พุทธวจน 01
ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเปน็ อรหนั ต์ เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ เตม็ บรบิ รู ณ์ เปน็ อนาคามี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรยี ข์ องอรหนั ต์ เปน็ สกทาคามี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรยี ข์ องอนาคามี เปน็ โสดาบนั เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรยี ข์ องสกทาคาม.ี -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๖๕/๘๗๗.
ภกิ ษุทัง้ หลาย กบ็ ุคคลจำ� พวกไหน ยังละโอรมั ภาคิยสงั โยชน์ไม่ได้ (โอรมฺภาคิยานิ สญฺโชนานิ อปฺปหนี าน)ิ ยงั ละสังโยชนอ์ ันเป็นปจั จยั เพ่ือใหไ้ ด้อุบัตไิ มไ่ ด้ (อปุ ปฺ ตตฺ ปิ ฏลิ าภิกานิ สญโฺ ชนานิ อปฺปหีนานิ) ยังละสงั โยชนอ์ ันเป็นปัจจยั เพือ่ ให้ไดภ้ พไม่ได้ (ภวปฏลิ าภกิ านิ สญฺโชนานิ อปฺปหนี านิ) คือ สกทาคามี. -บาลี จตกุ กฺ . อํ. ๒๑/๑๘๑/๑๓๑.
พทุ ธวจน -หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี กู ปิด ๑๘ฉบับ สกทาคามี พุทธวจนสถาบัน รว่ มกนั มงุ่ มน่ั ศกึ ษา ปฏบิ ตั ิ เผยแผค่ ำ� ของตถาคต
พุทธวจน ฉบับ ๑๘ สกทาคามี ข้อมูลธรรมะนี้ จัดทำ�เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาสู่สาธารณชน เป็นธรรมทาน ลขิ สิทธิ์ในต้นฉบบั น้ไี ด้รับการสงวนไว้ ในการจะจัดทำ�หรอื เผยแผ่ โปรดใชค้ วามละเอยี ดรอบคอบ เพื่อรักษาความถูกต้องของขอ้ มลู ให้ขออนุญาตเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร และปรกึ ษาด้านข้อมูลในการจดั ท�ำ เพอ่ื ความสะดวกและประหยัด ติดตอ่ ไดท้ ี่ มลู นิธพิ ุทธโฆษณ์ โทรศพั ท์ ๐๘ ๒๒๒๒ ๕๗๙๐-๙๔ มลู นธิ ิพทุ ธวจน โทรศพั ท์ ๐๘ ๑๔๕๗ ๒๓๕๒ คณุ ศรชา โทรศพั ท์ ๐๘ ๑๕๑๓ ๑๖๑๑ คุณอารวี รรณ โทรศัพท ์ ๐๘ ๕๐๕๘ ๖๘๘๘ ปีทพี่ ิมพ์ ๒๕๖๓ ศิลปกรรม ปรญิ ญา ปฐวินทรานนท์ จดั ทำ�โดย มูลนธิ ิพุทธโฆษณ์ (เวบ็ ไซต์ www.buddhakos.org)
ค�ำอนโุ มทนา ขออนุโมทนากับคณะงานธัมมะ ผู้จัดทำ�หนังสือ พทุ ธวจน ฉบบั สกทาคามี ทมี่ คี วามตง้ั ใจและมเี จตนาอนั เปน็ กศุ ล ในการเผยแผค่ �ำ สอนของตถาคตอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธะ ทอ่ี อกจากพระโอษฐข์ องพระองคเ์ อง ในการรวบรวมค�ำ สอน ของตถาคต อันเก่ียวข้องกับความเป็นอริยบุคคล ขน้ั สกทาคาม.ี ด้วยเหตุอันดีท่ีได้กระทำ�มาแล้วนี้ ขอจงเป็นเหตุ ปัจจัยให้ผู้มีส่วนร่วมในการทำ�หนังสือ และผู้ที่ได้อ่าน ไดศ้ กึ ษา ไดน้ �ำ ไปปฏบิ ตั ิ พงึ ส�ำ เรจ็ สมหวงั พบความเจรญิ รุ่งเรืองของชิีวิตได้จริงในทางโลก และได้ดวงตาเห็นธรรม ส�ำ เรจ็ ผลยงั นพิ พาน สมดงั ความปรารถนา ตามเหตปุ จั จยั ทไี่ ด้สร้างมาอย่างดีแลว้ ด้วยเทอญ. ขออนโุ มทนา ภกิ ขคุ ึกฤทธ์ิ โสตฺถผิ โล
ค�ำน�ำ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเปรยี บดว้ ยคนตกน�้ำ ๗ จ�ำ พวก เหล่านี้ มีปรากฏอยใู่ นโลก ๗ จำ�พวกอะไรบ้าง คือ (1) บุคคลบางคนในโลกนี้ จมลงคราวเดียวแล้ว ก็เปน็ อันจมอยู่น่ันเอง (2) บางคนโผลข่ ้นึ มาแลว้ กลบั จมลงไปอกี (3) บางคนโผล่ขึ้นมาแลว้ ทรงตัวอย ู่ (4) บางคนโผล่ขนึ้ มาแลว้ เหลียวดูรอบๆ (5) บางคนโผล่ขน้ึ มาแลว้ วา่ ยหาฝ่งั (6) บางคนโผล่ขึน้ มาแลว้ เข้ามาถึงทต่ี ืน้ (7) บางคนโผลข่ น้ึ มาแลว้ ขา้ มถงึ ฝง่ั เปน็ พราหมณ์ อยูบ่ นบก ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลท่ีโผล่ข้ึนมาแล้ว ว่ายหาฝั่ง เป็นอย่างไร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ ขน้ึ มาแลว้ คอื เขามศี รทั ธาดี หริ ดิ ีิ โอตตปั ปะดี วริ ยิ ะดี และ ปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย. เขายังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์ อนั เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ใหไ้ ดอ้ บุ ตั ไิ มไ่ ด้ ยงั ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ใหไ้ ดภ้ พไม่ได้ แต่เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป และเพราะ ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เขาเป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้ อกี ครง้ั เดียวเท่าน้ัน แล้วจะทำ�ที่สุดแห่งทุกขไ์ ด.้
จนุ ทะ เราไมแ่ สดงธรรมเพอ่ื เปน็ เครอ่ื งปดิ กน้ั อาสวะ ท้ังหลาย ท่ีเป็นไปในปัจจุบันแก่พวกเธออย่างเดียวเท่านั้น จนุ ทะ อนงึ่ เราไมไ่ ดแ้ สดงธรรมเพอ่ื เปน็ เครอ่ื งก�ำ จดั อาสวะ ท้ังหลาย ที่เป็นไปในสัมปรายะอย่างเดียวเท่านั้น จุนทะ แต่เราแสดงธรรมเพื่อเป็นเครื่องปิดก้ันอาสวะท้ังหลาย ทเี่ ปน็ ไปในปจั จบุ นั ดว้ ย เพอื่ เปน็ เครอื่ งก�ำ จดั อาสวะทง้ั หลาย ท่เี ปน็ ไปในสัมปรายะด้วย. ภิกษุท้ังหลาย สมัยใด อริยสาวกตั้งใจ ใส่ใจ รวมเขา้ ไวด้ ว้ ยใจทง้ั หมด เงย่ี โสตลงฟงั ธรรม สมยั นน้ั นวิ รณ์ ๕ ยอ่ มไมม่ แี กเ่ ธอ และโพชฌงค์ ๗ ยอ่ มถงึ ความเจรญิ บรบิ รู ณ.์ พทุ ธวจน ฉบบั สกทาคามี จงึ เปน็ การรวบรวมสุตะ ท่ีเป็นตถาคตภาษิต อันเป็นข้อความลึก มีความหมายซ้ึง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา เพื่อบรรเทา ความสงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย อันเก่ียวกับ อรยิ บคุ คล ผจู้ ะกลบั มาสโู่ ลกนอี้ กี ครงั้ เดยี วเทา่ นน้ั แลว้ จะท�ำ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ และเมอื่ กระท�ำ กาละแลว้ ยอ่ มพน้ จากนรก พ้นจากกำ�เนิดเดรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทคุ ติ และวนิ บิ าต.
