อุบลราชธานีศรวี นาลัย I 14๙ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระพรหมวรราชสรุ ิยวงศ์ (ทา้ วกุทอง) อาราธนาท่านพันธุโล (ดี) และทา่ นเทวธมั มี (ม้าว) ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ธรรมยุตกิ นิกาย ณ เมืองอบุ ลราชธานี เป็นคร้งั แรก
1๕๐ I อุบลราชธานศี รวี นาลัย เมอื่ ตกลงกนั เปน็ ทเี่ รยี บรอ้ ยแลว้ จงึ เรม่ิ ลงมอื ปราบทดี่ นิ กา� หนดเขตดา้ นกวา้ งยาวเทา่ กนั ดา้ นละ ๓ เสน้ เศษ ขดุ ครู อบกวา้ งราว 1 วา ลึกราว ๓ ศอก ต่อมามผี ถู้ วายท่ีดนิ เพ่มิ เตมิ อกี ดา้ นยาวจงึ มีขนาด ๕ เส้นเศษ๕ จากนั้นจึงได้มีการสร้างพระอุโบสถ ขนาดกว้าง ๘ วา ยาว 11 วา 2 ศอก หันหน้าทางทิศตะวันออก ก่ออิฐถือปูน เป็นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้าขนาด ๗ ห้อง หลังคาทรงคฤห์ไม่ซ้อนชั้นมุงด้วยกระเบ้ืองไม้มีช่อฟ้าใบระกา ประดบั กระจก หนา้ บนั ดา้ นตะวนั ออกแกะสลกั เปน็ ลายเครอื เถา ดา้ นตะวนั ตกสลกั ลายดอกไมร้ ว่ ง มหี ลงั คาปกี นกซอ้ น 2 ชน้ั คลมุ พาไลเปน็ เฉลยี งรอบ เสาไมก้ อ่ อฐิ โอบเสา มปี ระตดู า้ นหนา้ 2 ชอ่ ง บานประตไู มแ้ กะสลกั พน้ื ปดู ว้ ยกระเบอ้ื ง ดนิ เผา ส่วนกฏุ ิและเวจกุฏิสรา้ งดว้ ยไม๖้ ในการกอ่ สรา้ งวดั ครงั้ น้ี พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชทานพระราชทรพั ยเ์ ปน็ เงนิ 1๐ ชง่ั และพระราชทานเลกวดั จา� นวน ๖๐ คน เมอ่ื สรา้ งวดั เสรจ็ แลว้ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานนามวดั นว้ี า่ “วดั สปุ ฏั นาราม” จากนนั้ จงึ ไดอ้ าราธนาทา่ นพนั ธโุ ล(ด)ี ทา่ นเทวธมั มี(มา้ ว) และทา่ นคณุ สมั ปนั โน(กา�่ ) ไปจา� พรรษา โดยมที า่ นพนั ธโุ ล(ด)ี เปน็ เจา้ อาวาสรปู แรก ทา่ นเทวธมั มเี ปน็ รองเจา้ อาวาส พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชทานนติ ยภตั ร แกท่ ่านพันธโุ ล (ด)ี เจ้าอาวาสเดอื นละ ๘ บาท๗ “วัดสุปัฏนาราม” จงึ นับวา่ เป็นการสรา้ งวัดธรรมยุตกิ นิกายเปน็ วดั แรกในเมอื งอุบลราชธานศี รวี นาลัย และ เปน็ วดั แรกของธรรมยุติกนิกายในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ท่านพนั ธโุ ล (ด)ี ท่านเทวธมั มี (มา้ ว) จึงถอื เปน็ บูรพาจารย์ผูท้ า� ให้เกดิ การตง้ั คณะธรรมยุตกิ นิกายในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื หรอื ภาคอีสาน เปน็ ครงั้ แรก ท่านพนั ธโุ ล (ดี) มรณภาพที่วดั สระแก้ว เมอื งพบิ ลู มังสาหาร อบุ ลราชธานี เมอ่ื พ.ศ. 2๓๙๖ อายไุ ดป้ ระมาณ ๗๐ ปี ๕ ประวตั วิ ัดสุปฏั นารามวรวหิ ารและโบราณวัตถุชนิ้ สาำ คัญ (กรุงเทพฯ: ศักดิโสภา การพิมพ์, 2๕๕๕), หนา้ 1๖. ๖ เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ 1๗. ๗ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ 1๗.
อุบลราชธานีศรวี นาลัย I 1๕1 พระอโุ บสถวัดสุปัฏนาราม จงั หวัดอบุ ลราชธานีในปัจจุบัน ตา� บลในเมือง อ�าเภอเมอื งอบุ ลราชธานี
1๕2 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั พระสพั พญั ญูเจ้า พระประธานภายใน พระอโุ บสถวดั สปุ ฏั นาราม สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อ้วน) เปน็ องค์ผนู้ า� ในการหลอ่ พระอุปชั ฌายะสมี า อดีตเจา้ อาวาสวัดบรู พา เปน็ ชา่ งหลอ่ ท่ีใตต้ น้ ศรีมหาโพธิ์ หน้าวัดสปุ ัฏนาราม เมอื่ พ.ศ. 24๕๙
อุบลราชธานีศรีวนาลัย I 1๕๓ พระสพั พญั ญเู จา้ พระพทุ ธรูปซึ่งเป็นพระประธาน ภายในพระอุโบสถวัดสปุ ัฏนาราม อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี
1๕4 I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั อุทกสมี า วดั สุปัฏนาราม เป็นอุโบสถกลางน�้าที่ใช้ในการอปุ สมบทพระภกิ ษุ ปจั จบุ ันอยูท่ ี่ทา่ น�า้ หน้าวัดสปุ ฏั นาราม อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี
อุบลราชธานศี รวี นาลัย I 1๕๕ แมน่ �้ามลู หน้าวดั สปุ ฏั นาราม ใกล้กับท่าน�้าหนา้ วัดสปุ ัฏนาราม อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จังหวัดอบุ ลราชธานี
1๕๖ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย ทา่ น�้าวัดสปุ ฏั นาราม เป็นท่านา�้ ส�าคญั ซ่ึงพระเถระผู้ใหญห่ ลายรปู ของอุบลราชธานี เดินทางไปศกึ ษาพระพุทธศาสนาในกรงุ เทพฯ โดยลงเรือไปจากท่าน้า� วดั สปุ ฏั นารามน้ี ด้านหลังคอื พระอโุ บสถวดั สปุ ฏั นาราม อา� เภอเมอื งอบุ ลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี
อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I 1๕๗
1๕๘ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย ๒ อุบลราชธานศี รีวนาลัย ศนู ยก์ ลางธรรมยุติกนกิ ายสายอีสาน เมื่อมีการสร้างวัดสุปัฏนาราม เป็นวัดธรรมยุติกนิกายวัดแรกในเมืองอุบลราชธานีศรีวนาลัยแล้ว จากนั้น จงึ มกี ารสร้างวัดธรรมยตุ ิกนกิ ายขึ้นอกี หลายวัดในเมอื งอบุ ลราชธานีและเมอื งใกล้เคยี ง ไดแ้ ก่ วดั ศรีทอง เดิมเรียกว่า วัดสวุ รรณาราม เป็นวัดทอ่ี ปุ ฮาด (โท) ได้สร้างขน้ึ เปน็ วัดธรรมยตุ กิ นกิ ายวดั ที่ 2 ในเมอื งอบุ ลราชธานี และไดอ้ าราธนาทา่ นเทวธมั มี (มา้ ว) จากวดั สปุ ฏั นารามมาเปน็ เจา้ อาวาส ตอ่ มาใน พ.ศ. 2๕11 พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช บรมนาถบพติ ร พระราชทานนามวา่ “วัดศรีอบุ ลรัตนาราม”๘ วัดสทุ ัศนาราม เป็นวดั ทรี่ าชบุตร (สุย่ ) สร้างขึ้นเป็นวัดธรรมยุตกิ นิกายวดั ที่ ๓ และได้อาราธนาทา่ นพลิ า จากวดั สปุ ัฏนารามไปเปน็ เจ้าอาวาส๙ วัดชัยมงคล เป็นวัดที่เจ้าพรหมเทวานุเคราะห์วงศ์ (เจ้าหน่อค�า) ได้สร้างเป็นวัดธรรมยุติกนิกายวัดที่ 4 ในเมอื งอบุ ลราชธานี และได้อาราธนาท่านสิงห์ จากวัดศรีทอง (วัดศรีอบุ ลรัตนาราม) ไปเป็นเจา้ อาวาส1๐ นับได้ว่าเวลานั้นคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกายประดิษฐานในเมืองอุบลราชธานีได้อย่างมั่นคงแล้ว จากน้ันจึงมี การสรา้ งวดั ธรรมยตุ กิ นิกายวัดอืน่ ๆ ในเมอื งใกลเ้ คยี ง ดังน้ี วดั สระแก้ว เมืองพบิ ลู มังสาหาร เป็นวดั ทพี่ ระบ�ารุงราษฎร์ (จูมมณี สุวรรณกฏู ) เจา้ เมืองพบิ ูลมงั สาหาร คนแรกเป็นผ้สู รา้ งขึ้น ทา่ นพันธโุ ล (ดี) ได้เดนิ ทางออกไปปกครองวัดนเ้ี อง สว่ นทางวดั สปุ ัฏนารามน้นั ทา่ นพนั ธโุ ล (ดี) ได้เดินทางไปมา แต่ได้มอบให้ท่านสังฆรักขิโต (พูน) ปกครอง วัดสระแก้ว เมืองพิบูลมังสาหารจึงเป็นวัด ธรรมยตุ กิ นกิ ายวดั ที่ ๕ ของอบุ ลราชธานี11 ๘ เติม วิภาคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: ส�านักพมิ พม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2๕๕๗), หนา้ ๕๐๕. ๙ เรอ่ื งเดยี วกัน, หนา้ ๕๐๕. 1๐ เรื่องเดียวกนั , หน้า ๕๐๗. 11 เร่ืองเดียวกัน, หนา้ ๕๐๗.
อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I 1๕๙ วดั หนองบัว ต�าบลในเมอื ง อ�าเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี นอกจากจะมคี วามส�าคญั ในฐานะปูชนียสถานสา� คัญ ของเมืองอบุ ลราชธานแี ล้ว วัดหนองบัวยงั เปน็ วดั สา� คัญทีเ่ กย่ี วข้องกับ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เนอื่ งจากเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดเ้ คยปรารภทจ่ี ะสรา้ งโรงเรยี นปริยัตธิ รรม แผนกสามญั ศกึ ษา และไดม้ อบเงินไว้ให้เป็นทนุ เบ้อื งตน้ อีกด้วย
1๖๐ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย วัดหนองบวั หรือวดั พระธาตหุ นองบัว เป็นวดั ธรรมยตุ ิกนิกายที่ส�าคัญวดั หน่งึ ในจงั หวดั อบุ ลราชธานี ภายในวัดมีพระธาตเุ จดยี ์ศรีมหาโพธ์ิ ซ่ึงสร้างข้นึ เพื่อเป็นสญั ลกั ษณ์ครบรอบพระพทุ ธศาสนา 2๕ พุทธศตวรรษ เม่อื พ.ศ. 2๕๐๐ โดยจา� ลองแบบมาจากเจดยี ท์ พ่ี ทุ ธคยา ประเทศอนิ เดยี เพ่ือบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตเุ จดียศ์ รีมหาโพธ์สิ ร้างเสรจ็ สมบรู ณ์ ใน พ.ศ. 2๕12
อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I 1๖1 พระพทุ ธรปู ภายใน พระธาตุเจดียศ์ รีมหาโพธิ์ วัดพระธาตุหนองบัว ตา� บลหนองบวั อ�าเภอเมืองอบุ ลราชธานี จงั หวดั อุบลราชธานี
1๖2 I อุบลราชธานีศรีวนาลัย วัดหอก่อง เมืองมหาชนะชัย เป็นวัดที่พระเรืองไชยชนะ (ค�าพูน สุวรรณกูฏ) เจ้าเมืองมหาชนะชัย เป็นผ้สู ร้างข้นึ ถือว่าเป็นวดั ธรรมยตุ กิ นกิ ายวดั ที่ ๖ โดยได้อาราธนาท่านสีดาจากวัดสุปฏั นารามไปเป็นเจา้ อาวาส12 หลงั จากพระพนั ธุโล (ด)ี มรณภาพแลว้ ท่านเทวธมั มี (ม้าว) ไดเ้ ป็นพระเถระผู้ใหญ่ของเมอื งอบุ ลราชธานี ตอ่ มา และไดร้ ับพระราชทานเป็นพระอปุ ชั ฌาย์ ดงั นั้นจงึ ทา� ให้คณะสงฆ์ธรรมยตุ ิกนกิ ายไดข้ ยายออกไปอย่างกว้างขวางในภาคอีสาน ในราว พ.ศ. 242๐ ไดม้ กี ารสรา้ งวัดกลาง กับวดั บ้านผง้ึ เมืองอุบลราชธานี เป็นวดั ธรรมยตุ ิกนิกาย และมีการสร้างวดั ธรรมยตุ กิ นิกาย ขยายออกไปในเมืองอ่นื ๆ ไดแ้ ก่ วัดมหามาตยาราม นครจ�าปาศักด์ิ เป็นวัดท่ี เจ้ายุติธรรมธร (ค�าสุก) เจ้านครจ�าปาศักด์ิ และพระยา มหาอ�ามาตยาธิบดี (หรุ่น ศรีเพ็ญ) ข้าหลวงใหญ่หัวเมืองลาวตะวันออก ร่วมกันสร้างแล้วได้อาราธนาพระอุบาลี คุณูปมาจารย์ (สิรจิ นโฺ ท จนั ทร์) ไปเป็นเจ้าอาวาส วัดสรา่ งโศก เมืองยโสธร เปน็ วัดทีพ่ ระสนุ ทรราชวงศา (เหมน็ ) เจ้าเมอื งยโสธรเปน็ หัวหนา้ ในการกอ่ สรา้ ง ซ่ึงในเวลาตอ่ มามีวัดสาขาอีก 2 วัด คือ วดั บา้ นน�้าคา� และวัดศรมี งคล วัดมหาชัย เมืองกุมุทาสัย (หนองบัวล�าภู) ซ่ึงในเวลาต่อมามีวัดสาขาคือ วัดจอมศรี เมืองกุมภวาปี วดั จอมมณี อา� เภอวังสะพงุ และวดั ศรสี ะอาด จงั หวดั เลย เป็นตน้ นอกจากท่านพันธุโล (ดี) และท่านเทวธัมมี (ม้าว) จะมีบทบาทส�าคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ธรรมยุติกนิกายในภาคอีสานแล้ว ยังมีพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายท่ีส�าคัญอีกหลายรูปซ่ึงจะมีบทบาทส�าคัญในการ เผยแผ่พระพุทธศาสนาธรรมยุติกนิกาย และมีบทบาทส�าคัญในการจัดการด้านการศึกษาในเมืองอุบลราชธานี คือ พระอริยกวี (ธมมฺ รกขฺ ิโต ออ่ น) พระอุบาลคี ุณปู มาจารย์ (สริ จิ นฺโท จนั ทร)์ และสมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (ตสิ โฺ ส อว้ น) 12 เตมิ วิภาคยพ์ จนกจิ , ประวัตศิ าสตร์อีสาน (กรุงเทพฯ: สา� นักพมิ พ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2๕๕๗), หนา้ ๕๐๗.
