บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 39 คมู ือครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 การประยกุ ตของลาํ ดับและอนกุ รม กจิ กรรม : ออมกอ นรวยกวา จดุ มุงหมายของกจิ กรรม กิจกรรมนี้ใชเพื่อใหนักเรียนฝกแกปญหาเกี่ยวกับเงินรวมเม่ือส้ินงวดที่ n ใน สถานการณท ่กี าํ หนดให โดยใชความรูเก่ียวกบั ผลบวกยอย n พจนแรกของอนุกรมเรขาคณิต แนวทางการดาํ เนนิ กจิ กรรม 1. ครูจับคนู กั เรียนแบบคละความสามารถ แลวใหน กั เรยี นแตล ะคูอ า นสถานการณตอไปน้ี วิภาวีฝากเงิน 10,000 บาท เปนประจําทุกวันที่ 1 ตุลาคม โดยเร่ิมฝากคร้ังแรก เม่ือวันท่ี 1 ตุลาคม 2550 และธนาคารคิดดอกเบี้ยแบบทบตนรอยละ 2 ในวันที่ 30 กนั ยายน ของทุกป 2. จากสถานการณในขอ 1 ครูใหนกั เรียนพจิ ารณาวา ณ วนั ท่ี 30 กนั ยายน 2580 วิภาวีจะ มเี งินตน รวมจากการฝากเงนิ ทั้งหมดเทา ใด แนวคาํ ตอบ เน่อื งจาก วิภาวีเร่ิมฝากเงนิ ในวนั ท่ี 1 ตลุ าคม 2550 และฝากเปนประจําทุกปใ น วนั ที่ 1 ตุลาคม จนกระทัง่ ถึงวันท่ี 30 กันยายน 2580 นนั่ คือ วิภาวีฝากเงินงวดสุดทายในวันที่ 1 ตุลาคม 2579 จะไดวา วภิ าวีจะตอ งฝากเงนิ ท้ังหมด 30 งวด ดงั นนั้ จํานวนเงินตนรวมของวภิ าวี คอื 30×10,000 =300,000 บาท สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 40 คมู ือครรู ายวิชาเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 3. ครใู หน กั เรียนอา นสถานการณตอ ไปน้ี วิภาวรรณเปนนองสาวฝาแฝดของวิภาวี วางแผนจะเร่ิมฝากเงินจํานวนหน่ึงในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 และจะฝากเงินจํานวนดังกลา วเปน ประจําทุกป ในวนั ท่ี 1 ตลุ าคม โดยธนาคารจะคดิ ดอกเบยี้ แบบทบตน รอ ยละ 2 ในวันที่ 30 กันยายน ของทกุ ป 4. จากสถานการณในขอ 3 ครใู หนกั เรยี นพิจารณาวา วิภาวรรณตองฝากเงินปล ะเทาใด จงึ จะมีเงินตน รวม ณ วันที่ 30 กนั ยายน 2580 เทากับเงนิ ตนรวมของวภิ าวที ่ีไดใ นขอ 2 แนวคําตอบ เนือ่ งจาก วิภาวรรณเริ่มฝากเงินในวนั ที่ 1 ตุลาคม 2565 และฝากเปนประจําทุกป ในวันท่ี 1 ตุลาคม จนกระทัง่ ถงึ วันท่ี 30 กนั ยายน 2580 น่นั คอื วภิ าวฝี ากเงินงวดสดุ ทา ยในวันที่ 1 ตลุ าคม 2579 จะไดว า วภิ าวีจะตอ งฝากเงนิ ทัง้ หมด 15 งวด เนื่องจาก จํานวนเงินตน รวมของวิภาวี คอื 300,000 บาท ดงั น้นั วิภาวรรณตอ งฝากเงนิ ปล ะ 300,000 ÷15 =20,000 บาท 5. จากขอ 1 – 4 ครใู หน ักเรยี นคาดการณว า ณ วนั ที่ 30 กันยายน 2580 วภิ าวีหรือวภิ าวรรณ จะมเี งินรวมมากกวา แนวคําตอบ ในขอนี้นักเรียนอาจยังไมไดคําตอบท่ีถูกตอง แตครูควรสงเสริมใหนักเรียนให เหตุผลประกอบคําตอบ เชน • วิภาวรรณจะมีเงินรวมมากกวา เน่ืองจาก ในแตละปที่วิภาวรรณฝากเงินมากกวา วิภาวี 2 เทา • วิภาวีจะมีเงินรวมมากกวา เนื่องจาก วภิ าวฝี ากเงินนานกวา และเปน การคิดดอกเบี้ย แบบทบตน • ท้ังสองคนมีเงินรวมเทากัน เน่ืองจากทั้งสองคนมีเงินตนเทากัน และธนาคารให ดอกเบ้ียเทากัน สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 41 คูมือครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 6. จากขอ 1 และ 2 ครูใหน กั เรียนหาเงนิ รวมของวิภาวี ณ วันที่ 30 กนั ยายน 2580 6.1 เขียนแผนภาพแสดงการฝากเงนิ ของวภิ าวี แนวคําตอบ 6.2 จากขอ 6.1 จงเขียนอนุกรมแสดงเงินรวมของวิภาวี ณ วันท่ี 30 กันยายน 2580 พรอ มทง้ั ระบพุ จนท ่ี 1 และอตั ราสว นรวมของอนุกรมที่ได แนวคําตอบ อนุกรมแสดงเงินรวมทั้งหมดของวิภาวี ณ วันท่ี 30 กันยายน 2580 คือ 10000(1.02) +10000(1.02)2 + + 10000(1.02)30 โดยอนุกรมนมี้ ีพจนท ่ี 1 คอื 10,000(1.02) และอตั ราสวนรว ม คือ 1.02 6.3 จากขอ 6.2 จงหาเงินรวมโดยประมาณของวภิ าวี ณ วันท่ี 30 กันยายน 2580 โดย ใชค วามรูเกยี่ วกบั ผลบวก n พจนแ รกของอนกุ รมเรขาคณติ แนวคําตอบ ( )Sn จาก = a1 1− rn 1− r ( )=จะได S30 (10,000(1.02)) 1− (1.02)30 ≈ 413,794.41 1 − 1.02 ดงั นัน้ เงินรวมของวภิ าวี ณ วนั ที่ 30 กันยายน 2580 คือ ประมาณ 413,794.41 บาท สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 42 คูม ือครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 7. จากขอ 3 และ 4 ครใู หนักเรยี นหาเงินรวมของวภิ าวรรณ ณ วนั ท่ี 30 กันยายน 2580 7.1 เขยี นแผนภาพแสดงการฝากเงนิ ของวภิ าวรรณ แนวคาํ ตอบ 7.2 จากขอ 7.1 จงเขียนอนุกรมแสดงเงินรวมของวิภาวรรณ ณ วันที่ 30 กันยายน 2580 พรอมท้ังระบพุ จนท่ี 1 และอตั ราสวนรวมของอนุกรมทไี่ ด แนวคําตอบ อนุกรมแสดงเงินรวมท้ังหมดของวิภาวรรณ ณ วันท่ี 30 กันยายน 2580 คือ 20000(1.02) + 20000(1.02)2 + + 20000(1.02)15 โดยอนกุ รมนม้ี พี จนท ี่ 1 คอื 20,000(1.02) และอตั ราสว นรวม คอื 1.02 7.3 จากขอ 7.2 จงหาเงินรวมโดยประมาณของวิภาวรรณ ณ วันท่ี 30 กันยายน 2580 โดยใชความรูเกีย่ วกบั ผลบวก n พจนแ รกของอนุกรมเรขาคณติ แนวคาํ ตอบ ( )Sn จาก = a1 1− rn 1− r ( )=จะได S15 (20,000(1.02)) 1− (1.02)15 ≈ 352,785.71 1 − 1.02 ดงั นัน้ เงินรวมของวิภาวรรณ ณ วันที่ 30 กันยายน 2580 คือ ประมาณ 352,785.71 บาท สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 43 คูม อื ครรู ายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 8. จากขอ 6 และ 7 ครูใหนักเรยี นพจิ ารณาวา วภิ าวหี รอื วิภาวรรณจะมเี งนิ มากกวากนั ณ วันที่ 30 กันยายน 2580 แนวคําตอบ วิภาวจี ะมีเงินมากกวา 9. จากขอ 6, 7 และ 8 ครูสรุปวา ถงึ แมว าวภิ าวแี ละวภิ าวรรณมเี งินตน เทากัน และธนาคาร ใหดอกเบ้ียเทากัน แตเนื่องจากการใหดอกเบ้ียของธนาคารเปนแบบทบตน และวิภาวี เรม่ิ ตนฝากเงินในธนาคารกอนวิภาวรรณ (วิภาวีฝากเงินในธนาคารนานกวาวิภาวรรณ) จะไดวาจํานวนคร้ังทีธ่ นาคารคิดดอกเบี้ยใหกับเงินฝากของวภิ าวีมากกวา วภิ าวรรณ จึง สง ผลใหว ภิ าวีไดดอกเบีย้ จากธนาคารมากกวา วภิ าวรรณ ประเด็นสําคัญเก่ียวกบั เนอื้ หาและสง่ิ ท่ีควรตระหนกั เกีย่ วกบั การสอน • ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนใชเครื่องคํานวณชวยในการคํานวณเพ่ือแกปญหาเก่ียวกับ การประยกุ ตข องลําดับและอนกุ รม ทง้ั นี้ ครูควรเนนกระบวนการหาคาํ ตอบของนักเรียน มากกวาคําตอบสุดทาย ซงึ่ คําตอบสุดทายของนักเรียนอาจประมาณเปนจํานวนเต็มหนวย กไ็ ด โดยคํานึงถึงความสมเหตสุ มผลของคําตอบ • การประยุกตของลําดับและอนุกรมในบทนี้จะมีตัวอยางที่เกี่ยวของกับการเงิน ซึ่งครูไม ควรละเลยการสอนเน้ือหาดังกลาว เน่ืองจากเปนเนื้อหาท่ีสอดคลองกับชีวิตจริง ในหวั ขอการประยกุ ตของลาํ ดบั และอนกุ รม r จะแทนอตั ราดอกเบีย้ แบบทบตน ตอปซึ่ง แตกตางจาก r ที่เปนอัตราสวนรวมท่ีกลาวถึงในหัวขอลําดับเรขาคณิตหรืออนุกรม เรขาคณติ • ครคู วรสนบั สนุนใหนักเรียนเขียนแผนภาพประกอบการแกปญ หาเกยี่ วกับมูลคาปจจุบัน มลู คาอนาคต และคา งวด สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 44 คมู ือครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 • ครูควรเนนยํ้าใหนักเรียนเห็นความสําคัญของการตรวจสอบเง่ือนไขใหถูกตองกอนนํา สูตรมาใชเสมอ เชน ในการกลาวถึงดอกเบี้ยทบตน (ตามทฤษฎีบท 9) มูลคาปจจุบัน และมูลคาอนาคตนั้น อัตราดอกเบี้ย i% จะเปนอัตราดอกเบ้ียตอป