Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรสังคม ปรับปรุง ๖๕ รวมไฟล์แล้ว

หลักสูตรสังคม ปรับปรุง ๖๕ รวมไฟล์แล้ว

Published by Guset User, 2022-08-16 04:55:26

Description: หลักสูตรสังคม ปรับปรุง ๖๕ รวมไฟล์แล้ว

Search

Read the Text Version

โครงสร้างรายวิชาเพม่ิ เติม รายวชิ า ส ๑๒๒๐๑ การปอ้ งกนั ทจุ รติ กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี ๒ เวลา ๔๐ ชัว่ โมง ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรอื่ ง จานวน คะแนน ชวั่ โมง 1. การคดิ แยกแยะระหว่าง การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วน 15 26 ผลประโยชน์ ส่วนตนและ ตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การคดิ แยกแยะ - ประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ ส่วนรวม - ระบบคิดฐาน 2 - ระบบคดิ ฐาน 10 2. ความละอายและความไม่ทนตอ่ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ 10 18 การทจุ รติ 48 - การทาการบ้าน 9 16 - การทาเวร - การสอบ - กิจกรรมนกั เรียน 3. STRONG / จติ พอเพียงต่อต้าน STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้านการทจุ รติ การทุจรติ - ความพอเพียง - ความโปรง่ ใส - ต้านทจุ รติ - ความเอื้ออาทร 4. พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบต่อ พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อสังคม สังคม - เรื่องการเคารพสทิ ธหิ น้าทต่ี ่อตนเอง และผู้อนื่ - การเคารพสทิ ธหิ นา้ ท่ตี ่อชุมชนและ สังคม - ระเบยี บ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรบั ผดิ ชอบ (ตอ่ ห้องเรียน) - คุณลักษณะของพลเมืองทีด่ ี - หนา้ ทข่ี องพลเมืองทดี่ ี รวมคะแนนระหว่างเรียน 39 70 1 30 คะแนนทดสอบปลายปี 40 100 รวมคะแนนท้งั ปี หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

โครงสรา้ งรายวชิ าเพิม่ เติม รายวิชา ส ๑๓๒๐๑ การป้องกนั ทุจริต กล่มุ สาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ช่วั โมง ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ เร่อื ง จานวน คะแนน ชั่วโมง 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ ง การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ น 15 26 ผลประโยชน์ สว่ นตนและ ตน และผลประโยชนส์ ว่ นรวม ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การคดิ แยกแยะ - ระบบคิดฐาน 2 - ระบบคิดฐาน 10 - ผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชน์ ส่วนรวม - การขดั กนั ระหว่างประโยชน์สว่ น ตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม 2. ความละอายและความไมท่ นตอ่ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การ 10 18 การทจุ ริต ทุจรติ - การทาการบ้าน - การทาเวร - การสอบ - การแตง่ กาย - กจิ กรรมส่งเสริมความถนดั และความ สนใจ 3. STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้าน STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการ 48 การทุจริต ทจุ รติ - ความพอเพียง - ความโปร่งใส - ตา้ นทุจรติ - ความเออื้ อาทร 4. พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อ พลเมืองกบั ความรับผิดชอบต่อสงั คม 9 16 สังคม - เร่อื งการเคารพสิทธิหน้าที่ต่อ ตนเอง และผู้อ่นื ที่มีตอ่ ชมุ ชน - เร่อื งการเคารพสทิ ธิหน้าท่ตี ่อ ตนเองและ ผอู้ น่ื ที่มีตอ่ ประเทศชาติ - ระเบยี บ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรบั ผิดชอบ (ตอ่ โรงเรียน) - ความเปน็ พลเมือง รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น 39 70 คะแนนทดสอบปลายปี 1 30 รวมคะแนนทั้งปี 40 100 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

โครงสรา้ งรายวิชาเพ่มิ เติม รายวชิ า ส ๑๔๒๐๑ การป้องกนั ทจุ รติ กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ เร่ือง จานวน คะแนน ช่ัวโมง 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ ง การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ น 15 26 ผลประโยชน์ ส่วนตนและ ตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การคิดแยกแยะ - ระบบคิดฐาน 2 - ระบบคิดฐาน 10 - ความแตกต่างระหว่าง จรยิ ธรรมและ การทุจรติ - ประโยชน์สว่ นตนและ ประโยชน์ สว่ นรวม 2. ความละอายและความไม่ทนต่อ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การ 10 18 การทจุ รติ ทจุ ริต - การทาการบ้าน - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กจิ กรรมนักเรียน (ภายใน รร.) - การเข้าแถว 3. STRONG / จติ พอเพยี งต่อต้าน STRONG / จิตพอเพยี งต่อตา้ นการ 4 8 การทุจริต ทุจริต - การดารงชวี ิตตามหลักปรัชญา ของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง - ความโปรง่ ใส - ความต่ืนรู้ / ความรู้ - ต้านทุจรติ - มงุ่ ไปขา้ งหน้า - ความเอือ้ อาทร 4. พลเมืองกบั ความรับผิดชอบต่อ พลเมอื งกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 9 16 สังคม - เรอ่ื งการเคารพสิทธหิ นา้ ที่ต่อ ตนเอง และผู้อน่ื ที่มีต่อครอบครัว - ระเบยี บ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรับผดิ ชอบ (ต่อชมุ ชน) - ความเปน็ พลเมือง รวมคะแนนระหว่างเรียน 39 70 คะแนนทดสอบปลายปี 1 30 รวมคะแนนทงั้ ปี 40 100 หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

โครงสร้างรายวิชาเพม่ิ เติม รายวชิ า ส ๑๕๒๐๑ การปอ้ งกันทจุ ริต กลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๕ เวลา ๔๐ ชว่ั โมง ลาดบั หนว่ ยการเรยี นรู้ เรื่อง จานวน คะแนน ชว่ั โมง 1. การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน 15 26 ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม และผลประโยชน์ส่วนรวม - การคิดแยกแยะ - ระบบคดิ ฐาน 2 - ระบบคดิ ฐาน 10 - ความแตกตา่ งระหวา่ งจริยธรรมและ การทจุ รติ - ประโยชน์สว่ นตนและประโยชน์ ส่วนรวม - การขัดกันระหว่างประโยชน์สว่ นตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม - ผลประโยชน์ทบั ซ้อน 2. ความละอายและความไม่ทนต่อการ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ 10 18 ทุจรติ - การทาการบา้ น - การทาเวร - การสอบ - การแตง่ กาย - กิจกรรมนักเรยี น (ในห้องเรียน โรงเรยี น ชมุ ชน) - การเข้าแถว 3. STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการ STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทจุ รติ 48 ทจุ รติ - ความพอเพยี ง - ความโปร่งใส - ความตน่ื รู้ / ความรู้ - ตอ่ ต้านทุจรติ - มุง่ ไปขา้ งหน้า - ความเออื้ อาทร 4. พลเมืองกบั ความรับผิดชอบต่อ พลเมืองกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม 9 16 สังคม - เร่ืองการเคารพสิทธิหน้าที่ต่อตนเอง และผูอ้ น่ื - ระเบียบ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรบั ผิดชอบ (ต่อสงั คม) - ความเป็นพลเมือง รวมคะแนนระหว่างเรยี น 39 70 คะแนนทดสอบปลายปี 1 30 รวมคะแนนทงั้ ปี 40 100 หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

โครงสรา้ งรายวชิ าเพิ่มเติม รายวิชา ส ๑๖๒๐๑ การปอ้ งกันทจุ รติ กลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ เวลา ๔๐ ชวั่ โมง ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ เรื่อง จานวน คะแนน ช่ัวโมง 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน 15 26 ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และผลประโยชนส์ ว่ นรวม - การคิดแยกแยะ - ระบบคิดฐาน 2 - ระบบคดิ ฐาน 10 - ความแตกตา่ งระหว่างจรยิ ธรรมและ การทจุ รติ - ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ สว่ นรวม - การขัดกนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตน และ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น - รูปแบบของผลประโยชนท์ ับซ้อน 2. ความละอายและความไม่ทนต่อการ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต 10 18 ทจุ ริต - การทาการบา้ น - การทาเวร - การสอบ - การแต่งกาย - กิจกรรมนักเรยี น (ในหอ้ งเรียน โรงเรียน ชมุ ชน สังคม) - การเขา้ แถว 3. STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการ STRONG / จติ พอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ 48 ทจุ ริต - การสร้างจติ ส˚านึกควมพอเพียง ตอ่ ต้านการ ทุจริต - ความโปร่งใส - ความตน่ื รู้ / ความรู้ - ต้านทจุ ริต - มงุ่ ไปขา้ งหน้า - ความเออ้ื อาทร หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ลาดับ หนว่ ยการเรียนรู้ เร่อื ง จานวน คะแนน 4. พลเมืองกับความรบั ผิดชอบต่อ ช่วั โมง พลเมอื งกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม สงั คม - เร่ืองการเคารพสทิ ธหิ น้าที่ต่อตนเอง 9 16 และผู้อนื่ ที่ มีต่อประเทศชาติ - ระเบียบ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรบั ผดิ ชอบ (ตอ่ ประเทศชาต)ิ - ความเป็นพลเมือง รวมคะแนนระหว่างเรยี น 39 70 คะแนนทดสอบปลายปี 1 30 40 100 รวมคะแนนท้งั ปี หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

โครงสร้างรายวชิ าเพมิ่ เติม รายวิชา ส ๒๑๒๐๑ การปอ้ งกนั ทุจรติ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ เวลา ๔๐ ชั่วโมง ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ เรื่อง จานวน คะแนน ชวั่ โมง 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ ง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตน 12 20 ผลประโยชน์ สว่ นตนและ และผลประโยชน์ สว่ นรวม ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - การคิดแยกแยะ - ระบบคดิ ฐาน 2 - ระบบคิดฐาน 10 - ความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและ การทจุ รติ (ชมุ ชน สังคม) - ประโยชน์สว่ นบุคคลและประโยชน์ ส่วนรวม (ชุมชน สงั คม) - การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วน บคุ คลและผลประโยชน์ ส่วนรวม (ชุมชน สังคม) - ผลประโยชน์ทับซ้อน (ชมุ ชน สงั คม) - รปู แบบของผลประโยชนท์ ับซ้อน (ชุมชน สงั คม) 2. ความละอายและความไม่ทนตอ่ การ ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ 8 12 ทจุ ริต - การทาการบา้ น/ชน้ิ งาน - การทาเวร/การทาความสะอาด - การสอบ - การแต่งกาย / การเขา้ แถว - การเลือกตงั้ - กิจกรรมนักเรียน (ห้องเรียน) 3. STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการ STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทจุ รติ 10 18 ทุจริต - ความพอเพยี ง - ความโปร่งใส - ความต่นื รู้ / ความรู้ - ตอ่ ตา้ นทจุ รติ - มุ่งไปข้างหน้า - ความเอื้ออาทร หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

4. พลเมอื งกับความรบั ผดิ ชอบต่อ พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบต่อสังคม 10 20 สงั คม - การเคารพสิทธหิ น้าท่ตี อ่ ตนเองและ ผ้อู นื่ - ระเบียบ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรับผิดชอบต่อตนเองและผ้อู น่ื / สังคม - ความเปน็ พลเมือง - ความเปน็ พลโลกจดั นิทรรศการ รวมคะแนนระหวา่ งเรียน 39 70 คะแนนทดสอบปลายภาค 1 30 รวมคะแนน 40 100 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

โครงสรา้ งรายวชิ าเพ่ิมเติม รายวชิ า ส ๒๒๒๐๑ การป้องกันทจุ รติ กล่มุ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ ๒ เวลา ๔๐ ชั่วโมง ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เร่ือง จานวน คะแนน ชั่วโมง 1. การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ น 12 20 ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ตนและ ผลประโยชนส์ ่วนรวม - การคดิ แยกแยะ - ระบบคดิ ฐาน 2 - ระบบคิดฐาน 10 - ความแตกตา่ งระหว่างจรยิ ธรรม และการทุจรติ (ชุมชน สังคม) - ประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ สว่ นรวม (ชมุ ชน สังคม) - การขดั แย้งระหว่างประโยชนส์ ่วน บคุ คลและ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม (ชุมชน สังคม) - ผลประโยชน์ทับซ้อน (ชุมชน สงั คม) - รูปแบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ น (ชมุ ชน สังคม) 2. ความละอายและความไมท่ นตอ่ การ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต 8 12 ทุจริต - การทาการบา้ น/ช้นิ งาน - ร้หู นา้ ท่ีการทาเวร/การทาความ สะอาด - การสอบ - การแตง่ กาย - การเข้าแถวมารยาทคนดี - การเลอื กตัง้ - เรามารวมกล่มุ เพื่อสร้างสรรค์ตา้ น ทุจริต 3. STRONG / จิตพอเพยี งต่อต้านการ STRONG / จิตพอเพียงต่อต้านการทจุ ริต 10 18 ทุจริต - ความพอเพยี ง - ความโปรง่ ใส - ความตน่ื รู้ / ความรู้ - ต้านทุจรติ - มุ่งไปขา้ งหน้า - ความเออ้ื อาทร หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

4. พลเมอื งกับความรับผดิ ชอบต่อ พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อสังคม 10 20 สงั คม - การเคารพสทิ ธิหน้าทต่ี อ่ ตนเองและ 39 70 ผู้อื่น 1 30 40 100 - ระเบยี บ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน - ความเปน็ พลเมือง - ความเปน็ พลโลก * เสวนา รวมคะแนนระหวา่ งเรยี น คะแนนทดสอบปลายภาค รวมคะแนน หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๐๗ โครงสร้างรายวิชาเพมิ่ เติม รายวิชา ส ๒๓๒๐๑ การป้องกนั ทจุ ริต กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๓ เวลา ๔๐ ช่ัวโมง ลาดับ หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง จานวน คะแนน 1. การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ ชว่ั โมง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ น ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ตนและผลประโยชน์สว่ นรวม 12 20 2. ความละอายและความไม่ทนต่อการ - การคิดแยกแยะ 8 12 ทุจรติ - ระบบคิดฐาน 2 10 18 - ระบบคดิ ฐาน 10 3. STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการ - ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและ ทจุ ริต การทุจรติ (ชุมชน สงั คม) - ประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ ส่วนรวม (ชมุ ชน สงั คม) และการ ขัดกนั ระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และผลประโยชน์ส่วนรวม (ชมุ ชน สังคม) - ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น (ชมุ ชน สงั คม) และรปู แบบของ ผลประโยชนท์ ับซอ้ น (ชุมชน สังคม) ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต - การทาการบ้าน/ช้นิ งาน - การทาเวร/การทาความสะอาด - การสอบ - การแต่งกาย - การเลือกตงั้ - การรวมกลุม่ เพื่อสร้างสรรค์ตา้ นทจุ ริต STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทจุ ริต - ความพอเพยี ง - ความโปรง่ ใส - ความต่นื รู้ - ความรู้ - จิตพอเพียงต่อต้านทจุ รติ - มงุ่ ไปข้างหน้า - ความเอ้อื อาทร

๒๐๘ 4. พลเมอื งกบั ความรบั ผดิ ชอบต่อ พลเมอื งกับความรับผิดชอบต่อสังคม 10 20 สงั คม - การเคารพสิทธิหนา้ ที่ตอ่ ตนเองและ ผ้อู ื่น - ระเบียบ กฎ กตกิ า กฎหมาย กบั การ เปน็ พลเมืองท่ดี ีมี สว่ นรว่ มในการ ปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต - ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและผูอ้ ่นื - ความเป็นพลเมือง - ความเป็นพลโลก * เสวนา รวมคะแนนระหวา่ งเรียน 39 70 คะแนนทดสอบปลายภาค 1 30 รวมคะแนน 40 100

