๑๓๙ ประเพณีน้ีทาข้ึนเพือ่ สะเดาะเคราะห์ ส่งวญิ ญาณบรรพบุรุษกลบั ไป “ฆูนุงฌึรัย” ซ่ึงเชื่อวา่ เป็ นบา้ นเมือง เดิมของบรรพบุรุษ และส่งสัตวท์ ี่ฆ่ากินเป็ นอาหารกลบั ไปให้เจา้ ของเดิมเพ่ือไถ่บาป ชาวเลเช่ือวา่ เม่ือ ประกอบพิธีกรรมน้ีแลว้ จะทาให้วญิ ญาณบรรพบุรุษคุม้ ครองลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ ให้ปลอดภยั จาก การออกทะเล ภยั ธรรมชาติและโรคภยั ไขเ้ จบ็ ในงานลอยเรือตูละบาลา มีการบรรเลงดนตรีประกอบพิธีลอยเรือ ดนตรีรามะนาจะเร่ิมบรรเลง หลงั จากทาพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรงและพิธีฉลองเรือก่อนที่จะนาออกไปลอยในทะเล ซ่ึงพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรง เป็ นพิธีกรรมแรกของพิธีลอยเรือ โดยลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ จะนาเคร่ืองเซ่นไหว้ ที่ประกอบดว้ ย อาหารคาวหวานนามาวางไวห้ น้าโต๊ะบุหรง ซ่ึงเป็ นบรรพบุรุษของชาวเลในหมู่บา้ น เม่ือโต๊ะหมอทา พิธีกรรมเสร็จแลว้ นกั ดนตรีจะเร่ิมบรรเลงเพลงรามะนา เริ่มด้วยเพลงแรกที่มีเน้ือหาเก่ียวกบั การ อญั เชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มากินของเซ่นไหว้ และบรรเลงอีก ๖ เพลง ซ่ึงเพลงมีเน้ือหาเก่ียวกบั วิถี ชีวติ ของชาวอูรักลาโวย้ ดนตรีรามะนาที่ใชบ้ รรเลงในพธิ ีลอยเรือมีท้งั หมด ๗ เพลง ลกั ษณะของการขบั ร้องบทเพลง จะมีคนร้องนาหน่ึงคน ซ่ึงร้องนาก่อนในแต่ละวรรคเพลง โดยคนร้องที่เหลือเป็ นลูกคู่รับ คาร้องของลูกคูร่ ับมีลกั ษณะคลา้ ยกบั คาร้องนา ร้องสลบั กนั ไปมาจนจบเพลง เทคนิคการขบั ร้องมีหลาย ลกั ษณะเช่น การลกั จงั หวะ การโยกเสียง การผา่ นเสียง การชอ้ นเสียง การสะบดั เสียง การโปรย และการ เน้นเสียง คาร้องของเพลงใช้ภาษาของชาวอูรักลาโวย้ ซ่ึงเป็ นภาษาท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตวั นักร้อง ท้งั หมดตีกลองรามะนาไปดว้ ยเพือ่ ประกอบจงั หวะ ประเพณแี ต่งงาน ในอดีตหนุ่มสาวชาวเลจะแต่งงานอายุประมาณ ๑๔ – ๑๘ ปี และมีพิธีสู่ขอหม้นั หมาย โดย ผใู้ หญฝ่ ่ ายชายจะไปขอถึง ๓ คร้ัง ถา้ ตอบรับก็จะไปขอหม้นั หรือ “ปากยั ตูนงั ก่อนแต่ง ๓ วนั ฝ่ ายชาย จะตอ้ งอาสาทางานบา้ นผหู้ ญิง เช่น หาน้า ผา่ ฟื นเป็ นตน้ วนั แต่งงานขบวนแห่จะให้เจา้ บ่าวข่ีคอเดินวน ซ้ายรอบบา้ นเจา้ สาว ๓ รอบ ก่อนยา่ งเขา้ ประตูบา้ นผูใ้ หญ่ฝ่ ายเจา้ สาวจะถามวา่ มีเรือไหม มีแหไหม มี ฉมวกไหม เจา้ บ่าวตอบว่า “มี” ก็จะมีคนลา้ งเทา้ ใหก้ ่อนขา้ มเขา้ ธรณีประตู เพ่ือนเจา้ บ่าวจะนาเสื่อและ หมอนไปวางในหอ้ งเจา้ สาว เจา้ ถามจะประแป้งใหแ้ ขกที่มาร่วมงาน วนั รุ่งข้ึนพ่อแม่และญาติพ่ีนอ้ งจะ ส่งตวั เจา้ บ่าวเจา้ สาวลงเรือไปผจญภยั ตามเกาะต่าง ๆ โดยมีขา้ วสาร น้าจืด เครื่องมือจบั ปลาไปดว้ ย เพ่ือ พิสูจน์วา่ ฝ่ ายชายจะสามารถเล้ียงดูภรรยาไดข้ าไปผูช้ ายจะเป็ นคนกรรเชียงเรือโดยใหผ้ ูห้ ญิงนงั่ หัวเรือ ขากลบั ผหู้ ญิงจะเป็ นฝ่ ายกรรเชียงเรือใหผ้ ูช้ ายนงั่ หวั เรือ เป็ นท่ีเขา้ ไดไ้ ด่วา่ ท้งั คู่เป็ นสามีภรรยาตามพฤติ นยั แลว้ เม่ือแต่งแล้วฝ่ ายชายจะตอ้ งเขา้ ไปอยู่บา้ นฝ่ ายหญิง (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หน้า ๑๙๙) ปัจจุบนั ชาวเลชุมชนกลาโหม จะมีพิธีแต่งงานที่คลา้ ยกบั คนไทยพ้ืนถิ่น เริ่มต้งั แต่หนุ่มสาวชอบพอกนั ใหผ้ ใู้ หญไ่ ปสู่ขอ มีสินสอดของหม้นั มีงานเล้ียงในหมู่ญาติและคนรู้จกั งานเล้ียงจะข้ึนอยกู่ บั ฐานะของ
๑๔๐ คู่บ่าวสาว บางคู่ก็มีการกินเล้ียงที่บา้ น อาหารในงานเล้ียง เช่นปลาทอด น้าชุบหยา แกงไก่ แกงหมู เป็ น ตน้ จะมีพิธีรดน้าให้พร โดยมีโตะ๊ หมอเป็ นผูท้ าพิธี และญาติผใู้ หญ่ ชุดแต่งงานของคู่บ่าวสาวก็เป็ นไป ตามสมยั นิยม ช่วงอายุของการแต่งงานจะอยูท่ ่ียี่สิบปี ข้ึนไป จะมีการแต่งงานงานระหวา่ งกลุ่มชาวเล ดว้ ยกนั เองและต่างกลุ่ม และหลงั จากแต่งงานแลว้ การที่จะอยบู่ า้ นของฝ่ ายไหนก็ข้ึนอยูก่ บั สะดวกและ สถานท่ีทางานของฝ่ ายน้นั ประเพณแี ลกเปลยี่ นสิ่งของและชิงเปรต ชาวอูรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม จะเดินทางไปทาบุญสารทเดือนสิบ ในตวั เมืองกระบี่ เหนือ คลอง และวดั ปกาสยั ทุกปี จะไปอาศยั คา้ งแรมนอนท่ีตลาดนดั เหนือคลอง โรงนดั เหนือคลอง พรุดินนา และวดั ปกาสัย โดยเดินทางไปล่วงหนา้ ๒ – ๓ วนั ชาวเลอุรักลาโวย้ จะนาของทะเล เช่น ปลาเค็ม ปลา เบนย่าง ปะการัง กลั ปังหา เปลือกหอย กาไลกระ ไปแลกกบั เส้ือผา้ อาหาร ขนมลาอบั น้าตาล ของใช้ จาเป็ นกบั คนเมือง และร่วมพิธีชิงเปรต เพื่อเก็บขนมพอง ขนมลา ขา้ วปลาอาหาร และเงินท่ีชาวพุทธ นาไปต้งั ไหวเ้ ปรต แลว้ นาไปเซ่นไหวบ้ รรพบุรุษ เพราะเช่ือวา่ ลูกหลานตอ้ งไปรับบุญเพื่อให้วญิ ญาณ บรรพบุรุษไม่อดอยาก พธิ ีกรรม การเกดิ ในอดีตเม่ือผหู้ ญิงชาวเลต้งั ครรภแ์ ละถึงกาหนดคลอด “โต๊ะบิดดั ” หรือหมอตาแยจะทาคลอด ให้ เมื่อเด็กคลอดออกมาแลว้ หมอตาแยจะใชไ้ มไ้ ผ่ที่เหลาจนบางตดั สายสะดือ จากน้นั อาบน้าเยน็ ให้ เด็กก่อนจึงจะอาบน้าอุ่น ให้เด็กทารกดื่มน้าผ้ึงจนครบ ๓ วนั เพ่ือให้เด็กถ่ายของเสียออก จึงใหด้ ่ืมนม แม่ หลงั คลอด ๓ วนั จะทาพิธีเซ่นไหวต้ ายายและเล้ียงฉลอง หรือ “ทานูหรี” โต๊ะบิดดั จะช่วยดูแลแม่ และลูกในช่วงที่แมอ่ ยไู่ ฟ ๗ – ๙ หรือ ๑๕ วนั เมื่อครบ ๔๔วนั พอ่ แม่จะทาพธิ ีเซ่นไหวต้ ายายอีกคร้ัง พธิ ีศพ เม่ือมีสมาชิกในชุมชนเสียชีวติ จะก่อกองไฟไวห้ นา้ บา้ นผตู้ าย และจดั วางอาหารไวห้ นา้ กองไฟ ตลอด ๓ วนั ๓ คืน ถา้ เสียชีวิตในช่วงเช้าจะฝังศพตอนเย็น ถ้าเสียชีวิตหลงั เท่ียงวนั จะทาพิธีฝังใน วนั รุ่งข้ึน ผชู้ ายจะช่วยกนั ทาโลง และมีการอาบน้าศพ โดยโตะ๊ หมอจะอาบให้เป็ นคนแรก ต่อดว้ ยญาติพ่ี นอ้ ง เพ่ือนบา้ น หลงั จากน้นั จะแต่งตวั ให้ผูต้ ายและทาน้ามนั หอมก่อนบรรจุลงในโลงศพที่ปูดว้ ยเส่ือ และใชผ้ า้ ขาวยาว ๙ ศอก คลุมบนศพ นาขา้ วของเครื่องใชข้ องผูต้ ายใส่ไปในโลงศพดว้ ย แลว้ แห่ศพไป ฝังยงั สุสาน เม่ือโต๊ะหมอทาพิธี ญาติพ่ีน้องจะช่วยกนั กลบหลุมศพ และปลูกมะพร้าวท่ีมีหน่อไวป้ ลาย เท้าศพ หลงั จากน้ันอีก ๓ วนั จะเล้ียงอาหาร ดบั กองไฟ และทาบุญผูต้ ายอีกคร้ัง ในพิธีแต่งเปรว (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หนา้ ๒๐๑) ปัจจุบนั ชาวอูรักลาโวย้ ที่นบั ถือศาสนาพุทธจะนิมนตพ์ ระไป
๑๔๑ สวดในงานศพดว้ ย ส่วนกลุ่มที่นบั ถือศาสนาอิสลาม ก็จะปฏิบตั ิศาสนกิจและทาพิธีฝังศพตามหลัก ศาสนาอิสลาม ส่วนกลุ่มที่นบั ถือคริสตก์ ็จะทาพธิ ีตามหลกั ศาสนาคริสต์ พธิ ีเซ่นไหว้บรรพชน ชาวเลอูรักลาโวย้ เกาะจาท่ีอาศยั อยู่ในชุมชนเดียวกนั จะทาพิธีเซ่นไหวว้ ิญญาณบรรพบุรุษ ร่วมกันปี ละคร้ัง ในอดีตเคยมีพิธีเซ่นไหวว้ ิญญาณบรรพบุรุษท่ีสิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ เช่น เจ้า ทะเล เจา้ ถ้า เจา้ เกาะ เจา้ แหลม ฯลฯ ก่อนหรือหลงั พิธีลอยเรือในเดือน ๖ เพ่ือออ้ นวอนบอกกล่าววา่ เม่ือ ลมพลัด (ลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้) หรือลมออก (ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ) พดั มา ขอให้ ลูกหลานหาปลาไดจ้ านวนมาก พธิ ีแก้บน (แก้เหมรย) ชาวเลอุรักลาโวย้ จะมีการแก้บน เนื่องจากไดบ้ นบานศาลกล่าวกบั ส่ิงเหนือธรรมชาติที่ตน เคารพนบั ถือ เช่น ใหต้ นเองและครอบครัวหายจากการเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วย หรือประสบผลสาเร็จในเรื่องใด เรื่องหน่ึง ถา้ เป็ นไปเป็ นตามที่ไดข้ อหรือบนบานไว้ ก็ตอ้ งมาแกบ้ น เช่น จดั ใหม้ ีการบรรเลงรามะนา หรือถวายอาหารคาวหวาน เป็ นตน้ ก็ตอ้ งทาตามที่ไดใ้ ห้สัญญาไว้ การแกบ้ นดว้ ยการบรรเลงรามะนา น้นั มกั จะเป็ นการแกบ้ นใหญ่ ๆ หมายถึง การบนบานศาลกล่าวในเรื่องเหนือธรรมชาติ เร่ืองความเป็ น ความตาย เรื่องการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือ ถูกสลากกินแบง่ รัฐบาล พธิ ีกรรมขนึ้ ๑๕ คา่ ของทกุ เดือน พิธีท่ีชาวอูรักลาโวย้ เกาะจา ทากนั ทุกวนั ข้ึน ๑๕ ค่า ของทุกเดือน จะมีการเล่นดนตรีรามะนา เพอื่ เป็นการบรรเลงดนตรีประกอบพิธีกรรม ชาวเลมีความเช่ือวา่ เมื่อทาพิธีกรรมน้ีแลว้ จะทาให้วญิ ญาณ บรรพบุรุษคุม้ ครองลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ ใหป้ ลอดภยั จากการออกทะเล ภยั ธรรมชาติและโรคภยั ไข้ เจบ็ โดยดนตรีรามะนาจะเร่ิมบรรเลงหลงั จากทาพธิ ีไหวโ้ ตะ๊ บุหรง ซ่ึงถือเป็ นบรรพบุรุษของชาวเลอุรัก ลาโวย้ ในหมู่บา้ น พิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรงจะเป็ นข้นั ตอนแรก ลูกหลานชาวเลอูรักลาโวย้ จะนาเคร่ืองเซ่น ไหวท้ ี่ประกอบด้วยอาหารคาวหวานนามาวางไวห้ น้าโต๊ะบุหรง เมื่อโต๊ะหมอทาพิธีกรรมเสร็จ นัก ดนตรีก็จะเริ่มบรรเลงดนตรี โดยเคร่ืองดนตรีที่ใชค้ ือรามะนา คติ ความเช่ือ ตานาน ตานานโตะ๊ บุหรง คาวา่ “บุหรง” เป็ นคาภาษามลายู แปลวา่ นก หรือภาษาอูรักลาโวย้ จะออก เสียงวา่ “บูรก” เช่ือกนั วา่ “โตะ๊ บุหรง” เป็ นวิญญาณบรรพบุรุษท่ีมีคาถาสามารถจะหยดุ ลมและพายุ ฝนได้ และเคยมาปรากฎตวั ในร่างของนกเพ่ือมาช่วยชาวอูรักลาโวย้ ท่ีเผชิญคล่ืนลมใหพ้ น้ จากอนั ตราย , ตานานกาเนิดชาวเล,ตานานคลื่นเจ็ดลูกหรือ “รูมกั ตูโยะ”,ความเชื่อเกี่ยวกบั โตะ๊ เล (ส่ิงศกั ด์ิท่ีอยู่ใน
๑๔๒ ทะเล) ชาวเลอูรักลาโวย้ มีวถิ ีชีวิตและความเช่ือด้งั เดิม ในเรื่องวิญญาณ ท่ีปกป้องดูแลบริเวณโดยรอบ มี ความเช่ือวา่ ถา้ ใครทาให้แหล่งน้าจืดสกปรกจะมีอาการเจ็บป่ วย, ความเช่ือและขอ้ ห้ามของคนทอ้ ง เช่น หา้ มอาบน้ากลางคืน, หา้ มลงไปเดินเล่นนอกบา้ นหลงั พระอาทิตยต์ กดินเพราะผตี ายายจะติดตามตวั มา, ระหวา่ งต้งั ครรภ์ ๓ - ๗ เดือน หา้ มฆ่าหรือทุบตีสัตวท์ ุกชนิด, หา้ มนงั่ บนธรณีประตู, ห้ามขา้ มเชือกผกู หวั เรือ จะทาให้คลอดยาก เป็ นตน้ , และยงั มีขอ้ หา้ มสาหรับเด็ก เชน้ เด็กหา้ มกินไข่จนกวา่ จะคลานได,้ ห้ามกินปลาจนกวา่ จะพูดคาวา่ ปลา หรือ “อีกดั ” ได,้ ความเชื่อและขอ้ ห้ามขณะสามีออกทะเล ภรรยาท่ี อยูบ่ า้ นห้ามขยบั ท่ีนอนสามี ห้ามเยบ็ ผา้ ห้ามสระผม ห้ามนอนกลางวนั และห้ามกวาดขยะใตถ้ ุนบา้ น เพราะเช่ือวา่ สามีจะประสบอุบตั ิเหตุ, ความเช่ือเรื่องการออกไปหาปลาเม่ือลงจากบา้ นไปทะเล หากมีคน นงั่ ขวางบนั ได เช่ือวา่ เป็ นการขวางลาภ จบั ปลาไม่ได้ ,ขอ้ ห้ามอื่นๆ เช่น หา้ มนงั่ บนหินถ่วงไซ หรือหิน ลบั มีด เพราะเชื่อว่า กน้ จะหนกั หรือข้ีเกียจทางาน, ห้ามออกจากครัวขณะหุงขา้ วเพราะผีตายโหงจะ ลงโทษ, ห้ามเด็ก ๆ เล่นริมหาดโดยเฉพาะ วนั ข้ึน ๑๑ – ๑๒ ค่า เพราะผีตายายจะติดตวั กลบั มาบา้ น, ห้ามทกั หรือช้ีเม่ือเห็นผีพุ่งไต้ หรือดาวตก จะทาให้เกิดอนั ตรายกบั ตวั เอง เป็ นต้น, ความเชื่อเร่ือง เคร่ืองรางของขลงั ผชู้ ายจะใชเ้ ชือกรัดไวท้ ี่แขน เป็นเชือกที่โตะ๊ หมอทาพธิ ีใหเ้ พอ่ื ปัดเป่ าสิ่งไม่ดี ตานานโตะ๊ บุหรง มีเรื่องเล่าลืบต่อกนั มาวา่ ขณะที่บรรพบุรุษของชาวเลเผชิญกบั พายคุ ลื่นลม แรงกลางทะเล มีนกตวั หน่ึงบินมาเกาะเสากระโดงเรือ ทนั ใดน้นั พายุคล่ืนลมก็สงบลงทนั ที จึงเชื่อกนั วา่ โตะ๊ บุหรงสิงสถิตในตวั นก สามารถหา้ มลมหา้ มฝนได้ โต๊ะหมอวา่ เล่า เม่ือคนที่เผชิญกบั พายคุ ลื่น ลมแรงกลางทะเล เมื่อกลบั มาถึงบา้ น ตอ้ งทาพธิ ีแกบ้ นโดยการราผา้ เจด็ สี ซ่ึงหมายถึงการแกบ้ นใหญ่ ศิลปะการแสดง รองแง็ง เป็ นการแสดงท่ีมีท้งั การร้องและรา คลา้ ยคลึงกบั การเล่นรามะนา บทเพลงจะขบั เป็ นภาษา มลายูกลาง เรียกวา่ ขบั แขก จะเร่ิมตน้ ดว้ ยเพลงลาฆูดูวอ จะเล่นเพลงอ่ืน ๆ ไปตามลาดบั และยงั มีรอง แงง็ แก้บน เป็นการร่ายราเฉพาะแกบ้ นหรืองานพธิ ีต่างๆซ่ึงมีการถ่ายทอดโดยความใกลช้ ิดของผูส้ อนกบั สมาชิกภายในครอบครัวหรือเครือญาติ ลกั ณะการถ่ายทอดจะเป็ นการถ่ายทอดจากผูใ้ หญ่สู่เด็กรุ่นใหม่ ซ่ึงเป็ นญาติ เป็ นลูกหลาน โดยการสอนท่ารา เพลงต่างๆโดยการขบั สด ร้องสด ราสด ผูเ้ รียนบางคนจะ อาศยั อยกู่ บั คนสอนเนื่องจากถือวา่ เป็นญาติผใู้ หญ่ รามะนา เป็ นการแสดงพ้ืนบา้ น ใช้เล่นในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีลอยเรือ แต่งเปลว พิธีแกบ้ น เคร่ือง ดนตรีท่ีใชใ้ นดนตรีรามะนามีชนิดเดียวคือ กลองรามะนา ซ่ึงเป็นกลองท่ีทาดว้ ยไมข้ ึงหนา้ หนงั ดา้ นเดียว