อุบลราชธานศี รีวนาลัย I 1๖๓ ๓ พระอริยกวี (ธมฺมรกขฺ ิโต ออ่ น) พระอรยิ กวี(ธมมฺ รกขฺ ิโต ออ่ น) เปน็ ชาวอบุ ลราชธานี บดิ ามภี มู ลิ �าเนาอยบู่ า้ นหนองไหล แตเ่ ขา้ มารบั ราชการ ในเมืองอุบลราชธานีมีตา� แหนง่ เปน็ กรมการเมืองในตา� แหน่งนา เรียกว่า “พันนา” ต่อมาพระอรยิ กวี (ธมมฺ รกขฺ ิโต ออ่ น) ได้บรรพชาอุปสมบทกับท่านเทวธมั มี (ม้าว) วัดศรีทอง จนอายุได้ 24 จึงเข้าไปเรียนในกรุงเทพมหานคร แล้วได้เป็นพระครูเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดเขมาภิรตาราม จากนั้นจึงสอบได้เปรียญ 4 ประโยค ใน พ.ศ. 24๓๓ ไดร้ ับสมณศักดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะทพี่ ระอริยกวี ครนั้ ถงึ พ.ศ. 24๓4 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ทรงพระกรณุ าโปรดให้เป็นเจ้าคณะใหญเ่ มอื งอบุ ลราชธานี เวลานั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพชิ ติ ปรชี ากร โปรดใหพ้ ระอรยิ กวี (ธมมฺ รกขฺ ิโต ออ่ น) ควบคมุ ดแู ล คณะสงฆ์ท่ัวไปในมณฑลลาวกาว ในแขวงเมืองอุบลราชธานนี ัน้ พระอริยกวี (ธมฺมรกฺขิโต ออ่ น) ไดว้ างระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้เปน็ หมวดหมู่ ท�าบัญชพี ระสงฆ์สง่ กระทรวงธรรมการ และหา้ มลัทธปิ ระเพณีบางประการที่ขัดกบั ระเบียบพระธรรมวินัย รวมท้ังสง่ เสริมการศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม พระอรยิ กวี(ธมมฺ รกขฺ ิโต ออ่ น) มรณภาพเนอื่ งจากพษิ ไข้ ใน พ.ศ. 244๖ อายไุ ด้ ๕๘ ปี พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงเป็นประธานในการท�าฌาปนกิจตามประเพณีมีนกหัสดีลิงค์ แล้วพระราชทานเพลิง ทที่ ุ่งศรีเมืองตามประเพณ1ี ๓ 1๓ เติม วิภาคย์พจนกิจ, ประวตั ศิ าสตรอ์ ีสาน (กรงุ เทพฯ: ส�านักพิมพม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2๕๕๗), หนา้ ๕14.
๔ พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์ (สิรจิ นฺโท จันทร์) พระอุบาลีคณุ ปู มาจารย์ (สิริจนฺโท จนั ทร)์ มนี ามเดิมวา่ จันทร์ สุภสร เกิดเมอื่ วันศุกรท์ ี่ 1๙ กรกฎาคม พ.ศ. 2๓๙๙ ทีบ่ า้ นหนองไหล ตา� บลหนองขอน อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี จังหวดั อุบลราชธานี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เป็นบุตรของหลวงสุโภรสุประการ (สอน สุภสร) สังฆการ เมอื งอุบลราชธานกี บั นางแกว้ สภุ สร เมือ่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จนั ทร)์ อายไุ ด้ 1๓ ปี จึงบรรพชาเป็น สามเณร ที่วัดบ้านหนองไหล โดยมีพระอธิการโสดาเป็นพระอปุ ชั ฌายะ หลังจากนนั้ จึงเขา้ ไปศึกษาท่วี ดั ศรีทอง เม่ืออายุได้ 1๙ ปี พระอบุ าลีคุณปู มาจารย์ (สิริจนโฺ ท จนั ทร)์ ได้ลาสกิ ขา เนอื่ งจากตอ้ งตดิ ตามโยมบดิ า ท่ีถูกเกณฑ์ไปปราบฮ่อ จากนั้นจึงได้อยู่ช่วยบิดามารดาท�านาอยู่ ๓ ปี เมื่ออายุได้ 22 ปี ท่านเทวธัมมี (ม้าว) ใหค้ นไปตามตัวพระอุบาลีคณุ ูปมาจารย์ (สริ จิ นโฺ ท จนั ทร์) มาอุปสมบท พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์(สริ จิ นโฺ ทจนั ทร)์ ไดอ้ ปุ สมบทเปน็ พระภกิ ษุ เมอื่ วนั ศกุ รท์ ่ี 2๐ เมษายน พ.ศ. 242๐ ณ พัทธสมี าวดั ศรที อง ทา่ นเทวธมั มี(มา้ ว) เปน็ พระอปุ ชั ฌายะ พระอธกิ ารสีโหวดั ไชยมงคล เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ หลงั จากพระอุบาลคี ณุ ูปมาจารย์ (สิรจิ นโฺ ท จนั ทร)์ ไดศ้ กึ ษาเล่าเรียนในส�านักของทา่ นเทวธมั มี (มา้ ว) ได้ 4 พรรษา ใน พ.ศ. 242๓ พระอบุ าลคี ุณูปมาจารย์ (สิรจิ นฺโท จันทร)์ ได้เขา้ มาศึกษาในกรุงเทพฯ โดยพา� นักกับ พระปลัดผา วัดเทพศิรินทราวาส
อุบลราชธานศี รวี นาลัย I 1๖๕ อนสุ าวรยี ์พระอุบาลีคุณปู มาจารย์ (สริ จิ นโฺ ท จนั ทร)์ ทงุ่ ศรเี มอื ง ต�าบลในเมือง อา� เภอเมืองอุบลราชธานี จังหวดั อุบลราชธานี
1๖๖ I อุบลราชธานศี รีวนาลัย ตอ่ มาพระอุบาลีคณุ ปู มาจารย์ (สริ จิ นฺโท จนั ทร์) ไดย้ า้ ยไป ครั้นถึง พ.ศ. 24๕2 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า พ�านักกับพระสาสนโสภณ (อ่อน) จนสอบได้เปรียญ ๓ ประโยค เจ้าอยู่หัว โปรดให้พระอุบาลคี ุณูปมาจารย์ (สริ ิจนฺโท จันทร์) เป็น และตอ่ มาสอบไดเ้ ปรยี ญ 4 ประโยค หลงั จากนน้ั จงึ ไดต้ า� แหนง่ หนา้ ที่ เจ้าคณะมณฑลราชบุรี และทรงพระกรุณาโปรดให้เล่ือนสมณศักดิ์ ทางการคณะสงฆ์และรับสมณศักด์ิตามล�าดับ ดังนี้ เปน็ พระราชาคณะชนั้ ราชที่ พระราชกวี ในปีเดียวกันน้ัน ใน พ.ศ. 24๓1 พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์ (สริ จิ นโฺ ท จันทร์) พ.ศ. 24๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดใหเ้ ปน็ ทรงพระกรณุ าโปรดใหพ้ ระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์(สริ จิ นโฺ ทจนั ทร)์ เปน็ เจ้าคณะสังฆปาโมกข์ เมอื งนครจ�าปาศักดิ์ เจ้าคณะมณฑลหวั เมืองกรงุ เทพฯ ใน พ.ศ. 24๓๓ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ใน พ.ศ. 24๕๗ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดใหเ้ ป็นเจ้าคณะใหญน่ ครจ�าปาศักดิ์ และได้เปน็ ทรงพระกรุณาโปรดให้พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) พระครสู ัญญาบตั รท่ี พระครวู จิ ติ รธรรมภาณี เลื่อนสมณศักด์ิเปน็ พระราชาคณะชน้ั เทพท่ี พระเทพโมลี แตต่ ่อมา ใน พ.ศ. 24๕๘ ถูกถอดจากสมณศกั ด์ิเนื่องจากแต่งหนังสือเทศนา ตอ่ มาใน พ.ศ. 24๓๗ พระอุบาลคี ณุ ปู มาจารย์ (สิริจนฺโท อธบิ ายขัดกับหลกั รฐั ประศาสโนบาย จนั ทร์) ไดเ้ ปน็ กรรมการมหามกุฏราชวทิ ยาลยั ต่อมาใน พ.ศ. 24๕๙ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ในระหว่างน้ันพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ท่ี ได้มีบทบาทส�าคัญในการส่งเสริมการศึกษาท้ังในด้านศาสนศึกษา พระธรรมมหาธีรราชมหามุนี และสามญั ศกึ ษาในภาคอสี าน โดยเฉพาะใน พ.ศ. 244๐ พระอบุ าลี คุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) ได้จัดต้ังโรงเรียนอุบลวิทยาคม ครนั้ ถงึ พ.