แตในการกลาวถึง คา งวดน้นั i% จะเปน อตั ราดอกเบี้ยตองวด • “เม่ือส้ินปที่ n” ตามทฤษฎบี ท 9 มีความหมายเชนเดียวกับ “ครบ n ป” ตามทฤษฎีบท 10 • การกลาวถึงการรับหรือจายคางวดในโจทยในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 ตองมีขอมูลครบท้ัง 3 ประการ คือ รับหรือจายเทากันทุก งวด รับหรือจา ยตดิ ตอ กันทกุ งวด และรบั หรอื จา ยตอนตน งวดหรือส้ินงวด • จากแผนภาพแสดงคางวดแตละงวดที่รับหรือจายตอนตนงวด จะไดวา “งวดท่ี” อยู ระหวางตัวเลขท่อี ยูแถวบนสดุ ของแผนภาพ ดงั รูป สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 45 คมู อื ครูรายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 และสําหรับแผนภาพแสดงคางวดแตละงวดที่รับหรือจายตอนส้ินงวด จะไดวา “งวดท”่ี อยรู ะหวางตวั เลขทีอ่ ยแู ถวบนสดุ ของแผนภาพเชนเดียวกัน ดังรปู • ตัวอยา งสถานการณในชีวิตจริงที่เกยี่ วกับคางวดท่ีจา ยหรือรับตอนตนงวด คอื การฝากเงิน ในธนาคารแบบประจํา 24 เดือน และท่ีเก่ียวกับคางวดที่จายหรือหรือรับตอนสิ้นงวด คือ การผอนคาบาน อยางไรก็ตาม ครูไมควรยกตัวอยางการผอนคาบานใหนักเรียนหา คําตอบ เน่ืองจากบานมีราคาสูง และตองใชเวลาในการผอนหลายงวด จึงไมสะดวกใน การเขียนแผนภาพและการหาคาํ ตอบ • นักเรียนไมจําเปนตองจําสูตรการหาเงินรวมตอนตนงวดและส้ินงวด เน่ืองจากสามารถ คาํ นวณหาเงินรวมตอนตนงวดและสิ้นงวดไดจากสูตรการหาผลบวกของอนุกรมเรขาคณิต • การหาคาประมาณของทศนิยมเพ่อื ตอบคําถามของโจทยป ญหาในหัวขอน้ี ตองพจิ ารณา ความสอดคลองกบั บริบททีโ่ จทยกําหนดดว ย สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนุกรม 46 คมู ือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 ประเดน็ สําคญั เกย่ี วกับแบบฝกหัด • การหาคําตอบของแบบฝกหัด 1.5 ขอ 1 2) ซ่ึงตองมีการแกสมการ (1.04)n = 3 น้ัน อาจใชความรูเก่ียวกับสมบัติของลอการิทึมในการแกสมการเอกซโพเนนเชียล ซ่ึงทําได ดังน้ี จาก (1.04)n = 3 จะได n = log1.04 3 n = log 3 log1.04 n ≈ 28.01 ดงั นนั้ จะตองฝากเงนิ ครบ 29 ป จึงจะมเี งินเพ่มิ ขึน้ อยางนอยสามเทาของเงินตน นอกจากนี้ นกั เรียนอาจใชการหาคาประมาณของเลขยกกําลังท่ีมีเลขช้กี าํ ลังเปนจํานวน เต็มบวก ซ่ึงจะสังเกตไดวา (1.04)28 ≈ 2.9987 และ (1.04)29 ≈ 3.1187 แตเนื่องจาก n แทนจํานวนปท่ีนอยท่ีสุดท่ีจะทําใหมีเงินเพ่ิมข้ึนเปนอยางนอยสามเทาของเงินตน ดังน้ัน n = 29 จึงเปน คาํ ตอบของโจทยป ญหาขอนี้ • การฝากเงินตามเงื่อนไขในแบบฝกหัด 1.5 ขอ 9 น้ัน จะตองพิจารณาเงินที่ฝากเมื่อสิ้น ไตรมาสที่ 4 ของปท ่ี 4 ดว ย • การหาพจนที่ขาดหายไปของลําดับเลขคณิตหรือลําดับเรขาคณิตที่กําหนดใหใน แบบฝกหัดทายบท ขอ 16 ตองตรวจสอบท้ังลําดับเลขคณิตและลําดับเรขาคณิต เนอื่ งจากบางลําดบั เปน ทงั้ ลาํ ดบั เลขคณิตและลําดับเรขาคณติ สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 47 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 1.3 การวดั ผลประเมนิ ผลระหวา งเรยี น การวัดผลระหวางเรียนมีจุดมุงหมายเพ่ือปรับปรุงการเรียนรูและพัฒนาการเรียนการสอน และ ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเรื่องที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การให นักเรียนทําแบบฝกหัดเปนแนวทางหนึ่งท่ีครูอาจใชเพื่อประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ นักเรียน ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 ไดนําเสนอ แบบฝกหัดที่ครอบคลุมเน้ือหาที่สําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทท่ี 1 ลําดับและอนุกรม ครูอาจใชแ บบฝกหัดเพือ่ วัดผลประเมินผลความรูใ นแตละเน้ือหาไดด ังน้ี เนอื้ หา แบบฝกหัด การหาพจนใ นลําดบั จากพจนทั่วไปท่ีกําหนด 1.1.1 ขอ 1 – 3 การหาพจนในลําดับเลขคณติ และพจนทว่ั ไปของลาํ ดับเลขคณิต 1.1.2 ขอ 1 – 14 การประยุกตข องลาํ ดับเลขคณติ 1.1.2 ขอ 15 – 16 การหาพจนในลําดบั เรขาคณติ และพจนท่วั ไปของลาํ ดบั เรขาคณิต 1.1.3 ขอ 1 – 12 การประยกุ ตข องลาํ ดับเรขาคณิต 1.1.3 ขอ 13 – 14 การหาพจนใ นลําดบั ฮารมอนิกและการประยุกตข องลําดับฮารมอนกิ 1.1.4 ขอ 1 – 3 การใชกราฟเพ่ือตรวจสอบการเปนลําดับลูเขา ลําดับลูออก และ 1.2 ขอ 1 หาลิมติ ของลําดบั ลเู ขา การใชทฤษฎีบทเก่ียวกับลิมิตของลําดับเพื่อตรวจสอบการเปน 1.2 ขอ 2 ลําดบั ลเู ขา ลําดับลอู อก และหาลมิ ิตของลาํ ดบั ลเู ขา การประยกุ ตของลิมิตของลาํ ดบั อนันต 1.2 ขอ 3 – 4 การหาผลบวก n พจนแ รกของอนกุ รมเลขคณติ 1.3.1 ขอ 1 – 4 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 48 คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 เน้อื หา แบบฝก หัด 1.3.1 ขอ 5 – 10 การประยกุ ตข องอนุกรมเลขคณติ 1.3.2 ขอ 1 – 3 การหาผลบวก n พจนแ รกของอนุกรมเรขาคณติ 1.3.2 ขอ 4 – 10 การประยกุ ตของอนุกรมเรขาคณิต 1.3.3 ขอ 1 การหาลําดับของผลบวกยอยของอนกุ รม 1.3.3 ขอ 2 – 3 การหาผลบวกของอนกุ รม 1.3.3 ขอ 4 – 9 การประยกุ ตของอนุกรมอนันต การเขียนสัญลักษณแสดงการบวกและการหาผลบวกของอนุกรม 1.4 ขอ 1 – 12 ที่เขียนอยใู นรูปสัญลักษณแ สดงการบวก การประยุกตของลําดับและอนุกรมเก่ียวกับดอกเบ้ียและมูลคา 1.5 ขอ 1 – 11 ของเงนิ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 49 คมู ือครรู ายวิชาเพิ่มเติมคณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 1.4 การวเิ คราะหแบบฝกหัดทายบท หนังสอื เรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 มจี ุดมุงหมายวาเม่ือนักเรียน ไดเ รยี นจบบทที่ 1 ลําดบั และอนกุ รม แลวนักเรียนสามารถ 1. หาพจนต า ง ๆ ของลําดบั เลขคณติ และลาํ ดบั เรขาคณิต 2. หาลิมิตของลาํ ดับอนนั ตโ ดยใชทฤษฎบี ทเกี่ยวกบั ลิมติ 3. ระบไุ ดว า ลาํ ดับท่ีกาํ หนดใหเ ปน ลาํ ดับลเู ขา หรือลาํ ดบั ลูออก 4. หาผลบวก n พจนแรกของอนกุ รมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต 5. หาผลบวกอนุกรมอนันต 6. ระบุไดว า อนุกรมท่กี ําหนดใหเปน อนุกรมลูเขา หรืออนุกรมลูออก 7. ใชค วามรเู ก่ียวกบั ลาํ ดับและอนกุ รมในการแกป ญ หา ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 ไดนําเสนอแบบฝกหัด ทา ยบทที่ประกอบดว ยโจทยเพื่อตรวจสอบความรหู ลังเรียน โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเพื่อวัดความรูความ เขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ซ่ึงประกอบดวยโจทยฝกทักษะที่มีความนาสนใจและโจทย ทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมาย ของบทเพอ่ื ตรวจสอบวานักเรยี นมคี วามสามารถตามจุดมุงหมายเมอ่ื เรียนจบบทเรยี นหรอื ไม ทั้งน้ี แบบฝก หัดทายบทแตล ะขอในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปที่ 6 บทท่ี 1 ลาํ ดบั และอนกุ รม สอดคลอ งกับจดุ มงุ หมายของบทเรียน ดงั นี้ จุดมุงหมาย แบบฝก หัดทายบทขอที่ 1. หาพจนต า ง ๆ ของลาํ ดบั เลขคณติ และลําดบั เรขาคณติ 1 1) – 4) 2 3 4 5 9 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนุกรม 50 คูมอื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 จุดมงุ หมาย แบบฝก หดั ทา ยบทขอที่ 1. หาพจนต า ง ๆ ของลําดบั