Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อุบลราชธานี ศรีวนาราม

อุบลราชธานี ศรีวนาราม

Description: อุบลราชธานี ศรีวนาราม เป็นหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) วัดสัมพันธวงศ์ วรวิหาร กรุงเทพฯ วันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๒

Search

Read the Text Version

อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I 99 อนสุ ำวรยี ์พระปทุมวรรำชสรุ ยิ วงศ์ (ทำ้ วคำ� ผง) ในวัดหลวง ต�ำบลในเมอื ง อ�ำเภอเมืองอุบลรำชธำนี จังหวัดอุบลรำชธำนี

๑00 I อุบลราชธานศี รีวนาลัย ๒ พระพรหมวรราชสุรยิ วงศ์ เจ้าเมอื งอบุ ลราชธานี ลา� ดบั ท่ี ๒ หลังจำกพระประทุมวรรำชสุริยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) ถึงแก่กรรม พระบำทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลก มหำรำช โปรดเกลำ้ ฯ ใหต้ ง้ั ทำ้ วทดิ พรหม ผนู้ อ้ ง บตุ รพระตำ เปน็ พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์ หรอื พระพรหมรำชวงษำ เจำ้ เมอื งอุบลรำชธำนีล�ำดบั ท่ี ๒๒ ดังควำมในพงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอีสำนวำ่ “...โปรดเกล้าฯ ตง้ั ให้ท้าวทดิ พรหม บุตรพระตา เปน็ พระพรหมราชวงษาเจ้าเมือง ให้ท้าวกา�่ บตุ รพระวอ เปน็ ทอ่ี ุปฮาด รักษาเมืองอุบลราชธานตี ่อไป...” ๗ พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์(ทำ้ วพรหม) ไดส้ รำ้ งวหิ ำรขน้ึ ในวดั มหำวนำรำม(วดั ปำ่ ใหญ่ หรอื วดั ปำ่ หลวงมณีโชติ ศรสี วัสด)ิ์ เม่อื พ.ศ. ๒๓๔8 และสร้ำงพระเจำ้ อินทร์แปลงขน้ึ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๕0 ดังควำมในจำรกึ วัดป่ำใหญ่ ๒ มคี วำมตอนหนง่ึ วำ่ “ (๑) จุลศักราชได้ ๑๔๙ ตวั ปีเมงิ มด เจ้าพระปทมุ ไดม้ า (๒) ต้ังเมืองอบุ ลได้ ๒๖ ปี ศกั ราชได้ ๑๔๒ ตวั ปกี ดซงา้ จงึ ถงึ อนจิ จ(๓) กรรมลว่ งไปดว้ ยลา� ดบั ปเี ดอื นหนั้ แลศกั ราชได้ ๑๕๔ ตวั ปเี ตา่ สนั พระพรหมวรราช(๔) สรุ ยิ ะวงศ์ไดข้ น้ึ เสวยเมอื งอบุ ลได้ ๑๕ ปีศกั ราช ๑๖๗ ตวั ปรี วงเลา้ จงึ มาไดส้ รา้ งวหิ าร(๕) อารามในวดั ปา่ หลวงมณีโชติ ศรสี วสั ดสิ์ สั ดี เพื่อให้เป็นท่สี �าราญแกพ่ ุทธรปู เจ้า ศกั ราชไดร้ อ้ ย (๖) ๖๙ ตวั ปีเมงิ เหมา้ มหาราชครศู รสี ัทธรรมวงศา พาลูกศษิ ย์สร้างพทุ ธรูปดินแลอฐิ สะทายใส่วัด ลว่ ง (๗) เดอื น ๕ เพ็งวนั ๑ มอื้ รวงไดฤ้ กษ์ ๑๒ ลูกชอ่ื วา่ จิตตาอยู่ใน ราศกี นั ย์ เบกิ แล้วยามแถใกลค้ า�่ จงึ ได้ชอ่ื วา่ พระเจา้ อินแปง...”8 นอกจำกน้ียังปรำกฏในจำรึกวัดป่ำใหญ่ ๓ กล่ำวถึงกำรสร้ำงพระพทุ ธรูปพระเจำ้ อินทรแ์ ปลงด้วย ดงั ควำม ในจำรกึ ว่ำ ๗ พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓๑0. 8 ธวชั ปณุ โณทก, ศลิ าจารกึ สมยั ไทย – ลาว: ศกึ ษำทำงดำ้ นอกั ขรวทิ ยำและประวตั ศิ ำสตรอ์ สี ำน (กรงุ เทพฯ: มหำวทิ ยำลยั รำมคำ� แหง), หนำ้ ๓๗๓ – ๓๗๔.

อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I ๑0๑ สภำพบำ้ นเมอื งอบุ ลรำชธำนีในอดีต

๑0๒ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั สภำพบ้ำนเมืองและควำมเปน็ อยขู่ องรำษฎรจังหวัดยโสธร “(๑) จุลศักราชได้รอ้ ย ๖๙ (๒) ตัวปีเมิงเหม้าเดือน ๕ เพ็งวนั ๑ มอ้ื รวงได้ (๓) ฤกษ์ ๑๒ ลกู ชอ่ื ว่าจติ ต์ อยู่ในราศีกันย์เบิกแล้วยาม (๔) แถใกล้ค่�า มหาราชครูศรีสัทธรรมวงศา (๕) ป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสด์ิสัสดี สร้างพุทธรูปดินแลอิฐ (๖) สะทาย ใส่นามโคตรช่ือว่าพระเจ้าอินแปงให้คน (๗) แลเทวดาคอยล�่าแยงรักษาบูชา อยา่ ใหม้ ีอนา (๘) รายอนั ตายแกพ่ ุทธรปู เจ้าองคบ์ รลักขณะ (๙) ตราบตอ่ เทา่ ๕๐๐๐ วสั สา...” 9 ตอ่ มำในเวลำทพี่ ระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์(ทำ้ วพรหม) เปน็ เจำ้ เมอื งอบุ ลรำชธำนนี น้ั เจำ้ อนวุ งศเ์ มอื งเวยี งจนั ทน์ กบั เจำ้ โย้ ซงึ่ เปน็ เจ้ำเมืองจ�ำปำศักดิ์ ไดย้ กทัพเขำ้ มำยังเมอื งนครรำชสีมำ ทพั ของเจำ้ โยเ้ มอื งจำ� ปำศกั ด์ิ ไดย้ กมำทำงเมอื งอบุ ลรำชธำนี พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์(ทำ้ วพรหม) เจำ้ เมอื ง อุบลรำชธำนที รำบขำ่ วศกึ เห็นว่ำไม่สำมำรถตำ้ นทำนได้ จงึ ยอมเข้ำดว้ ยเจ้ำโย้ ดงั ควำมในพงษำวดำรหวั เมืองมณฑล อีสำนวำ่ 9 ธวชั ปณุ โณทก, ศลิ าจารกึ สมยั ไทย – ลาว: ศกึ ษาทางดา้ นอกั ขรวทิ ยาและประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: มหำวทิ ยำลยั รำมคำ� แหง), หนำ้ ๓๗8.