อันจะเป็นไปเพ่ือประโยชน์เก้ือกูลแก่ผู้ท่ีได้เข้ามา ศกึ ษา จะไดท้ ราบถงึ สจั จะความจรงิ ทต่ี ถาคตอรหนั ตสมั มา- สัมพุทธะได้บอก แสดง บัญญัติ เปิดเผย จำ�แนกแจกแจง กระท�ำ ใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยซง่ึ ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเปน็ สกทาคาม.ี ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลเหลา่ ใดเหลา่ หนงึ่ เชอ่ื มน่ั ในเรา บุคคลเหล่าน้ันทั้งหมดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ บุคคล ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิเหล่าน้ัน ๕ จำ�พวกสำ�เร็จในโลกนี้ และ ๕ จ�ำ พวกละโลกนไี้ ปแลว้ จึงส�ำ เรจ็ . คณะงานธมั มะ วดั นาปา่ พง
อักษรย่อ เพ่ือความสะดวกแกผ่ ทู้ ่ียังไม่เขา้ ใจเรื่องอกั ษรยอ่ ท่ใี ชห้ มายแทนชื่อคัมภีร์ ซึง่ มอี ย่โู ดยมาก มหาวิ. ว.ิ มหาวภิ ังค ์ วนิ ัยปิฎก. ภิกฺขนุ ี. ว.ิ ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค์ วินัยปฎิ ก. มหา. วิ. มหาวรรค วินัยปฎิ ก. จุลลฺ . วิ. จลุ วรรค วนิ ัยปิฎก. ปริวาร. ว.ิ ปริวารวรรค วนิ ัยปฎิ ก. สี. ท.ี สีลขนั ธวรรค ทฆี นกิ าย. มหา. ที. มหาวรรค ทฆี นกิ าย. ปา. ท.ี ปาฏิกวรรค ทฆี นกิ าย. ม.ู ม. มูลปณั ณาสก์ มชั ฌมิ นิกาย. ม. ม. มัชฌมิ ปัณณาสก์ มชั ฌมิ นกิ าย. อปุ ริ. ม. อุปริปัณณาสก์ มชั ฌมิ นิกาย. สคาถ. สํ. สคาถวรรค สังยุตตนกิ าย. นิทาน. สํ. นทิ านวรรค สงั ยตุ ตนกิ าย. ขนธฺ . ส.ํ ขันธวารวรรค สงั ยุตตนิกาย. สฬา. ส.ํ สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย. มหาวาร. สํ. มหาวารวรรค สังยตุ ตนกิ าย. เอก. อํ. เอกนบิ าต องั คุตตรนกิ าย. ทกุ . อํ. ทกุ นิบาต องั คตุ ตรนิกาย. ติก. อ.ํ ตกิ นบิ าต อังคตุ ตรนิกาย. จตุกกฺ . อํ. จตกุ กนิบาต องั คตุ ตรนิกาย.
ปญฺจก. อ.ํ ปญั จกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย. ฉกฺก. อํ. ฉักกนบิ าต อังคุตตรนิกาย. สตฺตก. อ.ํ สัตตกนิบาต องั คุตตรนกิ าย. อฏฺก. อ.ํ อัฏฐกนบิ าต อังคุตตรนกิ าย. นวก. อํ. นวกนบิ าต องั คุตตรนิกาย. ทสก. อ.ํ ทสกนบิ าต อังคุตตรนิกาย. เอกาทสก. อ.ํ เอกาทสกนิบาต อังคุตตรนิกาย. ขุ. ขุ. ขุททกปาฐะ ขทุ ทกนกิ าย. ธ. ขุ. ธรรมบท ขทุ ทกนกิ าย. อุ. ขุ. อทุ าน ขุททกนกิ าย. อติ ิว.ุ ขุ. อิตวิ ตุ ตกะ ขทุ ทกนกิ าย. สตุ ตฺ . ข.ุ สุตตนิบาต ขทุ ทกนกิ าย. วิมาน. ข.ุ วมิ านวตั ถุ ขทุ ทกนิกาย. เปต. ขุ. เปตวตั ถุ ขทุ ทกนิกาย. เถร. ข.ุ เถรคาถา ขทุ ทกนกิ าย. เถร.ี ข.ุ เถรีคาถา ขทุ ทกนกิ าย. ชา. ขุ. ชาดก ขุททกนกิ าย. มหานิ. ข.ุ มหานิทเทส ขุททกนิกาย. จูฬนิ. ขุ. จฬู นทิ เทส ขทุ ทกนิกาย. ปฏสิ ม.ฺ ข.ุ ปฏิสัมภทิ ามรรค ขทุ ทกนกิ าย. อปท. ขุ. อปทาน ขทุ ทกนิกาย. พุทธฺ ว. ข.ุ พทุ ธวงส์ ขุททกนิกาย. จริยา. ข.ุ จรยิ าปฎิ ก ขทุ ทกนิกาย. ตวั อย่าง : ๑๔/๑๗๑/๒๔๕ ใหอ้ า่ นวา่ ไตรปฎิ กฉบบั สยามรัฐ เลม่ ๑๔ หน้า ๑๗๑ ขอ้ ท่ี ๒๔๕
สารบัญ สกทาคามี 1 1. สมณะบณุ ฑรกิ (สกทาคาม)ี 2 2. สกทาคามใี นภพมนษุ ย์ 4 3. สกทาคามี เปรยี บไดก้ บั บคุ คลผวู้ า่ ยเขา้ หาฝง่ั 7 4. เปน็ สกทาคามี ไดก้ ายชน้ั ดสุ ติ 11 5. ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั อนิ ทรยี ์ ๕ 13 6. เอกพชี ี อนิ ทรยี ์ ๕ ออ่ นกวา่ สกทาคามี 14 7. ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั การละสงั โยชน์ (บคุ คล ๔ จ�ำ พวก)16 8. สงั โยชน์ ๑๐19 9. ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั การละกามโยคะและภวโยคะ 20 (บคุ คล ๓ จ�ำ พวก) 10. ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั สกิ ขา ๓21 11. สกิ ขา ๓24 12. ผทู้ ต่ี อ้ งศกึ ษาสกิ ขา ๓26 13. บคุ คลทม่ี เี ชอ้ื เหลอื แตพ่ น้ ทคุ ติ 27 14. บคุ คลผพู้ น้ ทคุ ติ หรอื ไมไ่ ปทคุ ติ 31 15. ผเู้ ชอ่ื มน่ั ในตถาคต ทส่ี �ำ เรจ็ ในโลกน้ี 34 และทล่ี ะโลกนไ้ี ปแลว้ จงึ ส�ำ เรจ็ 16. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั 37 กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ มาธิ (รปู สญั ญา) 17. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั 41 กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื เจรญิ พรหมวหิ าร
18. ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั 46 กบั ปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั เมอ่ื ไดส้ มาธิ (อรปู สญั ญา) 19. อรยิ สาวกผปู้ ระกอบดว้ ยสงั โยชน์ แตไ่ มม่ ี 50 สงั โยชนท์ เ่ี ปน็ เหตใุ หก้ ลบั มายงั โลกนอ้ี กี 20. ผลของการประกอบตนใหต้ ดิ เนอ่ื งในความสขุ ๔ ประการ51 21. บคุ คลผคู้ วรแกข่ องท�ำ บญุ 53 22. สทั ธานสุ ารี ธมั มานสุ ารี โสดาบนั 54 23. แมแ้ ตอ่ รยิ บคุ คลขน้ั โสดาบนั กไ็ มอ่ าจแปรปรวน56 กาม และ กามคณุ 59 24. ความหมายของกามและกามคณุ 60 25. โลก ในอรยิ วนิ ยั คอื กามคณุ ๕ 62 26. โลก คอื สง่ิ ทแ่ี ตกสลายได้ 66 27. กามคณุ ๕ คอื เครอ่ื งจองจ�ำ ในอรยิ วนิ ยั 68 28. กามเลว ปานกลาง และประณตี 71 29. กามอนั เปน็ ทพิ ย์ ประณตี กวา่ กามของมนษุ ย์ 73 30. เทยี บเคยี งลกั ษณะเทวดาชน้ั ดาวดงึ ส์ 80 31. คณุ ของกามและโทษของกาม81 32. สขุ ทค่ี วรกลวั และไมค่ วรกลวั 88 33. ตง้ั อยใู่ นภมู คิ นแก่ เพราะละกามได้ 90 34. ไมเ่ วยี นกลบั ไปสกู่ ามทง้ั หลายอกี เพราะบรรลสุ ขุ อน่ื ทส่ี งบกวา่ 92 35. เหตเุ กดิ ของอกศุ ลวติ ก93 36. ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ดบั อกศุ ลสงั กปั ปะ (ความด�ำ รอิ นั เปน็ อกศุ ล)98 37. เหตเุ กดิ ของกามฉนั ทะ 101 38. อาหารของกามฉนั ทะ102 39. เมอ่ื ตง้ั ใจฟงั ธรรม กามฉนั ทะ ยอ่ มไมม่ ี 104
ราคะ โทสะ โมหะ 105 40. ธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้ บรรเทาไดย้ าก106 41. ไฟ คอื ราคะ โทสะ โมหะ107 42. เหตใุ หเ้ ปน็ คนดรุ า้ ย หรอื คนสงบเสงย่ี ม110 43. อาชพี ทม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั ราคะ โทสะ โมหะ112 44. ความแตกตา่ งของ ราคะ โทสะ โมหะ 114 และวธิ ลี ะราคะ โทสะ โมหะ 45. เจรญิ อสภุ ะเพอ่ื ละราคะ เจรญิ เมตตาเพอ่ื ละโทสะ 117 เจรญิ ปญั ญาเพอ่ื ละโมหะ 46. เจรญิ อนสุ สติ เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ118 47. ศกึ ษาในสกิ ขา ๓ เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ125 48. การละธรรม ๓ เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ126 49. เหน็ สญั โญชนยิ ธรรมโดยความเปน็ ของนา่ เบอ่ื หนา่ ย 133 เพอ่ื ละราคะ โทสะ โมหะ 50. เพราะมคี วามสน้ิ ไปแหง่ นนั ทิ จงิึ มคี วามสน้ิ ไปแหง่ ราคะ135 51. นพิ พานทเ่ี หน็ ไดเ้ อง138 ภพ ๓ 141 52. ภพ ๓ (กามภพ รปู ภพ อรปู ภพ)142 53. การตง้ั อยขู่ องวญิ ญาณ คอื การบงั เกดิ ในภพใหม่ 143 54. การตง้ั อยขู่ องความเจตนา หรอื ความปรารถนา 145 คอื การบงั เกดิ ในภพใหม่ 55. ฉนั ทะ ราคะ นนั ทิ ตณั หา อปุ ายะ 147 และอปุ าทาน ในขนั ธ์ ๕ คอื เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พ 56. มจี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใด เครอ่ื งน�ำ ไปสภู่ พใหมย่ อ่ มมี 148 57. มจี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใด การกา้ วลงแหง่ นามรปู ยอ่ มมี 150 58. มจี ติ ฝงั ลงไปในสง่ิ ใด การเกดิ ขน้ึ แหง่ ภพใหมต่ อ่ ไปยอ่ มมี 152