ศ. 24๖๖ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั สอนหนังสือไทยและมคธท่ีวดั สปุ ัฏนาราม ดังปรากฏในเอกสารของ ทรงพระกรุณาโปรดให้พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติทน่ี า� มาลงไว้ในภาคผนวก เล่ือนสมณศักดิเ์ ปน็ พระราชาคณะชน้ั ธรรมที่ พระโพธวิ งศาจารย์ คร้ันถึง พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ใน พ.ศ. 24๖๘ พระอุบาลคี ณุ ปู มาจารย์ (สริ ิจนโฺ ท จันทร)์ เจ้าอยู่หัวโปรดให้พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เป็น ไดเ้ ลอ่ื นสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะชน้ั หริ ญั บฏั เจา้ คณะรองอรญั วาสี ผู้อ�านวยการคณะมณฑลอีสาน และได้รับพระราชทานสัญญาบัตร ที่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ เลอ่ื นเปน็ พระราชาคณะท่ี พระญาณรักขติ พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์(สริ จิ นโฺ ท จนั ทร)์ มรณภาพเมอ่ื วนั ท่ี พ.ศ. 24๕1 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 1๙ กรกฎาคม พ.ศ. 24๗๕ เวลา 11.4๐ น. ณ หอกลางกุฏเิ ขียว ทรงพระกรุณาโปรดให้พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) วดั บรมนวิ าส กรงุ เทพฯ สริ อิ ายไุ ด้ ๗๗ ปี ไดร้ บั พระราชทานเพลงิ ศพ เป็นเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี ณ เมรุวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ14 14 เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ , ประวตั ิศาสตรอ์ ีสาน (กรงุ เทพฯ: ส�านักพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2๕๕๗), หน้า ๕14 – ๕๓2.
อบุ ลราชธานีศรีวนาลัย I 1๖๗ รูปหล่อโลหะ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สริ ิจนฺโท จนั ทร์) ทงุ่ ศรีเมือง อา� เภอเมืองอุบลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี
1๖๘ I อุบลราชธานีศรวี นาลัย ๕ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อว้ น) สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์(ตสิ โฺ ส อว้ น) นามเดมิ วา่ อว้ น แสนทวสี ขุ เกดิ เมอื่ วนั เสารท์ ่ี 12 มนี าคม พ.ศ. 241๐ ที่บ้านแคน ต�าบลดอนมดแดง เมืองอุบลราชธานี เป็นบุตรของเพ้ียเมืองกลาง (เคน) กรมการเมืองอุบลราชธานี กับนางบดุ สี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 1๙ ปี ที่วัดบ้านสว่าง อ�าเภอ วารินช�าราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้แปลงเป็นสามเณรธรรมยุตที่วัดศรีทอง และได้ศึกษาเล่าเรียนในส�านัก วดั ศรที องนน้ั เอง ต่อมาสมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (ติสโฺ ส อ้วน) ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวดั ศรีทอง เมื่อวันท่ี 2๐ มนี าคม พ.ศ. 24๓๐ มที า่ นเทวธมั มี (ม้าว) เปน็ พระอปุ ชั ฌายะ พระโชติปาโล (ทา) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอบุ าลี คณุ ูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เปน็ พระอเุ ทศนาจารย์ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้ส�านักอยู่กับท่านเทวธัมมี (ม้าว) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌายะจนถึง พ.ศ. 24๓4 เมือ่ พ้นมตุ กะแลว้ ไดล้ าพระอุปชั ฌายเ์ ข้าไปเรียนที่กรงุ เทพฯ โดยเขา้ เรยี นที่สา� นกั วดั พชิ ยญาตกิ าราม และตอ่ มาไดเ้ ปน็ นกั เรยี นของมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั สาขาวดั พชิ ยญาตกิ าราม เรยี นอยู่ 4 ปีจงึ สอบบาลีไวยากรณ์ได้ ใน พ.ศ. 24๓๘ เม่ือพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) ได้รับต�าแหน่งครูสอนภาษาบาลีที่ วัดเทพศริ นิ ทราวาส สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (ติสโฺ ส อ้วน) จึงไดย้ ้ายสา� นักเรยี นไปเป็นนกั เรียนวดั เทพศริ ินทราวาส เรียนได้ 2 ปี สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อว้ น) สอบได้ช้นั เปรียญตรี ต่อมาใน พ.ศ. 24๓๙ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) เตรียมการออกไปต้ังโรงเรียนท่ีเมือง อุบลราชธานี ในการน้ีได้จัดคณะศิษย์ซึ่งมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) และคณะศิษย์อ่ืนๆ รวม ๖ รูป คมุ เครอื่ งใชอ้ ปุ กรณแ์ ละตา� ราเรยี นออกไปกอ่ น เมอ่ื ไปถงึ เมอื งอบุ ลราชธานี พระอบุ าลคี ณุ ปู มาจารย์(สริ จิ นโฺ ทจนั ทร)์ ไดจ้ ัดการศึกษาหวั เมืองมณฑลอีสาน ซงึ่ แบ่งออกเป็น 4 จังหวดั สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ไดเ้ ป็นผกู้ �ากบั จังหวัดอบุ ลราชธานี และรับหนา้ ทเี่ ป็นครูสอนภาษาบาลี
อุบลราชธานศี รีวนาลยั I 1๖๙ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อว้ น) ภายในพระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม อ�าเภอเมืองอุบลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี
1๗๐ I อุบลราชธานศี รีวนาลยั อนสุ าวรีย์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อว้ น) ท่งุ ศรีเมอื ง อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี
อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I 1๗1 อนุสาวรยี ส์ มเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโฺ ส อ้วน) ทุ่งศรเี มือง ต�าบลในเมือง อา� เภอเมืองอุบลราชธานี จงั หวดั อบุ ลราชธานี