เลขคณติ และลาํ ดบั เรขาคณติ (ตอ ) 10 11 12 13 16 1) – 4) 2. หาลมิ ติ ของลําดับอนนั ตโ ดยใชท ฤษฎบี ทเกี่ยวกบั ลมิ ติ 18 21 1) – 16) 22 3. ระบไุ ดว า ลาํ ดับทีก่ ําหนดใหเ ปนลําดบั ลูเขา หรอื ลาํ ดบั ลอู อก 20 1) – 6) 23 4. หาผลบวก n พจนแ รกของอนุกรมเลขคณิตและอนุกรมเรขาคณิต 24 25 26 27 31 32 1) – 3) 33 5. หาผลบวกอนกุ รมอนนั ต 38 1) – 6) 39 1) – 8) 40* 46 1) – 2) 6. ระบไุ ดวา อนกุ รมที่กําหนดใหเ ปนอนกุ รมลูเขาหรืออนกุ รมลูออก 40* สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 51 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 จดุ มุงหมาย แบบฝกหดั ทายบทขอท่ี 7. ใชความรูเก่ยี วกบั ลําดับและอนุกรมในการแกป ญ หา 7 8 1) – 3) 14 15 1) – 2) 19 28 1) – 2) 29 1) – 6) 30 34 35 1) – 3) 36 1) – 4) 41 42 43 44 47 1) – 3) 48 49 50 51 52 53 54 55 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนกุ รม 52 คูม อื ครูรายวชิ าเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 จุดมงุ หมาย แบบฝก หดั ทายบทขอ ท่ี 7. ใชความรูเก่ยี วกบั ลาํ ดบั และอนุกรมในการแกป ญหา (ตอ ) 56 ปญหาทาทาย 57 59 60 6 17 37 1) – 3) 45 46 3) 58 หมายเหตุ แบบฝก หัดทา ยบทขอ 40 สอดคลอ งกบั จุดมงุ หมายของบทเรยี นมากกวา 1 จุดมุงหมาย สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนกุ รม 53 คูมอื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 1.5 ความรูเพ่ิมเตมิ สาํ หรับครู ความรูเพิ่มเติมสําหรับครูที่จะกลาวถึงในคูมือครูรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 บทท่ี 1 ลําดบั และอนกุ รม คอื การพสิ จู นทฤษฎบี ทเกีย่ วกบั ลาํ ดับและอนุกรมทก่ี ลาวถึงแต ไมไดแสดงการพิสูจนไวในหนังสือเรียนรายวิชาเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 โดยจะแยงการนําเสนอเปน 2 สวน ไดแ ก สวนท่ี 1 ทฤษฎีบท บทนิยาม และบทแทรกทีใ่ ชใ นการพิสจู น สวนท่ี 2 แนวทางการพสิ จู นท ฤษฎบี ทในหนงั สอื เรียน โดยมรี ายละเอยี ดในแตละสวนเปน ดังน้ี สว นที่ 1 ทฤษฎบี ท บทนิยาม และบทแทรกท่ใี ชใ นการพสิ ูจน • ทฤษฎบี ท i (อสมการแบรนลู ลี : Bernoulli’s Inequality) สาํ หรบั ทกุ จาํ นวนจริง x ท่ี x > −1 จะไดว า (1+ x)n ≥1+ nx ทุกจาํ นวนเตม็ บวก n • ทฤษฎีบท ii (สมบัตอิ ารคมิ ีดิส : Archimedean Property) 1. สําหรับทกุ จาํ นวนจริงบวก x จะมจี ํานวนเต็มบวก n ที่ x < n 2. สาํ หรับทกุ จาํ นวนจรงิ บวก x จะมจี าํ นวนเตม็ บวก n ท่ี 1 < x n • ทฤษฎบี ท iii ให a และ b เปนจํานวนจรงิ ใด ๆ 1. a − b = b − a (อสมการสามเหลี่ยม : Triangle Inequality) 2. a + b ≤ a + b 3. a − b ≤ a + b 4. a − b ≤ a − b • บทนยิ าม iv ให xn เปนลําดับของจาํ นวนจรงิ จะกลาววาลาํ ดับ xn ลูเขา สูจ ํานวนจริง x เขียนแทนดว ย สญั ลักษณ lim xn = x ถาสาํ หรับทุก ε > 0 จะมีจาํ นวนเต็มบวก N ซ่ึง xn − x <ε n→∞ สาํ หรบั ทกุ n ≥ N สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 54 คูมอื ครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 • บทนยิ าม v ลําดับ xn เปน ลาํ ดับทีม่ ีขอบเขต (bounded) ถามี M > 0 ท่ี xn ≤ M สําหรับทุก จาํ นวนเตม็ บวก n • บทแทรก vi ลาํ ดับ xn เปนลําดับทไ่ี มมีขอบเขต (unbounded) เมือ่ สําหรับทุก M > 0 จะมีจํานวนเตม็ บวก n ท่ี xn > M • ทฤษฎบี ท vii ทุกลําดบั ลเู ขา เปนลําดับทีม่ ีขอบเขต • บทแทรก viii ทุกลาํ ดับที่ไมมีขอบเขตเปน ลําดบั ลูออก • ทฤษฎบี ท ix ให A ⊂ f : A → เปน ฟงกชนั ตอ เนอ่ื ง ลาํ ดับ xn เปนลําดบั บน A และ x∈ A ( )ถา แลว lim xn = x =nli→m∞ f ( xn ) =f nli→m∞ xn f (x) n→∞ • ทฤษฎีบท x (หลักอุปนัยเชงิ คณติ ศาสตร : Principal of Mathematical Induction) ให P(n) แทนประโยคเปดทมี่ ีเอกภพสมั พัทธคือจาํ นวนเต็มบวก สมมตวิ า 1. P(1) เปน จริง 2. สาํ หรบั ทุกจาํ นวนเตม็ บวก k ถา P(k) เปน จรงิ แลว P(k +1) เปน จริงดว ย จะสรุปไดวา P(n) เปน จรงิ สาํ หรบั ทกุ จาํ นวนเตม็ บวก n สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 55 คูมือครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 สวนท่ี 2 แนวทางการพิสูจนท ฤษฎบี ทในหนงั สือเรยี น • ทฤษฎีบท 1 ให r เปน จํานวนจริงบวก จะไดวา 1. lim 1 =0 n→∞ nr 2. lim nr ไมมคี า n→∞ พสิ ูจน 1. จะแสดงวา lim 1 =0 เมือ่ r เปน จํานวนจรงิ บวก n→∞ nr ให r เปน จาํ นวนจรงิ บวก และ ε > 0 จะไดวา 1 >0 εr โดยสมบตั ิอารค ิมีดสิ จะไดวา มจี ํานวนเต็มบวก N ท่ี 1 1 N <εr ให n เปนจํานวนเต็มบวก ที่ n ≥ N 1 − =0 1 r ≤ 1 r < ε nr n N น่นั คือ lim 1 =0 nr n→∞ 2. จะแสดงวา lim nr ไมม คี า โดยแสดงวา ลาํ ดับ nr เปน ลาํ ดับทไ่ี มม ีขอบเขต n→∞ ให r เปน จํานวนจรงิ บวก และ M > 0 จะไดว า 1 >0 Mr 1 โดยสมบัตอิ ารคิมดี สิ จะไดว า มจี ํานวนเตม็ บวก n ท่ี M r < n n=r nr > M จะไดวา ลําดบั nr เปน ลําดับทไี่ มม ขี อบเขต ดงั น้ัน lim nr ไมมีคา n→∞ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนกุ รม 56 คมู ือครูรายวชิ าเพ่ิมเตมิ คณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 • ทฤษฎีบท 2 ให r เปน จํานวนจรงิ บวก จะไดวา 1. ถา r <1 แลว lim rn = 0 n→∞ 2. ถา r >1 แลว lim rn ไมม คี า n→∞ พิสจู น 1. จะแสดงวา ถา r <1 แลว lim rn = 0 n→∞ ถา r = 0 จะไดว า lim=rn lim=0n l=im 0 0 n→∞ n→∞ n→∞ ให r เปนจาํ นวนจรงิ บวก ซง่ึ 0 < r <1 จะไดว า 1 >1 หรอื 1 −1 > 0 rr จะมจี ํานวนจรงิ บวก h ซึ่ง =h 1 −1 r ดงั น้ัน r =1 1+ h จากอสมการแบรน ลู ลี จะไดวา (1+ h)n ≥ 1+ nh ทุกจาํ นวนเต็มบวก n ให ε > 0 เน่ืองจาก h > 0 จะไดว า hε > 0 โดยสมบัติอารคิมดี สิ จะไดวา มจี าํ นวนเตม็ บวก N ท่ี 1 < hε N ให n เปน จาํ นวนเตม็ บวก ที่ n ≥ N rn −0 = rn= 1 n ≤ 1 < 1 ≤ 1 < ε 1+ h 1+ nh nh Nh นั่นคือ lim rn = 0 เมื่อ 0 < r <1 n→∞ 2. จะแสดงวา ถา r >1 แลว lim rn ไมมีคา โดยแสดงวา ลําดบั rn เปนลาํ ดับที่ไมมขี อบเขต n→∞ ให r เปนจาํ นวนจริงบวก ซึ่ง r >1 จะไดว า r −1 > 0 จะมจี ํานวนจรงิ บวก a ซ่งึ a= r −1 ดงั นน้ั r= 1+ a สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 57 คูมือครรู ายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 จากอสมการแบรน ูลลีจะไดวา r n = (1+ a)n ≥ 1+ na สําหรบั ทกุ จาํ นวนเต็มบวก n ให M > 0 โดยสมบตั ิอารค ิมดี สิ จะไดวา มีจาํ นวนเตม็ บวก N ซงึ่ N > M a พิจารณา r N = r N ≥ 1+ Na > Na > M ดังนัน้ ลาํ ดับ rn เปนลาํ ดบั ที่ไมมีขอบเขต โดยบทแทรก viii จะไดวา ลาํ ดับ rn เปนลาํ ดับลอู อก นน่ั คอื lim rn ไมมคี า n→∞ • ทฤษฎีบท 3 ให an, bn, tn เปนลําดับของจํานวนจรงิ A, B เปนจํานวนจรงิ และ c เปนคา คงตวั ทีเ่ ปน จาํ นวนจรงิ โดยที่ lim an =A และ lim bn =B จะไดว า n→∞ n→∞ 1. ถา tn = c ทุกจาํ นวนเต็มบวก n แลว nli→=m∞ tn l=im c c n→∞ 2. nl=i→m∞ can c=nli→m∞ an cA 3. lim ( an + bn ) =lim an + lim bn =A + B n→∞ n→∞ n→∞ 4. lim ( an − bn ) =lim an − lim bn =A − B n→∞ n→∞ n→∞ 5. lim ( an ⋅ bn ) =lim an ⋅ lim bn =A ⋅ B