คมู อื ครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 191 8. 1) ให f (x=) ax + b แทนฟง กช นั แสดงราคาของคอมพวิ เตอรเ มอ่ื เวลาผานไป x ป โดยที่ a และ b เปน คา คงตัว จากโจทย f (0) = 50,000 จะได b = 50,000 และ f (5) = 5,000 จะได 5,000 = 5a + 50,000 a = −9,000 ดังน้ัน ฟงกชันแสดงราคาของคอมพวิ เตอรเม่ือเวลาผานไป x ป คือ f (x) =−9,000x + 50,000 2) ให d แทนคา เสื่อมราคาตอป จะได 50,000 − (−9,000x + 50,000) d= x 50,000 + 9,000x − 50,000 = x = 9,000 ดงั นัน้ คาเสือ่ มราคาตอปของคอมพวิ เตอรของบริษัทแหง นี้ เทากับ 9,000 บาท 3) หาราคาทนุ ของอุปกรณส าํ นักงานนี้ จากการแทน x ดวย 0 ใน g (x) จะได g (0) = 19, 200 − 3, 200(0) = 19,200 ดังน้นั ราคาทนุ ของอปุ กรณส ํานกั งานน้ี เทากับ 19,200 บาท ถาให d แทนคาเสอ่ื มราคาตอป 19, 200 − (19, 200 − 3, 200x) จะได d= x = 19, 200 −19, 200 + 3, 200x x = 3,200 ดังนัน้ คา เสือ่ มราคาตอปข องอุปกรณส าํ นักงานน้ี เทากบั 3,200 บาท 9. จากขณะท่ีนักดําน้ําอยูท่ีความลกึ 40 ฟุต เม่ือความดันนํ้าทะเลเพิ่มข้นึ 0.45 psi ทุก ๆ ความลึก หน่ึงฟุต และความดันทผี่ ิวน้ําทะเลประมาณ 14.7 psi จะได=วา a 0=.45, x 40 และ b =14.7 นั่นคอื f ( x) = 0.45(40) +14.7 = 32.7 psi ดงั นัน้ ความดันน้าํ ทะเลที่ความลกึ 40 ฟตุ เปน 32.7 psi สถาบนั สงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
192 คมู อื ครูรายวชิ าพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 10. 1) ให f (x=) mx + b เปนฟงกช ันรายไดข องพนักงานบรษิ ัทแหง นี้ เมื่อไดคา เบยี้ เล้ยี ง และคาพาหนะ b บาท และไดคา นายหนา รอ ยละ m ของยอดขาย จากโจทย กนกและอานันท มียอดขาย 200,000 บาท และ 150,000 บาท ตามลาํ ดับ จากคานายหนา รอยละ m จะไดว า มยี อดขาย 100 บาท จะไดคานายหนา m บาท ถา กนกมยี อดขาย 200,000 บาท จะไดคา นายหนา m ⋅ 200,000 = 2,000m บาท 100 และอานนั ทม ยี อดขาย 150,000 บาท จะไดคา นายหนา m ⋅150,000 =1,500m บาท 100 จากโจทย กนกและอานันท ไดรับเงินจากบริษัท 34,000 บาท และ 28,000 บาท ตามลาํ ดับ จะไดวา 34,000 = 2,000m + b ---------- (1) 28,000 = 1,500m + b ---------- (2) จาก (1) และ (2) จะได 6,000 = 500m m = 12 ดังนัน้ บรษิ ทั จายคานายหนา ใหก บั พนักงานรอยละ 12 2) จาก 34,000 = 2,000m + b และ m = 12 จะได 34,000 = 2,000(12) + b b = 10,000 ดงั นนั้ บริษทั จา ยคาเบ้ยี เลยี้ งและคาพาหนะใหก ับกนกและอานันทเปน เงินคนละ 10,000 บาท 3) ฟงกชนั แสดงรายไดท ่ีพนักงานไดร บั แตละเดือน คอื f=(x) 12 x +10,000 100 เม่อื x คือ ยอดขายทพี่ นักงานแตล ะคนขายได 11. 1) ให s(t) เปน ระยะทางทรี่ ถไฟแลน ไดใ น t ชวั่ โมง เนอื่ งจากรถไฟสายเหนือแลนดวยอตั ราเร็วเฉล่ีย 50 กโิ ลเมตรตอชั่วโมง จะได s(t) = 50t เมือ่ t ≥ 0 และเขยี นกราฟของ s(t) ไดดังน้ี สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 193 2) ในท่นี ้ี t = 5 จะได s (5) = 50(5) = 250 ดงั นั้น ระยะทางจากสถานีรถไฟหวั ลาํ โพงถึงสถานีนครสวรรค เทา กบั 250 กโิ ลเมตร 12. 1) ให y เปน จาํ นวนชน้ิ ของขนมท่ขี ายได เม่ือ x เปน ราคาขนม (x > 35) น่นั คือ ราคาขนมเพิม่ ขึน้ x − 35 บาท จะทําใหขายขนมไดล ดลง 2(x − 35) ชิน้ จะได y = 100 − 2( x − 35) = 100 − 2x + 70 = 170 − 2x ดังนัน้ สมการแสดงความสัมพันธข องจํานวนช้ินที่ขายไดกบั ราคาขนม คือ=y 170 − 2x เม่อื y เปน จํานวนชน้ิ ของขนมท่ีขายได และ x เปนราคาขนม 2) ให f (x) แทนฟง กชันแสดงจํานวนเงนิ ทข่ี ายไดทง้ั หมด เม่ือ x เปน ราคาขนม จะได f ( x) = (170 − 2x) x = 170x − 2x2 ดังนั้น ฟงกชนั แสดงจํานวนเงินท่ีขายไดทัง้ หมด คือ f=(x) 170x − 2x2 เมอ่ื x เปน ราคาขนม สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
194 คูมือครรู ายวิชาพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 3) ให f ( x) = 3,000 จะได 3,000 = 170x − 2x2 2x2 −170x + 3,000 = 0 x2 − 85x +1,500 = 0 ( x − 25)( x − 60) = 0 นน่ั คอื x = 25 หรือ x = 60 เนื่องจาก x เปน ราคาขาย ซ่งึ มีคามากกวา 35 บาท จะได x = 60 ดังนนั้ ถา พิภพตอ งการใหมีรายไดจ ากการขายขนมวนั ละ 3,000 บาท เขาจะตอง ขายขนมราคาชิ้นละ 60 บาท 4) จาก f=( x) 170x − 2x2 เขยี นใหอยูในรูป a(x − h)2 + k ไดด งั นี้ f (x) = −2 x2 − 85x + 85 2 + 7, 225 2 2 = −2 x − 85 2 + 7, 225 2 2 จะได a =−2, h =85 และ k = 7,225 22 เนอ่ื งจาก a < 0 น่ันคอื กราฟของฟงกช นั f จะควํา่ ลงและมีจดุ ยอดทจ่ี ุด 85 , 7225 หรอื (42.5, 3612.5) 2 2 แตเนอ่ื งจากพอคาคนนเี้ พม่ิ ราคาขายช้นิ ละ 1 บาท จึงพิจารณาคา x ที่ 42 และ 43 ถา x = 42 จะไดวา f (42) = 3,612 และถา x = 43 จะไดว า f (43) = 3,612 ดังน้นั ตองขายขนมราคาชิ้นละ 42 หรือ 43 บาท จงึ จะมรี ายไดส งู สดุ 3,612 บาท 13. 1) ให x แทนความกวา งของรูปสี่เหลย่ี มมุมฉาก y แทนความยาวของรปู สเี่ หลี่ยมมุมฉาก และ A(x) แทนฟง กชนั แสดงพ้นื ที่ของรูปสีเ่ หลี่ยมมมุ ฉาก เนือ่ งจากรว้ั ท้ังหมดยาว 120 เมตร จะได 2x + y = 120 y = 120 − 2x สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท่ี 5 195 พื้นท่ีของรูปสีเ่ หล่ียมมุมฉากนี้ คอื xy = x(120 − 2x) = 120x − 2x2 จะได A=( x) 120x − 2x2 ดังนน้ั ฟง กชันแสดงพ้ืนที่ของรูปส่เี หลย่ี มมมุ ฉากทีไ่ ดจ ากการลอ มรวั้ คอื A=(x) 120x − 2x2 เม่อื x แทนความกวา งของรปู สเ่ี หล่ยี มมมุ ฉาก 2) จาก A=( x) 120x − 2x2 เขียนใหอ ยูในรูป a(x − h)2 + k ไดด งั นี้ ( )A( x) = −2 x2 − 60x + 900 +1,800 = −2( x − 30)2 +1,800 จะได a =−2, h =30 และ k =1,800 เน่ืองจาก a < 0 นน่ั คอื กราฟของฟงกช ัน A จะควาํ่ ลงและมจี ดุ ยอดทีจ่ ดุ (30,1800) ดังนน้ั พืน้ ทที่ ่ีมากท่สี ุดทจี่ ะลอมรั้วไดเปน 1,800 ตารางเมตร 14. พื้นที่ 30 ไร เทากับ 48,000 ตารางเมตร ให x แทนความกวางของพื้นที่รูปสเี่ หลยี่ มมมุ ฉาก y แทนความยาวของพื้นท่ีรปู ส่ีเหลย่ี มุมฉาก จะได xy = 48,000 น่ันคอื y = 48,000 x คาใชจ ายในการลอมร้ัวคือ 2x(1,200) + 2y(1,000) = 2, 400x + 2,000 y = 2, 400x + 2, 000 48, 000 x = 2, 400 x + 40, 000 x = 2, 400 ( ) x 2 − 400 + 200 2 + 400 x ( ) ( ) 2 x 200 + 200 2 + 400 x x = 2, 400 x −2 = 2, 400 x − 200 2 + 400 x สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