ขอ้ ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความเปน็ อรยิ บคุ คล 155 59. อานสิ งสข์ องธรรม ๔ ประการ156 60. ละธรรม ๕ อยา่ ง ไดค้ วามเปน็ อรยิ บคุ คล160 61. ผลของการพจิ ารณาเหน็ สงั ขาร โดยความไมเ่ ทย่ี ง162 62. ผลของการพจิ ารณาเหน็ สงั ขาร โดยความเปน็ ทกุ ข์ 163 63. ผลของการพจิ ารณาเหน็ ธรรม โดยความเปน็ อนตั ตา164 64. ผลของการพจิ ารณาเหน็ นพิ พาน โดยความเปน็ สขุ 165 65. การเหน็ เพอ่ื ละสงั โยชน์ 166 66. การเหน็ เพอ่ื ละอนสุ ยั 168 67. การเหน็ เพอ่ื ละอาสวะ169 68. การเหน็ เพอ่ื ละอวชิ ชา170 69. เหตสุ �ำ เรจ็ ตามความปรารถนา171 70. บทสรปุ 176
สกทาคามี 1
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ถี ูกปดิ : สกทาคามี 01 สมณะบุณฑรกิ (สกทาคามี) -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๑๖/๘๘. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกเหลา่ น1้ี มปี รากฏอยู่ ในโลก ๔ จ�ำ พวกอะไรบา้ ง คอื (1) สมณะมจละ (สมณะผูไ้ มห่ ว่ันไหว) (2) สมณะบณุ ฑรกิ (บัวขาว) (3) สมณะปทุมะ (บวั ชมพ)ู (4) สมณะสุขมุ าล (ผลู้ ะเอยี ดอ่อนในหมูส่ มณะ) ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะผู้ไม่หวั่นไหวเป็นอย่างไร ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี เป็นโสดาบนั เพราะสงั โยชน์ ๓ สนิ้ ไป มีความไม่ตกต�่ำ เป็นธรรมดา เป็นผู้เทย่ี ง จะตรัสร้ไู ดใ้ นกาล เบอ้ื งหนา้ บคุ คลเปน็ สมณะผไู้ มห่ วน่ั ไหวเปน็ อยา่ งนแ้ี ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะบุณฑริกเป็นอย่างไร ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ เป็นสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง (ราคโทสโมหาน ตนตุ ฺตา) จะมาสโู่ ลกนอ้ี กี ครงั้ เดยี วเทา่ นน้ั แลว้ จะท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ บุคคลเปน็ สมณะบณุ ฑรกิ เป็นอย่างนี้แล. 1. ใน -บาลี ปา. ที. ๑๑/๑๙๓/๒๗๗. มีการเรียงตำ�แหน่งของลำ�ดับท่ี ๒ และ ๓ ต่างออกไปดงั นี้ คือ สมณะมจละ สมณะปทมุ ะ สมณะปณุ ฑรกี ะ สมณะสขุ มุ าล. -ผู้รวบรวม 2
เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะปทุมะเป็นอย่างไร ภิกษุ ในธรรมวนิ ยั นเ้ี ปน็ โอปปาตกิ ะ เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ ส้ินไป จะปรินิพพานในท่ีน้ัน มีอันไม่กลับจากโลกน้ัน เป็นธรรมดา บคุ คลเปน็ สมณะปทมุ ะเปน็ อยา่ งน้ีแล. ภิกษุท้ังหลาย ก็สมณะสุขุมาล เป็นอย่างไร ภิกษุ ในธรรมวนิ ยั น้ี กระท�ำ ใหแ้ จง้ ซงึ่ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความส้ินไปแห่งอาสวะท้ังหลาย ด้วยปัญญาอันย่งิ เองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ บุคคลเป็นสมณะ สขุ มุ าลเปน็ อยา่ งนแ้ี ล. ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกเหลา่ นแ้ี ล มปี รากฏ อยู่ในโลก. 3
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ กู ปดิ : สกทาคามี สกทาคามใี นภพมนุษย์ 02 -บาลี อปุ ร.ิ ม. ๑๔/๑๙๑/๒๘๔. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษบุ รษิ ทั นี้ ไมเ่ หลวไหลเลย ภกิ ษุ ทั้งหลาย ภิกษุบริษัทนี้ไม่เหลวแหลกเลย ภิกษุบริษัทน้ี ต้ังอย่แู ลว้ ในธรรมทเี่ ปน็ สาระล้วน. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บรษิ ทั เชน่ ใด มลี กั ษณะเปน็ ผคู้ วรแก่ ของค�ำ นบั ควรแกข่ องตอ้ นรบั ควรแกข่ องท�ำ บญุ ควรแกก่ ารท�ำ อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไมม่ นี าบญุ อนื่ ยงิ่ กวา่ หมภู่ กิ ษนุ กี้ ม็ ี ลักษณะเชน่ นน้ั ภกิ ษบุ ริษทั นี้ก็มีลักษณะเช่นน้ัน. ภิกษุทั้งหลาย บริษัทเช่นใด มีลักษณะท่ีทานอัน บุคคลให้น้อย แต่กลับมีผลมาก ทานที่ให้มาก ก็มีผลมาก ทวียิ่งขึ้น หมู่ภิกษุน้ีก็มีลักษณะเช่นนั้น ภิกษุบริษัทนี้ก็มี ลักษณะเชน่ นนั้ . ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรษิ ทั เชน่ ใด มลี กั ษณะยากทชี่ าวโลก จะได้เห็น หมู่ภิกษุนี้ก็มีลักษณะเช่นน้ัน ภิกษุบริษัทนี้ก็มี ลักษณะเช่นนัน้ . ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บรษิ ทั เชน่ ใด มลี กั ษณะทคี่ วรจะไปดู ไปเหน็ แม้จะตอ้ งเดนิ สิ้นหนทางนบั ด้วยโยชน์ๆ ถงึ กบั ตอ้ ง เอาห่อเสบียงไปด้วยก็ตาม หมู่ภิกษุน้ีก็มีลักษณะเช่นนั้น ภิกษบุ ริษทั น้ีกม็ ีลักษณะเช่นนัน้ . 4
เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : สกทาคามี ภิกษุทั้งหลาย ในหมู่ภิกษุน้ี มีพวกภิกษุซ่ึงเป็น อรหนั ต์ สน้ิ อาสวะแลว้ อยจู่ บพรหมจรรยแ์ ลว้ มกี จิ ทค่ี วรท�ำ ไดท้ �ำ ส�ำ เรจ็ แลว้ มภี าระปลงลงไดแ้ ลว้ มปี ระโยชนข์ องตนเอง บรรลุแล้วโดยลำ�ดับ มีสังโยชน์ในภพส้ินแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ทั่วถึงโดยชอบ พวกภิกษุแม้เห็นปานนี้ ก็มีอยู่ใน หมู่ภิกษนุ .ี้ ภิกษุท้ังหลาย ในหมู่ภิกษุน้ี มีพวกภิกษุซ่ึงสิ้น โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ เปน็ โอปปาตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในทน่ี นั้ มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานนี้ ก็มอี ยใู่ นหมู่ภกิ ษนุ ้ี. ภิกษุท้ังหลาย ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซึ่งส้ิน สงั โยชน์ ๓ และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง (ราคโทสโมหาน ตนุตฺตา) เป็นสกทาคามี มาสู่โลกน้ีอีกครั้งเดียวเท่าน้ัน แล้วจะทำ�ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานน้ี กม็ อี ยใู่ น หมภู่ กิ ษนุ .้ี ภิกษุทั้งหลาย ในหมู่ภิกษุนี้ มีพวกภิกษุซ่ึงส้ิน สงั โยชน์ ๓ เปน็ โสดาบนั มคี วามไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี ง จะตรสั รไู้ ดใ้ นกาลเบอื้ งหนา้ พวกภกิ ษแุ มเ้ หน็ ปานน้ี กม็ อี ยู่ในหมภู่ ิกษุนี้. 5
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ในหมภู่ กิ ษนุ ี้ มพี วกภกิ ษซุ งึ่ ประกอบ ความเพยี รเปน็ เครอ่ื งตอ้ งท�ำ เนอื งๆ ในการอบรมสตปิ ฏั ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรยี ์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค ์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อสุภะ อนิจจสัญญา และอานาปานสติ พวกภิกษุแม้เห็นปานน้ี ก็มอี ยูใ่ นหมู่ภกิ ษุนี้. (เนอ้ื ความของพระสตู รนไ้ี ดน้ �ำ มาใสไ่ วโ้ ดยยอ่ ดว้ ยเพอ่ื ให้ เห็นการกล่าวถึงสกทาคามีที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้ที่สนใจสามารถอ่าน เน้อื ความเต็มไดจ้ ากพระสูตร. -ผู้รวบรวม) 6