n→∞ n→∞ n→∞ 6. ถา bn ≠ 0 ทกุ จํานวนเตม็ บวก n และ B≠0 แลว l=im an nl=i→m∞ an A n→∞ bn lim bn B n→∞ พสิ ูจน 1. ให c เปน คาคงตัวทเี่ ปนจํานวนจรงิ n เปนจาํ นวนเตม็ บวก และ ε > 0 จาก tn = c ทกุ จํานวนเตม็ บวก n จะไดว า tn − c = c − c = 0 < ε นัน่ คือ nli→=m∞ tn l=im c c n→∞ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 58 คูม อื ครูรายวชิ าเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 2. ให c เปนคาคงตัวทีเ่ ปนจาํ นวนจริง และ ε > 0 เน่ืองจาก c ≥ 0 ดงั น้ัน c +1 > 0 จะไดวา ε > 0 c +1 เนือ่ งจาก lim an = A n→∞ จะไดว า มีจาํ นวนเตม็ บวก N ซ่งึ an − A < ε ทุก n≥N c +1 ให n เปนจาํ นวนเต็มบวก ท่ี n ≥ N can − cA = c ⋅ an − A < c⋅ ε <ε c +1 นนั่ คือ lim ca=n c=A c lim an n→∞ n→∞ 3. ให ε > 0 เนื่องจาก lim an = A n→∞ จะไดว า มจี ํานวนเต็มบวก N1 ซึง่ an − A < ε ทุก n ≥ N1 2 และจาก lim bn = B n→∞ จะไดว า มีจาํ นวนเต็มบวก N2 ซ่งึ bn − B < ε ทกุ n ≥ N2 2 ให N = max{N1 , N2} และ n เปนจาํ นวนเต็มบวก ที่ n ≥ N จะไดว า (an + bn ) − ( A + B) = (an − A) + (bn − B) ≤ an − A + bn − B < ε +ε 22 =ε น่ันคอื lim ( an + bn ) = A+ B = lim an + lim bn n→∞ n→∞ n→∞ 4. ให ε > 0 เนื่องจาก lim an = A n→∞ จะไดว า มีจํานวนเตม็ บวก N1 ซง่ึ an − A < ε ทกุ n ≥ N1 2 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 59 คูมอื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 และจาก lim bn = B n→∞ จะไดวา มจี ํานวนเต็มบวก N2 ซ่ึง bn − B < ε ทกุ n ≥ N2 2 ให N = max{N1 , N2} และ n เปน จาํ นวนเต็มบวก ท่ี n ≥ N จะไดวา (an − bn ) − ( A − B) = (an − A) − (bn − B) ≤ an − A + bn − B < ε +ε 22 =ε นน่ั คอื (lim an − bn ) = A− B = lim an − lim bn n→∞ n→∞ n→∞ 5. ให ε > 0 เนอ่ื งจาก lim an = A n→∞ จะไดว า มีจํานวนเต็มบวก N1 ซ่งึ an − A < ε ทุก n ≥ N1 2( B +1) เน่อื งจาก ลําดับ an เปนลําดบั ลูเขา โดยบทแทรก vii จะไดว า ลาํ ดับ an เปนลําดับท่ีมขี อบเขต ดังนัน้ จะมี M > 0 ซ่ึง an < M ทุกจาํ นวนเตม็ บวก n เนอื่ งจาก lim bn = B n→∞ จะไดว า มีจํานวนเต็มบวก N2 ซ่ึง bn − B < ε ทุก n ≥ N2 2M ให N = max{N1 , N2} และ n เปน จาํ นวนเต็มบวก ที่ n ≥ N จะไดวา anbn − A=B anbn + (−an B + an B) − AB = (anbn − anB) + (anB − AB) ≤ anbn − an B + an B − AB = an bn − B + B an − A < M⋅ ε + B ⋅ 2( ε + 1) 2M B <ε นน่ั คอื lim (an ⋅ bn ) = A⋅B = lim an ⋅ lim bn n→∞ n→∞ n→∞ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนกุ รม 60 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 6. ให bn ≠ 0 ทุกจํานวนเตม็ บวก n และ B ≠ 0 ตอ งการแสดงวา lim 1 = 1 n→∞ bn B เนอื่ งจาก lim bn =B n→∞ จะไดว า มจี าํ นวนเตม็ บวก N1 ซ่ึง bn − B < B ทุก n ≥ N1 2 B − bn ≤ B − bn < B ทกุ n ≥ N1 2 bn > B−B ทุก n ≥ N1 2 bn >B ทุก n ≥ N1 ทกุ n ≥ N1 2 1 <2 bn B ให ε > 0 เน่ืองจาก lim bn =B n→∞ จะไดว า มจี ํานวนเตม็ บวก N2 ซ่งึ bn − B < B2ε ทุก n ≥ N2 2 ให N = max{N1 , N2} และ n เปน จํานวนเตม็ บวก ที่ n ≥ N จะไดวา 1 − 1 =B − bn bn B bn B = 1 ⋅ 1 ⋅ bn − B bn B < 2 ⋅ 1 ⋅ B2ε BB 2 =ε ดังนั้น lim 1 = 1 n→∞ bn B สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 61 คูมอื ครรู ายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 จากบทพสิ ูจนกอนหนา จะไดวา lim an = lim an ⋅ 1 = lim ( an ) ⋅ lim 1 = A⋅ 1 =A n→∞ bn bn B B n→∞ n→∞ n→∞ bn นั่นคือ lim an= =A lim an เม่ือ B ≠ 0 n→∞ bn n→∞ • ทฤษฎบี ท 4 B lim bn n→∞ ให an เปนลําดบั ซึง่ an ≠0 สาํ หรบั ทกุ จาํ นวนเตม็ บวก n ถา lim 1 =0 แลว an n→∞ ลาํ ดับ an เปนลําดบั ลอู อก พิสจู น จะแสดงวา ถา lim 1 =0 แลว ลาํ ดับ an เปน ลําดบั ลอู อก an n→∞ โดยแสดงวา ลําดบั an เปน ลาํ ดับท่ไี มมีขอบเขต ให an เปน ลาํ ดับซ่ึง an ≠ 0 สําหรบั ทุกจํานวนเต็มบวก n และ M > 0 เนอ่ื งจาก lim 1 = 0 n→∞ an จะไดว า มีจาํ นวนเตม็ บวก N ซึ่ง 1 −0 < 1 สําหรับ n ≥ N an M ดงั น้ัน 1 < 1 aN M aN > M นนั่ คือ ลําดบั an เปน ลาํ ดับทไ่ี มมีขอบเขต โดยบทแทรก viii จะไดว า ลาํ ดบั an เปน ลาํ ดบั ลอู อก สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนุกรม 62 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 • ทฤษฎบี ท 5 ให an เปนลาํ ดับของจํานวนจรงิ ทม่ี ากกวา หรอื เทากบั ศนู ย L เปนจํานวนจริง และ m เปน จาํ นวนเต็มท่มี ากกวา หรอื เทา กบั สอง จะไดวา ถา lim an = L แลว nl=i→m∞ m an m=nli→m∞ an mL n→∞ พสิ จู น ให m เปนจาํ นวนเต็ม ท่ี m ≥ 2 และ fm : + ∪{0} → โดยท่ี fm ( x) = m x สําหรับ x∈+ ∪{0} จะเหน็ วา fm มีความตอเนอ่ื งบน + ∪{0} สมมติให lim an =L n→∞ เน่ืองจาก fm ตอเน่ืองบน + ∪{0} ลาํ ดบั an เปน ลําดับบน + ∪{0} และ L∈+ ∪{0} ( )โดยทฤษฎบี ท ix จะไดวา =nli→m∞ fm (an ) =fm nli→m∞ an fm (L) ดังนน้ั nl=i→m∞ m an m=nli→m∞ an m L หมายเหตุ สาํ หรับจํานวนเต็ม m ที่ m ≥ 2 ฟง กช นั fm : + ∪{0} → นิยามโดย fm (x) = m x สาํ หรบั x∈+ ∪{0} จะมีความตอเน่ือง สามารถพิสูจนไดในแคลคลู สั • ทฤษฎบี ท 6 กาํ หนดใหอนุกรมเรขาคณิตมี a1 เปนพจนแ รก และ r เปน อัตราสว นรวม 1. ถา r <1 แลว อนุกรมนเ้ี ปนอนุกรมลูเขา และผลบวกของอนุกรมนี้เทากับ a1 1− r 2. ถา r ≥1 แลว อนกุ รมนีเ้ ปนอนุกรมลูอ อก พสิ ูจน 1. จะแสดงวา อนุกรมเรขาคณิต ∞ เปน อนุกรมลูเขา และลูเ ขาสูคา a1 เม่อื r <1 1− r ∑ a1rn−1 n=1 สมมติให r <1 ให n เปนจํานวนเตม็ บวก สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนกุ รม 63 คูมือครูรายวิชาเพมิ่ เติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 พิจารณาผลบวกยอย n พจนแ รกของอนุกรมเรขาคณติ น้ี จะไดว า ( )a1 1− rn Sn = 1− r เน่อื งจาก r <1 โดยทฤษฎีบท 2 จะไดวา lim rn = 0 n→∞ ดงั น้นั lim (1− rn )= lim 1− lim rn = 1 n→∞ n→∞ n→∞ ( ) ( )ฉะนั้น lim n→∞ Sn = lim a1 1 − rn = a1 ⋅ lim 1 − rn = a1 n→∞ 1− r 1− r n→∞ 1− r น่ันคือ อนุกรมเรขาคณติ ∞ เปน อนุกรมลูเ ขา และลเู ขาสคู า a1 เมอ่ื r <1 1− r ∑ a1rn−1 n=1 2. จะแสดงวา อนุกรมเรขาคณิต ∞ เปน อนุกรมลูออก เมื่อ r ≥1 โดยการพสิ จู น ∑ a1rn−1 n=1 หาขอขัดแยง ให r ≥1 สมมตวิ า อนุกรมเรขาคณิต ∞ เปนอนกุ รมลูเขา ∑ a1rn−1 n=1 ดังนั้น ลําดับของผลบวกยอ ยเปน ลาํ ดับลเู ขา ให n เปน จํานวนเต็มบวก จะแยกพิจารณา r เปน 2 กรณี ดงั นี้ กรณี 1 r =1 จาก r =1 จะไดว า ∞∞ ∑ ∑a1rn−1 = a1 =n 1=n 1 และมลี าํ ดบั ของผลบวกยอย คอื a1,2a1,3a1,,na1, เน่ืองจาก lim na1 ไมม ีคา n→∞ ดังนนั้ ลาํ ดบั ของผลบวกยอยเปนลําดบั ลอู อก จะไดวา ∞ เปนอนกุ รมลูออก ซึ่งขัดแยงกบั ที่กาํ หนด ∑ a1rn−1 n=1 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนกุ รม 64 คมู ือครรู ายวิชาเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 กรณี 2 r ≥1 โดยท่ี r ≠ 1 พจิ ารณาผลบวกยอย n พจนแ รกของอนุกรมเรขาคณิตน้ี จะไดว า ( )Sn = a1 1 − rn 1− r