คูม อื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 4 139 4) A และ C มีสมาชิกรว มกัน คอื 4 และ 6 ดังนัน้ A ∩ C ={ 4, 6} 5) สมาชกิ ท่ีอยูใน U แตไมอยูใน C คอื 0, 1, 2, 7 และ 8 ดงั นั้น C′ = { 0, 1, 2, 7, 8} 6) C′ และ A มสี มาชกิ รว มกนั คอื 0, 2 และ 8 ดงั นั้น C′∩ A ={ 0, 2, 8} 7) C′ และ B มีสมาชิกรวมกัน คือ 1 และ 7 ดงั น้นั C′∩ B ={1, 7 } 8) A ∩ B เปนเซตวาง B มีสมาชกิ คือ 1, 3, 5 และ 7 ดงั นั้น ( A ∩ B) ∪ B ={1, 3, 5, 7 } วธิ ที ่ี 2 A และ B ไมมสี มาชิกรว มกนั A และ C มีสมาชกิ รวมกนั คือ 4 และ 6 B และ C มสี มาชกิ รวมกนั คือ 3 และ 5 เขียนแผนภาพเวนนแ สดง A, B และ C ไดดงั น้ี จากแผนภาพ จะได 2) B ∪ C ={1, 3, 4, 5, 6, 7 } 1) A ∩ B =∅ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
140 คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 4) A ∩ C ={ 4, 6 } 6) C′∩ A ={ 0, 2, 8} 3) B ∩ C ={ 3, 5} 8) ( A ∩ B) ∪ B ={1, 3, 5, 7 } 5) C′ = { 0, 1, 2, 7, 8} 7) C′∩ B ={1, 7 } 2) B′ d 3. 1) A′ 3) A′∩ B′ 4) ( A ∪ B)′ s 5) A′∪ B′ 6) ( A ∩ B)′ s สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
7) A − B คมู อื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 141 4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 8) A ∩ B′ d 2) A ∪ ( B ∪ C ) d 3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A ∩ ( B ∩ C ) s 5) ( A ∩ C ) ∪ ( B ∩ C ) 6) ( A ∪ B) ∩ C s สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
142 คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 2) C ∪ B′ 5. 1) A ∩ C ก 2) A 3) B − A ก 4) U 6. 1) ∅ ก 6) ∅ 3) ∅ ก 8) ∅ 5) U ก 7) A′ ก แบบฝกหดั 1.3 1. เขยี นแผนภาพเพอ่ื แสดงจาํ นวนสมาชิกของเซตไดด งั น้ี จากแผนภาพ จะไดจ าํ นวนสมาชิกของเซตตาง ๆ ดังตอไปนี้ เซต A−B B− A A∪B A′ B′ ( A ∪ B)′ จาํ นวนสมาชกิ 34 19 59 60 75 41 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 143 2. เขยี นแผนภาพเพอ่ื แสดงจาํ นวนสมาชกิ ของเซตไดดงั นี้ จากแผนภาพ จะได 1) n( A ∪ B) = 12 +13 +17 = 42 2) n( A − B) =12 ก 3) n( A′∩ B′) =8 ป 3. เขยี นแผนภาพเพือ่ แสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดดงั น้ี จากแผนภาพ จะได 1) n( A ∪ C ) =3 + 7 +10 + 5 +10 + 5 =40 2) n( A ∪ B ∪ C ) = 3 + 7 +10 + 5 +10 + 5 + 3 = 43 ก 3) n( A ∪ B ∪ C )′ =7 ก 4) n(B − ( A ∪ C )) =3 ก 5) n(( A ∩ B) − C ) =7 ก สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
144 คมู อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 4. ให A และ B เปนเซตจํากัด โดย=ที่ n( A) 1=8, n(B) 25 และ n( A ∪ B) =37 จาก n( A ∪ B) = n( A) + n( B) − n( A ∩ B) จะได 37 = 18 + 25 − n( A ∩ B) n( A ∩ B) = 18 + 25 − 37 =6 ดงั น้ัน n( A ∩ B) =6 5. จาก n( A − B) =20 และ n( A ∪ B) =80 เขยี นแผนภาพเพอ่ื แสดงจาํ นวนสมาชิกของเซตไดดังนี้ จากแผนภาพ จะได n(B) = n(A∪ B)−n(A− B) = 80 − 20 = 60 ดังนัน้ n(B) = 60 6. ให U แทนเซตของพนักงานบริษทั แหงหน่งึ ท่ีไดร ับการสอบถาม A แทนเซตของพนกั งานทช่ี อบด่ืมชา B แทนเซตของพนกั งานที่ชอบดื่มกาแฟ A ∪ B แทนเซตของพนักงานที่ชอบด่ืมชาหรอื กาแฟ A ∩ B แทนเซตของพนกั งานทช่ี อบด่ืมท้งั ชาและกาแฟ จะได n( A ∪ B) = 120 n( A) = 60 n( B) = 70 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 145 จาก n( A ∪ B) = n( A) + n( B) − n( A ∩ B) จะได 120 = 60 + 70 − n( A ∩ B) นั่นคือ n( A ∩ B) = 60 + 70 – 120 n( A ∩ B) = 10 ดงั น้ัน มีพนักงานท่ชี อบดืม่ ทั้งชาและกาแฟ 10 คน 7. ให U แทนเซตของผปู ว ยทเ่ี ขา รว มการสาํ รวจ A แทนเซตของผปู วยที่สบู บหุ ร่ี B แทนเซตของผปู วยที่เปนมะเร็งปอด A′∩ B′ แทนเซตของผปู ว ยท่ีไมส บู บุหรแ่ี ละไมเปนมะเร็งปอด A ∩ B แทนเซตของผูปวยท่สี บู บุหรแี่ ละเปน มะเร็งปอด จะได n(U ) = 1,000 n( A) = 312 n( B) = 180 n( A′∩ B′) = 660 วธิ ที ี่ 1 เนื่องจาก A′∩ B′ = ( A ∪ B)′ ดังน้นั n( A′∩ B′) = n( A ∪ B)′ จะได n( A ∪ B) = n(U ) − n( A ∪ B)′ = n(U ) − n( A′∩ B′) = 1,000 − 660 = 340 จาก n( A ∪ B) = n( A) + n( B) − n( A ∩ B) จะได 340 = 312 +180 − n( A ∩ B) นัน่ คอื n( A ∩ B) = 312 + 180 – 340 n( A ∩ B) = 152 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
146 คมู อื ครรู ายวชิ าพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 ดงั นัน้ มีผูป วยท่ีสบู บุหร่แี ละเปน มะเร็งปอด 152 คน คิดเปน รอยละ 152 ×100 ≈ 48.72 ของจํานวนผูส ูบบุหรท่ี ัง้ หมด 312 วธิ ีที่ 2 ให x แทนจาํ นวนผูป ว ยทีส่ บู บุหรีแ่ ละเปนมะเรง็ ปอด นัน่ คือ=x n( A ∩ B) เขียนแผนภาพเพอื่ แสดงจาํ นวนสมาชิกของเซตไดดังนี้ เนื่องจาก โรงพยาบาลแหงนท้ี ําการสํารวจขอมลู จากผูปวยทั้งหมด 1,000 คน จะได 1,000 = (312 − x) + x + (180 − x) + 660 นน่ั คือ 1,000 = (492 − x) + 660 x = 492 + 660 −1, 000 x = 152 ดงั นน้ั มผี ูปว ยทีส่ ูบบุหร่แี ละเปน มะเร็งปอด 152 คน 8. ให คดิ เปนรอ ยละ 152 ×100 ≈ 48.72 ของจํานวนผูส บู บหุ รที่ งั้ หมด 312 U แทนเซตของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาตอนปลายหอ งหน่งึ A แทนเซตของนักเรยี นทส่ี อบผา นวชิ าคณติ ศาสตร B แทนเซตของนักเรียนทส่ี อบผา นวิชาสงั คมศึกษา C แทนเซตของนักเรียนที่สอบผา นวิชาภาษาไทย A∩ B แทนเซตของนักเรยี นท่ีสอบผา นวชิ าคณิตศาสตรและสงั คมศึกษา B ∩C แทนเซตของนักเรียนที่สอบผานวิชาสงั คมศึกษาและภาษาไทย A∩C แทนเซตของนักเรียนทสี่ อบผา นวิชาคณิตศาสตรและภาษาไทย สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 147 A ∩ B ∩ C แทนเซตของนักเรียนทีส่ อบผา นทงั้ สามวชิ า จะได n( A) = 37 n( B) = 48 n(C ) = 45 n( A ∩ B) = 15 n( B ∩ C ) = 13 n(A∩C) = 7 n(A∩ B∩C) = 5 วธิ ีท่ี 1 เขยี นแผนภาพเพื่อแสดงจํานวนสมาชกิ ของเซตไดด ังน้ี วิธีที่ 2 จากแผนภาพ จะไดว ามนี ักเรียนท่สี อบผานอยางนอยหนึง่ วิชา เทา กบั 20 +10 + 25 + 2 + 5 + 8 + 30 =100 คน เนอื่ งจากนักเรยี นท่สี อบผานอยางนอ ยหนึ่งวิชา คือ นักเรียนท่ีสอบผา น วชิ าคณติ ศาสตร หรอื สอบผา นวิชาสงั คมศกึ ษา หรือสอบผานวชิ าภาษาไทย ซ่งึ คอื A ∪ B ∪ C จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B) −n( A ∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C) = 37 + 48 + 45 −15 − 7 −13 + 5 = 100 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