196 คูม อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 ให f (x) = 2, x − 200 2 + 400 400 x จะได f (x) มีคา ตา่ํ สดุ เม่ือ x − 200 =0 x นั่นคอื x = 200 และ y = 240 ดงั นน้ั จะตองลอมรั้วใหมคี วามกวา ง 200 เมตร และยาว 240 เมตร จงึ จะเสีย คาใชจ า ยนอยทสี่ ดุ และคาใชจ า ยนอ ยทส่ี ุดเปน 960,000 บาท 15. 1) ให f (x) แทนฟง กช ันแสดงอุณหภูมิที่มีหนวยเปน องศาฟาเรนไฮต เม่ือ x แทนอณุ หภูมิที่มีหนวยเปน องศาเซลเซียส เนอื่ งจาก f (x) เปน ฟง กชันเชิงเสน จะได f (x=) ax + b เมอ่ื a และ b เปนคาคงตวั จากจุดเยอื กแข็งของน้าํ บริสทุ ธิ์ คอื 0°C หรอื 32°F จะได f (0) = 32 แทน x ดว ย 0 ใน f ( x=) ax + b จะได f (0) = a(0) + b = b เนอื่ งจาก f (0) = 32 จะได b = 32 ดังนัน้ f ( x=) ax + 32 จากจดุ เดือดของนํา้ บริสุทธ์ิ คือ 100°C หรอื 212°F จะได f (100) = 212 แทน x ดวย 100 ใน f ( x=) ax + 32 จะได จะได f (100) = a(100) + 32 = 100a + 32 เนื่องจาก f (100) = 212 จะได 100a + 32 =212 นัน่ คอื a = 9 5 จะไดว า f (=x) 9 x + 32 5 ดงั นั้น ฟงกชนั แสดงอุณหภูมทิ ม่ี ีหนวยเปน องศาฟาเรนไฮต เมือ่ x แทนอุณหภมู ทิ ่ี มีหนว ยเปนองศาเซลเซยี ส คือ f (=x) 9 x + 32 5 2) ให g (x) แทนฟง กช ันแสดงอุณหภูมิทห่ี นวยเปนองศาเซลเซียส เมื่อ x แทนอุณหภูมทิ ี่มหี นวยเปนองศาฟาเรนไฮต เนื่องจาก g (x) เปน ฟง กชันเชงิ เสน จะได g (x=) ax + b เมอื่ a และ b เปนคาคงตัว จากจดุ เยือกแข็งของน้ําบริสทุ ธ์ิ คือ 0°C หรอื 32°F จะได g (32) = 0 แทน x ดวย 32 ใน g ( x=) ax + b จะได สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวชิ าพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 5 197 g (32) = 32a + b เนื่องจาก g (32) = 0 จะได= 0 32a + b นน่ั คอื b = −32a ดังน้นั g ( x) =ax − 32a =a( x − 32) จากจุดเดือดของน้ําบรสิ ทุ ธิ์ คือ 100°C หรอื 212°F จะได g (212) =100 แทน x ดวย 212 ใน g (=x) a( x − 32) จะได g (212) = a (212 − 32) = 180a เน่ืองจาก g (212) =100 จะได 180a =100 นนั่ คอื a = 5 9 จะไดว า g (=x) 5 ( x − 32) 9 ดังน้นั ฟงกช นั แสดงอุณหภมู ทิ ่มี ีหนวยเปนองศาเซลเซียส เมอื่ x แทนอณุ หภมู ทิ ี่ มีหนว ยเปน องศาฟาเรนไฮต คือ g (=x) 5 (x − 32) 9 3) จาก f (=x) 9 x + 32 และ g (=x) 5 ( x − 32) 59 เขียนกราฟไดดังนี้ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
198 คูม ือครูรายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 5 จะเห็นวา กราฟของ f และ g เปนภาพสะทอนของกันและกนั โดยมีเสนตรง y = x เปนเสน สะทอ น 4) ถา วดั อุณหภมู ิของน้ําบริสทุ ธไ์ิ ด 117°F นั่นคือ แทน x ดวย 117 ใน g (=x) 5 ( x − 32) จะได 9 g (117) = 5 (117 − 32) ≈ 47.22 9 ดังนัน้ ถา อุณหภูมิของน้าํ บรสิ ุทธิ์วัดได 117°F จะคดิ เปน 47.22°C โดยประมาณ 5) ถา วัดอณุ หภูมิของนํ้าบรสิ ทุ ธไิ์ ด 30°C นั่นคือ แทน x ดวย 30 ใน f (=x) 9 x + 32 จะได 5 f (30) = 9 (30) + 32 = 86 5 ดังนั้น ถาอุณหภูมขิ องนาํ้ บริสุทธวิ์ ัดได 30°C จะคดิ เปน 86°F 16. 1) ให x แทนความยาวดา นของรูปสีเ่ หลยี่ มจัตรุ ัสท่ีตดั ออก (น้ิว) และ V (x) แทนปริมาตรของกลอง จากกลอ งที่พับมคี วามยาว 15 − 2x นว้ิ ความกวา ง 10 − 2x นิว้ และสูง x น้วิ จะได V ( x) = (10 − 2x)(15 − 2x) x ดงั นนั้ ฟงกช ันแสดงความจุของกลอง เม่ือ x แทนความยาวดานของรปู ส่เี หล่ยี มจตั รุ สั ท่ีถกู ตัดออก คือ V ( x) =(10 − 2x)(15 − 2x) x 2) เน่ืองจาก กลอ งกวาง 10 − 2x นว้ิ และยาว 15 − 2x นวิ้ จะได 10 − 2x > 0 และ 15 − 2x > 0 นนั่ คือ x < 5 และ x < 15 2 น่ันคอื 0 < x < 5 ดงั นน้ั โดเมนของฟงกชนั V (x) คือ {x 0 < x < 5} สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 5 199 3) เนอ่ื งจาก โดเมนของ V (x) คือ {x 0 < x < 5} และ x เปนจาํ นวนเตม็ ดงั นั้น x ∈{1, 2, 3, 4} จะได V (1) = (10 − 2(1))(15 − 2(1))(1) = 104 V (2) = (10 − 2(2))(15 − 2(2))(2) = 132 V (3) = (10 − 2(3))(15 − 2(3))(3) = 108 V (4) = (10 − 2(4))(15 − 2(4))(4) = 56 ดังน้นั กลองจะมีความจมุ ากท่ีสุด เม่อื x เปน 2 และมคี วามจุ 132 ลกู บาศกนิว้ 4) เขียนกราฟของฟงกชนั V (x) ไดดังนี้ สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
200 คมู อื ครรู ายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 5) ในการหาคา x ท่ที ําใหก ลองมีปริมาตรเทากับ 100 ลูกบาศกนว้ิ สามารถทําไดโ ดยเขียนเสนตรง y =100 ลงในกราฟขอ 4) จะไดจ ุดตัด ดังรปู ดังนน้ั กลองจะมีความจุ 100 ลกู บาศกนวิ้ เม่ือดา นของรูปส่ีเหลี่ยมจตั ุรสั ยาว ประมาณ 0.94 น้วิ หรอื 3.18 นวิ้ 17. เขียนฟงกชันในรปู f (x) เม่ือ x แทนระยะเวลาที่จอด และ f (x) แทนคาบรกิ าร จอดรถในสนามบนิ แหงน้ี ดงั นี้ 35 ; 0 < x ≤ 1.1 55 ;1.1 < x ≤ 2.1 75 ; 2.1 < x ≤ 3.1 f ( x) = 95 ; 3.1 < x ≤ 4.1 ; 4.1 < x ≤ 5.1 115 เขยี นกราฟไดดังนี้ สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปที่ 5 201 18. เขียนฟงกชนั ในรปู f (x) เมอ่ื x แทนระยะเวลาในการจอดรถท่ีอาคารจอดรถแหง นี้ ในหนว ยช่วั โมง และ f (x) แทนอัตราคาบรกิ ารจอดรถของอาคารจอดรถแหงนี้ใน หนวยบาท ดงั น้ี 0 ;0< x≤3 30 ;3< x≤4 60 ;4< x≤5 ;5< x≤6 ;6< x≤7 =f ( x) 19200 ;7< x≤8 ;8< x≤9 150 ; 9 < x ≤ 10 200 250 เขียนกราฟไดดังน้ี สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
202 คูมือครูรายวชิ าพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 19. เขยี นฟงกช ันในรูป f (x) เมอื่ x แทนระยะทาง และ f (x) แทนคา โดยสาร ดงั น้ี 35 ; 0 < x < 1.01 38 ;1.01 ≤ x < 1.11 41 ;1.11 ≤ x < 1.21 f ( x ) = 44 ;1.21 ≤ x < 1.31 ;1.31 ≤ x < 1.41 47 20. ในทนี่ ี้ x = 6 จะไดจ ํานวนประชากรใน พ.ศ. 2565 คือ 86(1.021)6 ≈ 97.42 ลา นคน 21. ในทีน่ ้ี x =12 จะไดจ ํานวนแบคทีเรยี เมื่อเวลาผา นไป 12 ชั่วโมง คือ 12 25,000(1.125)4 ≈ 40,045 เซลล 25=,000(1.125) 3 22. 1) ความสัมพนั ธร ะหวา งจํานวนสินคา ทซ่ี อื้ และคาใชจ ายทง้ั หมดมีกราฟเปนเสน ตรง เพราะสนิ คาทกุ ชน้ิ ในรานมรี าคาเทา กัน อัตราการเพิ่มของคาใชจา ยจงึ เพิ่มตาม จาํ นวนสนิ คา ท่ซี อ้ื เพ่มิ มากขึ้นเปน อัตราคงที่ 2) จากโจทย จะไดจ ุด (26, 880) และ (30, 1000) อยูบ นกราฟเสน ตรง ซึง่ จะไดก ราฟมลี ักษณะดังรูป สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท่ี 5 203 3) ในการหาคา ใชจา ยท้ังหมด เมื่อซื้อสินคา 10 ช้ิน สามารถทําไดโดย เขียนเสนตรง x =10 ลงในกราฟขอ 2) จะไดจ ดุ ตัดดังรูป ดงั นั้น เมื่อซ้ือสนิ คา 10 ชนิ้ จะเสยี คาใชจา ยทั้งหมด 400 บาท สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
204 คูมือครูรายวิชาพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 4) เน่อื งจากซ้ือสินคา 26 ชิน้ มีคา ใชจายทัง้ หมด 880 บาท โดยมีคาสง สนิ คา 100 บาท นั่นคอื คาสนิ คา 26 ชิน้ ทไี่ มร วมคาสง เปนเงนิ 780 บาท ดงั น้ัน สินคา ราคาชน้ิ ละ 780 = 30 บาท 26 5) ให f (x) แทนฟง กชันแสดงคา ใชจา ยทั้งหมด เม่ือซ้ือสินคา x ชิน้ จากสนิ คา ราคาชิ้นละ 30 บาท และคิดคาสงสินคา แตล ะคร้ัง 100 บาท จะได f (=x) 30x +100 ดังน้นั ฟง กช ันแสดงคาใชจ ายท้ังหมด คือ f (=x) 30x +100 เม่อื ซอื้ สนิ คา x ชน้ิ 6) ถามีเงนิ 3,000 บาท แสดงวา f ( x) = 3,000 จะได 3,000 = 30x +100 x ≈ 96.67 นนั่ คือ ถามเี งนิ 3,000 บาท จะซอ้ื สนิ คาไดมากท่ีสุด 96 ชิน้ 23. 1) จากโจทย จะไดจุด (1, 500), (3, 1300) และ (6, 2500) อยูบนกราฟ ซึง่ สามารถเขยี นกราฟไดดังนี้ จะไดว าความสมั พนั ธระหวา งเวลาและระยะทางทเ่ี คร่ืองบินลาํ น้บี ินไดม ีกราฟเปน เสนตรง เพราะเคร่ืองบนิ ลํานี้บนิ ดวยอตั ราเร็วคงที่ สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ี่ 5 205 2) ในการหาระยะทางที่เคร่ืองบินลํานบ้ี นิ ได เม่ือเวลาผานไป 2 ช่วั โมง สามารถทาํ ไดโ ดย เขียนเสนตรง x = 2 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจดุ ตัดดังรปู ดงั น้นั เมอ่ื เครอื่ งบินบินดวยอัตราเรว็ คงทีเ่ ปน เวลา 2 ช่วั โมง จะบินไดระยะทาง 900 กิโลเมตร 3) ให f (x) แทนฟง กช ันแสดงระยะทางทเี่ คร่ืองบินลาํ นบ้ี ินได เมอื่ บนิ ดวยอัตราเร็วคงท่ี เปนเวลา x ชว่ั โมง จาก f (x) เปนฟงกชันเชิงเสน จะได f (x=) ax + b เม่อื a และ b เปน คา คงตัว จากเคร่ืองบนิ บินดวยอตั ราเร็วคงท่ีเปนเวลา 1 และ 3 ชว่ั โมง จะบินไดระยะทาง 500 และ 1,300 กิโลเมตร ตามลาํ ดับ แทน x ดวย 1 ใน f ( x) จะได f (1) = a(1) + b = a + b จาก f (1) = 500 จะได 500 = a + b --------- (1) และแทน x ดวย 3 ใน f ( x) จะได f (3) = a(3) + b = 3a + b จาก f (3) =1,300 จะได 1,300 = 3a + b --------- (2) จาก (1) และ (2) จะได a = 400 และ b =100 สถาบันสง เสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
206 คมู อื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 จะได f=( x) 400x +100 ดังน้นั ฟง กช นั แสดงระยะทางท่เี ครือ่ งบนิ ลํานี้บินได คอื f=(x) 400x +100 เมือ่ บินดวยอัตราเรว็ คงทเ่ี ปนเวลา x ช่ัวโมง 4) ระยะทางทัง้ หมดกอนท่ีเครอื่ งบนิ จะบินดวยอัตราเร็วคงที่ คือ 100 กิโลเมตร 24. 1) จากโจทย จะไดจุด (1, 5), (3, 15) และ (5, 25) อยูบ นกราฟ ซึง่ สามารถเขยี นกราฟไดดงั น้ี จะไดวา ความสมั พันธระหวา งเวลาและความสงู ของระดับนาํ้ ในบอ เปนกราฟเสน ตรง เพราะ ภานุเปด นํ้าใสบ อดว ยอัตราเรว็ คงที่ 2) ในการหาความสงู ของระดับน้ําในบอ เมื่อเปดนาํ้ ดว ยอตั ราเร็วคงที่ 7 นาที สามารถทําไดโ ดย เขียนเสน ตรง x = 7 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจุดตดั ดังรปู สถาบนั สง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวชิ าพ้นื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 207 ดังนนั้ ถา เปด น้ําดว ยอัตราเร็วคงที่เปนเวลา 7 นาที ความสงู ของระดับนํา้ ในบอสูง 35 เซนติเมตร 3) ให f (x) แทนฟงกช ันแสดงความสงู ของระดบั น้ําในบอ เม่ือเปดนํา้ ดว ยอัตราเรว็ คงท่ี เปน เวลา x นาที จะได f ( x) = 5x ดังนน้ั ฟงกช นั แสดงความสูงของระดับนํ้าในบอ คือ f (x) = 5x เมื่อเปดนา้ํ ดวยอัตราเร็ว คงที่เปน เวลา x นาที 4) เมื่อเปด นา้ํ ดว ยอัตราเรว็ คงทเ่ี ปน เวลา 23 นาที จะได ความสงู ของระดับนาํ้ ในบอเปน 5(23) =115 เซนติเมตร ดงั นนั้ นาํ้ ไมลนบอ และระดับนาํ้ อยูตาํ่ กวาขอบบอ 15 เซนติเมตร 5) ถานา้ํ เตม็ บอ แสดงวา f (x) =130 จะได 5x = 130 x = 26 ดงั น้นั ตอ งเปดนํ้าดว ยอัตราเร็วคงทเี่ ปนเวลา 26 นาที น้าํ จงึ จะเต็มบอ สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
208 คมู ือครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 25. 1) จากโจทย จะไดจ ุด (1, 1), (2, 3), (3, 7) และ (4, 15) อยูบนกราฟ ซงึ่ สามารถเขียนกราฟไดดังนี้ จะไดวา ความสัมพันธระหวา งเวลาทผี่ านไปและน้ําหนักทเี่ พิ่มขึน้ มีกราฟใกลเคยี ง กบั กราฟของฟงกช ันเอกซโ พเนนเชียล การเพ่ิมขึ้นในชวงแรกน้ําหนกั ทเี่ พม่ิ ขึ้นมี อัตราการเพิ่มข้ึนอยางชา ๆ แตเ ม่อื เวลาผานไปนํ้าหนกั ทเี่ พิ่มข้ึนมีอตั ราการเพม่ิ ข้นึ อยางรวดเรว็ 2) ในการหานา้ํ หนักทีเ่ พิ่มขึน้ เม่ือเวลาผา นไป 5 เดอื น สามารถทาํ ไดโดย เขยี นเสนตรง x = 5 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจ ุดตัดดังรปู สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 209 ดังนัน้ เม่อื เวลาผา นไป 5 เดือน นํา้ หนักของเพรียวจะเพม่ิ ขึ้น 31 กโิ ลกรมั 3) ให f (x) แทนฟง กช ันแสดงนํ้าหนักที่เพม่ิ ข้นึ ของเพรียว เมอื่ เวลาผานไป x เดอื น จะไดวา f ( x=) 2x −1 ดงั นนั้ ฟงกชันแสดงน้ําหนักที่เพม่ิ ข้นึ ของเพรยี ว คือ f (x=) 2x −1 เม่ือเวลาผานไป x เดือน 4) เม่อื เวลาผา นไป 7 เดอื น นํา้ หนกั ของเพรียวจะเพ่ิมข้ึน 27 −1=127 กิโลกรัม ดงั นั้น เมอ่ื เวลาผา นไป 7 เดือน เพรียวจะหนัก 167 กโิ ลกรัม 5) น้ําหนักของเพรยี วจะมากกวา 100 กิโลกรัม เมื่อนาํ้ หนักที่เพิ่มขึน้ ของเพรยี วมากกวา 60 กโิ ลกรมั น่นั คือ f ( x) ≥ 60 จะได 2x −1 ≥ 60 2x ≥ 61 เนอ่ื งจาก 25 = 32 และ 26 = 64 ดงั น้ัน นา้ํ หนกั ของเพรียวจะมากกวา 100 กิโลกรมั เม่ือเวลาผานไป 6 เดือน 26. 1) จากโจทย จะไดจ ุด (1, 900000),(2, 810000), (3, 729000) และ (4, 656100) อยูบนกราฟ ซงึ่ สามารถเขยี นกราฟไดดงั นี้ สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
210 คมู ือครูรายวชิ าพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 จะไดว า ความสัมพันธระหวา งเวลาทผ่ี า นไปและราคารถยนตมีกราฟใกลเ คยี งกับ กราฟของฟงกชันเอกซโพเนนเชียล เพราะ ในชว งแรกราคารถยนตล ดลงอยาง รวดเร็ว แตเมื่อเวลาผานไปราคารถยนตลดลงดว ยอัตราท่ลี ดลง 2) ในการหาเวลาทผ่ี านไป เมื่อราคาของรถยนตเหลือนอ ยกวาครึง่ หนึง่ ของราคาที่ซ้ือมา สามารถทําไดโดย เขยี นเสนตรง y = 500,000 ลงในกราฟขอ 1) จะไดจุดตัดดังรูป สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 211 ดงั นน้ั ราคาของรถยนตจ ะนอยกวา ครงึ่ หน่งึ ของราคาท่ซี ้ือมา เม่อื เวลาผานไป 7 ป 3) ให f (x) แทนฟง กช ันแสดงราคารถยนต เม่อื เวลาผานไป x ป จะได f ( x) = 1,000,000(0.9)x ดังนัน้ ฟงกช นั แสดงราคารถยนต คือ f ( x) =1,000,000(0.9)x เม่ือเวลาผานไป x ป 4) แทน x ดวย 7 ใน f ( x) =1,000,000(0.9)x ได =f (7) 1,000,000(0.9)7 ≈ 478, 296.90 ดงั นน้ั เมือ่ เวลาผา นไป 7 ป ราคารถยนตจ ะเหลือประมาณ 478,296.90 บาท 5) ถา ตอ งการใหราคาของรถยนตน อยกวา 300,000 บาท นน่ั คอื f ( x) < 300,000 จะได 1,000,000(0.9)x < 300,000 (0.9)x < 0.3 เนื่องจาก (0.9)11 ≈ 0.3138 และ (0.9)12 ≈ 0.2824 ดังนน้ั ราคาของรถยนตจะนอยกวา 300,000 บาท เม่ือเวลาผา นไป 12 ป 27. 1) ณ เวลา 07:00 น. มผี ูใ ชบ รกิ ารศนู ยออกกําลังกาย A จาํ นวน 84 คน มีผูใชบริการศูนยออกกาํ ลงกาย B จํานวน 108 คน สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