จากอนุกรมเรขาคณติ ∞ เปนอนุกรมลเู ขา ∑ a1rn−1 n=1 ดังนน้ั ลําดับของผลบวกยอยเปนลาํ ดับลูเขา นน่ั คอื จะมีจํานวนจริง S ที่ lim Sn = S n→∞ ( ) ( )S ดงั นนั้ = lim Sn = lim a1 1 − rn = a1 ⋅ lim 1 − rn ----- (*) n→∞ n→∞ 1− r 1 − r n→∞ จาก r ≥1 โดยท่ี r ≠1 จะแยกพจิ ารณาออกเปน 2 กรณียอย ดงั น้ี กรณยี อ ย 1 r >1 พิจารณาเม่อื n มากข้นึ โดยไมม ีท่สี ้นิ สุด จาก r >1 จะไดวา rn จะมีคา มากขึ้นและไมเขา ใกลจํานวนจริงใดจาํ นวนหนึ่ง ดังน้ัน −rn จะมคี าลดลงและไมเ ขาใกลจํานวนจริงใดจํานวนหน่ึง จะไดว า 1− rn จะมีคาลดลงและไมเขาใกลจ าํ นวนจรงิ ใดจํานวนหนึง่ ดงั นัน้ ( )lim 1− rn ไมมีคา ซ่ึงขดั แยงกับ (*) n→∞ กรณยี อย 2 r ≤1 พิจารณาเมอื่ n มากขน้ึ โดยไมมีที่สิ้นสดุ จาก r ≤1 จะไดว า rn จะมีคา แกวง กวดั และไมเ ขาใกลจาํ นวนจรงิ ใดจาํ นวนหนึ่ง ดงั น้นั −rn จะมคี า แกวง กวดั และไมเ ขา ใกลจาํ นวนจรงิ ใดจํานวนหน่ึง จะไดวา 1− rn จะมีคา แกวง กวัดและไมเขาใกลจ ํานวนจรงิ ใดจาํ นวนหน่ึง ดังนั้น (lim 1− )rn ไมม ีคา ซงึ่ ขดั แยงกบั (*) n→∞ จากทั้ง 2 กรณี สรุปไดว า อนุกรมเรขาคณติ ∞ เปนอนกุ รมลูออก เมื่อ r ≥1 ∑ a1rn−1 n=1 หมายเหตุ คาํ วา “มีคา แกวงกวัด” ในที่นี้หมายความวา มีคาเปน จาํ นวนจริงลบและ จาํ นวนจรงิ บวกสลบั กนั หรอื จาํ นวนจริงบวกและจาํ นวนจรงิ ลบสลบั กัน สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 65 คูม อื ครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 • ทฤษฎบี ท 7 ให n เปนจาํ นวนเตม็ บวกใด ๆ จะไดว า 1. n เมอ่ื c เปนคา คงตวั ทเ่ี ปนจํานวนจรงิ ∑c = nc i =1 2. n n เม่ือ c เปนคาคงตัวทเี่ ปน จาํ นวนจรงิ ∑cai = ∑c ai =i 1=i 1 n nn ∑ ∑ ∑3. (ai + bi )= ai + bi =i 1 =i 1=i 1 n nn ∑ ∑ ∑4. (ai − bi )= ai − bi =i 1 =i 1=i 1 พสิ จู น 1. ให P(n) แทน n = nc เมอื่ c เปนคาคงตัวท่เี ปน จาํ นวนจรงิ ∑c i =1 พิจารณา P(1) เนอื่ งจาก 1 c= 1⋅ c ∑c= i =1 ดงั นนั้ P(1) เปนจรงิ ให k เปน จํานวนเตม็ บวกใด ๆ สมมตใิ ห P(k) เปน จริง นน่ั คอื k = kc ∑c i =1 พจิ ารณา k +1 k ∑=c ∑c + c i=1 i=1 = kc + c = (k +1) ⋅ c ดงั นัน้ P(k +1) เปน จรงิ โดยหลกั อปุ นัยคณิตศาสตร จะไดวา n = nc ทุก n ทเี่ ปนจํานวนเตม็ บวกใด ๆ ∑c i =1 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 66 คูม ือครรู ายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 2. ให P(n) แทน n = n เม่ือ c เปนคาคงตัวท่เี ปนจํานวนจริง ∑ cai ∑c ai =i 1=i 1 พิจารณา P(1) เนอ่ื งจาก 1 ca1= 1 ∑ cai= ∑c ⋅ ai =i 1 =i 1 ดงั น้ัน P(1) เปน จรงิ ให k เปน จาํ นวนเตม็ บวกใด ๆ สมมตใิ ห P(k) เปน จริง นั่นคือ k = k ∑ cai ∑c ai =i 1=i 1 k +1 k =cai cai + cak+1 ∑ ∑พิจารณา i=1 i=1 = k ∑c ai + cak+1 i =1 ∑ k = c ai + ak+1 i=1 k +1 ∑= c ai i =1 ดงั นั้น P(k +1) เปนจริง โดยหลักอุปนยั คณิตศาสตร จะไดว า n = n ทุก n ที่เปน จาํ นวนเต็มบวกใด ๆ ∑ cai ∑c ai =i 1=i 1 3. ให P(n) แทน n nn ∑(ai + bi )= ∑ ∑ai + bi =i 1 =i 1=i 1 พจิ ารณา P(1) เนอื่ งจาก 1 a1 + b1 = 11 ∑(ai + bi ) = ∑ ∑ai + bi =i 1 =i 1 =i 1 ดงั นนั้ P(1) เปน จรงิ ให k เปนจาํ นวนเต็มบวกใด ๆ สมมติให P(k) เปน จรงิ นัน่ คอื k + bi )= kk ∑ ( ai ∑ ∑ai + bi =i 1 =i 1=i 1 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนุกรม 67 คมู ือครูรายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 k +1 k (ai + b=i ) (ai + bi ) + (ak+1 + )bk+1 ∑ ∑พิจารณา i=1 i=1 ∑ ∑ ( ) k k = ai + bi + ak+1 + bk+1 = i 1=i 1 ∑ ∑ k k = ai + ak+1 + bi + bk+1 = i 1= i 1 k +1 k +1 ∑ ∑= ai + bi =i 1=i 1 ดงั นัน้ P(k +1) เปน จรงิ โดยหลักอปุ นัยคณิตศาสตร จะไดวา n + bi )= nn ทุก n ท่ีเปน ∑ ( ai ∑ ∑ai + bi =i 1 =i 1=i 1 จํานวนเต็มบวกใด ๆ 4. ให P(n) แทน n − bi )= nn ∑ ( ai ∑ ∑ai − bi =i 1 =i 1=i 1 พิจารณา P(1) เน่อื งจาก 1 11 ∑ ∑ ∑(ai − bi ) = a1 − b1 = ai − bi =i 1 =i 1 =i 1 ดงั นนั้ P(1) เปน จริง ให k เปนจํานวนเตม็ บวกใด ๆ สมมตใิ ห P(k) เปนจริง นน่ั คอื k − bi )= kk ∑ ( ai ∑ ∑ai − bi =i 1 =i 1=i 1 k +1 k (ai − b=i ) (ai − bi ) + (ak+1 − )bk+1 ∑ ∑เนือ่ งจาก i=1 i=1 ∑ ∑ ( ) k k = ai − bi + ak+1 − bk+1 = i 1=i 1 ∑ ∑ k k = ai + ak+1 − bi + bk+1 = i 1= i 1 k +1 k +1 ∑ ∑= ai − bi =i 1=i 1 ดงั นัน้ P(k +1) เปน จริง สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดับและอนกุ รม 68 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 โดยหลักอุปนยั คณิตศาสตร จะไดว า n − bi )= nn ทกุ n ท่เี ปน ∑ ( ai ∑ ∑ai − bi =i 1 =i 1=i 1 จาํ นวนเต็มบวกใด ๆ • ทฤษฎีบท 8 ให n เปนจํานวนเต็มบวกใด ๆ จะไดว า ∑n n(n +1) 1. i = i=1 2 ∑2. n i2 = n(n +1)(2n +1) i=1 6 n(n +1) 2 n 2 i = ∑ ∑n =3. i3 i 1= 2 i 1 พสิ จู น 1. ให P(n) แทน n n(n +1) ∑i = 2 i =1 พิจารณา P(1) เน่ืองจาก 1 1= 1(1 + 1) ∑i= 2 i =1 ดังนั้น P(1) เปนจริง ให k เปน จาํ นวนเตม็ บวกใด ๆ สมมติให P(k) เปนจรงิ นั่นคอื k = k (k +1) ∑i 2 i =1 พจิ ารณา k +1 = k ∑i ∑i + (k +1) i=1 i=1 = k (k +1) + (k +1) 2 =( k + 1) k + 1 2 = (k +1)(k + 2) 2 (k +1)((k +1) +1) = 2 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนุกรม 69 คูมอื ครูรายวชิ าเพ่มิ เตมิ คณติ ศาสตร ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 6 เลม 1 ดังนั้น P(k +1) เปนจรงิ โดยหลกั อุปนยั คณิตศาสตร จะไดวา n n(n +1) ทกุ n ทเี่ ปน จํานวนเตม็ บวกใด ๆ ∑i = 2 i =1 2. ให P(n) แทน n = n(n +1)(2n +1) ∑i2 6 i =1 พจิ ารณา P(1) เนอื่ งจาก 1 12 = 1= 1(1+1)(2 ⋅1+1) ∑i2 = 6 i =1 ดงั นนั้ P(1) เปน จริง ให k เปน จาํ นวนเตม็ บวกใด ๆ สมมติให P(k) เปนจรงิ นัน่ คือ k = k (k +1)(2k +1) ∑i2 6 i =1 k +1 k i2= i2 + (k +1)2 ∑ ∑พจิ ารณา i=1 i=1 = k (k +1)(2k +1) + (k +1)2 6 = ( k + 1) k ( 2k + 1) + ( k + 1) 6 ( )(k +1) 2k2 + k + 6k + 6 = 6 ( )(k +1) 2k2 + 7k + 6 = 6 = (k +1)(k + 2)(2k + 3) 6 (k +1)((k +1) +1)(2(k +1) +1) = 6 ดังนัน้ P(k +1) เปนจรงิ โดยหลกั อปุ นัยคณิตศาสตร จะไดวา n = n(n +1)(2n +1) ทุก n ทเ่ี ปน ∑i2 6 i =1 จาํ นวนเต็มบวกใด ๆ สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 70 คูมอื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 ให P(n) แทน n n(n +1) 2 ∑3. i =1 i3 = 2 พจิ ารณา P(1) ∑เนื่องจาก 1 13= 1= 1(1+1) 2 i3= 2 i =1 ดังนั้น P(1) เปน จรงิ ให k เปนจาํ นวนเตม็ บวกใด ๆ สมมตใิ ห P(k) เปน จริง น่นั คอื k = k (k +1) 2 ∑i3 2 i =1 k +1 k i=3 i3 + (k +1)3 ∑ ∑พจิ ารณา i=1 i=1 = k (k +1) 2 + (k + 1)3 2 = (k + 1)2 k2 + (k + 1) 22 ( )(k +1)2 k 2 + 4k + 4 = 22 (k +1)2 (k + 2)2 = 22 = (k +1)(k + 2) 2 2 (k +1)((k +1) +1) 2 = 2 ดงั นนั้ P(k +1) เปนจริง โดยหลกั อุปนัยคณิตศาสตร จะไดว า n = n(n +1) 2 ทกุ n ท่เี ปนจํานวนเต็มบวกใด ๆ ∑i3 2 i =1 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนุกรม 71 คมู อื ครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 1.6 ตวั อยางแบบทดสอบประจาํ บทและเฉลยตัวอยางแบบทดสอบประจาํ บท ในสวนนี้จะนําเสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทท่ี 1 ลําดับและอนุกรม สําหรับรายวิชาเพิ่มเติม คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 ซึ่งครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรู ทต่ี องการวดั ผลประเมนิ ผล ตัวอยางแบบทดสอบประจาํ บท 1. จงหาพจนท ี่ 20 ของลําดบั เลขคณิตท่มี พี จนท ี่ 3 และพจนท ี่ 17 เปน 12 และ 40 ตามลําดับ 2. จงหาอัตราสว นรว มของลําดับเรขาคณิตทม่ี พี จนท ี่ 2 เปน 2 และพจนที่ 7 เปน − 2 3 27 3. จํานวนเต็มบวกที่อยูระหวาง 301 กับ 450 ที่หารดวย 3 ลงตัว แตหารดวย 6 ไมลงตัว มีทั้งหมด ก่จี าํ นวน 4. จงหาวา ( )− 2−9 เปนพจนท่เี ทาใดของลําดบั เรขาคณิตทม่ี =ี a2 4=, a6 1 4 5. จงพิจารณาวา ลําดับในแตละขอ ตอไปน้ีเปนลําดบั ลูเขา หรือลาํ ดบั ลูออก ถาเปน ลําดบั ลูเ ขา จงหาลิมิต 1) an = 1− n2 2) an = n2 − n +7 2 + 3n2 2n3 + n2 3) an = 2 − − 1 n 4) an = 1 + (−1)n 2 6. ให an เปน ลําดับเลขคณิตทม่ี ีพจนที่ 8 เปน 50 และมีผลบวกหาพจนแ รกเปน 50 จงหาผลตางรว มของลําดบั เลขคณติ นี้ 7. ให an เปนลําดบั เรขาคณติ ที่มีพจนที่ 5 เปน 2 และมอี ัตราสว นรว มเปน −1 จงหาผลบวก 2 5 พจนแรกของลําดบั เรขาคณติ นี้ 8. จงหาผลบวกของจาํ นวนนับไมเ กิน 200 ทหี่ ารดว ย 4 ลงตวั 9. ลาํ ดับเรขาคณิตหน่งึ มี S9 = 513 และ S10 =1,026 จงหาพจนท่ี 10 ของลาํ ดับเรขาคณิตน้ี 10. จงเขียนทศนิยมซ้ํา • ใหอยูในรูปเศษสว น โดยใชความรูเรอ่ื งอนกุ รมอนนั ต 0.24 9 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 72 คมู ือครูรายวชิ าเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชัน้ มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 11. จงพิจารณาวาอนุกรมในแตละขอตอไปน้ีเปนอนุกรมลูเขาหรืออนุกรมลูออก ถาเปนอนุกรม ลเู ขา จงหาผลบวกของอนุกรม 1) 4 + − 8 + 16 + − 32 + + 4 − 2 n + 3 9 27 81 3 3 2) 1 + 1 + 1 + + 1 + 3 15 35 4n2 −1 12. จงหาผลบวก 20 พจนแรกของอนุกรม 1(1−1) + 2(2 −1) + 3(3 −1) + + n(n −1) + 13. โรงละครแหงหน่ึงจัดเกาอ้ีเปนแถวสําหรับผูเขาชม โดยแถว A มี 8 ที่น่ัง และแถวตอไปจะ เพิ่มจํานวนเกาอี้จากแถวกอนหนา 3 ตัวเสมอ ถาโรงละครน้ีมีท่ีนั่งตั้งแตแถว A ถึง Z จงหา วาโรงละครแหงนีส้ ามารถจผุ ูชมไดท้งั หมดกคี่ น 14. นิวฝากเงิน 10,000 บาท กับสถาบันการเงินแหงหน่ึงท่ีใหอัตราดอกเบี้ย 2% ตอป โดยคิด ดอกเบี้ยแบบทบตนทุก 6 เดือน จงหาเงินรวมของนิวเม่ือฝากเงินครบ 2 ป โดยที่ไมมีการ ฝากและถอนเงนิ ในระหวางนี้ 15. นิดตองการฝากเงินกับสถาบันการเงินแหงหนึ่งซ่ึงกําหนดอัตราดอกเบี้ย 2% ตอป โดยคิด ดอกเบี้ยแบบทบตนทุก 6 เดือน ถานิดตองการใหมีเงินในบัญชีประมาณ 10,000 บาท เมื่อ ส้นิ สุดปที่ 3 นิดควรฝากเงินกับสถาบนั การเงินแหงนอ้ี ยางนอ ยกบ่ี าท 16. กุกไกซื้อโทรศัพทมือถือราคา 12,000 บาท โดยจายเงินในวันท่ีตัดสินใจซื้อโทรศัพทมือถือ 2,000 บาท และผอนชําระสวนทเ่ี หลือเปน จํานวนเงนิ เทา กนั ทกุ เดือน เปนเวลา 6 เดอื น โดย ผอนชําระทุกส้ินเดือน ถาอัตราดอกเบ้ียผอนชําระเปน 12% ตอป โดยคิดดอกเบ้ียแบบทบ ตน ทกุ เดือนแลว กกุ ไกจ ะตองผอ นชําระประมาณเดือนละเทาใด เฉลยตวั อยา งแบบทดสอบประจําบท 1. จา=ก a3 1=2, a17 40 และ an = a1 + (n −1) d จะได 12 = a1 + (3 −1)d น่นั คือ 12 = a1 + 2d ----- (1) ----- (2) และ 40 = a1 + (17 −1)d น่ันคือ 40 = a1 +16d สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนุกรม 73 คมู ือครูรายวชิ าเพม่ิ เติมคณิตศาสตร ช้ันมธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 จาก (1) และ (2) จะได d = 2 และ a1 = 8 ดังนั้น a20 =8 + (20 −1)(2) =8 + (19)(2) =8 + 38 =46 นน่ั คอื พจนที่ 20 ของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 46 2. จาก a2 = 2, a7 = −2 และ an = a1rn−1 3 27 จะได 2 = a1r 2−1 3 นนั่ คือ 2 = a1r ----- (1) 3 ----- (2) และ −2 = a1r 7−1 27 นนั่ คอื −2 = a1r6 27 จาก (1) และ (2) จะได r =− 1 =− 3 33 ดงั นัน้ อตั ราสว นรวมของลาํ ดับเรขาคณิตนี้ คอื − 3 3 3. จาํ นวนเต็มบวกที่นอยที่สุดที่อยรู ะหวาง 301 กบั 450 ที่หารดว ย 3 ลงตัว คอื 303 จํานวนเต็มบวกทีม่ ากที่สดุ ท่ีอยรู ะหวาง 301 กบั 450 ท่ีหารดวย 3 ลงตัว คือ 447 จะไดวา ลําดับของจํานวนนับท่ีอยูระหวาง 301 กับ 450 ทีห่ ารดวย 3 ลงตวั คือ 303, 306, 309, …, 447 เปน ลําดบั เลขคณิตท่ีมีพจนแรกเปน 303 ผลตางรว มเปน 3 และ พจนท่ี n เปน 447 จาก an = a1 + (n −1)d จะได 447 = 303 + (n −1)(3) 149 = 101+ (n −1) n −1 = 149 −101 n = 48 +1 n = 49 ดังนน้ั จาํ นวนเต็มบวกท่ีอยูระหวา ง 301 กบั 450 ท่หี ารดวย 3 ลงตัว มที ้งั หมด 49 จํานวน สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 74 คูมอื ครรู ายวิชาเพมิ่ เติมคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 จาํ นวนเต็มบวกทนี่ อ ยทส่ี ดุ ที่อยรู ะหวา ง 301 กบั 450 ทีห่ ารดว ย 6 ลงตัว คอื 306 จาํ นวนเต็มบวกที่มากท่ีสดุ ท่ีอยูร ะหวาง 301 กบั 450 ทห่ี ารดวย 6 ลงตวั คือ 444 จะไดว า ลําดับของจํานวนเต็มบวกที่อยูระหวาง 301 กับ 450 ที่หารดวย 6 ลงตัว เปนลาํ ดับ เลขคณิตท่ีมีพจนแ รกเปน 306 ผลตา งรว มเปน 6 และพจนท ี่ n เปน 444 จาก an = a1 + (n −1)d จะได 444 = 306 + (n −1)(6) 74 = 51+ (n −1) n −1 = 74 − 51 n = 23 +1 n = 24 ดังนนั้ จํานวนเตม็ บวกที่อยูระหวาง 301 กบั 450 ท่ีหารดว ย 6 ลงตวั มที ง้ั หมด 24 จาํ นวน นั่นคอื จาํ นวนเต็มบวกทอี่ ยรู ะหวา ง 301 กบั 450 ท่หี ารดวย 3 ลงตวั แตหารดวย 6 ไมล งตวั มที ้งั หมด 49 − 24 =25 จาํ นวน 4. จาก an = a1r n−1 จะได 4 = a1r2−1 นั่นคือ 4 = a1r ----- (1) และ 1 = a1r 6−1 4 น่ันคอื 1 = a1r 5 ----- (2) 4 จาก (1) และ (2) จะได r = 1 หรอื r = − 1 22 กรณี r=1 จะได a1 =8 2 ให ( )− 2−9 เปน พจนท ี่ n ของลาํ ดับเรขาคณิตนี้ ( )จะได 1 n −1 2 − 2−9 = 8 1 n−1 − 1 2 29 = 8 1 n−1 = − 1 1 2 29 23 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดับและอนกุ รม 75 คมู อื ครรู ายวิชาเพิม่ เติมคณติ ศาสตร ช้นั มัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 1 n−1 = − 1 2 212 1 n−1 = − 1 12 2 2 ดังนัน้ ไมมีจํานวนจรงิ ใดทีท่ ําใหสมการน้เี ปน จริง กรณี r= −1 จะได a1 = −8 2 ให ( )− 2−9 เปนพจนท่ี n ของลําดบั เรขาคณติ นี้ จะได 1 n −1 2 ( )− 2−9 = ( −8) − 1 n−1 − 1 2 29 − = −8 1 n −1 1 1 2 29 23 − = 1 n −1 1 2 212 − = 1 n −1 1 12 2 2 − = − นั่นคอื n −1 = 12 จะได n = 13 ดงั น้นั ( )− 2−9 เปนพจนท ่ี 13 ของลาํ ดับเรขาคณิตทีก่ ําหนดให 5. 