๒๐๙ ส่วนท่ี ๕ เกณฑ์การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๑๐ เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้ การตัดสนิ ผลการเรียน ระดบั ประถมศึกษา หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดโครงสร้าง เวลาเรยี น มาตรฐาน การเรียนร/ู้ ตวั ช้วี ัด การอ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียน คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น ที่ สถานศกึ ษาต้องจดั ใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ มคี ุณภาพเต็มตามศักยภาพและให้สถานศึกษากาหนดหลักเกณฑ์การ วดั และประเมินผลการเรยี นรู้ เพอ่ื ตัดสนิ ผลการเรียนของผู้เรยี น ดงั น้ี ๑) ผ้เู รียนตอ้ งมเี วลาเรียนไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทงั้ หมด ๒) ผเู้ รียนตอ้ งได้รับการประเมนิ ทกุ ตัวชีว้ ัด และผ่านตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากาหนด ๓) ผู้เรยี นต้องได้รับการตัดสินผลการเรยี นทุกรายวชิ า ๔) ผ้เู รยี นตอ้ งได้รบั การประเมินและมีผลการประเมินผา่ นตามเกณฑท์ ี่สถานศึกษากาหนด ในการอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ การตัดสนิ ผลการเรียนในระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ มีการตัดสนิ ในหลายลกั ษณะ คือ การผ่านรายวิชา กาหนดเป็นภาคเรยี น การเล่ือนช้ันปีกาหนดเปน็ ปีการศึกษา และการจบระดับชนั้ กาหนดเป็นระดบั มัธยมศึกษา ตอนตน้ หลักเกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียนรเู้ พ่ือตดั สนิ ผลการเรียนของผ้เู รียนตามหลกั สตู รแกนกลาง การศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ มีดงั น้ี ๑) ตัดสินผลการเรียนเปน็ รายวิชา ผู้เรียนตอ้ งมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นท้ังหมดในรายวิชานนั้ ๆ ๒) ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมินทุกตัวชีว้ ดั และผา่ นตามเกณฑท์ สี่ ถานศึกษากาหนด ๓) ผเู้ รียนต้องไดร้ ับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวชิ า ๔) ผูเ้ รยี นต้องได้รบั การประเมินและมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากาหนดใน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน การพิจารณาเล่อื นชน้ั ถา้ ผเู้ รียนมีขอ้ บกพร่องเพียงบางตัวชวี้ ัด ซึง่ สถานศึกษาพจิ ารณาเหน็ ว่า สามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้ ก็ให้อยู่ในดุลยพนิ จิ ของสถานศกึ ษาทจี่ ะผ่อนผนั ให้เล่อื นชั้นได้ การให้ระดับผลการเรยี น ๑ การตดั สนิ ผลการเรียนรายวิชาของกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ระดับประถมศึกษาและระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น ให้ใช้ระบบตวั เลขแสดงระดับผลการเรยี นในแตล่ ะกลุ่มสาระ เป็น ๘ ระดับ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๑๑ ในระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น รายวชิ าทจี่ ะนบั หนว่ ยกิต ไดจ้ ะตอ้ งได้ระดับผลการเรียน ตง้ั แต่ ๑ ขึ้นไป โดยมแี นวการให้ระดบั ผลการเรียนดังน้ี ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนเป็นร้อยละ ๔ ดเี ยี่ยม ๘๐ – ๑๐๐ ๓.๕ ดมี าก ๗๕ – ๗๙ ๓ ดี ๗๐ – ๗๔ ๒.๕ ค่อนข้างดี ๖๕ – ๖๙ ๒ ปานกลาง ๖๐ – ๖๔ ๑.๕ พอใช้ ๕๕ – ๕๙ ๑ ๕๐ – ๕๔ ๐ ผา่ นเกณฑ์ขั้นต่า ๐ – ๔๙ ต่ากว่าเกณฑ์ ๒ การประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขียน เป็นผ่านและไม่ผ่าน ถ้ากรณีทีผ่ ่านกาหนด เกณฑ์การตดั สินเปน็ ดีเยี่ยม ดี และผา่ น และความหมายของแตล่ ะระดับ ดังนี้ ดีเยี่ยม หมายถึง มีผลงานท่ีแสดงถงึ ความสามารถในการอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขยี น ทสี่ ามารถจับใจความสาคญั ได้ครบถ้วน เขยี นวพิ ากษ์วิจารณ์ เขียนสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นประกอบอยา่ ง มีเหตุผลไดถ้ ูกต้องและสมบรู ณ์ ใช้ภาษาสุภาพและเรียบเรียงไดส้ ละสลวย ดี หมายถงึ มผี ลงานทแี่ สดงถงึ ความสามารถในการอา่ น คดิ วิเคราะห์และเขยี น ทส่ี ามารถจับใจความสาคัญได้ เขยี นวพิ ากษว์ จิ ารณ์และเขียนสร้างสรรค์ได้โดยใช้ภาษาสุภาพ ผ่าน หมายถงึ มีผลงานท่ีแสดงถงึ ความสามารถในการอา่ น คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน ทส่ี ามารถจับใจความสาคญั และเขียนวิพากษ์วจิ ารณ์ ไม่ผา่ น หมายถึง มีผลงานที่แสดงถงึ ความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละเขียน ทไ่ี มส่ ามารถจบั ใจความสาคัญและไมส่ ามารถเขยี นวิพากษ์วิจารณ์ ๓ การประเมนิ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ รวมทุกคุณลกั ษณะเพอ่ื การเลอื่ นชนั้ และจบ การศกึ ษาเปน็ ผา่ นและไมผ่ ่าน ในการผ่านกาหนดเกณฑ์การตดั สินเป็นดีเย่ยี ม ดี และผ่าน และความหมาย ของแตล่ ะระดบั ดงั น้ี ดีเยี่ยม หมายถงึ ผเู้ รยี นมคี ุณลกั ษณะในการปฏิบัติตนจนเปน็ นิสยั และนาไปใชใ้ น ชวี ติ ประจาวนั เพื่อประโยชนส์ ขุ ของตนเองและสังคม ดี หมายถึง ผ้เู รียนมคี ุณลักษณะในการปฏบิ ัตติ ามกฎเกณฑ์เพ่อื ให้เป็นท่ยี อมรบั ของสังคม ผ่าน หมายถึง ผู้เรียนรับรู้และปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขที่สถานศึกษากาหนด ไมผ่ า่ น หมายถึง ผเู้ รียนรับรู้และปฏิบตั ิได้ไม่ครบตามกฎเกณฑ์และเง่ือนไขทสี่ ถานศึกษา กาหนด ๔ การประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๑๒ จะตอ้ งพจิ ารณาท้งั การเขา้ รว่ มกจิ กรรม การปฏบิ ัตกิ จิ กรรมและผลงานของผเู้ รยี นตาม เกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด และใหผ้ ลการประเมนิ เปน็ ผ่านและไมผ่ ่าน “ ผ ” หมายถึง ผ้เู รียนมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของ เวลาเรยี นแต่ละกิจกรรม ปฏบิ ตั ิกิจกรรมและมผี ลงาน/ชนิ้ งาน/คุณลักษณะตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด โดย ใหผ้ ู้เรียนแสดงผลงาน แฟม้ สะสมงาน หรือจดั นิทรรศการ “ มผ ” หมายถงึ ผเู้ รยี นมีเวลาเขา้ ร่วมกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียนตา่ กว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลา เรยี นแตล่ ะกจิ กรรม ไมป่ ฏบิ ัติกจิ กรรมและไม่มผี ลงาน/ชิน้ งาน/คุณลักษณะตามเกณฑท์ ่ีสถานศกึ ษากาหนด โดย ใหผ้ เู้ รยี นแสดงผลงาน แฟ้มสะสมงาน หรือจดั นิทรรศการ การเลื่อนชนั้ ระดับประถมศึกษา ผ้เู รยี นจะไดร้ ับการเลอื่ นชัน้ เม่ือส้ินปกี ารศึกษา เมื่อมีคุณสมบตั ติ ามเกณฑ์ดงั ต่อไปนี้ ๑) ผูเ้ รยี นต้องมีเวลาเรียนตลอดปกี ารศึกษาไมน่ ้อยกวา่ รอ้ ยละ ๘๐ ของเวลาเรียนท้งั หมด ๒) ผู้เรียนตอ้ งได้รบั การประเมนิ ทกุ ตัวชวี้ ดั และผา่ นตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษากาหนด ๓) ผู้เรียนตอ้ งได้รับการตดั สินผลการเรยี นทกุ รายวชิ า ๔) ผู้เรียนตอ้ งไดร้ บั การประเมินและมผี ลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากาหนดใน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์และกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น ท้ังนี้ ถ้าผ้เู รยี นมีข้อบกพร่องเพียงบางตัวชี้วัด ซึ่งสถานศึกษาพจิ ารณาเหน็ วา่ สามารถพัฒนาและ สอนซอ่ มเสรมิ ได้ ก็ใหอ้ ยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผนั ใหเ้ ลอื่ นชัน้ ได้ อน่งึ ในกรณีท่ผี ้เู รยี นมสี ตปิ ัญญาและความสามารถดีเลศิ สามารถเรียนรู้ไดเ้ รว็ เป็นพิเศษ สถานศึกษาอาจใหโ้ อกาสผ้เู รียนเล่ือนชนั้ ระหวา่ งปีการศึกษา โดยสถานศกึ ษาแตง่ ตัง้ คณะกรรมการประกอบด้วย คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวชิ าการและผ้แู ทนของเขตพ้ืนที่การศึกษาหรือตน้ สงั กัดอยา่ งน้อย ๑ คน เม่อื ผ้เู รยี นมคี ุณสมบตั ิครบถ้วนตามเงอ่ื นไขทั้ง ๓ ประการ ต่อไปน้ี ๑) มผี ลการเรยี นปกี ารศึกษาที่ผา่ นมาและมผี ลการเรียนระหว่างปีอยใู่ นเกณฑ์ดีเยี่ยม ๒) มีวุฒิภาวะเหมาะสมทจ่ี ะเรยี นในช้ันทส่ี งู ขนึ้ ๓) ผา่ นการประเมินผลความรคู้ วามสามารถตามตวั ช้วี ดั รายปที ัง้ หมดในภาคเรียนท่ี ๒ ปีปัจจบุ นั และภาคเรยี นท่ี ๑ ของปีการศึกษาถดั ไป การอนุมัตใิ ห้เล่อื นไปเรียนชั้นสงู ได้ ๑ ระดับชนั้ นี้ ตอ้ งได้รับการยินยอมจากนักเรียน และ ผปู้ กครองและต้องดาเนินการให้เสร็จส้นิ ภายในวันท่ี ๑ กันยายนของปีการศึกษาน้ัน สาหรับในกรณีท่ีพบวา่ มีผู้เรยี นกลมุ่ พิเศษประเภทตา่ งๆ ท่ีมปี ญั หาในการเรยี นรู้ ใหส้ ถานศึกษา ดาเนนิ งานรว่ มกบั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษา/ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษจังหวัด/ศูนย์การศึกษาพิเศษเขตการศึกษาหา แนวทางการแกไ้ ขและพฒั นา หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๑๓ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ผู้เรยี นจะได้รบั การตดั สินผลการเรียนทุกภาคเรยี นและไดร้ ับการเล่ือนชนั้ เม่ือสิน้ ปกี ารศึกษา โดยมีคณุ สมบัติตามเกณฑ์ ดังน้ี ๑) รายวชิ าพ้นื ฐาน ได้รับการตดั สนิ ผลการเรยี นผา่ นทกุ รายวชิ า ๒) รายวชิ าเพิม่ เตมิ ได้รบั การตดั สินผลการเรยี นผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด ๓) ผ้เู รยี นต้องไดร้ ับการประเมนิ และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑท์ สี่ ถานศึกษากาหนด ใน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี น ๔) ระดบั ผลการเรียนเฉลีย่ ในปกี ารศกึ ษานน้ั ควรไดไ้ ม่ตา่ กว่า ๑.๐๐ ท้ังนีร้ ายวิชาใดทีไ่ มผ่ ่านเกณฑ์การประเมิน สถานศกึ ษาสามารถซ่อมเสริมผเู้ รยี นให้ได้รับการ แก้ไขในภาคเรยี นถดั ไป การสอนซ่อมเสรมิ การสอนซ่อมเสริม เปน็ การสอนเพื่อแกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง กรณที ่ผี เู้ รยี นมคี วามรู้ ทักษะ กระบวนการ หรือมีคุณลกั ษณะไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑท์ ่ีกาหนด จะต้องสอนซอ่ มเสรมิ สามารถดาเนินการไดใ้ น กรณีดงั ต่อไปน้ี ระดับประถมศกึ ษา ๑) ผู้เรยี นมคี วามร/ู้ ทกั ษะพ้ืนฐานไมเ่ พยี งพอท่จี ะศึกษาในแตล่ ะรายวชิ านั้น ควรจัดการสอน ซอ่ มเสรมิ ปรับความรู้/ทักษะพ้นื ฐาน ๒) การประเมินระหวา่ งเรียน ผู้เรียนไม่สามารถแสดงความรู้ ทกั ษะกระบวนการ หรอื เจต คติ / คณุ ลักษณะ ทีก่ าหนดไว้ตามมาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ชีว้ ดั ๓) ผลการเรยี นไม่ถึงเกณฑแ์ ละ/หรือตา่ กวา่ เกณฑ์การประเมิน ตอ้ งจดั การสอนซ่อมเสริมกอ่ น จะให้ผ้เู รยี นสอบแกต้ วั ๔) ผู้เรยี นมีผลการเรยี นไม่ผา่ น สามารถจดั สอนซ่อมเสรมิ ในภาคฤดรู อ้ น ทง้ั นี้ใหอ้ ยู่ในดุลย พินจิ ของสถานศกึ ษา ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ๑) ผเู้ รยี นมีความรู้/ทักษะพ้ืนฐานไม่เพียงพอทจ่ี ะศึกษาในแต่ละรายวิชานนั้ ควรจัดการสอน ซอ่ มเสริม ปรับความรู้/ทกั ษะพื้นฐาน ๒) การประเมินระหวา่ งเรียน ผู้เรยี นไม่สามารถแสดงความรู้ ทกั ษะกระบวนการ หรอื เจตคติ / คุณลักษณะที่กาหนดไวต้ ามมาตรฐานการเรียนรู/้ ตวั ช้วี ดั ๓) ผลการเรียนไมถ่ งึ เกณฑ์ และ/หรือตา่ กวา่ เกณฑ์การประเมิน โดยผ้เู รียนได้ระดบั ผลการ เรยี น “๐” ต้องจดั การสอนซ่อมเสริมกอ่ นจะใหผ้ ู้เรียนสอบแกต้ ัว ๔) ผเู้ รียนมผี ลการเรยี นไม่ผา่ น สามารถจดั สอนซ่อมเสริมในภาคฤดรู ้อน ทั้งนใ้ี ห้อยใู่ นดลุ ย พินิจของสถานศกึ ษา หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๑๔ การเรยี นซ้าช้นั ระดับประถมศึกษา ผเู้ รยี นที่ไม่มีคณุ สมบัติตามเกณฑก์ ารเล่ือนช้นั จะตอ้ งเรยี นซ้าช้ัน แตท่ ง้ั น้ีอาจไดร้ บั การ พิจารณาใหเ้ ลื่อนชั้นได้ หากผเู้ รยี นมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปน้ี ๑) ผู้เรยี นมีเวลาเรยี นไมถ่ งึ ร้อยละ ๘๐ อันเน่อื งจากสาเหตุจาเปน็ หรอื เหตุสุดวสิ ยั แต่มี คุณสมบัตติ ามข้ออื่นๆ ครบถ้วน ๒) ผูเ้ รียนผา่ นมาตรฐานและตัวช้วี ัดไม่ถงึ เกณฑ์ตามทสี่ ถานศกึ ษากาหนดในแตล่ ะรายวิชา และ เห็นว่าสามารถสอนซ่อมเสรมิ ไดใ้ นปกี ารศกึ ษาถัดไปและมีคุณสมบัติข้ออ่นื ๆ ครบถว้ น ๓) ผ้เู รียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ - ๓ มผี ลการประเมินกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทยและ คณติ ศาสตร์อยู่ในเกณฑพ์ อใช้ และผู้เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ - ๖ มผี ลการประเมนิ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรมอยู่ในเกณฑ์ผา่ น ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น สถานศึกษาจะจดั ใหผ้ ู้เรียนเรยี นซา้ ใน ๒ กรณี ดงั นี้ กรณที ่ี ๑ เรียนซา้ รายวชิ า หากผูเ้ รียนไดร้ ับการสอนซ่อมเสริมและสอบแกต้ วั ๒ คร้งั แล้วไม่ผ่าน เกณฑ์การประเมนิ ใหเ้ รียนซ้ารายวิชานั้น ทัง้ น้ี ใหอ้ ยู่ในดุลยพนิ จิ ของสถานศกึ ษาในการจัดให้ เรยี นซา้ ในช่วงใด ชว่ งหนึ่งที่สถานศกึ ษาเห็นวา่ เหมาะสม เช่น พักกลางวนั วันหยดุ ช่วั โมงว่างหลังเลิกเรียน ภาคฤดูรอ้ น เปน็ ตน้ กรณีที่ ๒ เรียนซา้ ชั้น มี ๒ ลักษณะ คอื  ผเู้ รียนมีระดบั ผลการเรียนเฉล่ยี ในปีการศึกษาน้ันตา่ กว่า ๑.๐๐ และมีแนวโน้มว่า จะเปน็ ปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นทส่ี ูงข้นึ  ผู้เรยี นมผี ลการเรียน ๐ , ร , มส เกนิ คร่งึ หนง่ึ ของรายวชิ าทล่ี งทะเบียนเรียนใน ปกี ารศึกษานน้ั ทั้งนี้ หากเกิดลักษณะใดลกั ษณะหนึ่ง หรอื ท้ังสองลกั ษณะ ใหส้ ถานศกึ ษาแต่งต้งั คณะกรรมการ พิจารณา หากเห็นวา่ ไมม่ เี หตุผลอนั สมควรก็ให้ซ้าช้ัน โดยยกเลิกผลการเรยี นเดิมและให้ใช้ ผลการเรยี นใหม่แทน หากพจิ ารณาแลว้ ไม่ต้องเรยี นซา้ ช้ัน ให้อยใู่ นดลุ ยพินิจของสถานศึกษา ในการแก้ไขผลการเรยี น เกณฑก์ ารจบ ระดบั ประถมศึกษา ๑) ผูเ้ รยี นเรยี นรายวิชาพ้นื ฐานและรายวชิ า/กิจกรรมเพ่ิมเตมิ ตามโครงสร้างเวลาเรยี นท่ี หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานกาหนด ๒) ผเู้ รยี นตอ้ งมีผลการประเมินรายวชิ าพืน้ ฐานผ่านเกณฑ์การประเมินตามทสี่ ถานศึกษากาหนด ๓) ผู้เรยี นมผี ลการประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด ๔) ผูเ้ รียนมผี ลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามที่ สถานศกึ ษากาหนด หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๑๕ ๕) ผู้เรยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนและมีผลการประเมนิ ผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่ สถานศกึ ษากาหนด ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น ๑) ผเู้ รียนเรียนรายวิชาพืน้ ฐานและเพิ่มเตมิ ไม่เกนิ ๘๑ หนว่ ยกิต โดยเปน็ รายวชิ าพนื้ ฐาน ๖๓ หน่วยกิต และรายวิชาเพ่ิมเติมตามท่ีสถานศึกษากาหนด ๒) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลกั สูตรไมน่ ้อยกวา่ ๗๗ หนว่ ยกิต โดยเปน็ รายวิชาพ้ืนฐาน ๖๓ หนว่ ยกติ และรายวชิ าเพิ่มเตมิ ไม่น้อยกวา่ ๑๔ หน่วยกติ ๓) ผู้เรียนมผี ลการประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์และเขยี น ในระดบั ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามท่ีสถานศึกษากาหนด ๔) ผเู้ รียนมีผลการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมินตามท่ี สถานศึกษากาหนด ๕) ผเู้ รียนเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนและมผี ลการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามท่ี สถานศกึ ษากาหนด ผลการเรียนท่มี เี ง่ือนไข ผลการเรยี นที่มีเง่ือนไข ไดแ้ ก่ ไม่มสี ทิ ธ์เิ ข้ารับการประเมินผลปลายภาคในรายวิชาและรอ การตัดสนิ ใหใ้ ช้ตัวอกั ษรระบเุ ง่ือนไขแสดงผลการเรียน ประกอบดว้ ย ๑) ตวั อกั ษรแสดงผลการเรยี นแตล่ ะรายวชิ าใน ๘ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ “มส” หมายถงึ ไม่มีสิทธเิ ข้ารบั การประเมินผลปลายภาคเรียน โดยผเู้ รยี นท่ีมีเวลาเรียนไม่ ถึงร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรยี นในแตล่ ะรายวิชาและไม่ไดร้ ับการผ่อนผนั ใหเ้ ขา้ รับการวดั ผลปลายภาคเรียน “ร” หมายถึง รอการตดั สินและยังตัดสนิ ไมไ่ ด้ โดยผเู้ รยี นไม่มีข้อมลู ผลการเรยี น รายวิชานั้นครบถ้วน เช่น ไมไ่ ดว้ ัดผลกลางภาคเรียน/ปลายภาคเรียน ไมไ่ ดส้ ่งงานทีม่ อบหมายให้ทาซึ่งงานนน้ั เป็นสว่ นหนงึ่ ของการตัดสินผลการเรียน หรือมีเหตสุ ดุ วิสยั ท่ที าให้ประเมินผลการเรยี นไมไ่ ด้ ๒) ตัวอกั ษรแสดงผลการเขา้ ร่วมกิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น “ผ” หมายถงึ ผา่ นเกณฑท์ ่ีสถานศกึ ษากาหนด “มผ” หมายถึง ไมผ่ ่านเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากาหนด การเปลยี่ นผลการเรียน “๐” สถานศึกษาจดั ใหม้ ีการสอนซ่อมเสริมในตวั ชว้ี ัดทผี่ ู้เรียนสอบไมผ่ า่ นก่อน แล้วจงึ สอบแก้ตวั ใหแ้ ละให้สอบแกต้ วั ไดไ้ มเ่ กิน ๒ ครง้ั ทั้งนต้ี ้องดาเนนิ การใหเ้ สร็จส้ินภายในปีการศกึ ษาน้นั ถา้ ผู้เรยี นไม่ดาเนนิ การสอบแกต้ ัวตามระยะเวลาที่กาหนดไวน้ ี้ ใหอ้ ยู่ในดุลยพนิ จิ ของ สถานศกึ ษาท่ีจะพิจารณาขยายเวลาออกไปอีกไม่เกิน ๑ ภาคเรียน ถา้ สอบแกต้ วั ๒ ครงั้ แลว้ ยังไดร้ ะดบั ผลการเรยี น “๐” อกี ใหส้ ถานศกึ ษาแต่งตัง้ คณะกรรมการดาเนินการเก่ียวกับการแกผ้ ลการเรยี นของผู้เรยี นโดยปฏิบัติดงั น้ี ๑) ให้เรียนซา้ รายวชิ าถา้ เปน็ รายวิชาพน้ื ฐาน หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๑๖ ๒) ใหเ้ รยี นซ้าหรอื เปลย่ี นรายวชิ าเรยี นใหม่ ถ้าเป็นรายวชิ าเพิ่มเตมิ โดยให้อยู่ใน ดลุ ยพนิ ิจของสถานศึกษา ในกรณที เ่ี ปล่ยี นรายวิชาเรยี นใหม่ ใหห้ มายเหตุในระเบยี นแสดงผลการเรียนว่า เรียนแทนรายวิชาใด การเปล่ียนผลการเรียน “ร” การเปลี่ยนผลการเรยี น “ร” มี ๒ กรณี ดังนี้ ๑) มีเหตุสดุ วิสัย ทาให้ประเมินผลการเรยี นไม่ได้ เชน่ เจ็บป่วย เมอื่ ผูเ้ รยี นได้เขา้ สอบหรอื สง่ ผลงานที่ตดิ ค้างอยู่เสรจ็ เรียบรอ้ ย หรอื แก้ปัญหาเสรจ็ สิน้ แล้ว ใหไ้ ด้ระดับผลการเรยี นตามปกติ (ต้งั แต่ ๐ - ๔) ๒) ถ้าสถานศึกษาพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ ไมใ่ ช่เหตุสุดวิสัย เมอ่ื ผ้เู รียนไดเ้ ขา้ สอบ หรือส่งผล งานทตี่ ดิ คา้ งอย่เู สรจ็ เรียบร้อย หรือแก้ปญั หาเสรจ็ สน้ิ แล้ว ให้ได้ระดับผลการเรยี นไม่เกิน “๑” การเปลี่ยนผลการเรียน “ร” ให้ดาเนนิ การแกไ้ ขตามสาเหตุให้เสรจ็ สิ้นภายใน ปกี ารศกึ ษานนั้ ถา้ ผูเ้ รียนไม่มาดาเนนิ การแก้ “ร” ตามระยะเวลาทีก่ าหนดไวใ้ ห้เรยี นซา้ รายวชิ า ยกเวน้ มีเหตุสดุ วสิ ยั ใหอ้ ยู่ในดุลยพินิจของสถานศกึ ษาทจี่ ะขยายเวลาการแก้ “ร” ออกไปอีกไม่เกนิ ๑ ภาคเรยี น แตเ่ ม่ือพน้ กาหนดน้ีแลว้ ใหป้ ฏิบตั ิดงั น้ี (๑) ใหเ้ รยี นซ้ารายวชิ า ถ้าเป็นรายวิชาพ้ืนฐาน (๒) ใหเ้ รียนซ้าหรือเปล่ยี นรายวิชาเรียนใหม่ ถา้ เป็นรายวิชาเพิ่มเติม โดยให้อยู่ใน ดุลยพนิ จิ ของสถานศึกษา ในกรณีทเ่ี ปลี่ยนรายวชิ าเรยี นใหม่ ให้หมายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรยี นวา่ เรยี นแทนรายวชิ าใด การเปลี่ยนผลการเรียน “มส” การเปลย่ี นผลการเรยี น “มส” มี ๒ กรณี ดังนี้ ๑) กรณผี ูเ้ รียนได้ผลการเรียน “มส” เพราะมีเวลาเรียนไม่ถึงร้อยละ ๘๐ แตม่ เี วลาเรยี นไม่ นอ้ ยกว่าร้อยละ ๖๐ ของเวลาเรยี นทั้งหมด ใหส้ ถานศกึ ษาจัดใหเ้ รียนเพิม่ เตมิ โดยใชช้ ั่วโมงสอนซ่อมเสริม หรือ เวลาว่าง หรือวนั หยุด หรอื มอบหมายงานใหท้ า จนมีเวลาเรียนครบตามท่ีกาหนดไวส้ าหรับรายวิชานนั้ แลว้ จึงให้ สอบเป็นกรณีพเิ ศษ ผลการสอบแก้ “มส” ให้ได้ระดบั ผลการเรยี นไม่เกนิ “๑” การแก้ “มส” กรณนี ้ีให้กระทาให้ เสรจ็ สิน้ ในปกี ารศึกษาน้ัน ถ้าผู้เรยี นไม่มาดาเนนิ การแก้ “มส” ตามระยะเวลาที่กาหนดไว้นี้ใหเ้ รียนซ้า ยกเวน้ มี เหตุสดุ วิสยั ใหอ้ ยูใ่ นดุลยพนิ จิ ของสถานศึกษาทจ่ี ะขยายเวลาการแก้ “มส” ออกไปอกี ไม่เกิน ๑ ภาคเรียน แตเ่ มอ่ื พน้ กาหนดนี้แลว้ ใหป้ ฏบิ ตั ิดงั น้ี  ให้เรียนซ้ารายวชิ า ถา้ เปน็ รายวชิ าพืน้ ฐาน  ให้เรียนซ้าหรือเปลี่ยนรายวิชาเรยี นใหม่ ถา้ เป็นรายวชิ าเพิ่มเติมโดยให้อยูใ่ น ดุลยพินิจของสถานศึกษา ๒) กรณผี ้เู รียนได้ผลการเรียน “มส” และมีเวลาเรยี นน้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของ เวลาเรยี นทง้ั หมด ให้สถานศึกษาจดั ใหเ้ รียนซ้าในรายวชิ าพืน้ ฐานและรายวิชาเพ่ิมเตมิ หรอื เปลี่ยนรายวชิ าใหมไ่ ด้ สาหรับรายวชิ าเพิ่มเตมิ เท่าน้ัน หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๑๗ ในกรณีท่เี ปล่ยี นรายวิชาเรยี นใหม่ ใหห้ มายเหตุในระเบียนแสดงผลการเรยี นวา่ เรยี นแทนรายวชิ าใด ในกรณีภาคเรียนที่ ๒ หากผู้เรียนยงั มผี ลการเรียน “๐” “ร” “มส” ให้ดาเนินการให้เสร็จสิ้น ก่อนเปิ ดเรียนปี การศึกษาถดั ไป สถานศึกษาอาจเปิ ดการเรียนการสอนในภาคฤดูร้อนเพ่ือแก้ไขผลการเรียน ของผู้เรียนได้ ท้ังนี้ โดยสานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษา/ต้นสังกดั ควรเป็ นผู้พิจารณาประสานให้มกี ารดาเนิน การเรี ยนการสอนในภาคฤดูร้ อนเพื่อแก้ไขผลการเรี ยนของผู้เรี ยน การเปลี่ยนผลการเรียน “มผ” หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ กาหนดใหผ้ ้เู รียน เข้ารว่ มกจิ กรรมพัฒนา ผเู้ รยี น ๓ กิจกรรม คือ ๑) กิจกรรมแนะแนว ๒) กจิ กรรมนักเรียน ซงึ่ ประกอบดว้ ย กจิ กรรมลูกเสอื เนตรนารี ยวุ กาชาด ผบู้ าเพญ็ ประโยชน์ หรือนกั ศึกษาวชิ าทหาร โดยผเู้ รยี นเลือกอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ๑ กิจกรรมและเลือก เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม หรอื ชมรมอีก ๑ กจิ กรรม ๓) กจิ กรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์ ในกรณีที่ ผเู้ รียนไดผ้ ลการเรยี น “มผ” สถานศึกษาตอ้ งจดั ซ่อมเสริมให้ผูเ้ รียนทากิจกรรมจนครบตามเวลาทกี่ าหนด หรือ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมเพ่ือพัฒนาคุณลกั ษณะทตี่ ้องปรบั ปรุง แก้ไข แลว้ จงึ เปลย่ี นผลการเรยี นจาก “มผ” เป็น “ผ” ทงั้ นดี้ าเนนิ การใหเ้ สรจ็ สิน้ ภายในปีการศึกษาน้ัน ยกเวน้ มีเหตสุ ุดวสิ ยั ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษา การบริหารจัดการหลักสตู ร ในระบบการศึกษาที่มีการกระจายอานาจให้ท้องถิ่นและโรงเรยี นอนุบาลกระสังมบี ทบาทในการพฒั นา หลกั สตู รนัน้ หน่วยงานต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้องในแต่ละระดับ ต้งั แต่ระดบั ชาติ ระดบั ท้องถนิ่ จนถึงระดับสถานศึกษา มบี ทบาทหน้าที่ และความรับผดิ ชอบในการพัฒนา สนับสนุน สง่ เสริม การใชแ้ ละพัฒนาหลกั สตู รให้เป็นไป อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เพื่อให้การดาเนนิ การจดั ทาหลักสตู รสถานศกึ ษาและ การจัดการเรียนการสอน ของสถานศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุด อันจะส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพผเู้ รียนบรรลุตามมาตรฐานการเรยี นรู้ ทีก่ าหนดไว้ในระดบั ชาติ ระดบั ท้องถิน่ ไดแ้ ก่ สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษา หน่วยงานต้นสังกัดอ่ืน ๆ เป็นหนว่ ยงานทีม่ ีบทบาทใน การขับเคลื่อนคุณภาพการจัดการศกึ ษา เป็นตัวกลางท่จี ะเช่ือมโยงหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา ข้นั พน้ื ฐานท่ี กาหนดในระดับชาติใหส้ อดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถนิ่ เพื่อนาไปสูก่ ารจดั ทาหลกั สูตรของ สถานศกึ ษา ส่งเสรมิ การใช้และพฒั นาหลักสตู รในระดบั สถานศกึ ษา ให้ประสบความสาเรจ็ โดยมีภารกิจ สาคัญ คอื กาหนดเป้าหมายและจดุ เน้นการพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี นในระดับทอ้ งถ่นิ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับสิ่ง ท่ีเป็นความต้องการในระดับชาติ พฒั นาสาระการเรยี นรทู้ ้องถิ่น ประเมนิ คุณภาพการศึกษา ในระดบั ท้องถน่ิ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๑๘ รวมทัง้ เพิ่มพนู คุณภาพการใช้หลักสูตรดว้ ยการวิจัยและพัฒนา การพฒั นาบคุ ลากร สนบั สนุน ส่งเสรมิ ตดิ ตามผล ประเมนิ ผล วเิ คราะห์ และรายงานผลคณุ ภาพของผูเ้ รียน โรงเรยี นอนบุ าลกระสงั มหี น้าที่สาคญั ในการพฒั นาหลักสตู รสถานศกึ ษา การวางแผนและดาเนนิ การใช้ หลักสูตร การเพิ่มพูนคุณภาพการใชห้ ลกั สตู รดว้ ยการวิจยั และพัฒนา การปรับปรุงและพัฒนาหลักสตู ร จัดทาระเบยี บการวัดและประเมินผล ในการพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษาโรงเรียนพิจารณาใหส้ อดคล้อง กับหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน และรายละเอียดท่เี ขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษา หรอื หน่วยงาน ตน้ สงั กัดอ่ืนๆ ในระดับท้องถิน่ ได้จดั ทาเพิ่มเตมิ รวมทงั้ โรงเรียนอนบุ าลกระสังสามารถเพ่ิมเติมในส่วนที่เกย่ี วกบั สภาพปัญหา ในชมุ ชนและ สงั คมภมู ิปัญญาท้องถน่ิ และความต้องการของผู้เรียนโดยทกุ ภาคสว่ นเขา้ มามีส่วนรว่ มในการพฒั นา หลักสูตรสถานศกึ ษา หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

