อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๔๙
๕๐ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั แหล่งโบราณคดีบ้านโพนเมืองกุดซวย ต�าบลกุดซวย อ�าเภอหัวสะพาน จังหวัดอา� นาจเจริญ เป็นเนินดิน ขนาดใหญ่ มีร่องรอยของโบราณสถานที่สร้างด้วยอิฐและภาชนะดินเผากระจายอยู่ทั่วไป นอกจากนี้ยังพบใบเสมา หนิ ทรายทรงปอ้ มปกั อยู่ทางดา้ นเหนอื และใตข้ องเนิน ปัจจบุ นั บางหลักยา้ ยมาไวท้ ี่วัดกุดซวย๑๗ แหลง่ โบราณคดเี มอื งงวิ้ อยทู่ บี่ า้ นชาด ตา� บลเคง็ ใหญ่ อา� เภอหวั สะพานจงั หวดั อา� นาจเจรญิ แหลง่ โบราณคดี เมอื งงว้ิ เปน็ แหลง่ โบราณคดสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ – สมยั ประวตั ศิ าสตร์ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๖ มลี กั ษณะ เปน็ ศาสนสถานมากกวา่ ที่อยอู่ าศยั และพบใบเสมาสมัยทวารวดีจ�านวนมาก จากท่ีกล่าวมาจึงเป็นหลักฐานว่า การกระจายตัวของวัฒนธรรมทวารวดีอีสานในจังหวัดอุบลราชธานีและ จงั หวดั อา� นาจเจรญิ สว่ นใหญ่อยู่ในบริเวณฝ่งั ของแม่นา้� มลู ตงั้ แตป่ ากแม่นา้� ชี ลา� เซบาย ทางทศิ ตะวันตกไปยงั ล�านา้� สาขาเซบกดา้ นทศิ ตะวนั ออก๑๘ ใบเสมาทวารวดีท่ีพบในจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดอ�านาจเจริญ โดยมากมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือ เป็นใบเสมาที่มกี ารสลกั ภาพธรรมจกั ร ซงึ่ แม้ว่าใบเสมาท่มี สี ลักรปู ธรรมจักรจะมกี ารค้นพบในท่ีอื่นๆ กต็ าม แตเ่ ปน็ รูปแบบทมี่ กี ารค้นพบในบริเวณนห้ี นาแนน่ กว่าพ้นื ท่อี นื่ อยา่ งเห็นไดช้ ัด เชน่ วดั สุปัฏนาราม อา� เภอเมืองอุบลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี วัดดงเฒา่ เกา่ บา้ นหนองเรือ ต�าบลนาหนองม้า อ�าเภอเมอื งอา� นาจเจริญ จงั หวดั อา� นาจเจริญ และวดั โพธิ์ศรี อ�าเภอลืออา� นาจ จังหวดั อ�านาจเจรญิ เป็นตน้ ๑๙ จากหลักฐานต่างๆ ท่ีกล่าวมาแสดงให้เห็นว่า พ้ืนท่ีภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะบริเวณจังหวัด อุบลราชธานี และจงั หวัดอา� นาจเจรญิ ในสมยั วฒั นธรรมแบบทวารวดีในภาคอสี าน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ – ๑๕ มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งและมชี มุ ชนทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนากระจายตวั อยตู่ ามพนื้ ทต่ี า่ งๆ เตม็ บรเิ วณนี้ กอ่ นทว่ี ฒั นธรรม เขมรสมัยพระนครจะขยายอิทธิพลเข้ามาแล้วท�าให้วัฒนธรรมทวารวดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดบทบาทไป ในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ นน่ั เอง ๑๗ กรมศิลปากร, เมอื งอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๒), หน้า ๑๑๔. ๑๘ เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า ๑๑๖. ๑๙ รุ่งโรจน์ ธรรมรุง่ เรือง, ทวารวดีในอสี าน (กรงุ เทพฯ : มติชน, ๒๕๕๘), หนา้ ๒๓๙.
อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย I ๕๑ ใบเสมา สมยั ทวารวดี ที่วดั สปุ ัฏนาราม อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี จังหวัดอบุ ลราชธานี ใบเสมาสมยั ทวารวดี ในแหลง่ โบราณคดเี มืองงว้ิ บา้ นชาด ต�าบลเตง็ ใหญ่ อา� เภอหวั สะพาน จังหวัดอา� นาจเจรญิ เปน็ แหลง่ โบราณคดี สมยั กอ่ นประวัตศิ าสตร-์ สมัยประวตั ิศาสตร์ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๒ – ๑๖ แสดงใหเ้ ห็นว่า พ้ืนทจี่ ังหวดั อ�านาจเจรญิ มีชมุ ชนโบราณมาตั้งแตส่ มัย กอ่ นประวตั ิศาสตรเ์ ป็นตน้ มา
๕๒ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลัย ๔ อบุ ลร�ชธ�นี ในวฒั นธรรมเขมรโบร�ณ สมยั พระนคร ในปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ เม่อื อาณาจักรเขมรโบราณได้ย้าย ราชธานีมาต้ังอยู่ที่เมืองพระนคร ในจังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักร กัมพูชาในปัจจุบัน ท�าให้กัมพูชาเข้าสู่ยุคกัมพูชาสมัยพระนคร ซ่ึงจะมี ระยะเวลาสืบเน่ืองมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ในช่วงเวลาดังกล่าว พ้ืนที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดอ�านาจเจริญได้รับอิทธิพล ทางการเมืองและวัฒนธรรมเขมรโบราณสมัยพระนครนี้ด้วย จนถึง พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ ดงั นี้ หลังจากเจินล่าน�้าถูกยึดครองโดยชวา ปรากฏหลักฐานใน ศิลาจารึกปราสาทสด๊กก๊อกธมว่า เจ้าชายชัยวรมัน (ต่อมาคือพระเจ้า ชัยวรมันที่ ๒) เสด็จกลบั คนื มาจากประเทศชวา๒๐ ในระยะแรกพระเจา้ ชัยวรมันที่ ๒ ประทับอยู่ ณ เมืองอินทรปุระ แล้วจึงเสด็จไปประทับ ณ เมืองหริหราลัย (โรลวส) และ เมืองอมเรนทรปุระ (สันนิษฐานว่า ต้ังอยู่บริเวณท่ีปัจจุบันเป็นบารายตะวันตก) จากนั้นพระองค์ได้ เสริมสร้างพระราชอ�านาจของพระองค์ในประเทศและปราบปราม อาณาจักรจามปาซงึ่ รุกรานกัมพูชา๒๑ ๒๐ ศานติ ภักดีค�า, ประวัติศาสตร์กัมพูชาแบบเรียนของเขมรท่ีเก่ียวข้องกับไทย, (กรุงเทพฯ: มตชิ น, ๒๕๔๖), หนา้ ๒๑. ๒๑ อุไรศรี วรศะรนิ , ประชุมอรรถบทเขมร: รวมบทความวชิ าการของศาสตราจารย์เกียรติคณุ ดร.อุไรศรี วรศะริน, (กรุงเทพฯ: จงเจริญการพิมพ,์ ๒๕๔๕) หน้า ๖๓.
อุบลราชธานีศรวี นาลัย I ๕๓ ปราสาทสด๊กก๊อกธม อา� เภอโคกสูง จังหวัดสระแกว้ เปน็ ปราสาทที่พบจารกึ สด๊กกอ๊ กธม ซ่งึ กล่าวถึงการสถาปนา อาณาจักรเขมรโบราณ โดยพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๒ ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๔
๕๔ I อุบลราชธานศี รีวนาลัย ในปี พ.ศ. ๑๓๔๕ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ได้ราชาภิเษก ในปี พ.ศ. ๑๔๖๕ เมื่อพระเจา้ หรรษวรมนั สวรรคต พระอนุชาของ และประกาศเอกราชไม่ตกอยู่ใต้อ�านาจประเทศชวา บนยอดเขา พระองค์พระนามพระเจา้ อศี านวรมนั ท่ี ๒ ทรงขน้ึ ครองราชย์ท่ีเมอื ง มเหนทรบรรพต (พนมกุเลน)๒๒ ในที่สุดพระองค์ได้เสด็จกลับมา พระนคร ประทับที่เมอื งหรหิ ราลยั ๒๓ เวลานน้ั กมั พชู าแตกเปน็ สองสว่ น กระทง่ั พระเจา้ อศี านวรมนั เมืองหริหราลัยจึงได้เป็นราชธานีของกัมพูชาโบราณสืบต่อ ท่ี ๒ สวรรคต กัมพูชาจึงได้รวมเข้าเป็นหนึ่ง มีพระเจ้าแผ่นดิน มาอกี หลายรชั กาล กษตั รยิ ก์ มั พชู าโบราณทป่ี กครองเมอื งหรหิ ราลยั พระองคเ์ ดียว คอื พระเจ้าชยั วรมันท่ี ๔ ซงึ่ ครองราชย์ท่เี กาะแกร์ ไดแ้ ก่ พระเจ้าชยั วรมนั ที่ ๓ พระเจ้าอินทรวรมนั ท่ี ๑ และพระเจา้ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๔ ไดท้ รงสรา้ งปราสาทธมทเี่ กาะแกร์ เมอื่ พระองค์ ยโศวรมนั ที่ ๑ หลงั จากนนั้ พระเจา้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ จงึ ทรงยา้ ยราชธานี สวรรคต พระราชโอรสของพระองค์คือพระเจ้าหรรษวรมันที่ ๒ ไปที่แห่งใหม่คอื “พระนครศรียโศธรปุระ” หรือ “เมอื งพระนคร” เสวยราชยส์ บื ต่อมาอกี ๓ ปี การสร้างเมืองยโศธรปุระของพระเจ้ายโศวรมันท่ี ๑ เป็น ในประวัติศาสตร์กัมพูชาช่วงสมัยราวรัชกาลพระเจ้า ผลงานที่ส�าคัญย่ิงกว่าส่ิงอ่ืน ราชธานีใหม่นี้มีศูนย์กลางอยู่ท่ี ชยั วรมันท่ี ๔ ซ่ึงครองเมอื งเกาะแกร์นี้ ปรากฏหลกั ฐานวา่ มกี ารพบ พนมกนั ตาล หรอื “วนก� นตฺ าล”๒๔ หรอื “ยโศธรครี ”ี ภายหลงั เรยี กกนั พระพฆิ เนศวรหนิ ทราย ศลิ ปะแบบเกาะแกร์ ท่ีอา� เภอสา� โรง จงั หวดั วา่ “พนมบาแคง็ ” เปน็ ภเู ขาตามธรรมชาตทิ มี่ คี วามสงู ประมาณ ๖๐ เมตร อบุ ลราชธาน๒ี ๖ แสดงให้เหน็ ว่าในเวลาน้ันเขมรโบราณสมยั พระนคร ซ่ึงได้มีการดัดแปลงและก่อสร้างปราสาทพนมบาแค็งไว้บนยอดเขา มคี วามสัมพันธก์ ับพ้ืนที่จงั หวดั อบุ ลราชธานีอยา่ งชัดเจน แหง่ นี้ เพ่อื เปน็ ศูนย์กลางจักรวาลของพระเจา้ ยโศวรมันที่ ๑ เมอ่ื พระเจา้ หรรษวรมนั ท่ี ๒ สวรรคต พระเจา้ ราเชนทรวรมนั ในรัชกาลพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ นี้เอง ได้ปรากฏร่องรอย ซงึ่ เปน็ พระภาคิไนย(หลาน) ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๔ ขนึ้ ครองราชย์ การขยายอิทธิพลการเมอื งและวฒั นธรรมเขมรโบราณสมยั พระนคร โดยไดร้ บั พระราชมรดกคอื เมอื งภวะปรุ ะ(อาณาจกั รเจนิ ลา่ บก) ดงั นนั้ มายังภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นคร้ังแรก โดยเฉพาะที่ปราสาท พระองค์จึงสามารถสร้างเอกภาพให้แก่พระราชอาณาจักรได้ส�าเร็จ หินพนมวนั ซ่งึ พบจารึกของพระเจ้ายโศวรมนั ที่ ๑ เตม็ ท่ี แลว้ ไดเ้ สดจ็ กลบั มาประทบั ทเ่ี มอื งพระนครศรยี โศธรปรุ ะ ในปี พ.ศ. ๑๔๘๘ พระองค์ท�าสงครามกับจาม พระองค์สร้างปราสาท เมือ่ พระเจ้ายโศวรมนั สวรรคต พระโอรสของพระองค์ คือ แม่บญุ ตะวันออก ปราสาทแปรรปู ปราสาทพิมานอากาศ ปราสาท พระเจ้าหรรษวรมันท่ี ๑ ข้ึนครองราชย์ ถึงปี พ.ศ. ๑๔๖๔ บาทชมุ ในรชั กาลพระองคน์ ้ี พราหมณย์ ชั ญวราหะไดส้ ร้างปราสาท พระปติ ลุ าของพระองค์ไดท้ รงประกาศพระองคเ์ ปน็ พระมหากษตั รยิ ์ บันทายศรีในปี พ.ศ. ๑๕๑๐๒๗ ทรงพระนามพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๔ ตงั้ ราชธานอี ยู่ทเ่ี มอื งเกาะแกร๒์ ๕ ๒๒ กรมศิลปากร, จารึกในประเทศไทย เล่ม ๓ (กรุงเทพฯ หอสมดุ แห่งชาติ กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๙), หนา้ ๒๒๑. ๒๓ เร่อื งเดยี วกัน. ๒๔ เร่ืองเดียวกนั , หน้า ๒๒๒. ๒๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๒๓. ๒๖ กรมศลิ ปากร, เมอื งอุบลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๒), หน้า ๑๒๐. ๒๗ อไุ รศรี วรศะริน, ประชุมอรรถบทเขมร: รวมบทความวิชาการของศาสตราจารยเ์ กยี รตคิ ุณ ดร.อุไรศรี วรศะรนิ , หน้า ๗๔.