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี กู ปิด : สกทาคามี สกทาคามี เปรียบไดก้ ับ 03 บคุ คลผวู้ ่ายเขา้ หาฝัง่ -บาลี สตตฺ ก. อ.ํ ๒๓/๑๐/๑๕. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเปรยี บดว้ ยคนตกน�้ำ ๗ จ�ำ พวก เหล่าน้ี มีปรากฏอยใู่ นโลก ๗ จำ�พวกอะไรบา้ ง คือ (1) บุคคลบางคนในโลกนี้ จมลงคราวเดียวแล้ว กเ็ ป็นอนั จมอยนู่ ัน่ เอง (สกึ นิมุคฺโค นิมุคฺโค) (2) บางคนโผลข่ น้ึ มาแลว้ กลบั จมลงไปอกี (อมุ มฺ ชุ ชฺ ติ วฺ า นิมุชชฺ ต)ิ (3) บางคนโผลข่ น้ึ มาแลว้ ทรงตวั อย ู่(อมุ มฺ ชุ ชฺ ติ วฺ า โิ ต) (4) บางคนโผลข่ น้ึ มาแลว้ เหลยี วดรู อบๆ (อมุ มฺ ชุ ชฺ ติ วฺ า วปิ สฺสติ วิโลเกติ) (5) บางคนโผลข่ น้ึ มาแลว้ วา่ ยหาฝง่ั (อมุ มฺ ชุ ชฺ ติ วฺ า ปตรต)ิ (6) บางคนโผลข่ นึ้ มาแลว้ เขา้ มาถงึ ทตี่ นื้ (อมุ มฺ ชุ ชฺ ติ วฺ า ปตคิ าธปฺปตฺโต โหต)ิ (7) บางคนโผลข่ นึ้ มาแลว้ ขา้ มถงึ ฝง่ั เปน็ พราหมณ์ อยบู่ นบก (อมุ มฺ ชุ ชฺ ติ วฺ า ตณิ โฺ ณ โหติ ปารคโต ถเล ตฏิ ฺ ต)ิ 7
พทุ ธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลที่จมลงคราวเดียวแล้ว ก็เป็นอันจมอยู่น่ันเองเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผ้ปู ระกอบดว้ ยอกศุ ลธรรมฝ่ายด�ำ โดย ส่วนเดียว ภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่จมลงคราวเดียวแล้ว กเ็ ป็นอนั จมอยนู่ ัน่ เองเปน็ อยา่ งน้แี ล. ภิกษทุ ้งั หลาย กบ็ คุ คลที่โผลข่ ึน้ มาแล้ว กลับจมลง ไปอีกเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ โผลข่ นึ้ มาแล้ว คือ เขามีศรทั ธาดี หิรดิ ิี โอตตัปปะดี วิริยะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมท้ังหลาย แต่ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาของเขาน้ัน ไม่ตั้งอยู่นาน ไมเ่ จรญิ ขน้ึ เสอ่ื มไปฝา่ ยเดยี ว ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลทโ่ี ผลข่ น้ึ มาแล้ว กลับจมลงไปอกี เป็นอย่างนแี้ ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลท่ีโผล่ขึ้นมาแล้ว ทรงตัวอยู่ เปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกนโ้ี ผลข่ นึ้ มาแล้ว คือ เขามีศรัทธาดี หิริดิี โอตตัปปะดี วิริยะดี และ ปัญญาดี ในกุศลธรรมท้ังหลาย ส่วนศรทั ธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาของเขานั้น ไม่เส่ือมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลท่ีโผล่ข้ึนมาแล้ว ทรงตัวอยู่ เปน็ อย่างน้ีแล. 8
เปดิ ธรรมทถี่ กู ปิด : สกทาคามี ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลท่ีโผล่ขึ้นมาแล้ว เหลียวดู รอบๆ เปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ โผลข่ ้นึ มาแล้ว คือ เขามศี รัทธาดี หิรดิ ิี โอตตปั ปะดี วริ ยิ ะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป เขาเป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ�เป็นธรรมดา เป็น ผเู้ ทย่ี ง จะตรสั รไู้ ดใ้ นกาลเบอื้ งหนา้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ทโ่ี ผล่ขน้ึ มาแล้ว เหลียวดรู อบๆ เป็นอย่างนีแ้ ล. ภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ข้ึนมาแล้ว ว่ายหาฝั่ง เปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลบางคนในโลกนี้ โผลข่ น้ึ มาแล้ว คือ เขามีศรัทธาดี หิริดีิ โอตตัปปะดี วิริยะดี และ ปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสังโยชน์ ๓ ส้ินไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เขาเปน็ สกทาคามี จะมาสู่ โลกนอ้ี กี ครง้ั เดยี วเทา่ นนั้ แลว้ จะท�ำ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด ้ ภกิ ษุ ท้งั หลาย บุคคลที่โผล่ข้ึนมาแลว้ ว่ายหาฝ่งั เปน็ อย่างนแ้ี ล. ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้ว เข้ามาถึง ที่ตื้นเป็นอย่างไร ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ โผลข่ ึน้ มาแล้ว คือ เขามีศรทั ธาดี หริ ิดิี โอตตปั ปะดี วิรยิ ะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะโอรัมภาคิย- สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป เขาเปน็ โอปปาตกิ ะ จะปรนิ พิ พานในทนี่ นั้ 9
พทุ ธวจน - หมวดธรรม มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เปน็ ธรรมดา ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล ทโ่ี ผล่ขึ้นมาแลว้ เข้ามาถึงท่ตี ื้นเปน็ อยา่ งนี้แล. ภิกษุท้ังหลาย ก็บุคคลท่ีโผล่ขึ้นมาแล้ว ข้ามถึงฝ่ัง เปน็ พราหมณ์ อยบู่ นบกเปน็ อยา่ งไร ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คล บางคนในโลกนี้ โผล่ข้ึนมาแล้ว คือ เขามีศรัทธาดี หิริดิี โอตตัปปะดี วิริยะดี และปัญญาดี ในกุศลธรรมท้ังหลาย เขากระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปญั ญาวมิ ตุ ติ อนั หาอาสวะมไิ ด้ เพราะความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทงั้ หลาย ดว้ ยปญั ญาอนั ยง่ิ เอง ในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อย ู่ ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลทโ่ี ผลข่ นึ้ มาแลว้ ข้ามถึงฝัง่ เป็นพราหมณ์ อยูบ่ นบกเป็นอยา่ งน้ีแล. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คลเปรยี บดว้ ยคนตกน�้ำ ๗ จ�ำ พวก เหลา่ น้แี ล มปี รากฏอยูใ่ นโลก. 10
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี กู ปิด : สกทาคามี เปน็ สกทาคามี ไดก้ ายชั้นดุสติ 04 -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๔๙/๗๕. ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ … มคิ สาลาอบุ าสกิ าไดถ้ ามขา้ พระองคว์ า่ ข้าแต่ท่านอานนท์ ธรรมน้ีที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คนสองคน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ คนหน่ึงไม่ ประพฤติพรหมจรรย์ จะเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายะ อันวิญญูชน จะพงึ รู้ทั่วถงึ ได้อยา่ งไร คือ บดิ าของดฉิ นั ชอื่ ปรุ าณะ เปน็ ผปู้ ระพฤตพิ รหมจรรย์ ประพฤตหิ า่ งไกล งดเวน้ จากเมถนุ อนั เปน็ ธรรมของชาวบา้ น ท่านทำ�กาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็น สกทาคามไี ดก้ ายชนั้ ดสุ ติ บรุ ษุ ชอ่ื อสิ ทิ ตั ตะ ผเู้ ปน็ ทรี่ กั ของ บิดาของดิฉัน ไม่เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ยินดีด้วย ภรรยาของตน แม้เขาทำ�กาละแล้วพระผู้มีพระภาคก็ทรง พยากรณว์ ่า เปน็ สกทาคามไี ดก้ ายชั้นดสุ ิต. ข้าแต่ท่านอานนท์ ธรรมน้ีท่ีพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันเป็นเหตุให้คนสองคน คือ คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ คนหนึ่งไม่ ประพฤติพรหมจรรย์ จะเป็นผู้มีคติเสมอกันในสัมปรายะ อันวิญญูชน จะพงึ รู้ทว่ั ถึงได้อย่างไร. เม่ือมิคสาลาอุบาสิกากล่าวอย่างนี้แล้ว ข้าพระองค์ได้กล่าวกะ มิคสาลาอุบาสิกาว่า น้องหญิง ก็ข้อนี้พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ไว้ อย่างนแี้ ล. 11