1๗2 I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย ตอ่ มาใน พ.ศ. 2442 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อว้ น) ไดเ้ ดินทางเขา้ กรุงเทพฯ พรอ้ มกบั พระอุบาลี คุณปู มาจารย์ (สริ ิจนฺโท จนั ทร)์ เมื่อออกพรรษาแลว้ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อ้วน) เขา้ สอบพระปรยิ ตั ธิ รรม ได้ชน้ั เปรยี ญโท และได้เป็นผูช้ ว่ ยเจ้าคณะมณฑลอีสานในปีเดยี วกัน ครั้นถึง พ.ศ. 244๖ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อว้ น) ไดร้ บั ตา� แหน่งผู้แทนเจา้ คณะมณฑล และเป็น เจา้ อาวาสวัดสุปัฏนาราม จังหวดั อุบลราชธานี พ.ศ. 244๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโฺ ส อว้ น) เป็นเจ้าคณะมณฑลอีสาน และพระราชทานสญั ญาบัตรเปน็ พระราชาคณะชน้ั สามัญท่ี พระศาสนดลิ ก ใน พ.ศ. 244๘ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ตสิ โฺ ส อว้ น) เปน็ พระอปุ ชั ฌายะ และดา� รงตา� แหนง่ เจา้ คณะมณฑลนครราชสมี า มณฑลอบุ ลราชธานี และรงั้ ตา� แหนง่ เจ้าคณะมณฑลรอ้ ยเอด็ ต่อมาใน พ.ศ. 24๕4 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพัดยศคณะผู้ใหญ่เสมอ ชั้นราชใหส้ มเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (ติสโฺ ส อว้ น) ครน้ั ถงึ พ.ศ. 24๕๕ พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดใหส้ มเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (ติสฺโส อว้ น) เล่อื นสมณศกั ด์เิ ป็นพระราชาคณะชน้ั ราชท่ี พระราชมนุ ี พ.ศ. 24๖4 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อ้วน) เล่อื นสมณศักด์ิเปน็ พระราชาคณะชน้ั เทพท่ี พระเทพเมธี ต่อมาใน พ.ศ. 24๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระ มหาวีรวงศ์ (ตสิ ฺโส อว้ น) รักษาการต�าแหน่งเจา้ คณะมณฑลอุดรธานีอีกหนึ่งต�าแหนง่ ครั้นถึง พ.ศ. 24๖๘ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้รับเล่ือนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระโพธิวงศาจารย์ ใน พ.ศ. 24๗๐ สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสทุ ธจินดา จงั หวัดนครราชสมี า พ.ศ. 24๗2 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ตสิ โฺ ส อ้วน) เลอื่ นสมณศักดิ์เปน็ พระราชาคณะชัน้ ธรรมท่ี พระธรรมปาโมกข์ ต่อมาใน พ.ศ. 24๗๕ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส และได้รับ เลอ่ื นสมณศกั ดเ์ิ ป็นรองสมเดจ็ พระราชาคณะท่ี พระพรหมมุนี
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I 1๗๓ พระอโุ บสถ วัดสุปฏั นารามในอดตี พระอุโบสถหลงั น้ี สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (ตสิ ฺโส อว้ น) เป็นองค์ผู้น�าในการก่อสรา้ งข้นึ สรา้ งแล้วเสร็จเม่อื พ.ศ. 24๗๓
1๗4 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั ครน้ั ถึง พ.ศ. 24๘2 สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (ติสโฺ ส อ้วน) ได้รับเลื่อนสมณศักด์เิ ปน็ สมเด็จพระราชาคณะ ท่ี สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ และตอ่ มาใน พ.ศ. 24๘4 ทรงพระกรณุ าโปรดให้สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (ติสฺโส อว้ น) ดา� รงต�าแหนง่ เป็น สงั ฆนายกรูปแรก พ.ศ. 24๘๕ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโฺ ส อ้วน) ไดเ้ ป็นเจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรงุ เทพฯ ใน พ.ศ. 24๙๐ ทรงพระกรณุ าโปรดใหส้ มเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (ตสิ โฺ ส อว้ น) เปน็ ประธานพระวนิ ยั ธรชน้ั ฎกี า สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) มรณภาพด้วยโรคชรา เม่ือวันท่ี 2๖ มกราคม พ.ศ. 24๙๙ เวลา 1๘.4๕ น. ณ หอธรรมวจิ ารณ์ วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร สิรอิ ายไุ ด้ ๘๙ ปี1๕ ดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ นบั ตงั้ แตร่ ชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เปน็ ตน้ มา เมอื งอบุ ลราชธานี ได้เป็นศูนยก์ ลางพระพทุ ธศาสนาธรรมยตุ กิ นิกาย ของภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ หรอื ภาคอีสาน ซึ่งเป็นพน้ื ภูมิของ ถน่ิ ฐานบา้ นเกดิ ของสมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์(มานติ ถาวโร) ซงึ่ เปน็ ชาวเมอื งอบุ ลราชธานี – อา� นาจเจรญิ เชน่ เดยี วกนั ดงั จะได้กลา่ วถงึ ในบทต่อไป 1๕ เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สา� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2๕๕๗), หน้า ๕๓๓ – ๕๕๘.
อุบลราชธานศี รวี นาลัย I 1๗๕ พระมงคลมิ่งเมอื ง พทุ ธอุทยาน อ�าเภอเมืองอา� นาจเจรญิ จงั หวดั อ�านาจเจรญิ พระมงคลม่งิ เมือง เรม่ิ กอ่ สร้างเม่อื วนั ท่ี 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2๕๐๖ แลว้ เสรจ็ เมื่อวนั ที่ ๓1 มีนาคม พ.ศ. 2๕๐๘ ทา� พธิ ีพทุ ธาภิเษก เมื่อวันท่ี 1๓ พฤษภาคม พ.ศ. 2๕๐๘
1๗๖ I อุบลราชธานีศรวี นาลยั กุฏิสงฆว์ ิปสั สนากรรมฐานแบบพระป่าสายธรรมยุต ภายในพุทธอทุ ยาน และพระมงคลม่ิงเมอื ง อา� เภอเมอื งอา� นาจเจรญิ จังหวดั อ�านาจเจริญ ในปจั จบุ นั
อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I 1๗๗ ทางเดินจงกรมสา� หรบั ทางเดินในป่า ภายในพุทธอทุ ยาน เวจกฎุ ีส�าหรบั พระวิปสั สนากรรมฐาน พระวิปัสสนากรรมฐาน อ�าเภอเมอื งอา� นาจเจรญิ จงั หวดั อ�านาจเจรญิ ในปัจจบุ นั ภายในพุทธอุทยาน ภายในพุทธอุทยาน อา� เภอเมอื งอ�านาจเจรญิ อา� เภอเมอื งอา� นาจเจรญิ จงั หวัดอา� นาจเจริญ ในปัจจุบนั จังหวดั อ�านาจเจรญิ ในปจั จบุ ัน
๖ ประวตั ิ สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (มานติ ถาวโร ป.ธ. ๙)
180 I อุบลราชธานีศรวี นาลยั สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ถาวโร มีนามเดิมว่า “กงมา” เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เกดิ เมอื่ วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๖0 หรือ “มา” ในสกุล “ก่อบุญ” ต่อมาพระมหารัชชมังคลาจารย์ ตรงกับวนั เสาร์ แรม 1 ค่�า เดอื นยี่ ปีมะเส็ง นพศก จ.ศ. 1๒๗๙ (นทิ เฺ ทสกเถระ) อดตี เจา้ อาวาสวดั สมั พนั ธวงศาราม พระอารามหลวง (ร.ศ. 1๓๖) ท่ีบ้านบอ่ ชะเนง ตา� บลหนองแกว้ อ�าเภออ�านาจเจรญิ รูปท่ี ๙ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้เปล่ียนนามให้เม่ืออุปสมบทเป็น จงั หวดั อบุ ลราชธานี (ปจั จบุ นั คอื ต�าบลหนองแกว้ อ�าเภอหัวตะพาน “มานิต”1 จังหวัดอา� นาจเจริญ) 1 กรมศิลปากร, เร่ืองตั้งพระราชาคณะผใู้ หญค่ ร้งั กรงุ รตั นโกสินทร์ เลม่ ๒ (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ 188.
อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั I 181 ภายในสิมเดมิ ของวดั บา้ นบอ่ ชะเนง ตา� บลหนองแกว้ อ�าเภอหวั ตะพาน จงั หวดั อา� นาจเจริญ ท่ีเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ บรรพชา
18๒ I อุบลราชธานีศรวี นาลยั ภายในอโุ บสถใหม่ วัดบา้ นบ่อชะเนง อา� เภอหวั ตะพาน จังหวดั อ�านาจเจรญิ
อุบลราชธานีศรีวนาลยั I 18๓ ชาตภิ มู ิฝ่ายบิดาของ สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (มานิต ถาวโร) ชาติภูมิและญาติฝ่ายโยมบิดาของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นเกษตรกรบ้านเหล่าขวาว ต�าบลโพนเมืองน้อย อา� เภอมว่ งสามสบิ จงั หวดั อบุ ลราชธานี(ปจั จบุ นั อย่ใู นอา� เภอหวั ตะพานจงั หวดั อ�านาจเจรญิ ) ปู่ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ช่ืออ้วน ย่าไม่ทราบช่ือ มีบุตรธิดา ๖ คน บดิ าของเจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ เป็นบตุ รชายคนสุดทอ้ ง ดังนี้ 1. แม่นวน ๒. พ่อสว่ น ๓. แม่เสน ๔. พ่อมอ ๕. พ่อสี ๖. พอ่ ชว่ ย (บดิ าของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ)
18๔ I อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั ชาตภิ ูมฝิ า่ ยมารดาของ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) ชาติภูมิและญาติฝ่ายโยมมารดาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) เป็นเกษตรกร บ้านบ่อชะเนง ต�าบลหนองแก้ว อา� เภออา� นาจเจรญิ จงั หวดั อบุ ลราชธานี (ปจั จบุ นั อยู่ใน อา� เภอหวั ตะพาน จงั หวดั อา� นาจเจรญิ ) ตาชอ่ื เฟอื น ยายชอ่ื สที า มบี ตุ รธดิ า 11 คน มารดาของเจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เปน็ บตุ รสาวคนที่ ๒ ดังนี้ 1. แมป่ ัด ๗. พอ่ แงง ๒. แมก่ า (มารดาของเจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ) 8. แมแ่ ดง ๓. แมอ่ า� คา ๙. แมแ่ ตง ๔. แมต่ าด�า 10. แม่ติง ๕. แมแ่ วง 11. พ่อยอน ๖. พอ่ แขง็ บดิ าของสมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์(มานติ ถาวโร) ชอื่ ชว่ ย มารดาชอ่ื กา นามสกลุ กอ่ บญุ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เปน็ บตุ รคนท่ี ๔ ในจา� นวน พน่ี ้อง 11 คน๒ ดังนี้ 1. เด็กชายบญุ หนา ถงึ แกก่ รรมตั้งแต่ยังเล็ก ๗. หญงิ ไมท่ ราบช่อื ถึงแก่กรรมต้ังแตย่ ังเลก็ ๒. นายหมาน ถึงแกก่ รรม 8. กา� นันเหลา ถึงแกก่ รรม ๓. นางออ่ นสา ถงึ แกก่ รรม ๙. นางเภา ภารมาตย์ ถึงแกก่ รรม ๔. สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (มานติ ถาวโร) 10. นายเนาว์ ถึงแกก่ รรม ๕. นางสตุ า ถงึ แกก่ รรม 11. นางลุน ธรี ะมาตร ถงึ แกก่ รรม ๖. นายเสาร์ ถงึ แกก่ รรม ๒ กรมศลิ ปากร, เรอ่ื งตั้งพระราชาคณะผใู้ หญค่ ร้ังกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เลม่ ๒ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หน้า 188.
อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั I 18๕ โยมแม่กา สกุล กอ่ บญุ มารดาของเจา้ พระคุณสมเด็จฯ
18๖ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั การศกึ ษาเร่มิ ตน้ ของ สมเด็จพระมหาวรี วงศ์ (มานิต ถาวโร) การศกึ ษาของสมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (มานิต ถาวโร) เร่มิ ต้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗0 เวลานัน้ เจา้ พระคณุ สมเด็จฯ อายุ 10 ปี จึงได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดบ้านโคกเลาะ ซ่ึงตั้งอยู่ที่ศาลาวัดบ้านโคกเลาะ๓ ต�าบลหนองแก้ว อ�าเภออ�านาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันคือ ต�าบลหนองแก้ว อ�าเภอหัวตะพาน จังหวัดอ�านาจเจริญ) เปน็ ครัง้ แรก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เรียนชั้นประถมปีที่ 1 อยู่ท่ีโรงเรียนประจ�าต�าบลหนองแก้วที่ศาลาวัดบ้านโคกเลาะ จนถึงปลายปีใกล้จะสอบไล่ประจ�าปี แต่มีเหตุที่ท�าให้ต้องหยุดการศึกษาทางโลก เนื่องจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ถกู ครใู หญล่ งโทษดว้ ยความผดิ เพยี งเลก็ นอ้ ย คอื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไม่ไปพบครใู หญห่ ลงั จากท่ีใหน้ กั เรยี นไปตามตวั สา� หรบั สาเหตทุ เ่ี จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไม่ไปพบครใู หญน่ นั้ เปน็ เพราะเวลานนั้ เปน็ เวลาพกั เทยี่ ง ครปู ระจา� ชน้ั ใชเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ให้ไปหายางมะตมู เพอ่ื มาซอ่ มแซมหนงั สอื ทข่ี าด เมอ่ื ทา� ธรุ ะใหค้ รปู ระจา� ชน้ั เสรจ็ แลว้ จงึ กลบั ไป โรงเรียนซงึ่ เป็นเวลาเรยี นพอดี เจ้าพระคณุ สมเดจ็ ฯ จงึ ไม่ได้ไปพบครใู หญต่ ามค�าสงั่ ท�าใหค้ รใู หญ่ไมพ่ อใจจึงเรียก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปตีต่อหนา้ นกั เรยี นทง้ั โรงเรียนจนมือแตกก�ามือไม่ได้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ นอ้ ยใจครใู หญท่ ลี่ งโทษโดยไมม่ คี วามผดิ จงึ ตดั สนิ ใจหนีโรงเรยี น ตงั้ ใจวา่ จะเดนิ ทางไปตาม ยถากรรมทางภาคกลาง แตย่ งั ไม่ได้ไปในเวลานนั้ เพราะไมม่ ผี นู้ า� ทางและเพอ่ื นรว่ มเดนิ ทาง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จงึ หยดุ การเรียนในโรงเรียนไวเ้ พยี งเทา่ นน้ั ๓ กรมศลิ ปากร, เรอื่ งต้ังพระราชาคณะผ้ใู หญ่ครั้งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เลม่ ๒ (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ 18๙.
อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I 18๗ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ แสดงธรรมเทศนา
188 I อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย บรรพชาเปน็ สามเณร ศึกษาพระกรรมฐานและพระปรยิ ตั ิธรรม หลงั จากทเี่ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไม่ได้ไปเรยี นท่ีโรงเรยี นแลว้ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๗๒ บดิ ามารดาและญาตพิ นี่ อ้ ง ได้ให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ บรรพชาเป็นสามเณรมหานิกาย ท่ี วัดบ้านบ่อชะเนง ซ่ึงเป็นวัดประจ�าหมู่บ้าน สงั กดั พระมหานิกาย พร้อมกับเพื่อนร่นุ พชี่ อื่ ชัย มีเจา้ อาวาสช่ือ “ญาคโู ม้” เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์๔ ในเวลาทเ่ี จ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ บวชเปน็ สามเณรที่วัดบ้านบ่อชะเนงเป็นเวลา 1 ปีนนั้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เรียนหนังสือธรรมบ้าง ท่องสวดมนต์เวลาค�่าบ้าง นอกจากน้ันก็ท�างานเล็กน้อยต่างๆ ในวัด แม้ในปีน้ัน ท่ีวัดบ้านบ่อชะเนงจะมีการเปิดสอนนักธรรมตรี และวัดในหมู่บ้านใกล้เคียงก็มีส�านักเรียนมูลกัจจายน์ แต่ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ กย็ งั ไมม่ ีความสนใจท่จี ะศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม ด้วยเหตุนี้หลังจากออกพรรษาแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงตัดสินใจออกธุดงค์ติดตามพระกรรมฐาน สายพระอาจารยเ์ สาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์มนั่ ภรู ทิ ตฺโต พระอาจารย์สงิ ห์ ขนฺตยาคโม ไปยงั สถานที่ต่างๆ ใน จงั หวดั อบุ ลราชธานี ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๓ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ออกธุดงค์พร้อมคณะกรรมฐาน ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ด จงั หวดั มหาสารคาม ไปจงั หวดั ขอนแกน่ เพอื่ จา� พรรษาทวี่ ดั ปา่ ชา้ เหลา่ งา(ปจั จบุ นั คอื วดั ปา่ วเิ วกธรรม ตา� บลพระลบั อ�าเภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน่ ) ๕ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้บรรพชาเป็นสามเณรธรรมยุตท่ีวัดป่าช้าเหล่างา (ปัจจุบัน คือ วัดป่าวิเวกธรรม ต�าบลพระลับ อ�าเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น) โดยมีพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระอุปัชฌาย์แทนพระครู พศิ าลอรญั ญเขต เจา้ อาวาสวดั ศรีจันทร์ และเจ้าคณะจงั หวัดขอนแก่น (ธรรมยุต) เมือ่ ออกพรรษาแลว้ เจ้าพระคุณสมเดจ็ ฯ ได้ธุดงคก์ รรมฐาน ไปยังจังหวดั ชยั ภมู ิ กบั พระอาจารย์กรรมฐาน ช่อื อาจารยอ์ ุน่ เนือ้ ผเู้ ป็นหัวหน้าคณะ ๔ กรมศิลปากร, เรอ่ื งต้งั พระราชาคณะผูใ้ หญค่ ร้งั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ เลม่ ๒ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ 18๙. ๕ เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า 18๙.
อุบลราชธานศี รีวนาลัย I 18๙ สมิ เดมิ ของวัดบ้านบ่อชะเนง ทมี่ ีการสร้างหลงั คาครอบสิม (อโุ บสถ) เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ บรรพชา วัดบา้ นบอ่ ชะเนง อา� เภอหัวตะพาน จังหวดั อ�านาจเจริญ
1๙0 I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั พระอโุ บสถใหม่ วัดบา้ นบอ่ ชะเนง อ�าเภอหัวตะพาน จังหวัดอา� นาจเจริญ
อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I 1๙1 คร้ันถึง พ.ศ. ๒๔๗๔ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จ�าพรรษาท่ี วดั ปา่ สาลวนั อา� เภอเมอื งจงั หวดั นครราชสมี า ซง่ึ หลวงชาญนคิ มไดถ้ วาย ที่ดินให้สร้างวัด และได้นิมนต์พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม มาเป็น เจา้ อาวาส เพอื่ อบรมสง่ั สอนประชาชนชาวนครราชสมี า หลวงชาญนคิ ม จงึ นิมนตพ์ ระกรรมฐานทเ่ี ป็นศษิ ย์ของพระอาจารย์สิงห์ ให้มาจา� พรรษา รวมกนั ท่ีวัดนน้ั ด้วย เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ จงึ ติดตามพระอาจารย์อุ่นเน้ือ มาจ�าพรรษาอย่ทู ่วี ัดน้ันดว้ ย ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๗๕ หลงั ออกพรรษาแลว้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ได้เดินทางกลบั ไปเยยี่ มญาติโยม ทีบ่ ้านบอ่ ชะเนง จงั หวัดอบุ ลราชธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดอ�านาจเจริญ) จากนั้นต้ังใจจะออกธุดงค์กรรมฐาน ติดตามอาจารยแ์ ละเพื่อนสามเณรท่ีแยกย้ายกันไป หลังจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จ�าพรรษาที่วัดป่าสาลวันแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทราบข่าวว่าเพ่ือนสามเณร ๒ รูป ที่เข้าป่า ออกกรรมฐานลว่ งหนา้ ไปกอ่ นไดม้ รณภาพเพราะไขป้ า่ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เหน็ วา่ ทา่ นยงั เดก็ เกนิ ทจ่ี ะเขา้ ปา่ แตค่ วรจะศกึ ษาเลา่ เรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรม เสยี ก่อน เจา้ พระคุณสมเด็จฯ จงึ ตัดสินใจเดินทางไปยงั จังหวัดนครพนม เพ่ือศึกษาพระปริยัติธรรม โดยเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้อยู่จ�าพรรษาที่ วดั อรญั ญกิ าวาส (วดั โพนแกว้ ) อา� เภอเมอื ง จงั หวดั นครพนม เพอื่ ศกึ ษา พระปรยิ ตั ธิ รรมที่วดั อรญั ญกิ าวาสเป็นเวลา ๔ ป๖ี ๖ กรมศลิ ปากร, เรอ่ื งต้ังพระราชาคณะผใู้ หญ่ครงั้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ เล่ม ๒ (กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๕), หน้า 18๙.
1๙๒ I อุบลราชธานีศรวี นาลัย พระอุโบสถหลงั เก่าของวดั สัมพันธวงศาราม ซึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อปุ สมบท เม่อื พ.ศ. ๒๔80