อุบลราชธานศี รวี นาลัย I ๕๕ พระพฆิ เนศวรหนิ ทราย ศิลปะเขมร ปัจจุบนั อย่ทู ี่ วัดสุปัฏนาราม อา� เภอเมอื งอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
๕๖ I อุบลราชธานีศรีวนาลยั หลงั จากพระเจา้ ราเชนทรวรมนั สวรรคต พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๕ พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ ทรงยกทพั มารบกบั พระเจา้ ชยั วรี วรมนั พระราชโอรสของพระองคข์ นึ้ ครองราชยต์ อ่ มา เมอ่ื พระเจา้ ชยั วรมนั พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ที่ ๑ ยดึ ครองเมอื งยโศธรปรุ ะได้ในปี พ.ศ. ๑๕๔๙ ที่๕สวรรคตในปีพ.ศ.๑๕๔๔พระภาคิไนยพระองคห์ นง่ึ ขน้ึ ครองราชย์ เมื่อได้รับชัยชนะแล้วพระองค์ทรงพยายามปราบปรามกษัตริย์ซ่ึง ทรงพระนามวา่ พระเจ้าอทุ ัยทิตยวรมัน ปี พ.ศ. ๑๕๔๕ พระเจา้ ไม่ยอมอยู่ใตอ้ �านาจ จนถึงปี พ.ศ. ๑๕๕๓ พระเจา้ สุริยวรมันที่ ๑ ชัยวีรวรมัน ทรงข้ึนครองราชย์สืบต่อจากพระเจ้าอุทัยทิตยวรมัน จึงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เมื่อพระองค์ข้ึนครองราชย์ที่เมือง ทเี่ มืองยโศธรปรุ ะ ในเวลาเดียวกนั นนั้ คือปี พ.ศ. ๑๕๔๕ มกี ษตั รยิ ์ พระนครศรยี โศธรปรุ ะแลว้ ไดท้ รงขยายพระราชอา� นาจมายงั ดนิ แดน อกี พระองค์หน่งึ คือ พระเจา้ สุรยิ วรมนั ท่ี ๑ ทรงอ้างวา่ พระมารดา ทางตอนเหนือของเทือกเขาพนมดงรักไปจนถึงเมืองลพบุรี ซึ่งใน ของพระองค์สืบพระญาติวงศ์จากพระเจ้าอินทรวรมัน ได้ประกาศ เวลานั้นเปน็ สว่ นหนึ่งของรัฐทวารวดี ในลมุ่ แมน่ �า้ ปา่ สกั พระองค์เป็นพระราชาของกัมพชู าที่พิมาย พระเจา้ อุทยั ทิตยวรมนั ที่ ๒ เป็นพระราชโอรสของพระเจา้ พระราชประวัติของพระเจ้าสุริยวรมันท่ี ๑ ตามที่ปรากฏ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๑ ขนึ้ ครองราชย์ในขณะยงั ทรงพระเยาว์ ในรชั กาลพระองค์ ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์กัมพูชาไม่ชัดเจนนัก แม้ว่าในจารึก มีการสร้างปราสาทบาปวนปราสาทแม่บุญกลางบารายตะวันตก ปราสาทเขาพระวิหาร ๑ (K. ๓๘๐) ของพระองค์จะอ้างว่าทรง พร้อมทั้งขุดบารายด้านตะวันตกซึ่งมีความยาว ๘ กิโลเมตร และ สบื เชอื้ สายมาทางพระมารดาของพระเจา้ อนิ ทรวรมนั และทรงเกย่ี วดอง กวา้ ง ๒.๒ กิโลเมตร๓๑ ทางพระมเหสขี องพระองค์ คอื พระนางวรี วรมนั กบั โอรสของพระเจา้ ศลิ ปกรรมเขมรโบราณสมยั นคี้ อื ศลิ ปะแบบบาปวน ซง่ึ พบที่ ยโศวรมันก็ตาม๒๘ เอกสารบางแห่งว่าพระองค์เป็นเจ้าชายทาง ปราสาทบ้านเบญจ์และปราสาททองหลาง จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเหนอื พระองคห์ นง่ึ แต่ไมเคลิ วคิ เคอรี เสนอวา่ พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั แสดงให้เห็นว่าในเวลาน้ันอิทธิพลของเขมรโบราณในช่วงเวลา ท่ี ๑ เปน็ สมาชิกในครอบครัวชนชัน้ น�ากมั พชู า ซึ่งมสี ายสัมพนั ธ์กับ ดงั กลา่ วไดส้ ่งอทิ ธิพลเขา้ มาถงึ จังหวัดอบุ ลราชธานีด้วย ดินแดนภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของกัมพูชา๒๙ เม่ือพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันท่ี ๒ สวรรคต พระองค์ไม่มี พระเจา้ สุรยิ วรมันที่ ๑ ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๕๔๕ – พระราชโอรส พระราชบัลลังก์จึงเป็นของอนุชาของพระองค์ คือ ๑๕๙๓ อย่างไรก็ตามในช่วงแรกของรัชกาลพระองค์ต้องทรงท�า พระเจา้ หรรษวรมนั ที่ ๓ พระองค์โปรดใหซ้ อ่ มแซมปราสาททงั้ หลาย สงครามแยง่ ชงิ ราชสมบตั กิ บั พระเจา้ ชยั วรี วรมนั โดยทรงใชเ้ วลากวา่ ท่ีเสียหายเพราะสงครามในรัชกาลก่อน ในปี พ.ศ. ๑๖๑๗ ๑๐ ปี จึงสามารถเสด็จเข้ามาประทับในเมืองพระนครได้ ดังน้ัน จามรกุ รานพรมแดนเขา้ มาถงึ ศมั ภะปรุ ะ ไดท้ า� ลายศาสนสถานในทน่ี นั้ ในชว่ ง ๑๐ ปีแรกของรัชกาลพระเจ้าสุรยิ วรมนั ที่ ๑ นา่ จะประทับ และจับประชาชนไปเปน็ เชลย อยนู่ อกราชธานเี มืองพระนคร๓๐ ๒๘ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดศิ กุล, ประวตั ิศาสตรเ์ อเชยี อาคเนย์ถงึ พ.ศ. ๒๐๐๐, หน้า ๑๘๖. ๒๙ เดวิด แชนดเ์ ลอร์, ประวตั ิศาสตร์กมั พชู า (กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิโครงการต�าราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๐), หน้า ๖๑. ๓๐ หม่อมเจ้าสภุ ัทรดศิ ดิศกุล, ประวัตเิ มอื งพระนคร (ANGKOR) ของขอม (กรุงเทพฯ: บริษัท จันทวาณชิ ย์ จ�ากัด, ๒๕๒๖), หนา้ ๒๘. ๓๑ อไุ รศรี วรศะรนิ , ประชุมอรรถบทเขมร: รวมบทความวิชาการของศาสตราจารยเ์ กียรติคุณ ดร.อุไรศรี วรศะริน, หนา้ ๗๙.
อุบลราชธานีศรีวนาลยั I ๕๗ โคปุระ ปราสาทบา้ นเบญจ์ อา� เภอทงุ่ ศรอี ุดม จงั หวัดอบุ ลราชธานี เป็นศาสนสถานในศิลปะเขมรแบบเกลยี ง (คลงั ) ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ แสดงถึงความสา� คัญของ ชมุ ชนโบราณในเมอื งอบุ ลราชธานี ในสมัยเขมรโบราณ เม่อื พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖
๕๘ I อุบลราชธานีศรวี นาลัย พ.ศ. ๑๖๒๓ มีเจ้านายพระองค์หน่ึงประกาศตนเป็น พระเจา้ ชยั วรมันที่ ๗ ทา� สงครามอยู่กบั จามปา จนถึงปี พ.ศ. ๑๗๐๘ พระเจา้ แผน่ ดนิ ตง้ั พระนามวา่ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๖๓๒ พระเจา้ หรรษวรมนั พระเจ้ายโศวรมันท่ี ๒ ถูกขุนนางคนหนึ่งปลงพระชนม์เพ่ือชิง ที่ ๓ ทรงหายไปภายหลงั จากนน้ั พระราชบลั ลงั ก์แหง่ เมอื งพระนคร ราชสมบัติ พระเจา้ ชัยวรมันท่ี ๗ จงึ เสด็จกลบั คืนมาเพื่อชว่ ยเหลอื จงึ ตกมาถงึ พระเจา้ นฤปตนิ ทราทติ ยวรมนั ซง่ึ เสวยราชยท์ เี่ มอื งพระนคร แต่เสด็จกลบั มาชา้ ไป๓๖ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ ทรงยกทัพมารบกับพระเจา้ นฤปตินทราทิตย วรมนั จนพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. ๑๖๕๐ ขนุ นางผปู้ ลงพระชนมพ์ ระเจา้ ยโศวรมนั ท่ี ๒ ขน้ึ ครองราชย์ แลว้ ทรงพระนามพระเจ้าตรีภูวนาทติ ยวรมัน พ.ศ. ๑๗๒๐ จามปา เมอ่ื พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๖ สวรรคตลง พระเชษฐาของพระองค์ ไดย้ กทพั ตามแมน่ า้� โขงเขา้ มาถงึ ทะเลสาบ เวลานน้ั จามตเี มอื งพระนคร ทรงขนึ้ ครองราชยส์ บื ตอ่ มาทรงพระนามวา่ พระเจา้ ธรณนิ ทรวรมนั ท่ี ๑ ได้แล้วปลงพระชนม์พระเจ้าตรีภูวนาทิตยวรมันด้วย จามยึดครอง พระองค์แย่งชิงราชสมบัติกับพระเจ้านฤปตินทราทิตยวรมันและ เมืองพระนครเป็นเวลาประมาณ ๔ ปี การพ่ายแพ้ครั้งน้ีท�าให้ พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒๓๓ เมอื งพระนครถูกจามปาทา� ลายจนไดร้ ับความเสยี หายอยา่ งหนกั ๓๗ การสงครามระหวา่ งพระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ที่ ๒ กบั พระเจา้ ธรณนิ พระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี ๗ เปน็ โอรสของพระเจา้ ธรณนิ ทรวรมนั ทรวรมนั ที่๑รนุ แรงมากในทส่ี ดุ คอื ปีพ.ศ.๑๖๕๖พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี๒ ที่ ๒ พระราชมารดาคอื พระนางชยั จฑู ามณิ ทรงรวบรวมผ้คู นและ ปลงพระชนมพ์ ระเจา้ ธรณนิ ทรวรมนั ท่ี๑ได้แลว้ ทรงขนึ้ ครองราชยส์ บื ตอ่ มา กองทพั ไดแ้ ลว้ จงึ ทรงนา� กองทพั มาขบั ไลจ่ ามปาออกจากเมอื งพระนคร หลงั จากนนั้ พระองค์ไดม้ ชี ยั เหนอื พระเจา้ นฤปตนิ ทราทติ ยวรมนั แมก้ ระนั้นเมอื งพระนครกต็ ้องถูกจามปายึดครองเป็นเวลาถึง ๔ ปี เร่ืองราวการรบระหวา่ งพระเจ้าชัยวรมนั ท่ี ๗ กับกองทพั ของจามปา พระเจา้ สรุ ยิ วรมนั ท่ี ๒ ทรงนบั ถอื ไวษณพนกิ าย พระองคจ์ งึ ไมป่ รากฏรายละเอยี ดทแ่ี นน่ อน แตก่ ารรบในบรเิ วณเมอื งพระนครนี้ ทรงสรา้ งนครวดั สา� หรบั เปน็ ทบี่ ชู าพระวษิ ณแุ ละสา� หรบั บรรจพุ ระอฐั ิ น่าจะมีเกิดขึ้นสองคร้ังใหญ่ๆ คือ สงครามระหว่างกองทัพบก ของพระองค์ด้วย นอกจากนี้พระองค์ได้สร้างปราสาทท่ีพนมชีสูร สันนิษฐานว่าน่าจะรบกันบริเวณปราสาทพระขรรค์ ทางทิศเหนือ พนมสณั ฎากพระวหิ ารวดั ภูบงึ มาลาปราสาทพระขรรค์ (กา� ปงสวาย)๓๔ ของเมืองพระนคร๓๘ พระเจา้ สรุ ยิ วรมันที่ ๒ นา่ จะทรงสวรรคตหลงั พ.ศ. ๑๖๘๘ และ หลังจากสวรรคตแลว้ ทรงได้รับพระนามว่า บรมวษิ ณโุ ลก๓๕ ส่วนการรบอีกครั้งหนึ่งซ่ึงน่าจะเป็นการรบขั้นสุดท้ายคือ การรบทางเรือในทะเลสาบ ซึ่งปรากฏอยู่ในภาพสลักที่ระเบียง หลงั จากน้ันพระเจา้ ธรณนิ ทรวรมนั ที่ ๒ เปน็ พระอนชุ ารว่ ม ปราสาทบายน และระเบยี งปราสาทบนั ทายฉมาร์จงั หวดั บนั ทายมชี ยั พระอยั ยกิ าไดค้ รองราชยต์ อ่ มา ถงึ ปี พ.ศ. ๑๗๐๓ พระองค์ไดส้ วรรคต สี่ปีหลังจากการรุกรานของจามปา พระเจ้าชัยวรมันท่ี ๗ ทรงขับ ลง ในเวลาน้ันพระเจ้ายโศวรมันท่ี ๒ ขึ้นครองราชย์ ในเวลานั้น ๓๒ หม่อมเจ้าสภุ ัทรดศิ ดศิ กุล, ประวัติเมอื งพระนคร (ANGKOR) ของขอม, หนา้ ๓๖. ๓๓ ศานติ ภกั ดีคา� , ประวัตศิ าสตร์กัมพชู าแบบเรยี นของเขมรท่ีเกย่ี วขอ้ งกับไทย, หนา้ ๒๙. ๓๔ อุไรศรี วรศะริน, ประชมุ อรรถบทเขมร: รวมบทความวชิ าการของศาสตราจารยเ์ กยี รติคุณ ดร.อุไรศรี วรศะริน, หนา้ ๘๕. ๓๕ เรือ่ งเดยี วกัน, หนา้ ๘๖. ๓๖ เร่ืองเดยี วกนั , หนา้ ๘๘. ๓๗ เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๘๙. ๓๘ ประชมุ ศลิ าจารึกภาคที่ ๔, (กรงุ เทพฯ: คณะกรรมการจดั พมิ พเ์ อกสารทางประวัตศิ าสตรส์ า� นกั นายกรฐั มนตรี, ๒๕๑๓), หน้า ๒๐๐ – ๒๐๑.
อุบลราชธานศี รวี นาลยั I ๕๙ ปราสาทบายน ศนู ย์กลางเมอื งพระนครศรียโศธรปรุ ะของพระเจ้าชยั วรมันท่ี ๗ ปัจจบุ นั อยทู่ จี่ ังหวดั เสยี มราฐ ราชอาณาจกั รกัมพูชา
๖๐ I อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย ไล่จามปาออกจากเมืองพระนครได้ และข้ึนครองราชย์ในปี พ.ศ. ๑๗๒๔ มีพระนามตามท่ีปรากฏในศิลาจารึก วา่ “วรฺ ะบาท กมั รเตงอญั ศรชี ยวรรมเทวะ” หรอื “พระบาทกมั รเตงอญั ศรชี ยั วรมนั เทวะ” หลงั จากขน้ึ ครองราชยแ์ ลว้ พระองคจ์ งึ ทรงสถาปนาเมืองพระนครศรยี โศธรปุระขึ้นใหมเ่ ป็นเมืองท่ี ๒ (ซึ่งเปน็ ท่รี จู้ กั กนั ในภายหลงั ว่า นครธม) เมืองนี้มีขนาดเล็กกว่าและต้ังอยู่ค่อนไปทางทิศเหนือของเมืองพระนครศรียโศธรปุระเดิมท่ีพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ สร้างข้ึน ในสมัยพระเจา้ ชัยวรมันท่ี ๗ นีเ้ องที่ปรากฏร่องรอยหลกั ฐานโบราณสถานในจงั หวัดอบุ ลราชธานี กล่าวคือ ปรากฏวา่ มกี ารกอ่ สร้างปราสาทธาตนุ างพญาซงึ่ มีลักษณะเป็นอโรคยาศาล หรือ โรงพยาบาลของพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ น่ันเอง ไมป่ รากฏหลกั ฐานทแี่ นน่ อนวา่ พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ สวรรคตเมอื่ ใด หลกั ฐานจากเอกสารจนี ระบวุ า่ คณะทตู ชดุ สดุ ทา้ ยทพ่ี ระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ทรงสง่ ไปยงั ประเทศจนี คอื พ.ศ. ๑๗๔๓ พระองคอ์ าจครองราชยถ์ งึ ราวปี พ.ศ. ๑๗๖๑ หลงั จากนั้นในราวปี พ.ศ. ๑๗๖๓ อาณาจักรกมั พชู าได้สูญเสยี อา� นาจในดนิ แดนทางตะวันตกและตะวันออก จึงอาจ เปน็ ไปได้วา่ การทอ่ี าณาจักรกมั พูชาเส่อื มอา� นาจลงนน้ั เนอื่ งมาจากการสวรรคตของพระเจ้าชยั วรมันท่ี ๗ พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ ไดร้ บั การถวายพระนามหลงั การสวรรคตวา่ “พระบาทบรมสคุ ตบท” พระเจา้ อนิ ทรวรมนั ที่ ๒ ซึง่ เป็นโอรสไดค้ รองราชย์ตอ่ มา พระองคท์ รงนับถอื พระพุทธศาสนามหายานเช่นเดียวกบั พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ในพระเจ้าชัยวรมันท่ี ๘ มองโกลยกทัพเข้าโจมตีจามปา ทรงเกรงการสงครามลุกลามถึงประเทศกัมพูชา จึงจัดส่งเคร่ืองบรรณาการให้มองโกล พระองค์นับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย จึงปรากฏว่าพราหมณ์ได้กลับมา มบี ทบาทในราชส�านกั อกี รชั กาลน้มี กี ารสรา้ งปราสาทหนิ หลังสดุ ทา้ ยในสมัยพระนคร คือ ปราสาทมงั คลารถั และ มกี ารท�าลายพระพทุ ธศาสนาท่ีได้รบั การอปุ ถัมภ์จนเจริญรงุ่ เรอื งในรชั กาลก่อนๆ ตอ่ มาพระเจา้ ศรนี ทรวรมนั ผเู้ ปน็ พระชามาดา(ลกู เขย) ไดแ้ ยง่ ชงิ ราชสมบตั จิ ากพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๘ พระเจา้ ศรนี ทรวรมนั เปน็ กษตั รยิ ท์ ท่ี รงนบั ถอื พระพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท แต่ในเวลาเดยี วกนั ยงั ทรงใหก้ ารอปุ ถมั ภศ์ าสนา พราหมณฮ์ นิ ดู ดังปรากฏหลักฐานในศลิ าจารกึ ปราสาทบนั ทายศรีว่า พระองค์ทรงให้การอุปถมั ภก์ ารทา� พิธกี รรมใน ศาสนาพราหมณฮ์ ินดทู ่ปี ราสาทบนั ทายศรี ความขัดแย้งทั้งในด้านศาสนาและการแย่งชิงอ�านาจราชสมบัติท�าให้อาณาจักรกัมพูชาเสื่อมอ�านาจลง หลงั จากรัชกาลพระเจา้ ศรนี ทรวรมัน กษัตริย์ทค่ี รองราชย์ตอ่ มาคอื พระเจา้ ศรนิ ทรชยั วรมนั และพระเจ้าชยวรรมา ทิปรเมศวร (ซ่ึงถือเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายท่ีปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกสมัยพระนคร เวลาน้ันอาณาจักรกัมพูชา สมัยเมอื งพระนครไดเ้ ขา้ สู่ยคุ เสือ่ ม และเข้าสสู่ มยั หลงั พระนครในเวลาตอ่ มา๓๙ ๓๙ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๙๖.
อุบลราชธานีศรวี นาลยั I ๖๑ รอ่ งรอยของอิทธิพลอาณาจักรเขมรโบราณสมัยพระนคร จารกึ วัดสปุ ัฏนาราม ในอุบลราชธานี ของพระเจา้ ยโศวรมนั ท่ี ๑ ปัจจบุ ันจดั แสดงอยู่ท่ี จากการศึกษาพบว่า ร่องรอยอิทธิพลอาณาจักรเขมรโบราณสมัยพระนครปรากฏ วดั สปุ ฏั นาราม อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี ให้เห็นในจังหวัดอุบลราชธานีส่วนใหญ่ปรากฏหลักฐานการต้ังชุมชนกระจายตัวอยู่ทางใต้ จงั หวดั อบุ ลราชธานี ของแม่น้�ามูล ได้แก่ ในบริเวณอ�าเภอเดชอุดม อ�าเภอวารินช�าราบ อ�าเภอบุณฑริก อ�าเภอนา�้ ยนื และอา� เภอสา� โรง หลกั ฐานทพ่ี บมที ั้งทเี่ ปน็ ศลิ าจารึก ประติมากรรมรูปเคารพ ทบั หลัง โบราณสถาน และรอ่ งรอยเมอื งโบราณ ดงั นี้ จารึกเขมรโบราณสมัยพระนคร ในจังหวัดอุบลราชธานีได้พบจารึกเขมรโบราณ สมยั พระนครจา� นวน ๒ หลกั คือ จารกึ วดั สปุ ัฏนารามมีจารึกของพระเจ้ายโศวรมนั ท่ี ๑ ซ่ึง จารึกด้วยอักษรนาครี ซ่ึงมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ และจารึกวัดสุปัฏนาราม ๒ ซึ่ง ได้มาจากวัดโพธิ์ศรี บ้านทุ่งใหญ่ อ�าเภอเข่ืองใน จังหวัดอุบลราชธานี จารึกด้วยอักษร และภาษาเขมรโบราณอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ กล่าวถึงการสถาปนาพระกัมรเตงชคต (เทพเจ้า) และถวายสง่ิ ของตา่ งๆ๔๐ ประติมากรรมรปู เคารพ ที่ส�าคญั ไดแ้ ก่ พระพฆิ เนศวร พบท่ีบา้ นโนนกาเล็น อา� เภอ ส�าโรง จา� นวน ๒ องค์ เปน็ ศลิ ปะเขมรแบบเกาะแกร์หรือแปรรูป ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๕๔๑ นอกจากนยี้ งั มปี ราสาทบา้ นเบญจ์ ตา� บลหนองอม้ อา� เภอทงุ่ ศรอี ดุ ม เปน็ ปราสาทอฐิ ๓ หลงั ตงั้ อยบู่ นฐานเดยี วกนั หนั หนา้ ไปทางดา้ นตะวนั ออก ลอ้ มดว้ ยกา� แพงศลิ าแลง มที างเขา้ ดา้ นหนา้ เพยี งดา้ นเดยี ว มชี น้ิ สว่ นสถาปตั ยกรรมสา� คญั คอื ทบั หลงั ซง่ึ อยู่ในศลิ ปะเขมรแบบ เกลยี ง (คลัง) อายรุ าวพุทธศตวรรษที่ ๑๖๔๒ ๔๐ กรมศลิ ปากร, จารึกในประเทศไทยเลม่ ๓ (กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๙), หนา้ ๒๘๐ – ๒๘๓. ๔๑ เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า ๑๒๐. ๔๒ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๑๒๑. ๔๓ เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๑๒๓.
๖๒ I อุบลราชธานีศรีวนาลยั จารกึ ภาษาเขมรโบราณ วดั สปุ ฏั นาราม อา� เภอเมืองอบุ ลราชธานี จงั หวัดอบุ ลราชธานี จารึกภาษาเขมรโบราณ วัดสุปฏั นาราม อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี
อุบลราชธานศี รีวนาลยั I ๖๓ ฐานรูปเคารพภายในปราสาทบา้ นเบญจ์ อ�าเภอท่งุ ศรีอดุ ม จังหวัดอบุ ลราชธานี
๖๔ I อุบลราชธานศี รีวนาลยั ปราสาทบ้านเบญจ์ ต�าบลหนองอม้ อา� เภอท่งุ ศรอี ดุ ม จงั หวดั อบุ ลราชธานี เป็นศาสนสถานของเขมรโบราณสรา้ งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีลักษณะเป็นปราสาทอิฐ จ�านวน ๓ หลงั ตัง้ อยบู่ นฐานเดยี วกัน และพบทับหลงั ศิลปะเขมรแบบเกลียง (คลงั ) มอี ายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖
อุบลราชธานศี รีวนาลยั I ๖๕ ปราสาทบ้านเบญจ์ ตา� บลหนองอม้ อ�าเภอทงุ่ ศรีอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
๖๖ I อุบลราชธานีศรีวนาลยั ปราสาททองหลาง อา� เภอเดชอดุ ม ตง้ั อยู่ทีบ่ า้ นโพธศิ์ รี อ�าเภอเดชอดุ ม เป็นปราสาทอิฐ ๓ หลัง หันหน้าไปทางทิศตะวนั ออก สนั นิษฐานว่านา่ จะมีอายุ อยู่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๖๔๓ ปราสาทธาตุนางพญา อ�าเภอบุณฑริก เป็นปราสาทอีกหลังหน่ึงที่พบ ในจังหวดั อุบลราชธานี จากรูปแบบแผนผงั และรูปแบบศลิ ปกรรมท่ปี รากฏท�าให้ สนั นษิ ฐานวา่ ปราสาทหลงั นน้ี า่ จะเปน็ ศาสนสถานของพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ ๗ มอี ายุ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นอกจากนยี้ งั ปรากฏวา่ มปี ราสาทเขมรโบราณอกี หลายหลงั เชน่ ปราสาทภู ปราสาท บนช่องอานมา้ อ�าเภอน้า� ยนื ปราสาทพระลานตาเสก โบราณสถาน บ้านสระเกศ บ้านอูบมุง อ�าเภอส�าโรง และปราสาทด�าครั่ง อ�าเภอเดชอุดม เป็นตน้ ๔๔ อันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์และอิทธิพลของเขมรโบราณสมัย พระนครทีม่ ตี ่อพ้ืนท่ีบรเิ วณจังหวัดอบุ ลราชธานี อิทธพิ ลของอาณาจกั รเขมรโบราณสมัยพระนครในจงั หวดั อบุ ลราชธานี นา่ จะค่อยๆ เสื่อมลงหลังรัชกาลพระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๗ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ เป็นต้นมา เน่ืองจากร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีได้ลดลงและขาดหายไป เชน่ เดยี วกับพืน้ ท่ีใกลเ้ คยี ง จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๓ พน้ื ทจี่ งั หวดั อบุ ลราชธานแี ละอา� นาจเจรญิ จงึ เรมิ่ ปรากฏหลกั ฐานทางโบราณคดที เ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั การอยอู่ าศยั ของกลมุ่ ไท – ลาว อันเป็นเหตุทนี่ �าให้เกดิ การสร้างเมอื งอบุ ลราชธานี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๓๕ ดังจะได้ กลา่ วถึงตอ่ ไป ๔๓ กรมศิลปากร, เมอื งอบุ ลราชธานี (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๒), หนา้ ๑๒๓. ๔๔ เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๑๒๓.
อุบลราชธานศี รวี นาลยั I ๖๗ ปราสาททองหลาง อา� เภอเดชอดุ ม จังหวัดอบุ ลราชธานี
๖๘ I อุบลราชธานศี รีวนาลัย ปราสาททองหลาง อา� เภอเดชอดุ ม จังหวัดอบุ ลราชธานี เป็นศาสนสถานเขมรโบราณ สันนษิ ฐานวา่ นา่ จะสรา้ งขึน้ ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๖ สรา้ งเปน็ ปราสาทอิฐ จ�านวน ๓ หลัง ตัง้ อย่บู นฐานเดยี วกัน
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๖๙
๒ จากจำาปาศกั ดิ์ สู่ อุบลราชธานีศรีวนาลยั
ศาลหลักเมืองอบุ ลราชธานี ทุ่งศรเี มือง อ�าเภอเมอื งอุบลราชธานี จังหวดั อบุ ลราชธานี
๑ จากจาำ ปาศกั ด์ิ สอู่ ุบลราชธานีศรีวนาลัย ร่องรอยสุดท้ายที่ปรากฏการกล่าวถึง “เศรษฐปุระ” ในฐานะเมืองส�าคัญของอาณาจักรเขมรโบราณสมัย พระนคร คือ ศิลาจารึกปราสาทบันทายศรีท่ีกล่าวว่า พระเจ้าศรีนทรวรมัน ทรงสืบเช้ือสายมาจากเศรษฐวรมัน แสดงถึงความคิดความส�าคัญของดินแดนบริเวณดังกล่าวที่สืบเนื่องมาจนกระท่ังปลายสมัยพระนคร หลังจากนั้น ประวัตศิ าสตรข์ องเมืองจ�าปาศกั ดิ์ได้ขาดชว่ งไป เร่ืองราวของเมืองจ�าปาศักดิ์หลังจากนั้นปรากฏในต�านานเมืองจ�าปาศักด์ิ๑ ท่ีกล่าวถึงกษัตริย์ขอม พระองค์หน่ึงมาสร้างเมืองที่ริมฝั่งแม่น�้าโขง คร้ันสร้างเสร็จแล้วได้ต้ังนามเมืองว่า “นครกาลจ�าบากนาคบุรีศรี” มกี ษตั รยิ ค์ รองราชยต์ อ่ มาจนถึงนางเภา ตอ่ มานางเภาไดก้ ับเจ้าปางค�าแห่งเมอื งหนองบวั ลมุ่ ภู จนมีบตุ รชี อื่ นางแพง ได้ปกครองเมอื งสบื ตอ่ มา ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๓๓ พระครูโพนสะเม็ก (ญาครูข้ีหอม) แห่งเวียงจันทน์ได้พาเจ้าหน่อกษัตริย์ และพระนางสุมังคละเช้ือสายกษัตริย์เวียงจันทน์ รวมทั้งครอบครัวอพยพหนีออกมาจากเมืองเวียงจันทน์ ลงมาตามลา� น�า้ โขง เนือ่ งจากเกิดการแยง่ ชงิ ราชสมบตั ิในเมืองเวยี งจันทน์ ระหว่างทางพระครูโพนสะเม็กได้ปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม จากนั้นได้น�าครอบครัวอพยพลงไปถึงเมือง พนมเปญในแดนกัมพูชา ได้สร้างพระเจดีย์ไว้ที่วัดพนม แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับกษัตริย์กัมพูชาจึงได้อพยพ ครอบครวั กลับมาตามลา� น้า� โขง ตามรายทางที่พระครูโพนสะเม็กเดินทางกลับมา ได้มีการสร้างพระพุทธรูปและสร้างพระเจดีย์วิหารขึ้น หลายแห่ง ต่อมาเมื่อนางแพงได้ทราบเรื่องราวของพระครูโพนสะเม็ก จึงได้อาราธนาให้พระครูโพนสะเม็กมาอยู่ที่ วัดหลวง เมอื งจา� ปาศกั ด์ิ ตอ่ มาจึงไดถ้ วายให้พระครโู พนสะเม็กดูแลปกครองทง้ั พทุ ธจกั รและอาณาจกั ร ๑ “ตา� นานเมอื งจา� ปาศกั ด์ิ ฉบบั หมอ่ มอมรวงศว์ จิ ติ ร,” ใน ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๒๗ – ๒๓๐.
อุบลราชธานีศรีวนาลยั I ๗๓ พระเจดียว์ ัดเมอื งยโสธร ต่อมาถึง พ.ศ. ๒๒๕๖ พระครูโพนสะเม็กจึงได้อัญเชิญ ส�าหรับอาณาเขตที่จ�าปาศักดิ์ปกครองในเวลานั้น ได้แก่ เจา้ หนอ่ กษตั รยิ ม์ าปกครองนครจา� บากนาคบรุ ศี รี และถวายพระนาม เมอื งเชยี งแตง บา้ นทงุ่ (อา� เภอสวุ รรณภมู ิ จงั หวดั รอ้ ยเอด็ ) เมอื งโขง ว่า “เจ้าสร้อยศรีสมุทพุทธางกูร” และขนานนามเมืองใหม่ว่า (สที นั ดร) บา้ นกดุ หวาย(อา� เภอรตั นบรุ ีจงั หวดั สรุ นิ ทร)์ เมอื งสาละวนั “นครจ�าปาศักด์ินัครบุรีศรี” มีการตั้งต�าแหน่งขุนนางตามแบบ เมอื งอัตตะปือ เมอื งทองค�าใหญ่ และเมืองโขงเจียง (โขงเจียม) เวียงจันทน์ ด้วยเหตุน้ีเชื้อสายของเวียงจันทน์จึงได้มาปกครอง เมอื งจา� ปาศกั ดิ์ พระครโู พนสะเมก็ มรณภาพเมอื่ พ.ศ. ๒๒๖๓ อายไุ ด้ หลังจากเจ้าสร้อยศรีสมุทพุทธางกูรได้ปกครองเมือง ๙๐ ปี จ�าปาศักด์ิแล้ว ต่อมาเช้ือสายของเจ้าสร้อยศรีสมุทพุทธางกูรก็ได้ ปกครองเมืองจ�าปาศกั ด์ติ อ่ มา๒ ๒ “ตา� นานเมอื งจา� ปาศกั ด์ิ ฉบบั หมอ่ มอมรวงศว์ จิ ติ ร,” ใน ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๓๐.
๗๔ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย ๒ เจา้ พระวรราชภกั ดี (พระวอ) กับจาำ ปาศักด์ิ ตอ่ มาในรชั กาลพระเจา้ สริ ิบญุ สาร แหง่ อาณาจักรลา้ นช้างเวียงจันทน์ เวลานัน้ อาณาจักรลา้ นชา้ งแบง่ เปน็ ๓ อาณาจักร คอื อาณาจักรลา้ นชา้ งหลวงพระบาง อาณาจกั รลา้ นชา้ งเวยี งจนั ทน์ และจา� ปาศกั ด์ิ เมอื งหนองบวั ลา� ภู อยู่ในการปกครองของอาณาจกั รล้านช้างเวียงจันทน์ เวลานนั้ พระวอพระตาซ่ึงเปน็ เสนาบดีผู้ใหญข่ องอาณาจักรลา้ นช้างเวยี งจันทน์ ไม่พอใจพระเจา้ สิรบิ ญุ สาร แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ จึงได้มาอยู่ที่เมืองหนองบัวล�าภูและสร้างก�าแพงเมืองใหม่ ให้ช่ือเมืองว่า “เมอื งจา� ปานครขวางกาบแก้วบัวบาน” หรอื “นครเขื่อนขนั ธก์ าบแก้วบวั บาน” ๓ พระเจา้ สริ บิ ญุ สารทราบขา่ วจงึ สง่ กองทพั มาตเี มอื งหนองบวั ลา� ภหู ลายครง้ั จนสามารถตีเมืองได้ส�าเร็จและ สังหารพระตาได้ ส่วนพระวอได้หนีไปอยู่ท่ีเมืองจ�าปาศักด์ิ ดังปรากฏความในพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จ พระพนรัตน์ วดั พระเชตุพน ฉบบั ตวั เขยี นว่า “...ในปีจอน้ัน ฝ่ายข้างกรุงศรีสะตะนาคนะหุด พระวอผู้หน่ึงเปนอุปฮาช มีความพิโรธขัดเคืองกันกับ พระเจ้าล้านช้าง จ่ึงภาสมักพักพวกออกจากเมืองมาตั้งอยู่ ณะ หนองบัวลำาภู ซ่องสุมผู้คนได้มาก จ่ึงส้างข้ึนเปน เมอื งตงั้ คา่ ยเสาไมแ้ กน่ ใหช้ อ่ื เมอื งจาำ ปานคร ขวางกาบแกว้ บวั บาน แลว้ แขงเมอื งตอ่ พระเจา้ กรงุ ศรสี ะตะนาคนะหดุ พระเจ้ากรุงศรีสะตะนาคนะหุดแต่งกองทับให้ยกมาตี พระวอก็ต่อรบตีทับล้านช้างแตกกลับไป แล้วพระวอแต่ง ขุนนางให้นำาเครื่องราชบรรนาการข้ึนไปเมืองอังวะฃอกองทับพม่ามาตีกรุงศรีสะตะนาคนะหุด พระเจ้าอังวะ ให้แมงละแงเปนแม่ทับ ถือพลส่ีพัน ยกลงมาตีกรุงศรีสะตะนาคนะหุด ทับพม่ามาถ่ึงกลางทาง พระเจ้าล้านช้าง ไดท้ ราบขา่ วจงึ่ แตง่ ทา้ วเพลย้ี ใหน้ าำ เครอื่ งบรรณาการไปใหแ้ กแ่ มท่ บั พมา่ ฃอขนึ้ แกก่ รงุ องั วะ ใหก้ องทบั ยกไปตพี ระวอ ณะ เมอื งหนองบวั ลาำ ภู ซงึ่ เปนขบถแกก่ รงุ ศรสี ะตะนาคนะหดุ แลว้ นาำ ทบั พมา่ มาพกั พล ณะ เมอื งลา้ นชา้ ง พระเจา้ ลา้ นชา้ ง ๓ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ ๒๓๑.
อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I ๗๕ แต่งต้อนรับแม่ทับพม่า แล้วจัดแจงกองทับเข้าบันจบทับพม่า แมงละแงแม่ทับ ก็ยกทับพม่าทับลาวไปตีเมือง หนองบัวลำาภู พระวอต่อสู้เหลือกำาลังก็ท้ิงเมืองเสีย ภาครอบครัวอพยพแตกหนีไปตั้งอยู่ตำาบลดอนมดแดง เหนือเมอื งจาำ ปาศักดิ.์ ..”๔ นอกจากนเ้ี ร่อื งราวเก่ียวกบั พระวอและพระตายังปรากฏในตา� นานเมอื งนครจ�าปาศักด์ิ ฉบบั หมอ่ มอมรวงศ์ วิจติ ร วา่ “...จุลศักราช ๑๑๒๙ เจ้าองค์หล่อผู้ครองเมืองศรีสัตนาคนหุตพิราลัยไม่มีบุตร แสนท้าวพระยาลาวและ นายวอนายตาจึงพร้อมกันเชิญกุมารสองคน (นามไม่ปรากฏ) ซ่ึงเป็นเช้ือวงศ์ผู้ครองเมืองศรีสัตนาคนหุตคนเก่า (ไมป่ รากฏวา่ คนไหน) ซงึ่ ไดห้ นีไปอยกู่ บั นายวอนายตาเมอื่ เจา้ องคห์ ลอ่ ยกกำาลงั มาจบั พระยาเมอื งแสนฆา่ เสยี นน้ั ขน้ึ ครองเมืองศรสี ตั นาคนหตุ แล้ว นายวอนายตาขอเปน็ ที่มหาอปุ ราช กมุ ารผูเ้ ปน็ เชษฐาเหน็ ว่านายวอนายตามิไดเ้ ปน็ เช้ือเจ้า จึงต้ังให้นายวอนายตาเป็นแต่ตำาแหน่งพระเสนาบดี และต้ังให้กุมารผู้น้องเป็นมหาอุปราช พระวอพระตา มคี วามโทมนสั จึงพากนั อพยพไปสรา้ งเวยี งอยทู่ บี่ ้านหนองบัวลาำ ภู ใหช้ อื่ วา่ เมอื งนครเข่ือนขนั ธก์ าบแกว้ บัวบาน... ผคู้ รองเมอื งศรสี ตั นาคนหตุ ไดห้ า้ มไม่ใหพ้ ระวอพระตาตง้ั เปน็ เมอื ง กห็ าฟงั ไมจ่ งึ ไดย้ กกาำ ลงั ไปตพี ระวอพระตา สรู้ บกนั ประมาณ ๓ ปี พระวอพระตาเหน็ จะตา้ นทานมิได้จงึ ไดแ้ ตง่ คนไปออ่ นนอ้ มแกพ่ มา่ ขอกาำ ลงั ไปชว่ ย พมา่ ไดแ้ ตง่ มองละแงะเป็นแมท่ ัพยกไปช่วยพระวอพระตา ฝ่ายผู้ครองเมืองศรีสัตนาคนหุตแจ้งดังน้ัน จึงแต่งบรรณาการให้แสนท้าวพระยาลาวคุมลงมาดักกองทัพ พมา่ อยกู่ ลางทาง แลว้ พดู เกลย้ี กลอ่ มชกั ชวนเอาพมา่ เขา้ เปน็ พวกเดยี วกนั ยกไปตพี ระวอพระตา พระตาตายในทร่ี บ ยังอยู่แต่พระวอกับท้าวฝ่ายหน้าท้าวคำาผง ท้าวทิพยพรหมผู้เป็นบุตรพระตา กับท้าวทิพยกำ่าบุตรพระวอ จึงพา ครอบครวั หนีอพยพไปพึง่ อย่กู ับเจา้ ไชยกมุ ารเมืองนครจาำ ปาศกั ด์ิ ตง้ั อยตู่ ำาบลเวียงดอนกอง...”๕ ฝ่ายพระเจ้าสิริบุญสารเจ้าเมืองเวียงจันทน์ คร้ันทราบว่า พระวอหนีไปอยู่ที่เวียงดอนกอง จึงให้อัคฮาด คมุ กา� ลงั ยกตามไปถงึ เมอื งจ�าปาศักด์ิ เจา้ ไชยกมุ ารเจ้าเมืองจา� ปาศักด์ิจงึ ส่งพระยาพลเชยี งสาคมุ ทพั ไปต้านทานไว้ แล้วมีศุภอักษรถึงเจ้าเมืองเวียงจันทน์ขอโทษให้พระวอ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ก็ยอมยกโทษให้โดยทางไมตรี แล้วให้ อคั ฮาดยกทพั กลบั เมอื งเวยี งจันทน์ ๔ ศานติ ภกั ดคี า� , พระราชพงศาวดารฉบบั สมเดจ็ พระพนรตั น์ วดั พระเชตพุ น ตรวจสอบชา� ระจากเอกสารตวั เขยี น(กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตง้ิ แอนดพ์ บั ลชิ ชง่ิ จา� กดั (มหาชน), ๒๕๕๘), หนา้ ๔๓๒. ๕ “ตา� นานเมอื งนครจา� ปาศกั ด์ิ ฉบบั หมอ่ มอมรวงศว์ จิ ติ ร,” ใน ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙(กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ ๒๓๑ – ๒๓๒.
๗๖ I อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั ๓ เจา้ พระวรราชภกั ดี (พระวอ) กบั ดอนมดแดง ต่อมาภายหลังพระวรราชภักดี (พระวอ) เกิดความขัดแย้งกับเจ้าไชยกุมารเจ้าเมืองจ�าปาศักดิ์จึงอพยพ ผู้คนของตนจากเมืองจ�าปาศักดิ์ ได้ไปต้ังบ้านเรือนอยู่ที่ดอนมดแดง ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ดังความ ในพระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตพุ น ฉบบั ตวั เขยี นว่า “...พระวอต่อสู้เหลือกำาลังก็ท้ิงเมืองเสีย ภาครอบครัวอพยบแตกหนีไปตั้งอยู่ตำาบลดอนมดแดง เหนอื เมืองจำาปาศักด์ิ แล้วแต่งท้าวเพล้ียถอื ศุพอกั ษร แลเครอ่ื งบรรณาการมาถึ่งพญานครราชสีมา ฃอเปนเมอื งข้ึน ข้าขอบขันธสีมากรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา เอาพระเดชานุภาพสมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวเปนที่พ่ึงพำานักน์ิสืบไป พญานครราชสมี ากบ็ อกส่งทูตแลศพุ อักษรเครอื่ งราชบรรณาการลงมายังกรงุ ธนบูรี สมเดจ์พระพทุ ธเจา้ อยู่หัวก็ทรง พระราชทานสิง่ ฃองตอบแทนไปแกพ่ ระวอ แล้วโปรดให้ต้งั บ้านเมืองอยู่ ณะ ดอนมดแดงนน้ั ...” เม่ือพระเจา้ สิริบุญสารเจ้าเมืองเวียงจนั ทนท์ ราบข่าว จงึ สง่ กองทพั มาจบั พระวอท่ดี อนมดแดงนั้น ดังความ ในพระราชพงศาวดารฉบบั สมเดจ็ พระพนรตั น์ วดั พระเชตุพน ฉบับตวั เขยี นว่า “...ฝ่ายพระเจ้ากรงุ ศรีสะตะนาคนะหุดได้ทราบว่า พระวอยกลงไปตง้ั เมอื งอยู่ ณะ ดอนมดแดง จึง่ แต่งให้ พญาสโุ ภเปนนายทบั ยกพลทหารลงมาตเี มอื งดอนมดแดงแตกจบั ตวั พระวอไดใ้ หป้ ระหารชวี ติ รเสยี แลว้ กเ็ ลกี กองทบั กลับไปเมอื งลา้ นชา้ ง...” หลังจากเจ้าพระวรราชภักดี (พระวอ) ถูกกองทัพของกรุงเวียงจันทน์ตีได้เจ้าพระวอเสียชีวิตในการรบ บุตรพระวอและท้าวเพียท้ังหลายจึงท�าหนังสือเข้ามากราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ดังความใน พระราชพงศาวดารฉบบั สมเดจ็ พระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียนวา่
อบุ ลราชธานศี รวี นาลัย I ๗๗ ศาลหลกั เมอื ง อา� เภอดอนมดแดง จงั หวดั อบุ ลราชธานี
๗๘ I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั “...๏ ฝ่ายท้าวก่ำาบุตรพระวอแลท้าวเพล้ียทังปวง จึ่งบอกหนังสือมาถ่ึงพญานครราชสีมาว่า กองทับเมือง ล้านช้างยกมาตีเมืองดอนมดแดงแตกฆ่าพระวอเสีย ข้าพเจ้าทังปวงกำาลังน้อยสู้รบตอบแทนมิได้ จะฃอทับ กรงุ เทพมหานครยกไปตเี มอื งลา้ นชา้ งแกแ้ คน้ พญานครราชสมี ากบ็ อกลงมายงั กรงุ ธนบรู ี กราบบงั คมทลู พระกรณุ า ใหท้ ราบ...” คร้ันความทราบมาถึงกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่าเจ้าพระวอได้เข้ามาขอพึ่ง พระบรมโพธิสมภารแล้ว การกระท�าของเจ้าเวียงจันทน์เป็นการแสดงว่าไม่เกรงพระบารมี ดังความในพระราช พงศาวดารฉบบั สมเด็จพระพนรัตน์ วดั พระเชตุพน ฉบับตวั เขยี นว่า “...๏ สมเดจ์พระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระพิโรธดำาหรัดว่า พระวอเปนข้าขอบขันธสีมาเมืองเราแลพญา ล้านช้างมิได้ยำาเกรงกระทำาบังอาจ์มาตีบ้านเมือง แลฆ่าพระวอเสียฉะน้ี ควรเราจะยกกองทับไปตีเมืองล้านช้างให้ ยบั เยีน ตอบแทนแก้แคน้ ให้จงได้...” สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรจี งึ โปรดเกล้าฯ ให้จัดกองทพั ไปตเี มอื งเวยี งจนั ทน์และนครจ�าปาศักด์ิเป็นสองทาง คือโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรี (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท) ยกทพั ไปทเ่ี มืองนครราชสีมา ทัพของเจ้าพระยาจกั รมี ุ่งไปทางเมืองชยั ภมู ิ ภูเวยี ง หนองบัวลา� ภู พันพรา้ ว ตามล�าดบั ส่วนเจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปเกณฑ์เสบียงอาหารและไพร่พลที่เมืองกะพงสวาย (จังหวัดก�าพงธม ราชอาณาจักรกัมพูชา) แล้วยกทัพไปทางแม่น้�าโขง เกณฑ์เขมรให้ขุดคลองลัดแก่งหลี่ผีข้ึนไปตีเมืองโขง เมืองนครจ�าปาศักด์ิตามล�าดับ เมื่อเจ้านครจ�าปาศักดิ์ทราบว่าทัพกรุงธนบุรียกทัพมาจึงได้ยอมสวามิภักดิ์เป็น ขา้ ขอบขณั ฑสมี า เจา้ พระยาสรุ สหี จ์ งึ ยกทพั ไปบรรจบกบั ทพั เจา้ พระยาจกั รตี เี มอื งเวยี งจนั ทนจ์ นสา� เสรจ็ และไดอ้ ญั เชญิ พระแกว้ มรกตและพระบางกลบั มากรงุ ธนบรุ ี ดงั ความในพระราชพงศาวดารฉบบั สมเดจ็ พระพนรตั น์ วดั พระเชตพุ น ฉบับตวั เขียนวา่ “...๏ ครน้ั ถ่ึง ณะ เดอื นอา้ ย ปจี อ สำาฤทธิศก๖ จ่ึงมพี ระราชดำาหรดั ให้เจา้ พญามหากระษตั รศึกเปนแมท่ บั กบั เจ้าพญาสุรศรีแลทา้ วพญามขุ มนตรผี ู้ใหญผ่ ูน้ ้อย ทัง้ ในกรงุ แลหัวเมืองเปนอันมาก พลทหารสองหมนื่ สรบั ดว้ ย ชา้ งม้าเคร่ืองสรรพาวุธพร้อมเสรจ์ ให้ยกกองทบั ไปตกี รุงศรีสะตะนาคนะหดุ คือเมืองล้านชา้ ง ๏ คร้นั ณะ วันได้มหามะหุต์พิ ิไชยฤกษ์ จ่งึ เจ้าพญามหากระษตั รศกึ ๗แลทา้ วพญานายทบั นายกองทงั ปวง ก็ กราบถวายบงั คมลา ยกกองทบั ขน้ึ ไปชมุ พลอยู่ ณะ เมอื งนครราชสมี า เจา้ พญามหากระษตั รศกึ จง่ึ ใหเ้ จา้ พญาสรุ ศรี ผู้นอ้ งแยกทบั ลงไป ณะ กรงุ กาำ พชู าธบิ ด๘ี ใหเ้ กนพลเมืองเขมรหมืน่ หนึ่ง ต่อเรือรบเรือไล่ให้จงมาก แลว้ ใหข้ ดุ คลอง ๖ พ.ศ. ๒๓๒๑ ๗ ฉบบั พมิ พว์ า่ สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ กึ ทกุ แหง่ ๘ ราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู าวา่ เจา้ พระยาจกั รกี บั เจา้ พระยาสรุ สหี ย์ กทพั มาถงึ เมอื งบนั ทายเพชร ทลู สมเดจ็ พระรามราชาธบิ ดี ขอไพรพ่ ลกบั ขอเสบยี งอาหาร สมเดจ็ พระรามาธบิ ดกี จ็ ดั ใหเ้ กณฑค์ นเมอื งกา� ปงสวาย เมอื งศรสี นั ธร เมอื งไพรแวง และเมอื งตโบงฆมมุ รวมหมน่ื คน กบั เสบยี งอาหารให้
อุบลราชธานีศรวี นาลัย I ๗๙ พระบรมราชานสุ าวรยี ์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวยี นใหญ่ ธนบุรี กรุงเทพมหานคร
๘๐ I อบุ ลราชธานศี รีวนาลัย พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช
อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั I ๘๑ ออ้ มเขาล่ผี ี๙ ยกทับเรอื ขนึ้ ไปตามแม่นำ้าของ๑๐ ไปบันจบทบั บกพร้อมกัน ณะ เมอื งล้านช้าง เจ้าพญาสุรศรกี ย็ กทับ พระบวรราชานสุ าวรยี ์ แยกลงไป ณะ กรงุ กาำ ภูชา เกนพลเขมรตอ่ เรอื รบตามบัญชาเจา้ พญามหากระษตั รศึกบังคบั น้ัน สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท ๏ สว่ นเจา้ พญามหากระษัตรศกึ แมท่ บั ใหญ่ ก็ยกกองทบั บกจากเมืองนครราชสมี า เดรี ทับไปถ่งึ แดนเมือง วัดมหาธาตุยวุ ราชรงั สฤษฎิ์ ล้านช้าง ให้กองหน้ายกล่วงไปกอ่ นตีหัวเมืองรายทางได้เปนหลายตาำ บล ทบั ใหญก่ ็ยกตดิ ตามไปพายหลงั เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร ๏ ฝ่ายเจ้าพญาสุรศรี ครน้ั ต่อเรือรบเสรจแ์ ลว้ กเ็ กนพลเขมรแลลาวทงั ปวงขุดคลองออ้ มเขาลผี่ ี ซ่งึ ต้งั ขวาง แมน่ า้ำ อยู่ใตเ้ มืองโขงนัน้ แล้วก็ยกทบั เรอื ขนึ้ มาทางคลองขุด มา ณะ เมอื งจาำ ปาศักด์ิ แลว้ ยกขึน้ ไปตเี มอื งนครพนม แลเมืองหนองคาย ซึ่งขน้ึ แกเ่ มอื งลา้ นช้างได้ทังสองตาำ บล ๏ ฝา่ ยพระเจา้ กรุงศรีสะตะนาคนะหดุ ได้ทราบวา่ กองทบั ไทยกมาตเี มอื ง จ่งึ แต่งแสนท้าวพญาลาวทังปวง ให้ยกกองทับมาต่อรบต้านธารเปนหลายทับหลายตำาบล ได้รบกันเปนสามารถ พลทหารลาวสู้รบต้านธารมิได้ ก็แตกฉานพ่ายหนีไปเปนหลายครงั้ หลายแห่ง ๏ ขณะน้นั พระเจา้ รม่ ขาวเจา้ เมืองหลวงพระบาง เปนอริะอยู่กับเจา้ เมอื งล้านช้าง ดว้ ยเมอื งลา้ นช้างไปเอา กองทับพม่ามาตีเมืองหลวงพระบางแต่ก่อนน้ัน ครั้นได้ทราบว่า กองทับไทยกมาตีเมืองล้านช้างก็มีความยินดีนัก จึ่งแต่งขุนนางให้ยกกองทับลงมาช่วยตีเมืองล้านช้าง แล้วฃอเปนเมืองข้ึนพระมหานครศรีอะยุทธยา เจ้าพญา มหากระษัตรศึก จ่ึงใหก้ องพญาเพช็ บูรกาำ กับทบั เมืองหลวงพระบาง เขา้ ตตี า้ นเหนอื เมอื ง แล้วยกทับใหญ่ไปตเี มือง พโคแลเวยี งคกุ ๑๑ ตง้ั คา่ ยลอ้ มไวท้ ง้ั สองเมอื ง เจา้ เมอื งขบั พลทหารออกไปตอ่ รบเปนสามารถจะเขา้ หกั เอาเมอื งยงั มิได้ ๏ ฝา่ ยเจา้ พญาสรุ ศรเี ขา้ ตงั้ อยู่ ณะ เมอื งหนองคา่ ย ใหต้ ดั ศศี ะลาวชาวเมอื งเปนอนั มาก เอาศศี ะลงใส่ในเรอื แล้วให้หญิงลาวคอนเรือข้ึนไป ให้ร้องขายศีศะลาวที่หน้าเมืองพโค ชาวเมืองเหนก็มีใจทดท้อย่อหย่อนลง ทับ ไทก็เข้าหักเอาเมืองพโคแลเวียงคุกได้ทังสองเมือง เจ้าพญามหากระษัตรศึกจึ่งให้ยกทับใหญ่มาตีเมืองพาน พร้าว๑๒ซ่ึงตั้งอยู่ฟากฝ่ังตวันตกตรงหน้าเมืองล้านช้างข้าม๑๓ ชาวเมืองต่อรบเปนสามารถ พลทหารไทเข้าปีน ปล้นเอาเมืองได้ ฆ่าลาวล้มตายเปนอันมาก แล้วให้ทับเรือรับกองทับทังปวงข้ามไปฟากตวันออกพร้อมกัน เข้า ต้ังค่ายล้อมเมืองล้านช้าง๑๔ พระเจ้ากรุงศรีสัตะนาคนะหุด ก็เกนพลทหารขึ้นประจำารักษาหน้าที่เชีงเทีนรอบ เมือง ป้องกรรเมืองเปนสามารถ แล้วให้จ้าวนันทเสนราชบุตรขี่ช้างพลายคำาเพียงอกสูงหกสอกสามน้ิว คุมพล ทหารยกออกจากเมือง มาตีทับไทซึ่งต้ังค่ายล้อมอยู่ด้านข้างท้ายเมืองน้ัน พลทหารไทยกออกตีทับจ้าวนันทเสน ๙ แกง่ หลผ่ี ี ปจั จบุ นั อยู่ในแขวงจา� ปาศกั ด์ิ สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ๑๐ แมน่ า�้ โขง ๑๑ ปจั จบุ นั อยู่ในจงั หวดั หนองคาย ๑๒ ปจั จบุ นั อย่ใู นอา� เภอศรเี ชยี งใหม่ จงั หวดั หนองคาย ๑๓ อยตู่ รงขา้ มกบั เมอื งเวยี งจนั ทน์ ๑๔ คอื เมอื งเวยี งจนั ทน์ ปจั จบุ นั คอื เมอื งหลวงของสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
๘๒ I อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั ศาลหลักเมอื ง อา� เภอดอนมดแดง จงั หวดั อบุ ลราชธานี
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๘๓ แตกพ่ายกลับเข้าเมือง พลลาวล้มตายเปนอันมาก แต่รบกันอยู่ถึ่ง ศาลหลกั เมอื ง อ�าเภอดอนมดแดง สี่เดือนเศศ พระเจ้ากรุงศรีสัตะนาคนะหุดเหนเหลือกำาลังจะต่อรบ จังหวัดอุบลราชธานี ต้านธารทบั ไทมิได้กท็ ง้ิ เมืองเสยี ภาจ้าวอนิ ท์ จา้ วพรหมราชบุตร แล ขา้ หลวงคนสนทิ ลอบลงเรอื หนีไป ณะ เมอื งคาำ เกดี อนั เปนเมอื งขนึ้ แก่ เมอื งลา้ นชา้ ง กองทบั ไทกเ็ ขา้ เมอื งได้จบั ไดต้ วั จา้ วอปุ ฮาชจา้ วนนั ทเสน แลราชบุตรบุตรีวงษานุวงษ์ชแม่สนมกำานัล แลขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย ทงั ปวง กบั ทงั ทรพั ยส์ ง่ิ สนิ แลเครอ่ื งสรรพสาตราวธุ ปนื ใหญน่ อ้ ยเปน อันมาก เจ้าพญามหากระษัตรศึกให้กวาดขนข้ามมาไว้ ณะ เมือง พานพร้าวฟากตวันตก กับทังครอบครัวลาวชาวเมืองทังปวง แล้ว ให้อัญเชีญพระพุทธปฎิมากรแก้วมรกฎ แลพระบาง ซ่ึงสถิตย์อยู่ ณะ พระวหิ าร๑๕ในวงั พระเจา้ ลา้ นชา้ งนนั้ ๑๖* อาราทธนาลงเรอื ขา้ มฟาก มาประดิษถานไว้ ณะ เมืองพ้านพราวด้วย แล้วให้ส้างพระอาราม ขนึ้ ใหม่ ณะ เมอื งพา้ นพราวอารามหน่งึ แลแต่งให้ขนุ นางไทลาวไป เกล้ยี กล่อมหัวเมอื งลาวทงั ปวงฝา่ ยตวันออกไดส้ ิ้น แลว้ แต่งหนังสอื บอกให้ขุนหมื่นมีช่ือถือลงมายังกรุงธนบูรี กราบทูลข้าราชการซ่ึงตี กรงุ ศรสี ตั ะนาคนะหดุ ไดส้ าำ เรจแ์ ลว้ ไดท้ งั พระพทุ ธปฎมิ ากรแกว้ มรกฎ แตพ่ ระเจา้ ล้านชา้ งน้ันหนีไปไม่ได้ตัว...” หลังจากสงครามคราวนี้กรุงธนบุรีได้เมืองเวียงจันทน์ เมอื งหลวงพระบาง และเมอื งนครจ�าปาศักด์เิ ป็นประเทศราช ๑๕ วหิ ารพระแกว้ มรกต เมอื งเวยี งจนั ทน์ ๑๖ *จบหนา้ ตน้ เรม่ิ หนา้ ปลาย
๘๔ I อุบลราชธานศี รวี นาลัย หว้ ยแจระแมในปจั จุบนั อ�าเภอเมอื งอบุ ลราชธานี ๔ จังหวัดอุบลราชธานี พระประทุม (ทา้ วคาำ ผง) กับการต้ังบา้ นห้วยแจระแม ต่อมาท้าวค�าผงบุตรของพระตา ได้นางตุ่ยบุตรเจ้าอุปราชธรรมเทโวเมืองจ�าปาศักด์ิ เป็นภรรยา เจ้าไชยกุมารเห็นว่าท้าวค�าผงมาเป็นเขยและมีผู้คนครอบครัวบ่าวไพร่มาก จึงให้ต้ังท้าวค�าผงบุตรชายคนโตของพระตาเป็นพระประทุมสุรราชนายกองใหญ่ ควบคุมผู้คน ครอบครัวของตนตั้งอยู่ท่ีบ้านเวียงดอนกอง หรือบ้านเวียงฆ้อนกลอง แขวงเมืองจ�าปาศักด์ิ (บา้ นด่บู ้านแก ปัจจบุ นั อยู่ในเมืองโพนทอง สาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว) ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๒๔ ประเทศกัมพูชาเกิดการจลาจล สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช) และเจ้าพระยาสุรสีห์ (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท) พร้อมกับสมเด็จ พระเจ้าลูกเธอ กรมขุนอินทรพิทกั ษ์ เป็นแมท่ ัพไปปราบจลาจลในกมั พชู า เวลานั้นพระประทุม (ท้าวค�าผง) ท้าวฝ่ายหน้า เจ้าพรหม และเจ้าค�าสิงห์ (บุตรท้าวฝ่ายหน้า) ได้คุมไพร่พลเข้าร่วมในกองทัพของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทพั ไปกรุงกมั พูชาด้วย แต่เพราะเหตกุ รงุ ธนบรุ เี กดิ จลาจล สมเดจ็ เจ้าพระยามหากษัตรยิ ์ศึก จึงยกทพั กลบั มากรุงธนบรุ ี พระประทมุ (ทา้ วคา� ผง) ได้โดยเสดจ็ ในการสงครามนนั้ ด้วย๑๗ จึง นับเน่ืองเป็นข้าหลวงเดมิ ท่ีมคี วามดีความชอบ ใน พ.ศ. ๒๓๒๙ พระประทุมสุรราชนายกองใหญ่ได้ย้ายเมืองไปอยู่ท่ีห้วยแจระแม ปัจจบุ นั คือ บ้านท่าบ่อ อา� เภอเมอื งอุบลราชธานี ดงั ปรากฏความในพงษาวดารหัวเมืองมณฑล อีสานวา่ “....ภายหลังเมื่อจุลศักราช ๑๑๔๘ ปีมะเมีย พระประทุมจึ่งได้ย้ายมาตั้งอยู่ ณ ตาำ บลห้วยแจะละแม๊ะ คือตำาบลซึง่ ตง้ั อยู่ทิศเหนือเมืองอุบลบัดน้ี...”๑๘ ๑๗ เตมิ วภิ าคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สา� นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๕๗), หนา้ ๙๙. ๑๘ “พงษาวดารหวั เมอื งมณฑลอสี าน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕), หนา้ ๓๐๔.
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I ๘๕
๓ เจ้าเมอื ง อุบลราชธานีศรีวนาลยั
หอไตร วดั ทงุ่ ศรเี มอื ง ตำ� บลในเมือง อำ� เภอเมอื งอบุ ลรำชธำนี จังหวัดอบุ ลรำชธำนี
88 I อุบลราชธานศี รวี นาลยั เมอื งอบุ ลรำชธำนีศรีวนำลยั เป็นเมืองประเทศรำชของไทยทต่ี งั้ ขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๓๕ ในแผน่ ดนิ พระบำทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช มีเจ้ำเมืองซึ่งมีฐำนะเป็นเจ้ำประเทศรำชรวม ๔ คน เจ้ำเมืองคนแรกคือ พระประทุมวรรำชสุริยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) ซึ่งเป็นผู้ตั้งเมืองอุบลรำชธำนีศรีวนำลัย ประเทศรำช ทีห่ ว้ ยแจระแม จำกนนั้ จึงยำ้ ยมำอยู่ที่บ้ำนดงอู่ผงึ้ ซ่ึงเปน็ ท่ตี ้ังของเมอื งอบุ ลรำชธำนีปจั จบุ นั จำกนั้นไดม้ ีเจำ้ เมืองสืบตอ่ มำอีก ๓ คน ตรงกบั ตั้งแต่รัชกำลที่ ๑ – ๕ ของกรงุ รัตนโกสินทร์ คอื พระพรหมวรรำชสุรยิ วงศ์ (ท้ำวพรหม) พระพรหมวรรำชสรุ ยิ วงศ์ (ท้ำวกทุ อง) และเจ้ำเมืองอบุ ลรำชธำนี ซงึ่ มฐี ำนะเป็นเมืองประเทศรำชคนสุดท้ำยคอื เจำ้ พรหมเทวำนุเครำะห์วงศ์ (เจ้ำหน่อคำ� ) จำกนั้นไม่มีกำรตั้ง เจ้ำเมืองอุบลรำชธำนีอีก ข้ำหลวงและครอบครวั ที่เมอื งอุบลรำชธำนี เจ้ำนำงทองพัน (ณ จ�ำปำศักดิ์) บุตโรบล (ลำ� ดบั ที่ ๔ จำกซำ้ ย) ภรยิ ำ ร.ท. พระอบุ ลกจิ ประชำกร (บุญเพง็ บุตโรบล) (ลำ� ดบั ท่ี ๑ จำกซ้ำย) สวมเส้อื ฝรง่ั แบบเอ็ดวำเดียนตำมอยำ่ งควำมนิยมในรำชสำ� นักสยำม แต่นุง่ ซ่นิ ไหมค�ำตอ่ ตีนตวยแบบอญั ญำนำงเมืองอุบลฯ
อุบลราชธานีศรีวนาลยั I 89 สภำพภูมปิ ระเทศ เมอื งอบุ ลรำชธำนีในอดตี
90 I อุบลราชธานีศรีวนาลยั
อบุ ลราชธานศี รวี นาลยั I 9๑ ขำ้ หลวงสำ� รวจเพ่อื จดั ทำ� แผนที่เมอื งอุบลรำชธำนี
9๒ I อุบลราชธานีศรวี นาลัย ๑ พระประทมุ วรราชสุรยิ วงศ์ (ท้าวค�าผง) เจ้าเมอื งอบุ ลราชธานอี งคแ์ รก พระประทุมวรรำชสุรยิ วงศ์ นำมเดมิ วำ่ ท้ำวคำ� ผง เปน็ บตุ รของเจ้ำพระตำ ต่อมำได้เปน็ พระประทมุ สุรรำช นำยกองคมุ ไพรพ่ ลอยทู่ เี่ วยี งดอนกอง(บำ้ นดบู่ ำ้ นแก เมอื งจำ� ปำศกั ด)์ิ ตอ่ มำใน พ.ศ. ๒๓๓๔ อำ้ ยเชยี งแกว้ แขวงเมอื งโขง (สีทันดร) ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ เห็นว่ำ เจ้ำไชยกุมำรเจ้ำเมืองจ�ำปำศักด์ิป่วยหนัก จึงคิดเป็นขบถยกทัพมำล้อม เมอื งจำ� ปำศกั ด์ิไว้ เจำ้ ไชยกมุ ำรทรำบข่ำวศึกมำลอ้ มเมืองกต็ กใจอำกำรปว่ ยกำ� เริบข้นึ ถึงแกพ่ ิรำลยั อำยุได้ 8๑ ปี ครองเมืองจำ� ปำศกั ดิ์ได้ ๕๓ ปี กองทัพอำ้ ยเชยี งแกว้ จึงตเี มอื งจ�ำปำศักดิ์ได้ ควำมทรำบถงึ กรงุ เทพฯ พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟำ้ จฬุ ำโลกมหำรำชจงึ ทรงพระกรณุ ำโปรดเกลำ้ ฯ ให้ เจ้ำพระยำนครรำชสีมำ (ทองอิน) เมื่อยังเป็นพระพรหมยกกระบัตรยกทัพไปปรำบอ้ำยเชียงแก้ว แต่พระพรหม ยกกระบตั รยงั ยกทัพไปไม่ถึง เวลำน้ันพระประทุมสรุ รำชบำ้ นหว้ ยแจระแม (จงั หวัดอุบลรำชธำน)ี กับทำ้ วฝำ่ ยหน้ำ ซึง่ ตัง้ อยูท่ ่บี ้ำนสงิ ท่ำ (จงั หวดั ยโสธร) จงึ ยกทัพไปปรำบอำ้ ยเชียงแก้ว ดงั ควำมในพงษำวดำรหัวเมอื งมณฑลอีสำนว่ำ “...ฝ่ายพระประทุมสุรราชบ้านห้วยแจละแมผู้พ่ี กับท้าวฝ่ายน่าซ่ึงไปต้ังอยู่บ้านสิงทา (คือเป็นเมืองยโสธร เดี๋ยวนี้) ผู้น้อง จ่ึงพากันยกก�าลังไปตีอ้ายเชียงแก้วๆ ยกกองทัพออกต่อสู้ท่ีแก่งตะนะ (อยู่ในล�าน้�ามูลแขวงเมือง พิมูลบัดน้)ี กองทพั อา้ ยเชยี งแกว้ แตกหนี ทา้ วฝา่ ยนา่ จบั ตวั อา้ ยเชยี งแกว้ ไดใ้ หฆ้ า่ เสยี แลว้ พอกองทพั เมอื งนครราชสมิ า ยกไปถงึ กพ็ ากนั ไปเมอื งจา� ปาศกั ดิ แลพากนั เลยไปตพี วกขา่ ชาตกิ ระเสงสวางจะรายระแดร์ ซง่ึ ตงั้ อยฝู่ ง่ั โขงตะวนั ออก จับไดม้ าเป็นอันมาก จงึ่ ได้มีไพร่ข่า แลประเพณีตขี ่ามาแตค่ ร้งั น้ัน
อบุ ลราชธานีศรีวนาลยั I 9๓ อนสุ ำวรียพ์ ระประทมุ วรรำชสรุ ิยวงศ์ (ท้ำวคำ� ผง) เจำ้ เมืองอุบลรำชธำนีองคแ์ รก
9๔ I อุบลราชธานีศรีวนาลัย แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังท้าวฝ่ายน่าบุตรพระตาผู้มีความชอบ เป็นเจ้าพระวิไชยราชขัติยวงษา ครองเมือง จ�าปาศกั ดิ โปรดใหเ้ จ้าเชษฐ เจา้ นขู ึ้นไปชว่ ยราชการอยดู่ ้วย เจ้าพระวิไชยราช จ่งึ ไดย้ ้ายเมอื งขน้ึ มาตงั้ อยู่ทางเหนือ คอื ทเี่ รียกวา่ เมอื งเกา่ คันเกงิ ณ บัดน้.ี ..”๑ จำกนน้ั พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟำ้ จฬุ ำโลกมหำรำช จงึ โปรดเกลำ้ ฯ ใหส้ ถำปนำพระประทมุ สรุ รำช(คำ� ผง) เปน็ “พระประทมุ รำชสรุ ิยวงศ์” ครองเมอื งอบุ ลรำชธำนศี รีวนำลยั ประเทศรำช ดังปรำกฏหลักฐำนในจดหมำยเหตุ เร่ืองทรงต้งั เจ้ำประเทศรำชคร้ังกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รัชกำลที่ ๑ ว่ำ “...ด้วยพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเจ้ าอย่หู วั ผู้ผา่ นพิ ภพกรุงเทพพระมหานครศรอี ยุธยา มีพระราชโองการ โปรดเกลา้ ฯ ตัง้ ใหพ้ ระประทุมเปน็ พระประทุมวรราชสรุ ยิ วงศ์ ครองเมอื งอุบลราชธานีศรวี นาลยั ประเทศราช เศกให้ ณ วันจนั ทร์ เดือน ๘ แรม ๑๓ ค�่า จุลศักราช ๑๑๕๔ ปชี วด จตั วาศก...” พระประทมุ วรรำชสุริยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) เห็นวำ่ หว้ ยแจระแมไมเ่ หมำะทีจ่ ะขยำยบ้ำนเมอื งต่อไปได้จงึ ให้ยำ้ ย เมอื งจำกหว้ ยแจระแม (ทำ่ บอ่ ) มำอยทู่ บี่ ำ้ นดงอผู่ งึ้ ซงึ่ เปน็ ทต่ี ง้ั เมอื งอบุ ลรำชธำนีในปจั จบุ นั สว่ นอปุ ฮำดได้ไปตง้ั บำ้ น อยู่ท่ชี ที วนซึง่ ปัจจบุ ันอยุ่ในอ�ำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลรำชธำนี ดังควำมในพงษำวดำรหวั เมืองมณฑลอีสำนว่ำ “...โปรดเกลา้ ฯ ตง้ั ใหพ้ ระประทมุ สรุ ราช(คา� ผง) เปน็ เจา้ เมอื ง ยกบา้ นหว้ ยแจละแมขนึ้ เปน็ เมอื งอบุ ลราชธานี (ตามนามพระประทุม) ข้ึนกรงุ เทพฯ ท�าส่วยผ้งึ ๒ เลข ต่อเบย้ี น้า� รกั ๒ ขวด ต่อเบี้ย ปา่ น ๒ เลข ตอ่ ขวด พระประทมุ จ่งึ ยา้ ยเมอื งมาตั้งอย่ทู ่ตี า� บลบา้ นรา้ ง รมิ ลา� พมลู ใต้หว้ ยแจละแมประมาณทาง ๑๒๐ เสน้ คือ ที่ซ่งึ เปน็ เมืองอุบลเด่ียวน้ี...” ๒ นอกจำกนี้ยังโปรดเกล้ำฯ ให้ท้ำวก่�ำ (บุตรพระวอ) เป็นอุปฮำด ให้ท้ำวแก่นเป็นรำชวงศ์ ให้ท้ำวบุต (บตุ รทำ้ วสสี รุ ำช พช่ี ำยทำ้ วสีหำรำช (พลสุข) บตุ รทำ้ วโคตหลำนเจ้ำพระตำ) เปน็ รำชบุตร๓ ๑ “พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓08. ๒ เรอ่ื งเดยี วกนั , หนำ้ ๓08. ๓ เตมิ วภิ ำคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร,์ ๒๕๕๗), หนำ้ ๑0๑.
อุบลราชธานศี รวี นาลยั I 9๕ พระเจำ้ ใหญอ่ งคห์ ลวง อ�ำเภอเมืองอุบลรำชธำนี จังหวัดอบุ ลรำชธำนี
96 I อุบลราชธานีศรวี นาลัย อนุสำวรีย์พระประทุมวรรำชสรุ ิยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) และวหิ ำรพระเจ้ำใหญอ่ งคห์ ลวง วดั หลวง อ�ำเภอเมืองอบุ ลรำชธำนี จงั หวดั อุบลรำชธำนี
อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั I 9๗
98 I อบุ ลราชธานีศรวี นาลยั เม่ือย้ำยเมืองอุบลรำชธำนีศรีวนำลัยประเทศรำชมำอยู่ที่ บำ้ นดงอู่ผง้ึ แล้ว พระประทมุ วรรำชสรุ ิยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) ได้สรำ้ งวดั แหง่ แรกในเมอื งอบุ ลรำชธำนมี ชี อื่ วำ่ วดั หลวง แลว้ ไดส้ รำ้ งพระพทุ ธรปู ไวด้ ว้ ย ปจั จบุ นั คอื วดั หลวงจงั หวดั อบุ ลรำชธำนี ดงั ควำมในพงษำวดำร หวั เมอื งมณฑลอีสำนว่ำ “...แลได้สรา้ งวดั หลวงขึน้ วดั หนงึ่ ...” ๔ สำ� หรบั อำณำเขตของเมอื งอบุ ลรำชธำนศี รวี นำลยั ประเทศรำช ในเวลำนนั้ ปรำกฏในพงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอีสำนวำ่ “...เขตแดนเมืองอบุ ลมีปรากฏในเวลานัน้ ว่า ทิศเหนือถงึ นา�้ ยงั ตกลา� นา�้ พาชีไปยอดบงั อ่ี ตามลา� บงั อี่ไปถึงแกง่ ตะนะ ไปภูจอกอ ไปช่องนาง ไปยอดห้วยอะลีอะลองตัดไปดงเปื่อย ไปสระดอกเกษ ไปตามลา� กะยงุ ตกลา� นา�้ มลู ปนั ใหเ้ มอื งสพุ รรณภมู ิ ฝา่ ยเหนอื หนิ สลิ า เลขหนองกองแกว้ ตีนภเู ขยี ว ทางใตป้ ากเสียวตกล�าน้า� มลู ยอดห้วย กากวากเก่ียวชีปันให้เมืองขุขันธ์ แต่ปากห้วยทัพทันตกมูลถึง ภูเขาวงก์...”๕ พระประทุมวรรำชสุริยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) เป็นเจ้ำเมือง อุบลรำชธำนศี รวี นำลยั ประเทศรำช เป็นเวลำ ๓ ปถี ึง พ.ศ. ๒๓๓8 พระประทุมวรรำชสุริยวงศ์ (ท้ำวค�ำผง) ถึงแก่กรรมเมื่อวันพุธ เดือน ๑๒ ขนึ้ ๓ คำ่� จลุ ศักรำช ๑๑๕๗ สัปตศก ตรงกับวันท่ี ๑๕ ตุลำคม พทุ ธศักรำช ๒๓๓8 มีบตุ รชำยหญงิ รวม ๗ คน คือ ท้ำวโท ท้ำวทะ ทำ้ วกทุ อง นำงพิมพ์ (หรือพมิ พำ) นำงค�ำ นำงค�ำสิงห์ และ นำงจำ� ปำ6 พระประธำนในพระอโุ บสถวัดหลวง จังหวัดอุบลรำชธำนี ๔ “พงษำวดำรหวั เมอื งมณฑลอสี ำน,” ประชมุ พงศาวดาร ฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๙ (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓08. ๕ เรอ่ื งเดยี วกนั , (กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปำกร, ๒๕๔๕), หนำ้ ๓09. 6 เตมิ วภิ ำคยพ์ จนกจิ , ประวตั ศิ าสตรอ์ สี าน (กรงุ เทพฯ: สำ� นกั พมิ พม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร,์ ๒๕๕๗), หนำ้ ๑0๒.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316