พทุ ธวจน - หมวดธรรม อานนท ์ กม็ คิ สาลาอบุ าสกิ าเปน็ พาล ไมฉ่ ลาด เปน็ คนบอด มปี ญั ญาทบึ เปน็ อะไร และสมั มาสมั พทุ ธะเปน็ อะไร ในญาณเคร่ืองกำ�หนดรู้ความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของ บุคคล … อานนท์ พวกคนผู้ถือประมาณย่อมประมาณใน เรอื่ งนนั้ ว่า ธรรมแมข้ องคนนก้ี เ็ หลา่ นนั้ แหละ ธรรมแมข้ อง คนอน่ื กเ็ หลา่ นน้ั แหละ เพราะเหตอุ ะไรในสองคนนน้ั คนหนง่ึ เลว คนหนึ่งดี ก็การประมาณของคนผู้ถือประมาณเหล่านั้น ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ สน้ิ กาลนาน … เพราะกระแสแหง่ ธรรมยอ่ มถกู ตอ้ งบคุ คลนี้ ใครเลา่ จะพงึ รเู้ หตนุ น้ั ได้ นอกจากตถาคต อานนท ์ เพราะ เหตุน้ันแหละ เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ชอบประมาณ ในบคุ คลและอยา่ ไดถ้ อื ประมาณในบคุ คล เพราะผถู้ อื ประมาณ ในบคุ คลยอ่ มท�ำ ลายคณุ วเิ ศษของตน เราหรอื ผทู้ เี่ หมอื นเรา พงึ ถือประมาณในบุคคลได้ … . 12
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : สกทาคามี ความเปน็ อรยิ บคุ คล 05 กับอินทรีย์ ๕ -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๖๕/๘๗๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อนิ ทรยี ์ ๕ ประการเหลา่ น ี้ ๕ ประการ อะไรบา้ ง คอื สัทธนิ ทรยี ์ วิริยนิ ทรีย์ สตินทรยี ์ สมาธนิ ทรยี ์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหลา่ นแี้ ล อนิ ทรยี ์ ๕ ประการ. (1) ภิกษุท้ังหลาย บุคคลเป็นอรหันต์ เพราะ อนิ ทรยี ์ ๕ เตม็ บรบิ รู ณ์ (2) เป็นอนาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรยี ข์ องอรหนั ต์ (3) เป็นสกทาคามี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรยี ข์ องอนาคามี (4) เป็นโสดาบัน เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อนิ ทรยี ข์ องสกทาคามี (5) เปน็ ธมั มานุสารี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อินทรยี ์ของโสดาบนั (6) เปน็ สัทธานสุ ารี เพราะอินทรยี ์ ๕ ยังออ่ นกวา่ อินทรยี ข์ องธัมมานุสารี. (มอี กี หลายสตู ร ทไ่ี ดต้ รสั ในท�ำ นองวา่ เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ตา่ งกนั จึงได้ความเป็นอริยบุคคลที่แตกต่างกัน สามารถศึกษาเพ่ิมเติมได้จาก พทุ ธวจน-หมวดธรรม เล่ม ๑๖ และจากพระไตรปฎิ ก. -ผู้รวบรวม) 13
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ถี ูกปดิ : สกทาคามี เอกพชี ี อนิ ทรยี ์ ๕ ออ่ นกวา่ สกทาคามี 06 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๒๖๖/๘๘๓. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย อนิ ทรยี ์ ๕ ประการเหลา่ น ี้ ๕ ประการ อะไรบ้าง คอื สทั ธินทรยี ์ วิริยนิ ทรีย์ สตนิ ทรีย์ สมาธินทรีย์ ปญั ญนิ ทรยี ์ ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหลา่ นแี้ ล อนิ ทรยี ์ ๕ ประการ. (1) ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นอรหันต์ เพราะ อินทรีย์ ๕ ประการน้ีเต็มบรบิ รู ณ์ (2) เป็นอันตราปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกว่าอินทรีย์ของอรหันต์ (3) เป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรีย์ของอันตราปรินพิ พายี (4) เป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกว่าอนิ ทรียข์ องอุปหจั จปรนิ พิ พายี (5) เป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกวา่ อินทรียข์ องอสังขารปรนิ ิพพายี (6) เปน็ อทุ ธงั โสโตอกนฏิ ฐคามี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกว่าอนิ ทรยี ์ของสสงั ขารปรนิ พิ พายี (7) เป็นสกทาคามี เพราะอินทรยี ์ ๕ ยังออ่ นกว่า อนิ ทรยี ์ของอทุ ธังโสโตอกนิฏฐคามี 14
เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปดิ : สกทาคามี (8) เป็นเอกพีชี เพราะอินทรีย์ ๕ ยังอ่อนกว่า อินทรียข์ องสกทาคามี (9) เป็นโกลังโกละ เพราะอินทรีย์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรียข์ องเอกพชี ี (10) เป็นสัตตักขัตตุปรมะ เพราะอินทรีย์ ๕ ยังออ่ นกวา่ อนิ ทรยี ์ของโกลงั โกละ (11) เปน็ ธมั มานสุ ารี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อนิ ทรยี ์ของสตั ตกั ขัตตุปรมะ (12) เปน็ สทั ธานสุ ารี เพราะอนิ ทรยี ์ ๕ ยงั ออ่ นกวา่ อินทรยี ์ของธัมมานุสารี. (ในสูตรอ่ืนๆ มีตรัสช่วงท้ายต่างกันออกไป ได้แก่ ด้วย อาการอยา่ งน้ี ความตา่ งแหง่ ผลยอ่ มมไี ดเ้ พราะความตา่ งแหง่ อนิ ทรยี ์ ความตา่ งแหง่ บคุ คลยอ่ มมไี ดเ้ พราะความตา่ งแหง่ ผล, หรอื อนิ ทรยี ์ ๕ ประการน้ี ไมม่ แี กผ่ ใู้ ดเสยี เลยโดยประการทง้ั ปวง เราเรยี กผนู้ น้ั วา่ เป็นคนภายนอก ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน, หรือ บุคคลผู้กระทำ�ให้ บริบูรณ์ ย่อมให้สำ�เร็จได้บริบูรณ์ (ความเป็นอรหันต์) บุคคล ผู้กระทำ�ได้บางส่วน ย่อมให้สำ�เร็จได้บางส่วน เรากล่าวอินทรีย์ ๕ ว่าไม่เปน็ หมนั เลย. -ผ้รู วบรวม) 15
พุทธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถูกปดิ : สกทาคามี ความเปน็ อรยิ บคุ คล 07กบั การละสงั โยชน์ (บคุ คล ๔ จ�ำ พวก) -บาลี จตกุ กฺ . อ.ํ ๒๑/๑๘๑/๑๓๑. ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บคุ คล ๔ จ�ำ พวกน้ี มปี รากฏอยใู่ นโลก ๔ จำ�พวกอะไรบ้าง คือ (1) ภิกษุท้ังหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละ โอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพ ไม่ได้. (2) อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี ละโอรัมภาคิย- สังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติ ไม่ได้ และยังละสงั โยชน์อันเป็นปจั จยั เพ่อื ให้ไดภ้ พไมไ่ ด.้ (3) อน่ึง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิย- สังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติได้ แตย่ งั ละสงั โยชน์อันเป็นปัจจยั เพอ่ื ให้ได้ภพไม่ได้. (4) อน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี ละโอรัมภาคิย- สังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติได้ และละสงั โยชนอ์ ันเปน็ ปัจจัยเพื่อให้ไดภ้ พได.้ 16
เปดิ ธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี ภกิ ษทุ งั้ หลาย กบ็ คุ คลจ�ำ พวกไหน ยงั ละโอรมั ภาคยิ - สังโยชน์ไม่ได้ (โอรมฺภาคิยานิ สฺโชนานิ อปฺปหีนานิ) ยังละ สงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอื่ ใหไ้ ดอ้ บุ ตั ไิ มไ่ ด้ (อปุ ปฺ ตตฺ ปิ ฏลิ าภกิ านิ สโฺ ชนานิ อปปฺ หนี าน)ิ ยงั ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ใหไ้ ดภ้ พ ไม่ได้ (ภวปฏิลาภิกานิ สฺโชนานิ อปฺปหีนานิ) คือ สกทาคามี ภิกษุทั้งหลาย บุคคลน้ีแล ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละ สงั โยชน์อันเป็นปัจจัยเพือ่ ให้ไดภ้ พไมไ่ ด.้ ภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำ�พวกไหน ละโอรัมภาคิย- สงั โยชนไ์ ด้ (โอรมภฺ าคยิ านิ สโฺ ชนานิ ปหนี าน)ิ แตย่ งั ละสงั โยชน์ อันเป็นปัจจัยเพ่ือให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็น ปจั จัยเพือ่ ใหไ้ ด้ภพไม่ได้ คอื อุทธังโสโตอกนฏิ ฐคามี (ผมู้ ี กระแสเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ) ภิกษุท้ังหลาย บุคคลน้ีแล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ และยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ให้ไดภ้ พไมไ่ ด้. ภิกษุท้ังหลาย บุคคลจำ�พวกไหน ละโอรัมภาคิย- สงั โยชนไ์ ด้ ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั เพอ่ื ใหไ้ ดอ้ บุ ตั ไิ ด้ (อปุ ปฺ ตตฺ -ิ ปฏลิ าภกิ านิ สโฺ ชนานิ ปหนี าน)ิ แตย่ งั ละสงั โยชนอ์ นั เปน็ ปจั จยั 17
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เพือ่ ใหไ้ ด้ภพไมไ่ ด้ คือ อันตราปรินพิ พาย ี ภกิ ษุทง้ั หลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อ ใหไ้ ดภ้ พไมไ่ ด.้ ภิกษุท้ังหลาย บุคคลจำ�พวกไหน ละโอรัมภาคิย- สังโยชนไ์ ด้ ละสงั โยชน์อนั เปน็ ปัจจยั เพ่อื ให้ได้อบุ ตั ิได้ และ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพได้ (ภวปฏิลาภิกานิ สโฺ ชนานิ ปหนี าน)ิ คอื อรหนั ตผ์ สู้ นิ้ อาสวะแลว้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัยเพื่อให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ ภพได.้ ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำ�พวกนี้แล มีปรากฏอยู่ ในโลก. (ควรดปู ระกอบเพม่ิ เตมิ เรอ่ื ง “อปุ มาชา่ งตเี หลก็ ” ในหนงั สอื พุทธวจน-หมวดธรรม เล่ม ๑๖ อนาคามี หน้า ๒๘. และจาก พระไตรปฎิ ก. -ผู้รวบรวม) 18
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปิด : สกทาคามี สังโยชน์ ๑๐ 08 -บาลี ทสก. อ.ํ ๒๔/๑๘/๑๓. ภกิ ษทุ งั้ หลาย สงั โยชน์ ๑๐ ประการน ้ี ๑๐ ประการ อะไรบา้ ง คอื โอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ (สงั โยชนเ์ บอื้ งต�ำ่ ) ๕ ประการ อทุ ธมั ภาคยิ สงั โยชน์ (สังโยชน์เบือ้ งสูง) ๕ ประการ. โอรมั ภาคยิ สังโยชน์ ๕ ประการอะไรบา้ ง คือ (1) สกั กายทิฏฐิ (2) วจิ ิกจิ ฉา (3) สีลัพพตปรามาส (4) กามฉนั ทะ (5) พยาบาท เหล่านี้แล โอรมั ภาคิยสงั โยชน์ ๕ ประการ. อุทธมั ภาคยิ สังโยชน์ ๕ ประการอะไรบ้าง คอื (1) รูปราคะ (2) อรูปราคะ (3) มานะ (4) อุทธจั จะ (5) อวิชชา เหลา่ นแ้ี ล อุทธมั ภาคยิ สังโยชน์ ๕ ประการ. ภกิ ษทุ ั้งหลาย เหลา่ นแ้ี ล สังโยชน์ ๑๐ ประการ. 19
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมทถ่ี ูกปิด : สกทาคามี ความเปน็ อรยิ บคุ คล กบั การละ 09กามโยคะและภวโยคะ (บคุ คล ๓ จ�ำ พวก) -บาลี อติ วิ .ุ ข.ุ ๒๕/๓๐๓/๒๗๖. (กามโยคยภตุ ิกโฺ ตษ)ทุ ั้งแหลละาปยร ะบกุคอบคแลลผวู้้ปดรว้ ะยกภอวบโแยคล้วะด(ภ้วยวโกยาคมยตุโโยฺ ตค)1ะ เป็นอาคามี ยังตอ้ งมาสู่ความเป็นอย่างน้ี. ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ (กามโยควสิ ย ตุ โฺ ต) (แต)่ ยงั ประกอบดว้ ยภวโยคะ เปน็ อนาคามี ไมม่ าสูค่ วามเปน็ อย่างนี้. ภิกษุท้ังหลาย บุคคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ พรากแล้วจากภวโยคะ (ภวโยควิสยุตฺโต) เป็นอรหันต์ ส้ินอาสวะแล้ว. สตั วท์ ง้ั หลายผปู้ ระกอบแลว้ ดว้ ยกามโยคะและภวโยคะ ยอ่ มไปสสู่ งั สารวฏั ซง่ึ มปี กตถิ งึ ความเกดิ และความตาย. สว่ นสตั วเ์ หลา่ ใดละกามทง้ั หลายไดเ้ ดด็ ขาด แตย่ งั ไมถ่ งึ ความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะ ยงั ประกอบดว้ ยภวโยคะ สตั วเ์ หลา่ นนั้ บณั ฑติ กล่าวว่า เปน็ อนาคาม.ี ส่วนสตั วเ์ หลา่ ใดตดั ความสงสัยไดแ้ ล้ว มมี านะและ มีภพใหม่ส้ินแล้ว ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแล้ว สตั วเ์ หลา่ นน้ั แลถงึ ฝ่งั แลว้ ในโลก. 1. กามโยคะ = เครอ่ื งผกู คอื กาม, ภวโยคะ = เครอ่ื งผกู คอื ภพ. -ผรู้ วบรวม 20
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทถี่ ูกปิด : สกทาคามี ความเป็นอริยบคุ คล 10 กับสกิ ขา ๓ -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗/๕๒๖. ภิกษุท้ังหลาย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ มาสู่อุเทศ ทุกก่ึงเดือน ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาประโยชน์ศึกษา กันอยู่. ภกิ ษทุ งั้ หลาย สกิ ขา ๓ น้ี ทส่ี กิ ขาบท ๑๕๐ นน้ั รวมอยู่ ด้วยท้ังหมด สิกขา ๓ น้ันอะไรบ้าง คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ภิกษุท้ังหลาย สิกขา ๓ เหลา่ นแ้ี ล ที่สกิ ขาบท ๑๕๐ นนั้ รวมอยู่ดว้ ยทงั้ หมด. ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีล (สีเลสุ ปริปูรการี) เป็นผู้ทำ�พอประมาณใน สมาธิ (สมาธสิ ฺมึ มตฺตโสการ)ี เปน็ ผู้ท�ำ พอประมาณในปัญญา (ปฺ าย มตฺตโสการี) เธอยอ่ มล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบา้ ง ย่อม ออกจากอาบตั นิ น้ั บา้ ง ขอ้ นนั้ เพราะเหตอุ ะไร เพราะไมม่ ใี คร กล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทเหล่านี้ แต่ว่า สิกขาบทเหล่าใด เป็นเบ้ืองต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่ พรหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลย่ังยืน และเป็นผู้มีศีลมั่นคงใน สิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทท้ังหลาย เธอเปน็ โสดาบนั เพราะสังโยชน์ ๓ ส้นิ ไป มคี วามไมต่ กต�ำ่ เปน็ ธรรมดา เปน็ ผเู้ ทย่ี ง จะตรสั รไู้ ดใ้ นกาลเบอ้ื งหนา้ . 21
พุทธวจน - หมวดธรรม ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�พอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ� พอประมาณในปัญญา เธอย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ยอ่ มออกจากอาบตั นิ น้ั บา้ ง ขอ้ นน้ั เพราะเหตอุ ะไร เพราะไมม่ ใี คร กล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วงสิกขาบทเหล่านี้ แต่ว่า สิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ สมควรแก่ พรหมจรรย์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื และมศี ลี มนั่ คงในสกิ ขาบท เหล่าน้ัน สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทท้ังหลาย เธอเป็น สกทาคามี เพราะสงั โยชน์ ๓ สน้ิ ไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง จะมาสู่โลกน้ีอีกคร้ังเดียวเท่าน้ัน แล้วจะทำ� ที่สุดแหง่ ทุกขไ์ ด.้ ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศลี (สเี ลสุ ปริปูรการี)เป็นผู้ท�ำ ใหบ้ ริบูรณใ์ นสมาธ ิ (สมาธสิ มฺ ึ ปรปิ รู การ)ี เปน็ ผทู้ �ำ พอประมาณในปญั ญา (ปฺ าย มตตฺ โสการ)ี เธอยอ่ มลว่ งสกิ ขาบทเลก็ นอ้ ยบา้ ง ยอ่ มออกจาก อาบัตินั้นบ้าง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะไม่มีใครกล่าว ความเปน็ คนอาภพั เพราะลว่ งสกิ ขาบทเหลา่ น้ี แตว่ า่ สกิ ขาบท เหลา่ ใด เปน็ เบอ้ื งตน้ แหง่ พรหมจรรย์ สมควรแกพ่ รหมจรรย์ เธอเป็นผู้มีศีลยั่งยืน และมีศีลม่ันคงในสิกขาบทเหล่านั้น สมาทานศกึ ษาอยู่ในสกิ ขาบททง้ั หลาย เธอเปน็ โอปปาตกิ ะ 22