“...แลว้ กองทพั เจา้ จา� ปาศกั ดิ(โย)่ กย็ กมาตงั้ อยู่ ณ เมอื งอบุ ล อุบลราชธานีศรีวนาลัย I ๑0๓ พระพรหมราชวงษายอมเข้าด้วยไม่ต่อสู่ เจ้าจ�าปาศักดิ (เจ้าโย่) จึ่งมิได้ท�าอนั ตราย...” ๑0 จำรึกวัดปำ่ ใหญ่ เปน็ จำรึกกล่ำวถึงกำรสรำ้ งพระเจ้ำอนิ ทร์แปลง โดยพระพรหม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕0 ตรงกบั วรรำชสุริยวงศ์ แต่หลักฐำนบำงแห่งอ้ำงว่ำ พระพรหมวรรำชสุริยวงศ์ ปลำยรชั กำลท่ี ๓ ปัจจุบนั อยทู่ ว่ี ัดมหำวนำรำ (วดั ปำ่ ใหญ่) พำไพร่พลหลบหนีไปซ่องสุมผู้คนอย่ทู ่ีแก่งตอยใกล้กบั ดอนมดแดง อ�ำเภอเมอื งอบุ ลรำชธำนี จงั หวดั อุบลรำชธำนี เจ้ำโย้ เมืองจ�ำปำศักดิ์จึงเข้ำยึดเมืองอุบลรำชธำนีไว้ได้ แลว้ ยกทัพเขำ้ ไปทำงเมืองศรสี ะเกษตงั้ ทัพอยทู่ ีบ่ ำ้ นส้มปอ่ ย เวลำน้ันทำงกรงุ เทพฯ ทรำบขำ่ วศึกจงึ ใหย้ กทัพขึ้นไปปรำบ เจ้ำอนุวงศ์และเมืองจ�ำปำศักดิ์ เม่ือกองทัพขึ้นไปชุมนุมทัพกันท่ี เมืองนครรำชสีมำแล้ว สมเด็จกรมพระรำชวังบวรมหำศักดิพลเสพ มพี ระรำชกำ� หนดใหพ้ ระยำรำชสภุ ำวดี (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพ ไปปรำบหวั เมืองลำวตะวนั ออก พระยำรำชสภุ ำวดยี กไปทำงเมอื งสวุ รรณภมู ิ หลงั จำกพระยำ รำชสภุ ำวดี(สงิ ห)์ พกั ทพั และชมุ นมุ ผคู้ นอยทู่ เี่ มอื งยโสธร และเตรยี ม ที่จะยกทัพไปตีเมืองจ�ำปำศักดิ์ ฝ่ำยรำชบุตรเจ้ำเมืองจ�ำปำศักดิ์ ซ่ึงต้ังค่ำยอยู่ที่เมืองศรีสะเกษทรำบข่ำว จึงยกมำต้ังค่ำยใหญ่อยู่ท่ี เมืองอุบลรำชธำนี แล้วให้เจ้ำปำน เจ้ำสุวรรณผู้น้องคุมกองทัพ มำตั้งค่ำยรับอยู่ที่ยโสธร เรียกว่ำค่ำยส้มป่อย (เป็นคนละแห่งกับ ทงุ่ สม้ ปอ่ ย จงั หวดั หนองบวั ลำ� ภู ปจั จบุ นั คำ่ ยสม้ ปอ่ ยอยทู่ ศี่ รสี ะเกษ) พระยำรำชสภุ ำวดี(สงิ ห)์ ไดย้ กทพั เขำ้ ตจี นแตก เจำ้ ปำน เจำ้ สวุ รรณ หนีกระจัดกระจำย ดังปรำกฏควำมในพระรำชพงศำวดำร กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กำลท่ี ๓ ของเจำ้ พระยำทพิ ำกรวงศมหำโกษำธบิ ดี (ขำ� บนุ นำค) วำ่ ๑0 พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓๑8.

๑0๔ I อุบลราชธานศี รวี นาลยั พระเจ้ำใหญ่อนิ ทร์แปลง วัดมหำวนำรำม สรำ้ งขึ้นเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๕0 ในสมยั พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์ (ท้ำวพรหม) เปน็ เจ้ำเมืองอบุ ลรำชธำนี คนท่ี ๒

อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั I ๑0๕ จำรกึ วดั ป่ำใหญ่ ๓ จำรกึ ดว้ ยอกั ษรธรรมอสี ำน กลำ่ วถงึ กำรสรำ้ งพระพุทธรปู พระเจำ้ อินทรแ์ ปลง ใน พ.ศ. ๒๓๕0

๑06 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย “...ฝ่ายพระยาราชสุภาวดีตั้งอยู่เมืองยโสธร คิดจะยกขึ้นไปตีเมืองจ�าปาศักด์ิ ราชบุตรเจ้าเมืองจ�าปาศักด์ิ ตั้งค่ายอยู่เมืองศรสี ะเกษแจง้ เหตดุ งั น้นั ก็ยกมาตัง้ ค่ายใหญอ่ ยเู่ มืองอบุ ลแล้วกเ็ กณฑ์ให้เจา้ ปาน เจา้ สวุ รรณผนู้ ้อง คมุ กองทพั มาตงั้ คา่ ยรบั อยเู่ มอื งยโสธร พระยาราชสภุ าวดนี ายทพั นายกองกย็ กขนึ้ ไปตเี จา้ ปาน เจา้ สวุ รรณเวลาเดยี ว เจ้าปาน เจ้าสวุ รรณ แตกกระจดั กระจาย จับได้นายทัพนายกองลาวได้หลายคน...” ๑๑ จำกนน้ั พระยำรำชสภุ ำวดี(สงิ ห)์ จงึ ยกทพั ไปตเี มอื งอบุ ลรำชธำนี ซง่ึ เปน็ คำ่ ยของเจำ้ รำชบตุ รเมอื งจำ� ปำศกั ดิ์ มำต้ังอยู่ เมื่อพระยำรำชสุภำวดี (สิงห์) เข้ำตีเมืองอุบลรำชธำนีน้ันลำวในกองทัพพวกเมืองอุบลเกิดกบฏ ฆ่ำฟัน พวกรำชบตุ รเจำ้ เมอื งจำ� ปำศกั ดว์ิ นุ่ วำยขนึ้ ในคำ่ ย รำชบตุ รจงึ พำพรรคพวกหนีไปเมอื งจำ� ปำศกั ดิ์ ดงั ปรำกฏควำมใน พระรำชพงศำวดำรกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กำลที่ ๓ ของเจำ้ พระยำทพิ ำกรวงศมหำโกษำธิบดี (ข�ำ บนุ นำค) ว่ำ “...แลว้ พระยาราชสภุ าวดกี ย็ กขนึ้ ไปตเี มอื งอบุ ล ลาวในกองทพั พวกเมอื งอบุ ลกเ็ กดิ กบฏ ฆา่ ฟนั พวกราชบตุ ร เจา้ เมืองจ�าปาศักด์เิ ป็นอลหม่านข้นึ ในค่าย ราชบตุ รก็พาพรรคพวกหนีไปเมอื งจ�าปาศักดิ์...” ๑๒ จำกนัน้ พระยำรำชสภุ ำวดี (สิงห)์ จงึ ยกทัพไปตีเมืองจำ� ปำศักด์ิ เมือ่ ยกทัพไปถงึ ครวั เมอื งต่ำงๆ ท่ีรำชบตุ ร เจ้ำเมืองจ�ำปำศักดิ์กวำดต้อนมำไว้ท่ีเมืองจ�ำปำศักด์ิได้ก�ำเริบขึ้น เอำไฟเผำบ้ำนเรือนรำษฎรในเมืองจ�ำปำศักด์ิไหม้ เป็นจ�ำนวนมำก รำชบุตรเห็นดังนั้นจึงรวบรวมคนสนิทพำกันลงเรือหนีข้ำมแม่น้�ำโขงไปทำงฝั่งตะวันออก พระยำ รำชสภุ ำวดี (สงิ ห)์ กส็ ำมำรถเข้ำเมอื งจ�ำปำศักด์ิได้ ดังปรำกฏหลกั ฐำนในใบบอกของพระยำรำชสุภำวดี (สิงห์) ท่ีให้ ถือมำแจง้ รำชกำร ในจดหมำยเหตุรัชกำลที่ ๓ เร่อื ง “ราชการทัพเมอื งเวยี งจันท์ ฉบบั ๑๒” มีขอ้ ควำมดงั ตอ่ ไปน้ี “...ครั้น ณ วนั แรม ๑๐ ค่�า เดอื น ๗ พญาราชสภุ าวะดี แม่ทับบอกหนังสือให้ เพียราชวงศึก เพียมหาเสนา ถือมาแจง้ ราชการวา่ อ้ายปาศักให้อา้ ยเต่นิ อา้ ยเมืองคุก ต้ังคา่ ยรับอยทู่ ุ่งมล พญาราชสภุ าวะดีใหน้ ายทับนายกอง เขา้ ตีแตกหนีไป แลว้ ไอ้ปาศกั ให้อา้ ยเตีน อ้ายทัก อา้ ยเมอื งจัน อ้ายเพยี จนั คุมคน ๔ พันมาตั้งคา่ ยรบั อยู่ ณ บ้านยอ ๔ คา่ ย พญาราชสภุ าวะดี นายทบั นายกอง รบี ยกไป อา้ ยลาวรถู้ อยไป ตง้ั คา่ ยรบั อยู่ ณ บา้ นนาดา� พญาราชสภุ าวะดี ใหพ้ ญาทัศดาจตั รุ ง กองหนา้ กับลาวเมืองเหมราชยกเข้าตีอา้ ยลาวแตกหนกี ระจดั กระจายไป อ้ายปาศัก อา้ ยโถง ซง่ึ ตั้งอยู่ ณ เมอื งอุบลกแ็ ตกหนีไปด้วย พญาราชสภุ าวะดี ได้มหี นงั สอื ไปถงึ ทา้ วเพยี เมอื งปาศักให้คดิ อา่ นจับเอาตัว อา้ ยปาศกั อา้ ยโถง ใหจ้ งได้ อา้ ยปาศกั หนลี งไปยงั หาทนั ถงึ เมอื งปาศกั ไม่ ชาวเมอื งปาศกั เผาบา้ นเมอื งเสยี อา้ ยปาศกั หนีอยู่ในป่า พญาราชสุภาวะดีได้จัดทับบก ทัพเรือ ไปตีดตามอ้ายปาศักเปนหลายทาง แต่อ้ายอุปราชซึ่งตั้งอยู่ ณ เมอื งกาลสนี นน้ั พญาราชสภุ าวะดีไดใ้ หพ้ ญาสพุ นั พญายกระบตั รยกไปตแี ตกหนีไปทางหนองหาร พญาราชสภุ าวะดี ไดย้ กไปจากเมอื งอุบลไปเมืองปาศกั แต่ ณ วนั แรม ๑๐ คา่� เดอื น ๖ นัน้ ได้มตี ราไปถึงพญาราชสภุ าวะดีใหค้ ดิ อา่ น ๑๑ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนำ้ ๒8. ๑๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนำ้ ๒8.