1) พิจารณา 1− n2 n2 1 − 1 n2 lim = lim 2 + 3n2 n→∞ 2 + 3 n→∞ n2 n2 1 −1 n2 = lim n→∞ 2 n2 +3 = lim 1 − lim1 n2 n→∞ n→∞ lim 2 + lim 3 n2 n→∞ n→∞ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนกุ รม 76 คมู อื ครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 = −1 3 ดังนน้ั ลําดบั นเ้ี ปนลาํ ดับลูเขา มีลิมิตเปน − 1 3 2) พจิ ารณา n2 − n + 7 n3 1 − 1 + 7 n n2 n3 lim = lim 2n3 + n2 n→∞ 1 n→∞ n3 2 + n = lim 1 − lim 1 + lim 7 n n→∞ n2 n→∞ n3 n→∞ lim 2 + lim 1 n→∞ n→∞ n =0 2 =0 ดงั นัน้ ลําดับนีเ้ ปนลําดับลูเขา มลี ิมติ เปน 0 3) พจิ ารณา lim 2 − − 1 n = lim 2 − lim − 1 n 2 2 n→∞ n→∞ n→∞ = 2−0 =2 ดังนั้น ลําดับนี้เปน ลําดับลเู ขา มีลิมติ เปน 2 4) จากพจนท่ี n ของลาํ ดับ คอื an = 1+ (−1)n จะไดลําดับ an คอื 0, 2, 0, 2, นั่นคือ เมือ่ n เปน จํานวนค่ี พจนที่ n ของลําดับ an เปน 0 และเมอ่ื n เปนจํานวนคู พจนท ี่ n ของลําดับ an เปน 2 จะไดวา เมื่อ n มากขน้ึ โดยไมมีท่ีสิน้ สุด พจนท่ี n ของลาํ ดบั นี้ จงึ ไมเ ขาใกลจาํ นวนใด จํานวนหนึ่ง ดงั นั้น ลําดบั นเี้ ปนลําดับลอู อก สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนกุ รม 77 คมู ือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 6. จาก a8 = 50 และ an = a1 + (n −1)d ----- (1) จะได 50 = a1 + (8 −1)d นน่ั คือ 50 = a1 + 7d จาก S5 = 50 _และ S=n n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได 50 = 5 ( 2a1 + ( 5 − 1) d ) 2 นน่ั คือ 10 = a1 + 2d ----- (2) จาก (1) และ (2) จะได d = 8 ดงั นั้น ผลตา งรวมของลาํ ดบั เลขคณิตน้ี คอื 8 7. จาก =และa52,r = −1 an = a1r n−1 2 จะได 2 = a1 − 1 5−1 2 2 = a1 − 1 4 2 2 = a1 1 16 นัน่ คอื a1 = 32 จาก ( )Sn จะได = a1 1 − r n 1− r 32 − − 1 5 1 2 S5 = 1 1 − − 2 32 1 + 1 32 = 3 2 = 32 × 33 × 2 32 3 = 22 ดงั นนั้ ผลบวก 5 พจนแรกของลําดับเรขาคณติ นี้ คอื 22 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | ลําดบั และอนุกรม 78 คูม อื ครรู ายวิชาเพิม่ เตมิ คณติ ศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 8. จาํ นวนนับท่ีนอ ยที่สดุ ทีไ่ มเกิน 200 ทีห่ ารดว ย 4 ลงตวั คือ 4 จํานวนนับที่มากทีส่ ุดท่ีไมเ กิน 200 ที่หารดว ย 4 ลงตวั คือ 200 จะไดวา ลาํ ดบั ของจาํ นวนนบั ทไี่ มเกิน 200 ท่หี ารดวย 4 ลงตัว คอื 4, 8, 12, …, 200 ซึง่ เปน ลําดับเลขคณติ ท่มี ี=a1 4=, d 4 และ an = 200 จาก an = a1 + (n −1)d จะได 200 = 4 + (n −1)(4) 50 = 1+ (n −1) n = 50 พจิ ารณาผลบวกของจํานวนนบั ทไ่ี มเ กนิ 200 ท่หี ารดวย 4 ลงตวั โดยพิจารณา S50 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S50 = 50 (4 + 200) 2 S50 = 5,100 ดงั นัน้ ผลบวกของจาํ นวนนบั ไมเ กิน 200 ท่ีหารดว ย 4 ลงตวั เทากบั 5,100 9. เนื่องจาก S9 = a1 + a2 + a3 + + a9 และ S10 = a1 + a2 + a3 + + a9 + a10 จะได a10 = S10 − S9 = 1,026 − 513 = 513 ดังน้ัน พจนท ี่ 10 ของลาํ ดบั เรขาคณติ น้ี คือ 513 10. จาก 0.249 = 0.24999 = 0.24 + 0.009 + 0.0009 + 0.00009 + = 24 + 9 + 9 + 9 + 100 1,000 10,000 100,000 จะไดวา 9 + 9 + 9 + เปน อนกุ รมเรขาคณิตทม่ี ี a1 = 1, 9 และ r= 1 1,000 10,000 100,000 000 10 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนุกรม 79 คูมอื ครรู ายวชิ าเพิ่มเตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 เนอื่ งจาก =r 1 <1 จะไดวา อนุกรมนเี้ ปนอนกุ รมลเู ขา และผลบวกของอนกุ รม 10 9 คือ =a1 1=, 000 1 1− 1 100 1− r 10 จะไดว า 0.249 = 24 + 1 = 25 = 1 100 100 100 4 11. 1) 4 + − 8 + 16 + − 32 + + 4 − 2 n + เปน อนุกรมเรขาคณติ ท่ีมี 3 9 27 81 3 3 a1 = 4 และ r= −2 3 3 เนื่องจาก r =− 2 <1 จะไดวา อนกุ รมนี้เปนอนกุ รมลูเขา 3 4 และผลบวกของอนกุ รม คือ a1 =3= 4 2 5 1− r 1 − − 3 2) สาํ หรบั จํานวนนบั k ใด ๆ จะไดว า=4k21−1 (2k −1)1=(2k +1) 1 1 − 1 2 2k −1 2k +1 เขียนผลบวกยอ ย n พจนแ รกของอนุกรมไดดังนี้ Sn = 1 1 − 1 + 1 1 − 1 + 1 1 − 1 + + 1 1 − 1 1 2 1 3 2 3 5 2 5 7 2 2n −1 2n + = 1 1 − 1 + 1 − 1 + 1 − 1 + + 1 − 1 2 3 3 5 5 7 2n −1 2n +1 = 1 1 − 1 1 2 2n + พิจารณา lim Sn = lim 1 1 − 1 1 2 2n + n→∞ n→∞ = 1 lim 1 − 1 1 2 2n + n→∞ = 1 lim1 − lim 1 1 2 2n + n→∞ n→∞ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดบั และอนกุ รม 80 คูมือครูรายวิชาเพิ่มเตมิ คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 n 1 n = 1 lim1 − lim 2 n→∞ n→∞ n 2 + 1 n 1 = 1 lim1 − lim n 2 + 1 n→∞ n→∞ 2 n lim 1 n→∞ n = 1 lim1 − 2 n→∞ lim 2 + 1 n n→∞ = 1 lim1 − lim 1 1 2 n n→∞ lim n→∞ lim 2+ n→∞ n n→∞ = 1 1 − 2 0 0 2 + =1 2 ดงั นน้ั อนกุ รม 1 + 1 + 1 + + 1 − 1 + เปนอนุกรมลเู ขา มีผลบวกของ 3 15 35 4n2 อนุกรมเทากับ 1 2 12. จาก 1(1−1) + 2(2 −1) + 3(3 −1) + + n(n −1) + = ∞ ∞ ( n2 − n ) ∑(n(n −1=)) ∑ =n 1=n 1 จะได ผลบวก 20 พจนแ รกของอนกุ รมน้ี คอื ∑( )20 S20 = n2 − n n=1 20 20 = ∑n2 − ∑n =n 1=n 1 20(20 +1)(2(20) +1) 20(20 +1) =− 62 = 20 × 21× 41 − 20 × 21 62 = (10 × 7 × 41) − (10 × 7 × 3) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลําดับและอนกุ รม 81 คูมือครรู ายวชิ าเพ่ิมเติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 6 เลม 1 = (10× 7)(41− 3) = 70 × 38 = 2,660 ดงั นัน้ ผลบวก 20 พจนแ รกของอนุกรม 1(1−1) + 2(2 −1) + 3(3 −1) + + n(n −1) + เทากบั 2,660 13. ลําดับของจํานวนเกา อี้แตละแถวในโรงละครจากแถว A ถงึ Z คือ 8, 11, 14, , an ซ่ึงเปน ลาํ ดบั เลขคณติ ท่ีมี=a1 8=, d 3 และ n = 26 ดังน้ัน จํานวนเกา อ้ีทั้งหมดในโรงละครแหงนี้ คือ S26 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S26 = 26 (2(8) + (26 −1)(3)) 2 = 13(16 + 75) = 13× 91 = 1,183 ดงั นน้ั โรงละครแหงนีส้ ามารถจุผูช มไดทงั้ หมด 1,183 คน 14. ให= P 10000=, i 2=, k 2 และ n = 2 จะได= r =2 0.02 100 จะได จํานวนเงินรวมของนิวเมื่อฝากเงินครบ 2 ป คือ 10, 000 1 + 0.02 4 หรือประมาณ 2 10,406.04 บาท ดังนั้น เงินรวมของนิวเม่ือฝากเงินครบ 2 ป โดยที่ไมมีการฝากและถอนเงินในระหวางนี้ ประมาณ 10,406.04 บาท 15. ให =S 10000=, i 2=, k 2 และ n = 3 จะได= r =2 0.02 100 จะได มูลคาปจ จุบันของเงินรวม 10,000 บาท คือ P = 10, 000 1 + 0.02 −(2)(3) ≈ 9,420.45 2 ดังนัน้ นดิ ควรนําเงนิ ไปฝากอยา งนอย 9,420.45 บาท สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดับและอนุกรม 82 คูม อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ่ี 6 เลม 1 16. ให R แทนคางวดทีก่ กุ ไกต อ งผอนชําระทกุ สน้ิ เดือน และ =i 1=2 1 จะได= r =1 0.01 12 100 เนอื่ งจากกกุ ไกจายเงินในวนั ท่ตี ัดสินใจซ้ือโทรศพั ทม ือถือ 2,000 บาท ทําใหเหลอื เงินท่ตี องชําระ อีก 12,000 – 2,000 = 10,000 บาท โดยกุกไกจ ะตอ งผอ นชําระทกุ สน้ิ เดือนเปน เวลา 6 เดือน เขยี นแผนภาพแสดงมลู คาปจ จุบนั ของเงนิ ผอ นแตล ะงวดไดด ังนี้ จากแผนภาพ จะได มูลคาปจจุบนั ของเงนิ ผอนงวดที่ 1, 2, 3, …, 6 คอื R (1.01)−1 , R (1.01)−2 , R (1.01)−3 , ..., R (1.01)−6 ตามลําดับ นน่ั คือ ผลรวมของมลู คาปจจุบันของเงินผอนทั้ง 6 งวด คือ R (1.01)−1 + R (1.01)−2 + R (1.01)−3 + + R (1.01)−6 ซึง่ เปน อนกุ รมเรขาคณิตท่ีมี 6 พจน โดยพจนแรก