๑๔๓ โดยในการบรรเลงจะใช้รามะนาจานวน ๒ – ๓ ใบ มีขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางประมาณ ๒๕ – ๒๘ เซนติเมตร ส่วนสูงวดั จากขอบประมาณ ๑๕ – ๒๐เซนติเมตร ส่วนตวั กลองทาดว้ ยไมห้ นงั กลองมีการ นาเอาหนงั ตะกวดและผา้ ใบสังเคราะห์ตรึงดว้ ยหวายหรือเชือกสังเคราะห์รอบขา้ งยึดให้ตึงการบรรเลง ดนตรีรามะนา จะไม่มีพิธีการในการบรรเลงมากนกั โดยจะเริ่มดว้ ยเพลงแรกที่มีเน้ือหาเก่ียวกบั การ อญั เชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มากินของเซ่นไหว้ และบรรเลงต่ออีก ๖ เพลง เน้ือหาของเพลงกล่าวถึง วถิ ีชีวิตของชาวอูรักลาโวย้ ดนตรีรามะนาในพิธีมีเพลงท้งั หมด ๗ เพลง ลกั ษณะของบทเพลงมีคนร้อง นาหน่ึงคนซ่ึงร้องนาก่อนในแต่ละวรรคเพลง โดยคนร้องท่ีเหลือเป็ นลูกคู่รับ คาร้องของลูกคู่รับมี ลกั ษณะคลา้ ยกบั คาร้องนา ร้องสลบั กนั ไปมาจนจบเพลง เทคนิคการขบั ร้องหลายลกั ษณะเช่น การลกั จงั หวะ การโยกเสียง การผา่ นเสียง การชอ้ นเสียง การสะบดั เสียง การโปรยและการเนน้ เสียง คาร้องของ เพลงใชภ้ าษาของชาวอูรักลาโวย้ ภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ ภูมิปัญญาของชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม ที่ใชใ้ นการประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ การทาบูบูอี กดั (ไซปลา), การทาบูบูนุยฮ (ไซปลาหมึก), การทาปูกยั จ ฮูรัก(อวนกงุ้ ) , ภูมิปัญญาดา้ นการดูกระแสน้า , ดูทิศทางลม, ดูการโคจรของดวงจนั ทร์และดวงดาว, ภูมิปัญญาดา้ นหตั ถกรรม เช่น การต่อเรือปลาจกั๊ การจกั สานฝาบา้ น, สานเสื่อ, เยบ็ จากมุงหลงั คาบา้ น, สานตะกร้า, กนั หมอ้ (ที่รองหมอ้ ), จงนง่ั ที่ทาจาก เตยดิน ไวใ้ ส่ของ เช่น ใส่หมากพลู, ใส่รวงขา้ ว, ใส่ขา้ วห่อในเรือ และสมุกไวใ้ ส่ยา เป็ นตน้ , ภูมิปัญญา ดา้ นการถนอมอาหาร เช่น ทาปลาย่าง, ทาปลาเค็ม (ปลาแห้ง), , การทาจาวหลู (เคยเค็ม) การทากะปิ เป็ นตน้ ภูมปิ ัญญาการถนอมอาหาร
๑๔๔ การละเล่น เด็กผูห้ ญิงชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม มีการละเล่น เช่น เล่นขา้ วหุงเลียง,ปิ ดตาลกั ซ่อน, หมากขมุ , มอญซ่อนผา้ , เล่นพ่อแม่ลูก, เล่นเตย,เป็ นตน้ ส่วนเด็กผชู้ ายจะเล่น ปลากดั ,วา่ ยน้า, หาปลา หวั กวั , ตกปลาตามหวั สะพาน ตามโขดหิน,ขวา้ งกระป๋ อง, เล่นซ่อนแอบ, เล่นตารวจจบั ผรู้ ้าย, เล่นยิงปื น เป็ นตน้ ส่วนเด็กชาวเลในปัจจุบนั มีการละเล่นตามสมยั นิยมเหมือนคนทว่ั ไป เช่น เล่นขายขา้ วแกง ขาย ก๋วยเตี๋ยว ร้องเพลงเตน้ รา เล่นเป็ นครูสอนเด็ก เล่นตุ๊กตา ส่วนเด็กผูช้ าย เล่นน้า ข่ีคอกระโดด เล่นยงิ ปื น ตกเบด็ เป็นตน้ วถิ ชี ีวติ จาแนกตามปัจจยั ๔ ไดด้ งั น้ี ทอี่ ย่อู าศัย ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม บา้ นพกั อาศยั เป็ นบา้ นช้นั เดียวแข็งแรง ถาวร สถานที่เป็ น สัดส่วน ไม่แออดั กระทรวงกลาโหมสร้างให้ หลงั เกิดภยั พบิ ตั ิสึนามิ บ้านชาวเลอรุ ักลาโว้ยชุมชนกลาโหม การแต่งกาย ในอดีตชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม จะแต่งกายดว้ ยเส้ือผา้ ไม่มากชิ้น ผชู้ ายนุ่งผา้ ขาวมา้ ผืน เดียว หรือกางเกงชาวเลผา้ ขาวมา้ คาดเอว ไม่สวมเส้ือ ผูห้ ญิงเวลาอยู่บา้ นจะนุ่งผา้ กระโจมอก ไม่สวม เส้ือ ถา้ ออกไปขา้ งนอกจะสวมเส้ือและนุ่งผา้ ปาเต๊ะสีสด ๆ ปัจจุบนั ชาวเลอุรักลาโวย้ ส่วนใหญ่แต่งกาย
๑๔๕ ตามสมยั นิยม ผูช้ ายใส่เส้ือยดื กางเกงยืนส์ ส่วนผูห้ ญิงใส่เส้ือผา้ ตามแฟชนั่ สีสดใส แต่งหนา้ สวมใส่ เคร่ืองประดบั ส่วนชาวเลสูงวยั ผชู้ ายถา้ อยกู่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรือกางเกงชาวเล ไม่สวมเส้ือ หรือถา้ สวมเส้ือก็ไม่นิยมติดกระดุมเส้ือ ส่วนผหู้ ญิงถา้ อยูก่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ปาเต๊ะ สวมเส้ือคอกระเชา้ หรือเส้ือ หลวม ๆ สบาย ๆ การแต่งกายชาวเลอุรักลาโว้ยชุมชนกลาโหม การรักษาโรค ชาวเลอุรักลาโวย้ เช่ือวา่ การเจบ็ ป่ วย เกิดจากส่ิงเหนือธรรมชาติหรือผบี รรพบุรุษ ถา้ เจ็บไขเ้ พียง เล็กนอ้ ยก็จะรักษาเองดว้ ยสมุนไพร หรือให้โต๊ะหมอรักษา และทาน้ามนต์ ปัจจุบนั ชาวเลเขา้ ถึงการ รักษาโรคแผนปัจจุบนั มากข้ึน แต่การรักษาโรคแบบพ้ืนบา้ นก็ยงั คงมีใช้ควบคู่ไปกบั การรักษาแผน ปัจจุบนั เช่น เมื่อมีการเจ็บป่ วย โตะ๊ หมอจะดูเทียนเป็ นลาดบั แรก เพ่ือปัดเป่ าส่ิงไม่ดี แลว้ ก็ดูเทียนต่อวา่ จะรักษาดว้ ยวธิ ีไหน การรักษาดว้ ยสมุนไพร เช่น โรคหิด จะใชน้ ้ามนั มะพร้าว ขมิ้น หวั ไพล ยาดา และ กระเทียม นาทุกอยา่ งมาตม่ รวมกนั แลว้ เคี่ยวใหน้ ้างวด เอามาทาบริเวณท่ีเป็นจนกวา่ แผลจะหาย เป็นตน้ สมุนไพรใช้ในการรักษาโรค
๑๔๖ อาหาร ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม มีอาหารทะเล ประเภท กุง้ หอย ปลา ปู ก้งั ปลาหมีก และ เพรียงทะเล เป็นอาหารหลกั นามาตม้ ยา่ ง เผา เช่น ยาหอยติเตบกินกบั น้าชุบเคย หอยตาชยั ผดั กระเทียม พริกไทย, ขา้ วยา,แกงกะทิหอยตาชยั กบั มะละกอหรือสับปะรด, ตม้ ส้มหอยตาชัย, แกงกะทิหอยใส่ มะพร้าวคว่ั ,ปลาจอ้ มอ้ งตม้ ส้ม, ปลาหมึกผดั ดา,ขา้ วมนั หุงกบั น้ากะทิกินกบั หอยมีดพร้า, หมึกตม้ ตะไคร้ ,หมึกตม้ ส้ม ปลากระเบนยา่ ง,ยาหอยยกษ,์ ยาเห็ดหลุบ, แกงกะทิเห็ดหลุบ, ห่อหมก เป็นตน้ การประกอบอาชีพ ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม ประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ อวนปู อวนปลา อวนกุง้ และวางไซ ตกเบด็ หาหอย เกบ็ แมงกระพรุน เม่ือชาวเลข้ึนมาต้งั ถ่ินฐานบนฝ่ัง ก็เริ่มเรียนรู้การทาไร่ปลูกขา้ ว ปลูก ผกั ผลไม้ ทาสวนยางพารา ฯลฯ แต่กย็ งั ยดึ อาชีพประมงเป็นหลกั ในช่วงหลงั ชาวเลเช่าซ้ืออวน เรือหาง ยาวพร้อมเครื่องเรือจากนายทุน โดยมีเงื่อนไขว่าจะตอ้ งจบั กุง้ หรือปลาส่งขายให้กบั นายทุนเพ่ือหัก หน้ีสิน หลงั เหตุการณ์ สึนามิ จึงไดร้ ับเรือและเคร่ืองมือหากินเป็นของตนเอง เมื่อการท่องเที่ยวเร่ิมเป็ นท่ี นิยมมากข้ึน ชาวเลท่ีอยู่ใกลแ้ หล่งท่องเที่ยว ออกทะเลหาปลาไปขายร้านอาหาร รับจา้ งแรงงานใน โรงแรม รีสอร์ท สภาพปัญหาอปุ สรรค ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนกลาโหม มีปัญหาอุปสรรค ดงั น้ี ๑. พ้นื ที่อยอู่ าศยั ไมม่ ีเอกสารสิทธ์ิ ๒.การทามาหากินและการเขา้ ถึงทรัพยากร เพราะถูกจบั จอง ครอบครอง และประกาศเป็ นพ้ืนที่ คุม้ ครอง
๑๔๗ ชาวเลอรุ ักลาโว้ยชุมชนบ้านกลาง หมู่ที่ ๓ ตาบลเกาะศรีบอยา อาเภอเหนือคลอง จงั หวดั กระบ่ี
๑๔๘ แผนทช่ี ุมชนบ้านกลาง หมู่ท่ี ๓ ตาบลเกาะศรีบอยา อาเภอเหนือคลอง จังหวดั กระบ่ี ทม่ี า : Google Earth กราฟิ กดีไซน์ : ฉันท์ชนิต สรรเพช็ ร
๑๔๙ ชาวเลอรุ ักลาโว้ยชุมชนบ้านกลาง ประวตั คิ วามเป็ นมาของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง เดิมเคยต้งั กระท่อมอาศยั อยูบ่ ริเวณคอคอดของเกาะจานุ้ย ต่อมาสมยั สงครามโลก คร้ังที่ ๒ มีทหารญี่ป่ ุนเขา้ มาบริเวณน้ีเพ่ือจบั ผูช้ ายไปเป็ นเชลย และเกิดโรค ฝี ดาษระบาด ชาวเลอุรักลาโวย้ จึงอพยพไปอยหู่ มู่บา้ นแห่งท่ีสองบริเวณที่เรียกวา่ “วนั ไพร” หรือเขตผี พราย เพราะบริเวณน้ีเคยเป็ นที่ฝังศพเด็กทารกคลอดก่อนกาหนด ต่อมามีเด็กและผใู้ หญ่ชาวเลเสียชีวิต กว่าสิบคนจากการกินไข่ปลาปักเป้าที่มีพิษ โต๊ะหมอ ช่ือ “วะกาว” จึงเสี่ยงทายโดยการดูเทียนแลว้ ให้ ชาวบา้ นยา้ ยไปอยูท่ ่ี “ลกั หง่าตอย” (บริเวณที่เกาะของนกอินทรีทะเล) ปัจจุบนั คือบริเวณริมหาดใกล้ ศาลโตะ๊ บุหรง ต่อมา กานนั ตาบลใหช้ าวเลอูรักลาโวย้ บางส่วนยา้ ยไปอยดู่ า้ นตะวนั ตกเฉียงใตข้ องเกาะ ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ “เซอบือละ” (หมายถึง ดา้ นขา้ งเกาะ) โดยจดั ให้มีเอกสารที่ดิน หลงั จากน้นั มี ชาวเลอุรักลาโวย้ บางครอบครัวขายท่ีดินไป จึงยา้ ยกลบั มาอยบู่ ริเวณบา้ นกลางอีกคร้ัง ทตี่ ้ังแหล่งที่อยู่อาศัย ชุมชนบา้ นกลาง เกาะจา หมู่ที่ ๓ ตาบลเกาะศรีบอยา อาเภอเหนือคลอง จงั หวดั กระบี่ พืน้ ทที่ ากิน ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง ทาประมงในเขต เกาะเหลากา เกาะยงู เกาะไผ่ เกาะคู่ เกาะ ลนั ตา เกาะเหลาหละ เกาะจานุย้ เกาะเหลาสี เกาะม่วง เกาะตูหลงั เกาะพีพี เกาะหมา เกาะบิหลนั เกาะ ซีม่า เกาะฮง่ั เกาะศรีบอยา อ่าวยาซ่า และบริเวณช่องเภา ในเขตจงั หวดั กระบี่ รวมถึงบริเวณสันดอน ทรายในทะเล ชาวเลอูรักลาโวย้ จะเรียกว่า บอหอ เช่นท่ี บอหอสูง บอหอกลาง บอหอมานะ และใน พ้ืนท่ีป่ าโกงกาง เช่นการหาปูดา การหาหอย และพ้ืนท่ีบนเกาะยงั หาวสั ดุที่ใชท้ าเครื่องมือเคร่ืองใช้ เช่น ไมไ้ ผ่ หวาย เตย ไม้ น้ามนั ยาง ไมท้ าบา้ น ไมท้ าเรือ ไมร้ ะกา เป็ นตน้ ยางไมเ้ อามาทากายานใช้ใน พธิ ีกรรม น่าผ้งึ ป่ า ผกั ผลไม้ และยาสมุนไพร พืน้ ทที่ างจิตวิญญาณ พ้นื ท่ีทางจิตวญิ ญาณของชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง ไดแ้ ก่ ศาลโตะ๊ บุหรง (ลกั หง่าตอ้ ย) ชาวเลอูรักลาโวย้ เกาะจาเล่าต่อว่า เดิมมีจอมปลวกรูปร่างคลา้ ยหัวคนโผล่ข้ึนมาจากใตด้ ิน เช่ือกนั ว่า
๑๕๐ เป็ นเจา้ ที่ เม่ือจอมปลวกใหญ่ข้ึนเร่ือย ๆ มีรูปร่างคลา้ ยลาตวั และแขน ชาวบา้ นจึงช่วยกนั แกะสลกั ไม้ เป็นรูปเพ่อื บูชา ต่อมามีการสร้างศาลาไมข้ ้ึนครอบบริเวณจอมปลวก ในภายหลงั มีผูบ้ ริจาคสร้างศาลา ปูนและทารูปป้ันปูนข้ึนมาแทนรูปเดิม และมีผูศ้ รัทธาสร้างรูปป้ันปูนรูปนกอินทรีทะเลต้งั อยดู่ า้ นหนา้ ของศาล , ศาลโตะ๊ อาดมั ท่ีเกาะเหลาสี (ปูเลาเบอซี),โตะ๊ แซะ ควนเกาะปู, โตะ๊ กราหมาดบูสาป ที่หลงั เกาะ โต๊ะเล และพ้ืนที่ทะเลท้งั หมด, สุสานที่ฝังศพบริเวณพ้ืนท่ีริมทะเลตรงชายฝั่งดา้ นตะวนั ตกของ เกาะจา ศาลโต๊ะแซะ ประชากร ชุมชนบา้ นกลาง มีชาวเลอุรักลาโวย้ อาศยั อยู่ ๑๗ ครัวเรือน จาแนก ไดด้ งั น้ี ชาย ๓๕ คน หญิง ๓๒ คน รวมเป็น ๖๗ คน ภาษา ภาษาของชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง ท่ีใช้สื่อสารในชีวิตประจาวนั มีภาษาพูดแต่ไม่มี ภาษาเขียน มีคาศพั ท์น้อย จะมีคาศพั ท์ที่เขา้ ใจกนั เฉพาะกลุ่มที่แสดงถึงอตั ลกั ษณ์ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ หมวดอวยั วะ เช่น ซีกู หมายถึง ขอ้ ศอก, ดากู หมายถึง คาง, ตางนั หมายถึง มือ เป็ นตน้ เป็ นตน้ หมวดคากริยา เช่น เงอแตะ หมายถึง กระพริบตา, ตานมั หมายถึง ฝัง, ตานา หมายถึง จอง เป็ นตน้ (กระทรวงวฒั นธรรม. ๒๕๖๑ ,หนา้ ๗ – ๑๒)
๑๕๑ วฒั นธรรม ประเพณี/เทศกาล ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง มีประเพณีท่ีสาคญั เช่นเดียวกบั ชุมชนอุ รักลาโวย้ อ่ืน ๆ ในเกาะจา เพราะอพยพโยกยา้ ยมาจากท่ีเดียวกนั ไดแ้ ก่ ประเพณเี ปอตดั ญรี ัย (ประเพณแี ต่งเปรว) ชาวเลอูรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง แต่งเปรวหรือหลุมฝังศพ ในเดือน ๔ ของทุกปี ก่อนถึงวนั งานจะมีคณะกรรมการไปถางหญา้ และตกแตง่ หลุมฝังศพ ในวนั ทาพธิ ีช่วงตอนเชา้ ผหู้ ญิงชาวเลอุรักลา โวย้ จะเตรียมทาขนม อาหารคาว หวาน เพื่อนาไปเซ่นไหว้ และรับประทานอาหารร่วมกนั โดยมีโต๊ะ หมอเป็นผทู้ าพิธี มีการบรรเลงเพลงรามะนา ร้องเพลงเป็ นภาษาอูรักลาโวย้ และมีเพลงสมยั ปัจจุบนั ซ่ึง เวทีน้ีจะมีวยั รุ่นและเดก็ ๆ เตน้ รากนั เป็นส่วนมาก ประเพณแี ต่งเปรว ประเพณลี อยเรือ “ตูละบาลา” เป็นประเพณีความเช่ือท่ีชาวเลอูรักลาโวย้ เกาะจาใหค้ วามสาคญั มากที่สุด และถือปฏิบตั ิสืบต่อ กนั มาต้งั แต่บรรพบุรุษ จดั ข้ึนปี ละ๑ คร้ังในแรม ๓ ค่า เดือน ๖ ช่วงเริ่มมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ หรือ“ลม พลดั ” เพ่ือสะเดาะเคราะห์ ส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลบั ไป “ฆูนุงฌึรัย” ซ่ึงเช่ือวา่ เป็ นบา้ นเมืองเดิมของ บรรพบุรุษ และส่งสัตวท์ ี่ฆ่ากินเป็ นอาหารกลบั ไปใหเ้ จา้ ของเดิมเพ่ือไถ่บาป ชาวเลเชื่อวา่ เมื่อประกอบ พิธีกรรมน้ีแลว้ จะทาให้วิญญาณบรรพบุรุษคุม้ ครองลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ ให้ปลอดภยั จากการออก ทะเล ภยั ธรรมชาติและโรคภยั ไขเ้ จบ็ ในงานพิธีลอยเรือตูละบาลา มีการบรรเลงดนตรีประกอบพิธีลอยเรือ ดนตรีรามะนาจะเริ่ม บรรเลงหลงั จากทาพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรงและพิธีฉลองเรือก่อนที่จะนาออกไปลอยในทะเล ซ่ึงพิธีไหวโ้ ต๊ะ
๑๕๒ บุหรงเป็ นพิธีกรรมลาดบั แรกของพิธีลอยเรือ โดยลูกหลานชาวเลอูรักลาโวย้ จะนาเคร่ืองเซ่นไหว้ ประกอบดว้ ยอาหารคาวหวาน นามาวางไวห้ น้าโต๊ะบุหรง ซ่ึงชาวเลอุรักลาโวย้ ถือเป็ นบรรพบุรุษของ ชาวเลในหมู่บา้ น เมื่อโต๊ะหมอทาพิธีกรรมเสร็จ นกั ดนตรีจะบรรเลงเพลงรามะนา เริ่มดว้ ยเพลงแรกที่ มีเน้ือหาเก่ียวกบั การอญั เชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มากินของเซ่นไหว้ และบรรเลงต่ออีก ๖ เพลง ซ่ึง เพลงมีเน้ือหาเก่ียวกบั วถิ ีชีวิตของชาวเลอูรักลาโวย้ ดนตรีรามะนาท่ีใช้บรรเลงในพิธีลอยเรือมีท้งั หมด ๗ เพลง การขบั ร้องบทเพลง จะมีคนร้องนาหน่ึงคน จะร้องนาก่อนในแต่ละวรรคเพลง โดยคนร้องท่ี เหลือเป็นลูกคู่รับ คาร้องของลูกคู่รับมีลกั ษณะคลา้ ยกบั คาร้องนา ร้องสลบั กนั ไปมาจนจบเพลง เทคนิค การขบั ร้องมีหลายลกั ษณะเช่น การลกั จงั หวะ การโยกเสียง การผา่ นเสียง การชอ้ นเสียง การสะบดั เสียง การโปรย และการเน้นเสียง คาร้องของเพลงใช้ภาษาของชาวอูรักลาโวย้ ซ่ึงเป็ นภาษาที่มีเอกลกั ษณ์ เฉพาะตวั นกั ร้องท้งั หมดตีกลองรามะนาไปดว้ ยเพอ่ื ประกอบจงั หวะ ประเพณแี ต่งงาน ในอดีตหนุ่มสาวชาวเลอุรักลาโวย้ จะแต่งงานอายุประมาณ ๑๔ – ๑๘ ปี และมีพิธีสู่ขอหม้นั หมาย โดยผูใ้ หญ่ฝ่ ายชายจะไปขอถึง ๓ คร้ัง ถา้ ตอบรับก็จะไปขอหม้นั หรือ “ปากยั ตูนงั ” ก่อนพิธี แต่งงาน ๓ วนั ฝ่ ายชายจะตอ้ งอาสาทางานบา้ นผูห้ ญิง เช่น หาน้า ผา่ ฟื น เป็ นตน้ วนั แต่งงานขบวนแห่ จะใหเ้ จา้ บา่ วขี่คอเดินวนซา้ ยรอบบา้ นเจา้ สาว ๓ รอบ ก่อนยา่ งเขา้ ประตูบา้ นผูใ้ หญ่ฝ่ ายเจา้ สาวจะถามวา่ มีเรือไหม มีแหไหม มีฉมวกไหม เจา้ บ่าวตอบวา่ “มี” ก็จะมีคนลา้ งเทา้ ให้ก่อนขา้ มเขา้ ธรณีประตู เพื่อน เจา้ บ่าวจะนาเสื่อและหมอนไปวางในหอ้ งเจา้ สาว เจา้ ถามจะประแป้งใหแ้ ขกที่มาร่วมงาน วนั รุ่งข้ึนพอ่ แม่และญาติพี่น้องจะส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวลงเรือไปผจญภัยตามเกาะต่าง ๆ โดยมีข้าวสาร น้าจืด เครื่องมือจบั ปลาไปดว้ ย เพ่ือพิสูจนว์ า่ ฝ่ ายชายจะสามารถเล้ียงดูภรรยาไดข้ าไปผูช้ ายจะเป็ นคนกรรเชียง เรือโดยใหผ้ หู้ ญิงนงั่ หวั เรือ ขากลบั ผหู้ ญิงจะเป็นฝ่ ายกรรเชียงเรือใหผ้ ชู้ ายนง่ั หวั เรือ เป็ นท่ีเขา้ ไดไ้ ด่วา่ ท้งั คู่เป็ นสามีภรรยาตามพฤตินยั แลว้ เมื่อแต่งแลว้ ฝ่ ายชายจะตอ้ งเขา้ ไปอยบู่ า้ นฝ่ ายหญิง (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หน้า ๑๙๙) ปัจจุบนั ชาวเลชุมชนบา้ นกลาง มีพิธีแต่งงานที่คลา้ ยกบั คนไทยพ้ืนถิ่น เริ่มต้งั แต่ หนุ่มสาวชอบพอกนั ให้ผูใ้ หญ่ไปสู่ขอ มีสินสอดของหม้นั มีงานเล้ียงในหมู่ญาติและคนรู้จกั งานเล้ียง จะข้ึนอยกู่ บั ฐานะของคู่บ่าวสาว บางคู่ก็มีการกินเล้ียงท่ีบา้ น มีพิธีรดน้าให้พร โดยมีโต๊ะหมอเป็ นผูท้ า พิธี และญาติผูใ้ หญ่ ชุดแต่งงานของคู่บ่าวสาวก็เป็ นไปตามสมยั นิยม ช่วงอายุของการแต่งงานจะอยู่ที่ ยสี่ ิบปี ข้ึนไป จะมีการแตง่ งานงานระหวา่ งกลุ่มชาวเลดว้ ยกนั เองและต่างกลุ่ม หลงั แตง่ งานแลว้ การที่จะ อยบู่ า้ นของฝ่ ายไหนกข็ ้ึนอยกู่ บั สะดวกและสถานท่ีทางานของฝ่ ายน้นั
๑๕๓ ประเพณแี ลกเปลย่ี นส่ิงของและชิงเปรต ชาวอูรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง เดินทางไปทาบุญสารทเดือนสิบ ในตวั เมืองกระบ่ี เหนือคลอง และวดั ปกาสัย ทุกปี โดยคา้ งแรมนอนท่ีตลาดนดั เหนือคลอง โรงนดั เหนือคลอง พรุดินนา และวดั ป กาสัย จะเดินทางไปล่วงหน้า ๒ – ๓ วนั ชาวเลอุรักลาโวย้ จะนาของทะเล เช่น ปลาเค็ม ปลาเบนย่าง ปะการัง กลั ปังหา เปลือกหอย กาไลกระเป็ นตน้ ไปแลกกบั เส้ือผา้ อาหาร ขนมลาอบั น้าตาล ของใช้ จาเป็ นกบั คนเมือง และร่วมพิธีชิงเปรต เพื่อเก็บขนมพอง ขนมลา ขา้ วปลาอาหาร และเงินที่ชาวพุทธ นาไปต้งั ไหวเ้ ปรต แลว้ นาไปเซ่นไหวบ้ รรพบุรุษ เพราะเช่ือวา่ ลูกหลานตอ้ งไปรับบุญเพื่อให้วิญญาณ บรรพบุรุษไมอ่ ดอยาก พธิ ีกรรม ของชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง ไดแ้ ก่ การเกดิ ในอดีตเม่ือผหู้ ญิงชาวเลอุรักลาโวย้ ต้งั ครรภแ์ ละถึงกาหนดคลอด “โต๊ะบิดดั ” หรือหมอตาแยจะ ทาคลอดให้ เมื่อเด็กคลอดออกมาแลว้ จะใชไ้ มไ้ ผเ่ หลาจนบางตดั สายสะดือให้เด็ก และอาบน้าเยน็ ให้ เด็กก่อนจึงอาบน้าอุน่ และใหเ้ ด็กทารกดื่มน้าผ้งึ จนครบ ๓ วนั เพ่ือใหเ้ ด็กถ่ายของเสียออก จึงให้ด่ืมนม แม่ หลงั คลอดได้ ๓ วนั จะทาพิธีเซ่นไหวต้ ายายและเล้ียงฉลอง หรือ “ทานูหรี” โต๊ะบิดดั จะช่วยดูแล แมแ่ ละลูกในช่วงท่ีแม่อยไู่ ฟ ๗ – ๙ วนั หรือ ๑๕ วนั เม่ือครบ ๔๔วนั พอ่ แม่จะทาพิธีเซ่นไหวต้ ายายอีก คร้ัง พธิ ีศพ เมื่อมีสมาชิกชาวเลอุรักลาโวย้ ในชุมชนเสียชีวิต จะก่อกองไฟไวห้ น้าบา้ นผูต้ าย และจดั วาง อาหารไวห้ นา้ กองไฟตลอด ๓ วนั ๓ คืน ถา้ เสียชีวติ ในช่วงเชา้ จะฝังศพตอนเยน็ ถา้ เสียชีวติ หลงั เที่ยงวนั จะทาพิธีฝังในวนั รุ่งข้ึน ผชู้ ายจะช่วยกนั ทาโลง และมีการอาบน้าศพ โดยโตะ๊ หมอจะอาบใหเ้ ป็ นคนแรก ตอ่ ดว้ ยญาติพ่ีนอ้ ง เพ่ือนบา้ น หลงั จากน้นั จะแต่งตวั ใหผ้ ตู้ ายและทาน้ามนั หอมก่อนบรรจุลงในโลงศพที่ ปูดว้ ยเสื่อ และใชผ้ า้ ขาวยาว ๙ ศอก คลุมบนศพ นาขา้ วของเคร่ืองใชข้ องผตู้ ายใส่ไปในโลงศพดว้ ย แลว้ แห่ศพไปฝังยงั สุสาน เมื่อโต๊ะหมอทาพิธี ญาติพี่นอ้ งจะช่วยกนั กลบหลุมศพ และปลูกมะพร้าวท่ีมีหน่อ ไวป้ ลายเทา้ ศพ หลงั จากน้นั อีก ๓ วนั จะเล้ียงอาหาร ดบั กองไฟ และทาบุญผูต้ ายอีกคร้ัง ในพิธีแต่ง เปลว (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หนา้ ๒๐๑) ปัจจุบนั ชาวอูรักลาโวย้ ท่ีนบั ถือศาสนาพุทธจะนิมนตพ์ ระไปสวดในงานศพดว้ ย ส่วนกลุ่มที่นบั ถือศาสนาอิสลาม ก็จะปฏิบตั ิศาสนกิจและทาพิธีฝังศพตามหลกั ศาสนาอิสลาม กลุ่มที่นบั ถือคริสตก์ ็จะ ทาพธิ ีตามหลกั ศาสนาคริสต์
๑๕๔ พธิ ีเซ่นไหว้บรรพชน ชาวเลอูรักลาโวย้ ท่ีอาศยั อยใู่ นชุมชนเดียวกนั จะทาพิธีเซ่นไหวว้ ิญญาณบรรพบุรุษร่วมกนั ปี ละ คร้ัง ในอดีตเคยมีพิธีเซ่นไหวว้ ิญญาณบรรพบุรุษท่ีสิงสถิตอยูต่ ามธรรมชาติ เช่น เจา้ ทะเล เจา้ ถ้า เจา้ เกาะ เจา้ แหลม ฯลฯ ก่อนหรือหลงั พิธีลอยเรือในเดือน๖ เพ่ือออ้ นวอนบอกกล่าววา่ เม่ือลมพลดั (ลม มรสุมตะวนั ตกเฉียงใต)้ หรือลมออก (ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ) พดั มา ขอให้ลูกหลานหาปลาได้ จานวนมาก พธิ ีแก้บน(แก้เหลย) ชาวเลอุรักลาโวย้ จะมีการแก้บน เนื่องจากได้บนบานศาลกล่าวกับส่ิงเหนือธรรมชาติท่ีตน เคารพนบั ถือเพ่ือขอใหต้ นเองและครอบครัวหายจากการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือประสบผลสาเร็จในเร่ืองใด เรื่องหน่ึง ถา้ เป็ นไปเป็ นตามที่ไดข้ อหรือบนบานไว้ ก็ตอ้ งมาแกบ้ น เช่น จดั ใหม้ ีการบรรเลงรามะนา หรือถวายอาหารคาวหวาน เป็ นตน้ ก็ตอ้ งทาตามที่ไดใ้ ห้สัญญาไว้ การแกบ้ นดว้ ยการบรรเลงรามะนา น้นั มกั จะเป็ นการแกบ้ นใหญ่ๆ หมายถึง การบนบานศาลกล่าวในเรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องความเป็ น ความตาย เรื่องการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือ ถูกสลากกินแบง่ รัฐบาล พธิ ีในวนั ขนึ้ ๑๕ คา่ ของทกุ เดือน เป็ นพิธีท่ีชาวอูรักลาโวย้ ทากนั ทุกวนั ข้ึน ๑๕ ค่า ของทุกเดือน มีการเล่นดนตรีรามะนา เพราะ ชาวเลมีความเชื่อวา่ เม่ือประกอบพิธีกรรมน้ีแลว้ จะทาให้วญิ ญาณบรรพบุรุษคุม้ ครองลูกหลานชาวเลอู รักลาโวย้ ใหป้ ลอดภยั จากการออกทะเล ภยั ธรรมชาติและโรคภยั ไขเ้ จบ็ ข้นั ตอนของพิธีกรรม เร่ิมจากทาพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรง ซ่ึงถือเป็ นบรรพบุรุษของชาวเลในหมู่บา้ น ลูกหลานชาวเลอูรักลาโวย้ จะนาเคร่ืองเซ่นไหวท้ ี่ประกอบดว้ ยอาหารคาวหวานมาวางไวห้ นา้ โต๊ะบุหรง เม่ือโตะ๊ หมอทาพธิ ีกรรมเสร็จ นกั ดนตรีก็จะเร่ิมบรรเลงดนตรี โดยเครื่องดนตรีที่ใชค้ ือรามะนา คติ ความเชื่อ ตานาน ความเช่ือเรื่องโต๊ะบุหรง คาว่า “บุหรง” เป็ นคาภาษามลายู แปลว่า นก ภาษาอูรักลาโวย้ จะ ออกเสียงวา่ “บูรก” ชาวเลอุรักลาโวย้ เช่ือว่า “โต๊ะบุหรง” เป็ นวิญญาณบรรพบุรุษท่ีมีคาถาสามารถ หยดุ ลมและพายฝุ นได้ เคยมาปรากฎตวั ในร่างของนกเพอ่ื ช่วยชาวอูรักลาโวย้ ที่เผชิญคล่ืนลมใหพ้ น้ จาก อนั ตราย, ความเชื่อเร่ือง “โต๊ะอาดา” ชาวเลเช่ือวา่ เป็ นสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ ที่คอยดูแล ปกปักรักษาพ้ืนที่บริเวณ เหลาสี เวลาที่ชาวอูรักลาโวย้ เดินทางสัญจรไปมาทางเรือจะผา่ นช่องระหว่างเกาะเหลาสีกบั เกาะจานุย้ เมื่อถึงบริเวณเกาะ จะมีการตีรามะนา เพื่อบอกกล่าวว่าลูกหลานขอเดินทางผ่านเส้นทางน้ี ขอให้โต๊ะ ช่วยปกป้องคุม้ ครองให้ปลอดภยั จากอนั ตรายต่าง ๆ ท้งั ขาไปและขากลบั ,ความเชื่อเก่ียวกบั โต๊ะเล (ส่ิง