อบุ ลราชธานศี รีวนาลยั I ๑0๗ ลำ� น�ำ้ ชีในอดีต

๑08 I อุบลราชธานศี รวี นาลัย เจ้ำพระยำบดินทรเดชำ (สิงห์ สิงหเสน)ี ในเวลำทีเ่ ป็นพระยำรำชสภุ ำวดี ไดเ้ ปน็ แมท่ พั ใหญ่ปรำบหัวเมอื งลำวตะวันออก และยกทพั มำที่เมืองอบุ ลรำชธำนี ก่อนยกทพั ไปตเี มอื งจำ� ปำศักดิ์

อุบลราชธานีศรวี นาลัย I ๑09 สบื สาวกา้ วสกดั จบั อา้ ยอปุ ราช อา้ ยปาศกั อา้ ยโถง ใหจ้ งได้ แลว้ ใหจ้ ดั แจงบา้ นเมอื งรวบรวมครอบครวั เมอื งลาวเมอื งเขมร ฝา่ ยตะวนั ออกให้ปรกตริ าบคาบฉบบั หน่ึงแจง้ อยู่แลว้ ...”๑๓ นอกจำกน้ียังปรำกฏเร่ืองรำวใน “ส�าเนาหนังสือเจ้าพระยาพระคลังถึงองเลโปเสนาบดีกรุงเวียดนาม” ในจดหมำยเหตุรัชกำลท่ี ๓ มีควำมตอนหนง่ึ วำ่ “...แลทางเมืองปาศักนั้น เจ้าเมืองปาศักรู้ข่าวกองทัพกรุงพระมหานครศรีอยุธยายกขึ้นไป เจ้าเมืองปาศัก ถอยจากเมอื งศรสี ะเกษขนึ้ ไปตง้ั คา่ ยใหญอ่ ยู่ ณ แดนเมอื งอบุ ล ใหเ้ จา้ ปาน เจา้ สวุ รรณ นอ้ งเจา้ เมอื งปาศกั คมุ กองทพั ๑๕๐๐๐ เศษ มาตงั้ คา่ ยรบั อยแู่ ดนเมอื งยศโสธร พญาราชสภุ าวดแี มท่ พั ใหญ่ใหก้ องทพั หนา้ ยกขน้ึ ไปตคี า่ ยเจา้ สวุ รรณ เจา้ ปาน นอ้ งเจา้ เมืองปาศกั กองทัพเจ้าสุวรรณ เจ้าปาน กแ็ ตกหนีไปสิ้น พญาราชสภุ าวดียกกองทพั ข้ึนไปจะตคี ่าย เจ้าเมืองปาศัก ณ เมืองอุบล เจ้าเมืองปาศักรู้ข่าวว่ากองทัพกรุงพระมหานครศรีอยุธยาตีค่ายหน้าได้แล้ว เห็นจะ ตา้ นทานสูร้ บไม่ได้ เจ้าเมืองปาศกั ยกหนีไปจากเมืองอุบล กองทัพพญาราชสภุ าวดยี กตามติดพนั ไป ฝา่ ยเจา้ เมือง อบุ ลราชธานกี บั ไพรพ่ ลเขา้ ชว่ ยกองทพั พญาราชสภุ าวดีไลฆ่ า่ ฟนั ไพรพ่ ลในกองทพั เจา้ เมอื งปาศกั แตกกระจดั กระจาย เจา้ เมืองปาศกั จะเข้าเมืองหาได้ไม่ หนขี า้ มแมน่ า้� ของไปฟากตะวนั ออก กองทพั ยกกา้ วสกดั ไปเปน็ หลายทาง จบั ได้ เจา้ เมอื งปาศกั อปุ ราช กบั ญาตพิ นี่ อ้ งบตุ รภรรยาพวกพอ้ งเจา้ เมอื งปาศกั สนิ้ แลครอบครวั หวั เมอื งทง้ั ปวงซงึ่ เจา้ เมอื ง ปาศกั กวาดไปได้บ้างนน้ั พญาราชสุภาวดีแม่ทพั จดั แจงเมืองปาศกั แลครอบครวั ใหก้ ลับคืนไปอยู่บ้านเมืองตามเดมิ เมอื งปาศักหัวเมืองลาวทง้ั ปวง กเ็ รียบรอ้ ยเปน็ ปรกติดีอยู่แลว้ ...”๑๔ ปรำกฏหลักฐำนวำ่ เมื่อพระยำรำชสภุ ำวดี (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี ตเี มอื งจำ� ปำศกั ดิ์ไดแ้ ล้ว ได้หยุดพกั ไพรพ่ ลและ จัดหัวเมืองทำงตะวันออกฝ่ำยเหนือท้ังปวง เวลำนั้นเมืองอุบลรำชธำนีปรำกฏจ�ำนวนคนอยู่ ๕,๕00 คน พระยำ รำชสภุ ำวดจี งึ ใหแ้ บง่ เปน็ สว่ นทำ� สว่ ยสง่ ๒,000 คน เปน็ เงนิ ๑00 ชง่ั ให้ไว้ใช้ในรำชกำรสงครำม ๒,000 คน ไวเ้ ลยี้ ง ข้ำรำชกำร ๑,๕00 คน๑๕ หลังจำกนั้นเมืองอุบลรำชธำนีได้จัดกำรไพร่พลของตน เพื่อฟ้ืนฟูบ้ำนเมืองหลังสงครำมเจ้ำอนุวงศ์ ด้วยต่อมำเมือ่ มสี งครำมอำนำมสยำมยทุ ธ์ระหวำ่ งไทยกับเวียดนำมในแดนกัมพูชำ ใน พ.ศ. ๒๓๗6 เป็นตน้ มำ พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์ (ทำ้ วพรหม) เจ้ำเมืองอบุ ลรำชธำนีจดั ใหอ้ ปุ ฮำด (ท้ำวกทุ อง) กับพระเทพวงศำ (บญุ เฮำ้ ) เจ้ำเมอื งเขมรำฐไปขดั ตำทพั ทบ่ี ้ำนปำกแซงนำแวงริมแม่น�ำ้ โขง แล้วใหร้ ำชบตุ ร (สยุ่ ) เมอื งอบุ ลรำชธำนี และทำ้ วนำวำโนรำชกรมกำรเมอื งเปน็ ผชู้ ว่ ย รวมทงั้ เพยี รกั ษำพล เพยี รำชโกฏ พลอำสำกรมเมอื ง ทำ้ วฝำ่ ย(จนั ทรวงศ)์ บำ้ นชที วนไปเขำ้ รว่ มกองทพั ของเจำ้ พระยำบดนิ ทรเดชำ (สงิ ห์ สงิ หเสน)ี ไปรบกบั เวยี ดนำมในแดนกมั พชู ำ เปน็ เวลำ ถงึ ๑๕ ป๑ี 6 ๑๓ กรมศลิ ปำกร, จดหมายเหตุ รชั กาลท่ี ๓ เลม่ ๓ (กรงุ เทพฯ กรมศลิ ปำกร, ๒๕๓0), หนำ้ ๑๒๕. ๑๔ ปรวิ รรตจำกอกั ขรวธิ เี ดมิ ใน กรมศลิ ปำกร, จดหมายเหตุ รชั กาลท่ี ๓ เลม่ ๔ (กรงุ เทพฯ กรมศลิ ปำกร, ๒๕๓0), หนำ้ ๑๔. ๑๕ “พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓๒0. ๑6 เตมิ วภิ ำคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร,์ ๒๕๕๗), หนำ้ ๑๑0.