148 คูมือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 ดังน้นั มนี ักเรยี นที่สอบผานอยา งนอ ยหนงึ่ วิชา 100 คน 9. ให U แทนเซตของผถู ือหนุ ในตลาดหลักทรัพยแ หงประเทศไทยท่ีรว มการสาํ รวจ A แทนเซตของผูถือหนุ บริษัท ก B แทนเซตของผูถือหนุ บรษิ ัท ข C แทนเซตของผถู ือหนุ บริษัท ค A∩ B แทนเซตของผูถือหนุ บรษิ ัท ก และ ข B ∩ C แทนเซตของผถู ือหุนบรษิ ัท ข และ ค A∩ C แทนเซตของผถู ือหุนบรษิ ัท ก และ ค A ∩ B ∩ C แทนเซตของผถู ือหนุ ทั้งสามบรษิ ทั จะได n(U ) = 3,000 n( A) = 200 n( B) = 250 n(C ) = 300 n( A ∩ B) = 50 n( B ∩ C ) = 40 n( A ∩ C ) = 30 n(A∩ B∩C) = 0 วธิ ีที่ 1 เขยี นแผนภาพเพ่อื แสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดด งั น้ี สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 149 จากแผนภาพ จะไดวามีผูท ่ีถือหนุ บริษัทอ่ืน ๆ ที่ไมใชหุนของสามบริษทั น้ี 2,370 คน วิธที ่ี 2 ให A ∪ B ∪ C แทนเซตของผถู ือหุน บรษิ ัท ก หรือ ข หรอื ค ( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของผถู ือหุนบริษัทอ่ืน ๆ ทไี่ มใชหุนของสามบริษทั น้ี จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B) −n( A ∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C) = 200 + 250 + 300 − 50 − 30 − 40 + 0 = 630 จะได n( A ∪ B ∪ C )′ = n(U ) − n( A ∪ B ∪ C ) = 3,000 – 630 น่ันคือ n( A ∪ B ∪ C )′ = 2,370 ดงั นัน้ มีผูที่ถือหนุ บริษัทอื่น ๆ ท่ไี มใชห ุนของสามบริษัทน้ี 2,370 คน แบบฝก หดั ทายบท 1. 1) { 48} ด 2) ∅ 3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 } 5) {1, 2, 3, , 10 } ด 2. 1) ตวั อยา งคาํ ตอบ { x | =x 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5} 2) ตวั อยา งคาํ ตอบ { x∈ | − 20 ≤ x ≤ −10 } 3) ตัวอยา งคําตอบ { x |=x 4n +1 เมอื่ n∈} } 4) ตวั อยางคําตอบ { x | x = n3 เม่อื n∈} } สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
150 คูมอื ครูรายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 3. 1) เซตจํากดั 2) เซตอนันต 3) เซตจํากัด 4) เซตจาํ กัด 5) เซตอนันต 4. 1) เปน จริง 2) เปนจริง 3) เปน เทจ็ 4) เปนจรงิ 5) เปนจริง 6) เปน เท็จ 5. 1) A จ 2) ∅ 3) U จ 4) A 5) A จ 6) U 6. 1) เนอ่ื งจาก A ∪ ( B − A) = A ∪ ( B ∩ A′ ) = ( A ∪ B) ∩ ( A ∪ A′ ) = (A∪ B)∩U = A∪B ดงั นั้น A ∪ B = A ∪ (B − A) 2) เนื่องจาก A − ( A ∩ B) = A ∩ ( A ∩ B)′ = A ∩ ( A′ ∪ B′ ) = ( A ∩ A′ ) ∪ ( A ∩ B′ ) = ∅ ∪ ( A ∩ B′ ) = A ∩ B′ ดงั น้ัน A ∩ B′ = A − ( A ∩ B) 3) เน่อื งจาก U − ( A ∪ B) = U ∩ ( A ∪ B)′ = U ∩ ( A′∩ B′ ) = A′∩ B′ ดังน้นั A′∩ B′ = U − ( A ∪ B) สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
7. 1) A′∩ B ก คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 151 จ 2) ( A ∩ B′ )′ 3) ( A ∪ B′ )′ ก 8. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′∩ B) ∩ C 3) ( A − B)′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′− B) สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
152 คูมือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 6) A′∩ (C′∩ B) 5) ( A∩ B′) ∪ C ก 7) A ∪ (C′∩ B)′ ก 9. 1) { 0, 2, 4, 7, 9, 12, 14 } จ 2) {1, 4, 6, 9, 12, 15} 3) {1, 4, 5, 7, 11, 12 } จ 4) { 4, 9, 12 } 5) {1, 4, 12 } จ 6) { 4, 7, 12 } 7) { 0, 2, 7, 14 } จ 8) {1, 5, 6, 11, 15} 10. เนอ่ื งจาก A ∩ B =∅ ดงั นัน้ เขยี นแผนภาพแสดงเซตไดดงั นี้ 1) สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 153 จากแผนภาพ จะเห็นวา A ⊂ B′ ดงั นน้ั ขอความ “ A ⊂ B′ ” เปน จรงิ 2) จากแผนภาพ จะเห็นวา B ⊂ A′ ดงั นน้ั ขอความ “ B ⊂ A′ ” เปน จริง 3) จากแผนภาพ จะเหน็ วา A′∪ B′ =U ดังนนั้ ขอความ “ A′∪ B′ =U ” เปนจริง 11. เนื่องจาก A ⊂ B ดังนน้ั เขียนแผนภาพแสดงเซตไดด งั นี้ 1) จากแผนภาพ จะเหน็ วา A ∪ B =B ดังนัน้ ขอความ “ A ∪ B =B ” เปน จริง A∪B สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
154 คูมือครูรายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 2) จากแผนภาพ จะเห็นวา A ∩ B =A ดังน้ัน ขอความ “ A ∩ B =A ” เปนจรงิ A∩B 3) B′ A′ จากแผนภาพ จะเหน็ วา B′ ⊂ A′ ดังน้นั ขอความ “ B′ ⊂ A′ ” เปน จริง 4) จากแผนภาพ จะเหน็ วา A ∩ B′=∅ ดังนั้น ขอ ความ “ A ∩ B′=∅ ” เปน จริง A ∩ B′ 5) จากแผนภาพ จะเหน็ วา A′∪ B =U ดงั นนั้ ขอความ “ A′∪ B =U ” เปนจริง A′ ∪ B สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 155 12. ให A และ B เปน เซตที่มจี ํานวนสมาชกิ เทากัน คอื x ตัว นัน่ คอื n=( A) n=(B) x จากโจทย n( A ∩ B) =101 และ n( A ∪ B) =233 จาก n( A ∪ B) = n( A) + n(B) − n( A ∩ B) จะได 233 = x + x −101 นั่นคอื 2x = 233 + 101 x = 167 ดังน้นั n( A) = 167 13.ดให U แทนเซตของผูปวยทเี่ ขารวมการสาํ รวจ A แทนเซตของผปู วยทเ่ี ปนโรคตา B แทนเซตของผูปว ยที่เปนโรคฟน A∩ B แทนเซตของผูปวยท่เี ปนท้ังสองโรค A′ ∩ B′ แทนเซตของผปู ว ยท่ีไมเ ปนโรคตาและไมเปน โรคฟน จะได n(U ) = 100 n( A) = 40 n( B) = 20 n(A∩ B) = 5 วธิ ที ่ี 1 นาํ ขอ มูลท้ังหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้ จากแผนภาพ จะไดวามีผูปว ยท่ีไมเ ปน โรคตาและไมเ ปนโรคฟน 45% สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
156 คมู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 4 วธิ ที ่ี 2 เนื่องจาก A′∩ B′ = ( A ∪ B)′ น่นั คอื เซตของผูปว ยที่ไมเปน โรคตาและไมเปน โรคฟน คอื ( A∪ B)′ จาก n( A ∪ B) = n( A) + n(B) − n( A ∩ B) จะได n( A ∪ B) = 40 + 20 − 5 = 55 จาก n( A ∪ B)′ = n(U ) − n( A ∪ B) จะได = 100 − 55 14. ให = 45 จะได ดังนัน้ มีผปู วยทไี่ มเ ปนโรคตาและไมเ ปนโรคฟน 45% U แทนเซตของลกู คาทเ่ี ขารวมการสาํ รวจ A แทนเซตของลูกคาที่ใชพ ดั ลมชนิดตั้งโตะ B แทนเซตของลูกคาที่ใชพัดลมชนิดแขวนเพดาน A∩ B แทนเซตของลกู คา ที่ใชพ ดั ลมท้ังสองชนิด n(U ) = 100 n( A) = 60 n( B) = 45 n( A ∩ B) = 15 วธิ ที ี่ 1 นําขอ มูลทั้งหมดไปเขยี นแผนภาพไดด ังนี้ จากแผนภาพ จะไดว า สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวชิ าพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 157 1) มีลูกคา ที่ไมใชพดั ลมทงั้ สองชนิดนี้ 10% 2) มีลกู คา ท่ีใชพัดลมเพยี งชนดิ เดียวเทากบั 45% + 30% = 75% วธิ ที ่ี 2 จาก n( A∪ B) = n( A) + n(B) − n( A∩ B) จะได n( A ∪ B) = 60 + 45 −15 = 90 1) มลี กู คา ที่ไมใชพดั ลมทั้งสองชนิดนเ้ี ทากับ 100% – 90% = 10% 2) มลี ูกคาท่ีใชพัดลมชนดิ เดียวเทากบั 90% – 15% = 75% 15. ให U แทนเซตของรถที่เขามาซอมท่ีอขู องแดน A แทนเซตของรถที่ตองซอมเบรก B แทนเซตของรถทตี่ องซอมระบบทอไอเสีย A∪ B แทนเซตของรถทต่ี องซอมเบรกหรือระบบทอไอเสีย ( A ∪ B)′ แทนเซตของรถท่มี สี ภาพปกติ A∩ B แทนเซตของรถทีต่ องซอมท้ังเบรกและระบบทอไอเสีย จะได n(U ) = 50 n( A) = 23 n( B) = 34 n( A ∪ B)′ = 6 น่ันคือ n( A ∪ B) = 50 − 6 = 44 วธิ ที ี่ 1 ให x แทนจาํ นวนรถทต่ี อ งซอมทั้งเบรกและระบบทอ ไอเสีย นัน่ คอื n( A ∩ B) =x นาํ ขอ มูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้ สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
158 คูมือครูรายวิชาพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 1) จากแผนภาพ จะไดว า 44 = (23 − x) + x + (34 − x) 44 = 57 − x จะได x = 13 ดังน้ัน มีรถที่ตองซอมท้ังเบรกและระบบทอไอเสีย 13 คัน 2) จากแผนภาพ จะไดว ามรี ถท่ตี องซอมเบรกแตไมตองซอมระบบทอไอเสีย เทากบั 23 – 13 = 10 คัน วธิ ีท่ี 2 1) จาก n( A∪ B) = n( A) + n(B) − n( A∩ B) จะได 44 = 23 + 34 − n( A ∩ B) น่ันคือ n( A ∩ B) = 23 + 34 − 44 n( A ∩ B) = 13 ดังนัน้ มีรถทต่ี องซอมท้ังเบรกและระบบทอ ไอเสีย 13 คนั 2) มรี ถท่ตี องซอมเบรกแตไมต องซอ มระบบทอไอเสยี เทา กบั 23 – 13 = 10 คนั 16. ให U แทนเซตของผใู ชบริการขนสง ทเี่ ขารว มการสํารวจ A แทนเซตของผูใชบ รกิ ารขนสงทางรถไฟ B แทนเซตของผใู ชบ ริการขนสงทางรถยนต C แทนเซตของผใู ชบ รกิ ารขนสงทางเรอื A∩ B แทนเซตของผูใชบรกิ ารขนสง ทางรถไฟและรถยนต สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 159 B ∩C แทนเซตของผใู ชบรกิ ารขนสงทางรถยนตและเรอื A∩C แทนเซตของผูใ ชบ ริการขนสง ทางรถไฟและเรอื A ∩ B ∩ C แทนเซตของผใู ชบริการขนสง ทัง้ ทางรถไฟ รถยนต และเรือ ( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของผูใชบ ริการขนสง อ่นื ๆ ทไี่ มใ ชท างรถไฟ รถยนต หรอื เรือ A ∪ B ∪ C แทนเซตของผูใ ชบริการขนสงทางรถไฟ รถยนต หรือเรอื จะได n( A) = 100 n( B) = 150 n(C ) = 200 n( A ∩ B) = 50 n( B ∩ C ) = 25 n(A∩C) = 0 n(A∩ B∩C) = 0 n( A ∪ B ∪ C )′ = 30 วิธีท่ี 1 นาํ ขอมูลท้ังหมดไปเขียนแผนภาพไดด ังน้ี จากแผนภาพ จะไดว า มผี ูใชบ ริการขนสง ท่ีเขารว มการสํารวจทั้งหมด เทากบั 50 + 50 + 75 + 25 +175 + 30 =405 คน วธิ ีท่ี 2 จาก n( A∪ B ∪C) = n( A) + n(B) + n(C) − n( A∩ B) สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
160 คูมอื ครูรายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 −n( A ∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C) จะได n( A ∪ B ∪ C ) = 100 +150 + 200 − 50 − 0 − 25 + 0 = 375 จาก n( A ∪ B ∪ C )′ = 30 จะได n(U ) = n( A ∪ B ∪ C ) + n( A ∪ B ∪ C )′ = 375 + 30 = 405 ดังนัน้ มผี ใู ชบ ริการขนสงที่เขารวมการสาํ รวจท้ังหมด 405 คน 17. ให U แทนเซตของคนทาํ งานทเ่ี ขารวมการสํารวจ A แทนเซตของคนทาํ งานที่ชอบการเดินปา B แทนเซตของคนทํางานทช่ี อบการไปทะเล C แทนเซตของคนทาํ งานทีช่ อบการเลนสวนนํ้า A∩ B แทนเซตของคนทํางานที่ชอบการเดนิ ปา และการไปทะเล A∩C แทนเซตของคนทํางานทชี่ อบการเดินปาและการเลน สวนนํ้า B ∩C แทนเซตของคนทํางานท่ีชอบการไปทะเลและการเลนสวนนํา้ A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนทาํ งานท่ชี อบท้งั การเดินปา การไปทะเล และการเลน สวนน้าํ จะได n( A) = 35 n( B) = 57 n(C ) = 20 n(A∩ B) = 8 n( A ∩ C ) = 15 n(B∩C) = 5 n(A∩ B∩C) = 3 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 161 นาํ ขอ มลู ท้งั หมดไปเขยี นแผนภาพไดด งั นี้ จากแผนภาพ จะไดว า 1) มีคนทีช่ อบการไปทะเลหรอื ชอบการเลน สวนนํา้ เทา กบั 5% + 47% +12% + 3% + 2% + 3% =72% 2) มีคนที่ชอบการเดินปา หรือชอบการไปทะเล เทา กับ 15% + 5% + 47% +12% + 3% + 2% =84% 3) มคี นท่ชี อบทํากจิ กรรมเพียงอยา งเดยี ว เทา กบั 15% + 47% + 3% =65% 4) มีคนที่ไมชอบการเดนิ ปา หรือไปทะเล หรอื เลน สวนนาํ้ 13% 18. ให U แทนเซตของประชาชนท่ีเขา รวมการสํารวจ A แทนเซตของคนท่ชี อบทเุ รยี น B แทนเซตของคนทชี่ อบมงั คดุ C แทนเซตของคนทีช่ อบมะมว ง A∩ B แทนเซตของคนทชี่ อบทุเรยี นและมังคดุ B ∩ C แทนเซตของคนทีช่ อบมงั คุดและมะมว ง A∩C แทนเซตของคนท่ีชอบทุเรียนและมะมวง A ∩ B ∩ C แทนเซตของคนทชี่ อบผลไมท ้ังสามชนดิ น้ี จะได n( A) = 720 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
162 คูม ือครูรายวิชาพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 n( B) = 605 n(C ) = 586 n( A ∩ B) = 483 n( B ∩ C ) = 470 n( A ∩ C ) = 494 n( A ∩ B ∩ C ) = 400 นาํ ขอมลู ทงั้ หมดไปเขียนแผนภาพไดดงั นี้ จากแผนภาพ จะไดวา 1) มคี นทชี่ อบมงั คุดอยางเดยี ว 52 คน 2) มคี นท่ีชอบผลไมอยางนอ ยหน่ึงชนิดในสามชนิดนี้ เทากับ 143 + 83 + 52 + 94 + 400 + 70 + 22 =864 คน 3) มคี นที่ไมชอบผลไมชนดิ ใดเลยในสามชนดิ น้ี 136 คน 19. ให U แทนเซตของนักเรียนท่ีเขา รว มการสาํ รวจ A แทนเซตของนักเรียนท่ชี อบวิชาคณติ ศาสตร B แทนเซตของนักเรียนท่ีชอบวิชาฟสกิ ส C แทนเซตของนักเรียนทช่ี อบวิชาภาษาไทย ( A ∪ B ∪ C)′ แทนเซตของนักเรยี นท่ีไมช อบวิชาใดเลยในสามวชิ าน้ี จะได n( A) = 56 สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 163 n( B) = 47 n(C ) = 82 นั่นคือ n( A ∪ B ∪ C )′ = 4 n( A ∪ B ∪ C ) = 100 − 4 = 96 ให x แทนจาํ นวนนักเรียนทช่ี อบวชิ าคณิตศาสตรแ ละฟส กิ ส แตไมชอบวชิ าภาษาไทย y แทนจํานวนนกั เรียนท่ีชอบวิชาคณติ ศาสตรและภาษาไทย แตไมช อบวิชาฟส ิกส z แทนจํานวนนักเรยี นทช่ี อบวชิ าฟส ิกสแ ละภาษาไทย แตไมช อบวิชาคณติ ศาสตร k แทนจํานวนนักเรยี นทีช่ อบทั้งสามวชิ า วิธที ี่ 1 นาํ ขอ มลู ทั้งหมดไปเขยี นแผนภาพไดดังนี้ จากแผนภาพ จะไดวา 96 = (56 − x − y − k ) + (47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k ) + x + y + z + k 96 = 185 − x − y − z − 2k 89 = ( x + y + z) + 2k เนื่องจาก มีนกั เรียนที่ชอบเพียง 2 วชิ าเทานั้น จํานวน 71% นัน่ คอื x + y + z =71 จะได 89 = 71+ 2k 2k = 18 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
164 คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 วิธีท่ี 2 ดงั นั้น k = 9 จะไดว า (56 − x − y − k ) + (47 − x − z − k ) + (82 − y − z − k ) = 185 − 2x − 2 y − 2z − 3k = 185 − 2( x + y + z) − 3k = 185 − 2(71) − 3(9) = 185 −142 − 27 = 16 ดงั น้นั มนี ักเรยี นทช่ี อบเพียงวชิ าเดียวเทาน้ัน จาํ นวน 16 % นาํ ขอ มูลท้ังหมดไปเขียนแผนภาพไดดังนี้ เนื่องจาก มนี ักเรียนทชี่ อบเพียง 2 วิชาเทาน้ัน จาํ นวน 71% น่นั คือ x + y + z =71 จาก n( A ∪ B ∪ C ) = n( A) + n(B) + n(C ) − n( A ∩ B) −n( A ∩ C) − n(B ∩ C) + n( A ∩ B ∩ C) จะได 96 = 56 + 47 + 82 − ( x + k ) − ( y + k ) − ( z + k ) + k x + y + z + 2k = 89 71+ 2k = 89 2k = 18 k =9 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 165 ดงั นัน้ มีนกั เรยี นที่ชอบเพยี งวิชาเดยี วเทานนั้ เทากับ 96% – 9% – 71% = 16 % 20. ให U แทนเซตของคนกลุมนี้ A แทนเซตของคนทม่ี ีแอนตเิ จน A B แทนเซตของคนทีม่ ีแอนติเจน B Rh แทนเซตของคนทีม่ ีแอนตเิ จน Rh+ A ∩ B แทนเซตของคนทม่ี หี มเู ลือด AB A − B แทนเซตของคนที่มีหมูเ ลอื ด A B − A แทนเซตของคนท่มี ีหมูเลอื ด B ( A ∩ Rh) − B แทนเซตของคนที่มีหมเู ลือด A+ (B ∩ Rh) − A แทนเซตของคนที่มหี มเู ลอื ด B+ A ∩ B ∩ Rh แทนเซตของคนทมี่ ีหมเู ลือด AB+ จะได n( A) = n( A+ ) + n( A− ) + n( AB) = 29 n(B) = n(B+ ) + n(B− ) + n( AB) = 39 n( A ∩ B) = n( AB) = 9 n(( A ∩ Rh) − B) = n( A+ ) = 18 n(( B ∩ Rh) − A) = n(B+ ) = 29 n( A ∩ B ∩ Rh) = n( AB+ ) = 8 n(Rh − ( A ∪ B)) = n(O+ ) = 40 จากแผนภาพท่ีกําหนดให นาํ ขอ มูลทั้งหมดไปเขียนแผนภาพแสดงจํานวนสมาชิกของเซตไดด ังนี้ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
166 คูม ือครูรายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 จากแผนภาพ จะไดวา มีคนกลุมน้ี 1% ท่มี ีเลอื ดหมู O− สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 167 บทท่ี 2 ตรรกศาสตรเบ้ืองตน แบบฝก หัด 2.1 1. 1) เปนประพจน ทมี่ คี า ความจรงิ เปน เทจ็ 2) เปน ประพจน ท่มี ีคาความจริงเปน จริง 3) เปน ประพจน ที่มคี า ความจริงเปน เท็จ 4) ไมเ ปนประพจน 5) ไมเ ปนประพจน 6) เปน ประพจน ทม่ี คี าความจรงิ เปน จรงิ 7) เปน ประพจน ที่มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 8) เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปนเท็จ 9) ไมเ ปน ประพจน 10) เปนประพจน ทม่ี ีคาความจรงิ เปนจรงิ 11) เปน ประพจน ทมี่ ีคา ความจริงเปน เทจ็ 12) เปน ประพจน ที่มคี า ความจรงิ เปน จรงิ 13) ไมเ ปน ประพจน 14) ไมเ ปนประพจน 15) เปนประพจน ที่มคี า ความจริงเปนเทจ็ 16) ไมเปนประพจน 17) ไมเปนประพจน 18) เปน ประพจน ที่มีคาความจริงเปน จริง 2. ตวั อยา งคําตอบ 2 > 3 เปน ประพจน ท่มี คี า ความจริงเปนเท็จ ∅ ∈ {1, 2, 3} เปนประพจน ท่ีมีคาความจริงเปน เท็จ หน่งึ ปม ีสิบสองเดือน เปนประพจน ที่มีคาความจริงเปน จริง 4 เปนจาํ นวนอตรรกยะ เปน ประพจน ทีม่ ีคา ความจริงเปน เท็จ เดือนมกราคม มี 31 วัน เปน ประพจน ท่ีมคี าความจรงิ เปนจริง สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
168 คูมอื ครรู ายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 แบบฝก หัด 2.2 1. 1) นเิ สธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คอื 4 + 9 ≠10 + 3 มีคาความจรงิ เปน เท็จ 2) นเิ สธของประพจน −6 </ 7 คอื −6 < 7 มคี าความจรงิ เปนจริง 3) นิเสธของประพจน 100 ไมเปน จํานวนเตม็ คอื 100 เปนจาํ นวนเต็ม มคี า ความจรงิ เปนจริง 4) นเิ สธของประพจน 2 ⊄ {2} คอื 2 ⊂ {2} มีคาความจรงิ เปนเทจ็ 2. 1) เนอ่ื งจาก p เปนจริง จะได p เปน เท็จ ดังนน้ั p มคี าความจรงิ เปนเท็จ 2) เนอ่ื งจาก q เปนเทจ็ จะได q เปนจรงิ ดงั นน้ั q มคี า ความจรงิ เปนจริง 3) เนื่องจาก p เปน จริง และ q เปนเท็จ จะได p ∧ q เปน เท็จ ดังนน้ั p ∧ q มคี าความจริงเปนเท็จ 4) เนือ่ งจาก p เปนจรงิ และ q เปน เท็จ จะได p ∨ q เปนจริง ดงั นั้น p ∨ q มคี า ความจริงเปนจริง 5) เนอ่ื งจาก p เปน จริง และ q เปน เท็จ จะได p → q เปนเทจ็ ดงั นั้น p → q มคี า ความจริงเปนเท็จ 6) เนื่องจาก p เปนจรงิ และ q เปนเท็จ จะได p ↔ q เปนเท็จ ดังนน้ั p ↔ q มคี า ความจริงเปนเท็จ 7) เนอ่ื งจาก p เปน จรงิ และ q เปน จรงิ จะได p∧ q เปน จริง ดังนั้น p∧ q มคี า ความจริงเปนจรงิ 8) เน่ืองจาก p เปนเท็จ และ q เปนเทจ็ จะได p ∨ q เปนเท็จ สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 169 ดงั นั้น p ∨ q มีคา ความจรงิ เปนเท็จ 9) เนอ่ื งจาก p เปน เท็จ และ q เปนจริง จะได p∧ q เปนเท็จ ดังนั้น p∧ q มคี าความจริงเปนเท็จ 10) เน่อื งจาก p∧ q เปนจริง จะได ( p∧ q) เปน เท็จ ดงั นน้ั ( p∧ q) มคี า ความจรงิ เปนเท็จ 11) เน่ืองจาก q เปนเท็จ และ p เปนจรงิ จะได q → p เปน จริง จาก p เปนจรงิ และ q → p เปนจริง จะได p ↔ (q → p) เปนจริง ดังนนั้ p ↔ (q → p) มคี าความจริงเปนจรงิ 12) เนือ่ งจาก p ∨ q เปนเท็จ และ p∧ q เปน จรงิ จะได ( p ∨ q) → ( p∧ q) เปนจรงิ ดังนั้น ( p ∨ q) → ( p∧ q) มคี า ความจริงเปนจริง 3. 1) ให p แทน งูเหา เปน สตั วม พี ิษ q แทน งูจงอางเปนสัตวม ีพิษ ประพจนที่กําหนดใหอยใู นรปู p ∧ q เนอื่ งจาก p เปน จรงิ และ q เปน จรงิ จะได p ∧ q เปน จรงิ ดงั นน้ั ประพจน “งเู หา และงูจงอางเปนสัตวม ีพษิ ” มีคาความจรงิ เปนจรงิ 2) ให p แทน โลมาเปนสตั วเลย้ี งลูกดวยน้ํานม q แทน คนเปนสตั วเ ล้ยี งลกู ดวยนํา้ นม ประพจนท่ีกาํ หนดใหอยใู นรูป p ∨ q เนอ่ื งจาก p เปนจริง และ q เปน จรงิ จะได p ∨ q เปน จริง ดงั นัน้ ประพจน “โลมาหรือคนเปน สตั วเ ลี้ยงลูกดวยน้ํานม” มีคาความจรงิ เปน จริง สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
170 คมู ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 3) ให p แทน ดวงอาทิตยขน้ึ ทางทศิ ตะวนั ออก ประพจนที่กําหนดใหอยูในรปู p เน่อื งจาก p เปน จรงิ จะได p เปน เทจ็ ดงั นัน้ ประพจน “ดวงอาทติ ยไ มไดขึ้นทางทิศตะวนั ออก” มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 4) ให p แทน มา มปี ก q แทน คนบนิ ได ประพจนท ี่กําหนดใหอยใู นรปู p ↔ q เนอ่ื งจาก p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ จะได p ↔ q เปนจรงิ ดังนน้ั ประพจน “มา มปี ก ก็ตอเมื่อคนบนิ ได” มคี าความจริงเปนจรงิ 5) ให p แทน 13เปน จํานวนเฉพาะ q แทน 13 มตี วั ประกอบคือ 1 กับ 13 เทา นัน้ ประพจนท ี่กําหนดใหอยใู นรูป p ↔ q เนอ่ื งจาก p เปน จริง และ q เปนจริง จะได p ↔ q เปนจรงิ ดังน้ัน ประพจน “13เปน จาํ นวนเฉพาะ ก็ตอเม่ือ 13 มีตวั ประกอบคือ 1 กับ 13 เทา น้นั ” มีคาความจริงเปนจริง 6) ให p แทน 3 เปนจาํ นวนคี่ q แทน 32 เปนจาํ นวนคี่ ประพจนท ี่กาํ หนดใหอยูในรปู p → q เนอ่ื งจาก p เปน จรงิ และ q เปน จริง จะได p → q เปน จรงิ ดงั น้นั ประพจน “ถา 3 เปนจาํ นวนคี่ แลว 32 เปน จาํ นวนคี่” มคี า ความจริงเปน จริง 7) ให p แทน 1∉{1, 2} q แทน 1 ⊂ {1, 2} สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 171 ประพจนท่ีกาํ หนดใหอยูในรปู p ∧ q เนอ่ื งจาก p เปนเท็จ และ q เปนเท็จ จะได p ∧ q เปน เท็จ ดังนน้ั ประพจน “1∉{1,2} และ 1⊂ {1,2} ” มีคาความจริงเปน เท็จ 8) ให p แทน 9 ไมเทากับ 10 q แทน 10 ไมนอ ยกวา 9 ประพจนท่ีกําหนดใหอยูในรปู p ∨ q เนือ่ งจาก p เปนจรงิ และ q เปนจรงิ จะได p ∨ q เปน จริง ดงั นน้ั ประพจน “9 ไมเทา กับ 10 หรอื 10 ไมน อยกวา 9 ” มคี า ความจริงเปน จริง แบบฝกหัดทายบท 1. 1) ไมเปนประพจน 2) เปนประพจน ที่มีคา ความจริงเปน จรงิ 3) เปน ประพจน ที่มคี า ความจรงิ เปน จริง 4) เปนประพจน ทีม่ ีคา ความจริงเปน เท็จ 5) ไมเ ปนประพจน 6) เปนประพจน ท่ีมีคาความจริงเปน เทจ็ 7) ไมเ ปนประพจน 8) ไมเ ปนประพจน 9) เปน ประพจน ท่มี คี า ความจริงเปน จริง 10) เปน ประพจน ทม่ี ีคาความจริงเปนจริง 2. 1) ให p แทน นทไี ปโรงเรยี นโดยรถประจาํ ทาง q แทน นทไี ปโรงเรียนโดยจกั รยานยนตร บั จาง ดงั นั้น ขอความทก่ี าํ หนดใหอ ยใู นรูป p ∨ q 2) ให p แทน บุคคลตองรบั ผดิ ในทางอาญา q แทน บคุ คลไดกระทําโดยเจตนา ดังนั้น ขอความทก่ี ําหนดใหอ ยูใ นรปู p ↔ q สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
172 คูมอื ครรู ายวชิ าพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 3) ให p แทน สาครมีเงิน q แทน สาครมีเพ่ือนรายลอม r แทน สาครมคี วามสุข ดงั น้ัน ขอ ความทก่ี าํ หนดใหอยูในรูป p ∧ q∧ r 4) ให p แทน ออมสอบชงิ ทนุ ไปเรยี นตอ ตางประเทศได q แทน ออมเรียนจบดวยคะแนนเกียรตนิ ิยม r แทน พอ ของออมซ้ือรถยนตใหเ ปน รางวัล ดังนั้น ขอ ความท่กี าํ หนดใหอยูในรปู ( p ∧ q) → r 5) ให p แทน จาํ เลยในคดีเปนผูวิกลจริต q แทน จาํ เลยในคดีถกู สอบสวน r แทน จาํ เลยในคดีรับโทษ ดงั นน้ั ขอความทก่ี ําหนดใหอยใู นรูป p → ( q∨ r) 6) ให p แทน ตน ปลอมธนบัตร q แทน ตน แปลงธนบตั ร r แทน ตน ไดรับโทษจําคุก 20 ป s แทน ตน ไดรับโทษปรับไมเกิน 40,000 บาท ดงั น้นั ขอความท่ีกําหนดใหอ ยูในรปู ( p ∨ q) → (r ∨ s ∨ (r ∧ s)) 3. 1) นเิ สธของประพจน −20 + 5 > −17 คอื −20 + 5 ≤ −17 มคี า ความจริงเปนเท็จ 2) นเิ สธของประพจน 37 ไมเ ปนจาํ นวนเฉพาะ คือ 37 เปน จาํ นวนเฉพาะ มีคาความจรงิ เปน จริง 3) นเิ สธของประพจน 2 ∈ คอื 2 ∉ มคี าความจรงิ เปน จรงิ 4) นเิ สธของประพจน ⊂ คอื ⊄ มคี า ความจริงเปนเท็จ สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 173 4. ตัวอยา งคําตอบ π ไมเปน จํานวนตรรกยะ นิดาและนัดดาเปนนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 รปู สเ่ี หลี่ยมอาจเปน รูปส่เี หลีย่ มมุมฉากหรือรูปสเ่ี หลี่ยมดานขนานก็ได รูปสามเหล่ียม ABC เปนรูปสามเหล่ียมดานเทาก็ตอเมื่อรูปสามเหลี่ยม ABC มดี า นยาวเทา กนั ทุกดา น 5. 1) จาก p เปนจริง และ q เปนจริง จะได p ∧ q เปนจริง จาก p ∧ q เปน จรงิ และ r เปนเท็จ จะได ( p ∧ q) ∨ r เปน จรงิ ดังนั้น ( p ∧ q) ∨ r มคี าความจริงเปน จริง 2) จาก q เปน จรงิ จะได q เปนเทจ็ จาก q เปน เทจ็ และ r เปนเท็จ จะได q ∨ r เปน เท็จ จาก q ∨ r เปน เทจ็ และ p เปน จรงิ จะได ( q ∨ r) ∧ p เปน เท็จ ดงั น้ัน ( q ∨ r) ∧ p มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 3) จาก p เปนจรงิ จะได p เปนเทจ็ และจาก r เปนเท็จ จะได r ↔ p เปน จริง ดังนัน้ r ↔ p มีคา ความจรงิ เปนจริง 4) จาก p เปนจริง จะได p เปนเท็จ จาก r เปน เทจ็ จะได r เปน จริง จะได p∨ r เปน จรงิ ดงั นน้ั p∨ r มีคาความจริงเปนจริง 5) จาก p เปน จริง และ q เปนจรงิ จะได p ∧ q เปนจริง จาก q เปนจรงิ และ r เปนเท็จ จะได q ∧ r เปน เทจ็ จาก p ∧ q เปน จริง และ q ∧ r เปน เท็จ จะได ( p ∧ q) → (q ∧ r) เปน เท็จ สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
174 คมู ือครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 ดงั นน้ั ( p ∧ q) → (q ∧ r) มคี า ความจรงิ เปนเท็จ 6. 1) ให p แทนประพจน 4 เปน จํานวนเฉพาะ q แทนประพจน 4 เปนจาํ นวนค่ี ประพจนท ี่กาํ หนดใหอยใู นรูป p → q เนือ่ งจาก p เปน เทจ็ จะได p → q เปนจรงิ ดังน้ัน ประพจน “ถา 4 เปนจาํ นวนเฉพาะ แลว 4 เปน จาํ นวนค”ี่ มคี าความจริง เปนจริง 2) ให p แทนประพจน 3 ≥ 2 q แทนประพจน −2 ≥ −3 ประพจนท ่ีกําหนดใหอยใู นรปู p ∧ q เนอ่ื งจาก p เปนจริง และ q เปน จริง จะได p ∧ q เปนจรงิ ดงั นัน้ ประพจน “ 3 ≥ 2 และ −2 ≥ −3” มคี า ความจรงิ เปนจรงิ 3) ให p แทนประพจน 100 กิโลกรัม เทา กับ 1 ตัน q แทนประพจน 10 ขีด เทากับ 1 กโิ ลกรมั ประพจนท ่ีกําหนดใหอยูในรปู p ∨ q เนอื่ งจาก q เปนจริง จะได p ∨ q เปน จริง ดงั นัน้ ประพจน “100 กโิ ลกรมั เทากบั 1 ตนั หรือ 10 ขีดเทากบั 1 กิโลกรมั ” มคี า ความจริงเปน จรงิ 4) ให p แทนประพจน {x∈} | 3 < x < 4} เปน เซตวาง q แทนประพจน {x∈} | x2 =1} ไมเ ปนเซตวา ง ประพจนท่ีกาํ หนดใหอยใู นรปู p ∨ q เนือ่ งจาก p เปนจรงิ จะได p ∨ q เปน จริง สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม อื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 175 ดังนนั้ ประพจน “{x∈} | 3 < x < 4} เปนเซตวาง หรอื {x∈} | x2 =1} ไมเ ปนเซตวา ง” มีคาความจริงเปนจรงิ 5) ให p แทนประพจน A ∪ A =A q แทนประพจน A − ∅ =U ประพจนท่ีกําหนดใหอยใู นรูป p ∧ q เน่ืองจาก q เปนเทจ็ จะได p ∧ q เปน เทจ็ ดังนนั้ ประพจน “ A ∪ A =A และ A − ∅ =U ” มีคาความจริงเปน เท็จ 7. 1) จาก q ∧ r มคี า ความจริงเปนจรงิ จะได ประพจน q มีคาความจริงเปน จริง และประพจน r มีคาความจรงิ เปน จริง 2) จาก r → q มคี าความจรงิ เปนเทจ็ จะได ประพจน r มคี าความจริงเปนจริง และประพจน q มคี าความจริงเปน เทจ็ 3) จาก p ∨ q มีคาความจรงิ เปน เทจ็ จะได p เปน เท็จ และ q เปน เท็จ หาคาความจริงของ ( p∧ q) → r จาก p เปนเท็จ จะได p∧ q เปนเท็จ จาก p∧ q เปน เท็จ จะได ( p∧ q) → r เปนจริง ดังน้ัน ( p∧ q) → r มคี า ความจริงเปน จริง 4) จาก p → r มคี าความจรงิ เปนเท็จ จะได p เปน จรงิ และ r เปน เทจ็ หาคา ความจรงิ ของ ( p ∨ q) ∧ r จาก r เปนเทจ็ จะได ( p ∨ q) ∧ r เปน เท็จ ดังนั้น ( p ∨ q) ∧ r มคี า ความจรงิ เปน เท็จ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
176 คูมอื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 8. แสดงคุณสมบัติของพนักงานกับเงอ่ื นไขของการเลื่อนตาํ แหนงดังตารางตอไปนี้ เงอ่ื นไข อายุไมตํ่ากวา จบปริญญา ทํางานบริษทั นี้อยางนอ ย 3 ป โทข้นึ ไป หรอื ทาํ งานดานคอมพวิ เตอร ช่ือพนกั งาน 30 ป อยา งนอย 7 ป ฟาใส รงุ นภา ธนา จากตารางจะเห็นวา ฟาใส เปนพนักงานคนเดียวท่ีมีคุณสมบัตสิ อดคลองกบั เงือ่ นไข ของการเลือ่ นตาํ แหนงทั้ง 3 ขอ ดงั น้นั ฟา ใสมีสทิ ธิ์ไดเ ลอ่ื นตําแหนง 9. แสดงคุณสมบัตขิ องพนักงานกบั เงอ่ื นไขของการไดรับเงินรางวลั ดงั ตารางตอไปนี้ เงื่อนไข ทํายอดขายใน 1 ป ทาํ ยอดขายใน 1 ป ทาํ ยอดขายใน 1 ป ไดเ กนิ 3,000,000 ไดเกิน 5,000,000 ไดเกนิ 10,000,000 ชอื่ พนักงาน บาท และไมล ากิจ บาท ไมลาพกั ผอน สรุ ิยา บาท เมฆา และไมล ากจิ กมล ทวิ า เน่ืองจากพนักงานแตละคนจะสามารถรบั เงินรางวลั ทีด่ ีท่สี ุดไดเพยี งรางวลั เดียว ดงั นั้น สรุ ยิ าจะไดรบั เงินรางวัล 30,000 × 1.5 =45,000 บาท สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 177 เมฆาจะไมไดร บั เงนิ รางวัล กมลจะไดรับเงินรางวลั 70,000 × 2 =140,000 บาท และทวิ าจะไดร บั เงินรางวลั 200,000 × 4 =800,000 บาท 10. แสดงคณุ สมบัตขิ องผูก ูกับเงื่อนไขของการกูเ งนิ ดังตารางตอไปน้ี เงือ่ นไข ผกู ูตอ งมี ถาผกู มู คี สู มรส ผูกตู อ งมีเงนิ เหลือ ช่อื ผกู ู เงนิ เดอื น แลว ผูก ูและคูสมรส หลงั หักคา ใชจ ายใน ไมนอ ยกวา ตองมเี งินเดือนรวมกนั 30,000 บาท ไมน อยกวา 70,000 บาท แตละเดือน มากกวา 5,000 บาท สัญญา กวิน มานแกว ไมมีคสู มรส จากตารางจะเหน็ วา มานแกว เปน ผูก คู นเดยี วทม่ี ีคุณสมบตั ิสอดคลองกบั เงื่อนไขของ การกเู งินท้งั 3 ขอ ดังนนั้ มานแกว จะสามารถกูเงินกับบรษิ ทั นไ้ี ด สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
178 คูม อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 บทที่ 3 หลักการนบั เบอื้ งตน แบบฝก หดั 3.1 1. จากหลกั การบวก จะมวี ธิ เี ลือกสั่งอาหารได 12 + 8 + 5 =25 วิธี 2. รูปสามเหลี่ยมดานเทาทีเ่ กดิ จากการจัดเรยี งกระเบื้องมี 3 แบบ ไดแ ก แบบท่ี 1 มีรูปสามเหล่ียมดานเทาท่ีแตละดา นยาว 1 หนว ย อยู 9 รปู แบบท่ี 2 มรี ปู สามเหล่ียมดานเทาทแ่ี ตละดานยาว 2 หนวย อยู 3 รูป แบบท่ี 3 มีรูปสามเหล่ยี มดา นเทาท่ีแตละดานยาว 3 หนว ย อยู 1 รปู จากหลกั การบวก จึงไดวา มรี ูปสามเหลย่ี มดานเทา ทั้งหมด 9 + 3 + 1 = 13 รูป 3. จากหลกั การคณู จะมวี ิธเี ลือกประตูเขาออกได 10×9 =90 วิธี 4. การจดั ระบบรหัสหนังสือของหอ งสมุดแหงนี้ มีองคป ระกอบ 4 สวน ดังนี้ สว นท่ี 1 ตัวอกั ษรภาษาองั กฤษ 2 ตวั มีได 26× 26 แบบ สวนท่ี 2 เลขโดด 3 ตวั ท่ีไมเ ปนศนู ยพรอมกัน มีได 999 แบบ จาก 001 ถึง 999 สวนท่ี 3 ตวั อักษรภาษาองั กฤษ 1 ตัว มไี ด 26 แบบ สวนท่ี 4 เลขโดด 2 ตวั ทไ่ี มเปน ศูนยพรอ มกนั มีได 99 แบบ จาก 01 ถงึ 99 จากหลักการคูณ จึงไดว า การจัดระบบรหสั หนังสือของหองสมดุ แหง น้จี ะมีจํานวนรหัส ท่ีเปน ไปไดท ้งั หมด 26× 26× 999× 26× 99 =1,738,283,976 ตวั สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 4 179 5. เขียนตารางแสดงแตม ท่ีไดจ ากการทอดลกู เตาหน่ึงลูกสองครง้ั ไดด ังน้ี คร้งั ที่ 2 12 3 4 5 6 ครั้งท่ี 1 1 (1, 1) (1, 2) (1, 3) (1, 4) (1, 5) (1, 6) 2 (2, 1) (2, 2) (2, 3) (2, 4) (2, 5) (2, 6) 3 (3, 1) (3, 2) (3, 3) (3, 4) (3, 5) (3, 6) 4 (4, 1) (4, 2) (4, 3) (4, 4) (4, 5) (4, 6) 5 (5, 1) (5, 2) (5, 3) (5, 4) (5, 5) (5, 6) 6 (6, 1) (6, 2) (6, 3) (6, 4) (6, 5) (6, 6) 1) วิธที ี่ 1 จากตาราง จะไดจาํ นวนวิธีท่แี ตม ที่ไดจากการทอดลูกเตาทง้ั สองคร้ัง เทากนั เปน 6 วิธี วธิ ที ่ี 2 ขั้นตอนที่ 1 แตม ที่ไดจ ากการทอดลูกเตาครัง้ ที่ 1 มไี ด 6 วิธี ขั้นตอนที่ 2 เนือ่ งจากแตม ที่ไดจ ากการทอดลูกเตา ทัง้ สองครั้งเทา กัน จะไดวา แตมท่ีไดจากการทอดลกู เตา ครง้ั ที่ 2 มีได 1 วิธี ดงั นนั้ จาํ นวนวธิ ีทแี่ ตมทีไ่ ดจ ากการทอดลกู เตา ทง้ั สองครั้งเทา กนั เปน 6×1 =6 วธิ ี 2) วธิ ีที่ 1 จากตาราง จะไดจ าํ นวนวธิ ีท่แี ตมทีไ่ ดจ ากการทอดลกู เตาทงั้ สองคร้งั ตา งกันเปน 30 วธิ ี วิธที ี่ 2 เนื่องจาก จาํ นวนวธิ ีทไ่ี ดแ ตม จากการทอดลกู เตา สองครงั้ มีได 36 วิธี แตมจี าํ นวนวิธีทีแ่ ตมท่ีไดจากการทอดลูกเตาทง้ั สองคร้งั เทากัน 6 วธิ ี ดังน้ัน จาํ นวนวธิ ที ่ีแตม ทไ่ี ดจากการทอดลกู เตาทง้ั สองครั้งตางกนั เปน 36 − 6 =30 วธิ ี วธิ ที ี่ 3 ขน้ั ตอนท่ี 1 แตมที่ไดจากการทอดลกู เตาครง้ั ท่ี 1 มไี ด 6 วธิ ี สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
180 คมู อื ครรู ายวชิ าพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 ข้นั ตอนที่ 2 เนือ่ งจากแตมท่ีไดจ ากการทอดลกู เตา คร้ังท่ี 2 ตา งจาก คร้งั แรก จะไดวา แตมท่ีไดจากการทอดลูกเตา ครงั้ ที่ 2 มไี ด 5 วิธี ดงั นั้น จํานวนวธิ ที ่ีแตม ทีไ่ ดจ ากการทอดลูกเตาทั้งสองครง้ั ตางกันเปน 6× 5 =30 วิธี 3) จากตาราง จะไดจ ํานวนวิธที ี่ผลรวมของแตมที่ไดจ ากการทอดลูกเตาท้ังสองครง้ั นอยกวา 10 เปน 30 วธิ ี 6. ปญ หาดงั กลาว สามารถแกไดโดยใชหลักการคณู ดงั น้ี หลักรอย หลกั สบิ หลกั หนว ย 1) ขนั้ ตอนท่ี 1 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปน หลกั รอ ย จากเลขโดด 1, 2, 3, …, 9 ได 9 วิธี ขน้ั ตอนที่ 2 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปน หลักสบิ จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9 ได 10 วธิ ี ข้นั ตอนท่ี 3 เลอื กเลขโดด 1 ตวั เปนหลักหนวย จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9 ได 10 วิธี ดงั น้ัน มจี ํานวนเต็มบวกท่ีมี 3 หลัก ท้งั หมด 9×10×10 =900 จํานวน 2) ข้นั ตอนท่ี 1 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปน หลกั รอ ย จากเลขโดด 1, 2, 3, …, 9 ได 9 วธิ ี ข้ันตอนท่ี 2 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปน หลกั หนว ย จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9 ท่ไี มซ ํ้ากับเลขโดดในหลกั รอย ได 9 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 3 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปนหลกั สบิ จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9 ได 10 วิธี สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 181 ดังนัน้ มีจํานวนเต็มบวกที่มี 3 หลัก โดยเลขโดดในหลักแรกและหลกั สดุ ทา ย ไมซา้ํ กนั ทั้งหมด 9×9×10 =810 จํานวน 3) ขน้ั ตอนที่ 1 เลอื กเลขโดด 1 ตวั เปน หลักรอ ย จากเลขโดด 1, 2, 3, …, 9 ได 9 วธิ ี ขน้ั ตอนท่ี 2 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปน หลักหนว ย ทท่ี ําใหผลรวมของเลขโดดใน หลกั รอยและหลักหนว ยเปน 10 ได 1 วธิ ี ขั้นตอนที่ 3 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปน หลักสิบ จากเลขโดด 0, 1, 2, 3, …, 9 ได 10 วิธี ดังน้ัน มจี ํานวนเต็มบวกท่ีมี 3 หลกั โดยเลขโดดในหลกั แรกและหลกั สดุ ทาย รวมกันได 10 ท้งั หมด 9×1×10 =90 จาํ นวน 7. โดยความหมายของพาลินโดรม จะไดวาตวั อักษรภาษาอังกฤษตัวท่ี 1 กับตัวท่ี 4 และตัวที่ 2 กบั ตวั ที่ 3 ตองเปนตัวอกั ษรเดยี วกนั ดงั แผนภาพ ตวั ที่ 1 ตวั ที่ 2 ตัวท่ี 3 ตวั ที่ 4 ขัน้ ตอนที่ 1 ตัวที่ 1 เลือกตัวอกั ษรภาษาอังกฤษได 26 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 2 ตวั ท่ี 2 เลอื กตัวอกั ษรภาษาอังกฤษได 26 วิธี ข้ันตอนที่ 3 ตัวท่ี 3 เลือกตัวอักษรภาษาอังกฤษได 1 วิธี ขั้นตอนท่ี 4 ตัวท่ี 4 เลือกตวั อกั ษรภาษาอังกฤษได 1 วิธี ดังนนั้ พาลินโดรมที่ประกอบดว ยตวั อักษรภาษาองั กฤษ 4 ตวั โดยจะมคี วามหมายหรอื ไม ก็ได มีทงั้ หมด 26× 26×1×1 =676 คาํ สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
182 คูมือครูรายวิชาพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 8. 1) การนําผลไมใสตะกราโดยไมม ีเง่ือนไข สามารถทาํ ไดด งั น้ี ข้ันตอนท่ี 1 นําผลไมชนดิ ที่ 1 ไปใสต ะกรา ใดตะกราหนง่ึ ทาํ ได 6 วธิ ี ขนั้ ตอนที่ 2 นาํ ผลไมชนิดที่ 2 ไปใสตะกรา ใดตะกราหน่ึง ทําได 6 วธิ ี ขน้ั ตอนที่ 3 นาํ ผลไมช นดิ ที่ 3 ไปใสตะกราใดตะกราหนึ่ง ทาํ ได 6 วิธี ขั้นตอนท่ี 4 นาํ ผลไมชนิดที่ 4 ไปใสตะกราใดตะกราหน่งึ ทาํ ได 6 วิธี ดงั น้นั จํานวนวิธใี นการนําผลไมใ สต ะกราโดยไมมีเงื่อนไข มีทั้งหมด 6 × 6 × 6 × 6 =1,296 วิธี 2) การนําผลไมใสต ะกราโดยที่ตะกราแตล ะใบมีผลไมไมเกิน 1 ผล สามารถทาํ ไดดงั น้ี ขน้ั ตอนท่ี 1 นําผลไมชนิดท่ี 1 ไปใสต ะกรา ใดตะกราหนง่ึ ทําได 6 วธิ ี ข้นั ตอนที่ 2 นําผลไมชนดิ ที่ 2 ไปใสตะกรา ใดตะกรา หนง่ึ ท่เี หลืออยู ทาํ ได 5 วธิ ี ขั้นตอนท่ี 3 นาํ ผลไมชนิดที่ 3 ไปใสตะกรา ใดตะกราหนึง่ ที่เหลืออยู ทําได 4 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 4 นาํ ผลไมชนิดที่ 4 ไปใสต ะกรา ใดตะกรา หนง่ึ ท่ีเหลืออยู ทําได 3 วิธี ดังนั้น จาํ นวนวธิ ีทน่ี ําผลไมใ สต ะกราโดยท่ตี ะกรา แตล ะใบมีผลไมไ มเ กนิ 1 ผล มีทง้ั หมด 6× 5× 4× 3 =360 วิธี แบบฝก หดั 3.2 1. เน่อื งจากมีหนงั สอื คณติ ศาสตร 2 เลม หนังสือภาษาไทย 3 เลม หนงั สอื ภาษาอังกฤษ 4 เลม นั่นคอื มีหนงั สือท้งั หมด 9 เลม ทแ่ี ตกตา งกนั ทั้งหมด ดังนน้ั ถา นาํ หนังสอื ทงั้ 9 เลม มาวางเรยี งบนชนั้ วางหนังสอื ชัน้ หนง่ึ ทําได 9! = 9 × 8× 7 × 6 × 5× 4 × 3× 2 ×1 = 362,880 วิธี สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 183 2. 1) P8,4 = 8! (8 − 4)! 2) P10, 2 = 8! 4! = 8× 7 × 6× 5× 4! 4! = 1,680 = 10! (10 − 2)! 3) P5, 5 10! = 8! = 10 × 9 × 8! 8! = 90 = 5! (5 − 5)! 4) P7, 0 = 5! 0! = 5× 4×3× 2×1 1 = 120 = 7! (7 − 0)! = 7! 7! =1 3. วิธีท่ี 1 จากการเรียงสับเปลยี่ น จะได P4, 3 = 4! (4 − 3)! = 4! 1! = 24 ดงั นนั้ จะมวี ิธสี รา งจาํ นวนทีแ่ ตกตา งกนั ทง้ั หมด 24 จาํ นวน สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
184 คูมอื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 วิธีท่ี 2 การสรางจาํ นวน 3 หลัก จากเลขโดด 2, 3, 5 และ 9 ทาํ ไดดงั น้ี หลักรอ ย หลักสบิ หลกั หนวย ขนั้ ตอนที่ 1 เลือกเลขโดด 1 ตวั เปน หลักรอ ย จากเลขโดด 2, 3, 5, 9 ได 4 วิธี ขน้ั ตอนท่ี 2 เลือกเลขโดด 1 ตัว เปนหลักสบิ จากเลขโดด 2, 3, 5, 9 ท่ีไมซ า้ํ กบั เลขโดดในหลกั รอย ได 3 วธิ ี ขัน้ ตอนท่ี 3 เลอื กเลขโดด 1 ตัว เปนหลกั หนว ย จากเลขโดด 2, 3, 5, 9 ทไ่ี มซํ้า กบั เลขโดดในหลักรอยและหลักสบิ ได 2 วิธี จากหลกั การคูณ จึงไดวา จะมีวิธีสรา งจาํ นวนท่แี ตกตางกนั ท้ังหมด 4× 3× 2 =24 วธิ ี 4. วิธีที่ 1 จากการเรยี งสบั เปล่ียน จะได P9,5 = 9! (9 − 5)! = 9! 4! = 15,120 ดงั นน้ั มีจาํ นวนวธิ กี ารนั่งเกา อี้ โดยท่เี กาอีแ้ ตละตวั จะมีคนน่งั หนง่ึ คน 15,120 วธิ ี วธิ ีที่ 2 การเลอื กเกา อ้ี 5 ตวั ท่ปี ายรถประจาํ ทางซง่ึ วางเรยี งกนั กนั เปน แถวยาวใหก บั คน 9 คน ทม่ี ารอรถที่ปา ยรถประจาํ ทางน้ี ประกอบดว ย 5 ขน้ั ตอน ดังนี้ ขนั้ ตอนที่ 1 เกาอี้ตวั ที่ 1 มวี ิธีเลือกคนมาน่ังได 9 วธิ ี ขนั้ ตอนที่ 2 เกาอี้ตวั ท่ี 2 มวี ธิ ีเลือกคนมาน่ังได 8 วธิ ี ขนั้ ตอนที่ 3 เกา อี้ตัวที่ 3 มวี ิธเี ลือกคนมานั่งได 7 วธิ ี สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 185 ขน้ั ตอนท่ี 4 เกาอ้ีตวั ที่ 4 มวี ิธเี ลือกคนมานั่งได 6 วิธี ขนั้ ตอนที่ 5 เกาอต้ี ัวที่ 5 มีวธิ เี ลอื กคนมานั่งได 5 วธิ ี จากหลักการคูณ จึงไดว า มจี ํานวนวธิ ีการนง่ั เกา อี้ โดยที่เกาอี้แตละตัวจะมีคนนงั่ หนึง่ คน 9×8× 7 × 6× 5 =15,120 วิธี 5. นํารูปภาพที่แตกตางกนั 5 รปู มาจัดแสดงโดยเรียงตอกนั ในแนวเสนตรง ทาํ ไดท้ังหมด 5! = 5× 4 × 3× 2×1 = 120 วิธี แบบฝก หดั 3.3 1. จาํ นวนวธิ ีในการเลือกนักเรยี น 5 คน จากนักเรยี นกลุมหนึ่งซ่งึ มี 8 คน มที ้ังหมด C=8, 5 8!= =8! 8× 7 × 6=× 5! 56 วธิ ี (8 − 5)! 5! 3! 5! (3× 2 ×1)5! 2. ขอ สอบอตั นัยชุดหนึง่ มี 6 ขอ ซงึ่ มีคาํ สัง่ ระบุวาใหเลือกทําเพียง 4 ขอ จะมจี ํานวนวิธีในการเลือกทําขอ สอบทั้งหมด C=6, 4 6!= =6! 6 × 5×=4! 15 วธิ ี (6 − 4)! 4! 2! 4! (2 ×1)× 4! 3. การเลอื กกรรมการนักเรยี น ประกอบดว ย 2 ข้ันตอน ดงั นี้ ข้นั ตอนที่ 1 เลือกกรรมการนักเรียนชาย 5 คน จากผูสมัครที่เปนนักเรยี นชาย 20 คน ขั้นตอนท่ี 2 ทําได C20,5 วิธี เลือกกรรมการนักเรยี นหญิง 4 คน จากผสู มัครที่เปนนักเรียนหญิง 15 คน ทําได C15,4 วธิ ี จากหลักการคณู จงึ ไดวา มจี ํานวนวิธใี นการเลอื กกรรมการนกั เรยี นทงั้ หมด 20! × 15! = 15! 5! 11! 4! วิธีC20,5 × C15,4 = 21,162, 960 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
186 คูมือครรู ายวชิ าพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 4. 1) เน่อื งจากในตะกรา มีเงาะ 8 ผล สม 4 ผล และมังคุด 2 ผล ดังนน้ั ตะกรา ใบน้ีมีผลไมร วมทง้ั สิน้ 14 ผล การหยิบผลไม 4 ผล จะตอ งเลือกผลไม 4 ผล จากตะกรา ท่ีมผี ลไม 14 ผล ดังนนั้ จะมีจาํ นวนวธิ ใี นการเลือกหยบิ ผลไมโดยทไี่ มมเี งื่อนไขเพมิ่ เติม =C14, 4 14=! =14! 14 ×13×12 ×11=×10! 1,001 วธิ ี (14 − 4)! 4! 10! 4! 10! (4 × 3× 2 ×1) 2) เน่ืองจากการหยบิ ผลไม 4 ผล โดยท่ีหยิบใหไ ดเงาะทง้ั 4 ผล จะตองเลือกหยิบ เงาะ 4 ผล จากเงาะในตะกราทั้งหมด 8 ผล ดังน้นั จะมีจํานวนวิธีในการเลือกหยบิ ไดเงาะทั้ง 4 ผล =C8, 4 8!= =8! 8× 7 × 6 × 5=× 4! 70 วธิ ี (8 − 4)! 4! 4! 4! 4! (4 × 3× 2 ×1) 3) เนอื่ งจากในตะกรามเี งาะ 8 ผล สม 4 ผล และมงั คดุ 2 ผล ดงั นน้ั ตะกรา ใบนมี้ ผี ลไมอ่ืน ๆ ท่ีไมใ ชสมรวมทั้งสิ้น 10 ผล การหยิบผลไม 4 ผล โดยทไ่ี มมสี ม จะตองเลอื กผลไม 4 ผล จากตะกรา ที่มีผลไมอน่ื ๆ ท่ีไมใชส ม 10 ผล ดังนัน้ จะมีจํานวนวิธีในการเลือกหยิบผลไมทไี่ มม ีสมเลย C=10, 4 10!= =10! 10 × 9 × 8 × 7=× 6! 210 วิธี (10 − 4)! 4! 6! 4! 6! (4 × 3× 2 ×1) 5. จาํ นวนวธิ กี ารหยิบลูกบอลสามารถทาํ ไดด ังน้ี ขน้ั ตอนที่ 1 เลือกลกู บอลสีแดง 1 ลกู จากลกู บอลสแี ดง 5 ลูก ทําได C5,1 วธิ ี ข้นั ตอนที่ 2 เลอื กลกู บอลสขี าว 1 ลูก จากลูกบอลสีขาว 3 ลูก ทําได C3,1 วธิ ี ขนั้ ตอนที่ 3 เลือกลูกบอลสีนํา้ เงนิ 1 ลกู จากลูกบอลสนี ้ําเงนิ 3 ลกู ทําได C3,1 วธิ ี จากหลักการคณู จงึ ไดว า มจี ํานวนวิธใี นการหยิบลกู บอล โดยท่ีไดลกู บอลครบทุกสี สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 187 ทงั้ หมด C5, 1 × C3, 1 × C3, 1 = 5! × 3! × 3! = 5× 3× 3 = 45 วิธี 4!1! 2!1! 2!1! 6. 1) การหยิบไพใบแรกไดไพส ีแดงและใบที่สองไดไ พส ีดาํ สามารถทําไดดังนี้ ขน้ั ตอนที่ 1 เลอื กไพส แี ดง 1 ใบ จากไพสีแดง 26 ใบ ทําได C26,1 วิธี ขั้นตอนที่ 2 เลอื กไพสดี ํา 1 ใบ จากไพสีดํา 26 ใบ ทาํ ได C26,1 วิธี จากหลักการคณู จึงไดวา มีจํานวนวิธที ่ีหยิบไพใบแรกไดไพสแี ดงและใบที่สองไดไพส ี ดําทัง้ หมด C26, 1 × C26, 1 = 26! × 26! = 26 × 26 = 676 วิธี 25! 1! 25! 1! 2) เน่อื งจากไพห นง่ึ สาํ รบั มีไพ K 4 ใบ ดังนั้นการหยบิ ไดไพ K ท้งั สองใบ สามารถทําไดด งั นี้ ขัน้ ตอนท่ี 1 เลอื กไพ K 1 ใบ จากไพ K 4 ใบ ทําได C4,1 วธิ ี ขัน้ ตอนที่ 2 เลอื กไพ K 1 ใบ จากไพ K 3 ใบทเี่ หลือจากข้นั ตอนท่ี 1 ทาํ ได C3,1 วธิ ี จากหลักการคูณ จึงไดวา มีจํานวนวธิ ที ่ีหยิบไดไ พ K ทงั้ สองใบทั้งหมด C4, 1 × C3, 1 = 4! × 3! = 4 × 3 = 12 วิธี 3!1! 2!1! 3) เนื่องจากไพห นงึ่ สาํ รบั มีไพ 2 โพดาํ 1 ใบ ดงั นั้น การหยบิ ไดไ พ 2 โพดํา ท้ังสองใบ สามารถทาํ ไดดังน้ี ขนั้ ตอนท่ี 1 เลือกไพ 2 โพดําใบที่หนง่ึ ได 1 วธิ ี จากไพ 2 โพดาํ 1 ใบ ขนั้ ตอนท่ี 2 เลือกไพ 2 โพดาํ ใบทส่ี อง ได 0 วธิ ี จากไพ 2 โพดําท่เี หลือ จากหลักการคูณ จึงไดว า มจี ํานวนวิธีทีห่ ยิบไดไพ 2 โพดํา ทัง้ สองใบ ทั้งหมด 1× 0 =0 วธิ ี น่นั คือ ไมส ามารถหยบิ ไพ 2 โพดาํ ท้งั สองใบจากไพหนึ่งสาํ รบั โดยหยิบไพทีละใบ และไมใ สค นื กอนหยิบใบที่สองได สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
188 คมู อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 แบบฝก หดั ทายบท 1. รปู สเ่ี หล่ียมผนื ผาที่เกดิ ขึ้น มีทั้งหมด 3 แบบ ไดแก แบบที่ 1 รปู ส่ีเหล่ยี มผืนผา ท่กี วา ง 1 หนว ย และยาว 2 หนว ย มี 12 รูป แบบท่ี 2 รปู สเ่ี หลีย่ มผนื ผา ที่มกี วา ง 1 หนวย และยาว 3 หนวย มี 6 รูป แบบท่ี 3 รปู สีเ่ หลย่ี มผืนผา ทกี่ วา ง 2 หนว ย และยาว 3 หนวย มี 4 รปู จากหลักการบวก จะไดว า เกิดรูปส่ีเหลี่ยมผนื ผาทั้งหมด 12 + 6 + 4 =22 รปู 2. เน่ืองจากทาขา มสองฝง แมน า้ํ มีเรอื ยนตขามฟากอยู 3 ลํา ขั้นตอนที่ 1 เลอื กลงเรือยนตขามฟากในเที่ยวไป ได 3 วธิ ี จากเรือ 3 ลํา ขน้ั ตอนท่ี 2 เลอื กลงเรือยนตขามฟากในเท่ียวกลบั ได 2 วิธี จากเรือทต่ี า งจากเทีย่ วไป จากหลักการคูณ จงึ ไดวา มีจํานวนวธิ ีทผี่ ูโดยสารคนนีจ้ ะขามฟากโดยที่เที่ยวไปและเทีย่ ว กลับลงเรอื ไมซา้ํ ลาํ กันทัง้ หมด 3× 2 =6 วิธี 3. เนอ่ื งจากสนามกีฬาแหง หน่ึงกําหนดหมายเลขทน่ี ่ังโดยใชตวั เลขแสดงโซนท่ีนงั่ ตง้ั แต 1 ถึง 20 อักษรแสดงแถวที่นั่งใช A ถงึ Z และตัวเลขแสดงตําแหนง ทนี่ ั่งตง้ั แต 1 ถึง 30 การหาจํานวนที่นง่ั ทัง้ หมดสนามกีฬาแหงน้ี ประกอบดวย 3 ขั้นตอน ดังน้ี ขน้ั ตอนที่ 1 มโี ซนท่นี ัง่ ที่แตกตางกัน 20 โซน จาก ตัวเลขตง้ั แต 1 ถึง 20 ขน้ั ตอนที่ 2 มีแถวที่นงั่ ทแี่ ตกตางกนั 26 แถว จาก A ถึง Z ข้นั ตอนท่ี 3 มที นี่ ง่ั ทแ่ี ตกตางกนั 30 ที่นง่ั จากตวั เลขตั้งแต 1 ถึง 30 จากหลักการคณู จงึ ไดว า สนามกีฬาแหง นี้มีท่ีน่ังทงั้ หมด 20× 26×30 =15,600 ทีน่ ั่ง 4. การสรางคําท่ีไมคํานึงความหมาย ซง่ึ ประกอบดว ยตวั อกั ษรภาษาองั กฤษ 5 ตัว โดยที่ตวั อักษร 2 ตัว ท่ีติดกนั ตอ งแตกตางกัน สามารถทําได 5 ขั้นตอน ดงั นี้ ขน้ั ตอนท่ี 1 ตวั ท่ี 1 เลือกตัวอกั ษรภาษาอังกฤษได 26 วธิ ี สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256