ภาคผนวก หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๐ อภธิ านศพั ท์ กตญั ญูกตเวที ผรู้ ู้อุปการะท่ีทา่ นทาแลว้ และตอบแทน แยกออกเป็น ๒ ขอ้ ๑) กตัญญู รู้คณุ ท่าน ๒) กตเวที ตอบ แทนหรือสนองคุณท่าน ความกตญั ญูกตเวทีวา่ โดยขอบเขต แยกได้ เป็น ๒ ระดบั คือ ๒.๑ กตัญญูกตเวทตี ่อบคุ คลผู้มคี ณุ ความดหี รืออปุ การะต่อตนเปน็ สว่ นตัว ๒.๒ กตัญญูกตเวทตี ่อบคุ คลผู้ได้บาเพ็ญคุณประโยชน์หรือมีคณุ ความดี เก้ือกลู แกส่ ว่ นรว่ ม กตญั ญกู ตเวทีตอ่ อาจารย์ / โรงเรียน ในฐานะที่เปน็ ศษิ ย์ พงึ แสดงความเคารพนบั ถืออาจารย์ ผู้เปรียบเสมือนทิศเบือ้ งขวา ดังน้ี ๑. ลูก ตอ้ นรบั แสดงความเคารพ ๒. เขา้ ไปหา เพือ่ บารงุ รบั ใช้ ปรึกษา ซกั ถาม รับคาแนะนา เปน็ ต้น ๓. ฟังด้วยดี ฟงั เปน็ รู้จักฟัง ให้เกิดปญั ญา ๔. ปรนนิบตั ิ ช่วยบรกิ าร ๕. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอา จรงิ เอาจงั ถือเป็นกจิ สาคญั ดว้ ยดี กรรม การกระทา หมายถึง การกระทาที่ประกอบดว้ ยเจตนา คือ ทาดว้ ยความจงใจ ประกอบด้วยความจง ใจหรือจงใจทาดีก็ตาม ชัว่ ก็ตาม เชน่ ขดุ หลมุ พรางดักคนหรือสตั ว์ในตกลงไปตายเปน็ กรรม แต่ขดุ บ่อนา้ ไว้กนิ ไว้ใช้ สัตวต์ กลงไปตายเองไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารอู้ ยวู่ ่าบ่อนา้ ท่ตี นขดุ ไวอ้ ย่ใู นที่ซ่งึ คนจะพลัดตกได้งา่ ยแล้วปล่อย ปละละเลย มีคนตกลงไปก็ไม่พน้ กรรม) การกระทาทีด่ ีเรียกว่า “กรรมด”ี ทชี่ ่ัวเรยี กว่า “กรรมช่ัว” กรรม ๒ กรรมจาแนกตามคณุ ภาพ หรือตามธรรมทีเ่ ป็นมูลเหตุมี ๒ คอื ๑) อกุศลกรรม กรรมทเ่ี ป็นอกุศล กรรมชัว่ คอื เกดิ จากอกุศลมูล ๒) กศุ ลกรรม กรรมท่เี ป็นกศุ ล กรรมดี คือกรรมท่เี กดิ จาก กศุ ลมูล กรรม ๓ กรรมจาแนกตามทวารคอื ทางท่กี รรมมี ๓ คือ ๑) กายกรรม การกระทาทางกาย ๒) วจีกรรม การ กระทาทางวาจา ๓) มโนกรรม การกระทาทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจาแนกตามหลักเกณฑเ์ ก่ยี วกบั การใหผ้ ล มี ๑๒ อยา่ ง คือ หมวดท่ี ๑ ว่าดว้ ยปากกาล คือจาแนกตามเวลาที่ใหผ้ ล ได้แก่ ๑) ทิฏฐธิ รรมเวทนยี กรรม กรรมที่ ใหผ้ ลในปจั จบุ นั คอื ในภพน้ี ๒) อปุ ัชชเวทนียกรรม กรรมทใี่ หผ้ ลในภาพทจี่ ะไปเกิด คือ ในภพหนา้ ๓) อปราบปริเวทนยี กรรม กรรมที่ให้ผลในภพต่อ ๆ ไป ๔) อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล หมวดที่ ๒ วา่ โดยกจิ คือการใหผ้ ลตามหนา้ ท่ี ได้แก่ ๕) ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรมทเ่ี ป็น ตัวนาไปเกิด ๖) อุปตั ถัมภกกรรม กรรมสนบั สนุน คือ เข้าสนบั สนุนหรือซา้ เติมต่อจาก ชนกกรรม ๗) อุปปีฬก กรรม กรรมบีบค้ัน คือเข้ามาบบี ค้นั ผลแห่งชนกกรรม และอปุ ตั ถัมภกกรรมน้นั ให้แปรเปลีย่ นทุเลาเบาลงหรอื ส้ันเขา้ ๘) อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตดั รอนให้ผลของกรรมสองอย่างนั้น ขาดหรือหยดุ ไปทเี ดียว หมวดท่ี ๓ ว่าโดยปานทานปรยิ าย คือจาแนกตามลาดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙) ครกุ รรม กรรมหนกั ใหผ้ ลก่อน ๑๐) พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม กรรที่ทามากหรือกรรมชนิ ใหผ้ ลรองลงมา ๑๑) อาสัน นกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลต้ าย ถา้ ไม่มีสองข้อก่อนกจ็ ะให้ผลก่อนอื่น ๑๒) กตตั ตากรรม หรือ กตตั ตาวาปนกรรม กรรมสกั ว่าทา คือเจตนาอ่อน หรือมิใชเ่ จตนาอยา่ งนน้ั ให้ผลต่อเม่ือไม่มีกรรมอ่ืนจะ ให้ผล หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๑ กรรมฐาน ทต่ี ้งั แหง่ การงาน อารมณ์เป็นทต่ี ง้ั แหง่ การงานของใจ อบุ ายทางใจ วธิ ฝี กึ อบรมจติ มี ๒ ประเภท คอื ๑) สมถกรรมฐาน คือ อบุ ายสงบใจ ๒) วิปัสสนากรรมฐาน อบุ ายเรืองปัญญา กุลจริ ฏั ตธรรม ๔ ธรรมสาหรบั ดารงความมน่ั คงของตระกูลใหย้ ั่งยืน เหตทุ ท่ี าใหต้ ระกูลมั่งคง่ั ต้ังอยู่ไดน้ าน ๑)นัฏฐคเวส นา คือ ของหายของหมด รูจ้ ักหามาไว้ ๒) ชิณณปฏิสงั ขรณา คือ ของเก่าของชารุด รจู้ ักบูรณะซ่อมแซม ๓) ปรมิ ิตปานโภชนา คือ ร้จู กั ประมาณในการกนิ การใช้ ๔) อธปิ จั จสลี วนั ตสถาปนา คือ ตั้งผู้มศี ีลธรรมเป็น พ่อบ้านแม่เรือน กศุ ล บญุ ความดี ฉลาด สิ่งท่ีดี กรรมดี กุศลกรรม กรรมดี กรรมท่ีเปน็ กุศล การกระทาท่ดี ีคือเกิดจากกศุ ลมูล กุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ กรรมดี ทางทาดี กรรมดอี นั เป็นทางนาไปส่สู ุคติมี ๑๐ อยา่ ง ได้แก่ ก. กายกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการทาลายชวี ิต ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวน้ จากถือเอาของทีเ่ ขามิได้ให้ ๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤตผิ ดิ ในกาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากพูดเท็จ ๕. ปิสณุ ายวาจาย เวรมณี เว้นจากพดู สอ่ เสยี ด ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคาหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เวน้ จากพูดเพ้อ เจอ้ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไม่โลกคอยจอ้ งอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไม่คิดร้ายเบยี ดเบยี นเขา ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม กุศลมลู รากเหง้าของกศุ ล ต้นเหตขุ องกศุ ล ตน้ เหตขุ องความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไมโ่ ลภ (จาคะ) ๒. อโท สะ ไม่คิดประทษุ ร้าย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา) กุศลวิตก ความตรึกทเี่ ป็นกศุ ล ความนกึ คิดทีด่ ีงาม ๓ คอื ๑. เนกขัมมวติ ก ความตรึกปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวิตก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. อวิหิสาวติ ก ความตรึกปลอดจากการเบยี ดเบียน โกศล ๓ ความฉลาด ความเชีย่ วชาญ มี ๓ อยา่ ง ๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรู้ทางเจรญิ และเหตขุ องความเจริญ ๒. อปายโกศล คือ ความฉลาดในความเสอ่ื ม รอบรู้ทางเสื่อมและเหตขุ องความเส่อื ม ๓. อปุ ายโกศล คอื ความฉลาดในอุบาย รอบรู้วธิ แี กไ้ ขเหตุการณแ์ ละวิธีทจี่ ะทาใหส้ าเร็จ ทง้ั ในการป้องกัน ความเสอื่ มและในการสรา้ งความเจรญิ ขนั ธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลาตัว หมวดหน่งึ ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดท่ีแบ่งออกเป็นห้ากอง ไดแ้ ก่ รูปขนั ธ์ คอื กองรูป เวทนาขันธ์ คอื กองเวทนา สญั ญาขันธ์ คอื กองสัญญา สังขารขนั ธ์ คอื กองสงั ขาร วญิ ญาณขนั ธ์ คือ กองวญิ ญาณ เรยี กรวมว่า เบญจขันธ์ คารวธรรม ๖ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๒๒ ธรรม คอื ความเคารพ การถือเปน็ สิง่ สาคญั ทจี่ ะพึงใสใ่ จและปฏบิ ตั ิด้วย ความเอ้ือเฟอ้ื หรอื โดย ความหนักแน่นจริงจังมี ๖ ประการ คือ ๑. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือพทุ ธคารวตา ความ เคารพในพระพทุ ธเจ้า ๒. ธัมมคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สังฆคารวตา ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศกึ ษา ๕. อปั ปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท ๖. ปฏิสนั ถารคารวตา ความเคารพในการปฏิสนั ถาร คหิ ิสขุ (กามโภคีสุข ๔) สขุ ของคฤหัสถ์ สขุ ของชาวบา้ น สขุ ท่ชี าวบา้ นควรพยายามเขา้ ถงึ ให้ได้สมา่ เสมอ สุขอนั ชอบธรรมทผ่ี ู้ ครองเรือนควรมี ๔ ประการ ๑. อตั ถสิ ุข สุขเกิดจากความมีทรัพย์ ๒. โภคสขุ สุขเกิดจากการใช้จา่ ยทรัพย์ ๓. อนณสขุ สุขเกดิ จากความไม่เปน็ หนี้ ๔. อนวัชชสุข สขุ เกดิ จากความประพฤติไมม่ โี ทษ (ไม่บกพร่องเสยี หายท้งั ทางกาย วาจา และใจ) ฆราวาสธรรม ๔ ธรรมสาหรบั ฆราวาส ธรรมสาหรบั การครองเรอื น หลักการครองชวี ิตของคฤหัสถ์ ๔ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. สัจจะ คอื ความจริง ซื่อตรง ซ่ือสัตย์ จริงใจ พูดจรงิ ทาจริง ๒. ทมะ คือ การฝกึ ฝน การ ขม่ ใจ ฝกึ นิสัย ปรับตวั รจู้ ักควบคมุ จิตใจ ฝกึ หัด ดัดนิสยั แก้ไขข้อบกพรอ่ ง ปรับปรุงตนใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าดว้ ย สติปญั ญา ๓. ขันติ คือ ความอดทน ตง้ั หนา้ ทาหนา้ ที่การงานดว้ ยความขยนั หมั่นเพียร เขม้ แขง็ ทนทาน ไมห่ ว่ันไหว ม่นั ในจุดหมาย ไมท่ ้อถอย ๔. จาคะ คือ เสยี สละ สละกเิ ลส สละความสขุ สบาย และ ผลประโยชนส์ ่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมทจี่ ะรบั ฟงั ความทุกข์ ความคดิ เห็นและความตอ้ งการของผู้อ่นื พร้อม ท่ีจะรว่ มมือชว่ ยเหลือ เอ้ือเฟ้ือเผื่อแผ่ ไม่คบั แคบเหน็ แกต่ ัวหรอื เอาแต่ใจตัว จิต ธรรมชาตทิ รี่ ้อู ารมณ์ สภาพที่นกึ คดิ ความคิด ใจ ตามหลักฝา่ ยอภิธรรม จาแนกจติ เปน็ ๘๙ แบง่ โดยชาติเปน็ อกุศลจิต ๑๒ กุศลจิต ๒๑ วิปากจิต ๓๖ และกริ ยิ าจติ ๘ เจตสิก ธรรมท่ีประกอบกับจิต อาการหรือคุณสมบัติต่าง ๆ ของจติ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรทั ธา เมตตา สติ ปญั ญาเป็นต้น มี ๕๒ อยา่ ง จัดเปน็ อัญญสมานาเจตสกิ ๑๓ อกุศลเจตสกิ ๑๔ โสภณ เจตสกิ ๒๕ ฉนั ทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยนิ ดี ความต้องการ ความรกั ใคร่ในสิ่งนนั้ ๆ ๒. ความยนิ ยอม ความยอมใหท้ ่ปี ระชุมทากจิ นั้น ๆ ในเม่อื ตนมิไดร้ ่วมอยดู่ ้วย เปน็ ธรรมเนยี มของภิกษทุ ่ีอยู่ในวัดซ่ึงมีสมี ารวมกนั มสี ทิ ธิที่จะเข้าประชมุ ทากจิ ของสงฆ์ เว้นแต่ภกิ ษนุ น้ั อาพาธ จะเข้ารว่ มประชุมด้วยไม่ได้ กม็ อบฉันทะคือ แสดง ความยนิ ยอมใหส้ งฆ์ทากิจนน้ั ๆ ได้ ฌาน การเพ่ง การเพ่งพินจิ ด้วยจิตท่ีเป็นสมาธแิ นว่ แน่ มี ๒ ประเภท คอื ๑. รูปฌาน ๒. อรูปฌาน ฌานสมบตั ิ การบรรลุฌาน การเข้าฌาน ดรณุ ธรรม ธรรมท่ีเป็นหนทางแห่งความสาเรจ็ คอื ข้อปฏิบัติท่ีเปน็ ดจุ ประตูชัยอนั เปดิ ออกไปสคู่ วามสขุ ความ เจรญิ ก้าวหนา้ แห่งชีวติ ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสขุ ภาพดี มใิ ห้มโี รคท้งั จิต และกาย ๒. ศลี คือ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๓ มีระเบียบวนิ ยั ไม่กอ่ เวรภัยแก่สังคม ๓. พทุ ธานมุ ัติ คือ ได้คนดเี ปน็ แบบอยา่ ง ศึกษาเย่ียงนิยมแบบอยา่ งของ มหาบุรษุ พุทธชน ๔. สตุ ะ คอื ตั้งเรยี นรใู้ หจ้ รงิ เล่าเรยี นค้นควา้ ให้ร้เู ชี่ยวชาญใฝ่สดับเหตุการณ์ให้รู้เท่าทัน ๕. ธรรมานุวตั ิ คอื ทาแต่สง่ิ ท่ถี ูกตอ้ งดีงาม ดารงมน่ั ในสจุ ริต ทั้งชวี ติ และงานดาเนินตามธรรม ๖. อลนี ตา คอื มี ความขยันหมนั่ เพียร มีกาลงั ใจแขง็ กล้า ไมท่ ้อแท้เฉื่อยชา เพียรกา้ วหน้าเรอื่ ยไป ตณั หา (๑) ความทะยานอยาก ความดินรน ความปรารถนา ความแสห่ า มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความทะยาน อยากในกาม อยากได้อารมณ์อันนา่ รกั น่าใคร่ ๒. ภวตณั หา ความทะยานอยากในภพ อยากเปน็ นั่นเป็นนี่ ๓. วภิ วตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ อยากไม่เป็นนั่นไมเ่ ปน็ น่ี อยากพรากพ้นดบั สูญไปเสยี ตนั หา (๒) ธดิ ามารนางหนงึ่ ใน ๓ นาง ที่อาสาพระยามารผู้เป็นบิดา เข้าไปประโลมพระพุทธเจา้ ด้วยอาการต่าง ๆ ในสมยั ทพ่ี ระองคป์ ระทบั อยูท่ ่ตี น้ อชปาลนิโครธ ภายหลงั ตรัสรูใ้ หม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดกี บั ราคา) ไตรลักษณ์ ลักษณะสาม คือ ความไม่เท่ยี ง ความเป็นทกุ ข์ ความไมใ่ ช่ตวั ตน ๑. อนจิ จตา (ความเป็นของไม่ เทีย่ ง) ๒. ทุกขตา (ความเปน็ ทกุ ข์) ๓. อนัตตา (ความเปน็ ของไมใ่ ช่ตน) ไตรสกิ ขา สกิ ขาสาม ข้อปฏบิ ตั ิทต่ี ้องศึกษา ๓ อยา่ ง คือ ๑. อธศิ ีลสิกขา หมายถงึ สกิ ขา คือ ศีล อนั ยงิ่ ๒. อธิจติ ตสกิ ขา หมายถึง สกิ ขา คือ จิตอนั ยิง่ ๓. อธิปัญญาสกิ ขา หมายถงึ สกิ ขา คือ ปัญญาอนั ย่ิง เรียกกันงา่ ย ๆ วา่ ศีล สมาธิ ปัญญา ทศพธิ ราชธรรม ๑๐ ธรรม สาหรับพระเจ้าแผน่ ดนิ คุณสมบตั ิของนักปกครองที่ดี สามารถปกครองแผน่ ดินโดยธรรม และยังประโยชนส์ ขุ ใหเ้ กดิ แก่ประชาชน จนเกิดความชื่นชมยินดี มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน การ ให้ทรพั ย์สินส่ิงของ ๒. ศีล ประพฤตดิ ีงาม ๓. ปริจจาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซือ่ ตรง ๕. มทั ท วะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากิเลสตัณหา ไม่หมกมนุ่ ในความสุขสาราญ ๗. อกั โกธะความ ไม่กริ้วโกรธ ๘. อวหิ ิงสา ความไม่ข่มเหงเบียดเบยี น ๙. ขนั ติ ความอดทนเข้มแข็ง ไม่ทอ้ ถอย ๑๐. อวิโรธ นะ ความไม่คลาดธรรม ทฏิ ธัมมิกตั ถสังวตั ตนกิ ธรรม ๔ ธรรมทเี่ ป็นไปเพื่อประโยชนใ์ นปัจจบุ นั คอื ประโยชน์สุขสามัญท่มี องเห็นกนั ในชาตนิ ี้ ทค่ี นทว่ั ไป ปรารถนา เชน่ ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เปน็ ต้น มี ๔ ประการ คือ ๑.อฏุ ฐานสมั ปทา ถงึ พร้อม ด้วยความหมน่ั ๒. อารกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มด้วยการรกั ษา ๓. กัลยาณมติ ตตา ความมีเพื่อนเปน็ คนดี ๔. สม ชีวติ า การเลยี้ งชพี ตามสมควรแก่กาลงั ทรัพย์ท่ีหาได้ ทกุ ข์ ๑ สภาพทที่ นอยู่ไดย้ าก สภาพท่ีคงทนอยูไ่ ม่ได้ เพราะถกู บีบคั้นด้วยความเกดิ ขน้ึ และดบั สลาย เนอื่ งจากตอ้ งไปตามเหตุปจั จัยที่ไม่ข้นึ ต่อตวั มันเอง ๒. สภาพที่ทนได้ยาก ความรู้สกึ ไมส่ บาย ไดแ้ ก่ ทุกขเวทนา ทุกรกริ ิยา กริ ิยาท่ที าได้ยาก การทาความเพียรอันยากท่ีใคร ๆ จะทาได้ เช่น การบาเพญ็ เพยี รเพื่อบรรลธุ รรม วเิ ศษ ดว้ ยวธิ ีทรมานตนต่าง ๆ เช่น กล้ันลมอสั สาสะ (ลมหายใจเขา้ ) ปัสสาสะ (ลมหายใจออก) และอดอาหาร เปน็ ตน้ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๔ ทุจริต ๓ ความประพฤติไมด่ ี ประพฤติช่วั ๓ ทาง ได้แก่ ๑. กายทจุ ริต ประพฤตชิ ัว่ ทางกาย ๒. วจที ุจริต ประพฤตชิ ัว่ ทางวาจา ๓. มโนทุจรติ ประพฤตชิ ่ัวทางใจ เทวทูต ๔ ทตู ของยมเทพ ส่อื แจ้งขา่ วของมฤตยู สญั ญาณท่เี ตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวติ มใี ห้มคี วาม ประมาท ไดแ้ ก่ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต ส่วนสมณะเรียกรวมเป็นเทวทตู ไป ด้วยโดยปรยิ ายเพราะมาในหมวดเดยี วกนั แต่ในบาลีทา่ นเรียกวา่ นิมิต ๔ ไม่ได้เรยี กเทวทตู ธาตุ ๔ ส่งิ ที่ทรงภาวะของม่นั อยู่เองตามธรรมดาของเหตุปัจจยั ได้แก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะทีแ่ ผ่ไป หรือกนิ เน้ือที่ เรียกช่ือสามญั ว่า ธาตุเข้มแข็งหรือธาตุดนิ ๒. อาโปธาตุ หมายถึง สภาวะทเี่ อิบอาบดูดซมึ เรียก สามญั ว่า ธาตเุ หลว หรือธาตนุ ้า ๓. เตโชธาตุ หมายถงึ สภาวะที่ทาใหร้ ้อน เรียกสามัญวา่ ธาตุไฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถงึ สภาวะทท่ี าให้เคล่ือนไหว เรียกสามัญว่า ธาตลุ ม นาม ธรรมที่รจู้ ักกันด้วยชือ่ กาหนดร้ดู ้วยใจเปน็ เรือ่ งของจติ ใจ สงิ่ ที่ไม่มีรปู รา่ ง ไม่มีรูปแต่น้อมมาเปน็ อารมณ์ของจติ ได้ นยิ าม ๕ กาหนดอนั แน่นอน ความเป็นไปอันมีระเบยี บแนน่ อนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อตุ ุนยิ าม (กฎธรรมชาติเก่ยี วกับอุณหภูมิ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ดิน น้า อากาศ และ ฤดกู าล อนั เปน็ ส่ิงแวดล้อมสาหรบั มนษุ ย์) ๒. พีชนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกับการสบื พนั ธุ์ มีพันธกุ รรม เป็นตน้ ) ๓. จติ ตนิยาม (กฎธรรมชาติเกี่ยวกบั การทางานของจติ ) ๔. กรรมนิยาม (กฎธรรมชาติ เกย่ี วกบั พฤติกรรมของมนุษย์ คอื กระบวนการใหผ้ ลของการกระทา) ๕. ธรรมนิยาม (กฎธรรมชาติเกย่ี วกบั ความสัมพันธ์และอาการทเี่ ป็นเหตุ เป็นผลแกก่ ันแหง่ สิง่ ท้ังหลาย นิวรณ์ ๕ สงิ่ ทก่ี ้ันจติ ไม่ใหก้ ้าวหน้าในคุณธรรม ธรรมทกี่ ัน้ จิตไมใ่ ห้บรรลุคุณความดี อกุศลธรรมที่ทาจติ ใหเ้ ศร้า หมองและทาปัญญาให้ออ่ นกาลัง ๑. กามฉันทะ (ความพอใจในกาม ความต้องการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคิดรา้ ย ความขดั เคอื งแค้นใจ) ๓. ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซ่อื งซึม) ๔. อทุ ธจั จกุกกจุ จะ (คามฟ้งุ ซา่ น และร้อนใจ ความกระวนกระวายกล้มุ กงั วล) ๕. วิจกิ ิจฉา (ความลงั เลสงสยั ) นโิ รธ ความดบั ทุกข์ คือดับตัณหาได้สน้ิ เชงิ ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ทจี่ ะเกิดขึน้ ได้ หมายถึง พระ นพิ พาน บารมี คณุ ความดีที่บาเพญ็ อยา่ งยิง่ ยวด เพ่ือบรรลจุ ดุ หมายอนั สงู ยิ่งมี ๑๐ คอื ทาน ศีล เนกขัมมะ ปญั ญา วริ ิยะ ขันติ สจั จะ อธิษฐาน เมตตา อเุ บกขา บุญกริ ิยาวตั ถุ ๓ ท่ตี ั้งแหง่ การทาบุญ เรื่องทีจ่ ดั เปน็ การทาความดี หลกั การทาความดี ทางความดีมี ๓ ประการ คอื ๑. ทานมยั คอื ทาบุญดว้ ยการให้ปันส่งิ ของ ๒. ศลี มยั คือ ทาบญุ ด้วยการรักษาศีล หรือประพฤตดิ มี ีระเบียบ วนิ ัย ๓. ภาวนมัย คือ ทาบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝกึ อบรมจติ ใจ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๒๕ บุญกริ ิยาวัตถุ ๑๐ ทต่ี ้งั แห่งการทาบุญ ทางความดี ๑. ทานมยั คือทาบุญดว้ ยการใหป้ ันส่งิ ของ ๒. สีลมยั คอื ทาบุญ ดว้ ยการรกั ษาศีล หรือประพฤตดิ ี ๓. ภาวนมัย คอื ทาบุญด้วยการเจริญภาวนา คือฝึกอบรมจิตใจ ๔. อปจายน มยั คอื ทบุญดว้ ยการประพฤตอิ ่อนน้อมถอ่ มตน ๕. เวยยาวัจจมัย คือ ทาบุญดว้ ยการช่วยขวนขวาย รบั ใช้ ๖. ปตั ติทานมัย คือ ทาบุญด้วยการเฉลี่ยสว่ นแหง่ ความดีใหแ้ ก่ผู้อ่นื ๗. ปตั ตานโุ มทนามัย คือ ทาบุญดว้ ยการยนิ ดี ในความดขี องผู้อื่น ๘. ธัมมสั สวนมยั คือ ทาบุญด้วยการฟังธรรม ศึกษาหาความรู้ ๙. ธมั มเทสนามัย คือทาบุญ ดว้ ยการสั่งสอนธรรมใหค้ วามรู้ ๑๐. ทฏิ ฐชุ ุกรรม คอื ทาบุญดว้ ยการทาความเหน็ ให้ตรง บุพนิมิตของมัชฌิมาปฏปิ ทา บพุ นิมติ แปลว่า ส่งิ ทเ่ี ปน็ เคร่ืองหมายหรือสงิ่ บ่งบอกล่วงหน้า พระพุทธองคต์ รัสเปรยี บเทียบวา่ กอ่ นท่ีดวงอาทิตยจ์ ะขนึ้ ยอ่ มมีแสงเงินแสงทองปรากฏให้เหน็ ก่อนฉนั ใด ก่อนที่อรยิ มรรคซงึ่ เป็นข้อปฏิบตั ิ สาคัญในพระพทุ ธศาสนาจะเกดิ ขน้ึ ก็มีธรรมบางประการปรากฏขนึ้ ก่อน เหมอื นแสงเงินแสงทองฉันนนั้ องค์ประกอบของธรรมดังกลา่ ว หรอื บพุ นิมติ แห่งมชั ฌิมาปฏปิ ทา ไดแ้ ก่ ๑. กัลป์ยาณมิตตตา ความมี กลั ยาณมติ ร ๒. สลี สัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยศีล มีวนิ ัย มคี วามเปน็ ระเบียบในชวี ิตของตนและในการอย่รู ่วมใน สังคม ๓. ฉนั ทสัมปทา ถึงพร้อมด้วยฉนั ทะ พอใจใฝร่ ักในปัญญา สจั ธรรม ในจริยธรรม ใฝ่รู้ในความจรงิ และใฝ่ ทาความดี ๔. อัตตสมั ปทา ความถึงพร้อมดว้ ยการท่จี ะฝึกฝน พัฒนาตนเอง เห็นความสาคญั ของการท่จี ะต้อง ฝึกตน ๕. ทิฏฐสิ ปั ทา ความถึงพร้อมดว้ ยทฏิ ฐิ ยดึ ถือ เชื่อถือในหลักการ และมีความเหน็ ความเข้าใจพ้นื ฐานที่ มองส่ิงทั้งหลายตามเหตุปัจจยั ๖. อัปปมาทสมั ปทา ถึงพร้อมด้วยความไมป่ ระมาท มีความกระตือรือร้นอยู่ เสมอ เห็นคุณค่าของกาลเวลา เหน็ ความเปลี่ยนแปลงเป็นส่ิงกระต้นุ เตือนใหเ้ ร่งรดั การคน้ หาให้เขาถงึ ความจริง หรอื ในการทาชีวิตทีด่ งี ามให้สาเร็จ ๗. โยนโิ สมนสกิ าร รูจ้ ัดคดิ พิจารณา มองสงิ่ ท้งั หลายใหไ้ ดค้ วามรแู้ ละได้ ประโยชน์ทีจ่ ะเอามาใช้พฒั นาตนเองย่ิง ๆ ขน้ึ ไป เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ที่ควรประพฤติคู่กันไปกับการรกั ษาเบญจศลี ตามลาดับขอ้ ดงั นี้ ๑. เมตตากรุณา ๒. สมั มาอาชวี ะ ๓. กามสังวร (สารวมในกาม) ๔. สจั จะ ๕. สตสิ ัมปชญั ญะ เบญจศีล ศีล ๕ เว้นฆา่ สตั ว์ เวน้ ลกั ทรัพย์ เว้นประพฤตผิ ดิ ในกาม เว้นพดู ปด เวน้ ของเมา ปฐมเทศนา เทศนาคร้งั แรก หมายถึง ธัมมจักรกปั ปวตั ตนสตู รท่ีพระพทุ ธเจ้าทรงแสดงแก่พระปญั จวัคคยี ์ในวัน ขึ้น ๑๕ ค่า เดอื น ๘ หลังจากวันตรสั ร้สู องเดือน ที่ป่าอสิ ปิ ตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี ปฏิจจสมุปบาท สภาพอาศัยปจั จยั เกดิ ข้ึน การทสี่ ิ่งทัง้ หลายอาศยั กนั จึงมขี ้นึ การทีท่ ุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย ตอ่ เนอื่ งกันมา ปรยิ ตั ิ พุทธพจน์อนั จะพงึ เล่าเรียน ส่ิงทคี่ วรเล่าเรยี น การเล่าเรยี นพระธรรมวนิ ัย ปธาน ๔ ความเพียร ๔ อยา่ ง ได้แก่ ๑. สังวรปธาน คือ การเพยี รระวงั หรอื เพยี รปดิ กน้ั (ยบั ยง้ั บาปอกุศล ธรรมท่ยี งั ไม่เกิด ไมใ่ หเ้ กิดขึน้ ) ๒. ปหานปธาน คือ เพยี รละบาปอกุศลท่ีเกิดข้ึนแล้ว ๓. ภาวนาปธาน คอื เพยี ร เจริญ หรอื ทากุศลธรรมที่ยังไม่เกิดใหเ้ กิดขน้ึ ๔. อนรุ ักขนาปธาน คอื เพยี รรักษากศุ ลธรรมทีเ่ กดิ ขนึ้ แล้วไม่ให้ เส่ือมไปและทาใหเ้ พิ่มไพบูลย์ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๖ ปปัญจธรรม ๓ กเิ ลสเครอื่ งเน่ินชา้ กิเลสท่เี ป็นตวั การทาให้คิดปรุงแตง่ ยึดเยอื้ พสิ ดาร ทาให้เขาหา่ งออกไปจากความ เปน็ จรงิ ง่าย ๆ เปดิ เผย ก่อให้เกดิ ปญั หาตา่ ง ๆ และขัดขวางไมใ่ ห้เขา้ ถงึ ความจรงิ หรอื ทาให้ ไมอ่ าจ แกป้ ัญหาอย่างถูกทางตรงไปตรงมา มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนาทีจ่ ะบารุง บาเรอ ปรนเปรอตน ความยากได้อยากเอา) ๒. ทิฏฐิ (ความคิดเห็น ความเชื่อถือ ลกั ธิ ทฤษฎี อดุ มการณ์ต่าง ๆ ทย่ี ึดถอื ไว้โดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชูวา่ อยา่ งนเ้ี ทา่ นั้นจรงิ อย่างอนื่ เท็จท้ังน้ัน เป็นต้น ทาใหป้ ดิ ตวั แคบ ไม่ยอมรบั ฟังใคร ตัดโอกาสที่จะเจรญิ ปญั ญา หรือคดิ เตลดิ ไปขา้ งเดยี ว ตลอดจนเป็นเหตุแหง่ การเบยี ดเบยี นบีบ ค้ันผู้อื่นท่ีไม่ถืออยา่ งตน ความยดึ ติดในทฤษฎี ฯลฯ คือความคดิ เหน็ เป็นความจรงิ ) ๓. มานะ (ความถอื ตวั ความสาคัญตนวา่ เปน็ นน่ั เปน็ น่ี ถือสูง ถือตา่ ยง่ิ ใหญ่ เท่าเทียมหรือด้อยกวา่ ผู้อน่ื ความอยากเด่นอยากยกชูตน ให้ยิ่งใหญ่) ปฏเิ วธ เข้าใจตลอด แทงตลอด ตรสั รู้ รู้ทะลุปรโุ ปร่ง ลลุ ว่ งดว้ ยการปฏิบตั ิ ปฏิเวธสัทธรรม สัทธรรม คือ ผลอนั จะพึงเข้าถึงหรอื บรรลดุ ้วยการปฏบิ ตั ิได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน ปัญญา ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ รซู้ ง้ึ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. สตุ มยปญั ญา (ปัญญาเกิดแตก่ ารสดบั การเล่าเรอื่ ง) ๒. จินตามนปัญญา (ปัญญาเกดิ แต่การคิด การพจิ ารณาหาเหตผุ ล) ๓. ภาวนามยปัญญา (ปัญญาเกดิ แต่การ ฝกึ อบรมลงมอื ปฏิบตั ิ) ปัญญาวุฒธิ รรม ธรรมเป็นเครื่องเจรญิ ปัญญา คุณธรรมทีก่ ่อใหเ้ กิดความเจริญงอกงามแห่งปญั ญา ๑. สัปปรุ สิ สังเสวะ คบหาสัตบรุ ุษ เสวนาทา่ นผทู้ รง ๒. สทั ธัมมสั สวนะ ฟังสทั ธรรม เอาใจใส่ เล่าเรียนหา ความรจู้ ริง ๓. โยนิโสมนสิการ ทาในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตุผลโดยถูกวธิ ี ๔. ธัมมานุธมั มปฏิบัติ ปฏิบัติ ธรรมถกู ตอ้ งตามหลัก คือ ให้สอดคลอ้ งพอดี ขอบเขตความหมาย และวตั ถปุ ระสงค์ทีส่ ัมพันธ์กบั ธรรมข้ออืน่ ๆ นาส่งิ ทไ่ี ด้เลา่ เรียนและตรติ รองเหน็ แล้วไปใชป้ ฏบิ ตั ใิ ห้ถูกต้องตามความมงุ่ หมายของส่ิงนั้น ๆ ปาปณิกธรรม ๓ หลักพอ่ ค้า องคค์ ุณของพ่อคา้ มี ๓ อยา่ ง คือ ๑ จักขุมา ตาดี (รู้จักสนิ คา้ ) ดูของเปน็ สามารถคานวณ ราคา กะทนุ เก็งกาไร แม่นยา ๒. วธิ ูโร จัดเจนธุรกจิ (ร้แู หลง่ ซอื้ ขาย รู้ความเคล่ือนไหวความตอ้ งการของตลาด สามารถในการจัดซ้อื จัดจาหน่าย รใู้ จและรูจ้ กั เอาใจลกู คา้ ) ๓. นสิ สยสมั ปนั โน พร้อมด้วยแหล่งทนุ อาศัย (เป็น ทเ่ี ชอ่ื ถือไวว้ างในในหมแู่ หล่งทนุ ใหญ่ ๆ หาเงนิ มาลงทุนหรือดาเนนิ กจิ การโดยง่าย ๆ) ผัสสะ หรือ สมั ผัส การถกู ต้อง การกระทบ ความประจวบกนั แห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ มี ๖ คอื ๑. จกั ขุสมั ผัส (ความกระทบทางตา คอื ตา + รปู + จกั ขุ - วญิ ญาณ) ๒. โสตสัมผสั (ความกระทบทางหู คอื หู + เสียง + โสตวญิ ญาณ) ๓. ฆานสัมผสั (ความกระทบทางจมกู คอื จมูก + กลิ่น + ฆานวิญญาณ) ๔. ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิน้ คือ ล้ิน + รส + ชวิ หาวญิ ญาณ) ๕. กายสมั ผสั (ความกระทบ ทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวญิ ญาณ) ๖. มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) ผ้วู ิเศษ หมายถงึ ผู้สาเรจ็ ผู้มีวิทยากร พระธรรม หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรูส้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๗ คาสงั่ สอนของพระพทุ ธเจา้ ทั้งหลกั ความจริงและหลักความประพฤติ พระอนพุ ุทธะ ผู้ตรัสรู้ตาม คอื ตรัสรู้ด้วยได้สดับเล่าเรียนและปฏิบัติตามท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงสอน พระปัจเจกพุทธะ พระพทุ ธเจ้าประเภทหนง่ึ ซึ่งตรสั รูเ้ ฉพาะตวั มไิ ดส้ ั่งสอนผู้อน่ื พระพุทธคุณ ๙ คณุ ของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ได้แก่ อรห เป็นผ้ไู กลจากกิเลส ๒. สมฺมาสัมฺพทุ ฺโธ เปน็ ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง ๓. วชิ ชฺ าจรณสมปฺ นฺโน เป็นผถู้ งึ พร้อมดว้ ยวชิ ชาและ จรณะ ๔. สคุ โต เปน็ ผู้เสดจ็ ไปแล้วดว้ ยดี ๕. โลกวิทู เป็นผ้รู ู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ๖. อนตุ ตฺ โร ปรุ ิสทมมฺ สารถิ เป็นผสู้ ามารถฝกึ บุรษุ ที่สมควรฝกึ ไดอ้ ย่างไมม่ ีใครยิง่ กวา่ ๗. สตฺถา เทวมนุสสฺ าน เป็นครูผสู้ อนเทวดาและมนษุ ย์ทงั้ หลาย ๘. พุทฺ โธ เป็นผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผู้เบิกบาน ๙. ภควา เป็นผู้มีโชค มคี วามเจรญิ จาแนกธรรมสัง่ สอนสัตว์ พระพทุ ธเจา้ ผู้ตรสั รโู้ ดยชอบแล้วสอนผอู้ น่ื ใหร้ ตู้ าม ทา่ นผรู้ ู้ดี รู้ชอบดว้ ยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ ประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ พระภิกษุ ชายผู้ได้อปุ สมบทแล้ว ชายทบี่ วชเป็นพระ พระผู้ชาย แปลตามรูปศัพทว์ ่า ผขู้ อหรือผูม้ องเหน็ ภยั ใน สังขารหรือผทู้ าลายกเิ ลส ดบู ริษัท ๔ สหธรรมกิ บรรพชิต อปุ สัมบัน ภกิ ษสุ าวกรูปแรก ได้แก่ พระอัญญาโกณ ฑัญญะ พระรัตนตรยั รตั นะ ๓ แกว้ อนั ประเสรฐิ หรือสงิ่ ล้าคา่ ๓ ประการ หลกั ทีเ่ คารพบชู าสูงสุดของพุทธศาสนิกชน ๓ อยา่ ง คอื ๑ พระพทุ ธเจา้ (พระผตู้ รสั รเู้ อง และสอนใหผ้ ู้อื่นรตู้ าม) ๒.พระธรรม (คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท้งั หลักความจริงและหลกั ความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมสู่ าวกผู้ปฏบิ ัติตามคาส่งั สอนของพระพทุ ธเจา้ ) พระสงฆ์ หมู่ชนทฟี่ ังคาสั่งสอนของพระพทุ ธเจ้าแลว้ ปฏิบตั ิชอบตามพระธรรมวนิ ัย หมู่สาวกของพระพุทธเจ้า พระสัมมาสมั พุทธเจ้า หมายถึง ทา่ นผูต้ รัสรู้เอง และสอนผู้อน่ื ใหร้ ้ตู าม พระอนุพุทธะ หมายถึง ผู้ตรัสร้ตู าม คือ ตรัสรูดว้ ยไดส้ ดบั เล่าเรียนและปฏิบตั ติ ามท่ีพระสัมมาสมั พุทธเจ้า ทรงสอน ไดแ้ ก่ พระอรหนั ต์สาวกท้ังหลาย พระอรยิ บุคคล หมายถึง บุคคลผเู้ ป็นอริยะ ท่านผูบ้ รรลธุ รรมวิเศษ มโี สดาปตั ติผล เปน็ ต้น มี ๔ คอื ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี (หรือสกิทาคาม)ี ๓. พระอนาคามี ๔. พระอรหนั ต์ แบ่งพิสดารเปน็ ๘ คือ พระผู้ตง้ั อย่ใู นโสดาปัตติมรรค และพระผตู้ ัง้ อยู่ในโสดาปัตติผลคู่ ๑ พระผูต้ ั้งอยใู่ นสกทาคามิมรรค และพระผู้ตัง้ อยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๘ พระผู้ตัง้ อยูใ่ นอนาคามมิ รรค และพระผู้ตง้ั อยู่ในอนาคามผิ ลคู่ ๑ พระผตู้ ัง้ อย่ใู นอรหตั ตมรรค และพระผู้ต้ังอยู่ในอรหตั ตผลคู่ ๑ พราหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหนึง่ ใน ๔ วรรณะ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณ์เป็นวรรณะ นกั บวชและเป็นเจ้าพิธี ถือตนวา่ เป็นวรรณะสงู สุด เกิดจากปากพระพรหม พละ ๔ กาลงั พละ ๔ คือ ธรรมอันเป็นพลังทาใหด้ าเนนิ ชีวติ ด้วยความมัน่ ใจ ไมต่ ้องหวาดหวั่นภัยต่าง ๆ ได้แก่ ๑. ปัญญาพละ กาลงั คือปัญญา ๒. วิริยพละ กาลงั คือความเพยี ร ๓. อนวัชชพละ กาลงั คือการกระทาท่ี ไม่มโี ทษ ๔. สงั คหพละ กาลงั การสังเคราะห์ คือ เกื้อกลู อยู่ร่วมกับผอู้ ื่นไดด้ ี พละ ๕ พละ กาลงั พละ ๕ คือ ธรรมอันเป็นกาลัง ซึ่งเป็นเครื่องเกื้อหนุนแกอ่ รยิ มรรค จัดอยู่ในจาพวก โพธิปกั ขยิ ธรรม มี ๕ คือ สทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา พทุ ธกิจ ๕ พระพุทธองค์ทรงบาเพ็ญพทุ ธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปพุ พฺ ณฺเห ปณิ ฺฑปาตญฺจ ตอนเชา้ เสด็จออก บณิ ฑบาต เพ่อื โปรดสตั ว์ โดยการสนทนาธรรมหรือการแสดงหลกั ธรรมใหเ้ ข้าใจ ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสน ตอน เยน็ แสดงธรรมแก่ประชาชนทม่ี าเฝ้าบรเิ วณท่ีประทับ ๓. ปโทเส ภกิ ขฺ ุโอวาท ตอนค่า แสดงโอวาท แก่พระสงฆ์ ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหน ตอนเทย่ี งคนื ทรงตอบปัญหาแก่พวกเทวดา ๕. ปจจฺ เู สว คเต กาเล ภพฺ พาภพฺเพ วโิ ลกน ตอนเช้ามืด จวนสวา่ ง ทรงตรวจพิจารณาสตั ว์โลกวา่ ผูใ้ ดมีอุปนิสัยทจ่ี ะบรรลุธรรมได้ พทุ ธคุณ คุณของพระพุทธเจ้า คือ ๑. ปญํ ญาคณุ (พระคุณ คอื ปญั ญา) ๒. วสิ ทุ ธคิ ณุ (พระคุณ คือ ความ บรสิ ุทธิ์) ๓. กรณุ าคุณ (พระคุณ คอื พระมหากรุณา) ภพ โลกเปน็ ท่ีอยูข่ องสัตว์ ภาวะชวี ิตของสัตว์ มี ๓ คอื ๑. กามภพ ภพของผู้ยงั เสวยกามคุณ ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน ๓. อรูปภพ ภพของผเู้ ข้าถึงอรูปฌาน ภาวนา ๔ การเจรญิ การทาให้มีขน้ึ การฝกึ อบรม การพัฒนา แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. กายภาวนา ๒. สีลภาวนา ๓. จติ ตภาวนา ๔. ปญั ญาภาวนา ภมู ิ ๓๑ ๑.พนื้ เพ พ้ืน ชั้น ทีด่ นิ แผน่ ดิน ๒. ชัน้ แหง่ จิต ระดับจติ ใจ ระดบั ชีวติ มี ๓๑ ภมู ิ ได้แก่ อบายภูมิ ๔ (ภูมทิ ปี่ ราศจากความเจรญิ ) - นริ ยะ (นรก) – ตริ จั ฉานโยนิ (กาเนดิ ดิรัจฉาน) – ปิตติวสิ ยั (แดนเปรต) - อสรุ กาย (พวกอสูร) กามสคุ ตภิ ูมิ ๗ (กามาวจรภมู ิทีเ่ ป็นสุคติ ภูมิทีเ่ ปน็ สคุ ติ ซงึ่ ยังเก่ยี วข้องกับกาม) - มนุษย์ (ชาวมนุษย)์ – จาตมุ หาราชกิ า (สวรรค์ชนั้ ที่ทา้ วมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดงึ ส์ (แดนแห่งเทพ ๓๓ มีท้าวสักกะเปน็ ใหญ่) -ยามา (แดนแหง่ เทพผปู้ ราศจากความทุกข์) - ดสุ ิต (แดนแห่งผเู้ อบิ อิ่มด้วยสิริสมบตั ิ ของตน) - นิมมานรดี (แดนแหง่ เทพผู้ยินดใี นการเนรมติ ) - ปรนมิ มติ วสวตั ตี (แดนแห่งเทพผูย้ งั อานาจให้ เปน็ ไปในสมบตั ิที่ผอู้ นื่ นริ มิตให)้ โภคอาทยิ ะ ๕ ประโยชนท์ ่คี วรถือเอาจากโภคทรพั ย์ ในการทีจ่ ะมหี รือเหตุผลในการทจ่ี ะมีหรอื ครอบครองโภค ทรพั ย์ ๑. เลย้ี งตวั มารดา บิดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองท้งั หลายใหเ้ ป็นสขุ ๒. บารงุ มติ รสหายและรว่ ม หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๒๙ กจิ กรรมการงานใหเ้ ปน็ สุข ๓. ใชป้ ้องกนั ภยันตราย ๔. ทาพลี คอื ญาติพลี สงเคราะหญ์ าติ อตถิ ิพลี ต้อนรับ แขก ปุพพเปตพลี ทาบุญอทุ ิศให้ผูล้ ่วงลบั ราชพลี บารงุ ราชการ เสียภาษี เทวตาพลี สักการะบารงุ สิง่ ทเ่ี ช่ือถือ ๕. อปุ ถมั ภ์บารงุ สมณพราหมณ์ ผูป้ ระพฤติชอบ มงคล สง่ิ ทที่ าให้มโี ชคดีตามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมที่นามาซงึ่ ความสุข ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรอื เรียกเต็มว่า อดุ มมงคล (มงคลอันสูงสดุ ) ๓๘ ประการ มจิ ฉาวณิชชา ๕ การคา้ ขายทผี่ ดิ ศีลธรรมไม่ชอบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สตั ถวณชิ ชา คา้ อาวุธ ๒. สตั ตวณชิ ชา ค้ามนษุ ย์ ๓. มังสวณิชชา เลี้ยงสตั วไ์ วข้ ายเนอื้ ๔. มัชชวณิชชา คา้ ขายนา้ เมา ๕. วิสวณิชชา คา้ ขายยาพิษ มรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ ปฏบิ ัตใิ ห้ถงึ ความดับทกุ ข์ เรยี กเต็มว่า “อริยอัฏฐงั คิกมรรค” ได้แก่ ๑. สมั มาทฎิ ฐิ เหน็ ชอบ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ดารชิ อบ ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ ๔. สมั มากัมมันตะ ทาการชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ เลย้ี ง ชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ ๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สมั มาสมาธิ ตง้ั จติ มั่นชอบ มิจฉตั ตะ ๑๐ ภาวะท่ีผดิ ความเปน็ สิง่ ที่ผิด ไดแ้ ก่ ๑. มจิ ฉทิฏฐิ (เห็นผดิ ไดแ้ ก่ ความเห็นผิดจากคลองธรรมตาม หลักกศุ ลกรรมบถ และความเห็นที่ไม่นาไปสู่ความพน้ ทุกข์) ๒. มิจฉาสังกปั ปะ (ดาริผิด ได้แก่ ความดาริท่ีเปน็ อกุศลท้ังหลาย ตรงขา้ มจากสัมมาสังกัปปะ) ๓. มจิ ฉาวาจา (วาจาผดิ ไดแ้ ก่ วจีทุจริต ๔) ๔. มิจฉากัมมนั ตะ (กระทาผดิ ได้แก่ กายทจุ ริต ๓) ๕. มจิ ฉาอาชีวะ (เลย้ี งชีพผิด ได้แก่ เล้ียงชีพในทางทจุ ริต) ๖. มิจฉาวายามะ (พยายามผดิ ไดแ้ ก่ ความเพียรตรงขา้ มกบั สัมมาวายามะ) ๗. มจิ ฉาสติ (ระลึกผดิ ได้แก่ ความ ระลกึ ถงึ เรื่องราวท่ีล่วงแลว้ เช่น ระลกึ ถงึ การได้ทรัพย์ การไดย้ ศ เปน็ ตน้ ในทางอกุศล อันจดั เปน็ สติเทยี ม) เป็นเหตุชกั นาใจให้เกิดกิเลส มโี ลภะ มานะ อสสา มจั ฉรยิ ะ เป็นตน้ ๘. มิจฉาสมาธิ (ต้งั ใจผิด ได้แก่ ต้ังจิต เพง่ เลง็ จดจอ่ ปักใจแน่วแน่ในกามราคะพยาบาท เปน็ ต้น หรือเจริญสมาธแิ ลว้ หลงเพลิน ติดหมกมุ่น ตลอดจน นาไปใชผ้ ิดทาง ไมเ่ ป็นไปเพ่ือญาณทสั สนะ และความหลดุ พน้ ) ๙. มิจฉาญาณ (รผู้ ดิ ได้แก่ ความหลงผดิ ท่ี แสดงออกในการคิดอุบายทาความชวั่ และในการพจิ ารณาทบทวน ว่าความชว่ั นน้ั ๆ ตนกระทาได้อย่างดีแลว้ เปน็ ต้น) ๑๐. มจิ ฉาวมิ ตุ ติ (พ้นผดิ ไดแ้ ก่ ยังไม่ถึงวมิ ตุ ติ สาคญั วา่ ถงึ วิมตุ ติ หรือสาคัญผดิ ในส่ิงทีม่ ิใชว่ มิ ตุ ต)ิ มติ รปฏิรปู คนเทยี มมิตร มิตรเทยี ม มิใช่มิตรแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก มลี ักษณะ ๔ คอื ๑.๑ คิดเอาไดฝ้ ่ายเดยี ว ๑.๒ ยอมเสียแต่น้อย โดยหวงั จะเอา ให้มาก ๑.๓ ตัวเองมีภัย จึงมาทากิจของเพ่ือน ๑.๔ คบเพอื่ นเพราะ เห็นแก่ประโยชนข์ องตัว ๒. คนดีแต่พูด มลี กั ษณะ ๔ คือ ๒.๑ ดแี ต่ยกเรื่องที่ผา่ นมาแล้วมาปราศรัย ๒.๒ ดีแต่ อา้ งสิง่ ท่ี ยงั มดี ี แต่อ้างสิ่งทีย่ ังไม่มีมาปราศรยั ๒.๓ สงเคราะห์ดว้ ยส่ิงท่ีไรป้ ระโยชน์ ๒.๔ เมอ่ื เพ่ือนมกี จิ อา้ งแต่เหตุขดั ข้อง ๓. คนหวั ประจบมลี กั ษณะ ๔ คอื ๓.๑ จะทาชวั่ ก็คล้อยตาม ๓.๒ จะทาดีกค็ ลอ้ ยตาม ๓.๓ ตอ่ หน้าสรรเสรญิ ๓.๔ ลบั หลงั นนิ ทา ๔. คนชวนฉบิ หายมลี ักษณะ ๔ คอื ๔.๑ คอยเปน็ เพ่ือนด่มื นา้ เมา ๔.๒ คอยเป็นเพื่อนเที่ยว กลางคนื ๔.๓ คอยเปน็ เพ่ือนเทย่ี วดูการเลน่ ๔.๔ คอยเปน็ เพ่อื นไปเล่นการพนัน หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๓๐ มติ รน้าใจ ๑. เพ่ือนมที ุกข์พลอยทุกขด์ ว้ ย ๒. เพื่อนมสี ขุ พลอยดีใจ ๓. เขาติเตียนเพ่ือน ช่วยยับยง้ั แก้ไขให้ ๔. เขาสรรเสรญิ เพอ่ื น ชว่ ยพูดเสรมิ สนับสนุน (พ.ศ. หน้า ๒๓๔) รูป ๑ สงิ่ ทต่ี อ้ งสลายไปเพราะปจั จยั ตา่ ง ๆ อันขดั แยง้ สงิ่ ที่เป็นรูปรา่ งพร้อมทัง้ ลักษณะอาการของมัน สว่ น ร่างกาย จาแนกเป็น ๒๘ คอื มหาภูตรูป หรือธาตุ ๔ และอุปาทายรปู ๒. อารมณ์ท่รี ูไ้ ดด้ ้วยจักษุ สง่ิ ทป่ี รากฏ แก่ตา ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใชเ้ รียกพระภิกษุสามเณร เช่น ภกิ ษุรปู หนงึ่ วฏั ฏะ ๓ หรือ ไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวยี นเกดิ เวียนตาย การเวียนวา่ ยตายเกิด ความเวียนเกดิ หรอื วนเวียนดว้ ยอานาจ กิเลส กรรม และวิบาก เชน่ กิเลสเกดิ ขน้ึ แลว้ ให้ทากรรม เม่ือทากรรมแลว้ ย่อมได้ผลของกรรม เมือ่ ไดร้ ับผล ของกรรมแลว้ กิเลสก็เกดิ อีกแล้ว ทากรรมแล้วเสวยผลกรรมหมนุ เวียนตอ่ ไป วาสนา อาการกายวาจา ท่ีเป็นลักษณะพิเศษของบุคคล ซ่ึงเกิดจากกิเลสบางอยา่ ง และไดส้ ง่ั สมอบรมมาเปน็ เวลานานจนเคยชนิ ตดิ เปน็ พืน้ ประจาตวั แมจ้ ะละกิเลสนั้นได้แลว้ แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาทเ่ี คยชนิ ไม่ได้ เชน่ คาพดู ติดปาก อาการเดินท่ีเร็วหรือเดนิ ตว้ มเต้ียม เป็นต้น ท่านขยายความว่า วาสนา ท่เี ปน็ กุศลก็มี เปน็ อกุศลก็มี เปน็ อพั ยากฤต คือ เปน็ กลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่วก็มี ทีเ่ ปน็ กศุ ลกบั อัพยากฤตนั้นไมต่ ้องละ แต่ทเ่ี ปน็ อกศุ ล ซึง่ ควรจะละน้นั แบง่ เปน็ ๒ ส่วน คอื ส่วนท่จี ะเป็นเหตใุ ห้เข้าถงึ อบายกับสว่ นทเ่ี ป็นเหตุให้เกดิ อาการแสดงออก ทางกายวาจาแปลก ๆ ต่าง ๆ สว่ นแรก พระอรหนั ตท์ กุ องค์ละได้ แตส่ ่วนหลงั พระพุทธเจา้ เทา่ นนั้ ละได้ พระ อรหันตอ์ น่ื ละไม่ได้ จึงมีคากล่าววา่ พระพุทธเจ้าเทา่ น้นั ละกเิ ลสท้ังหมดได้ พรอ้ มทั้งวาสนา; ในภาษาไทย คาวา่ วาสนามีความหมายเพย้ี นไป กลายเป็นอานาจบุญเกา่ หรือกศุ ลท่ีทาให้ไดร้ บั ลาภยศ วติ ก ความตรึก ตริ กายยกจิตข้นึ สู่อารมณ์ การคิด ความดาริ “ไทยใชว้ า่ เป็นหว่ งกังวล” แบ่งออกเปน็ กศุ ลวิตก ๓ และอกุศลวติ ก ๓ วบิ ตั ิ ๔ ความบกพร่องแห่งองค์ประกอบตา่ ง ๆ ซ่ึงไม่อานวยแก่การทกี่ รรมดีจะปรากฏผล แต่กลับเปดิ ชอ่ ง ใหก้ รรมช่ัวแสดงผล พดู สั้น ๆ ว่าส่วนประกอบบกพร่อง เปิดช่องใหก้ รรมช่วั วบิ ตั มิ ี ๔ คือ ๑. คติวบิ ัติ วิบัติ แหง่ คติ หรือคติเสยี คือเกดิ อยู่ในภพ ภูมิ ถน่ิ ประเทศ สภาพแวดล้อมท่ีไม่เหมาะ ไม่เก้ือกลู ทางดาเนินชวี ิต ถิน่ ทีไ่ ปไม่อานวย ๒. อปุ ธิวบิ ตั ิ วบิ ัติแหง่ ร่างกาย หรอื รปู กายเสยี เชน่ รา่ งกายพกิ ลพิการ อ่อนแอ ไม่สวยงาม กิริยาท่าทางนา่ เกลียด ไมช่ วนชมตลอดจนสุขภาพที่ไม่ดี เจบ็ ปว่ ย มีโรคมาก ๓. กาลวิบัติ วิบัตแิ หง่ กาลหรอื หรอื กาลเสีย คือเกดิ อยู่ในยุคสมัยทบ่ี ้านเมืองมภี ัยพบิ ัตไิ ม่สงบเรียบรอ้ ย ผู้ปกครองไมด่ ี สังคมเส่อื มจากศลี ธรรม มากดว้ ยการเบียดเบยี น ยกย่องคนช่ัว บบี คน้ั คนดี ตลอดจนทาอะไรไมถ่ ูกาลเวลา ไม่ถูกจงั หวะ ๔. ปโยควิบตั ิ วบิ ตั ิแห่งการประกอบ หรอื กจิ การเสีย เชน่ ฝักใฝ่ในกจิ การหรือเร่ืองราวท่ีผดิ ทาการไม่ตรงตามความ ถนัด ความสามารถ ใชค้ วามเพยี รไม่ถูกต้อง ทาการคร่ึง ๆ กลาง ๆ เป็นต้น วิปัสสนาญาณ ๙ ญาณในวปิ ัสสนา ญาณที่นบั เข้าในวิปัสสนา เปน็ ความรูท้ ท่ี าให้เกดิ ความเห็นแจง้ เขา้ ใจสภาวะของ ส่ิงทงั้ หลายตามเป็นจริง ไดแ้ ก่ ๑. อุทยัพพยานุปัสสนาณาณ คือ ญาณอันตามเห็นความเกิดและดับของ เบญจขันธ์ ๒. ภงั คานุปสั สนาญาณ คือ ญาณอันตามเหน็ ความสลาย เมื่อเกดิ ดบั ก็คานงึ เดน่ ชัด ในสว่ นดับของ สงั ขารทัง้ หลาย ต้องแตกสลายทง้ั หมด ๓. ภยตูปัฏฐานญาณ คอื ณาณอันมองเหน็ สงั ขาร ปรากฏเปน็ ของน่า หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๑ กลวั ๔. อาทนี วานปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอันคานงึ เหน็ โทษของสังขารทั้งหลาย วา่ เปน็ โทษบกพรอ่ งเปน็ ทุกข์ ๕. นพิ พทิ านปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอันคานึงเหน็ ความหน่ายของสังขาร ไมเ่ พลินเพลิน ตดิ ใจ ๖. มญุ จติ ุกัมย ตาญาณ คือ ญาณอันคานงึ ด้วย ใคร่พน้ ไปเสยี คือ หนา่ ยสงั ขารทั้งหลาย ปรารถนาทจี่ ะพ้นไปเสีย ๗. ปฏสิ ังขานปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอันคานงึ พิจารณาหาทาง เม่ือต้องการจะพน้ ไปเสยี เพ่อื มองหาอุบายจะปลด เปลอ้ื งออกไป ๘. สังขารุเปกขาณาณ คอื ญาณอนั เป็นไปโดยความเปน็ กลางต่อสังขาร คือ พิจารณา สงั ขารไมย่ นิ ดียินรา้ ยในสังขารทงั้ หลาย ๙. สจั จานโุ ลมิกญาณ หรอื อนโุ ลมญาณ คือ ณาณอนั เปน็ ไปโดยอนุ โลกแก่การหยง่ั รู้อริยสัจ แล้วแล้วมรรคญาณให้สาเรจ็ ความเป็นอรยิ บุคคลต่อไป วมิ ุตติ ๕ ความหลุดพน้ ภาวะไร้กิเลส และไม่มที ุกข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วิกขมั ภนวิมุตติ ดับโดยขม่ ไว้ คอื ดบั กิเลส ๒. ตทงั ควิมตุ ติ ดับกิเลสดว้ ยธรรมทเ่ี ป็นคู่ปรบั ธรรมที่ตรงกนั ข้าม ๓. สมจุ เฉทวมิ ุตติ ดบั ด้วย ตัดขาด ดับกเิ ลสเสร็จสิ้นเดด็ ขาด ๔. ปฏิปัสสัทธวิ มิ ตุ ติ ดบั ดว้ ยสงบระงบั โดยอาศยั โลกุตตรมรรคดับกิเลส ๕. นสิ รณวมิ ตุ ติ ดบั ดว้ ยสงบระงับ คอื อาศัยโลกตุ ตรธรรมดับกิเลสเดด็ ขาดเสรจ็ สนิ้ โลกบาลธรรม ธรรมคุ้มครองโลก ไดแ้ ก่ ปกครองควบคุมใจมนุษยไ์ วใ้ ห้อยใู่ นความดี มใิ ห้ละเมดิ ศลี ธรรม และใหอ้ ยู่ กนั ด้วยความเรยี บร้อยสงบสขุ ไมเ่ ดือดร้อนสบั สนวุ่นวาย มี ๒ อย่างได้แก่ ๑. หริ ิ ความอายบาป ละอายใจต่อการทาความช่ัว ๒. โอตตัปปะ ความกลัวบาปเกรงกลัวตอ่ ความชั่ว และผลของกรรมชั่ว ฤาษี หมายถึง ผูแ้ สวงธรรม ได้แก่ นักบวชนอกพระศาสนาซง่ึ อยู่ในปา่ ชไี พร ผูแ้ ต่งคัมภีรพ์ ระเวท สติปัฏฐาน ๔ ท่ตี ง้ั ของสติ การตั้งสติกาหนดพิจารณาสงิ่ ท้ังหลายใหร้ เู้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ คือ ตามส่งิ น้ัน ๆ มัน เป็นของมนั เอง มี ๔ ประการ คือ ๑. กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน (การตง้ั สติกาหนดพิจารณากายให้รู้เหน็ ตามเป็นจรงิ วา่ เป็นแตเ่ พียง กาย ไม่ใช่สตั วบ์ คุ คล ตวั ตนเราเขา) ทา่ นจาแนกวิธปี ฏิบตั ไิ ดห้ ลายอยา่ ง คือ อานาปานสติ กาหนดลมหายใจ ๑ อริ ิยาบถ กาหนดรู้ทนั อริ ิยาบถ ๑) สัมปชัญญะ สรา้ งสมั ปชญั ญะในการกระทาความเคลอื่ นไหวทุกอย่าง ๑) ปฏกิ ลู มนสกิ าร พิจารณาสว่ นประกอบอนั ไมส่ ะอาดท้ังหลายที่ประชมุ เข้าเปน็ รา่ งกายน้ี ๑) ธาตุมนสิการ พิจารณาเหน็ รา่ งกายของตน โดยสักว่าเปน็ ธาตุแตล่ ะอย่างๆ ๒. เวทนานปุ สั สาสตปิ ฏั ฐาน (การต้ังสติกาหนดพจิ ารณาเวทนาใหร้ เู้ หน็ ตามเป็นจรงิ วา่ เปน็ แตเ่ พยี ง เวทนา ไม่ใชส่ ัตว์บคุ คลตวั ตนเราเขา) คือ มสี ติรู้ชัดเวทนาอันเป็นสุขก็ดี ทกุ ข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ท้งั ท่ีเป็นสามสิ และเปน็ นริ ามสิ ตามท่ีเปน็ ไปอยขู่ ณะน้นั ๆ ๓. จิตตานุปสั สนาสติปฏั ฐาน (การตง้ั สติกาหนดพิจารณาจิต ใหร้ ูเ้ ห็นตามเป็นจรงิ วา่ เป็นแต่เพยี งจติ ไม่ใชส่ ัตว์บุคคลตัวตนเราเขา) คอื มสี ตริ ู้ชัดจิตของตนที่มีราคะ ไม่มีราคะ มโี ทสะ ไม่มโี ทสะ มโี มหะ ไม่มี โมหะ เศรา้ หมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซา่ นหรอื เป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามท่ีเป็นไปอยู่ในขณะนน้ั ๆ ๔. ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน (การตั้งสตกิ าหนดพจิ ารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียง ธรรม ไม่ใช่สตั ว์บุคคลตวั ตนของเรา) คือ มสี ติรู้ชดั ธรรมทง้ั หลาย ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อรยิ สจั ๔ วา่ คอื อะไร เปน็ อย่างไร มใี นตนหรือไม่ เกดิ ขนึ้ เจริญบริบูรณ์และดับ ไดอ้ ย่างไร เป็นตน้ ตามทเี่ ป็นจรงิ ของมนั อย่างนั้น ๆ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๒ สมณะ หมายถึง ผูส้ งบ หมายถึงนักบวชทั่วไป แตใ่ นพระพุทธศาสนา ท่านใหค้ วามหมายจาเพาะ หมายถงึ ผรู้ ะดบั บาป ได้แก่ พระอริยบุคคล และผ้ปู ฏบิ ัติเพอ่ื ระงบั บาป ไดแ้ ก่ ผปู้ ฏิบตั ธิ รรมเพ่ือเป็น พระ อริยบุคคล สมบตั ิ ๔ คอื ความเพียบพร้อมสมบรู ณ์แห่งองค์ประกอบตา่ ง ๆ ซ่ึงช่วยเสรมิ สง่ อานวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไม่เปิดช่องให้กรรมชัว่ แสดงผล มี ๔ อย่าง คือ ๑. คตสิ มบตั ิ สมบตั ิแห่งคติ ถงึ พร้อมดว้ ยคติ หรือคติให้ คือ เกดิ อยใู่ นภพ ภูมิ ถิ่น ประเทศทเ่ี จริญ เหมาะหรือเก้ือกลู ตลอดจนในระยะสัน้ คือ ดาเนินชีวิต หรือไปในถิน่ ท่ีอานวย ๒. อุปธสิ มบัติ สมบตั แิ หง่ รา่ งกาย ถงึ พร้อมด้วยรา่ งกาย คือมีรูปรา่ งสวย รา่ งกายสงา่ งาม หน้าตาทา่ ทางดี น่ารัก น่านิยมเล่อื มใส สุขภาพดี แข็งแรง ๓. กาลสมบัติ สมบัตแิ หง่ กาล ถงึ พร้อมด้วย กาลหรือกาลให้ คือ เกิดอยู่ในสมัยท่บี า้ นเมืองมีความสงบสุข ผู้ปกครองดี ผู้คนมีคุณธรรมยกยอ่ งคนดี ไม่ สง่ เสริมคนชวั่ ตลอดจนในระยะเวลาสั้น คือ ทาอะไรถูกกาลเวลา ถกู จังหวะ ๔. ปโยคสมบตั ิ สมบตั ิแหง่ การ ประกอบ ถึงพรอ้ มดว้ ยการประกอบกจิ หรอื กจิ การให้ เช่น ทาเรือ่ งตรงกับที่เขาต้องการ ทากิจตรงกับความ ถนัดความสามารถของตน ทาการถงึ ขนาดถูกหลักครบถว้ น ตามเกณฑห์ รือเตม็ อัตรา ไมใ่ ช่ทาครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือเหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรื่องกัน รจู้ กั จดั ทา รู้จักดาเนนิ การ สมาบัติ ภาวะสงบประณีตซ่ึงพึ่งเขา้ ถงึ ; สมาบตั ิมีหลายอย่าง เชน่ ณานสมบัติ ผลสมาบัติ อนุปุพพวิหาร สมาบตั ิ สติ ความระลกึ ได้ นึกได้ ความไม่เผลอ การคุมใจได้กบั กิจ หรือคุมจิตใจไว้กบั สง่ิ ที่เกยี่ วข้อง จาการที ทาและคาพดู แม้นานได้ สังฆคุณ ๙ คณุ ของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆ์สาวกของพระผู้มพี ระภาคเป็นผปู้ ฏบิ ตั ดิ ี ๒. เปน็ ผู้ปฏบิ ตั ติ รง ๓. เปน็ ผูป้ ฏิบัตถิ กู ทาง ๔. เปน็ ผ้ปู ฏบิ ตั สิ มควร ๕. เปน็ ผู้ควรแกก่ ารคานบั คอื ควรกับของทีเ่ ขานามาถวาย ๖. เป็นผคู้ วรแก่การตอนรบั ๗. เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา ควรแกข่ องทาบุญ ๘. เป็นผู้ควรแก่การกระทาอัญชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เป็นนาบญุ อันยอดเยี่ยมของโลก เป็นแหลง่ ปลกู ฝงั และเผยแพร่ความดีท่ียอดเยี่ยม ของโลก สังเวชนยี สถาน สถานท่ีตงั้ แห่งความสงั เวช ท่ีทใ่ี หเ้ กิดความสังเวช มี ๔ คอื ๑. ทพี่ ระพุทธเจ้าประสตู ิ คือ อทุ ยาน ลุมพนิ ี ปจั จุบนั เรียกลมุ พนิ ีหรือรุมมินเด (Lumbini หรือ Rummindei) ๒. ท่พี ระพทุ ธเจ้า ตรัสรู้ คอื ควงโพธิ์ ทีต่ าบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรอื Bodh – Gaya) ๓. ที่พระพุทธเจ้าแสดงปฐม เทศนา คือปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี ปจั จบุ นั เรียกสารนาถ ๔. ท่ีพระพุทธเจา้ ปรินิพพาน คือ ทสี่ าลวโนทยาน เมืองกุสินารา หรือกุสนิ คร บัดนเ้ี รยี กกาเซีย (Kasia หรอื Kusinagara) สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยินดดี ้วยปัจจัย ๔ คอื ผา้ นงุ่ ห่ม อาหารทนี่ อนท่ีนัง่ และยาตามมีตามได้ ยนิ ดี ของของตน การมีความสขุ ความพอใจดว้ ยเคร่อื งเลยี้ งชีพทหี่ ามาไดด้ ้วยเพยี รพยายามอันชอบธรรมของตน ไม่ โลภ ไมร่ ษิ ยาใคร หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๓ สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามทีไ่ ด้ คือ ได้สิ่งใดมาดว้ ยความเพยี รของตน ก็พอใจด้วยสิ่งนั้น ไม่ได้ เดือดรอ้ นเพราะของที่ไม่ได้ ไมเ่ พ่งเลง็ อยากได้ของคนอนื่ ไม่ริษยาเขา ๒. ยถาพลสันโดษ คือ ยินดตี ามกาลัง คือ พอใจเพยี งแคพ่ อแก่กาลงั รา่ งกาย สขุ ภาพ และขอบเขตการใชส้ อยของตน ของทเ่ี กนิ กาลังก็ไม่หวงแหน เสยี ดายไม่เก็บไว้ให้เสียเปลา่ หรอื ฝนื ใช้ให้เปน็ โทษแกต่ น ๓. ยถาสารปุ ปสนั โดษ ยนิ ดีตามสมควร คือ พอใจ ตามทสี่ มควร คือ พอใจตามท่ีสมควรแก่ภาวะฐานะแนวทางชีวติ และจดุ หมายแหง่ การบาเพ็ญกจิ ของตน เช่น ภกิ ษพุ อใจแต่องอนั เหมาะกบั สมณภาวะ หรอื ไดข้ องใชท้ ่ีไม่เหมาะสมกบั ตนแตจ่ ะมปี ระโยชน์แก่ผ้อู นื่ ก็นาไป มอบใหแ้ กเ่ ขา เปน็ ต้น สทั ธรรม ๓ ธรรมอันดี ธรรมที่แท้ ธรรมของสตั บรุ ษุ หลักหรือแกน่ ศาสนา มี ๓ ประการ ได้แก่ ๑. ปริยัติสทั ธรรม (สัทธรรมคอื คาสง่ั สอนอนั จะตอ้ งเลา่ เรียน ได้แก่ พุทธพจน์) ๒. ปฏิบตั ิสทั ธรรม (สัทธรรมคอื ส่ิงพงึ ปฏบิ ตั ิ ได้แก่ ไตรสกิ ขา คือ ศลี สมาธิ ปัญญา) ๓. ปฏิเวธสทั ธรรม (สัทธรรมคอื ผลอนั จะพงึ เขา้ ถึง หรือบรรลดุ ้วยการปฏบิ ัติ ได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน สปั ปุรสิ ธรรม ๗ ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทาให้เปน็ สตั บรุ ุษ คุณสมบตั ิของคนดี ธรรมของผ้ดู ี ๑. ธัมมญั ญตุ า คือ ความรูจ้ ักเหตุ คือ รู้หลกั ความจริง ๒. อัตถัญญุตา คือ ความรู้จกั ผล คือรู้ความ มุ่งหมาย ๓. อัตตญั ญตุ า คือ ความรจู้ ักตน คือ รวู้ า่ เรานัน้ ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กาลงั ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคณุ ธรรม เปน็ ต้น ๔. มตั ตญั ญตุ า คือ ความรูจ้ ักประมาณ คือ ความพอดี ๕. กาลัญญตุ า คอื ความรจู้ ักกาล คือ รู้จักกาลเวลาอนั เหมาะสม ๖. ปรสิ ญั ญตุ า คอื ความรู้จักบรษิ ัทคือรูจ้ ักชมุ ชนและรจู้ ักท่ี ประชมุ ๗. ปุคคลญั ญตุ า หรือ ปุคคลปโรปรญั ญตุ า คือ ความรจู้ ักบคุ คล คือความแตกต่างแห่งบุคคล สัมปชัญญะ ความรู้ตวั ท่วั พรอ้ ม ความรู้ตระหนัก ความรู้ชัดเขา้ ใจชัด ซึ่งสิ่งนึกได้ มักมาคกู่ บั สติ สาราณยี ธรรม ๖ ธรรมเปน็ ทตี่ ้ังแหง่ ความให้ระลกึ ถงึ ธรรมเป็นเหตุให้ระลึกถงึ กัน หลักการอยูร่ ว่ มกนั เรยี กอีก อยา่ งวา่ “สาราณยี ธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มีเมตตากายกรรมทัง้ ต่อหนา้ และลับหลัง ๒. เมตตา วจีกรรม มเี มตตาวจกี รรมท้งั ตอ่ หนา้ และลบั หลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มเี มตตามโนกรรมทัง้ ต่อหน้าและลับ หลงั ๔. สาธารณโภคี แบง่ ปนั สง่ิ ของท่ไี ด้มาไมห่ วง แหน ใชผ้ เู้ ดียว ๕. สีลสามัญญตา มีความประพฤติ รว่ มกันในข้อที่เปน็ หลกั การสาคัญทจ่ี ะนาไปสู่ความหลดุ พ้นสิน้ ทุกขห์ รอื ขจดั ปญั หา ๖.ทฏิ ฐสิ ามญั ญตา มี ความเห็นชอบดีงาม เช่นเดียวกบั หม่คู ณะ สุข ๒ ความสบาย ความสาราญ มี ๒ อย่าง ไดแ้ ก่ ๑. กายกิ สขุ สุขทางกาย ๒. เจตสิกสุข สุข ทางใจ อีกหมวดหนึง่ มี ๒ คือ ๑. สามสิ สุข สขุ อิงอามสิ คือ อาศัยกามคณุ ๒. นิรามิสสุข สขุ ไมอ่ ิงอามสิ คือ อิงเนกขมั มะ ศรทั ธา ความเช่อื ความเช่ือถือ ความเชอ่ื ม่ันในสิ่งทด่ี ีงาม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๓๔ ศรัทธา ๔ ความเชือ่ ท่ีประกอบดว้ ยเหตผุ ล ๔ ประการคือ ๑. กมั มสัทธา (เช่ือกรรม เช่ือวา่ กรรม มีอยู่ จริง คือ เชือ่ ว่าเมื่อทาอะไรโดยมีเจตนา คอื จงใจทาทั้งท่รี ู้ ยอ่ มเปน็ กรรม คือ เป็นความช่ัว ความดมี ขี ้ึนใน ตน เป็นเหตปุ จั จยั กอ่ ใหเ้ กิดผลดผี ลร้ายสบื เนือ่ งต่อไป การกระทาไมว่ ่างเปลา่ และเชอื่ ว่าผลทตี่ ้องการจะสาเรจ็ ได้ด้วยการกระทา มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น ๒. วิปากสทั ธา (เช่อื วิบาก เชอื่ ผลของกรรม เช่อื ว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อวา่ กรรมท่ีสาเรจ็ ต้องมผี ล และผลตอ้ ง มเี หตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี และผลชัว่ เกดิ จากกรรมชั่ว ๓. กมั มัสสกตาสทั ธา (ความเช่ือทสี่ ัตว์มีกรรมเปน็ ของตน เช่ือวา่ แต่ละคนเป็นเจ้าของจะต้อง รบั ผิดชอบเสวยวิบากเปน็ ไปตามกรรมของตน ๔. ตถาคตโพธสิ ัทธา (เช่ือความตรสั รขู้ องพระพุทธเจา้ ม่ันใจใน องค์พระตถาคตว่าทรงเป็นพระสมั มาสมั พุทธะ ทรงพระคุณทัง้ ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญัตวิ ินยั ไว้ด้วยดี ทรง เปน็ ผ้นู าทางทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ มนษุ ย์ คือเราทกุ คนนี้ หากฝึกตนดว้ ยดีกส็ ามารถเข้าถึงภมู ิธรรมสงู สุด บริสุทธ์ิ หลุดพ้นได้ดงั ทพี่ ระองค์ไดท้ รงบาเพ็ญไว้ สงเคราะห์ การช่วยเหลือ การเอื้อเฟอ้ื เกื้อกูล สังคหวตั ถุ ๔ เรื่องสงเคราะหก์ นั คณุ ธรรมเปน็ เครือ่ งยึดเหนีย่ วใจของผู้อื่นไวไ้ ด้ หลักการสงเคราะห์ คือ ชว่ ยเหลอื กันยดึ เหนย่ี วใจกนั ไว้ และเป็นเครอ่ื งเกาะกุมประสานโลก ได้แก่ สังคมแห่งหมสู่ ตั ว์ไว้ ดจุ สลกั เกาะยดึ รถทก่ี าลังแล่นไปให้คงเปน็ รถ และวิง่ แล่นไปไดม้ ี ๔ อย่างคือ ๑. ทาน การแบง่ ปนั เอื้อเฟื้อเผือ่ แผ่กนั ๒. ปิย วาจา พดู จานา่ รกั นา่ นยิ มนับถือ ๓. อตั ถจริยา บาเพญ็ ประโยชน์ ๔. สมานัตตนา ความมีตน เสมอ คือ ทาตัวใหเ้ ข้ากนั ได้ เชน่ ไมถ่ อื ตวั ร่วมสุข รว่ มทุกข์กัน เปน็ ตน้ สมั มตั ตะ ความเปน็ ถูก ภาวะที่ถูก มี ๑๐ อยา่ ง ๘ ขอ้ ต้น ตรงกับองค์มรรคท้ัง ๘ ข้อ เพ่มิ ๒ ข้อท้าย คือ ๙. สมั มาญาณ รูช้ อบได้แก่ผลญาณ และปัจจเวกขณญาณ ๑๐. สัมมาวิมุตติ พ้นชอบได้แก่ อรหตั ตผล วิมตุ ติ ; เรียกอีกอยา่ ง อเสขธรรม ๑๐ สจุ ริต ๓ ความประพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบตามคลองธรรม มี ๓ คือ ๑. กายสจุ ริต ประพฤตชิ อบ ทาง กาย ๒. วจสี ุจรติ ประพฤติชอบทางวาจา ๓. มโนสุจริต ประพฤติชอบทางใจ (พ.ศ. หน้า ๓๔๕) หริ ิ ความละอายต่อการทาชั่ว อกุศลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกุศลกรรม ทางความชั่ว กรรมชัว่ อันเปน็ ทางนาไปส่คู วามเสือ่ ม ความทกุ ข์ หรือทุคติ ๑. ปาณาติบาต การทาชีวิตให้ตกล่วง ๒. อทินนาทาน การถอื เอาของที่เขามิได้ให้ โดยอาการขโมย ลกั ทรัพย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤตผิ ิดทางกาม ๔. มุสาวาท การพดู เท็จ ๕. ปิสุณวาจา วาจาสอ่ เสียด ๖. ผรุส วาจา วาจาหยาบ ๗. สมั ผปั ปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ ๘. อภิชฌา เพ่งเล็งอยากไดข้ องเขา ๙. พยาบาท คดิ ร้าย ผอู้ น่ื ๑๐. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เหน็ ผดิ จากคลองธรรม อกุศลมูล ๓ รากเหงา้ ของอกุศล ต้นตอของความชัว่ มี ๓ คอื ๑. โลภะ (ความอยากได)้ ๒. โทสะ (ความคดิ ประทุษร้าย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๕ อคติ ๔ ฐานะอันไม่พงึ ถึง ทางความประพฤติท่ผี ิด ความไมเ่ ท่ียงธรรม ความลาเอยี ง มี ๔ อย่างคือ ๑. ฉันทาคติ (ลาเอยี งเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลาเอียงเพราะชัง) ๓. โมหาคติ (ลาเอียงเพราะหลง พลาด ผดิ เพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลาเอยี งเพราะกลัว) อนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตวั ตน อบายมุข ชอ่ งทางของความเสือ่ ม เหตุเครอ่ื งฉิบหาย เหตยุ อ่ ยยับแห่งโภคทรัพย์ ทางแห่งความพินาศ อบายมขุ ๔ ๑. อติ ถีธุตตะ (เปน็ นักเลงหญิง นักเท่ยี วผ้หู ญงิ ) ๒. สุราธตุ ตะ (เป็นนกั เลงสรุ า นกั ดมื่ ) ๓. อักขธตุ ตะ (เปน็ นกั การพนัน) ๔. ปาปมติ ตะ (คบคนชว่ั ) อบายมุข ๖ ๑. ตดิ สรุ าและของมนึ เมา ๑.๑ ทรัพย์หมดไป ๆ เหน็ ชัด ๆ ๑.๒ กอ่ การทะเลาะวิวาท ๑.๓ เป็นบ่อเกดิ แห่งโรค ๑.๔ เสียเกยี รติ เสียชอ่ื เสียง ๑.๕ ทาใหไ้ ม่รู้อาย ๑.๖ ทอนกาลังปัญญา ๒. ชอบ เที่ยวกลางคืน มโี ทษ ๖ อยา่ งคอื ๒.๑ ช่ือว่าไม่รักษาตน ๒.๒ ชอ่ื วา่ ไม่รกั ษาลูกเมยี ๒.๓ ช่ือวา่ ไม่ รกั ษาทรัพยส์ มบตั ิ ๒.๔ เปน็ ทร่ี ะแวงสงสยั ๒.๕ เปน็ เปา้ ใหเ้ ขาใสค่ วามหรือขา่ วลอื ๒.๖ เปน็ ที่มาของเร่อื ง เดือดรอ้ นเปน็ อนั มาก ๓. ชอบเทีย่ วดกู ารละเล่น มีโทษ โดยการงานเสือ่ มเสยี เพราะมีใจกังวลคอยคิดจ้อง กบั เสียเวลาเมื่อไปดูสิ่งนนั้ ๆ ท้ัง ๖ กรณี คือ ๓.๑ ราที่ไหนไปที่นน่ั ๓.๒ – ๓.๓ ขบั รอ้ ง ดนตรี เสภา เพลง เถิดเทงิ ทีไ่ หนไปทนี่ ั่น ๔. ตดิ การพนัน มีโทษ ๖ คอื ๔.๑ เมือ่ ชนะย่อมก่อเวร ๔.๒ เมอ่ื แพก้ ็เสยี ดายทรัพย์ท่ี เสยี ไป ๔.๓ ทรพั ย์หมดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๔.๔ เขา้ ที่ประชมุ เขาไมเ่ ชื่อถือถ้อยคา ๔.๕ เป็นทีห่ มิ่นประมาทของ เพือ่ นฝงู ๔.๖ ไม่เป็นท่ีพึงประสงค์ของผู้ที่จะหาคู่ครองให้ลูกของเขา เพราะเห็นว่าจะเลี้ยงลูกเมยี ไม่ได้ ๕. คบ คนชั่ว มโี ทษโดยนาใหก้ ลายเปน็ คนชวั่ อย่างทต่ี นคบทงั้ ๖ ประเภท คอื ได้เพือ่ นทีจ่ ะนาใหก้ ลายเป็น ๕.๑ นักการพนัน ๕.๒ นกั เลงหญงิ ๕.๓ นักเลงเหล้า ๕.๔ นกั ลวงของปลอม ๕.๕ นักหลอกลวง ๕.๖ นักเลง หัวไม้ ๖. เกยี จครา้ นการงาน มีโทษโดยทาให้ยกเหตุต่าง ๆ เป็นข้ออา้ งผิดเพ้ยี น ไม่ทาการงานโภคะใหม่ก็ไม่ เกดิ โภคะทมี่ ีอยู่กห็ มดสน้ิ ไป คอื ให้อา้ งไปท้ัง ๖ กรณีวา่ ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนัก รอ้ นนัก เยน็ ไปแลว้ ยังเช้านัก หวิ นัก อ่ิมนกั แล้วไม่ทาการงาน อปริหานิยธรรม ๗ ธรรมอนั ไม่เปน็ ท่ตี ง้ั แห่งความเสอ่ื ม เป็นไปเพ่ือความเจริญฝ่ายเดียวมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หมนั่ ประชุมกนั เนืองนิตย์ ๒. พร้อมเพรียงกนั ประชุม พรอ้ มเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรยี งกันทากจิ กรรมทีพ่ งึ ทา ๓. ไม่บัญญตั ิสิง่ ท่ีมิไดบ้ ัญญตั ไิ ว้ (อนั ขดั ต่อหลักการเดิม) ๔. ทา่ นเหลา่ ใดเป็นผูใ้ หญ่ ควรเคารพนบั ถือท่าน เหล่านน้ั ๕. บรรดากลุ สตรี กลุ กมุ ารที ้ังหลาย ให้อยู่ดโี ดยมิถกู ข่มเหง หรอื ฉุดคร่า ขนื ใจ ๖. เคารพ สักการบูชา เจดยี ์หรืออนุสาวรยี ป์ ระจาชาติ ๗. จดั ให้ความอารกั ขา คุ้มครอง ป้องกนั อันชอบธรรมแก่พระ อรหันตท์ ั้งหลาย (รวมถงึ พระภกิ ษุ ผปู้ ฏิบัตดิ ี ปฏบิ ตั ชิ อบด้วย) อธิปไตย ๓ ความเป็นใหญ่ มี ๓ อย่าง คือ ๑. อตั ตาธปิ ไตย ความมีตนเป็นใหญ่ ถอื ตนเปน็ ใหญ่ กระทาการ ด้วยปรารภตนเปน็ ประมาณ ๒. โลกาธิปไตย ความมีโลกเปน็ ใหญ่ ถอื โลกเป็นใหญ่ กระทาการด้วยปรารภ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๓๖ นิยมของโลกเป็นประมาณ ๓. ธัมมาธปิ ไตย ความมธี รรมเปน็ ใหญ่ ถือธรรมเป็นใหญ่, กระทาการด้วยปรารภ ความถูกต้อง เป็นจริง สมควรตามธรรมเปน็ ประมาณ อริยสจั ๔ ความจริงอนั ประเสรฐิ ความจริงของพระอริยะ ความจริงท่ที าใหผ้ ู้เข้าถงึ กลายเปน็ อรยิ ะ มี ๔ คอื ๑. ทุกข์ (ความทุกข์ สภาพที่ทนไดย้ าก สภาวะท่ีบบี ค้นั ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแกน่ สารและความ เท่ียงแท้ ไมใ่ ห้ความพงึ พอใจแทจ้ ริง ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอนั ไม่เป็นท่ีรกั การพลัด พรากจากสิง่ ที่รกั ความปรารถนาไม่สมหวงั โดยย่อวา่ อปุ าทานขันธ์ ๕ เปน็ ทกุ ข์ ๒. ทกุ ขสมทุ ยั (เหตุเกดิ แห่งทุกข์ สาเหตใุ หท้ ุกข์เกิด ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ คอื กามตณั หา ภวตณั หา และ วภิ วตณั หา) กาจัดอวิชชา สารอกตัณหา ส้ินแล้ว ไม่ถูกย้อม ไมต่ ดิ ขดั หลดุ พ้น สงบ ปลอดโปรง่ เป็น อสิ ระ คือ นพิ พาน) ๓. ทุกขนิโรธ (ความดับทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ภาวะทเ่ี ข้าถงึ เม่ือกาจดั อวิชชา สารอก ตัณหาส้ินแล้ว ไม่ถูกย้อม ไมต่ ิดข้อง หลดุ พ้น สงบ เป็นอสิ ระ คือ นิพพาน) ๔. ทุกขนโิ รธคามินีปฏิปทา (ปฏิปทาท่นี าไปสู่ความดับแหง่ ทกุ ข์ ข้อปฏบิ ัติให้ถึงความดับทกุ ข์ ได้แก่ อริยอฏั ฐังคิกมรรค หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า มชั ฌมิ ปฏิปทา แปลว่า ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ นี้ สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ ปัญญา) อรยิ อฏั ฐคิกมรรค ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ (ศลี สมาธิ ปญั ญา) อญั ญาณุเบกขา เป็นอุเบกขาฝ่ายวิบัติ หมายถงึ ความไมร่ ู้เรอ่ื ง เฉยไมร่ ้เู รื่อง เฉยโง่ เฉยเมย อัตตา ตัวตน อาตมนั ปถุ ุชนย่อมยึดมั่นมองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอยา่ งหนึง่ หรือท้งั หมดเป็นอัตตา หรอื ยึดถอื วา่ มีอัตตา เนื่องดว้ ยขันธ์ อัตถะ เร่ืองราว ความหมาย ความมุ่งหมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดับ คือ ๑. ทฏิ ฐิธัมมกิ ัตถะ ประโยชนใ์ น ชวี ิตนห้ี รือประโยชนใ์ นปัจจบุ ัน เปน็ ท่มี งุ่ หมายกันในโลกน้ี ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ รวมถึงการแสวงหาสิ่ง เหลา่ นม้ี าโดยทางท่ีชอบธรรม ๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชนเ์ บ้ืองหนา้ หรือประโยชน์ท่ีล้าลึกกว่าท่จี ะมองเห็น กนั เฉพาะหนา้ เป็นจุดหมายข้ันสงู ขึน้ ไป เป็นหลกั ประกันชวี ิตเมื่อละจากโลกน้ีไป ๓. ปรมตั ถะ ประโยชน์ สงู สดุ หรอื ประโยชน์ทีเ่ ป็นสาระแท้จรงิ ของชวี ติ เปน็ จุดหมายสงู สุดหรอื ทีห่ มายขน้ั สดุ ท้าย คอื พระนิพพาน อีก ประการหนึง่ หมายถึง ๑. อตั ตัตถะ ประโยชนต์ น ๒. ปรตั ถะ ประโยชน์ผู้อ่นื ๓. อุภยตั ถะ ประโยชน์ท้งั สอง ฝา่ ย อายตนะ ทีต่ อ่ เคร่ืองติดต่อ แดนต่อความรู้ เครอื่ งรู้ และส่งิ ที่ถกู รู้ เช่น ตาเปน็ เครอื่ งรู้ รปู เปน็ ส่งิ ที่รู้ หเู ปน็ เครื่องรู้ เสียงเปน็ ส่งท่รี ู้ เป็นต้น จดั เปน็ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๗ ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เครื่องต่อภายนอก ส่ิงที่ถูกรู้ มี ๖ คอื ๒.๑ รูป คอื รูป ๒.๒ สัททะ คือ เสียง ๒.๓ คนั ธะ คอื กล่ิน ๒.๔ รส คือ รส ๒.๕ โผฏฐพั พะ คือ ส่งิ ตอ้ งกาย ๒.๖ ธัมมะ หมายถึง ธรร มารมย์ คอื อารมณท์ ่เี กิดกบั ใจ หรอื ส่ิงที่ใจรู้ อารมณ์ ๖ ก็เรยี ก อายตนะภายใน เครอ่ื งต่อภายใน เคร่ืองรบั รู้ มี ๖ คือ ๑. จักขุ คอื ตา ๒. โสตะ คือ หู ๓. ฆานะ คือ จมูก ๔. ชิวหา คอื ลิน้ ๕. กาย คอื กาย ๖. มโน คือ อินทรีย์ ๖ กเ็ รียก อริยวัฑฒิ ๕ ความเจริญอย่างประเสรฐิ หลักความเจรญิ ของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรทั ธา ความเชอ่ื ความมั่นใจ ในพระรตั นตรัย ในหลกั แหง่ ความจริง ความดีอนั มเี หตุผล ๒.ศีลความประพฤติดี มีวินัย เล้ยี งชีพสจุ รติ ๓. สุ ตะ การเลา่ เรยี น สดับฟัง ศึกษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผ่ือแผ่เสยี สละ เอื้อเฟื้อ มีน้าใจช่วยเหลือ ใจกว้าง พร้อมทจ่ี ะรับฟงั และร่วมมือ ไม่คบั แคบ เอาแต่ตัว ๕. ปญั ญา ความรอบรู้ รคู้ ิด รพู้ จิ ารณา เข้าใจเหตผุ ล ร้จู ักโลกและชีวิตตามความเป็นจริง อทิ ธิบาท ๔ คุณเคร่ืองให้ถงึ ความสาเร็จ คุณธรรมที่นาไปสู่ความสาเรจ็ แห่งผลทม่ี ่งุ หมาย มี ๔ ประการ ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คือ ความตอ้ งการทีจ่ ะทาใฝใ่ จรักจะทาสงิ่ น้ันอยู่เสมอแล้วปรารถนาจะทา ให้ไดผ้ ลดยี ่งิ ๆ ขึ้นไป ๒. วิรยิ ะ ความเพยี ร คอื ขยันหมนั่ ประกอบสิง่ นัน้ ดว้ ยความพยายาม เขม้ แขง็ อดทน เอาธุระไม่ ท้อถอย ๓. จติ ตะ ความคิด คือ ตงั้ จติ รับรูใ้ นสง่ิ ท่ีทาและทาสิ่งน้นั ด้วยความคดิ เอาจิตฝักใฝ่ไมป่ ล่อยใจให้ ฟุ้งซ่านเล่ือนลอย ๔. วิมงั สา ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คอื หมน่ั ใชป้ ัญญาพจิ ารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยง่ิ หย่อนในสิง่ ท่ีทานน้ั มกี ารวางแผน วัดผลคดิ คน้ วธิ แี ก้ไขปรับปรงุ ตวั อย่างเช่น ผทู้ างาน ทั่ว ๆ ไปอาจจาสั้น ๆ ว่า รักงาน สูง้ าน ใส่ใจงาน และทางานด้วยปญั ญา อุบาสกธรรม ๗ ธรรมท่ีเปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ ของอุบาสก ๑. ไมข่ าดการเย่ียมเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไม่ ละเลยการฟังธรรม ๓. ศกึ ษาในอธศิ ลี ๔. มคี วามเลอ่ื มใสอยา่ งมากในพระภกิ ษุทกุ ระดบั ๕. ไมฟ่ ัง ธรรมดว้ ยตงั้ ใจจะคอยเพ่งโทษตเิ ตยี น ๖. ไมแ่ สวงหาบุญนอกหลักคาสอนในพระพุทธศาสนา ๗. กระทาการ สนบั สนนุ คอื ขวนขวายในการอปุ ถัมภ์บารงุ พระพทุ ธศาสนา อบุ าสกธรรม ๕ สมบตั ิของอบุ าสก ๕ คอื ๑. มศี รัทธรา ๒. มศี ลี บรสิ ุทธิ์ ๓. ไมถ่ ือมงคลต่นื ข่าว เชอ่ื กรรม ไมเ่ ช่ือ มงคลคือมุ่งหวงั ผลจากการกระทา และการงานมใิ ช่จากโชคลาภ และสิง่ ท่ตี น่ื กันวา่ ขลังศักดสิ์ ิทธิ์ ๔. ไม่ แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพทุ ธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอุปถมั ภ์บารงุ พระพุทธศาสนา อุบาสกธรรม ๗ ผูใ้ กล้ชิดพระศาสนาอย่างแทจ้ ริง ควรต้งั ตนอย่ใู นธรรมที่เปน็ ไปเพื่อความเจริญของอบุ าสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ขาดการเย่ียมเยือนพบปะพระภกิ ษุ ๒. ไม่ละเลยการฟงั ธรรม ๓. ศกึ ษาในอธิศีล คือ ฝึกอบรมตนใหก้ า้ วหน้าในการปฏิบตั ิรักษาศีลขั้นสงู ขน้ึ ไป ๔. พรัง่ พร้อมด้วยความเลอ่ื มใส ในพระภิกษุ ท้งั หลายท้ังท่เี ปน็ เถระ นวกะ และปนู กลาง ๕. ฟังธรรมโดยความตงั้ ใจ มิใช่ มาจับผดิ ๖. ไมแ่ สวงหาทกั ขิไณย หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๘ ภายนอก หลกั คาสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๗. กระทาความสนบั สนนุ ใน พระพุทธศาสนานี้ คือ เอาใจใสท่ านบุ ารงุ และช่วยกิจกรรม อุเบกขา มี ๒ ความหมายคือ ๑. ความวางใจเป็นกลาง ไมเ่ องเอียงด้วยชอบหรือชงั ความวางใจ เฉยได้ ไมย่ นิ ดยี ินร้าย เม่ือใช้ปญั ญาพิจารณาเหน็ ผลอนั เกิดขึน้ โดยสมควรแก่เหตุและรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตาม ธรรม หรือตามควรแกเ่ หตนุ ัน้ ๒. ความรู้สกึ เฉย ๆ ไม่สขุ ไมท่ ุกข์ เรยี กเตม็ วา่ อุเบกขาเวทนา (อทกุ ขมสุข) อุปาทาน ๔ ความยดึ มัน่ ความถือมน่ั ด้วยอานาจกเิ ลส ความยึดติดอนั เนอ่ื งมาแต่ตณั หา ผกู พนั เอาตัวตนเปน็ ทต่ี ัง้ ๑. กามุปาทาน ความยึดมน่ั ในกาม คือ รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะทนี่ า่ ใคร่ นา่ พอใจ ๒. ทฏิ ฐุ ปาทาน ความยึดมั่นในทิฏฐิหรอื ทฤษฎี คือ ความเห็น ลทั ธิ หรือหลักคาสอนต่าง ๆ ๓. สีลัพพตุ ปาทาน ความยดึ ม่นั ในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ขอ้ ปฏบิ ัติ แบบแผน ระเบยี บวิธี ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ลัทธพิ ธิ ตี ่าง ๆ กนั ไปอยา่ งงมงายหรอื โดยนยิ มวา่ ขลงั ว่าศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ ความ เข้าใจตามหลักความสมั พันธแ์ หง่ เหตแุ ละผล ๔. อตั ตาวาทุปาทาน ความยดึ มั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถอื หรอื สาคญั หมายอยู่ในภายในว่ามตี ัวตน ทจี่ ะได้ จะมี จะเปน็ จะสูญสลาย ถูกบบี ค้นั ทาลายหรอื เปน็ เจา้ ของ เป็นนายบังคับบัญชาสงิ่ ตา่ ง ๆ ได้ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งท้ังปวง อันรวมทั้งตวั ตนวา่ เป็นแตเ่ พียงสิ่งท่ปี ระชุม ประกอบกนั เข้า เปน็ ไปตามเหตุปจั จยั ทัง้ หลายท่ีมาสัมพันธก์ ันลว้ น ๆ อุปนสิ ยั ๔ ธรรมท่ีพ่ึงพิง หรอื ธรรมช่วยอุดหนนุ ๑. สงฺขาเยก ปฏิเสวติ พิจารณาแลว้ จงึ ใช้สอยปจั จัย ๔ คือ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสชั เป็นตน้ ทจี่ าเป็นจะตอ้ งเกี่ยวขอ้ งและมปี ระโยชน์ ๒. สงฺ ขาเยก อธิวาเสติ พจิ ารณาแล้วอดกลัน้ ได้แก่ อนฏิ ฐารมณ์ ตา่ ง ๆ มหี นาวรอ้ น และทุกขเวทนา เปน็ ตน้ ๓. สงฺ ขาเยก ปรวิ ชฺเชติ พจิ ารณาสิง่ ทีเ่ ปน็ โทษ ก่ออนั ตรายแกร่ า่ งกาย และจติ ใจแล้ว หลกี เวน้ ๔. สงขฺ าเยก ปฏวิ ิโนเทติ พจิ ารณาสิ่งท่ีเป็นโทษ กอ่ อันตรายเกิดข้นึ แล้ว เช่น อกศุ ลวิตก มีกามวิตก พยาบาทวติ ก และ วิหิงสาวิตก และความช่วั ร้ายท้ังหลายแล้วพจิ ารณาแก้ไข บาบัดหรือขจดั ใหส้ น้ิ ไป โอตตปั ปะ ความเกรงกลัวตอ่ ความช่ัว โอวาท คากล่าวสอน คาแนะนา คาตักเตือน โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คอื ๑. เว้นจากทุจริต คอื ประพฤติ ช่ัวด้วยกาย วาจา ใจ (ไม่ทาช่ัวทงั้ ปวง) ๒.