เปิดธรรมทถ่ี กู ปดิ : สกทาคามี จะปรนิ พิ พานในทน่ี น้ั มอี นั ไมก่ ลบั จากโลกน้ันเป็นธรรมดา เพราะโอรมั ภาคิยสังโยชน์ ๕ สิน้ ไป. ภิกษุท้ังหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำ�ให้ บรบิ รู ณใ์ นปญั ญา (ปฺ าย ปรปิ รู การ)ี เธอยอ่ มลว่ งสกิ ขาบท เล็กน้อยบ้าง ย่อมออกจากอาบัติน้ันบ้าง ข้อน้ันเพราะเหตุ อะไร เพราะไม่มีใครกล่าวความเป็นคนอาภัพเพราะล่วง สิกขาบทเหล่านี้ แต่ว่าสิกขาบทเหล่าใด เป็นเบื้องต้นแห่ง พรหมจรรย์ สมควรแกพ่ รหมจรรย์ เธอเปน็ ผมู้ ศี ลี ยง่ั ยนื และ มศี ลี มน่ั คงในสกิ ขาบทเหลา่ นน้ั สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสกิ ขาบท ทง้ั หลาย เธอท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวิมุตติ ปญั ญาวมิ ุตติ อนั หา อาสวะมไิ ด้ เพราะความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย ดว้ ยปญั ญา อนั ยง่ิ เองในปัจจุบันเข้าถงึ อย.ู่ ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุทำ�ได้เพียงบางส่วน ย่อมให้ สำ�เร็จบางส่วน ผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ ย่อมให้สำ�เร็จได้บริบูรณ์ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวสิกขาบททั้งหลายว่า ไมเ่ ป็นหมันเลย. (ในสตู รอน่ื -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๙-๓๐๑/๕๒๗-๕๒๘. กไ็ ด้ ตรสั โดยท�ำ นองเดยี วกนั น้ี แตก่ ลา่ วถงึ ประเภทอรยิ บคุ คลตา่ งจากไปจากนี้ บางส่วน. -ผูร้ วบรวม) 23
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี สิกขา ๓ 11 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๓๐๓/๕๒๙. ภิกษุทั้งหลาย สิกขา ๓ น้ี สิกขา ๓ อะไรบ้าง คอื อธศิ ีลสิกขา อธิจติ ตสกิ ขา อธปิ ัญญาสิกขา. ภิกษุท้ังหลาย ก็อธิศีลสิกขาเป็นอย่างไร ภิกษุ ท้งั หลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี เป็นผู้มีศีล สำ�รวมแล้วด้วย ความสำ�รวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษท้ังหลายแม้มีประมาณน้อย สมาทาน ศึกษาอยู่ในสิกขาบทท้ังหลาย ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า อธิศลี สกิ ขา. ภิกษุท้ังหลาย ก็อธิจิตตสิกขาเป็นอย่างไร ภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะสงัดจากกามและ อกุศลธรรมท้งั หลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสขุ อนั เกดิ จากวเิ วกแลว้ แลอย ู่ เพราะสงบวติ กและวจิ าร เสียได้ จึงบรรลุทุติยฌาน อันเป็นเคร่ืองผ่องใสแห่งจิตใน ภายใน ใหส้ มาธเิ ปน็ ธรรมเอกผดุ ขนึ้ ไมม่ วี ติ ก ไมม่ วี จิ าร มแี ต่ ปตี แิ ละสขุ อนั เกดิ จากสมาธแิ ลว้ แลอย ู่ เพราะความจางคลาย ไปแหง่ ปตี ิ จงึ อยอู่ เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะ และยอ่ มเสวยสขุ ดว้ ยกาย จงึ บรรลตุ ตยิ ฌาน อนั เปน็ ฌานทพี่ ระอรยิ ะทงั้ หลาย กลา่ ววา่ ผไู้ ดฌ้ านนเี้ ปน็ ผอู้ ยอู่ เุ บกขา มสี ตอิ ยเู่ ปน็ สขุ เพราะ 24
เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี ละสขุ และทกุ ขเ์ สยี ได้ เพราะความดบั หายไปแหง่ โสมนสั และ โทมนัสท้ังหลายในกาลก่อน จึงบรรลุจตุตถฌาน อันไม่มี ทุกข์ไม่มีสุข มีแต่สติอันบริสุทธ์ิเพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย นเ้ี รยี กวา่ อธจิ ติ ตสกิ ขา. ภิกษุทั้งหลาย ก็อธิปัญญาสิกขาเป็นอย่างไร ภิกษุ ทง้ั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มรชู้ ดั ตามความเปน็ จรงิ วา่ นที้ กุ ข์ นเ้ี หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ นค้ี วามดบั ทกุ ข ์ นข้ี อ้ ปฏบิ ตั ใิ หถ้ งึ ความดับทุกข ์ ภกิ ษุทง้ั หลาย นเ้ี รยี กวา่ อธปิ ญั ญาสิกขา. ภกิ ษทุ งั้ หลาย เหล่านีแ้ ลสิกขา ๓. 25
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมท่ีถูกปดิ : สกทาคามี ผูท้ ตี่ ้องศึกษาสิกขา ๓ 12 -บาลี ตกิ . อ.ํ ๒๐/๒๙๗/๕๒๕. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า เสขะๆ ดังนี้ ด้วยเหตุ มปี ระมาณเทา่ ไรหนอ บคุ คลจึงช่ือวา่ เปน็ เสขะ. ภิกษ ุ ทเี่ รียกช่ือว่าเสขะ ดว้ ยเหตุว่ายงั ตอ้ งศกึ ษา ศึกษาอะไร ศึกษาอธิศลี สิกขา ศกึ ษาอธจิ ติ ตสกิ ขา และ ศึกษาอธิปัญญาสิกขา. ภกิ ษ ุ ทเี่ รยี กชอื่ วา่ เสขะ ดว้ ยเหตวุ า่ ยงั ตอ้ งศกึ ษาแล. 26
พทุ ธวจน - หมวดธรรม เปดิ ธรรมท่ีถกู ปิด : สกทาคามี บคุ คลที่มีเชื้อเหลือ แตพ่ ้นทคุ ติ 13 -บาลี นวก. อ.ํ ๒๓/๓๙๑/๒๑๖. สมัยหน่ึง ในเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรครองจีวร ถือบาตร เข้าไปบิณฑบาตในนครสาวัตถี ท่านเห็นว่าเวลายังเช้าเกินไปสำ�หรับ การบิณฑบาต จึงแวะเข้าไปในอารามของพวกปริพพาชกอัญญเดียรถีย์ ได้ทักทายปราศรัยกันพอสมควรแล้ว จึงน่ังลง ณ ท่ีควรส่วนข้างหนึ่ง ก็ในสมัยนั้น พวกปริพพาชกเหล่านั้น กำ�ลังน่ังประชุมสนทนากันว่า บคุ คลใด ใครกต็ าม ทย่ี งั มเี ชอื้ เหลอื (สอปุ าทเิ สสะ) ถา้ ตายแลว้ ยอ่ มไมพ่ น้ จากนรก ไม่พ้นจากกำ�เนิดเดรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัย ไม่พ้นจาก อบาย ทคุ ติ และวนิ ิบาต ทา่ นพระสารบี ุตรไมย่ นิ ดี ไม่คัดคา้ นถอ้ ยค�ำ ที่ ปริพพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่าน้ันกล่าว แล้วลุกจากท่ีน่ังไป โดยคิดว่า จะรทู้ ว่ั ถงึ เนอ้ื ความแหง่ ภาษติ นใ้ี นสำ�นักพระผู้มีพระภาค คร้ันกลับจาก บิณฑบาต ภายหลังอาหารแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผ้มู ีพระภาค กราบทูล ถงึ เรอ่ื งราวทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหท้ รงทราบ พระผมู้ ีพระภาคจึงตรสั ว่า. สารีบุตร ปริพพาชกอัญญเดียรถีย์บางพวกโง่เขลา ไมฉ่ ลาด จะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ใครมเี ชอื้ เหลอื (สอปุ าทเิ สสะ) หรอื ไมม่ ีเชื้อเหลือ (อนุปาทิเสสะ) สารบี ตุ ร บคุ คล ๙ จ�ำ พวกน้ี ที่มีเช้ือเหลือ เมื่อทำ�กาละ ย่อมพ้นจากนรก พ้นจาก ก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน พน้ จากเปรตวสิ ยั พน้ จากอบาย ทคุ ติ และ วินบิ าต ๙ จ�ำ พวกอะไรบา้ ง คอื 27
