Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)

ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)

Description: ธรรมบท ภาคที่ 6 แปลโดยพยัญชนะ ฉบับสองภาษา (ไทย-บาลี)

Search

Read the Text Version

www.kalyanamitra.org

คณะผู้จดั ทำ� ผู้อุปถมั ภ์โครงการ พระเทพญาณมหามุนี เจา้ อาวาสวดั พระธรรมกาย พระราชภาวนาจารย ์ รองเจา้ อาวาสวดั พระธรรมกาย ทปี่ รึกษา พระมหา ดร. สมชาย ฐานวฑุ ฺโฒ พระมหาสมเกียรติ วรยโส ป.ธ.๙ พระมหาบุญชยั จารุทตฺโต พระมหาวรี วฒั น ์ วรี วฑฺฒโก ป.ธ.๙ พระมหา ดร. สุธรรม สุรตโน ป.ธ.๙ พระครูใบฎีกาอำ� นวยศกั ด์ิ มุนิสกฺโก พระมหา ดร. สมบตั ิ อินฺทปญฺโญ ป.ธ.๙ พระมหาวทิ ยา จิตฺตชโย ป.ธ.๙ เรียบเรียง พระมหาอารีย ์ พลาธิโก ป.ธ.๗ พระมหาสมบุญ อนนฺตชโย ป.ธ.๘ จดั รูปเล่ม พระมหาสมบุญ อนนฺตชโย ป.ธ.๘ พระมหาวนั ชนะ ญาตชโย ป.ธ.๕ พระมหาอภิชาติ วชิรชโย ป.ธ.๗ พระมหาเฉลิม ฉนฺทชโย ป.ธ.๔ ผู้ตรวจทาน นายนอ้ ม ดาดขนุ ทด ป.ธ.๖ อาจารยส์ อนบาลีประโยค ป.ธ.๓ สำ� นกั เรียนวดั พระธรรมกาย ออกแบบปก/ภาพวาด พระมหาสมบุญ อนนฺตชโย และ กองพทุ ธศิลป์ วดั พระธรรมกาย พมิ พ์คร้ังที่ ๑ : กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำ� นวน ๑,๕๐๐ เล่ม พิมพท์ ่ี โรงพมิ พ์ โอ เอส พริ้นติ้ง เฮา้ ส์ จำ� กดั พมิ พ์คร้ังที่ ๒ : กรกฎาคม ๒๕๕๗ จำ� นวน ๒,๐๐๐ เล่ม พมิ พท์ ี่ โรงพิมพ์ โอ เอส พริ้นติ้ง เฮา้ ส์ จำ� กดั พมิ พ์คร้ังท่ี ๓ : กรกฎาคม ๒๕๕๘ จำ� นวน ๒,๐๐๐ เล่ม พมิ พท์ ่ี โรงพมิ พเ์ ล่ียงเชียง เพยี รเพือ่ พทุ ธศาสน์ ลขิ สิทธ์ิ : สำ� นกั เรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผลติ สื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 1 www.kalyanamitra.org

คำ� น�ำ ส ามเณรดว้ ยดตรงั คะหำ� กนลกั ่าแวลยะนื เหยนน็ั คขวอางมพสรำ�ะคเญดั ชอพยา่รงะยคง่ิ ุยณวพดรขะอเงทกพารญศากึ ณษมาพหราะมปุนรี ิยตั (ธิ หรลรมวงพขออ่ งธพมั รมะชภโกิ ยษ)ุ ซ่ึงไดก้ ล่าวไวใ้ นโอกาสท่ีไดจ้ ดั งานมุทิตาสกั การะแก่พระภิกษุสามเณร ผสู้ อบไดเ้ ปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๓ อนั เป็นปี ท่ี ๑๓ ของการจดั งานมุทิตาสกั การะแก่พระ ภิกษุสาม“ผเณทู้ ร่ีสผอสูบ้ อไดบเ้ไปดรเ้ียปญรียธญรรธมรรมถือ๙วปา่ เรปะ็นโยคววรี บา่ ุรุษกองทพั ธรรม เป็นผนู้ ำ� ความภาคภมู ิใจ มแศขข ลึกอาอสะษงงผู่คพทาทูอ้ณุรกยี่กะพะทนู่ำ�พสร่าล้ี ะุทนงงัมเฆจธดีคะ์ศชวสหผาพาอสลูจ้มรบนวะะสไงเคาำ�ปพดสณุค็ นต้อ่ืบญัพารกตมมรู้สำ�่อมะาึลกไกเาทงชัปส่ืพนแใใ�ำหนชลญคเมะ้อหาญัยยณน็นงนัิใามมคนคดหวีผตีเกาปาคู้”ามม็นนรสนุ อททำ�ี ย้คงำั�(า่หงหญั งาลลยแนวาง่ิลพยแงะรพลรรอะ่อะบั คปธศรอมูัร้วายสาา่มรแนชถสลโาน่ิะงยทป)าจี่ทรเเะจพาา่ ใารน้ื่อหสถทคำ�ก้น้งันวำ�าหาลกัจมลงเัะราใเเียจยหจนกรแ็นิำญ�กลคม่ผยงวัคี ทู่ิง้พาวยี่มสาาืนกสมอเนบยำ�พเนิาไรยี นดด็จรี้ ไเพ สสขปดอานร็ นมงม้ะบั พอเาปณสรรยร่ะวนรา่ิยแภมงทุตนัลยกิปว่ัิธะเ่ิงษปปรไรทสึ็ุกดนรร่ีจาษมมะ้กมะเด ีาำ�ท สเณขำล� ศนรเองัพริใบังใทหต่ือพจสว่ั้งจกั้ รปแนดัาอะรตรทุนภีกะพ่ปำ�เิกท ีทฒพั ษ้งัศโทุแนมคุส ลธรารุ่งาวกะศงหมมกขากัเมณรถาอรราศงึาปรยสเึกชป จว่ง ษ็ตนะเา๒สาลรสกรพณอ๕่ื่ออิมรดกใา๓สะไหทลน๑ปปาี่จ้เงบกัรตะโใิิยดสรเหดปตักนายค้็ิบธนานุมณรรนสกีวตระ่าาวตัสม่ืนรนนถงศใตเุปฆหทหกึ วั รผน่าษ์ก้ดะนบู่้าึา้งา้สพวารนนิงหหรกคะานใารห์ปนรา้กรลศกาิยกไัึรกาตัปรศษเธิสกึพใารนษ่งพอ่ืรเาทใมสรทหิศะขรว่ัทก้ิปมอสาางรกงัรงพิยฆาสเดตรัรม่งะีศยิธณเภวสึกรฑกกิรรษินษัมมลาุ เโปดรยียเรญ่ิมธตรน้ รจมาก๙กาปรรถะวโายยทคุน กกาารรศจึกดั ษพาิมพกต์ าำ�รรจาดั คงู่มานือมบทุ าลิตีาถสวกัายกแารกะ่สแ�ำกน่พักรเะรภียิกนษทสุ ี่สานมเใณจรแผลสู้ ะออบื่นไๆด้ ท เขแจปาลอ่ีจ็นกะะงตวพไปำทิ�ดรร.ธยร้ะอาหิา.เภน๓รแนทิ่ิกม่ึงลาังนษหจนะส้ีด ัุบสาื อแทกทรูาธกหามพำ�รง่ผในเราคณนศู้จมงัณึกโารสบรอษาือทยจกาผทเ์าสอลาแูร้้งสัอย่มยรหาต่งนโ์กงลภ่อร้ียเเารตงาไงัยิ่ษเมปม็มร าีศยทีกจนบึกา่ี ดั รษพาใพลขหารมิ-ีาภเ้ะไรดพปาทียตขษ์นรยก้นึิยารบบตภูัไ้ เิธกดาพาลครงพ้อ่ื าร่ี ร๑สยม่แอแ่ง-ลงเไล๘สปดะะ ร รผสร้สิมวะสูะ้ ำ�สบกดหนนารวรใรวบกั ับจใมยสทดนงเ่ิ นรว่ัขกัียุนไ้นึเบรปหกียเรารนีรืยอเศบพงมขกึา่ือีข้นึลษออ้ ีชาำ�โเพ้สนันดรนปวยะออยรปปะาแรศโนริยยยั ะะตัคคโทิธวย๑ี่รเาปช-มร๒็นนมรู้ ์ ประโยชน์ ขอความอนุเคราะห์โปรดแจง้ ใหท้ างสำ� นกั เรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย จทดัรพาบิมดพว้ ค์ ยร้ังจตะ่อเไปป็ นพระคุณอยา่ งย่ิง เพ่ือจะไดน้ ำ� มาปรับปรุงแกไ้ ขให้บริบูรณ์ย่ิงข้ึน ในการ สำ� นกั เรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย จ.ปทุมธานี 2 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

สารบัญธรรมบทภาค ๖ หน้า ๑ เรื่อง ๖ ๑๒. อตั ตวรรค วรรณนา ๙ ๑. เร่ืองโพธิราชกมุ าร ๑๑ ๒. เรื่องพระอุปนนั ทศากยบุตร ๑๖ ๓. เร่ืองพระปธานิกติสสเถระ ๑๙ ๔. เร่ืองมารดาของพระกมุ ารกสั สปเถระ ๒๐ ๕. เรื่องมหากาลอุบาสก ๒๒ ๖. เร่ืองพระเทวทตั ๒๔ ๗. เรื่องตะเกียกตะกายเพือ่ ทำ� ลายสงฆ ์ ๒๕ ๘. เรื่องพระกาลเถระ ๒๘ ๙. เร่ืองจุลกาลอุบาสก ๓๐ ๑๐. เร่ืองพระอตั ตทตั ถเถระ ๓๓ ๑๓. โลกวรรค วรรณนา ๓๔ ๑. เร่ืองภิกษุหนุ่ม ๓๖ ๒. เรื่องพระเจา้ สุทโธทนะ ๓๗ ๓. เรื่องภิกษุผเู้ จริญวปิ ัสสนา ๓๙ ๔. เร่ืองอภยั ราชกมุ าร ๔๔ ๕. เร่ืองพระสมั มชั ชนเถระ ๔๖ ๖. เรื่องพระองั คุลิมาลเถระ ๕๑ ๗. เรื่องธิดาของนายช่างหูก ๕๗ ๘. เรื่องภิกษุ ๓๐ รูป ๖๑ ๙. เรื่องนางจิญจมาณวกิ า ๖๗ ๑๐. เร่ืองอสทิสทาน ๙๔ ๑๑. เรื่องนายกาละบุตรของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ๑๐๐ ๑๔. พทุ ธวรรค วรรณนา ๑๐๒ ๑. เร่ืองธิดามาร ๑๐๕ ๒. เร่ืองยมกปาฏิหาริย ์ ๑๑๒ ๓. เรื่องนาคราชช่ือเอรกปัตต ์ ๑๑๓ ๔. เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ ๑๑๕ ๕. เรื่องภิกษุผไู้ ม่ยนิ ดี ๖. เร่ืองปุโรหิตช่ืออคั คิทตั ต ์ ๗. เร่ืองปัญหาของพระอานนทเถระ ๘. เรื่องภิกษุหลายรูป ๙. เรื่องเจดียท์ องของพระกสั สปทศพล ผลิตส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 3 www.kalyanamitra.org

เรื่อง หน้า ๑๑๙ ๑๕. สุขวรรค วรรณนา ๑๒๒ ๑. เร่ืองทรงระงบั ความทะเลาะแห่งหมู่พระญาติ ๑๒๔ ๒. เรื่องมาร ๑๒๕ ๓. เรื่องปราชยั ของพระเจา้ โกศล ๑๒๗ ๔. เรื่องเดก็ หญิงในสกลุ คนใดคนหน่ึง ๑๒๙ ๕. เร่ืองอุบาสกคนใดคนหน่ึง ๑๓๓ ๖. เรื่องพระเจา้ ปเสนทิโกศล ๑๓๔ ๗. เรื่องพระติสสเถระ ๑๓๘ ๘. เร่ืองทา้ วสกั กะ ๑๔๑ ๑๔๓ ๑๖. ปิ ยวรรค วรรณนา ๑๔๕ ๑. เรื่องบรรพชิต ๓ รูป ๑๔๖ ๒. เเรร่ืื่อองงนกฎุางุมวพสิ ีคานขาใอดุบคนาสหิกนา่ึง ๑๔๙ ๓. ๑๕๑ ๔. เร่ืองเจา้ ลิจฉว ี ๑๕๓ ๕. เรื่องอนิตถิคนั ธกมุ าร ๑๕๕ ๖. เร่ืองพราหมณ์คนใดคนหน่ึง ๑๕๘ ๗. เร่ืองเดก็ ๕๐๐ คน ๑๖๓ ๘. เร่ืองพระอนาคามิเถระ ๑๖๕ ๙. เร่ืองนายนนั ทิยะ ๑๗๕ ๑๗๗ ๑๗. โกธวรรค วรรณนา ๑๘๑ ๑. เรื่องเจา้ หญิงโรหิณี ๑๘๔ ๒. เร่ืองภิกษุรูปใดรูปหน่ึง ๑๘๘ ๓. เร่ืองอุตตราอุบาสิกา ๔. เรื่องปัญหาของพระโมคคลั ลานเถระ ๕. เร่ืองปัญหาท่ีพวกภิกษุทูลถาม ๖. เร่ืองปุณณทาสี ๗. เร่ืองอตุลอุบาสก ๘. เรื่องภิกษุฉพั พคั คีย ์ 4 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๑๒. อ.กถาเอปัน็ นบเคณั รฑ่ือตงิ พกรำ� รหณนนดแาซล่งึ้วเดน้วือ้ ยคตวนามแห่งวรรค ๑๒. อตตฺ วคคฺ วณฺณนา (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ ๑. โพธิราชกุมารวตถฺ ุ. ๑. อ.เร่ือ(งอแันหข่ง้าพพรเะจร้าาชจกะุมกลาร่าพว)รฯะนามโพธิ อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเภสกฬาวนั ทรงปรารภ “อตตฺ านญเฺ จติ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า เภสกฬาวเน ซงึ่ พระราชกมุ ารพระนามวา่ โพธิ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ วหิ รนฺโต โพธิราชกมุ ารํ อารพฺภ กเถส.ิ อตตฺ านญเฺ จ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ (อ.พระราชกมุ ารพระนามวา่ โพธ)ิ นนั้ ทรงยงั นายชา่ ง โส กิร ปฐวีตเล อญฺเญหิ ปาสาเทหิ อสทิสรูปํ ให้กระท�ำแล้ว ซึ่งปราสาทชื่อว่าโกกนทะ อันมีรูปไม่เช่นกับ อากาเส อปุ ปฺ ตมานํ วยิ โกกนทนนฺ าม ปาสาทํ กาเรตวฺ า ด้วยปราสาท ท. เหลา่ อ่ืน บนพืน้ แหง่ แผน่ ดนิ อนั ราวกะวา่ ลอยอยู่ วฑฺฒกึ ปจุ ฺฉิ “กึ ตยา อญฺญตฺถาปิ เอวรูโป ในอากาศ ตรัสถามแล้ว ซง่ึ นายชา่ ง วา่ อ.ปราสาท มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป ปาสาโท กตปพุ ฺโพ, อทุ าหุ ปฐมสปิ ปฺ เมว เต อิทนฺต.ิ เป็นปราสาท อนั ทา่ น เคยกระท�ำแล้ว (ในท่ี) แม้อ่ืน (ยอ่ มเป็น) หรือ “ปฐมสปิ ปฺ เมว เทวาติ วตุ ฺเต, โส จินฺเตสิ หรือวา่ (อ.ศลิ ปะ) นี ้เป็นศลิ ปะครัง้ แรก ของทา่ น นนั่ เทยี ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.ศลิ ปะนี)้ เป็นศลิ ปะครัง้ แรกนนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้(อนั นายชา่ ง) กราบทลู แล้ว, (อ.พระราชกมุ ารพระนามวา่ โพธิ)นนั้ ทรงด�ำริแล้ว วา่ ถ้าวา่ (อ.นายชา่ ง) นี ้ จกั กระท�ำ ซง่ึ ปราสาท มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป “สเจ อยํ อญฺญสฺสาปิ เอวรูปํ ปาสาทํ กริสสฺ ต,ิ (แก่บคุ คล) แม้อื่น ไซร้, อ.ปราสาท นี ้ เป็นปราสาทไมน่ า่ อศั จรรย์ อยํ ปาสาโท อนจฺฉริโย ภวิสสฺ ต;ิ อิมํ มยา มาเรตํุ วา จกั เป็น, อ.อนั อนั เรา (ยงั นายชา่ ง) นี ้ ให้ตาย หรือ หรือวา่ อ.อนั หตฺถปาเท วาสสฺ ฉินฺทิตํุ อกฺขีนิ วา อปุ ปฺ าเตตํุ วฏฺ ฏต,ิ (อนั เรา) ตดั ซง่ึ มือและเท้า ท. (ของนายชา่ ง) นนั้ หรือวา่ อ.อนั เอวํ อญฺญสฺส ปาสาทํ น กริสสฺ ตีต.ิ (อันเรา) ควักขึน้ ซึ่งนัยน์ตา ท. (ของนายช่างนัน้ ) ย่อมควร, (อ.นายชา่ ง) จกั ไมก่ ระทำ� ซงึ่ ปราสาท (แกบ่ คุ คล) อนื่ ด้วยประการฉะนี ้ ดงั นี ้ฯ (อ.พระราชกมุ ารพระนามวา่ โพธิ) นนั้ ตรัสบอกแล้ว ซง่ึ เนือ้ โส ตมตถฺ ํ อตตฺ โน ปิยสหายกสสฺ สญชฺ วี กปตุ ตฺ สสฺ ความ นนั้ แก่มาณพ ผ้เู ป็นบตุ รของสญั ชีวก ผ้เู ป็นสหายผ้เู ป็นท่ีรัก มาณวกสฺส กเถส.ิ โส จินฺเตสิ “นิสสฺ ํสยํ เอส วฑฺฒกึ ของพระองค์ ฯ (อ.มาณพ) นนั้ คดิ แล้ว วา่ (อ.พระราชกมุ าร) นนั่ นาเสสสฺ ต,ิ อนคฺโฆ สปิ ปฺ ิ โย, มยิ สนฺเต มา นสสฺ ต,ุ จกั ยงั นายชา่ ง ให้ฉบิ หาย โดยความไมม่ แี หง่ ความสงสยั , (อ.บคุ คล) สญฺญมสฺส ทสสฺ ามีต.ิ ผ้มู ศี ลิ ปะ เป็นผ้หู าคา่ มไิ ด้ (ยอ่ มเป็น), ครนั้ เมอื่ เรา มอี ยู่ (อ.นายชา่ ง ) จงอยา่ ฉิบหาย, (อ.เรา) จกั ให้ ซง่ึ สญั ญา (แก่นายชา่ ง) นนั้ ดงั นี ้ ฯ (อ.มาณพ) นนั้ เข้าไปหาแล้ว (ซงึ่ นายชา่ ง) นนั้ ถามแล้ว วา่ นโนาตเสิ โตสปกุ จุ าตฺฉโํ มิตอ,ฺวปุ าส,ตงสฺก“มฺ นมาิฏิตฺฐฺวติอานต“ฺตฺตปิาานวสํตุ าฺเเรตทก,ฺเขเต“ยรฺยากาชมสกมฺตีมุ ํิานโอริฏาฺฐหตติ .ํํ อ.การงาน ของทา่ น ในปราสาท สำ� เร็จแล้ว (หรือ หรือวา่ อ.การงาน ของทา่ น ในปราสาท) ไมส่ ำ� เร็จแล้ว ดงั น,ี ้ (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ (อ.การงาน ของข้าพเจ้า ในปราสาท) สำ� เร็จแล้ว ดงั นี ้(อนั นายชา่ ง) กลา่ วแล้ว, กล่าวแล้ว ว่า อ.พระราชกุมาร เป็ นผู้ประสงค์เพื่ออัน ยังท่าน ให้ฉิบหาย (ยอ่ มเป็น), เพราะเหตนุ นั้ (อ.ทา่ น) พงึ รักษา ซงึ่ ตน ดงั นี ้ฯ ผลิตสอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 1 www.kalyanamitra.org

อ.นายชา่ ง กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตน่ าย (อ.กรรม) อนั เจริญ อนั ทา่ น วฑฺฒกี “ภทฺทกนฺเต สามิ กตํ มม อาโรเจนฺเตน, ผ้บู อกอยู่ แก่ข้าพเจ้า กระท�ำแล้ว, อ.ข้าพเจ้า จกั รู้ (ซง่ึ กรรม) อนั อหเมตฺถ กตฺตพฺพํ ชานิสสฺ ามีติ วตฺวา, “กึ สมมฺ (อนั ข้าพเจ้า) พงึ กระท�ำ (ในเรื่อง) นี ้ ดงั นี,้ ผู้ อนั พระราชากมุ าร ทป“อกมาฏุ ึ รฺหฺกโูนฐาม,ิ กมฺ ํ“ตํ นนปาาาวตมสาาอวอเทวาสเหทฏิรเวตฺาฐเนปนฺกตถิฏม.ิ ฺาฐ“มฺ ตติปํ .ิํ,จนฺฉพิฏ“ากหฺฐึํเุติ ทอนทววฺตาสอิรฏิาูนรฺจฐาิ นิกชฺตฺนขกิสิามุ มสฺอาาาาเรมหตนิ,..ิ ตรสั ถามแล้ว วา่ แนะ่ สหาย อ.การงาน ของทา่ น ในปราสาท ของเรา ท. ส�ำเร็จแล้ว หรือ ดงั นี,้ กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.การงาน ของข้าพระองค์) ไมส่ ำ� เร็จแล้ว ก่อน, (อ.การงาน) อนั มาก เหลือลงแล้ว ดงั นี ้ (อ.พระราชกมุ าร ตรัสถามแล้ว) วา่ ช่ือ “นิสฺสารานิ สกุ ฺขทารูนิ เทวาต.ิ โส อาหราเปตฺวา อ.การงาน อะไร เหลือลงแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.นายชา่ ง กราบทลู แล้ว) วา่ อทาส.ิ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้สู มมตเิ ทพ (อ.ข้าพระองค)์ จกั กราบทลู ในภายหลงั , (อ.พระองค์ ท.) ขอจง (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้น�ำมา ซงึ่ ไม้ ท. ก่อน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชกมุ าร ตรัสถามแล้ว) วา่ (อ.เรา จะยงั ราชบรุ ุษ ให้นำ� มา) ชอ่ื ซงึ่ ไม้ ท. อยา่ งไร ดงั นี ้ฯ (อ.นายชา่ ง กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.พระองค์ ท. ขอจงทรงยงั ราชบรุ ุษ ให้น�ำมา) ซงึ่ ไม้อนั แห้ง ท. อนั มีแก่นออกแล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.พระราช- กมุ าร) นนั้ (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้น�ำมาแล้ว ได้พระราชทานแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ (อ.นายชา่ ง) กราบทลู แล้ว (กะพระราชกมุ าร) นนั้ วา่ อถ นํ อสาขุ หมุ กม“เมฺทํวกโอริโนตฺตสปสฺ ฏฺฐหาิ ยอญมฺเญม นสนสฺตทกิฺธํึ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อนั พระองค์ ท.) ไมพ่ งึ เสดจ็ มา สสู่ ำ� นกั นาคนฺตพฺพํ, ของข้าพระองค์ จำ� เดมิ (แตก่ าล) น,ี ้ เพราะวา่ (เมอ่ื ข้าพระองค)์ กระทำ� อยู่ สลลฺ าเป สติ วกิ ฺเขโป โหต,ิ อาหารเวลาย ปน ซง่ึ การงานอนั ละเอยี ด ครนั้ เมอื่ การเจรจา กบั (ด้วยบคุ คล) อน่ื มอี ยู่ เม ภริยาว อาหารํ อาหริสสฺ ตีต.ิ ราชกมุ าโร “สาธตู ิ อ.ความฟ้ งุ ซา่ น จะมี, อนงึ่ อ.ภรรยา ของข้าพระองค์เทียว จกั น�ำมา ปฏิสฺสณุ ิ. ซงึ่ อาหาร ในเวลาแหง่ อาหาร ดงั นี ้ ฯ อ.พระราชกมุ าร ทรงฟังตอบ แล้ว วา่ อ.ดีละ ดงั นี ้ฯ (อ.นายชา่ งไม้)แม้นนั้ นงั่ แล้วในห้อง ห้องหนง่ึ ถากแล้วซง่ึ ไม้ ท. โสปิ เอกสมฺ ึ คพฺเภ นิสีทิตฺวา ตานิ ทารูนิ เหลา่ นนั้ กระท�ำแล้ว ซง่ึ นกครุฑ อนั อนั ตนประกอบด้วยที่เป็นที่นง่ั ตจฺเฉตฺวา อตฺตโน ปตุ ฺตทารสฺส อนฺโตนิสีทนโยคฺคํ ในภายใน เพ่ือลกู และเมีย ของตน กลา่ วแล้ว วา่ (อ.เธอ) ขายแล้ว ครุฬสกณุ ํ กตฺวา อาหารเวลาย [ปน] ภริยํ อาห (ซง่ึ วตั ถ)ุ ทงั้ ปวง อนั มีอยู่ ในเรือน จงถือเอา ซง่ึ เงินและทอง ดงั นี ้ “เคเห วิชฺชมานกํ สพฺพํ วกิ ฺกีณิตฺวา หิรญฺญสวุ ณฺณํ กะภรรยา ในเวลาแหง่ อาหาร ฯ คณฺหาหีต.ิ แม้ อ.พระราชกมุ าร (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้ล้อมรอบแล้ว ซงึ่ เรือน ราชกมุ าโรปิ วฑฺฒกิสฺส อนิกฺขมนตฺถาย เคหํ ทรงตัง้ ไว้แล้ว ซึ่งการอารักขา เพื่อต้องการแก่อันไม่ออกไป ปริกฺขิปาเปตฺวา อารกฺขํ ฐเปส.ิ แหง่ นายชา่ ง ฯ แม้ อ.นายชา่ ง กลา่ วแล้ว วา่ ในวนั นี (้ อ.เธอ) พงึ พาเอา ซง่ึ เดก็ ท. ทารเวกฑฺฒคกเีปหิ ตฺวสากณุ สอสฺาคนจฺเิฏฉฺฐยติ ฺยกาาสเตีลิ “อชฺช สพฺเพปิ แม้ทงั้ ปวง มา ดงั นี ้กะภรรยา ในกาล แหง่ นก ส�ำเร็จแล้ว มีอาหาร ภริยํ วตฺวา อนั บคุ คลพงึ กนิ ในเวลาเช้าอนั บริโภคแล้ว ยงั ลกู และเมยี ให้นง่ั แล้ว ภตุ ฺตปาตราโส ปตุ ฺตทารํ สกณุ สฺส กจุ ฺฉิยํ นิสที าเปตฺวา ในท้อง ของนก ออกแล้ว โดยหน้าตา่ ง หนีไปแล้ว ฯ วาตปาเนน นิกฺขมิตฺวา ปลายิ. (อ.นายชา่ ง) นนั้ (เม่ือราชบรุ ุษ ท.) เหลา่ นนั้ คร�่ำครวญอยู่ วา่ โส เตสํ “เทว วฑฺฒกี ปลายตีติ กนฺทนฺตานํเยว ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ อ.นายชา่ ง ยอ่ มหนีไป ดงั นี ้ นนั่ เทียว คนฺตฺวา หิมวนฺเต โอตริตฺวา เอกํ นครํ มาเปตฺวา ไปแล้ว ข้ามลงแล้ว ในป่ าหิมพานต์ สร้างแล้ว ซง่ึ เมือง เมืองหนงึ่ “ตปตาฺถสากทฏมฺหฐวํ ากหริสนสฺราามชตาี ิ นาม ชาโต. ราชกมุ าโรปิ เป็นผ้ชู อื่ วา่ กฏั ฐวาหนราชา (ในเมอื ง) นนั้ เกดิ แลว้ ฯ แม้ อ.พระราชกมุ าร สตถฺ ารํ นมิ นเฺ ตตวฺ า ปาสาเท (ทรงด�ำริแล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั กระท�ำ ซง่ึ การฉลองซง่ึ ปราสาท ดงั นี ้ จตชุ ฺชาตกิ คนฺเธหิ ปริภณฺฑํ กตฺวา ปฐมอมุ มฺ ารโต ทลู นิมนต์แล้ว ซงึ่ พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว ซง่ึ การประพรม ด้วย ปฏฺฐาย เจลปฏิกํ ปตฺถริ. ด้วยของหอมอนั ประกอบแล้วด้วยชาติ ๔ ท. ในปราสาท ทรงลาด แล้ว ซง่ึ แผน่ ผ้าน้อย จ�ำเดมิ แตธ่ รณีท่ีหนงึ่ . 2 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ได้ยินวา่ (อ.พระราชกมุ าร) นนั้ เป็นผ้ไู มม่ ีพระโอรส (ยอ่ มเป็น), โส กิร อปตุ ฺตโก, ตสมฺ า “สจาหํ ปตุ ฺตํ วา ธีตรํ วา เพราะเหตนุ นั้ (อ.พระราชกมุ าร) นนั้ ทรงดำ� ริแล้ว วา่ ถ้าวา่ อ.เรา จกั ได้ ลจฺฉามิ, สตฺถา อิมํ อกฺกมิสสฺ ตีติ จินฺเตตฺวา ปตฺถริ. ซง่ึ บตุ ร หรือ หรือวา่ ซง่ึ ธิดาไซร้, อ.พระศาสดา จกั ทรงเหยียบ วโสนฺทิตสฺวตาฺถรปิ ตอฺตาํ คคเตเหตสฺวาตฺถา“ปรํวิสปถญฺจภปนฺฺเปตตติฏิ ฺ ฐอิเาตหน. (ซงึ่ แผน่ ผ้าน้อย) นี ้ ดงั นี ้ ทรงลาดแล้ว ฯ (อ.พระราชกมุ าร) นนั้ ครัน้ เม่ือพระศาสดา เสด็จมาแล้ ว ถวายบังคมแล้ ว สตฺถา น ปาวิส.ิ โส ทตุ ยิ มปฺ ิ ตตยิ มปฺ ิ ยาจิ. สตฺถา ซึ่งพระศาสดา ด้วยอันตัง้ ไว้เฉพาะแห่งองค์ ๕ ทรงรับแล้ว อปฺปวิสิตฺวาว อานนฺทตฺเถรํ โอโลเกสิ. เถโร ซงึ่ บาตร กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.พระองค์ ท.) โอโลกิตสญฺญาเยว วตฺถานํ อนกฺกมนภาวํ ญตฺวา ขอจงเสดจ็ เข้าไป ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา ไมไ่ ด้เสดจ็ เข้าไปแล้ว ฯ “สหํ ร ราชกมุ าร ทสุ สฺ านิ, น ภควา เจลปฏิกํ (อ.พระราชกมุ าร) นนั้ ทลู วิงวอนแล้ว แม้ครัง้ ที่ ๒ แม้ครัง้ ที่ ๓ ฯ อกฺกมิสฺสต,ิ ปจฺฉิมํ ชนตํ ตถาคโต โอโลเกตีติ อ.พระศาสดา ไมเ่ สดจ็ เข้าไปแล้วเทียว ทรงแลดแู ล้ว ซง่ึ พระเถระ ทสุ สฺ านิ สํหราเปส.ิ ชอื่ วา่ อานนท์ ฯ อ.พระเถระ ทราบแลว้ ซงึ่ ความเป็นคอื อนั ไมท่ รงเหยยี บ ซงึ่ ผ้า ท. ด้วยสญั ญาอนั (อนั พระศาสดา) ทรงแลดแู ล้วนนั่ เทียว (ทลู แล้ว) วา่ ดกู ่อนพระราชกมุ าร (อ.พระองค์) จงม้วน ซง่ึ ผ้า ท., อ.พระผ้มู ีพระภาคเจ้า จกั ทรงเหยียบ ซง่ึ แผน่ ผ้าน้อย หามิได้, อ.พระตถาคตเจ้า ยอ่ มทรงแลดู ซง่ึ ประชมุ แหง่ ชน อนั เกิดแล้ว ในภายหลงั ดงั นี ้ (ยงั พระราชกมุ าร) ให้ทรงม้วนแล้ว ซงึ่ ผ้า ท. ฯ (อ.พระราชกมุ าร) นนั้ ทรงม้วนแล้ว ซงึ่ ผ้า ท. ยงั พระศาสดา โส ทสุ สฺ านิ สหํ ริตฺวา สตฺถารํ อนฺโต ปเวเสตฺวา ให้เข้าไปแล้ว ในภายใน (ทรงยังพระศาสดา) ให้อิ่มหน�ำแล้ว ยาคขุ ชฺชเกน สนฺตปเฺ ปตฺวา เอกมนฺตํ นิสนิ ฺโน วนฺทิตฺวา ด้วยข้าวต้มและของเคีย้ วผู้ประทับนั่งแล้วณที่สุดส่วนข้างหน่ึง อาห “อหํ ภนฺเต กติรมุมหฺหฺ าิ เกอํ กอวปุ าฏรฺํฐสารโณก ํ ตกิ ฺขตฺตํุ สรณํ ถวายบงั คมแล้ว กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ อ.หมอ่ มฉนั คโต: กจุ ฺฉิคโต จ คโต, ทตุ ยิ มปฺ ิ เป็นอปุ ัฏฐาก ของพระองค์ท. (เป็น) เป็นผ้ถู งึ แล้ว ซง่ึ พระองค์ ตรุณทารกกาเล, ตตยิ มฺปิ วิญฺญภุ าวํ ปตฺตกาเล; วา่ เป็นสรณะ ๓ ครัง้ ยอ่ มเป็น, ก็ ได้ยนิ วา่ (อ.หมอ่ มฉนั ) ผ้ไู ปแล้ว ตสสฺ เม กสมฺ า เจลปฏิกํ น อกฺกมิตฺถาต.ิ ในครรภ์ เป็นผ้ถู งึ แล้ว (ซง่ึ พระองค์) วา่ เป็นสรณะ ในวาระหนงึ่ (ยอ่ มเป็น), (อ.หมอ่ มฉนั เป็นผ้ถู งึ แล้ว ซงึ่ พระองค์วา่ เป็นสรณะ) แม้ในครัง้ ท่ีสอง ในกาล (แห่งหม่อมฉนั ) เป็ นเด็กอ่อน (ย่อมเป็ น), (อ.หมอ่ มฉนั เป็นผ้ถู งึ แล้ว ซง่ึ พระองคว์ า่ เป็นสรณะ) แม้ในครงั้ ทส่ี าม ในกาล(แหง่ หมอ่ มฉนั )ถงึ แล้วซงึ่ ความเป็นแหง่ บคุ คลผ้รู ู้แจ้งยอ่ มเป็น, อ.พระองค์ ไมท่ รงเหยียบแล้ว ซงึ่ แผน่ ผ้าน้อย ของหมอ่ มฉนั นนั้ เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ ดกู ่อนกมุ าร ก็ อ.พระองค์ “กึ ปน ตฺวํ กมุ าร จินฺเตตฺวา เจลปฏิกํ อตฺถรีต.ิ ทรงคิดแล้ว ซึ่งอะไร ทรงลาดแล้ว ซึ่งแผ่นผ้ าน้ อย ดังนี ้ ฯ “สเจ ปตุ ฺตํ วา ธีตรํ วา ลจฺฉามิ, สตฺถา เม เจลปฏิกํ (อ.พระราชกุมาร กราบทูลแล้ว) ว่า ข้ าแต่พระองค์ผู้เจริญ อกฺกมิสฺสตีติ อิทํ จินฺเตตฺวา ภนฺเตต.ิ “เตนาหํ กมุ าร (อ.หม่อมฉัน) คิดแล้ว (ซึ่งเหตุ) นี ้ ว่า ถ้าว่า (อ.เรา) จักได้ น อกฺกมินฺต.ิ “กึ ปนาหํ ภนฺเต ปตุ ฺตํ วา ธีตรํ วา เนว ซงึ่ บตุ ร หรือ หรือวา่ ซง่ึ ธิดา ไซร้, อ.พระศาสดา จกั ทรงเหยียบ ลจฺฉามีติ. “อาม กุมาราติ. “กึการณา ภนฺเตติ. ซง่ึ แผน่ ผ้าน้อย ของเรา ดงั นี ้ (ลาดแล้ว ซง่ึ แผน่ ผ้าน้อย) ดงั นี ้ ฯ “ปรุ ิมตฺตภาเว ชายาย สทฺธึ ปมาทํ อาปนฺนตฺตาติ. (อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว)วา่ ดกู อ่ นกมุ าร (อ.อาตมภาพ)ไมเ่ หยยี บแล้ว “กิสฺมึ กาเล ภนฺเตต.ิ (เพราะเหตุ) นัน้ ดังนี ้ ฯ (อ.พระราชกุมาร ทูลถามแล้ว) ว่า ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ก็ อ.หมอ่ มฉนั จกั ไมไ่ ด้นนั่ เทียว ซง่ึ บตุ ร หรือ หรือวา่ ซงึ่ ธดิ า หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั แล้ว) วา่ ดกู ่อน พระกมุ าร ขอถวายพระพร (อ.อยา่ งนนั้ ) ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชกมุ าร ทลู ถามแล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั จกั ไมไ่ ด้ ซง่ึ บตุ ร หรือ หรือวา่ ซงึ่ ธดิ า) เพราะเหตอุ ะไร ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชา ตรสั แล้ว) (อ.พระองค์ จกั ไมท่ รงได้ ซงึ่ พระโอรส หรอื หรอื วา่ ซง่ึ พระธดิ า) เพราะความทแ่ี หง่ พระองค์เป็นผ้ถู งึ แล้ว ซง่ึ ความประมาท กบั ด้วยพระชายา ในอตั ภาพอนั มีในก่อน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระราชกมุ าร ทลู ถามแล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ(อ. หมอ่ มฉนั จกั ไมท่ รงได้ ซง่ึ พระโอรส หรือ หรือวา่ ซงึ่ พระธดิ า) เพราะความทแ่ี หง่ พระองค์เป็น ผ้ถู งึ แล้ว ซง่ึ ความประมาท กบั ด้วยพระชายา ในกาลไหน ดงั นี ้ฯ ผลติ สื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 3 www.kalyanamitra.org

ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ทรงน�ำมาแล้ว ซงึ่ เรื่องอนั ลว่ งไปแล้ว อถสสฺ สตฺถา อตีตํ อาหริตฺวา ทสเฺ สส:ิ “อตีเต ทรงแสดงแล้ว (แก่พระราชกมุ าร) นนั้ วา่ : ได้ยินวา่ ในกาลอนั ลว่ ง- กิร อเนกสตา มนสุ สฺ า มหตยิ า นาวาย สมทุ ฺทํ ไปแล้ว อ.มนษุ ย์ ท. มีร้อยมิใชห่ นงึ่ แลน่ ไปแล้ว สทู่ ะเล ด้วยเรือ ปกฺขนฺทสึ .ุ นาวา สมทุ ฺทมชฺเฌ ภิชฺชิ. เทฺว ชายปติกา ลำ� ใหญ่ ฯ อ.เรือ แตกแล้ว ในทา่ มกลางแหง่ ทะเล ฯ อ.เมยี และผวั ท. ๒ เอกํ ผลกํ คเหตฺวา อนฺตรทีปกํ ปวสิ สึ .ุ เสสา สพฺเพ จบั แล้ว ซง่ึ แผน่ กระดาน แผน่ หนงึ่ เข้าไปแล้ว สรู่ ะหวา่ งแหง่ เกาะ- ตตฺเถว มรึส.ุ เลก็ ฯ อ.มนษุ ย์ ท. ทงั้ ปวง ท่ีเหลอื ตายแล้ว ในทา่ มกลางแหง่ ทะเล นนั้ นน่ั เทียว ฯ ก็ อ.ฝงู แหง่ นกใหญ่ ยอ่ มอยู่ (บนเกาะเลก็ ) นนั้ แล ฯ ตสฺมึ โข ปน ทีปเก มหาสกณุ สงฺโฆ วสต.ิ (อ.เมยี และผวั ท. ๒) เหลา่ นนั้ ไมเ่ หน็ แล้ว (ซงึ่ วตั ถ)ุ อนั (อนั ตน) เต อญฺญํ ขาทิตพฺพกํ อทิสวฺ า ฉาตชฺฌตฺตา พงึ เคีย้ วกินอ่ืน เป็นผ้อู นั ความหิวแผดเผาแล้ว (เป็น) ปิ ง้ แล้ว ซง่ึ ไข่ สกณุ ณฺฑกานิ องฺคาเร ปจิตฺวา ขาทสึ ,ุ เตสุ แหง่ นก ท. ทถี่ า่ นเพลงิ เคยี ้ วกนิ แล้ว, (ครัน้ เมอื่ ไขแ่ หง่ นก ท.) เหลา่ นนั้ อปปฺ โหนฺเตส,ุ สกณุ จฺฉาเป คเหตฺวา ปจิตฺวา ขาทสึ ,ุ ไมเ่ พียงพออย,ู่ จบั แล้ว ซง่ึ ลกู แหง่ นก ท. ปิ ง้ แล้ว เคีย้ วกินแล้ว, เตสุ อปปฺ โหนฺเตส,ุ สกเุ ณ คเหตฺวา ขาทสึ ,ุ เอวํ (ครัน้ เมื่อลกู แหง่ นก ท.) เหลา่ นนั้ ไมเ่ พียงพออย,ู่ จบั แล้ว ซงึ่ นก ท. ปฐมวเยปิ มชฺฌิมวเยปิ ปจฺฉิมวเยปิ ขาทสึ เุ ยว, เคีย้ วกินแล้ว, (อ.เมียและผวั ท. ๒) เหลา่ นนั้ เคีย้ วกินแล้ว อยา่ งนี ้ เอกสมฺ ปึ ิ วเย อปปฺ มาทํ นาปชฺชสึ .ุ เอโกปิ จ เนสํ แม้ในปฐมวยั แม้ในมชั ฌมิ วยั แม้ในปัจฉมิ วยั นน่ั เทยี ว, ไมถ่ งึ ทวั่ แล้ว อปปฺ มาทํ นาปชฺชิ. ซงึ่ ความไมป่ ระมาท ในวยั แม้หนง่ึ ฯ อนงึ่ (แหง่ เมียและผวั ท. ๒) เหลา่ นนั้ หนา (อ.ชน) แม้คนหนง่ึ ไมถ่ งึ ทวั่ แล้ว ซงึ่ ความไมป่ ระมาท (ดงั นี)้ ฯ อ.พระศาสดา ครัน้ ทรงแสดงแล้ว ซง่ึ บรุ พกรรมนี ้(ของพระราช- สตฺถา อิทนฺตสฺส ปพุ ฺพกมมฺ ํ ทสเฺ สตฺวา “สเจ กมุ าร) นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนพระกมุ าร ก็ ถ้าวา่ อ.พระองค์ กบั หิ ตฺวํ กมุ าร ตทา เอกสฺมปึ ิ วเย ภริยาย สทฺธึ ด้วยพระชายา จกั ทรงถงึ ทวั่ แล้ว ซง่ึ ความไมป่ ระมาท ในวยั แม้หนง่ึ อปปฺ มาทํ อาปชฺชิสฺส, เอกสฺมปึ ิ วเย ปตุ ฺโต วา ในกาลนนั้ ไซร้, อ.พระโอรส หรือ หรือวา่ อ.พระธิดา พงึ เกิดขนึ ้ ธีตา วา อปุ ปฺ ชฺเชยฺย; สเจ ปน โว เอโกปิ ในวยั แม้หนงึ่ , ก็ ถ้าวา่ แหง่ พระองค์ ท. หนา (อ.บคุ คล) แม้ผ้หู นงึ่ อปปฺ มตฺโต อภวิสสฺ , ตํ ปฏิจฺจ ปตุ ฺโต วา ธีตา วา เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว จกั ได้เป็นแล้ว ไซร้, อ.พระโอรส หรือ หรือวา่ อปุ ปฺ ชฺชิสสฺ ; กมุ าร อตฺตานํ หิ ปิ ยํ มญฺญมาเนน อ.พระธดิ า อาศยั แล้ว (ซง่ึ บคุ คลผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว) นนั้ จกั เกดิ ขนึ ้ แล้ว, ตีสปุ ิ วเยสุ อปปฺ มตฺเตน อตฺตา รกฺขิตพฺโพ, เอวํ ดกู ่อนพระกมุ าร จริงอยู่ อ.ตน (อนั บคุ คล) ผ้สู �ำคญั อยู่ ซงึ่ ตน อสกฺโกนฺเตน เอกวเยปิ รกฺขิตพฺโพเยวาติ วตฺวา ว่าเป็นที่รัก ผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว ในวยั ท. แม้ ๓ พงึ รักษา, (อ.ตน คาถมาห อนั บคุ คล) ผ้ไู มอ่ าจอยู่ อยา่ งนนั้ พงึ รักษา แม้ในวยั หนง่ึ นนั่ เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ หากว่า (อ.บคุ คล) พึงรู้ ซ่ึงตน ว่าเป็นทีร่ กั ไซร้, (อ.บคุ คลนน้ั ) “อตฺตานญฺเจ ปิ ยํ ชญฺญา รกฺเขยฺย นํ สรุ กฺขิตํ พึงรักษา (ซ่ึงตน)นนั้ (กระท�ำ) ให้เป็นผูอ้ นั ตนรักษาดีแล้ว, ติณฺณมญฺญตรํ ยามํ ปฏิชคฺเคยฺย ปณฺฑิโตติ. อ.บัณฑิต พึงประคอง (ซ่ึงตน) (แห่งผู้ยาม ท.) ๓ หนา ตลอดยาม ยามใดยามหน่ึง ดงั นี้ ฯ อ.พระศาสดา ยอ่ มทรงแสดง กระท�ำ แหง่ วยั ท. ๓ หนา ตตฺถ “ยามนฺต:ิ สตฺถา อตฺตโน ธมมฺ ิสฺสรตาย ซง่ึ วยั วยั ใดวยั หนงึ่ ให้ช่ือวา่ ยาม ดงั นี ้ (ในบท) วา่ ยามํ ดงั นี ้ เจว เทสนากสุ ลตาย จ อิธ ตณิ ฺณํ วยานํ อญฺญตรํ (ในพระคาถา) นนั้ เพราะความที่ แหง่ พระองค์ ทรงเป็นใหญ่ วยํ ยามนฺติ กตฺวา ทสเฺ สต.ิ ในธรรม ด้วยนน่ั เทยี ว เพราะความที่ (แหง่ พระองค)์ ทรงเป็นผ้ฉู ลาด ในเทศนา ด้วย ฯ เพราะเหตนุ นั้ อ.เนือ้ ความ (ในพระคาถา) นี ้ (อนั บณั ฑิต) ตสฺมา เอวเมตฺถ อตฺโถ เวทิตพฺโพ “สเจ อตฺตานํ พงึ ทราบ อยา่ งนี ้ วา่ ถ้าวา่ (อ.บคุ คล) พงึ รู้ ซง่ึ ตน วา่ เป็นที่รัก ไซร้, ปิ ยํ ชาเนยฺย, รกฺเขยฺย นํ สรุ กฺขิตํ; ยถา โส สรุ กฺขิโต พึงรักษา (ซง่ึ ตน)นนั้ (กระท�ำ) ให้เป็ นผ้อู นั ตนรักษาดีแล้ว, คือว่า โหต,ิ เอวนฺตํ รกฺเขยฺย. (อ.ตน) นัน้ เป็ นผู้อันตนรักษาดีแล้ว ย่อมเป็ น โดยประการใด. พึงรักษา (ซงึ่ ตน) นนั้ โดยประการนนั้ ฯ 4 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(ในบคุ คล ท.) เหลา่ นนั้ หนา, ถ้าวา่ (อ.บคุ คล) เป็นคฤหสั ถ์ ตตฺถ, สเจ คหิ ี สมาโน `อตฺตานํ รกฺขิสฺสามีติ อปุ ริ เป็นอยู่ (คดิ แล้ว) วา่ (อ.เรา) จกั รักษา ซงึ่ ตน ดงั นี ้ เข้าไป ปาสาทตเล สสุ วํ ตุ ํ คพฺภํ ปวสิ ติ ฺวา สมปฺ นฺนรกฺโข แล้ว สหู่ ้อง อนั (อนั บคุ คล) ระวงั ดีแล้ว บนพืน้ แหง่ ปราสาท หตุ วฺ า วสนโฺ ตปิ; ปพพฺ ชโิ ต หตุ วฺ า สสุ วํ เุ ต ปิทหติ ทวฺ าร- ในเบือ้ งบน เป็นผ้มู ีการรักษาอนั ถงึ พร้อมแล้ว เป็น อยอู่ ยู่ ก็ดี, วาตปาเน เลเณ วิหรนฺโตปิ อตฺตานํ น รกฺขตเิ ยว. เป็ นบรรพชิต เป็ น อยู่อยู่ ในถ�ำ้ อัน (อันบุคคล) ระวังดีแล้ว อนั มีประตแู ละหน้าตา่ งอนั บคุ คลปิ ดแล้ว ก็ดี ชื่อวา่ ยอ่ มไมร่ ักษา ซงึ่ ตน นนั่ เทียว ฯ สว่ นวา่ (อ.บคุ คล) เป็นคฤหสั ถ์ เป็นอยู่ กระท�ำอยู่ ซงึ่ บญุ ท. คหิ ี สมาโน ปน ยถาพลํ ทานสลี าทนี ิ ปญุ ญานิ มีทานและศีลเป็นต้น ตามก�ำลงั , ก็ หรือวา่ เป็นบรรพชิต (เป็นอย)ู่ กโรนฺโต, ปพฺพชิโต วา ปน วตฺตปปฺ ฏิวตฺตปริยตฺต-ิ ถงึ ทว่ั อยู่ ซง่ึ ความขวนขวาย ในวตั รและวตั รตอบและปริยตั ิ มนสกิ าเรสุ อสุ ฺสกุ ฺกํ อาปชฺชนฺโต อตฺตานํ รกฺขติ และมนสกิ าร ท. ชอื่ วา่ ยอ่ มรกั ษา ซงึ่ ตน ฯ อ.บรุ ุษผ้เู ป็นบณั ฑติ นาม. เอวํ ตีสุ วเยสุ อสกฺโกนฺโต อญฺญตรสมฺ ปึ ิ เมื่อไมอ่ าจ (เพื่ออนั กระท�ำ) อยา่ งนี ้ในวยั ท. ๓ ยอ่ มประคอง ซงึ่ ตน วเย ปณฑฺ ติ ปรุ ิโส อตตฺ านํ ปฏชิ คคฺ ตเิ ยว. สเจ หิ ในวยั แม้วยั ใดวยั หนงึ่ นนั่ เทียว ฯ ก็ ถ้าวา่ (อ.บคุ คล) คหิ ภิ โู ต ปฐมวเย ขฑิ ฑฺ าปสตุ ตาย กสุ ลํ กาตํุ น สกโฺ กต.ิ ผู้เป็ นคฤหัสถ์เป็ นแล้ว ย่อมไม่อาจ เพ่ืออันกระท�ำ ซ่ึงกุศล มชฺฌิมวเย อปปฺ มตฺเตน หตุ ฺวา กสุ ลํ กาตพฺพํ. เพราะความที่ (แหง่ ตน) เป็นผ้ขู วนขวายแล้วในการเลน่ ในปฐมวยั ไซร้, อ.กศุ ล (อนั บคุ คล นนั้ ) เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว เป็น พงึ กระท�ำ ในมชั ฌิมวยั ฯ ถ้าว่า (อ.บุคคล) เลีย้ งดูอยู่ ซ่ึงลูกและเมีย ย่อมไม่อาจ สเจ มชฺฌิมวเย ปตุ ฺตทารํ โปเสนฺโต กสุ ลํ กาตํุ เพ่ืออนั กระท�ำ ซงึ่ กศุ ล ในมชั ฌิมวยั ไซร้, (อ.กศุ ล อนั บคุ คล น สกฺโกติ, ปจฺฉิมวเย กาตพฺพเมว. เอวํปิ เตน นนั้ ) พงึ กระท�ำ ในปัจฉิมวยั นนั่ เทียว ฯ แม้ (ครัน้ เมื่อความเป็น) อตฺตา ปฏิชคฺคโิ ต ว โหต.ิ อยา่ งนนั้ (มีอย)ู่ อ.ตน เป็นผู้ (อนั บคุ คนนั้ ) ประคองแล้วเทียว ยอ่ ม เป็น ฯ ส่วนว่า (เม่ือบุคคล) ไม่กระท�ำอยู่ อย่างนี ้ อ.ตน เอวํ อกโรนตฺ สสฺ ปน อตตฺ า ปิโย นาม น โหต,ิ ช่ือว่า เป็ นตนเป็ นที่รัก ย่อมเป็ น หามิได้, (อ.บุคคล นัน้ ) อปายปรายนเมว นํ กโรต.ิ สเจ ปน ปพฺพชิโต ย่อมกระท�ำ (ซงึ่ ตน) นนั้ ให้เป็ นผ้มู ีอบายเป็ นที่ไปในเบือ้ งหน้า ปฐมวเย สชฺฌายํ กโรนฺโต ธาเรนฺโต วาเจนฺโต นนั่ เทียว ฯ ก็ ถ้าวา่ (อ.บคุ คลผ้รู ักษาซงึ่ ตน) เป็นบรรพชิต (เป็นอย)ู่ วตฺตปปฺ ฏิวตฺตํ กโรนฺโต ปมาทํ อาปชฺชติ, กระท�ำอยู่ ซง่ึ การสาธยาย ทรงจ�ำอยู่ บอกอยู่ กระท�ำอยู่ ซง่ึ วตั ร มชฺฌิมวเย อปปฺ มตฺเตน สมณธมโฺ ม กาตพฺโพ. และวตั รตอบ ชื่อวา่ ยอ่ มถงึ ทว่ั ซงึ่ ความประมาท ในปฐมวยั ไซร้, อ.สมณธรรม(อนั บคุ คลนนั้ )เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว(เป็น)พงึ กระท�ำ ในมชั ฌิมวยั ฯ ก็ ถ้าว่า (อ.บุคคลผู้รักษาซึ่งตน) ถามอยู่ ซึ่งการวินิจฉัย สเจ กปานรณปญฐมฺจวเยปจุอฺฉคุ นคฺ ฺโหตติ ปรมิยชตฺฌตฺ ิมยิ วาเยอฏฺปฐกมถาาท-ํ ในอรรถกถา ด้วย ซง่ึ เหตุ ด้วย แหง่ ปริยตั ิ (อนั ตน) เรียนเอาแล้ว วินิจฺฉยํ ในปฐมวยั ช่ือวา่ ยอ่ มถงึ ทวั่ ซงึ่ ความประมาท ในมชั ฌิมวยั ไซร้, อาปชฺชต,ิ ปจฺฉิมวเย อปปฺ มตฺเตน สมณธมโฺ ม อ.สมณธรรม (อนั บคุ คล ผ้รู ักษาซงึ่ ตนนนั้ ) เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว กาตพฺโพ. (เป็น) พงึ กระท�ำ ในปัจฉิมวยั ฯ อ.ตน เป็นผู้ (อนั บคุ คล) นนั้ ประคองแล้วเทียว ยอ่ มเป็น เอวํปิ เตน อตฺตา ปฏิชคฺคิโต ว โหติ. เอวํ แม้ด้วยประการฉะนี ้ฯ แตว่ า่ (เม่ือบคุ คลนนั้ ) ไมก่ ระท�ำอยู่ อยา่ งนี ้ อกโรนฺตสฺส ปน อตฺตา ปิ โย นม น โหติ, อ.ตนช่ือวา่ เป็นผ้เู ป็นทร่ี ักยอ่ มเป็นหามไิ ด้,(อ.บคุ คลนนั้ )(ยงั ตน)นนั้ ปจฺฉานตุ าเปเนว นํ ตาเปตีต.ิ ยอ่ มให้เดือดร้อนด้วยการตามเดือดร้อนในภายหลงั นน่ั เทียวดงั นีฯ้ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พระราชกมุ ารพระนามวา่ - เทสนวสาเน โพธิราชกมุ าโร โสตาปตฺติผเล โพธิ ทรงตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระธรรมเทศนา ปอโตหฏิ สฺฐีตห.ิ ิ. สมปฺ ตฺตปริสายปิ สาตฺถิกา ธมมฺ เทสนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัท ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระ(จราบชแกลุม้วา)รฯพระนามว่าโพธิ โพธิราชกุมาร วตถฺ ุ ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม วดั พระธรรมกาย 5 www.kalyanamitra.org

๒.แอห.เ(่งอรเ่ือจัน้งาขแศ้าหาพก่งเพยจ้ะารชะจ่เือะถวกร่าะลอผ่าุป้วูเปน)็ ันนฯโทอะรส ๒. อุปนนฺทสกยฺ ปุตตฺ วตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อตตฺ านเมว ปฐมนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ พระเถระผ้เู ป็ นโอรสแห่งเจ้าศากยะ ช่ือว่าอปุ นนั ทะ ตรัสแล้ว เชตวเน วิหรนฺโต อปุ นนฺทํ สกฺยปตุ ฺตํ อารพฺภ กเถส.ิ ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ อตตฺ านเมว ปฐมํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.พระเถระนนั้ เป็นผ้ฉู ลาด เพ่ืออนั กลา่ ว ซง่ึ ธรรมกถา โส กริ เถโร ธมมฺ กถํ กเถตํุเฉโก. ตสสฺ อปปฺ ิจฉฺ ตาทปิ -ฺ (ยอ่ มเป็น) ฯ อ.ภกิ ษุ ท. มาก ฟังแล้ว ซงึ่ ธรรมกถา อนั ประกอบพร้อม ปฏิสยํ ตุ ฺตํ ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา พหู ภิกฺขู ตํ จีวเรหิ ปเู ชตฺวา เฉพาะแล้วด้วยคณุ มีความเป็ นแห่งบคุ คลผ้มู ีความปรารถนาน้อย ธตู งฺคานิ สมาทยสึ .ุ เป็นต้น (ของพระเถระ) นนั้ บชู าแล้ว (ซง่ึ พระเถระ) นนั้ ด้วยจีวร ท. สมาทานแล้ว ซง่ึ ธดุ งค์ ท. ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ นน่ั เทยี ว รบั แล้ว ซงึ่ บริขาร อนั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ อเอนกฺโสตเฺมตวสึหฺเิ สววิหสิ าฺสอเฏรปุ ฺฐกปฺกทรฏิหกฺเฺขรฐสาาเรมชนเโณสปเรทอาวํ คณฺหิ. โส เอกสมฺ ึ สละวิเศษแล้ว ท. ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ครัน้ เมื่อภายในแหง่ พรรษา อคมาส.ิ อถ นํ ครงั้ หนง่ึ ใกล้เข้ามาแล้ว ได้ไปแล้ว สชู่ นบท ฯ ครงั้ นนั้ อ.ภกิ ษหุ นมุ่ และ ธมมฺ กถิกปเฺ ปเมน สามเณร ท. ในวหิ าร แหง่ หนงึ่ กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ “ภนฺเต อิธ วสฺสํ อเุ ปถาติ วทสึ .ุ (อ.ทา่ น ท.) ขอจงเข้าจ�ำ ซง่ึ พรรษา (ในที่) นี ้ดงั นี ้(กะพระเถระ) นนั้ เพราะความรักในพระธรรมกถกึ ฯ (อ.พระเถระ) ถามแล้ว ว่า (อ.ผ้า) อนั บคุ คลพึงถวายแก่ภิกษุ “อิธ กิตฺตกํ วสฺสาวาสกิ ํ ลพฺภตีติ ปจุ ฺฉิตวา, ผ้อู ยตู่ ลอดพรรษา มปี ระมาณเทา่ ไร (อนั ภกิ ษุ ท.) ยอ่ มได้ (ในวหิ าร) นี ้ เตหิ “เอเกโก สาฏโกติ วตุ ฺเต, ตตฺถ อปุ าหนา ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ อ.ผ้าสาฎก ผืนหนงึ่ ๆ (อนั ภิกษุ ท. ยอ่ มได้ ฐเปตฺวา อญฺญํ วิหารํ อคมาส,ิ ทตุ ยิ ํ วิหารํ คนฺตฺวา ในวหิ าร น)ี ้ ดงั นี ้ (อนั ภกิ ษุหนมุ่ และสามเณร ท.) เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว, “อิธ กึ ลพฺภตีติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “เทฺว สาฏกาติ วตุ ฺเต, วางไว้แล้ว ซงึ่ รองเท้า ท. (ในวหิ าร) นนั้ ได้ไปแล้ว สวู่ หิ าร อน่ื , ไปแล้ว ลกตพฺตฺภรตยีตฏิ ฺฐปึ จุ ฺฉฐเิตปฺวสา;ิ, ตตยิ ํ วหิ ารํ คนฺตฺวา “อิธ กึ สวู่ ิหาร ที่ ๒ ถามแล้ว วา่ อ.อะไร (อนั ภิกษุ ท.) ยอ่ มได้ (ในวหิ าร) นี ้ “ตโย สาฏกาติ วตุ ฺเต, อทุ กตมุ พฺ ํ ดงั นี ้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ อ.ผ้าสาสฎก ท. ๒ (อนั ภิกษุ ท. ยอ่ มได้ ฐเปส;ิ จตตุ ฺถํ วิหารํ คนฺตฺวา “อิธ กึ ลพฺภตีติ ในวหิ าร น)ี ้ ดงั นี ้ (อนั ภกิ ษหุ นมุ่ และสามเณร ท.) กลา่ วแล้ว, วางไว้แล้ว ปจุ ฺฉิตฺวา, “จตฺตาโร สาฏกาติ วตุ ฺเต, “สาธุ อิธ ซ่ึงไม้เท้าของคนแก่, ไปแล้ว สู่วิหาร ท่ี ๓ ถามแล้ว ว่า อ.อะไร วสสิ ฺสามีติ ตตฺถ วสฺสํ อปุ คนฺตฺวา คพหหฏหู ฺ ฐิ านวญตฺเฺเถจหวิ (อนั ภกิ ษุ ท.) ยอ่ มได้ (ในวหิ าร) นี ้ดงั นี ้(ครนั้ เมอ่ื คำ� ) วา่ อ.ผ้าสาฎก ท. ๓ ภิกฺขนู ญฺจ ธมมฺ กถํ กเถส.ิ เต นํ (อนั ภกิ ษุ ท. ยอ่ มได้ ในวหิ ารน)ี ้ ดงั นี ้ (อนั ภกิ ษหุ นมุ่ และสามเณร ท.) เจว จีวเรหิ จ ปเู ชส.ํุ กลา่ วแล้ว, วางไว้แล้ว ซง่ึ ลกั จน่ั แหง่ นำ� ้ , ไปแล้ว สวู่ หิ าร ท่ี ๔ ถามแล้ว วา่ อ.อะไร (อนั ภกิ ษุ ท.) ยอ่ มได้ (ในวหิ าร) นี ้ ดงั นี ้ (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ อ.ผ้าสาสฎก ท. ๔ (อนั ภิกษุ ท. ยอ่ มได้ ในวิหาร นี)้ ดงั นี ้(อนั ภิกษุ หนมุ่ และสามเณร ท.) กลา่ วแล้ว (กลา่ วแล้ว)วา่ อ.ดีละ อ.เรา จกั อยู่ (ในวหิ าร) นี ้ ดงั นี ้ เข้าไปจำ� แลว้ ซงึ่ พรรษา (ในวหิ าร) นนั้ กลา่ ว แลว้ ซงึ่ ธรรมกถา แก่คฤหสั ถ์ ท. ด้วยนนั่ เทียว แก่ภิกษุ ท. ด้วย ฯ (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ บชู าแล้ว (ซงึ่ พระเถระ)นนั้ ด้วยผ้า ท. อนั มาก ด้วยนน่ั เทียว ด้วยจีวร ท. (อนั มาก) ด้วย ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ผ้มู ีพรรษาอนั อยแู่ ล้ว สง่ ไปแล้ว ซง่ึ ขา่ วสาส์น โส วตุ ฺถวสฺโส อิตเรสปุ ิ วิหาเรสุ สาสนํ เปเสตฺวา ในวิหาร ท. แม้เหล่านอกนี ้ (กล่าวแล้ว) ว่า (อ.ผ้า) อันบุคคล “มยา ปริกฺขารสฺส ฐปิ ตตฺตา วสฺสาวาสกิ ํ ลทฺธพฺพํ, พงึ ถวายแก่ภิกษุผ้อู ยตู่ ลอดพรรษา อนั เรา พงึ ได้ เพราะความที่ ตํ เม ปหิณนฺตตู ิ สพฺพํ อาหราเปตฺวา ยานกํ ปเู รตฺวา แหง่ บริขาร เป็นของ (อนั เรา) วางไว้แล้ว, อ.ภกิ ษุ ท. จงสง่ (ซงึ่ ผ้า) นนั้ ปายาส.ิ แก่เรา ดงั นี ้ (ยงั บคุ คล) ให้น�ำมาแล้ว (ซง่ึ ผ้า) ทงั้ ปวง ยงั ยานน้อย ให้เตม็ แล้ว ได้ออกไปแล้ว ฯ 6 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ครัง้ นนั้ อ.ภิกษุหนมุ่ ท. ๒ รูป ในวิหาร แหง่ หนงึ่ ได้แล้ว อเถกสมฺ ึ วหิ าเร เทฺว ทหรภิกฺขู เทฺว สาฏเก ซง่ึ ผ้าสาฎก ท. ๒ ด้วย ซงึ่ ผ้ากมั พล ผืนหนงึ่ ด้วย (กลา่ วแล้ว) วา่ เอกญฺจ กมพฺ ลํ ลภิตฺวา “ตยุ ฺหํ สาฏกา โหนฺต,ุ มยฺหํ อ.ผ้าสาฎก ท. จงมี แกท่ า่ น, อ.ผ้ากมั พล (จงม)ี แกเ่ รา ดงั นี ้ไมอ่ าจอยู่ กมพฺ โลติ ภาเชตํุ อสกฺโกนฺตา มคฺคสมีเป นิสที ิตฺวา เพ่ืออนั แบง่ ยอ่ มนง่ั ทะเลาะกนั ณ ท่ีใกล้แหง่ หนทาง ฯ ววิ ทนฺต.ิ (อ.ภิกษุหนมุ่ ท.) เหลา่ นนั้ เหน็ แล้ว (ซง่ึ พระเถระ) นนั้ ผ้มู าอยู่ เต ตํ [เถรํ] อาคจฺฉนฺตํ ทิสฺวา “ภนฺเต ตมุ เฺ ห โน กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ อ.ทา่ น ท. ขอจงแบง่ ให้ แกก่ ระผม ท. ภาเชตฺวา เทถาติ วทสึ .ุ “ตมุ ฺเหเยว ภาเชถาต.ิ ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ อ.ทา่ น ท. นนั่ เทยี ว จงแบง่ กนั เถดิ “น สกฺโกม ภนฺเต, ตมุ เฺ ห โน ภาเชตฺวา เทถาต.ิ ดงั นี ้ฯ (อ.ภิกษุหนมุ่ ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ “มม วจเน ฐสสฺ ถาต.ิ “อาม ฐสฺสามาติ. (อ.กระผม ท.) ยอ่ มไมอ่ าจ (เพื่ออนั แบง่ ) อ.ทา่ น ท. ขอจง แบง่ ให้ แกก่ ระผมท.ดงั นีฯ้ (อ.พระเถระถามแล้ว)วา่ (อ.ทา่ นท.)จกั ตงั้ อยู่ ในคำ� ของเรา หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.ภกิ ษุหนมุ่ ท. เหลา่ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ขอรับ (อ.กระผม ท.) จกั ตงั้ อยู่ (ในค�ำ ของทา่ น ท.) ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ อ.ดีละ ดงั นี ้ “เตนหิ สาธตู ิ โส เตสํ เทฺว สาฏเก ทตฺวา “อยํ ให้แล้ว ซงึ่ ผ้าสาฎก ท. ๒ (แก่ภิกษุหนมุ่ ท.) เหลา่ นนั้ (กลา่ วแล้ว) ธมมฺ กถํ กเถนฺตานํ อมหฺ ากํ ปารุปนํ โหตตู ิ วา่ (อ.ผ้ากมั พล)นี ้ เป็นผ้าเป็นเคร่ืองหม่ ของเรา ท. ผ้กู ลา่ วอยู่ ซงึ่ มหคฆฺ กมพฺ ลํ อาทาย ปกกฺ าม.ิ ทหรภกิ ขฺ ู วปิ ปฺ ฏสิ าริโน ธรรมกถา จงเป็นเถิด ดงั นี ้ ถือเอาแล้ว ซง่ึ ผ้ากมั พลอนั มีคา่ มาก หตุ ฺวา สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจสํ.ุ หลกี ไปแล้ว ฯ อ.ภิกษุหนุม ท. เป็ นผู้มีความเดือดร้ อน เป็ น ไป สตฺถา “น ภิกฺขเว อิทาเนเวส ตมุ หฺ ากํ สนฺตกํ แล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา กราบทลู แล้ว ซง่ึ เนือ้ ความนนั้ ฯ คเหตฺวา ตมุ เฺ ห วปิ ปฺ ฏิสาริโน กโรต,ิ ปพุ ฺเพปิ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ววา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.อปุ นนั ทะ) นน่ั อกาสเิ ยวาติ วตฺวา อตีตํ อาหริ: “อตีตสฺมึ หิ ถอื เอาแล้ว ซง่ึ วตั ถอุ นั เป็นของมอี ยู่ ของเธอ ท. ยอ่ มกระทำ� ซง่ึ เธอ ท. “อนตุ ีรจารี จ คมภฺ ีรจารี จาติ เทฺว อทุ ฺทา มหนฺตํ ให้เป็นผ้มู คี วามเดอื ดร้อนในกาลนนี ้ นั่ เทยี วหามไิ ด้,(อ.อปุ นนั ทะนนั่ ) วโรวิ หาิตทมาปจฺฉนํฺนลาภภิตาฺวเาชต“ํมุ อยสฺหกํ ฺโสกสี นํ ฺตโาหตเอ,ุ กตํ วสคิ นางลฺคํ ฏุทฺฐิสนวฺ ฺตาิ ได้กระท�ำแล้วนน่ั เทียว แม้ในกาลก่อน ดงั นี ้ทรงน�ำมาแล้ว ซง่ึ เรื่อง อนั ไปลว่ งแล้ว วา่ , ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในกาลอนั ไปลว่ งแล้ว อาหํสุ “มาตลุ อิมํ โน ภาเชตฺวา เทหีต.ิ อ.นาก ท. ๒ คือ (อ.นาก) ตวั เท่ียวไปในท่ีเป็นไปตามซง่ึ ฝ่ังโดยปกติ ด้วย (อ.นาก) ตวั เท่ียวไปในน�ำ้ อนั ลกึ โดยปกติ ด้วย ได้แล้ว ซงึ่ ปลา ตะเพียน ตวั ใหญ่ ถงึ ทว่ั แล้วซงึ่ ความวิวาทกนั วา่ อ.ศีรษะ จงมี แก่ทา่ น, อ.หาง (จงมี) แก่เรา ดงั นี ้ไมอ่ าจอยู่ เพื่ออนั แบง่ เหน็ แล้ว ซงึ่ สนุ ขั จิง้ จอก ตวั หนง่ึ กลา่ วแล้ว วา่ ข้าแตล่ งุ อ.ทา่ น ขอจง แบง่ (ซงึ่ ปลาตะเพียน) ตวั นี ้ ให้ แก่เรา ท. ดงั นี ้ฯ (อ.สนุ ขั จิง้ จอก กล่าวแล้ว) ว่า อ.เรา เป็ นผู้ อนั พระราชา “อหํ รชญงฺฆฺญวาหิ าวรินติจฺถฺฉายยฏฺฐอาาเคนโตฐมปหฺ ิ โิ,ต, ตตฺถ จิรํ ทรงตงั้ ไว้แล้วในที่เป็นท่ีวนิ ิจฉยั (ยอ่ มเป็น),(อ.เรา)นงั่ แล้ว(ในท่ี)นนั้ นิสีทิตฺวา อิทานิ เม สนิ ้ กาลนาน เป็นผ้มู าแล้ว เพอื่ ต้องการแกอ่ นั พกั แหง่ แข้ง ยอ่ มเป็น, โอกาโส นตฺถีต.ิ “มาตลุ มา เอวํ กโรถ, ภาเชตฺวาเอว ในกาลนี ้อ.โอกาส ของเรา ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี ้ฯ (อ.นาก ท. กลา่ วแล้ว) วา่ โน เทถาต.ิ “มม วจเน ฐสสฺ ถาต.ิ “ฐสสฺ าม มาตลุ าติ. ข้าแตล่ งุ (อ.ทา่ น ท.) ขอจงอยา่ กระทำ� อยา่ งน,ี ้ (อ.ทา่ น ท.) ขอจง แบง่ ให้แกเ่ รา ท. นนั่ เทยี ว ดงั นี ้ฯ (อ.สนุ ขั จงิ ้ จอก ถามแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น ท.) จกั ตงั้ อยู่ ในค�ำ ของเรา หรือ ดงั นี ้ ฯ (อ.นาก ท. กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตล่ งุ (อ.เรา ท.) จกั ตงั้ อยู่ (ในค�ำ ของทา่ น ท.) ดงั นี ้ฯ (อ.สนุ ขั จิง้ จอก) นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ ถ้าอยา่ งนนั้ อ.ดีละ ดงั นี ้ “เตนหิ สาธตู ิ โส สีสํ ฉินฺทิตฺวา เอกมนฺเต อกาส,ิ ตดั แล้ว ซง่ึ ศีรษะ ได้กระท�ำแล้ว ในที่สดุ แหง่ หนงึ่ , (ตดั แล้ว) ซง่ึ หาง จนรงิตฺคํ,ฏุ ฺฐํ เอกมนฺเต; กตฺวา จ ปน “ตาตา เยน โว อนตุ ีเร (ได้กระท�ำแล้ว) ในท่ีสุดแห่งหน่ึง, ก็ แล (อ.สุนัขจิง้ จอกนัน้ ) ครัน้ กระท�ำแล้ว (กลา่ วแล้ว) วา่ แนะ่ พอ่ ท. แหง่ ทา่ น ท. หนา (อนั นาก) ใด เที่ยวไปแล้ว ในท่ีเป็นไปตามซง่ึ ฝั่ง, ผลิตสื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 7 www.kalyanamitra.org

(อ.นาก) นนั้ จงถือเอา ซง่ึ หาง, (อนั นาก) ใด เที่ยวไปแล้ว ในน�ำ้ - โโหสต;ุ นงฺคอยฏุ ฺํฐํปคนณมฺหชาฺฌต;ุ ิโมเยนขณคฺโมฑภฺ ีเมร มจรวิตนิ ํ, ิจตฺฉสยสฺ ธมสเฺ มีสํ อนั ลกึ , อ.ศีรษะ จงมี (แก่นาก) นนั้ สว่ นวา่ อ.ทอ่ น อนั มีในทา่ มกลาง นี ้ จกั มี แก่เรา ผ้ตู งั้ อยแู่ ล้ว ในธรรมอนั เป็นเคร่ืองวนิ ิจฉยั ดงั นี ้ ติ สสฺ ภวิสสฺ ตีติ เต สญฺญาเปนฺโต เมื่อ (ยงั นาก ท.) เหลา่ นนั้ ให้รู้พร้อม กลา่ วแล้ว ซง่ึ คาถา นี ้วา่ อ.หาง (จงมี แก่นาก) ตวั เทีย่ วไปในทีเ่ ป็นไปตามซ่ึงฝั่ง “ออถนาตุ ยีรํจมาชริฺฌโนิโมนขงณฺคฏุ ฺโฺฑฐ,ํ สีสํ คมฺภีรจาริโน, โดยปกติ, อ.ศีรษะ (จงมี แก่นาก) ตวั เทีย่ วไปในน้�ำ- ธมฺมฏฺฐสสฺ ภวิสสฺ ตีติ อนั ลึกโดยปกติ, ส่วนว่า อ.ท่อน อนั มีในท่ามกลาง นี้ จกั มี (แก่เรา) ผูต้ งั้ อยู่ในธรรม ดงั นี้ ถือเอาแล้ว ซงึ่ ทอ่ นอนั มีในทา่ มกลาง หลีกไปแล้ว ฯ อ.นาก ท. อิมํ คาถํ วตฺวา มชฺฌิมขณฺฑํ อาทาย ปกฺกามิ. เตปิ แม้เหลา่ นนั้ เป็นสตั วม์ คี วามเดอื ดร้อน (เป็น) ได้ยนื แลดแู ล้ว (ซงึ่ สนุ ขั - วปิ ปฺ ฏิสาริโน ตํ โอโลเกตฺวา อฏฺฐสํ .ุ จิง้ จอก) นนั้ (ดงั นี)้ ฯ อ.พระศาสดา ครัน้ ทรงแสดงแล้ว ซ่ึงเร่ืองอันไปล่วงแล้ว นี ้ สตฺถา อิมํ อตีตํ ทสฺเสตฺวา “เอวเมส อตีเตปิ ตมุ ฺเห (ตรสั แล้ว) วา่ (อ.อปุ นนั ทะ) นน่ั ได้กระทำ� แล้ว ซง่ึ เธอ ท. ให้เป็นผ้มู -ี วิปปฺ ฏิสาริโน อกาสเิ ยวาติ เต ภิกฺขู สญฺญาเปตฺวา ความเดือดร้อน แม้ในกาลอนั ไปลว่ งแล้ว อยา่ งนี ้ นน่ั เทียว ดงั นี ้ อปุ นนฺทํ ครหนฺโต “ภิกฺขเว ปรํ โอวทนฺเตน นาม ทรงยงั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ให้ร้พู ร้อมแลว้ เมอ่ื ทรงตเิ ตยี น ซง่ึ พระอปุ นนั ทะ ปฐมเมว อตฺตา ปฏิรูเป ปตฏิ ฺฐาเปตพฺโพติ วตฺวา ตรัสแล้ววา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ตน (อนั บคุ คล) ช่ือวา่ ผ้เู มื่อกลา่ ว อิมํ คาถมาห สอน (ซง่ึ บคุ คล) อ่ืน พงึ ให้ตงั้ อยเู่ ฉพาะ (ในคณุ ) อนั สมควร ก่อน นน่ั เทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล) ยงั ตนนนั่ เทียว พึงใหต้ ง้ั ลง (ในคณุ ) อนั สมควร “อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสเย, ก่อน, พึงตามสอน ซ่ึงบคุ คลอืน่ ในภายหลงั , อ.บณั ฑิต อถญฺญมนสุ าเสยฺย, น กิลิสเฺ สยฺย ปณฺฑิโตติ. ไม่พึงเศร้าหมอง ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) พงึ (ยงั ตน) ให้ตงั้ อยเู่ ฉพาะ ในคณุ อนั สมควร ตตฺถ “ปฏริ ูเป นิเวสเยต:ิ อนจุ ฺฉวิเก คเุ ณ (ดังนี ้ ในบท ท.) เหล่านัน้ หนา (แห่งบาทแห่งพระคาถา) ว่า ปตฏิ ฺฐาเปยฺย. ปฎริ ูเป นิเวสเย ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถรูป) นี ้ วา่ (อ.บคุ คล) ใด เป็นผ้ใู คร่เพ่ืออนั ตามสอน อิทํ วตุ ฺตํ โหติ “โย อปปฺ ิ จฺฉตาทิคเุ ณหิ วา (ซงึ่ บคุ คล) อื่น ด้วยคณุ มีความเป็นแหง่ บคุ คลผ้มู ีความปรารถนา อริยวํสปปฺ ฏิปทาทีหิ วา ปรํ อนสุ าสติ กุ าโม, โส น้อยเป็นต้น ท. หรือ หรือวา่ (ด้วยปฏิปทา ท.) มีปฏิปทาของ- ปอตตฺตฏิ ฺาฐนาเเปมตวฺวาปอฐมถญํ ตฺญสํ มฺเตึ หคิ เุคณเุ ณหปิตอฏิ นฺฐสุาาเปเสยยฺยฺย;. เอวํ อริยวงศ์เป็นต้น (ยอ่ มเป็น), (อ.บคุ คล) นนั้ ยงั ตนนน่ั เทียว พงึ ให้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะ ในคณุ นนั้ ก่อน, (อ.บคุ คลนนั้ ) ครัน้ (ยงั ตน) ให้ตงั้ อยู่ เฉพาะแล้ว อยา่ งนี ้ พงึ ตามสอน (ซงึ่ บคุ คล) อน่ื ด้วยคณุ ท. เหลา่ นนั้ ในภายหลงั ฯ ด้วยวา่ (อ.บคุ คล)ไม่ ยงั ตน ให้ตงั้ ลงแล้ว (ในคณุ )นนั้ ตามสอนอยู่ อตฺตานํ หิ ตตฺถ อนิเวเสตฺวา เกวลํ ปรเมว (ซงึ่ บคุ คล) อน่ื อยา่ งเดยี ว นนั่ เทยี ว ได้แล้ว ซงึ่ การนนิ ทา (จากบคุ คล) อนสุ าสมาโน ปรโต นินฺทํ ลภิตฺวา กิลสิ ฺสติ นาม. อ่ืน ชื่อวา่ ยอ่ มเศร้าหมอง ฯ (อ.บคุ คล) ยงั ตน ให้ตงั้ ลงแล้ว (ในคณุ ) นนั้ ตามสอนอยู่ ยอ่ มได้ ตตฺถ อตฺตานํ นิเวเสตฺวา อนสุ าสมาโน ปรโต ซง่ึ การสรรเสริญ (จากบคุ คล) อน่ื , เพราะเหตนุ นั้ (อ.บคุ คลนนั้ ) ชอ่ื วา่ ปสสํ ํ ลภต;ิ ตสฺมา น กิลสิ ฺสติ นาม. ยอ่ มไมเ่ ศร้าหมอง ฯ อ.บณั ฑิต กระท�ำอยู่ อยา่ งนี ้ ชื่อวา่ ไมพ่ งึ เศร้าหมอง ดงั นี ้ เอวํ กโรนฺโต ปณฺฑิโต น กิลสิ เฺ สยฺยาต.ิ เป็นค�ำอธิบาย (อนั พระผ้มู ีพระภาค) ตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น ฯ 8 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ ท. ๒ เหลา่ นนั้ ตงั้ อยู่ เทสนาวสาเน เต เทฺว ภิกฺขู โสตาปตฺตผิ เล เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระเทศนา เป็นเทศนา เป็นไปกบั ปตฏิ ฺฐหสึ .ุ มหาชนสฺสาปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่มหาชน ดงั นีแ้ ล ฯ อแ.เหร่ง่ือเงจแ้าหศ่งา(จพกบยรแะะลเชถ้่วือร)วะ่ฯาผอ้ ูเุปป็ นนันโอทระส อุปนนฺทสกยฺ ปุตตฺ วตถฺ ุ. ๓. อ.เร่ืองแห่งพระเถระ ๓.ปธานิกตสิ สฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. ช่ือว่าตสิ (สอะันผขู้ป้ารพะเกจ้อาบจแะลก้วลใ่านวค) วฯามเพยี ร อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อตตฺ านญเฺ จติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซง่ึ พระเถระช่ือว่าติสสะผ้ปู ระกอบแล้วในความเพียร ตรัสแล้ว วหิ รนฺโต ปธานิกตสิ สฺ ตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ อตตฺ านญเฺ จ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ (อ.พระเถระ) นนั้ เรียนเอาแล้ว ซงึ่ กมั มฏั ฐาน ในสำ� นกั โส กภิร ิกฺขสู ตอฺถาุ ทาสยนฺตอเิ กรญฺเกญมมฺ วฏสฺฐสฺาํนํอปุ คคเหนฺตตฺฺววาา ของพระศาสดา พาเอาแล้ว ซงึ่ ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ ปญฺจสเต เข้าไปจ�ำแล้ว ซงึ่ พรรษา ในป่ า กลา่ วสอนแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้-ู อ“อปาปฺ วมโุ สตฺตธรามสามนณกพธมทุ ฺมฺธสํ กฺสโรโถวาสตนิ โฺตอเิ วกทกิตมฺวมฺ าฏสฺฐยาํนคํนคฺตหฺวิตาํ, มีอายุ ท. อ.กัมมัฏฐาน อันท่าน ท. เรียนเอาแล้ว ในส�ำนัก ของพระพทุ ธเจ้าผ้ทู รงพระชนมอ์ ย,ู่ (อ.ทา่ น ท.) เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว นิปชฺชิตฺวา สปุ ต.ิ (เป็น) จงกระท�ำ ซง่ึ สมณธรรม เถิด ดงั นี ้ ไปแล้ว นอนแล้ว ยอ่ มหลบั เอง ฯ อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ จงกรมแล้ว ในปฐมยาม ยอ่ มเข้าไป เต ภิกฺขู ปฐมยาเม จงฺกมิตฺวา มชฺฌิมยาเม วหิ ารํ สวู่ ิหาร ในมชั ฌิมยาม ฯ ปวสิ นฺต.ิ (อ.พระเถระ) นนั้ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั (ของภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ โส นิทฺทายิตฺวา ปพทุ ฺธกาเล เตสํ สนฺตกิ ํ ในกาล (แหง่ ตน) หลบั แล้ว ต่ืนแล้ว, กลา่ วแล้ว วา่ อ.ทา่ น ท. คนฺตฺวา “กึ ตมุ เฺ ห `นิปชฺชิตฺวา นิทฺทายิสฺสามาติ เป็นผ้มู าแล้ว (ด้วยความหวงั ) วา่ (อ.เรา ท.) นอนแล้ว จกั หลบั อาคตา ? สีฆํ นิกฺขมิตฺวา สมณธมมฺ ํ กโรถาติ วตฺวา ดงั นี ้ (ยอ่ มเป็น) หรือ ? (อ.ทา่ น ท.) ออกไปแล้ว พลนั จงกระท�ำ สยํ คนฺตฺวา ตเถว สปุ ต.ิ ซงึ่ สมณธรรม ดงั นี ้ไปแล้ว ยอ่ มหลบั อยา่ งนนั้ นน่ั เทียวเอง ฯ (อ.ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นอกนี ้ จงกรมแล้ว ในภายนอก ในมชั ฌมิ ยาม อิตเร มชฺฌิมยาเม พหิ จงฺกมิตฺวา ปจฺฉิมยาเม ยอ่ มเข้าไป สวู่ หิ าร ในปัจฉิมยาม ฯ วิหารํ ปวสิ นฺต.ิ (อ.พระเถระ) นนั้ ตนื่ แล้ว แม้อกี ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั (ของภกิ ษุ ท.) โส ปนุ ปิ ปพชุ ฺฌิตฺวา เตสํ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา เต เหลา่ นนั้ นำ� ออกแล้ว (ซง่ึ ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ จากวหิ าร ไปแล้ว ยอ่ ม วิหารา นีหริตฺวา สยํ ปนุ คนฺตฺวา สปุ เตว. หลบั เอง อีก นน่ั เทียว ฯ (ครนั้ เมอื่ พระเถระ) นนั้ กระทำ� อยู่ อยา่ งนี ้ ตลอดกาลเนอื งนติ ย,์ ตสมฺ ึ นิจฺจกาลํ เอวํ กโรนฺเต, เต ภิกฺขู สชฺฌายํ วา อ.ภิกษุ ท. เหล่านัน้ ไม่ได้ อาจแล้ว เพ่ืออันกระท�ำไว้ ในใจ กมมฺ ฏฺฐานํ วา มนสกิ าตํุ นาสกฺขสึ .ุ ซงึ่ การสาธยาย หรือ หรือวา่ ซง่ึ กมั มฏั ฐาน ฯ ผลิตสอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 9 www.kalyanamitra.org