ประกอบสุจรติ คือ ประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ (ทาแต่ความด)ี ๓. ทาใจของตนให้หมดจดจากเครอื่ งเศรา้ หมอง โลภ โกรธ หลง เป็นตน้ (ทาจติ ของตนใหส้ ะอาดบริสทุ ธิ์) สังคมศาสตร์ การศึกษาความสัมพนั ธข์ องมนษุ ย์ โดยใชก้ ระบวนการวิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา การเรียนรเู้ พ่ือพัฒนาตนใหอ้ ยู่รว่ มในสังคมได้อยา่ งมีคุณภาพ คุณธรรม(virtue) และจริยธรรรม(moral or morality or ethics) คุณธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความดี จริยธรรมมีความหมายเช่นเดยี วกบั ศลี ธรรม หมายถึง ธรรมทีเ่ ป็นขอ้ ประพฤติกรรมปฏิบตั ิความประพฤตหิ รือหน้าทีท่ ช่ี อบ ที่ควรปฏิบตั ิในการครองชวี ิต ดังน้นั คุณธรรมจริยธรรม จึงหมายถึง สภาพคุณงามความดีทีป่ ระพฤตปิ ฏิบตั ิหรือหน้าท่ีที่ควรปฏบิ ตั ิในการครองชีวติ หรอื คณุ ธรรมตามกรอบจริยธรรม ส่วนศลี ธรรมและจริยธรรม มคี วามหมายใกล้เคยี งกัน หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๓๙ คุณธรรมจะมคี วามหมายท่ีเน้นสภาพ ลกั ษณะ หรอื คุณสมบตั ทิ ี่แสดงออกถงึ ความดงี าม สว่ นจริยธรรม มี ความหมายเน้นที่ความประพฤตหิ รือการปฏบิ ัตทิ ีด่ งี าม เป็นท่ยี อมรบั ของสังคม นักวชิ าการมกั ใชค้ าท้ังสองคานี้ ในความหมายนัยเดียวกันและมักใชค้ าสองคาดงั กลา่ วควบคู่กันไป เปน็ คาวา่ คณุ ธรรมจริยธรรมซง่ึ รวม ความหมายของคณุ ธรรมและจริยธรรม น่ันคอื มีความหมายเน้นท้งั สภาพ ลักษณะหรือคุณสมบตั ิ และความ ประพฤตอิ นั ดีงาม เปน็ ทยี่ อมรับของสงั คม การเมือง ความรู้เก่ียวกบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างอานาจในการจัดระเบยี บสงั คมเพ่ือประโยชนแ์ ละความสงบสุข ของสังคม มคี วามสมั พันธ์ต่อกนั โดยรวมท้งั หมดในสว่ นหน่ึงของชีวิตในพนื้ ทห่ี น่ึงท่ีเกี่ยวข้องกบั อานาจ อานาจ ชอบธรรม หรอื อิทธิพล และมีความสามารถในการดาเนินการได้ ข้อมูล สงิ่ ท่ไี ดร้ ับรแู้ ละยงั ไมม่ ีการจดั ประมวลใหเ้ ปน็ ระบบ เม่ือจัดระบบแลว้ เรยี กวา่ สารสนเทศ คา่ นิยม การกาหนดคณุ ค่าและพัฒนาจนเป็นบคุ ลิกภาพประจาตัว คุณคา่ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดีเปน็ คุณค่าของจรยิ ธรรม ความงามเปน็ คุณคา่ ทางสนุ ทรยี ศาสตร์ สิง่ ทตี่ อบสนองความต้องการไดเ้ ปน็ ส่งิ ท่มี คี ุณคา่ คุณค่าเป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงได้ คุณค่า เปล่ยี นไปไดต้ ามเวลา และคุณค่ามักเปลยี่ นแปลงไปตามวิวฒั นาการของ ความเจรญิ บทบาท การกระทาทสี่ งั คมคาดหวงั ตามสถานภาพที่บุคคลครองอยู่ หน้าท่ี เปน็ ความรบั ผดิ ชอบทางศลี ธรรมของปจั เจกชนซ่ึงสงั คมยอมรับ สถานภาพ ตาแหน่งทแ่ี ต่ละคนครองอยู่ในสถานท่ีหน่ึง ในช่วงเวลาหนง่ึ บรรทดั ฐาน ข้อตกลงของสังคมท่ีกาหนดให้สมาชกิ ประพฤติ ปฏิบัติ บางทีเรยี กปทสั ถาน สามารถใชบ้ รรทัดฐาน ของสังคม (social norms) เปน็ มาตรฐานความประพฤติในทางจริยธรรมได้ ซึ่งแยกออกเปน็ ก. วิถปี ระชา (folkways) ไดแ้ ก่ แบบแผนพฤตกิ รรมในชีวิตประจาวนั ท่ีสังคมยอมรับ และ ไดป้ ระพฤติปฏบิ ตั ิสืบต่อกนั มา มักเกี่ยวข้องกับเร่อื งการดาเนินชีวติ และในส่วนทเี่ ก่ยี วข้องกบั จรยิ ธรรมจะไม่มี กฎเกณฑเ์ คร่งครดั แน่นอนตายตวั ข. กฎศลี ธรรมหรือจารีต (mores) เป็นมาตรฐานความประพฤตขิ องสังคมที่มีการกาหนดเก่ียวกับ จรยิ ธรรมทีเ่ ข้มขนึ้ ในกรณีมผี ฝู้ ่าฝนื อาจมีการลงโทษ แมว้ า่ ในบางครงั้ จะไม่มีการเขียนไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร กต็ าม เช่น การลวนลามสตรีในชนบท ตอ้ งลงโทษด้วยการเสียผี ค. กฎหมาย (law) เป็นมาตรฐานความประพฤติทีร่ ัฐกาหนดใหส้ มาชิกของรฐั พงึ ปฏิบตั ิหรือละเวน้ การปฏิบตั ิ และกาหนดวิธกี ารปฏิบตั ิการลงโทษสาหรบั ผู้ฝา่ ฝนื สิทธิ ขอ้ เรียกร้องของปจั เจกชนซงึ่ สงั คมยอมรับ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๔๐ สทิ ธทิ างศลี ธรรม เปน็ ขอ้ เรยี กร้องทางศีลธรรมของปจั เจกชนซ่งึ สงั คมยอมรบั ประเพณี เปน็ ความประพฤติของคนหมู่หนง่ึ อยู่ในท่แี ห่งหนง่ึ ถือเป็นแบบแผนกันมาอย่างเดยี วกนั และสืบกนั มานาน ประเพณี คือ กิจกรรมทมี่ ีรูปแบบของชุมชนหรอื สงั คมหนงึ่ ทจี่ ัดขน้ึ มาดว้ ยจุดประสงคใ์ ดจดุ ประสงค์ หน่ึง และกาหนดการจดั กจิ กรรมในชว่ งเวลาแนน่ อนสม่าเสมอ กิจกรรท่เี ปน็ ประเพณีอาจมองไดอ้ ีกประการ หนง่ึ วา่ เป็นแบบแผนการปฏิบัตขิ องกลมุ่ เฉพาะหรือทางศาสนา ปฏญิ ญาสากลว่าด้วยสิทธิมนษุ ยชน คือการประกาศเจตนารมณ์ ในการรว่ มมอื ระหวา่ งประเทศทม่ี ีความสาคัญในการวางกรอบเบอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั สิทธิมนษุ ยชนและเป็นเอกสารหลักดา้ นสิทธิมนษุ ยชนฉบบั แรก ซึง่ ทปี่ ระชมุ สมชั ชาใหญ่แห่ง สหประชาชาติ ให้การรับรองตามข้อมตทิ ี่ ๒๑๗ A (III) เม่ือวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๙๑ โดยประเทศไทยออก เสียงสนบั สนุน วัฒนธรรม และภมู ิปัญญาไทย เปน็ การศึกษา วิเคราะหเ์ กี่ยวกับวฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาในเร่ืองเกี่ยวกับความเป็นมา ปัจจยั พืน้ ฐานและผลกระทบจากภายนอกทมี่ ีอิทธพิ ลต่อการสรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรมไทย วฒั นธรรมทอ้ งถิน่ ภมู ิ ปัญญาไทย รวมทัง้ วัฒนธรรมและภมู ปิ ัญญาของมนุษยชาติโลก ความสาคัญ และผลกระทบทม่ี ีอิทธิพลต่อการ ดาเนนิ ชวี ิตของคนไทยและมนุษยชาติ ตัง้ แต่อดตี ถงึ ปัจจบุ ัน สัมมาชีพ การประกอบอาชพี สจุ ริตและเหมาะสมในสังคม ประสทิ ธภิ าพ ความสามารถในการทางานจนสาเร็จ หรือผลการกระทาที่ได้ผลออกมาดีกวา่ เดิม รวมทงั้ การใช้ทรพั ยากรต่าง ๆ อยา่ งคุ้มค่า โดยไมใ่ ห้เกิดความสญู เปล่าหรอื ความสญู เสยี ทรัพยาการต่าง ๆ พจิ ารณา ได้จากเวลา แรงงาน วัตถุดิบ เครอ่ื งจักร ปรมิ าณและคุณภาพ ฯลฯ ประสิทธผิ ล ระดับความสาเร็จของวัตถปุ ระสงค์ หรอื ผลสาเร็จของงาน สินคา้ หมายความว่าสง่ิ ของที่สามารถซื้อขาย แลกเปลยี่ น หรอื โอนกนั ได้ ไมว่ ่าจะเกดิ โดยธรรมชาตหิ รือ เปน็ ผลิตผลทางการเกษตร รวมตลอดถึงผลติ ภัณฑท์ างหตั ถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมิปญั ญา สว่ นหนงึ่ ของประเพณี หรอื เป็นกิจกรรมเฉพาะตวั ก็ได้ เช่น พธิ ถี วายสงั ฆทาน พธิ บี วชนาค พธิ บี วชลกู แก้ว พิธีขอฝน พิธีไหว้ครู พธิ ีแตง่ งาน มนษุ ยชาติ การเกดิ เป็นมนุษยม์ าจาก มนุษย์ = ผมู้ ีจิตใจสงู กบั ชาติ = เกิด โดยปกติหมายถึง มนษุ ย์ ทั่ว ๆ ไป มรรยาท พฤติกรรมท่ีสงั คมกาหนดว่าควรประพฤติเปน็ วัฒนธรรม วัดจากความเหมาะสมและ ไม่ เหมาะสม หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๔๑ ระบบ การนาส่วนต่าง ๆ มาปรบั เรียงตอ่ ให้ทางานประสานตอ่ เนื่องกันจนดเู ป็นส่ิงเดยี วกัน กระบวนการ กรรมวิธหี รือลาดับการกระทาซง่ึ ดาเนนิ การต่อเนื่องกันไปจนสาเรจ็ ลง ณ ระดบั หนึ่ง วิเคราะห์ การแยกแยะให้เหน็ คุณลักษณะของแตล่ ะองคป์ ระกอบ เศรษฐกจิ ความรเู้ กี่ยวกบั การกิน การอยู่ของมนุษยใ์ นสงั คม วา่ ดว้ ยทรัพยากรท่ีมีจากดั การผลิต การกระจายผลผลติ และการบริโภค สหกรณ์ แปลวา่ การทางานร่วมกนั การทางานร่วมกันน้ีลกึ ซงึ้ มาก เพราะวา่ ต้องร่วมมือกันในทุก ดา้ น ท้งั ในด้านงานทท่ี าด้วยร่างกาย ทง้ั ในดา้ นงานท่ที าด้วยสมอง และงานการท่ีทาดว้ ยใจ ทกุ อยา่ งน้ี ขาดไมไ่ ด้ต้องพร้อม (พระราชดารัสพระราชทานแกผ่ ้นู าสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นิคมและสหกรณป์ ระมงท่ัว ประเทศ ณ ศาลาดสุ ติ ดาลัย ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถงึ ผลงานอันเกดิ จากการประดิษฐ์คดิ คน้ หรือสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ ซึง่ เนน้ ทีผ่ ลผลิตของ สตปิ ญั ญาและความชานาญ โดยไมค่ านงึ ถงึ ชนดิ ของการสร้างสรรค์หรือวิธีในการแสดงออก ทรัพย์สินทาง ปัญญา อาจเป็นสง่ิ ทจ่ี ับต้องได้ เช่นสินคา้ ตา่ ง ๆ หรือ เป็นสงิ่ ท่ีจับต้องไม่ได้ เชน่ บริการ แนวความคิด กรรมวิธีและทฤษฎีต่าง ๆ เป็นตน้ ทรัพยส์ นิ ทางปัญญามี ๒ ประเภท ทรัพยส์ นิ ทางอุตสาหกรรม (Industrial property) และลขิ สิทธ์ิ (Copyright) ๑. ทรพั ยส์ นิ ทางอตุ สาหกรรม มีสทิ ธบิ ัตร แบบผงั ภมู ิของวงจรรวม เคร่ืองหมายการค้า ความลับ ทางการคา้ ชื่อทางการคา้ ส่ิงบง่ ชี้ทางภมู ศิ าสตร์ สิ่งบง่ ชท้ี างภูมิศาสตร์ หมายความวา่ ชื่อ สัญลักษณ์ หรือส่ิงอ่ืนใดที่ใช้เรียกหรอื ใช้แทนแหล่ง ภูมศิ าสตร์ และทสี ามารถบ่งบอกวา่ สนิ คา้ ที่เกดิ จากแหล่งภูมศิ าสตร์นั้นเปน็ สินคา้ ที่มคี ุณภาพ ชื่อเสียง หรือ คณุ ลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ดังกล่าว ๒. ลขิ สทิ ธ์ิ คอื งานหรือความคดิ สร้างสรรคใ์ นสาขาวรรณกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรีกรรม งาน ภาพยนตร์ หรอื งานอน่ื ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศิลปะ แผนกวทิ ยาศาสตร์ ลขิ สทิ ธิ์ยังรวมทั้งสทิ ธิ ข้างเคียง เหตุ ภาวะเง่ือนไขที่จาเป็นที่ทาใหส้ งิ่ หนง่ึ เกดิ ขึน้ ตามมา เรียกวา่ ผล เหตกุ ารณ์ ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขึ้น อ้านาจ ความสามารถในการบบี บังคบั ให้สิง่ หนง่ึ (คนหนงึ่ ...) กระทาตามท่ีปรารถนา อทิ ธพิ ล อานาจบงั คับท่ีก่อใหเ้ กดิ ความสาเร็จในส่ิงใดส่ิงหนงึ่ เอกลักษณ์ ลักษณะทีม่ ีความเป็นหนึง่ เดยี ว ไมม่ ที ี่ใดเหมือน หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๔๒ ต้านาน เปน็ เร่ืองเลา่ ต่อกนั มาและถกู บนั ทกึ ขึน้ ภายหลัง พงศาวดาร คือ การบนั ทึกเหตุการณ์ทเี่ กิดขนึ้ ตามลาดบั เวลา ซึง่ ส่วนใหญจ่ ะเป็นเรือ่ งราวทีก่ บั พระมหากษัตริย์ และราชสานกั อดตี คือ เวลาทีล่ ่วงมาแลว้ ความสาคญั ของอดตี คือ อดตี จะครอบงาความคดิ และความรูข้ องเราอย่าง กว้างขวางลกึ ซึ้ง อดีตทเ่ี กย่ี วข้องกบั กลมุ่ คน/ความสาคญั ท่ีมีตอ่ เหตกุ ารณ์และกล่มุ คนจะถูกนามาเชื่อมโยงเขา้ ดว้ ยกัน นักประวัติศาสตร์ เป็นผบู้ นั ทกึ เหตุการณท์ เี่ กดิ ข้ึน ผูส้ รา้ งประวตั ศิ าสตรข์ ้นึ จากหลักฐานประเภทต่าง ๆ ตามจุดมุ่งหมายและวธิ ีการคดิ ซง่ึ งานเขียนอาจนาไปสู่การเป็นวิชาประวตั ิศาสตร์ไดใ้ นทส่ี ุด ความมุ่งหมายในการเขียนประวตั ศิ าสตร์ - นักประวตั ศิ าสตร์ร่นุ เกา่ มงุ่ สู่การรวมชาต/ิ รับใช้การเมือง - นักประวตั ศิ าสตรร์ นุ่ ใหม่ มุง่ ทจี่ ะหาความจริง (truth) จากอดีตและตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลักฐานประเภท ต่าง ๆ จะให้ข้อเท็จจริงบางประการ ซึ่งจะนาไปส่คู วามจรงิ ในทีส่ ดุ โดยมีวิธีการแบ่งประเภทของหลักฐาน หลายแบบ เช่น หลกั ฐานสมัยก่อนประวตั ิศาสตรแ์ ละหลักฐานสมัยประวัตศิ าสตรแ์ บบหน่ึง หลกั ฐานประเภท ลายลักษณ์อกั ษรและหลกั ฐานท่ีไม่ใช่ลายลักษณแ์ บบหนึ่ง หรอื หลกั ฐานชน้ั ต้นและหลักฐานช้นั รอง (หรอื หลักฐานชนั้ ท่หี นงึ่ ชนั้ ทสี่ อง ชัน้ ที่สาม) อีกแบบหน่งึ หลกั ฐานท่จี ะถูกประเมนิ ว่าน่าเช่อื ถือท่ีสุด คือ หลักฐาน ทเ่ี กิดรว่ มสมยั หรือเกิดโดยผทู้ ่ีรูเ้ หน็ เหตกุ ารณ์นน้ั ๆ แต่กระนัน้ นกั ประวัติศาสตร์กจ็ ะต้องวิเคราะห์ทงั้ ภายใน และภายนอกก่อนดว้ ยเช่นกนั เนื่องจากผู้ที่อยรู่ ่วมสมยั ก็ยอ่ มมีจุดมงุ่ หมายส่วนตวั ในการบันทกึ ซึ่งอาจทาให้ เลอื กบนั ทึกเฉพาะเร่ืองบางเร่ืองเท่าน้ัน อคติ คือ ความลาเอยี ง ไม่ตรงตามความเปน็ จริง เป็นธรรมชาตขิ องมนุษยท์ ุกคน ซงึ่ ผู้ทเ่ี ปน็ นัก ประวัติศาสตรจ์ ะต้องตระหนักและควบคมุ ให้ได้ ความเป็นกลาง คือ การมองด้วยปราศจากความรสู้ ึกอคติจะเกิดขึ้นไดห้ ากเข้าใจธรรมชาตขิ องหลักฐาน แต่ละประเภท เขา้ ใจปรชั ญาและวิธกี ารทางประวัติศาสตร์ เข้าใจจดุ มงุ่ หมายของผเู้ รยี น ผู้บันทกึ ประวตั ิศาสตร์ (นนั่ คอื เข้าใจวา่ บนั ทึกเพ่ืออะไร เพราะเหตใุ ด) ความจรงิ แท้ (real truth) คือ ความจรงิ ทคี่ งอยูแ่ นน่ อนนิรันดร์ เป็นจุดหมายสูงสุดที่นกั ประวตั ศิ าสตร์มงุ่ แสวงหา ซ่ึงจะต้องอาศัยความเข้าใจและความจรงิ ทอ่ี ยเู่ บ้ืองหลงั การเกดิ พฤตกิ รรมและเหตุการณ์ต่าง ๆ (ทม่ี นุษยเ์ ปน็ ผสู้ รา้ ง) ซง่ึ การแสวงหาความจริงแท้ ต้องอาศัยความสมบูรณ์ของหลักฐานและกระบวนการทางประวัติศาสตร์ ทลี่ ะเอียด ถีถ่ ้วน กินเวลายาวนาน แตน่ ี้คอื ภาระหน้าท่ขี องนักประวตั ศิ าสตร์ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๔๓ ผูส้ อนวิชาประวตั ิศาสตร์ คอื ผนู้ าความรู้ทางประวตั ิศาสตรม์ าพฒั นาให้ผเู้ รยี นเกดิ ความรู้ เจตคตแิ ละทกั ษะในการใช้ กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ในการแสวงหาความจริงและความจริงแท้จะต้องศึกษาผลงานของนักประวตั ศิ าสตร์ และเลอื กเนื้อหาประวัติศาสตรท์ เ่ี หมาะสมกบั วัยของผู้เรยี น โดยต้องเปน็ ไปตามจดุ ประสงคข์ องหลกั สตู รและ สอดคล้องธรรมชาติของประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ เปน็ การศึกษาเรื่องการนับเวลา และการแบ่งชว่ งเวลาตามระบบตา่ ง ๆ ทั้งแบบไทย สากล ศักราชที่ สาคัญ ๆ ในภมู ิภาคต่าง ๆ ของโลก และการแบ่งยคุ สมัยทางประวัติศาสตร์ ทัง้ นเ้ี พื่อให้ผู้เรียนมที กั ษะพ้ืนฐาน สาหรบั การศึกษาหลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ สามารถเขา้ เหตกุ ารณท์ างประวตั ิศาสตร์ท่ีสัมพนั ธก์ บั อดีต ปจั จบุ ัน และอนาคต ตระหนักถงึ ความสาคัญในความต่อเน่ืองของเวลา อทิ ธิพลและความสาคัญของเวลาทมี่ ี ต่อวิถกี ารดาเนนิ ชีวิตของมนุษย์ วธิ กี ารทางประวัติศาสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจรงิ ทางประวตั ิศาสตร์ ซ่งึ เกดิ จากวธิ วี จิ ยั เอกสารและ หลักฐานประกอบอื่น ๆ เพ่ือใหไ้ ด้มาซ่งึ องคค์ วามรู้ใหม่ทางประวัตศิ าสตรบ์ นพืน้ ฐานของความเป็นเหตุเป็นผล และการวิเคราะหเ์ หตุการณต์ ่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยข้ันตอนต่อไปน้ี หน่งึ การกาหนดเป้าหมายหรือประเดน็ คาถามท่ีต้องการศึกษา แสวงหาคาตอบดว้ ยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ช่วงเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตุใด) สอง การคน้ หาและรวบรวมหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ท้ังท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่เปน็ ลาย ลักษณ์อกั ษร ซงึ่ ได้แก่ วตั ถุโบราณ ร่องรอยถิน่ ที่อยู่อาศยั หรอื การดาเนินชวี ิต สาม การวิเคราะห์หลกั ฐาน (การตรวจสอบ การประเมินความนา่ เชอื่ ถือ การประเมินคุณคา่ ของ หลกั ฐาน) การตีความหลักฐานอย่างเป็นเหตเุ ปน็ ผล มีความเปน็ กลาง และปราศจากอคติ ส่ี การสรปุ ขอ้ เทจ็ จริงเพอ่ื ตอบคาถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเท็จจริงจากหลักฐานอยา่ งเคร่งครดั โดย ไมใ่ ชค้ ่านยิ มของตนเองไปตัดสนิ พฤตกิ รรมของคนในอดีต โดยพยายามเขา้ ใจความคดิ ของคนในยุคนั้นหรือนา ตัวเขา้ ไปอยู่ในยุคสมัยทตี่ นศึกษา ห้า การนาเสนอเรือ่ งท่ศี กึ ษาและอธบิ ายได้อยา่ งสมเหตสุ มผล โดยใชภ้ าษาทเี่ ขา้ ใจง่าย มคี วาม ต่อเน่อื ง นา่ สนใจ ตลอดจนมีการอ้างอิงขอ้ เท็จจรงิ เพื่อให้ได้งานทางประวัติศาสตร์ท่ีมคี ุณค่าและมคี วามหมาย พัฒนาการของมนษุ ยชาตจิ ากอดตี ถึงปจั จุบนั เปน็ การศึกษาเรื่องราวของสังคม มนุษย์ในบรบิ ทของเวลาและสถานที่ โดยท่ัวไปจะแยกเรือ่ งศึกษา ออกเปน็ ดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม เทคโนโลยี และความสัมพนั ธ์ ระหว่างประเทศ โดยกาหนดขอบเขตการศึกษาในกลุ่มสังคม มนษุ ยก์ ล่มุ ใดกลุ่มหนึ่ง เชน่ ในทอ้ งถน่ิ /ประเทศ/ ภมู ิภาค/โลก โดยม่งุ ศึกษาวา่ สังคมน้นั ๆ ได้เปลยี่ นแปลงหรือพฒั นาตามลาดบั เวลาได้อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด จงึ เกิดความเปลยี่ นแปลงมีปจั จยั ใดบ้าง ทั้งทางดา้ นภูมิศาสตร์และปัจจัยแวดล้อมทางสงั คม ที่มีผลต่อพัฒนาการ หรือการสรา้ งสรรค์วฒั นธรรม และผลกระทบของการสรา้ งสรรค์ของมนษุ ย์ในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างไร ทั้งน้ี เพอ่ื ให้เขา้ ใจอดีตของสังคมมนษุ ยใ์ นมิติของเวลาและความตอ่ เนื่อง ภมู ิศาสตร์ เป็นคาทมี่ าจากภาษากรกี (Geography) หมายถงึ การพรรณนาลกั ษณะของโลกเป็นศาสตร์ทาง พ้ืนที่ เป็นความรู้ทวี่ า่ ด้วยปฏิสมั พนั ธข์ องสิ่งต่าง ๆ ในขอบเขตหนง่ึ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๔๔ ลักษณะทางกายภาพของภูมิศาสตร์ หมายถึง ลกั ษณะที่มองเหน็ เปน็ รูปรา่ ง รูปทรง โดยสามารถมองเหน็ และวิเคราะห์ไปถงึ กระบวนการ เปล่ียนแปลงต่าง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ ในสภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ ซงึ่ เก่ียวข้องกับลักษณะของธรณสี ัณฐานวิทยาภูมอิ ากาศ วทิ ยา ภมู ิศาสตร์ดนิ ชีวภมู ิศาสตร์พชื ภมู ิศาสตร์สตั ว์ ภมู ศิ าสตรส์ ่งิ แวดล้อมตา่ ง ๆ เปน็ ต้น ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั หมายถึงวิธีการศึกษา หรือวธิ ีการวิเคราะห์ พจิ ารณาสาหรับศาสตร์ทางภมู ิศาสตรไ์ ด้ใชส้ าหรบั การศกึ ษาพจิ ารณา คิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ถงึ สิ่งตา่ ง ๆ ที่มผี ลตอ่ กนั ระหว่างส่งิ แวดลอ้ มกับมนุษย์ (Environment) ทางกายภาพ ด้วยวธิ ีการศึกษาพิจารณาถงึ ความแตกตา่ ง ความเหมอื นระหวา่ งพน้ื ท่หี นึ่งๆ กับอีกพืน้ ทหี่ น่ึง หรอื ระหว่างภมู ภิ าคหน่งึ กบั ภูมิภาคหนึ่ง โดย พยายามอธบิ ายถึงความแตกตา่ ง ความเหมือน รปู แบบของภมู ภิ าค และพยายามขดี เส้นสมมุติ แบง่ ภูมภิ าค เพื่อพิจารณาวเิ คราะห์ ดูสัมพันธภาพของภมู ิภาคเหลา่ นนั้ วา่ เป็นอยา่ งไร ภมู ิศาสตร์ คอื ภาพปฏิสัมพนั ธ์ของธรรมชาติ มนษุ ย์ และวัฒนธรรม รูปแบบต่าง ๆ ถา้ พิจารณาเฉพาะปจั จยั ทางธรรมชาติ จะเป็นภมู ศิ าสตร์กายภาพ (Physical Geography) ถา้ พิจารณาเฉพาะปจั จยั ที่เก่ยี วขอ้ งกับ มนุษย์ เชน่ ประชากร วิถชี ีวติ ศาสนา ความเชอื่ การเดินทาง การอพยพจะเปน็ ภมู ิศาสตร์มนุษย์ (Human Geography) ถ้าพจิ ารณาเฉพาะปจั จัยที่เปน็ ส่ิงที่มนุษย์สร้างข้นึ เช่น การตัง้ ถิน่ ฐาน การคมนามคม การค้า การเมือง จะเป็นภูมิศาสตรว์ ฒั นธรรม (Cultural Geography) ภมู อิ ากาศ คือ ภาพปฏิสัมพันธ์ขององคป์ ระกอบอตุ นุ ยิ มวิทยา รูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ ภมู อิ ากาศ แบบ ร้อนชน้ื ภมู ิอากาศแบบอบอนุ่ ชื้น ภูมิอากาศแบบรอ้ นแห้งแล้ง ฯลฯ ภมู ปิ ระเทศ คือ ภาพปฏสิ ัมพนั ธ์ขององค์ประกอบแผ่นดิน เช่น หนิ ดนิ ความตา่ งระดบั ทาใหเ้ กิดภาพลกั ษณะ รูปแบบต่าง ๆ เช่น พื้นทแี่ บบภูเขา พน้ื ที่ระบบลาด เชิงเขา พืน้ ท่ีราบ พื้นทลี่ มุ่ ฯลฯ ภมู ิพฤกษ์ คอื ภาพปฏิสัมพันธข์ องพืชพรรณ อากาศ ภมู ิประเทศ ดนิ สัตว์ป่า ในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ปา่ ดิบ ปา่ เต็งรงั ปา่ เบญจพรรณ ป่าทุง่ หญ้า ฯลฯ ภูมิธรณี คือ ภาพปฏสิ มั พันธข์ องแร่ หิน โครงสรา้ งทางธรณี ทาให้เกิดรูปแบบทางธรณชี นดิ ตา่ ง ๆ เชน่ ภูเขา แบบทบตัว ภเู ขาแบบยกตวั ท่รี าบน้าท่วมถึง ชายฝง่ั แบบยุบตัว ฯลฯ ภมู ิปฐพี คือ ภาพปฏิสัมพนั ธ์ของแร่ หิน ภมู ปิ ระเทศลกั ษณะอากาศ พชื พรรณ ทาใหเ้ กิดดนิ รปู แบบ ต่าง ๆ เชน่ แดนดินดา มอดนิ แดง ดนิ ทรายจดั ดินกรด ดนิ เคม็ ดินพรุ ฯลฯ ภูมอิ ุทก คอื ภาพปฏิสัมพนั ธข์ องแผน่ ดิน ภูมปิ ระเทศ ภูมิอากาศ ภมู ิธรณี พชื พรรณ ทาใหเ้ กิดรปู แบบแหลง่ นา้ ชนิดต่าง ๆ เช่น แมน่ ้า ลาคลอง ห้วย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร นา้ ใต้ดิน น้าบาดาล ฯลฯ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