คือ R(1.01)−1 และอตั ราสว นรวม คอื (1.01)−1 ดังนัน้ ผลรวมของมูลคาปจจบุ ันของเงนิ ผอ นท้ัง 6 งวด คอื ( )R (1.01)−1 1− (1.01)−6 1 − (1.01)−1 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 1 | ลาํ ดบั และอนกุ รม 83 คมู ือครรู ายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 จาก กุกไกเหลือเงินท่ตี อ งชาํ ระอีก 10,000 บาท จะไดวา 10,000 = ( )R(1.01)−1 1− (1.01)−6 1 − (1.01)−1 ( )10,000 1− (1.01)−1 ( )R = (1.01)−1 1 − (1.01)−6 R ≈ 1,725.48 ดังนนั้ กกุ ไกจ ะตองผอ นชําระเดอื นละประมาณ 1,725.48 บาท สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบอื้ งตน 84 คูมือครูรายวชิ าเพมิ่ เตมิ คณิตศาสตร ช้นั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 6 เลม 1 บทท่ี 2 แคลคูลสั เบ้ืองตน แคลคูลสั เปนสาระการเรียนรูทสี่ ามารถบูรณาการรวมกับศาสตรอื่น ๆ อยางแพรหลาย เชน ฟสิกส แพทยศาสตร ภูมิศาสตร เพื่อศึกษาและสรา งแบบจําลองคณิตศาสตรท ี่เก่ยี วกบั การเปล่ียนแปลงท่ี พบในชีวิตจริง เชน การเปล่ียนแปลงความเร็วในการเคล่ือนที่ของวัตถุ การศึกษาการแพรกระจาย ของโรคติดเช้ือ การสรางแบบจําลองคณิตศาสตรเพื่อทํานายการไหลของมวลนํ้าเม่ือเกิดอุทกภัย ซึ่งในหนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 บทที่ 2 แคลคูลัส เบ้ืองตน ไดนําเสนอเนื้อหา เร่ือง ลิมิตของฟงกชันและทฤษฎีบทเกี่ยวกับลิมิตของฟงกชัน ความ ตอ เนื่องของฟงกชนั และความตอเนือ่ งบนชวง อนุพนั ธของฟงกชนั การหาอนุพันธของฟงกชันโดย ใชสูตร อนุพันธของฟงกชันประกอบ เสนสัมผัสเสนโคง อนุพันธอันดับสูง การประยุกตของ อนุพนั ธ ปฏิยานุพันธแ ละปรพิ ันธไมจ าํ กัดเขต ปริพนั ธจ ํากดั เขต และพนื้ ท่ีท่ีปด ลอมดวยเสน โคง ในบทเรียนน้ีมุงเนนใหนักเรียนบรรลุผลการเรียนรูตามสาระการเรียนรูเพิ่มเติม และบรรลุ จุดมงุ หมายดังตอไปน้ี ผลการเรยี นรแู ละสาระการเรียนรูเพิม่ เติม ผลการเรียนรู สาระการเรยี นรเู พ่ิมเตมิ • ตรวจสอบความตอเนื่องของฟงกช นั • ลิมติ และความตอเนื่องของฟงกชัน • อนุพนั ธของฟงกชันพชี คณติ ทก่ี ําหนดให • ปริพนั ธข องฟงกช นั พีชคณิต • หาอนุพันธข องฟงกช ันพีชคณิต ทีก่ ําหนดให และนาํ ไปใชแ กป ญหา • หาปริพันธไมจาํ กัดเขตและจํากัดเขต ของฟง กช นั พีชคณิตทก่ี าํ หนดให และ นําไปใชแ กปญหา สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | แคลคูลสั เบ้ืองตน 85 คมู อื ครูรายวิชาเพม่ิ เตมิ คณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 6 เลม 1 จุดมงุ หมาย 1. หาลิมติ ของฟง กช ันที่กําหนดให 2. ตรวจสอบความตอ เนอ่ื งของฟงกช ันที่กาํ หนดให 3. หาความชนั ของเสน โคง 4. หาอนุพนั ธของฟง กชันที่กําหนดใหแ ละนําไปใชแ กปญหา 5. หาปรพิ ันธไมจาํ กดั เขตและจํากัดเขตของฟง กช นั ทีก่ ําหนดให และนําไปใชแ กปญ หา ความรูกอนหนา ipst.me/10551 • จํานวนจรงิ • ความสมั พันธและฟงกชัน • เรขาคณิตวิเคราะห สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบื้องตน 86 คมู อื ครูรายวชิ าเพ่มิ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศกึ ษาปท่ี 6 เลม 1 2.1 เนือ้ หาสาระ 1. สาํ หรบั ฟงกชนั f ใด ๆ ท่มี โี ดเมนและเรนจเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง ถา คาของ f (x) เขาใกลจํานวนจริง L เม่ือ x เขาใกล a ท้ังทางดานซายและขวาของ a แลว จะเรยี ก L วา ลิมติ ของ f ท่ี a ซ่งึ เขยี นแทนดวยสัญลักษณ lim f (x) = L และกลาว x→a วา lim f ( x) มคี า เทากับ L x→a แตถ าไมมีจํานวนจริง L ซง่ึ f (x) เขา ใกล L เมอ่ื x เขา ใกล a แลว จะกลาววา f ไมมี ลิมิตที่ a หรือกลา ววา lim f (x) ไมม คี า x→a อาจแทนสัญลักษณ lim f ( x) = L ดว ย f ( x) → L เม่ือ x → a x→a 2. สําหรับฟงกชัน f ใด ๆ ถา f (x) เขาใกล L เมื่อ x เขาใกล a แลว L อาจไมเทากับ f (a) ก็ได 3. ในการหาลิมิตของฟงกชัน y = f (x) เม่ือ x เขาใกล a นั้น จะพิจารณาคาของ f (x) วาเขาใกลจํานวนจริงใดในขณะที่ x เขาใกล a แต x ≠ a นั่นหมายความวา จะไม พิจารณาคาของ f (x) ท่ี x = a ดังนั้น ฟงกชัน f อาจจะนิยามหรือไมนิยามที่ a ก็ได แตฟง กชนั f จะตอ งนยิ ามทแี่ ตล ะจดุ ทใี่ กล a 4. สําหรับฟงกชัน f ใด ๆ ท่ีมีโดเมนและเรนจเปนสับเซตของเซตของจํานวนจริง ถา f (x) เขาใกลจํานวนจริง L 1 เม่ือ x เขาใกล a ทางดานซายแลว จะเรียก L 1 วา ลมิ ติ ซา ยของ f (x) เมือ่ x เขาใกล a ทางดานซาย เขียนแทนดวย lim f (x) = L1 x→a− ถา f (x) เขาใกลจํานวนจริง L 2 เม่ือ x เขาใกล a ทางดานขวาแลว จะเรียก L 2 วา ลมิ ิตขวาของ f (x) เมอื่ x เขาใกล a ทางดา นขวา เขยี นแทนดว ย lim f (x) = L2 x→a+ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคูลสั เบอ้ื งตน 87 คูมือครรู ายวิชาเพ่มิ เติมคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 6 เลม 1 รปู ที่ 1 รูปท่ี 2 จากรปู ที่ 1 และ 2 จะเหน็ วา lim f (x) = L1 และ lim f (x) = L2 x→a− x→a+ ถา L1= L2 แลว lim f (x) มีคา และ lim f ( x=) L=1 L2 x→a x→a แตถา L1≠ L2 แลว lim f (x) ไมมีคา x→a 5. ทฤษฎบี ท 1 ให a เปน จาํ นวนจรงิ จะไดวา 1) lim c = c เม่ือ c เปนคาคงตัวใด ๆ x→a 2) lim xn = an เมื่อ n ∈ x→a 6. ทฤษฎีบท 2 กาํ หนดให a, L และ M เปนจํานวนจริงใด ๆ ถา f และ g เปน ฟง กชนั ท่มี โี ดเมนและเรนจ เปนสบั เซตของเซตของจํานวนจริง โดยที่ lim f ( x) = L และ lim g (x) = M แลว x→a x→a 1) l=im cf ( x) c=lim f ( x) cL เมือ่ c เปนคา คงตวั ใด ๆ x→a x→a 2) lim ( f ( x) + g ( x)) =lim f ( x) + lim g ( x) =L + M x→a x→a x→a 3) lim ( f ( x) − g ( x)) =lim f ( x) − lim g ( x) =L − M x→a x→a x→a 4) lim ( f ( x) ⋅ g ( x)) =lim f ( x) ⋅ lim g ( x) =L ⋅ M x→a x→a x→a สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | แคลคลู สั เบือ้ งตน 88 คูม อื ครรู ายวชิ าเพม่ิ เติมคณติ ศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท ี่ 6 เลม 1 5) f (x) lim f ( x) L เมอ่ื M ≠ 0 lxi→ma= g ( x) xl=i→ma g ( x) M x→a n =lim f ( x) ( )6) Ln เมือ่ n ∈ li=m ( f ( x))n x→a x→a 7) li=m n f ( x) n=lim f ( x) n L เม่ือ n ∈ −{1}, n f ( x) ∈ สําหรับ x ท่ีเขา x→a x→a ใกล a และ n L ∈ 7. ทฤษฎบี ท 3 ให p เปน ฟงกชนั พหุนาม และ a เปนจาํ นวนจริงใด ๆ จะไดว า lim p(x) = p(a) x→a 8. ทฤษฎีบท 4 ให f เปนฟงกชันที่ f ( x) = p(x) เม่ือ p และ q เปนฟงกชันพหุนาม จะไดวา q(x) lim f (x) = p(a) สําหรบั จาํ นวนจรงิ a ใด ๆ ท่ี q(a) ≠ 0 q(a) x→a 9. ในกรณที ่ี lim f ( x) และ lim f ( x) มีคา x→a− x→a+ จะไดว า lim f ( x) = L กต็ อเมื่อ lim f ( x)= L= lim f ( x) x→a x→a− x→a+ 10. บทนิยาม 1 ให f เปนฟงกชันซ่ึงนิยามบนชวงเปด (a, b) และ c∈(a, b) จะกลาววา f เปน ฟง กช นั ตอ เนอื่ ง ท่ี x = c กต็ อเมอ่ื lim f (x) = f (c) x→c 11. ถา f เปน ฟง กชนั ตอเน่อื งท่ี x = c ตอ งมีสมบัตคิ รบทั้งสามขอดังตอไปน้ี 1) f (c) หาคาได (นนั่ คอื c อยใู นโดเมนของ f ) 2) lim f ( x) มีคา x→c 3) lim f ( x) = f (c) x→c สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 568
Pages: