๔๕ โอวาทปาติ' กฃกถา เรอง โอวาทปาติ'&Jกข์ ของมนุษยนั้นมสภาพปภัสสรกือผ่องใสมาแต่ต้น แต่มาขุ่นข้นหม่นหมอง เพราะมร่งสกปรกเข้ามาเจือปน ร่งททำไหจืฅสกปรกขุ่นมัวนั้นกาษาธรรม เรยกว่า อุปกิเลส ชง^ต้แก่รากะ โลกะ โทสะ โมหะ นั้นเอง เหมือนนั้า โกยสกาพแล้วกื่สะอาคค ไม่มืรไม่มืกลั๋น แต่ทเห็่นว่าสกปรกขุ่นมัวก็่เพราะมื ร่งสกปรกเซ่นฝ่นผงบ้าง ส์ต่างๆ บ้างเข้าไปเจือปน เมอกรองฝ่นหรือกำจัคส์ ออกจากนั้าตามกรรมวิธเสิยไต้ นั้านั้นก็่จะกลับมาไสสะอาคสามารถบริโกกไต้ เหมือนเดิม จิฅก็่เซ่นเคยวกัน เมอสามารถกำจักอุปกิเลสออกไปไต้ จิฅก็่จะ สะอากหมกจก กลับเ!เนจิฅประกัสสรผ่องไสเหมือนเดิม หากอุปกิเลสถูกกำจัก ออกไปไต้หมกร้นเซิง ไม่เหลือกะกอนไว้ ไม่มืโอกาสเข้ามากรอบงำจิฅไกอก จิกนั้นกี่จะเป็นกลายเ?เนจิฅทผ่องไสถาวร ดังเซ่นจิกของพระอริยบุกกลทั้งหลาย จิกทผ่องไสชงจะผ่องไสไนระดับไกกี่กามย่อมนำประโยซนั้สุขมาไห้แก่เจ้าของ จิกแน่แห้ อย่างเซ่นคนธรรมดาทั่วไป เพยงแค่บรรเทาราคร;ลงไค้บ้าง บรรเทาโลภร; บรรเทาโทสร; หรือบรรเทานเหร;ลงไค้บ้าง กี่จฺร;มืความสุขสงบ ไค้!ม่น้อย ความหิวโหยใฟ้หากามารมณก็่ดิ ความหงุคหงิคงุ่นง่าน ความเดือดดาลอารมณร้ายก็่ด ความวิตก?เงซ่านรำคาญใจ ความเครืยค ความกลัดกลุ้ม ความหดหู่ท้อแท้เป็นค้นกี่ดื ซึ๋งมืค้นตอปอเกิดมาจากราคร; โลภร; โทสร; โน ย่อมจร;บรรเทาเบาบางลงจนอยู่ในรร;ลับปกติ ไม่?}งฃน มาก่อทุกฃก่อความทรมานแก่จิต ทำ ไท้เจ้าของจิตอยู่เป็นปกติสุขไค้ เหมือนคนอึ๋นๆ ต่วนพระอริยบุกกลทั้งหลายนั้นสามารถกำจักรากะ โทสะ โมหะไต้ร้นเซิงแล้ว เข้าถงกาวะนิพพานแล้ว จิกของท่านจืงผ่องไสถาวรและ ไครับผลเป็นลันดิถาวร หลักการไหญ่อันเป็นเบ้าหมายสูงสุกกามคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก พระองกนั้นอยู่ทการทำจิกไห้ผ่องไสนั้ หลักการสองประการข้างต้นลือการไม่ ทำ กวามซั่วทั้งปวงกับการทำกวามกไห้ลืงพร้อมนั้นเป็นหลักการต่าหรับเกรืยม ดัวก้าวฃนต่กวามเป็นผูมืจิกผ่องไสกามลำดับจนถึงผ่องไสถาวร เป็นหลัก www.kalyanamitra.org
Bp ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิตติวงส์ ส์าหรบปฏิบัติฅามขั้นฅอนเหมือนฃ็้นบันไคสามขั้น ดังนั้นจึงทรงวางแนวทาง ปฏิบัติเพอผลสือจิคผ่องใสไว้หลายแนวแล:;หลายขั้นคอน ทส์ากัญอันเป็นทรู้ กันโคยทั่วไปแล้วกอกรรมฐานหรือภาวนาทั้งสมถ::และวิปีสสนา กรรมฐาน หรือภาวนานั้เป็นวิธปฏิบัติส์าหรับอบรมจึฅและเจริญปีญญา กือกวบคุมจิฅ ให้สงบและเกิคปีญญารู้แจ้งในสภาวะกวามเป็นจริงของสรรพร่งโคยเฉพาะ กังขารร่างกายของคน เมํ่อจิคสงบและเกิคปีญญาฃนแล้ว จิคย่อมเข้าถึง ภาวะทั่เรืยกว่าผ่องใสคามลำดับ จนถึงผ่องใสถาวรเมอเกิคปีญญาในระดับ ประหานกิเลสทั้งหลายทั้งปวงไค้หมคร้นแล้ว หกักคำสอนอันเป็นหกักการ ประการทั่สามนั้เป็นหลักการอันโคคเค่นลำกัญและเป็นหัวใจของพระพุทธ ศาสนาอย่างแห้จริง กล่าวโคยรวมไค้ว่าโอวาทปาติโมกฃอันเป็นหลักการใหญ่ ๓ ประการ ไค้แก'การ \"เว้นชั่ว ประพฤติชอบ ประกอบจิตไว้ในทางทั่สมควร\" ดังขยาย กวามมานั้นพระพุทธเจ้าทุกพระองกทรงแสคงเหมือนกันหมค เพราะเป็นแนว ปฏิบัติอันลำกัญ เป็นไปเพอกวามสงบ เพอกวามรู้ยั่ง เพอกวามครัสรู้ และ เพอบรรลุถึงพระนิพพาน นอกเหมือจากแนวนั้แล้วหาใช่แนวคำสอนของ พระพุทธเจ้าไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสคงโอวาทปาติโมกฃนั้แก'พระอรหันฅสาวก (ร),๒๕๐ องกในวันเพ็่ญเคือน ๓ กรั้งนั้นกื่เพอให้เป็นหลัก เป็นธง หรือ เป็นกรอบลำหรับแนะนำกังสอนประซาซน ผลทั่เกิคคามมาก็่คือเมอพระ อรหันฅสาวกเหล่านั้นไค้จาริกไปบังทั่ฅ่างๆ แสคงทางพระนิพพานโคยนำหลัก การ ๓ ข้อทั่พระพุทธองกทรงวางไว้มาเป็นแนวการสอน ทำ ให้มืผู้ปฏิบัติ คามเกิคศรัทธาและปีญญารู้แจ้งคาม เกิคอริยสาวกซนมากมายทั่วซมพูทวิปใน สมัยนั้น ทั่ถึงระดับเป็นพระอรหันฅก็่มืไม'น้อย พระพุทธศาสนาประติษฐาน มั่นกงนำกันติลุซมาให้แก่ซาวซมพูทวิปมาหลายร้อยป็ จนกระทั่งแผ่ซยายออก ไปในนานาประเทศจวบจนถึงปีจจุบัน ทั่เป็นไค้ดังนั้นก็่เพราะกรอบทั่พระพุทธ องกทรงวางไว้แค่เบองค้น และพระสาวกทั้งหลายไค้ถึอปฏิบัติกังสอนคาม www.kalyanamitra.org
dtfS โอวาทปาคํโมกขกถา เรอง โอวาทปาติLjกข์ อย่างเกร่งฅรัด จึงช่วยกำจัดทุกฃ เ€1ริมสุฃสงบให้เกิดแก่บุกกล ร'งกม แล:; บ้านเมืองทมองเห็่นกุณก่าและปร:;โยซนของโอวาทปาฅิโมกฃนั้นแล้วปฏิบัติ ดามด้วยกวามเฅี่มใจ ซงก็่สมดามนัยทพระพุทธองก่ฅรัลไว้ว่า ธมฺโม หเว รฤขติ ธมมจาร - ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธมมจๆรั สุฃํ เสติ ผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติย่อมอยู่เป็นสุข ดังนเป็นด้น เพราะเหตุนั้นแล ขอเหล่าพุทธมามกขนทั้งหลายพึงได้ฅระหนักในโอวาท ปาติโมกขนแล้วน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดผล ดือ เว้นจากการทำบาปทั้งปวง ด้วยความอดทนต่อสิงยั่วยวนชกน่าแห่งกิเลสนานๆทั้เข้ามาทางตาทางหูให้ เกิดความอยากได้ อยากมื อยากเป็นจนยอมทำบาปทุจริตได้ทุกอย่างเพอ ให้!ด้สมปรารถนา ทั้งเจตนาให้แน่วแน่ทจะทำกุศลให้ถึงพร้อม ทั้จะมุ่งทำ แต่ความดือนเป็นบุญเป็นกุศล ดำ รงตนแตในทางสุจริตธรรม และเพยร พยามทำจิตของตนให้ผ่องใส ให้เป็นไทแก่ตว มให้เศร้าหมองขุ่นมวด้วย ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลสราคะทั้งปวง ด้วยtกฝนอบรมจิตเจริญ!!ญญา ตามแบบอย่างทึ๋ห่านผู้รู้แนะน่าและเชิญชวนให้ปฏิบัติ ค่อยเป็นค่อยไปไม่ ลดละ สิงสมอบรมเพํ่มพูนฃนเรอยๆ ไม่นานนักกี่จักสามารถเว้นบาป บำ เพื่ญ บุญ และทำจิฅให้ผ่องใสไค[ดยสะดวกใจไม่ด้องบังดับป็นใจ และไคซอว่าปฏิบัติ ดามโอวาทปาติโมกขของพระพุทธเจ้าเป็นปฏิบัติบูขาแล้วเฅ็่มทั้ ทั้งได้ขอว่า เป็นพุทธศาสนิกขนทั้คสมกวรไครับการยกย่องนับถึอและเป็นแบบอย่างแก่ลูก หลานสืบไปภายหน้า ทั้งเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาดำรงมั่นกงเป็นมรดกอน ลํ้าค่าเป็นดวงขวาลาล่องแสงให้มวลมนุษยโลกได้เห็่นทางถูก เป็นร'มมาทิจิ และสร้างรนติให้เกิดขนในโลกสืบไปชั่วกาลนาน รับประทานแสดงพระธรรม เทศนาในโอวาทปาติโมกขกถามาสมแก'เวลา ขอยุติเทศนานัยไว้แด'เพึยงนั้ เอเดน สจฺจวชุเชน ด้วยอำนาจแห่งการกล่าวกำรดย่อันเป็นธรรมนั้ สทา โสตถึ ภวนฺตุ โว ขอกวามสุข กวามสวัสด กวามเจริญก้าวหน้าใน ธรรมจงบังเกิดแก'ท่านทั้งหลายยั๋งๆ ขนไป และขอให้ท่านหลายมืจิดมั่นกง www.kalyanamitra.org
ZRll ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิคฅิวงเ^ ดำ รงฅนอยูในหลักพรรโอวาทปาฅิโมกข โคยเกลยคกวามชั่ว กลัวกวามผิค ใฝ่สร้างสมแต่กุกลสุจริฅเพั๋มา5jนแก่คน และยินคในการtเกฝนภาวนานำพาจิฅ ให้ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง ก้าวล่วงอบายภูมิเสิยไค้ มสุกฅิภูมิหรออริยภูมิ เป็นทไ!ในเบองหน้าสมมโนรถปรารถนาทุกประการ เทศนาบรรหารลังไค้แสคง มา ยุติลงค้วยเวลาเพยงเท่าน็้. เอวํ กื่มค้วยประการฉะน ฯ www.kalyanamitra.org
ฟักขิผาทานกถา 1รื่อง การทำฃุญอุทิศทูฅๆย อทาสิ เม อกๆสิ เม ฌาติ มิตฺตา อขา จ เม เปตานิ ทกฺฃิฌํ ทรฺขา ปุพ.เพ กตมนุสฺส์ท4ติ ฯ ชุ.ช. kD^/c^/<S><D. 11 ^^ ณ บัคนจักไค้แสคงพระ:ธรรมเทศนาในทักขิณาทานกถา เพอฉลอง ศรัทธาประ;คับชญญาบารม เพั๋มพูนบุญวิธธัมมัสสวนมัยมงคล อนุโมทนา ส่วนกุศลทักขิณานุปทานกิจ ทคณะ;สงฆคณะ:กิษยแห่งวัคประ;ยุรวงศาวาส วรวิหาร ซงมห่านเจ้ากุณพระ;ธรรมโกศาจารย เจ้าอาวาสเป็นค้นเป็นปร:;ธาน ไค้มสมานฉันทัพร้อมใจกันบำเพ็่ญให้เป็นไปเป็นนิพัทธกิจ เพํ่ออุทิศวิบาก สมมัฅิปิคติทานมัยกุศลเป็นธรรมพลชจโจปการแค่บุรพาจารยแล:;อคตเจ้า อาวาสพระ;อารามนิ้ ค้วยกุศลจิฅแรงกล้ากอปรค้วยกคัญณูกตเวทิตาธรรม ตามเซิงชั้นแห่งเหส่าร'ปปุริสชนคนคทั้งหลายทปฏิบัติส่บเนํ่องกันมา เป็นอัน พระธรรมกิฅฅิวงส์ (ทองค ป.ธ.๙=0 วัคราชโอรฟ้าราม เฃฅจอมทอง กรุงเทพฯ แฟ้คงในงาน ทำ บุญอุทิศแค่บุรพาจารยแอรอค?)เจ้าอาวาฝ็ วัคปรรยุรวงศาวาฟ้ กรุงเทพฯ วันศุกรท ๑ มิถุนายน พุทธวักราช ๒๕๕0 เวลา ๐๙.๓๐ น. www.kalyanamitra.org
IS[I รณ ธรรมสารเทศนา... พระ;ธรรมกิ?เฅิวงส์ ไค้กวามอาลัยถึงบุรพาจารยยู้มพร:!คุณ ทั้งไค้เพํ่มพูนการบูชาฟ้นพิเศษ ลันเป็นเหตุให้เกิคอุคมมงกลตามพร:!พุทธนิพนธทั้ว่า ปูชา จ ปูชนยานํ เอตมมงฺคลมุตฺต3J กวามว่า การบูชาท่านผู้ควรบูชานิเป็นมงคลชวิตอย่าง สูงสุด คังน นอกจากนั้นยังไค้ซอว่าร่วมกันรักษาธรรมเนิยมปรรเพณทั้บรรพ บุรุษเกยทำเกยปฏิบัติกันมามิให้เถึอมสูญ เพั๋มพูนให้หนักแน่นนั้นกงยํ่งฃึน เป็นทับทว นับว่าเป็นคุณเป็นกวามคทน่ายกย่องเพรา2มองเห็่นประโยชน่แห่ง การกระทำ นำ เฉพาะย่วนทมเหตุมผลมาปฏิบัติ ฅัคย่วนทเกินเลยไม่เป็น ประโยซน่ออกไป ทำ ไหไค้ศาระตามหลักแห่งการบำเพ็่ญบุญ ลันจะเป็นค้น ทุนน้อมนำอุทิศถวายวิบากผลแก่เหล่าบุรพาจารย่และอตตเจ้าอาวาศทุกรูป สมมโนรถปรารถนา ลันว่าการบำเพื่ญบุญอุทิศถวายแค่บุรพาจารย่และอค้ตเจ้าอาวาสเซ่นนิ ย่อมเกิคมและจัคทำค้วยกวามทั้งใจอย่างประณตบรรจง ก็่ค้วยมวัตถุประสงก หลักกึอบูชาพระคุณของห่านเหล่านั้น ค้วยกวามรูถึกตนทันซาบซงถึงกวามค้ ทท่านเกยทำเกยปฏิบัติเป็นประโยชนแก่พระอารามและพระภิกษุสามเณรใน ปกกรอง และค้วยค้องการประกาศคุณกวามคฃองห่านให้ปรากฏไว้เสมอ บัองกันกวามพลั้งเผลอลืมเลือนเมอกาลเวลาผ่านไป หากไค้จ'คไค้ทำเซ่นนั้อยู่ เป็นนิพัทธถุศล แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานลักเห่าไค ภาพแห่งบุรพาจารย่ และอคตเจ้าอาวาสกี่จะยังแจ่มซัคอยู่ในจิตใจไม่แปรผันเลือนลางลงตามเวลา เมอระลืกไค้ว่าถึงกำหนคบำเพ็่ญถุศลอกแล้วกี่จะกิคจัคกิคทำกันโคยพร้อม เพร้ยงเป็นสามักกรส ซงกี่สมตามพระพุทธพจน่ในติโรถุ•ตฑสูตร ฃุททก นิกายทั้ใค้อญเชิญมาเป็นนิกเขปบทเบองค้นว่า อทาสิ เม อกาสิ เม เป็น อาทิ ใจกวามว่า \"บุคคลเมออนุสรณระลืกถึงความหลังไค้ว่า ผู้นิไค้เคยให้สิงนิ แก่เราไว้ ผู้นัไ้ค้เคยทำสิงนั้แก่เราไว้ ผู้นั้เป็นญาติชองเรา ผู้นิ เป็นมิตรของเรา และผู้นั้เป็นเพอนของเรา ค้งนั้แล้วก็่พ้งให้ www.kalyanamitra.org
ทักรณาทานกถา เรอง การทำบุญธุทิศยู้คาย ทักษิณาคึอทำบุญแล้วอุทิศไปให้แก่ผ้นั้นๆ ชงล่วงล้บไปแล้ว\" แท้ทพิบรรคาบุรพๆรารยแกร;อสืฅเจ้าอาวาศแห่งพระอารามนั้ย่อม กวรแก'การอนุสรณระกกถึงเพราะคำรงอยู่ในฐานะทเกยวซ้องล้มพันธกับ กณะ3ษยกณะสงฆปิจ'รุบันไม่ทางไคกี่ทางหนงหรือหกายๆ ทางใน'จำนวน ๕ ฐานะค้วยบันคึอ อทาสิ ฐานะเป็นยูใท้ อกาสิ ฐานะเป็นยู้ทำ ญาติ ฐานะเป็นญาติ มิอุตา ฐานะเป็นมิฅร แกะ สขา ฐานะเป็นเพํ่อน คังจักไค้ ขยายความพอเป็นล้งเซปฅ่อไป ในซ้อว่า อทาสิ ฐานะเป็น^ห้ นั้นหมายความว่า บุรพาจารยกี่ค อคฅเจ้าอาวาสทุกรูปกี่ค ย่อมปกครองวัคค้วยความรู้ ความสามารถ แกะ ความเถึยสกะ อยู่ในฐานะเป็น^หโคยฅกอค โคยเฉพาะคำรงอยู่ในฐานะพระ ธุปีซฌาย!ท้ภาวะความเป็นภิกษุความเป็นสามเณร ทำ หน้าทเป็นบิคาบังเภิค เกล้าของล้ทธิวิหาริก หรืออยูในฐานะอาจารย่ทำหน้าทเป็นพเลยงของอันเต วาสิก โคยใท้ความอุปการะเกยงคูบ้าง ใหวิชาความรู้บ้าง ให้กำอังใจบ้าง ใหปีจจัยส์เพํ่อคำรง^พพอแก่อัตภาพบ้าง โคยทสุคล่งเถึยให้ถึกษาเก่าเรืยน จนจบตามทค้องการบ้าง รืเกฝนอบรมให้มความรู้ความสามารถในเชิงวิชา พิเศษบ้าง แบ้จะเป็นล้ทธิวิหาริกของผูอื่นมาขออยู่อาล้ยกี่ล่งเสริมให้ความ อุปการะเสมอหน้าบัน โคยไม่เกือกอัคจัคสรรว่าเป็นล้ทธิวิหาริกของใคร เมอ มาเป็นอันเตวารกอยู่ในล่านักแล้วกี่ปกครองmเกเหมือนบันหมค นั้าใจของ อาจารย่แกะเจ้าอาวาสทั่วไปหมคจคบริสุทธิเซ่นน จึงไคขอว่าเป็น อทาสิ คำ รง อยูในฐานะเป็นผู้ให้ ในซ้อว่า อกาสิ ฐานะเป็นผู้ทำ นั้นหมายความว่า ท่านทั้งหกายเหล่า นั้นมืจิฅใจทั่เกืยสกะ ยอมเหนั้อยยากเพอให้เหล่าภิกษุสามเณรแกะติษย่ใน ปกครองอยู่บันอย่างสุขสบาย ยอมแบกภาระในการสร้าง ในการบูรณะ ปฏิอังขรณเสนาสนะทอยู่อาบัยให้เพิยงพอแกะเหมาะสม สร้างโรงเรืยนให้ www.kalyanamitra.org