อ.จิต ได้ถงึ แล้ว ซง่ึ ความเป็นโดยประการอ่ืน ฯ (อ.ภิกษุ ท.) จิตฺตํ อญฺญถตฺตํ อคมาส.ิ เต “อมหฺ ากํ อาจริโย เหลา่ นนั้ (ปรึกษากนั แล้ว) วา่ อ.อาจารย์ ของเรา ท. เป็นผ้มู ีความ- อติวิย อารทฺธวิริโย, ปริคฺคณฺหิสฺสาม นนฺติ เพยี รอนั ปรารภแล้ว เกนิ เปรียบ (ยอ่ มเป็น), (อ.เรา ท.) จกั กำ� หนดจบั ปริคฺคณฺหนฺตา ตสฺส กิรริยวํตีตทิ ิสวฺวทาสึ “.ุ นฏเตฺ ฐสมํ ฺหาอวตุโิวสยิ , (ซง่ึ อาจารย)์ นนั้ ดงั นี ้กำ� หนดจบั อยู่ เหน็ แล้ว ซง่ึ กริ ิยา (ของพระเถระ) อาจริโย โน ตจุ ฺฉรวํ นนั้ กลา่ วแล้ววา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุท.(อ.เราท.)เป็นผ้ฉู ิบหายแล้ว กิลมนฺตานํ เอกภิกฺขปุ ิ วิเสสํ นิพฺพตฺเตตํุ นาสกฺขิ. ยอ่ มเป็น, อ.อาจารย์ ของเรา ท. ยอ่ มร้อง ร้องเปลา่ ดงั นี ฯ้ (แหง่ ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ ผ้ลู ำ� บากอยู่ เกนิ เปรยี บหนา แม้ อ.ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ไมไ่ ด้อาจแลว้ เพื่ออนั ยงั คณุ วเิ ศษ ให้บงั เกิด ฯ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ผ้มู ีพรรษาอนั อยแู่ ล้ว ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั เต วตุ ฺถวสสฺ า สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา สตฺถารา ของพระศาสดา ผ้มู ีปฏิสนั ถาร อนั พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว กตปปฺ ฏิสนฺถารา “กึ ภิกฺขเว อปปฺ มตฺตา หตุ ฺวา ผู้ (อนั พระศาสดา) ตรัสถามแล้ววา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.เธอ ท. เป็นผู้ สมณธมมฺ ํ กริตฺถาติ ปจุ ฺฉิตา ตมตฺถํ อาโรเจส.ํุ ไมป่ ระมาทแล้ว เป็น กระทำ� แล้ว ซง่ึ สมณธรรม หรือ ดงั นี ้กราบทลู แล้ว ซง่ึ เนือ้ ความ นนั้ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ.ภิกษุน่ัน สตฺถา “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปพุ ฺเพเปส ตมุ หฺ ากํ ยอ่ มกระท�ำ ซงึ่ อนั ตราย แก่เธอ ท.) ในกาลนี ้ นน่ั เทียว หามิได้, อนฺตรายมกาสเิ ยวาติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต (อ.ภิกษุ) นนั่ ได้กระท�ำแล้ว ซงึ่ อนั ตราย แก่เธอ ท. นนั่ เทียว แม้ ในกาลก่อน ดังนี ้ (ผู้ อันภิกษุ ท.) เหล่านัน้ ทูลวิงวอนแล้ว ทรงยงั อกาลรวกกุ กฏุ ชาดก นี ้วา่ อ.ไก่ นี้ ตวั เติบโตดีแลว้ ในส�ำนกั ของไก่ตวั มิใช่มารดา “อมาตาปิ ตสุ ํวฑฺโฒ อนาจริยกเุ ล วสํ และบิดา ตวั อยู่อยู่ ในตระกูลของไก่ตวั มิใช่อาจารย์ นายํ กาลมกาลํ วา อภิชานาติ กกุ ฺกโุ ฏติ ย่อมไม่รู้เฉพาะ ซึ่งกาล หรือ หรือว่า ซึ่งสมยั มิใช่กาล ดงั นี้ ให้พิสดารแล้ว ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ตน (อนั บคุ คล) ช่ือวา่ อิมํ อกาลรวกกุ ฺกฏุ ชาตกํ วิตฺถาเรตฺวา “ภิกฺขเว ปรํ ผ้เู มอ่ื กลา่ วสอน (ซงึ่ บคุ คล) อน่ื พงึ กระทำ� ให้เป็นผ้อู นั ตน ฝึกดแี ล้ว, โอวทนฺเตน นาม อตฺตา สทุ นฺโต กาตพฺโพ, เอวํ เพราะวา่ (อ.บคุ คล) เมอื่ กลา่ วสอน อยา่ งนี ้ เป็นผู้ (อนั ตน) ฝึกดแี ล้ว โอวทนฺโต หิ สทุ นฺโต หตุ ฺวา ทเมติ นามาติ วตฺวา เป็น ช่ือวา่ ยอ่ มฝึกได้ ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อิมํ คาถมาห หากว่า (อ.บุคคล) ย่อมตามสอน (ซึ่งบุคคล) อื่น ฉนั ใด “อตฺตานญฺเจ ตถา กยิรา, ยถญฺญมนสุ าสติ, พึงกระท�ำ ซ่ึงตน ฉนั นนั้ ไซร้, (อ.บุคคล นนั้ ) เป็ นผู้ สทุ นโฺ ต วต ทเมถ, อตฺตา หิ กิร ททุ ฺทโมติ. (อนั ตน) ฝึ กดีแล้ว หนอ (เป็ น) ควรฝึ กได้, เพราะว่า ไดย้ ินว่า อ.ตน เป็นผูอ้ นั บคุ คลฝึกไดโ้ ดยยาก (ย่อมเป็น) ดงั นี้ อ.เนอื ้ ความ (แหง่ คำ� อนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ อ.ภกิ ษุ กลา่ วแล้ว วา่ ตสสฺ ตโฺ ถ “ยถา ภกิ ขฺ ุ `ปฐมยามาทสี ุ จงกฺ มติ พพฺ นตฺ ิ (อนั ทา่ น ท.) พงึ จงกรม (ในยาม ท.) มีปฐมยามเป็นต้น ดงั นี ้ วตฺวา ปรํ โอวทติ, กสยยิรํ า,จงฺกยมถนญาฺญทีนมิ นอสุ ธาิฏสฺตฐห.ิ นเอฺโตวํ ยอ่ มกลา่ วสอน (ซง่ึ บคุ คล) อน่ื ฉนั ใด, หากวา่ (อ.ภกิ ษ)ุ ยอ่ มตามสอน อตฺตานญฺเจ ตถา (ซงึ่ บคุ คล) อน่ื ฉนั ใด, อธษิ ฐานอยู่ (ซง่ึ วตั ร ท.) มกี ารจงกรม เป็นต้น สนฺเต สุทนฺโต วต ทเมถาต:ิ เยน คเุ ณน ปรํ เอง (ฉนั นนั้ ) พงึ กระท�ำ ซง่ึ ตน ฉนั นนั้ ไซร้, (ครัน้ เมื่อความเป็น) อนสุ าสติ เตน อตฺตนา สทุ นฺโต หตุ ฺวา ทเมยฺย. อยา่ งนนั้ มอี ยู่(อ.ภกิ ษนุ นั้ เป็นผ้(ู อนั ตน)ฝึกดแี ล้วหนอ(เป็น)ควรฝึกได้ฯ (อ.อรรถ) วา่ (อ.ภิกษุ) ยอ่ มตามสอน (ซง่ึ บคุ คล)อ่ืน ด้วยคณุ ใด เป็นผ้อู นั ตนฝึกดีแล้ว (ด้วยคณุ ) นนั้ เป็น ควรฝึกได้ (ดงั นี ้แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ สุทนฺโต วต ทเมถ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ) วา่ เพราะวา่ ช่ือ อ.ตน นี ้ เป็นผ้อู นั บคุ คลฝึกได้ อตตฺ า หิ กริ ททุ ทฺ โมต;ิ อยํ หิ อตฺตา นาม โดยยาก (ยอ่ มเป็น) ฯ เพราะเหตนุ นั้ (อ.ตน) นนั้ เป็นผู้ (อนั บคุ คล) ททุ ฺทโม. ตสฺมา ยถา โส สทุ นฺโต โหติ, ตถา ฝึกดีแล้ว ยอ่ มเป็น โดยประการใด, (อ.ตน อนั บคุ คล) ควรฝึก ทเมตพฺโพต.ิ โดยประการนนั้ (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ อตตฺ า หิ กริ ททุ ทฺ โม ดงั นี ้ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ 10 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ แม้มรี ้อยห้า เทสนาวสาเน ปญฺจสตาปิ เต ภิกฺขู อรหตฺตํ เป็นประมาณ บรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั ดงั นีแ้ ล ฯ ปาปณุ สึ ตู ิ. อ.เร่ืองแห่งพระเถระ ปธานิกตสิ ฺสตเฺ ถรวตถฺ ุ. ช่ือว่าตสิ สสะผู้ประกอบแล้วในความเพยี ร (จบแล้ว) ฯ ๔. อ.เร่ืองแห่งมารดา ๔. กุมารกสสฺ ปตเฺ ถรมาตุวตถฺ ุ. ของ(พอรันะขเ้ถาพระเจช้่าือวจ่ าะกกุมลา่ ารวก) ัสฯสปะ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ มารดาของพระเถระช่ือวา่ กมุ ารกสั สปะ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรม เชตวเน วหิ รนฺโต กมุ ารกสฺสปตฺเถรสสฺ มาตรํ อารพฺภ เทศนา นี ้วา่ อตตฺ า หิ อตตฺ โน นาโถ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ กเถส.ิ ได้ยินว่า (อ.มารดา) นัน้ เป็นธดิ าของเศรษฐี ในเมอื งชอ่ื วา่ มปาฏตฺ ฐาสาปายิ ตกนู ริ ปํ รพสาฺชพนคฺตชหิกฺชนาํ คยเปราพเจสฺพิ,ฏชฺฐฺชธิปํตี ุนอาปลวฺปภญิ ุนิตญฺ ํฺวาตุ ยํ ปาวจตยตมฺปกาปฺ านตลาฺตโปตาิ ราชคฤห์ (เป็น) ขอแล้ว ซง่ึ การบวช จ�ำเดมิ แตก่ าล (แหง่ ตน) ถงึ แล้ว ซง่ึ คามเป็นแหง่ บคุ คลผ้รู ู้แจ้ง, แม้ขออยู่ บอ่ ย ๆ ไมไ่ ด้แล้ว ซง่ึ การบวช จากสำ� นกั ของมารดาและบดิ า ท. ผ้ถู งึ แล้วซง่ึ วยั ไปแล้ว สตู่ ระกลู - ปตกิ ลุ ํ คนฺตฺวา ปตเิ ทวตา หตุ ฺวา อคารํ อชฺฌาวส.ิ แหง่ ผวั เป็นผ้มู ผี วั เพยี งดงั เทวดา เป็น อยคู่ รอบครองแล้ว ซง่ึ เรือน ฯ ครัง้ นนั้ อ.สตั ว์ผ้เู กิดแล้วในครรภ์ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในท้อง (ของธิดาของเศรษฐี) นนั้ ตอ่ กาลไมน่ านนนั่ เทียว ฯ อถสฺสา น จิรสฺเสว กจุ ฺฉิสมฺ ึ คพฺโภ ปตฏิ ฺฐหิ. ก็ (อ.ธดิ าของเศรษฐี) นนั้ ไมร่ ู้แล้ว ซงึ่ ความท่ี (แหง่ สตั วผ์ ้เู กดิ แล้ว ในครรภ์) นนั้ เป็นผ้ตู งั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทียว ยงั สามี ให้ยินดียิ่งแล้ว อาราสเธาตฺวปานปสพฺสฺพชปฺชตํ ยฏิ ฺาฐจติ ิ.ภาวํ อชานิตฺวาว สามิกํ ขอแล้ว ซง่ึ การบวช ฯ ครงั้ นนั้ (อ.สาม)ี นนั้ นำ� ไปแล้ว (ซง่ึ ธดิ าของเศรษฐี) นนั้ สทู่ เ่ี ป็นที่ เข้าไปอาศยั แหง่ ภกิ ษณุ ี ด้วยสกั การะ อนั ใหญ่ ไมร่ ้อู ยู่ (ยงั ธดิ าของเศรษฐ)ี อถ นํ โส มหนฺเตน สกฺกาเรน ภิกฺขนุ ีอปุ สฺสยํ ให้บวชแลว้ ในสำ� นกั ของภกิ ษณุ ี ท. ผ้นู บั เนอื่ งแลว้ ในฝ่ายแหง่ พระเทวทตั ฯ เนตฺวา อชานนฺโต เทวทตฺตปกฺขิกานํ ภิกฺขนุ ีนํ สนฺตเิ ก ปพฺพาเชส.ิ โดยสมยั อนื่ อกี (อ.ภกิ ษณุ นี นั้ ) ผู้ (อนั ภกิ ษณุ ี ท.) เหลา่ นนั้ รู้แล้ว ซงึ่ ความท่ี (เเหง่ ภิกษุณี) นนั้ เป็นผ้มู ีครรภ์ ถามแล้ว วา่ (อ.เหต)ุ นี ้ อปเรน สมเยน ตสสฺ า คพฺภินีภาวํ ญตฺวา ตาหิ อะไร ดงั นี ้(กลา่ วแล้ว)วา่ ข้าแตแ่ มเ่ จ้า อ.ดฉิ นั ยอ่ มไมร่ ู้วา่ (อ.เหตุ ) “กึ ออโิทรนคฺตเมิ ปวาฏุ ฺตฐิา[อ“านหา]ห.ํ อยฺเย ชานามิ `กิเมตํ,’ สลี ํ ปน นนั่ อะไร (ดงั นี)้ , แตว่ า่ อ.ศีล ของดฉิ นั เป็นคณุ ชาตไมม่ ีโรค เม นนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ อ.ภกิ ษณุ ี ท. นำ� ไปแล้ว (ซงึ่ ภกิ ษณุ )ี นนั้ สสู่ ำ� นกั ของพระเทวทตั ถามแล้ว วา่ อ.ภิกษุณี นี ้บวชแล้ว ด้วยศรัทธา, ภิกฺขนุ ิโย ตํ เทวทตฺตสฺส สนฺตกิ ํ เนตฺวา “อยํ ภิกฺขนุ ี สทฺธาย ปพฺพชิตา, ผลติ สอื่ การเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 11 www.kalyanamitra.org

อ.ฺ ดฉิ นั ท. ยอ่ มไมร่ ู้ ซงึ่ กาลแหง่ สตั วผ์ ้เู กดิ แล้ว ในครรภ์ (ของภกิ ษณุ )ี อิมิสสฺ า มยํ คพฺภสฺส ปตฏิ ฺฐติ กาลํ น ชานาม; กทึ านิ นี ้ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว, (อ.ดฉิ นั ท.) จะกระทำ� อยา่ งไร ในกาลนี ้ดงั นี ้ฯ กโรมาติ ปจุ ฺฉึส.ุ อ.พระเทวทตั คดิ แล้ว (ซง่ึ เหต)ุ มีประมาณเทา่ นีน้ นั่ เทียว วา่ เทวทตฺโต “มา มยฺหํ โอวาทการิกานํ ภิกฺขนุ ีนํ อ.โทษมิใชย่ ศ จงอยา่ เกิดขนึ ้ แก่ภิกษุณี ท. ผ้กู ระท�ำซง่ึ โอวาท อยโส อปุ ปฺ ชชฺ ตตู ิ เอตตฺ กเมว จนิ เฺ ตตวฺ า “อปุ ปฺ พพฺ าเชถ ของเรา ดงั นี ้กลา่ วแล้ว วา่ (อ.เธอ ท.) จง (ยงั ภกิ ษณุ )ี นนั้ ให้สกึ ดงั นี ้ฯ นนฺติ อาห. อ.ภิกษุณีสาว นัน้ ฟังแล้ว (ซึ่งค�ำ) นัน้ (กล่าวแล้ว) ว่า ตํ สตุ ฺวา สา ทหรา “มา มํ อยฺเย นาเสถ, นาหํ ข้าแตแ่ มเ่ จ้า ท. (อ.ทา่ น ท.) ขอจงอยา่ ยงั ดฉิ นั ให้ฉิบหาย, อ.ดฉิ นั เทวทตฺตํ อทุ ฺทิสสฺ ปพฺพชิตา, เอถ มํ สตฺถุ สนฺตกิ ํ เป็นผ้บู วชแล้ว เจาะจง ซงึ่ พระเทวทตั (ยอ่ มเป็น) หามไิ ด้, (อ.ทา่ น ท.) เชตวนํ เนถาต.ิ จงมา, จงน�ำไป ซงึ่ ดฉิ นั สพู่ ระเชตวนั อนั เป็นส�ำนกั ของพระศาสดา ดงั นี ้ฯ (อ.ภิกษุณี ท.) เหลา่ นนั้ พาเอา (ซงึ่ ภิกษุณีสาว)นนั้ ไปแล้ว ตา ตํ อาทาย เชตวนํ คนฺตฺวา สตฺถุ อาโรเจส.ํุ สพู่ ระเชตวนั กราบทลู แล้ว แก่พระศาสดา ฯ อ.พระศาสดา แม้ทรงทราบอยู่ วา่ อ.สตั ว์ผ้เู กิดแล้วในครรภ์ สตฺถา ป“รตวสาฺสทาโมจคนหิ ติกฺถาํ เลราชคาพนฺโํ ภปเสปนตทฏิ ฺิโฐกโิ ตสตลิํ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในกาล (แหง่ ภิกษุณีสาว) นนั้ เป็นคฤหสั ถ์ ดงั นี ้ ชานนฺโตปิ (ทรงยงั บคุ คล) ให้ทลู เชญิ แล้ว ซงึ่ พระราชา พระนามวา่ ปเสนทโิ กศล มหาอนาถปิ ณฺฑิกํ จลุ ฺลอนาถปิ ณฺฑิกํ วิสาขํ อปุ าสกิ ํ ด้วย ซง่ึ เศรษฐีช่ือวา่ มหาอนาถบณิ ฑิกะ ด้วย ซงึ่ เศรษฐีชื่อวา่ อญฺญานิ จ มหากลุ านิ ปกฺโกสาเปตฺวา อปุ าลติ ฺเถรํ จลุ นาถบณิ ฑิกะ ด้วย ซง่ึ อบุ าสกิ า ชื่อวา่ วสิ าขา ด้วย ซง่ึ ตระกลู - อาณาเปสิ “คจฺฉ, อิมิสสฺ า ทหราย [ภิกฺขนุ ิยา] ใหญ่ ท. เหลา่ อ่ืน ด้วย เพื่ออนั เปลอื ้ งซง่ึ วาทะของบคุ คลอื่น จตปุ ปฺ ริสมชฺเฌ กมมฺ ํ โสเธหีต.ิ ทรงสง่ั บงั คบั แล้ว ซงึ่ พระเถระชื่อวา่ อบุ าลี วา่ (อ.เธอ) จงไป, อ.เธอ ยงั กรรม ของภกิ ษณุ สี าวนี ้ จงให้หมดจด ในทา่ มกลางแหง่ บริษัท ๔ ดงั นี ้ฯ อ.พระเถระ (ยงั บคุ คล) ให้ร้องเรยี กแลว้ ซง่ึ นางวสิ าขา (ยงั นางวสิ าขา) เถโร รญฺโญ ปรุ โต วิสาขํ ปกฺโกสาเปตฺวา ตํ นนั้ ให้รับรองแล้ว ซง่ึ อธิกรณ์ ข้างพระพกั ตร์ ของพระราชา ฯ อธิกรณํ ปฏิจฺฉาเปส.ิ (อ.นางวสิ าขา)นนั้ ยงั บคุ คลให้ล้อมรอบแล้วซง่ึ ก�ำแพงคอื มา่ น สา สาณิปปฺ าการํ ปริกฺขิปาเปตฺวา อนฺโตสาณิยํ ตรวจดแู ล้ว ซงึ่ มือและเท้าและสะดือและท่ีสดุ รอบแหง่ ท้อง ท. ตสสฺ า หตฺถปาทนาภิอทุ รปริโยสานานิ โอโลเกตฺวา (ของภิกษุณีสาว)นนั้ ในภายในแหง่ มา่ นนบั แล้วซง่ึ เดือนและวนั ท. มาสทิวเส มาเนตฺวา “คหิ ิภาเว อิมาย คพฺโภ รู้แล้ว วา่ อ.สตั วผ์ ้เู กดิ แล้วในครรภ์ (อนั ภกิ ษณุ สี าว) นี ้ ได้แล้ว ลทฺโธติ ญตฺวา เถรสสฺ ตมตฺถํ อาโรเจส.ิ อถสสฺ า ในความเป็นแหง่ คฤหสั ถ์ ดงั นี ้บอกแล้ว ซงึ่ เนอื ้ ความนนั้ แกพ่ ระเถระ ฯ เถโร ปริสมชฺเฌ ปริสทุ ฺธภาวํ ปตฏิ ฺฐาเปส.ิ ครัง้ นนั้ อ.พระเถระ ยงั ความที่ (แหง่ ภิกษุณีสาว) นนั้ เป็นผ้หู มดจด- รอบแล้ว ให้ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในทา่ มกลางแหง่ บริษัท ฯ โดยสมยั อ่ืนอีก (อ.ภิกษุณีสาว) นนั้ คลอดแล้ว ซงึ่ บตุ ร สา อปเรน สมเยน ปทมุ ตุ ฺตรพทุ ฺธปาทมเู ล ผู้มีอานุภาพใหญ่ ผู้มีความปรารถนาอันตัง้ ไว้ เฉพาะแล้ว ปตฏิ ฺฐติ ปปฺ ตฺถนํ มหานภุ าวํ ปตุ ฺตํ วชิ ายิ. ณ ทใ่ี กล้แหง่ พระบาทของพระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ ปทมุ ตุ ตระ ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ อ.พระราชา เสดจ็ ไปอยู่ ณ ท่ีใกล้แหง่ - อเถกทิวสํ ราชา ภิกฺขนุ ีอปุ สสฺ ยสมีเป คจฺฉนฺโต ที่เป็นท่ีเข้าไปอาศยั แหง่ ภิกษุณี ทรงสดบั แล้ว ซงึ่ เสียงแหง่ เดก็ ทารกสทฺทํ สตุ ฺวา “กึ อิทนฺติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “เทว ตรัสถามแล้ว วา่ (อ.เสียง) นี ้ อะไร ดงั นี,้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ เอตสิ สฺ า ภิกฺขนุ ิยา ปตุ ฺโต ชาโต, ตสเฺ สส สทฺโทติ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้สู มมตเิ ทพ อ.บตุ ร ของภกิ ษณุ ี นน่ั เกดิ แล้ว, (อ.เสยี ง) วตุ ฺเต, ตํ กมุ ารํ อตฺตโน ฆรํ เนตฺวา ธาตีนํ อทาส.ิ น่ัน เป็ นเสียง (ของบุตร) นัน้ (ย่อมเป็ น) ดังนี ้ (อันราชบุรุษ) กราบทูลแล้ว, ทรงน�ำไปแล้ว ซึ่งกุมาร นัน้ สู่วัง ของพระองค์ ได้พระราชทานแล้ว แก่หญิงแมน่ ม ท. ฯ 12 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ก็ ในวนั เป็นทถ่ี อื เอาซงึ่ ชอ่ื (อ.ชน ท.) กระทำ� แล้ว (ซงึ่ คำ� ) วา่ อ.กสั สปะ นามคฺคหณทิวเส จสสฺ “กสฺสโปติ นามํ กตฺวา ดงั นี ้ ให้เป็นชอ่ื (ของกมุ าร) นนั้ รู้พร้อมแล้ว วา่ อ.กมุ ารกสั สปะ ดงั นี ้ กมุ ารปริหาเรน วฑฒฺ ติ ตตฺ า “กมุ ารกสสฺ โปติ สญชฺ านสึ .ุ เพราะความท่ี (แหง่ กมุ ารนนั้ ) เป็นผ้เู ตบิ โตแล้ว ด้วยวตั ถเุ ป็นเครื่อง- บริหารแหง่ พระกมุ าร ฯ (อ.กมุ าร) นนั้ ตแี ล้ว ซง่ึ เดก็ ท. ในสนามเป็นทเี่ ลน่ , (ครนั้ เมอ่ื คำ� ) วา่ โส กีฬามณฺฑเล ทารเก ปหริตฺวา, “นิมมฺ าตา- (อ.เรา ท. ) เป็นผ้(ู อนั กมุ าร) ผ้มู มี ารดาและบดิ าออกแล้ว ตแี ล้ว เป็นแล้ว ปิ ตเิ กนมหฺ า ปหฏาติ วตุ ฺเต, ราชานํ อปุ สงฺกมิตฺวา ดงั นี ้ (อนั เดก็ ท. เหลา่ นนั้ ) กลา่ วแล้ว เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระราชา “เทว มํ `นมิ มฺ าตาปิตโิ กติ วทนตฺ ,ิ มาตรํ เม อาจกิ ฺขถาติ ทลู ถามแล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้สู มมตเิ ทพ (อ.เดก็ ท.) ยอ่ มเรียก ปจุ ฺฉิตฺวา, รญฺญา ธาตโิ ย ทสฺเสตฺวา “อิมา เต มาตโรติ ซง่ึ หมอ่ มฉนั วา่ (อ.กมุ าร)ผ้มู มี ารดาและบดิ าออกแลว้ ดงั น,ี ้ (อ.พระองค์ ท. ) วตุ ฺเต, “น เอตฺตกา มม มาตโร, เอกาย เม มาตรา ขอจงตรัสบอก ซงึ่ มารดา แก่หมอ่ มฉนั เถิด ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือ ภวติ พฺพํ, ตํ เม อาจิกฺขถาติ อาห. พระดำ� รสั ) วา่ (อ.หญงิ ท.) เหลา่ นี ้เป็นมารดา ของเจ้า (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (อนั พระราชา) ทรงแสดงแล้ว ซงึ่ หญงิ แมน่ ม ท. ตรสั แล้ว, กราบทลู แล้ว วา่ (อ.หญงิ ท.) มปี ระมาณเทา่ นี ้เป็นมารดา ของหมอ่ มฉนั (ยอ่ มเป็น) หามิได้, (อนั หญิง) คนเดียว เป็นมารดา ของหมอ่ มฉนั พงึ เป็น, (อ.พระองค์ ท.) ขอจงตรสั บอก (ซง่ึ มารดา)นนั้ แกห่ มอ่ มฉนั เถดิ ดงั นี ้ ฯ อ.พระราชา ทรงด�ำริแล้ว วา่ (อนั เรา) ไมอ่ าจ เพื่ออนั ลวง ราชา “น สกฺกา อิมํ วญฺเจตนุ ฺติ จินฺเตตฺวา “ตาต (ซงึ่ กมุ าร) นี ้ดงั นี ้(ตรสั แล้ว)วา่ แนะ่ พอ่ อ.มารดา ของเจ้า เป็นภกิ ษณุ ี ตว มาตา ภิกฺขนุ ี, ตฺวํ มยา ภิกฺขนุ ีอปุ สสฺ ยา อานีโตต.ิ (ยอ่ มเป็น), อ.เจ้า เป็นผู้ อนั เรา น�ำมาแล้ว จากที่เป็นท่ีเข้าไปอาศยั แหง่ ภิกษุณี (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ (อ.กมุ าร) นนั้ เป็นผ้มู คี วามสลดอนั เกดิ ขนึ ้ พร้อมแล้ว (ด้วยเหต)ุ โส ตาวตเกเนว สมปุ ปฺ นฺนสํเวโค หตุ ฺวา “ตาต มีประมาณเทา่ นนั้ นน่ั เทียว เป็น กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตเ่ สดจ็ พอ่ ปพฺพาเชถ มนฺติ อาห. ราชา “สาธุ ตาตาติ ตํ มหนฺเตน (อ.พระองค์ ท.) ขอจงทรง (ยงั หมอ่ มฉนั ) ให้บวชเถดิ ดงั นี ้ฯ อ.พระราชา สกฺกาเรน สตฺถุ สนฺตเิ ก ปพฺพาเชส.ิ โส ลทฺธปู สมปฺ โท (ทรงรบั พร้อมแลว้ ) วา่ แนะ่ พอ่ อ.ดลี ะ ดงั นี ้(ทรงยงั กมุ าร) นนั้ ให้บวชแลว้ “กมุ ารกสสฺ ปตฺเถโรติ ปญฺญายิ. ในส�ำนกั ของพระศาสดา ด้วยสกั การะ อนั ใหญ่ ฯ (อ.กมุ าร) นนั้ ผ้มู อี ปุ สมบทอนั ได้แล้ว ปรากฏแล้ว วา่ อ.พระเถระชอื่ วา่ กมุ ารกสั สปะ ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นัน้ เรียนเอาแล้ว ซ่ึงกัมมัฏฐาน ในส�ำนัก โส สตฺถุ สนฺตเิ ก วกเิ สมสมฺ ํ ฏนฺฐิพานฺพํตคฺเตเหตตํุ ฺวอาสกอฺโรกญนฺโฺญตํ ของพระศาสดา เข้าไปแล้ว สู่ป่ า พยายามแล้ว ไม่อาจอยู่ ปวสิ ติ ฺวา วายมิตฺวา เพอ่ื อนั ยงั คณุ วเิ ศษให้บงั เกดิ (คดิ แลว้ )วา่ (อ.เรา)จกั เรยี นเอาซง่ึ กมั มฏั ฐาน อ“ปานุคนกฺตมฺวมฺ าฏอฺฐนาฺธนวํ เวนิเสวเิหสาตสฺว.ิา คเหสฺสามีติ สตฺถุ สนฺตกิ ํ ให้วิเศษ อีก ดังนี ้ มาแล้ว สู่ส�ำนัก ของพระศาสดา อยู่แล้ว ในอนั ธวนั ฯ ครัง้ นนั้ อ.ภิกษุ ผู้ กระท�ำแล้ว ซง่ึ สมณธรรม โดยความเป็นอนั อถ นํ กสสฺ ปพทุ ฺธกาเล เอกโต สมณธมมฺ ํ กตฺวา เดียวกนั ในกาลแหง่ พระพทุ ธเจ้าพระนามวา่ กสั สปะ บรรลแุ ล้ว อนาคามิผลํ ปตฺวา พฺรหฺมโลเก นิพฺพตฺตภิกฺขุ ซง่ึ อนาคามิผล บงั เกิดแล้ว ในพรหมโลก มาแล้ว จากพรหมโลก พฺรหฺมโลกโต อาคนฺตฺวา ปณฺณรส ปญฺเห ปจุ ฺฉิตฺวา ถามแล้ว ซง่ึ ปัญหา ท. ๑๕ (กะพระเถระ) นนั้ สง่ ไปแล้ว (ด้วยค�ำ) วา่ “อิเม ปญฺเห ฐเปตฺวา สตฺถารํ อญฺโญ พฺยากาตํุ (อ.บคุ คล) อื่น เว้น ซง่ึ พระศาสดา ผ้สู ามารถเพื่ออนั พยากรณ์ สมตฺโถ นตฺถิ, คจฺฉ, สตฺถุ สนฺตเิ ก อิเมสํ อตฺถํ ซึ่งปัญหา ท. เหล่านี ้ ย่อมไม่มี, (อ.ท่าน) จงไป, จงเรียนเอา อคุ ฺคณฺหาติ อยุ ฺโยเชส.ิ ซง่ึ เนอื ้ ความ (แหง่ ปัญหา ท.) เหลา่ นี ้ในสำ� นกั ของพระศาสดา ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ กระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ บรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั โส ตถา กตฺวา ปญฺหวิสฺสชฺชนาวสาเน อรหตฺตํ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ การทรงแก้ซงึ่ ปัญหา ฯ ปาปณุ ิ. ผลติ สื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 13 www.kalyanamitra.org

ก็ อ.นำ� ้ ตา ท. ไหลออกแลว้ จากนยั นต์ า ท. ของภกิ ษณุ ี ผ้เูป็นมารดา ตสฺส ภปิกนฺขนุ นิยิกาฺขนอกฺตฺขทีหิวิสอโตสฺสปนู ฏิ ฺปฐาวยตฺตทยฺวสึ า.ุ ทส วสสฺ านิ สนิ ้ ปี ท. ๑๒ จำ� เดมิ แตว่ นั (แหง่ พระเถระ) นนั้ ออกไปแล้ว ฯ มาตุ (อ.ภกิ ษณุ )ี นนั้ ผ้ถู งึ แล้วซง่ึ ทกุ ขเ์ พราะความพลดั พรากจากบตุ ร สา ปุตฺตวิโยคทุกฺขิตา อสฺสุตินฺเตเนว มุเขน มหี น้า อนั ชมุ่ แล้วด้วยนำ� ้ ตานน่ั เทยี ว เทยี่ วไปอยู่ เพอ่ื ภกิ ษา เหน็ แล้ว ภิกฺขาย จรมานา อนฺตรวีถิยํ เถรํ ทิสฺวา ว ซงึ่ พระเถระ ในระหวา่ งแหง่ ถนน เทียว ร้องอยู่ วา่ แนะ่ ลกู แนะ่ ลกู “ปุตฺต ปุตฺตาติ วิรวนฺตี ตํ คณฺหิตํุ อุปธาวมานา ดงั นี ้ วง่ิ เข้าไปอยู่ เพื่ออนั จบั (ซงึ่ พระเถระ) นนั้ เป็นไปทวั่ แล้ว ปวตฺติตฺวา ปติ. สา ถเนหิ ขีรํ มุญฺจนฺเตหิ ล้มแล้ว ฯ (อ.ภิกษุณี) นนั้ มีถนั ท. อนั หลง่ั อยู่ ซง่ึ น�ำ้ นม ลกุ ขนึ ้ แล้ว อุฏฺ ฐหิตฺวา อลฺลจีวรา คนฺตฺวา เถรํ คณฺหิ. มีจีวรอนั เปี ยก ไปแล้ว จบั แล้ว ซงึ่ พระเถระ ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ คดิ แล้ว วา่ ถ้าวา่ (อ.มารดา) นี ้จกั ได้ ซงึ่ ค�ำ โส จินฺเตสิ “สจายํ มม สนฺตกิ า มธรุ วจนํ อนั ไพเราะ จากสำ� นกั ของเรา ไซร้, (อ.มารดานี)้ จกั ฉิบหาย, (อ.เรา ) ลภิสสฺ ต,ิ วนิ สสฺ สิ ฺสต;ิ ถทฺธเมว กตฺวา อิมาย สทฺธึ จกั เจรจากบั (ด้วยมารดา) นีก้ ระทำ� ให้เป็นคำ� กระด้างนนั่ เทยี วดงั นีฯ้ สลลฺ ปิ สฺสามีต.ิ อถ นํ อาห “กึ กโรนฺตี วจิ รส?ิ ครงั้ นนั้ อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว (กะภกิ ษณุ )ี นนั้ วา่ (อ.ทา่ น) ยอ่ มเทยี่ ว สเิ นหมตฺตํปิ ฉินฺทิตํุ น สกฺโกสตี .ิ กระท�ำอยู่ ซึ่งอะไร ? (อ.ท่าน) ย่อมไม่อาจ เพ่ืออันตัด (ซ่ึงเหตุ) แม้สกั วา่ ความรัก หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.ภกิ ษณุ )ี นนั้ คดิ แลว้ วา่ โอ อ.วาจาเป็นเครอ่ื งกลา่ ว ของพระเถระ สา “อโห กกฺขฬา เถรสสฺ กถาติ จินฺเตตฺวา เป็นวาจาหยาบ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ กลา่ วแล้ว วา่ แนะ่ พอ่ (อ.ทา่ น) “กึ วเทสิ ตาตาติ วตฺวา ปนุ ปิ ตเถว วตุ ฺตา จินฺเตสิ กลา่ วแล้ว ซง่ึ คำ� อะไร ดงั นี ้ ผู้ (อนั พระเถระ) กลา่ วแล้ว อยา่ งนนั้ นน่ั “อหํ อิมสสฺ การณา ทฺวาทส วสฺสานิ อสฺสนู ิ นิวาเรตํุ เทยี ว แม้อกี คดิ แล้ว วา่ อ.เรา ยอ่ มไมอ่ าจ เพอ่ื อนั ห้าม ซงึ่ นำ� ้ ตา ท. น สกฺโกมิ, อยํ ปน เม ถทฺธหทโย, กึ เม อิมินาติ สนิ ้ ปี ท. ๑๒ เพราะเหตุ (แหง่ พระเถระ) นี,้ แตว่ า่ (อ.พระเถระ) นี ้ ปตุ ฺตสเิ นหํ ฉินฺทิตฺวา ตํทิวสเมว อรหตฺตํ ปาปณุ ิ. เป็นผ้มู ีหทยั กระด้าง ตอ่ เรา (ยอ่ มเป็น) , อ.ประโยชน์ อะไร แก่เรา (ด้วยพระเถระ)นี ้ ดังนี ้ ตัดแล้ว ซ่ึงความรักในบุตร บรรลุแล้ว ซงึ่ พระอรหตั ในวนั นนั้ นน่ั เทียว ฯ โดยสมยั อื่นอีก อ.ภิกษุ ท. ยงั วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว วา่ ดกู ่อน- อปเรน สมเยน เอธวมํ มฺอสปุ ภนาิสยสฺ ํ ยสกมถปฺํ นสฺโมนฏุ ฺฐกามุ เาปรส-ํุ ทา่ นผ้มู ีอายุ ท. อ.พระกมุ ารกสั สปะ ผ้ถู งึ พร้อมแล้วด้วยอปุ นิสยั “อาวโุ ส เทวทตฺเตน อยา่ งนี ้ ด้วย อ.พระเถรี (ผ้ถู งึ พร้อมแล้วด้วยอปุ นิสยั อยา่ งนี)้ ด้วย กสสฺ โป จ เถรี จ นาสติ า, สตฺถา ปน เตสํ ปตฏิ ฺฐา อนั พระเทวทตั ให้ฉิบหายแล้ว, แตว่ า่ อ.พระศาสดา เป็นที่พงึ่ ชาโต: อโห พทุ ฺธา นาม โลกานกุ มปฺ กาต.ิ (ของชน ท.) เหล่านัน้ เกิดแล้ว, โอ ชื่อ อ.พระพุทธเจ้ า ท. เป็นผ้ทู รงอนเุ คราะห์ซง่ึ โลก (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ในโรงเป็นท่ีกลา่ วกบั ด้วยการแสดงซง่ึ ธรรม ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ (อ.เธอ ท.) เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว อะไร กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ วตุ ฺเต, หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ (อ.ข้าพระองค์ ท. “น ภิกฺขเว อิทาเนว อหํ อปิเตมฏิ สฺฐํ าปจอฺจโหโยสเึ จยวปาตตฏิิ ฺวฐตาฺวจา เป็นผ้นู งั่ พร้อมกนั แลว้ ด้วยวาจาเป็นเครอ่ื งกลา่ ว) ชอื่ นี ้ (ยอ่ มมี ในกาลน)ี ้ ชาโต, ปพุ ฺเพปิ เตสํ อหํ ดงั นี ้(อนั ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, ตรสั แล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. อ.เรา เป็นปัจจยั ด้วย เป็นท่ีพงึ่ ด้วย (ของชน ท.) เหลา่ นี ้เป็นผ้เู กิด แล้ว (ยอ่ มเป็น) ในกาลนนี ้ น่ั เทยี ว หามไิ ด้, อ.เรา เป็นทพ่ี งึ่ (ของชน ท.) เหลา่ นนั้ ได้เป็นแล้วนนั่ เทียว แม้ในกาลก่อน ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ นิโครธชาดก นี ้วา่ 14 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.เนือ้ คือ อ.เจ้า หรือ หรือว่า คือ อ.เนือ้ อืน่ ) พึงคบ ซึ่งเนือ้ “นิโคฺรธเมว เสเวยฺย น สาขมปุ สํวเส; ชือ่ ว่านิโครธนน่ั เทียว, ไม่พึงเขา้ ไปคบ ซ่ึงเนือ้ ชือ่ ว่าสาขะ, นิโคฺรธสมฺ ึ มตํ เสยฺโย, ยญฺเจ สาขสฺมิ ชีวิตนตฺ ิ หากว่า อ.ความเป็นอยู่ ในส�ำนกั แห่งเนือ้ ชือ่ ว่าสาขะ ใด ไซร้ อ.ความตาย ในส�ำนกั แห่งเนือ้ ชือ่ ว่านิโครธ เป็นธรรมชาต- ประเสริฐกว่า (กว่าความเป็นอยู่ นนั้ ย่อมเป็น) ดงั นี้ โดยพิสดาร ทรงยังชาดก ว่า อ.เนือ้ ช่ือว่าสาขะ ในกาลนัน้ อิมํ นิโคฺรธชาตกํ วติ ฺถาเรน กเถตฺวา “ตทา สาขมิโค เป็นเทวทตั ได้เป็นแลว้ (ในกาลน)ี ้, แม้ อ.บรษิ ทั (ของเนอื ้ ชอื่ วา่ สาขะ) นนั้ เทวทตฺโต อโหส,ิ ปริสาปิ สฺส เทวทตฺตปริสาว, (ในกาลนนั้ ) เป็นบริษัทของเทวทตั เทียว (ได้เป็นแล้ว ในกาลน)ี ้, วารปปฺ ตฺตา มิคเธนุ เถรี อโหส,ิ ปตุ ฺโต กมุ ารกสฺสโป, อ.แมเ่ นอื ้ นม ตวั ถงึ แล้วซงึ่ วาระ (ในกาลนนั้ ) เป็นพระเถรี ได้เป็นแล้ว (ในกาลนี)้ , อ.ลกู (ของแมเ่ นือ้ นมนนั้ ในกาลนนั้ ) เป็นกมุ ารกสั สปะ (ได้เป็นแล้ว ในกาลนี)้ , ส่วนว่า อ.เนือ้ ผู้พระราชาชื่อว่านิโครธ ผู้ไปสละรอบแล้ว คพภฺ นิ มี คิ ยิ า ชวี ติ ํ ปริจจฺ ชติ วฺ า คโต นโิ ครฺ ธมคิ ราชา ซง่ึ ชวี ติ เพอ่ื แมเ่ นอื ้ ผ้มู คี รรภ์ (ในกาลนนั้ ) เป็นเรานนั่ เทยี ว (ได้เป็นแล้ว ปน อหเมวาติ ชาตกํ สโมธาเนตฺวา ปตุ ฺตสเิ นหํ ในกาลนี)้ ดงั นี ้ ให้ตงั้ ลงพร้อมแล้ว เม่ือทรงประกาศ ซง่ึ ความที่ ฉปินกฺทาเิตสฺวนาฺโตเถร“ิยภาิกฺขอเตวฺตนยาสวมฺ าอตฺตปโรนสสฺ ปตอฏิ ตฺฐฺตานนกิ ตภเิ ตานวํ แหง่ พระเถรี เป็นผ้มู ีท่ีพงึ่ อนั ตดั แล้ว ซงึ่ ความรักในบตุ ร กระท�ำแล้ว แก่ตน ด้วยตนเทียว ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อนั บคุ คล) สคฺคปรายเนน วา มคฺคปรายเนน วา ภวติ ํุ น สกฺกา, ผ้ตู งั้อยแู่ ลว้ ในตน (ของบคุ คล) อนื่ ไมอ่ าจ เพอื่ อนั เป็นผ้มู สี วรรคเ์ ป็นทไี่ ป ตสมฺ า อตฺตาว อตฺตโน นาโถ, กึ ปโร กริสฺสตีติ วตฺวา ในเบือ้ งหน้า หรือ หรือวา่ เป็นผ้มู ีมรรคเป็นท่ีไปในเบือ้ งหน้า เป็น อิมํ คาถมาห เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ อ.ตน เทียว เป็นท่ีพงึ่ ของตน (ยอ่ มเป็น), (อ.บคุ คล) อื่น จกั กระท�ำ ซงึ่ อะไร ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ จริงอยู่ อ.ตน เป็นทีพ่ งึ่ ของตน (ยอ่ มเป็น), ก็ (อ.บคุ คล) อืน่ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ, โก หิ นาโถ ปโร สิยา; คือ อ.ใคร เป็นทีพ่ ึ่ง พึงเป็น,เพราะว่า (อ.บคุ คล) มีตน อตฺตนา หิ สทุ นเฺ ตน นาถํ ลภติ ทลุ ฺลภนตฺ ิ. อนั ตนฝึกดีแลว้ ยอ่ มได้ ซ่ึงทีพ่ งึ่ อนั บคุ คลพงึ ไดโ้ ดยยาก ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) เป็นท่ีตงั้ อยเู่ ฉพาะ (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา อตฺตนติตฺถเิ ต“นนอาตโถฺตตน:ิาปสตมิฏปฺ ฺฐนาฺเ.นนอิทกํ สุ วลตุ ํฺตกํ ตโฺวหาติส“คยฺคสํ มฺวาา (แหง่ บท) วา่ นาโถ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถรูป) นี ้วา่ (อนั บคุ คล) ผ้ตู งั้ อยแู่ ล้ว ในตน คือวา่ ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ด้วยตน อาจ เพ่ืออนั กระท�ำแล้ว ปาปณุ ิตํุ มคฺคํ วา ภาเวตํุ ผลํ วา สจฺฉิกาตํุ สกฺกา, ซงึ่ กศุ ล ถงึ ซงึ่ สวรรค์ หรือ หรือวา่ เพ่ืออนั ยงั มรรค ให้เจริญ หรือวา่ ตสฺมา หิ อตฺตา ว อตฺตโน ปตฏิ ฺฐา สยิ า. เพ่ืออนั กระท�ำให้แจ้ง ซงึ่ ผล เหตใุ ด, เพราะเหตนุ นั้ แล อ.ตน เทียว เป็นที่พง่ึ ของตน พงึ เป็น ฯ (อ.บคุ คล) อ่ืน ช่ือวา่ ใคร เป็นท่ีพง่ึ ของใคร พงึ เป็น, เพราะวา่ ปโร โนกพิ นพฺ าเิ สมวเกนสนฺสอปรหตตฏิ ฺตฺฐผาลสสยิ งาขฺ ?าตอํ ตทฺตลุ นลฺ าภเํอนวาหถํิ อ.บคุ คล มีตนนนั่ เทียว อนั ตนฝึกดีแล้ว คือวา่ อนั มีความเสพผิด สทุ นเฺ ตน ออกแล้ว ยอ่ มได้ ซง่ึ ที่พง่ึ อนั บคุ คลพงึ ได้โดยยาก อนั บณั ฑิตนบั ลภต.ิ อรหตฺตํ หิ สนฺธาย “นาถํ ลภติ ทลุ ฺลภนฺติ วตุ ฺตํ. พร้อมแล้ววา่ อรหตั ผล ฯ ก็ (อ.พระดำ� รสั ) วา่ นาถํ ลภติ ทลุ ลฺ ภํ ดงั นี ้ (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ทรงหมายเอา ซึ่งพระอรหัต (ดังนี)้ เป็ นค�ำอธิบาย (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ยอ่ ม เป็น ฯ ในกาลเป็ นท่ีสุดลงแห่งเทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งมารดา กุมารกสสฺ ปตเฺ ถรมาตุวตถฺ ุ. ของพระเถระช่ือว่ากุมารกัสสปะ (จบแล้ว) ฯ ผลิตสื่อการเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 15 www.kalyanamitra.org

๕. อ.เร(่ืออันงแขห้า่พงอเจุบ้าาสจกะชก่ือล่วา่าวม)ฯหากาล ๕. มหากาลอุปาสกวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “อตตฺ นา หิ กตํ ปาปนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซ่ึงอุบาสก ผู้เป็ นโสดาบัน คนหนึ่ง ชื่อว่ามหากาล ตรัสแล้ว เชตวเน วหิ รนฺโต เอกํ มหากาลํ นาม โสตาปนฺนํ ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ อตตฺ นา หิ กตํ ปาปํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อปุ าสกํ อารพฺภ กเถส.ิ ได้ยินวา่ (อ.อบุ าสก) นนั้ เป็นผ้รู ักษาซงึ่ อโุ บสถ เป็น สนิ ้ วนั ท. ๘ โส สกพิรฺพรมตาฺตสึ สธสฺ มมฺ อกฏถฺฐํ ทิวเส อโุ ปสถิโก หตุ ฺวา แหง่ เดือน ยอ่ มฟัง ซง่ึ ธรรมกถา ในวิหาร ตลอดราตรีทงั้ ปวง ฯ วิหาเร สณุ าต.ิ อถ รตฺตึ โจรา ครงั้ นนั้ อ.โจร ท. ตดั แล้ว ซง่ึ ทตี่ อ่ ในเรือน หลงั หนง่ึ ในเวลากลางคนื เอกสมฺ ึ เคเห สนฺธึ ฉินฺทิตฺวา ภณฺฑกํ คเหตฺวา ถือเอาแล้ว ซง่ึ ภณั ฑะ ผ้อู นั เจ้าของ ท. ผ้ตู ่ืนแล้ว เพราะเสียง โลหภาชนสทฺเทน ปพทุ ฺเธหิ สามิเกหิ อนพุ ทฺธา แหง่ ภาชนะอนั เป็นวิการแหง่ โลหะ ตดิ ตามแล้ว ทิง้ แล้ว ซง่ึ ภณั ฑะ คหิตภณฺฑํ ฉฑฺเฑตฺวา ปลายสึ .ุ (อนั ตน) ถือเอาแล้ว หนีไปแล้ว ฯ แม้ อ.เจ้าของ ท. ตดิ ตามแล้ว ซงึ่ โจร ท. เหลา่ นนั้ นน่ั เทียว ฯ สามิกาปิ เต อนพุ นฺธึสเุ ยว. เต ทิสา ปกฺขนฺทสึ .ุ (อ.โจร ท.) เหลา่ นนั้ แลน่ ไปแล้ว สทู่ ิศ ท. ฯ สว่ นวา่ (อ.โจร) คนหนงึ่ ยดึ เอาแล้ว ซง่ึ หนทางเป็นที่ไปสวู่ ิหาร เอโก ปน วหิ ารมคฺคํ คเหตฺวา มหากาลสฺส ทิง้ แล้ว ซง่ึ ภณั ฑะ ข้างหน้า ของอบุ าสกช่ือวา่ มหากาล ผ้ฟู ังแล้ว สพฺพรตฺตึ ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา ปาโตว โปกฺขรณีตีเร ซงึ่ ธรรมกถา ตลอดราตรีทงั้ ปวง ล้างอยู่ ซง่ึ หน้า ที่ฝ่ังแหง่ สระ มขุ ํ โธวนฺตสฺส ปรุ โต ภณฺฑกํ ฉฑฺเฑตฺวา ปลายิ. โบกขรณี ในเวลาเช้าเทียว หนีไปแล้ว ฯ อ.มนษุ ย์ผู้ตดิ ตามแล้วซง่ึ โจรท.มาแล้ว ท.เหน็ แล้วซง่ึ ภณั ฑะ โจเร อนพุ นฺธิตฺวา อาคตมนสุ ฺสา ภณฺฑกํ ทิสฺวา (กลา่ วแล้ว) วา่ อ.เจ้า ตดั แล้ว ซงึ่ ท่ีตอ่ ในเรือน ของเรา ท. ลกั แล้ว “ตฺวํ โน เคเห สนฺธึ ฉินฺทิตฺวา ภณฺฑกํ หริตฺวา ธมมฺ ํ ซงึ่ ภณั ฑะ ยอ่ มเที่ยวไป ราวกะวา่ ฟังอยู่ ซงึ่ ธรรม ดงั นี ้ จบั แล้ว สณุ นฺโต วิย วจิ รสตี ิ ตํ คเหตฺวา โปเถตฺวา มาเรตฺวา (ซง่ึ อบุ าสก) นนั้ โบยแล้ว (ยงั อบุ าสก) ให้ตายแล้ว ทงิ ้ แล้ว ได้ไปแล้ว ฯ ฉฑฺเฑตฺวา อคมํส.ุ ครัง้ นนั้ อ.ภิกษุหนมุ่ และสามเณร ท. ผ้ถู ือเอา ซง่ึ หม้อแหง่ น�ำ้ อถ นํ ปาโต ว ปานียฆฏํ อาทาย คตา อนั บคุ คลพงึ ดื่ม ไปแล้ว ในเวลาเช้าเทียว เหน็ แล้ว (ซงึ่ อบุ าสก) นนั้ ทหรสามเณรา ทิสวฺ า “วิหาเร ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา (กลา่ วแล้ว) วา่ อ.อบุ าสก ผ้ฟู ังแล้ว ซง่ึ ธรรมกถา อยแู่ ล้ว ในวหิ าร วสติ อปุ าสโก อยตุ ฺตํ มรณํ ลภตีติ คนฺตฺวา สตฺถุ ยอ่ มได้ ซง่ึ ความตาย อนั ไมค่ วรแล้ว ดงั นี ้ ไปแล้ว กราบทลู แล้ว อาโรเจส.ํุ แก่พระศาสดา ฯ อ. พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. เออ อ.ความตาย สตฺถา “อาม ภิกฺขเว อิมสมฺ ึ อตฺตภาเว กาเลน อนั ไมส่ มควร อนั อบุ าสกชื่อวา่ กาละ ได้แล้ว ในอตั ภาพ นี ้ แตว่ า่ อปปฺ ฏิรูปํ มรณํ ลทฺธํ, ปพุ ฺเพ กตกมมฺ สฺส ปน เตน อ.ความตาย อนั ควรแล้ว แกก่ รรม อนั (อนั ตน) กระทำ� แล้ว ในกาลกอ่ น ยตุ ฺตเมว ลทฺธนฺติ วตฺวา เตหิ ยาจิโต ตสฺส นน่ั เทียว (อนั อบุ าสกช่ือวา่ กาละ) นนั้ ได้แล้ว ดงั นี ้ ผ้อู นั ภิกษุหนมุ่ ปพุ ฺพกมมฺ ํ กเถสิ “อตีเต กิร พาราณสีรญฺโญ และสามเณร ท. เหล่านัน้ ทูลอ้อนวอนแล้ว ตรัสแล้ว ซึ่งกรรม วชิ ิเต เอกสฺส ปจฺจนฺตคามสฺส อฏวีมเุ ข โจรา ในกาลก่อน (ของอุบาสกช่ือว่ากาละ) นัน้ ว่า ได้ยินว่า วหิ รนฺต.ิ ในกาลอนั ไปลว่ งแล้ว อ. โจร ท. ยอ่ มอยู่ ทปี่ ากแหง่ ดง ของหมบู่ ้าน อันเป็ นท่ีสุดเฉพาะ หมู่บ้านหนึ่ง ในแว่นแคว้น ของพระราชา ผ้ทู รงเป็นใหญ่ในพระนครชื่อวา่ พาราณสี ฯ 16 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ. พระราชา ยอ่ มทรงตงั้ ซงึ่ ราชภฏั คนหนงึ่ ทปี่ ากแหง่ ดง ฯ ราชา อฏวีมเุ ข เอกํ ราชภฏํ ฐเปต.ิ โส ภตึ (อ.ราชภฏั ) นนั้ รับเอาแล้ว ซงึ่ คา่ จ้าง ยอ่ มน�ำไป ซง่ึ มนษุ ย์ ท. คเหตวฺ า มนสุ เฺ ส โอรโต ปารํ เนต,ิ ปารโต โอรํ อาเนต.ิ จากฟากใน สฟู่ ากนอก ยอ่ มน�ำมา (ซง่ึ มนษุ ย์ ท.) จากฟากนอก สฟู่ ากใน ฯ ครงั้ นนั้ อ. มนษุ ย์ คนหนงึ่ ยกขนึ ้ แล้ว ซงึ่ ภรรยา ของตน ผ้มู รี ูปงาม อเถโก มนสุ ฺโส อภิรูปํ อตฺตโน ภริยํ จลุ ลฺ ยานกํ สยู่ านน้อย ได้ไปแล้ว สทู่ ่ี นนั้ ฯ อาโรเปตฺวา ตํ ฐานํ อคมาส.ิ อ.ราชภฏั เหน็ แล้ว ซงึ่ หญิง นนั้ เทียว เป็นผ้มู ีความรัก ราชภโฏ ตํ อิตฺถึ ทิสฺวาว สญฺชาตสเิ นโห, เตน อนั เกิดพร้อมแล้ว (เป็น) (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ ข้าแตน่ าย (อ.ทา่ น) “อฏวึ โน สามิ อตกิ ฺกาเมหีติ วตุ ฺเตปิ , “อิทานิ วิกาโล ยงั เรา ท. จงให้ก้าวลว่ ง ซงึ่ ดง ดงั นี ้ (อนั มนษุ ย์) นนั้ แม้กลา่ วแล้ว ชาโต, ปาโตว อตกิ ฺกาเมสฺสามีติ อาห. กลา่ วแล้ว วา่ อ. กาลนี ้ เป็นสมยั มีกาลไปปราศแล้ว เกิดแล้ว (อ.เรา) (ยงั ทา่ น ท.) จกั ให้ก้าวลว่ ง ในเวลาเช้าเทียว ดงั นี ้ ฯ (อ.มนษุ ย์ นนั้ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตน่ าย (อ. กาลนี)้ เป็นสมยั “สกาโล สามิ, อิทาเนว โน เนหีต.ิ เป็ นไปกับด้วยกาล (ย่อมเป็ น) (อ. ท่าน) จงน�ำไป ซ่ึงเรา ท. ในกาลนีน้ น่ั เทียว ดงั นี ้ฯ (อ.ราชภฏั กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้เู จริญ (อ. ทา่ น) จงกลบั “นิวตฺต โภ, อมหฺ ากํเยว เคเห อาหาโร จ นิวาโส จ อ.อาหาร ด้วย อ.ประเทศเป็ นท่ีอยู่อาศัย ด้วย จักมี ในเรือน ภวิสสฺ ตีต.ิ ของเรา ท. นนั่ เทียว ดงั นี ้ฯ (อ. มนุษย์) นัน้ ไม่ปรารถนาแล้ว เพ่ืออันกลับ นั่นเทียว ฯ โส เนว นิวตฺตติ ํุ อิจฺฉิ. อิตโร ปรุ ิสานํ สญฺญํ ทตฺวา (อ.ราชภฏั ) นอกนี ้ ให้แล้ว ซงึ่ สญั ญา แก่บรุ ุษ ท. ยงั ยานน้อย ยานกํ นิวตฺตาเปตฺวา อนิจฺฉนฺตสเฺ สว ทฺวารโกฏฺ ฐเก ให้กลบั แล้ว ให้แล้ว ซง่ึ ประเทศเป็นที่อยอู่ าศยั ใกล้ซ้มุ แหง่ ประตู นิวาสํ ทตฺวา อาหารํ ปฏิยาทาเปส.ิ ยงั บคุ คล ให้ตระเตรยี มแล้ว ซง่ึ อาหาร (เพอ่ื มนษุ ย์ นนั้ ) ผ้ไู มป่ รารถนาอยู่ นน่ั เทียว ฯ ก็ อ. รตั นะคอื แก้วมณี ดวงหนงึ่ มอี ยู่ ในเรือน (ของราชภฏั ) นนั้ ฯ ตสฺส ปน เคเห เอกํ มณิรตนํ อตฺถิ. โส ตํ (อ.ราชภฏั ) นนั้ (ยงั บคุ คล) ให้ใสเ่ ข้าแล้ว (ซงึ่ รัตนะคือแก้วมณี) นนั้ ตสฺส ยานกนฺตเร ปกฺขิปาเปตฺวา ปจฺจสู กาเล โจรานํ ในระหวา่ งแหง่ ยานน้อย (ของมนษุ ย)์ นนั้ (ยงั บคุ คล) ให้กระทำ� แล้ว ปวิฏฺฐสทฺทํ กาเรส.ิ ซง่ึ เสียง แห่งโจร ท. เข้าไปแล้ว ในกาลเป็ นที่ขจดั เฉพาะซง่ึ มืด ฯ ครงั้ นนั้ อ. บรุ ุษ ท. บอกแล้ว วา่ ข้าแตน่ าย อ. รตั นะคอื แก้วมณี อถสสฺ ปรุ ิสา “มณิรตนํ สามิ โจเรหิ คหิตนฺติ อนั โจร ท. ถอื เอาแล้ว ดงั นี ้(แกร่ าชภฏั ) นนั้ ฯ อาโรเจส.ํุ (อ.ราชภฏั ) นนั้ กลา่ วแล้ว วา่ (อ. เจ้า ท.) ตงั้ ไว้แล้ว ซงึ่ การอารกั ขา โส “คามทฺวาเรสุ อารกฺขํ ฐเปตฺวา อนฺโตคามโต ทปี่ ระตแู หง่ หมบู่ ้าน ท. จงค้น (ซงึ่ ชน ท.) ผ้อู อกไปอยู่ จากภายใน นิกฺขมนฺเต วิจินาถาติ อาห. แหง่ หมบู่ ้าน ดงั นี ้ฯ (อ.มนษุ ย)์ แม้นอกนี ้ ประกอบแลว้ ซง่ึ ยานน้อย ไปแลว้ ในเวลาเช้า อิตโรปิ ปาโตว ยานกํ โยเชตฺวา ปายาส.ิ อถสสฺ เทยี ว ฯ ครงั้ นนั้ (อ.บรุ ษุ ท.) ค้นอยู่ ซงึ่ ยานน้อย (ของมนษุ ย)์ นนั้ ยานกํ โสเธนฺตา อตฺตนา ฐปิ ตํ มณิรตนํ ทิสฺวา เหน็ แล้ว ซง่ึ รัตนะคือแก้วมณี อนั อนั ตน วางไว้แล้ว คกุ คามด้วย สนฺตชฺเชตฺวา “ตฺวํ มณึ คเหตฺวา ปลายสีติ โปเถตฺวา ดีแล้ว โบยแล้ว (ด้วยอนั กลา่ ว) วา่ อ.เจ้า ลกั เอาแล้ว ซง่ึ แก้วมณี “คหิโต โน สามิ โจโรติ คามโภชกสฺส ทสฺเสส.ํุ ยอ่ มหนไี ป ดงั นี ้ แสดงแล้ว แกบ่ คุ คลผ้ปู กครองซง่ึ บ้าน (ด้วยอนั กลา่ ว) วา่ ข้าแตน่ าย อ.โจร อนั เรา ท. จบั ได้แล้ว ดงั นี ้ฯ (อ.ราชภฎั ) นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ อ.ภตั ร อนั เรา ผ้อู นั พระราชาทรง โส “ภฏกสฺส วต เม เคเห นิวาสํ ทตฺวา ภตฺตํ เลยี ้ งแล้ว หนอ ให้แล้ว ซงึ่ ประเทศเป็นที่อยอู่ าศยั ในเรือน ให้แล้ว, ทินฺนํ, มณึ คเหตฺวา คโต, คณฺหถ นํ ปาปปรุ ิสนฺติ (อ.บรุ ุษนนั้ ) ลกั เอา ซงึ่ แก้วมณี ไปแล้ว, (อ.เจ้า ท.) จงจบั ซง่ึ บรุ ุษ โปถาเปตฺวา มาเรตฺวา ฉฑฺฑาเปส.ิ ผ้ชู ว่ั ช้านนั้ ดงั นี ้(ยงั บคุ คล) ให้โบยแล้ว (ยงั มนษุ ย์นนั้ ) ให้ตายแล้ว (ยงั บคุ คล) ให้ทิง้ แล้ว ฯ ผลติ สือ่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 17 www.kalyanamitra.org

(อ.กรรม) นี เ้ ป็นกรรมในกาลก่อน (ของกาละ) นนั้ (ยอ่ มเป็น) ฯ อิทนฺตสฺส ปพุ ฺพกมมฺ ํ. (อ.กาละ) นนั้ เคลอื่ นแล้ว (จากอตั ภาพ) นนั้ บงั เกดิ แล้ว ในนรกชอื่ วา่ โส ตโต จโุ ต อวีจิมหฺ ิ นิพฺพตฺตติ ฺวา ตตฺถ อเวจี ไหม้แล้ว (ในนรกช่ือวา่ อเวจี) นนั้ สนิ ้ กาลนาน ผู้ (อนั บคุ คล) ทีฆรตฺตํ ปจิตฺวา วิปากาวเสเสน อตฺตภาวสเต โบยแล้ว อยา่ งนนั้ นน่ั เทยี ว ในร้อยแหง่ อตั ภาพ ถงึ แล้ว ซงึ่ ความตาย ตเถว โปถิโต มรณํ ปาปณุ ิ. ด้วยวิบากอนั เหลอื ลง (ดงั นี)้ ฯ อ.พระศาสดา ครัน้ ทรงแสดงแล้ว ซ่ึงกรรมในกาลก่อน เอวํ สตฺถา มหากาลสสฺ ปพุ ฺพกมมฺ ํ ทสฺเสตฺวา ของอบุ าสกชื่อวา่ มหากาล อยา่ งนี ้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. “ภิกฺขเว เอวํ อิเม สตฺเต อตฺตนา กตปาปกมมฺ เมว อ.กรรมอนั ลามก อนั ตน กระท�ำแล้วนน่ั เทียว ยอ่ มย�่ำยี ซง่ึ สตั ว์ ท. จตสู ุ อปาเยสุ อภิมตฺถตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห เหลา่ นี ้ในอบาย ท. ๔ อยา่ งนี ้ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ ก็ อ.บาป อนั อนั ตน กระท�ำแลว้ อนั เกิดแลว้ แต่ตน “อตฺตนา หิ กตํ ปาปํ อตฺรชํ อตฺตสมฺภวํ อนั มีตนเป็ นแดนเกิด ย่อมย�่ำยี (ซ่ึงบุคคล) อภิมตฺถติ ทมุ ฺเมธํ วชิรํ วมฺหยํ มณินตฺ ิ. ผูม้ ีปัญญาอนั โทษประทษุ ร้ายแลว้ เพียงดงั อ.เพชร (ย่�ำยีอยู่) ซึ่งแกว้ มณี อนั เกิดแลว้ แต่หิน ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) เพยี งดงั อ.เพชร (ยำ่� ยอี ย)ู่ ซง่ึ แก้วมณี อนั เกดิ แล้ว ตตฺถ “วชริ ํ วมหฺ ยํ มณินฺต:ิ วชิรํ ว อมหฺ มยํ มณ.ึ แตห่ ิน (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา (แหง่ บาท แหง่ พระคาถา) วา่ วชริ ํ วมหฺ ยํ มณึ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถรปู ) นี ้ วา่ อ.เพชร อนั เกดิ แล้วแตห่ นิ อนั มหี นิ เป็นแดนเกดิ , อิทํ วตุ ฺตํ โหติ “ยถา ปาสาณมยํ ปาสาณสมภฺ วํ กดั กินแล้ว ซงึ่ แก้วมณี อนั เกิดแล้วแตห่ ิน คือวา่ ซง่ึ แก้วมณีอนั เป็น วชิรํ, ตเมว อมหฺ มยํ มณึ อตฉฺติทโฺทนาฉอิฏทุ ฺฺทฐาํ นฏขฺฐณาฺฑนสาขงฺขณาฺฑตํํ วิการแหง่ หิน อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ ที่เป็นท่ีตงั้ ขนึ ้ ของตน นนั้ ปาสาณมณึ ขาทิตฺวา นน่ั เทียว คือวา่ กระท�ำแล้ว ให้เป็นชอ่ งน้อยและชอ่ งใหญ่ ให้เป็น กตฺวา อปริโภคํ กโรต;ิ เอวเมว อตฺตนา กตํ อตฺตนิ ทอ่ นน้อยและทอ่ นใหญ่ ยอ่ มกระท�ำ ให้เป็นของบคุ คลไมพ่ งึ ใช้สอย ชาตํ อตฺตสมภฺ วํ ปาปํ ทมุ เฺ มธํ นิปปฺ ญฺญํ ปคุ ฺคลํ ฉนั ใด, อ.บาป อนั อนั ตน กระท�ำแล้ว อนั เกิดแล้ว ในตน อนั มีตน จตสู ุ อปาเยสุ อภิมตฺถติ วทิ ฺธํเสตีต.ิ เป็นแดนเกิด ยอ่ มย�่ำยี คือวา่ ยอ่ มก�ำจดั ซงึ่ บคุ คล ผ้มู ีปัญญา อนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว คือวา่ ผ้มู ีปัญญาออกแล้ว ในอบาย ท. ๔ ฉันนัน้ น่ันเทียว ดังนี ้ เป็ นค�ำอธิบาย (อันพระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น ฯ ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภกิ ษผุ ้ถู งึ พร้อมแล้ว ท. บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน สมฺปตฺตภิกฺขู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นี ้แล ฯ ปาปณุ ึสตู ิ. อ.เร่ืองแห่งอุบาสกช่ือว่ามหากาล มหากาลอุปาสกวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 18 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๖. อ.เร่ืองแห่งพระเทวทตั ๖. เทวทตตฺ วตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “ยสสฺ อจจฺ นตฺ ทสุ สฺ ลี ยฺ นตฺ ิ อมิ ํ ธมมฺ เทสนํ สตถฺ า ซึ่ง พระเทวทัต ตรั ส แล้ ว ซึ่งพระธรรม เท ศน า นี ้ ว่า เวฬวุ เน วหิ รนฺโต เทวทตฺตํ อารพฺภ กเถส.ิ ยสฺส อจจฺ นฺตทสุ ฺสีลฺยํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนงึ่ อ.ภิกษุ ท. ยงั วาจาเป็น- เอกสฺมึ หิ ทิวเส ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ เครื่องกลา่ ว วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้มู อี ายุ ท. อ.พระเทวทตั เป็นผ้ทู ศุ ลี สทมสุ ฺสฏุ ฺลีฐาฺยเกปาสรํุเณ“อเนาววโุ สวฑเทฺฒวิตทาตยฺโตตทณสุ ฺหสฺ าโี ยล ปาปธมโฺ ม เป็นผ้มู ธี รรมอนั ลามก (เป็น) ทลู เกลยี ้ กลอ่ มแล้ว ซงึ่ พระเจ้าอชาตศตั รู อชาตสตฺตํุ ยังลาภและสักการะ อันใหญ่ ให้ บังเกิดแล้ว ชักชวนแล้ว สงฺคณฺหิตฺวา มหนฺตํ ลาภสกฺการํ นิพฺพตฺเตตฺวา ซงึ่ พระเจ้าอชาตศตั รู ในการปลงพระชนม์ ซงึ่ พระบดิ า เป็น อชาตสตฺตํุ ปิ ตุ วเธ สมาทเปตฺวา เตน สทฺธึ เอกโต โดยความเป็นอนั เดยี วกนั กบั (ด้วยพระเจ้าอชาตศตั รู) นนั้ ตะเกยี ก หตุ ฺวา นานปปฺ กาเรน ตถาคตสฺส วธาย ปริสกฺกีต.ิ ตะกายแล้ว เพื่ออนั ปลงพระชนม์ ซง่ึ พระตถาคตเจ้า โดยประการ ตา่ ง ๆ เพราะตณั หา อนั เจริญแล้ว ด้วยเหตคุ ือความเป็นแหง่ บคุ คล ผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้วนน่ั เทียว ดงั นี ้ ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ในโรงเป็นท่ีกลา่ วกบั ด้วยการแสดงซง่ึ ธรรม ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรสั ถามแล้ว วา่ ดกู อ่ นภกิ ษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ (อ.เธอ ท.) เป็นผ้นู นั้ ประชมุ พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่อง กถาย สนฺนิสนิ ฺนาติ ปจุ ฺฉิตฺวา, “อิมาย นามาติ กลา่ ว อะไรหนอ ยอ่ มเป็น ในกาลนี ้ ดงั นี ้ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ วตุ ฺเต, “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปพุ ฺเพปิ เทวทตฺโต (อ.ข้าพระองค์ ท. เป็นประชมุ กนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว) นานปปฺ กาเรเนว มยฺหํ วธาย ปริสกฺกีติ วตฺวา กรุ ุงฺค- ชื่อ นี ้ (ยอ่ มเป็น ในกาลนี)้ ดงั นี ้ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) ชาตกาทีนิ กเถตฺวา “ภิกฺขเว อจฺจนฺตทสุ สฺ ีลปคุ ฺคลํ กราบทูลแล้ ว ตรัสแล้ ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. (อ. เทวทัต นาม ทสุ ฺสีลฺยการณา อปุ ปฺ นฺนา ตณฺหา มาลวุ า วิย ยอ่ มตะเกยี กตะกาย (พยาม) เพอ่ื อนั ฆา่ ซงึ่ เรา โดยประการตา่ ง ๆ) สาลํ ปริโยนทธฺ ติ วฺ า สมภฺ ญชฺ มานา นริ ยาทสี ุ ปกขฺ ปิ ตตี ิ ในกาลนีน้ ั่นเทียว หามิได้, อ.เทวทัต ตะเกียกตะกายแล้ว วตฺวา อิมํ คาถมาห เพื่ออนั ฆา่ ซงึ่ เรา โดยประการตา่ ง ๆ นน่ั เทียว แม้ในกาลก่อน ดงั นี ้ ตรัสแล้ว (ซง่ึ ชาดก ท.) มีกรุ ุงคชาดกเป็นต้น ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ตณั หา อนั เกิดขนึ ้ แล้ว เพราะเหตแุ หง่ ความเป็น แหง่ บคุ คลผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว รวบรัด หกั รานอยู่ ชอ่ื ซง่ึ บคุ คลผ้มู ศี ลี อนั โทษประทษุ ร้ายแล้วลว่ งสว่ นทส่ี ดุ ยอ่ มใสเ่ ข้าไป (ในอบาย ท.) มีนรกเป็ นต้น ราวกะ อ.เถาย่านทราย (รวบรัดหกั รานอย)ู่ ซง่ึ ต้นสาละ ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.ความเป็ นแห่งบคุ คลผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว “ยสสฺ อจฺจนตฺ ทสุ ฺสีลฺยํ มาลวุ า สาลมิโวตฺถตํ, ลว่ งสว่ นที่สดุ (ของบคุ คล)ใด ทว่ มทบั แล้ว (ซง่ึ อตั ภาพ) กโรติ โส ตถตฺตานํ ยถา นํ อิจฺฉตี ทิโสติ. เพียงดงั อ.เถายา่ นทราย (ครอบคลมุ อย)ู่ ซงึ่ ต้นสาละ (ครอบคลมุ แล้ว ซง่ึ ต้นสาละ) (อ.บคุ คล) นนั้ ยอ่ มกระท�ำ ซงึ่ ตน อ. โจรผ้ปู รากฏ ยอ่ มปรารถนา (ซง่ึ บคุ คล) นนั้ ฉนั ใด - ฉนั นนั้ ดงั นี ้ฯ อ.ความเป็นแหง่ บคุ คลผ้มู ศี ลี อนั โทษประทษุ ร้ายแล้วโดยสว่ นเดยี ว ตตฺถ “อจจฺ นฺตทสุ สฺ ีลฺยนฺต:ิ เอกนฺตทสุ สฺ ลี ภาโว. ชอื่ วา่ อจจฺ นตฺ ทสุ สฺ ลี ยํ (ในพระคาถา) นนั้ ฯ (อ.บคุ คล) ผ้เู ป็นคฤหสั ถ์ คอปาหิพปีฺพวชชาฺชิโมตชาาโวตนาโิ ตออจปุปฺจสฏนฺมฐฺตาปฺ ทยนสุ ฺนทสฺ ทสโี ลิวอสนกโาตสุ มล.ปกฏมฺฐมฺ าปยเถครกุกโารปนฺโตตฺต,ึ กระท�ำอยู่ ซงึ่ อกศุ ลกรรมบถท. สบิ จ�ำเดมิ เเตก่ ารเกิด หรือหรือวา่ ผ้เู ป็นบรรพชติ ต้องอยู่ ซง่ึ อาบตั หิ นกั จำ� เดมิ แตว่ นั (แหง่ ตน) อปุ สมบทแล้ว ชื่อวา่ เป็นผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้วลว่ งสว่ น ที่สดุ (ยอ่ มเป็น) ฯ ผลติ ส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วดั พระธรรมกาย 19 www.kalyanamitra.org

แต่ว่า (อ.บทว่าอจฺจนฺตทสุ ฺสีลยํ) นนั้ (อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า) อิธ ปน โย ทฺวีสุ ตีสุ อตฺตภาเวสุ ทสุ ฺสโี ล, ตรัสแล้ว (ในพระคาถา) นี ้ หมายเอา ซ่ึงความเป็ นแห่งบุคคล เอตสฺส คติยา อาคตํ ทสุ สฺ ลี ภาวํ สนฺธาเยตํ ผ้มู ศี ลี อนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว อนั มาแล้ว ตามคติ (แหง่ - อ.บคุ คล) วตุ ฺตํ. ใด เป็นผ้มู ีศีลอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว ในอตั ภาพ ท. สอง สาม (ยอ่ มเป็น- บคุ คล) นนั้ ฯ ก็ อ.ตณั หา อนั อาศยั ซง่ึ ทวาร ท. หก เกดิ ขนึ ้ แล้ว (แกบ่ คุ คล) ทสุ ฺสีลภาโวติ เจตฺถ ทสุ ฺสีลสสฺ ฉ ทฺวารานิ ผ้มู ศี ลี อนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว (อนั บณั ฑติ ) พงึ ทราบ (ในบท) นี ้ วา่ นิสฺสาย อปุ ปฺ นฺนา ตณฺหา เวทิตพฺพา. ทสุ ฺสีลภาโว ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.ความเป็นแหง่ บคุ คลผ้มู ศี ลี อนั โทษประทษุ ร้าย มาลุวา สาลมโิ วตถฺ ตนฺต:ิ ยสฺส ปคุ ฺคลสฺส อนั อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ ตณั หา ของบคุ คล ใด ท่วมทบั แล้ว ตณหฺ าสงขฺ าตํ ทสุ สฺ ลี ยฺ ,ํ ยถา นาม มาลวุ า สาลํ โอตถฺ ตํ คอื วา่ หอ่ ห้มุ ซง่ึ อตั ภาพ ตงั้ อยแู่ ล้ว อ.เถายา่ นทราย ครอบคลมุ แล้ว เทเว วสฺสนฺเต ปตฺเตหิ อุทกํ ปฏิจฺฉิตฺวา ซงึ่ ต้นสาละ คือวา่ ครัน้ เมื่อฝน ตกอยู่ ยอ่ มห้มุ หอ่ หมดทกุ สว่ น สมภฺ ญฺชนวเสน สพฺพตฺถกเมว ปริโยนทฺธติ; เอวํ น่ันเทียว ด้วยสามารถแห่งการ รับ ซึ่งน�ำ้ ด้วยใบ ท. แล้ว อตฺตภาวํ โอตฺถตํ ปริโยนทฺธิตฺวา ติ ํ. โส มาลวุ าย จงึ หกั ราน ชื่อฉนั ใด - ฉนั นนั้ (ดงั นี ้ แหง่ บาทแหง่ พระคาถา) วา่ สมภฺ ญฺชิตฺวา ภมู ิยํ ปาตยิ มาโน รุกฺโข วิย ตาย มาลุวา สาลมโิ วตถฺ ตํ ดงั นี ้ ฯ อ.อธิบาย วา่ (อ.บคุ คล) นนั้ ทสุ สฺ ีลฺยสงฺขาตาย ตณฺหาย สมภฺ ญฺชิตฺวา อปาเยสุ คือวา่ ผู้ อนั ตนั หา อนั อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ ความเป็น- ปาตยิ มาโน, ยถา นํ อนตฺถกาโม ทิโส อิจฺฉต;ิ ตถา แห่งบุคคลผู้มีศีลอันโทษประทุษร้ ายแล้ว นัน้ หักรานแล้ว อตฺตานํ กโรติ นามาติ อตฺโถ. ให้ตกไปอยู่ ในอบาย ท. ราวกะ อ.ต้นไม้ อนั อนั เถายา่ นทราย หักรานแล้ว ให้ล้มลง บนพืน้ ดิน ชื่อว่า ย่อมกระท�ำ ซึ่งตน - อ.โจรผู้ปรากฏ ผู้อันใคร่ต่อความพินาศ ย่อมปรารถนา (ซ่ึงบุคคล)นัน้ ฉันใด - ฉันนัน้ ดังนี ้ (อันบัณฑิต พึงทราบ) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระเทวทตั เทวทตตฺ วตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๗.อ.เร่ืองแห่งอนั ตะเกยี กตะกายเพ่อื อนั ทำ� ลายซ่งึ สงฆ์ ๗. สงฆฺ เภทปริสกกฺ นวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภ “สุกรานีติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เวฬวุ เน ซง่ึ อนั ตะเกยี กตะกายเพอ่ื อนั ทำ� ลายซง่ึ สงฆ์ ตรสั แล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา วิหรนฺโต สงฺฆเภทปริสกฺกนํ อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ สุกรานิ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดังจะกล่าวโดยพิสดาร ในวันหนึ่ง อ.พระเทวทัต เอกทิวสํ หิ เทวทตฺโต สงฺฆเภทาย ปริสกฺกนฺโต ตะเกียกตะกายอยู่ เพ่ืออนั ท�ำลายซง่ึ สงฆ์ เหน็ แล้ว ซงึ่ พระอานนท์ อายสมฺ นฺตํ อานนฺทํ ปิ ณฺฑาย จรนฺตํ ทิสวฺ า อตฺตโน ผ้มู ีอายุ ผ้เู ที่ยวไปอยู่ เพ่ือก้อนข้าว บอกแล้ว ซงึ่ ความประสงค์ อธิปปฺ ายํ อาโรเจส.ิ แหง่ ตน ฯ อ.พระเถระ ฟังแล้ว ซง่ึ ค�ำนนั้ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา ตํ สตุ ฺวา เถโร สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา ภควนฺตํ ได้กราบทลู แล้ว (ซง่ึ คำ� )นน่ั กะพระผ้มู พี ระภาคเจ้า วา่ ข้าแตพ่ ระองค-์ เอตทโวจ “อิธาหํ ภนฺเต ปพุ ฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา ผ้เู จริญ อ.ข้าพระองค์ นงุ่ แล้ว ในสมยั อนั เป็นเบือ้ งต้นแหง่ วนั ปตฺตจีวรมาทาย ราชคหํ ปิ ณฺฑาย ปาวิส;ึ (ในพระเวฬุวัน)นี ้ ถือเอาแล้ว ซ่ึงบาตรและจีวร ได้เข้าไปแล้ว สเู่ มืองราชคฤห์ เพ่ือก้อน; 20 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พระเทวทตั ได้เหน็ แล้ว แล ซงึ่ ข้าพระองค์ อทฺทสา โข มํ ภนฺเต เทวทตฺโต ราชคเห ผ้เู ทย่ี วไปอยู่ เพอื่ ก้อนข้าว ในเมอื งชอื่ วา่ ราชคฤห,์ (อ.พระเทวทตั ตน์ นั้ ) ปิ ณฺฑาย จรนฺตํ, ทิสฺวาน เยนาหํ เตนปุ สงฺกมิ, ครัน้ เห็นแล้ว อ.ข้ าพระองค์ (ย่อมอยู่) (โดยส่วนแห่งทิศ)ใด อปุ สงฺกมิตฺวา มํ เอตทโวจ `อชฺชตคฺเคทานาหํ อาวโุ ส เข้าไปหาแล้ว (โดยสว่ นแหง่ ทิศ)นนั้ (อ.พระเทวทตั ต์นนั้ ) ครัน้ เข้าไป อานนฺท อญฺญตฺเรว ภควตา อญฺญตฺร ภิกฺขสุ งฺเฆน หาแล้ว ได้กลา่ วแล้ว (ซง่ึ ค�ำ) นน่ั วา่ ดกู ่อนอานนท์ ผ้มู ีอายุ อ.เรา อโุ ปสถํ กริสสฺ ามิ สงฺฆกมฺมานิ จาต;ิ อชฺช ภควา จกั กระทำ� ซงึ่ อโุ บสถ ด้วย ซงึ่ สงั ฆกรรม ท. ด้วย เว้น จากพระผ้มู พี ระภาคเจ้า เทวทตฺโต สงฺฆํ ภินฺทิสสฺ ต,ิ อโุ ปสถญฺจ กริสฺสติ น่ันเทียว เว้ น จากหมู่แห่งภิกษุ ในกาลนี ้ กระทำ� ซงึ่ วนั นี ้ สงฺฆกมมฺ านิ จาต.ิ เอวํ วตุ ฺเต สตฺถา ให้เป็นเบอื ้ งต้น ดงั นี ้ กะข้าพระองค,์ ข้าแตพ่ ระผ้มู พี ระภาคเจ้า ในวนั นี ้อ.พระเทวทตั จกั ทำ� ลาย ซง่ึ สงฆ,์ จกั กระทำ� ซง่ึ อโุ บสถ ด้วย ซง่ึ สงั ฆกรรม ท. ด้วย (เว้น จากพระผ้มู ีพระภาคเจ้า เว้น จากหมู่ แหง่ ภิกษุ) ดงั นี ้ฯ (ครัน้ เมื่อค�ำ) อยา่ งนี ้(อนั พระเถระ) กราบทลู แล้ว อ.พระศาสดา ทรงเปลง่ แล้ว ซงึ่ พระอทุ าน นี ้วา่ อ.ความดี เป็ นกรรมอันคนดีกระท�ำได้โดยง่าย “สกุ รํ สาธนุ า สาธ,ุ สาธุ ปาเปน ทกุ ฺกรํ, (ย่อมเป็น), อ.ความดี เป็นกรรมอนั คนชวั่ กระท�ำไดโ้ ดยยาก ปาปํ ปาเปน สกุ รํ, ปาปมริเยหิ ทกุ ฺกรนตฺ ิ (ย่อมเป็น), อ.ความชว่ั เป็นกรรมอนั คนชวั่ กระท�ำไดโ้ ดยงา่ ย (ย่อมเป็ น), อ.ความชวั่ เป็ นกรรมอนั พระอริยเจ้า ท. กระท�ำไดโ้ ดยยาก (ย่อมเป็น) ดงั นี้ ฯ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนอานนท์ ช่ือ อ.กรรมอนั ไมเ่ กือ้ กลู แก่ตน อิมํ อทุ านํ อทุ าเนตฺวา “อานนฺท อตฺตโน อหิตกมมฺ ํ เป็นกรรมอนั บคุ คลกระทำ� ได้โดยงา่ ย (ยอ่ มเป็น) อ.กรรม อนั เกอื ้ กลู นาม สกุ รํ หิตกมมฺ เมว ทกุ ฺกรนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห (แก่ตน) นน่ั เทียว เป็นกรรมอนั บคุ คลกระท�ำได้โดยยาก (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.กรรม ท. เหลา่ ใด) เป็นกรรมไมด่ ี ดว้ ย เป็นกรรมไมเ่ กือ้ กลู “สกุ รานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ, แกต่ น ดว้ ย (ยอ่ มเป็น) (อ.กรรม ท. เหลา่ นน้ั ) เป็นกรรม ยํ เว หิตญฺจ สาธญุ ฺจ, ตํ เว ปรมทกุ ฺกรนตฺ ิ. อนั บคุ คลกระท�ำไดโ้ ดยงา่ ย (ย่อมเป็น), (อ.กรรม) ใด แล เป็นกรรมเกือ้ กลู ดว้ ย เป็นกรรมดี ดว้ ย (ยอ่ มเป็น), (อ.กรรม) นนั้ แล เป็นกรรมอนั บคุ คลกระท�ำได้โดยยากอย่างย่ิง (ยอ่ มเป็น) ดงั นี้ ฯ อ.เนอื ้ ความ (แหง่ คำ� อนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ อ.กรรม ท. เหลา่ ใด ตสฺสตฺโถ “ยานิ กมมฺ านิ อสาธนู ิ สาวชฺชานิ จ เป็นกรรมไมด่ ี คือวา่ เป็นกรรมเป็นไปกบั ด้วยโทษ ด้วย เป็นกรรม อปายสวํ ตฺตนิกานิ กตตฺตาเยว อตฺตโน อหิตานิ จ ประกอบแล้วในอันยังสัตว์ให้ เป็ นไปพร้ อมเพ่ืออบาย ชื่อว่า โหนฺต,ิ ตานิ สกุ รานิ. เป็นกรรมไมเ่ กือ้ กลู แก่ตน เพราะความท่ี (แหง่ กรรม ท. เหลา่ นนั้ ) เป็นกรรม (อนั บคุ คล) กระทำ� แล้วนนั่ เทยี ว ด้วย ยอ่ มเป็น, (อ.กรรม ท.) เหลา่ นนั้ เป็นกรรมอนั บคุ คลกระท�ำได้โดยงา่ ย (ยอ่ มเป็น) ฯ สว่ นวา่ (อ.กรรม) ใด ชอื่ วา่ เป็นกรรมเกอื ้ กลู แกต่ น เพราะความท่ี ยํ ปน กตตฺตา อตฺตโน หิตญฺจ อนวชฺชตฺเถน (แหง่ กรรมนนั้ ) เป็นกรรมอนั บคุ คลกระทำ� แล้ว ด้วย ชอื่ วา่ เป็นกรรมดี สาธญุ ฺจ สคุ ติสํวตฺตนิกญฺเจว นิพฺพานสวํ ตฺตนิกญฺจ เพราะอรรถวา่ เป็นกรรมไมม่ โี ทษ ด้วย คอื วา่ เป็นกรรมประกอบแล้ว กมมฺ ํ, ตํ ปาจีนนินฺนาย คงฺคาย อพุ ฺพตฺเตตฺวา ในอนั ยงั สตั ว์ให้เป็นไปพร้อมเพ่ือสคุ ติ ด้วยนน่ั เทียว เป็นกรรม ปจฺฉามขุ กรณํ วิย อตทิ กุ ฺกรนฺต.ิ ประกอบแล้ วในอันยังสัตว์ให้ เป็ นไปพร้ อมเพื่อพระนิพพาน ด้วย (ยอ่ มเป็น), (อ.กรรม) นนั้ เป็นกรรมอนั บคุ คลกระท�ำได้ โดยยากอยา่ งยิ่ง (ยอ่ มเป็น) ราวกะ อ.อนั ทดขนึ ้ แล้ว กระท�ำ ซ่ึงแม่น�ำ้ ชื่อว่าคงคา อันไหลไปแล้วในทิศช่ือว่าปราจีน ให้เป็ น แมน่ �ำ้ มีหน้าในภายหลงั ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็ นที่สุดแห่งเทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งอันตะเกียกตะกายเพ่อื อันทำ� ลายซ่งึ สงฆ์ สงฆฺ เภทปริสกกฺ นวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลิตส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 21 www.kalyanamitra.org