๑๕๕ ศกั ด์ิท่ีอยใู่ นทะเล) ชาวเลอูรักลาโวย้ มีวถิ ีชีวติ และความเชื่อด้งั เดิม ในเรื่องวญิ ญาณ ที่ปกป้องดูแลบริเวณ โดยรอบ มีความเช่ือว่าถ้าใครทาให้แหล่งน้าจืดสกปรกจะมีอาการเจ็บป่ วย, ความเช่ือเรื่องโต๊ะกรา หมาดบูซบั เช่ือกนั วา่ เป็นสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ เป็นบรรพบุรุษที่คอยดูแล ปกปักรักษาพ้ืนท่ีบริเวณหลงั เกาะ หรือ หน้าชายหาดของเกาะ, ความเชื่อเร่ือง โต๊ะแซะ ควนเกาะปู เม่ือตอ้ งการข้ึนไปหาวสั ดุ เพื่อนามาเป็ น เคร่ืองมือเคร่ืองใช้ เช่น ไมท้ าเรือ ไมท้ าไซ หวาย หรือหวายทาลอบปลา ทาลอบหมึก น้ามนั ยาง หรือ สมุนไพร บริเวณควนเกาะปู จะมีการบอกกล่าว หรือขอจากโต๊ะแซะควนเกาะปูก่อน เพื่อนามาใช้ เพราะเชื่อวา่ โตะ๊ แซะ ควนเกาะปูเป็นผปู้ กปักรักษา ดูแลพ้นื ที่บริเวณควนเกาะปู ความเช่ือและขอ้ ปฏิบตั ิของผูห้ ญิงต้งั ครรภ์ เช่น หา้ มอาบน้ากลางคืน, ห้ามลงไปเดินเล่นนอก บา้ นหลงั พระอาทิตยต์ กดินเพราะผตี ายายจะติดตามตวั มา, ระหวา่ งท่ีต้งั ครรภ์ ๓ - ๗ เดือน ห้ามฆ่าหรือ ทุบตีสตั วท์ ุกชนิด, หา้ มนง่ั บนธรณีประตู, หา้ มขา้ มเชือกผกู หวั เรือ จะทาใหค้ ลอดยาก เป็นตน้ ขอ้ ห้ามสาหรับเด็ก ห้ามให้เด็กกินไข่จนกว่าจะคลานได้ และห้ามกินปลาจนกว่าจะพูดคาว่า ปลา หรือ “อีกดั ” ได,้ ความเช่ือและขอ้ ห้ามขณะสามีออกทะเล ภรรยาท่ีอยูท่ ่ีบา้ นหา้ มขยบั ท่ีนอนสามี หา้ มเยบ็ ผา้ ห้ามสระผม ห้ามนอนกลางวนั และห้ามกวาดขยะใตถ้ ุนบา้ น เพราะเชื่อวา่ สามีจะประสบ อุบตั ิเหตุ, ความเชื่อเร่ืองการออกไปหาปลาเมื่อลงจากบา้ นไปทะเล หากมีคนนงั่ ขวางบนั ได เช่ือวา่ เป็ น การขวางลาภ จบั ปลาไม่ได้ ,ขอ้ หา้ มอื่นๆ เช่น หา้ มนง่ั บนหินถ่วงไซ หรือหินลบั มีด เพราะเชื่อวา่ กน้ จะ หนกั หรือข้ีเกียจทางาน หา้ มออกจากครัวขณะหุงขา้ วเพราะผีตายโหงจะลงโทษ หา้ มเด็ก ๆ เล่นริมหาด โดยเฉพาะ วนั ข้ึน ๑๑ – ๑๒ ค่า เพราะ ผีตายายจะติดตวั กลบั มาบา้ น เป็ นตน้ , ความเช่ือเร่ืองเคร่ืองราง ของขลงั ผชู้ ายจะใชเ้ ชือกรัดไวท้ ี่แขน เป็นเชือกที่โตะ๊ หมอทาพิธีใหเ้ พือ่ ปัดเป่ าส่ิงไม่ดี ตานานโตะ๊ บุหรง มีเร่ืองเล่าลืบต่อกนั มาวา่ ขณะท่ีบรรพบุรุษของชาวเลเผชิญกบั พายุคล่ืนลม แรงกลางทะเล มีนกตวั หน่ึงบินมาเกาะเสากระโดงเรือ ทนั ใดน้นั พายุคล่ืนลมก็สงบลงทนั ที จึงเชื่อกนั วา่ โต๊ะบุหรงสิงสถิตในตวั นก สามารถหา้ มลมห้ามฝนได้ โตะ๊ หมอวา่ เล่า เมื่อคนท่ีเผชิญกบั พายุคลื่น ลมแรงกลางทะเล เม่ือกลบั มาถึงบา้ น ตอ้ งทาพิธีแกบ้ นโดยการราผา้ เจ็ดสี ซ่ึงหมายถึงการแกบ้ นใหญ่ และตานานกาเนิดชาวเล,ตานานคล่ืนเจด็ ลูก หรือ “รูมกั ตูโยะ”, ศิลปะการแสดง รองเง็ง เป็ นการแสดงท่ีมีการร้องและราคลา้ ยคลึงกบั การเล่นรามะนา บทเพลงจะขบั เป็ นภาษามลายู กลาง เรียกวา่ ขบั แขก จะเร่ิมตน้ ดว้ ยเพลงลาฆูดูวอ จะเล่นเพลงอ่ืน ๆ ไปตามลาดบั และยงั มี รองเง็งแก้ บน เป็ นการร่ายราเฉพาะแก้บนหรืองานพิธีต่างๆซ่ึงมีการถ่ายทอดโดยความใกลช้ ิดของผูส้ อนกบั
๑๕๖ สมาชิกภายในครอบครัวหรือเครือญาติ ลกั ณะการถ่ายทอดจะเป็ นการถ่ายทอดจากผูใ้ หญ่สู่เด็กรุ่นใหม่ ซ่ึงเป็ นญาติ เป็ นลูกหลาน โดยการสอนท่ารา เพลงต่างๆโดยการขบั สด ร้องสด ราสด ผเู้ รียนบางคนจะ อาศยั อยกู่ บั คนสอนเนื่องจากถือวา่ เป็นญาติผใู้ หญ่ รามะนา เป็นการแสดงของชาวเลอุรักลาโวย้ ที่ใชแ้ สดงในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีลอยเรือ แต่งเปลว พิธี แกบ้ น เครื่องดนตรีท่ีใชใ้ นดนตรีรามะนามีชนิดเดียวคือ กลองรามะนา ซ่ึงเป็ นกลองที่ทาดว้ ยไมข้ ึงหนา้ หนงั ดา้ นเดียว โดยในการบรรเลงจะใชร้ ามะนาจานวน ๒ – ๓ ใบ มีขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ ๒๕ – ๒๘ เซนติเมตร ส่วนสูงวดั จากขอบประมาณ ๑๕ – ๒๐เซนติเมตร ส่วนตวั กลองทาดว้ ยไมห้ นงั กลองมีการนาเอาหนงั ตะกวดและผา้ ใบสังเคราะห์ตรึงดว้ ยหวายหรือเชือกสังเคราะห์ รอบขา้ งยดึ ใหต้ ึง การบรรเลงดนตรีรามะนา จะไม่มีพิธีการในการบรรเลงมากนกั โดยจะเริ่มด้วยเพลงแรกที่มีเน้ือหา เกี่ยวกบั การอญั เชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มากินของเซ่นไหว้ และบรรเลงต่ออีก ๖ เพลง เน้ือหาของ เพลงกล่าวถึงวถิ ีชีวติ ของชาวเลอูรักลาโวย้ ดนตรีรามะนาในพิธีมีเพลงท้งั หมด ๗ เพลง ลกั ษณะของบท เพลงมีคนร้องนาหน่ึงคนซ่ึงร้องนาก่อนในแต่ละวรรคเพลง คนร้องท่ีเหลือเป็ นลูกคู่รับ คาร้องของลูกคู่ รับมีลกั ษณะคลา้ ยกบั คาร้องนา ร้องสลบั กนั ไปมาจนจบเพลง เทคนิคการขบั ร้องหลายลกั ษณะเช่น การ ลกั จงั หวะ การโยกเสียง การผา่ นเสียง การชอ้ นเสียง การสะบดั เสียง การโปรยและการเนน้ เสียง คาร้อง ของเพลงใชภ้ าษาของชาวอูรักลาโวย้ ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ ภูมิปัญญาของชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง ท่ีใชใ้ นการประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ การทาบูบูอี กดั (ไซปลา), การทาบูบูนุยฮ (ไซปลาหมึก), การทาปูกยั จ ฮูรัก(อวนกุง้ ) , การดูกระแสน้า, การดูทิศทาง ลม, ดูการโคจรของดวงจนั ทร์และดวงดาว, ภูมิปัญญาด้านหัตถกรรม เช่น การต่อเรือปลาจกั๊ การจกั สานฝาบา้ น สานเสื่อ, เย็บจากมุง หลงั คาบา้ น การจกั สานตะกร้า กนั หมอ้ (ท่ีรองหมอ้ ), จงนงั่ ทาจากเตยดิน เป็ นที่ใส่ของ เช่น ใส่หมาก พลู ใส่รวงขา้ ว ใส่ขา้ วห่อในเรือ สมุกไวใ้ ส่ยา เป็นตน้ และภูมิปัญญาดา้ นการถนอมอาหาร เช่น ทาปลา ยา่ ง, ทาปลาเคม็ (ปลาแหง้ ), , การทาจาวหลู (เคยเคม็ ) การทากะปิ เป็นตน้
๑๕๗ ภูมปิ ัญญาไซหมกึ ดอง การละเล่น เด็กผูห้ ญิงชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง มีการละเล่น เช่น เล่นขา้ วหุงเลียง,ปิ ดตาลกั ซ่อน, หมากขุม, มอญซ่อนผา้ , เล่นพ่อแม่ลูก, เล่นเตย,เป็ นตน้ ส่วนเด็กผชู้ ายจะเล่น ปลากดั ,วา่ ยน้า, หาปลา หวั กวั , ตกปลาตามหวั สะพาน ตามโขดหิน,ขวา้ งกระป๋ อง, เล่นซ่อนแอบ, เล่นตารวจจบั ผูร้ ้าย, เล่นยงิ ปื น เป็ นตน้ ส่วนเด็กชาวเลในปัจจุบนั มีการละเล่นตามสมยั นิยมเหมือนคนทวั่ ไป เช่น เล่นขายขา้ วแกง ร้อง เพลงเตน้ รา เล่นตุก๊ ตา ส่วนเด็กผชู้ าย เล่นน้า ข่ีคอกระโดด เล่นยงิ ปื น ตกเบด็ เป็นตน้ การละเล่นของเด็ก จับปลาตะกว่ั
๑๕๘ วถิ ชี ีวติ จาแนกตามวฒั นธรรมปัจจยั ๔ ไดด้ งั น้ี ทอี่ ยู่อาศัย ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบ้านกลาง สร้างที่พกั อาศยั เป็ นบ้านปูนบ้านช้ันเดียว สภาพบ้าน แขง็ แรง มน่ั คง การแต่งกาย ในอดีตชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง จะแต่งกายดว้ ยเส้ือผา้ ไม่มากชิ้น ผูช้ ายนุ่งผา้ ขาวมา้ ผนื เดียว หรือกางเกงชาวเลผา้ ขาวมา้ คาดเอว ไม่สวมเส้ือ ผูห้ ญิงอยูบ่ า้ นจะนุ่งผา้ กระโจมอก ไม่สวมเส้ือ ถา้ ออกไปขา้ งนอกจะสวมเส้ือและนุ่งผา้ ปาเต๊ะสีสด ๆ ปัจจุบนั ชาวเลส่วนใหญ่แต่งกายตามสมยั นิยม ผชู้ ายใส่เส้ือยืด กางเกงยนื ส์ ส่วนผูห้ ญิงใส่เส้ือผา้ ตามแฟชน่ั สีสดใส แต่งหนา้ ใส่เคร่ืองประดบั ส่วน ชาวเลสูงวยั ผชู้ ายถา้ อยูก่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรืกางเกงชาวเล ไม่สวมเส้ือ ส่วนผหู้ ญิงถา้ อยกู่ บั บา้ นจะ นุ่งผา้ ปาเตะ๊ สวมเส้ือคอกระเชา้ หรือเส้ือหลวม ๆ สบาย ๆ การแต่งกายชาวเลอุรักลาโว้ยชุมชนบ้านกลาง
๑๕๙ การรักษาโรค ชาวเลอุรักลาโวย้ เชื่อวา่ การเจบ็ ป่ วย หรือสมาชิกในชุมชนประสบอุบตั ิเหตุบาดเจ็บ เพราะเป็ น การลงโทษจากส่ิงเหนือธรรมชาติหรือผบี รรพบุรุษ เดิมชาวเลอูรักลาโวย้ เชื่อวา่ การเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยน้นั สาเหตุมาจาก “ผกี ิน” การรักษาโรคของชาวเลอูรักลาโวย้ มี ๓ ข้นั ตอน ดงั น้ี ๑) เม่ือสมาชิกในชุมชนมีการเจบ็ ป่ วย หรือประสบอุบตั ิเหตุ โตะ๊ หมอจะทาพิธีทางความเชื่อ เรียกวา่ “ดูเทียน” หาสาเหตุ วา่ เกิดข้ึนจากสิ่งท่ี มองไมเ่ ห็นหรืออะไรหลงั จากน้นั ก็จะหาวธิ ีในการรักษา หรือปัดเป่ าให้เบาบางลง ๒) เม่ือโตะ๊ หมอทา พิธีเสร็จ ก็จะใชภ้ ูมิปัญญาทางสมุนไพรเป็นยาในการรักษา ซ่ึงโตะ๊ หมอจะมีความรู้เร่ืองสมุนไพร ยา รักษาโรค แต่จะไมค่ อ่ ยบอกใคร เน่ืองจากสาเหตุของโรคแต่ละอยา่ งไมเ่ หมือนกนั ๓) สาหรับบางโรค ท่ีโตะ๊ หมอไม่สามารถรักษาได้ เช่นตอ้ งผา่ ตดั โตะ๊ หมอจะใหส้ ่งสถานีอนามยั เพ่อื ส่งตอ่ โรงพยาบาล อาหาร ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง มีอาหารทะเลประเภท กุง้ หอย ปลา ปู ก้งั ปลาหมีก และ เพรียงทะเล เป็นอาหารหลกั นามาตม้ ยา่ ง เผา หรือกินสด เช่น หอยติเตบ (หอยนางรมตวั เล็ก), หอยตา ชยั ผดั กระเทียมพริกไทย, ขา้ วยา,แกงกะทิหอยตาชยั กบั มะละกอหรือสับปะรด, ตม้ ส้มหอยตาชยั , แกง กะทิหอยใส่มะพร้าวคว่ั ,ปลาจอ้ มอ้ งตม้ ส้ม, ขา้ วมนั หุงกบั น้ากะทิกินกบั หอยมีดพร้า, หมึกตม้ ตะไคร้,น้า ชุบ, ปลากระเบนยา่ ง, หอยโขง่ ยารีเสะ(มะพร้าวควั่ ) , ยาเห็ดหลุบ, แกงกะทิเห็ดหลุบ เป็นตน้ การประกอบอาชีพ ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง ประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ ตกเบด็ หาหอย เก็บแมงกระพรุน และ ล่าสัตวท์ ะเลเป็ นอาหาร เก็บมะพร้าว เก็บยอดผกั ล่าสัตวเ์ ล็ก ตามชายฝั่งสาหรับปรุงอาหาร เม่ือชาวเล ข้ึนมาต้งั ถ่ินฐานบนฝั่ง ก็เร่ิมเรียนรู้การทาไร่ปลูกขา้ ว ปลูกผกั ผลไม้ ทาสวนยางพารา ฯลฯ แต่ก็ยงั ยึด อาชีพประมงเป็ นหลกั โดยทาลอบหมึก ลอบปลา อวนกงุ้ และอวนปู ต่อมาชาวเลอุรักลาโวย้ เช่าซ้ืออวน เรือหางยาวพร้อมเคร่ืองเรือจากนายทุน โดยมีเงื่อนไขว่า จะตอ้ งจบั กุง้ หรือปลาส่งขายให้กบั นายทุนเพื่อหกั หน้ีสิน หลงั เหตุการณ์ภยั พิบตั ิจากคลื่นสึนามิ จึง ไดร้ ับเรือและเครื่องมือหากินเป็นของตนเอง
๑๖๐ สภาพปัญหาอุปสรรค ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นกลาง มีปัญหาอุปสรรค ดงั น้ี ๑.ที่อยอู่ าศยั ส่วนใหญจ่ ะเป็นพ้นื ที่ป่ าชายเลน ไม่มีเอกสารยนื ยนั เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในการให้ ใชพ้ ้ืนท่ีของป่ าชายเลน และพ้ืนท่ีอยูอ่ าศยั บางครอบครัวอยูบ่ นพ้ืนที่ของสานกั งานท่ีดิน เน่ืองจากไม่มี เอกสารสิทธิแต่มี ท.บ.๕ ภาษีเก็บดอกหญา้ ๒.การทามาหากินและการเขา้ ถึงทรัพยากร เพราะถูกจบั จอง ครอบครอง และประกาศเป็ นพ้ืนท่ี คุม้ ครอง ๓.ปัญหาเกี่ยวเน่ืองกับการศึกษาเรียนรู้ ที่จะสนับสนุนการศึกษาในระดับที่สูงข้ึน และ สนบั สนุนอาชีพที่ต่อยอดจากความรู้และทกั ษะที่มีอยู่
๑๖๑ ชาวเลอรุ ักลาโว้ยชุมชนบ้านติงไหร หมู่ท่ี ๕ ตาบลเกาะศรีบอยา อาเภอเหนือคลอง จงั หวดั กระบ่ี
๑๖๒ แผนทชี่ ุมชนบ้านตงิ ไหร หมู่ท่ี ๕ ตาบลเกาะเกาะศรีบอยา อาเภอเหนือคลอง จังหวดั กระบ่ี ทม่ี า : Google Earth กราฟิ กดีไซน์ : ฉันท์ชนิต สรรเพช็ ร
๑๖๓ ชาวเลอรุ ักลาโว้ยชุมชนบ้านติงไหร ประวตั คิ วามเป็ นมาของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร เดิมเคยต้งั กระท่อมอาศยั อยบู่ ริเวณคอคอดของเกาะจานุ้ย ต่อมาสมยั สงครามโลก คร้ังท่ี ๒ มีทหารญ่ีป่ ุนเขา้ มาบริเวณน้ีเพ่ือจบั ผูช้ ายไปเป็ นเชลย และเกิดโรค ระบาดข้ึน ชาวเลจึงยา้ ยไปอยูห่ มู่บา้ นแห่งท่ีสองบริเวณที่เรียกว่า “วนั ไพร” หรือเขตผีพราย เพราะที่ บริเวณน้ีเคยเป็ นท่ีฝังศพเด็กทารกท่ีคลอดก่อนกาหนด ต่อมามีเด็กและผใู้ หญ่ชาวเลเสียชีวิตกวา่ สิบคน จากการกินไข่ปลาปักเป้าท่ีมีพิษ โต๊ะหมอ ชื่อ “วะกาว” จึงเส่ียงทายโดยการดูเทียนแลว้ ให้ชาวบา้ นยา้ ย ไปอยทู่ ี่ “ลกั หง่าตอย” (หมายถึง บริเวณท่ีเกาะของนกอินทรีทะเล) ปัจจุบนั คือบริเวณริมหาดใกลศ้ าล โตะ๊ บุหรง ต่อมา กานนั ตาบลใหช้ าวอูรักลาโวย้ บางส่วนยา้ ยไปอยดู่ า้ นตะวนั ตกเฉียงใตข้ องเกาะ ภาษา อูรักลาโวย้ เรียกวา่ “เซอบือละ” (หมายถึง ดา้ นขา้ งเกาะ) โดยจดั ใหม้ ีเอกสารที่ดิน หลงั จากน้นั มีชาวเล บางส่วนขายท่ีดินไปจึงยา้ ยกลบั มาอยูบ่ ริเวณบา้ นกลางและบา้ นเกาะจาอีกคร้ัง ส่วนชาวเลอุรักลาโวย้ ท่ี ชุมชนบา้ นติงไหรอพยพมาจากชุมชนโตะ๊ บุหรง ทตี่ ้งั แหล่งท่ีอย่อู าศัย ชุมชนบา้ นติงไหร หมู่ที่ ๕ ตาบลเกาะศรีบอยา อาเภอเหนือคลอง จงั หวดั กระบี่ พืน้ ทท่ี ากนิ ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร ทาประมงในเขต เกาะเหลากา เกาะยูง เกาะไผ่ เกาะคู่ เกาะลนั ตา เกาะเหลาหละ เกาะจานุย้ เกาะเหลาสี เกาะม่วง เกาะตูหลงั เกาะพีพี เกาะหมา เกาะบิหลนั เกาะซีม่า เกาะฮง่ั เกาะศรีบอยา อ่าวยาซ่า และบริเวณช่องเภา ในเขตจงั หวดั กระบี่ รวมถึงป่ าชายเลน ใกลท้ ่ีอยอู่ าศยั พืน้ ทที่ างจิตวญิ ญาณ พ้ืนท่ีทางจิตวญิ ญาณ ไดแ้ ก่ ศาลโตะ๊ บุหรง (ลกั หง่าตอ้ ย), ศาลโตะ๊ อาดมั ท่ีเกาะเหลาสี (ปูเลาเบอ ซี),โตะ๊ แซะ ควนเกาะปู, โตะ๊ กราหมาดบูสาป ท่ีหลงั เกาะ โตะ๊ เล และพ้ืนท่ีทะเลท้งั หมด, สุสานที่ฝังศพ เดิมชาวเลบา้ นติงไหร ฝังศพท่ีท่าเรือคลองปี ปี ปัจจุบนั สุสานที่ฝังศพอยใู่ กลโ้ รงเรียนบา้ นติงไหร
๑๖๔ ประชากร ชุมชนบา้ นติงไหร มีชาวเลอุรักลาโวย้ อาศยั อยู่ ๔๒ ครัวเรือน จาแนกไดด้ งั น้ี ชาย ๙๙ คน หญิง ๘๑ คน รวมเป็น ๑๘๐ คน ภาษา ภาษาชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร ท่ีใช้ส่ือสารในชีวิตประจาวนั มีภาษาพูดแต่ไม่มี ภาษาเขียน มีคาศพั ท์น้อย จะมีคาศพั ท์ท่ีเขา้ ใจกนั เฉพาะกลุ่มแสดงถึงอตั ลกั ษณ์ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ คาที่ใชเ้ รียกช่ือสถานท่ี ต่าง ๆ เช่น ปูเลา เตอละ หมายถึง เกาะสิงโต, บูเฮอ กูไย่ หมายถึง เนิน ทรายที่หาหอย, ปูเลา ซูไง บายา่ หมายถึง เกาะศรีบอยา เป็นตน้ วฒั นธรรม ประเพณ/ี เทศกาล ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร มีประเพณีที่สาคญั ไดแ้ ก่ ประเพณลี อยเรือตูละบาลา เป็ นประเพณีความเชื่อท่ีชาวอูรักลาโวย้ เกาะจาใหค้ วามสาคญั ท่ีสุด และถือปฏิบตั ิสืบต่อกนั มา ต้งั แต่บรรพบุรุษ จดั ข้ึนปี ละ๑ คร้ัง คือ แรม ๓ ค่า เดือน ๖ ช่วงเริ่มมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ หรือ“ลม พลดั ” เพื่อสะเดาะเคราะห์ ส่งวิญญาณบรรพบุรุษกลบั ไป “ฆูนุงฌึรัย” ซ่ึงเชื่อวา่ เป็ นบา้ นเมืองเดิมของ บรรพบุรุษ และส่งสัตวท์ ี่ฆ่ากินเป็ นอาหารกลบั ไปใหเ้ จา้ ของเดิมเพ่ือไถ่บาป รวมท้งั เป็ นการไดพ้ บปะ เครือญาติ ซ่ึงชาวเลเช่ือว่าเมื่อประกอบพิธีกรรมน้ีแลว้ จะทาให้วิญญาณบรรพบุรุษคุม้ ครองลูกหลาน ชาวอูรักลาโวย้ ใหป้ ลอดภยั จากการออกทะเล ภยั ธรรมชาติและโรคภยั ไขเ้ จบ็ ในงานลอยเรือตูละบาลา มีการบรรเลงดนตรีประกอบพธิ ีลอยเรือ ดนตรีรามะนาจะเริ่มบรรเลง หลงั จากทาพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรงและพิธีฉลองเรือก่อนที่จะนาออกไปลอยในทะเล ซ่ึงพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรง เป็ นพิธีกรรมแรกของพิธีลอยเรือ โดยลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ จะนาเครื่องเซ่นไหว้ ท่ีประกอบดว้ ย อาหารคาวหวานนามาวางไวห้ น้าโต๊ะบุหรง ซ่ึงเป็ นบรรพบุรุษของชาวเลในหมู่บา้ น เมื่อโต๊ะหมอทา พิธีกรรมเสร็จแลว้ นกั ดนตรีจะเร่ิมบรรเลงเพลงรามะนา เริ่มด้วยเพลงแรกที่มีเน้ือหาเกี่ยวกบั การ อญั เชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มากินของเซ่นไหว้ และบรรเลงอีก ๖ เพลง ซ่ึงเพลงมีเน้ือหาเกี่ยวกบั วิถี ชีวติ ของชาวอูรักลาโวย้ ดนตรีรามะนาที่ใชบ้ รรเลงในพิธีลอยเรือมีท้งั หมด ๗ เพลง ประเพณแี ต่งงาน ในอดีตหนุ่มสาวชาวเลจะแต่งงานอายุประมาณ ๑๔ – ๑๘ ปี และมีพิธีสู่ขอหม้นั หมาย โดย ผใู้ หญฝ่ ่ ายชายจะไปขอถึง ๓ คร้ัง ถา้ ตอบรับก็จะไปขอหม้นั หรือ “ปากยั ตูนงั ก่อนแต่ง ๓ วนั ฝ่ ายชาย
๑๖๕ จะตอ้ งอาสาทางานบา้ นผูห้ ญิง เช่น หาน้า ผา่ ฟื นเป็ นตน้ วนั แต่งงานขบวนแห่จะใหเ้ จา้ บ่าวข่ีคอเดินวน ซ้ายรอบบา้ นเจา้ สาว ๓ รอบ ก่อนยา่ งเขา้ ประตูบา้ นผใู้ หญ่ฝ่ ายเจา้ สาวจะถามวา่ มีเรือไหม มีแหไหม มี ฉมกไหม เจา้ บ่าวตอบวา่ “มี” ก็จะมีคนลา้ งเทา้ ให้ก่อนขา้ มเขา้ ธรณีประตู เพื่อนเจา้ บ่าวจะนาเส่ือและ หมอนไปวางในหอ้ งเจา้ สาว เจา้ ถามจะประแป้งใหแ้ ขกที่มาร่วมงาน วนั รุ่งข้ึนพ่อแม่และญาติพ่ีนอ้ งจะ ส่งตวั เจา้ บ่าวเจา้ สาวลงเรือไปผจญภยั ตามเกาะต่าง ๆ โดยมีขา้ วสาร น้าจืด เครื่องมือจบั ปลาไปดว้ ย เพื่อ พิสูจน์วา่ ฝ่ ายชายจะสามารถเล้ียงดูภรรยาไดข้ าไปผชู้ ายจะเป็ นคนกรรเชียงเรือโดยใหผ้ ูห้ ญิงนงั่ หวั เรือ ขากลบั ผูห้ ญิงจะเป็ นฝ่ ายกรรเชียงเรือให้ผูช้ ายนง่ั หวั เรือ เป็ นที่เขา้ ไดไ้ ด่วา่ ท้งั คู่เป็ นสามีภรรยาตามพฤติ นยั แล้ว เมื่อแต่งแลว้ ฝ่ ายชายจะตอ้ งเขา้ ไปอยู่บา้ นฝ่ ายหญิง (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หน้า ๑๙๙) ปัจจุบนั ชาวเลชุมชนบา้ นติงไหร มีพิธีแต่งงานที่คลา้ ยกบั คนไทยพ้ืนถ่ิน เร่ิมต้งั แต่หนุ่มสาวชอบพอกนั ใหผ้ ใู้ หญ่ไปสู่ขอ มีสินสอดของหม้นั มีงานเล้ียงในหมู่ญาติและคนรู้จกั งานเล้ียงจะข้ึนอยูก่ บั ฐานะของ คู่บ่าวสาว บางคู่ก็มีการกินเล้ียงที่บา้ น มีพิธีรดน้าใหพ้ ร โดยมีโตะ๊ หมอเป็ นผูท้ าพิธี และญาติผูใ้ หญ่ ชุด แต่งงานของคู่บ่าวสาวก็เป็ นไปตามสมยั นิยม ช่วงอายุของการแต่งงานจะอยู่ท่ีย่ีสิบปี ข้ึนไป จะมีการ แต่งงานงานระหวา่ งกลุ่มชาวเลดว้ ยกนั เองและต่างกลุ่ม หลงั จากแต่งงานแลว้ การที่จะอยูบ่ า้ นของฝ่ าย ไหนก็ข้ึนอยกู่ บั ความสะดวกและสถานที่ทางานของฝ่ ายน้นั ประเพณแี ลกเปลยี่ นส่ิงของและชิงเปรต ชาวอูรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหรบางครอบครัว เดินทางไปทาบุญสารทเดือนสิบ ในตวั เมือง กระบี่ เหนือคลอง และวดั ปกาสัย ทุกปี คา้ งแรมนอนท่ีตลาดนดั เหนือคลอง โรงนดั เหนือคลอง พรุดิน นา และวดั ปกาสัย โดยเดินทางไปล่วงหนา้ ๒ – ๓ วนั ชาวเลจะนาของทะเล เช่น ปลาเคม็ ปลาเบนยา่ ง ปะการัง กลั ปังหา เปลือกหอย กาไลกระ ไปแลกกบั เส้ือผา้ อาหาร ขนมลาอบั น้าตาล ของใชจ้ าเป็ นกบั คนเมือง และร่วมพิธีชิงเปรต เพอื่ เก็บขนมพอง ขนมลา ขา้ วปลาอาหาร และเงินที่ชาวพุทธนาไปต้งั ไหว้ เปรต แลว้ นาไปเซ่นไหวบ้ รรพบุรุษ เพราะเช่ือว่า ลูกหลานตอ้ งไปรับบุญเพ่ือให้วิญญาณบรรพบุรุษไม่ อดอยาก พธิ ีกรรม ของชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร ไดแ้ ก่ การเกดิ ในอดีตเมื่อผหู้ ญิงชาวเลต้งั ครรภแ์ ละถึงกาหนดคลอด “โต๊ะบิดดั ” หรือหมอตาแยจะทาคลอด ให้ เมื่อเด็กคลอดออกมาแลว้ จะใชไ้ มไ้ ผเ่ หลาให้บางตดั สายสะดือ อาบน้าเยน็ ก่อนจึงอาบน้าอุ่น และ ใหเ้ ดก็ ทารกดื่มน้าผ้งึ จนครบ ๓ วนั เพอื่ ใหเ้ ดก็ ถ่ายของเสียออก จึงใหด้ ื่มนมแม่ หลงั คลอด ๓ วนั จะทา พิธีเซ่นไหวต้ ายายและเล้ียงฉลอง หรือ “ทานูห้ รี” โตะ๊ บิดดั จะช่วยดูแลแม่และลูกในช่วงที่แม่อยูไ่ ฟ ๗ –
๑๖๖ ๙ หรือ ๑๕ วนั เมื่อครบ ๔๔วนั พ่อแม่จะทาพิธีเซ่นไหวต้ ายายอีกคร้ัง ปัจจบั นั การเกิดจะใช้วิทยา การแพทยส์ มยั ใหม่แทนที่การเกิดแบบในอดีตแลว้ พธิ ีศพ เม่ือมีสมาชิกในชุมชนเสียชีวิต ชาวเลชุมชนบา้ นติงไหรจะมีพิธีศพแบบอิสลาม หลงั จากฝังศพ เสร็จแลว้ ไมว่ า่ ศพน้นั จะเป็ นผหู้ ญิงหือผชู้ าย ก็จะมีการเฝ้าศพ (อยเู่ ป็นเพื่อนคนตาย) ท่ีสุสานเป็นเวลา ๓ วนั ๓ คืน หรือ ๗ วนั ๗ คืน โดยผชู้ ายจะเป็ นคนไปเฝ้าที่สุสาน หลงั จากน้นั กจ็ ะมีพิธีทาบุญ (ทานู หรี) ที่บา้ นผเู้ สียชีวติ ตอนครบ ๓ วนั ๗ วนั ๑๔ วนั ๒๑ วนั ๔๐ วนั และ๑๐๐ วนั ตามลาดบั พธิ ีเซ่นไหว้บรรพชน ชาวเลอูรักลาโวย้ ท่ีอาศยั อยใู่ นชุมชนเดียวกนั จะทาพิธีเซ่นไหวว้ ิญญาณบรรพบุรุษร่วมกนั ปี ละ คร้ัง ในอดีตเคยมีพิธีเซ่นไหวว้ ิญญาณบรรพบุรุษท่ีสิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ เช่น เจา้ ทะเล เจา้ ถ้า เจา้ เกาะ เจา้ แหลม ฯลฯ ก่อนหรือหลงั พิธีลอยเรือในเดือน๖ เพื่อออ้ นวอนบอกกล่าวว่าเมื่อลมพลดั (ลม มรสุมตะวนั ตกเฉียงใต)้ หรือลมออก (ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ) พดั มาขอให้ลูกหลานหาปลาได้ จานวนมาก พธิ ีแก้บน(แก้เหลย) ชาวเลอุรักลาโวย้ จะมีการแกบ้ น เพราะไดบ้ นบานศาลกล่าวกบั สิ่งเหนือธรรมชาติท่ีตนเคารพ นบั ถือวา่ ใหต้ นเองและครอบครัวหายจากการเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วย หรือประสบผลสาเร็จในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ถา้ เป็นไปตามท่ีไดข้ อหรือบนบานไว้ ก็ตอ้ งมาแกบ้ น เช่น จดั ให้มีการบรรเลงรามะนา หรือถวายอาหาร คาวหวาน เป็นตน้ ก็ตอ้ งทาตามที่ไดใ้ หส้ ัญญาไว้ การแกบ้ นดว้ ยการบรรเลงรามะนาน้นั มกั จะเป็ นการ แกบ้ นใหญ่ หมายถึง การบนบานศาลกล่าวในเร่ืองเหนือธรรมชาติ เรื่องความเป็นความตาย เร่ืองการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือ ถูกรางวลั สลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นตน้ พธิ ีกรรมขนึ้ ๑๕ คา่ ของทุกเดือน เป็นพธิ ีท่ีชาวอูรักลาโวย้ กระทากนั ในข้ึน ๑๕ ค่า ของทุกเดือน คือ มีการเล่นดนตรีรามะนา ซ่ึง เป็ นการบรรเลงดนตรีประกอบพิธีกรรม ชาวเลมีความเช่ือว่าเมื่อประกอบพิธีกรรมน้ีแล้วจะทาให้ วญิ ญาณบรรพบุรุษคุม้ ครองลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ ให้ปลอดภยั จากการออกทะเล ภยั ธรรมชาติและ โรคภยั ไขเ้ จบ็ ดนตรีรามะนาจะเริ่มบรรเลงหลงั จากทาพิธีไหวโ้ ตะ๊ บุหรง ซ่ึงถือเป็ นบรรพบุรุษของชาวเลใน หมู่บา้ น โดยพิธีไหวโ้ ต๊ะบุหรงจะเป็ นข้นั ตอนแรก ลูกหลานชาวอูรักลาโวย้ จะนาเครื่องเซ่นไหวท้ ่ี ประกอบดว้ ยอาหารคาวหวานนามาวางไวห้ นา้ โตะ๊ บุหรง เมื่อโต๊ะหมอทาพิธีกรรมเสร็จ นกั ดนตรีก็จะ เริ่มบรรเลงดนตรี โดยเครื่องดนตรีที่ใชค้ ือรามะนา
๑๖๗ คติ ความเช่ือ ตานาน ตานานโตะ๊ บุหรง คาวา่ “บุหรง” เป็ นคาภาษามลายู แปลวา่ นก หรือภาษาอูรักลาโวย้ จะออก เสียงวา่ “บูรก” เช่ือกนั วา่ “โต๊ะบุหรง” เป็ นวิญญาณบรรพบุรุษท่ีมีคาถาสามารถจะหยุดลมและพายุ ฝนได้ และเคยมาปรากฎตวั ในร่างของนกเพื่อมาช่วยชาวอูรักลาโวย้ ท่ีเผชิญคล่ืนลมให้พน้ จากอนั ตราย โต๊ะหมอวา่ เล่า เมื่อคนที่เผชิญกบั พายุคล่ืนลมแรงกลางทะเล เม่ือกลบั มาถึงบา้ น ตอ้ งทาพิธีแกบ้ นโดย การราผา้ เจด็ สี ซ่ึงหมายถึงการแกบ้ นใหญ่, ตานานกาเนิดชาวเล,ตานานคล่ืนเจด็ ลูกหรือ “รูมกั ตูโยะ”, ความเชื่อเก่ียวกบั โต๊ะเล (สิ่งศกั ด์ิที่อยใู่ นทะเล) เนื่องดว้ ยชาวเลอูรักลาโวย้ มีวิถีชีวติ และความ เช่ือด้งั เดิม ในเรื่องวญิ ญาณ ที่ปกป้องดูแลบริเวณโดยรอบ มีความเชื่อวา่ ถา้ ใครทาให้แหล่งน้าจืดสกปรก จะมีอาการเจบ็ ป่ วย ผหู้ ญิงชาวเลอูรักลาโวย้ เม่ือต้งั ครรภจ์ ะตอ้ งปฏิบตั ิตนตามความเชื่อและขอ้ ห้ามที่สืบทอดกนั มา เช่น หา้ มอาบน้ากลางคืน หา้ มลงไปเดินเล่นนอกบา้ นหลงั พระอาทิตยต์ กดินเพราะผตี ายายจะติดตามตวั มา ระหวา่ งที่ต้งั ครรภ์ ๓ - ๗ เดือน ห้ามฆ่าหรือทุบตีสัตวท์ ุกชนิด หา้ มนง่ั บนธรณีประตู ห้ามขา้ มเชือก ผกู หวั เรือ จะทาใหค้ ลอดยาก เป็นตน้ , ขอ้ หา้ มสาหรับเด็ก เด็กหา้ มกินไข่จนกวา่ จะคลานได้ และห้ามกิน ปลาจนกวา่ จะพดู คาวา่ ปลา หรือ “อีกดั ” ได,้ ความเชื่อและขอ้ ห้ามขณะสามีออกทะเล ภรรยาที่อยูท่ ี่บา้ น หา้ มขยบั ที่นอนสามี หา้ มเยบ็ ผา้ หา้ มสระผม หา้ มนอนกลางวนั และหา้ มกวาดขยะใตถ้ ุนบา้ น เพราะเชื่อ วา่ สามีจะประสบอุบตั ิเหตุ, ความเช่ือเรื่องการออกไปหาปลาเมื่อลงจากบา้ นไปทะเล หากมีคนนงั่ ขวาง บนั ได เชื่อวา่ เป็ นการขวางลาภ จบั ปลาไม่ได้ ,ขอ้ ห้ามอื่นๆ เช่น ห้ามนงั่ บนหินถ่วงไซ หรือหินลบั มีด เพราะเช่ือวา่ กน้ จะหนกั หรือข้ีเกียจทางาน เป็นตน้ ศิลปะการแสดง รองแง็ง เป็นการร้องและราที่คลา้ ยคลึงกบั การเล่นรามะนา บทเพลงจะขบั เป็ นภาษามลายูกลาง เรียกวา่ ขบั แขก จะเริ่มตน้ ดว้ ยเพลงลาฆูดูวอ จะเล่นเพลงอ่ืน ๆ ไปตามลาดบั และยงั มี รองเง็งแก้บน เป็ นการ ร่ายราเฉพาะแกบ้ นหรืองานพิธีต่างๆซ่ึงมีการถ่ายทอดโดยความใกลช้ ิดของผูส้ อนกบั สมาชิกภายใน ครอบครัวหรือเครือญาติ ลกั ณะการถ่ายทอดจะเป็ นการถ่ายทอดจากผูใ้ หญ่สู่เด็กรุ่นใหม่ซ่ึงเป็ นญาติ เป็ นลูกหลาน โดยการสอนท่ารา เพลงต่างๆโดยการขบั สด ร้องสด ราสด ผูเ้ รียนบางคนจะอาศยั อยกู่ บั คนสอนเนื่องจากถือวา่ เป็นญาติผใู้ หญ่