เฒ ธรรมสารเทศนา... พระธทมกิ?เฅิวงfi เรยนกันอย่างฟ้บาย สร้างถาวรวัฅถุอนๆ เพํ่ออำนวยกวามสร;ควกในการ บำ เพ็่ญกุศลต่างๆ อันเป็นเหตุจูงใจให้ยู้กนเข้าวัคกันมากๆ เพํ่อจะไค้อุปการร บำ รุงภิกษุสามเณรในปกกรองให้อยู่เย็่นเป็นสุข ไม่ค้องอัฅกัคฃาคแกลนค้วย ปิจจัยภิ ร่งทท่านทำไว!ห้ส่วนใหญ่ก็่ยังกงสภาพอำนวยประโยซนสืบต่อมา คราบเท่าทุกวันน ค้วยเหตุนท่านทั้งหลายเหส่านั้นจงเป็น อกาa คำ รงอยู่ใน ฐานะเป็นผู้ทำโคยแห้ ในข้อว่า ฌาติ ฐานร;เป็นญาติ นั้นหมายกวามว่า ท่านทั้งหลาย เหส่านั้นเป็นญาติประเภทสายโลหิตโคยฅรงของภิกษุสามเณรและติษย!นวัค บ้าง เป็นญาติธรรมคือเป็นสหธรรมิกค้วยกัน มกวามรู้จักมักคุ้นกันมาบ้าง เป็นญาติในกวามรู้สืกนึกกิคเพราะเภิคมาภายหลังไม่ทันเห็่นท่าน เป็นแฅใครู้' ไค้ทราบประวัติของท่านทามทปรากฏอยู่ในหนังสือหรึอตามคำเส่าขานเท่านั้น แตกร้สืกว่าท่านเป็นทังญาติทใกลชิคของตนบ้าง ท่านเหส่านั้นจะเป็นญาติ ทางใคก็่ตามก็่สือไค้ว่าเป็นญาติทั้งร้น เพราะให้กวามสนิทสนมคุ้นเกยให้กวาม ไว้วางใจต่อสงฆและติษย่เหมือนญาติสนิทของตนถ้วนหน้า ทังพระพุทธพจนา ว่า วิสุสาสา ปรมา ฌาต - ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยง ค้วยเหตุนั้ ท่านทั้งหลายเหส่านั้นจึงเป็น ฌาติ คำ รงอยู่ในฐานะเป็นญาติ ในข้อว่า มิตฺตา ฐานร;เป็นมิตร นั้นหมายกวามว่าท่านทั้งหลายเหส่า นั้นเป็นผู้ประกอบค้วยเมตตาธรรม มืกวามปรารถนาคื มืกวามเอี่นคูต่อภิกษุ สามเณรและติษย!นปกกรอง หวังให้อยู่เย็่นเป็นสุข ไม่อยู่ร้อนนอนทุกฃเมอ อยู่ในกวามอุปการะคูแลของตน ทำ หน้าทเป็นกัลยาณมิตรของภิกษุสามเณร และติษย่ตลอคเวลา จะเข้าหาก็่อนญาตให้เข้าหาไค้!คยไม่ยาก จะตุต่าว่า กส่าวก็่ค้วยใจทบริสุทธิ้ บุ่งให้เจริญถ้าวหน้า บุ่งให้เลิกละกวามประพฤติเส์ย หายเป็นส่าทัญ เป็นทปรึกษาในยามอับจน เป็นผู้ติติงทักห้วงในยามประพฤติ นอกลู่นอกทางเสืยงต่อกวามผิคพลาคเสืยหาย กอยสอคส่องคูแลค้วยกวาม ห่วงใย ไม่ทอคทั้งไม่ว่ายามสุขหรึอยามทุกฃ ทังนั้นเหส่าบุรพาจารย่และอคืต www.kalyanamitra.org
, ๕ฅ ทกฃํณาทานกถา เรอง การทำบุญธุทิศผู้ตาย เจ้าอาวาศทั้งปวงจึงเป็น มิตตา คำ รงอยูในฐาน:;มิฅรทมจิฅมั่นกงฅ่อกณ^สืษย กณ:;สงฆ!นปกกรอง ในข้อว่า สฃา ฐานรเป็นเพํ่อน นั้นทมายกวามว่า บุรพาจารยก็่ค อคฅเจ้าอาวาสก็่ค หลายรูปในทนั้กี่ทันเห็่นหรือเป็นสฃากัน คำ ว่า สฃา แปลว่า ผู้พูดหรือผู้พอใจเสมอกัน หรือแปลว่า ผู้อดทนต่อความผิดพลาดท เพึ๋อนทำในดนได้ ถือเอากวามหมายว่าเป็นเพึ๋อนกัน โคยเป็นเพอนร่วมงาน ร่วมกิจกรรมกันบ้าง เป็นเพอนร่วมสถาบันร่วมวัคทอยู่กันบ้าง ชงเป็นเรอง แน่นอนทการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่เป็นกณฟ้,นสถานทเคยวกันย่อมต้องมกิจกรรม ทต้องทำร่วมกันเป็นปกติ การทำกิจกรรมนั้นเองเป็นเหตุให้เกิคกวามสนิทสนม และอคทนอคกลั้นต่อกัน ^จกัน รู้จักผ่อนปรน รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาเข้าหา กัน ทำ ให้อยู่ร่วมกันไต้เป็นปกติสุข ไม่ขัคแย้งเถืยงทะเลาะกันจนมองหน้ากัน ไม่ติคหรือแฅกแยกกันไปเลย บุรพาจารย่และอคฅเจ้าอาวาสทอยู่ในฐานะเป็น สขา ของกณะสงฆกณะติษย่เซ่นนั้ก็่มอยู่ จึงเป็นเหตุให้อนุสรณถืงอก ประการหนง กณะสงฆกณะติษย่และท่านทั้งหลายทอยู่ ณ ทนั้ย่อมมกวามรู้ถืกส์านก ทคต่อท่านบุรพาจารย่และต่ออคฅเจ้าอาวาสแห่งวัคประยุรวงศาวาสนในฐานะ ใคฐานะหนงหรือในหลายฐานะคังแสคงมานั้นแน่นอน เซ่น รู้ถืกส์านกว่า ท่านอยู่ในฐานะอทาสิ เป็นผู้เกยให้อะไรแก่คนมา ชงฅนรู้และขาบชงอยู่แกใจ บ้าง รู้ถืกส์าปึกว่าท่านอยู่ในฐานะอกาสิ เป็นผู้เกยทำอะไรแก่คน มธุปการะ อะไรแก่คนโคยครงบ้างโคยอ้อมบ้าง ซงคนก็่รู้'และขาบชงอยู่แก่ใจเซ่นกันบ้าง รู้ถืกส์านกว่าท่านอยู่ในฐานะเป็นญาติ เป็นมิคคา เป็นสฃา เกยเป็นญาติ เป็นมิคร เป็นเพํ่อนของคน สนิทสนมต้นเกย มไมครืจิคต่อกัน หรือทำงาน ร่วมกันมาอย่างไรก็่รู้และซึมขับอยู่ในใจคลอคมาบ้าง อันกวามรู้ถืกส์านกทค ต่อท่านเหล่านั้นนเองทเป็นเหตุกระตุ้นผลักคันให้เกิคมการทำบุญธุทิศให้แก่ ท่านคังทปฏิบัติกันอยู่ หากไม่เกิคกวามรู้ถืกทคเซ่นนั้ ไหนเลยจะเถืยสละ www.kalyanamitra.org
ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิคฅิวงส์ ลงทุนลงแรงทำคัวยกวามเฅ็่มใ'จ คัวยกวามพร้อมเพรยง แลร;คัวยกวามเบิก บานสบายใ'จเซ่นน ฐานะ: ๕ ประ;การมฐานะ;ว่าอทาสิเ!เนคันฅามพระ;บาลข้างคันนั้นร่อถึง คุณสมบัติของยู้กวรแก'การอนุสรณระ;ถึกถึงแล้วทำบุญอุทิศไปให้ ไม่ว่า'จะ; เร็เนบุรพา'จารย เป็นอคฅเข้าอาวาส เป็นบิคามารคา หรือเป็นยูใคก็่คามท ประ:กอบคัวยฐานะ; ๕ ประ;การนั้น ซึ๋งเมอกล่าวโคยทางปฏิบัติย่อมไคั ประ;เค็่นกวามว่า ยูใคกี่คามมนํ้าใจเออเแอ ประ;กอบคัวยเมฅฅากรุณา ม จิฅใจมั่นกงซอฅรงต่อกนรอบข้าง ไว้วางใจไคทงต่อหน้าและ;ลับหลัง ไม่คระ;หน กำ ลัง ยอมเถึยสละ;สุฃล่วนฅนเพํ่อล่วนรวม และ;รักษาความสุจริตยุติธรรมไว้ เสมอคัวยซวิฅ กล่าวกอเป็นยู้มั่นกงอยู่ในปฏิปทาทว่า \"มเพึ๋อให้ ได้เพึ๋อ แจก แบกเพึ๋อสบาย ตายเพึ๋ออยู่\" คือมอะ;ไรกี่ให้กี่แจกไปไม่หวงแหน เถึยคาย ให้!ปแจกไปเพอกนอนจะ;ไคักินไคใซ!ห้เป็นสุข พ้นจากกวามทุกข เคือคร้อนไคในระ;คับหนง มภาระ:มงานอะ:ไรอันเป็นงานล่วนรวมทคัองจัคคัอง ทำ ประ;'จำ กี่ยอมแบกภาระ;งานต่างๆ นั้นไว้เถึยเองเพอให้กนอนสบายไม่คัอง มารับภาระ;นั้นๆ หรือเพอเจคโอกาสให้ยูอนไปทำภารกิจล่วนคนไคัสะ;ควก ไม่ คัองมากังวลคับเรองทคัองรับผิคซอบร่วมกัน และ;สุคท้ายยอมเถึยสละ;สุข ล่วนคัว ยอมทุ่มเทซวิคเพอสร้างผลงานรังสรรคร่งทเป็นประ;โยชน้ต่อล่วน รวมไว้ ไม่ห่วงสุขภาพไม่ห่วงกวามสุขสบายล่วนคัว จิคใจบุ่งแค'การทำงาน ยอมคายเพํ่องาน ยอมคายกางาน เป็นยูรักงานยงกว่าชวิค ผู้มนํ้าใจ ประ:กอบคัวยปฏิปทาเหล่านั้มั่นกง จัคเป็นปูขนยบุกกลไคัแน่แห้ และ;ย่อม สมกวรแก'การอนุสรณระ;ถึกถึง สมกวรแก่การทำบุญอุทิศไปให้คามบัยพระ; บาถึข้างคันนั้น อนง พระ;บาลข้อว่า อทาสิ เม อกาสิ เม เป็นอาทินั้ร่อให้เกี่น ประ;เค็่นสาระ;ล่ากัญเป็นกติเป็นข้อเตือนใจว่า กนเรานั้นกวรปฏิบัติคัวประ;พฤติ คนให้เป็นยูให้ เป็นผู้ทำแก'กันและ;กัน และ;เป็นญาติ เป็นมิคร เป็นเพอนทค www.kalyanamitra.org
-๕๕ ทักขิณาทานกถา เรอง การทำบุญอุทิศยู'คาย ของกันแลร;กัน มจิฅใจเออเ^อ มความเส์ยสลร; มไมฅรจิฅฅ่อทุกคน แฟ้คง ความเป็นญาฅิ เป็นมิฅร เป็นเพอนฅ่อคนทั่วไป โคยเฉพาร:แก'คนใกล้เกยง ผู้ร่วมงาน หรอผู้!ปมาหาd ผู้ทั่ทำ ไคคงนเมอยังมชวิฅอยู่กี่จร:ไครับความรู้รก ทั่คๆ จากคนทั่วไปคือไค้รับความเคารพนับถือจากผู้น้อย ไค้รับความรัก ความเอ็่นคูจากผู้!หญ่ ไค้รับความเกรงใจแลร:ความภาคภูมิใจจากคนเสมอกัน เมอล่วงลับไปแล้วคนทั้งนั้นกี่จร:อนุสรณรร:รกถืง เหมือนค้นโพค้นไทรใบคกหนา ทํ่เกิคริมทาง ยืนค้นทนล้แคคล้ฝนเพอให้ผู้คนไค้พักอาลัยร่มเงาคับร้อนผ่อนล้า ยามลัญจรผ่าน เมํ่อโค่นล้มไปผู้คนกี่จะ:กิคถืงยามผ่านไปมาอก ฉันใคกี่ฉันนั้นแล ผู้มืปฏิปทาเป็นผู้!ห้เป็นผู้ทำเป็นค้นเมอล่วงลับไปแล้วแม้จร:นานแสนนาน ผู้ อยู่หลังแม้จร:ไม่เคยพบพานไม่ทันเห็่น กี่จร:ยังรู้จักจำไค้รงอุปการคุณความคื อย่างนั้นๆ ของผู้นั้น แล้วเกิคความรู้รกทคืมืความรู้สืกทเป็นบวกค่อผู้นั้น พร้อมทั้งให้ความเคารพนับถือ ให้การยกย่องสรรเสริญเหมือนไค้พบพานหรึอ ไค้รับอุปการร:โคยฅรงจากผู้นั้น แลร:เมอถืงเวลาถืงโอกาสแลร:มืความพร้อม แล้วกี่จร:ซักซวนกันเป็นหมู่เป็นคณร:ทำบุญอุทิศไปให้คามคฅินิยมแห่งศาสนา เพอเป็นการบูชาคุณบ้าง เพอปรร:กาศคุณความคืของท่านผู้นั้นให้ปรากฏ ไพศาลบ้าง เพอเป็นคัวอย่างล่าหรับปฏินัฅิจัคทำกันรบต่อไปบ้าง ในเรองทำนองนั้ สมเกี่จพรร:ผู้มืพรร:ภาคเจ้าฅรัสสอนไว้มากครั้ง เพํ่อ ให้เหี่นอานิสงส์!นการให้!นการเรยสลร: ทั้งร่อให้รู้ว่าทรงแนร:นำซักซวนใหยนคื ในการให้ในการทำปรร:โยชนัแก่ผู้อน คังเช่นทั่ฅรัสว่า ททํ มิตตานี คนฺถติ - ผู้!ห้ย่อมผูกไมฅริไว้!ค้ ททํ จโย โหติ ภชนฺติ นํ พหู - ผู้!ห้ย่อมเป็นทรัก คนหมู่มากย่อมคบเขา สุฃสฺส ทาตา เมธาว้ สุขํ โส อธิคจฺฉติ - คนมืปิญญาผู้!ห้ความสุข ย่อมไค้รับความสุขคอบ มนาปทายื ลภเต มนาป้ - ผู้!ห้ร่งทั่ซอบใจ ย่อมไค้ริบร่งทั่ชอบใจคอบ www.kalyanamitra.org
ฒ ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิ?เฅิวงfl เสฎจfนฺทโท เสฎจโมุเปติ ^านํ - ผู้ให้ร่งปร2เสรีฐ ย่อมถึงฐานะ!ท ประ!เสรีฐ อค.คสฺส ทาตา คภเต ปุนค.คํ ผู้ให้ร่งทเลิส ย่อมไค้ร่งทเลิศฅอบ คังนเป็นค้น ฅรงกันข้าม ถ้าทำฅัวปฏิบัฅิฅนเป็นผู้ให้ทคไมใค้ เป็นผู้ทำทคไมใค้ เป็น ญาติ เป็นมิฅร เป็นเพอนทคฃองผู้อนกโมไค้ เอาแฅ่เรองส่วนตัว หากวาม สุขเฉพาะ!ตัว ม่งแต่'จะ!รับ ไม่ยินคในการใหในการเถึยสละ! ให้อะ!ไรแกไกรโคย ไม่หวังผลฅอบแทนไม่เป็น ตระ!หนหวงแหนแม้แต่กับกนใกล้ตัวชงเป็น ญาติมิตร เมอเป็นเช่นน ใกร'จะ!มานับถึอ ใกรจะ!มายกย่องสรรเสรีญ เพราะ! ไม่มเหตุให้ติคใจใฝ่ถึง ให้กวรก่าแก่การนับถึอหรือยกย่องสรรเสรีญ ลินชพ วายชนม้โปแล้วใครจะ!มานกถึงและ!ทำบุญธุทิศส่วนบุญไปให้ปอยๆ จนเป็น งานประ!'จำ อย่างคก็่ทำกันพอเป็นพิธตอนยังมศพอยู่ เผาแล้วกี่แล้วกันไป ลืมเลือนกันไป อ้างเหตุอ้างผลเลอนกันไปจนลืมสนิทในทสุค อย่าว่าแต่กน อํ่นเลย แม้ลูกหลานแม้ติษย่ทใกลืชิคเสน่หากี่ไม่ทำให้ เพราะ!ไม่ประ!ทับใจไม่ อํ่มในอุปการคุณเพยงน้อยนิคทหยิบยนให้หรือเพราะ!ไม่เกยไครับอุปการกุณท เป็นรูปธรรมอะ!ไรเลย ผู้เป็นเช่นน็้แม้ขณะ!ยังมซวิตอยู่กี่ลำบากแล้ว หากยัง พอช่วยตัวเองไคกี่ไม่ล้ลำบากมากนัก แต่หากหมกเรยวแรงหมคกำลังเมอไร หมคลิงส่อใจเมอไร กวามลำบากจะ!เกิคมทบเท่าทวกูณ และ!จะ!ลำบากเฉพาะ! แก่กายเท่านั้นกี่หาไม่ แม้!จกี่จะ!ลำบากค้วยเพราะ!ค้องมานั่งถึกนอนกิคเจื่บ แค้นเจ็่บใจลูกหลานหรือญาติมิตรเพอนฝูงทเกยล้อมหน้าล้อมหลังหวังผล ประ!โยชน่มาห่างหายไป ไม่เหลืยวแลห้อมล้อมเหถึอนก่อน คนทมแล้วไม่ให้ คนทไค้แล้วไม่แจก คนไม่ยอมแบกเพอให้เขาสบาย คนทไม่ยอมตายเพึ๋อ สร้างผลงานให้คงอยู่ ปอมได้รบผลเป็นความดูแคลน ความฟางเหิน ความหคฟเด้ยวดาย และ{ความลำบากกายลำบากใจในภายหลังเช่นนั้แล www.kalyanamitra.org
-๕๗ ทกขิณาทานกถา เรึ๋อง การทำบุญธุทํ?เผู้ตาย เพรา^ฉ:;นั้น บัณฑิตซนกนฉลาดทั้งหลายเมํ่อทราบซัคคังนั้แล้ว สมกวร ทำ ตัวปฏิบัติฅนแกฝนเป็นผู้ให้ทดแก่กันแลร;กัน เป็นยู้ทำทดแก'กันแลร;กัน เป็นญาติ เป็นมิตร เป็นเพํ่อนทคของกันแลร;กัน ปฏิบัติตามแบบอย่างทเหล่า บุรพา'จารย่ อดตเ'จ้าอาวาส บิดามารดา ปูย่าตายาย แลร;ปูซนยบุกกล ทั้งหลายทั้งทเป็นบรรพชิตแลร;กฤหัสถ ทั้งทล่วงลับไปแล้วทั้งทั้ยังมชิวิตอยูใค้ ทำ ไต้ปาเพ็่ญเป็นทิฏฐาบุกติไว้ แลร;เพํ่อเป็นนัยแนร;นำทางทั้ถูกทกวรแก' อนุซนรุ่นหลังสืบไป เขา'จร;ไคสืบสานปฏิปทาเช่นนั้รุ่นล่รุ่นไม'ซาดสาย อันจร; นำ มาชงกวามเจริญวัฒนาทั้งแก่ยู้ทำผู้'ปฏิบัติหนุนเนํ่องกันไปตลอดจิรกาล รับประ:ทานแสดงพรร;ธรรมเทศนาในทักขิณาทานกถา พรรณนาการทำบุญ'อุทิศ ให้แก่ผู้'ล่วงลับไปแล้วโดยลังเฃปนัย ยุติลงกงไว้ต้วยเวลา อิมินา กตปุฌุเฌน ขอกุศลทักขิณานุปทานกิจทั้กณร;สงฆกณร;ติษย่ แห่งวัดปรร;ยุรวงศาวาส ซงมท่านเจ้าคุณพรร;ธรรมโกศาจารย่ เจ้าอาวาส เป็นต้นเป็นปรร;ธาน แลร;ปวงท่านผู้'มกวามกตัญฌูกตเวทิ อุบาสกอุบาสิกา ของวัดไต้ร่วมกันจัดทำฟ้าเพื่ญให้เป็นไปแล้วในวันนั้ ซอจงเป็นบุญราสืล่าเรี่จ ลัมฤทธิเป็นหิตประ;โยซนํวิบากสมบัติอันเป็นทิพย่แค่บุรพาจารย่แลร;อคตเจ้า อาวาสวัดปรร;ยุรวงศาวาสทุกรูปในลัมปรายภพตามกตินิยม สมตังมโนปณิธาน เจตนาของท่านทั้งหลายตลอดจิรัฐติกาล พรร;ธรรมเทศนาในทักขิณาทานกถา ตังไต้บรรยายขยายกวามมากี่สมปรร;สงก่ ขอยุติลงกงไว้แต่เพยงเท่านั้. เอวํ กี่มต้วยปรร;การฉร;นั้ ฯ www.kalyanamitra.org
ไม่มใกรเข้าใจกำว่า พระธรรมกิฅคิวงfl www.kalyanamitra.org
รมมสังคณีกฝิา เรื่อง รวมรรรม คุฟ้ลา ร^m อกุสลา ธมมา อพฺยากตา ธมมาตี ฯ XXX ณ บัคน็้ จักไค้แฟ้คงพรiธรรมเทflนาอนุโมทนาในส่วนกุศลทักขิณา นุปทานกิจ ทท่านทั้งทลายไค้ร่วมกันบำเพ็่ญเพออุทิศส่วนกุศลไปให้แก่กุณ โยมแม่ลัคคา อารย™น ยูถึงแก่กรรมไปแล้ว คามศมควรแก'เวลา กี่แลกืนนเป็นคนแรกของการบำเพี่ญกุศลศพกุณโยมแม่กัคคา อารย พัฒน ชงถึงแก่กรรมไปเมอคืนนและ:ไค้เชิญศพมาฅงบำ เพ็่ญกุศลทศาลา ฟ้คมานุศรณ วัคปากนา ภาษเจริญน ค้วยกวามเมฅฅาอนุเคราะหอนุญาฅ จากเจ้าปรรกุณลมเคี่จพระมหาริชมังกลาจารย เจ้าอาวาลวัคป่ากนํ้า ทั้งนเพอ ให้ท่านไค้อยู่ไกลซคกับหลวงพ่อวัคปากนํ้า พระ:มงคลเทพมุน ซึ่งคณโยมและ: ลูกหลานทุกกนให้ความเการพศรัทธาอย่างหาทลุคมิไค้ ค้วยว่าเมอกังมซวิค อยู่นั้นคณโยมยู้ล่วงลับไค้เป็นกำลังส่ากัญในการอุปกัมภบำรงวัค พระ:ภิกษุลามเณร พระธทมกิฅฅิวง!^ (ทองก ธุรเกโร ปธ.C^ เร้าอาวาศวักทซโกรศาราม นฟึกงในการมำเพี่ญ กุกลกพนางอักกา อารยพัณน วันเสาร์ท ๙ มิชุนายน พ.ส. ๒3๕๕0 ณ สาสาสกมานุฟ้รณ วกปากนา เขกภาษเ'ใริญ กรุงเทพฯ www.kalyanamitra.org
ฒlisijฒlsu ธรรมฟ้ารเทศนา... พระธรรมกิ?!ติวงส์ ฅลอคถึงแม่ชมาโดยฅลอค แม้ลูกหลานของท่านก็่ประพฤติปฐบัฅิดามท่าน อย่างแฃ็่งขันเหมือนทำด้วยตัวเอง ฉะนั้นจึงอารกล่าวได้ว่าท่านเมืนกนของวัค ปากนั้า เมอร้นชวิฅไปแล้วจึงไครบเมฅฅาอนุเกราะหจากวัดปากนั้าอย่างคยั๋ง เช่นนั้ นอกจากนั้น สมากมติษย่หลวงพ่อวัคปากนํ้า โดยอาจารย่ฅรธา เนยมขำ นายกสมากม และสมาขํกสมากม คลอดถึงภิกษุสงฆ แม่ช ดลอด ถึงยู้เกยวข้องร'มพันธกับลูกหลานของคุณโยม กื่ได้มืนั้าใจเถึยสละช่วยกันจัด ช่วยกันทำ ช่วยกันคำเนินกิจทึ๋พึงทำในเรองเกยวกับสถานท เรํ่องการนิมนฅ พระ การด้อนรับแขก เป็นด้น ให้ล่าเร็่จเรัยบร้อยเป็นอย่างด เป็นเหตุให้เกิด กวามเบาใจสบายใจแก่ลูกหลานของผู้ล่วงรบไปแล้วเป็นอันมาก ในการป้าเพ็่ญกุศลกืนแรกกืนนั้ เภรซกรหญิงอรสา อารยพัฒน ผู้เป็นธิดา ได้ปรารภว่าด้องการจะมืเทศนเรองพระอภิธรรม ๗ กัมภรัทุกกืน เพอให้คุณแมไคพัง และเพํ่อให้ผู้มาร่วมงานป้าเพ็่ญกุศลแด'ละกืนไค้รู้เรองพระ อภิธรรมด้วย เพราะได้ทราบมาว่าพระอภิธรรมเป็นธรรมระตับสูง เป็นธรรมท พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก'พระพุทธมารดาทดอนนั้นเกิดเป็นรนคุสิดเทพบดร อยู่บนสวรรคชั้นคุสิด เพอดอบแทนพระคุณพระมารดาททรงคุ้มพระกรรภท พระองกทรงอาตัยอยู่ดั้งแด่จุติจนถึงประสูติเป็นเวลาถึง ๑๐ เดือนเฅี่ม จึง ในวันนั้จักได้แสดงพระธรรมเทศนา เรองพระอภิธรรม ๗ ก้มภร่เพอสอดกล้อง ดามกวามประสงก่ฃองเจ้าภาพ แด่จักแสดงเฉพาะก้มภรแรภดือก้มภรัรงกณ หรัอธัมมรงกณโดยรงเฃปนัย ดามกวรแก่เวลา พระอภิธรรม ดืออะไร พระอภิธรรม ดือ ธรรมอันยง ธรรมอันวิเศษ ยงกว่าธรรมอน ชงหมายถึงมรรกและผล จัดเป็นปิฎกหนั้งในพระไดรปิฎก ดือ พระวินัยป็ฎก พระสุตตนตปีฎก พระอภิธรรมปิฎก เฉพาะพระอภิ ธรรมปิฎกนั้เป็นทรวมเรํ่องชองธรรมชั้นสูงหรัอปรนัดกธรรมจำนวน d เรอง www.kalyanamitra.org
''๖'o ธัมมสืงคณกถา เรึ๋อง รวมธรTม ด้วยกันคือ เรื้อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ชงสรุปแล้วได้ ๗ ก้มภรหรือ ๗ หมวค่ใหญ่ๆ จึงเรืยกว่ากันโคยทั่วไปว่า พรร;อภิธรรม ๗ คมภิรื แค่ เมอแจกแจงเนอหาออกไปโคยลร;เอยคแล้วได้ ^๒,000 พรร:ธรรมฃันธ หรือ <1๒,๐00 หัวข้อธรรม พรร;อภิธรรม ๗ ก้มภิรื้นั้นมจึอว่า คมภิรื สิงคณ คมภิรวิภงค คมภิรืธาตุกถา คมภิรปุคคลบญญ้'ติ คมภิรกถาวตถุ คมภิรืยมก แลร; คมภิรฮฏฐาน คามลำคับ โปราณาจารยท่านย่อซอก้มภร ไว้เพํ่อจำได้ง่ายๆ ว่า สิง วิ ธาปุ กร; ยร; ปร; แลร;อักษรย่อ ๗ กำ นั้ กลายเ!เนคาถาลำก้ญลำหรับบริกรรมภาวนาพรร;อภิธรรม เรืยกว่า หัวใจ พรร;อภิธรรม ชงนิยมบริกรรมกันมาคราบเท่าทุกวันนั้ ในปิจจุบันนั้ก้มภิรื้พรร;อภิธรรมได้มการจัคพิมพออกมาเป็นเล่มหนังรอ พร้อมกับปิฎกอน แลร;มการคืกษาเล่าเรืยนกันอย่างเป็นลาเป็นอัน มฅำรา อธิบายชยายกวามลำหรับให้คืกษาเล่าเรืยนกันเป็นหอักสูตร หอักสูฅรพรร; อภิธรรมนั้นคืกษากันโคยทั่วๆ ไปปรร;มาณ ๙ ป็จึงจบ ถือกันว่าเป็นเรื้องท ใหญ่เป็นเรองทยาก ทั้งนั้เพราร;พรร;อภิธรรมเป็นธรรมทั่พรร;พุทธเจ้าทรง แสคงแก่เทวคา แลร;เป็นธรรมลำหรับรรธุถืงมรรคผลนิพพาน แค่ถืงกรร;นั้น ก็่ฅาม เพอเป็นกิริยาบุญ ก็่จร;ได้แสคงพรร;อภิธรรมปิฎกนั้นโคยย่นย่อพอได้ ใจความ โคยเฉพาะในก้มภรื้แรกทเรืยกว่าก้มภิรื้ สิงคณ หรือ ธมมสิงคณ พรร;อภิธรรมปิฎกนั้นแบ่งเป็นก้มภร!หญใด้ ๗ ก้มภรื้ ก้มภรืแรกคือ ก้มภรื้อังคมณ คมภิรืสิงคณ ก็่คือ คมภิรืทรวบรวมธรรมทั้งหลายไว้คัวยกัน ก้งทพรร;ท่านสวคเป็นบทด้นว่า กุฟ้ลา ธมมา อกุสลา ธมมา อพยากตา ธม.มา คามพรร;บาลทได้ยกชนมาเป็นนิกเชปบทเบองด้นนั้น ในก้มภรือังกณนั้ ท่านได้ปรร;มวลแสคงหัวข้อธรรมไว้ทั้งหมค ปรร;กอบ ด้วย จิต เจครก รูป แลร;นิพพาน โคยภาพรวมอภิธรรมนั้นเป็นเรึ๋องธรรม www.kalyanamitra.org
ธรรมสารเทศนา... พรรธรรมกิฅฅิวงเ^ ล้วนๆ เป็นธรรมทฟ้นร'จธรรม เป็นของ'จริง เป็นซองทมอยู่ปรากฏอยู่ ไค้แก่เรองทเกยวกับซวิฅร่างกายหรือฅัวฅนกนเรานเอง ไปไค้ห่างไกกไป ในหัวข้อธรรม d ประการนั้น จิต กื่สือ ธรรมชาติๆ^กนึกคิด ท มอยู่ในฅัวเรา มภาวะ รับ จำ กิค รู้ อารมณฅ่างๆ นั้เรืยกว่าจิฅ เจตสิก หมายถึง ธรรมทปรร;กอบกับจิตหรือประกอบในจิต เกิดตบพร้อมกับจิต กล้ายเป็นเงาของจิต เป็นเหตุไหจิตหรือกวามรู้ถึกนึกกิคนั้นคกี่ไคซั่วกื่ไค้ รูป หมายถึง ร่างกาย ไค้แก่ร่งทประกอบขนมาจากธาตุทั้ง d คือ คิน นั้า ไฟ ลม อันไค้แก'ตัวตนร่างกายของเรานั้เราเรืยกกันว่ารูป นิพพาน ก็่คือ สกาวร;ทั้หมดกิเลส สภาวะทั้หลุคพนจากตัณหาทั้งปวงแล้ว อภิธรรมกล่าว ถึงเรอง d เรองคือ จิต เจตสิก รูป นิพพานนั้เอง ในตัมภร่อังกณหรือตัมภร่แรกทั้พระห่านสวค กุสลา ธร!มา อกุสลา ธมา นั้น ห่านแยกธรรมออกเป็น ๓ อย่างค้วยกัน คือ กุสลา ธม.มา ไค้แก'กุศลธรรม ๑ อกุศล ธม.มา ไค้แก'อกุศลกรรม ๑ อพ.ยากตา ธม.มา ไค้แก'อัพยากตธรรม ๑ กำ ว่า ธรรม ในทนั้หมายถึง จิต จิตก็่คือภาวะทั้รับ จำ กิค รู้อารมณตังกล่าวมา กุสลาหรือกุศลไค้แก'ล่วนทคืหรือสิงทั้คื เป็นไป ในฟ้ายคื หมายถึงจิตทคื อกุสลาหรืออกุศลกื่คือล่วนทั้ไม่คื เป็นไ!/!นฟ้ายซั่ว อพฺยากตากี่คือล่วนทั้เป็นกลางๆ ไมไปทางฟ้ายคืและไมไปทางฟ้ายซั่ว จิต ของกนเรานั้นท่านแน่งเป็น ๓ ล่วนใหญ่ๆ คือล่วนทเป็นกุศลเรืยกว่า กุสลา ธม.มา ล่วนทั้เป็นอกุศลทไม'ตเรืยกว่า อกุสลา ธม.มา และล่วนท เป็นกลางๆ เรืยกว่า อพ.ยากตา ธม.มา ตังนั้ ทั้ง ๓ ล่วนนั้เราวัคกันค้วยอะไรว่าคืว่าชั่วหรือว่าเป็นกลางๆ ตอบว่า วัคกันค้วยเจตสิก เจตสิกกี่คือสิงทั้ประกอบในจิต ประกอบกับจิต ซงม อิทธิพลต่อจิตมาก โคยทำใหจิตเป็นอย่างนั้นอย่างนั้กี่โค้ ทั้จิตเรากิคคืกิคชั่ว www.kalyanamitra.org
A ธัมมรงคผฑตา เฬง 7วมธรรม หรือเฉยๆ ก็่ค้วยเ'จฅสิกฅามปรร:กบบังคับทั้งร้น ปกติจิฅฃองกนเรานั้นเป็น กลางๆ ยังไมคไม่ชั่วก่อน แฅ่ทั้บันติมันชั่วกื่เพราร;อาคัยเจตรกเข้ามาปรร;กอบ แลร;เจตสิกนั้นเล่าก็่เหมือนกับจิฅติอมทั้งก่วนทติซงเรืยกว่า โสภณเจตสิก มืทั้งล่วนทไม่ติซงเรืยกว่า อกุสลเจตสิก แลร;ทเป็นกลางๆ ซงเรืยกว่า ปกิณณกเจตสิก เจตสิกล่วนทั้ติ เซ่น สติ กวามรร;ลึกไค้ สร้ฑธๆ กวาม เชอ หิริ กวามลร;อายใจ โอตตปปร; กวามเกรงกลัว ธรรมเหล่านั้เป็น เจตสิกล่วนทติ แม้อโลภร; อโทสร; อโมหร; ติอกวามไม่โลก กวามไม่โกรธ กวามไม่หลง นกื่เป็นเจตสิกในล่วนติ ล่วนเจตสิกทั้ไม่ติไค้แก่ อหิริกร; กวาม ไม่ลร;อายใจ อโนตตปปร; ไม่เกรงกลัวบาป โลภร; ความโลภกวามอยากไค้ โทสร; กวามโกรธ โมหร; กวามหลง ธรรมเหล่านั้เป็นเจตสิกทั้ไม่ติ ล่าหรับ เจตสิกล่วนทเป็นกลางๆ สามารถปรร;กอบจิตไคทั้งทั้เป็นกุศลแลร;อกุศล เซ่น วิตก กวามตรืก วิจาร กวามตรอง อธิโมกข กวามติคสินอารมณ รืเติ กวามอํ่มใจเป็นค้น กนเราจร;ติหรือไม่ติก็่อยู่ทเจตสิกนั้แหลร; เพราร;เจตสิกจร;เป็นยู้แนร;นำ กรร;ค้น หรือบังคับจิฅใหกคไปตามลักษณร;ของตน เมอจิตกล้อยตามแล้วจิต ก็่จร;ลังรูปหรือร่างกายให้ทำ ให้พูด ให้กิตไปตามอกต่อหนง เพราร;ฉร;นั้นจึง มืผู้แต่งหนังลึอเรองหนงซอว่า ธรรมาธรรมร;สงคราม กล่าวลึงเรองรบกัน รร;หว่างธรรมร;กับอธรรม มืเรึ๋องย่อๆ ว่ามืเมืองอยู่เมืองหนั้งจึอว่ากายนกร มืพรร;เจ้าแผ่นตินมืนามว่าพรร;เจ้าจิตตราช มือำ มาตย่อยู่ ๒ พวก ติอ พวก หนงเป็นพวกผ่ายติ เรืยกว่าผ่ายธรรม อกพวกหนั้งเป็นผ่ายไม่ติ เรืยกว่า ผ่ายอธรรม อำ มาตย่ทั้งสองพวกนั้ต่างก็่จร;เพ็่คทูลพรร;เจ้าจิตตราซให้เชอถือ แลร;ยอมรับกวามคิคชองตน อำ มาตย่ทั้ติก็่บักจร;ชวนพรร;เจ้าจิตตราชนั้Iปทำ สิงทั้ติๆ เซ่นให้!ปซ่วยเหลึอปรร;ชาชน ให้ไมไปทำสงกรามกับใกร ให้ไปผูก ไมตรุกับปรร;เทศนั้นปรร;เทศนั้ แต่อำมาตย่ผ่ายไม่ติก็่มักจร;ชวนให้พรร;เจ้าจิตต ราชนั้นไปเบยคเบยนชาวม้าน รืคนาทาเร้น เก็่บภาษชาวม้านให้มากๆ มา www.kalyanamitra.org