๘. อ.เ(อร่ือันงขแ้าหพ่งเพจ้าระจเะถกระลช่า่วือ)ว่ฯากาละ ๘. กาลตเฺ ถรวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “โย สาสนนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซึ่งพระเถระช่ือว่ากาละ ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า วหิ รนฺโต กาลตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ โย สาสนํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ อ.หญิง คนหนง่ึ ในเมืองช่ือวา่ สาวตั ถี ด�ำรงอยแู่ ล้ว เถรํ สาวตฺถิยํ กิเรกา อิตฺถี มาตฏุ ฺฐาเน ฐตฺวา ตํ ในฐานะแหง่ มารดา ยอ่ มบ�ำรุง ซง่ึ พระเถระ นนั้ ฯ ตอสปุ สฺฏฺาฐหตป.ิ ฏิวสิ ฺสกเคเห มนสุ สฺ า สตฺถุ สนฺตเิ ก อ.มนษุ ย์ ท. ในเรือนแหง่ บคุ คลผ้คู ้นุ เคยกนั (ของหญิง) นนั้ ฟังแล้ว ซึ่งธรรม ในส�ำนัก ของพระศาสดา มาแล้ว สู่เรือน ธมมฺ ํ สตุ ฺวา เคหํ อาคนฺตฺวา “อโห พทุ ฺธา นาม ยอ่ มสรรเสริญ วา่ โอ ชื่อ อ.พระพทุ ธเจ้า ท. เป็นบคุ คลนา่ อศั จรรย์ อจฺฉริยา, อโห ธมฺมเทสนา มธรุ าติ ปสํสนฺต.ิ สา (ยอ่ มเป็น), โอ อ.พระธรรมเทศนา เป็นเทศนาไพเราะ (ยอ่ มเป็น) [อิตฺถี] เตสํ กถํ สตุ ฺวา “ภนฺเต อหํปิ สตฺถุ ธมมฺ เทสนํ ดงั นีฯ้ (อ.หญิง)นนั้ ฟังแล้วซง่ึ วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว(ของมนษุ ย์ท.) โสตกุ ามาติ ตสสฺ อาโรเจส.ิ เหล่านัน้ บอกแล้ว (แก่พระเถระ) นัน้ ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้ อ.ดฉิ นั เป็นผ้ใู คร่เพอื่ อนั ฟัง ซง่ึ พระธรรมเทศนา ของพระศาสดา (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ห้ามแล้ว (ซง่ึ หญงิ ) นนั้ วา่ (อ.ทา่ น) อยา่ ไปแล้ว โส “มา ตตฺถ คจฺฉีติ ตํ นิวาเรส.ิ (ในท)ี่ นนั้ ดงั นี ้ฯ (อ.หญิง)นนั้ อ้อนวอนอยู่แม้ในวนั รุ่งขนึ ้ แม้ผู้(อนั พระเถระ)นนั้ สา ปนุ ทิวเสปิ ยาจมานา ยาวตตยิ ํ เตน ห้ามอยู่ ก�ำหนดเพียงใดแหง่ วาระที่ ๓ เป็นผ้ใู คร่เพื่ออนั ฟัง เทียว นิวาริยมานาปิ โสตกุ ามาว อโหส.ิ “กสฺมา ปน โส ได้เป็นแล้ว ฯ (อ.อนั ถาม) วา่ ก็ (อ.พระเถระ)นนั้ ห้ามแล้ว (ซง่ึ หญงิ ) ตํ นิวาเรสีต.ิ “เอวํ กิรสฺส อโหสิ `สตฺถุ สนฺตเิ ก ธมมฺ ํ นนั้ เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ฯ (อ.อนั แก้) วา่ ได้ยนิ วา่ (อ.ความคดิ ) อยา่ งนี ้วา่ สตุ ฺวา มยิ ภิชฺชิสฺสตีต.ิ (อ.หญิงนนั้ ) ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรม ในสำ� นกั ของพระศาสดา จกั แตก ในเรา (ดงั นี)้ ได้มีแล้ว แก่พระเถระนนั้ (เพราะเหตนุ นั้ อ.พระเถระ นนั้ ห้ามแล้ว ซงึ่ หญิงนนั้ ) ดงั นี ้ฯ (อ. หญงิ ) นนั้ ผ้มู อี าหารอนั บคุ คลพงึ กนิ ในเวลาเช้าอนั บรโิ ภคแล้ว สา เอกทิวสํ ปาโตว ภตุ ฺตปาตราสา อโุ ปสถํ ในเวลาเช้าเทียวสมาทานแล้วซงึ่ อโุ บสถบงั คบั แล้วซง่ึ ธิดา(ด้วยคำ� ) สมาทยิตฺวา “อมมฺ สาธกุ ํ อยฺยํ ปริวิเสยฺยาสตี ิ วา่ ดกู ่อนแม่ (อ. เธอ) พงึ องั คาส ซง่ึ พระผ้เู ป็นเจ้า (กระท�ำ) ให้ดี ธีตรํ อาณาเปตฺวา วหิ ารํ อคมาส.ิ ดงั นี ้ได้ไปแล้ว สพู่ ระวิหาร ในวนั หนง่ึ ฯ แม้ อ.ธิดา (ของหญิง) นนั้ องั คาสแล้ว (ซง่ึ ภิกษุ) นนั้ โดยชอบ ธตี าปิสสฺ า ตํ [ภกิ ขฺ ]ํุ อาคตกาเล สมมฺ า ปริวสิ ติ วฺ า ในกาล (แหง่ ภิกษุ นนั้ ) มาแล้ว ผู้ (อนั ภิกษุ นนั้ ) กลา่ วแล้ว วา่ “กหํ มหาอปุ าสกิ าติ วตุ ฺตา “ธมมฺ สฺสวนาย วิหารํ อ.มหาอุบาสิกา (ไปแล้ว) (ณท่ี) ไหน ดังนี ้ กล่าวแล้ว ว่า คตาติ อาห. (อ.มหาอบุ าสกิ า) ไปแล้ว สพู่ ระวหิ าร เพ่ืออนั ฟังซงึ่ ธรรม ดงั นี ้ ฯ (อ.ภิกษุ) นนั้ ฟังแล้ว (ซงึ่ ค�ำ) นนั้ เทียว เดือดร้อนอยู่ โส ตํ สตุ ฺวาว กสจุ าฺฉิยมํ ยิอฏุ ภฺฐินเิ ตฺนนาติ ฑาเหน เพราะความเร่าร้อน อนั ตงั้ ขนึ ้ แล้ว ในท้อง (คดิ แล้ว) วา่ (อ.หญิง) สนฺตปปฺ มาโน “อิทานิ เวเคน นนั้ แตกแล้ว ในเรา ในกาลนี ้ ดงั นี ้ ไปแล้ว โดยเร็ว เหน็ แล้ว คนฺตฺวา สตฺถุ สนฺตเิ ก ธมมฺ ํ สณุ มานํ ทิสวฺ า (ซง่ึ มหาอบุ าสกิ า) ผ้ฟู ังอยู่ ซงึ่ ธรรม ในสำ� นกั ของพระศาสดา สตฺถารํ อาห “ภนฺเต อยํ อิตฺถี ทนฺธา สขุ มุ ํ ธมมฺ กถํ กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.หญิงนี ้ เป็นคนเขลา น ชานาต,ิ อิมิสฺสา ขนฺธาทิปปฺ ฏิสํยตุ ฺตํ สขุ มุ ํ (เป็น) ยอ่ มไมร่ ู้ ซงึ่ วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ วซงึ่ ธรรม อนั ละเอียด ธมมฺ กถํ อกเถตฺวา ทานกถํ วา สีลกถํ วา กเถตํุ อ. อัน (อันพระองค์) ไม่ตรัส ซ่ึงวาจาเป็ นเครื่องกล่าวซึ่งธรรม วฏฺ ฏตีต.ิ อนั ละเอียด อนั ประกอบพร้อมเฉพาะแล้วด้วยสภาวธรรมมีขนั ธ์ เป็นต้นแล้ว จงึ ตรัส ซงึ่ วาจาเป็นเคร่ืองกลา่ วซงึ่ ทาน หรือ หรือวา่ ซึ่งวาจาเป็ นเครื่องกล่าวซึ่งศีล (แก่หญิง) นี ้ ย่อมควร ดังนี ้ กะพระศาสดา ฯ 22 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ. พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซงึ่ อธั ยาศยั (ของภิกษุ) นนั้ สตฺถา ตสสฺ อชฺฌาสยํ วทิ ิตฺวา “ตฺวํ ทปุ ปฺ ญฺโญ ตรัสแล้ว วา่ อ. เธอ เป็นผ้มู ีปัญญาอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว (เป็น) ปอตาปฺติ ฆกํ าตทาิฏเฺ ฐยึ ว นิสฺสาย พทุ ฺธานํ สาสนํ ปฏิกฺโกสส,ิ อาศัยแล้ ว ซึ่งทิฏฐิ อันชั่ว ย่อมคัดค้ าน ซ่ึงค�ำสั่งสอน วายมสตี ิ วตฺวา อิมํ คาถมาห ของพระพทุ ธเจ้า ท. (อ.เธอ) ยอ่ มพยายาม เพอื่ อนั ฆา่ ซงึ่ ตนนน่ั เทยี ว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ. บคุ คล) ใด ผูม้ ีปัญญาอนั โทษประทษุ ร้ายแลว้ “โย สาสนํ อรหตํ อริยานํ ธมฺมชีวินํ อาศยั แลว้ ซ่ึงทิฏฐิ อนั ชว่ั ย่อมคดั คา้ น ซึ่งค�ำสงั่ สอน ปฏิกฺโกสติ ทมุ ฺเมโธ อทติฏฺตฺฐฆึ นญิสฺญฺสาายย ปาปิ กํ, ของพระอริยะเจา้ ท. ผเู้ ป็นพระอรหนั ต์ ผเู้ ป็นอยโู่ ดยธรรม ผลานิ กณฺฏกสเฺ สว ผลฺลตีติ. โดยปกติ (อ.บคุ คล นนั้ ) ย่อมเกิด เพือ่ อนั ฆ่าซึ่งตน เพียงดงั อ.ขยุ ท. ของไมม้ ีหนาม (ตน้ ไผ่) (เกิดอยู่ เพือ่ อนั ฆ่าซึ่งตน) ดงั นี้ ฯ อ. เนอื ้ ความ วา่ อ. บคุ คล ใด ผ้มู ปี ัญญาอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว ตสฺสตฺโถ “โย ทมุ เฺ มโธ ปคุ ฺคโล อตฺตโน สกฺการ- อาศยั แล้ว ซง่ึ ทิฏฐิ อนั ชวั่ คดั ค้านอยู่ (ซงึ่ ชน ท.) ผ้กู ลา่ วอยู่ วา่ หานิภเยน ทปสาสฺปาิ กมํ าทติฏิฺฐวึ นทิสนสฺฺเตายป`ฏธมิกฺมฺโกํ สวนาฺโตโสสอฺสราหมต,ํ (อ.เรา ท.) จักฟัง ซ่ึงธรรม หรือ หรือว่า (อ.เรา ท.) จักถวาย ทานํ วา ซง่ึ ทาน ดงั นี ้ เพราะความกลวั แตค่ วามเสอื่ มแหง่ สกั การะ ของตน อริยานํ ธมมฺ ชีวนิ ํ พทุ ฺธานํ สาสนํ ปฏิกฺโกสต.ิ ตสฺส ชอื่ วา่ ยอ่ มคดั ค้าน ซงึ่ คำ� สง่ั สอน ของพระอรยิ ะเจ้า ท. ผ้เู ป็นพระอรหนั ต์ ตกณํ ปฺฏฏกิกสฺโฺสกสผนลํานสิาวยิ จโหปตา,ิ ปติ สกาฺมาทยิฏถฺฐาิ เวฬสุ งฺขาตสสฺ ผ้เู ป็นอยโู่ ดยธรรมโดยปกติ คอื วา่ ของพระพทุ ธเจ้า ท. ฯ อ. การคดั ค้าน กณฺฏโก ผลานิ นนั้ ด้วย อ. ทิฏฐิ อนั ชว่ั นนั้ ด้วย (แหง่ บคุ คล) นนั้ ยอ่ มเป็น ราวกะ คณฺหนฺโต อตฺตฆญฺญาย ผลลฺ ติ อตฺตโน ฆาตตฺถเมว อ.ขุย ท. ของไม้มีหนาม อันอันบัณฑิตนับพร้ อมแล้วว่าไม้ไผ่ ผลฺลต;ิ เอวํ โสปิ อตฺตโน ฆาตาย ผลฺลตีต.ิ วตุ ฺตํปิ เจตํ เพราะเหตนุ นั้ อ.ไม้มีหนาม ถือเอาอยู่ ซง่ึ ขยุ ท. ชื่อวา่ ยอ่ มเกิด เพื่ออนั ฆา่ ซงึ่ ตน คือวา่ ยอ่ มเกิด เพื่อประโยชน์แก่อนั ฆา่ ซง่ึ ตน นน่ั เทียว ฉนั ใด (อ.บคุ คลผ้มู ีปัญญาอนั โทษประทษุ ร้ายแล้ว) แม้นนั้ ยอ่ มเกิด เพื่ออนั ฆา่ ซง่ึ ตน ฉนั นนั้ ดงั นี ้ (แหง่ ค�ำอนั เป็น พระคาถา) นนั้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ อ.ผล แล ย่อมฆ่า ซึ่งตน้ กลว้ ย, อ.ผล (ย่อมฆ่า) ซ่ึงไมไ้ ผ่, ผลํ เว กทลึ หนตฺ ิ ผลํ เวฬํ,ุ ผลํ นฬํ, อ.ผล (ย่อมฆ่า) ซึ่งไมอ้ อ้ , อ.สตั ว์ผเู้ กิดแลว้ ในครรภ์ (ยอ่ มฆา่ ) สกฺกาโร กาปรุ ิสํ หนตฺ ิ, คพโฺ ภ อสฺสตรึ ยถาติ. ซึ่งแม่ม้าอสั ดร ฉนั ใด อ.สกั การะ ย่อมฆ่า ซึ่งบรุ ุษผูถ้ ่อย (ฉนั นน้ั ) ดงั นี้ ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.อบุ าสกิ า ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระเทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา เทสนาวสาเน อปุ าสกิ า โสตาปตฺตผิ เล ปตฏิ ฺฐหิ. มีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ สมปฺ ตฺตปริสายปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสตี .ิ อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่ากาละ กาลตเฺ ถรวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลิตสือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 23 www.kalyanamitra.org

๙. อ.เ(รอ่ือันงขแ้าหพ่งอเจุบ้าาจสะกกชล่ือ่าวว่า)จฯุลลกาล ๙. จุลฺลกาลอุปาสกวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อตตฺ นา ว กตํ ปาปนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซ่ึงอุบาสกช่ือว่าจุลลกาล ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า เชตวเน วหิ รนฺโต จลุ ฺลกาลอปุ าสกํ อารพฺภ กเถส.ิ อตตฺ นา ว กตํ ปาปํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนง่ึ อ.โจรผ้ทู �ำลายซงึ่ อโุ มงค์ ท. เอกทิวสํ หิ มหากาลวตฺถสุ มฺ ึ วตุ ฺตนเยเนว ผู้ อันเจ้ าของ ท. ติดตามแล้ว ทิง้ แล้ว ซ่ึงภัณฑะ ข้ างหน้ า อมุ มฺ งฺคโจรา สามิเกหิ อนพุ ทฺธา รตฺตึ วิหาเร ของอบุ าสก ผู้ ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรมกถา ในวหิ าร ออกแล้ว จากวหิ าร มาอยู่ ธมมฺ กถํ สตุ ฺวา ปาโตว วหิ ารา นิกฺขมิตฺวา สาวตฺถึ สู่เมืองชื่อว่าสาวัตถี ในเวลาเช้ าเทียว หนีไปแล้ว ตามนัย อาคจฺฉนฺตสฺส อปุ าสกสฺส ปรุ โต ภณฺฑกํ ฉฑฺเฑตฺวา (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้ว ในเรื่องแหง่ อบุ าสกชอ่ื วา่ มหากาล นน่ั เทยี ว ฯ ปลายสึ .ุ อ.มนษุ ย์ ท. เหน็ แล้ว (ซงึ่ อบุ าสก) นนั้ (กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.บรุ ุษ)นี ้ มนสุ สฺ า ตํ ทิสฺวา “อยํ รตฺตึ โจรกมมฺ ํ กตฺวา กระทำ� แล้ว ซง่ึ กรรมของโจร ในเวลากลางคนื ยอ่ มเทย่ี วไป ราวกะวา่ ธมมฺ ํ สณุ นฺโต วิย จรติ, คณฺหถ นนฺติ ตํ โปถยสึ .ุ ฟังอยู่ ซง่ึ ธรรม, (อ.ทา่ น ท.) จงจบั (ซงึ่ บรุ ุษ) นนั้ ดงั นี ้ โบยแล้ว (ซง่ึ อบุ าสก) นนั้ ฯ อ.นางกมุ ภทาสี ท. ไปอยู่ สทู่ า่ แหง่ นำ� ้ เหน็ แล้ว (ซงึ่ อบุ าสก) นนั้ กมุ ภฺ ทาสโิ ย อทุ กตติ ฺถํ คจฺฉมานา ตํ ทิสฺวา (กล่าวแล้ว) ว่า ข้าแต่นาย (อ.ท่าน ท.) จงหลีกไป, (อ.อุบาสก) นี ้ “อเปถ สามิ, นายํ เอวรูปํ กโรตีติ ตํ โมเจส.ํุ ยอ่ มกระทำ� (ซงึ่ กรรม) มอี ยา่ งนเี ้ป็นรูป หามไิ ด้ ดงั นี ้ (ยงั มนษุ ย์ ท. เหลา่ นนั้ ) ให้ปลอ่ ยแล้ว (ซง่ึ อบุ าสก)นนั้ ฯ (อ.อบุ าสก) นนั้ ไปแล้ว สวู่ หิ าร บอกแล้ว แก่ภิกษุ ท. วา่ โส วหิ ารํ คนฺตฺวา “ภนฺเต อหมหฺ ิ มนสุ ฺเสหิ นาสโิ ต, ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ อ.กระผม เป็นผู้ อนั มนษุ ย์ ท. ให้ฉิบหายแล้ว กมุ ภฺ ทาสโิ ย เม นิสสฺ าย ชีวิตํ ลทฺธนฺติ ภิกฺขนู ํ ยอ่ มเป็น, อ.ชวี ติ อนั กระผม ได้แล้ว เพราะอาศยั ซง่ึ นางกมุ ภทาสี ท. อาโรเจส.ิ ภิกฺขู ตถาคตสสฺ ตมตฺถํ อาโรเจส.ํุ ดงั นี ้ฯ อ.ภกิ ษุ ท. กราบทลู แล้ว ซงึ่ เนอื ้ ความ นนั้ แกพ่ ระตถาคตเจ้า ฯ อ.พระศาสดา ทรงสดับแล้ว ซ่ึงวาจาเป็ นเคร่ืองกล่าว สตฺถา เตสํ กถํ สตุ ฺวา “ภิกฺขเว จลุ ฺลกาลอปุ าสโก (ของภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.อบุ าสกชื่อวา่ กมุ ภฺ ทาสโิ ย เจว นิสฺสาย อตฺตโน จ อการกภาเวน จลุ ลกาล ได้แล้ว ซง่ึ ชีวติ เพราะอาศยั ซง่ึ นางกมุ ภทาสี ท. ด้วยนน่ั ชีวิตํ ลภิ; อิเม หิ นาม สตฺตา อตฺตนา ปาปกมมฺ ํ เทียว เพราะความท่ี แหง่ ตน เป็นผ้ไู มก่ ระท�ำ ด้วย จริงอยู่ อ.สตั ว์ ท. กตฺวา นิรยาทีสุ อตฺตนา ว กิลสิ ฺสนฺต,ิ กสุ ลํ กตฺวา ชื่อเหลา่ นี ้ กระท�ำแล้ว ซงึ่ กรรมอนั ลามก ด้วยตน ยอ่ มเศร้าหมอง ปน สคุ ตญิ ฺเจว นิพฺพานญฺจ คจฺฉนฺตา อตฺตนาว ด้วยตนเทียว (ในอบาย ท.) มีนรกเป็นต้น, สว่ นวา่ (อ.สตั ว์ท.) วสิ ชุ ฺฌนฺตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห กระท�ำแล้ว ซงึ่ กศุ ล เมื่อไป สสู่ คุ ติ ด้วยนน่ั เทียว สพู่ ระนิพพานด้วย ยอ่ มหมดจดวิเศษ ด้วยตนเทียว ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.กรรม) อนั ลามก เป็นกรรม (อนั บคุ คลใด) กระท�ำแลว้ “อตฺตนา ว กตํ ปาปํ , อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ; ดว้ ยตนเทียว (ยอ่ มเป็น), (อ.บคุ คลนนั้ ) ยอ่ มเศรา้ หมองพรอ้ ม อตฺตนา อกตํ ปาปํ , อตฺตนา ว วิสชุ ฺฌติ; ดว้ ยตน, (อ.กรรม) อนั ลามก เป็นกรรม (อนั บคุ คลใด) สทุ ฺธิ อสทุ ฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเยติ. ไม่กระท�ำแล้ว ด้วยตน (ย่อมเป็ น), (อ.บุคคลนนั้ ) ย่อมหมดจดวิเศษ ด้วยตนเทียว, อ.ความหมดจด อ.ความไม่หมดจด เป็นธรรมชาติเป็นไปเฉพาะ ซึ่งตน (ย่อมเป็น), (อ.บคุ คล) อืน่ (ยงั บคุ คล)อืน่ พึงใหห้ มดจดวิเศษ หามิได้ ดงั นีฯ้ 24 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.เนือ้ ความ (แหง่ ค�ำอนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ อ.อกศุ ลกรรม ตสฺสตฺโถ “เยน อตฺตนา อกสุ ลกมมฺ ํ กตํ โหต,ิ โส เป็นกรรม (อนั บคุ คล) ใด กระท�ำแล้ว ด้วยตน ยอ่ มเป็น, (อ.บคุ คล) จตสู ุ อปาเยสุ ทกุ ฺขํ อนภุ วนฺโต อตฺตนาว สงฺกิลสิ ฺสต;ิ นนั้ เสวยอยู่ ซงึ่ ทกุ ข์ ในอบาย ท. ๔ ช่ือวา่ ยอ่ มเศร้าหมองพร้อม เยน ปน อตตฺ นา อกตํ ปาปํ , โส สคุ ตญิ เฺ จว นพิ พฺ านญจฺ ด้วยตนเทียว, สว่ นวา่ (อ.กรรม) อนั ลามก เป็นกรรม (อนั บคุ คล) ใด คจฺฉนฺโต อตฺตนาว วิสชุ ฺฌต.ิ กสุ ลกมมฺ สงฺขาตา สทุ ฺธิ ไมก่ ระท�ำแล้ว ด้วยตน (ยอ่ มเป็น), (อ.บคุ คล) นนั้ เมื่อไป สสู่ คุ ติ อกสุ ลกมมฺ สงฺขาตา จ อสทุ ฺธิ ปจฺจตฺตํ การกสตฺตานํ ด้วย นน่ั เทียว สพู่ ระนิพพาน ด้วย ช่ือวา่ ยอ่ มหมดจดวเิ ศษ ด้วยตน อตฺตนิเยว วปิ จฺจต.ิ อญฺโญ ปคุ ฺคโล อญฺญํ ปคุ ฺคลํ น เทียว, อ.ความหมดจด อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ววา่ กศุ ลกรรม ด้วย วโิ สธเย เนว วโิ สเธติ น กิเลเสตีติ [วตุ ฺตํ โหต.ิ ] อ.ความไม่หมดจด อันบัณฑิตนับพร้ อมแล้วว่าอกุศลกรรม ด้วย เป็นธรรมชาตเป็นไปเฉพาะซงึ่ ตน (ยอ่ มเป็น) คอื วา่ ยอ่ มเผลด็ ผล ในตน ของสตั ว์ผ้กู ระท�ำ ท. นนั่ เทียว, (อ.พระด�ำรัส) วา่ อ.บคุ คล อื่น ยงั บคุ คล อ่ืน พงึ ให้หมดจดวเิ ศษ หามิได้ คือวา่ ยอ่ มให้หมดจด วเิ ศษ หามิได้นน่ั เทียว คือวา่ ยอ่ มให้เศร้าหมอง หามิได้ (ดงั นี)้ (เป็นค�ำอธิบาย อนั พระผ้มู ีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.อบุ าสกชื่อวา่ จลุ ลกาล ตงั้ อยู่ เทสนาวสาเน จลุ ลฺ กาโล โสตาปตฺตผิ เล ปอตโหฏิ ฺสฐหตี ิ..ิ เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระธรรมเทศนา เป็นเทศนาเป็น สมปฺ ตฺตปริสายปิ สาตฺถิกา ธมมฺ เทสนา ไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่บริษัทผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งอุบาสกช่ือว่าจุลลกาล จุลฺลกาลอุปาสกวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๑๐. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าอัตตทตั ถะ ๑๐. อตตฺ ทตถฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “อตตฺ ทตถฺ ํ ปรตเฺ ถนาติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ พระเถระชื่อวา่ อตั ตทตั ถะ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วหิ รนฺโต อตฺตทตฺถตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ อตตฺ ทตถฺ ํ ปรตเฺ ถน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร (ครัน้ เม่ือพระด�ำรัส) วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถารา หิ ปรินิพฺพานกาเล “ภิกฺขเว อหํ จาตมุ -ฺ อ.เรา จกั ปรินิพพาน โดยอนั ลว่ งไปแหง่ ประชมุ แหง่ เดือน ๔ ดงั นี ้ มาสจฺจเยน ปรินิพฺพายิสสฺ ามีติ วตุ ฺเต, อปุ ปฺ นฺนสํเวคา อนั พระศาสดา ตรัสแล้ว ในกาลเป็นที่เสดจ็ ปรินิพพาน, อ.ภิกษุ ท. สตฺตสตา ปถุ ชุ ฺชนา ภิกฺขู สตฺถุ สนฺตกิ ํ อวิชหิตฺวาว ผ้เู ป็นปถุ ชุ น ผ้มู รี ้อยเจด็ เป็นประมาณ ผ้มู คี วามสลดอนั เกดิ ขนึ ้ แล้ว “กินฺนุ โข อาวโุ ส กริสสฺ ามาติ มนฺตยมานา วิจรนฺต.ิ ไมล่ ะแล้ว ซงึ่ สำ� นกั ของพระศาสดา เทยี ว ยอ่ มเทย่ี วปรึกษากนั อยู่วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. (อ.เรา ท.) จกั กระท�ำ อยา่ งไร หนอ แล ดงั นี ้ฯ สว่ นวา่ อ.พระเถระชอื่ วา่ อตั ตทตั ถะ คดิ แลว้ วา่ ไดย้ นิ วา่ อ.พระศาสดา อตฺตทตฺถตฺเถโร ปน จินฺเตสิ “สตฺถา กิร จาตมุ -ฺ จักเสด็จปรินิพพาน โดยอันล่วงไปแห่งประชุมแห่งเดือน ๔, มาสจฺจเยน ปรินิพฺพายิสสฺ ต,ิ ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วดั พระธรรมกาย 25 www.kalyanamitra.org

ก็ อ.เรา เป็นผ้มู รี าคะอนั ไมไ่ ปปราศแลว้ (ยอ่ มเป็น,) ครนั้ เมอื่ พระศาสดา อหญจฺ มหฺ ิ อวตี ราโค, สตถฺ ริ ธรมาเนเยว อรหตตฺ ตถฺ าย ทรงพระชนม์อยู่น่ันเทียว (อ.เรา) จักพยายาม เพื่อประโยชน์ วายมิสสฺ ามีต.ิ แก่พระอรหตั ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ยอ่ มไมไ่ ป สสู่ �ำนกั ของภิกษุ ท. ฯ ครัง้ นนั้ โส ภิกฺขนู ํ สนฺตกิ ํ น คจฺฉต.ิ อถ นํ ภิกฺขู “กสมฺ า อ.ภิกษุ ท. กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ อ.ทา่ น ยอ่ มมา สสู่ ำ� นกั อาวโุ ส ตฺวํ เนว อมฺหากํ สนฺตกิ ํ อาคจฺฉส,ิ น กิญฺจิ ของเรา ท. หามิได้นั่นเทียว, ไม่ปรึกษาแล้ว (ซ่ึงเรื่อง) อะไร ๆ มนฺเตสีติ วตฺวา สตฺถุ สนฺตกิ ํ เนตฺวา “อยํ ภนฺเต เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้(กะพระเถระ) นนั้ นำ� ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา เอวนฺนาม กโรตีติ อาโรจยสึ .ุ กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ภิกษุ) นี ้ ยอ่ มกระท�ำ ชื่อ อยา่ งนี ้ ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ผู้ (แม้อนั พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ (อ.เธอ) โส สตฺถาราปิ “กสมฺ า เอวํ กโรสีติ วตุ ฺโต “ตมุ ฺเห ย่อมกระท�ำ อย่างนี ้ เพราะเหตุไร ดังนี ้ (กราบทูลแล้ว) ว่า กิร ภนฺเต จาตมุ มฺ าสจฺจเยน ปรินิพฺพายิสฺสถ, อหํ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ได้ยินวา่ อ.พระองค์ ท. จกั เสดจ็ ปรินิพพาน ตมุ เฺ หสุ ธรนฺเตสเุ ยว อรหตฺตปปฺ ตฺตยิ า วายมามีติ. โดยอันล่วงไปแห่งประชุมแห่งเดือน ๔, อ.ข้ าพระองค์ ครัน้ เมื่อพระองค์ ท. ทรงพระชนม์อยู่นั่นเทียว จักพยายาม เพื่ออนั บรรลซุ งึ่ พระอรหตั ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงประทานแล้ว ซงึ่ สาธกุ าร (แกพ่ ระเถระ) นนั้ สตฺถา ตสสฺ สาธกุ ารํ ทตฺวา “ภิกฺขเว ยสสฺ มยิ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. อ.ความรัก ในเรา มีอยู่ (แก่บคุ คล) ใด, สเิ นโห อตฺถิ, เตน อตฺตทตฺถตฺเถเรน วิย ภวิตํุ อ.อนั (อนั บคุ คล)นนั้ เป็นราวกะวา่ อตั ตทตั ถเถระ เป็น ยอ่ มควร, ธวฏมฺ ฏฺมตาิ;นุธนมฺมหปิ ฺปคฏนิปฺธตาฺตทิยีหาิ ปูเชนฺตา มํ ปูเชนฺติ, จริงอยู่ (อ.ชน ท.) บชู าอยู่ (ด้วยวตั ถุ ท.) มีของหอมเป็นต้น ช่ือวา่ ปน มํ ปูเชนฺติ; ยอ่ มบชู า ซง่ึ เรา หามิได้, สว่ นวา่ (อ.ชน ท. บชู าอย)ู่ ด้วยการปฏิบตั ิ ตสมฺ า อญฺเญนปิ อตฺตทตฺถสทิเสน ภวิตพฺพนฺติ ซงึ่ ธรรมอนั สมควรแก่ธรรม ช่ือวา่ ยอ่ มบชู า ซง่ึ เรา, เพราะเหตนุ นั้ วตฺวา อิมํ คาถมาห (อนั บคุ คล) แม้อ่ืน เป็นเชน่ กบั ด้วยอตั ตทตั ถะ พงึ เป็น ดงั นี ้ ตรัส แล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บุคคล) ยังประโยชน์ของตน ไม่พึงให้เสื่อม “อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหนุ าปิ น หาปเย, ดว้ ยประโยชน์ของบคุ คลอืน่ แมม้ าก, (อ.บคุ คล) รู้ยิ่งแลว้ อตฺตทตฺถมภิญฺญาย สทตฺถปปฺ สโุ ต สิยาติ. ซ่ึงประโยชน์ของตน เป็นผูข้ วนขวายแลว้ ในประโยชน์- อนั เป็นของตน พึงเป็น ดงั นี้ ฯ อ.เนือ้ ความ (แหง่ ค�ำอนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ (อ.บคุ คล) ตสสฺ ตฺโถ “คหิ ิภโู ต ตาว กากณิกมตฺตํปิ อตฺตโน ผู้เป็ นคฤหัสถ์เป็ นแล้ว ยังประโยชน์ ของตน แม้ มีกากณิก อตฺถํ สหสสฺ มตฺเตนาปิ ปรสฺส อตฺเถน น หาปเย. เป็ นประมาณ ไม่พึงให้เส่ือม ด้วยประโยชน์ (ของบุคคล(อื่น แม้มีพนั เป็นประมาณ ก่อน ฯ ด้วยวา่ อ.ประโยชนข์ องตนเทยี ว (ของบคุ คล) นนั้ แม้มกี ากณกิ กากณิกมตฺโตปิ หิสสฺ อตฺตทตฺโถว ขาทนียํ วา เป็ นประมาณ ยังของอันบุคคลพึงเคีย้ ว หรือ หรือว่า ยังของ โภชนียํ วา นิปผฺ าเทต,ิ น ปรตฺโถ. อันบุคคลพึงบริโภค ย่อมให้ส�ำเร็จ, อ.ประโยชน์ของบุคคลอื่น (ยงั ของอนั บคุ คลพงึ เคีย้ ว หรือ หรือวา่ ยงั ของอนั บคุ คลพงึ บริโภค ยอ่ มให้สำ� เร็จ) หามิได้ ฯ 26 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ก็ (อ.พระดำ� รัส) นี ้วา่ (อตตฺ ทตโฺ ถ ดงั นี ้อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) อิทํ ปน เอวํ อกเถตฺวา กมมฺ ฏฺฐานสเี สน กถิตํ. ไมต่ รัสแล้ว อยา่ งนี ้ตรัสแล้ว โดยหวั ข้อแหง่ กมั มฏั ฐาน ฯ เพราะเหตนุ นั้ อ.กิจมีการซอ่ มแซมซงึ่ เจดีย์เป็นต้น อนั เกิด ตสฺมา “อตฺตทตฺถํ น หาเปมีติ ภิกฺขนุ า สงฺฆสฺส ขนึ ้ แล้ว แก่สงฆ์ หรือ หรือวา่ อ.วตั รมีวตั รเพื่ออปุ ัชฌาย์เป็นต้น อปุ ปฺ นนฺ ํ เจตยิ ปปฺ ฏสิ งขฺ รณาทกิ จิ จฺ ํ วา อปุ ชฌฺ ายาทวิ ตตฺ ํ อนั ภกิ ษุ ไมพ่ งึ ให้เสอ่ื ม (ด้วยความคดิ ) วา่ (อ.เรา) จะไม่ ยงั ประโยชน์ วา น หาเปตพฺพํ, ของตน ให้เส่ือม ดงั นี ้ฯ ด้วยวา่ (อ.บคุ คล) ยงั อภิสมาจาริกวตั ร ให้เตม็ อยู่ นน่ั เทียว อภิสมาจาริกวตฺตํ หิ ปเู รนฺโตเยว อริยผลาทีนิ ยอ่ มกระท�ำให้แจ้ง (ซง่ึ ผล ท.) มีอริยผลเป็นต้น ฯ สจฺฉิกโรต.ิ เพราะเหตนุ นั้ (อ.ประโยชน์) แม้นี ้ เป็นประโยชน์ของตนเทียว ตสฺมา อยํปิ อตฺตทตฺโถว. (ยอ่ มเป็น) ฯ ส่วนว่า (อ.บุคคล) ใด ผู้มีวิปั สสนาอันปรารภยิ่งแล้ว โย ปน อจฺจารทฺธวปิ สสฺ โก `อชฺช อชฺเชวาติ ปฏิเวธํ ยอ่ มเท่ียว ปรารถนาอยู่ ซง่ึ อนั รู้ตลอด วา่ (อ.เรา จกั รู้ตลอด) ในวนั นี ้ ปตฺถยมาโน วิจรต,ิ เตน อปุ ชฺฌายาทิวตฺตานิปิ (อ.เรา จกั รู้ตลอด) ในวนั นีน้ น่ั เทียว ดงั นี,้ อ.กิจ ของตน นนั่ เทียว หาเปตฺวา อตฺตโน กิจฺจเมว กาตพฺพํ. (อนั บคุ คล) นนั้ แม้ยงั วตั รมวี ตั รเพอ่ื อปุ ัชฌายเ์ ป็นต้น ท. ให้เสอ่ื มแล้ว พงึ กระท�ำ ฯ ก็ (อ.บคุ คล) รู้ย่ิงแล้ว ซง่ึ ประโยชน์ของตน มีอยา่ งนีเ้ป็นรูป เอวรูปํ หิ อตฺตทตฺถมภิญฺญาย `อยํ เม อตฺตโน คอื วา่ กำ� หนดแล้ว วา่ (อ.ประโยชน)์ นี ้ เป็นประโยชน์ ของตน ของเรา อตฺโถติ สลฺลกฺเขตฺวา [สทตถฺ ปปฺ สุโต สยิ าต:ิ ] ตสฺมึ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ (เป็นผ้ขู วนขวายแล้วในประโยชน์อนั เป็นของตน สเก อตฺเถ อยุ ฺยตุ ฺตปปฺ ยตุ ฺโต ภเวยฺยาต.ิ พงึ เป็น), (อ.อรรถ วา่ ) อ.บคุ คล เป็นผ้ขู วนขวายแล้วและประกอบแล้ว ในประโยชน์ นนั้ ชื่อวา่ อนั เป็นของตน พงึ เป็น (ดงั นี ้ แหง่ บาท- แหง่ พระคาถา) วา่ สทตถฺ ปปฺ สุโต สิยา ดงั นี ้ ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา(อ.พระเถระ)นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน โส เถโร อรหตฺเต ปตฏิ ฺฐหิ. ในพระอรหัต ฯ อ.พระเทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปกับด้วยวาจา- สมปฺ ตฺตภิกฺขนู ํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ มีประโยชน์ ได้มีแล้ว แม้แก่ภิกษุผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ท. ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าอัตตทตั ถะ (จบแล้ว) ฯ อตตฺ ทตถฺ ตเฺ ถรวตถฺ ุ. อ.กถาเป็ นเคร่ืองพรรณนาซ่งึ เนือ้ ความแห่งวรรค อตตฺ วคคฺ วณฺณนา นิฏฺ ฐิตา. อันบณั ฑติ กำ� หนดแล้วด้วยตน ทวฺ าทสโม วคโฺ ค. จบแล้ว ฯ อ.วรรค ท่ี ๑๒ (จบแล้ว) ฯ ผลติ ส่อื การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 27 www.kalyanamitra.org

๑แ๓ห. ่องว.กรถรค(าอเอปันัน็ นขบ้าเณัคพรฑเ่ือจติ้งาพกจำ�ระหรกณนลดน่าแวา)ลซ้ฯ่วงึ เดน้วือ้ยคโลวกาม ๑๓. โลกวคคฺ วณฺณนา ๑(อ.ันอข.เ้ารพ่ือเงจแ้าหจ่งภะกกิ ลษ่าุหวน) ุ่มฯ ๑. ทหรภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “หนี ํ ธมมฺ นฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา เชตวเน ซง่ึ ภิกษุหนมุ่ รูปใดรูปหนง่ึ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ วิหรนฺโต อญฺญตรํ ทหรภิกฺขํุ อารพฺภ กเถส.ิ หนี ํ ธมมฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ อ.พระเถระ รปู ใดรปู หนงึ่ ได้ไปแลว้ สเู่รอื น ของนางวสิ าขา อญฺญตโร กิร เถโร ทหรภิกฺขนุ า สทฺธึ ปาโตว กบั ด้วยภิกษุหนมุ่ ในเวลาเช้าเทียว ฯ วสิ าขาย เคหํ อคมาส.ิ อ.ข้าวต้มอนั บคุ คลพงึ ถวายยง่ั ยืน เป็นข้าวต้ม (อนั บคุ คล) วิสาขาย เคเห ปญฺจสตานํ ภิกฺขนู ํ ธวุ ยาคุ แต่งตัง้ ไว้แล้ว เนืองนิตย์ เพ่ือภิกษุ ท. มีร้ อยห้าเป็ นประมาณ นิจฺจํ ปญฺญตฺตา โหต.ิ ในเรือน ของนางวิสาขา ยอ่ มเป็น ฯ อ.พระเถระ ด่ืมแล้ว ซึ่งข้าวต้ม (ในเรือน) นัน้ ยังภิกษุหนุ่ม เถโร ตตฺถ ยาคํุ ปิ วิตฺวา ทหรํ นิสที าเปตฺวา สยํ ให้นงั่ แล้ว ได้ไปแล้ว สเู่ รือน หลงั อ่ืน เอง ฯ อญฺญํ เคหํ อคมาส.ิ ก็ โดยสมยั นนั้ อ.ธิดา ของบตุ ร ของนางวสิ าขา ตงั้ อยแู่ ล้ว เตน จ สมเยน วิสาขาย ปตุ ฺตสฺส ธีตา อยฺยิกาย ในฐานะ แหง่ ยา่ ยอ่ มกระท�ำ ซงึ่ ความขวนขวาย แก่ภิกษุ ท. ฯ ฐาเน ฐตฺวา ภิกฺขนู ํ เวยฺยาวจฺจํ กโรต.ิ (อ.ธิดา) นนั้ กรองอยู่ ซง่ึ น�ำ้ เพ่ือภิกษุหนมุ่ นนั้ เหน็ แล้ว สา ตสฺส ทหรสสฺ อทุ กํ ปริสสฺ าเวนฺตี จาฏิยํ ซง่ึ เงาแหง่ หน้า ของตน ในตมุ่ หวั เราะแล้ว ฯ อตฺตโน มขุ นิมิตฺตํ ทิสฺวา หส.ิ แม้ อ.ภกิ ษหุ นมุ่ แลดแู ล้ว (ซงึ่ ธิดา) นนั้ หวั เราะแล้ว ฯ (อ.ธิดา)นนั้ ทหโรปิ ตํ โอโลเกตฺวา หส.ิ สา ตํ หสมานํ ทิสวฺ า เหน็ แล้ว (ซงึ่ ภิกษุหนมุ่ ) นนั้ ผ้หู วั เราะอยู่ กลา่ วแล้ว วา่ อ.บคุ คล “ฉินฺนสโี ส หสตีติ อาห. ผ้มู ีหวั อนั ขาดแล้ว ยอ่ มหวั เราะ ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.ภกิ ษุหนมุ่ ดา่ แล้ว (ซงึ่ ธิดา) นนั้ วา่ อ.เธอ เป็นผ้มู หี วั อถ นํ ทหโร “ตฺวํ ฉินฺนสีสา, มาตาปิ ตโรปิ เต อันขาดแล้ว (ย่อมเป็ น), แม้ อ.มารดาและบิดา ท. ของเธอ ฉินฺนสีสาติ อกฺโกส.ิ เป็นผ้มู ีหวั อนั ขาดแล้ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ (อ.ธิดา) นนั้ ร้องไห้อยู่ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของยา่ ในโรงครวั ใหญ,่ สา โรทมานา มหานเส อยฺยิกาย สนฺตกิ ํ (ครัน้ เมอ่ื คำ� ) วา่ แนะ่ แม่ (อ.เร่ือง) นี ้ อะไร ดงั นี ้ (อนั ยา่ ) กลา่ วแล้ว, คนฺตฺวา, “กิมิทํ อมมฺ าติ วตุ ฺเต, ตมตฺถํ อาโรเจส.ิ บอกแล้ว ซงึ่ เนือ้ ความ นนั้ ฯ (อ.นางวิสาขา) นนั้ มาแล้ว สสู่ �ำนกั ของภิกษุหนมุ่ กลา่ วแล้ว สา ทหรสสฺ สนตฺ กิ ํ อาคนตฺ วฺ า “ภนเฺ ต มา กชุ ฺฌ,ิ วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จรญิ (อ.ทา่ น) อยา่ โกรธแล้ว, (อ.คำ� ) นนั่ เป็นคำ� หนกั ยง่ิ น เอตํ ฉินฺนเกสนขสฺส ฉินฺนนิวาสนปารุปนสฺส (ยอ่ มเป็น) แก่พระผ้เู ป็นเจ้า ผ้มู ีผมและเลบ็ อนั ตดั แล้ว ผ้มู ีผ้า- มชฺเฌ ฉินฺนกปาลมาทาย ภิกฺขาย จรนฺตสสฺ อยฺยสสฺ เป็นเคร่ืองนงุ่ และผ้าเป็นเครื่องหม่ อนั ตดั แล้ว ผ้ถู ือเอา ซงึ่ กระเบือ้ ง- อตคิ รุกนฺติ อาห. อนั ตดั แล้ว ในทา่ มกลาง เที่ยวไปอยู่ เพ่ือภิกษา หามิได้ ดงั นี ้ฯ อ.ภิกษุหนมุ่ (กลา่ วแล้ว) วา่ ดกู ่อนอบุ าสกิ า เออ (อ.อยา่ งนนั้ ), ทหโร “อาม อปุ าสเิ ก, ตฺวํ มม ฉินฺนเกสาทิภาวํ อ.ทา่ น ยอ่ มรู้ ซงึ่ ความท่ี แหง่ อาตมา เป็นผ้มู ลี กั ษณะมผี มอนั ตดั แล้ว ชานาส;ิ เป็ นต้ น, 28 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.อนั (อนั ทาริกา) นี ้ ดา่ กระทำ� ซงึ่ อาตมา วา่ เป็นผ้มู หี วั อนั ขาดแล้ว อิมิสฺสา มํ `ฉินฺนสโี สติ กตฺวา อกฺโกสติ ํุ วฏฺฏิสสฺ ตีต.ิ ดงั นี ้จกั ควร หรือ ดงั นี ้ฯ อ.นางวิสาขา ได้อาจแล้ว เพ่ืออนั ยงั ภิกษุหนมุ่ ให้รู้พร้อม วิสาขา เนว ทหรํ สญฺญาเปตํุ อสกฺขิ น ทาริกํ. หามไิ ด้นน่ั เทยี ว, (ได้อาจแล้ว เพอ่ื อนั ยงั ทาริกา ให้รู้พร้อม) หามไิ ด้ ฯ ในขณะ นนั้ อ.พระเถระ มาแล้ว ถามแล้ว วา่ ดกู ่อนอบุ าสกิ า ตสมฺ ึ ขเณ เถโร อาคนฺตฺวา “กิมิทํ อปุ าสเิ กติ (อ.เรอ่ื ง) นี ้อะไร ดงั นี ้ฟังแล้ว ซง่ึ เนอื ้ ความนนั้ เมอื่ กลา่ วสอน ซง่ึ ภกิ ษหุ นมุ่ ปจุ ฺฉิตฺวา ตมตฺถํ สตุ ฺวา ทหรํ โอวทนฺโต อาห “อเปหิ กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ (อ.เธอ) จงหลีกไป, (อ.ทาริกา)นี ้ อาวโุ ส, นายํ ฉินฺนเกสนขวตฺถสสฺ มชฺเฌ ฉินฺนกปาลํ ด่าแล้ว (ต่อเธอ) ผู้มีผมและเล็บและผ้าอันตัดแล้ว ผู้ ถือเอา อาทาย ภิกฺขาย จรนฺตสสฺ อกฺโกส,ิ ตณุ ฺหี โหหีต.ิ “อาม ซงึ่ กระเบือ้ งอนั ตดั แล้ว ในทา่ มกลาง เท่ียวไปอยู่ เพื่อภิกษา ภนฺเต, กึ มตํ มุ`ฉเฺ ิหนฺนอสตีโสฺตตโนิ อกอฺโกปุ สฏติฺฐําุ วยฏิกฺฏํ ิสอสฺ ตตชีตฺช.ิ ิตฺวา มํ หามิได้, (อ.เธอ) เป็นผ้นู ิ่ง จงเป็น ดงั นีฯ้ (อ.ภิกษุหนมุ่ กลา่ วแล้ว)วา่ ตชฺชิสสฺ ถ, ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ ขอรับ (อ.อยา่ งนนั้ ), (อ.ทา่ น ท.) ไมค่ กุ คาม แล้ว ซงึ่ อปุ ัฏฐายิกา ของตน จกั คกุ คาม ซงึ่ กระผม ท�ำไม, อ.อนั (อนั ทาริกา) ดา่ ซง่ึ กระผม วา่ เป็นผ้มู ีหวั อนั ขาดแล้ว ดงั นี ้ จกั ควร หรือ ดงั นี ้ฯ ในขณะนนั้ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ตสฺมึ ขเณ สตฺถา อาคนฺตฺวา “กิมิทนฺติ ปจุ ฺฉิ. (อ.เรื่อง) นี ้ อะไร ดงั นี ้ ฯ อ.นางวสิ าขา กราบทลู แล้ว ซง่ึ ความเป็นไป ตวิสสาฺสขาทหอราสทฺสิโตโสตปาฏปฺฐตายฺติผตลํปู ปนวิสตฺสฺตยึ ํ อาโรเจส.ิ สตฺถา ทวั่ นนั้ จ�ำเดมิ แตต่ ้น ฯ อ.พระศาสดา ทรงเหน็ แล้ว ซงึ่ อปุ นิสยั ทิสฺวา “มยา อิมํ แหง่ โสดาปัตตผิ ล ของภิกษุหนมุ่ นนั้ ทรงด�ำริแล้ว วา่ อ.อนั อนั เรา วทิสหารเํ ขอนวุตตวฺตติ ทํุ วาฏรฺิกฏาตยีติ จินฺเตตฺวา วิสาขํ อาห “กึ ปน เป็นไปตาม ซง่ึ ภิกษุหนมุ่ นี ้ ยอ่ มควร ดงั นี ้ ตรัสแล้ว กะนางวสิ าขา ฉินฺนเกสาทิมตฺตเกเนว มม วา่ ดกู ่อนวิสาขา ก็ อ.อนั อนั ทาริกา ของเธอ ดา่ ซงึ่ สาวก ท. สาวเก ฉินฺนสเี ส กตฺวา อกฺโกสติ ํุ วฏฺฏตีต.ิ ของเรา กระท�ำ ให้ เป็ นผู้มีศีรษะอันขาดแล้ว (ด้ วยเหตุ) สกั วา่ ลกั ษณะมผี มอนั ตดั แล้วเป็นต้นนนั่ เทยี ว ยอ่ มควร หรือ ดงั นี ้ ฯ อ.ภิกษุหนมุ่ ลกุ ขนึ ้ แล้ว ในขณะนนั้ นนั่ เทียว ประคองแล้ว “อภปุ นชฺเฺฌทตหาโโเรยอตจํตมาปหวญเาทฺหอวปํุ าตอสมุ ฏุกิ เฺ ฺหาฐาจยสสฏุ ฏฺุฐอฺฐุญุ นชฺชาลชนึาานถปน,คฺตฺคอีตเมิหอหฺตาาฺวหกา.ํ ซง่ึ อญั ชลี กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พระองค์ ท. ยอ่ มทรงทราบ ซงึ่ ปัญหานน่ั ด้วยด,ี อ.อปุ ัชฌาย์ ของข้าพระองค์ ท. ด้วย อ.มหาอบุ าสกิ า ด้วย ยอ่ มไมร่ ู้ ด้วยดี ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงทราบแล้ว ซ่ึงความท่ี แห่งภิกษุหนุ่ม สตฺถา ทหรสฺส อตฺตโน อนกุ ลู ภาวํ ญตฺวา เป็นผ้อู นกุ ลู แก่พระองค์ ตรัสแล้ว วา่ ชื่อ อ.ความเป็นคืออนั หวั เราะ “กามคณุ ํ อารพฺภ หสนภาโว นาม หีโน ธมโฺ ม, หีนญฺจ ปรารภ ซงึ่ กามคณุ เป็นธรรมอนั เลว (ยอ่ มเป็น), อ.อนั (อนั บคุ คล) นาม ธมมฺ ํ เสวิตํุ ปมาเทน จ สทฺธึ สวํ สติ ํุ น วฏฺ ฏตีติ เสพ ซง่ึ ธรรม ชื่อวา่ อนั เลว ด้วย อ.อนั อนั บคุ คล อยพู่ ร้อม กบั วตฺวา อิมํ คาถมาห ด้วยความประมาท ด้วย ยอ่ มไมค่ วร ดงั นี ้ตรสั แล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล) ไม่พึงเสพ ซึ่งธรรม อนั เลว, (อ.บคุ คล) “หีนํ ธมฺมํ น เสเวยฺย, ปมาเทน น สํวเส, ไม่พึงอยู่พร้อม ดว้ ยความประมาท, อ.บคุ คล ไม่พึงเสพ มิจฺฉาทิฏฺฐึ น เสเวยฺย, น สิยา โลกวฑฺฒโนติ. ซึ่งความเหน็ ผิด, (อ.บคุ คล) เป็นผยู้ งั โลกใหเ้ จริญ ไมพ่ งึ เป็น ดงั นี้ ฯ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 29 www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ วา่ ) ซง่ึ ธรรมคือกามคณุ ๕ (ดงั นี ้ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ “หนี ํ ธมมฺ นฺต:ิ ปญฺจกามคณุ ธมมฺ ํ. (แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ หนี ํ ธมมฺ ํ ดงั นี ้ฯ จริงอยู่ (อ.ธรรมคือกามคณุ ๕) นนั้ อนั ชน ผ้เู ลว (อนั สตั ว์ ท.) โส หิ หีเนน ชเนน อนจฺตมนโสิรยโอาฏทฺฐีสโุคณฐาาทเนีหิปสิ ุ แม้มีอฐู และโคเป็นต้น โดยก�ำหนดอนั มีในท่ีสดุ พงึ เสพเฉพาะ, ปฏิเสวิตพฺโพ, หีเนสุ ก็ (อ.ธรรมคือกามคณุ ๕ นนั้ ยงั สตั ว์ ท.) ยอ่ มให้บงั เกิด ในท่ี ท. นิพฺพตฺตาเปตีติ หีโน นาม; ตํ น เสเวยฺย. มีนรกเป็นต้น อนั เลว เพราะเหตนุ นั้ (อ.ธรรมคือกามคณุ ๕ นนั้ ) ช่ือวา่ เลว, (อ.บคุ คล) ไมพ่ งึ เสพ (ซงึ่ ธรรมอนั เลว)นนั้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.บคุ คล) ไมพ่ งึ อยพู่ ร้อม แม้ด้วยความประมาท ปมาเทนาต:ิ สตโิ วสสฺ คฺคลกฺขเณน ปมาเทนาปิ มอี นั ปลอ่ ยลงซงึ่ สตเิ ป็นลกั ษณะ (ดงั นี ้แหง่ บท)วา่ ปมาเทน ดงั นี ้ฯ น สํวเสยฺย. (อ.อรรถ) ว่า (อ.บุคคล) ไม่พึงถือเอา ซึ่งความเห็นผิด น เสเวยยฺ าต:ิ มิจฺฉาทิฏฺฐึ น คณฺเหยฺย. (ดงั นี ้แหง่ บท)วา่ น เสเวยยฺ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ก็ อ.บคุ คลใด ยอ่ มกระท�ำ อยา่ งนี,้ (อ.บคุ คล) โลกวฑฒฺ โนต:ิ โย หิ เอวํ กโรต,ิ โส โลกวฑฺฒโน นนั้ ช่ือวา่ เป็นผ้ยู งั โลกให้เจริญ ยอ่ มเป็น, เพราะเหตนุ นั้ อ.บคุ คล นาม โหต;ิ ตสมฺ า เอวํ อกรเณน สยิ า โลกวฑฺฒโนติ. เป็นผ้ยู งั โลกให้เจริญ (ไม)่ พงึ เป็น เพราะอนั ไมก่ ระท�ำ อยา่ งนนั้ ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ โลกวฑฒฺ โน ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุหนมุ่ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน ทหโร โสตาปตฺตผิ เล ปตฏิ ฺฐหิ. ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระเทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ มีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุหนุ่ม ทหรภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๒. อ.เร่ืองแ(อหัน่งพข้ราพะรเาจช้าาจพะรกะลน่าาวม)วฯ่าสุทโธทนะ ๒. สุทโฺ ธทนวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในนิโครธาราม ทรงปรารภ สตฺถา“อุตนตฺิโคฏิ ฺรฺ เธฐารานเมปปฺ วมหิ ชรนเฺ ชฺโตยยฺ ปาิ ตตริ ํ อิมํ ธมมฺ เทสนํ ซ่ึงพระบิดา ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า อุตฺติฏฺ เฐ อารพฺภ กเถส.ิ นปปฺ มชเฺ ชยยฺ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพสิ ดาร ในสมยั หนงึ่ อ.พระศาสดา เสดจ็ ไปแล้ว เอกสมฺ ึ หิ สมเย สตฺถา ปฐมคมเนน กปิ ลวตฺถปุ รุ ํ สเู่ มืองช่ือวา่ กบลิ พสั ด์ุ โดยการเสดจ็ ไปครัง้ แรก มีการต้อนรับ คนฺตฺวา ญาตีหิ กตปฺปจฺจุคฺคมโน นิโคฺรธารามํ อนั พระญาติ ท. ทรงกระท�ำแล้ว เสดจ็ ไปแล้ว สนู่ ิโครธาราม คนฺตฺวา ญาตีนํ มานํ ภินฺทนตฺถาย อากาเส ทรงเนรมิตแล้ว ซงึ่ ท่ีเป็นท่ีจงกรมอนั เป็นวิบากแหง่ รัตนะ ในอากาศ รตนจงฺกมํ มาเปตฺวา ตตฺถ จงฺกมนฺโต ธมมฺ ํ เทเสส.ิ เสดจ็ จงกรมอยู่ (บนที่เป็นที่จงกรม) นนั้ ทรงแสดงแล้ว ซง่ึ ธรรม เพื่อประโยชน์แก่อนั ท�ำลาย ซงึ่ มานะ ของพระญาติ ท. ฯ 30 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.พระญาติ ท. มีจิตอันเลื่อมใสแล้ว ถวายบังคมแล้ว กระท�ำ ญาตโย ปสนฺนจิตฺตา สทุ ฺโธทนมหาราชํ อาทึ กตฺวา ซงึ่ พระราชาผ้ใู หญ่พระนามวา่ สทุ โธทนะ ให้เป็นต้น ฯ วนฺทสึ .ุ อ.ฝนโบกขรพรรษ ตกแล้ว ในสมาคมแหง่ พระญาติ นนั้ ฯ ตสฺมึ ญาตสิ มาคเม โปกฺขรวสสฺ ํ วสสฺ .ิ ครัน้ เม่ือวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว อนั มหาชน ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ตํ อารพฺภ มหาชเนน กถาย ญสมาฏุตฺฐสิ ามปาิ ตคาเมย ปรารภ (ซึ่งฝนโบกขรพรรษ)นัน้ , (อ.พระศาสดา) ตรัสแล้ว ว่า “น ภิกฺขเว อิทาเนว, ปพุ ฺเพปิ มยฺหํ ดกู ่อนภิกษุ ท. (อ.ฝนโบกขรพรรษ ยอ่ มตก) ในกาลนีน้ น่ั เทียว โปกฺขรวสฺสํ วสฺสเิ ยวาติ วตฺวา เวสฺสนฺตรชาตกํ กเถส.ิ หามิได้, อ.ฝนโบรขรพรรษ ตกแล้ว ในสมาคมแห่งพระญาติ ของเรา นนั่ เทยี ว แม้ในกาลกอ่ น ดงั นี ้ ตรสั แล้ว ซงึ่ เวสสนั ดรชาดก ฯ ในพระญาติ ท. ผู้ ทรงสดบั แลว้ ซงึ่ พระธรรมเทศนา เสดจ็ หลกี ไปอยู่ ธมมฺ เทสนํ สตุ ฺวา ปกฺกมนฺเตสุ ญาตีสุ เอโกปิ หนา (อ.พระญาต)ิ แม้พระองคห์ นง่ึ ไมท่ ลู นมิ นตแ์ ล้ว ซงึ่ พระศาสดา ฯ สตฺถารํ น นิมนฺเตส.ิ แม้ อ.พระราชา ไมท่ รงนิมนต์แล้ว (ด้วยอนั ทรงด�ำริ) วา่ อ.ลกู ราชาปิ “มยฺหํ ปตุ ฺโต มม เคหํ อนาคนฺตฺวา กหํ ของเรา ไมม่ าแล้ว สเู่ รือน ของเรา จกั ไป (ในที่) ไหน ดงั นี ้ เทียว คมิสฺสตีติ อนิมนฺเตตฺวาว อคมาส;ิ คนฺตฺวา จ ปน เคเห ได้ เสด็จไปแล้ ว; ก็แล (อ.พระราชา) ครัน้ เสด็จไปแล้ ว วีสตยิ า ภิกฺขสุ หสสฺ านํ ยาคอุ าทีนิ ปฏิยาทาเปตฺวา (ทรงยงั ราชบรุ ุษ) ให้ตระเตรียมแล้ว (ซงึ่ วตั ถุ ท.) มีข้าวต้ม เป็ นต้ น อาสนานิ ปญฺญาเปส.ิ (ทรงยังราชบุรุษ) ให้ ปูลาดแล้ว ซึ่งอาสนะ ท. เพ่ือพนั แหง่ - ภิกษุ ท. ๒๐ ในวงั ฯ ในวนั รุ่งขนึ ้ อ.พระศาสดา เสดจ็ เข้าไปอยู่ สนู่ คร เพ่ือบณิ ฑะ ปนุ ทิวเส สตฺถา นครํ ปิ ณฺฑาย ปวสิ นฺโต ทรงร�ำพงึ อยู่ วา่ อ.พระพทุ ธเจ้าผ้ลู ว่ งไปแล้ว ท. เสดจ็ ถงึ แล้ว ซง่ึ นคร “กึ นุ โข อตีตพทุ ฺธา ปิ ตุ นครํ ปตฺวา อชุ กุ เมว ญาตกิ ลุ ํ ของพระบดิ า เสดจ็ เข้าไปแล้ว สตู่ ระกลู แหง่ พระญาติ ตรงนนั่ เทียว ปวิสสึ ุ อทุ าหุ ปฏิปาฏิยา ปิ ณฺฑาย จรึสตู ิ อาวชฺชนฺโต หรือ หนอ แล หรือวา่ เสดจ็ เท่ียวไปแล้ว เพ่ือก้อนข้าว ตามลำ� ดบั “ปฏิปาฏิยา จรึสตู ิ ทิสฺวา ปฐมเคหโต ปฏฺ ฐาย ปิ ณฺฑาย ดงั นี ้ทรงเหน็ แล้ว วา่ (อ.พระพทุ ธเจ้าผ้ลู ว่ งไปแล้ว ท.) เสดจ็ ไปแล้ว จรนฺโต ปายาส.ิ ตามลำ� ดบั ดงั นี ้ ได้เสดจ็ ออกเท่ียวไปอยแู่ ล้ว เพื่อก้อนข้าว จ�ำเดมิ แตเ่ รือนหลงั แรก ฯ อ.พระมารดาของพระกมุ ารพระนามวา่ ราหลุ ประทบั นงั่ แล้ว ราหลุ มาตา ปาสาทตเล นิสนิ ฺนาว ทิสฺวา ตํ บนพืน้ แหง่ ปราสาท เทียว ทรงเหน็ แล้ว กราบทลู แล้ว ซงึ่ ความเป็น ปวตฺตึ รญฺโญ อาโรเจส.ิ ไปทว่ั นนั้ แก่พระราชา ฯ อ.พระราชา ทรงตงั้ ไว้ด้วยดีอยู่ ซงึ่ ผ้าสาฏก เสดจ็ ออกไปแล้ว ราชา สาฏกํ สณฺฐเปนฺโต เวเคน นิกฺขมิตฺวา โดยเร็ว ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า แน่ะ สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อาห “ปตุ ฺต กสฺมา มํ นาเสส?ิ ลูก (อ.พระองค์) ทรงยงั ข้าพเจ้า ให้ฉิบหายแล้ว เพราะเหตไุ ร ? อตวิ ยิ เม ปิ ณฺฑาย จรนฺเตน ลชฺชา อปุ ปฺ าทิตา, อ.ความละอาย (อนั พระองค์) ผ้เู สดจ็ เท่ียวไปอยู่ เพื่อก้อนข้าวให้ อยตุ ฺตํ นาม เต กตํ, อิมสมฺ เึ ยว นคเร สวุ ณฺณสวิ กิ าทีหิ เกดิ ขนึ ้ แลว้ แกข่ า้ พเจา้ เกนิ เปรยี บ, (อ.กรรม) ชอ่ื อนั ไมค่ วรแลว้ อนั พระองค์ จ“นริตาหฺวานฺตปํ ิ ณมหฺฑาารยาชจรลิตชํฺุชาวเฏปฺฏมติ,ิ; กึ มํ ลชฺชาเปสตี ิ. ทรงกระทำ� แล้ว, อ.อนั (อนั พระองค)์ เสดจ็ เทยี่ วไปแล้ว (ด้วยยาน ท.) อตฺตโน ปน กลุ วํสํ มวี ออนั เป็นวกิ ารแหง่ ทองเป็นต้น เสดจ็ เทยี่ วไป เพอ่ื ก้อนข้าว ในนคร อนวุ ตฺตามีต.ิ นนี ้ นั่ เทยี ว ยอ่ มควร, (อ.พระองค)์ ทรงยงั ข้าพเจ้า ให้ละอายแล้ว ทำ� ไม ดงั นี ้(อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร อ.อาตมาภาพ ยังพระองค์ ย่อมให้ ละอาย หามิได้ , แต่ว่า อ.อาตมภาพ ยอ่ มประพฤตติ าม ซง่ึ วงศ์แหง่ ตระกลู ของตน ดงั นี ้ ฯ ผลติ สื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 31 www.kalyanamitra.org

(อ.พระราชา ตรัสถามแล้ว) วา่ แนะ่ พอ่ ก็ อ.อนั เที่ยวไปแล้ว “กึ ปน ตาต ปิ ณฺฑาย จริตฺวา ชีวนํ มม วํโสต.ิ เพ่ือบณิ ฑะ เป็นอยู่ เป็นวงศ์ ของเรา (ยอ่ มเป็น) หรือ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนมหาบพิตร (อ.วงศ์) นนั่ “เนโส มหาราช ตว วํโส, มม ปเนโส วํโส; เป็นวงศ์ ของพระองค์ (ยอ่ มเป็น) หามไิ ด้, แตว่ า่ (อ.วงศ)์ นน่ั เป็นวงศ์ อเนกานิ หิ พทุ ฺธสหสสฺ านิ ปิ ณฺฑาย จริตฺวาว ของอาตมภาพ (ยอ่ มเป็น); เพราะวา่ อ.พนั แหง่ พระพทุ ธเจ้า ท. ชีวสึ ตู ิ วตฺวา ธมมฺ ํ เทเสนฺโต อิมา คาถา อภาสิ มิใชห่ นง่ึ เสดจ็ เท่ียวไปแล้ว เพ่ือก้อนข้าว เทียว ทรงเป็นอยแู่ ล้ว ดงั นี ้เมื่อทรงแสดง ซง่ึ ธรรม ได้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา ท. เหลา่ นี ้วา่ (อ.บรรพชิต) ไม่พึงประมาท (ในก้อนข้าว) “ อธตุมฺตฺมิฏจฺ าเฐรี นปปฺ มชฺเชยฺย, ธมฺมํ สจุ ริตํ จเร, อนั ตนพึงลุกข้ึนยืนรับ, พึงประพฤติ ซ่ึงธรรม สขุ ํ เสติ อสฺมึ โลเก ปรมฺหิ จ, ให้เป็ นธรรมอนั ตนประพฤติดีแล้ว (อ.บุคคล) ธมฺมํ จเร สจุ ริตํ น ตํ ทจุ ฺจริตํ จเร, ผูป้ ระพฤติซึ่งธรรมโดยปกติ ย่อมอยู่ สบาย ในโลก ธมฺมจารี สขุ ํ เสติ อสมฺ ึ โลเก ปรมฺหิ จาติ. นี้ ดว้ ย (ในโลก) อืน่ ดว้ ย, (อ.บคุ คล) พงึ ประพฤติ ซึ่งธรรม ให้เป็ นธรรมอนั ตนประพฤติดีแล้ว ไม่พึงประพฤติ (ซึ่งธรรม) นน้ั ให้เป็ นธรรมอนั ตนประพฤติชวั่ แล้ว, (อ.บุคคล) ผู้ประพฤติซ่ึงธรรมโดยปกติ ย่อมอยู่ สบาย ในโลก นี้ ด้วย (ในโลก) อื่น ด้วย ดงั นี้ ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ในก้อนข้าว (อนั ตน) พงึ ลกุ ขนึ ้ แล้ว ยืนแล้ว ฐตฺวาตตคฺถเหต“อพุตฺพตฺ ปฏิิ ณฺ เฐฺเฑต.:ิ อฏุ ฺฐหิตฺวา ปเรสํ ฆรทฺวาเร ณ ประตแู หง่ เรือน (ของชน ท.) เหลา่ อ่ืน รับ (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ว(แา่ )หง่กบ็ (ทอ).วภา่กิ ษอ)ุุตยตฺ งัฏิ วฺ เตั ฐรแดหงั ง่นภี ้กิ ฯษผุ ้มู อี นั เทยี่ วไปเพอ่ื ก้อน (อ.อรรถ นปปฺ มชเฺ ชยยฺ าต:ิ ปิณฑฺ จาริกวตตฺ ํหิปริหาเปตวฺ า ข้าวเป็นปกติ ให้เสอ่ื มรอบแล้ว แสวงหาอยู่ ซงึ่ โภชนะอนั ประณีต ท. ปณีตโภชนานิ ปริเยสนฺโต อปตุ นฺตฏิ ฺนเฐปปฺปมมชชฺชฺชตติิ นาม, ชื่อวา่ ยอ่ มประมาท (ในก้อนข้าว) อนั ตนพงึ ลกุ ขนึ ้ ยืนรับ, แตว่ า่ สปทานํ ปิ ณฺฑาย จรนฺโต นาม. (อ.ภิกษุ) เท่ียวไปอยู่ เพื่อก้อนข้าว ตามล�ำดบั ตรอก ช่ือวา่ เอวํ กโรนฺโต อตุ ฺตฏิ ฺเฐ นปปฺ มชฺเชยฺย. ยอ่ มไมป่ ระมาท ฯ (อ.ภกิ ษ)ุ กระทำ� อยู่ อยา่ งนี ้ ชอ่ื วา่ ไมพ่ งึ ประมาท (ในก้ อนข้ าว) อันตนพึงลุกขึน้ ยืนรับ (ดังนี ้ แห่งบท)ว่า นปปฺ มชเฺ ชยยฺ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.ภกิ ษุ) เมอื่ ละแล้ว ซง่ึ การแสวงหาอนั ไมส่ มควร ธมมฺ นฺต:ิ อเนสนํ ปหาย สปทานํ จรนฺโต ตเมว เที่ยวไป ตามลำ� ดบั ตรอก ชื่อวา่ พงึ ประพฤติ ซง่ึ ธรรม คือการเที่ยว ภิกฺขาจริยธมมฺ ํ สจุ ริตํ จเรยฺย. ไปเพื่อภิกษา นนั้ นน่ั เทียว ให้เป็นธรรมอนั ตนประพฤตดิ ีแล้ว (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ ธมมฺ ํ ดงั นี ้ ฯ (อ.ค�ำ) วา่ สุขํ เสติ ดงั นี ้นนั่ เป็นค�ำสกั วา่ เทศนา (ยอ่ มเป็น), สุขํ เสตตี ิ เทสนามตฺตเมตํ: “ภิกฺขาจริยธมมฺ ํ อ.อธิบาย วา่ (อ.ภิกษุ) ประพฤตอิ ยู่ ซงึ่ ธรรมคือการเที่ยวไป จรนฺโต ธมมฺ จารี อิธ โลเก จ ปรโลเก จ จตหู ิปิ เพื่อภิกษา ช่ือวา่ ผ้ปู ระพฤตซิ ง่ึ ธรรมโดยปกติ ยอ่ มอยู่ สบาย อิริยาปเถหิ สขุ ํ วิหรตีติ อตฺโถ. ด้วยอิริยาบถ ท. แม้ ๔ ในโลก นี ้ ด้วย ในโลกอ่ืน ด้วย ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ (อ.อรรถ วา่ ) (อ.ภิกษุ) เท่ียวไปอยู่ ในอโคจร อนั ตา่ งด้วยอโคจร น ตํ ทจุ จฺ ริตนฺต:ิ เวสยิ าทิเภเท อโคจเร มีหญิงแพศยาเป็นต้น ช่ือวา่ ยอ่ มประพฤตซิ ง่ึ ธรรมคือการเท่ียวไป จรนฺโต ภิกฺขาจริยธมมฺ ํ ทจุ ฺจริตํ จรติ นาม. เอวํ เพื่อภิกษา ให้ เป็ นธรรมอันตนประพฤติชั่วแล้ว ฯ อ.ภิกษุ อจริตฺวา ตํ ธมมฺ ํ จเร สจุ ริตํ, น ตํ ทจุ ฺจริตํ จเร. ไมป่ ระพฤตแิ ล้ว อยา่ งนนั้ พงึ ประพฤติ ซง่ึ ธรรม นนั้ ให้เป็นธรรม- อนั ตนประพฤตดิ ีแล้ว, ไมพ่ งึ ประพฤติ (ซงึ่ ธรรม)นนั้ ให้เป็นธรรม- อันตนประพฤติช่ัวแล้ว (ดังนี ้ แห่งหมวดสองแห่งบท) ว่า น ตํ ทจุ จฺ ริตํ ดงั นี ้ฯ (อ.ค�ำ) อนั เหลือ เป็นค�ำมีเนือ้ ความ (อนั ข้าพเจ้า) กลา่ วแล้ว เสสํ วตุ ฺตตฺถเมว. นน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น) ฯ 32 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พระราชา ทรงตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน ราชา โสตาปตฺตผิ เล ปตฏิ ฺฐหิ. ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระเทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจา- สมปฺ ตฺตานํปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหสีต.ิ มีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระราชาพระนามว่าสุทโธทนะ สุทโฺ ธทนวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๓. อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้มีปัญญาเป็ นเคร่ืองเหน็ แจ้ง ๓.วปิ สสฺ กภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยถา พุพพฺ ุฬกํ ปสเฺ สติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ ภิกษู ท. ผ้มู ีปัญญาเป็นเคร่ืองเหน็ แจ้ง มีร้อยห้าเป็นประมาณ เชตวเน วหิ รนฺโต ปญฺจสเต วิปสสฺ เก ภิกฺขู อารพฺภ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ ยถา พุพพฺ ุฬกํ ปสฺเส ดงั นี ้ กเถส.ิ เป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ เรียนเอาแล้ว ซงึ่ กมั มฏั ฐาน เต กิร สตฺถุ สนฺตเิ ก กอมปมฺปฺ ฏตฺฐฺตาวนเิ สํ คสเาหต“ฺววาิเสอเรสญตฺวฺญาํ ในส�ำนกั ของพระศาสดา เข้าไปแล้ว สปู่ ่ า แม้พยายามอยู่ ปวสิ ติ ฺวา วายมนฺตาปิ ผ้มู คี ณุ วเิ ศษอนั ไมบ่ รรลแุ ลว้ (ปรกึ ษากนั แลว้ ) วา่ (อ.เรา ท.) จกั เรยี นเอา อกนมฺตมฺ รฏาฺฐมาคนฺเํ คคมเหรสีจฺสึ ทามิสฺวาาติ สตฺถุ สนฺตกิ ํ อาคจฺฉนฺตา ซงึ่ กมั มฎั ฐาน ให้วเิ ศษ ดงั นี ้ มาอยู่ สสู่ ำ� นกั ของพระศาสดา เหน็ แล้ว อาคมสึ .ุ มรีจิกมมฺ ฏฺฐานํ ภาเวนฺตาว ซงึ่ พยบั แดด ในระหวา่ งแหง่ หนทาง มา ยงั มรีจิกมั มฏั ฐาน ให้เจริญ อยเู่ ทียว แล้ว ฯ อ.ฝน ตกแล้ว ในขณะ (แหง่ ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ เข้าไปแล้ว พตตพุ ฺถฺพเฬุตปเสมกํ เุ วขหิสทาุ ิสรฐํฺวตปาฺววาิฏ“ฺธฐอากยรฺขํปาเิเณวเเอคยตนวฺตเอภทฏุาโฺโฐววหวิตสฺวอสฺ าปุ .ิ ปฺภเตชิชฺชฺชติตนตฺวฺเตฺถา สวู่ ิหาร นน่ั เทียว ฯ (อ.ภิกษุ ท.) เหลา่ นนั้ ยืนแล้ว ที่หน้ามขุ ท. (ในท)่ี นนั้ ๆเหน็ แล้วซงึ่ ฟองนำ� ้ ท.อนั ตงั้ ขนึ ้ แล้วด้วยความเรว็ แหง่ สายนำ� ้ แตกไปอยู่ ถือเอาแล้ว (กระท�ำ) ให้เป็นอารมณ์ (ด้วยมนสกิ าร) วา่ ภิชฺชนตฺเถน พพุ ฺพฬุ สทิโสเยวาติ อารมมฺ ณํ คณฺหสึ .ุ อ.อตั ภาพ แม้นี ้ เป็นเชน่ กบั ด้วยฟองน�ำ้ นน่ั เทียว เพราะอรรถวา่ เกิดขนึ ้ แล้ว แตกไป (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ผู้ ประทบั นงั่ แล้ว ในพระคนั ธกฎุ ี เทยี ว ทรงแลดแู ล้ว สตฺถา คนฺธกฏุ ิยํ นิสนิ ฺโนว เต ภิกฺขู โอโลเกตฺวา ซง่ึ ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ราวกะวา่ ตรัสอยู่ กบั (ด้วยภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ เตหิ สทฺธึ กเถนฺโต วิย โอภาสํ ผริตฺวา อิมํ คาถมาห ทรงแผไ่ ปแล้ว ซง่ึ พระรัศมี ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.บคุ คล) พึงเห็น ซึ่งฟองน�้ำ ฉนั ใด, “ยถา พพุ พฺ ฬุ กํ ปสฺเส, ยถา ปสเฺ ส มรีจิกํ, (อ.บคุ คล) พึงเห็น ซ่ึงพยบั แดด ฉนั ใด, เอวํ โลกํ อเวกฺขนตฺ ํ มจฺจรุ าชา น ปสฺสตีติ. อ.มจั จผุ ูพ้ ระราชา ย่อมไม่เห็น (ซ่ึงบคุ คล) ผูพ้ ิจารณาเห็นอยู่ ซึ่งโลก ฉนั นน้ั ดงั นี้ ฯ ผลติ ส่ือการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 33 www.kalyanamitra.org

(อ.อรรถ วา่ ) ซง่ึ พยบั แดด (ดงั นี ้ ในบท ท.) เหลา่ นนั้ หนา ตตฺถ “มรีจกิ นฺต:ิ มายํ. (แหง่ บท) วา่ มรีจกิ ํ ดงั นี ้ฯ ก็ อ.พยบั แดด แม้ปรากฏแล้ว ด้วยสามารถแหง่ สณั ฐานมสี ณั ฐาน อปุ คมจฺฉายนาฺตาหนิ ทํ รู อโตควยฺหเคปุ หคสาณฺฐราิตนฺตากทติวจุเสฺฉนกาอวปุ , ฏฺฐตติ สาฺมปาิ แห่งเรือนเป็ นต้น แต่ที่ไกลเทียว เป็ นธรรมชาติเข้าถึงซึ่งความ เป็ นของอนั บคุ คลไม่พึงถือเอา เป็ นธรรมชาติว่างและเปล่าเทียว “ยถา อปุ ปฺ ชชฺ ติ วฺ า ภชิ ชฺ นตเฺ ถน พพุ พฺ ฬุ ก,ํ ริตตฺ ตจุ ฉฺ าท-ิ (ยอ่ มมี แก่ ชน ท.) ผ้ไู ปใกล้อย,ู่ เพราะเหตนุ นั้ อ.อธิบาย วา่ ภาเวน มายํ ปสฺเสยฺย, เอวํ ขนฺธาทิโลกํ อเวกฺขนฺตํ (อ.บคุ คล พงึ เหน็ ) ซงึ่ ฟองน�ำ้ เพราะอรรถวา่ เกิดขนึ ้ แล้ว แตกไป มจฺจรุ าชา น ปสสฺ ตีติ อตฺโถ. (ฉนั ใด), (อ.บคุ คล) พงึ เหน็ ซง่ึ พยบั แดด เพราะความที่ (แหง่ พยบั แดดนนั้ ) เป็ นธรรมชาติมีธรรมชาติว่างและเปล่าเป็ นต้ น (ฉันใด), อ.มจั จผุ ้พู ระราชา ยอ่ มไมเ่ หน็ (ซงึ่ บคุ คล) ผ้พู ิจารณาอยู่ ซงึ่ โลกมี ขนั ธ์เป็นต้น ฉนั นนั้ ดงั นี ้(อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน เต ภิกฺขู ติ ฏฺฐาเนเยว อรหตฺตํ ซงึ่ พระอรหตั ในท่ี (แหง่ ตน) ยืนแล้ว นน่ั เทียว ดงั นีแ้ ล ฯ ปาปณุ สึ ตู ิ. อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุผู้มีปัญญาเป็ นเคร่ืองเหน็ แจ้ง วปิ สสฺ กภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. จบแล้ว ฯ ๔. อ.เร่ืองแ(อหัน่งขพ้ารพะเรจา้าชกจุมะการลพ่าวร)ะนฯามว่าอภยั ๔. อภยราชกุมารวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเวฬวุ นั ทรงปรารภ “เอถ ปสฺสถมิ ํ โลกนฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ พระราชกมุ ารพระนามว่าอภยั ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา เวฬวุ เน วิหรนฺโต อภยราชกมุ ารํ อารพฺภ กเถส.ิ นี ้วา่ เอถ ปสสฺ ถมิ ํ โลกํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยินวา่ (เมื่อพระกมุ าร) นนั้ ทรงยงั ประเทศอนั เป็นที่สดุ ตสฺส กิร ปจฺจนฺตํ วปู สเมตฺวา อาคตสสฺ ปิ ตา เฉพาะ ให้เข้าไปสงบวเิ ศษแล้ว เสดจ็ มาแล้ว, อ.พระเจ้าพิมพิสาร พิมพฺ ิสาโร ตสุ ติ ฺวา เอกํ นจฺจคีตกสุ ลํ นาฏกิตฺถึ ผ้เู ป็นพระบดิ า ทรงยินดีแล้ว พระราชทานแล้ว ซงึ่ หญิงนกั ฟ้ อน ทตฺวา สตฺตาหํ รชฺชมทาส.ิ ผู้ฉลาดในการฟ้ อนและการขับ คนหนึ่ง ได้พระราชทานแล้ว ซง่ึ ความเป็นแหง่ พระราชา ตลอดวนั ๗ ฯ (อ.พระกมุ าร) นนั้ ไมเ่ สดจ็ ออกไปแล้ว ในภายนอก จากเรือน โส สตฺตาหํ เคหา พหิ อนิกฺขนฺโตว รชฺชสริ ึ ตลอดวนั ๗ เทียว ทรงเสวยแล้ว ซง่ึ สริ ิในความเป็นแหง่ พระราชา ออยนุ ฺยภุ าวนติ ํฺวาปอวฏิสฺฐติ เฺวมา ทิวเส นทีตติ ฺถํ คนฺตฺวา นหาตฺวา เสดจ็ ไปแล้ว สทู่ า่ แหง่ น�ำ้ ในวนั ที่ ๘ ทรงสนานแล้ว เสดจ็ เข้าไปแล้ว สนฺตตมิ หามตฺโต วยิ ตสฺสา สอู่ ทุ ยาน ประทบั นง่ั ทอดพระเนตรอยู่ แล้ว ซง่ึ การฟ้ อนและการขบั อิตฺถิยา นจฺจคีตํ ปสฺสนฺโต นิสที ิ. แหง่ หญิง นนั้ ราวกะ อ.มหาอ�ำมาตย์ชื่อวา่ สนั ตติ ฯ ในขณะนนั้ นนั่ เทียว (อ.หญิง) แม้นนั้ ได้กระท�ำแล้ว ซงึ่ กาละ สาปิ ตํขณํเยว สนฺตตมิ หามตฺตสสฺ นาฏกิตฺถี ด้วยสามารถ แหง่ ลมมพี ษิ เพยี งดงั ศสั ตรา ท. ราวกะ อ.หญงิ นกั ฟ้ อน วิย สตฺถกวาตานํ วเสน กาลมกาส.ิ ของมหาอ�ำมาตย์ชื่อวา่ สนั ตติ ฯ อ.พระกมุ าร มีความโศกอนั เกิดขึน้ แล้ว เพราะการกระท�ำ กุมาโร ตสฺสา กาลกิริยาย อุปฺปนฺนโสโก ซงึ่ กาละ (แหง่ หญิง) นนั้ (ทรงด�ำริแล้ว) วา่ (อ.บคุ คล)อื่น เว้น “น เม อมิ ํ โสกํ ฐเปตวฺ า สตถฺ ารํ อญโฺ ญ นพิ พฺ าเปตํุ ซงึ่ พระศาสดา จกั อาจ เพอ่ื อนั ยงั ความโศก นี ้ แหง่ เรา ให้ดบั หามไิ ด้ สกฺขิสสฺ ตีติ สตฺถารํ อปุ สงฺกมิตฺวา “ภนฺเต โสกํ ดงั นี ้เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระศาสดา กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองค์- เม นิพฺพาเปถาติ อาห. ผ้เู จริญ (อ.พระองค์ ท.) ขอจง ทรงยงั ความโศก แหง่ หมอ่ มฉนั ให้ดบั ดงั นี ้ฯ 34 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.พระศาสดา (ทรงยงั พระกมุ าร) นนั้ ให้เบาพระทยั แล้ว ตรสั แล้ว วา่ สตฺถา ตํ สมสฺสาเสตฺวา “ตยา หิ กมุ าร อิมิสฺสา ดกู ่อนพระกมุ าร ก็ อ.ประมาณ แหง่ น�ำ้ ตา ท. อนั (อนั พระองค์) อติ ถฺ ยิ า เอวเมว มตกาเล โรทนเฺ ตน ปวตตฺ ติ านํ อสสฺ นู ํ ผ้กู นั แสงอยู่ ทรงให้เป็นไปทว่ั แล้ว ในกาล แหง่ หญิง นี ้ ตายแล้ว อนมตคเฺ ค สสํ าเร ปมาณํ นตถฺ ตี ิ วตวฺ า ตาย เทสนาย อย่างนีน้ ่ันเทียว ย่อมไม่มี ในสงสาร มีท่ีสุดและเบือ้ งต้ น โสกสสฺ ตนภุ าวํ ญตฺวา “กมุ าร มา โสจิ, พาลชนานํ อนั บคุ คลแม้ผ้ไู ปตามอยไู่ มร่ ู้แล้ว ดงั นี ้ ทรงทราบแล้ว ซง่ึ ความที่- สํสีทนฏฺฐานเมตนฺติ วตฺวา อิมํ คาถมาห แหง่ ความโศก เป็นสภาพเบาบาง ด้วยเทศนา นนั้ ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนพระกมุ าร (อ.พระองค์) อยา่ ทรงเศร้าโศกแล้ว, (อ.ที่) นน่ั เป็นที่จมลงด้วยดี แหง่ ชนพาล ท. (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ (อ.ท่าน ท.) จงมา จงดู ซ่ึงโลก นี้ อนั งดงาม “เอถ ปสสฺ ถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถูปมํ, อนั มีราชรถเป็นเครื่องเปรียบ เถิด, อ.ชนพาล ท. ยตฺถ พาลา วิสีทนตฺ ิ, นตฺถิ สงฺโค วิชานตนตฺ ิ. ย่อมจมลง (ในอตั ภาพ)ใด อ.กิเลสเป็นเครื่องขอ้ ง (ในอตั ภาพนนั้ ) ยอ่ มไมม่ ี (แก่ชน ท.) ผรู้ ู้แจง้ อยู่ ดงั นี้ ฯ (อ.พระศาสดา) ตรัสแล้ว วา่ เอถ ปสสฺ ถ ดงั นี ้(ในพระคาถา) ตตฺถ “เอถ ปสสฺ ถาติ ราชกมุ ารเมว สนฺธายาห. นนั้ ทรงหมายเอา ซง่ึ พระราชกมุ ารนนั่ เทียว ฯ (อ.อรรถ วา่ ) ซงึ่ อตั ภาพนี ้ คือวา่ อนั บณั ฑิตนบั พร้อมแล้ว วา่ อมิ ํ โลกนฺต:ิ อิมํ ขนฺธโลกาทิสงฺขาตํ อตฺตภาวํ. โลกมีขนั ธโลกเป็นต้น (ดงั นี ้ แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ อมิ ํ โลกํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อนั งดงามด้วยเคร่ืองประดบั มีเครื่องประดบั คือ จติ ตฺ นฺต:ิ สตฺตรตนาทิวจิ ิตฺตํ ราชรถํ วยิ วตฺถา- ผ้าเป็นต้น ราวกะวา่ ราชรถ อนั งดงามด้วยเครื่องประดบั มีรัตนะ ๗ ลงฺการาทิวิจิตฺตํ. เป็นต้น (ดงั นี ้แหง่ บท) วา่ จติ ตฺ ํ ดงั นี ้ฯ (อ.อรรถ วา่ ) อ.ชนพาล ท. นนั่ เทียว ยอ่ มจมลงตา่ ง ในอตั ภาพ ยตถฺ พาลาต:ิ ยสมฺ ึ อตตฺ ภาเว พาลา เอว วสิ ที นตฺ .ิ ใด (ดงั นี ้แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ยตถฺ พาลา ดงั นี ้ฯ อ.อรรถ วา่ แตว่ า่ (ในกิเลสเป็นเคร่ืองข้อง ท.) มีกิเลสเป็นเคร่ือง วชิ านตนฺต:ิ วชิ านนฺตานํ ปน ปณฺฑิตานํ เอตฺถ ข้องคือราคะเป็นต้นหนา อ.กิเลสเป็นเครื่องข้อง แม้อยา่ งหนง่ึ ราคสงฺคาทีสุ เอโกปิ สงฺโค นตฺถีติ อตฺโถ. (ในอตั ภาพ)นี ้ยอ่ มไมม่ ี (แก่ชน ท.) ผ้รู ู้แจ้งอยู่ คือวา่ ผ้เู ป็นบณั ฑิต ดงั นี ้(แหง่ บท) วา่ วชิ านตํ ดงั นี ้ฯ ในกาลเป็นที่สดุ ลงแหง่ เทศนา อ.พระราชกมุ าร ทรงตงั้ อยู่ เทสนาวสาเน ราชกมุ าโร โสตาปตตฺ ผิ เล ปตฏิ ฺฐห.ิ เฉพาะแล้ว ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระธรรมเทศนา เป็นเทศนา เป็น สมปฺ ตตฺ านปํ ิ สาตถฺ กิ า ธมมฺ เทสนา อโหสตี .ิ ไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ ได้มีแล้ว (แก่ชน ท.) แม้ผ้ถู งึ พร้อมแล้ว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระราชกุมารพระนามว่าอภยั อภยราชกุมารวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลิตสือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม วัดพระธรรมกาย 35 www.kalyanamitra.org

๕. อ.เร่ือ(องแันหข่ง้าพพรเจะ้เาถจระะกช่ลือ่าวว่า)สฯัมมัชชนะ ๕. สมมฺ ชชฺ นตเฺ ถรวตถฺ ุ. อ.พระศาสดา เม่ือประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “โย จ ปุพเฺ พ ปมชชฺ ติ วฺ าติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซงึ่ พระเถระช่ือวา่ สมั มชั ชนะ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วิหรนฺโต สมมฺ ชฺชนตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ โย จ ปุพเฺ พ ปมชชฺ ติ วฺ า ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ได้ยนิ วา่ อ.พระเถระชอ่ื วา่ สมั มชั ชนะ ไมก่ ระทำ� แล้ว ซง่ึ เวลา วา่ โส กิร “ปาโต วา สายํ วาติ เวลํ ปมาณํ อกตฺวา ในเวลาเช้า หรือ หรือว่า ในเวลาเย็น ดังนี ้ ให้เป็ นประมาณ อภิกฺขณํ สมมฺ ชฺชนฺโต วิจรต.ิ ยอ่ มเท่ียวกวาดอยู่ เนือง ๆ ฯ ในวนั หนงึ่ (อ.พระเถระชอ่ื วา่ สมั มชั ชนะ) นนั้ ถอื เอา ซงึ่ ไม้กวาด นิสนิ โฺนสสสฺ เอกเทรวิวตสตํ ฺเถสรมสมฺ สฺ ชฺชนสึ นคฺตเกิหํ ตฺวคานฺตทฺวิวาาฏฺฐ“าอเนยํ ไปแล้ว สสู่ ำ� นกั ของพระเถระช่ือวา่ เรวตะ ผ้นู ง่ั แล้ว ในที่พกั ในเวลากลางวนั กลา่ วแล้ว วา่ (อ.พระเถระ) นี ้ เป็นผ้เู กยี จคร้านใหญ่ มหากสุ ีโต, ชนสฺส สทฺธาเทยฺยํ ภญุ ฺชิตฺวา อาคนฺตฺวา (ยอ่ มเป็น), (อ.พระเถระ) นี ้ฉนั แล้ว (ซงึ่ โภชนะ) อนั บคุ คลพงึ ถวาย นิสีทต;ิ กินฺนาเมตสฺส สมมฺ ชฺชนึ คเหตฺวา เอกํ ด้วยศรั ทธา ของชน มาแล้ว ยอ่ มนงั่ ; อ.อนั (อนั พระเถระ) นน่ั ถอื เอา ฐานํ สมมฺ ชฺชิตํุ น วฏฺฏตีติ อาห. แล้ว ซง่ึ ไม้กวาด กวาด ซง่ึ ท่ี แหง่ หนง่ึ ยอ่ มไมค่ วร ช่ือ หรือ ดงั นี ้ฯ อ.พระเถระ คดิ แล้ว วา่ (อ.เรา) จกั ให้ ซง่ึ โอวาท (แก่ภิกษุ) นนั้ เถโร “โอวาทมสฺส ทสฺสามีติ จินฺเตตฺวา ดงั นี ้ กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ (อ.ทา่ น) จงมา ดงั นี ้ ฯ “เอหาวุโสติ อาห. “กึ ภนฺเตติ. “คจฺฉ, นหาตฺวา (อ.พระเถระ ถามแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ อ.อะไร ดงั นี ้ ฯ เอหีต.ิ โส ตถา อกาส.ิ (อ.พระเถระ กลา่ วแล้ว) วา่ (อ.ทา่ น) จงไป, (อ.ทา่ น) อาบแล้ว จงมา ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระ) นนั้ ได้กระท�ำแล้ว อยา่ งนนั้ ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระเถระ (ยงั พระเถระชอ่ื วา่ สมั มชั ชนะ)นนั้ ให้นง่ั แล้ว อถ นํ เถโร เอกมนฺตํ นิสที าเปตฺวา โอวทนฺโต ณ ท่ีสดุ แหง่ หนงึ่ เม่ือกลา่ วสอน กลา่ วแล้ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ อาห “อาวโุ ส ภิกฺขนุ า นาม น สพฺพกาลํ สมมฺ ชฺชนฺเตน อ.อนั ชื่อ อนั ภิกษุ เที่ยวไป เป็นผ้กู วาดอยู่ ตลอดกาลทงั้ ปวง (เป็น) วจจิริรติตฺวํุ าวฏฺฏปติ ณ,ิ ฺปฑาปโตาเตอปวฺปปฏนิกฺกสนมฺเมฺ ตชนฺชิตฺวาอาปคิ ณนฺฺฑตฺาวยา ยอ่ มไมค่ วร, ก็ อ.อนั (อนั ภิกษุ) กวาดแล้ว ในเวลาเช้านนั่ เทียว ออรสตตฏชุ ตฺฺฺฌฺตฐฏิาโาฺนยฐยาปิตเิ สนฺวนมาวามฺ ามอชทตฺชโวฺติิตอาภํุกฏาวาฺฐเฏโวาสฺฏเนขตกย,ิวาวาตยนพนํิจปสิฺโฺจพนิฏกตฺเฺฐาน.ิเลปนํ ตอฺวทสาวฺ มตสมฺ ตฺ าชสึ ยฺชาณิตกฺวฺาเหารํ เท่ียวไปแล้ว เพ่ือก้อนข้าว ผ้กู ้าวกลบั แล้วจากบณิ ฑบาต ผู้ มาแล้ว นง่ั แล้ว ในท่ีเป็นท่ีพกั ในเวลากลางคืน หรือ หรือวา่ ในท่ีเป็นที่พกั ในเวลากลางวัน สาธยายแล้ว ซึ่งอาการ ๓๒ เริ่มตัง้ แล้ว ซง่ึ ความสนิ ้ ไปและความเส่ือมไป ในอตั ภาพ ลกุ ขนึ ้ แล้ว กวาด ในเวลาเยน็ แหง่ วนั ยอ่ มควร, อ.โอกาส (อนั ภิกษ)ุ ไมก่ วาดแล้ว ตลอดกาลเนืองนิตย์ พงึ กระท�ำ ช่ือ แม้แก่ตน ดงั นี ้ฯ (อ.พระเถระชอ่ื วา่ สมั มชั ชนะ) นนั้ ตงั้ อยแู่ ล้ว ในโอวาท ของพระเถระ โส เถรสสฺ โอวาเท ฐตฺวา น จิรสฺเสว อรหตฺตํ บรรลแุ ล้ว ซงึ่ พระอรหตั ตอ่ กาลไมน่ านนน่ั เทียว ฯ อ.ที่ นนั้ นนั้ ปาปณุ ิ. ตํ ตํ ฐานํ อกุ ฺกลาปํ อโหส.ิ เป็นท่ีมีหยากเยื่อหนาขนึ ้ แล้ว ได้เป็นแล้ว ฯ ครงั้ นนั้ อ.ภกิ ษุ ท. กลา่ วแล้ว (กะพระเถระชอ่ื วา่ สมั มชั ชนะ) นนั้ วา่ อถ นํ ภิกฺขู อาหํสุ “อาวโุ ส สมมฺ ชฺชนตฺเถร ตํ ดกู ่อนสมั มชั ชนะเถระ ผ้มู ีอายุ อ.ท่ี นนั้ นนั้ เป็นที่มีหยากเยื่อหนา ตํ ฐานํ อกุ ฺกลาปํ กสฺมา น สมมฺ ชฺชสีต.ิ “ภนฺเต มยา ขนึ ้ แล้ว (ยอ่ มเป็น), อ.ทา่ น ยอ่ มไมก่ วาด เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ ปมาทกาเล เอวํ กตํ, อิทานิมหฺ ิ อปปฺ มตฺโตต.ิ (อ.พระเถระชื่อวา่ สมั มชั ชนะ กลา่ วแล้ว) วา่ ข้าแตท่ า่ นผ้เู จริญ (อ.กรรม) อยา่ งนี ้ อนั กระผม กระท�ำแล้ว ในกาลเป็นที่ประมาท, ในกาลนี ้(อ.กระผม) เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ ฯ 36 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.ภิกษุ ท. กราบทูลแล้ว แก่พระศาสดาว่า (อ.พระเถระ) นี ้ ภิกฺขู “อยํ เถโร อญฺญํ พฺยากโรตีติ สตฺถุ อาโรเจส.ํุ ยอ่ มพยากรณ์ ซงึ่ พระอรหตั อนั บคุ คลพงึ รู้ยิ่ง ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. เออ (อ.อยา่ งนนั้ ), สตฺถา “อาม ภิกฺขเว, มม ปตุ ฺโต ปพุ ฺเพ อ.บตุ ร ของเรา เทย่ี วกวาดอยแู่ ล้ว ในกาลเป็นทปี่ ระมาท ในกาลกอ่ น, ปมาทกาเล สมมฺ ชชฺ นโฺ ต วจิ ริ, อทิ านิ ปน มคคฺ ผลสเุ ขน แตว่ า่ ในกาลนี ้ (อ.บตุ ร ของเรา ยงั กาล) ให้น้อมไปลว่ งวิเศษอยู่ วีตนิ าเมนฺโต น สมมฺ ชฺชตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ด้วยสขุ อนั บงั เกิดแล้วแตม่ รรคและผล ยอ่ มไมก่ วาด ดงั นี ้ ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ ก็ (อ.บคุ คล) นนั้ ใด ประมาทแลว้ ในกาลก่อน “โย จ ปพุ เฺ พ ปมชฺชิตฺวา ปจฺฉา โส นปปฺ มชฺชติ, ย่อมไม่ประมาท ในภายหลงั , (อ.บคุ คล) นน้ั โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ ฺโตว จนทฺ ิมาติ. ยงั โลก นี้ ย่อมให้สว่าง เพียงดงั อ.พระจนั ทร์ อนั พน้ แลว้ จากหมอก (ยงั โอกาสโลก ใหส้ ว่างอยู่) ดงั นี้ ฯ อ.เนือ้ ความ (แหง่ ค�ำอนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ อ.บคุ คล ใด ตสฺสตฺโถ “โย ปคุ ฺคโล ปพุ ฺเพ วตฺตปปฺ ฏิวตฺต- ประมาทแล้ว ด้วยการกระท�ำซง่ึ วตั รและวตั รตอบ หรือ หรือวา่ กรเณน วา สชฺฌายาทีหิ วา ปมชฺชิตฺวา ปจฺฉา (ด้วยกิจ ท.) มีการสาธยายเป็นต้น ในกาลก่อน (ยงั กาล) ให้น้อม มคคฺ ผลสเุ ขน วตี นิ าเมนโฺ ต นปปฺ มชชฺ ต,ิ โส อพภฺ าทหี ิ ไปลว่ งวิเศษอยู่ ด้วยสขุ อนั บงั เกิดแล้วแตม่ รรคและผล ชื่อวา่ มตุ ฺโต จนฺโท วยิ โอกาสโลกํ มคฺคญฺ ญาเณน อิมํ ยอ่ มไมป่ ระมาท ในภายหลงั , (อ.บคุ คล) นนั้ ยงั โลกมีขนั ธ์เป็นต้น นี ้ ขนฺธาทิโลกํ โอภาเสติ เอกาโลกํ กโรตีต.ิ ยอ่ มให้สวา่ งคอื วา่ ยอ่ มกระทำ� ให้เป็นโลกมีแสงสวา่ งอยา่ งเดยี วกนั ด้วยมรรคญาณ ราวกะ อ.พระจนั ทร์ อนั พ้นแล้ว (จากมลทิน ท.) มีหมอกเป็นต้น ยงั โอกาสโลก (ให้สวา่ งอย)ู่ ดงั นี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็ นที่สุดลงแห่งเทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตตฺ ผิ ลาทนี ิ ปาปณุ สึ ตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าสัมมัชชนะ สมมฺ ชชฺ นตเฺ ถรวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๖. อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าองคุลีมาล ๖. องคฺ ุลิมาลตเฺ ถรวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เมื่อประทบั อยู่ ในพระเชตวนั ทรงปรารภ “ยสสฺ ปาปํ กตํ กมมฺ นฺติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซง่ึ พระเถระชื่อวา่ องคลุ ีมาล ตรัสแล้ว ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้ วา่ เชตวเน วิหรนฺโต องฺคลุ มิ าลตฺเถรํ อารพฺภ กเถส.ิ ยสสฺ ปาปํ กตํ กมมฺ ํ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ อ.เรื่อง (อนั บณั ฑิต) พงึ ทราบ ด้วยสามารถแหง่ องคลุ ีมาลสตู ร วตฺถุ องฺคลุ มิ าลสตุ ฺตวเสเนว เวทิตพฺพํ. เถโร ปน นน่ั เทยี ว ฯ ก็ อ.พระเถระ บวชแล้ว ในสำ� นกั ของพระศาสดา บรรลแุ ล้ว สตฺถุ สนฺติเก ปพฺพชิตฺวา อรหตฺตํ ปาปณุ ิ. ซง่ึ พระอรหตั ฯ ครัง้ นนั้ แล อ.พระองคลุ ีมาล ผ้มู ีอายุ ผ้ไู ปแล้วในที่ลบั ผ้หู ลีก อถโข อายสมฺ า องฺคลุ มิ าโล รโหคโต ปฏิสลลฺ ีโน เร้ นแล้ว เสวยแล้ว ซึ่งสุขอันบังเกิดแล้วแต่วิมุตติ เปล่งแล้ว วมิ ตุ ฺตสิ ขุ ํ ปฏิสํเวทิ, ตายํ เวลายํ อิมํ อทุ านํ อทุ าเนสิ ซงึ่ อทุ านนี ้ในเวลา นนั้ วา่ ผลิตสอ่ื การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยัติธรรม วัดพระธรรมกาย 37 www.kalyanamitra.org

ก็ (อ.บุคคล) นนั้ ใด ประมาทแล้ว ในกาลก่อน “โย จ ปพุ เฺ พ ปมชฺชิตฺวา ปจฺฉา โส นปปฺ มชฺชติ, ย่อมไม่ประมาท ในภายหลงั , (อ.บคุ คล) นน้ั ยงั โลก นี้ โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ ฺโตว จนทฺ ิมาติ. ยอ่ มใหส้ วา่ ง เพยี งดงั อ.พระจนั ทร์ อนั พน้ แลว้ จากหมอก (ยงั โอกาสโลก ใหส้ ว่างอยู่) ดงั นี้ ฯ (อ.พระเถระชื่อวา่ องคลุ มี าลนนั้ ) ครัน้ เปลง่ แล้ว ซง่ึ อทุ าน (โดยนยั [อาทินา นเยน] อทุ านํ อทุ าเนตฺวา อนปุ าทิเสสาย อนั เป็นต้น) ปรินิพพานแล้ว ด้วยนิพพานธาตุ อนั เป็นอนปุ าทิเสส ฯ นิพฺพานธาตยุ า ปรินิพฺพายิ. อ.ภิกษุ ท. ยงั วาจาเป็นเครื่องกลา่ ว วา่ ดกู ่อนทา่ นผ้มู ีอายุ ท. ภิกฺขู “กหํ นุ โข อาวุโส เถโร อุปฺปนฺโนติ อ.พระเถระ เกดิ ขนึ ้ แล้ว (ในท)ี่ ไหน หนอ แล ดงั นี ้ ให้ตงั้ ขนึ ้ พร้อมแล้ว ธมมฺ สภายํ กถํ สมฏุ ฺฐาเปส.ํุ ในโรงเป็นที่กลา่ วกบั ด้วยการแสดงซงึ่ ธรรม ฯ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ตรัสถามแล้ว วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. สตฺถา อาคนฺตฺวา “กาย นตุ ฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ (อ.เธอ ท.) เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว ด้วยวาจาเป็นเครื่องกลา่ ว อะไร กถาย สนนฺ สิ นิ นฺ าติ ปจุ ฉฺ ติ วฺ า, “ภนเฺ ต องคฺ ลุ มิ าลตเฺ ถรสสฺ หนอ ยอ่ มมี ในกาลนี ้ ดงั นี,้ (ครัน้ เม่ือค�ำ)วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ มนิพมฺพตปฺตตุ ฏฺโฺตฐาตน,ิ กถ“ภานยฺเาตติ วตุ ฺเต, “ปรินิพฺพโุ ต ภิกฺขเว (อ.ข้าพระองค์ท.เป็นผ้นู ง่ั พร้อมกนั แล้ว)ด้วยวาจาเป็นเคร่ืองกลา่ ว เอตฺตเก มนสุ เฺ ส มาเรตฺวา ซง่ึ ท่ี แหง่ พระเถระชื่อวา่ องคลุ ีมาล บงั เกิดแล้ว (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ ปรินิพฺพโุ ตต,ิ “อาม ภิกฺขเว, โส หิ ปพุ ฺเพ เอกํ (อนั ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ) กราบทลู แล้ว, (ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนภิกษุ ท. กลฺยาณมิตฺตํ อลภิตฺวา เอตฺตกํ ปาปมกาสิ, อ.บตุ ร ของเรา ปรินิพพานแล้ว ดงั นี ้ ฯ (ครัน้ เมื่อค�ำ) วา่ ปจฺฉา ปน กลฺยาณมิตฺตํ ปจฺจยํ ลภิตฺวา อปปฺ มตฺโต ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พระเถระชื่อวา่ องคลุ ีมาล ยงั มนษุ ย์ ท. อโหส;ิ เตนสสฺ ตํ ปาปกมมฺ ํ กสุ เลน ปหีนนฺติ มปี ระมาณเทา่ นี ้ให้ตายแล้ว ปรินพิ พานแล้ว หรือ ดงั นี ้(อนั ภกิ ษุ ท. วตฺวา อิมํ คาถมาห เหล่านัน้ กราบทูลแล้ว), ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนภิกษุ ท. เออ (อ.อยา่ งนนั้ ) เพราะวา่ ในกาลกอ่ น (อ.บตุ ร ของเรา นนั้ ) ไมไ่ ด้แล้ว ซึ่งกัลยาณมิตร คนหน่ึง ได้กระท�ำแล้ว ซึ่งกรรมอันลามก มีประมาณเทา่ นี,้ แตว่ า่ ในภายหลงั (อ.บตุ ร ของเรา นนั้ ) ได้แล้ว ซงึ่ กลั ยาณมิตร ผ้เู ป็นปัจจยั เป็นผ้ไู มป่ ระมาทแล้ว ได้เป็นแล้ว, เพราะเหตนุ นั้ อ.กรรมอนั ลามกนนั้ (อนั บตุ ร ของเรา)นนั้ ละได้แล้ว ด้วยกศุ ล ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซง่ึ พระคาถา นี ้วา่ อ.กรรม อนั ลามก อนั (อนั ตน) กระท�ำแล้ว (อนั บุคคล)ใด “ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ กสุ เลน ปหียติ, ย่อมละได้ ดว้ ยกศุ ล, (อ.บคุ คล) นนั้ ยงั โลกนี้ ย่อมใหส้ ว่าง โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพภฺ า มตุ โฺ ตว จนทฺ ิมาติ. เพียงดงั อ.พระจนั ทร์ อนั พน้ แลว้ จากหมอก (ยงั โอกาสโลก ใหส้ ว่างอยู่) ดงั นี้ ฯ (อ.บท)วา่ กสุ เลนดงั นี(้ ในพระคาถา)นนั้ (อนั พระผ้มู พี ระภาคเจ้า) ตตฺถ กุสเลนาติ อรหตฺตมคฺคํ สนฺธาย วตุ ฺตํ. ตรัสแล้ว ทรงหมายเอา ซงึ่ อรหตั มรรค ฯ (อ.ค�ำ) อนั เหลอื เป็นค�ำ เสสํ อตุ ฺตานตฺถเมว. มีเนือ้ ความงา่ ยนน่ั เทียว (ยอ่ มเป็น) ฯ ในกาลเป็ นที่สุดลงแห่งเทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลุแล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซงึ่ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งพระเถระช่ือว่าองคุลีมาล องคฺ ุลิมาลตเฺ ถรวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ 38 ธรรมบทภาคท่ี ๖ สองภาษา แปลโดยพยัญชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

๗. อ.เร่ืองแห่งธิดาของบุคคลผู้กระทำ� ซ่งึ หกู ๗. เปสการธีตุวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) ฯ อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในเจดีย์ช่ือว่าอัคคาฬวะ “อนฺธภโู ต อยํ โลโกติ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ทรงปรารภ ซง่ึ ธิดาของบคุ คลผ้กู ระท�ำซง่ึ หกู คนหนงึ่ ตรัสแล้ว อคฺคาฬเว เจตเิ ย วหิ รนฺโต เอกํ เปสการธีตรํ อารพฺภ ซงึ่ พระธรรมเทศนา นี ้วา่ อนฺธภโู ต อยํ โลโก ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ กเถส.ิ ดงั จะกลา่ วโดยพสิ ดาร ในวนั หนงึ่ (อ.ชน ท.) ผ้อู ยใู่ นเมอื งชอ่ื วา่ เอกทิวสํ หิ อาฬวีวาสโิ น สตฺถริ อาฬวึ สมปฺ ตฺเต อาฬวีโดยปกติ ครัน้ เม่ือพระศาสดา เสดจ็ ถงึ พร้อมแล้ว ซงึ่ เมืองชื่อ นิมนฺเตตฺวา ทานํ อทํส.ุ วา่ อาฬวี ทลู นิมนต์แล้ว ได้ถวาย ซงึ่ ทาน ฯ อ.พระศาสดา เมื่อทรงกระท�ำ ซงึ่ การอนโุ มทนา ในกาลเป็น- สตฺถา ภตฺตกิจฺจาวสาเน อนโุ มทนํ กโรนฺโต ทสี่ ดุ ลงแหง่ กจิ ด้วยภตั ร ตรสั แล้ว วา่ (อ.ทา่ น ท.) ยงั มรณสติ จงให้เจรญิ “อทฺธวุ ํ เม ชีวติ ํ, ธวุ ํ เม มรณํ, อวสฺสํ มยา มริตพฺพํ, อยา่ งนี ้ วา่ อ.ชีวติ ของเรา ไมย่ งั่ ยืน, อ.ความตาย ของเรา ยงั่ ยืน, มรณปริโยสานํ เม ชีวิตํ, ชีวิตํ เม อนิยตํ, มรณํ อนั เรา พงึ ตาย แนแ่ ท้, อ.ชีวิต ของเรา มีมรณะเป็นที่สดุ ลงรอบ, นิยตนฺติ เอวํ มรณสสฺ ตึ ภาเวถ; เยสํ หิ มรณํ อภาวิตํ, อ.ชีวิต ของเรา ไมเ่ ท่ียงแล้ว, อ.ความตาย (ของเรา) เท่ียงแล้ว ดงั นี,้ เต ปจฺฉิเม กาเล อาสีวิสํ ทิสฺวา ภีตปรุ ิโส วิย สนฺตาสํ ก็ อ.ความตาย (อนั ชน ท.) เหลา่ ใด ไมใ่ ห้เจริญแล้ว (อ.ชน ท.) เหลา่ ปตฺตา เภรวํ รวนฺตา กาลํ กโรนฺต;ิ เยสํ ปน มรณํ นนั้ ถงึ แล้ว ซงึ่ ความสะด้งุ ด้วยดี ร้องอยู่ ร้องด้วยความกลวั ยอ่ ม ภาวิตํ, เต ทรู โตว อาสวี ิสํ ทิสวฺ า ทณฺฑเกน คเหตฺวา กระท�ำซง่ึ กาละราวกะอ.บรุ ุษผ้เู หน็ แล้วซงึ่ อสรพิษกลวั แล้วในกาล ฉฑฺเฑตฺวา ติ ปรุ ิโส วยิ ปจฺฉิเม กาเล น สนฺตสนฺต;ิ ตสฺ อนั มใี นภายหลงั ,สว่ นวา่ อ.ความตาย(อนั ชนท.)เหลา่ ใดให้เจริญแล้ว, มา มรณสสฺ ติ ภาเวตพฺพาติ อาห. (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ ย่อมไม่สะด้งุ ด้วยดี ในกาลอนั มีในภาย หลงั ราวกะ อ.บรุ ุษ ผู้ เหน็ แล้ว ซงึ่ อสรพิษ แตท่ ี่ไกลเทียว จบั แล้ว ด้วยทอ่ นไม้ ทงิ ้ แล้ว ยนื แล้ว, เพราะเหตนุ นั้ อ.ความตาย (อนั ทา่ น ท.) พงึ ให้เจริญ ดงั นี ้ฯ อ.ชนผู้เหลืองลง ท. ฟังแล้ว ซึ่งพระธรรมเทศนา นัน้ ตํ ธมมฺ เทสนํ สตุ ฺวา อวเสสชนา สกิจฺจปปฺ สตุ าว เป็นผ้ขู วนขวายแล้วในกิจอนั เป็นของตนเทียว ได้เป็นแล้ว ฯ อเหส.ํุ ก็ อ.ธิดาของบคุ คลผ้กู ระท�ำซงึ่ หกู ผ้อู นั บคุ คลพงึ แสดงขนึ ้ วา่ เอกา ปน โสฬสวสฺสทุ ฺเทสกิ า เปสการธีตา “อโห มกี าลฝน ๑๖ คนหนงึ่ (คดิ แล้ว) วา่ โอ! ชอ่ื อ.พระวาจาเป็นเครอ่ื งกลา่ ว พทุ ฺธานํ กถา นาม อจฺฉริยา, มยา มรณสฺสตึ ภาเวตํุ ของพระพทุ ธเจ้า ท. เป็นพระวาจานา่ อศั จรรย์ (ยอ่ มเป็น), อ.อนั วฏฺฏตีติ รตฺตินฺทิวํ มรณสสฺ ตเิ มว ภาเวต.ิ อนั เรา ยงั มรณสติ ให้เจริญ ยอ่ มควร ดงั นี ้ ยงั มรณสตนิ น่ั เทียว ยอ่ มให้เจริญ ตลอดคืนและวนั ฯ แม้ อ.พระศาสดา เสดจ็ ออกแล้ว (จากเมืองชื่อวา่ อาฬวี) นนั้ สตฺถาปิ ตโต นิกฺขมิตฺวา เชตวนํ อคมาส.ิ สาปิ ได้เสดจ็ ไปแล้ว สพู่ ระเชตวนั ฯ อ.กมุ าริกา แม้นนั้ ยงั มรณสติ กมุ าริกา ตีณิ วสฺสานิ มรณสฺสตึ ภาเวตเิ ยว. ยอ่ มให้เจริญ ตลอดปี ท. ๓ นนั่ เทียว ฯ ครัง้ นนั้ ในวนั หนงึ่ อ.พระศาสดา ทรงตรวจดอู ยู่ ซง่ึ โลก อเถกทิวสํ สตฺถา ปจฺจสู กาเล โลกํ โวโลเกนฺโต ในกาลอนั ขจดั เฉพาะซง่ึ มดื ทรงเหน็ แล้ว ซง่ึ กมุ าริกา นนั้ ผ้เู ข้าไปแล้ว ตํ กมุ าริกํ อตฺตโน ญาณชาลสฺส อนฺโต ปวฏิ ฺฐํ ทิสวฺ า ในภายใน แหง่ ขา่ ยคือพระญาณ ของพระองค์ ทรงใคร่ครวญอยู่ “กึ นุ โข ภวิสสฺ ตีติ อปุ ธาเรนฺโต วา่ อ.อะไร หนอ แล จกั มี ดงั นี ้ ผลิตสอ่ื การเรยี นรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ิธรรม วัดพระธรรมกาย 39 www.kalyanamitra.org

ทรงทราบแล้ว วา่ อ.มรณสติ อนั กมุ าริกา นี ้ให้เจริญแล้วสนิ ้ ปีท. จำ� เดมิ “อิมาย กมุ าริกาย มม ธมมฺ เทสนํ สตุ ทิวสโต แตว่ นั แหง่ ธรรมเทศนา ของเรา (อนั กมุ ารกิ า น)ี ้ ฟังแล้ว, ในกาลนี ้ อ.เรา ปตตฏฺฺถฐาย ตีณิ วสสฺ านิ มรณสฺสติ ภาวิตา, อิทานาหํ ไปแลว้ (ในท)ี่ นนั้ ถามแลว้ ซงึ่ ปัญหา ท. ๔ กะกมุ ารกิ า นี ้ (เมอื่ กมุ ารกิ า) คนฺตฺวา อิมํ กมุ าริกํ จตฺตาโร ปญฺเห นนั้ แก้อยู่ ให้แล้ว ซง่ึ สาธกุ าร ในฐานะ ท. ๔ จกั กลา่ ว ซงึ่ คาถา นี,้ ปจุ ฺฉิตฺวา ตาย วิสสฺ ชฺเชนฺตยิ า จตสู ุ ฐาเนสุ (อ.กมุ าริกา) นนั้ จกั ตงั้ อยเู่ ฉพาะ ในโสดาปัตตผิ ล ในกาลเป็นทสี่ ดุ ลง สาธกุ ารํ ทตฺวา อิมํ คาถํ ภาสสิ ฺสามิ, สา คาถาวสาเน แหง่ คาถา อ.เทศนา เป็นเทศนาเป็นไปกบั ด้วยวาจามีประโยชน์ สโสาตตาฺถปิกตาฺตผิ เทเลสนปาติฏฺภฐหวสิิสสฺฺสตตีต,ิ ติ ํญนิสตสฺฺวาาย มหาชนสฺสาปิ จกั มี แม้แกม่ หาชน เพราะอาศยั (ซงึ่ กมุ าริกา) นนั้ ดงั นี ้มภี กิ ษมุ รี ้อยห้า ปญฺจสตภิกฺข-ุ เป็นประมาณเป็นบรวิ าร เสดจ็ ออกแลว้ จากพระเชตวนั ได้เสดจ็ ไปแลว้ ปริวาโร เชตวนา นิกฺขมิตฺวา อนุปุพฺเพน สู่วิหารช่ือว่าอัคคฬวะ ตามล�ำดับ ฯ (อ.ชน ท.) ผู้อยู่ในเมือง อคฺคาฬววิหารํ อคมาสิ. อาฬวีวาสิโน “สตฺถา ช่ือวา่ อาฬวีโดยปกติ ฟังแล้ว วา่ อ.พระศาสดา เสดจ็ มาแล้ว ดงั นี ้ อาคโตติ สตุ ฺวา วิหารํ คนฺตฺวา นิมนฺตยสึ .ุ ไปแล้ว สวู่ หิ าร ทลู นิมนต์แล้ว ฯ อ.กมุ าริกา แม้นนั้ ฟังแล้ว ซง่ึ การเสดจ็ มา แหง่ พระศาสดา สาปิ กมุ าริกา สตฺถุ อาคมนํ สตุ ฺวา “อาคโต มีใจอนั ยินดีแล้ว วา่ ได้ยินวา่ อ.พระบดิ า ของเรา เสดจ็ มาแล้ว, กิร มยฺหํ ปิ ตา, โสปิ อาจริโย ปณุ ฺณจนฺทมโุ ข (อ.พระบดิ า) แม้นนั้ เป็นพระพทุ ธเจ้าผ้มู หาโคตมะ ผ้มู ีพระพกั ตร์ มสอโอิทวํหวจาาฺาฉนโคทริสาตฺสธนมมํ พฺมมสทุ ตํ วฺุโฺถธณโเตสกฺณิ ตสวํุตวุณฏุณลฺฺณฐภฺณมํิสาวฺนสณสสารฺโามีรณํ ีติ“สทอตฏจิโฺถตฺิฐนาํฺุเตทเมมสิฏธฺิ.ฐโุ ปรตชพุปณิ ญิฺโตพฺณฺจา,ํ เพยี งดงั พระจนั ทร์อนั เตม็ แล้ว ผ้เู ป็นอาจารย์ (ยอ่ มเป็น) ดงั น,ี ้ คดิ แล้ว วา่ อ.พระศาสดา มีวรรณะเพียงดงั วรรณะแหง่ ทอง เป็นผ้อู นั เรา เคยเหน็ แล้ว ในที่สดุ แหง่ ปี ท. ๓ (แตว่ นั ) นี ้ (ยอ่ มเป็น),ในกาลนี ้ (อ.เรา) จกั ได้ เพอื่ อนั เหน็ ซงึ่ พระสรีระ มวี รรณะเพยี งดงั วรรณะแหง่ ปนสสาฺ ตนฺตสาลํ คจฺฉนฺโต อาห “อมมฺ ปรสนฺตโก ทอง (ของพระศาสดา) นนั้ ด้วย, เพอื่ อนั ฟัง ซงึ่ ธรรมคอื โอวาท มโี อชะ เม สาฏโก อาโรปิ โต, ตสสฺ วิทตฺถิมตฺตํ อนิฏฐติ ํ; มรี สหวาน(ของพระศาสดานนั้ )ด้วยดงั น,ี ้ สว่ นวา่ อ.บดิ า(ของกมุ าริกา) อตาํ หอเชรยฺชฺยานสิฏีตฺฐ.ิ าเปสฺสามิ, สฆี ํ เม ตสรํ วฏฺเฏตฺวา นัน้ เมื่อไป สู่โรงแห่งหูก กล่าวแล้ว ว่า แน่ะแม่ อ.ผ้าสาฎก อนั เป็นของมีอยแู่ หง่ บคุ คลอื่น อนั เรา ยกขนึ ้ แล้ว, (อ.สว่ น) มีคืบ เป็นประมาณ(ของผ้าสาฎก)นนั้ ไมส่ ำ� เร็จแล้ว,(อ.เรา)(ยงั ผ้าสาฎก)นนั้ จกั ให้ส�ำเร็จ ในวนั นี,้ (อ.เจ้า) กรอแล้ว ซง่ึ หลอด พงึ น�ำมา แก่เรา พลนั ดงั นี ้ฯ (อ.กมุ าริกา) นนั้ คดิ แล้ว วา่ อ.เรา เป็นผ้ใู คร่เพอ่ื อนั ฟัง ซง่ึ ธรรม สา จินฺเตสิ “อหํ สตฺถุ ธมมฺ ํ โสตกุ ามา, ปิ ตา จ ของพระศาสดา (ยอ่ มเป็น), ก็ อ.บดิ า กลา่ วแล้ว อยา่ งนี ้ กะเรา; มํ เอวมาห; กึ นุ โข สตฺถุ ธมมฺ ํ สณุ ามิ อทุ าหุ ปิ ตุ (อ.เรา) จะฟัง ซึ่งธรรม ของพระศาสดา หรือ หนอแล หรือว่า ตสรํ วฏฺเฏตฺวา หรามีต.ิ (อ.เรา) กรอแล้ว ซง่ึ หลอด จะน�ำไป เพื่อบดิ า ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ (อ.ความคดิ ) นน่ั วา่ อ.บดิ า ครัน้ เมื่อหลอด (อนั เรา) อถสสฺ า เอตทโหสิ “ปิ ตา มํ ตสเร อนาหริยมาเน ไมน่ ำ� มาอยู่ พงึ โบย ซง่ึ เรา บ้าง พงึ ตี (ซงึ่ เรา) บ้าง, เพราะเหตนุ นั้ (อ.เรา) โปเถยฺยปิ ปหเรยฺยปิ ; ตสมฺ า ตสรํ ปวี ฐฏเฺกเฏตนฺวาิสที ติตสฺวสฺา กรอแล้ว ซง่ึ หลอด ให้แล้ว (แกบ่ ดิ า) นนั้ จกั ฟัง ซงึ่ ธรรม ในภายหลงั ทตฺวา ปจฺฉา ธมมฺ ํ โสสฺสามีติ ดงั นี ้ได้มแี ล้ว (แกก่ มุ าริกา) นนั้ ฯ (อ.กมุ าริกานนั้ ) นงั่ แล้ว บนตง่ั น้อย ตสรํ ควเฏหฺ เตฏฺวสา.ิ อาฬวีวาสโิ นปิ สตฺถารํ ปริวิสติ ฺวา กรอแล้ว ซง่ึ หลอด ฯ (อ.ชน ท.) แม้ผ้อู ยใู่ นเมอื งชอื่ วา่ อาฬวโี ดยปกติ ปตฺตํ อนโุ มทนตฺถาย อฏฺฐสํ .ุ องั คาสแล้ว ซงึ่ พระศาสดา รับแล้ว ซงึ่ บาตร ได้ยนื แล้ว เพอ่ื ต้องการ แก่การอนโุ มทนา ฯ 40 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

อ.พระศาสดา (ทรงดำ� ริแล้ว) วา่ อ.เรา อาศยั แล้ว ซง่ึ กลุ ธดิ า ใด สตฺถา “ยมหํ กลุ ธีตรํ นิสสฺ าย ตสึ โยชนมคฺคํ เป็นผ้มู าแล้ว สนิ ้ หนทางมีโยชน์ ๓๐ เป็นประมาณ (ยอ่ มเป็น), อาคโต, สา อชฺชาปิ โอกาสํ น ลภต,ิ ตาย โอกาเส แม้ในวนั นี ้ (อ.กลุ ธิดา) นนั้ ยอ่ มไมไ่ ด้ ซง่ึ โอกาส, ครัน้ เม่ือโอกาส ลทฺเธ อนโุ มทนํ กริสสฺ ามีติ ตณุ ฺหีภโู ต นิสที ิ. เอวํ (อนั กลุ ธิดา) นนั้ ได้แล้ว (อ.เรา) จกั กระท�ำ ซง่ึ การอนโุ มทนา ดงั นี ้ ตณุ ฺหีภตู ํ ปน สตฺถารํ สเทวเก โลเก โกจิ กิญฺจิ วตฺตํุ ผ้ทู รงเป็นผ้นู ิ่งเป็นแล้ว ประทบั นง่ั แล้ว ฯ ก็ อ.ใคร ๆ ในโลก อนั เป็น น วสิ หต.ิ ไปกบั ด้วยเทวโลก ยอ่ มไมอ่ าจ เพ่ืออนั กราบทลู ซงึ่ ค�ำ อะไร ๆ กะพระศาสดา ผ้ทู รงเป็นผ้นู ิ่งเป็นแล้ว อยา่ งนี ้ฯ อ.กมุ าริกา แม้นนั้ แล กรอแล้ว ซงึ่ หลอด วางไว้แล้ว ในกระเช้า สาปิ โข คกจมุ ฺฉามริกานาาตสปรรํ ิวสฏปฺเรฏิยตนฺวฺตาํ ปจฺฉิยํ ฐเปตฺวา ไปอยู่ สู่ส�ำนัก ของบิดา ถึงแล้ว ซึ่งที่สุดรอบแห่งบริษัท ได้ไป ปิ ตุ สนฺตกิ ํ ปตฺวา สตฺถารํ แลดอู ยู่ ซง่ึ พระศาสดา เทียว แล้ว ฯ โอโลกยมานาว อคมาส.ิ แม้ อ.พระศาสดา ทรงยกขนึ ้ แล้ว ซง่ึ พระศอ ทรงแลดแู ล้ว สตฺถาปิ คีวํ อุกฺขิปิ ตฺวา ตํ โอโลเกสิ. สาปิ (ซงึ่ กมุ าริกา)นนั้ ฯ (อ.กมุ าริกา) แม้นนั้ ได้รู้แล้ววา่ อ.พระ โอโลกิตากาเรเนว อญฺญาสิ “สตฺถา เอวรูปาย ปริสาย ศาสดา ประทบั นงั่ แล้ว ในทา่ มกลาง แหง่ บริษทั มี อยา่ งนเี ้ป็นรูป มชฺเฌ นิสีทิตฺวา มํ โอโลเกนฺโต มมาคมนํ ปจฺจาสสึ ติ, ทรงดแู ลอยู่ ซง่ึ เรา ย่อมทรงหวังเฉพาะ ซึ่งการมา แห่งเรา, อตฺตโน สนฺตกิ ํ อาคมนเมว ปจฺจาสสึ ตีต.ิ ย่อมทรงหวังเฉพาะ ซง่ึ การมา สสู่ ำ� นกั ของพระองค์ นนั่ เทียว ดงั นี ้ ด้วยอาการ (อนั พระศาสดา) ทรงแลดอู ยนู่ น่ั เทยี ว ฯ (อ.กมุ าริกา) นนั้ วางไว้แล้ว ซงึ่ กระเช้าแหง่ หลอด ได้ไปแล้ว สา ตสรปจฺฉึ ฐเปตฺวา สตฺถุ สนฺตกิ ํ อคมาส.ิ สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา ฯ (อ.อนั ถาม) วา่ ก็ อ.พระศาสดา ทรงแล “กสมฺ า ปน ตํ สตฺถา โอโลเกสตี .ิ เอวํ กิรสสฺ อโหสิ ดแู ล้ว (ซงึ่ กมุ าริกา) นนั้ เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ฯ (อ.อนั แก้) วา่ ได้ยินวา่ “เอสา เอตฺโตว คจฺฉมานา ปถุ ชุ ฺชนกาลกิริยํ กตฺวา (อ.ความคดิ ) อยา่ งนี ้วา่ (อ.กมุ ารกิ า) นน่ั ไปอยู่ จากทน่ี ี ้เทยี ว กระทำ� แลว้ อนยิ ตคตกิ า ภวสิ สฺ ต,ิ มม สนตฺ กิ ํ อาคนตฺ วฺ า คจฉฺ มานา กระทำ� ซงึ่ กาละแหง่ ปถุ ชุ น เป็นผ้มู คี ตไิ มเ่ ทย่ี งแล้ว จกั เป็น, แตว่ า่ ปน โสตาปตฺตผิ ลํ ปตฺวา นิยตคตกิ า หตุ ฺวา ตสุ ติ - (อ.กมุ าริกา นน่ั ) มาแล้ว สสู่ �ำนกั ของเรา เมื่อไป บรรลแุ ล้ว วิมาเน นิพฺพตฺตสิ สฺ ตีต.ิ ซงึ่ โสดาปัตติผล เป็นผ้มู ีคตอิ นั เที่ยงแล้ว เป็น จกั บงั เกิด ในวมิ าน ช่ือวา่ ดสุ ติ ดงั นี ้ ได้มีแล้ว (แก่พระศาสดา) นนั้ (เพราะเหตนุ นั้ อ.พระศาสดา ทรงแลดแู ล้ว ซงึ่ กมุ าริกานนั้ ดงั นี)้ ฯ ได้ยนิ วา่ ในวนั นนั้ ชอ่ื อ.ความพ้น จากความตาย (แหง่ กมุ าริกา) ตสฺสา กิร ตํทิวสํ มรณโต มตุ ฺติ นาม นตฺถิ. นนั้ ยอ่ มไมม่ ี ฯ (อ.กมุ าริกา) นนั้ เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระศาสดา สา โอโลกิตสญฺญาเณเนว สตฺถารํ อุปสงฺกมิตฺวา ด้วยสญั ญาณ (อนั พระศาสดา) ทรงแลดแู ล้วนน่ั เทียว เข้าไปแล้ว ฉพฺพณฺณรํสนี ํ อนฺตรํ ปวิสติ ฺวา วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ สรู่ ะหวา่ ง แหง่ พระรัศมีมีวรรณะ ๖ ท. ถวายบงั คม ได้ยืนแล้ว อฏฺ ฐาส.ิ ณ ท่ีสดุ แหง่ หนง่ึ ฯ อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว วา่ ดกู ่อนกมุ าริกา (อ.เธอ) ยอ่ มมา ตถารูปาย ปริสาย มชฺเฌ นิสที ิตฺวา ตณุ ฺหีภตู ํ (แตท่ ่ี) ไหน ดงั นี ้ (กะกมุ าริกา) นนั้ ในขณะ (แหง่ กมุ าริกานนั้ ) สตถฺ ารํ วนทฺ ติ วฺ า ติ กขฺ เณเยว ตํ สตถฺ า อาห “กมุ าริเก ถวายบงั คมแล้ว ซง่ึ พระศาสดา ผู้ ประทบั นงั่ แล้ว ในทา่ มกลาง กโุ ต อาคจฺฉสีต.ิ “น ชานามิ ภนฺเตต.ิ “กตฺถ คมิสสฺ สตี ิ. แหง่ บริษทั มอี ยา่ งนนั้ เป็นรูป ทรงเป็นผ้นู ง่ิ เป็นแล้ว ยนื แล้ว นน่ั เทยี ว ฯ “น ชานามิ ภนฺเตต.ิ “น ชานาสตี .ิ “ชานามิ ภนฺเตติ. (อ.กมุ าริกา กราบทลู แล้ว)วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) “ชานาสีต.ิ “น ชานามิ ภนฺเตต.ิ ยอ่ มไมร่ ู้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว) วา่ (อ.เธอ) จกั ไป (ในท)ี่ ไหน ดงั นฯี ้ (อ.กมุ าริกา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มไมร่ ู้ ดงั นี ้ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว) วา่ อ.เธอ ยอ่ มไมร่ ู้ หรือ ดงั นีฯ้ (อ.กมุ าริกา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ ผ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มรู้ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรสั ถามแล้ว) วา่ (อ.เธอ) ย่อมรู้ หรือ ดังนี ้ ฯ (อ.กุมาริกา กราบทูลแล้ว) ว่า ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มไมร่ ู้ ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ตรัสถามแล้ว ซงึ่ ปัญหา ท. ๔ (กะกมุ าริกา) นนั้ อิติ ตํ สตฺถา จตฺตาโร ปญฺเห ปจุ ฺฉิ. ด้วยประการฉะนี ้ฯ ผลติ สื่อการเรียนรู้ โดยโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรม วดั พระธรรมกาย 41 www.kalyanamitra.org

อ.มหาชน ยกโทษแล้ว วา่ ดกู อ่ นทา่ นผ้เู จริญ ท. (อ.ทา่ น ท.) จงดเู ถดิ , มหาชโน อชุ ฺฌายิ “อมโฺ ภ ปสฺสถ, อยํ เปสการธีตา อ.ธิดาของบคุ คลผ้กู ระท�ำซง่ึ หกู นี ้ กลา่ วแล้ว (ซงึ่ ค�ำ อนั ตน) สมมฺ าสมพฺ ทุ ฺเธน สทฺธึ อิจฺฉิตจิ ฺฉิตํ กเถส;ิ นนุ นาม ทัง้ ปรารถนาแล้ว ๆ กับ ด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า; (ครัน้ เมื่อ อิมาย `กโุ ต อาคจฺฉสีติ วตุ ฺเต `เปสการเคหโตติ พระดำ� รสั ) วา่ (อ.เธอ) ยอ่ มมา (แตท่ )่ี ไหน ดงั นี ้(อนั พระศาสดา) ตรสั แลว้ วตฺตพฺพํ, `กหํ คจฺฉสีติ วตุ ฺเต `เปสการสาลนฺติ (อ.ค�ำ) วา่ (อ.หมอ่ มฉนั ยอ่ มมา) แตเ่ รือน ของบคุ คลผ้กู ระท�ำซง่ึ หกู วตฺตพฺพํ สยิ าต.ิ ดงั นี ้ เป็นค�ำ (อนั กมุ าริกา) นี ้ พงึ กลา่ ว (พงึ เป็น), (ครัน้ เม่ือค�ำ) วา่ (อ.เธอ) จะไป (ในท่ี) ไหน ดงั นี ้(อนั พระศาสดา) ตรัสแล้ว (อ.ค�ำ) วา่ (อ.หมอ่ มฉนั จะไป) สโู่ รงของบคุ คลผ้กู ระท�ำซงึ่ หกู ดงั นี ้เป็นค�ำ (อนั กมุ าริกานี)้ พงึ กลา่ ว พงึ เป็น ช่ือ มิใชห่ รือ ดงั นี ้ฯ อ.พระศาสดา ทรงกระทำ� แล้ว ซงึ่ มหาชน ให้เป็นผ้มู เี สยี งออกแล้ว สตฺถา มหาชนํ นิสฺสทฺทํ กตฺวา “กมุ าริเก ตฺวํ ตรสั ถามแล้ว วา่ ดกู อ่ นกมุ าริกา อ.เธอ (ครนั้ เมอื่ คำ� ) วา่ อ.เธอ ยอ่ มมา `กุโต อาคจฺฉสีติ วุตฺเต กสฺมา `น ชานามีติ (แตท่ )ี่ ไหน ดงั นี ้ (อนั เรา) กลา่ วแล้ว กลา่ วแล้ว วา่ (อ.หมอ่ มฉนั ) วเทสีติ ปจุ ฺฉิ. “ภนฺเต ตมุ ฺเห มม เปสการเคหโต ยอ่ มไมร่ ู้ ดงั นี ้ เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ ฯ (อ.กมุ าริกา กราบทลู แล้ว) วา่ อาคตภาวํ ชานาถ, `กโุ ต อาคตาสตี ิ ปจุ ฺฉนฺตา ปน ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พระองค์ ท. ยอ่ มทรงทราบ ซงึ่ ความที่- `กโุ ต อาคนฺตฺวา อิธ นิพฺพตฺตาสีติ ปจุ ฺฉถ, อหํ ปน แหง่ หมอ่ มฉนั เป็นผ้มู าแล้ว แตเ่ รือนของบคุ คลผ้กู ระทำ� ซงึ่ หกู , แตว่ า่ น ชานามิ `กโุ ต จ อาคนฺตฺวา อิธ นิพฺพตฺตมหฺ ีติ. (อ.พระองค์ท.)เมอ่ื ตรสั ถามวา่ (อ.เธอ)เป็นผ้มู าแล้ว(แตท่ )่ี ไหนยอ่ มเป็น ดงั นี ้ยอ่ มตรัสถาม วา่ (อ.เธอ) เป็นผู้ มาแล้ว (แตท่ ่ี) ไหน บงั เกิดแล้ว ในทน่ี ี ้ยอ่ มเป็น ดงั น,ี ้ แตว่ า่ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มไมร่ ู้วา่ ก็ (อ.หมอ่ มฉนั ) เป็นผู้ มาแล้ว (แตท่ )ี่ ไหน บงั เกดิ แล้ว (ในท)ี่ นี ้ยอ่ มเป็น (ดงั น)ี ้ ดงั นี ้ฯ ครัง้ นัน้ อ.พระศาสดา ประทานแล้ว ซึ่งสาธุการ ท่ี ๑ ว่า อถสสฺ า สตฺถา “สาธุ สาธุ กมุ าริเก, มยา ดกู อ่ นกมุ ารกิ า อ.ดลี ะ อ.ดลี ะ, อ.ปัญหา อนั เรา ถามแลว้ นนั่ เทยี ว อนั เธอ ปจุ ฺฉิตปญฺโหเยว ตยา วิสฺสชฺชิโตติ ปฐมํ สาธกุ ารํ แก้แล้ว ดงั นี ้ (แก่กมุ าริกา) นนั้ ตรัสถามแล้ว แม้ย่ิง วา่ (อ.เธอ) ผู้ ทตฺวา อตุ ฺตรึปิ ปจุ ฺฉิ “กตฺถ คมิสสฺ สตี ิ ปมฏุ ํ ฺฐตาสกรปสจฺมฺฉาึ (อนั เรา) ถามแล้ว วา่ อ.เธอ จกั ไป (ในที่) ไหน ดงั นี ้ กลา่ วแล้ว วา่ `น ชานามีติ วเทสีต.ิ “ภนฺเต ตมุ เฺ ห (อ.หมอ่ มฉนั )ยอ่ มไมร่ ู้ดงั นีเ้พราะเหตไุ รดงั นีฯ้ (อ.กมุ ารกิ ากราบทลู แลว้ )วา่ คเหตฺวา เปสการสาลํ คจฺฉนฺตึ ชานาถ, `อิโต ปน ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ อ.พระองค์ ท. ยอ่ มทรงทราบ ซง่ึ หมอ่ มฉนั คนฺตฺวา กตฺถ นิพฺพตฺตสิ สฺ สตี ิ ปจุ ฺฉถ, อหญฺจ อิโต ผ้ถู อื เอา ซง่ึ กระเช้าแหง่ หลอด ไปอยู่ สโู่ รงของบคุ คลผ้กู ระทำ� ซงึ่ หกู , จตุ า น ชานามิ `กตฺถ คนฺตฺวา นิพฺพตฺตสิ สฺ ามีติ. แตว่ า่ (อ.พระองค์ ท.) ยอ่ มตรัสถาม วา่ (อ.เธอ) ไปแล้ว (แตท่ ่ี)นี ้ จกั บงั เกิด (ในที่) ไหน ดงั นี,้ ก็ อ.หมอ่ มฉนั เคลอ่ื นแล้ว (จากท่ี) นี ้ ยอ่ มไมร่ ู้ วา่ (อ.เรา) ไปแล้ว จกั บงั เกิด (ในท่ี) ไหน (ดงั นี)้ ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ประทานแล้ว ซง่ึ สาธกุ าร ที่ ๒ วา่ อถสฺสา สตฺถา “มยา ปจุ ฺฉิตปญฺโหเยว ตยา อ.ปัญหา อนั เรา ถามแล้วนน่ั เทยี ว อนั เธอ แก้แล้ว ดงั นี ้ (แกก่ มุ าริกา) วสิ สฺ ชฺชิโตติ ทตุ ยิ ํ สาธกุ ารํ ทตฺวา อตุ ฺตรึปิ ปจุ ฺฉิ นนั้ ตรัสถามแล้ว แม้ยิ่ง วา่ (ครัน้ เม่ือความเป็น) อยา่ งนนั้ (มีอย)ู่ ““ภอถนฺเตกสมฺมมาม`รนณภชาานวเามสวีตชิ าปนฏุ าฺฐมาิ, `ชานามีติ วเทสีต.ิ (อ.เธอ) ผู้(อนั เรา)ถามแล้ววา่ (อ.เธอ)ยอ่ มไมร่ ู้ หรือดงั นี ก้ ลา่ วแล้ววา่ ตสฺมา เอวํ วเทมีติ. (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มรู้ ดงั นี ้เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ฯ (อ.กมุ ารกิ า กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มรู้ ซง่ึ ความเป็นคอื อนั ตาย แหง่ หมอ่ มฉนั นน่ั เทียว, เพราะเหตนุ นั้ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มกราบทลู อยา่ งนี ้ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ.พระศาสดา ทรงประทานแล้ว ซงึ่ สาธกุ าร ที่ ๓ วา่ อถสฺสา สตฺถา “มยา ปจุ ฺฉิตปญฺโหเยว ตยา อ.ปัญหา อนั เรา ถามแล้วนน่ั เทยี ว อนั เธอ แก้แล้ว ดงั นี ้ (แกก่ มุ าริกา) วิสฺสชฺชิโตติ ตตยิ ํ สาธกุ ารํ ทตฺวา อตุ ฺตรึปิ ปจุ ฺฉิ นนั้ ตรัสถามแล้ว แม้ยิ่ง วา่ (ครัน้ เม่ือความเป็นอยา่ งนนั้ ) (มีอย)ู่ “อถ กสมฺ า `ชานาสีติ ปฏุ ฺฐา `น ชานามีติ วเทสีต.ิ (อ.เธอ) ผู้ (อนั เรา) ถามแล้ว วา่ (อ.เธอ) ยอ่ มรู้ หรือ ดงั นี ้กลา่ วแล้ว วา่ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มไมร่ ู้ ดงั นี ้เพราะเหตไุ ร ดงั นี ้ฯ 42 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(อ.กมุ าริกา กราบทลู แล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.หมอ่ มฉนั ) “มม มรณภาวเมว ชานามิ ภนฺเต, `รตฺตนิ ฺทิว- ยอ่ มรู้ ซงึ่ ความเป็นคืออนั ตาย แหง่ หมอ่ มฉนั นนั่ เทียว, แตว่ า่ ปพุ ฺพณฺหาทีสุ ปน อสกุ กาเล นาม มริสฺสามีติ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มไมร่ ู้ วา่ อ.หมอ่ มฉนั จกั ตาย (ในกาล ท.) น ชานามิ; ตสมฺ า เอวํ วเทมีต.ิ มกี ลางคนื และกลางวนั และสมยั อนั เป็นเบอื ้ งต้นแหง่ วนั เป็นต้น หนา ช่ือ ในกาลโน้น ดงั นี,้ เพราะเหตนุ นั้ (อ.หมอ่ มฉนั ) ยอ่ มกราบทลู อยา่ งนี ้ ดงั นี ้ฯ ครัง้ นนั้ อ. พระศาสดา ทรงประทานแล้ว ซงึ่ สาธกุ าร ท่ี ๔ วา่ อถสฺสา สตฺถา “มยา ปจุ ฺฉิตปญฺโหเยว ตยา อ. ปัญหา อนั เรา ถามแล้ว นน่ั เทียว อนั เธอ แก้แล้ว ดงั นี ้ วิสสฺ ชฺชิโตติ จตตุ ฺถํ สาธกุ ารํ ทตฺวา ปริสํ อามนฺเตตฺวา (แก่ธิดาของนายชา่ งหกู ) นนั้ ตรัสเรียกมาแล้ว ซง่ึ บริษัท ตรัสแล้ว “เอตฺตกํ นาม ตมุ เฺ ห อิมาย กถิตํ น ชานาถ, เกวลํ ว่า อ.ท่าน ท. ย่อมไม่รู้ (ซ่ึงวาจาเป็ นเครื่องกล่าว) อัน อชุ ฌฺ ายเถว; เยสญหฺ ิ ปญญฺ าจกขฺ ุ นตถฺ ,ิ เต อนธฺ าเยว; (อนั กมุ าริกา) นี ้ กลา่ วแล้ว ช่ือ มีประมาณเทา่ นี ้ (อ.ทา่ น ท.) เยสํ ปญฺญาจกฺขุ อตฺถิ; เตเอว จกฺขมุ นฺโตติ วตฺวา ยอ่ มยกโทษ อยา่ งเดียว นนั่ เทียว เพราะวา่ อ.จกั ษุคือปัญญา อิมํ คาถมาห ยอ่ มไมม่ ี (แก่ชน ท.) เหลา่ ใด (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ เป็นผ้บู อด นนั่ เทียว (ยอ่ มเป็น) อ.จกั ษุคือปัญญา มีอยู่ (แก่ชน ท.) เหลา่ ใด (อ.ชน ท.) เหลา่ นนั้ นนั่ เทียว เป็นผ้มู ีจกั ษุ (ยอ่ มเป็น) ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.สตั ว์โลก นี ้เป็นผ้บู อดเป็นแล้ว (ยอ่ มเป็น) (อ.ชน ในโลก) “อนธฺ ภูโต อยํ โลโก, ตนเุ กตฺถ วิปสสฺ ติ, นี ้น้อยคน จะเหน็ แจ้ง (อ. ชน) น้อยคน จะไป สสู่ วรรค์ สกโุ ณ ชาลมตุ ฺโตว อปโฺ ป สคฺคาย คจฺฉตีติ. เพียงดงั อ.นก ตวั พ้นแล้วจากขา่ ย ดงั นี ้ฯ (อ. อรรถ วา่ ) อ. โลกิยมหาชน นี ้ ช่ือวา่ เป็นผ้บู อดเป็นแล้ว ตตถฺ “อยํโลโกต:ิ อยํ โลกยิ มหาชโน ปญญฺ าจกขฺ โุ น เพราะความไมม่ ี แหง่ จกั ษคุ อื ปัญญา (ยอ่ มเป็น ดงั นี ้ แหง่ - ในบท ท.) อภาเวน อนฺธภโู ต. เหลา่ นนั้ หนา (-หมวดสองแหง่ บท) วา่ อยํ โลโก ดงั นี ้ฯ (อ. อรรถ วา่ ) อ. ชน (ในโลก) นี ้น้อยคน คอื วา่ ไมม่ าก จะเหน็ แจ้ง ตนเุ กตถฺ าต:ิ ตนโุ ก เอตถฺ น พหุ ชโน อนจิ จฺ าทวิ เสน ด้วยสามารถแห่งไตรลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็ นต้น (ดังนี ้ วิปสฺสต.ิ แหง่ หมวดสองแหง่ บท) วา่ ตนุเกตถฺ ดงั นี ้ฯ อ. อรรถ วา่ (อ.-) ในนกกระจาบ ท. ตวั อนั บคุ คลผ้ฆู า่ ซงึ่ นก ชาลมุตโฺ ตวาต;ิ ยถา เฉเกน สากณุ ิเกน ชาเลน เป็นอยู่ ผ้ฉู ลาด ครอบ จบั เอาอยู่ ด้วยขา่ ย หนา (-นกกระจาบ) บางตวั โอตถฺ ริตวฺ า คยหฺ มาเนสุ วฏปฺฏวิสเกนสฺตุ โิ;กจเติ ทถวาชาลมโาตรชมาจุ เจฺลตน,ิ นน่ั เทียว จะพ้น จากขา่ ย (อ.นกกระจาบ ท.) ท่ีเหลือ ยอ่ มเข้าไป เสสา อนฺโตชาลเมว สภู่ ายในแหง่ ขา่ ยนน่ั เทียว ฉนั ใด (อ.-) ในสตั ว์ ท. ผู้ อนั ขา่ ยคือมาร โอตฺถเตสุ สตฺเตสุ พหู อปายคามิโน โหนฺต,ิ อปโฺ ป ท่วมทับแล้ว หนา (-สัตว์ ท.) มาก เป็ นผู้ไปสู่อบายโดยปกติ โกจิเทว [สตฺโต] สคฺคาย คจฺฉติ สคุ ตึ วา นิพฺพานํ วา ยอ่ มเป็น (อ. สตั ว์) น้อย คือวา่ ไร ๆ นน่ั เทียว จะไป สสู่ วรรค์ คือวา่ ปาปณุ าตีติ อตฺโถ. จะถงึ ซงึ่ สคุ ติ หรือ หรือวา่ ซงึ่ พระนิพพาน ฉนั นนั้ ดงั นี ้ (แหง่ บท) วา่ ชาลมุตโฺ ตว ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ในกาลเป็นทส่ี ดุ ลงแหง่ เทศนา อ.กมุ าริกา นนั้ ตงั้ อยเู่ ฉพาะแล้ว เทสนาวสาเน สา กมุ าริกา โสตาปตตฺ ผิ เล ปตฏิ ฺฐห.ิ ในโสดาปัตตผิ ล ฯ อ.พระเทศนา เป็ นเทศนาเป็ นไปกับด้วยวาจามีประโยชน์ มหาชนสฺสาปิ สาตฺถิกา เทสนา อโหส.ิ ได้มีแล้ว แม้แก่มหาชน ฯ อ.กมุ าริกาแม้นนั้ ถือเอา ซงึ่ กระเช้าแหง่ หลอด ได้ไปแล้ว สาปิ ตสรปจฺฉึ คเหตฺวา ปิ ตุ สนฺตกิ ํ อคมาส.ิ สสู่ �ำนกั ของบดิ า ฯ อ.บิดา แม้ นัน้ ผู้น่ังแล้วเทียว หลับแล้ว ฯ (เมอื่ กมุ าริการ) โสปิ นิสนิ ฺนโกว นิทฺทายิ. ตสสฺ า อสลลฺ กฺเขตฺวา นนั้ ไมก่ ำ� หนดแล้ว ยงั กระเช้าแหง่ หลอด ให้น้อมเข้าไปอยู่ อ.กระเช้า- ตสรปจฺฉึ อปุ นาเมนฺตยิ า ตสรปจฺฉิ เวมโกฏิยํ แหง่ หลอด กระทบเฉพาะแล้ว ซง่ึ ทสี่ ดุ แหง่ ฟืม กระทำ� อยู่ ซงึ่ เสยี ง ปฏิหญฺญิตฺวา สทฺทํ กรุ ุมานา ปต.ิ ตกแล้ว ฯ ผลติ สือ่ การเรียนรู้ โดยโรงเรยี นพระปริยตั ธิ รรม วัดพระธรรมกาย 43 www.kalyanamitra.org

(อ.บดิ า) นนั้ ตน่ื แล้ว คร่าเอาแล้ว ซงึ่ ทสี่ ดุ แหง่ ฟืน ด้วยนมิ ติ (อนั ตน) โส ปพชุ ฺฌิตฺวา คหิตนิมิตฺเตเนว เวมโกฏึ กฑฺฒิ. ถือเอาแล้วนนั่ เทียว ฯ อ.ทสี่ ดุ แหง่ ฟืน ไปแล้ว ตแี ล้ว ซง่ึ กมุ าริกา นนั้ ทอ่ี ก ฯ อ.กมุ าริกา เวมโกฏิ คนฺตฺวา ตํ กมุ าริกํ อเุ ร ปหริ. สา ตตฺเถว กระทำ� แลว้ ซง่ึ กาละ (ในท)่ี นนั้ นน่ั เทยี ว บงั เกดิ แลว้ ในภพชอ่ื วา่ ดสุ ติ ฯ กาลํ กตฺวา ตสุ ติ ภวเน นิพฺพตฺต.ิ ครัง้ นนั้ อ.บดิ า (ของกมุ าริกา) นนั้ แลดอู ยู่ (ซง่ึ กมุ าริกา)นนั้ อถสสฺ า ปิ ตา ตํ โอโลเกนฺโต สกลสรีเรน โลหิต- ได้เหน็ แล้ว (ซงึ่ กมุ าริกา) ผ้ลู ้มตายแล้ว ด้วยทงั้ สรีระ อนั โลหิต มกฺขิเตน ปตติ ฺวา มตํ อทฺทส. เปื อ้ นแล้ว ฯ ครัง้ นนั้ อ.ความโศกใหญ่ เกิดขนึ ้ แล้ว (แก่บดิ า) นนั้ ฯ อถสสฺ มหาโสโก อปุ ปฺ ชฺชิ. (อ.บดิ า)นนั้ (คดิ แล้ว)วา่ (อ.บคุ คล)อน่ื จกั ไมอ่ าจเพอ่ื อนั ยงั ความโศก โส “น เม โสกํ อญฺโญ นิพฺพาเปตํุ สกฺขิสสฺ ตีติ แหง่ เรา ให้ดบั ดงั นี ้ ไปแล้ว สสู่ �ำนกั ของพระศาสดา กราบทลู แล้ว โรทนฺโต สตฺถุ สนฺตกิ ํ คนฺตฺวา ตมตฺถํ อาโรเจตฺวา ซงึ่ เนอื ้ ความ นนั้ กราบทลู แล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ (อ.พระองค์ ท.) “ภนฺเต โสกํ เม นิพฺพาเปถาติ อาห. ขอจง ทรงยงั ความโศก แหง่ ข้าพระองค์ ให้ดบั ดงั นี ้ ฯ อ.พระศาสดา (ทรงยงั บดิ า) นนั้ ให้เบาใจแล้ว ตรัสแล้ว สตฺถา ตํ สมสสฺ าเสตฺวา “มา โสจิ, อนมตคฺคสฺมึ วา่ (อ.ทา่ น) อยา่ เศร้าโศกแล้ว, จริงอยู่ อ.นำ� ้ ตาอนั ไหลออกแล้ว หิ สํสาเร ตว เอวเมว ธีตุ มรณกาเล ปคฺฆริตอสฺสุ ในกาลเป็นทต่ี าย แหง่ ธดิ า ของทา่ น อยา่ งนนี ้ นั่ เทยี ว เป็นนำ� ้ ยงิ่ กวา่ กวา่ นำ� ้ จตนุ ฺนํ มหาสมทุ ฺทานํ อทุ กโต อธิกตรนฺติ วตฺวา แหง่ มหาสมทุ ร ท. ๔ (ยอ่ มเป็น) ในสงสาร มีที่สดุ และเบือ้ งต้น อนมตคฺคสตุ ฺตํ กเถส.ิ อนั บคุ คลแม้ผ้ไู ปตามอยไู่ มร่ ู้แล้ว ดงั นี ้ ฯ ตรสั แล้ว ซง่ึ อนมตคั คสตู ร ฯ (อ.บดิ า) นนั้ ผ้มู คี วามโศกเป็นสภาพเบาบางเป็นแล้ว ทลู ขอแล้ว โส ตนภุ ตู โสโก สตฺถารํ ปพฺพชฺชํ ยาจิตฺวา ซ่ึงการบวช กะพระศาสดา ผู้มีอุปสมบทอันได้แล้ว บรรลุแล้ว ลทฺธปู สมปฺ โท น จิรสฺเสว อรหตฺตํ ปาปณุ ีติ. ซงึ่ พระอรหตั ตอ่ กาล ไมน่ านนนั่ เทียว ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งธิดาของบุคคลผู้กระทำ� ซ่งึ หกู เปสการธีตุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ๘. อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุ ๓๐ รฯูป ๘. ตสึ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (อันข้าพเจ้า จะกล่าว) อ.พระศาสดา เม่ือประทับอยู่ ในพระเชตวัน ทรงปรารภ “หสํ า อาทจิ จฺ ปเถ ยนฺตตี ิ อิมํ ธมมฺ เทสนํ สตฺถา ซ่ึงภิกษุ ท. ๓๐ รูป ตรัสแล้ว ซ่ึงพระธรรมเทศนา นี ้ ว่า เชตวเน วหิ รนฺโต ตสึ ภิกฺขู อารพฺภ กเถส.ิ หสํ า อาทจิ จฺ ปเถ ยนฺติ ดงั นีเ้ป็นต้น ฯ ดงั จะกลา่ วโดยพิสดาร ในวนั หนง่ึ อ.ภิกษุ ท. ผ้มู ีอนั อยใู่ นทิศ เอกสมฺ ึ หิ ทิวเส ตสึ มตฺตา ทิสาวาสกิ า ภิกฺขู เป็นปกติ มี ๓๐ รูปเป็นประมาณ เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซง่ึ พระศาสดา ฯ สตฺถารํ อปุ สงฺกมสึ .ุ อ.พระเถระช่ือวา่ อานนท์ มาแล้ว ในเวลาเป็นที่กระท�ำซง่ึ วตั ร อานนฺทตฺเถโร สตฺถุ วตฺตกรณเวลาย อาคนฺตฺวา แก่พระศาสดา เหน็ แล้ว ซง่ึ ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ เต ภิกฺขู ทิสฺวา 44 ธรรมบทภาคที่ ๖ สองภาษา แปลโดยพยญั ชนะ และ บาลี www.kalyanamitra.org

(คดิ แล้ว) วา่ ครัน้ เมื่อปฏิสนั ถาร อนั พระศาสดา ทรงกระท�ำแล้ว “สตฺถารา อิเมหิ สทฺธึ ปฏิสนฺถาเร กเต วตฺตํ กริสสฺ ามีติ กบั (ด้วยภิกษุ ท.) เหลา่ นี,้ (อ.เรา) จกั กระท�ำ ซงึ่ วตั ร ดงั นี ้ ได้ยืน ทฺวารโกฏฺฐเก อฏฺฐาส.ิ แล้ว ณ ซ้มุ แหง่ ประตู ฯ แม้ อ.พระศาสดา ทรงกระทำ� แล้ว ซง่ึ ปฏสิ นั ถาร กบั (ด้วยภกิ ษุ ท.) สตฺถาปิ เตหิ สทฺธึ ปฏิสนฺถารํ กตฺวา เตสํ เหล่านนั้ ตรัสแล้ว ซง่ึ ธรรมกถา อนั เป็ นที่ตงั้ แห่งความระลกึ ถึง สาราณียํ ธมมฺ กถํ กเถส.ิ แก่ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ฯ (อ.ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ แม้ทงั้ปวง ฟงั แลว้ (ซง่ึ ธรรมกถา) นนั้ บรรลแุ ลว้ ตํ สตุ ฺวา เต สพฺเพปิ อรหตฺตํ ปตฺวา. อปุ ปฺ ตติ ฺวา ซงึ่ พระอรหตั เหาะขนึ ้ แล้ว ได้ไปแล้ว โดยอากาศ ฯ อากาเสน อคมํส.ุ อ.พระเถระชอ่ื วา่ อานนท์ (ครนั้ เมอ่ื ภกิ ษุ ท.) เหลา่ นนั้ ประพฤตชิ ้าอยู่ อานนทฺ ตเฺ ถโร เตสุ จริ ายนเฺ ตสุ สตถฺ ารํ อปุ สงกฺ มติ วฺ า เข้าไปเฝ้ าแล้ว ซงึ่ พระศาสดา ทลู ถามแล้ว วา่ ข้าแตพ่ ระองคผ์ ้เู จริญ “ภนฺเต อิธ ตสึ มตฺตา ภิกฺขู อาคตา, เต กหนฺติ อ.ภกิ ษุ ท. มี ๓๐ รูปเป็นประมาณ มาแล้ว (ในท)่ี น,ี ้ (อ.ภกิ ษุ ท.) ปจุ ฺฉิ. “คตา อานนฺทาต.ิ “กตเรน มคฺเคน ภนฺเตต.ิ เหลา่ นนั้ (ไปแล้ว) (ในที่) ไหน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ “อากาเสนานนฺทาต.ิ “กึ ปน เต ภนฺเต ขีณาสวาติ. ดกู อ่ นอานนท์ (อ.ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ ) ไปแล้ว ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระชอ่ื วา่ “อาม อานนฺท, มม สนฺตเิ ก ธมฺมํ สตุ ฺวา อรหตฺตํ อานนท์ ทลู ถามแล้ว)วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ (อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ปตฺตาต.ิ ไปแล้ว) โดยทาง ไหน ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนอานนท์ (อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ไปแล้ว) โดยอากาศ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระเถระช่ือวา่ อานนท์ ทลู ถามแล้ว) วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ก็ อ.ภกิ ษุ ท. เหลา่ นนั้ เป็นพระขีณาสพ (ยอ่ มเป็น) หรือ ดงั นี ้ ฯ (อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว) วา่ ดกู ่อนอานนท์ เออ (อ.อยา่ งนนั้ ), อ.ภิกษุ ท. เหลา่ นนั้ ฟังแล้ว ซง่ึ ธรรม ในสำ� นกั ของเรา บรรลแุ ล้ว ซง่ึ พระอรหตั ดงั นี ้ฯ ก็ ในขณะ นัน้ อ.หงส์ ท. บินไปแล้ว โดยอากาศ ฯ ตสฺมึ ปน ขเณ หํสา อากาเสน คมสึ .ุ สตฺถา อ.พระศาสดา ตรัสแล้ว ว่า ดูก่อนอานนท์ อ.อิทธิบาท ท. ๔ “ยสฺส โข อานนฺท จตฺตาโร อิทฺธิปาทา สภุ าวิตา, โส (อนั บคุ คล) ใด แล ให้เจริญดแี ล้ว, (อ.บคุ คล)นนั้ ยอ่ มไป โดยอากาศ หํสา วยิ อากาเสน คจฺฉตีติ วตฺวา อิมํ คาถมาห ราวกะ อ.หงส์ ท. ดงั นี ้ตรัสแล้ว ซงึ่ พระคาถา นี ้วา่ อ.หงส์ ท. ย่อมไป ใดนว้ หยนฤททาธง์ิ,แอห.น่งดกั วปงรอาาชทญิต์ ยท์,. (อ.ชน ท.) “หํสา อาทิจฺจปเถ ยนตฺ ิ, อากาเส ยนตฺ ิ อิทฺธิยา, ย่อมไป ในอากาศ ชนะแลว้ นิยฺยนตฺ ิ ธีรา โลกมฺหา เชตฺวา มารํ สวาหนนตฺ ิ. ซ่ึงมาร อนั เป็นไปกบั ดว้ ยพาหนะ ย่อมออกไป จากโลก ดงั นี้ ฯ อ.เนอื ้ ความ (แหง่ คำ� อนั เป็นพระคาถา) นนั้ วา่ อ.หงส์ ท. เหลา่ นี ้ ตสสฺ ตโฺ ถ “อเิ ม หสํ า อาทจิ จฺ ปเถ อากาเส คจฉฺ นตฺ .ิ ยอ่ มไป ในหนทางแหง่ ดวงอาทิตย์ คือวา่ ในอากาศ ฯ แม้เหกล็ อา่ .นอนัท้ิ ธยิบอ่ ามทไปท.ใ(นออนั าชกนาศท.ด) ้เวหยลฤา่ ทใธด์ิ ให้เจริญดแี ล้ว, (อ.ชน ท. ) เยสํ ปน อิทฺธิปาทา สภุ าวิตา, เตปิ อากาเส ฯ ยนฺติ อิทฺธิยา. แม้ อ.นกั ปราชญ์ ท. คือวา่ อ.บณั ฑิต ท. ชนะแล้ว ซงึ่ มาร ธีราปิ ปณฺฑิตา สวาหนํ มารํ เชตฺวา อิมมหฺ า อนั เป็นไปกบั ด้วยพาหนะ ยอ่ มออกไป คือวา่ ยอ่ มแลน่ ออกไป วฏฺฏโลกา นิยฺยนฺติ นิสสฺ รนฺติ นิพฺพานํ ปาปณุ นฺตีต.ิ จากโลกคือวัฏฏะ นี ้ คือว่า ย่อมถึง ซึ่งพระนิพพาน ดังนี ้ (อนั บณั ฑิต พงึ ทราบ) ฯ ในกาลเป็นท่ีสดุ ลงแหง่ เทศนา (อ.ชน ท.) มาก บรรลแุ ล้ว เทสนาวสาเน พหู โสตาปตฺตผิ ลาทีนิ ปาปณุ ึสตู .ิ (ซง่ึ อริยผล ท.) มีโสดาปัตตผิ ลเป็นต้น ดงั นีแ้ ล ฯ อ.เร่ืองแห่งภกิ ษุ ๓๐ รูป ตสึ ภกิ ขฺ ุวตถฺ ุ. (จบแล้ว) ฯ ผลติ สอื่ การเรยี นรู้ โดยโรงเรียนพระปริยตั ิธรรม วดั พระธรรมกาย 45 www.kalyanamitra.org