พทุ ธวจน - หมวดธรรม สารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำ�ให้ บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอ ประมาณในปัญญา บุคคลน้ันเป็นอันตราปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ส้ินไป สารีบุตร น้ีบุคคล จำ�พวกท่ี ๑ ที่มีเช้ือเหลือ เมื่อทำ�กาละ ย่อมพ้นจากนรก พ้นจากกำ�เนิดเดรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทคุ ติ และวนิ บิ าต. สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจ- ปรินพิ พายี เพราะโอรมั ภาคิยสงั โยชน์ ๕ ส้ินไป สารีบตุ ร นีบ้ คุ คลจำ�พวกท่ี ๒ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอสังขาร- ปรินิพพายี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป สารีบุตร นบ้ี ุคคลจ�ำ พวกท่ี ๓ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอประมาณในปัญญา บุคคลน้ันเป็นสสังขาร- ปรินิพพายี เพราะโอรัมภาคิยสงั โยชน์ ๕ สน้ิ ไป สารีบตุ ร นี้บุคคลจ�ำ พวกที่ ๔ … . 28
เปิดธรรมทถี่ กู ปิด : สกทาคามี สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในสมาธิ เปน็ ผทู้ �ำ พอประมาณในปญั ญา บคุ คลนนั้ เปน็ อทุ ธงั โสโต- อกนฏิ ฐคามี เพราะโอรมั ภาคยิ สงั โยชน์ ๕ สนิ้ ไป สารบี ตุ ร นีบ้ คุ คลจำ�พวกท่ี ๕ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�พอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอประมาณในปัญญา บุคคลน้ันเป็นสกทาคามี เพราะสงั โยชน์ ๓ สน้ิ ไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง จะมาสโู่ ลกนอี้ กี ครงั้ เดยี วเทา่ นนั้ แลว้ จะท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ สารีบตุ ร น้ีบุคคลจ�ำ พวกท่ี ๖ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�พอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอประมาณในปัญญา บุคคลน้ันเป็นเอกพีชี เพราะสงั โยชน์ ๓ สน้ิ ไป จะมาสภู่ พมนษุ ยน์ อี้ กี ครง้ั เดยี วเทา่ นนั้ (เอกเยว มานุสก ภว) แล้วจะทำ�ท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ สารีบุตร นบ้ี คุ คลจ�ำ พวกท่ี ๗ … . สารีบุตร อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผู้ทำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�พอประมาณในสมาธิ เป็นผู้ทำ�พอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ เพราะสงั โยชน์ ๓ สน้ิ ไป จะทอ่ งเทยี่ วอยู่ ๒-๓ ตระกลู เทา่ นน้ั แลว้ จะท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด ้ สารบี ตุ ร นบ้ี คุ คลจ�ำ พวกท่ี ๘ … . 29
พุทธวจน - หมวดธรรม สารีบุตร อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี เป็นผ้ทู ำ�ให้บริบูรณ์ในศีล เป็นผู้ทำ�พอประมาณในสมาธิ เปน็ ผทู้ �ำ พอประมาณในปญั ญา บคุ คลนน้ั เปน็ สตั ตกั ขตั ต-ุ ปรมะ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป จะท่องเที่ยวอยู่ในเทวดา และมนุษย์ ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง แล้วจะทำ�ท่ีสุดแห่งทุกข์ได้ สารีบุตร น้ีบุคคลจำ�พวกที่ ๙ ท่ีมีเชื้อเหลือ เม่ือทำ�กาละ ยอ่ มพน้ จากนรก พน้ จากก�ำ เนดิ เดรจั ฉาน พน้ จากเปรตวสิ ยั พ้นจากอบาย ทคุ ติ และวนิ ิบาต. สารีบุตร ปริพพาชกอัญญเดียรถีย์บางพวกโง่เขลา ไมฉ่ ลาด จะรไู้ ดอ้ ยา่ งไรวา่ ใครมเี ชอ้ื เหลอื หรอื ไมม่ เี ชอ้ื เหลอื . สารีบุตร บุคคล ๙ จำ�พวกน้ีแล ท่ีมีเชื้อเหลือ เม่ือทำ�กาละ ย่อมพ้นจากนรก พ้นจากกำ�เนิดเดรัจฉาน พน้ จากเปรตวสิ ยั พ้นจากอบาย ทุคติ และวนิ ิบาต. สารีบุตร ธรรมปริยายนี้ ยังไม่เคยแสดงแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกามาก่อน ข้อน้ันเพราะเหตุอะไร เพราะผู้ฟังธรรมปริยายนี้แล้ว จักเข้าถึงซ่ึงความประมาท อนง่ึ ธรรมปรยิ ายเชน่ นี้ เราจะกล่าวกต็ ่อเม่ือถกู ถามเจาะจง เท่าน้นั . 30
พุทธวจน - หมวดธรรม เปิดธรรมทีถ่ ูกปดิ : สกทาคามี บุคคลผ้พู ้นทุคติ หรอื ไมไ่ ปทคุ ติ 14 -บาลี มหาวาร. ส.ํ ๑๙/๔๗๑/๑๕๓๐. มหานาม บุคคลบางคนในโลกน้ี ประกอบด้วย ความเลอื่ มใสอยา่ งไมห่ วนั่ ไหวในพระพทุ ธเจา้ วา่ แมเ้ พราะ เหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคน้ัน เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เปน็ ผรู้ แู้ จง้ โลก เปน็ ผสู้ ามารถฝกึ คนทคี่ วรฝกึ อยา่ งไมม่ ใี คร ยง่ิ กวา่ เปน็ ครขู องเทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลาย เปน็ ผเู้ บกิ บานแลว้ เป็นผู้จำ�แนกธรรม เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใส อย่างไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า พระธรรมเป็นสิ่งท่ี พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว เป็นส่ิงที่เห็นได้ด้วยตนเอง เปน็ อกาลโิ ก เปน็ สง่ิ ทคี่ วรกลา่ วกะผอู้ นื่ วา่ ทา่ นจงมาดู เปน็ สง่ิ ท่ี ควรน้อมเข้ามาใส่ตน เป็นส่ิงท่ีผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน เป็นผู้ ประกอบดว้ ยความเลอ่ื มใสอยา่ งไมห่ วน่ั ไหวในพระสงฆว์ า่ สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ ปฏบิ ตั ติ รงแลว้ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ใิ หร้ ธู้ รรมเครอ่ื งออกจากทกุ ขแ์ ลว้ เป็นผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่าน้ี คือ คู่แห่ง บรุ ษุ สค่ี ู่ นบั เรยี งตวั ไดแ้ ปดบรุ ษุ นน่ั แหละ คอื สงฆส์ าวกของ พระผู้มีพระภาค เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำ�มาบูชา ควรแกส่ กั การะทเี่ ขาจดั ไวต้ อ้ นรบั ควรรบั ทกั ษณิ าทาน ควรท่ี 31
พุทธวจน - หมวดธรรม บคุ คลทว่ั ไปจะท�ำ อญั ชลี เปน็ นาบญุ ของโลก ไม่มีนาบุญอื่น ยงิ่ กวา่ เปน็ ผมู้ ปี ญั ญารา่ เรงิ เฉยี บแหลม และประกอบดว้ ย วมิ ตุ ติ เขายอ่ มกระท�ำ ใหแ้ จง้ ซง่ึ เจโตวมิ ตุ ติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะท้ังหลายส้ินไป ด้วยปัญญา อนั ยงิ่ เองในปจั จบุ นั เขา้ ถงึ อยู่ บคุ คลน้ีพน้ จากนรก ก�ำ เนดิ - เดรัจฉาน เปรตวสิ ัย อบาย ทคุ ติ และวนิ ิบาต. มหานาม ก็บุคคลบางคนในโลกน้ี ประกอบด้วย ความเล่ือมใสอย่างไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า … ใน พระธรรม … ในพระสงฆ์ … มีปัญญาร่าเริง เฉียบแหลม แต่ไม่ประกอบด้วยวิมุตติ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เขาเป็นโอปปาติกะ จะปรินิพพานในท่ีนั้น มีอัน ไม่กลับจากโลกน้ันเป็นธรรมดา บุคคลนี้ก็พ้นจากนรก กำ�เนิดเดรัจฉาน เปรตวสิ ัย อบาย ทุคติ และวินบิ าต. มหานาม ก็บุคคลบางคนในโลกน้ี ประกอบด้วย ความเล่ือมใสอย่างไม่หว่ันไหวในพระพุทธเจ้า … ใน พระธรรม… ในพระสงฆ์ … ไมม่ ปี ญั ญารา่ เรงิ ไมเ่ ฉยี บแหลม และไมป่ ระกอบดว้ ยวมิ ตุ ติ เพราะสงั โยชน์ ๓ สน้ิ ไป และเพราะ ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง เขาเป็นสกทาคามี มาสโู่ ลกนอี้ ีก ครงั้ เดยี วเทา่ นนั้ แลว้ จะท�ำ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด้ บคุ คลนก้ี พ็ น้ จาก นรก กำ�เนดิ เดรัจฉาน เปรตวสิ ัย อบาย ทุคติ และวนิ บิ าต. 32
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228