212 คูมือครรู ายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปที่ 5 และมผี ใู ชบรกิ ารศนู ยอ อกกาํ ลังกาย C จาํ นวน 100 คน 2) ศนู ยออกกาํ ลงั กาย A และ B มีผูใชบ รกิ ารเทา กนั ในเวลา 09:00 น. และ 19:00 น. โดย ณ เวลา 09:00 น. มีผใู ชบ รกิ าร 96 คน และเวลา 19:00 น. มีผใู ชบรกิ าร 36 คน 3) ศนู ยออกกําลงั กาย B มีผใู ชบริการมากทสี่ ุด ณ เวลา 07:00 น. 4) ณ เวลา 09:00 น. ศนู ยอ อกกําลงั กาย C มีจํานวนผูใชบรกิ ารนอ ยกวาศูนย ออกกาํ ลังกาย A และ B อยู 96 − 40 =56 คน 5) ศูนยออกกาํ ลังกาย A มผี ูใชบ รกิ าร ณ เวลา 07:00 น. จาํ นวน 84 คน และเพิม่ มากขึน้ เรือ่ ย ๆ จนมากทีส่ ุด ในเวลา 11:00 น. และหลังจากน้ันผใู ชบริการมจี ํานวนลดลง จนถงึ เวลา 21:00 น. จึงไมมีผูใ ชบ ริการ ศูนยออกกําลังกาย B มีผูใชบ ริการ ณ เวลา 07:00 น. จํานวน 108 คน และจํานวน ผใู ชบรกิ ารลดลงจนถึงเวลา 21:00 น. ดวยอัตราคงที่ โดย ณ เวลา 21:00 น. มี ผใู ชบรกิ ารจํานวน 24 คน ศนู ยออกกําลังกาย C มีผใู ชบรกิ าร ณ เวลา 07:00 น. จาํ นวน 100 คน และจาํ นวน ผูใชบรกิ ารลดลงอยางรวดเร็วจนถงึ เวลา 14.00 น. และหลงั จากน้นั ผใู ชบ ริการมี จํานวนคงที่จนถงึ เวลา 21.00 น. 28. 1) เขียนกราฟของฟงกชันอุปสงค D( p) และฟงกชันอุปทาน S ( p) ไดดงั นี้ ปรมิ าณมันสาํ ปะหลัง (กโิ ลกรมั ) สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 213 จากกราฟ จะเห็นวาจุดที่กราฟของฟงกชนั อปุ สงคตัดกับกราฟของฟง กชนั อุปทาน คือ จดุ ดุลยภาพ 2) เนอ่ื งจากราคาดุลยภาพจะเกิดข้นึ เมื่ออุปสงคเ ทากบั อปุ ทาน น่นั คอื D( p) = S ( p) จะได 150 − 2 p = 3p + 75 75 = 5 p p = 15 ดงั นัน้ ราคาดุลยภาพ คือ 15 บาทตอ กโิ ลกรัม 3) จากกราฟ เมอื่ พิจารณาราคาขายท่นี อ ยกวา 15 บาทตอ กโิ ลกรมั จะไดวาอปุ ทานนอยกวาอุปสงค น่นั คอื ปรมิ าณความตองการขายมันสําปะหลงั นอยกวา ปรมิ าณความตองการซ้ือ มันสาํ ปะหลงั ดังน้ัน ถา ผคู ามนั สาํ ปะหลงั ตง้ั ราคาต่าํ กวา ราคาดลุ ยภาพ จะทาํ ใหมันสาํ ปะหลงั ไมเ พียงพอตอการซ้ือ 4) จากกราฟ เม่อื พจิ ารณาราคาขายที่มากกวา 15 บาทตอกิโลกรัม จะไดว า อปุ ทานมากกวา อุปสงค นั่นคือ ปรมิ าณความตองการขายมนั สําปะหลังมากกวาปริมาณความตอ งการซื้อ ดังน้นั ถา ตง้ั ราคาขายสงู กวา ราคาดุลยภาพจะทําใหมมี นั สําปะหลงั เหลือจากการขาย สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
214 คูมอื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 บทที่ 3 ลําดบั และอนุกรม แบบฝกหัด 3.1.1 1. 1) แทน n ใน a=n 2n + 5 ดว ย 1, 2, 3 และ 4 จะได สพ่ี จนแรกของลาํ ดบั ดังนี้ a1 = 2(1) + 5 = 7 a2 = 2(2) + 5 = 9 a3 = 2(3) + 5 = 11 a4 = 2(4) + 5 = 13 ดงั นั้น สพ่ี จนแรกของลาํ ดับนี้ คอื 7, 9,11 และ 13 2) แทน n ใน an = 1 n ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได ส่ีพจนแรกของลําดับดังน้ี 2 a1 = 1 1 = 1 2 2 a2 = 1 2 = 1 2 4 a3 = 1 3 = 1 2 8 a4 = 1 4 = 1 2 16 ดงั น้นั สพ่ี จนแ รกของลําดับนี้ คอื 1 , 1 , 1 และ 1 2 4 8 16 3) แทน n ใน an = (−2)n ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได สพ่ี จนแ รกของลาํ ดับดังนี้ a1 = (−2)1 = −2 a2 = (−2)2 = 4 a3 = (−2)3 = −8 a4 = (−2)4 = 16 ดงั นัน้ ส่พี จนแรกของลําดับนี้ คอื −2, 4, − 8 และ 16 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท่ี 5 215 4) แทน n ใน an = n +1 ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได สพี่ จนแ รกของลาํ ดับดังน้ี n a1 = 1+1 = 2 1 a2 = 2+1 = 3 22 a3 = 3+1 = 4 33 a4 = 4+1 = 5 44 ดงั น้ัน สี่พจนแ รกของลําดับน้ี คือ 2, 3 , 4 และ 5 23 4 5) แทน n ใน 1+ (−1)n ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได ส่พี จนแ รกของลาํ ดบั ดังน้ี an = n 1+ (−1)1 1−1 =0 1 a1 = 1 = 1+ (−1)2 1+1 =1 2 a2 = 2 = 1+ (−1)3 1−1 =0 3 a3 = 3 = 1+ (−1)4 1+1 =1 4 2 a4 = 4 = ดงั น้ัน ส่พี จนแรกของลําดับนี้ คอื 0,1, 0 และ 1 2 6) แทน n ใน an = 2n ดว ย 1, 2, 3 และ 4 จะได ส่ีพจนแ รกของลาํ ดบั ดังน้ี 3n a1 = 21 = 2 31 3 a2 = 22 = 4 32 9 a3 = 23 = 8 33 27 a4 = 24 = 16 34 81 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
216 คูมือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 ดังนน้ั ส่พี จนแรกของลาํ ดับนี้ คือ 2 , 4 , 8 และ 16 3 9 27 81 7) แทน n ใน an =(n −1)(n +1) ดวย 1, 2, 3 และ 4 จะได สพ่ี จนแรกของลําดบั ดังน้ี a1 = (1−1)(1+1) = 0(2) = 0 a2 = (2 −1)(2 +1) = 1(3) = 3 a3 = (3 −1)(3 +1) = 2(4) = 8 a4 = (4 −1)(4 +1) = 3(5) = 15 ดังนน้ั สพ่ี จนแรกของลาํ ดับน้ี คือ 0, 3, 8 และ 15 8) แทน n ใน an =n(n −1)(n − 2) ดว ย 1, 2, 3 และ 4 จะได ส่พี จนแ รกของลาํ ดับดังน้ี a1 = 1(1−1)(1− 2) = 1(0)(−1) = 0 a2 = 2(2 −1)(2 − 2) = 2(1)(0) = 0 a3 = 3(3 −1)(3 − 2) = 3(2)(1) = 6 a4 = 4(4 −1)(4 − 2) = 4(3)(2) = 24 ดงั นน้ั ส่ีพจนแ รกของลําดับน้ี คือ 0, 0, 6 และ 24 2. เนื่องจากจํานวนเต็มบวกที่หารดว ย 2 และ 7 ลงตัว คอื จาํ นวนเตม็ บวกที่หารดวย 14 ลงตวั ซ่งึ เขียนเปน ลําดบั ไดด งั น้ี an =14n เมื่อ n เปน จาํ นวนเตม็ บวก ดังนน้ั เจ็ดพจนแ รกของลาํ ดับของจาํ นวนเต็มบวกทีห่ ารดวย 2 และ 7 ลงตัว โดยเรยี งจาก นอยไปมาก คือ 14, 28, 42, 56, 70, 84 และ 98 แบบฝก หัด 3.1.2 1. 