อุบลราชธานศี รวี นาลัย I 1๙๓ จากนครพนม สู่วดั สัมพนั ธวงศาราม ครนั้ ถงึ พ.ศ. ๒๔๗๙ พระอาจารยเ์ ก่ิง อธมิ ุตตฺ โก วดั โพธ์ชิ ัย จงั หวัดนครพนมได้พบกับพระมหารชั ชมังคลาจารย์ (เทศ นทิ เฺ ทสโก) ขณะดา� รงสมณศกั ดเิ์ ปน็ ท่ี พระรชั ชมงคลมนุ ี เจา้ อาวาสวดั สมั พนั ธวงศาราม ขณะเดนิ ทางไปปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ อยู่ท่ีจังหวัดระยอง พระอาจารย์เกิ่งจึงได้กล่าวฝากสามเณรเจ้าพระคุณสมเด็จฯ กับท่านเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ดังปรากฏความตอนหน่งึ ในจดหมายแนะนา� ตัวว่า “...ด้วยเกล้าได้ขอฝากสามเณรกงมาแลสามเณรทองทิพ ผูส้ อบ ป.ธ. ตรตี กปนี ี้ ในวันท่ี ๑๗ นั้น เปนอันไมม่ ัน่ คง เพราะเปนแตพ่ ดู ดว้ ยปากเปลา่ เหตนุ เ้ี กลา้ จงึ ทา� จ.ม. มอบสามเณรทง้ั สองผเู้ ปนศษิ ยของเกลา้ ถวายพระเดชพระคณุ ใหเ้ ปน คลิ านปุ ตั ถาก ขอพระเดชพระคณุ ได้โปรดรับแลสงเคราะหอ์ นุเคราะหต์ ามก�าลงั ถ้าเณรท้งั สองขืดโอวาทเมอ่ื ใด จงลงโทษ ตามควรหรอื ใลส่ ง่ ไปหาเกลา้ ตามกาล...” เมื่อได้ทราบข่าวแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กับสามเณรทองทิพย์๗ จึงได้เดินทางจากจังหวัดนครพนมไปพักที่ จังหวัดสกลนคร และเดินทางไปข้ึนรถไฟท่ีจังหวัดอุดรธานี จากนั้นจึงเดินทางด้วยรถไฟไปยังกรุงเทพมหานคร ซ่ึง ในสมยั นั้นรถไฟตอ้ งหยดุ พกั ท่จี ังหวดั ขอนแก่น และจงั หวัดนครราชสมี าเสียกอ่ น จากนน้ั จึงเดินทางมาถึงกรุงเทพมหานคร เม่ือเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ถึงสถานีรถไฟหัวล�าโพง ได้ถามต�ารวจว่า วัดสัมพันธวงศารามไปทางไหน เมอ่ื เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ทราบทางแลว้ กเ็ ดนิ มา โดยแวะถามทางมาเรอ่ื ยๆ เมอ่ื ถงึ วดั สมั พนั ธวงศารามกเ็ ปน็ เวลาจวนพลบคา�่ เม่ือเข้าไปในวัดจึงทราบว่าพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) ขณะด�ารงสมณศักด์ิเป็นท่ี พระรัชชมงคลมุนี เจา้ อาวาสวดั สมั พนั ธวงศาราม ไปประชมุ กวา่ จะกลบั ประมาณสที่ มุ่ พระในวดั จงึ จดั ใหเ้ จา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ พกั ทก่ี ฎุ สี นธปิ์ ระสาท นบั เป็นคนื แรกของการเดนิ ทางมาท่วี ัดสมั พนั ธวงศาราม ตอ่ มาในเชา้ วนั รงุ่ ขน้ึ หลงั ฉนั ภตั ตาหารเชา้ แลว้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ได้ไปกราบพระมหารชั ชมงั คลาจารย์ (เทศ นทิ เฺ ทสโก) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม เขยี นใบรบั รอง ท่านไดม้ คี วามเมตตาใหเ้ จ้าพระคณุ สมเด็จฯ ไปอยูท่ ก่ี ุฎีนิตยเกษม ในความ กา� กบั ดแู ลของพระเนกขมั มมนุ ี(เฉย ยโส)(ตอ่ มาดา� รงสมณศกั ดทิ์ ่ี พระเทพปญั ญามนุ ี อดตี เจา้ อาวาสวดั สมั พนั ธวงศาราม) หลงั จากนน้ั เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯจงึ ไดเ้ ขา้ ศกึ ษาเลา่ เรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมในสา� นกั เรยี นวดั สมั พนั ธวงศารามสบื ตอ่ มา จนสอบได้นักธรรมชนั้ ตรีใน พ.ศ. ๒๔๗๖ และนกั ธรรมชัน้ โท ใน พ.ศ. ๒๔๗8 ๗ ตอ่ มาเปลย่ี นชอ่ื เปน็ ไพบลู ย์ แลว้ กลบั ไปจา� พรรษาอยทู่ จ่ี งั หวดั สกลนคร และสดุ ทา้ ยไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ด์ิ ท่ี พระเทพสเุ มธี เปน็ อดตี เจา้ อาวาสวดั ศรีโพนเมอื ง อดตี เจา้ คณะจงั หวัดสกลนคร (ธ) ปัจจบุ ันมรณภาพแล้ว
1๙๔ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั พระประธานภายในพระอโุ บสถหลังเกา่ ของวัดสัมพันธวงศาราม
อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I 1๙๕ อปุ สมบท และเจรญิ ก้าวหน้าในการศกึ ษาพระปริยัติธรรม เม่ือเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีอายุครบ ๒0 ปี ใน พ.ศ. ๒๔80 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุท่ีพระอุโบสถ วัดสมั พันธวงศาราม วันท่ี 8 พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔80 โดยมพี ระมหารัชชมงั คลาจารย์ (เทศ นิทเฺ ทสโก) ขณะด�ารง สมณศกั ดิ์เป็นท่ี พระรชั ชมงคลมนุ ี เจา้ อาวาสวดั สมั พันธวงศาราม เป็นพระอปุ ชั ฌายะ พระครูสุวรรณรังษี (สุวรรณ ชตุ นิ ธฺ โร) เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระครปู ลดั (เสง็ ทนิ นฺ วโร) เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ (ภายหลงั ไดร้ บั พระราชทาน สมณศกั ดิ์เปน็ ที่ พระเนกขมั มมุน)ี ไดน้ ามฉายาว่า “ถาวโร” 8 หลงั จากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้อปุ สมบทแลว้ ไดศ้ กึ ษาพระปรยิ ัตธิ รรมจนเจรญิ กา้ วหนา้ ตามล�าดับดังนี้ สอบไดป้ ระโยค ป.ธ.๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๔80 สอบได้ประโยค ป.ธ.๔ และนักธรรมช้นั เอก เมอ่ื พ.ศ. ๒๔81 สอบไดป้ ระโยค ป.ธ.๕ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔8๔ สอบได้ประโยค ป.ธ.๖ เมอื่ พ.ศ. ๒๔8๖ สอบไดป้ ระโยค ป.ธ.๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๔88 สอบไดป้ ระโยค ป.ธ.8 เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ และสอบได้ประโยค ป.ธ.๙ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๙ 8 กรมศลิ ปากร, เรอ่ื งตง้ั พระราชาคณะผู้ใหญค่ รงั้ กรงุ รตั นโกสินทร์ เลม่ ๒ (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๔๕), หน้า 18๙.
1๙๖ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลยั เจ้าพระคณุ สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ (มานติ กาวโร)
อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I 1๙๗ รับหน้าทส่ี อนพระปรยิ ัติธรรม และงานในวดั สมั พนั ธวงศาราม นอกจากความก้าวหน้าในการศึกษาพระปริยัติธรรมแล้ว ในระหว่างท่ีเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จ�าพรรษาอยู่ที่ วัดสัมพันธวงศารามนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ช่วยเหลือและรับภาระหน้าท่ีงานต่างๆ ในวัดสัมพันธวงศาราม มาโดยลา� ดับ๙ ดังน้ี พ.ศ. ๒๔81 เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เป็นครผู ู้ช่วยสอนบาลีไวยากรณ์ พ.ศ. ๒๔8๔ เจา้ พระคุณสมเด็จฯ เป็นครสู อนบาลีไวยากรณ์ พ.ศ. ๒๔8๖ เจ้าพระคณุ สมเด็จฯ เป็นครูสอนธรรมบทช้นั ตน้ พ.ศ. ๒๔8๗ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ เป็นครสู อนธรรมบทช้ัน ป.ธ.๓ พ.ศ. ๒๔88 เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เปน็ ครูสอน ป.ธ.๔ และเปน็ ครูสอน ป.ธ. ๕ - ๖ หลงั จากนนั้ เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดเ้ ปน็ ครใู หญป่ ระจา� สา� นกั เรยี นวดั สมั พนั ธวงศาราม เปน็ ผอู้ า� นวยการศกึ ษา เป็นกรรมการสงฆ์ เปน็ เลขานกุ ารวัด และเลขานกุ ารกรรมการจัดผลประโยชน์วดั สัมพนั ธวงศารามตามล�าดับ ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๔๙8 เจา้ พระคณุ สมเดจ็ ฯ ไดร้ บั ตราตงั้ เปน็ ครสู อนปรยิ ตั ธิ รรมสา� นกั เรยี นวดั สมั พนั ธวงศาราม ครัน้ ถงึ พ.ศ. ๒๕11 เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ได้เปน็ รองเจ้าอาวาสวัดสมั พนั ธวงศาราม เจา้ พระคุณสมเดจ็ ฯ ไดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหเ้ ปน็ เจา้ อาวาสวดั สมั พนั ธวงศาราม เมอ่ื วนั ที่ ๓ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕1๔ และเปน็ พระอปุ ชั ฌายะวสิ ามญั ในปเี ดยี วกัน ขณะด�ารงสมณศักดท์ิ ี่ พระราชกวี มีอายุได้ ๕๔ ปี ๙ กรมศลิ ปากร, เรอื่ งตงั้ พระราชาคณะผใู้ หญ่ครัง้ กรงุ รตั นโกสินทร์ เลม่ ๒ (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หน้า 1๙0.
1๙8 I อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316