ธรรมสาทฑศนา... พระธรรมกิตคิวงfi บำ รุงบำเรอกวามสุฃเพอฅัว หรอชวนให้ออกไปรบทัพจับสืกเทยวกวาคต้อน ผู้กนฃนทรัพยรนเขามา หรือไปยายไปยึคกรองประแทศนั้นๆ ทั้งนั้กี่แล้วแก่ ว่าพระ:เจ้าจิฅฅราชนั้น'จะ;เชอไกรเชออำมาฅยฝ่ายไหน ถ้าเชออำมาฅยฝ่ายคก็่ 'จะ:ทรงไปทำร่งทค ถ้าเซออํกฝ่ายหนั้งก็่ทรงไปทำร่งทไม่ค อำ มาฅยฝ่ายธรรม และ:ฝ่ายอธรรมนั้ทะ:เลาะ:กัน ถกเถยงกันอยู่เสมอเพราะ:เห็่นไปกนละ:ทาง จิฅชองเราก็่เปรืยบไต้กับพระ:เจ้าจิฅฅราช มเ'จฅสิกเป็นทั้ปรืกษา ก็่แล้ว แก่ว่าเ'จฅรก'จะ:ชวนไปทางไหน ถ้าเ'จฅรกฝ่ายธรรมชวนให้ทำบุญทำกุศล ให้ ทานรักษารล ให้เ'จริญภาวนา จิฅณซอเ'จฅรกฝ่ายคแล้วอยากให้ทานอยาก 'จะ:ทำคตามกำชวน แฅในฃณะ:นั้นเ'จฅรกฝ่ายอธรรมกี่'จะ:กอยกัคต้านห้วงติง ว่าอย่าทำเลย ทำ ไปทำไมเกี่บเอาไว้กินเอาไว!ซ้คกว่า เอาไว้เทํยวคกว่า เมึอ จิตอยาก'จะ:รักษากิล เ'จฅรกอกฝ่ายหนั้งกี่'จะ:ห้ามจิตว่าอย่าไปเลยเสิยเวลา เปล่าๆ เมํ่อจิฅคิคอยาก'จะ:เ'จริญภาวนา อกฝ่ายหนั้งกี่'จะ:กอยทักห้วงว่า เ'จริญไปทำไม นั่งไปทำไม ปวคเมอยเรยเวลาเปล่าๆ ตังนั้เป็นต้น ถ้าจิต เห็่นต้วยกับฝ่ายตัคต้าน เจ้าชองจิตกี่ทำกวามคอฟ้.รไมใต้ เพราะ:ฉะ:นันจิตจึง เป็นเรึ๋องส์ากัญมาก และ:เ'จฅรกทประ:กอบกับจิตกี่เป็นเรองรากัญไม่น้อย จึง กวร'รกจิตทำจิตให้เข้มแฃ็่งเข้าไว้เสมอ กนทั้มจิตเข้มแฃี่ง เมอเ'จฅรกฝ่าย ธรรมมาซักชวแก่ถูกเ'จฅรกฝ่ายอธรรมเข้ามาห้ามปรามกี่'จร?ต้านทานไหก แล้วกี่ไปทำร่งทคไต้ แก่ถ้าจิตอ่อนแอ เมอถูกเ'จฅรกฝ่ายไม่คเข้ามาซักชวนไป ทำ บาปทำอกุศลก่างๆ ทั้เรยหายกี่'จะ:โอนอ่อนผ่อนตามไปทำกวามซัวไป ทำ กวามผิตต้วยประ:การก่างๆ อย่างเซ่นกนททำกวามซัวเพราะ:กวามโลภ บ้าง ทำ ชั่วเพราะ:กวามโกรธบ้าง ทำ ชั่วเพราะ:กวามหลงกวามเข้าใ'จผิตบ้าง ทำ ชั่วเพราะ:กวามไม่ละ:อายใ'จไม่มรานกในใ'จบ้าง หรือทำซัวเพราฟ้,ม่มศรัทธา ทำ ชั่วเพราะ:ประ:มาทฃาคสติบ้าง อย่างนั้กี่มอยู่ สรุปกวามว่าจิตในล่วนทดเป็น กุสลา ธม.มา ในล่วนทไม่ดเป็น อกุศลา ธมมา แก่หากว่าเป็นกลางๆ ไม่ไปฝ่ายคไม่ไปฝ่ายซัว เรืยกว่า www.kalyanamitra.org
•๖ร ธมมสิ'งคณกถา เรอง รวมธรรม อพ.ยากตา ธม.มา สิงท'จะทำให้เกิคกุศลอกุศลนั้นอยู่ทเจฅรก แล้วท่านกี่ แ'จกลูกออกไปคือขยายกวามออกไปตามทพระท่านศวคว่า ยศฺม ศมเ.ย กามาวจรํ จิตฺตํ ในขณะนัน จิตอันเป็นกามาพ'จรคือจิฅทท่องเทยวอยู่ใน กามภพเป็นไปกับด้วยโศมนัศคือกวามยินคื ประกอบด้วยญาณคือกวามรู้ รูปารม.มณํ วา มรูปเป็นอารมณบ้าง สทุทารม.มณํ วา มเคืยงเป็นอารมณ บ้าง อังนั้เป็นด้น คือท่านอธิบายขยายกวามเรํ่องทจิตเป็นกุศลหรือเป็น อกุศลออกไปเพํ่อให้เห็่นชัคเ'จนยั๋งฃน ยกตัวอย่างเป็นด้นว่าในขณะทเราเข้าไปในโบศก ตามองไปเห็่น พระพุทธรูปทศวยงามเรืยกว่าเห็่นรูปารมณ เห็่นแล้วเกิดศรัทธาจึงก้มลงกราบ ไหว้พระพุทธรูปนั้น ในขณะนั้นเรืยกว่ากามาพ'จรกุศลจิตนั้เกิคฃ็้น เป็นจิตท ผ่องใศเป็นไปกับด้วยใศมนัศยินต และประกอบด้วยญาณกวามรู้ ถ้าหากว่า เราเกิคสินลม'จากไปในขณะนั้น ศุกฅิกี่เป็นอันหวังได้ ศุกฅิในทนั้เป็น กามาพ'จรภพ คือภพภูมิทวนเวยนอยู่กับกามศุข ได้แก่มนุษย่และศวรรก หรือในขณะททำศมาธิแล้วได้รูปฌานมปฐมณานเป็นด้น จิตในขณะนั้นกี่เป็น รูปาพ'จรกุศลจิต เมึ๋อตายไปแล้วกี่เกิคเป็นรูปพรหมอยู่ในรูปภพ หรือถ้า หากว่าจิตได้บรรลุกงอรูปฌาน เช่นฤๅษทเป็นอา'จารย่ของเจ้าชายสิทธัตก:: คืออาฬารคาบศกับธุททกคาบศ ทังศองท่านนั้1ด้อรูปฌาน สินชวิตแล้วกี่เกิค เป็นอรูปพรหมอยู่ในอรูปภพ ตังนั้เป็นด้น นเป็นกามาพ'จรจิต รูปาว'จรจิต และอรูปาวจรจิต แต่ถ้าหากว่าจิตหลุตพ้นจากกิเลศได้เลยกี่เป็นโลกุตตรจิต ได้แก่จิตของพระอริยบุกกลทั้งหลาย หรือเมึ๋อเข้าไปทังพระเทศน!นโบศกใน ศาลา ไคืยนเสิยงพระเทศนั้ ไคืยนเสิยงพระศวค จิตเกิคศรัทธาขนมา จิต ขณะนันกี่เป็นกุศลจิตทเกิดจากอัททารมณ และทำให้เกิดผลเหมือนกับได้เห็่น พระพุทธรูปอันเป็นรูปารมณ ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าไปเห็่นกนทไปถูกกัน เห็่นแล้วกี่เกิดโทศะ เกิด กวามโกรธเกิดกวามไม่พอใจขนมา ในขณะนั้นจิตซํ่อว่าอกุศลา ธมฺมา คือ www.kalyanamitra.org
ร^ ISulSu ธรรมฟ้ารเทศนา... พระธรรมกิฅฅิวงส์ อกุศลจิฅเกิคฃน ถ้าหากว่าล้มหายฅายจากไ!/!นฃณรจิฅกำลังโกรธอยู่ นรก ก็่ฟ้นอันหวังไค้ เพราะ!ว่ายูทจรเกิคในนรกนั้น เกิคค้ยอำนาจโทสมูลจิฅกือจิค ทประ!กอบไปค้วยโทศะ! หรือถ้าหากว่าจิฅในฃณรทใกล้ตายมโลภรมศวาม อยากไค้อยู่ก็่จรไปเกิคเป็นเปรตหรืออกุรกาย แต่ถ้าในฃณรใกล้ตายจิต ปรรกอบค้วยโมหร ตายแล้วย่อมไปเกิดเป็นลัฅว่ติรัจฉานแน่นอน เพราร! กำ เนิคลัฅว่เดรัจฉานนั้นเกิคไค้ค้วยโมหมูลจิต กือจิฅทปรรกอบค้วยโมหร เหมือนทท่านเล่าไว่ในพรรกัมภรธรรมบทว่า มืภิกษุรูปหนั้งซอติสสรไคจวรใหม่มาผืนหนั้ง เป็นจิวรทเนั้อน่มลรเอยด ท่านติดว่าพรุ่งนั้จรห่มออกไปรับบิณฑบาต ในฃณรนันจิตของท่านกี่ติด หลงใหลอยู่กับจิวร ลูบๆ กลำๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ปรากฏว่าศืนนันท่าน หัวใจวายถงมรณภาพ เมอมรณภาพแล้วกี่เกิดเป็นเลี่น^งเป็นลัฅวป็กตัว เล็่กๆ เการติดอยู่กับจิวรนั้นเองเพรารอำนาจโมหรศือกวามเสน่หาในจิวร กอมรณภาพในฃณรทจิฅปรรกอบไปค้วยโมหร!กี่เกิดเป็นลัตวเดรัจฉาน มืถ้ร ปฏิบัติทเป็นพรรวินัยอยู่ว่า เมอพรรสงฆมรณภาพแล้ว ไม่ว่าบาตร ไตรจิวร หรือว่าบริขารอรไรกี่ตามย่อมตกเป็นซองสงฆ สงฆจรค้องแน่งกัน ปรากฏว่า เลื่นนั้นบินพล่านทเคยวเมอรู้ว่าเฃากำลังจร!แน่งบริขารของตนรวนหังจว^ผืฉ นั้นค้วย แต่ว่าภิกษุทั้งหลายไม่^ม่เหี่น แต่พรรพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเหี่นจิงทรง ห้ามพรรว่าอย่าเพงแน่งกัน อก ๓5 วันต่อยแน่ง ภิกษุหังหลายกี่รอจนกรบ ๗ วันแล้วจิงแน่งกัน เสรี่จแล้วกี่ทลถามว่าทำไมจิงแน่งในดอนแรกไมไค้ พรรพุทธเจ้าตรัสบอกว่าเพรารเวลานันเจ้าของบริขารกอพรร!ติสสร!เกิดเป็ฉ เล็่นอยู่ ยังหวงอยู่ หากแน่งกันในตอนนันเธอจรโกรธพวกเธอแล้วจร!ตกนรก ค้วยอำนาจโทสร แต่เมอกรบ ๗ วันแล้วเธอไค้!ปเกิดในภพคุลัตค้วยผลแห่ง สมณธรรมทตัวเองไค้ปฏิบัติมาแล้ว เรองนั้ช็้ให้เหื่นว่า ในขณรทตาย จิตปรรกอบค้วยโลภร โทสร หรือ โมหรอันเป็นเจตรกนั้นมืผลต่อการไปเกิดในภพภูมิใหม่ กึอถ้าปรรกอบค้วย www.kalyanamitra.org
๖๗ ฒมรงคณกถา เรึ๋จง รวมธรรม โลภะกื่จ^ไป๓คเป็นเปรตหรออสุรกาย ถ้าประกอบด้วยโทสร;กี่จ:ไปเกิคเป็น ร'ฅวนรก ถ้าประกอบด้วยโมหะกี่จะไปเกิดเป็นรฅวเครัจฉาน ตังเซ่นพระฅิสสะ ทเกิคเป็นเล็่นด้วยโมหะซงเรยกเฅ็่มว่าโมหมูลจิฅคือจิฅทประกอบด้วยโมหะ ความหลง นเป็นเรองของจิฅทเป็นอกุศล ซงกี่แล้วแต่ว่ามเจตรกอะไรมา กระด้นมาแนะนำไห[ปทำอะไร เพราะฉะนั้นท่านจงแนะนำระวังมิให้อกุศลจิต แต่ว่าใจของกนเรานั้นจะอยู่โคคเคยวไม่ได้ จะด้องมเจตรกอยู่ด้วย ตลอคเวลา ตังนั้นจิงจำเป็นด้องtเกฝนให้มเจตรกทคืประกอบกับจิต เซ่นtเก ให้มสฅิตลอคเวลาด้วยการทำสมาธินำเพ็่ญกรรมฐาน ให้มหิริมโอตตัปปะอยู่ ตลอคเวลา ให้มศรัทธาคือความเชออยู่ตลอคเวลา ตังนั้เป็นด้น ถ้าหากว่า ทำ ไคืกี่จะสามารถทำของตัวเองให้เป็นกุสลา ธม.มา ได้ตลอคไป ในทำนองเคืยวกัน รูปชงเป็นรวนหนั้งของพระอภิธรรมคือร่างกายของ คนเรานั้จัคเป็นอพฺยากตา ธม.มา คือเป็นกลางๆ กล่าวคือรูปร่างกายของ คนเรานั้นไม่คืไม่ชั่วในตัวเอง แต่ว่าคืหรือชั่วกี่เพราะอาตัยการกระทำทมจิต คอยบังตับบัญชาอยู่เป็นหลัก เซ่น มอของเราชงเป็นอวัยวะล่วนหนั้งใน ร่างกาย มือนั้ยังไม่คืยังไม่ชั่วคือยังไม่เป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าหากว่าเราใช้มือ ไปประนมถ้มกราบพระ ไซ!หว้พ่อไหว้แม่ ไซ!ปถวายของไปไล่บาตรพระ มือของเรากี่เป็นกุศล เป็นกุสลา ธม.มา แต่ถ้าหากว่าใช้มือเคืยวกันนั้นแหละ ไปตบไปตคนอน ไปฆ่าคนอน ไปจับมืคจับปีนฟินคนอนฆ่าคนอน มือนั้น กี่กลายเป็นอกุสลา ธมฺมา ทั้งทแห้จริงมือนั้นไม่กุศลไม่เป็นอกุศล แต่ทเป็น กุศลหรืออกุศลตังนั้นกี่เพราะอำนาจจิตและอำนาจเจตรกบงการให้เป็นไป เพราะฉะนั้นเราท่านทั้งหลายเมอได้ทราบขัคตังนั้ว่าซ่วิตร่างกายของเรา นั้นประกอบไปด้วยกุศล อกุศล และอัพยากตะแน่นอนทุกคนไป กี่แล้วแต่ว่า เราจะปลกฉันทะมืความยินคืความพอใจไปในทางไหน เราจะสร้างพลังสร้าง www.kalyanamitra.org
Pm ifeillSol: ธรรมฟ้ารเทศนา... พระธรรมกิฅฅิวงส์ อำ นาจให้เกิคขนในตัวเองคัวยจิฅและ:เจฅสิกอย่างไร เซ่นลร้างเจตสิกทเป็น ศรัทธา ศร้างเจตสิกทเป็นสิฅิ เป็นหิริ เป็นโอตตัปปะ! ศร้างวิริยะ!กวาม พากเพยรความพยายาม หริอว่าจะ!ปรับเปลยนโลภะ! โทสะ! โมหะ!ทมอยู่ ประ!จำตัวให้กลับเป็นอโลภะ! อโทสะ! อโมหะ! ชงเป็นเจตสิกทค กี่แล้วแต่ว่า ใครจะ!ทำอะ!ไรอย่างไร ซงกี่สามารถสร้างไคัทำไคัคัวยการสร้างบุญสร้างบารม อันเป็นกุศลมประ!การต่างๆ เซ่น ให้ทาน รักษาสิล เจริญภาวนา เป็นคัน ธรรมะ!ทแสคงมาโดยลังเขปนเป็นหัวข้อธรรมในตัมภริพระ!อภิธรรม ตัมภริแรกทซํ่อว่าธัมมลังกณทขนคันคัวยบทว่าพระ!บาลว่า กุสลๆ ธมมา อกุสลา ธมมา อพฺยากตา ธมมา เป็นอาทิ ซงพระ!สงฆจฟ้.คัสวดลังวัธยาย ต่อไป อาตมาได้ชแจงแสดงพระ!ธรรมเทศนาในธัมมสงคณกถา กี่สมกวรแก' เวลา ขอยุติลงคงไว้แต่เพยงเท่าน็้ เอเคน สจจวชุเชน คัวยอำนาจการกล่าวคำลัตย่อันเป็นธรรมน สทา โสต.ถ ภวนุตุ โว ขอความสุข ขอความสวัสค ขอความเจริญก้าวหน้าใน ธรรมจงบังเกิดมแก'ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน อิมินา จ กตปุฌฺเฌน และ!คัวยอำนาจบุญกุศลทั้ท่านทั้งหลายอันประ!กอบคัวยลูกหลานและ!ญาติมิตร ลัมพันธซนของคุณโยมแม่ลัดดา อารยพัฒน้!คัร่วมกันบำเพ็่ญให้เป็นไบั!นวันน ขอจงเป็นตบะ!เป็นเดชะ!พลวบัจจัย บังเกิดเป็นทิพยสุข ทิพยสมบัติ แก่คุณ โยมแม่ลัดดา อารยพัฒน้ ยู้ถงแก'กรรมไปแล้ว ขอจงไคัเสวยทิพยสุขทิพย สมบัตินั้นในลัมปรายภพใหิยงขนไปตลอดจิรัฏฐติกาล รับประ!ทานแสดงพระ! ธรรมเทศนาสมประ!สงคํ ขอสมมติยุติลงคงไว้คัวยเวลาเพยงเท่านั้. เอวํ กี่มคัวยประ!การฉะ!นั้ ฯ www.kalyanamitra.org
|r ชึวิตกฉา พื่อง ฃีวิดสมบูรณ์ อตตตฺถํ วา หิ ภิฦฃเว ฟ้มฺปฟ้ฟ้มาเนน.., ปรทตุถํ วา... อภยตฺถํ วา หิ ภิฦขเว ส์มปสุสมาเนน อลเมว อ!!ปมาเทน สมปาเทตุนดิ ฯ น. บคน จ้กไค้แสคงพระธรรมเทศนาในซวิฅกถาว่าค้วยเรองซวิฅสมบูรณ เพอเพมพูนปิญญาสมมาปฏิบัติ และเพออนุโมทนาในdวนกุศลทักขิณา นุปทาน™คณะกรรมการมูลนิธิสมาน-กุณหญิงเบญจา แสงมลิ และหลานๆ คระถูลกุงคะลิริ พร้อมทั้งญาติมิฅรคณะติษยประกอบค้วยจิฅทเร่ยมค้วย กทัญณูกฅเวทีคาธรรมร่วมทันบำเพี่ญให้เป็นไปเนองในการพระราชทานเพลิงศพ กุณหญิงเบญจา แสงมลิ ชงในการน'สมเค็่จพระเทพรัฅนราชสุคา สยาม บรมราชกุมาร ทรงพระกรุณาโปรคเกล้าฯ เสคี่จพระราชคำเนินมาพระราชทาน เพลิงค้วย นับเป็นพระมหากรุณาธิกุณแก'กุณหญิงเบญจา แสงมลิ และ พรรธรrนกิคคิวง!^ (ทองคิ สุรเคโช ป.ธ. วัฅราชโอรส์าราม เซตๆอมทอง กรุงเทพมหานกร แศคงในการพรรราชทานเพติงศพ กณหญิงเฆญจา แศงมติ ณ วัคมกฏกษ้คริยาราม กรุงเทพมหานกร วันจันทร์ฑ ๙ กรกฎากม พ.ก. ๒5:๕๐ เวลา ๑๐.๐๐ น. www.kalyanamitra.org
wHj ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิฅฅิวงfj ฅร:;กูลแสงมลิ ฅระกูลตุงก^สิริ อย่างหาทสุคมิไค้ ทั้งน็้เป็นการปร:;กาศถึง กวามคงามและปวงปรฟ้ยซนทกุณหญิงไค้ปฏิบัติจัคทำไว!นขณ2ทั้ยังมซวิฅ อยู่ว่ามกุณก่าและเออประโยซนแก'สิ'งกมเพยงโค คุณหญิงเบญจา แสงมสิ ไค้ถึอกำเนิคเมอวันทั้ d สิงหากม พ.ศ. ๒<1๕๘ ในตระกูลตุงกะสิริ เ!เนธิคากนโคในจำนวนบุตรธิคา ๓ กน ซองหลวงชำนาญบัญซ (กัณฐา ตุงกะสิริ) และนางชำนาญบัญซ (ผัน ตุงกะสิริ) ซวิฅในวัยเริยนนั้นไค้มโอกาสถึกษาเล่าเริยนในโรงเริยนหลายแห่ง จนจบชั้นมัธยมถึกษา!เทั้ ๘ และไค้ทำงานเปีนมักเริยนfเกสอนและเริยนวิซา กรูจนสอบไค้ประกาศนยบัฅรประโยกกรูประถม (ป.ป.) ประกาศนยบัฅรประโยก กรูพิเศษมัธยม (พ.ม.) ในฃณะทั้เ!!นซ้าราซการกรูอยู่นั้นสอบกัคเลือกไค้ทุน จากกระทรวงถึกษาธิการไปเรยนฅ่อทั้ประเทศญป้นในวิซาอนุบาล ไค้ถึกษา ภาษาญป้น ไค้เป็นมักเริยน'&กหัคกรูชั้นสูงทั้ประเทศนั้น และไค้!ปถึกษาคูงาน ทั้ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากคระเวนถึกษาเล่าเริยนพอกวรแก'การแล้วไค้ กลับมาแค่งงานกับอาจารย่สมาน แสงมสิ กรูใหญ่โรงเริยนวัคนิมมานรค บางแก ซงค่อมาคำรงตำแหน่งสุคท้ายเป็นปลัคกระทรวงถึกษาธิการ ไค้!ซ้ ซวิคร่วมกันมาอย่างผาสุกกว่า ๓0 ป็ และหลังจากทั้สามไค้จากไปก่อน แล้วท่านก!ค้!ซ้ซวิคในนั้นปลายอย่างสงบสุซอยู่ทั้บ้านโคยคลอค แบ้ว่าจะไม'ม บุครธิคาให้กำลังใจปรนนิบัติยามเจ็่บป่วย แค'ท่านก็่ไค้สิงทคแทนถึอกำลังใจ และกวามคูแลเอาใจใล่จากกลุ่มบุกกลผู้มกวามเการพรักท่านอย่างจริงใจ เสมอมา เซ่นเพอนร่วมงาน ลูกติษย่น้อยใหญ่ ทำ ให้ท่านมจิคใจเข้มแฃี่งเบิก บาน อารมณค จวบถึงซราภาพมากแล้วไค้เกิคโรกอันครายถึอคับอ่อน อักเสบซนิครุนแรง ไควาย เป็นเหตุให้ติคเซอในกระแสโลหิคค้องรักษาคัวอยู่ ทั้โรงพยาบาลวชิรพยาบาลจนถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบ เมอวันทั้ ๒๒ มกรากม พ.ศ. ๒๕๕0 สิริรวมอายุไค้ ๙๑ ป็เศษ www.kalyanamitra.org
•ฬ© เวิตกถา เรอง ซวตถมบูรณ์ ฅลอคฟันทางซวิฅและการทำงานในวิชาซพกรูอันยาวนานของคุณ หญิงเบญ'จา ท่านไค้อังสมประสบการณ กวามรู้ กวามกิค วิธการแก้ ปิญหานานาประการไว้อย่างมากมาย และค้วยอั'จฉริยภาพทางค้านการเขยน อันเยยมยอค จึงสามารถ่ายทอคออกมาเปีนงานเขยนหลากหลายรูปแบบท ล้วนทรงคุณก่ามหาสาลฅ่อวงการจึกษาไทย โคยเฉพาะการอนุบาลจึกษา เพราะประสบการณอันลํ้าก่าของท่านเปีน่บทเรยนทคทให้ทั้งกวามรู้กวาม เข้าใ'จในการอนุบาลสืกษา ให้ข้อกิคในการก่อรูปีญหาฟินฝ่าอุปสรรกเพอ สร้างผลส์าเรี่'จให้กับงานค้วยกวามเข้มแฃี่งอคทน ทั้งยังให้แนวทางในการ คำ เนินซวิฅทั้คอกค้วย ผลงานเขยนของท่านล้วนเกยวข้องกับการจึกษาของเค็่กปฐมวัย เคื่ก ชั้นประถมจึกษา 'จนถึงระคับมัธยมจึกษา ปรากฏออกมาในหลายรูปแบบ ทั้งหนังถึอเล่ม หนังถึอวิขาการ หนังถึอภาพล่าหรับเค็่ก เพลงเค็่ก รวมทั้ง บทกวามทางการถึกษาลงในวารสารและนิฅยสารก่างๆ มากมาย ผลงาน ก่างๆเหล่านเปีนแหล่งกวามรู้อย่างคล่าหรับผู้ทั้อยูในแวควงการถึกษาและผูทั้ เกยวข้องในการดูแลเค็่ก ในการถึกษก้นกว้าอ้างอิง รวมทั้งนำไปใข้เปีนแนว ปฏิบัติไค้เปีนอย่างค ค้วยประสบการณการทำงานและผลงานเขยนมากมาย เช่นน จึงไครับการยกย่อง'จากบุกกลทุกวงการ โคยเฉพาะในแวควงการ ถึกษาว่าท่านเปีนผู้เชั้ยวขาญค้านหลักสูฅรการเรี่ยนการสอนเค็่กปฐมวัย และเปีน\"ปรมาจารยด้านการอนุบาลถึกษาไทย\" อย่างแห้จริง อนง เนึ๋องจากท่านปอัคฯ สมานและคุณหญิงเบญจา แสงมลิ ไม่ม บุฅรธิคา ทำ ให้ท่านทั้งสองมกวามคำริจะถึนทรัพย่ลินทไค้จากการรับราขการ ให้แก'วงการถึกษา โคยการจัคฅั้งมูลนิธิเพอล่งเสริมการถึกษา ศาสนา และ สาธารณประโยขนํฃน บรรคาท่านทั้มกวามเการพนับถึอและลูกติษยั1ค้ทราบ กวามคังนั้นจึงร่วมกันจัคทั้ง \"มูลนิธิสมาน-คุณหญิงเบญจา แสงมลิ\" ขน ในปี พ.ส. ๒๕๓!๓ และคำเนินงานติคก่อกันมายาวนานคราบเท่าทกวันนั้ www.kalyanamitra.org
ธรรมสารเทศนา... พระ!ธรรมกิฅฅิวง^ โคยไค้เบค้นแลร:ยกย่องพรร:สงฆ กรู แลร:นักการสืกษายู้มผลงานค้เค่นใน V? สาซา คือสาขาพรร:สงฆนักพัฒนา ผู้บริหารการคืกษา กรูภาษาไทย กรู ร'งกมคืกษา การคืกษานอกรร:บบ แลร:การคืกษาก่อนปรร:ถมคืกษา โคยไค้ รับพรร:มหากรุณาธิคุณ'จากสมเค็่จพรร:เทพรัฅนราชสุคาฯ สยามบรมราช ทุมาร ทรงพรร:กรุณาโปรคเกล้าฯ พรร:ราชทานรางวัลมูลนิธิฯเป็นปรร:'จำทุก ป็ คลอครร:ยร:เวลา ๑๘ ป็ทผ่านมา กณร:กรรมการมูลนิธิฯไค้กคสรรผู้มผล งานคืเค่นใน \\ว สาชานั้นเป็นปรร:'จำทุกป็ ไค้กัคเลือกผู้มผลงานคืเค่นแลร:ไค้ นำ เช้าเล้ารับพรร:ราชทานรางวัล'จำนวนกว่า ๑00 ราย พร้อมทั้งไค้วัค ล้มมนาทางวิชาการเพอให้ผูทไค้รับรางวัลเผยแพร่ผลงานคลอค'จนกรร:บวนการ ทำ งานอันเป็นปรร:โยซนํฅ่อวงการคืกษา ลือไค้ว่ามูลนิธิสมาน-คุณหญิงเบญ'จา แสงมลิ ไค้ยกย่องเซิคซูเกยรฅิให้กรูไทยเกิคกวามกากภมิใ'จแลร:สามารถทั้'จร: เป็นกรูอาซพไค้เป็นอย่างคื แลร:ยัง'จร:คำ เนินกิ'จกรรมเพือการนั้ฅ่อไปอกนาน เท่านาน 'จากเล้นทางซวิคแลร:ผลงานชองคุณหญิงเบญ'จา แสงมลิ อังไค้แสคง มานั้ย่อมซซัคไค้อย่างหนงว่า ท่านไค้ใซ้ซวิคอยู่บนลืนปฐพนั้อย่างคุ้มค่าน่า อัศ'จรรย่ แบบไม่น่าเชอว่าผู้หญิงกนหนงไค้รังสรรกผลงานค้านการคืกษาไว้ แลร:หลงเหลืออยู่เป็นอนุสรณชวิคแลร:กลายเป็นมรคกในวงการคืกษาไทยฅ่อ มาไค้มากมายชนาคนั้ แสคงว่าซวิคชองท่านเป็นซวิคทสมบูรณคามหล้กกำ สอนในทางพรร:พุทธศาสนาโคยแห้'จริง เมอกล่าวลืงเรํ่องซวิคสมบูรณย่อมมกำถามคามมาว่าซวิคเซ่นไรคืง'จร: นับไค้ว่าเป็นซ่วิคสมบูรณ ในช้อนั้ย่อมมกำคอบแคกค่างกันไป บ้างว่าซ่วิคท มกวามสุชเป็นชวิคสมบูรณ บ้างว่าซ่วิคทมปี'จวัยคำรงซ่วิคเพยบพร้อมทุก อย่างเป็นซวิคสมบูรณ อังนั้เป็นค้น ชงก็่มล่วนถูกค้วยกันทั้งร้น แฅ่เมอ แยกแยร:ชวิคสมบูรณคามองกปรร:กอบชงเป็นเหตุให้เป็นชวิคทสมบูรณย่อมไค้ เป็น d รร:อับ คือ ซ่วิคสมบูรณรร:อับค้น ไค้แก' ช้วิตทั้มอวัยวร;ครบถ้วน www.kalyanamitra.org
■๗๓\" ^ว๊ตกถา เ1อง สมยูรณ ไม่พิกลพิการ มสติปีญญๆปกติ ไม่มโรคภัยปรร;จำตว กล่าวคือเกิคมาฟ้น กนปกติ ไม่บกพร่องทั้งทางร่างกายแลร;ฟ้ติปิญญา ยู้ทมร่างกายและ:ฟ้ติ ปีญญาเป็นปกติอย่างน็้ย่อมมชวิฅฟ้นปกติสุขไค้ในระ:คับหนง ซวิฅย่อมม กวามสมบูรโนIนระ:คับหนง ชงสามารถเป็นฐานรองรับระ:คับชวิฅทสูงกว่าขน ไปไค้ กรงกันข้ามผู้ทมกวามพิการทางร่างกายหรือทางสติปีญญามาแก่ กำ เนิค ย่อมมปีญหาในการคำ เนินซวิฅ กวามพิการนั้นย่อมเป็นอุปสรรกใน การเป็นอยู่กลอกไป ซวิกย่อมขากกวามสมบูรโนทั้งแก่ค้น หรือเป็นกนทั้มโรก กัยไข้เจ็่บประ:จำคัวประ:เภทสามวันคืคืวันไข้ หรือเป็นโรกประ:เภทรักษาไม่หาย ค้วยแล้วย่อมเป็นอุปสรรกก่อการคำ เนินซวิกอันล่ากัญ เพราะ:เป็นเกรอง บั่นทอนกำลังใจมิให้กิคจะทำอะ:ไรแก่กนและ:กนอํ่น มแก่จะท้อแท้สินหวัง นอนนั่งอยู่บนกองทุกฃกลอกเวลา หรือกนทั้สติปีญญาไม่สมบูรถ41ม่อาจ พงพาคัวเองไค้ ซวิกของเขาก็่ยํ่งจะไม่สมบูรโนโปกลอก กังนั้นกนทมอวัยวะ และสติปีญญาไม่บกพร่องจึงนับไค้ว่ามซวิกสมบูรโนเป็นเบองค้น ซวิกสมบูรโนระคับทํ่สอง ไค้แก่ ชวิตทมการคืกษาค ได้คืกษๆเล่า เรืยนจนเต็่มความสามารถของตน อันเป็นผลคืบเนื๋องมาจากมซวิกสมบูรโน ระคับค้น ชวิตของบุคคลทมหน้าทการงานทำเป็นหลักฐาน สามารถหา ทรัพย่สมบัติและสิงอำนวยกวามสะควกให้แก่ซวิกไค้ ไม่เคือคร้อนขากแกลน เรองการคำรงซพ ชวิฅของบุคคลทมครอบครัวทอบอุ่น มคู่ครองทเข้าใจ กน มบุตรธิดาทเชอพิงทั้งอยู่ในโอวาท หรือชวิตของบุคคลทมเกยรติยศ มตำแหน่งหน้าทั้การงานสูง มชํ่อเคืยงเป็นทยอมnjของคนทั่วไป ซวิกเซ่น นั้จัคไค้ว่าเป็นซ่วิกสมบูรโน!นระคับทสูงขน เป็นซวิกทั้มกวามสุขทั้งกายและใจ เกือบจะกล่าวไค้ว่าเป็นซวิกทั้สมบูรโนทั้สุคแล้วและเป็นยอกปรารถนาของยู้กน โกยทั่วไป แก'แท้จริงแล้วซ่วิกกนเรามิใซ่จะหยุกอยู่แก่มทรัพย่สมบัติ มงานทำ มกรอบกรัวทั่อบอุ่นเท่านั้น ยังจะสามารถพัฒนาและพอกพูนกวามสมบูรโน!ท้ มากขนไค้อก และซ่วิกสมบูรโนระคับนั้อาจไม่สมบูรโนและพูนสุขอยู่โค้กลอกไป www.kalyanamitra.org
ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิตคิวงส์ อาจพลิกผันเปลยนแปรได้หากไปรร;วัง เซ่นสมบัติทมอยู่อาจวิบัติได้เมอถึง กราว หรึออาจเป็นเหตุให้เหลิงใจไปก่อกวามหายนรให้แก'ฅนก็่ได้ หรือเกยรติ ยกชึ๋อเถึยงนั้นอาจก่อกวามทุกฃให้ก็่ได้ เซ่นทำให้!ม'เป็นฅัวฃองฅัวเองบ้าง ทำ ให้พักผ่อนได้!ม่เฅ็่มทบ้าง ทำ ให้ขากกวามอบอุ่นในกรอบกรัวบ้าง ทำ ให้ เมาบัวเพลิกเพลินแล้วไปก่อกรรมทำเฃ็่ญด้วยถึออำนาจบ้าง หรือชวิฅถู่ท สกfนอาจกลายเป็นขมชนทุกชรร;ทมเมอกวามรักจืกจางไปก!ด้ จึงเป็นไปได้ท ซวิฅทคูภายนอกว่าสมบูรณนั้นอาจไม'สมบูรพจริงและให้กวามสุขทแห้จริง ชวิฅสมบูรพรร;คับทสาม ได้แก่ ชวิตทมคุณธรรม กึอซ่วิฅทมั่นกงอยู่ ในถึลในธรรม มถึลมธรรมเป็นหลัก ยกถึลยึกธรรมเป็นแนวคำเนิน มกวาม ลร:อายชั่วกลัวบาป มมโนธรรม มจิฅลิานกใฝ่ในทางค หลกหนห่างพ้นจาก ทางชั่วทางเลว มกวามรู้ถึกผิกชอบแลร;รับผิกชอบในคัวเอง มั่นอยู่ในกวาม ซอลักยสุจริก ในกวามเทยงธรรม ในขันติ เป็นด้น แบ้จร;มลิงยั่วเย้ามา กรร;ด้นให้ผิกถึลผิกธรรมหรือให้เถึยกวามซอลักย้สุจริกไป ก็่สามารถอกทนอก กลั้นได้!ม'ยอมกกอยูในอำนาจชองลิงยั่วเย้านั้น เป็นการกกกันคัวเองออก จากกวามชั่วกวามเลวต่างๆ ได้ แลร;ในฃพร;เคยวกันกี่มจิกใจปรร;กอบด้วย กพธรรมเซ่นเมกกากรพาแล้วแสกงออกด้วยการมนํ้าใจมกวามเถึยสลร; ซ่วยเหถึอเกอกูลยูอึ่นทอ่อนด้อยหรือมกวามรู้กวามสามารถน้อยกว่ากนบ้าง ต่อยู้ด้องการกวามซ่วยเหลือในยามด้องการบ้าง หรือเมอมผูใกมาทำให้เกือก ร้อนเถึยหายก็่ให้อภัยเขาได้!ม่ถึอโกรธ ไม'อาฆากจองเวร คังนั้เป็นด้น ซวิกท มกืลมธรรม มกวามเถึยสลร;อย่างนั้ย'อมเป็นซ่วิกทสมบูรพแลร;สูงกว่าซวิก สมบูรโน!นรร;คับด้นๆ เพราร;กวามสมบูรโนแห่งซวิกในรร:คับนั้เกิกจากการให้ มิใซ่เกิคจากการมแลร;การรับเหมือนซ่วิกรร;คับด้นๆ สามารถหล'อเลั้ยงจิกใจ ให้แซ่มซนเบิกบานได้กลอกเวลาทนกถึง ทั้งไม่เถึอมกลายหายสูญหรือเปลยน แปรไปเป็นอย่างอึ๋นได้ง่ายด้วย www.kalyanamitra.org
'๗๕ ชวํตกถา เรอง ซวิตถมบูรณ์ ซวิฅสมบูรณระ!คับทร่ ไค้แก่ ชวิตทมสติมั่นคง มกวามสนใจใฝ่หา กวามสงบ มุ่งเรยนรูชวิฅทแท้จริง มุ่งพิจารณาสภาพกวามเป็นจริงของ สรรพสิงไม่ว่าจะ!เป็นร่างกายของกน ของกนรอบข้าง หรือกวามเป็นจริงของ ทรัพยสมบัติ เกยรติยศซํ่อเสิยง กลอกสิงสิงทฅนมสิงทฅนเป็นต่างๆ แล้ว ปล่อยวาง คลายความยึดมั่นถือมั่น ทำ ไห!จให้ว่างจากทุกรง จิกก็่จะ!เป็น อิสระ!ว่างโล่งเพราะ!ไม่มอะ!ไรใหยึคติก ไม่เกาะ!เกยวกับสิงไคให้รกใจ ยงวางไค้ มากเท่าไรกี่ว่างและ!เป็นอิสระ!ไค้มากเท่านั้น ยํ่งวางไค้มากเท่าไรกี่เบาสบาย และ!เป็นสุขไค้มากเท่านั้น ท้ายทสุคกี่จะ!สามารถคัคกิเลสและ!กองทุกฃจน บรรลุสิงมรรกผลนิพพานไค้ ซวิกเซ่นนั้สิอว่าเป็นซวิกสมบูรณทสุค เพราะ! เป็นซ่วิกทสุขบริสุทธิทสุค ทั้งเป็นซวิกทสามารถพัฒนาให้มใท้เป็นไค้ พระ! อริยบุกกลทั้งหลายท่านกี่พัฒนาซวิกของท่านมากามลำคับเซ่นนั้ ในซ่วิกสมบูรณส์ระ!คับนั้ ซวิกสมบูรโน!นสองระ!คับค้นคึอซ่วิกทมอวัยวะ! กรบถ้วนกับซวิกทมการสิกษาคนั้นเป็นการพัฒนาซวิคเพอประ!โยชนแก่กน เป็นหลัก เพราะ!กนเป็นยู!ครับประ!โยชนโคยกรง ล่วนระ!คับทํ่สามกือชวิกทั้ม คุณธรรมเป็นการพัฒนาซ่วิกเพอประ!โยซนของ^นเป็นหลัก เพราะ!กนอน เป็นยู!ครับประ!โยขนจากกวามมคุณธรรมของยู้บำเพ็่ญ ล่วนระ!คับท^กือชวิกท มสติมั่นกงเป็นการพัฒนาซ่วิกทั้งเพอกนเองและ!ยู้อน เพราะ!กนเองกี่ไครับ ประ!โยซนและ!ยูอนกี่!ครับประ!โยขนค้วย โคยทยู้มซวิกสมบูรโนเฅี่มทแล้วย่อม จะ!ไม่ทอคทั้งยูอน ย่อมจะ!แนะ!นำให้ผูอนปฏิบัติกามกนไปค้วย เหมือนพระ! ลัมมาลัมพุทธเจ้าและ!พระ!อริยสาวกทั้งหลายในอคกไค้ปฏิบัติให้คูเป็นคัวอย่าง และ!ซวิกสมบูรโนทั้งสิระ!คับนั้กนเราสามารถพัฒนาให้เกิคแก่กนไค้ ยกเว้น ในระ!คับค้นทั้ซ่วิกบกพร่องแต่กำเนิค แต่หากบกพร่องไม่มากกี่สามารถพัฒนา ซวิกให้สมบูรโน!นระ!คับทั้สูงกว่าไค้ ชงกี่มืคัวอย่างให้เห็่นอยูใม่น้อย แต่กนทั้ มืซวิกสมบูรโน!นระ!คับค้นกือมือวัยวะ!กรบถ้วนและ!มืสติปีญญาเป็นปกติเสิยอก www.kalyanamitra.org
ธรรมฟ้ารเทศนา... พระธรรมกิคฅิวงเ^ หากไม่ยอมพัฒนาซวิฅให้สูงขนไป ย่อมทำให้ซวิฅฃาคกวามสมบูรณใปอย่าง น่าเสิยคาย อันทจริงคนเราไคชวิฅมากนล:!หนงชวิฅเท่ากัน แค่ชวิฅของแฅ่ลiกน กลับสมบูรณ!ม่เท่ากัน ทั้งน็้เป็นเพราะกนเราฅั้งอยูในกวามปร^มาท ถ้าไม่ ประมาทแล้วก็่จะสามารถพัฒนาซวิฅให้สมบูรณทัคเทยมกันไค้เป็นส่วนใหญ่ อันว่ากวามประมาทนั้นก็่กืออาการทขาคสติ ขาคกวามกิค ขาคกวามรอบกอบ ทำ อะไรไม่กิคก่อนให้ค พูคอะไรไม่กิคก่อนให้ค ทำ ให้เผลอไผลผิคพลาค ชง บางอย่างพลาคกรั้งเคยวแค่มผลเป็นผิคไปยาวนาน ทำ ให้เส์ยกนไปก็่ม ทำ ให้ เสิยซวิฅไปก็่ม ทำ ให้ขาคกวามน่าเชอถึอไปก็่ม ทำ ให้เสียอนากคไปเลยก็่ม กวามประมาทขาคสตินั้นแหละทเป็นเหตุให้กนเราคำ เนินซวิฅไม่ถูกค้องบ้าง ผิคพลาคบ้าง ขาคฅกบกพร่องบ้าง ไม่ทันผู้อนบ้าง ชงล้วนมผลให้ซวิฅขาค กวามสมบูรโน!ปอย่างน่าเสียคาย นัยฅรงกันข้าม กวามไม่ประมาทเป็นเหตุ กระตุ้นให้กนเราไม่เผลอ ไม่หลงลืม ไม่มัวเมา แค่จะกอยเตือนให้ทำให้พูคใน ร่งทถูกค้องเหมาะสม และกอยเตือนให้กนเรารูจักยับยั้งชั่งใจ ไม่ผลผลาม ให้มกวามรอบกอบ ให้คคหน้ากิคหลัง อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นทำถูกกิคถูกคลอค สาย คลอคจนปลุกเร้าให้รกการตืกษา ให้รักทำมาหากิน ให้มั่นกงอยูใน สจริฅยติธรรม ให้เสียสละเกอกลกัน และให้ปส่อยวางไม่ยคมั่นลือมั่น คังนั้ เป็นค้น กส่าวโคยรวมว่าการทจะพัฒนาซวิฅให้เป็นชวิฅสมบูรณตือเป็นชวิฅท เพัยบพร้อมค้วยประโยชน่ฅนและประโยชน่^นนั้นค้องอาลัยกวามไม่ประมาท เป็นหลักส่ากัญ มิเซ่นนั้นกึ่จะไม่อาจพัฒนาซวิฅให้ถึงเบ้าหมายตือให้สมบูรณ คามทปรารถนาไค้เลย ในข้อนั้แบ้องก่สมเค็่จพระซินสีห้ลัมมาลัมพุทธเจ้าก็่ ครัสแนะนำพระสงฆสาวกไว้ ลังพระบาลในทุติยทสพลสูคร ลังยุคคนิกาย ทอัญเชิญมาเป็นนิกเขปบทเบองค้นว่า อตตตถํ วา หิ ภิฤขเว เป็นอาทิ ชงแปลไค้!จกวามว่า www.kalyanamitra.org
ซวิตกถา เรึ๋อง ^วิตฝ็มยูรฌ์ \"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนบุคคลผู้เล็่งเห็่นปรร;โยซนตน สมควรแท้ท จร;ยงปรร;โยชุนฅนใท้ถงพร้อมด้วยความไม่ปรรฺมาท หรือบุคคลผู้เล็่งเห็่น ปรร;โยชนผูอึ๋น สมควรแท้ทจร;ยงปรร;โยชนผู้อึ๋นใท้ถงพร้อมด้วยความไม่ ปรร;มาท หรือบุคคลผู้เล็่งเห็่นปรร;โยชนทั้งสองฟ้าย สมควรแท้ทจร;ยง ปรร;โยซนทั้งสองฟ้ายใหถงพร้อมด้วยความไม่ปรร;มาท\" คังน เพราร;ฉร;นั้น เมอบัณฑิฅชนกนฉลาดเล็่งเห็่นกวามจริงคังนั้แล้วพึงตั้ง สฅิฅรืกนึกพินิจถึงการบริหารจัดการซวิฅของฅนเพอพัฒนาให้เรนซวิฅท สุมบูรโน!นรร;ดับด่างๆ กล่าวกือในรร;ดับดุ้นสุองกันฅนให้ปลอดจากโรกด่างๆ ทเกิดจากการบริโกกเกินไปบ้าง บริโกกร่งทเป็นพิษภัยแก'สุขภาพบ้าง เกิด จากกวามเกยจกร้านออกกำลังบ้าง จากการไม่สนใจสุขภาพบ้าง ด้วยการ ดูแลสุขภาพ รักษาสุขภาพ ดลอดถึงรักษาขวิดให้ปลอดภัยมิให้พิกลพิการ เพราร;กวามปรร;มาทพลั้งเผลอ ขวิดก็่จร:มกวามสมบูรโนเป็นปฐม ด่อนั้นก็่ หมั่นเพึยรถึกษาหากวามรู้แลร;ปรร;สบการโน แล้วปรร;กอบการงานเลั้ยงซพใน ทางทสุจริด ด้วยกวามมานร;อดทน จนสามารถตั้งดัวได้ จนมกินมใซ!ม' ขาดแกลน ตั้งมั่นอยู่ในกุณธรรม มกวามซฺอลัดยสุจริดเป็นเบองหน้า อันจร; นำ มาชงเกยรฅิยสซอเถึยุง แลร;หากู'กรองทเหมาร;สมมคุณธรรมมาเป็นเพอน ร่วมขวิด มบุดรธิดาก็่หมั่นอบรมปมเพาฟ้หฅงอยู่ในคุณธรรมเซ่นเคยวภับดน ขวิดก็่จร;รุ่งเรอง มกรอบกรัวทอบอุ่น มกวามสมบูรโนขนไปอกรร;ดับหนง เมึ๋อดนมกวามสุขสบายแล้วก็่กิดถึงกนอํ่นทยังมทุกซ่ยงขาดแกลนอยู่ มนั้าใจ แบ'งปินซ่วยเหลือกุนด้วยไมดรื ไม่ดรร:หนหวงแหนกินใช้เฉพาร;ดัว กจร;ทำให้ ได้ปรร;โยขนํแก่ยูอื่น แลร;ปรร;โยขนํนั้นก็่จร;สร;ห้อนย้อนมาเป็นกวามปลั้มป็ฅิ อํ่มใจเพราร;ได้ซ่วยเหลือกนอน แลร;จร;เป็นทรักนับถึอหรือมั่งอยูในหัวใจของ กนทั่วไปดลอดกาล ด่อจากนั้นหากสามารถปล่อยวาง บุ่งหาทางสงบแห่ง จิดใจ ใฟ้ด่อการปฏิบัติธรรมเพอนำดนให้เป็นอิสรร;ให้ว่างจากภารร;ตั้งปวง โดยอาดัยกวามไม'ปรร;มาทขาดสติเป็นหลักยค โดยไม่ผลัดวันผลัดเวลาหรือ รอมั่นรอน ทำ ได้ดังนั้ซวิดก็่จร;สมบูรโนแบบ ขวิดก็่จร;มก่ามกวามสุขลันติ www.kalyanamitra.org
เ^ M!S! ธรรมสารเทศนา... พระ!ธรรมกิฅฅิวงส์ อย่างทไม่เกยไค้มาก่อน ชวิฅก็่จะเบาสบายโปร่งโล่งเพราะไมยคฅิคอฟ้.รแลร! ไปมอะไรมายคฅิคไค้อก กรงกันข้ามหากมัวประมาทผลัควันผลักเวลาอยู่ ซวิฅก็่ไม่ลมบูรณฃนไค้ ทั้งเสิยโอกาลเสิยเวลาไปเปล่า หากชวิฅมาละคุกหรือ ขากสินลงก่อนเวลาก็่จะไม่มอะไรทเร็เนลาระแก่นลารพอทจะทำให้กนร่นหลัง ระลึกกงไค้เลย หรือหากไข้เวลาแห่งซวิฅไปในทางทผิกไม่ถูกค้องกามกรรลอง แห่งธรรม ก็่จะนำแก'กวามเลึอมเลึยและน่าอกลูมายู่กรอบกรัวและกนรอบ ข้าง แม้ว่าแผ่นกินจะกลบหน้าไปแล้วก็่ยังไม่วายถูกชุกถูกคุ้ยมาเอ่ยอ้างให้ เลึยหาย นำ กวามอับอายมาให้แก'ลูกหลานภายหลัง ชงเป็นสิงทไม'พึงเกิกเน เลยแก่บัณฑิกซนกนฉลากทั้งหลาย คุณหญิงเบญจา แลงมสิ เป็นบุกกลหนงซงมชวิกลมบูรโนกังทแลกง มา เพราะเป็นซวิกทมทุกสิงกรบถ้วนลมบูรโน ไม'ว่าจะเป็นอวัยวะ ลกิ ปีญญา คุณธรรม และลกิมั่นกง คำ รงซวิกอยู่เพอประโยซนํเกอถูลเพอ กวามลุฃกวามเจริญถ้าวหน้าแก่ยู้อน โกยเฉพาะกวามถ้าวหน้าทางการ ลึกษาแก'เยาวชนอันเป็นกล้าไม้ของชาติ ไค้ฝากผลงานอันเป็นอมกะไค้แก' หนังลึอ บทกวาม และกวามรู้ฅ่างๆ ไว้มากมาย ชงจะเป็นสิงแทนกัวกราบ นานเท่านาน ซวิกชองท่านจึงน่าจะเป็นแบบอย่างแก'^กมักค้น กณะกิษย่ และอนุชนรุ่นหลังไค้เป็นอย่างก เพราะเป็นซวิกทลมบูรโนและมคุณก'ากวรแก่ การระลึกลึงและทำกามกังทไค้แลกงมา พรรณนากวามแห่งธรรมกถามา พอกวรแก'กาลนิยมลมมติ ขอยุติลงเพึยงเท่านิ้ อิมินา กตปุฌฺเฌน ค้วยอำนาจกุลลทักษิณานุปทานทท่านทั้งหลายไค้ ร่วมกันปาเพ็่ญให้เป็นไปเพออุทิศแก'คุณหญิงเบญจา แลงมสิ ในโอกาลน ขอประสิทธิ้ลัมฤทธิ้ผลมังเกิกเป็นทิพยลุชทิพยลมมัติแก่คุณหญิงเบญจาในลัม ปรายภพกลอกจิรกาล รับประทานแลกงพระธรรมเทศนาในซวิกกถามาพอ ลมลมัย ขอลมมติยุติลงกงไว้แก'เพึยงเท่าน. เอวํ กี่มค้วยประการฉะน ฯ www.kalyanamitra.org
อฺาภรผกฉา เรื่อง เครื่องปรรคับคน สิส์ อาภทนํ เส!]Ifบุติ ฯ ช.เถT. kd^/encdGs/enSLtSa. XXX บคนิ้ จักไค้แสคงพร::ธรรมเทศนา อนุโมทนาในก^ศลเ'ไเฅนาทท่านทั้งหลาย ไค้มาประชุมพร้อมกันในวันพร:;หรือวันธรรมสวนะวันนตามสมกวรแก่เวลา ก็่แลวันนเป็นวันพระหรือวันธัมมัสสวนะทั้ซาวพุทธทั้งหลายมาท้เงธรรม กันเป็นปกติชงเป็นธรรมเนยมนิยมทั้ปฏิบัฅิกันมาทั้งแต่สมัยพุทธกาล วัน ธรรมสวนะ แปลว่าวันฟิงธรรม กือเมอถื้งวันนแล้วซาวพุทธทั้งหลายจะ พากันไปกังสถานทั้ทมการแสคงธรรมเพอไปประชุมท้เงธรรมกัน ในวันเซ่นน สมัยพุทธกาล ครั้งเมอพระพุทธเจ้ากังทรงพระซนมัอปูก็่มการไปเสาพระพุทธ เจ้าแล้วก็่ฟิงธรรมกันเป็นประจำ การปฏิบัติอย่างนเรืยกอกอย่างหนงว่า กาเลน ธมุมสุสวนํ กือฟิงธรรมตามกาลตามโอกาส พระธรรมกิตติวงส์ (ทองติ ป.ธ.เ?!0 แสคง ณ พระอุโบสถวัคราชโอรสาราม เฃฅจอมทอง กรุงเทพฯ วันพฤหัสบคท ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ เวสา 0๙.0๐ น. www.kalyanamitra.org
jPOBP [[ร;]L^U ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิคฅิวงส์ แลร;ส์าหรับใน!!น ฌอถึงวันพรร;เซ่นนิ้ หน่วยราชการกือกรมการ ศาสนา กรร;ทรวงวัฒนธรรม ไค้เชิญชวนหน่วยราชการต่างๆ ให้มาร่วมฟิง ธรรมกันฅามวัคฅามทกำหนดไว้ ส์าหรับในวันนใค้มาปรร;ชุม?เงธรรมกันทวัค ราชโอรสารามแห่งน โคยมกรมการศาสนาซงมเลขานุการกรมการศาสนา เ!!นปรร;ธาน ร่วมค้วยกรมตรวจสอบบัญซแลร;สหกรณ กรร;ทรวงเกษตรแลร; สหกรณ ส์านักงานถึกษากรุงเทพมหานกร แลร; ข.ส.ท.บ. d กาก รวม ถึงท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลายไค้เดินทางกันมาฟ้งธรรมร่วมกับภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาชองวัค อนทั้จริงการฟ้งธรรมตามกาลตามโอกาสเช่นนพรร;พุทธเจ้าตรัสว่า เบ็่เนมงคล นำ ความเ!เนสิริมงคลมาให้แก่ผูฟิง คึอรูใ}งย่อมไค้ปรร;โยชน1ด้ อานิสงส์หลายอย่าง คือได้ใ}งเรํ่องทั้ยงไม่เคยใ}ง เรื้องไดทั้เคยใ}งมาบ้าง แล้ว แต่ยงไม่เข้าไจชดเจนนัก เมอได้ใ}งอกครั้งณข้าไจชตเจนยํ่งเน เรือง ไดทั้ยงสงล้ยอยู่ เมึ๋อใ}งแล้วก็่บรรเทาความสงล้ยไนเรื้องนั้นไค้ ไนฃณร; เตยวกันจิตของผูใ}งก็่ผ่องไส คือไค้ความสบายไจความชึ๋นไจว่าได้ใ}งธรรม แล้ว ตลอดถึงเมอใ}งธรรมแล้ว ^วามจริงไนล้จธรรมแล้ว ก็่ทำ ไห้ความ คิดความเห็่นตรงตามเป็นจริงไค้ นิเป็นปรร;โยชนํเป็นอานิสงส์ของการใ}ง ธรรมตามกาลตามโอกาส อันผูใ}งทั้ทั้งใจใ}งทั้งหลายจร;พึงไครับ เพราร;ม อานิสงส์เซ่นนั้ การใ}งธรรมจึงตรัสว่าเป็นสิริมงกล อังนั้นผู้ค้องการสิริมงกล แก่ตัวในค้านนั้ จึงกวรชวนชวายในการใ}งธรรมตามวารร;ตามโอกาสก็่จร;ไค้ ปรร;โยชน!ค้อานิสงส์อังแสคงมา สิาหรับพรร;ธรรมเทศนาในวันนั้!ค้อัญเชิญพรร;บาลพุทธพจนทสมเค็่จ พรร;สุกตพุทธเจ้าไค้ตรัสไว้ กวามว่า \"สิลํ อาภรณํ เสฎชํ\" ชงแปลว่า 'คืลเป็นอาภรณทั้ปรร;เสริฐสุค\" มาเพอชยายความส์าหรับเป็นแนวปฎินัดิ I __ ^ ธรรมชองทานทังหลายตามสมกวร www.kalyanamitra.org
cSq อาภรณกถา เรจง เครองประ!คบคน ฅามพร::บาลนทรงแสคงว่าสืลเป็นอาภรณทยอคเยยมสูงสุค เหมือนร:; ทรงแสคงว่ายอคเยยมสูงสูคกว่าอาภรณทั้งหลาย หมายกวามว่าอาภรณนั้น มืหลายประเภท แมืฟ้ลก็่เป็นอาภรณประเภทหนง เป็นอาภรณทคกว่าอาภรณ อน นกือทัศนะในพระพุทธศาสนา อาภรณในทนก็่กือเกรองประทับเกรองตกแต่งกนเราให้สวยงามให้น่าคู น่าซมนั่นเอง กนโบราณท่านกล่าวไว้ว่า \"ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะ แต่ง\" หมายกวามว่า ธรรมคาว่าไกทจะไคซอว่าเป็นไก่งาม เซ้าประกวค ก็่ไครับรางวัลก็่เพราะว่ามืซนงาม มืส์สวย เป็นทต้องฅายู้กน ไก่ระงามก็่ เพราะซน หรือซนทำให้[ก'งาม ฉันใค กนก็่ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าหนั่นแต่ง หนั่นประทับก็่ทำให้งามไต้ ร่งทนำมาแต่งมาประทับกนให้งามก็่กืออาภรณ อาภรณทำให้กนงามไต้เหมือนซนทำให้[ก'งามไต้ ปกติกนเรานั้นหากไม่มื อาภรโน[ม่มืเกรืองประทับตกแต่งก็่ระคูไม่งาม เพราะว่าไม่แต่งทัวไม่ปกปิค ร่างกายต้วยแอถ้า บางกนว่าอุราคตา แต่บางกนก็่อารซอบ หรือบางกรั้ง บุ่งห่มแอเหมือนกันประทับตกแต่งร่างกายเหมือนกัน แตไมใต้พิถพิกันบุ่งห่ม ไมไต้ประทับแต่งให้คให้ถูกกาลเทศะ บางกนก็่ว่างาม บางกนก็่ว่าไม่งาม อย่างไรก็่ตาม โคยภาพรวมแล้วถ้ทประทับตกแต่งย่อมเป็นกนงามไต้ กี่อะไรเล่าทเป็นเกรั้องแต่งทัวฃองกน ร่งนั้นเรืยกรวมๆ ว่าอาภรณ และอาภรณล่าหรับแต่งทัวซองกนนั้นมือยู่ ๒ ประเภทกี่กือ อาภรณ ภายนอก กับ อาภรณ์ภายใน หรือ เครึ๋องแต่งนอก กับ เครึ๋องแต่งใน เกรั้องแต่งนอกกี่กืออาภรณ์ทแต่งร่างกายภายนอกให้คูสวยงาม เครั้องแต่ง ทั้ง ๒ ประเภทนั้ เมอแยกให้ละเอยคออกไปแล้วกี่ไต้อาภรณ์เป็น อย่างต้วยกัน คือ พสตราภรณ์ รัตนาภรณ์ สิลาภรณ์ จริยาภรณ์ ธรรมาภรณ์ และ ปีญญาภรณ์ ซงระไต้ซยายกวามไปตามลำทับ www.kalyanamitra.org
IPS lisJ^ ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิฅฑิวง^ อาภรณอย่างท ๑ คือ พสตราภรณ์ นั้นคือเสัอผ้าเกรองนุ่งห่มชง เป็นทรู้จักกันคื เสัอผ้านันไม่ว่า'จiเป็นเสือ กางเกง หรืออฟ้,รก็่ตามทปกปิค อวัยว^ร่างกายไมให้อุ'จาคฅาจัคเป็นพัสฅรากรณทั้งสิน เสัอผ้านั้น'จะมผู้ ออกแบบให้สวยงามให้ปาแปลกตาน่านิยมไม่ชาคสิาย ตั้งแต่ระคับสามัญทัวไป 'จนถึงระคับโลก มการประกวครูปแบบและtlมอกันอยู่เสมอ เพอให้ก้าวลำ นำ สมัยนิยม ผ้ทแต่งห้วยเสือผ้าอากรณทสวยหรูราคาแพง มสืร'นงคงาม มแบบทก้าวลํ้า แม้ว่ารูปร่างจะไม่สวยไม่หล่อนัก แต่ว่าไห้อากรกรมาช่วยก็่ ทำ ให้งามไห้ เพราะฉะนั้นเทั้อผ้าจงเป็นอากรณอย่างหนั้งทั้ทำให้กนงามไห้ เรืยกว่าพัสตรากรโน อากรโนอย่างท 1๓ คือ รตนาภรณ ไห้แก่เกรืองประคับทเป็นรัฅนชาติ คืออัญมโนชนิคต่างๆ ทกระ'จ่างตามค่าสูง เช่น เพชร พลอย ทอง เงิน นาก เป็นห้น อัญมโนเหล่านั้เขานำมาประติคประคอยให้มรปทรงวิจิตร ลำ หรับเป็นเกรองประคับทมือบ้าง ทคืรษะบ้าง ทั้ร่างกายล่วนนันล่วนนุบ้าง เพํ่อให้เห็่นว่าเป็นกนงาม กนทประคับกายห้วยรัตนากรโนเกรือฺงประคับทเป็น อัญมโนทั้งหลายก็่คูสวยงามไห้ คังนันรัตนากรโนจื้งเป็นเกรืองประคับเป็น เกรองแต่งคัวอกอย่างหนั้ง เกรํ่องประคับคือพัสตรากรโนและรัตนากรโนสองชนิคนั้เป็นเกรองปTะคับ กาย เป็นเกรองประคับกายนอกทำให้ร่างกายกายนอกงามไห้ แต่เครองประคับทั้งสองอย่างมข้อจำกัดอยู่ในตว คือต้องประคับให้ เหมาะตามกาลเวลา ประคับนอกกาลนอกเวลาก็่จะไม่สวยงามและไม่ควร เช่นประคับในยามกามึต ประคับในเวลาทอย่กนเคืยว อย่างนั้!ม่อาจทำให้ เป็นกนงามไห้เพราะไมมใกรเห็่น ห้วยว่าการทํกนเราประคับอากรโนกันกี่เพือ ห้องการให้กนอนเห็่นแล้วชมว่าสวยว่างามเป็นลำกัญ คังนันจิงห้องประคับให้ ถูกกาลเวลา ถูกงาน ถูกสถานททให้กนอนเห็่นและซึนชมยินคืไห้จงจะงาม และการประคับเกรองประคับสองชนิตนั้นอกจากห้องคูกาลเวลาแล^สกานทั้ www.kalyanamitra.org
จาภรณกถา เรอง เครองปรรคับคน แล้ว วัยหรออายุกี่ฅ้องดูค้วย กือฅ้องประคับให้ถูกกับวัยของแต่ละกน เกรองประคับบางอย่าง ถ้าเป็นกนหม่นกนสาวแต่งก็่ดูคดูสวยงาม ถ้าเป็น กนสูงอายุแต่งกลายเป็นไม่สวยไม่งามไปก็่ม เกรองประคับส์าหรับผู้สูงอายุกึ่ แบบหนง ส์าหรับหนุ่มสาวกี่แบบหนง ส์าหรับชายกี่แบบหนง ส์าหรับหญิงกี่ แบบหนง ส์าหรับเค็่กกี่แบบหนง เพราะฉะนั้นเกรองประคับคังกล่าวข้างต้น จึงอาคัยกาลต้วยอาคัยวัยต้วยจึงจะทำไห้งามไต้ เกรํ่องประคับอย่างท ๓ กือ ล้ลาภรณ หมายถึงเกรองประคับกือจึล ประคับททำไห้กนประคับงามไต้เหมือนเกรองประคับอย่างอน แต่ยอกเยยม กว่าประเสริฐกว่า ถามว่า^ลคืออ^ไร คืถก็่คือภาวะทเปีนปกฅิ ภาวะททำให้คนมคืถอยูใน สภาพปกติ ไม'วิปริศผิศคนทรมดา เปีนเกรองควบคุมกายวาจาให้สงบระงับ ดูแลร่างกายคือมือเห้าและปากไมให้ไปก่อความเคือศร้อนให้แก่คนอน ไมให้ ไปเปียศเปียนคนอน ไมให้พูดจาก่อความเคือดร้อนแก'คนอน เช่น ไม'ทำร้าย ทุบคืหรือเช่นฆ่าคนอน ไม'ล'วงละเมิดกรรมติทธิในทรัพยรนของคนอนด้วย การลักขโมยฉ้อโกง ไม'ล่วงละเมิดคู'ครองของคนอนด้วยความมักมากใน กามารมณ ไม'พูดจาโกหกหลอกลวง ไม'พูดจาด่าทอเติยดคื ไม'พูดจาหยาบ คาย เมอระวังมือเท้าไม'เปียดเปียนคนอน ระวังปากไม'เปียดเปียนคนอนด้วย อาการอย่างนถึอว'ามืภาวะปกติ รักษาภาวะปกติของดนไวัได้ เมอรักษาไวัได้ ก็่ชอว่าเปีนคนมืคืล ด้วยเหคุว่าคนทั่วไปก็่มืภาวะอย่างนลันอยู่ คือไม'ฆ่ากัน ไม'เปียดเปียนกัน ไม'ลักไม่ขโมยกัน ไม่โกหกมดเท็่จกัน ทำ ให้อยู่กันด้วยความ สงบเย็่นเปีนปกติ แค'ถ้ามืใครละภาวะนเติยแล้วไปฆ่าเขา ไปเปียดเปียนเขา ไป ลักขโมยของของเขา ไปโกหกเขา การกระทำของผูนนก็่ถอว่าผิดปกติ เมอผิด ปกติก็่คือว่าผิดคืล คืลมืความหมายว่าภาวะปกติอย่างน www.kalyanamitra.org
H ธรรมฟ้าททศนา... พรรธรรมกิฅฅิวงส์ สืลในกวามเข้าใจกันทั่วไปก็่หมายถึงสืล ๕ หรือนิจถึลซงเป็นหลัก ปฏิบัติในซวิฅปรรจำวันของคนทั่วไปฅลอคถึงถึล ๘ ฟ้าหรับอุบาสกอุบาสิกา ถึล ๑๐ ฟ้าหรับสามเณร และถึล ๒๒๗ ฟ้าหรับภิกษุ แฅในทางปฏิบัติ ถึลก็่คือวินัย กฎ ระเบยบ รวมถึงกำลัง ข้อบังกับต่างๆ ทกำหนคกันไว้เพํ่อ รักษากวามสงบเรืยบร้อยคืงามในหมุ'ฅณะในลังคมนั่นเอง แม้คืล ๕ คืล 'น ๑๐ คืล ๒๒๗ ก็่อยในลักษณะนั่ คืด เป็นเหตุให้คนอยู่กันอย่างปกติสุข มความปลอดภยในชวิตและ ทรัพย่สิน ไม่ต้องกลว ไม่ต้องหวาดระแวงหรือวิตกกังวลอะไร เพราะเมึ๋อ ทกคนมคืลก็่จะอยู่กันเป็นปกติ ไมใปก่อทุกขโทษหรือก่อกัยอนตรายไห้คน อืน ไม่ทำไห้ใครต้องกลวหรือหวาดกลวอะไร ทกำหนกว่าคืลเป็นอาภรณเกรองประกับนั้นกื่เพราะคืลทำให้เภิคระเบยบ วินัย เภิคความเรืยบร้อยสวยงามมิใซ่สวยงามเฉพาะกัวษุกกลแต่ละกนเท่านั้น หากแต่ทำให้สวยงามทั้งหมู่คณะหรือลังกมหมกทั้งหมกห้วย ยูใกหมู่คณะใก ทั้งอย่คืล การงาน เพราะทำงานเป็นระเบยบ เรืยบร้อย ฟ้าเรจกามประสงก ไม่กังห้าง อากูล กรงกันข้ามกนไกหมู่คณะใกฃากคืล กนนั้นหมู่นั้นย่อมขากระเบยบขาก วินัย ไม่รับผิกขอบในกัวเองและหน้าทํ่การงาน ปล่อยให้การงานทั่งห้าง อากูลบ้าง บกพร่องต่อหน้าทั่บ้าง ทำ ทุจริกอกกฎหมายและระเบยบบ้าง หรือแม้จะทำงานฟ้าเรี่จ แต่กี่ขากความเรืยบร้อย อคพลากบกพร่องชงห้อง มาแร่1ไขกันอก ทำ ให้เถึยเวลาหรือเถึยค่าไข้จ่ายเพมฃ็้นโกยใช่เหตุ หากขาก คืลถึงระกับก่อกวามเคือกร้อนให้แก่กนเองหรือกนอนย่อมเถึยหายถึงวิบัติ ย่อยยับไห้ ซงมให้เห็่นกันอย่ประจำ www.kalyanamitra.org
■๘?ร: อาภรณกถา เรึ๋อง เครองปรรคับคน คังนั้นสืลจึงถอว่าเ!เนเครองปร:;คับเหมือนเกรองประคับทั่วไป ชงทำให้ คนประคับสวยงาม คูมืเสน่หน่ารักน่าเคารพนับถือ ไว้วางใ'จไค้ ทำ ไห้[ปเป็น บุคคลอันตรายถืาหรับคนอน อยูทั่ไหนไปทไหนผู้คนก็่ไม่รังเกย'จและหวาค กลัว ผู้คนอยากเข้าไกลให้ความสนิทสนม ทั้งไห้ความเคารพนับถือและ ยกย่องว่าเป็นคนคไนลังคม หากไม่มืถืลเป็นเครํ่องประคับ เป็นคนไรถืล ไม่ ถือถืล รักษาภาวะปกติของคนไว้!มใค้ ชอบแต่'จะเบยคเบยนฅนเองและคน อนไห้เสือคร้อน เป็นบุคคลอันตรายส์าหรับคนอน เป็นคนไม่มืระเบยบวินัย ไม่รับผิตชอบไนหน้าทั่การงาน คนเช่นน'จะเป็นคนงาม เป็นคนมืเสน่ห้ เป็น คนน่ารักน่าไว้วางไ'จไค้อย่างไร เพราะสืลทำไห้เกิคความเป็นระเบยบวินัยและทำไห้อยู่เป็นปกติสุขอย่าง นจึงจัคเป็นเครองประคับชนิคหนง เครองประคับอย่างทั้ <i คอ จริยาภรณ์ หมายถืงกิริยามารยาทและ ความประพฤติทั้ถูกค้องงคงามตามธรรมเนยมนิยม เช่นมารยาทไนการเติน มารยาทไนการทั่ง มารยาทไนการกิน มารยาทไนการแต่งคัว มารยาทไน การเข้าลังคม มารยาทไนการพูค เป็นค้น มารยาทเหล่านมืธรรมเนยมปฏิบัติทั่บรรพบุรุษแนะนำลังสอนไห้ปฏิบัติ กันต่อๆ มา และมืหนังถือล่าหรับเริยนรู[คยเฉพาะหนังถือซอ \"สมบัติรูด\" หนังถือเล่มน!ค้แสคงวิธการท'จะพึงปฏิบัติเพึ๋อความเป็นผู้มืมารยาททงคงาม อันเป็นมารยาทลังคมทเป็นเอกลักษณและเป็นวัฒนธรรมของชาติ แต่ปิจ'จุบันน หาไค้ยากเพราะไม่มืการพิมพึเผยแพรให้แพร่หลายทั่วไป (หากว่ากรมการ สาสนาจะพิมพึหนังถือสมบัติผู้สืเผยแพร่ก็่จะเป็นประโยชน่มาก) คนทั่เข้าไจเรองมารยาท รักษามารยาท และประพฤติตามมารยาททั้สื นั้นย่อมเป็นคนมืเสน่ห้ น่ารัก นำ ไห้เกิคความเอ็่นคูแก่ผู้พบเหี่น ถ้าเป็นเคี่กกี่ ทำ ไห้ผู้ใหญ่รักเอ็่นคู อยากจะสนับสนุนอุปกัมภ ถ้าเป็นผู้!หญ่ กี!่ ครับความ www.kalyanamitra.org
jfeiilisil ธทมสารเทศนา... พระธรรมกิฅฅิวงส์ เการพเชอถือกวามเกรงใ'ไ!จากผู้น้อย เพราร;กนทมมารยาทงามนั้นเป็นกนท อ่อนน้อมถ่อมกน รู้จักร'มมาการวร; รู้จักเค็่กรู้จักผูใหญ่ มือไม้อ่อน ไม่แฃ็่ง กรร;ค้างเก้งก้างเกร;กร;กา แมืปิ'จ'รุบันจร;เห็่นว่าเป็นค้กคินาทกวรยกเอิก เพราร; การทมอบกลาน การค้อมตัว รวมถืงการกราบการไหว้เป็นเรองของปาวไพร่ กับเจ้าชุนมูลนาย ไม่เป็นสากล ถืงกรร;นั้นก็่กาม มารยาทสมบัติผู้คนั้น แทนทจร;ยกเอิกเถืย หากแก่กวรสนับสบุนยกย่องนำกลับมาปฏิบัติให้แพร่ หลายทั่วไปเหมือนเติม เพราร;นั้กือรากเหง้าแห่งกวามเป็นไทย เป็นวัฒนธรรม ของซาติทั่ซาวโลกเขายกย่องว่ายอกเยยม ก้าปล่อยปลร;ลร;เลยโกยไมใcflจรักษา ไม่ข้าอิงทั่คๆ ชงบรรพบุรุษลังสมแลร;ลันสอนปฏิบัติกันกื่จร;เลือนหายไป นัยกรงกันข้าม ผู[้ ม่มืมารยาท ไม่รู้จักมารยาท ทำ อฟ้.รพูกอร;ไรโกยไร้ มารยาท ย่อมไครับคำตำหนิว่าไม่มืสมบัติผู้ค ไมใครับการอบรมปมเพาร;มา เป็นกนเลืยเป็นกนน่ารังเกยจ ก้าเป็นเค็่กกึ๋ใม่น่ารักไม่น่าเอ็่นคู ก้าเป็นผู้!หญ่ กใม่น่านับถือไม่น่าเข้าใกล้ ใกรฃึนไปกบกับกนไม่มืมารยาทเข้ากี่จร;กลายเป็น กนไร้มารยาท เป็นกนเลืย เป็นกนน่ารังเกยจไปค้วย กนทั่มารยาท มืกวามปรร;พฤติอ่อนน้อม มืลัมมาการวร: รู'้ กวามกวร ไม่กวร ปฏิบัติกนไค้เหมาร;สมเมออยูในลังกม ย่อมเป็นกนงาม เป็นกนมื เสน่ห่ เป็นทั่ค้องกาค้องใจของผู้พบเห็่นไค้แน่นอน ตังนั้น กวามมืมารยาท แลร;กวามปรร;พฤติสวยงามจงจักเป็นอากรณเกรองปรร:ตับอย่างหนั้ง เร้ยก ว่าจริยาภรณ เกรึ๋องปรร!ตับอย่างทั่ ๕ คือ ธรรมๆภรณ หมายถืงธรรมร:นั่นแหลร; เป็นอาภรณเกรองปรร;ตับค้วย ธรรมร;ทั่จักเป็นอาภรณเกรองปรร;ตับล่าตัญทั่ พรร;พุทธเจ้ากรัสไว้เป็น โสภณธรรม คือเป็นธรรมทั่ทำให้กนงาม มื ๒ ปรร;การคือ ฃนติ ทั่แปลว่ากวามอคทน ๑ โสรัจจร; ทั่แปลว่า กวามเสงยม ๑ ฃนติ ความอดทน นั้นคือ กวามอกกลั้นไว้!ค้ ไม่แสกงกิริยาอาการทั่ ไม่เหมาร;ไม่กวรออกมาให้เห็่น เซ่นเมึ๋อล่าบากกรากกรำฃ็้นมา กี่ไม่แสกง www.kalyanamitra.org
๔๗ อาภรฌกถา เรอง เครึ๋องปรรคบคน อาการท้อแท้เหนอยหน่ายหรอยอมแพ้ เมอเจ็่บป้วยทุกขเวทนา ก็่ไม่แศคง อาการทุรนทุรายจนเกินเหทุ เมึ่อถูกต่อว่ากระแทกแคกคัน ก็่ใม่แสคงอาการ รคคัคไม่พอใจ เมอถูกยั่วถูกทำไห1ม่พอใจ กึ๋ใม่แสคงกวามฃัคเคืองหรือความ โกรธจนออกนอกหน้า กวามททนไคืไม่แสคงอาการต่างๆเหล่านออกมาน แหละคือขันติหรือฃันฅิธรรม ชงเป็นเกรํ่องระงับกายวาจาทไม่เหมาะไม่กวร ล่วน โสรจจะ ความเสงยม นั้นคือการกวบคุมกายวาจาใจให้สงบเย็่น เหมือนปกติเมึ๋อไคืรับกวามทุกฃหรือถูกกระทบกระทั่งแคกคัน โสรัจจะเป็น ธรรมทกู่กับขันติ เรืยกเฅ็่มว่า ขันติโสรัจจะ คือกวามอคทนและกวามเสงยม ขันติเป็นธรรมทั่เกิคฃนก่อน โสรัจจะเป็นธรรมทซ่วยใหขันติอยูใค้นานและ ทำ ให้อุารม!นทมากระทบระงับไป เปรยบเหมือนรถยนฅทหยุควง จอคอยู'กับท แต่เกรึ๋องยังติคอยู่ แม้รถจะหยุคแล้วแต่เกรองยังเคินและร้อนอยู่ เมือคับ เกรองแล้วก็่จะนํ่งสนิทและเยื่นลงเรอยๆ ขันติเหมือนรถยนฅทหยุควั๋ง โสรัจจะ เหมือนรถยนฅทั่คับเกรึ่องแล้ว มือาการต่อเนึ่องกันและสนับสนุนกันอย่างนั้ ท่านจึงกล่าวว่าเป็นยุกลธรรมคือเป็นธรรมถู่แฝคทฅ้องมืทั้งสองอย่างพร้อม กันจึงจะมืประสิทธิภาพ อนึ่ง ธรรมทั้งสองอย่างนั้เป็นโสภณธรรม คือเป็นธรรมทั่ทำให้กนงาม กนทั่รูปร่างหน้าคาสวยงาม แต่ฃาคกวามอคทน ขาคกวามอคกลั้น ระงับคับ อารม!น!มไค้ เนึ่อถูกต่อว่าหรือไม่พอใจอะไรกี่เค้นแร้งเค้นกา แสคงกิริยาอาการ โกรธชง พูคจาหยาบกาย แสคงมารยาททั่ไม่เหมาะไม่กวรออกมา อย่างนั้แม้ หน้าคาจะคืกี่คูงามไมไค้ มืแต่จะถูกคำหนิติติงว่าหน้าคากี่คืแต่มองคูไม่สวยไม่ งาม ตรงกันข้ามกับบางคนทั่รูปร่างหน้าตาคูไม่ค่อยสวยไม่ค่อยงามแต่มื ความอดทนด มืความอดกลั้นด รกษากิริยาวาจารกษามารยาทได้ด คือ เป็นคนเกี่บอาการเก่ง คนทเก็่บอาการเก่งกี่คือคนทั่มืขันติและมืโสริจจะ เมอเกี่บอาการได้แล้วจะนั่งจะยึนกี่น่าเกรงขาม จะพูคกี่มืนํ้าหนักชวนใ ง จะแสดงกิริยาใดกี่งาม ทำ ให้คนอึ๋นชนซมชึ๋นซอบ เพราะสามารถควบคุม www.kalyanamitra.org
KiJ ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิ?!คิวง^ อารมณควบคุมสติไว้!ค้แล้ว คนทควบคุมอาการเก่ง ควบคุมสติ ควบคุม อารมณ!ว้Iด้ นั่นแหลร;เ!เนคนงาม ทงามได้เพราร;มธรรมคือซนติแลร;โสรจจร; ธรรมทั้งสองประการน็้ท่านจึงจัคเรนอาภรณเกรองปรร;คับอกอย่างหนง เรยกว่าธรรมาภรณ ยังมธรรมอกมากทเป็นอาภรณททำให้กนงามไค้ เซ่น กวามเออเทั้อ เผอแผ่ กวามมนํ้าใจ กวามเคืยสลร: กวามจริงใจ กวามซอคัฅย่ กวาม สุจริต เป็นค้น ผู้มกวามเออเทั้อเผอแผ่แม้หน้าตาไม่สวยไม่งามกี่เป็นกนงาม ไค้ เริยกว่าเป็นกนมนํ้าใจ หรือกนทมกวามจริงใจ มกวามซํ่อร'ตย่ มกวาม สุจริต กี่เป็นกนงามไค้ กนเซ่นนเหล่าสาธุชนกนคืทั้งหลายยกย่องสรรเสริญ อยากอยู่ร่วมค้วย อยากทำงานค้วย อยากไค้มาเป็นลูกน้องมาเป็นเพอนร่วมงาน กนทมเมตตา มกวามรักมกวามปรารถนาคืฅ่อผู้อน ชงเรืยกว่ากนม เมตตาธรรมเป็นททั้งกี่เป็นกนงามไค้ กวามเมตตามอยู่กบกนไค กวามงามกี่ อยู่กับกนนั้น หากมเมตตาแล้ว จิตใจกี่คืงาม ผิวพรรณกี่ผ่องใส ยนแย้ม เป็นกนมเสน่ห คังนั้นเมตตาจึงเป็นธรรมาภรณททำให้กนงามไค้ กล่าวโคยสรุปว่า ไม่ว่าจร;เป็นขันติ กวามอคทน ใสรัจจร: กวามเสงยม หรือว่ากวามซอล้ฅยั กวามสุจริต กวามจริงใจ กวามมเมตตา ธรรมเหล่านั้ เป็นธรรมททำให้กนงามไค้ทั้งรัน เพราร;ฉร;นั้น กนโบราณจึงเชยนกลอนไว้ว่า คนจ::งามงามนํ้าใจใชใบหน้า คนจ::สวยสวยจทยาใช่ตาหวาน คนจ::แก'แก'ความรูใช่อยู่นาน คนจทวยรวย^ถทานใช่บ้านโต เกรองปรร;คับอย่างท V) คือ รญญๆภรณ หมายถึงเกรองปรร;คับคือ ปีญญา กวามฉลาค กวามรอบ^นวิชาการต่างๆ ฉลากในการอ่าน ฉลาก ในการทัเง ฉลากในการบริหารจักการ เป็นค้น www.kalyanamitra.org
'๔พ' อาภรณกถา เรอง เครองปรรคับคน ปีญญาหรือความฟ้นผู้ฉลาดนั้นเกิดขั้นได้ด้วยการเรยน การกิกษา จากการหมั่นดูมาก อ่านมาก ฟ้งมาก ความหมั่นดูหมั่นอ่านก็่เหมือนม อาจารยสอน เหมือนอยูในห้องเรืยนทมือาจารยสอนมืครูสอน กนทอ่าน หนังสือมากแลร;อ่านหนังกิอทุกปรร:เภทจักเป็นยู้มกวามรู้แดกฉาน กนทอ่าน หนังสือมากเล่มณท่ากับมืกรมากกนมือาจารยมากกน เพราร;หนังสือเล่ม หนงเท่ากับกรูหนงกน กังนนเมออ่านหนังสือ ๑0 เล่ม จึงเท่ากับมืกรู ๑0 กน อ่าน ๑00 เล่มจึงเท่ากับมืกรู ๑00 กน กนอ่านหนังสือมาก จึงมืกวามรู้แดกฉาน ทั้งสามารถนำกวามรู้ทอ่านพบมาใช[นกิจการปรร;จำวัน นำ มาเป็นเกรองมือปรร;กอบกิจการ เป็นเกรองมือทำมาหากินไค้ นคือบูรณา ปีญญๆจากการห้ง จัดเป็นอาภรณเครองปรร;คบชนิดหนง ใครมืเครอง ปรร;คบชนิดนั้มากก1ด้ความรุ่งเรืองมาก ปิญญาทกล่าวมาข้างค้นนั้นเป็นร้เญญารร:กับ โลกิยปีญญา เป็น กวามรู้!นทางโลก มืเพํ่อใข้ปรร;กอบชพทำมาหากิน ล่าหรับเลยงกัวเลิ้ยง กรอบกรัวในทางทชอบ ยังมืปิญญาอกรร;กับหนั้งทสูงกว่า เรืยกว่า โลกดร ปีญญา ไค้แก่กวามรู้!นอริยสิ'จ กือรู้ทุกฃ รู้สมุทัย รู้นิโรธ รู้มรรก รู้เรอง ชองกิเลส แลร;รูวธรร;งับกิเลสจนกรร;ทั่งจิดใจบริสุทธินั่นกือปิญญารร;กับโลกุดรร; เซ่นปิญญาดรัสรู้ฃองพรร;พุทธเจ้าเป็นค้น ปิญญาทั้งสองรร:กับกือทั้งโลกิยปีญญาแลร;โลกุดรปิญญุาก็่จัคเป็น อาภรณเกรองปรร;กับ เพราร;สามารถทำให้กนทมืปิญญาเซ่นนั้นงดงามไค้ กิอทำให้งามสง่าน่าเกรงชามในหมู่ชน กนมืปิญญากวามรู้นั่งอยูทั่ใดก็่สง่า มื รัศมืเรืองรอง ยู้กนมองค้วยกวามซึ๋นชม ไปในทั่ใคยู้กนกี่ให้กวามเกรงใจ นับถือ กังเซ่นพระ:กัมมากัมพุทธเจ้าแลร;พรร;อริยสาวกทั้งหลายในอคด แลร; เหมือนกับนักปราชญทั้งหลายในโลก www.kalyanamitra.org
MjLgUigU ธร™สารเทศนา... พระธรรมกิคฅิวงfi กล่าวโคยล5เอยคแล้วอาภรณม '๖ อย่างด้วยกัน คือ พสตราภรณ ได้แก่แอผ้า รตนากรณ ได้แก่อัญมณมก่าค่างๆ สิลาภรลร ได้แก่คืล จริยาภรณ ได้แก่กิริยามารยาทและ!อาจาระกวามปรรพฤคิทคืงาม ธรรมาภรณ ได้แก่คุณธรรมมขันติและ!โลรัจจะ!เป็นด้น และ! ฮญญาภรณ์ ได้แก่วิชากวามรู้ ในบรรคาอากรณ \\ว ชนิคนั้น พส์ตราภรณ์และ!รัตนาภรณ์ จัคเป็นเกรองประ!คับภายนอก ทำ ให้ ร่างกายงคงาม น่าคูน่าซม สิลาภรณ์ เป็นเกรองประ!คับทั้งภายนอกและ!ภายใน ทำ ให้กนงามได้ทั้ง กาย วาจา และใจ จริยาภรณ เป็นเกรองประคับภายนอก ทำ ให้กนงาม มกิริยามารยาท งคงาม มอาจาระกวามประพฤติทน่าศรัทธาเลอมใส ธรรมาภรณและ!(ญญาภรณ เป็นเกรองประคับภายใน แค่เปล่งประกาย รัศมออกมาทำให้งามภายนอกได้ และในบรรคาอาภรณ V) อย่างนั้ คืลหรอสิลาภรณทรงแสคงว่าเป็น เยยมหรือประเสริฐทสุค แม้จะไม่ฅรัสโคยฅรงว่าประเสริฐกว่าอาภรณอย่าง อํ่น กี่สือกวามหมายไปในทำนองนั้น ด้วยเหคุผลว่าคืลนั้นทำให้งามทั้ง ภายในและภายนอก กล่าวคือคืลนั้นแม้จะเป็นเกรองกวบคุมกายและวาจาให้ อยูในระเบยบวินัย ให้อยู่ในกรอบแห่งกฎเกณฑค่างๆ ทกำหนคกันเข้าไว้เพํ่อ กวามสงบสุขและเพอกวามเรืยบร้อยคืงามของหมู่กณะก็่จริง ถึงกระนั้นคืลกี่ สามารถร่อไปถึงใจให้เกิคกวามส์ารวมระวัง บังคับใจให้ยอมรับและสงบล่ารวม ได้ทางหนง จงอาจกล่าวได้ว่าคืลเป็นเหคุให้กายงาม วาจางาม และใจ งาม อกประการหนงเมอมคืลแล้ว อากรณอย่างอนคือจริยาภรณ ธรรมาภรณ และบัญญาภรณก็่เกิคเนไค[คยไม่ยาก คังนั้นจึงฅรัสว่า สิลํ อาภรณํ เสแจํ คืลเป็นอาภรณทั้ประเสริฐสุค คังพรรณามาฉะนั้ www.kalyanamitra.org
๙0 จาภรณกถา เรอง เครจงปรรคับคน เมอทราบซัคว่าอาภ?ณทั้งหลายฟ้น๓รองปT2คับฅน เร็เนเหตุให้เป็น กนงาม มเสน่ห น่ารักน่าเอี่นคู แล::เจริญรุ่งเรืองคังนิ้แล้ว พึงขวนขวาย แสวงหาอาภรณเหล่านิ้มาประคับตนไว้ เพอจะไค้เป็นกนงามตามหลักพระกาสนา ชงสามารถงามไค้ทุกเพศทุกวัยและงามไค้ตลอดไป กล่าวกอ พัสตราภรโน และรัตนาภรโนนั้นค้องซอค้องไซ้เงินจึงค้องหาทรัพยก่อนจึงจะมไค้ ล่วน สิลาภรโน จริยาภรโน ธรรมาภรโน และปิญญาภรโนนั้นไม่ค้องไซ้เงินซอ สามารถหาไค้ค้วยการตั้งไจทำ ตั้งไจประพฤติปฏิบัติกาย วาจา ไจ ไห้สงบ เรืยบร้อย ไห้ถูกค้องตามทำนองกลองธรรม เมอมแล้วก็่จะทำไห้เป็นกนงาม และสิลาภรโน จริยาภรโน ธรรมาภรโน และบัญญาภรโนนั้นสามารถจะฅิคตาม ไปไค้ทุกภพทุกชาติค้วย เพราะเป็นร่งลํ้าเลิศ เป็นลิงทอุปลัมภกํ้าจุน สนับสนุนไหตไห้ประเสริฐไค้ โคยเฉพาะอาภรโนกือสิลนั้นนอกจากจะเป็น เกรองประคับแล้วยังเป็นปอเกิคแห่งบุญ เป็นทางแห่งโภกสมบัติและสุกติ ตลอคถึงพระนิพพานค้วย คังนั้นจึงกวรตั้งมั่นอยูในสิล รักษาสิลไห้บริสุทธิ้ เป็นพนฐานซวิตเซ้าไว้ ซวิตก็่จะสตไสแช่มซน เป็นกนงาม เป็นกนมเสน่ห่ และอยู่เย็่นเป็นสุขตลอคกาลนาน คังธรรมบรรหารทแสดงมา พระธรรม เทศนาเรองอาภรณกถาสมกวรแก'เวลา ซอยุติลงแต่เพึยงเท่านั้ เอเตน สจฺจวชฺเชน ค้วยอำนาจการกล่าวกำลัตยัอันเป็นธรรมนั้ สทา โสตุถึ ภวโ^ตุ โว ซอกวามสุขซอกวามสวัสสิและกวามเจริญก้าวหน้า ไนธรรม ไนหน้าทกิจการงาน และไนการคำ เนินซวิต จงบังเกิคมแก'ท่าน ทั้งหลายคลอคกาลนาน และเมอปรารถนาลิงไคค้องการลิงไคอันเป็นไป!นทางท ขอบประกอบค้วยธรรม ซอจงพลันล่าเร็่จตามมโนปโนิธานปรารถนาทุกประการ แสคงพระธรรมเทศนาล่าเร็่จสมประสงค ซอยุติลงกงไว้แต่เพึยงเท'านั้. เอวํ กี่มค้วยประการฉะนั้ ฯ www.kalyanamitra.org
พ่อแปร แม่ปลุก ลุกงาม พระธรรมกิ?)ฅิวงเ^ www.kalyanamitra.org
รc^^^ร.\"- %-s^'\"- , D ฒ ชีวิฅวัผนกลา ฟอง หลกฟัผนาซึวิด อาจารส์ลสมปนฺโน อุฏฺจโาตา ธิติมๆ นโร นิเส อค.คว ภาสตติ ฯ ฃฺ.ชา. kac^/ko0><£(S>/<iตn<£. บคน จักรับพระ;ราชทานแสคงพระธรรมเทสนาในซวิฅวัฒนกถา อนุโมทนาส่วนพระราชกุศลปิฅฅิทานมัยทักขิณานปทานกิจทสมเคื่จบรมบพิฅร พระราชสมภารพระองก สมเคื่จพระปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า ผ้ทรง พระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรคปาเพญพระราชกุศลครบ ๑00 วัน ศพท่านเจ้าคุณพระธรรมบัณฑิต (กิลา รทธิธมฺโม ไ}.ธ.๙) อคฅเจ้า อาวาสวัคนรนาถสุนทริการาม เจ้าคณะภาค ๑๑ (ธรรมยุค) และกรรมการ เถรสมาคมคณะธรรมยุค นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยํ่งแก่ท่านเจ้าคุณยู้ถึง มรณภาพ แก่คณะสงฆคณะกิษยอบาสกอุบาสิกาชองวัคนรนาถสนทริการาม พระธรรมกิตติวงส์ (ทองค อุรเตโช ป.ธ.๙) วัคราชโซรฟ้าราม แฟ้ตงในการบำเพ็่ญพระราชกฟ้ถ ครบ ๑๐๐ วัน พระราชทานฟ้พ พระธรรมบัณฑิต (ติอา) อกฅเจ้าอาวาฟ้วัคนรนาถฟ้นทริการาม กรงเทพฯ วันพธทํ่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๐.๐๐ น. www.kalyanamitra.org
แร๚ ii ธรรมสารเทศนา... พระธรรมกิ?เฅิวงเ^ และ;แก่ญาติมิฅรพน้องของท่านเจ้าคุณ ด้วยว่าการเช่นนิ้ม่อมไค้ด้วยอา?โย คุณกวามคฃองยู้ล่วงลับไปแล้วเร็เนส์า?โญ ล่าหรับท่านเจ้าคุณยู้ถึงมรณภาพ แล้วนั้นประ;กอบด้วยคุณกวามคทั้งทเป็นอัฅฅสมบัติกือกวามดล่วนฅนและ; ปรหิฅสมบัติกือกวามคทป้าเพี่ญประ;โยซน!ว้แก่พระ;พุทธศาสนา แก่พระ; อาราม และ;แก'ลังฆมณฑล ฅลอคถึงประ;ซาชนโคยทั่วไป จึงสมกวรแก่การ ไครับชงเกรึ๋องราชบูชาเช่นนั้ด้วยประ;การทั้งปวง ท่านเจ้าคุณพระ;ธรรมบัณฑิต นามเติมว่า ติลา นามสกุลว่า อุทา เกิค เมอป็ พ.ศ. ๒<£๘๐ ณ ตำ บลหนองญาติ อำ เภอเมือง จ้งหวัคนกรพนม ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมอป็ พ.ศ. ๒<£๙<1 ได้อุปสมบทเมํ่อป็ พ.ศ. ๒๕๐๐ เมอบรรพชาและ;อุปสมบทแล้วได้มืวิริยะ;อุคสาหะ;ถึกษาเล่าเรัยน พัฒนาคนเองให้มืกวาม^นทางพระ;พุทธศาสนาฅ่อเนั้องมาไม่ฃาคสายจนสอบ ได้เปรัยญธรรม ๗ ประ;โยกเมอป็ พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้เป็นกรูสอนพระ;ปริยัติ ธรรมมาโคยคลอค ในล่วนชองการปกกรองนั้นท่านเจ้าคุณไครับกวามไว้ วางใจจากกณะ;สงฆให้ดำรงตำแหน่งสูงชนโคยล่าคับจนถึงเป็นเจ้าอาวาสวัค นรนาถสุนทริการาม พระ;อารามหลวง เป็นกรรมการเถรสมากมกณะ;ธรรมยุค และ;เป็นเจ้ากณะ;กาก ๑๑ (ธรรมยุค) ทำ ให้ท่านเจ้าคุณโคคเค่นเป็นทั่รู้จัก ชองพระ;สงฆทั่วลังฆมณฑล นำ กวามกากภูมิใจมาให้แก'พระ;สงฆวัคนรนาถ สุนทริการามและ;ญาติพน้องชาวนกรพนมอันเป็นถํ่นมาตุภูมิเป็นทั่ยํ่ง ใน นั้นปลายซวิค ท่านมือาพาธแทรกซ้อนหลายอย่างจนถึงทำให้มรณภาพลง เมอ ๑๐๐ วันทผ่านมานั้ ชวิคชองท่านเจ้าคุณพระ;ธรรมบัณฑิคนั้น เมํ่อพิจารณาแล้วก็่ด้องคาม พระ;พุทธวจนะ;ทแสคงถึงผู้ทถึอกำเนิคมาจากถนทไม'เจริญ มืแค'กวามด้อย และ:ชาคแกลนในทุกเรอง แฅ่ก็่สามารถพัฒนาซวิคให้สูงล่งรุ่งเรัองขนได้ด้วย อาคัยคุณธรรมค่างๆ คังพระ:บาลในหังสชาคกวสตินิบาต ฃุททกนิกายทั่ได้ www.kalyanamitra.org
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222