1) จาก a1 = 2 และ d = 4 จะได a2 = a1 + d = 2 + 4 = 6 a3 = a2 + d = 6 + 4 = 10 a4 = a3 + d = 10 + 4 = 14 ดงั นัน้ สพี่ จนแ รกของลาํ ดับเลขคณติ นี้ คอื 2, 6,10 และ 14 2) จาก a1 = 3 และ d = 5 จะได a2 = a1 + d = 3 + 5 = 8 a3 = a2 + d = 8 + 5 = 13 a4 = a3 + d = 13 + 5 = 18 ดังนนั้ สี่พจนแรกของลําดับเลขคณิตน้ี คือ 3, 8,13 และ 18 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปท ่ี 5 217 3) จาก a1 = −3 และ d = 3 จะได a2 = a1 + d = −3 + 3 = 0 a3 = a2 + d = 0 + 3 = 3 a4 = a3 + d = 3 + 3 = 6 ดังน้นั สพ่ี จนแรกของลําดับเลขคณติ น้ี คอื −3, 0, 3 และ 6 4) จาก a1 = −4 และ d = 2 จะได a2 = a1 + d = −4 + 2 = −2 a3 = a2 + d = −2 + 2 = 0 a4 = a3 + d = 0 + 2 = 2 ดงั น้ัน สพ่ี จนแรกของลําดับเลขคณิตน้ี คือ −4, − 2, 0 และ 2 5) จาก a1 = 5 และ d = −2 จะได a2 = a1 + d = 5 + (−2) = 3 a3 = a2 + d = 3 + (−2) = 1 a4 = a3 + d = 1 + (−2) = −1 ดังนนั้ สพ่ี จนแรกของลําดับเลขคณิตนี้ คอื 5, 3,1 และ −1 6) จาก a1 = −3 และ d = −4 จะได a2 = a1 + d = (−3) + (−4) = −7 a3 = a2 + d = (−7) + (−4) = −11 a4 = a3 + d = (−11) + (−4) = −15 ดังนัน้ สพี่ จนแรกของลําดับเลขคณิตน้ี คอื −3, − 7, −11 และ −15 7) จาก a1 = 1 และ d =1 จะได 2 2 a2 = a1 + d = 1+1 =1 22 a3 = a2 + d = 1+ 1 =3 2 2 a4 = a3 + d = 3+1 =2 22 ดงั นนั้ ส่ีพจนแ รกของลาํ ดับเลขคณติ น้ี คือ 1 ,1, 3 และ 2 22 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
218 คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที่ 5 8) จาก a1 = 5 และ d = −3 จะได 2 2 a2 = a1 + d = 5 + − 3 =1 2 2 a3 = a2 + d = 1 + − 3 = −1 2 2 a4 = a3 + d = − 1 + − 3 = −2 2 2 ดงั นัน้ ส่ีพจนแ รกของลําดับเลขคณติ นี้ คือ 5 ,1, − 1 และ −2 22 2. 1) จาก a1 = 4, d = 3 และ an = a1 + (n −1)d จะได a3 = 4 + (3 −1)(3) = 4 + (2)(3) = 10 ดงั นั้น a3 =10 2) จาก a1 = 7, d = −3 และ an = a1 + (n −1)d จะได a12 = 7 + (12 −1)(−3) = 7 + (11)(−3) = −26 ดังนน้ั a12 = −26 3) จาก a1 = 4 , d= −1 และ an = a1 + (n −1)d จะได 5 a20 = 4 + (20 −1)(−1) 5 = 4 + (19)(−1) 5 = − 91 5 ดังนนั้ a20 = − 91 5 4) จาก a1 = 4, d = 1 และ an = a1 + (n −1)d จะได 2 a11 = 4 + (11 − 1) 1 2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท่ี 5 219 a11 = 4 + (10) 1 2 =9 ดังนน้ั a11 = 9 3. 1) จากลาํ ดบั เลขคณติ 11,13,15,17,19, จะได d = 13 −11 = 2 และ a1 = 11 พจนท ่ี n ของลําดับเลขคณติ คือ an = a1 + (n −1)d จะได an = 11+ (n −1)(2) = 11+ 2n − 2 = 9 + 2n ดงั นั้น พจนท ี่ n ของลําดบั เลขคณติ นี้ คือ 9 + 2n หรือ an= 9 + 2n 2) จากลําดบั เลขคณิต 7, 10, 13, 16, 19, จะได d = 10 − 7 = 3 และ a1 = 7 พจนท ่ี n ของลาํ ดบั เลขคณิต คือ an = a1 + (n −1)d จะได an = 7 + (n −1)(3) = 7 + 3n − 3 = 4 + 3n ดงั นน้ั พจนท ่ี n ของลําดับเลขคณิตน้ี คือ 4 + 3n หรือ an= 4 + 3n 3) จากลาํ ดบั เลขคณิต 2, −1, − 4, − 7, −10, จะได d =−1− 2 =−3 และ a1 = 2 พจนท ี่ n ของลาํ ดบั เลขคณิต คือ an = a1 + (n −1)d จะได an = 2 + (n −1)(−3) = 2 − 3n + 3 = 5 − 3n ดงั นน้ั พจนท่ี n ของลําดับเลขคณติ นี้ คือ 5 − 3n หรือ an= 5 − 3n 4) จากลาํ ดบั เลขคณิต 4, 2, 0, − 2, − 4, จะได d =2 − 4 =−2 และ a1 = 4 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
220 คูม ือครรู ายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 พจนท ี่ n ของลําดบั เลขคณิต คือ an = a1 + (n −1)d จะได an = 4 + (n −1)(−2) = 4 − 2n + 2 = 6 − 2n ดงั นนั้ พจนท่ี n ของลาํ ดบั เลขคณิตน้ี คือ 6 − 2n หรือ an= 6 − 2n 5) จากลาํ ดบั เลขคณิต 0, 1 , 1, 3 , 2, 22 จะได d = 1 − 0 = 1 22 และ a1 = 0 พจนท ี่ n ของลาํ ดบั เลขคณติ คือ an = a1 + (n −1)d จะได an = 0 + ( n − 1) 1 2 = 0+1n−1 22 = −1+1n 22 ดังน้ัน พจนท ี่ n ของลําดบั เลขคณิตน้ี คือ −1 + 1n หรอื an =− 1 + 1n 2 2 2 2 6) จากลาํ ดับเลขคณติ 3 , 2, 5 , 3, 7 , 222 จะได d =2 − 3 = 1 22 และ a1 = 3 2 พจนท ี่ n ของลาํ ดบั เลขคณติ คอื an = a1 + (n −1)d จะได an = 3 + ( n − 1) 1 2 2 = 3+1n−1 22 2 = 1+ 1 n 2 ดังนั้น พจนท ่ี n ของลําดบั เลขคณติ นี้ คือ 1+ 1 n หรอื an = 1+ 1 n 2 2 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวชิ าพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปท ่ี 5 221 4. 1) จาก a1 = 13 และ a2 = 25 จะได d = 25 −13 = 12 นัน่ คอื a3 = a2 + d = 25 +12 = 37 a4 = a3 + d = 37 + 12 = 49 a5 = a4 + d = 49 + 12 = 61 ดงั นนั้ พจนทข่ี าดหายไป คือ 37, 49 และ 61 ตามลําดบั 2) จาก a1 = 18, a3 = 11 และ an = a1 + (n −1) d จะได 11 = 18 + (3 −1)d d = −7 2 นน่ั คือ a2 = a1 + d = 18 + − 7 = 29 2 2 a4 = a3 + d = 11 + − 7 = 15 2 2 a5 = a4 + d = 15 + − 7 = 4 2 2 ดังนน้ั พจนท ่ขี าดหายไป คือ 29 , 15 และ 4 ตามลําดับ 22 3) จาก a1 = 13, a5 = 33 และ an = a1 + (n −1) d จะได 33 = 13 + (5 −1)d d =5 นัน่ คือ a2 = a1 + d = 13 + 5 = 18 a3 = a2 + d = 18 + 5 = 23 a4 = a3 + d = 23 + 5 = 28 a6 = a5 + d = 33 + 5 = 38 ดังนั้น พจนท่ขี าดหายไป คอื 18, 23, 28 และ 38 ตามลําดบั 4) จาก a3 = 100, a6 = 142 และ an = a1 + (n −1)d จะได 100 = a1 + (3 −1) d ---------- (1) 142 = a1 + (6 −1) d ---------- (2) จาก (1) และ (2) จะได d =14 และ a1 = 72 น่นั คือ a2 = a1 + d = 72 +14 = 86 a4 = a3 + d = 100 + 14 = 114 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
222 คูม อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 5 a5 = a4 + d = 114 + 14 = 128 a7 = a6 + d = 142 + 14 = 156 ดังนน้ั พจนท ข่ี าดหายไป คอื 72, 86, 114, 128 และ 156 ตามลาํ ดบั 5. จากลาํ ดับเลขคณิต 3, 8, 13, 18, 23, จะได d = 8 − 3 = 5 และ a1 = 3 จาก an = a1 + (n −1) d จะได a15 = 3 + (15 −1)(5) = 3 + (14)(5) = 73 ดงั นัน้ พจนท่ี 15 ของลาํ ดบั เลขคณิตนี้ คอื 73 6. จากพจนที่ n คือ an =−n − 3 จะได a20 = −20 − 3 = −23 และ a50 = −50 − 3 = −53 ดงั น้นั พจนท ่ี 20 คอื −23 และพจนท่ี 50 คอื −53 7. จาก an = a1 + (n −1)d จะได 12 = a1 + (6 −1) d ---------- (1) 16 = a1 + (10 −1) d ---------- (2) จาก (1) และ (2) จะได d =1 และ a1 = 7 ดังนน้ั พจนแ รกของลําดับเลขคณิตนี้ คือ 7 8. จาก an = a1 + (n −1)d จะได 20 = a1 + (3 −1) d ---------- (1) 32 = a1 + (7 −1) d ---------- (2) จาก (1) และ (2) จะได d = 3 และ a1 =14 นั่นคอื a25 = 14 + (25 −1)(3) = 14 + (24)(3) = 86 ดงั น้นั พจนท่ี 25 คือ 86 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 223 9. จาก an = a1 + (n −1)d จะได 16 = a1 + (2 −1) d ---------- (1) 116 = a1 + (12 −1) d ---------- (2) จาก (1) และ (2) จะได d =10 และ a1 = 6 น่ันคือ an = 6 + (n −1)(10) = 6 +10n −10 = −4 +10n ดังนั้น an =−4 +10n และ d =10 10. ลาํ ดับเลขคณติ ที่กําหนดใหมี a1 = −1 และ d =−6 − (−1) =−5 จาก an = a1 + (n −1) d จะได −176 = −1+ (n −1)(−5) n = 36 ดงั นัน้ −176 เปนพจนที่ 36 ของลําดับเลขคณิตน้ี 11. ให a เปนพจนท ่ีอยูระหวาง 39 และ 51 จะได 39, a, 51 เปน ลาํ ดบั เลขคณติ นน่ั คอื a − 39 = 51− a 2a = 90 a = 45 ดงั น้นั พจนทีอ่ ยูระหวา ง 39 และ 51 คอื 45 12. จํานวนนบั ที่นอยท่ีสุดท่ีมากกวา 100 ซงึ่ หารดวย 13 ลงตวั คือ 104 เน่อื งจาก 1,000 หารดว ย 13 ไดผลหาร 76 เหลอื เศษ 12 ดงั นั้น จาํ นวนนับท่มี ากทส่ี ดุ ที่นอ ยกวา 1,000 ซ่ึงหารดว ย 13 ลงตวั คือ 1,000 −12 =988 จะไดวา ลําดับของจํานวนนบั ทอ่ี ยูระหวาง 100 ถึง 1,000 ซ่งึ หารดว ย 13 ลงตวั เปน ลาํ ดบั เลขคณิตทมี่ ีพจนแรกเปน 104 ผลตางรวมเปน 13 และพจนท่ี n เปน 988 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 988 = 104 + (n −1)(13) 988 = 91+13n 13n = 897 n = 69 ดงั นั้น จาํ นวนนับท่ีอยูระหวาง 100 ถึง 1,000 มีจํานวนที่หารดวย 13 ลงตวั ทั้งหมด 69 จาํ นวน สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
224 คมู ือครรู ายวชิ าพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 13. เนือ่ งจาก a, 6a + 2, 8a +1 เปน สามพจนแรกของลาํ ดับเลขคณิต จะได (6a + 2) − a = (8a +1) − (6a + 2) 5a + 2 = 2a −1 3a = −3 a = −1 นั่นคอื สามพจนแรก คอื −1, − 4, − 7 จะได a1 = −1 และ d =−4 − (−1) =−3 จาก an = a1 + (n −1)d จะได an = −1+ (n −1)(−3) = −1− 3n + 3 = 2 − 3n ดังนน้ั a = −1 และพจนทว่ั ไปคือ 2 − 3n หรอื an= 2 − 3n 14. เขยี นลาํ ดบั เลขคณติ แทนเงินเดอื นของสมศักดิ์ท่ีไดร บั ในแตละป ไดเปน 25000, 26000, 27000,, a7 ลําดบั ทีไ่ ดเ ปน ลาํ ดับเลขคณติ ท่ีมพี จนแ รกเปน 25,000 และผลตางรว มเปน 1,000 จาก an = a1 + (n −1) d จะได a7 = 25,000 + (7 −1)(1,000) = 25,000 + (6)(1,000) = 31,000 ดงั นัน้ เมอื่ สมศกั ดิ์ทาํ งานได 6 ป จะไดร ับเงนิ เดือน 31,000 บาท 15. เขียนลําดับแทนราคาของรถยนตท ่ีบริษัทจะรับซื้อคืนในราคาทต่ี ่ํากวา ราคาทีซ่ ้ือจาก บริษทั ไดเ ปน 100000,170000, 240000,, a5 ลําดบั ที่ไดเปนลําดบั เลขคณิตที่มพี จนแรกเปน 100,000 และผลตางรว มเปน 70,000 จาก an = a1 + (n −1) d จะได a5 = 100,000 + (5 −1)(70,000) = 100,000 + (4)(70,000) = 380,000 ดงั นนั้ เมื่อใชรถยนตไ ปแลว 5 ป บริษัทจะรับซื้อรถยนตคนื ในราคาท่ตี ํา่ กวาราคาท่ีซือ้ จากบรษิ ทั 380,000 บาท สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 5 225 แบบฝกหัด 3.1.3 1. 1) อัตราสวนรวม r= 4= 2 2 2) อตั ราสว นรว ม =r 6= 1 18 3 3) อตั ราสว นรวม =r 1=5 1 75 5 4) อตั ราสวนรว ม=r −=0.8 1 −8 10 5) อัตราสว นรว ม r = 1= −1 −1 4 6) อตั ราสวนรว ม r= 23= 2 3 1 7) อัตราสว นรวม =r x=2 1 เม่อื x ≠ 0 1 x x 5a 8) อตั ราสวนรวม =r =2 a เมอื่ a ≠ 0 52 2. 1) จากลาํ ดบั เรขาคณิต 1, 7, 49, 343, จะได a1 = 1 และ r= 7= 7 1 พจนท ี่ n ของลําดบั เรขาคณิต คือ an = a1rn−1 จะได a5 = a1r5−1 = 1× 74 = 74 a6 = a1r6−1 = 1× 75 = 75 a7 = a1r7−1 = 1× 76 = 76 ดังนนั้ สามพจนถัดไปของลาํ ดับเรขาคณิตน้ี คอื 74, 75 และ 76 2) จากลาํ ดบั เรขาคณิต −1, 2, − 4, 8, จะได a1 = −1 และ r= 2= −2 −1 พจนท ่ี n ของลาํ ดับเรขาคณติ คอื an = a1rn−1 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
226 คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 จะได a5 = a1r5−1 = (−1) × (−2)4 = −16 a6 = a1r6−1 = (−1) × (−2)5 = 32 a7 = a1r7−1 = (−1) × (−2)6 = −64 ดังนน้ั สามพจนถัดไปของลาํ ดับเรขาคณิตนี้ คอื −16, 32 และ −64 3) จากลาํ ดบั เรขาคณติ 3, 1, 1 , 1 , 39 จะได a1 =3 และ r =1 3 พจนท ี่ n ของลาํ ดบั เรขาคณิต คอื an = a1rn−1 จะได a5 = a1r 5−1 = 3 1 4 = 1 =1 3 33 27 a6 = a1r 6−1 = 3 1 5 = 1 =1 3 34 81 a7 = a1r 7−1 = 3 1 6 = 1 =1 3 35 243 ดังนัน้ สามพจนถัดไปของลาํ ดับเรขาคณิตนี้ คอื 1 , 1 และ 1 27 81 243 3. จากลาํ ดบั เรขาคณติ 2, 4, 8,16, จะได a1 = 2 และ r= 4= 2 2 จาก an = a1rn−1 จะได a9 = 2 × (2)9−1 = 2 × 28 = 29 = 512 ดังนัน้ พจนท่ี 9 ของลาํ ดบั เรขาคณติ นี้ คือ 512 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 227 4. จากลาํ ดบั เรขาคณติ 2, −10, 50, − 250, จะได a1 = 2 และ r= −10 = −5 2 จาก an = a1rn−1 จะได a11 = 2 × ( )−5 11−1 = 2 × (−5)10 ( )= 2 510 ดังนน้ั พจนที่ 11 ของลําดับเรขาคณติ นี้ คอื ( )2 510 5. จากลําดับเรขาคณิต 1 , 1 , 1 , 1 , 2 6 18 54 1 จะได a1 = 1 และ =r 6= 1 2 1 3 2 จาก an = a1rn−1 จะได a8 = 1 × 1 8−1 2 3 = 1 × 1 7 2 3 1 = 2(37 ) ดังนั้น พจนท่ี 8 ของลาํ ดับเรขาคณติ น้ี คอื 1 2(37 ) 6. 1) จากลาํ ดับเรขาคณิต 1, 3, 9, จะได a1 = 1 และ r= 3= 3 1 พจนท ่ี n ของลําดับเรขาคณติ คือ an = a1r n−1 = 1( )3 n−1 = 3n−1 ดงั นน้ั พจนท ่ี n ของลําดับเรขาคณิตน้ี คือ 3n−1 สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
228 คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 2) จากลําดับเรขาคณิต 25, 5,1, จะได a1 = 25 และ =r 5= 1 25 5 พจนท่ี n ของลําดับเรขาคณติ คอื an = a1r n−1 1 n −1 5 = 25 = 52 × 51−n = 53−n ดังน้นั พจนท ่ี n ของลาํ ดับเรขาคณติ นี้ คือ 53−n 3) จากลําดบั เรขาคณติ 1, −1,1, −1, จะได a1 = 1 และ r= −1 = −1 1 พจนที่ n ของลําดบั เรขาคณติ คือ an = a1r n−1 = 1( )−1 n−1 = ( )−1 n−1 ดงั นั้น พจนท ่ี n ของลาํ ดบั เรขาคณิตน้ี คือ (−1)n−1 4) จากลาํ ดบั เรขาคณติ −2, 4, − 8, จะได a1 = −2 และ r= 4= −2 −2 พจนท่ี n ของลาํ ดบั เรขาคณิต คือ an = a1r n−1 = (−2)(−2)n−1 = (−2)n ดงั นนั้ พจนที่ n ของลาํ ดับเรขาคณิตน้ี คือ (−2)n 5) จากลําดับเรขาคณติ 1 , 1 , 1 , เมอื่ x≠0 x x2 x3 1 จะได a1 = 1 และ=r x=2 1 x 1 x x สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 5 229 พจนท่ี n ของลําดับเรขาคณติ คือ an = a1r n−1 = 1 1 n−1 x x = 1 n x =1 xn ดังนนั้ พจนท ่ี n ของลาํ ดับเรขาคณติ น้ี คือ 1 เมอ่ื x≠0 xn 6) จากลําดับเรขาคณติ 1, 0.3, 0.09,0.027, จะได a1 = 1 และ=r 0=.3 0.3 1 พจนท ่ี n ของลําดบั เรขาคณติ คอื an = a1r n−1 = 1(0.3)n−1 = (0.3)n−1 ดังนั้น พจนที่ n ของลาํ ดับเรขาคณิตน้ี คือ (0.3)n−1 7) จากลาํ ดบั เรขาคณติ −8, − 0.8, − 0.08, − 0.008, จะได a1 = −8 แล=ะ r −=0.8 1 −8 10 พจนท ี่ n ของลําดับเรขาคณติ คือ an = a1r n−1 1 n −1 10 = ( −8) = −80 1 n 10 ดงั น้ัน พจนท่ี n ของลาํ ดบั เรขาคณิตน้ี คือ −80 1 n 10 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
230 คูมอื ครรู ายวชิ าพน้ื ฐานคณิตศาสตร ชนั้ มธั ยมศึกษาปท ่ี 5 8) จากลาํ ดับเรขาคณติ 2, 2 3, 6, จะได a1 = 2 แล=ะ r 2=3 3 2 พจนที่ n ของลําดบั เรขาคณิต คอื an = a1r n−1 ( )n−1 =2 3 ดงั นนั้ พจนที่ n ของลาํ ดบั เรขาคณิตน้ี คือ 2( )n−1 3 7. จาก an = a1rn−1 ให a=5 3=2 16 และ r = 2 จะได 2 16 = a1 (2)5−1 16 = a1 (2)4 a1 = 1 ดงั นัน้ พจนแ รกของลําดบั เรขาคณติ น้ี คือ 1 8. จาก a3 = 12 และ a6 = 96 จะได 12 = a1r3−1 --------- (1) --------- (2) 96 = a1r6−1 จาก (1) และ (2) จะได r3 = 8 นน่ั คอื r = 2 ดงั นั้น อัตราสว นรวมของลาํ ดับเรขาคณิตน้ี คอื 2 9. จากลาํ ดบั เรขาคณิต 2, − 6,18, จะได a1 = 2 และ r= −6 = −3 2 พจนท ี่ n ของลําดบั เรขาคณิต คือ an = a1rn−1 จะได 162 = 2( )−3 n−1 81 = ( )−3 n−1 (−3)4 = ( )−3 n−1 n −1 = 4 n =5 ดงั นน้ั 162 เปนพจนท ่ี 5 ของลาํ ดบั เรขาคณิตนี้ สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปท ี่ 5 231 10. 1) จาก a1 =4 และ a2 =1 จะได r = 1 2) 4 3) น่นั คอื a3 = a2r = 1 1 =1 4 4 a4 = a3r = 11 = 1 4 4 16 a5 = a4r = 1 1 = 1 16 4 64 ดังน้นั พจนท่ขี าดหายไป คือ 1 , 1 และ 1 ตามลําดับ 4 16 64 จาก a1 = 2, a3 =2 และพจนที่ n ของลาํ ดับเรขาคณิต คือ an = a1r n−1 9 จะได 2 = 2(r )3−1 9 2 = 2r2 9 r2 = 1 9 น่นั คอื r = 1 หรือ r = − 1 33 จะได a=2 a=1r 2 13= 2 หรอื a2 =a1r =2 − 1 =− 2 3 3 3 =a4 a=3r 2 13= 2 หรือ a4 =a3r =92 − 1 =− 2 9 27 3 27 =a5 a=4r 2 13= 2 หรือ a5 =a4r = − 2 − 1 =2 27 27 3 81 81 ดังนน้ั พจนท ่ีขาดหายไป คอื 2 , 2 และ 2 ตามลาํ ดับ 3 27 81 หรอื − 2 , − 2 และ 2 ตามลําดบั 3 27 81 จาก a1 = 3, a5 = 3 และพจนท่ี n ของลาํ ดับเรขาคณิต คือ an = a1r n−1 7 343 จะได 3 = 3 (r )5−1 343 7 3 = 3 r4 343 7 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
232 คูม อื ครูรายวิชาพื้นฐานคณิตศาสตร ชน้ั มธั ยมศึกษาปที่ 5 r4 = 1 49 น่ันคือ r = 1 หรอื r = − 1 77 จะได a=2 a=1r 3 17= 3 หรอื a2 =a1r =73 − 1 =− 3 7 77 7 77 =a3 a=2r 3 17= 3 หรือ a3 =a2r = − 7 3 − 1 =3 7 7 49 7 7 49 =a4 a=3r 3 17= 3 หรือ a4 =a3r =439 − 1 =− 3 7 49 49 7 7 49 =a6 a=5r 3 17= 3 หรอื a6 =a5r =3433 − 1 =− 3 7 343 343 7 7 343 ดังนน้ั พจนท ีข่ าดหายไป คอื 3 , 3 , 3 และ 3 ตามลําดับ 7 7 49 49 7 343 7 หรอื − 3 , 3 ,− 3 และ −3 7 ตามลําดับ 7 7 49 49 7 343 4) จาก a3 =1 และ a6 = 8 จะได 27 1 = a1r3−1 --------- (1) 8= a1r 6−1 --------- (2) 27 จาก (1) และ (2) จะได r3 = 8 นั่นคอื r = 2 27 3 จาก (1) จะได a1 = 9 4 น่นั คอื a2 = a1r = 92 =3 4 3 2 a4 = a3r = 1 2 =2 3 3 a5 = a4r = 22 =4 3 3 9 a7 = a6r = 8 2 = 16 27 3 81 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมอื ครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที่ 5 233 ดงั นั้น พจนท ีข่ าดหายไป คือ 9 , 3 , 2 , 4 และ 16 ตามลาํ ดบั 4239 81 11. 1) ให a เปน พจนทีอ่ ยูร ะหวา ง 5 และ 20 จะได 5, a, 20 เปน ลาํ ดับเรขาคณิต นั่นคอื a = 20 5a a2 = 100 จะได a =10 หรือ a = −10 ดงั นนั้ พจนท ี่อยูระหวาง 5 และ 20 คือ 10 หรือ −10 2) ให a เปนพจนที่อยูร ะหวา ง 8 และ 12 จะได 8, a,12 เปนลําดบั เรขาคณติ นนั่ คอื a = 12 8a a2 = 96 จะได a = 4 6 หรอื a = −4 6 ดังนั้น พจนท ่ีอยรู ะหวาง 8 และ 12 คือ 4 6 หรือ −4 6 12. จากสามพจนแรกของลาํ ดบั เรขาคณิต คอื a + 3, a + 20, a +105 จะไดว า a + 20 = a +105 a + 3 a + 20 (a + 20)(a + 20) = (a + 3)(a +105) a2 + 40a + 400 = a2 + 108a + 315 68a = 85 a=5 4 จะไดสามพจนแรกของลาํ ดบั เรขาคณติ น้ี คอื 17 , 85 และ 425 44 4 85 นน่ั คอื a1 = 17 และ=r =4 5 4 17 4 จะได พจนท่วั ไป คือ an = a1r n−1 = 17 (5)n−1 4 ดงั นน้ั a= 5 และ พจนทัว่ ไป คอื an = 17 (5)n−1 4 4 สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
234 คมู อื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 5 13. ใน พ.ศ. 2550 ประชากรในอําเภอหนึ่งมี 60,000 คน เนอื่ งจากประชากรในเมืองน้เี พ่มิ ข้ึนปละ 2% จะไดว า เม่ือครบ 1 ป จะมีประชากร = 60,000 + 60,000(0.02) = 60,000(1+ 0.02) = 60,000(1.02) คน เมื่อครบ 2 ป จะมีประชากร = 60,000(1.02) + 60,000(1.02)(0.02) = 60,000(1.02)(1+ 0.02) = 60,000(1.02)(1.02) = 60,000(1.02)2 คน จะเห็นวา จํานวนประชากรในแตละป เม่ือเขยี นเรียงลาํ ดับ จะเปน ลําดบั เรขาคณิตท่ีมี 1.02 เปนอตั ราสว นรว ม ดังนี้ 60000, 60000(1.02), 60000(1.02)2 , โดยที่ a1 = 60,000 และ r =1.02 พจนท ่ี n ของลาํ ดบั เรขาคณิต คอื an = a1r n−1 = 60,000(1.02)n−1 ใน พ.ศ. 2565 จะได n = 16 นั่นคือ a16 = 60,000(1.02)16−1 = 60,000(1.02)15 ≈ 80,752 ดงั นั้น สตู รทวั่ ไปของจาํ นวนประชากรในแตละป คือ 60,000(1.02)n−1 และจาํ นวน ประชากรใน พ.ศ. 2565 มีประมาณ 80,752 คน 14. ถา เริม่ ตน ลูกบอลสูงจากพนื้ 2 เมตร เมื่อลกู บอลกระทบพน้ื ครง้ั ที่ 1 แลว จะกระดอนข้นึ ไปสงู = 2 − 2(0.08) =2(1− 0.08) =2(0.92) เมตร เมอ่ื ลูกบอลกระทบพืน้ ครั้งท่ี 2 แลว จะกระดอนขน้ึ ไปสูง 2(0.92) − 2(0.92)(0.08) = 2(0.92)(1− 0.08) = 2(0.92)2 เมตร สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาพนื้ ฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ี่ 5 235 จะเห็นวา ความสงู ของลูกบอลจากพนื้ เม่ือเขยี นเรียงเปน ลาํ ดับ จะเปน ลําดบั เรขาคณิต ทม่ี ี 0.92 เปน อัตราสว นรว ม ดงั น้ี 2(0.92), 2(0.92)2 , โดยที่ a1 = 2(0.92) และ r = 0.92 พจนท ่ี n ของลาํ ดบั เรขาคณิต คือ an = a1r n−1 = 2(0.92)(0.92)n−1 = 2(0.92)n ดังนั้น ฟงกชนั แสดงความสูงของลูกบอล คือ f (n) = 2(0.92)n เม่ือ n เปนจํานวนครง้ั ท่ลี ูกบอลกระทบพื้น แบบฝก หัด 3.2.1 1. 1) จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S4 = 4 (2(3) + (4 −1)(2)) 2 = 24 ดังนั้น ผลบวก 4 พจนแ รกของอนกุ รมเลขคณิตน้ี คือ 24 2) จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S7 = 7 (2(5) + (7 −1)(4)) 2 = 119 ดังนัน้ ผลบวก 7 พจนแ รกของอนกุ รมเลขคณติ นี้ คือ 119 3) จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S9 = 9 (2(−3) + (9 −1)(5)) 2 = 153 ดงั นัน้ ผลบวก 9 พจนแ รกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 153 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
236 คูมอื ครูรายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี 5 4) จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S11 = 11(2(−7) + (11−1)(3)) 2 = 88 ดงั นน้ั ผลบวก 11 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คอื 88 5) จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S14 = 14 (2(−5) + (14 −1)(−2)) 2 = −252 ดังนัน้ ผลบวก 14 พจนแ รกของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ −252 2. 1) อนกุ รมที่กําหนดใหมี a1 = 5 และ d = 2 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S50 = 50 (2(5) + (50 −1)(2)) 2 = 2,700 ดังนั้น ผลบวก 50 พจนแ รกของอนุกรมเลขคณิตน้ี คือ 2,700 2) อนุกรมทกี่ าํ หนดใหม ี a1 = 0 และ d = 2 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S30 = 30 (2(0) + (30 −1)(2)) 2 = 870 ดังน้ัน ผลบวก 30 พจนแรกของอนุกรมเลขคณิตน้ี คือ 870 3) อนกุ รมทก่ี าํ หนดใหมี a1 = −2 และ d = 5 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S60 = 60 (2(−2) + (60 −1)(5)) 2 = 8,730 ดังนนั้ ผลบวก 60 พจนแ รกของอนุกรมเลขคณิตน้ี คอื 8,730 สถาบนั สงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครรู ายวิชาพ้ืนฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปท่ี 5 237 4) อนุกรมที่กาํ หนดใหมี a1 = 5 และ d = −3 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S75 = 75 (2(5) + (75 −1)(−3)) 2 = −7,950 ดงั นัน้ ผลบวก 75 พจนแ รกของอนุกรมเลขคณติ น้ี คอื −7,950 5) อนุกรมท่กี าํ หนดใหม ี a1 = 1 และ d = 1 2 2 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S50 = 50 2 1 + (50 − 1) 1 2 2 2 = 1, 275 2 ดังนั้น ผลบวก 50 พจนแ รกของอนุกรมเลขคณติ นี้ คือ 1,275 2 3. 1) จาก an = a1 + (n −1) d อนุกรมทกี่ ําหนดใหมี a1 = 6, d = 3 และ an = 99 จะได 99 = 6 + (n −1)(3) 99 = 6 + 3n − 3 n = 32 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S32 = 32 (6 + 99) 2 = 1,680 ดังนน้ั ผลบวกทงั้ 32 พจนของอนุกรมเลขคณติ น้ี คือ 1,680 2) จาก an = a1 + (n −1) d อนุกรมทีก่ ําหนดใหม ี a1 = −7, d = −3 และ an = −109 จะได −109 = −7 + (n −1)(−3) −109 = −7 − 3n + 3 n = 35 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
238 คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานคณิตศาสตร ชน้ั มัธยมศึกษาปท ่ี 5 จะได S35 = 35 (−7 + (−109)) 2 = −2,030 ดังนั้น ผลบวกท้ัง 35 พจนของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ −2,030 3) จาก an = a1 + (n −1) d อนกุ รมท่ีกาํ หนดใหม ี a1 = −7, d = 3 และ an =131 จะได 131 = −7 + (n −1)(3) 131 = −7 + 3n − 3 n = 47 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S47 = 47 (−7 +131) 2 = 2,914 ดงั น้นั ผลบวกท้งั 47 พจนของอนุกรมเลขคณิตน้ี คือ 2,914 4. ให a1 = 6, d = 4 และ an = 26 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 26 = 6 + (n −1)(4) 26 = 6 + 4n − 4 n =6 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S6 = 6 (6 + 26) 2 = 96 ดงั นัน้ ผลบวกทงั้ 6 พจนของอนุกรมเลขคณิตน้ี คอื 96 5. ลําดับของจาํ นวนคีบ่ วก 100 จาํ นวนแรก คอื ลําดบั เลขคณิต 1, 3, 5, 7, ท่ีมี a1 = 1, d = 2 และ n = 100 ให S100 แทนผลบวกของจาํ นวนคี่บวก 100 จาํ นวนแรก จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S100 = 100 (2(1) + (100 −1)(2)) 2 = 10,000 สถาบันสง เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมอื ครรู ายวิชาพืน้ ฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศกึ ษาปท ่ี 5 239 ดังนัน้ ผลบวกของจํานวนคีบ่ วก 100 จํานวนแรก คือ 10,000 6. ลําดบั ของจาํ นวนเต็มบวกยสี่ ิบจํานวนแรกท่ีเปนพหุคูณของ 3 คอื ลําดับเลขคณติ 3, 6, 9,12, ทีม่ ี a1 = 3, d = 3 และ n = 20 ให S20 แทนผลบวกของจาํ นวนเต็มบวกย่ีสิบจํานวนแรกท่ีเปนพหุคูณของ 3 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S20 = 20 (2(3) + (20 −1)(3)) 2 = 630 ดังน้ัน ผลบวกของจํานวนเตม็ บวกยีส่ บิ จํานวนแรกที่เปนพหุคูณของ 3 คือ 630 7. เน่อื งจาก 17 +19 + 21+ + 379 เปนอนกุ รมเลขคณิต ที่มี a1 =17, d = 2 และ an = 379 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 379 = 17 + (n −1)(2) 379 = 17 + 2n − 2 n = 182 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S182 = 182 (17 + 379) 2 = 36,036 -------- (1) ดังนนั้ ผลบวกของจํานวนค่ีตั้งแต 17 ถงึ 379 คือ 36,036 8. ให a10 = 20 และ a5 = 10 จะได 20 = a1 + (10 −1)d 10 = a1 + (5 −1) d -------- (2) จาก (1) และ (2) จะได d = 2 และ a1 = 2 ผลบวกของพจนท ่ี 8 ถงึ พจนท่ี 15 คือ S15 − S7 จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S7 = 7 (2(2) + (7 −1)(2)) 2 = 56 และ S15 = 15 (2(2) + (15 −1)(2)) 2 = 240 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
240 คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานคณติ ศาสตร ชนั้ มัธยมศึกษาปที่ 5 นั่นคอื S15 − S7 = 240 − 56 = 184 ดงั น้นั ผลบวกของพจนที่ 8 ถึงพจนท ี่ 15 ของอนุกรมเลขคณิตนี้ คือ 184 9. ลําดบั ของจาํ นวนเงนิ ออมในแตล ะวนั คอื ลําดับเลขคณติ 1, 2, 3, ท่ีมี a1 =1, d =1 และ n = 30 ให Sn แทนจาํ นวนเงนิ ออมทัง้ หมดในเวลา 30 วัน จาก Sn = n ( 2a1 + ( n − 1) d ) 2 จะได S30 = 30 (2(1) + (30 −1)(1)) 2 = 465 ดังนั้น ถา ทบั ทิมออมจนครบ 30 วนั ทบั ทมิ จะมีเงนิ ออมทงั้ หมด 465 บาท 10. เนื่องจากจดั วางไมชนั้ ท่ี 2 ใหแนวกึง่ กลางของไมแตละแผน ในชนั้ นี้อยตู รงกับรอยตอ ของไมแตล ะคูในช้นั แรก จะได ช้นั ท่ี 2 มีไม 29 แผน ถา ทําเชนนไ้ี ปเร่ือยๆ จะไดวา จํานวนแผนไมที่อยูช ัน้ บนจะนอยกวา จาํ นวนแผน ไมท ่ี อยูชัน้ ลา งในลาํ ดับตดิ กนั อยู 1 แผน นนั่ คอื ลําดบั ของจํานวนแผน ไมใ นแตล ะช้ัน คือ ลําดับเลขคณิต 30, 29, 28,, 5 ทมี่ ี a1 = 30, d = −1 และ an = 5 จาก an = a1 + (n −1) d จะได 5 = 30 + (n −1)(−1) 5 = 30 − n +1 n = 26 จาก Sn = n ( a1 + an ) 2 จะได S26 = 26 (30 + 5) 2 = 455 ดงั นน้ั กองไมนี้มี 26 ชนั้ และมีจํานวนแผนไมท ั้งหมด 455 แผน สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311