๑๑0 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั พระบำทสมเดจ็ พระน่งั เกลำ้ เจำ้ อยู่หวั

อุบลราชธานศี รวี นาลยั I ๑๑๑ ตอ่ มำใน พ.ศ. ๒๓8๓ พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์(ทำ้ วพรหม) เจำ้ เมอื งอบุ ลรำชธำนปี ว่ ยถงึ แกก่ รรม ตำ� แหนง่ เจำ้ เมอื งอบุ ลรำชธำนวี ่ำงอยู่เปน็ เวลำ ๕ ปี เมือ่ สงครำมในกัมพูชำสงบลงแล้ว ใน พ.ศ. ๒๓88 เจำ้ พระยำบดินทรเดชำ (สงิ ห์ สิงหเสน)ี ไดน้ �ำรำชบุตร (ส่ยุ ) เข้ำเฝ้ำทลู ละอองธลุ ีพระบำท พระบำทสมเด็จพระนัง่ เกลำ้ เจ้ำอยหู่ ัว เพื่อขอพระรำชทำนตง้ั ให้รำชบุตร (ส่ยุ ) เป็นเจำ้ เมอื งอุบลรำชธำนีแทน พระบำทสมเด็จพระน่ังเกล้ำเจ้ำอยู่หัว ทรงพระกรุณำโปรดเกล้ำฯ ตั้งให้รำชบุตร (สุ่ย) เป็นเจ้ำเมือง อุบลรำชธำนี ตำมทีเ่ จำ้ พระยำบดินทรเดชำ (สงิ ห์ สงิ หเสนี) กรำบบงั คมทลู อยำ่ งไรก็ตำมในระหวำ่ งที่รำชบุตร (สยุ่ ) พกั อยู่ในกรุงเทพได้ ๗ วนั เพอื่ เตรียมตัวจะกรำบถวำยบังคมลำ กลับเมอื งอุบลรำชธำนี รำชบุตร (สุ่ย) ไดป้ ว่ ยเป็นอหิวำตกโรคถึงแก่กรรม โดยทย่ี ังไมท่ ันได้กลับไปปกครองเมือง อุบลรำชธำนี วิถีชวี ิตชำวบำ้ นเมืองอบุ ลรำชธำนีในอดีต

๑๑๒ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย ๓ พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (ทา้ วกทุ อง) เจ้าเมืองอบุ ลราชธานี ลา� ดบั ท่ี ๓ ตอ่ มำในวนั อังคำร เดอื น ๗ ขึน้ ๑0 ค่ำ� ปมี ะเส็ง สัปตศก จลุ ศักรำช ๑๒0๗ (พ.ศ. ๒๓88) พระบำท สมเดจ็ พระน่งั เกลำ้ เจ้ำอยู่หวั จงึ ทรงพระกรณุ ำโปรดเกลำ้ ฯ พระรำชทำนสุพรรณบฏั ตัง้ ใหอ้ ปุ ฮำด (ทำ้ วกุทอง) เปน็ “พระพรหมวรราชสุรยิ วงศา” เจ้ำเมืองอบุ ลรำชธำนี คนที่ ๓ นอกจำกนย้ี งั ไดพ้ ระรำชทำนเครอ่ื งยศใหพ้ ระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์(ทำ้ วกทุ อง) ไดแ้ ก่ พำนถมเครอ่ื งในทองคำ� ส�ำรับ ๑ คนโททองค�ำ ๑ กระโถนถม ๑ ลูกประค�ำทองค�ำ ๑ สำยกระบีบ่ ั้งถม ๑ เสือ้ หมวกต้มุ ปี่ ๑ สัปทนปสั ตู ๑ ปนื คำบศลิ ำคอลำย ๑ กระบอกเสอ้ื เขม้ ขำบรวิ้ มะลเิ ลอื้ ย ๑ สำ่ นไทยปกั ทอง ๑ ผำ้ ปมู ๑ ฯลฯ๑๗ ดงั ควำมในพงษำวดำร หวั เมืองมณฑลอีสำนว่ำ “...ครั้นถึงวนั อาทิตย์ เดอื น ๗ ขน้ึ ๑๑ ค่�า ปีมะเสง็ สปั ตศก จลุ ศักราช ๑๒๐๗ จึ่งโปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน สญั ญาบตั รตงั้ ใหอ้ ปุ ฮาด (กทุ อง) เมอื งอบุ ล เปน็ พระพรหมราชวงษาเจา้ เมอื งอบุ ลราชธานเี ปน็ ลา� ดบั ที่ ๓ ใหร้ าชวงษ์ เปน็ อุปฮาด ใหท้ า้ วโพธิสาร หลานพระพรหมราชวงษา (กทุ อง) เปน็ ราชวงษ์ ให้ทา้ วสรุ ยิ บุตรพระพรหมราชวงษา (กุทอง) เป็นราชบตุ ร พระราชทานเครอ่ื งยศใหพ้ ระพรหมราชวงษา คอื พานถมเครอ่ื งในทองคา� สา� รบั ๑ คนโททองคา� ๑ กระโถนถม ๑ ลกู ประคา� ทองคา� ๑ สายกระบ่บี ้ังถม ๑ เสื้อหมวกตุม้ ปี่ ๑ สปั ทนปัสตู ๑ ปืนคาบศิลาคอลาย ๑ กระบอก เสอ้ื เขม้ ขาบริว้ มลเิ ลือ้ ย ๑ สา่ นไทยปักทอง ๑ ผา้ ปูม ๑ สว่ นอปุ ฮาด ถาดหมากคนโทเงนิ สา� รบั ๑ ปนื คาบศลิ า ๑ สปั ทนแพร ๑ เสอ้ื เขม้ ขาบรว้ิ ขอ ๑ สา่ นไทยปกั ทอง ๑ แพรสที ับทมิ ติดขลิบ ๑ แพรขาวหม่ ๑ ผ้าปูม ๑ ๑๗ เตมิ วภิ ำคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร,์ ๒๕๕๗), หนำ้ ๑๑๑.

อบุ ลราชธานศี รีวนาลยั I ๑๑๓ สว่ นราชวงษ์ ถาดหมากคนโทเงนิ สา� รบั ๑ สปั ทนแพร ๑ เสอ้ื เขม้ ขาบกา้ นแยง่ ๑ ผา้ ด�าปกั ทองมซี บั ๑ แพรสที บั ทมิ ติดขลิบ ๑ แพรขาวห่มนอน ๑ ผ้าปูม ๑...” ๑8 ในรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระนั่งเกล้ำเจ้ำอยู่หัว และพระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวทรงพระกรุณำ โปรดเกล้ำฯ ให้ตั้งเมืองใหม่ข้ึนกับเมืองอุบลรำชธำนีและเมืองเขมรำฐหลำยเมือง ดังปรำกฏในพระรำชพงศำวดำร กรุงรัตนโกสนิ ทร์รชั กำลที่ ๓ ของเจำ้ พระยำทพิ ำกรวงศ์ (ข�ำ บนุ นำค) และพงษำวดำรหวั เมืองมณฑลอีสำน ไดแ้ ก่ พ.ศ. ๒๓88 ยกบำ้ นชอ่ งนำง เป็นเมอื งเสนางคนิคม ปัจจุบนั คือ อา� เภอเสนางคนคิ ม จังหวัดอา� นาจเจรญิ พ.ศ. ๒๓88 ยกบ้ำนน้�ำโดมใหญ่ เป็นเมืองเดชอุดม ปจั จบุ นั คือ อำ� เภอเดชอุดม จังหวัดอบุ ลรำชธำนี พ.ศ. ๒๓88 ยกบำ้ นคำ� เมืองแก้ว เป็นเมอื งคำ� เข่อื นแก้ว ปัจจบุ นั คือ อำ� เภอคำ� เข่ือนแกว้ จงั หวดั ยโสธร พ.ศ. ๒๓90 ตัง้ บำ้ นดงกระชุ หรือบำ้ นไร่ เป็นเมืองบวั กัน ปจั จุบนั คือ อ�ำเภอบณุ ฑรกิ จังหวัดอบุ ลรำชธำนี พ.ศ. ๒๔0๑ ตงั้ บา้ นฆอ้ ใหญ่ เปน็ เมอื งอ�านาจเจริญ ปจั จบุ นั คอื จังหวัดอา� นาจเจรญิ พ.ศ. ๒๔06 ตง้ั บำ้ นกวำ้ งลำ� ชะโด เปน็ เมอื งพบิ ลู มงั สำหำร ปจั จบุ นั คอื อำ� เภอพบิ ลู มงั สำหำรจงั หวดั อบุ ลรำชธำนี พ.ศ. ๒๔06 ต้งั บำ้ นสะพอื เป็นเมอื งตระกำรพืชผล ปัจจุบันคือ อ�ำเภอตระกำรพืชผล จงั หวัดอุบลรำชธำนี พ.ศ. ๒๔06 ต้งั บำ้ นเวนิ ไชย เป็นเมืองมหำชนะชัย แต่ไปต้งั เมอื งท่ีตำ� บลดงฝ่ังแดงรมิ แม่นำ�้ ชี ปจั จบุ ันคอื อ�ำเภอมหำชนะชยั จังหวัดยโสธร ใน พ.ศ. ๒๔06 พระพรหมวรรำชสุริยวงศ์ (ท้ำวกุทอง) เจ้ำเมืองอุบลรำชธำนีถึงแก่กรรม เม่ือวันอำทิตย์ เดือน ๑๒ แรม ๔ คำ�่ ตรงกับวนั ท่ี ๒9 พฤศจกิ ำยน พ.ศ ๒๔06 พระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยหู่ ัวยังไม่ได้ทรง พระกรุณำโปรดเกล้ำฯ ตั้งผู้ใดเป็นเจ้ำเมือง มีแต่อุปฮำด รำชวงศ์ รำชบุตร ท้ำวเพี้ยกรมกำรช่วยกันรักษำรำชกำร บำ้ นเมือง๑9 ๑8 พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓๒๗. ๑9 เรอ่ื งเดยี วกนั , หนำ้ ๓๓8.