๒๔๕ ภมู ิดารา คือ ภาพปฏิสมั พนั ธข์ องดวงดาว กลุม่ ดาว เวลา การเคล่อื นการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาว เคราะห์ ทาใหเ้ กดิ รูปแบบปรากฏการณต์ ่าง ๆ เช่น การเกิดกลางวนั กลางคนื ขา้ งขึน้ -ขา้ งแรม สุรยิ ปุ ราคา ตะวนั อ้อมเหนือ ตะวันอ้อมใต้ ฯลฯ ภยั พิบตั ิ เหตกุ ารณ์ที่ก่อให้เกดิ ความเสียหายและสญู เสียอย่างรนุ แรง เกดิ ข้ึนจากภยั ธรรมชาติและกระทาของ มนษุ ย์ จนชุมชนหรือสังคมท่เี ผชญิ ปญั หาไม่อาจรบั มือ เช่นดินถล่ม สึนามิ ไฟปา่ ฯลฯ แหล่งภมู ิศาสตร์ หมายความวา่ พื้นทข่ี องประเทศ เขต ภมู ภิ าคและท้องถ่ิน และใหห้ มายความรวมถงึ ทะเล ทะเลสาบ แมน่ ้า ลานา้ เกาะ ภูเขา หรอื พืน้ ท่ีอนื่ ทานองเดียวกันดว้ ย เทคนคิ ทางภูมศิ าสตร์ หมายถึง แผนที่ แผนภูมิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถา่ ยจากดาวเทียม เทคโนโลยีภมู สิ ารสนเทศ สอื่ ทส่ี ามารถค้นขอ้ มลู ทางภูมิศาสตรไ์ ด้ มิติทางพนื ท่ี หมายถึง การวเิ คราะห์ พจิ ารณาในเร่อื งขององค์ประกอบทางภมู ิศาสตรท์ เี่ กย่ี วข้องกบั เวลา สถานท่ี ปจั จัยแวดล้อม และการกระจายของพนื้ ที่ในรูปแบบตา่ ง ๆ ท้งั ความกวา้ ง ยาว สูง ตามขอบเขตท่กี าหนด หรือ สมมุติพนื้ ทขี่ น้ึ มาพิจารณา การศึกษารูปแบบทางพนื ท่ี หมายถงึ การศึกษาเรอ่ื งราวเก่ยี วกบั พ้นื ท่ีหรอื มิตทิ างพืน้ ที่ของ สังคมมนุษย์ ท่ตี ั้งถ่นิ ฐานอยู่ มกี าร ใช้และกาหนดหน่วยเชิงพ้ืนที่ ท่ชี ดั เจน มีการอาศัยเส้นทเ่ี ราสมมุติขึ้น อาศยั หน่วยตา่ ง ๆ ขึ้นมากาหนด ขอบเขต ซึ่งมีองค์ประกอบลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม การเมือง และลักษณะทาง พฒั นาการของมนุษย์ที่เด่นชดั สอดคล้องกันเปน็ พืน้ ฐานในการศกึ ษา แสวงหาข้อมลู ภมู ิศาสตร์กายภาพ หมายถึง ศาสตร์ทศ่ี กึ ษาเร่ืองเกีย่ วกบั ระบบธรรมชาติ ถึงความเปน็ มา ความเปลีย่ นแปลง และ พฒั นาการไปตามยุคสมัย โดยมขี อบเขตท่ีกล่าวถงึ ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภมู ิอากาศ ภมู ิปฐพี (ดนิ ) ภมู ิอากาศ (ลมฟา้ อากาศ บรรยากาศ) และภูมิพฤกษ์ (พชื พรรณ ป่าไม้ ธรรมชาต)ิ รวมทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติ การเปล่ียนแปลงของธรรมชาตทิ ่ีมีผลตอ่ ชีวติ และความ เปน็ อยู่ของมนุษย์ ส่งิ แวดล้อม สิ่งท่อี ยรู่ อบ ๆ สิ่งใดสิ่งหนงึ่ และมีอิทธพิ ลต่อส่ิงนัน้ อาทิ อากาศ น้า ดิน ตน้ ไม้ สตั ว์ ซง่ึ สามารถถูก ทาลายไดโ้ ดยการขาดความระมดั ระวงั สิ่งแวดล้อมทางภายภาพ หมายถงึ ทุกสิง่ ทุกอยา่ ง ยกเว้นตัวมนุษย์และผลงาน และมนุษย์ สง่ิ แวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ภมู อิ ากาศ ดนิ พืชพรรณ สตั ว์ปา่ ธรณีสัณฐาน (ภูเขาและท่ีราบ) บรรยากาศ มหาสมุทร แรธ่ าตุ และนา้ อนรุ ักษ์ การรกั ษา จดั การ ดแู ลทรัพยากรธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรม หรอื การรักษาป้องกนั บางส่งิ ไมใ่ ห้ เปลยี่ นแปลง สญู หายหรอื ถูกทาลาย หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

๒๔๖ ภมู ศิ าสตรม์ นุษย์ และส่งิ แวดล้อม หมายถงึ ศาสตร์ทศ่ี กึ ษาเรื่องราวเกีย่ วกับมนุษย์ วถิ ชี ีวติ และความเป็นอยู่ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจ และสงั คม ส่ิงแวดล้อมดา้ นสังคมทง้ั ในเมืองและทอ้ งถน่ิ การเปลี่ยนแปลงทางสง่ิ แวดล้อม สาเหตุและ ผลกระทบที่มตี ่อมนษุ ย์ ปัญหาและแนวทางแกป้ ัญหาทางสังคม กรอบทางพืนท่ี (Spatial Framework) หมายถงึ การวางขอ้ กาหนดหรือขอบเขตของพน้ื ที่ในการศึกษาเร่ืองใดเร่ืองหนง่ึ หรอื แบบรูปแบบ กระจายของสงิ่ ต่าง ๆ บนผวิ โลกส่วนใดสว่ นหนง่ึ เพ่ือใหเ้ ราเขา้ ใจลักษณะโลกของมนุษย์ดขี ้นึ เชน่ การ กาหนดให้มนุษย์ และวัฒนธรรมของมนษุ ยด์ ีข้นึ เช่น การกาหนดให้มนุษยแ์ ละวัฒนธรรมของมนุษยก์ รอบพืน้ ท่ี ของโลกท่ีมลี กั ษณะเปน็ ภมู ภิ าค ประเทศ จงั หวัด เมอื ง ชมุ ชน ทอ้ งถิ่น ฯลฯ สาหรบั การวิเคราะห์ หรือศกึ ษา องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนง่ึ เฉพาะเรอื่ ง รปู แบบทางพนื ท่ี (Spatial Form) หมายถงึ ข้อเทจ็ จริง เครอ่ื งมือ หรอื วธิ กี าร โดยเฉพาะกลุ่มของข้อมลู ทีไ่ ด้มา เป็นตน้ วา่ ความสัมพนั ธท์ างพืน้ ทีแ่ บบรูปแบบของการกระจาย การกระทาระหวา่ งกัน เครื่องมือท่ีใช้ ไดแ้ ก่ แผนท่ี ภาพถา่ ย ฯลฯ พนื ทห่ี รอื ระวางท่(ี Space) หมายถึง ขอบเขตทางพนื้ ท่ีในการวิเคราะห์ทางภมู ิศาสตร์ เป็นการศกึ ษาพ้ืนท่ใี นมิตติ ่าง ๆ ตาม ระวางที่ (Spatiak study) ที่กาหนดขน้ึ มีขอบเขตชัดเจน อาจจะมีการกาหนดเปน็ เขตบริเวณ สถานท่ี นามติ ิ ของความกวา้ ง ความลกึ ความสูง ความยาว รวมทง้ั มติ ิทางเวลา ในเขตพืน้ ท่ีต่าง ๆ ตามท่เี รากาหนด ขอบเขต ระหว่างท่ี ด้วยเครอ่ื งมือ เส้นสมมตแิ ละเทคนิคทางภมู ิศาสตรต์ า่ ง ๆ เช่น แผนท่ี ภาพถ่าย ฯลฯ อาจจะจาแนก เปน็ เขต ภมู ิภาค ประเทศ จงั หวัด เมอื ง ชมุ ชน ทอ้ งถิ่น ฯลฯ ท่เี ฉพาะเจาะจงไป มกี ารพจิ ารณา วิเคราะห์ ถงึ การกระจายและสมั พันธภาพของมนุษยบ์ นผวิ โลก และลกั ษณะทางพื้นท่ีของการต้ังถนิ่ ฐานของมนุษย์ และ การที่ใชป้ ระโยชนจ์ ากพน้ื โลก สมั พนั ธ์จากถิ่นฐานของมนุษย์ และการที่ใช้ประโยชน์จากพ้นื โลก สัมพนั ธภาพ ระหวา่ งสังคมมนษุ ยก์ ับสง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพ ซงึ่ ถือวา่ เปน็ สว่ นหนึง่ ในการศกึ ษาความแตกตา่ งเชิงพน้ื ที่ (Area difference) มิตสิ ัมพันธ์เชิงท้าเลที่ตัง หมายถึง การศกึ ษาความแตกตา่ งหรือความเหมือนกันของสังคมมนุษย์ในแต่ละสถานที่ ในฐานะที่ ความแตกต่างและเหมือนกนั น้นั อาจมคี วามเกยี่ วเน่อื งกบั ความแตกต่างและความเหมือนกันในสง่ิ แวดล้อมทาง กายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางวัฒนธรรม ทางการเมือง และการศกึ ษาภูมทิ ศั น์ที่แตกต่างกันในเร่ือง องค์ประกอบ ปัจจยั ตลอดจนแบบรปู การกระจายของมนุษย์บนพนื้ โลก และการที่มนุษย์ใชป้ ระโยชนจ์ ากพืน้ โลก เหตไุ รมนษุ ยจ์ ึงใชป้ ระโยชนจ์ ากพน้ื โลก แตกต่างกนั ในสถานท่ีต่างกนั และในเวลาท่ีต่างกัน มผี ลกระทบ อย่างไร ภาวะประชากร รายละเอียดข้อเทจ็ จริงเกีย่ วกับประชากรในเรื่องสาคัญ 3 ด้าน คือขนาดประชากร การกระจายตวั เชงิ พนื้ ท่ี และองค์ประกอบของประชากร ขนาดของประชากร จานวนประชากรทัง้ หมดของเขตพ้นื ทหี่ น่ึงพ้ืนท่ี ณ เวลาท่กี ลา่ วถงึ การกระจายตัวเชงิ พืนท่ี การทปี่ ระชากรกระจายตัวกันอยใู่ นส่วนต่าง ๆ ของพื้นทีห่ นึ่งพื้นท่ี ณ เวลาที่กลา่ วถงึ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook