บทที่ 1 | เซต 39 คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 3. 1) A′ 2) B′ d 3) A′∩ B′ 5) A′∪ B′ 4) ( A ∪ B)′ s 7) A − B 6) ( A ∩ B)′ s 8) A ∩ B′ d สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | เซต 2) A ∪ ( B ∪ C ) d 40 คมู อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 4 4. 1) ( A ∪ B) ∪ C 3) ( A ∩ B) ∩ C 4) A ∩ ( B ∩ C ) s 5) ( A ∩ C ) ∪ (B ∩ C ) 6) ( A ∪ B) ∩ C s 5. 1) A ∩ C ก 2) C ∪ B′ 3) B − A ก สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | เซต 41 คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 6. 1) ∅ ก 2) A 3) ∅ ก 4) U 5) U ก 6) ∅ 7) A′ ก 8) ∅ แบบฝกหดั 1.3 1. ก เซต A−B B− A A∪B A′ B′ ( A ∪ B)′ จํานวนสมาชิก 34 19 59 60 75 41 2. 1) n( A ∪ B) =42 2) n( A − B) =12 ก 3) n( A′∩ B′) =8 ป 3. 1) n( A ∪ C ) =40 2) n( A ∪ B ∪ C ) =43 ก 3) n( A ∪ B ∪ C )′ =7 ก 4) n(B − ( A ∪ C )) =3 ก 5) n(( A ∩ B) − C ) =7 ก 4. n( A ∩ B) =6 ก 5. n( B) = 60 ก 6. 10 คน 7. 152 คน คดิ เปน รอยละ 48.72 ของจาํ นวนผูสูบบุหรท่ี ้ังหมด 8. 100 คน 9. 2,370 คน สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | เซต 42 คมู ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 แบบฝก หัดทายบท 1. 1) { 48} ด 2) ∅ 3) { 5, 10, 15, } ด 4) { − 2, 0, 2 } 5) {1, 2, 3, , 10 } ด 2. 1) ตวั อยางคําตอบ { x | =x 3n − 2 เมื่อ n∈ และ 1 ≤ n≤ 5} 2) ตัวอยางคาํ ตอบ { x∈ | − 20 ≤ x ≤ −10 } 3) ตวั อยางคาํ ตอบ { x |=x 4n +1 เมอ่ื n∈} } 4) ตัวอยางคาํ ตอบ { x | x = n3 เมื่อ n∈} } 3. 1) เซตจํากดั 2) เซตอนนั ต 3) เซตจํากัด 4) เซตจํากัด 5) เซตอนนั ต 4. 1) เปน จริง 2) เปน จริง 3) เปนเท็จ 4) เปนจรงิ 5) เปนจริง 6) เปน เทจ็ 5. 1) A จ 2) ∅ 3) U จ 4) A 5) A จ 6) U 6. 1) A ∪ B = A ∪ ( B − A) จ 2) A ∩ B′ = A − ( A ∩ B) 3) A′∩ B′ = U − ( A ∪ B) จ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | เซต 43 คูมอื ครรู ายวชิ าพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 7. 1) A′∩ B ก จ 2) ( A ∩ B′ )′ 3) ( A ∪ B′ )′ ก 8. 1) A ∪ ( A − B) ก 2) ( A′∩ B) ∩ C 3) ( A − B)′ ∩ C ก 4) A ∪ (C′− B) สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | เซต 6) A′∩ (C′∩ B) 44 คูม อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 5) ( A∩ B′) ∪ C ก 7) A ∪ (C′∩ B)′ ก 9. 1) { 0, 2, 4, 7, 9, 12, 14 } จ 2) {1, 4, 6, 9, 12, 15 } 3) {1, 4, 5, 7, 11, 12 } จ 4) { 4, 9, 12 } 5) {1, 4, 12 } จ 6) { 4, 7, 12 } 7) { 0, 2, 7, 14 } จ 8) {1, 5, 6, 11, 15 } 10. 1) เปนจริงจ 2) เปนจรงิ 3) เปนจรงิ 2) เปน จรงิ 11. 1) เปนจรงิ 4) เปน จริง 3) เปนจรงิ จ 5) เปนจรงิ จ 12. n( A) = 167 ก 13. 45% ด สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 1 | เซต 45 คมู ือครูรายวชิ าพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 14. 1) 10% ด 2) 75% ด 15. 1) 13 คัน 2) 10 คนั 16. 405 คน 17. 1) 72% ก 2) 84% ก 4) 13%ก 3) 65% ก 2) 864 คน 18. 1) 52 คน 3) 136 คน 19. 16%ก 20. 1% ก สถาบนั สง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเ บอ้ื งตน 46 คมู อื ครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 บทท่ี 2 ตรรกศาสตรเ บื้องตน การศึกษาเร่ืองตรรกศาสตรมีความสําคัญตอการศึกษาคณิตศาสตรเพราะคณิตศาสตรเปนวิชา ที่มีเหตุมีผล และตรรกศาสตรเปนศาสตรที่วาดวยเร่ืองของการใชเหตุและผลในชีวิตประจําวัน ซ่งึ ความสามารถในการคิดและใหเ หตุผลเปนสงิ่ มีคณุ คามากทส่ี ดุ ของมนุษย เน้ือหาเรื่องตรรกศาสตร ทนี่ าํ เสนอในหนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 น้ี มีเปาหมายเพื่อให นักเรียนเรียนรูเก่ียวกับตรรกศาสตรเบ้ืองตน ในการสื่อสารและส่ือความหมายทางคณิตศาสตร ในบทเรียนน้มี ุงใหน ักเรียนบรรลตุ ัวชีว้ ดั และจุดมงุ หมายดงั ตอไปน้ี ตัวชว้ี ดั เขาใจและใชความรูเก่ยี วกบั เซตและตรรกศาสตรเ บื้องตน ในการสื่อสารและส่ือความหมาย ทางคณิตศาสตร จดุ มงุ หมาย 1. จาํ แนกขอความวาเปนประพจนห รอื ไมเปน ประพจน 2. หาคาความจรงิ ของประพจนท่มี ีตัวเช่อื ม 3. ใชค วามรูเกี่ยวกับตรรกศาสตรเ บอื้ งตน ในการสอ่ื สารและส่ือความหมายทางคณิตศาสตร สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบือ้ งตน 47 คูมอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 ความรูกอนหนา • ความรูเ กี่ยวกับจาํ นวนและสมการในระดับมัธยมศึกษาตอนตน • เซต 2.1 เนอ้ื หาสาระ 1. ประพจน คือ ประโยคหรือขอความท่ีเปนจริงหรือเท็จอยางใดอยางหน่ึงเทาน้ัน ซึ่งประโยคหรือขอความดงั กลาวจะอยูในรูปบอกเลาหรือปฏิเสธก็ได ในตรรกศาสตรเรียก การเปน “จริง” หรือ “เท็จ” ของแตล ะประพจนวา “คา ความจริงของประพจน” 2. ให p และ q เปนประพจนใด ๆ เมื่อเช่ือมดวยตัวเชื่อม “และ” ( ∧ ) “หรือ” ( ∨ ) “ถา...แลว...” ( → ) และ “ก็ตอเม่ือ” ( ↔ ) จะมีขอตกลงเกี่ยวกับคาความจริงของ ประพจนท่ีไดจากการเชื่อมประพจน p และ q โดยให T และ F แทนจริงและเท็จ ตามลําดบั ดงั น้ี p q p∧q p∨q p→q p↔q TTTTTT T FFT FF FT FT T F FFFFT T ถา p เปนประพจนใด ๆ แลว นิเสธของ p เขียนแทนดวยสัญลักษณ p และเขียน ตารางคา ความจริงของ p ไดดังนี้ สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบอื้ งตน 48 คมู อื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 p p TF FT 3. ให p, q และ r เปน ประพจนซงึ่ ยังไมกาํ หนดคาความจรงิ จะเรียก p, q และ r วา เปน ตัวแปรแทนประพจนใด ๆ และเรียกประพจนท ี่มตี ัวเชอื่ ม เชน p, p ∧ q, p ∨ q, p → q, p ↔ q วา “รปู แบบของประพจน” 2.2 ขอเสนอแนะเกย่ี วกับการสอน ประพจน ประเด็นสาํ คญั เกีย่ วกับเน้ือหาและสิง่ ทค่ี วรตระหนักเกย่ี วกับการสอน • การจําแนกขอความวาเปนประพจนหรือไมเปนประพจน อาจไมจําเปนตองทราบ คา ความจริงที่แนนอนของประพจนน ้นั เชน มีสงิ่ มีชวี ติ อยบู นดาวอังคาร • การเลือกตัวอยางในชั้นเรียนหรือแบบทดสอบระหวางเรียนท่ีจะใหนักเรียนบอก คา ความจริงของประพจนท่ีไมใชขอความทางคณิตศาสตร ครูควรเลือกใหเหมาะสมกับ ความรูและประสบการณของนักเรียน เชน ยุงลายเปนพาหะของโรคไขเลือดออก โรคเลือดออกตามไรฟนเปนโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และหลีกเล่ียงตัวอยางขอความ ทใี่ ชความรูสกึ ในการตดั สินวาขอความนัน้ เปนจรงิ หรือเท็จ เชน นารสี วย ปกรณเ ปน คนดี สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบื้องตน 49 คูมอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 • ในการสอนเก่ียวกับประพจน ครูไมควรยกตัวอยางขอความที่ใชสรรพนามบุรุษที่ 2 และ 3 เชน เขาซื้อขนม ลุงกับปาไปเที่ยวตางประเทศ ซึ่งอาจทําใหนักเรียนเกิดความสับสนวา ขอ ความดังกลาวเปนประพจนหรือไม เนื่องจากนักเรียนจะตองทราบบริบทของขอความ ดังกลาวจึงจะสามารถสรุปคาความจริงของขอความดังกลาวได เชน “เขา” “ลุง” “ปา” หมายถึงใคร ประเด็นสาํ คัญเก่ียวกบั แบบฝกหัด แบบฝก หดั 2.1 2. จงเขียนประโยคหรือขอความที่เปนประพจนมา 5 ประพจน พรอมท้ังบอก คา ความจรงิ ของประพจนน นั้ ๆ แบบฝกหัดน้ีมีคําตอบไดหลายแบบ โดยอาจเปนไดท้ังขอความทางคณิตศาสตร เชน ∅∈{1, 2, 3} และไมใชขอความทางคณิตศาสตร เชน หน่ึงปมีสิบสองเดือน ควรให นกั เรยี นมีอิสระในการเขียนประโยคหรอื ขอ ความท่ีเปน ป ร ะ พ จ น ซึ่ ง คํ า ต อ บ ข อ ง นักเรียนไมจาํ เปน ตอ งตรงกับทค่ี รคู ดิ ไว การเชอื่ มประพจน การเชอื่ มประพจนด วยตวั เชอื่ ม “และ” ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเช่ือมประพจนดวยตัวเชื่อม “และ” โดยให นกั เรยี นทาํ กิจกรรมตอไปนี้ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบ้ืองตน 50 คมู ือครูรายวชิ าพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 4 กจิ กรรม : การแตงกายของลกู ปด ให p แทนขอความ “ลูกปด ใสเส้ือสีขาว” และ q แทนขอความ “ลกู ปด ใสกางเกงสีฟา ” จะไดว า p ∧ q แทนขอ ความ “ลกู ปดใสเ สื้อสขี าวและลูกปดใสก างเกงสฟี า” หรือเขียนโดยยอ เปน “ลูกปดใสเ สื้อสีขาวและกางเกงสฟี า” ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิ 1. ครใู หน กั เรยี นเติมตารางคาความจรงิ ตอ ไปนี้ ลกู ปดใสเ สอ้ื สีขาว ลกู ปด ใสกางเกงสีฟา ลูกปด ใสเสอื้ สีขาวและกางเกงสีฟา ( p) (q) ( p ∧q) การ 2. ครใู หนกั เรียนรว มกนั อภปิ รายเกย่ี วกับตารางคาความจรงิ ท่ไี ดจากขอ 1 เม่ือจบกจิ กรรมนแ้ี ลว ครูควรใหนักเรียนสรุปไดวาในการเชื่อมประพจนดวย “และ” มีขอตกลง วาประพจนใหมจะเปนจริงในกรณีที่ประพจนท่ีนํามาเช่ือมกันน้ันเปนจริงทั้งคู กรณีอื่น ๆ เปน เท็จทกุ กรณี จากน้ันครสู รุปการเขียนตารางคาความจรงิ ของ p ∧ q สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบ้ืองตน 51 คมู อื ครูรายวชิ าพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 ประเด็นสําคัญเกย่ี วกับเนอ้ื หาและส่ิงทีค่ วรตระหนกั เกย่ี วกบั การสอน สําหรับภาษาที่ใชในชีวิตประจําวัน อาจแทนตัวเช่ือม “และ” ดวยคําอื่นซ่ึงใหความหมาย อยางเดียวกัน เชน “แต” “นอกจากนั้นแลว” “ถึงแมวา” “ในขณะที่” ตัวอยางประโยค ที่พบไดในชีวิตประจําวัน เชน วรรณชอบวิชาคณิตศาสตรแตนุชชอบวิชาภาษาอังกฤษ สมศักด์ิเปนหัวหนาหองนอกจากน้ันแลวเขายังเปนประธานนักเรียนดวย วิชัยทํางานหนัก ถึงแมว า เขาปวย นํา้ ผึ้งอานหนังสือในขณะท่นี า้ํ ฝนดโู ทรทัศน การเช่อื มประพจนด วยตวั เช่อื ม “หรอื ” ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเช่ือมประพจนดวยตัวเชื่อม “หรือ” โดยให นกั เรียนทาํ กจิ กรรมตอ ไปน้ี กจิ กรรม : สัตวเ ลย้ี งของตน น้าํ ให p แทนขอ ความ “ตนนา้ํ เลย้ี งแมว” และ q แทนขอความ “ตน นํา้ เลย้ี งนก” จะไดว า p ∨ q แทนขอ ความ “ตน น้ําเล้ียงแมวหรอื ตนน้าํ เลีย้ งนก” หรือเขยี นโดยยอ เปน “ตนนํ้าเล้ียงแมวหรอื นก” ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติ 1. ครใู หนกั เรยี นเติมตารางคา ความจรงิ ตอ ไปนี้ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบอ้ื งตน 52 คมู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 ตนนํา้ เลยี้ งแมว ตน นํา้ เล้ียงนก ตนนา้ํ เลี้ยงแมวหรอื นก ( p) (q) ( p∨ q) การ 2. ครใู หน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเกี่ยวกับตารางคา ความจริงท่ีไดจากขอ 1 เม่ือจบกจิ กรรมนแ้ี ลว ครูควรใหนกั เรยี นสรุปไดว าในการเช่ือมประพจนดว ย “หรือ” มขี อตกลงวา ประพจนใ หมจ ะเปน เทจ็ ในกรณที ีป่ ระพจนท ีน่ าํ มาเช่ือมกันเปนเท็จทัง้ คู กรณีอนื่ ๆ เปนจรงิ ทกุ กรณี จากนั้นครูสรปุ การเขียนตารางคา ความจริงของ p ∨ q ประเด็นสําคญั เกยี่ วกบั เน้ือหาและสงิ่ ทค่ี วรตระหนักเก่ียวกบั การสอน การใชตัวเชื่อม “หรือ” ในทางตรรกศาสตรจะหมายถึงการเลือกอยางใดอยางหน่ึงหรือ ทง้ั สองอยาง สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบ้อื งตน 53 คูมือครูรายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 4 การเชือ่ มประพจนด ว ยตัวเช่ือม “ถา...แลว ...” ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจการเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ถา...แลว...” โดยใหน ักเรยี นทาํ กิจกรรมตอไปน้ี กิจกรรม : สัญญาระหวางพอกับจิ๋ว ให p แทนขอ ความ “จิ๋วกวาดบาน” และ q แทนขอความ “พอ ใหขนม” จะไดว า p → q แทนขอ ความ “ถาจ๋ิวกวาดบา นแลวพอ จะใหขนม” การรักษาสัญญาของพอจะเทียบกบั คา ความจริงของ p → q ซึ่งในกรณีท่ี p → q เปนจริง หมายถงึ พอรกั ษาสัญญา ในกรณที ่ี p → q เปน เทจ็ หมายถึง พอไมร ักษาสญั ญา ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั ิ 1. ครูใหน กั เรียนเติมคาความจรงิ ลงในตารางตอไปนี้ จว๋ิ กวาดบา น พอ ใหขนม พอรักษาสัญญา ( p) (q) ( p → q) 2. ครใู หน กั เรียนรวมกนั อภิปรายเกี่ยวกบั ตารางคา ความจรงิ ท่ไี ดจากขอ 1 สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบ้ืองตน 54 คูมือครูรายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เม่ือจบกิจกรรมน้ีแลว ครูควรใหนักเรียนสรุปไดวาในการเช่ือมประพจนดวย “ถา...แลว...” มีขอตกลงวา ประพจนใหมจะเปนเท็จในกรณีที่เหตุเปนจริงและผลเปนเท็จเทาน้ัน กรณีอ่ืน ๆ เปน จริงทุกกรณี ครคู วรช้ีแจงเพิ่มเติมวาประพจนซ ึง่ ตามหลังคําวา ถา เรียกวา “เหตุ” สวนประพจน ซ่งึ ตามหลังคาํ วา แลว เรยี กวา “ผล” จากนน้ั ครสู รปุ การเขียนตารางคาความจรงิ ของ p → q การเชื่อมประพจนดวยตัวเช่ือม “กต็ อเม่ือ” ครูอาจนําเขาสูบ ทเรยี นเพ่อื ใหน ักเรยี นเขาใจการเชื่อมประพจนดวยตัวเชื่อม “ก็ตอเมื่อ” โดยให นักเรยี นทํากจิ กรรมตอไปนี้ กจิ กรรม : เกรดวิชาคณิตศาสตรข องปุยนุน คาความจริงของประพจนที่มีตัวเช่ือม “ก็ตอเม่ือ” อาจพิจารณาจากสถานการณในชีวิตจริงได เชน โรงเรียนแหงหน่ึงกําหนดวา “นักเรียนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตรก็ตอเม่ือนักเรียนได คะแนนต้ังแต 80% ของคะแนนเต็มวิชาคณิตศาสตร” สมมติวาปุยนุนเปนนักเรียนของ โรงเรียนแหงน้ี ให p แทนขอความ “ปยุ นุนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตร” และ q แทนขอความ “ปุยนุนไดคะแนนต้ังแต 80% ของคะแนนเต็มวิชาคณิตศาสตร” จะไดวา p ↔ q แทนขอความ “ปุยนุนไดเกรด 4 วิชาคณิตศาสตรก็ตอเม่ือปุยนุน ไดค ะแนนต้ังแต 80% ของคะแนนเตม็ วชิ าคณิตศาสตร” การเกดิ ขน้ึ ไดของสถานการณนจ้ี ะเทียบไดกับคาความจริงของ p ↔ q ในกรณีท่ีสถานการณนี้เกดิ ข้ึนไดจริง จะไดวา p ↔ q เปน จรงิ ในกรณีทส่ี ถานการณนไ้ี มส ามารถเกิดขึน้ ได จะไดว า p ↔ q เปน เทจ็ สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบอ้ื งตน 55 คูม ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 4 ขนั้ ตอนการปฏบิ ัติ 1. ครใู หน กั เรยี นเติมตารางคา ความจริง ตอ ไปนี้ ปยุ นนุ ไดเกรด 4 วชิ า ปยุ นนุ ไดคะแนนตั้งแต การเกิดขึ้นไดของ คณิตศาสตร 80% ของคะแนนท้งั หมด สถานการณนี้ ( p) (q) ( p ↔ q) 2. ครูใหนักเรียนรวมกนั อภิปรายเกย่ี วกบั ตารางคาความจรงิ ทีไ่ ดจ ากขอ 1 การ เมื่อจบกิจกรรมน้ีแลว ครูควรใหนักเรียนสรุปไดวาในการเช่ือมประพจนดวย “ก็ตอเม่ือ” มีขอตกลงวาประพจนใหมจะเปนจริงในกรณีท่ีประพจนที่นํามาเช่ือมกันนั้นเปนจริงทั้งคูหรือ เปนเท็จทั้งคูเทาน้ัน กรณีอื่น ๆ เปนเท็จเสมอ จากน้ันครูสรุปการเขียนตารางคาความจริง ของ p ↔ q ประเดน็ สําคัญเกี่ยวกับเน้ือหาและสิ่งทค่ี วรตระหนักเก่ยี วกบั การสอน ตัวเช่ือม “ก็ตอเมื่อ” พบไดบอยในการศึกษาคณิตศาสตร เชน บทนิยามเก่ียวกับ รูปสามเหลี่ยมหนาจั่ว ซ่ึงกลาววา “รูปสามเหล่ียมหนาจ่ัว คือ รูปสามเหลี่ยมที่มีดานยาว เทากันสองดาน” หมายความวา “รูปสามเหล่ียมใดจะเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจั่วก็ตอเมื่อ สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบ้ืองตน 56 คมู อื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 รูปสามเหลี่ยมน้ันมีดานยาวเทากันสองดาน” ซ่ึงมีความหมายเดียวกับ “ถารูปสามเหล่ียมใด เปนรูปสามเหล่ียมหนาจั่วแลวรูปสามเหล่ียมน้ันจะมีดานยาวเทากันสองดาน และถา รปู สามเหล่ียมใดมีดา นยาวเทา กนั สองดา นแลวรูปสามเหลี่ยมน้ันจะเปนรูปสามเหลี่ยมหนาจ่ัว” นเิ สธของประพจน ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจเกี่ยวกับนิเสธของประพจน โดยใหนักเรียน ทาํ กิจกรรมตอไปนี้ กิจกรรม : งานอดเิ รกของหนูดี ให p แทนขอความ “หนดู อี านหนังสือ” จะไดว า p แทนขอความ “หนูดีไมไดอ า นหนงั สือ” จะไดตารางคา ความจริง ดังน้ี ขัน้ ตอนการปฏิบัติ 1. ครใู หน ักเรียนเติมคาความจรงิ ลงในตารางตอไปนี้ หนูดีอานหนังสือ หนูดีไมไดอ านหนงั สือ ( p) p 2. ครใู หน ักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับตารางคาความจริงทีไ่ ดจ ากขอ 1 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบ้อื งตน 57 คูม อื ครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 เมื่อจบกิจกรรมน้ีแลว ครูควรใหนักเรียนสรุปไดวาคาความจริงของนิเสธจะตรงขามกับคาความจริง ของประพจนเ ดมิ เสมอ จากน้ันครสู รุปการเขยี นตารางคา ความจริงของ p การหาคา ความจรงิ ของประพจน ประเดน็ สําคัญเกยี่ วกับเน้ือหาและสิ่งท่คี วรตระหนักเกีย่ วกบั การสอน • ครูควรเขียนวงเล็บในตัวอยางท่ีตองการใหนักเรียนพิจารณาคาความจริงทุกครั้ง ไมควรละวงเล็บไวใหนักเรียนตัดสินใจเอง ยกเวนตัวเช่ือม “ ” ซึ่งในหนังสือเรียน ของ สสวท. ไมไดใสวงเล็บไวเชนกัน เน่ืองจากถือวาเปนตัวเช่ือมที่ตองหาคาความจริง กอ น เชน สําหรบั ประพจน p∨ p นนั้ ตองหาคา ความจริงของ p กอน แลวจึงหา คาความจรงิ ของ p∨ p ซ่งึ มีความหมายเชนเดยี วกบั p ∨ ( p) • การหาคาความจริงของประพจนท่ีมีตัวเช่ือมสามารถทําไดหลายวิธี ทั้งนี้ครูควรให นกั เรียนฝกฝนการหาคาความจริงของประพจนท่ีมีตัวเชื่อมโดยใชแผนภาพ ซ่ึงสามารถ เขียนแสดงไดหลายแบบ ควรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนแผนภาพโดยไมจําเปน จะตอ งตรงกับทคี่ รูคดิ ไว จะเปน ประโยชนใ นการศกึ ษาหัวขอตอ ๆ ไป 2.3 การวัดผลประเมินผลระหวา งเรยี น การวดั ผลระหวา งเรยี นเปน การวัดผลการเรยี นรูเ พ่ือปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน และ ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเร่ืองที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การให นักเรียนทาํ แบบฝก หัดเปนแนวทางหนงึ่ ท่ีครอู าจใชเ พ่อื ประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเ บือ้ งตน 58 คูมือครรู ายวชิ าพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 นกั เรยี น ซง่ึ หนังสือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 ไดนําเสนอแบบฝกหัด ที่ครอบคลุมเนื้อหาท่ีสําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทท่ี 2 ตรรกศาสตรเบื้องตน ครูอาจใช แบบฝกหัดเพ่ือวดั ผลประเมินผลความรูในแตละเนอ้ื หาไดด งั นี้ เน้ือหา แบบฝก หดั ประพจนแ ละคาความจริงของประพจน 2.1ก ขอ 1, 2 การเชอื่ มประพจนแ ละคาความจรงิ ของประพจนที่มีตัวเชือ่ ม 2.2ก ขอ 1, 2, 3 2.4 การวิเคราะหแ บบฝก หัดทายบท หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปที่ 4 มีจุดมุงหมายวาเม่ือนักเรียน ไดเ รียนจบบทที่ 2 ตรรกศาสตรเ บือ้ งตน แลว นักเรียนสามารถ 1. จาํ แนกขอ ความวา เปน ประพจนห รือไมเปน ประพจน 2. หาคา ความจริงของประพจนท ีม่ ตี วั เชอื่ ม 3. ใชความรเู กยี่ วกับตรรกศาสตรเ บ้ืองตนในการสื่อสารและส่ือความหมายทางคณิตศาสตร ซง่ึ หนังสอื เรียนรายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 ไดนาํ เสนอแบบฝก หัดทายบท ที่ประกอบดวยโจทยเพื่อตรวจสอบความรูหลังเรียน โดยมีวัตถุประสงคเพ่ือวัดความรูความเขาใจ ของนักเรียนตามจดุ มุง หมาย ซึง่ ประกอบดวยโจทยฝกทักษะท่ีมีความนาสนใจและโจทยทาทาย ครูอาจเลือกใชแบบฝกหัดทายบทวัดความรูความเขาใจของนักเรียนตามจุดมุงหมายของบท เพือ่ ตรวจสอบวา นกั เรียนมีความสามารถตามจดุ มงุ หมายเมื่อเรียนจบบทเรียนหรือไม ท้ังนี้ แบบฝกหัดทายบทแตละขอในหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 บทท่ี 2 ตรรกศาสตรเ บือ้ งตน สอดคลอ งกบั จดุ มุงหมายของบทเรียน ดงั น้ี สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบื้องตน 59 คูม อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 ขอ ขอ จําแนกขอ ความ จดุ มุงหมาย ใชค วามรเู ก่ียวกบั ยอย หาคา ความจรงิ ของ ตรรกศาสตรเ บ้ืองตน วา เปน ประพจน ประพจนที่มีตัวเช่ือม ในการสอ่ื สารและ หรอื ไมเ ปน ประพจน สื่อความหมายทาง โจทยฝ ก ทกั ษะ โจทยฝก ทักษะ คณิตศาสตร โจทยฝ กทกั ษะ 1. 1) โจทยฝ กทกั ษะ 2) 3) 4) 5) 6) 7) 8) 9) 10) 2. 1) 2) 3) 4) สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบื้องตน 60 คูม ือครูรายวชิ าพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 ขอ ขอ จาํ แนกขอความ จดุ มุงหมาย ใชค วามรูเกี่ยวกับ ยอ ย ตรรกศาสตรเบ้ืองตน วาเปนประพจน หาคา ความจรงิ ของ ในการสอื่ สารและ หรอื ไมเ ปน ประพจน ประพจนท่ีมีตัวเชื่อม ส่ือความหมายทาง โจทยฝก ทักษะ คณติ ศาสตร โจทยฝ ก ทกั ษะ 5) 6) 3. 1) 2) 3) 4) 4. โจทยฝ ก ทักษะ 5. 1) 2) 3) 4) 5) 6. 1) 2) 3) สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบ้ืองตน 61 คมู ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 ขอ ขอ จาํ แนกขอ ความ จดุ มงุ หมาย ใชความรเู กย่ี วกบั ยอ ย ตรรกศาสตรเ บอื้ งตน วา เปนประพจน หาคาความจรงิ ของ ในการส่ือสารและ หรอื ไมเปน ประพจน ประพจนที่มตี วั เช่ือม สอ่ื ความหมายทาง 4) คณิตศาสตร 7. 1) 2) 3) 4) 8. 9. 10. สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบ้อื งตน 62 คูมอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 2.5 ความรูเพ่ิมเติมสาํ หรับครู • เปาหมายประการหนึ่งของวิชาคณิตศาสตร คือ การศึกษาทําความเขาใจธรรมชาติ หรือ ปรากฏการณตาง ๆ โดยใช “ระบบเชิงคณิตศาสตร” (mathematical system) ซึ่งระบบ เชิงคณิตศาสตรเปนแนวคิดเชิงนามธรรมที่ใชแทนธรรมชาติ หรือปรากฏการณอยางใด อยางหนึ่ง เชน “ระบบจํานวนจริง” (real number system) เปนแนวคิดท่ีใชแทนจํานวนหรือ ขนาดของส่ิงตาง ๆ หรือ “เรขาคณิตแบบยุคลิด” (Euclidean geometry) เปนแนวคิดหน่ึงที่ใช แทนวัตถตุ าง ๆ ในปริภูมิ • ระบบเชิงคณติ ศาสตรแ ตล ะระบบ มีองคประกอบดงั ตอไปน้ี 1. เอกภพสัมพัทธ (universe) คือ เซตของส่ิงท่ีจะศึกษาในระบบน้ัน เชน เซตของ จาํ นวนนับ เซตของจํานวนเตม็ เซตของจาํ นวนจริง 2. คําอนิยาม (undefined term) ไดแก คําซ่ึงเปนที่เขาใจความหมายกันโดยทั่วไป โดยไมตองอธิบาย เชน คําวา “เหมือนกัน” หรือคําวา “จุด” และ “เสน” ใน เรขาคณติ แบบยคุ ลดิ 3. คํานิยาม (defined term) คือ คําท่ีสามารถใหความหมายโดยใชคําอนิยาม หรือคํานิยาม อน่ื ท่มี มี ากอ นแลวได เชน คําวา “จาํ นวนคู” หรอื คาํ วา “รปู สามเหล่ียมมมุ ฉาก” 4. สัจพจน (axiom) คือ ขอความที่กําหนดใหเปนจริงในระบบเชิงคณิตศาสตรนั้น โดยไมตองพิสูจน เชน สัจพจนเชิงพีชคณิตของระบบจํานวนจริง สัจพจนเชิงอันดับ ของระบบจํานวนจริง สจั พจนความบรบิ รู ณของระบบจํานวนจรงิ 5. ทฤษฎีบท (theorem) คือ ขอความที่พิสูจนแลววาเปนจริงในระบบเชิงคณิตศาสตร ที่กาํ หนด โดยการพิสูจน (proof) คือ กระบวนการอางเหตุผลตามหลักตรรกศาสตร เพือ่ นําไปสขู อสรุปที่ตองการ ซึ่งมักตองนําคําอนิยาม คํานิยาม รวมทั้งสัจพจน หรือ ทฤษฎบี ททีม่ อี ยูกอนแลว มาใชในการพสิ ูจน เชน ทฤษฎีบทของพที าโกรัส สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบือ้ งตน 63 คมู อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 ในบางกรณี ขอความที่พิสูจนแลววาเปนจริง อาจไมเรียกวาทฤษฎีบทเสมอไป โดย มีคําเฉพาะที่ใชเรียกทฤษฎีบทบางประเภท เชน “บทต้ัง” (lemma) ที่ใชเรียกทฤษฎี บทซ่ึงจะนําไปใชพิสูจน ทฤษฎีบทถัดไปที่เปนทฤษฎีบทหลัก หรือทฤษฎีบทที่มี ความสาํ คัญมากกวา และ “บทแทรก” (corollary) ที่ใชเรียกทฤษฎีบทซ่ึงเปนผลอยาง งายจากทฤษฎีบทที่มีมากอนหนา นอกจากน้ี ในบางกรณี จะใชคําวา “สมบัติ” (property) แทนขอความที่เปนจริงใด ๆ ในระบบเชิงคณิตศาสตรระบบหน่ึง โดยสมบัติอาจเปนความจริงเก่ียวกับคํานิยาม สัจพจน หรือทฤษฎีบทก็ได และอาจใชคําวา “กฎ” (law) สําหรับความจริงท่ีเปน สจั พจนห รอื ทฤษฎบี ทอีกดวย ครูควรระลึกอยูเสมอวา ความรูทางคณิตศาสตรที่กําลังพิจารณาเปนองคประกอบใด ของระบบเชิงคณิตศาสตร นั่นคือ ควรทราบวาสิ่งใดเปนสัจพจน สิ่งใดเปนทฤษฎีบท เชน ไมค วรพยายามพิสจู นส จั พจนเ กีย่ วกบั จาํ นวนจรงิ ในระบบจาํ นวนจริง 2.6 ตวั อยางแบบทดสอบประจําบทและเฉลยตัวอยา งแบบทดสอบประจําบท ในสวนน้จี ะนาํ เสนอตัวอยางแบบทดสอบประจําบทท่ี 2 ตรรกศาสตรเบ้ืองตน สําหรับรายวิชาพื้นฐาน คณิตศาสตร ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี 4 ซ่ึงครูสามารถเลือกนําไปใชไดตามจุดประสงคการเรียนรู ท่ีตอ งการวดั ผลประเมนิ ผล ตัวอยางแบบทดสอบประจําบท 1. จงพิจารณาประโยคหรอื ขอความตอไปนีว้ าเปน ประพจนหรือไม ถาเปนประพจน จงหาคาความจริงของประพจนน น้ั สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเ บอื้ งตน 64 คูม ือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 1) งวงนอนจัง 2) เธอตอ งไปเดี๋ยวน้ี 3) π = 22 7 4) 1∉{2, 3} 5) 2 ไมใชจํานวนจริง 6) 1, 2, 3, 7) ทาํ ไม a + b = b + a 2. กําหนดให p, q และ r เปนประพจน ซ่ึง p และ q มีคาความจริงเปนจริงและเท็จ ตามลาํ ดับ จงหาคาความจริงของประพจนต อไปน้ี 1) ( p ↔ q) → r 2) ( p∧ q) ∨ r 3. กําหนดให p และ q เปนประพจนใด ๆ ถา r เปนประพจนเชิงประกอบท่ีเกิดจาก การเชอื่ มประพจน p กับ q ซ่ึงมคี าความจริงดงั ตารางตอไปน้ี pq r TT F TFT FT T FF F จงเขียนประพจน r ในรูปประพจน p กบั q สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบอ้ื งตน 65 คูมอื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 4. กําหนดให p, q และ r เปนประพจน ซ่ึง p → q, q → r และ r → p มีคาความจริง เปนจริง จงหาคาความจรงิ ของประพจน p ↔ r 5. จงหานิเสธของขอความ “ถา x เปน จาํ นวนนบั แลว x เปน จาํ นวนคู หรือ x เปนจาํ นวนคี่” เฉลยตวั อยางแบบทดสอบประจําบท 1. 1) ไมเปนประพจน 2) ไมเ ปน ประพจน 3) เปน ประพจน มีคาความจริงเปน เท็จ 4) เปนประพจน มีคา ความจริงเปนจรงิ 5) เปน ประพจน มีคา ความจริงเปน เท็จ 6) ไมเ ปนประพจน 7) ไมเ ปน ประพจน 2. 1) จาก p เปน จริง และ q เปน เท็จ จะได p ↔ q เปน เทจ็ ดังน้นั ( p ↔ q) → r มีคา ความจรงิ เปนจริง 2) จาก q เปน เท็จ จะได q เปนจริง จาก p เปน จริง และ q เปน จริง จะได p∧ q เปน จรงิ ดังนั้น ( p∧ q) ∨ r มคี า ความจริงเปนจริง 3. ตัวอยางคาํ ตอบ ( p ↔ q) ( p → q) ∧ (q → p) สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 2 | ตรรกศาสตรเบือ้ งตน 66 คมู อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 4. พิจารณาตารางคา ความจริงดังนี้ p→q q→r r→ p pq r TTT T T T TTF T F T T FT F T T T FF F T T FTT T T F FT F T F T F FT T T F FFF T T T สังเกตวาถา p → q, q → r และ r → p มคี าความจรงิ เปนจริง จะได p, q และ r ตองมีคา ความจริงเปน จรงิ ทั้งหมด หรอื เปน เทจ็ ท้ังหมด ดงั นั้น p ↔ r มคี าความจรงิ เปนจริง 5. ให p แทนประพจน “ x เปนจํานวนนบั ” q แทนประพจน “ x เปนจํานวนคู” r แทนประพจน “ x เปนจาํ นวนค่ี” จะไดวา ขอ ความ “ถา x เปน จาํ นวนนับ แลว x เปน จาํ นวนคู หรือ x เปน จํานวนคี่” เขียน แทนดวยรปู แบบของประพจน p → (q ∨ r) นเิ สธของ p → (q ∨ r) คือ p → (q ∨ r ) เน่ืองจาก p → (q ∨ r ) ≡ p ∨ (q ∨ r ) สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบื้องตน 67 คูมือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 4 ≡ p∧ (q ∨ r) ≡ p∧ q∧ r โดยท่ีรูปแบบของประพจน p∧ q∧ r แทนขอความ “ถา x เปนจํานวนนับ และ x ไม เปน จํานวนคู และ x ไมเ ปน จํานวนค่ี” ดังนน้ั นิเสธของขอ ความ “ถา x เปนจํานวนนับ แลว x เปนจํานวนคู หรือ x เปนจํานวนคี่” คอื “ถา x เปน จาํ นวนนับ และ x ไมเ ปนจาํ นวนคู และ x ไมเ ปน จํานวนคี่” 2.7 เฉลยแบบฝก หดั คูมือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4 แบงการเฉลยแบบฝกหัดเปน 2 สวน คือ สวนที่ 1 เฉลยคําตอบ และสวนท่ี 2 เฉลยคําตอบพรอ มวิธีทําอยางละเอียด ซ่ึงเฉลยแบบฝกหัดที่ อยใู นสวนน้เี ปนการเฉลยคําตอบของแบบฝกหัด โดยไมไ ดน าํ เสนอวิธีทาํ อยา งไรก็ตามครูสามารถ ศึกษาวธิ ที ําโดยละเอยี ดของแบบฝกหดั ไดใ นสว นทา ยของคูมือครเู ลม น้ี แบบฝกหัด 2.1 1. 1) เปน ประพจน ทีม่ คี าความจริงเปน เท็จ 2) เปนประพจน ที่มคี าความจรงิ เปน จริง 3) เปนประพจน ท่ีมีคา ความจรงิ เปน เทจ็ 4) ไมเ ปน ประพจน 5) ไมเ ปน ประพจน 6) เปน ประพจน ที่มีคาความจรงิ เปนจรงิ 7) เปน ประพจน ทมี่ ีคา ความจรงิ เปนเท็จ 8) เปนประพจน ทม่ี ีคา ความจรงิ เปน เท็จ 9) ไมเปนประพจน 10) เปนประพจน ที่มคี าความจริงเปน จริง 11) เปน ประพจน ทม่ี คี าความจริงเปนเทจ็ 12) เปน ประพจน ท่มี คี าความจรงิ เปน จรงิ 13) ไมเ ปน ประพจน 14) ไมเ ปน ประพจน สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเ บ้อื งตน 68 คมู อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 4 15) เปน ประพจน ทมี่ คี าความจรงิ เปนเทจ็ 16) ไมเปนประพจน 17) ไมเ ปนประพจน 18) เปน ประพจน ทีม่ ีคาความจรงิ เปนจรงิ 2. ตวั อยางคําตอบ 2 > 3 เปนประพจน ทม่ี คี าความจริงเปนเทจ็ ∅ ∈ {1, 2, 3} เปน ประพจน ทม่ี ีคาความจริงเปน เท็จ หนง่ึ ปมสี ิบสองเดือน เปนประพจน ท่มี ีคาความจริงเปน จริง 4 เปนจาํ นวนอตรรกยะ เปนประพจน ท่ีมคี าความจรงิ เปน เท็จ เดือนมกราคม มี 31 วนั เปน ประพจน ท่ีมคี า ความจรงิ เปน จริง แบบฝก หดั 2.2 1. 1) นิเสธของประพจน 4 + 9 = 10 + 3 คือ 4 + 9 ≠ 10 + 3 มีคา ความจรงิ เปน เท็จ 2) นเิ สธของประพจน −6 </ 7 คอื −6 < 7 มีคา ความจรงิ เปน จรงิ 3) นิเสธของประพจน 100 ไมเปนจาํ นวนเตม็ คอื 100 เปน จํานวนเต็ม มคี าความจริงเปนจรงิ 4) นเิ สธของประพจน 2 ⊄ {2} คือ 2 ⊂ {2} มีคาความจรงิ เปน เท็จ 2. 1) มีคา ความจริงเปนเท็จ 2) มคี าความจรงิ เปน จริง 3) มคี าความจริงเปน เท็จ 4) มคี าความจรงิ เปน จริง 5) มคี า ความจริงเปน เท็จ 6) มคี าความจริงเปน เท็จ 7) มคี า ความจริงเปนจริง 8) มคี าความจริงเปน เทจ็ 9) มีคา ความจริงเปน เท็จ 10) มคี า ความจรงิ เปน เท็จ 11) มคี าความจริงเปนจรงิ 12) มีคา ความจริงเปน จรงิ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบอื้ งตน 69 คูมอื ครรู ายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 3. 1) ประพจนท่ีกําหนดใหอยใู นรูป p ∧ q และมคี า ความจริงเปน จรงิ 2) ประพจนที่กําหนดใหอยูในรูป p ∨ q และมคี าความจรงิ เปน จริง 3) ประพจนที่กาํ หนดใหอยูในรปู p และมีคา ความจริงเปนเทจ็ 4) ประพจนท่ีกาํ หนดใหอยใู นรปู p ↔ q และมคี าความจรงิ เปน จรงิ 5) ประพจนท่ีกําหนดใหอยูในรปู p ↔ q และมีคาความจรงิ เปนจรงิ 6) ประพจนที่กาํ หนดใหอยใู นรูป p → q และมคี า ความจริงเปนจริง 7) ประพจนที่กาํ หนดใหอยใู นรปู p ∧ q และมคี า ความจรงิ เปน เทจ็ 8) ประพจนท่ีกําหนดใหอยูในรปู p ∨ q และมีคาความจรงิ เปน จริง แบบฝก หัดทายบท 1. 1) ไมเปน ประพจน 2) เปน ประพจน ทมี่ ีคา ความจริงเปนจรงิ 3) เปน ประพจน ที่มคี าความจริงเปน จริง 4) เปนประพจน ทมี่ ีคาความจรงิ เปน เท็จ 5) ไมเ ปนประพจน 6) เปนประพจน ที่มคี าความจริงเปน เท็จ 7) ไมเ ปนประพจน 8) ไมเปนประพจน 9) เปนประพจน ทมี่ ีคา ความจริงเปนจริง 10) เปน ประพจน ท่ีมคี าความจริงเปน จริง 2. 1) ขอความท่ีกําหนดใหอยูในรูป p ∨ q 2) ขอความทีก่ ําหนดใหอยูในรูป p ↔ q 3) ขอ ความทกี่ าํ หนดใหอ ยูในรปู p ∧ q r 4) ขอความท่ีกาํ หนดใหอ ยูในรปู ( p ∧ q) → r 5) ขอ ความทก่ี ําหนดใหอ ยูในรูป p → ( q∨ r) 6) ขอความทก่ี ําหนดใหอ ยูในรูป ( p ∨ q) → (r ∨ s ∨ (r ∧ s)) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเ บอ้ื งตน 70 คูมือครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 4 3. 1) นิเสธของประพจน −20 + 5 > −17 คอื −20 + 5 ≤ −17 มีคา ความจริงเปน เท็จ 2) นิเสธของประพจน 37 ไมเ ปนจาํ นวนเฉพาะ คือ 37 เปน จํานวนเฉพาะ มีคาความจริงเปน จริง 3) นิเสธของประพจน 2 ∈ คือ 2 ∉ มคี า ความจริงเปน จริง 4) นิเสธของประพจน ⊂ คอื ⊄ มีคาความจริงเปน เทจ็ 4. ตัวอยางคาํ ตอบ • π ไมเปน จํานวนตรรกยะ • นิดาและนัดดาเปน นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 • รูปสเ่ี หล่ียมอาจเปน รูปส่ีเหล่ยี มมุมฉากหรือรูปส่ีเหลย่ี มดานขนานก็ได • รูปสามเหล่ียม ABC เปน รูปสามเหลย่ี มดานเทา กต็ อเมื่อรปู สามเหลยี่ ม ABC มดี าน ยาวเทากันทุกดา น 5. 1) มคี า ความจริงเปนจรงิ 2) มีคา ความจรงิ เปน เทจ็ 3) มีคา ความจริงเปนจริง 4) มีคาความจรงิ เปน จรงิ 5) มีคา ความจรงิ เปน เทจ็ 6. 1) ประพจนท ี่กําหนดใหอยใู นรูป p → q และมคี า ความจริงเปน จรงิ 2) ประพจนท่ีกําหนดใหอยใู นรูป p ∧ q และมีคาความจริงเปนจริง 3) ประพจนท ่ีกําหนดใหอยูในรูป p ∨ q และมีคาความจริงเปนจริง 4) ประพจนท่ีกําหนดใหอยใู นรปู p ∨ q และมคี า ความจริงเปน จริง 5) ประพจนท ี่กาํ หนดใหอยูในรูป p ∧ q และมีคา ความจริงเปนเทจ็ 7. 1) ประพจน q มีคาความจริงเปน จรงิ และประพจน r มีคา ความจริงเปน จริง 2) ประพจน r มคี า ความจริงเปน จริง และประพจน q มีคา ความจริงเปนเท็จ 3) ประพจน ( p∧ q) → r มีคาความจรงิ เปน จริง สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 2 | ตรรกศาสตรเบื้องตน 71 คูม อื ครรู ายวชิ าพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 4 4) ประพจน ( p ∨ q) ∧ r มีคาความจริงเปน เทจ็ 8. ฟา ใสมีสทิ ธ์ไิ ดเ ลือ่ นตําแหนง 9. สุริยาจะไดร ับเงนิ รางวลั 45,000 บาท เมฆาจะไมไดร บั เงนิ รางวลั กมลจะไดรบั เงนิ รางวลั 140,000 บาท และทิวาจะไดร ับเงนิ รางวัล 800,000 บาท 10. มานแกวจะสามารถกูเงนิ กับบริษัทนีไ้ ด สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลกั การนบั เบ้อื งตน 72 คูมอื ครูรายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 4 บทท่ี 3 หลกั การนบั เบ้ืองตน การศึกษาเรื่องหลักการนับเบื้องตนมีความสําคัญตอการแกปญหาในชีวิตประจําวัน ซ่ึงใน ชีวิตประจําวันจะพบปญหาท่ีใชความรูเกี่ยวกับการนับอยูเสมอ เชน การวางแผนการจัดการ แขงขันกีฬา การกําหนดปายทะเบียนรถยนตน่ังสวนบุคคล การบริหารจัดการเกี่ยวกับการออกต๋ัว ชมการแสดง ซึ่งความรูเก่ียวกับหลักการนับ เชน หลักการบวก หลักการคูณ การเรียงสับเปลี่ยน และการจัดหมู จะชวยใหสามารถนับจํานวนส่ิงของตาง ๆ ไดสะดวกขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสิ่งของน้ัน มีจํานวนมาก และมีองคประกอบที่ซับซอน เนื้อหาเรื่องหลักการนับเบ้ืองตนที่นําเสนอใน หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 นี้มีเปาหมายเพ่ือใหนักเรียน เรียนรูเกี่ยวกับหลักการนับเบื้องตนและนําไปใชในการแกปญหา สําหรับในบทเรียนน้ีมุงให นักเรยี นบรรลุตัวชว้ี ดั และจุดมงุ หมายดงั ตอไปน้ี ตัวชว้ี ดั เขาใจและใชหลกั การบวกและการคณู การเรยี งสบั เปลยี่ น และการจัดหมูในการแกป ญหา สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลกั การนับเบ้อื งตน 73 คูมือครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 4 จดุ มงุ หมาย 1. ใชหลักการนับเบ้ืองตน ในการแกปญหา 2. ใชว ธิ ีเรียงสบั เปลย่ี นเชงิ เสน กรณที ี่สิ่งของแตกตา งกันทั้งหมดในการแกปญ หา 3. ใชวิธจี ดั หมกู รณที ีส่ ่งิ ของแตกตางกนั ท้ังหมดในการแกปญ หา ความรูก อนหนา • ความรเู กี่ยวกบั จาํ นวนและหลักการนับเบ้อื งตน ในระดับมัธยมศึกษาตอนตน 3.1 เนอื้ หาสาระ 1. หลกั การบวก ในการทํางานอยา งหน่ึง ถาสามารถแบง วิธที ํางานออกเปน k กรณี โดยที่ กรณที ่ี 1 สามารถทําได n1 วธิ ี กรณที ี่ 2 สามารถทาํ ได n2 วธิ ี กรณีท่ี k สามารถทาํ ได nk วธิ ี ซ่ึงวิธีการทํางานในท้ัง k กรณีไมซํ้าซอนกันและการทํางานในแตละกรณีทําใหงานเสร็จ สมบรู ณ แลวจะสามารถทํางานนี้ไดท้งั หมด n1 + n2 ++ nk วธิ ี 2. หลักการคูณ ในการทํางานอยางหนึ่ง ถาสามารถแบงขั้นตอนการทํางานออกเปน k ขั้นตอน ซึ่งตอง ทาํ ตอเน่ืองกัน โดยที่ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลักการนบั เบอื้ งตน 74 คูม อื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 4 ข้ันตอนที่ 1 มีวิธีเลือกทําได n1 วิธี ในแตละวิธีของข้ันตอนท่ี 1 สามารถทาํ ข้ันตอนท่ี 2 ได n2 วิธี ในแตละวิธีของข้ันตอนท่ี 1 และขั้นตอนท่ี 2 สามารถทําขั้นตอนท่ี 3 ได n3 วิธี ในแตล ะวิธขี องขั้นตอนท่ี 1 ถึงขน้ั ตอนท่ี k −1 สามารถทําขนั้ ตอนท่ี k ตอ ไปได nk วิธี แลวจะทาํ งาน k ข้ันตอน ได n1 × n2 ×× nk วิธี 3. ให n เปนจํานวนเตม็ บวก แฟกทอเรียล n คือ การคูณของจํานวนเต็มบวกตั้งแต 1 ถึง n เขียนแทนดวย n! 4. การเรยี งสบั เปลี่ยนเชิงเสนของสงิ่ ของท่แี ตกตา งกนั ทัง้ หมด จํานวนวิธีในการนําส่ิงของ r ช้ิน จากส่ิงของท่ีแตกตางกัน n ช้ิน มาเรียงสับเปลี่ยน เชิงเสน คือ Pn, r = n! วธิ ี (n − r)! 5. การจดั หมขู องสงิ่ ของท่แี ตกตางกนั ทง้ั หมด จาํ นวนวธิ จี ดั หมขู องส่ิงของทแ่ี ตกตางกนั n ชิน้ โดยเลอื กคราวละ r ชนิ้ คอื Cn, r = n! วธิ ี (n − r)!r! 3.2 ขอ เสนอแนะเก่ยี วกบั การสอน ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเห็นความสําคัญของหลักการนับ โดยใชกิจกรรม การนบั จํานวนหมายเลขทะเบียนรถยนต ดังน้ี สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลกั การนบั เบือ้ งตน 75 คมู ือครูรายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 กิจกรรม : หมายเลขรถยนต ขน้ั ตอนการปฏบิ ัติ 1. ครูยกตัวอยางรูปปายทะเบียนรถยนตนั่งสวนบุคคลในกรุงเทพมหานครในปจจุบัน ซงึ่ ประกอบดวยเลขโดด 1 ตวั ทไี่ มใช 0 ตามดวยพยัญชนะไทย 2 ตวั และจํานวนเต็มบวกท่ี ไมเกนิ 4 หลัก 1 จาํ นวน ซึ่งมีลักษณะดังรปู 2. ครูใหนักเรียนบอกลักษณะท่ีสังเกตไดจากปายทะเบียน และเปรียบเทียบวามีความแตกตาง กับจังหวัดท่นี กั เรยี นอาศัยอยอู ยางไร เพราะเหตใุ ดจึงมีความแตกตางเชน นั้น 3. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายวา ถาตองการทราบจํานวนหมายเลขทะเบียนรถยนต ในรปู แบบนี้ จะมไี ดทงั้ หมดก่ีหมายเลขและมวี ิธกี ารนับอยางไร ในการจัดกิจกรรมนี้ ครูควรเนนใหนักเรียนเห็นวา ในการนับจํานวนหมายเลขทะเบียนรถยนต ขางตน อาจไมส ะดวกท่จี ะนับโดยตรง เหมอื นกับการนับจาํ นวนสิง่ ของท่มี ีไมมากและไมซับซอน เชน การนับจํานวนนักเรียนในหอง จํานวนไมยืนตนในบริเวณบาน หรือจํานวนหนังสือใน กระเปานักเรยี น ดังนั้น การใชความรูเกี่ยวกับหลักการนับจะชวยใหสามารถนับจํานวนสิ่งของ ตาง ๆ ไดส ะดวกขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสง่ิ ของที่นับมจี ํานวนมาก และมอี งคประกอบที่ซบั ซอน สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนบั เบ้ืองตน 76 คูมอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ่ี 4 หลกั การบวกและหลักการคณู ครูอาจนําเขาสูหลักการบวก โดยยกตัวอยางการเลือกบริษัทผูใหบริการสําหรับเดินทางกลับ เชยี งใหมข องบัวตองจากหนงั สือเรียน ดังนี้ ถาบัวตองจะเดนิ ทางจากกรุงเทพฯ กลบั ไปเยยี่ มบานทีเ่ ชียงใหม โดยจะเลือกเดินทาง โดยเคร่ืองบินหรือรถประจําทาง และสมมติวามีสายการบินและบริษัทรถประจําทาง ใหเลือกดงั ตาราง แลวบวั ตองจะเลือกบริษทั ผใู หบ ริการไดท ง้ั หมดก่วี ิธี วธิ ีเดินทาง บรษิ ัทผใู หบ รกิ าร เคร่อื งบนิ 1. ยม้ิ สยาม 2. การบนิ เอเชยี 3. วหิ คเหนิ ฟา 4. กรงุ เทพการบนิ 5. เชยี งใหมแอรเวย 6. ไทยการบนิ รถประจาํ ทาง 1. กรงุ เทพทวั ร 2. มาลีทัวร 3. สบายทวั ร 4. สยามทวั ร 5. ทวั รท่ัวไทย สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนับเบ้ืองตน 77 คูมอื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 4 ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปราย และเปดโอกาสใหนักเรียนใชวิธีที่หลากหลายในการหาคําตอบ ซ่งึ นกั เรียนอาจเขยี นแสดงโดยใชแผนภาพตน ไม หรอื เขยี นแสดงในตาราง ดังตัวอยางตอไปน้ี ตวั อยางคาํ ตอบที่ 1 แสดงโดยใชแ ผนภาพตน ไมไดดังนี้ ย้มิ สยาม เครือ่ งบิน การบินเอเชยี วหิ คเหินฟา การเดนิ ทาง กรงุ เทพการบิน เชียงใหมแอรเ วย รถประจาํ ทาง ไทยการบนิ กรงุ เทพทวั ร มาลีทวั ร สบายทวั ร สยามทวั ร ทัวรทั่วไทย สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนบั เบ้ืองตน 78 คูมอื ครูรายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 ตวั อยางคําตอบที่ 2 แสดงโดยแจกแจงกรณีในรูปตารางไดดงั นี้ วิธีที่ วิธีเดินทาง บรษิ ทั ผูใหบ ริการ บริษทั ผูใหบ ริการ เครือ่ งบิน รถประจําทาง เครื่องบิน รถประจําทาง 1 2 3 4 5 6 12345 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 ครูและนักเรียนรวมกันสรุปจากตัวอยาง ซ่ึงจะพบวาในการแกปญหาขางตนไดใชการนับ โดยแบงวิธีที่เปนไปไดออกเปน 2 กรณี ไดแก กรณีท่ีเดินทางโดยเครื่องบิน และกรณีเดินทาง โดยรถประจําทาง ซึ่งบริษัทผูใหบริการในท้ังสองกรณีไมซ้ําซอนกัน จากน้ันจึงนําจํานวนบริษัท ผใู หบรกิ ารทัง้ สองกรณีมาบวกกัน ครูอาจใชตัวอยางนําเขาสูหลักการคูณ โดยยกตัวอยางการเลือกเสนทางขับรถยนตของบัวตอง เพื่อเดินทางไปเย่ียมบานที่เชียงใหมของบัวตองโดยระหวางทางจะตองแวะเยี่ยมญาติท่ี นครสวรรค จากหนังสอื เรียน ดังนี้ สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนบั เบอื้ งตน 79 คูม ือครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 4 สมมติวาบัวตองจะขับรถยนตจากกรุงเทพฯ กลับไปเยี่ยมบานที่เชียงใหม โดยระหวาง ทางจะตองแวะเย่ียมญาติท่ีนครสวรรคดวย ถาเสนทางจากกรุงเทพฯ ไปนครสวรรค มี 2 เสนทาง และเสนทางจากนครสวรรคไปเชียงใหม มี 3 เสนทาง แลวบัวตอง จะขับรถจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหมไ ดทงั้ หมดกี่เสน ทาง โดยใหนักเรียนรวมกันอภิปราย และเปดโอกาสใหนักเรียนใชวิธีท่ีหลากหลายในการหาคําตอบ ซึ่งนกั เรยี นอาจเขยี นแสดงโดยใชแผนภาพ หรือเขียนแสดงในตาราง ดังตวั อยางตอไปนี้ ตัวอยา งคําตอบท่ี 1 แสดงโดยใชแ ผนภาพ กรุงเทพฯ นครสวรรค เชียงใหม ตัวอยา งคาํ ตอบที่ 2 แสดงโดยใชแผนภาพตน ไม ขนั้ ตอนที่ 2 นครสวรรค – เชียงใหม ขั้นตอนที่ 1 กรงุ เทพฯ – นครสวรรค เสนทางท่ี 1 เสนทางท่ี 2 เสน ทางที่ 1 เสนทางที่ 3 การเดนิ ทาง เสน ทางท่ี 1 เสน ทางท่ี 2 เสนทางท่ี 2 เสน ทางที่ 3 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลักการนบั เบ้อื งตน 80 คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 4 ตวั อยางคาํ ตอบที่ 3 แสดงโดยแจกแจงกรณใี นรปู ตารางไดด ังน้ี กรุงเทพฯ – นครสวรรค นครสวรรค – เชียงใหม วิธีที่ เสนทางท่ี 1 เสน ทางท่ี 2 เสนทางท่ี 3 เสนทางที่ 1 เสนทางท่ี 2 1 2 3 4 5 6 ประเด็นสําคัญเกี่ยวกับเน้ือหาและสงิ่ ท่ีควรตระหนักเกีย่ วกบั การสอน • จากสถานการณเก่ียวกับการเดินทางของบัวตองท้ังสองปญหาขางตน จะเห็นวามี ความแตกตางกัน โดยสถานการณแรกใชหลักการบวกในการหาจํานวนวิธีเดินทาง ของบัวตองน้ัน ซึ่งจะเห็นวาการเดินทางแตละวิธี ไมวาจะโดยเครื่องบินหรือ โดยรถประจําทางสามารถทําใหการเดินทางนั้นสมบูรณได แตในสถานการณท่ี 2 ใชหลักการคูณในการหาจํานวนเสนทางในการเดินทาง ซึ่งจะเห็นวาการเดินทาง ตองมี 2 ข้ันตอน นั่นคือ ขั้นตอนที่ 1 เปนการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปนครสวรรค ซ่ึงมี 2 เสนทาง และขั้นตอนที่ 2 เปนการเดินทางจากนครสวรรคไปเชียงใหม ซง่ึ มี 3 เสนทาง โดยการเดินทางจะสมบูรณเมอ่ื มคี รบท้ัง 2 ข้ันตอน สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลักการนบั เบอื้ งตน 81 คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 4 • ตัวอยางที่ 5 รานอาหารแหงหนึ่งมีอาหารคาว 4 อยาง และขนม 3 อยาง ถาลูกคาตองการ อาหารคาวหน่งึ อยา งและขนมหนึง่ อยาง เขาจะมวี ิธเี ลือกส่ังอาหารไดกว่ี ิธี ตัวอยางนี้ นําเสนอขั้นตอนการเลือกส่ังอาหารคาวกอนการเลือกส่ังขนม อยางไรก็ตาม อาจจะพิจารณาข้ันตอนการเลือกส่ังขนมกอนการเลือกสั่งอาหารคาวก็ได เพียงแต ตอ งพิจารณาใหครบทุกขั้นตอนเทาน้ัน นั่นคือ ในบางสถานการณที่ใชหลักการคูณใน การแกปญหา อาจสลบั ขนั้ ตอนได • ในการสอนเน้อื หาเรือ่ งนี้ ครูควรเรม่ิ จากการพิจารณาโจทยวาโจทยกําหนดสิ่งใด ตองการให หาสิ่งใด จะหาส่ิงน้ันตองทราบอะไรบาง จําเปนตองมีขั้นตอนใดบาง ข้ันตอนเหลาน้ันเปน อสิ ระตอกันหรือไม การทํางานตามข้ันตอนเหลา นั้นตองใชหลกั การบวกหรือหลักการคูณ • การแกป ญหาเกีย่ วกบั หลักการนบั สามารถทําไดหลายวิธี ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียน ไดล องคิดหาคําตอบดวยตนเอง ประเด็นสําคญั เกีย่ วกับแบบฝก หัด แบบฝกหัด 3.1 5. ลูกเตาแตละลูกประกอบดวยหนา 6 หนา โดยมีแตม 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 ปรากฏอยู แตมละหนึ่งหนา ถาทอดลูกเตาหนึ่งลกู สองครั้ง จงหา สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลักการนบั เบ้ืองตน 82 คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 4 1) จํานวนวิธที ีแ่ ตมทไี่ ดจากการทอดลูกเตาท้งั สองครัง้ เทา กนั 2) จาํ นวนวิธที ี่แตม ทไ่ี ดจากการทอดลกู เตา ทัง้ สองครั้งตา งกนั 3) จาํ นวนวธิ ที ่ผี ลรวมของแตมทไ่ี ดจากการทอดลกู เตาท้งั สองคร้งั นอยกวา 10 แบบฝกหัดนี้สามารถหาคําตอบไดโดยการเขียนแจกแจงกรณีในรูปตาราง ซ่ึงเปนวิธีที่นักเรียน คุนเคยในระดับมัธยมศึกษาตอนตน ครูควรกระตุนใหนักเรียนเช่ือมโยงการเขียนแจกแจงกรณี ไปสกู ารใชห ลักการนบั เบ้อื งตน การเรยี งสับเปล่ียนเชงิ เสน ของส่ิงของทีแ่ ตกตา งกนั ทง้ั หมด ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพื่อใหนักเรียนเขาใจแนวคิดเกี่ยวกับการเรียงสับเปลี่ยนเชิงเสนของ สงิ่ ของทแ่ี ตกตางกนั ทง้ั หมด โดยใชกิจกรรมการถายรปู ดังน้ี กจิ กรรม : การถา ยรูป ขั้นตอนการปฏบิ ตั ิ 1. ครูเลือกตัวแทนนักเรียน 3 คน ออกมาหนาช้ันโดยกําหนดตําแหนงที่ 1, 2 และ 3 เรียงกัน เพ่ือถายรปู 2. ครูใหนักเรียนรวมกันอภิปรายและรวมกันเขียนแจงกรณีเพ่ือแสดงการยืนเรียงสลับที่กัน ของตัวแทนทงั้ สาม เพ่อื พจิ ารณาวาจะไดวิธีการยืนเรยี งทแี่ ตกตางกนั ท้งั หมดก่ีวิธี 3. ครูใหนักเรียนใชหลักการคูณที่ไดศึกษามาแลวในการหาจํานวนวิธีการยืนเรียงกัน เพื่อถา ยรูปท่แี ตกตางกันของตัวแทนนกั เรียนท้ังสามคน สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทท่ี 3 | หลักการนบั เบ้ืองตน 83 คูมือครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 4 ครูสามารถเชื่อมโยงวิธีการหาจํานวนวิธีการยืนเรียงกันเพ่ือถายรูปในกิจกรรมน้ีกับเรื่อง การเรียงสับเปลี่ยนเชิงเสนของสิ่งของท่ีแตกตางกันทั้งหมด โดยเช่ือมโยงกับหลักการคูณ และ สตู ร Pn, r ประเด็นสําคญั เก่ียวกับเน้ือหาและสิ่งทีค่ วรตระหนักเกย่ี วกับการสอน ให n เปนจํานวนเต็มบวก จะไดวา n! = n×(n −1)×(n − 2)×...×1 และกําหนดให 0! = 1 การจัดหมสู ่ิงของท่แี ตกตา งกันทง้ั หมด ครูอาจนําเขาสูบทเรียนเพ่ือใหนักเรียนเขาใจแนวคิดเกี่ยวกับการจัดหมูสิ่งของท่ีแตกตางกัน ท้ังหมด โดยใชก จิ กรรมเลือกตัวแทนนักเรยี น ดงั นี้ กิจกรรม : เลอื กตวั แทนนักเรียน ข้นั ตอนการปฏบิ ัติ 1. ครเู ลือกตัวแทนนักเรียน 4 คน ออกมาหนา ชนั้ เรยี น 2. ครูใหน กั เรียนรว มกันอภิปรายและรว มกันเขยี นแจงกรณีเพ่ือแสดงการเลือกนักเรียน 2 คน จากตัวแทนนักเรียนทง้ั 4 คนน้ี เพ่ือพิจารณาวาจะไดวิธกี ารเลอื กนักเรียนที่แตกตางกัน ทง้ั หมดกว่ี ธิ ี สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนบั เบ้ืองตน 84 คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 3. ครูใหนักเรียนพิจารณาจากการเขียนแจงกรณีที่ไดในขอ 2 โดยสังเกตวาในการเลือก ตัวแทนนักเรียนสองคนออกมาโดยไมสนใจลําดับนั้น จะถือวาการเรียงสับเปล่ียนของ นักเรียนสองคนนี้เปน แบบเดยี วกัน 4. ครูใหน กั เรยี นหาวิธีการเลอื กตัวแทนนักเรียนจากขอสงั เกตในขอ 3 ครสู ามารถเช่อื มโยงวิธกี ารหาจาํ นวนวิธีเลือกตัวแทนนักเรียนในกิจกรรมน้ีกับเร่ืองการจัดหมูของ สงิ่ ของท่ีแตกตางกันท้งั หมด โดยเชื่อมโยงกับสตู ร Cn, r ประเด็นสําคญั เกยี่ วกับแบบฝก หัด แบบฝกหัดทายบท 9. ในการทอดลกู เตา หนึง่ ลกู สองคร้งั จงหา 1) จํานวนวิธีที่ผลรวมของแตมเทา กับเจ็ด 2) จํานวนวธิ ีท่ีผลรวมของแตม ไมเ ทากบั เจ็ด แบบฝก หดั น้ีมวี ิธกี ารแกป ญหาทีห่ ลากหลาย โดยในบางวิธจี ะชวยลดความซบั ซอ นข อ ง ก า ร แกปญหาได ครคู วรใหนักเรียนมีอิสระในการเขียนแสดงวิธีการแกปญหา โดยไมจําเปนตองตรง กบั ทค่ี รคู ิดไว สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนบั เบื้องตน 85 คมู ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท่ี 4 3.3 แนวทางการจัดกจิ กรรมในหนงั สือเรยี น กิจกรรม : บทพากยเอราวัณ บทพากยเอราวัณ จากพระราชนิพนธเรื่องรามเกียรต์ิ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา นภาลัย เปนกาพยฉบัง 16 ซึ่งบรรยายลักษณะของชางเอราวัณ พาหนะของพระอินทร ซึ่งชางในบทพากยน้ีเกิดจากการเนรมิตของอินทรชิต เพ่ือหลอกลอกองทัพของพระราม โดยสว นหน่ึงของบทพากยเ ปน ดังนี้ ชางนมิ ติ ฤทธแิ รงแขง็ ขนั เผอื กผองผิวพรรณ สสี ังขสะอาดโอฬาร สามสบิ สามเศยี รโสภา เศียรหนง่ึ เจ็ดงา ดั่งเพชรรัตนรจู ี งาหนง่ึ เจ็ดโบกขรณี สระหนึ่งยอ มมี เจ็ดกออบุ ลบนั ดาล กอหน่ึงเจด็ ดอกดวงมาลย ดอกหนึ่งเบงบาน มกี ลีบไดเจด็ กลีบผกา กลีบหน่ึงมีเทพธดิ า เจ็ดองคโ สภา แนง นอ ยลาํ เพานงพาล นางหน่ึงยอมมีบรวิ าร อกี เจด็ เยาวมาลย ลวนรปู นริ มิตมายา สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลกั การนบั เบอื้ งตน 86 คมู อื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 4 ใหนกั เรียนตอบคาํ ถามตอไปนี้ โดยใชข อ มูลจากบทพากยขางตน 1. ชา งเอราวณั มกี ีเ่ ศียร 2. เศยี รชางเอราวัณแตล ะเศียรมีงากี่กง่ิ และชา งเอราวณั มงี ารวมท้งั หมดกี่กง่ิ 3. งาแตล ะก่ิงมีสระบัวก่ีสระ และชา งเอราวัณมสี ระบวั รวมท้งั หมดก่สี ระ 4. สระบัวแตละสระมีกอบวั กีก่ อ และชางเอราวัณมกี อบวั รวมทง้ั หมดก่กี อ 5. กอบัวแตล ะกอมีดอกบวั กด่ี อก และชางเอราวัณมดี อกบวั รวมทงั้ หมดกด่ี อก 6. ดอกบัวแตล ะดอกมกี ีก่ ลบี และชา งเอราวณั มกี ลบี ดอกบวั รวมทัง้ หมดกก่ี ลีบ 7. กลบี ดอกบัวแตละกลีบมีเทพธดิ ากอี่ งค และชา งเอราวัณมเี ทพธดิ ารวมทงั้ หมดกี่องค 8. เทพธิดาแตละองคมีบริวารกี่นาง และชางเอราวณั มบี รวิ ารรวมทงั้ หมดกน่ี าง 9. ชางเอราวัณมีเทพธิดาและบรวิ ารรวมทง้ั หมดก่ีนาง เฉลยกจิ กรรม : บทพากยเอราวณั 1. 33 เศียร 2. เศยี รชางแตล ะเศยี รมงี า 7 กิง่ และชางเอราวณั มีงารวมท้ังหมด 33× 7 กง่ิ 3. งาแตล ะกงิ่ มสี ระบัว 7 สระ และชางเอราวัณมสี ระบัวรวมทั้งหมด 33× 72 สระ 4. สระบวั แตล ะสระมกี อบัว 7 กอ และชา งเอราวณั มีกอบวั รวมทงั้ หมด 33× 73 กอ 5. กอบวั แตละกอมีดอกบัว 7 ดอก และชางเอราวณั มีดอกบัวรวมทั้งหมด 33× 74 ดอก 6. ดอกบวั แตล ะดอกมี 7 กลบี และชางเอราวัณมีกลีบบัวรวมทัง้ หมด 33× 75 กลบี 7. กลบี บัวแตละกลีบมีเทพธดิ า 7 องค และชา งเอราวัณมีเทพธิดารวมท้ังหมด 33× 76 องค 8. เทพธิดาแตล ะองคม บี รวิ าร 7 นาง และชางเอราวัณมีบรวิ ารรวมทง้ั หมด 33× 77 นาง 9. ชา งเอราวัณมีเทพธดิ าและบริวารรวมทั้งหมด 33× 76 + 33× 77 = 264× 76 นาง สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลักการนับเบื้องตน 87 คูม อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 4 แนวทางการจัดกจิ กรรม : บทพากยเอราวัณ เวลาในการจัดกจิ กรรม 30 นาที กิจกรรมนี้เสนอไวใหนักเรียนฝกฝนการใชความรู เรื่อง หลักการบวกและหลักการคูณ เพ่ือแกป ญ หา โดยกิจกรรมนี้มสี ่อื /แหลง การเรยี นรู และขน้ั ตอนการดําเนนิ กิจกรรม ดงั นี้ สื่อ/แหลง การเรยี นรู 1. ใบกิจกรรม “บทพากยเอราวัณ” 2. รูปชางเอราวณั จากสารานุกรมไทยสําหรบั เยาวชน ขน้ั ตอนการดําเนนิ กจิ กรรม 1. ครูนาํ เขา สูกจิ กรรมโดยเปดสื่อวดี ิทัศนห รือเลา เรอื่ งราวสั้น ๆ เก่ยี วกับชางเอราวณั 2. ครูแจกใบกิจกรรม “บทพากยเอราวัณ” ใหกับนักเรียนทุกคนและแบงกลุมนักเรียน แบบคละความสามารถ กลมุ ละ 3 – 4 คน 3. ครูใหนักเรียนแตละกลุมศึกษาใบกิจกรรมบทพากยเอราวัณ จากนั้นชวยกันตอบคําถาม ขอ 1 – 9 ในใบกิจกรรม ครูควรเปดโอกาสใหนักเรียนใชแนวทางที่หลากหลายในการ หาคําตอบ และอนุญาตใหนักเรียนเขียนแสดงคําตอบในรูปของเลขยกกําลังได โดยใน ระหวางทีน่ ักเรียนทํากิจกรรมครูควรเดินดูนักเรียนใหท่ัวถึงทุกกลุม และคอยช้ีแนะเม่ือ นักเรยี นพบปญหา 4. ครูสุมเลือกกลุมนักเรียนเพ่ือตอบคําถาม และใหนักเรียนกลุมอ่ืน ๆ รวมกันอภิปราย เกย่ี วกบั คําตอบ รวมท้ังกระตนุ ใหนกั เรียนใหเ หตุผลประกอบคําตอบ 5. ครแู สดงภาพตวั อยา งของชางเอราวัณ จากนั้นครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อสรุป เก่ียวกับบทพากยเอราวัณที่นักเรียนไดอาน ซึ่งเปนบทประพันธที่แสดงถึงจินตนาการ ของกวที ีพ่ รรณนาความยิ่งใหญของชางเอราวัณ โดยนกั เรียนสามารถใชความรูคณิตศาสตร สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
บทที่ 3 | หลกั การนบั เบ้อื งตน 88 คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 4 เรื่อง หลักการนับเบ้ืองตน เพ่ือทําความเขาใจเก่ียวกับความยิ่งใหญของชางเอราวัณ ไดอ ีกดว ย 3.4 การวัดผลประเมินผลระหวางเรียน การวดั ผลระหวา งเรียนเปนการวดั ผลการเรียนรูเ พ่ือปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอน และ ตรวจสอบนักเรียนแตละคนวามีความรูความเขาใจในเร่ืองที่ครูสอนมากนอยเพียงใด การให นกั เรยี นทาํ แบบฝก หัดเปน แนวทางหน่ึงทค่ี รอู าจใชเพอ่ื ประเมินผลดานความรูระหวางเรียนของ นกั เรยี น ซึ่งหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี 4 ไดนําเสนอแบบฝกหัด ท่ีครอบคลุมเน้ือหาท่ีสําคัญของแตละบทไว สําหรับในบทที่ 3 หลักการนับเบ้ืองตน ครูอาจใช แบบฝก หัดเพื่อวดั ผลประเมนิ ผลความรูในแตล ะเนอื้ หาไดดังน้ี เนื้อหา แบบฝก หัด หลักการบวก 3.1 ขอ 1, 2 หลักการคณู 3.1 ขอ 4 – 8 การเรยี งสบั เปลย่ี นเชงิ เสน ของส่ิงของทแี่ ตกตางกนั ทัง้ หมด 3.2 ขอ 1 – 5 การจัดหมูของสิ่งของทแี่ ตกตางกนั ทงั้ หมด 3.3 ขอ 1 – 6 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256