๑๑๔ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั หอพระพทุ ธบำท วดั ทุ่งศรเี มอื ง ตำ� บลในเมือง อ�ำเภอเมอื งอุบลรำชธำนี จังหวัดอบุ ลรำชธำนี

อุบลราชธานศี รีวนาลัย I ๑๑๕ หอไตร วัดท่งุ ศรีเมือง ต�ำบลในเมอื ง อำ� เภอเมืองอบุ ลรำชธำนี จงั หวัดอุบลรำชธำนี

๑๑6 I อุบลราชธานศี รวี นาลยั พระพุทธรปู และพระพุทธบำท ภำยในหอพระพทุ ธบำท วัดทุง่ ศรเี มอื ง อำ� เภอเมอื งอุบลรำชธำนี จังหวัดอบุ ลรำชธำนี

อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I ๑๑๗

๑๑8 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย ๔ เจา้ พรหมเทวานเุ คราะห์วงศ์ (เจา้ หน่อคา� ) เจา้ เมืองอุบลราชธานี ล�าดับที่ ๔ ตอ่ มำใน พ.ศ. ๒๔09 พระบำทสมเดจ็ พระจอมเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั จงึ ทรงพระกรณุ ำโปรดเกลำ้ ฯ ตงั้ ใหเ้ จำ้ หนอ่ คำ� หลำนเจ้ำอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ ซ่ึงเป็นเจ้ำรำชวงศ์เมืองจ�ำปำศักด์ิมำเป็นเจ้ำพรหมเทวำนุเครำะห์วงศ์ เจ้ำเมือง อบุ ลรำชธำนี ดังปรำกฏควำมในพงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอีสำนว่ำ “...ฝ่ายเมืองอุบลนั้น ตั้งแต่พระพรหมราชวงษา (กุทอง) ถึงแก่กรรมแล้ว ก็ยังไม่มีเจ้าเมืองมาจนถึงปีน้ี จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังเจ้าหน่อค�า หลานเจ้าอนุเวียงจันท์ ซ่ึงเป็นเจ้าราชวงษ์อยู่เมืองจ�าปาศักด์ินั้น ไปเป็นเจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงษเ์ จา้ เมืองอบุ ลราชธานตี อ่ ไป...” ๒0 ในสมัยนี้ได้มีกำรตัง้ เมอื งใหม่ขึ้นกับเมอื งอุบลรำชธำนหี ลำยเมือง เช่น ยกบ้ำนท่ำยกั ขุ เป็นเมอื งชำนมุ ำน มณฑล ปจั จุบนั คือ อ�ำเภอชำนุมำน จงั หวดั อุบลรำชธำนี ยกบ้ำนเผลำ (บ้ำนพระเหลำ) เป็นเมืองพนำนิคม ปจั จบุ นั คอื อ�ำเภอพนำนคิ ม จงั หวดั อ�ำนำจเจรญิ ๒๑ ยกบ้ำนทีเ่ ปน็ เมืองเกษมสมิ ำ ปัจจบุ ันอยู่ในอ�ำเภอตระกำรพืชผล จงั หวดั อบุ ลรำชธำน๒ี ๒ ฝำ่ ยเมอื งจำ� ปำศกั ดข์ิ อตง้ั บำ้ นนำกอนจอเปน็ เมอื งวำรนิ ชำ� รำบ ปจั จบุ นั วำรนิ ชำ� รำบเปน็ ชอื่ อำ� เภอ ในจงั หวดั อุบลรำชธำนี ยกบำ้ นจนั ลำนำโดมเปน็ เมืองโดมประดิษฐ์ ปัจจุบนั อยู่ในอ�ำเภอน�้ำยนื จงั หวดั อบุ ลรำชธำนี ๒0 “พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓๔๑. ๒๑ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนำ้ ๓66. ๒๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนำ้ ๓๒๗.

อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I ๑๑9 อุโบสถวัดพระเหลำเทพนิมติ บ้ำนพระเหลำ อ�ำเภอพนำนิคม จงั หวัดอำ� นำจเจริญ

๑๒0 I อุบลราชธานศี รีวนาลยั พระเหลำ เป็นพระพุทธรูปศักด์สิ ิทธิ์ ของอ�ำเภอพนำนคิ ม จังหวัดอ�ำนำจเจรญิ ปจั จบุ ันอยู่ใน วดั พระเหลำเทพนิมติ

อบุ ลราชธานีศรีวนาลัย I ๑๒๑ พระแก้วมรกตจำ� ลอง สรำ้ งโดยเจ้ำอนวุ งศ์ ปัจจุบนั อยู่ในพพิ ิธภณั ฑสถำนแหง่ ชำติ อุบลรำชธำนี จงั หวดั อุบลรำชธำนี

๑๒๒ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั พระเจ้ำบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรชี ำกร ข้ำหลวงตำ่ งพระองค์ หวั เมอื งมณฑลลำวกำว

อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I ๑๒๓ พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงสรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ข้ำหลวงต่ำงพระองค์ สำ� เร็จข้ำรำชกำรมณฑลลำวกำว ต่อมำเจ้ำพรหมเทวำนเุ ครำะห์วงศ์ (เจ้ำหนอ่ คำ� ) เจ้ำเมอื ง ก็ไม่ได้ปรำกฏว่ำทรงพระกรุณำโปรดเกล้ำฯ ต้ังให้ผู้ใดเป็นเจ้ำเมือง อบุ ลรำชธำนมี คี วำมขดั แยง้ และเกดิ คดคี วำมฟอ้ งรอ้ งกบั กรมกำรเมอื ง อบุ ลรำชธำนอี กี เจำ้ พรหมเทวำนเุ ครำะหว์ งศ์จงึ เปน็ เจำ้ เมอื งอบุ ลรำชธำนี อุบลรำชธำนี เจ้ำพรหมเทวำนุเครำะห์วงศ์จึงต้องคดีอยู่ท่ีกรุงเทพฯ คนสุดทำ้ ย เป็นเวลำถึง ๔ ปี คดีควำมยงั ไม่เสรจ็ เจ้ำพรหมเทวำนเุ ครำะหว์ งศ์ ปว่ ยเปน็ อหวิ ำตกโรคถงึ แก่อนจิ กรรมที่กรงุ เทพฯ เมอื่ วันข้นึ ๑ ค�่ำ หลงั จำกนน้ั ใน พ.ศ. ๒๔๓๔ พระบำทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลำ้ เดอื น 6 พ.ศ. ๒๔๒9๒๓ รวมเวลำทค่ี รองเมืองได้ ๒0 ปี เจำ้ อยหู่ วั โปรดเกลำ้ ฯ ใหพ้ ระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพชิ ติ ปรชี ำกร เปน็ ข้ำหลวงต่ำงพระองคห์ ัวเมอื งมณฑลลำวกำว ประทับอยู่ที่เมือง พระยำมหำอ�ำมำตยำธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ข้ำหลวงก�ำกับ อบุ ลรำชธำนี เมอื งอบุ ลรำชธำนจี งึ มฐี ำนะเปน็ เมอื งในมณฑลลำวกำว รำชกำรหัวเมืองตะวันออกท่ีเมืองจ�ำปำศักดิ์จึงมีใบบอกกรำบทูล นับตงั้ แต่นน้ั เปน็ ตน้ มำ พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวขอให้ทรงพระกรุณำ โปรดเกลำ้ ฯ ตง้ั เจำ้ รำชบตุ ร(คำ� ) ดำ� รงตำ� แหนง่ เจำ้ เมอื งอบุ ลรำชธำนี ต่อมำใน พ.ศ. ๒๔๓6 พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำ ตอ่ ไป เจำ้ อยหู่ ัว โปรดเกลำ้ ฯ ใหพ้ ระเจำ้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสทิ ธิ ประสงค์ไดท้ รงเปน็ ขำ้ หลวงตำ่ งพระองคส์ ำ� เรจ็ รำชกำรมณฑลลำวกำว ต่อมำได้มีสำรตรำใหเ้ จำ้ รำชบุตร (ค�ำ) ลงไปรับสุพรรณบฏั ซ่ึงตอ่ มำเปลย่ี นชื่อเป็นมณฑลตะวนั ออกเฉียงเหนือ แลว้ เปลย่ี นเปน็ ทกี่ รงุ เทพฯ แตเ่ วลำนนั้ เจำ้ รำชบตุ ร(คำ� ) ปว่ ยหนกั ไมส่ ำมำรถเดนิ ทำง มณฑลอสี ำนและมณฑลอบุ ลรำชธำนตี ำมลำ� ดบั สว่ นเมอื งอบุ ลรำชธำนี ไปไดแ้ ละถงึ อนจิ กรรมเมอ่ื วนั ที่ ๒๔ ตลุ ำคม พ.ศ. ๒๔๓๔ หลงั จำกนนั้ ไดม้ ฐี ำนะเป็นจงั หวดั สืบมำจนถึงปจั จบุ ัน ๒๓ เตมิ วภิ ำคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร,์ ๒๕๕๗), หนำ้ ๑๒๔.

๔ ชาตพิ นั ธุ์ ผ้คู นพลเมืองอุบลราชธานี

การแตง่ กายสตรีชาวเมืองอบุ ลราชธานีในอดตี

126 I อุบลราชธานีศรีวนาลยั อบุ ลราชธานีในสมยั รัชกาลท ่ี ๕ อุบลราชธานี เป็นจังหวัดทม่ี คี วามหลากหลายของผ้คู นและกล่มุ ชาติพันธ์ุต่างๆ เนอื่ งจากเป็นพ้ืนทซ่ี ง่ึ มีความอุดมสมบรู ณ ์ มแี มน่ า�้ ไหลผา่ นหลายสาย จงึ มรี อ่ งรอยการอาศยั อยูม่ าต้งั แตส่ มัยก่อนประวัตศิ าสตรด์ ังได้กล่าวมาแลว้ สา� หรบั กลมุ่ ชาตพิ นั ธซ์ุ ง่ึ พบรอ่ งรอยการอาศยั อยู่ในจงั หวดั อบุ ลราชธาน ี และจงั หวดั อา� นาจเจรญิ ในปจั จบุ นั สามารถจา� แนกออกตาม ลักษณะทางวัฒนธรรม ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณ ี ออกได้เปน็ ๓ กล่มุ ใหญ่ คอื กลุม่ ชนไทย – ลาว กล่มุ มอญ – เขมร และกลุม่ อื่น เช่น ชาวจีนและเวยี ดนาม เปน็ ตน้

อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย I 127 การประกอบอาชพี ของ สตรชี าวเมอื งอบุ ลราชธานี

128 I อุบลราชธานีศรีวนาลัย ๑ กลุ่มชน ตระกูลไทย – ลาว กลุม่ ประชากรไทย – ลาว จดั เป็นประชากรกลุม่ ใหญ่ของภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หรอื ภาคอีสาน ซง่ึ ปรากฏว่ามีการอาศัยอยู่กระจายตัวครอบคลุมทุกพื้นที่ และยังคงรักษาลักษณะทางวัฒนธรรมของตนเองไว้ โดยเฉพาะภาษาพูด ซึ่งเป็นภาษาไทยถิ่นภาคอีสาน ซึ่งถือเป็นภาษาถิ่นของภาษาไทยซ่ึงมีใช้ในภาคอีสานอย่าง กว้างขวาง โดยเฉพาะกลมุ่ ภาษาไทยถนิ่ ภาคอสี านทม่ี กี ารใช้ในจงั หวดั อบุ ลราชธานนี นั้ ถอื เปน็ ส�าเนยี งหลกั สา� เนยี งหนงึ่ ของภาษาไทยถิ่นภาคอีสาน และเม่ือพิจารณาจากประวัติของกลุ่มชนตระกูลไทย – ลาว ท่ีมาต้ังบ้านเมือง ในอุบลราชธานีจะพบวา่ มีท่มี าหลักๆ 2 กลุ่ม คือ กลุม่ ทต่ี ิดตามมาพร้อมกบั พระวอ จากเมืองหนองบัวล�าภู และ กลุ่มที่สืบมาจากเมืองจ�าปาศักด์ ิ ดังไดก้ ลา่ วไปแลว้ ข้างต้น จากนน้ั เมอื่ ตงั้ เมอื งอบุ ลราชธานแี ลว้ จงึ มกี ารกวาดตอ้ นคนกลมุ่ อนื่ ๆ เขา้ มาตง้ั บา้ นแปลงเมอื งอกี หลายกลมุ่ ส�าหรับกลุ่มชนตระกูลไทย – ลาวในจังหวัดอุบลราชธานีน้ัน นอกจากจะมีภาษาไทยถ่ินอีสาน ส�าเนียง อุบลราชธานีเป็นภาษาพูดแล้ว ยังปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับตัวอักษรท่ีมีการใช้ในท้องถิ่นด้วย คือ มีการใช้อักษร ธรรมอีสานและอักษรไทน้อยในการบนั ทึก เน่อื งจากอาณาจักรลา้ นชา้ ง (ศรีสัตนาคนหตุ ) ซ่งึ ครอบคลมุ บริเวณพืน้ ทท่ี ง้ั ประเทศลาวและบางส่วนของ ภาคอสี านของไทยในปจั จบุ นั ปรากฏรอ่ งรอยหลกั ฐานเกย่ี วกบั การใชต้ วั อกั ษรซง่ึ มคี วามเกา่ แกท่ ส่ี ดุ คอื อกั ษรสโุ ขทยั ที่ ถ�้านางอัน หลวงพระบาง และจารกึ วัดหลวง อ�าเภอโพนพสิ ัย (หนองคาย) ในเวลาตอ่ มามอี กั ษรฝกั ขามแพรเ่ ขา้ ไปสอู่ าณาจกั รลา้ นชา้ งในพทุ ธศตวรรษท ่ี 21 ซง่ึ ตอ่ มาไดม้ วี วิ ฒั นาการ เปน็ อกั ษรทเ่ี รียกว่า “อกั ษรไทน้อย” ในพทุ ธศตวรรษท่ ี 21

อุบลราชธานศี รีวนาลยั I 129 วิถชี าวเมอื งอุบลราชธานีในสมยั ก่อน

1๓0 I อุบลราชธานศี รีวนาลัย วถิ ชี าวเมอื งอบุ ลราชธานีในสมยั กอ่ น อักษรไทน้อยนิยมใช้สืบมาในประเทศลาว และภาคอีสาน ผู้ไท หรอื ภไู ท ซงึ่ อาศยั อยู่ในเขตอา� เภอเสนางคนคิ ม จงั หวดั ของไทยสบื มาจนสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร ์ ในสว่ นของประเทศลาวไดม้ ี อ�านาจเจริญ อ�าเภอชานุมาน กุดข้าวปุ้น และเขมราฐ ในจังหวัด การปรบั ปรงุ อกั ษรไทนอ้ ยจนกลายเปน็ อกั ษรลาวปจั จบุ นั สว่ นภาคอสี าน อุบลราชธาน ี ชาวผู้ไท ในจงั หวดั อบุ ลราชธานีน้ัน ตามประวตั ิพบวา่ ของไทยน้นั ได้เสื่อมความนยิ มลงไป อพยพมาจากเมืองเซโปน ในประเทศลาว นอกจากนเี้ มอ่ื จะบนั ทกึ ขอ้ ความภาษาบาล ี หรอื ภาษาไทยถน่ิ โดยเฉพาะในอา� เภอชานมุ าน มชี าวผู้ไทอาศยั อยตู่ ามหมบู่ า้ น ภาคอสี าน (ภาษาลาว) ซง่ึ เปน็ เรอ่ื งราวทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนา ตา่ งๆ แทบทั้งอา� เภอ ชุมชนท่ปี รากฏหลักฐานวา่ เป็นชมุ ชนชาวผู้ไท อาณาจกั รลา้ นช้างจะใช้ “อักษรธรรมลาว (อกั ษรธรรมอีสาน)” ซง่ึ ไดแ้ ก ่ บา้ นโคกกง่ บา้ นหนิ สวิ่ บา้ นคา� โพน บา้ นโนนกงุ และบา้ นคา� เดอื ย ไดร้ ับอทิ ธพิ ลจาก “อักษรธรรมลา้ นนา” ในการบันทกึ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกุลา หรือไทใหญ่ ซ่ึงอาศัยรวมกันเป็น กลมุ่ ชนตระกลู ไทย – ลาว ทอี่ าศยั อยู่ในจงั หวดั อบุ ลราชธานี กลมุ่ ในบรเิ วณบา้ นธาตเุ จรญิ สขุ อา� เภอเขอ่ื งใน จงั หวดั อบุ ลราชธาน1ี และอา� นาจเจรญิ นอกจากกลมุ่ ไทย – ลาว ทกี่ ล่าวมาแลว้ ไดแ้ ก ่ 1 กรมศลิ ปากร, เมืองอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2๕๓2), หน้า ๕0.

อุบลราชธานีศรีวนาลัย I 1๓1 วิถชี าวเมอื งอุบลราชธานีในสมยั ก่อน

1๓2 I อบุ ลราชธานศี รีวนาลยั ๒ กลมุ่ ชน ตระกลู มอญ – เขมร กล่มุ ชนตระกลู มอญ – เขมร เปน็ กลมุ่ คนด้ังเดมิ ซ่งึ อาศยั อยู่ในพื้นทบี่ รเิ วณนีม้ าแตเ่ ดิม สา� หรับกลุ่มมอญ เขมรทอ่ี าศยั อยู่ในเขตจงั หวดั อบุ ลราชธาน ี สว่ นใหญอ่ าศยั อยู่ในเขตดา้ นใตข้ องจงั หวดั ไดแ้ ก ่ อา� เภอเดชอดุ ม อา� เภอ น้�ายืน อ�าเภอนาจะหลวย และอ�าเภอบุณฑริก และมีบางส่วนอาศัยอยู่ปะปนกับกลุ่มคนไทยพื้นบ้านในเขตอ�าเภอ วารินชา� ราบ อ�าเภอพิบลู มังสาหาร และอ�าเภอเข่อื งใน จงั หวัดอบุ ลราชธานี กลมุ่ ชนตระกลู มอญ – เขมร ท่อี ยู่ในเขตจงั หวดั อบุ ลราชธานีสามารถจ�าแนกออกได้เปน็ ๓ กลุม่ หลกั ๆ คือ คนเชอ้ื สายเขมร คนกูย และบร ู ดงั น้ี เขมร อาศยั อยู่ในเขตอา� เภอนา้� ยนื อา� เภอนาจะหลวย และอา� เภอบณุ ฑรกิ ซง่ึ มพี น้ื ทต่ี ดิ ตอ่ กบั ประเทศกมั พชู า คนกลุม่ น้ีใชภ้ าษาเขมรถิ่นไทยเปน็ ภาษาพดู เดมิ เคยมีอกั ษรใชค้ อื อักษรขอม หรือ อักษรเขมร แตป่ จั จุบันไม่คอ่ ยมี การใชแ้ ลว้ แต่ยังคงปรากฏในเอกสารโบราณของทอ้ งถิ่น กยู , กวย หรือ ส่วย อาศยั อยู่ในเขตอา� เภอเขื่องใน อ�าเภอวารนิ ชา� ราบ อา� เภอเดชอดุ ม อ�าเภอน�้ายืน อา� เภอ นาจะหลวย และอา� เภอพบิ ูลมงั สาหาร จงั หวัดอบุ ลราชธานี คนกลุ่มนี้ใชภ้ าษากยู เป็นภาษาในการตดิ ต่อสอ่ื สาร แต่ ไม่มตี ัวอกั ษรเป็นของตนเอง ภาษากูย หรือภาษาส่วย เป็นภาษาตระกลู ออสโตรเอเชยี ตกิ ตระกลู ยอ่ ยมอญ – เขมร สาขากะตู ซงึ่ มี พูดกันมากในกัมพูชา ประเทศเวียดนามและประเทศลาว ชาวกูยในจังหวัดอุบลราชธานีมีประวัติว่า อพยพจาก ประเทศลาวแถบอตั ตะปอื จ�าปาศักดิ์ และสาระวันเข้ามาอาศัยอยแู่ ถบจังหวดั อุบลราชธานเี ป็นเวลานานมาแล้ว คอื ตง้ั แต่ราวสมยั กรุงศรอี ยุธยาตอนปลาย2 2 สรุ ยิ า รัตนกลุ , นานาภาษาในเอเชีย ภาคที่ ๑ ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียตกิ และตระกลู จนี – ทเิ บต (กรงุ เทพฯ: ศูนยว์ จิ ยั วัฒนธรรมเอเชยี อาคเนย์ มหาวิทยาลยั มหิดล, 2๕๓1), หน้า 1๓9.

อุบลราชธานศี รวี นาลยั I 1๓๓ ขบวนแห่เทยี นพรรษา ของชาวเมืองอุบลราชธานสี มัยกอ่ น ญา่ แมส่ ดี า ผู้สังหารนกหัสดลี ิงค์ในประเพณีการทา� ศพบคุ คลสา� คัญของเมอื งอบุ ลราชธานี

1๓4 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั

อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I 1๓๕ บรู เปน็ กลมุ่ ทอ่ี าศยั อยู่ในเขตบา้ นเวนิ บกึ อา� เภอโขงเจยี ม ตดิ กบั แมน่ า�้ โขง๓ ชาวบลู (บรู) เปน็ กลมุ่ ท่พี ูดภาษาตระกลู มอญ – เขมร เชน่ เดยี วกบั กยู แตก่ ลมุ่ นอี้ าศยั อย่ใู กลภ้ เู ขา จงึ เรยี กตวั เองวา่ บรู ซง่ึ ในภาษากยู แปลวา่ ภเู ขา อย่างไรก็ตามคนท่ัวไปมักเรียกชาวบรูว่า “ข่า” ชาวบรูใน ประเทศไทยอพยพเข้ามาจากประเทศลาวเม่ือประมาณ 100 ปีที่ ผา่ นมา4 ภาษาบรูเป็นภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ตระกูลย่อย มอญ – เขมร สาขากะต ู ซง่ึ มพี ดู กนั มากในกมั พชู า ประเทศเวยี ดนาม และประเทศลาว ถือว่าเป็นภาษาสาขาเดียวกันกับภาษากูยหรือ ภาษาส่วย๕ ชาวบรูในจังหวัดอุบลราชธานีอาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ไทย – ลาว ริมฝัง่ แมน่ �า้ โขง ในอ�าเภอโขงเจียม มี ๓ หมบู่ า้ น คอื บ้านเวนิ บกึ บา้ นท่าลง้ และบา้ นหินคก6 การประกอบอาชีพในอดีต ๓ กรมศิลปากร, เมืองอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2๕๓2), หน้า ๕0. 4 สุรยิ า รัตนกุล, นานาภาษาในเอเชีย ภาคที่ ๑ ภาษาตระกูลออสโตรเอเชียตกิ และ ตระกลู จีน – ทเิ บต (กรุงเทพฯ: ศนู ย์วิจยั วัฒนธรรมเอเชยี อาคเนย์ มหาวิทยาลยั มหิดล, 2๕๓1), หน้า 1๓7. ๕ เลม่ เดยี วกัน, หน้า 1๓6. 6 กรมศลิ ปากร, เมอื งอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, 2๕๓2), หนา้ 2๓๓.

๓ กลุ่มชน ที่อพยพเข้ามาอยู่ใหม่ กลุ่มชนเหล่าน้ี เป็นกลุ่มที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ภายหลังเพื่อประกอบอาชีพต่างๆ โดยเฉพาะการค้า และ เป็นกลุ่มที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตเมือง เช่น ชาวจีน ชาวเวียดนาม และชาวอินเดีย ท่ีเพ่ิงอพยพเข้ามาตั้งแต่ สมยั รชั กาลท่ี 4 เปน็ ต้นมา7 ดงั นนั้ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ชาวอบุ ลราชธานีในปจั จบุ นั เป็นผู้ที่สืบเช้ือสายมาจากผู้คนกลุ่มต่างๆ หลากชาติพันธุ์ และหลากภาษา แตต่ ่างเปน็ คนอุบลราชธานีดว้ ยกนั นั่นเอง 7 กรมศิลปากร, เมอื งอุบลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2๕๓2), หน้า ๕0.

อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I 1๓7 ชาวเมืองอบุ ลราชธานีสมัยก่อน

1๓8 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั หญงิ สงู อายชุ าวอบุ ลราชธานี

อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I 1๓9 การแตง่ กายของหญิง เมืองอุบลราชธานีในอดีต ตลาดรา้ นคา้ และผ้คู น ชาวเมืองอบุ ลราชธานสี มยั กอ่ น เมอื งอบุ ลราชธานีในสมยั กอ่ น

๕ ศูนยก์ ลาง ธรรมยุตกิ นกิ ายในอสี าน

พระอุโบสถ วัดสปุ ัฏนาราม อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี วดั ซึ่งเปน็ ตน้ กา� เนิดคณะธรรมยตุ ิกนกิ าย ในเมืองอบุ ลราชธานี

142 I อบุ ลราชธานีศรีวนาลัย ดังได้กล่าวไปแล้วว่า ดินแดนท่ีเป็นจังหวัดอุบลราชธานีและอ�านาจเจริญ เป็นดินแดนที่มีร่องรอยของ การนับถือพระพุทธศาสนามานับพันปี ต้ังแต่ในวัฒนธรรมแบบทวารวดีในอีสาน ราวพุทธศตวรรษท่ี 1๓ – 1๕ ซง่ึ ปรากฏหลกั ฐานทางโบราณคดกี ระจายตวั อย่โู ดยทวั่ ไป แตเ่ มอ่ื อทิ ธพิ ลทางการเมอื งและวฒั นธรรมเขมรโบราณไดแ้ ผ่ เขา้ มาในพื้นท่บี รเิ วณนี้ ท�าใหป้ รากฏร่องรอยหลกั ฐานทางพระพทุ ธศาสนาลดลง ระหว่างพทุ ธศตวรรษท่ี 1๖ – 1๙ ตอ่ มาในราวพทุ ธศตวรรษที่ 22 – 2๓ เป็นต้นมา เมื่อกลมุ่ ชาตพิ นั ธลุ์ าวได้เขา้ มาอาศัยอยู่ในพน้ื ท่บี ริเวณน้ี ก็ได้น�าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทกลับมาเป็นศูนย์รวมทางความเชื่อความศรัทธาของสังคม โดยเฉพาะเม่ือมี การต้งั เมอื งอุบลราชธานศี รีวนาลยั ประเทศราชแล้ว พระประทมุ สรุ ยิ วรราชวงศ์(ทา้ วคา� ผง) ไดส้ รา้ งวดั แหง่ แรกในเมอื งอบุ ลราชธานมี ชี อื่ วา่ วดั หลวง แลว้ ไดส้ รา้ ง พระพทุ ธรปู ไว้ดว้ ย ปจั จบุ นั คือวัดหลวง จงั หวัดอุบลราชธานี ดงั ความในพงษาวดารหวั เมืองมณฑลอสี านวา่ “...แล ได้สรา้ งวัดหลวงข้นึ วดั หนงึ่ ...” 1 โดยมีท่านหอเจ้าแก้ว เป็นหลักค�า เปน็ ผปู้ กครองคณะสงฆส์ ามเณรและดูแลการเล่าเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม สถิตทวี่ ัดหลวงนน้ั เอง ตอ่ มาในสมยั ของพระพรหมวรราชสรุ ยิ วงศ์(ทา้ วพรหม) เจา้ เมอื งอบุ ลราชธานศี รวี นาลยั ประเทศราชคนท่ี 2 ได้สร้างวิหารข้ึนใ นวัดมหาวนาราม (วัดป่าใหญ่ หรือวัดป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสดิ์) เมื่อ พ.ศ. 2๓4๘ และสร้าง พระเจา้ อินทรแ์ ปลงขึ้นเม่ือ พ.ศ. 2๓๕๐ เมอ่ื ทา่ นหอเจา้ แกว้ ซงึ่ สถติ ณวดั หลวง มรณภาพ ในสมยั รชั กาลท่ี 4 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดใหพ้ ระอรยิ ธรรมวงศาจารย์(สยุ่ ) รบั พระราชทานสญั ญาบตั รเปน็ พระราชาคณะผู้ใหญ่ มาเปน็ หลักค�าเมืองอุบลราชธานี สถติ ท่วี ดั ปา่ นอ้ ย หรอื วัดมณวี ัน ในปจั จบุ นั 2 1 “พงษาวดารหวั เมอื งมณฑลอีสาน,” ประชุมพงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภิเษก เล่ม ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, 2๕4๕), หน้า ๓๐๘. 2 เตมิ วิภาคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตร์อีสาน (กรุงเทพฯ: ส�านักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2๕๕๗), หน้า ๕๐๓.

อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I 14๓ พระเจ้าอนิ ทรแ์ ปลง วดั มหาวนาราม (วัดป่าใหญ)่ ตา� บลในเมือง อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี

144 I อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย พระวิหารพระเจ้าอินทร์แปลง วดั มหาวนาราม (วัดปา่ ใหญ่) อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จังหวดั อุบลราชธานี สรา้ งในบรเิ วณพระวิหารเดิม ซ่งึ สร้างในสมัยพระพรหมวรราชสรุ ิยวงศ์ (ทา้ วพรหม)

อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I 14๕

14๖ I อุบลราชธานศี รีวนาลยั ๑ การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ธรรมยตุ ิกนิกายในอีสาน ตอ่ มาในสมยั พระพรหมวรราชสรุ ยิ วงศ์(ทา้ วกทุ อง) เจา้ เมอื งอบุ ลราธานี ศรวี นาลัยคนที่ ๓ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว รัชกาลท่ี 4 ทรงพระ กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระพรหมวรราชสรุ ยิ วงศ์(ทา้ วกทุ อง) อาราธนาทา่ นพนั ธโุ ล (ดี) และทา่ นเทวธัมมี (ม้าว) พระภิกษุธรรมยุติกนิกาย จากวัดบวรนิเวศวิหาร กลบั ไปจา� พรรษาท่เี มืองอุบลราชธานี ใน พ.ศ. 2๓๙4 และให้สร้างวัดถวาย๓ ทา่ นพนั ธโุ ล (ด)ี หรอื พระอธกิ ารดี พนธฺ โุ ล เปน็ ชาวจงั หวดั อบุ ลราชธานี เกิดที่บ้านหนองไหล ต�าบลหนองขอน อ�าเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ บรรพชาเปน็ สามเณรและอปุ สมบททวี่ ดั หนองไหล ตอ่ มาไดย้ า้ ยไปอยทู่ ว่ี ดั เหนอื ทา่ อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี หลงั จากนน้ั ไดเ้ ดนิ ทางไปศกึ ษาพระปรยิ ตั ธิ รรมทส่ี า� นกั วดั มหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎ์ิ กรุงเทพมหานคร ต่อมาท่านพันธุโล (ดี) ได้ถวายตัวต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั เมอื่ ทรงพระผนวชประทบั อยทู่ วี่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร และไดเ้ ปลยี่ นทฬั หกิ รรม จากมหานกิ ายเป็นธรรมยุติกนิกาย จา� พรรษาทว่ี ัดบวรนิเวศวหิ าร4 ดว้ ยเหตนุ พี้ ระพรหมวรราชสรุ ยิ วงศ์(ทา้ วกทุ อง) พรอ้ มกบั กรมการเมอื ง อุบลราชธานีศรีวนาลัยได้ปรึกษากันเลือกพื้นท่ีบริเวณท่าเหนือ ซ่ึงอยู่ระหว่าง ตัวเมืองกับบ้านบุ่งกาแซว เป็นท่ีตั้งของวัดที่จะสร้างข้ึนใหม่ส�าหรับคณะสงฆ์ ธรรมยุติกนิกาย ๓ ประวตั ิวัดสุปฏั นารามวรวิหารและโบราณวัตถชุ ิน้ สาำ คัญ (กรุงเทพฯ: ศักดิโสภา การพมิ พ,์ 2๕๕๕), หนา้ 1๕. 4 เรื่องเดียวกัน, หนา้ 1๘.

อุบลราชธานีศรีวนาลยั I 14๗ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดา� รงราชานุภาพ เสด็จวดั สปุ ฏั นาราม พ.ศ. 24๗2

14๘ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั วดั บวรนเิ วศวิหาร ซ่ึงท่านพนั ธโุ ล (ด)ี และทา่ นเทวธัมมี (มา้ ว) จา� พรรษาระหว่างท่ีมาศึกษาพระพุทธศาสนาในกรงุ เทพฯ