๑๖๘ รามะนา เป็ นการแสดงพ้ืนบา้ น ใช้เล่นในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีลอยเรือ แต่งเปลว พิธีแกบ้ น เครื่อง ดนตรีท่ีใชใ้ นดนตรีรามะนามีชนิดเดียวคือ กลองรามะนา ซ่ึงเป็นกลองที่ทาดว้ ยไมข้ ึงหนา้ หนงั ดา้ นเดียว โดยในการบรรเลงจะใช้รามะนาจานวน ๒ – ๓ ใบ มีขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางประมาณ๒๕ – ๒๘ เซนติเมตร ส่วนสูงวดั จากขอบประมาณ ๑๕ – ๒๐เซนติเมตร ส่วนตวั กลองทาดว้ ยไมห้ นงั กลองมีการ นาเอาหนงั ตะกวดและผา้ ใบสังเคราะห์ตรึงดว้ ยหวายหรือเชือกสังเคราะห์รอบขา้ งยดึ ให้ตึงการบรรเลง ดนตรีรามะนา จะไม่มีพิธีการในการบรรเลงมากนกั โดยจะเริ่มดว้ ยเพลงแรกที่มีเน้ือหาเกี่ยวกบั การ อญั เชิญวิญญาณบรรพบุรุษให้มากินของเซ่นไหว้ และบรรเลงต่ออีก ๖ เพลง เน้ือหาของเพลงกล่าวถึง วิถีชีวติ ของชาวอูรักลาโวย้ ดนตรีรามะนาในพิธีมีเพลงท้งั หมด ๗ เพลง ลกั ษณะของบทเพลงมีคนร้อง นาหน่ึงคนซ่ึงร้องนาก่อนในแต่ละวรรคเพลง โดยคนร้องท่ีเหลือเป็ นลูกคู่รับ คาร้องของลูกคู่รับมี ลกั ษณะคลา้ ยกบั คาร้องนา ร้องสลบั กนั ไปมาจนจบเพลง เทคนิคการขบั ร้องหลายลกั ษณะเช่น การลกั จงั หวะ การโยกเสียง การผา่ นเสียง การชอ้ นเสียง การสะบดั เสียง การโปรยและการเนน้ เสียง คาร้องของ เพลงใชภ้ าษาของชาวอูรักลาโวย้ ภูมิปัญญาท้องถ่นิ ภูมิปัญญาของชาวเลชุมชนบา้ นติงไหร ท่ีใชใ้ นการประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ การทาบูบูอีกดั (ไซ ปลา), การทาบูบูนุยฮ (ไซปลาหมึก), การทาปูกยั จ ฮูรัก(อวนกุง้ ), การดูกระแสน้า, ดูทิศทางลม, การ โคจรของดวงจนั ทร์และดวงดาว, ภูมิปัญญาดา้ นหตั ถกรรม เช่น การต่อเรือปลาจกั๊ การจกั สานฝาบา้ น สานเสื่อ, เยบ็ จากมุงหลงั คาบา้ น การจกั สานตะกร้า กนั หมอ้ (ที่รองหมอ้ ), จงนงั่ ทาจากเตยดิน เป็ นท่ีใส่ ของ เช่น ใส่หมากพลู ส่รวงขา้ ว ใส่ขา้ วห่อในเรือ สมุกไวใ้ ส่ยา เป็นตน้ ภูมิปัญญาดา้ นการถนอมอาหาร เช่น ทาปลาย่าง, ทาปลาเคม็ (ปลาแห้ง), , การทาจาวหลู (เคย เคม็ ) การทากะปิ เป็นตน้ ภูมิปัญญาการจักสาน
๑๖๙ การละเล่น เดก็ ผหู้ ญิงชาวเลชุมชนบา้ นติงไหร มีการละเล่น เช่น เล่นขา้ วหุงเลียง,ปิ ดตาลกั ซ่อน, หมากขุม, มอญซ่อนผา้ , เล่นพ่อแม่ลูก, เล่นเตย,เป็ นตน้ ส่วนเด็กผูช้ ายจะเล่น ปลากดั ,วา่ ยน้า, หาปลาหัวกวั , ตก ปลาตามหวั สะพาน ตามโขดหิน,ขวา้ งกระป๋ อง, เล่นซ่อนแอบ, เล่นตารวจจบั ผูร้ ้าย, เล่นยงิ ปื น เป็ นตน้ ส่วนเด็กชาวเลในปัจจุบนั มีการละเล่นตามสมยั นิยมเหมือนคนทวั่ ไป เช่น เล่นขายขา้ วแกง ร้องเพลง เตน้ รา เล่นตุก๊ ตา ส่วนเด็กผชู้ ายจะ เล่นน้า ข่ีคอกระโดด เล่นยงิ ปื น ตกเบด็ เป็นตน้ วถิ ชี ีวติ จาแนกตามวฒั นธรรมปัจจยั ๔ ไดด้ งั น้ี ทอ่ี ย่อู าศัย ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร สร้างที่พกั อาศยั เป็นกลุ่มใกล้ ๆ กนั เป็นบา้ นช้นั เดียวยกพ้ืน เต้ีย ๆ บางหลงั ก็ยกพ้ืนสูง มีบนั ไดข้ึนไปบนบา้ น หลงั ไม่ใหญ่ บางบา้ นคลา้ ยเพิงพกั มีสภาพไม่ค่อย แขง็ แรง และสร้างอยใู่ นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธ์ิ ติดป่ าชายเลน บ้านชาวเลอรุ ักลาโว้ยชุมชนบ้านติงไหร การแต่งกาย ในอดีตชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร จะแต่งกายดว้ ยเส้ือผา้ ไม่มากชิ้น ผชู้ ายนุ่งผา้ ขาวมา้ ผืนเดียว หรือกางเกงชาวเลผา้ ขาวมา้ คาดเอว ไม่สวมเส้ือ ผูห้ ญิงเสลาอยู่บา้ นจะนุ่งผา้ กระโจมอก ไม่ สวมเส้ือ ถา้ ออกไปขา้ งนอกจะสวมเส้ือและนุ่งผา้ ปาเต๊ะสีสด ๆ ปัจจุบนั ชาวเลส่วนใหญ่แต่งกายตาม สมยั นิยม ผูช้ ายใส่เส้ือยืด กางเกงยืนส์ ส่วนผหู้ ญิงใส่เส้ือผา้ ตามแฟชนั่ สีสดใส ใส่เครื่องประดบั ส่วน
๑๗๐ ชาวเลสูงวยั ผชู้ ายถา้ อยกู่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรือกางเกงชาวเล ไม่สวมเส้ือ ส่วนผหู้ ญิงถา้ อยกู่ บั บา้ นจะ นุ่งผา้ ปาเตะ๊ สวมเส้ือคอกระเชา้ หรือเส้ือหลวม ๆ สบาย ๆ การรักษาโรค ชาวเลอุรักลาโวย้ มีความเช่ือวา่ การเจ็บป่ วย เกิดจากส่ิงเหนือธรรมชาติหรือผบี รรพบุรุษ ถา้ เจ็บ ไขเ้ พียงเล็กนอ้ ยก็จะรักษาเองดว้ ยสมุนไพร หรือให้โต๊ะหมอรักษา และทาน้ามนต์ ปัจจุบนั ชาวเลเขา้ ถึง การรักษาโรคแผนปัจจุบนั มากข้ึน แต่การรักษาโรคแบบพ้ืนบา้ นก็ยงั คงมีใชค้ วบคู่ไปกบั การรักษาแผน ปัจจุบนั เช่น เมื่อมีการเจบ็ ป่ วย โต๊ะหมอจะดูเทียนเป็ นลาดบั แรก เพ่ือปัดเป่ าสิ่งไม่ดี แลว้ ก็ดูเทียนต่อวา่ จะรักษาดว้ ยวธิ ีไหน การรักษาดว้ ยสมุนไพร เช่น โรคหิด จะใชน้ ้ามนั มะพร้าว ขมิ้น หวั ไพล ยาดา และ กระเทียม นาทุกอย่างมาต่มรวมกนั แล้วเค่ียวให้น้างวด เอามาทาบริเวณที่เป็ นจนกว่าแผลจะหาย เป็ นตน้ อาหาร ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร จะมีอาหารทะเลเป็ นอาหารหลกั ประเภท กุง้ หอย ปลา ปู ก้งั ปลาหมีก และเพรียงทะเล นามาตม้ ยา่ ง เผา หรือกินสด ๆ เช่น หอยติเตบ (หอยนางรมตวั เล็ก) หอย ตาชยั ผดั กระเทียมพริกไทย, ขา้ วยา,แกงกะทิหอยตาชยั กบั มะละกอหรือสับปะรด, แกงกะทิหอยใส่ มะพร้าวควั่ ,ปลาจอ้ งมอ้ งตม้ ส้ม, ปลาหมึกผดั ดา,ขา้ วมนั หุงกบั น้ากะทิกินกบั หอยมีดพร้า, หมึกตม้ ตะไคร้,หมึกตม้ ส้ม ปลากระเบนยา่ ง, ยาหอยยกษ,์ ยาเห็ดหลุบ, แกงกะทิเห็ดหลุบ เป็นตน้ อาหารชาวเลอุรักลาโว้ยชุมชนบ้านติงไหร
๑๗๑ การประกอบอาชีพ ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร มีการประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ ตกเบ็ด ดาน้าแทงปลา หาหอย เก็บแมงกระพรุน และล่าสัตวท์ ะเลเป็ นอาหาร เก็บมะพร้าว เก็บยอดผกั ล่าสัตวเ์ ล็ก ตามชายฝั่งสาหรับ ปรุงอาหาร เม่ือชาวเลข้ึนมาต้งั ถ่ินฐานบนฝ่ัง ก็เริ่มเรียนรู้การทาไร่ปลูกขา้ ว ปลูกผกั ผลไม้ ทาสวน ยางพารา ฯลฯ แต่กย็ งั ยดึ อาชีพประมงเป็นหลกั ในช่วงต่อมาชาวเลอุรักลาโวย้ เช่าซ้ืออวน เรือหางยาวพร้อมเครื่องเรือจากนายทุน โดยมีเง่ือนไข วา่ จะตอ้ งจบั กุง้ หรือปลาส่งขายให้กบั นายทุนเพื่อหกั หน้ีสิน หลงั เหตุการณ์ สึนามิ จึงไดร้ ับเรือและ เครื่องมือหากินเป็ นของตนเอง เม่ือการท่องเท่ียวเร่ิมเป็ นที่นิยมมากข้ึน ชาวเลที่อยูใ่ กลแ้ หล่งท่องเที่ยว ออกทะเลหาปลาไปขายร้านอาหาร อาชีพประมงชุมชนบ้านตงิ ไหร สภาพปัญหาอุปสรรค ชาวเลอุรักลาโวย้ ชุมชนบา้ นติงไหร มีปัญหาอุปสรรค ดงั ต่อไปน้ี ๑.ที่อยอู่ าศยั ส่วนใหญ่จะเป็นพ้ืนท่ีป่ าชายเลน ไมม่ ีเอกสารยนื ยนั เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรในการให้ ใชพ้ ้ืนที่ของป่ าชายเลน บางครอบครัวอยู่บนพ้ืนที่ของสานกั งานท่ีดิน เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิแต่มี ภ.ท.บ.๕ ภาษีบารุงทอ้ งท่ี หรือ ภาษีดอกหญา้ ซ่ึง ภ.ท.บ.๕ เป็ นเพียงเอกสารท่ีรับรองการเสียภาษีของผู้ ท่ีครอบครองท่ีดินดงั กล่าวใหก้ บั หน่วยงานทอ้ งถ่ินซ่ึงในที่น้ีคือ องคก์ ารบริหารส่วนตาบล (อบต.) ๒.สาธารณูปโภคพ้ืนฐาน เช่น ประปาหมูบ่ า้ น ไฟฟ้า ถนนเขา้ ชุมชน การพฒั นายงั ไม่ทวั่ ถึงบา้ น ทุกหลงั ยงั มีบา้ นบางหลงั ตอ้ งพ่วงไฟฟ้ากบั บา้ นท่ีมีหมอ้ ไฟฟ้า และอีกหลายหลงั ท่ีพ่วงไฟฟ้าบา้ นอื่น เนื่องจากยงั ไม่มีบา้ นเลขท่ี ซ่ึงการขอบา้ นเลขที่น้นั บา้ นแต่ละหลงั ท่ีสร้างจะตอ้ งมีห้องน้า บา้ นชาวเลอู
๑๗๒ รักลาโวย้ หลายหลงั ยงั ไม่มีห้องน้า และการขอบา้ นเลขท่ี ในพ้ืนที่ของรัฐ จะตอ้ งมีหนงั สือยินยอมจาก หน่วยงานท่ีรับผดิ ชอบ (บา้ นท่ีต้งั บนพ้ืนที่ป่ าชายเลน ตอ้ งมีหนงั สือรับรองการใชพ้ ้ืนที่ ๓. การทามาหากินและการเขา้ ถึงทรัพยากร เพราะถูกจบั จอง ครอบครอง และประกาศเป็ น พ้ืนท่ีคุม้ ครอง, ๔. ปัญหาเกี่ยวเน่ืองกับการศึกษาเรียนรู้ ท่ีจะสนับสนุนการศึกษาในระดับที่สูงข้ึน และ สนบั สนุนอาชีพท่ีตอ่ ยอดจากความรู้และทกั ษะที่มีอย,ู่ ๖.) ๕. การขาดความมนั่ ใจและภูมิใจในวิถีวฒั นธรรมด้งั เดิม เช่น ศิลปะการแสดง การสืบทอด ภาษาอุรักลาโวย้ เป็นตน้
๑๗๓ ชาวเลบ้านแหลมตง หมู่ที่ ๘ ตาบลอ่าวนาง อาเภอเมืองกระบ่ี จงั หวดั กระบ่ี
๑๗๔ แผนทช่ี ุมชนบ้านแหลมตง หมู่ท่ี ๘ ตาบลอ่าวนาง อาเภอเมืองกระบ่ี จังหวดั กระบ่ี ทม่ี า : Google Earth กราฟิ กดีไซน์ : ฉันท์ชนิต สรรเพช็ ร
๑๗๕ ชาวเลบ้านแหลมตง ประวตั คิ วามเป็ นมาของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ ชาวเลบา้ นแหลมตง ถือเป็นผบู้ ุกเบิกผืนดินเกาะพีพีกลุ่มแรก ชาวเลอุรักลาโวย้ เรียกเกาะพีพีวา่ ปูเลา ปรีปรี ปูเลา ภาษาอุรักลาโวย้ แปลวา่ เกาะ ปรีปรี ภาษาอุรักลาโวย้ แปลวา่ ให้, การให้ ซ่ึงท่ีมาของ ช่ือ ปูเลา บรีบรี (เกาะพีพี) มาจากชาวเลบา้ นแหลมตงในสมยั ก่อน เป็ นผทู้ ่ีมีน้าใจเอ้ือเฟ้ื อเผอ่ื แผต่ ่อผอู้ ื่น มีอะไรก็แบ่งปันให้กบั ผูม้ าเยือน ชาวเลบา้ นแหลมตง เป็ นกลุ่มชนท่ีผสมระหว่างชาวมอแกนและ ชาวเลอูรักลาโวย้ โดยชาวมอแกนล่องเรือมาจากเกาะฝั่งระนองกลุ่มหน่ึง และชาวเลอูรักลาโวย้ อีกกลุ่ม หน่ึงล่องเรือมาจากเกาะลนั ตา มาต้งั รกรากอยทู่ ่ีเกาะน้ี ชาวเลบา้ นแหลมตงนอกจากมีความชานาญเรื่อง ทอ้ งทะเลแลว้ ยงั มีความรู้เร่ืองการเพาะปลูกขา้ วและพืชไร่ เนื่องจากชาวเลท่ีเกาะน้ีจะทาประมงในช่วง คล่ืนลมสงบ และปลูกขา้ วไร่ในช่วงหนา้ ฝนพร้อมท้งั ทาสวนไปดว้ ย ลาดับการเข้ามาต้งั ถ่นิ ฐานของชาวเลบ้านแหลมตง มีดงั นี้ พ.ศ. ๒๔๕๓รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ ๕ ชาวเลกลุ่มแรกมาต้งั ถ่ินฐานท่ีอ่าวแหลมตง เกาะพีพี จงั หวดั กระบ่ี สามารถสืบสายตระกูลได้ ๑๐ ครอบครัว ไดแ้ ก่ ๑. นายมะเส็น ชาวน้า และนางอูติ ชาวน้า ๒.นายรายี ประมงกิจ และ นางแมะมะ ประมงกิจ ๓.นายจีเตก็ ทะเลลึก และ นางอีหิด ทะเลลึก ๔.นายมะอิน ประมงกิจ และ นางพู ประมงกิจ ๕.นายตางอ ทะเลลึก และ ภรรยา (ไมท่ ราบชื่อ) ๖.นางปาเงา ชาวน้าและ สามี (ไม่ทราบชื่อ) ๗.นายมูงยั ประมงกิจ และ นางปิ นา ประมงกิจ ๘.นายสูเดน็ ชาวน้า และ นางฮารีละ ชาวน้า ๙.นายมานุย้ ประมงกิจ และ แยะฮูลยั บูลู ๑๐.นายอาจดั ประมงกิจ และ ภรรยา (ไม่ทราบช่ือ) พ.ศ.๒๔๘๔ เกดิ สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ มีทหารญ่ีป่ ุนบุกข้ึนเกาะพีพี ปลน้ ขา้ วสารอาหารแหง้ บงั คบั ให้ชาวเลปี นเก็บลูกมะพร้าว ให้ จบั เป็ ดไก่ที่เล้ียงไวใ้ ห้พวกทหารญี่ป่ ุนกิน หลายคนหนีข้ึนไปหลบไปใชช้ ีวติ บนภูเขา หาเผอื กมนั และ ผลไมก้ ิน ไม่สามารถลงมาที่หมู่บา้ นไดเ้ พราะกลวั ทหารญ่ีป่ ุน หลงั เหตุการณ์ปกติชาวเลก็กลบั มาใช้ ชีวติ ตามปกติ เกดิ โรคฝี ดาษระบาด โรคฝี ดาษระบาดในชุมชนชาวเลบา้ นแหลมตง มีหลายคนเสียชีวิต หลายคนอพยพไปหาที่อยู่ ใหม่ บางครอบครัวอพยพกลบั ไปจงั หวดั ระนอง เกาะลนั ตา เกาะจา และเกาะภูเก็ต ชาวเลท่ีมีอาการ
๑๗๖ หนกั มาก ถูกส่งตวั ไปอยูเ่ กาะอ่ืนในบริเวณใกลเ้ คียง ทาใหม้ ีชาวเลที่แหลมตงเหลืออยูแ่ ค่บางส่วนท่ีไม่ ยา้ ยออกไปไหน การเข้ามาของคนมุสลมิ หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ การเขา้ มาของทหารญ่ีป่ ุนและเกิดโรคฝี ดาษระบาดสงบลง มีชาว มุสลิมกลุ่มแรก ๔ คนไดแ้ ก่ นายเจะเด็น นางจะ้ นุย้ นายจะ้ เขียด นายซาบนั และนายเอบ (มีภรรยาเป็ น ชาวเล) เขา้ มาต้งั ถิ่นฐาน และเปิ ดร้านคา้ ขายของ ชาวเลเร่ิมหนั มาปลูกขา้ วและทาไร่ทาสวนเพิ่มมากข้ึน การเข้ามาของคนจีน หลงั จากท่ีมีคนมุสลิมเขา้ มาไม่นาน ก็มีคนจีนเขา้ มาอีก ๒ คน คือ นายแป๊ ะบอลอ้ และนายโก เตก็ ท้งั สองคนเป็นชาวจีนพูดไทยไดแ้ ตไ่ มค่ ่อยชดั อาศยั เรือชาวเลจากฝ่ังมายงั เกาะพีพี มาขออาศยั ที่ดิน ของชาวเลเพื่อปลูกเพิงพกั ต่อมานายแป๊ ะบอลอ้ ก็เปิ ดร้านขายของชาในหมู่บา้ นและรับซ้ือกุง้ หอย ปู ปลาของชาวเลเพือ่ นาไปขายต่อท่ีอ่ืน พ.ศ. ๒๕๑๖ การเสด็จประพาสเกาะพีพีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลท่ี ๙ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยภู่ ูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ ๙ เสด็จ ฯ โดยเรือรบหลวง ออกจากกิ่ง อาเภอเกาะยาว จงั หวดั พงั งา เพ่ือเย่ยี มราษฎรท่ีเกาะพีพี จงั หวดั กระบ่ี มีชาวเลบา้ นแหลมตงเกาะพีพีไป เฝ้ารับเสด็จที่อ่าวตน้ ไทรบริเวณเกาะพีพีและไดน้ าของท่ีระลึกจากทะเลมาถวาย เช่น กลั ปังหา และ เปลือกหอยสวยงาม พระองค์ ฯ ได้ทรงถามถึงสถานที่เรี ยนของชาวเล ซ่ึงชาวเลบา้ นแหลมตงไม่มี โรงเรียน พระองค์ ฯ จึงมีพระราชดาริให้ก่อสร้างโรงเรียนให้กลุ่มชาวเล ซ่ึง กานนั ตาบลอ่าวนางใน ขณะน้นั ไดก้ ่อสร้างโรงเรียนจนแล้วเสร็จ นายอูยกั ชาวน้า บริจาคท่ีดินประมาณ ๔ ไร่ ๒ งาน นาย ปริญญา จุฑามาตย์ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร์จงั หวดั กระบี่ในขณะน้นั บริจาคเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท สาหรับ ซ้ือวสั ดุก่อสร้าง.นายแอน บ่อน้าร้อน เป็ นผูด้ าเนินการก่อสร้างโดยไม่คิดค่าแรง นายซุ้น กิตติธรกุล บริการรับขนส่งวสั ดุในการก่อสร้าง และนายอุเส้น ทองเกิด ผูใ้ หญ่บา้ นหมู่ที่ ๗ ตาบลอ่าวนางใน ขณะน้นั อานวยความสะดวกในการก่อสร้างโรงเรียนบา้ นแหลมตง และไดพ้ ระราชทานนามสกุลให้ ชาวเลบา้ นแหลมตง ดงั น้ี ชาวน้า ประมงกิจ ทะเลลึก และรักสมุทร หลงั จากเหตุการณ์ในคร้ังน้นั ชาวเล แหลมตงจึงเร่ิมมีการสารวจสามะโนครัว ชาวเลจึงไดม้ ีบตั รประจาตวั ประชาชนและสาเนาทะเบียนบา้ น ประมาณ ๖๐ หลงั คาเรือน
๑๗๗ พ.ศ.๒๕๑๘พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลท่ี ๙ และสมเด็จพระศรีนค รินทราบรมราชชนนี (สมเดจ็ ย่า) เสด็จ ฯ ลงพ้นื ท่ีบา้ นแหลมตง เกาะพพี ี ตาบลอา่ วนาง อาเภอเมืองกระบ่ี จงั หวดั กระบี่ เมื่อวนั ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๑๘มีทีมแพทย์ พอ.สว. ให้การรักษาตรวจสุขภาพพร้อมแจกยาสามญั ประจาบา้ นให้ ชาวเล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมพิ ลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานทด่ี ินให้ชาวเลบ้าน แหลมตง จานวน ๑๘ ราย หลงั จากท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลท่ี ๙ เสด็จ ฯ มาเกาะพีพี จะมี ชาวเลบา้ นแหลมตง ไปรับเสด็จ ฯ ทุกคร้ัง พระบาทนสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ ทรง เมตตาพระราชทานที่ดินใหช้ าวเลบา้ นแหลมตงไดม้ ีท่ีอยอู่ าศยั และที่ทากิน จานวน ๑๘ คน รายช่ือชาวเลท่ีไดร้ ับพระราชทานที่ดิน ๑๘ ราย เสียภาษีที่ดิน ภ.บ.ท. ๕ พ.ศ. ๒๕๑๙ มีดงั น้ี ๑.นายอูยคั ชาวน้า ๒.นายหยงั ชาวน้า ๓.นายอาตน ทะเลลึก ๔.นายยา่ หนดั รักสมุทร ๕.นายมะเจน็ ประมงกิจ ๖. นายมะเด็น ประมงกิจ ๗.นายอาเจก็ ทะเลลึก ๘.นายเจะหนั ประมงกิจ ๙. นายปานะ ชาวน้า ๑๐. นายร้าหิน ประมงกิจ ๑๑. นายตารัม ประมงกิจ ๑๒. นายอาดงั ชาวน้า ๑๓. นายร้าเตม็ ชาวน้า ๑๔. นายอาหวงั ทะเลลึก ๑๕. นายอีจิ้น ชาวน้า ๑๖. นายฉีลอ้ รักสมุทร ๑๗. นายซาเต้ ประมงกิจ
๑๗๘ ๑๘. นายอูเ่ ก็ม ประมงกิจ ๑๙. นายลา้ เวน้ ชาวเลท้งั ๑๙ รายน้ีไดเ้ อกสารสิทธ์ิ นส.๒ เม่ือปี พ.ศ.๒๕๒๐ ทตี่ ้งั แหล่งทีอ่ ยู่อาศัย บา้ นแหลมตง เกาะพพี ี หมู่ท่ี ๘ ตาบลอา่ วนาง อาเภอเมือง จงั หวดั กระบ่ี พืน้ ทท่ี ากิน ชาวเลบา้ นแหลมตง ทาประมงในเขตเกาะเหลากา เกาะยูง เกาะไผ่ เกาะคู่ เกาะลนั ตา เกาะ เหลาหละ เกาะจานุย้ เกาะเหลาสี เกาะม่วง เกาะตูหลงั เกาะพีพี เกาะหมา เกาะบิหลนั เกาะซีม่า เกาะฮง่ั เกาะศรีบอยา อ่าวยาซ่า และบริเวณช่องเภา ในเขตจงั หวดั กระบี่ รวมถึงป่ าชายเลนใกลท้ ี่อยอู่ าศยั พืน้ ทที่ างจิตวญิ ญาณ พ้ืนท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิหรือพ้ืนที่ทางจิตวญิ ญาณ ของชาวเลบา้ นแหลมตง ไดแ้ ก่ ดาโต๊ะ (โต๊ะมะอิซา- โตะ๊ มะเนาะ), ดาโตะ๊ ใตต้ น้ ไทรใหญ่หนา้ หมูบ่ า้ น (ดาโตะ๊ ปูโฮดกายา่ ) และ พ้นื ท่ีสุสานปัจจุบนั (ปาตยั ญีรัย) โต๊ะมะอซิ า-โต๊ะมะเนาะ
๑๗๙ ปาตัยญรี ัย จานวนประชากร ชุมชนบา้ นแหลมตง มีชาวเลอาศยั อยู่ ๓๔ ครัวเรือน จาแนกไดด้ งั น้ี ชาย ๖๖ คน หญิง ๖๙ คน รวมเป็น ๑๓๕ คน ภาษา ชาวเลบา้ นแหลมตงมีภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจาวนั มีภาษาพูดแต่ไม่มีภาษาเขียน มี คาศพั ท์นอ้ ย คาศพั ทจ์ ะเขา้ ใจกนั เฉพาะกลุ่ม เป็ นภาษาท่ีแสดงถึงอตั ลกั ษณ์ของกลุ่มชาติพนั ธุ์ เช่น ปู เลากีแก๊ะ หมายถึง เกาะไผ่ , ปูเลาหรารัก หมายถึง เกาะยงุ , ปูเลสบรีบรี ลาโวย้ หมายถึง เกาะพีพีเล, ตา มาตา้ หมายถึง ตารวจ, ตาหา้ น หมายถึง ทหาร, กราป้ันตือบกั๊ หมายถึง เคร่ืองบิน, ลาแงะฮ หมายถึง ทอ้ งฟ้า, ฮูหยดั หมายถึง ฝนตก, มาตาอารี หมายถึง พระอาทิตย์, บรีตก๊ั หมายถึง ดาว, บูหลด๊ั หมายถึง พระจนั ทร์ เป็นตน้ วฒั นธรรม ประเพณ/ี เทศกาล ของชาวเลบา้ นแหลมตง ไดแ้ ก่ ประเพณลี อยเรือ ในอดีตชาวเลบา้ นแหลมมีพิธีกรรมการลอยกระจาด แต่ปัจจุบนั ไม่สามารถทาได้ จึงมีพิธีขอ ขมาและเปล่ียนเป็ นประเพณีลอยเรือแทน ซ่ึงจดั ข้ึนช่วงวนั ๗ – ๙ ค่า เดือน ๑๑ ของทุกปี ตามปฏิทิน จนั ทรคติไทย โดยมีข้นั ตอน ดงั น้ี
๑๘๐ ประเพณ ประเพณลี อยเรือชาวเลบ้านแหลมตง ช่วง ๗ ค่า เป็ นการขอขมาเจา้ ท่ีเจา้ ทาง เจา้ ป่ า เจา้ เขา และเจา้ ทะเล ให้ปกป้องคุม้ ครองดูแล ชาวเลบา้ นแหลมตงใหอ้ ยเู่ ยน็ เป็นสุข โดยมีขนมเจด็ สีสุกดิบ ไก่ยา่ งสุกดิบ กายาน ขา้ วตอก ธูป เทียน น้า ดื่ม น้าแดง มาเซ่นไหว้ เมื่อเสร็จพธิ ีขอขมาก็เร่ิมปอกไมร้ ะกาเพอื่ ทาเรือ “ปาฮูปาจ้กั ” จนเสร็จในคืนน้นั ช่วง ๘ ค่า มีการแห่เรือ ปาฮูปาจ้กั จากโรงเรียนบา้ นแหลมตงไปยงั หมู่บา้ นชาวเลแหลมตง ขบวนแห่เป็ นไปดว้ ยความร่ืนเริงสนุกสนาน เม่ือมาถึงหมู่บา้ น มีการตีรามะนา ร้องเพลงรองเง็ง ๗ เพลง ซี่งเรือจะนาไปลอยตอนรุ่งสางของอีกวนั ช่วง ๙ ค่า เป็ นการทาไม้ กายูพาด้กั มีรูปทรงคลา้ ยไมก้ างเขน ประดบั ดว้ ยพวงมาลยั ดอกไม้ มี ขบวนแห่ไมก้ ายพู าด้กั จากโรงเรียนบา้ นแหลมตงมายงั หมู่บา้ นชาวเล ในขบวนแห่จะมีความสนุกสนาน คร้ืนเครง เมื่อขบวนแห่มาถึงมู่บา้ น มีการตีรามะนาและร้องเพลงรองเง็ง ๗ เพลง รุ่งเชา้ ของอีกวนั จะ นาไม้ กายพู าด้กั ไปปักไวบ้ รอบ ๆ หมู่บา้ นเพอ่ื ป้องกนั สิ่งไมด่ ีตา่ ง ๆไมใ่ หเ้ ขา้ มาในหมู่บา้ น ประเพณเี ปอตดั ฌีไร้ (ประเพณีการแต่งเปรวหรือแตง่ สุสาน) เป็ นประเพณีที่ชาวเลทาเพ่ือระลึกถึงบรรพบุรุษท่ีล่วงลบั ไปแลว้ ดว้ ยการทาอาหารคาว หวาน ไปเซ่นไหว้ โดยมีโตะ๊ หมอ เป็ นผูท้ าพิธีให้ งานจะจดั ในวนั ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๔ ของทุกปี ชาวเลจะทาความ สะอาด บูรณะซ่อมแซม ตกแต่ง เปรวหรือสุสาน และหลุมศพ อีกท้งั ประเพณีน้ียงั เป็ นการไดพ้ บปะเครือ ญาติ เพราะจะมีพ่นี อ้ งชาวเลจากพ้ืนที่อื่นมาร่วมจากหลายพ้ืนที่ เช่น เกาะลนั ตา เกาะสิเหร่ เกาะจา เกาะหลี เป๊ ะ และราไวย์ ประเพณแี ต่งงาน ในอดีตหนุ่มสาวชาวเลจะแต่งงานอายุประมาณ ๑๔ – ๑๘ ปี และมีพิธีสู่ขอหม้นั หมาย โดย ผูใ้ หญ่ฝ่ ายชายจะไปขอถึง ๓ คร้ัง ถ้าตอบรับก็จะไปขอหม้นั หรือ “ปากยั ตูนงั ก่อนแต่ง ๓ วนั ฝ่ ายชาย จะตอ้ งอาสาทางานบา้ นผหู้ ญิง เช่น หาน้า ผา่ ฟื นเป็ นตน้ วนั แต่งงานขบวนแห่จะให้เจา้ บ่าวข่ีคอเดินวนซา้ ย
๑๘๑ รอบบา้ นเจา้ สาว ๓ รอบ ก่อนยา่ งเขา้ ประตูบา้ นผใู้ หญฝ่ ่ ายเจา้ สาวจะถามวา่ มีเรือไหม มีแหไหม มีฉมกไหม เจา้ บ่าวตอบวา่ “มี” กจ็ ะมีคนลา้ งเทา้ ใหก้ ่อนขา้ มเขา้ ธรณีประตู เพ่ือนเจา้ บ่าวจะนาเส่ือและหมอนไปวางใน หอ้ งเจา้ สาว เจา้ ถามจะประแป้งใหแ้ ขกที่มาร่วมงาน วนั รุ่งข้ึนพอ่ แมแ่ ละญาติพนี่ อ้ งจะส่งตวั เจา้ บ่าวเจา้ สาว ลงเรือไปผจญภยั ตามเกาะต่าง ๆ โดยมีขา้ วสาร น้าจืด เครื่องมือจบั ปลาไปดว้ ย เพื่อพิสูจน์ว่าฝ่ ายชายจะ สามารถเล้ียงดูภรรยาไดข้ าไปผชู้ ายจะเป็นคนกรรเชียงเรือโดยใหผ้ หู้ ญิงนงั่ หวั เรือ ขากลบั ผหู้ ญิงจะเป็ นฝ่ าย กรรเชียงเรือให้ผูช้ ายนงั่ หวั เรือ เป็ นท่ีเขา้ ไดไ้ ด่วา่ ท้งั คู่เป็ นสามีภรรยาตามพฤตินยั แลว้ เม่ือแต่งแลว้ ฝ่ ายชาย จะตอ้ งเขา้ ไปอยูบ่ า้ นฝ่ ายหญิง (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หน้า ๑๙๙) ปัจจุบนั ชาวเลบา้ นแหลมตง มีพิธี แต่งงานท่ีคลา้ ยกบั คนไทยพ้ืนถ่ิน เร่ิมต้งั แต่หนุ่มสาวชอบพอกนั ให้ผูใ้ หญ่ไปสู่ขอ มีสินสอดของหม้นั มี งานเล้ียงในหมู่ญาติและคนรู้จกั งานเล้ียงจะข้ึนอยู่กบั ฐานะของคู่บ่าวสาว บางคู่ก็มีการกินเล้ียงที่บา้ น อาหารในงานเล้ียง เช่นปลาทอด น้าชุบ แกงไก่ แกงหมู เป็นตน้ จะมีพธิ ีรดน้าใหพ้ ร โดยมีโต๊ะหมอเป็ นผทู้ า พิธี และญาติผใู้ หญ่ ชุดแต่งงานของคู่บ่าวสาวก็เป็ นไปตามสมยั นิยม ช่วงอายุของการแต่งงานจะอยทู่ ี่ยีส่ ิบ ปี ข้ึนไป จะมีการแตง่ งานงานระหวา่ งกลุ่มชาวเลดว้ ยกนั เองและต่างกลุ่ม และหลงั จากแต่งงานแลว้ การท่ีจะ อยบู่ า้ นของฝ่ ายไหนก็ข้ึนอยกู่ บั สะดวกและสถานท่ีทางานของฝ่ ายน้นั ประเพณแี ลกเปลย่ี นสิ่งของและชิงเปรต ในอดีตชาวเลบา้ นแหลมตงจะนาของทะเล เช่น ปลาเคม็ ปลายา่ ง ปะการัง ก้ลั ปังหา เปลือกหอย ไข่มุก กาไลกระ ไปแลกกบั เส้ือผา้ อาหาร ของใชจ้ าเป็ นกบั คนเมือง ในงานประเพณีสารทไทย หรือสารท เดือน ๑๐ โดยเดินทางไปล่วงหนา้ ๓ – ๕ วนั และร่วมพธิ ีชิงเปรต เพอื่ เก็บขนมพอง ขนมลา ขา้ วปลาอาหาร และเงินท่ีชาวพุทธนาไปต้งั ไหวเ้ ปรต เพ่ือนาไปไหวบ้ รรพบุรุษ เพราะเช่ือว่า ตอ้ งไปรับบุญไม่เช่นน้ัน วญิ ญาณบรรพบุรุษจะอดอยาก (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หนา้ ๑๙๗) หลงั จากเกิดเหตุกาณ์ภยั พิบตั ิสึนามิ เม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๗ ชาวเลบา้ นแหลมตงเร่ิมไม่ไดท้ าประเพณีน้ีเนื่องจากผูส้ ูงวยั ในชุมชนทะยอยเสียชีวิต เดก็ รุ่นหลงั ทางานเก่ียวกบั การท่องเที่ยง ไม่ค่อยไดห้ ยดุ เม่ือพ่อแม่ไม่ไดไ้ ปร่วมงานเดือนสอบ เด็ก ๆ ก็เลย ไม่ไดไ้ ปดว้ ย ทาใหข้ าดความตอ่ เน่ือง และคอ่ ย ๆ เลือนหายไปในท่ีสุด ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ เกิดโศกนาฏกรรมเรือล่มช่วงที่มีการเดินทางไปงานทาบุญเดือน ๑๐ ตรงกบั วนั ข้ึน ๑๐ ค่าเดือน ๑๐ ชาวเลมาข้ึนเรือที่ชายหาดอ่าวแหลมตง เตรียมของไปวดั เช่น กาไลกระ เปลือกหอย ปะการัง และปลายา่ งเพ่ือนาไปแลกกบั ขา้ วสาร เรือที่ชาวเลนง่ั ไปเป็ นเรือยนตข์ นาดบรรทุกของได้ ๕ ตนั มีผรู้ ่วมเดินทางท้งั หมด ๕๐ กวา่ คน ขณะกาลงั เดินทางมีพายเุ ขา้ และคล่ืนลมแรง เรือจมบริเวณระหวา่ งเกาะ นกและเกาะหวั ขวาน มีผเู้ สียชีวติ 25 คน เจา้ ของเรือก็เสียชีวิตดว้ ย มีคนรอดชีวิตหลายคนเพราะน้าทะเลซดั ไปติดที่หาดยาว ตาบลตลิ่งชัน อาเภอเหนือคลอง จงั หวดั กระบ่ี และไปข้ึนฝั่งที่คลองประสงค์ ๕ คน นบั เป็นเหตุการณ์ท่ีสะเทือนขวญั และเป็นการสูญเสียคร้ังใหญข่ องชาวเลบา้ นแหลมตง
๑๘๒ พธิ ีกรรม ชาวเลบา้ นแหลมตง มีพิธีกรรม ดงั น้ี พธิ ีศพ เมื่อมีสมาชิกในชุมชนเสียชีวติ จะก่อกองไฟไวห้ นา้ บา้ นผตู้ าย และจดั วางอาหารไวห้ นา้ กองไฟ ตลอด ๓ วนั ๓ คืน ถา้ เสียชีวิตในช่วงเช้าจะฝังศพตอนเย็น ถ้าเสียชีวิตหลงั เที่ยงวนั จะทาพิธีฝังใน วนั รุ่งข้ึน ผชู้ ายจะช่วยกนั ทาโลง และมีการอาบน้าศพ โดยโตะ๊ หมอจะอาบให้เป็ นคนแรก ต่อดว้ ยญาติพี่ นอ้ ง เพ่ือนบา้ น หลงั จากน้นั จะแต่งตวั ให้ผูต้ ายและทาน้ามนั หอมก่อนบรรจุลงในโลงศพท่ีปูดว้ ยเสื่อ และใชผ้ า้ ขาวยาว ๙ ศอก คลุมบนศพ นาขา้ วของเคร่ืองใชข้ องผตู้ ายใส่ไปในโลงศพดว้ ย แลว้ แห่ศพไป ฝังยงั สุสาน เมื่อโตะ๊ หมอทาพิธี ญาติพ่ีน้องจะช่วยกนั กลบหลุมศพ และปลูกมะพร้าวท่ีมีหน่อไวป้ ลาย เทา้ ศพ หลังจากน้ันอีก ๓ วนั จะเล้ียงอาหาร ดับกองไฟ และทาบุญผูต้ ายอีกคร้ัง ในพิธีแต่งเปลว (อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หนา้ ๒๐๑) พธิ ีรามะนา ทุก ๆ ๓ ค่า ๗ ค่า ๙ ค่า และ ๑๕ ค่า ชาวเลจะนาอาหารคาวหวานมาเซ่นไหว้ ประกอบด้วย กายาน เทียน น้า เหล้าขาว ไก่ย่าง ขา้ วเหนียวสุกสีขาว ขา้ วเหนียวสุกสีเหลือง และขนมเจ็ดสี ในการ ประกอบพิธีกรรมมีการร้องเล่นกลองรามะนา การแต่งกายในการเขา้ ร่วมพิธีกรรมในสมยั ก่อน ผหู้ ญิง นุ่งผา้ ถุงและใส่เส้ือคอกระเชา้ ผชู้ ายนุ่งกางเกงเลมีผา้ ขาวมา้ คาดเอว สถานท่ีประกอบพิธีกรรม ไดแ้ ก่ บริเวณหลาโตะ๊ มาเนาะ บริเวณตน้ มะขามคูโ่ ตะ๊ อีต้มั บริเวณตน้ ไทรหนา้ หมูบ่ า้ นโตะ๊ มะอีซา บริเวณช่อง ก่ิว บาตูกามยั พธิ ีรารองแงง็ การเล่นดนตรีรามาะนา และรารองเง็ง จะมีทุก ๑๕ ค่า ของทุกเดือน จดั ข้ึนเพ่ือเป็ นการขอขมา และขอบคุณทอ้ งทะเล ตามความเช่ือของชาวเลบา้ นแหลมตง พธิ ีแก้บน(แก้เหลย) ชาวเลจะมีการแกบ้ น เน่ืองจากไดบ้ นบานศาลกล่าวกบั สิ่งเหนือธรรมชาติท่ีตนเคารพนบั ถือวา่ ใหต้ นเองและครอบครัวหายจากการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย หรือประสบผลสาเร็จในเรื่องใดเรื่องหน่ึง ถา้ เป็ นไป เป็ นตามที่ได้ขอหรือบนบานไว้ ก็ตอ้ งมาแก้บนตามที่ไดพ้ ูดไว้ เช่น บนว่าถา้ หายป่ วยจะจดั ให้มีการ แสดงรามะนา หรือถวายอาหารคาวหวาน ก็ตอ้ งมาทาตามท่ีไดใ้ หพ้ นั ธะสัญญาไว้ คติ ความเช่ือ ตานาน ความเช่ือเร่ือง “โตะ๊ ” หรือ “ดาโตะ๊ ” ซ่ึงเป็ นวิญญาณบรรพบุรุษ แฝงตวั อยรู่ ่างต่าง ๆ ของสัตว์ เช่น เสือ ปลา นก งู จอมปลวก กอ้ นหิน หรือสถานท่ี เป็ นตน้ ,ความเชื่อเรื่องห้ามคนท่ีเป็ นแผลไปงาน
๑๘๓ ศพ เพราะจาใหแ้ ผลเปื่ อยมากข้ึน, ความเช่ือเรื่องตดั ไมร้ ะกาหรือไมต้ ีนเป็ ดเพ่ือใชใ้ นพิธีลอยเรือ หา้ มลบ หลู่สิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ หา้ มพูดจาไม่ดี ,ความเชื่อเรื่องคนที่คลอดลูกใหม่ ๆ ในขณะท่ีนอนอยู่ไฟ หา้ มให้คน อ่ืนไปเหยยี บหรือสะดุดเทา้ ,หา้ มขา้ มเชือกหวั เรือจะทาใหค้ ลอดยาก เป็นตน้ ความเช่ือในการทาคลอด หมอตาแยจะท่องบทสวดก่อนทาคลอด บา้ นท่ีมีใตถ้ ุนบา้ นจะก่อกอง ไฟไวใ้ ตถ้ ุน บา้ นท่ีไม่มีใตถ้ ุนก็จะก่อไฟไวใ้ นบา้ น บา้ นที่มีใตถ้ ุนจะนาตน้ หนามมาวางไวด้ า้ นล่าง เพ่ือ ป้องกันผี หลงั จากคลอดลูกแล้ว หมอตาแยจะนาหินทไปเผาไฟมาคลึงบริเวณหน้าท้องช่วงมดลูก จนเลือดหรือรกเด็กหลุดออกจนหมด และตาพริกไทยผสมเหล้าขาวให้ผูค้ ลอดกินและอยู่ไฟจนครบ ๔๔ วนั ตานานโตะ๊ บุหรง เชื่อวา่ โตะ๊ บุหรง สิงสถิตยใ์ นตวั นก สามารถห้ามฟ้าหา้ มฝนได้ จึงแกะสลกั รูปหัวนกไวบ้ นหัวเรือปลาจก๊ั ,,ตานานกาเนิดชาวเล, ตานานชาวเลเขา้ แขก, ตานานท่าราปูเหล็กไฟ, ตานานคล่ืนเจด็ ลูกหรือ “รูมกั ตูโยะ”,(อาภรณ์ อุกฤษณ์ ๒๕๕๔, หนา้ ๑๘๙ – ๑๙๓) ศิลปะการแสดง รองเง็ง เป็ นการแสดงที่มีการร้องและการราคลา้ ยคลึงกบั การเล่นรามะนา บทเพลงจะขบั เป็ นภาษา มลายูกลาง เรียกวา่ ขบั แขก จะเร่ิมตน้ ดว้ ยเพลงลาฆูดูวอ จะเล่นเพลงอ่ืน ๆ ไปตามลาดบั บา้ นแหลม ตงมีนายร่าหิน ประมงกิจ เป็ นหัวหน้าวง เล่นไวโอลินและตีกลองรามะนา นายหยงั ชาวน้า ตีกลอง รามะนา และนายลอแล ตีกลองรามะนา นางรา ไดแ้ ก่ นางอาชิบ นางแม๊ะหนา นางแม๊ะนุ้ย นางแซ๊ะ หนา และนางปิ ยะ ทะเลลึก การเล่นดนตรีรามาะนาและรารองเง็งจะมีทุกคืน ๑๕ ค่า ของทุกเดือน เพ่ือ เป็นการขอขมาและขอบคุณทะเลตามความเช่ือของชาวเลบา้ นแหลมตง รามะนา เป็ นการแสดงพ้ืนบา้ น ใช้เล่นในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีลอยเรือ แต่งเปลว พิธีแกบ้ น เครื่อง ดนตรีประกอบกว้ ย กลองรามะนา ๒ – ๓ ใบ กลองทน ๒ ใบ ซอหรือไวโอลิน ๑ ตวั อาจจะเพ่ิมฉิ่งหรือ ฉาบกไ็ ด้ ภูมิปัญญาท้องถิน่ ภูมิปัญญาของชาวเลบา้ นแหลมตง ในการประกอบอาชีพ ไดแ้ ก่ การทาบูบูอีกดั (ไซปลา), การ ทาบูบูนุยฮ (ไซปลาหมึก), การทาปูกยั จ ฮูรัก(อวนกงุ้ ), ภูมิปัญญาดา้ นการดูกระแสน้า, ดูทิศทางลม, การ โคจรของดวงจนั ทร์และดวงดาว, ภูมิปัญญาดา้ นหัตถกรรม ไดแ้ ก่ การต่อเรือปลาจก๊ั ,จกั สานฝาบา้ น
๑๘๔ เยบ็ จากมุงหลงั คาบา้ น สานตระกร้าเก็บหอย, ทาแว่นตาดาน้า,ภูมิปัญญาดา้ นการถนอมอาหาร เช่น ทา น้าพริกปลายา่ ง, ปลาคว่ั เคร่ืองแกง, ปลาเคม็ (ปลาแห้ง), หน่อไมด้ อง, สะตอดอง, การทากะปิ จากกุง้ เคย ตวั เล็ก,ลูกหูกวางเคลือบน้าตาล เป็นตน้ แว่นตาดานา้ ตระกร้าเกบ็ หอย การถนอมอาหาร ลูกหูกวางเคลือบนา้ ตาล
๑๘๕ การละเล่น เด็กชาวเลบา้ นแหลมตง เล่น กระโดดเชือก (อูซิ ปัฮ มู ปัฮ, หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง (อูซิ มฮั รู มฮั ), หมากเก็บ (อูซิ โมยฮ ซา โมยฮ), ไล่จบั (อูซิ รีบารี) เป็นตน้ วถิ ีชีวติ จาแนกตามวฒั นธรรมปัจจยั ๔ไดด้ งั น้ี ทอี่ ยู่อาศัย ชาวเลบา้ นแหลมตง สร้างท่ีพกั อาศยั เป็ นกลุ่มใกล้ ๆ กนั เป็ นบา้ นช้นั เดียว บางหลงั เป็ นบา้ น สองช้นั หลงั ไม่ใหญ่ เป็ นบา้ นก่ออิฐถือปูน หลงั คามุงสังกะสี โครงสร้างบา้ นมีความแขง็ แรง มีไฟฟ้า ใชท้ ุกครัวเรือน มีน้าบอ่ จานวน ๒ บ่อ (บอ่ น้าซบั ) สภาพทวั่ ไปของชุมชนค่อนขา้ งแออดั เพราะมีพ้ืนที่ นอ้ ย และที่ดินที่ปลูกสร้างบา้ นไม่มีเอกสารสิทธ์ิ บ้านชาวเลบ้านแหลมตง การแต่งกาย ในอดีตชาวเลบา้ นแหลมตงจะแต่งกายดว้ ยเส้ือผา้ ไม่มากชิ้น ผูช้ ายนุ่งผา้ ขาวมา้ ผืนเดียว หรือ กางเกงชาวเลผา้ ขาวมา้ คาดเอว ไม่สวมเส้ือ ผูห้ ญิงอยูบ่ า้ นจะนุ่งผา้ กระโจมอก ไม่สวมเส้ือ ถา้ ออกไป ขา้ งนอกจะสวมเส้ือและนุ่งผา้ ปาเตะ๊ สีสด ๆ ปัจจุบนั ชาวเลส่วนใหญ่แต่งกายตามสมยั นิยม ผูช้ ายใส่เส้ือ ยืด กางเกงยืนส์ ส่วนผูห้ ญิงใส่เส้ือผา้ ตามแฟช่นั สีสดใส แต่งหน้า ยอ้ มสีผม ใส่ เครื่องประดบั ส่วน ชาวเลสูงวยั ผูช้ ายอยูบ่ า้ นจะนุ่งผา้ ขาวมา้ หรืกางเกงชาวเล ไม่สวมเส้ือ ส่วนผหู้ ญิงถา้ อยกู่ บั บา้ นจะนุ่งผา้ ปาเตะ๊ สวมเส้ือคอกระเชา้ หรือเส้ือหลวม ๆ สบาย ๆ
๑๘๖ การแต่งกายของชาวเลบ้านแหลมตงในปัจจุบัน การรักษาโรค ชาวเลมีความเชื่อว่าการเจ็บป่ วย เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติหรือผีบรรพบุรุษ ถา้ เจ็บไขเ้ พียง เล็กน้อยก็จะรักษาเองดว้ ยสมุนไพร หรือให้โต๊ะหมอรักษา และทาน้ามนต์ ปัจจุบนั ชาวเลเขา้ ถึงการ รักษาโรคแผนปัจจุบนั มากข้ึน แต่การรักษาโรคแบบพ้ืนบา้ นก็ยงั คงมีใช้ควบคู่ไปกบั การรักษาแผน ปัจจุบนั สมุนไพรของชาวเลส่วนใหญ่จะเป็ นพืชที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ หรือพืชที่ข้ึนบริเวณพ้ืนที่ เกาะ และบางส่วนก็ปลูกเอง มีสรรพคุณที่แตกต่างกนั ไป ช่วยรักษาโรคบา้ ง ช่วยบรรเทาอาการบา้ ง มี สมุนไพรท่ีชาวเลใชใ้ นการรักษาโรค ดงั น้ี ๑. หญ้าคา ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ ลาลกั ส่วนที่นามาปรุงยา คือ หน่อที่ข้ึนติดกับลาต้นท่ีโผล่ข้ึนมาจากพ้ืนดิน มีสรรพคุณช่วยขับ ปัสสาวะ วธิ ีทา เก็บหน่อสองคร้ัง คร้ังแรกเก็บ ๗หน่อ คร้ังท่ีสองเก็บ ๕ หน่อ ทุกคร้ังที่เก็บจตอ้ งกล้นั
๑๘๗ หายใจ และอยา่ ยนื ในตาแหน่งท่ีทบั เงาตวั เอง ตอ้ งยืนให้เงาตนเองอยูด่ า้ นหลงั เม่ือไดห้ น่อของหญา้ คา ครบแลว้ นามาลา้ งให้สะอาด ตม้ น้าให้เดือดแลว้ ใส่หน่อของหญา้ คาท่ีเตรียมไวล้ งไป เติมเกลือลงไป เล็กนอ้ ย นาไปดื่ม ๒. ต้นไมยราบ ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ ปูโจ๊ะ โดะฮีโด๊ะ ฮาตู ส่วนท่ีนามาปรุงยา คือ ใบ มีสรรพคุณช่วยในการนอนหลบั ของเด็กทารกแรกเกิด ไม่ให้ร้อง ไหห้งอแงช่วงพลบค่า และยงั ช่วยในเร่ืองการรักษาอาการคนั ของผิวหนงั วธิ ีทา เก็บใบสองคร้ัง คร้ัง แรก ๗ ใบ คร้ังท่ีสอง ๕ ใบ เวลาเก็บใบตอ้ งกล้นั หายใจและอยา่ ยนื ในตาแหน่งที่ทบั เงาตวั เอง ตอ้ งยืน ใหเ้ งาของตนเองอยดู่ า้ นหลงั เม่ือไดใ้ บมาครบแลว้ นาไปลา้ งใหส้ ะอาด ตาใหล้ ะเอียด ถา้ ใชก้ บั เด็กทารก กน็ าไปโปะที่กระหม่อม ถา้ ใชบ้ รรเทาและรักษาอาการคนั ผวิ หนงั ก็ทาบริเวณที่คนั ๓. ใบกะเพรา ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ ปโู จ๊ะ รูกู ส่วนที่นามาปรุงยา คือ ใบ มีสรรพคุณ แกท้ อ้ งอืด ทอ้ งข้ึน วิธีทา เด็ดใบกะเพราพอประมาณ วางบนฝ่ ามือใส่น้าและปูนแดงเลก็ นอ้ ย ขย้บี นฝ่ ามือใหล้ ะเอียด แลว้ นาไปทาบริเวณทอ้ ง
๑๘๘ ๔. กระเทียมหวั กบั ใบพลู ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ บาวกั ปเู ตฮ ส่วนที่นามาปรุงยา คือ กระเทียม กบั ใบพลู มีสรรพคุณช่วยแกไ้ ขส้ ูง วิธีทา หน่ั กระเทียมบาง ๆ และหนั่ ใบพลูใหเ้ ป็ นฝอย แลว้ นากระเทียมที่หน่ั บาง ๆ และใบพลูท่ีหนั่ เป็ นฝอยใส่ลงไปในน้าท่ีเตรียม ไว้ ใชม้ ือขย้กี ระเทียมและใบพลูในภาชนะท่ีเตรียมไวเ้ บา ๆ จนน้าเริ่มเปล่ียนสีแลว้ นาน้าท่ีไดไ้ ปเช็ดตวั ๕. ใบน้อยหน่า ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ ดาโวด นูนัง ส่วนท่ีนามาปรุงยา คือ ใบ มีสรรพคุณแกร้ ้อนใน ลดไข้ วธิ ีทา นาใบนอ้ ยหน่าพอประมาณใส่ ลงไปนภาชนะที่เตรียมไว้ เติมน้าลงไปในภาชนะ ใชม้ ือขย้จี นน้าเร่ิมเปล่ียนสี แลว้ นามามาอาบหรือเช็ดตวั ๖. ใบลาโพง ภาษาอูรักลาโวย้ เรียกวา่ ดาโวด จดรารด ส่วนที่นามาปรุงยา คือ ใบ มีสรรพคุณ แกห้ อบหืด วธิ ีทา นาใบลาโพงมาตาใหล้ ะเอียดใส่ปูน แดงลงไปเล็กนอ้ ย แลว้ ทาบริเวณช่วงหนา้ อกและหลงั จะช่วยใหห้ ายใจสะดวกข้ึน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226