราธนาพระสงฆม์ าเจริญพระพุทธมนต์ การอาราธนาพระสงฆ์มาประกอบพิธใี นงานมงคล ใชค้ าํ วา่ นิมนตเ์ จริญ พระพุทธมนต์ การนิมนต์พระสงฆ์น้ันไมม่ ีกําหนดท่ีแน่นอน แต่นิยมนิมนตเ์ ป็ น จํานวนคี่โดยทัว่ ไป คือ ไม่ตํา่ กว่า ๕ รูป ๗ รูป หรือ ๙ รูป เพราะถือกันว่ามี พระพทุ ธเจา้ เป็ นประธานอยูแ่ ลว้ ดงั คาํ วา่ พุทธปั ปะมุโข ภิกขุสงั โฆ แปลวา่

คูม่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๗ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจา้ เป็ นประมุข ถา้ เป็ นงานมงคลสมรสมกั นิมนต์เป็ น จาํ นวนคู่ จุดประสงค์เพื่อใหฝ้ ่ ายเจา้ บา่ วและฝ่ ายเจา้ สาวนิมนต์พระสงฆ์มาจาํ นวน เทา่ ๆ กนั แต่ถา้ เป็ นพธิ ีหลวงในปัจจุบนั น้ ีนิยมนิมนตพ์ ระสงฆเ์ ป็ นจาํ นวนคูค่ อื ๑๐ รูป ๒. การเตรยี มที่ต้งั พระพุทธรูปพรอ้ มทง้ั เครอื่ งบูชา ที่ต้ังพระพุทธรูป นิยมเรียกส้ันๆ ว่า โต๊ะบูชา สิ่งสําคัญของโต๊ะบูชาน้ ี ประกอบดว้ ย โต๊ะรอง และเคร่ืองบูชา โต๊ะรองน้ันนิยมเรียกกันวา่ โต๊ะหมู่บูชา ท่ี นิยมกนั มหี มู่ ๕ หมู่ ๗ หมู่ ๙ สาํ หรบั เรอ่ื งทิศทางท่จี ะประดษิ ฐานพระพทุ ธรูปน้ัน ตามความนิยมใหห้ นั พระพักตรข์ องพระพุทธรูปไปทางทิศเหนือ เพราะถือคติวา่ พระพุทธเจา้ ทรงเป็ น โลกอุดร หรอื หนั ไปทางทิศตะวนั ออกเพราะถือคติวา่ เป็ นทศิ พระ คือ ในวนั ท่ีพระ พระพุทธเจา้ ตรัสรูน้ ้ันไดห้ นั พระพักตรไ์ ปทางทิศตะวนั ออก แต่ก็ไมจ่ าํ เป็ นจะตอ้ ง จาํ กดั ในเร่อื งน้ ี เพราะจะหนั ไปในทิศใดก็ไดไ้ มเ่ กิดโทษและไมม่ ขี อ้ หา้ ม ๓. การตกแตง่ สถานที่ การตกแตง่ สถานท่ี นิยมใหส้ ะอาดเรยี บรอ้ ยเป็ นสาํ คญั เพราะการทาํ บุญ ตอ้ งการสริ มิ งคล แต่ท้งั น้ ีท้งั น้ันการตกแตง่ สถานที่ใหด้ ีอย่างไรน้ันกข็ ้ ึนอยู่กบั ฐานะ และกาํ ลงั ของตนเป็ นสาํ คญั ๔. การวงดา้ ยสายสิญจน์ คําว่า สิญจน์ แปลวา่ รดน้าํ เป็ นพิธีสืบเน่ืองมาแต่พิธีพราหมณ์ เติม คาํ วา่ สาย เขา้ ขา้ งหน้า เป็ นคาํ วา่ สายสญิ จน์ คอื สายทีท่ าํ ดว้ ยดา้ ยดบิ จบั ใหเ้ ป็ น ๓ เสน้ แล้วจับใหเ้ ป็ น ๙ เสน้ ในงานมงคลทุกประเภทนิยมใชส้ ายสิญจน์ ๙ เสน้ เพราะสายสิญจน์ ๓ เสน้ สําหรับใชใ้ นพิธีเบิกโลงผี ท่ีสําคัญสายสิญจน์ ๙ เสน้ คงทนกว่า ๓ เสน้ ประเพณีการวงดา้ ยสายสิญจน์น้ ีสืบเนื่องมาจากประเพณีของ พราหมณ์

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๘ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพื่อพฒั นาสงั คม มขี อ้ ที่ถือเป็ นเรอื่ งควรระวงั อยู่อย่างหน่ึง คอื ในขณะที่วงสายสญิ จน์อยา่ ใหส้ ายสญิ จน์ขาด และสายสิญจน์ท่ีวงรอบฐานพระพทุ ธรูปแลว้ หา้ มขา้ มเพราะถือ วา่ ขา้ มพระพทุ ธรูป ไมเ่ คารพต่อพระพุทธเจา้ ดว้ ย ๕. การอญั เชิญพระพทุ ธรปู มาตง้ั บนท่ีบูชา พระพุทธรูปท่ีนํามาต้งั น้ันจะเป็ นพระปางอะไรก็ไดแ้ ลว้ แต่จะหาได้ แต่ไม่ ควรเล็กจนเกนิ ไป ถา้ มีครอบอยู่กใ็ หน้ ําครอบออก และหา้ มนําพวงมาลัยหรอื ของ ท่ีไมเ่ หมาะสมไปคลอ้ งท่อี งค์พระ ในขณะทีน่ ําพระพุทธรปู มาวางบนท่ีบูชาน้ันควร ไหวก้ ่อน และเมื่อวางเสร็จแล้วควรยกมือไหวด้ ้วย บางที่จะมีคาถาอัญเชิญ พระพทุ ธรูปดว้ ย ท้งั น้ ีข้ ึนอยู่กบั ความเชื่อของแต่ละบคุ คล ๖. การปูลาดอาสนะสาํ หรบั พระสงฆ์ นิยมใชอ้ ยู่ ๒ วธิ ี คือ แบบยกพ้ ืน กับแบบปูลาดกับพ้ ืน การปูอาสนะของ พระสงฆน์ ้ัน อยา่ ใหอ้ าสนะของพระสงฆ์กบั ของคฤหสั ถเ์ ป็ นผนื เดียวกนั ควรปูลาด ใหแ้ ยกจากกนั และอาสนะของพระสงฆน์ ้ันนิยมปูไวท้ างดา้ นซา้ ยของโต๊ะหมบู่ ูชา ๗. การเตรยี มเคร่อื งรบั รองพระสงฆ์ ตามแบบประเพณีโบราณจะมี น้ําเย็น น้ํารอ้ น น้ําชา และกระโถน การ วางเครื่องรบั รองเหล่าน้ ีมหี ลกั ว่า ตอ้ งวางดา้ นขวามือของพระ ดา้ นขวามือของรูป ใดก็เป็ นของรูปน้ัน การวางน้ัน ใหว้ างกระโถนขา้ งในสุดเพราะเป็ นสิ่งท่ีไม่ตอ้ ง ประเคน ถดั ออกมาเป็ นภาชนะน้ําเยน็ น้ํารอ้ น ๘. การเตรยี มภาชนะสาํ หรบั ทาํ น้าํ มนต์ จะใช้บาตรของพระหรือขันน้ํามีพานรองก็ได้ เมื่อเตรียมภาชนะทํา น้ํามนต์เสร็จแล้วก็หาน้ํามาใส่โดยไม่นิยมใชน้ ้ําฝน เพราะเช่ือกันว่าน้ําท่ีจะ ศกั ด์ิสิทธ์ิตอ้ งมาจากธรณี (น้ําบ่อ) ส่วนสิ่งของใส่ในน้ํามนต์ เช่น ใบเงิน ใบทอง เป็ นตน้ แลว้ แต่ความนิยม และตอ้ งมเี ทยี นทาํ น้ํามนต์ ๑ เล่ม ที่นิยมคอื เทยี นข้ ผี ้ งึ

คมู่ ือธรรมศึกษาตรี - -๙๙ ศูนยพ์ ระสงฆน์ ักเผยแผธ่ รรมเพือ่ พฒั นาสงั คม ๙. การจดุ ธูปเทียน ธปู เทียนทีโ่ ต๊ะหมบู่ ูชา เจา้ ภาพควรจุดเอง โดยจดุ เทยี นกอ่ นแลว้ จงึ จุดธูป ซ่ึงตามความนิยมควรจุดเล่มซา้ ยมือของเราก่อน เสร็จแล้วอาราธนาศีล รับศีล อาราธนาพระปริตร เมื่อพระเจริญพุทธมนต์ถึงมงคลสูตร ข้ ึนต้นบทว่า “อะเสวะนา จะ พาลานัง..” เป็ นตน้ เจา้ ภาพตอ้ งจุดเทียนน้ํามนต์และประเคนภาชนะน้ํามนต์ให้ พระทีเ่ ป็ นหวั หน้าดว้ ย ๑๐. การทาํ บญุ เล้ ยี งพระ การทาํ บญุ เล้ ียงพระภิกษุสงฆน์ ้ัน มี ๒ แบบ คือ ๑. เจริญพระพทุ ธมนต์เยน็ แลว้ ฉันเชา้ คือ การท่พี ระสงฆเ์ จริญพุทธมนต์ ไวแ้ ล้วต้ังแต่เวลาเย็นของวานน้ ี พอเช้าวันรุ่งข้ ึน เม่ือพระสงฆ์มาถึงบ้านแล้ว เจา้ ภาพก็จุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล และรับศีล แต่ไม่ตอ้ ง อาราธนาพระปริตร พระสงฆจ์ ะเร่ิมสวดถวายพรพระ(อิติปิ โส ฯ, พาหุง ฯ, มหา การุณิโก ฯ) ถา้ มกี ารตกั บาตรดว้ ย พอพระสงฆส์ วดถึงบทวา่ พาหุง กใ็ หพ้ ากนั ตัก บาตร เสร็จแลว้ ก็ถวายภตั ตาหาร ๒. เจริญพระพุทธมนต์แล้วฉันในเวลาน้ันเลย คือ ไม่มีการเจริญพุทธ มนตไ์ วก้ ่อน แต่เจา้ ภาพนิมนตพ์ ระสงฆม์ าเจริญพุทธมนต์ในเวลาน้ันและก็ถวาย อาหารพรอ้ มเลย ขอ้ ปฏบิ ตั ิก็ทาํ นองเดียวกบั อย่างแรก ในการถวายภตั ตาหารแก่พระสงฆน์ ้ัน นิยมเตรียมสาํ รบั เพอ่ื บชู าพระ พทุ ธรูปดว้ ย ก่อนบชู าขา้ วพระพทุ ธ ตอ้ งต้ังนะโม ๓ จบ แลว้ กล่าวคาํ บูชาขา้ ววา่ “อิมงั สูปะพยญั ชะนะสมั ปันนัง สาลนี ัง โอทะนัง อทุ ะกงั วะรงั พทุ ธสั สะ ปูเชมิ ” ถวายขา้ วพระพุทธแลว้ จงึ ถวายแกพ่ ระสงฆ์ เมือ่ พระสงฆ์ฉันเสร็จแลว้ กล็ าขา้ ว พระพทุ ธวา่ “เสสงั มงั คะลงั ยาจามิ” ลําดบั ต่อมา ถวายเคร่อื งไทยธรรมเสร็จแลว้ พระสงฆอ์ นุโมทนา ขณะ พระสงฆว์ า่ บท “ยะถา วารวิ ะหา...” เจา้ ภาพพงึ ต้งั ใจกรวดน้ําอทุ ศิ ส่วนกุศลใหก้ บั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook