Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ พ.ศ.2563 ตัวจริง9

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ พ.ศ.2563 ตัวจริง9

Published by weeradech.mapaet, 2020-07-09 12:54:32

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธิ์พัฒนวิทย์ พ.ศ.2563

Keywords: หลักสูตรวิชาสังคม

Search

Read the Text Version

หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวิทย์ พ.ศ.2563 201 ชั้น ตวั ช้วี ัด สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง ม.4-6 1. อธบิ ายบทบาทของรฐั บาลดา้ นนโยบาย  บทบาทของนโยบายการเงนิ และการคลงั ของ การเงนิ การคลงั ในการพฒั นาเศรษฐกิจ รฐั บาลในดา้ น ของประเทศ  การรกั ษาเสถียรภาพทางเศรษฐกจิ  การสรา้ งการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ  การรกั ษาดลุ การคา้ ระหวา่ งประเทศ  การแทรกแซงราคาและการควบคมุ ราคา รายรบั และรายจ่ายของรฐั ทีม่ ีผลต่องบประมาณ หนสี้ าธารณะ การพัฒนาทางเศรษฐกจิ และ คณุ ภาพชีวติ ของประชาชน  นโยบายการเกบ็ ภาษปี ระเภทต่าง ๆ และการใชจ้ า่ ยของรฐั  แนวทางการแกป้ ัญหาการว่างงาน  ความหมาย สาเหตุ และผลกระทบท่ีเกดิ จาก ภาวะทางเศรษฐกจิ เชน่ เงนิ เฟ้อ เงินฝืด  ตวั ชวี้ ดั ความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ เช่น GDP , GNP รายได้เฉลยี่ ต่อบุคคล  แนวทางการแก้ปัญหาของนโยบายการเงิน การคลัง 2. วิเคราะหผ์ ลกระทบของการเปดิ เสรี  ววิ ัฒนาการของการเปิดเสรีทางเศรษฐกจิ ในยคุ ทางเศรษฐกจิ ในยุคโลกาภวิ ัตน์ท่มี ผี ลต่อ โลกาภวิ ตั น์ของไทย สังคมไทย  ปัจจยั ทางเศรษฐกจิ ทม่ี ผี ลตอ่ การเปิดเสรีทาง เศรษฐกิจของประเทศ  ผลกระทบของการเปิดเสรที างเศรษฐกิจของ ประเทศทม่ี ตี ่อภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาค การคา้ และบริการ  การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ  บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศในเวทกี ารเงิน โลกที่มีผลกับประเทศไทย

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทบั โพธ์พิ ัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 202 ชน้ั ตัวช้ีวดั สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง 3. วเิ คราะหผ์ ลดี ผลเสียของความร่วมมือ  แนวคิดพ้นื ฐานท่เี ก่ยี วขอ้ งกับการคา้ ระหว่างประเทศ ทางเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศในรูปแบบ  บทบาทขององค์การความร่วมมอื ทางเศรษฐกิจที่ ตา่ ง ๆ สาคัญในภูมภิ าคต่าง ๆ ของโลก เช่น WTO , NAFTA , EU , IMF , ADB , OPEC , FTA , APECในระดบั ต่าง ๆ เขตส่เี หลี่ยมเศรษฐกิจ  ปัจจยั ต่าง ๆ ทน่ี าไปสู่การพ่ึงพา การแขง่ ขนั การ ขดั แยง้ และการประสานประโยชน์ทางเศรษฐกจิ  ตัวอยา่ งเหตกุ ารณ์ที่นาไปส่กู ารพงึ พาทาง เศรษฐกจิ  ผลกระทบจากการดาเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ระหวา่ งประเทศ  ปจั จยั ตา่ ง ๆ ทนี่ าไปสู่การพ่งึ พาการแขง่ ขัน การ ขัดแยง้ และการประสารประโยชน์ทางเศรษฐกจิ วธิ กี ารกดี กนั ทางการค้าในการคา้ ระหว่างประเทศ สำระที่ 4 ประวตั ิศำสตร์ มำตรฐำน ส 4.1 เขา้ ใจความหมาย ความสาคญั ของเวลา และยคุ สมยั ทางประวตั ิศาสตร์ สามารถใชว้ ิธีการ ทางประวตั ศิ าสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ อยา่ งเป็นระบบ ชนั้ ตัวช้ีวดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ม.1 1. วิเคราะหค์ วามสาคัญของเวลาใน  ตัวอยา่ งการใช้เวลา ช่วงเวลาและยคุ สมัย การศึกษาประวตั ศิ าสตร์ ที่ปรากฏในเอกสารประวัตศิ าสตร์ไทย  ความสาคัญของเวลา และชว่ งเวลาสาหรับ การศกึ ษาประวัตศิ าสตร์  ความสมั พันธแ์ ละความสาคญั ของอดตี ท่ีมี ต่อปัจจุบนั และอนาคต 2. เทยี บศักราชตามระบบต่างๆที่ใช้ศึกษา  ท่ีมาของศักราชทป่ี รากฏในเอกสาร ประวตั ศิ าสตร์ ประวัตศิ าสตร์ไทย ไดแ้ ก่ จ.ศ. / ม.ศ. /ร. ศ./ พ.ศ. / ค.ศ. และ ฮ.ศ.  วธิ ีการเทยี บศักราชต่างๆ และตวั อยา่ ง การเทียบ  ตวั อย่างการใชศ้ กั ราชต่าง ๆ ท่ีปรากฏใน เอกสารประวตั ิศาสตร์ไทย

หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทบั โพธิพ์ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 203 ช้นั ตวั ชีว้ ดั สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง 3. นาวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์มาใช้ศึกษา  ความหมายและความสาคญั ของประวตั ศิ าสตร์ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และวิธีการทางประวัตศิ าสตร์ทม่ี คี วาม สัมพนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั  ตัวอย่างหลกั ฐานในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ ไทยสมยั สโุ ขทัย ท้ังหลกั ฐานชัน้ ตน้ และ หลักฐานช้นั รอง ( เช่อื มโยงกับ มฐ. ส 4.3) เช่น ข้อความ ในศิลาจารึก สมัยสุโขทยั เป็นตน้  นาวธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ไปใช้ศกึ ษา เรอื่ งราวของประวตั ิศาสตร์ไทยทมี่ อี ยู่ใน ทอ้ งถน่ิ ตนเองในสมัยใดกไ็ ด้ (สมัยก่อน ประวัตศิ าสตร์ สมัยก่อนสโุ ขทยั สมยั สุโขทยั สมัยอยธุ ยา สมัยธนบรุ ี สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ) และเหตุการณ์สาคญั ใน สมัยสโุ ขทยั ม.2 1. ประเมนิ ความนา่ เช่ือถือของหลักฐาน  วธิ กี ารประเมินความน่าเชอ่ื ถอื ของ ทางประวตั ศิ าสตร์ในลักษณะต่าง ๆ หลักฐานทางประวัติศาสตรใ์ นลกั ษณะ ตา่ ง ๆ อย่างงา่ ย ๆ เชน่ การศึกษาภูมหิ ลงั ของ ผู้ทา หรือผู้เกี่ยวข้อง สาเหตุ ชว่ งระยะเวลา รปู ลักษณ์ของหลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ เป็นต้น  ตัวอย่างการประเมินความน่าเชือ่ ถือของ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ไทยที่อยู่ ในทอ้ งถน่ิ ของตนเอง หรอื หลักฐาน สมยั อยุธยา ( เชอื่ มโยงกับ มฐ. ส 4.3 ) 2. วิเคราะหค์ วามแตกต่างระหวา่ งความจรงิ  ตวั อย่างการวเิ คราะหข์ ้อมูลจากเอกสาร กบั ข้อเทจ็ จริงของเหตุการณ์ทาง ตา่ ง ๆ ในสมยั อยุธยา และธนบุรี ประวัตศิ าสตร์ ( เชื่อมโยงกบั มฐ. ส 4.3 ) เช่น ขอ้ ความ 3. เห็นความสาคญั ของการตีความหลักฐาน บางตอน ในพระราชพงศาวดารอยธุ ยา / ทางประวัตศิ าสตรท์ ีน่ ่าเชอื่ ถือ จดหมายเหตชุ าวตา่ งชาติ  ตวั อย่างการตีความขอ้ มูลจากหลักฐานที่ แสดงเหตุการณส์ าคัญในสมัยอยธุ ยาและ ธนบรุ ี

หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 204 ชน้ั ตวั ช้ีวัด สำระกำรเรยี นร้แู กนกลำง ม.3 1. วเิ คราะหเ์ ร่อื งราวเหตุการณ์สาคัญทาง  การแยกแยะระหวา่ งข้อมูลกบั ความคิดเหน็ ประวัติศาสตร์ได้อยา่ งมีเหตุผลตามวิธกี าร ทางประวตั ศิ าสตร์ รวมท้งั ความจรงิ กบั ข้อเท็จจริงจากหลกั ฐาน 2. ใช้วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตรใ์ นการศึกษา เรอื่ งราวต่าง ๆ ที่ตนสนใจ ทางประวัติศาสตร์ ม.4 –ม. 6 1. ตระหนักถงึ ความสาคญั ของเวลาและ  ความสาคญั ของการวเิ คราะหข์ ้อมลู และ ยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ที่แสดงถงึ การ เปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติ การตคี วามทางประวตั ศิ าสตร์  ขัน้ ตอนของวธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ 2. สร้างองค์ความรู้ใหมท่ างประวัตศิ าสตร์ สาหรับการศกึ ษาเหตุการณท์ างประวัติศาสตร์ที่ โดยใช้วธิ กี ารทางประวัติศาสตร์อยา่ งเป็น เกิดขึ้นในท้องถน่ิ ตนเอง ระบบ  วิเคราะหเ์ หตุการณ์สาคัญในสมยั รัตนโกสินทร์ โดยใชว้ ิธีการทางประวตั ิศาสตร์  นาวิธีการทางประวตั ิศาสตร์มาใชใ้ น การศกึ ษาเรื่องราวทเ่ี ก่ยี วข้องกบั ตนเอง ครอบครวั และทอ้ งถิน่ ของตน  เวลาและยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตรท์ ี่ ปรากฏในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยและ ประวตั ศิ าสตร์สากล  ตัวอยา่ งเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ของสงั คมมนุษย์ท่มี ีปรากฏใน หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ (เชื่อมโยงกับ มฐ. ส 4.3)  ความสาคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวตั ศิ าสตร์  ขัน้ ตอนของวิธกี ารทางประวตั ศิ าสตร์ โดย นาเสนอตวั อย่างทลี ะขั้นตอนอย่างชัดเจน  คุณคา่ และประโยชนข์ องวิธกี ารทาง ประวัติศาสตรท์ ี่มตี ่อการศึกษาทาง ประวตั ศิ าสตร์  ผลการศกึ ษาหรอื โครงงานทาง ประวตั ิศาสตร์

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธ์ิพฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 205 สำระที่ 4 ประวัติศำสตร์ มำตรฐำน ส 4.2 เข้าใจพฒั นาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปจั จบุ นั ในดา้ นความสัมพันธแ์ ละ การเปล่ยี นแปลงของเหตุการณ์อยา่ งต่อเน่ือง ตระหนักถึงความสาคญั และสามารถ วิเคราะหผ์ ลกระทบที่เกดิ ขนึ้ ชน้ั ตวั ชว้ี ดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ม.1 1. อธิบายพัฒนาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และ  ที่ตง้ั และสภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องประเทศ การเมืองของประเทศต่าง ๆ ในภูมภิ าคเอเชยี ต่าง ๆ ในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ท่ีมีผลตอ่ พฒั นาการทางดา้ นต่างๆ  พฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกิจ และ การเมืองของประเทศตา่ ง ๆ ในภูมิภาค เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ 2. ระบคุ วามสาคญั ของแหลง่ อารยธรรมใน  ทตี่ ั้งและความสาคญั ของแหล่งอารยธรรม ภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ ในภมู ิภาคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ เช่น แหลง่ มรดกโลกในประเทศตา่ ง ๆของเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้  อทิ ธิพลของอารยธรรมโบราณในดนิ แดน ไทยที่มตี อ่ พัฒนาการของสังคมไทยใน ปจั จุบัน ม.2 1. อธิบายพฒั นาการทางสังคม เศรษฐกิจ  ท่ตี ั้งและสภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องภูมิภาค และการเมืองของภูมภิ าคเอเชยี ต่างๆในทวปี เอเชีย (ยกเว้นเอเชียตะวนั ออก เฉยี งใต)้ ท่ีมผี ลตอ่ พัฒนาการโดยสงั เขป  พัฒนาการทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองของภูมภิ าคเอเชยี (ยกเว้นเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้)  ทต่ี ั้งและความสาคญั ของแหลง่ อารยธรรม 2. ระบุความสาคญั ของแหล่งอารยธรรม โบราณในภมู ภิ าคเอเชยี เช่น แหล่งมรดก โลกในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชยี  อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณทมี่ ตี ่อ ภูมิภาคเอเชียในปจั จบุ ัน

หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทับโพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 206 ชน้ั ตัวช้วี ดั สำระกำรเรียนร้แู กนกลำง ม.3 1. อธบิ ายพฒั นาการทางสงั คม เศรษฐกจิ  ท่ีตง้ั และสภาพทางภมู ิศาสตรข์ องภูมิภาค และการเมอื งของภูมภิ าคตา่ งๆ ในโลก ม.4-ม.6 โดยสังเขป ตา่ งๆของโลก (ยกเว้นเอเชยี ) ทมี่ ผี ลต่อ พัฒนาการโดยสังเขป 2. วิเคราะหผ์ ลของการเปล่ยี นแปลงที่  พัฒนาการทางสงั คม เศรษฐกจิ และการเมือง นาไปสคู่ วามร่วมมือ และความขดั แยง้ ใน ของภูมภิ าคต่างๆของโลก (ยกเว้นเอเชีย) ครสิ ต์ศตวรรษที่ 20 ตลอดจนความ พยายามในการขจัดปัญหาความขัดแยง้ โดยสงั เขป  อทิ ธพิ ลของอารยธรรมตะวันตกทีม่ ีผลต่อ 1.วเิ คราะหอ์ ิทธิพลของอารยธรรรม โบราณ และการติดต่อระหวา่ งโลก พัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ตะวันออกกบั โลกตะวนั ตกที่มีผลตอ่  ความร่วมมือและความขดั แย้งใน พัฒนาการและการเปล่ยี นแปลงของโลก 2. วิเคราะห์เหตกุ ารณ์สาคญั ตา่ งๆท่ีสง่ ผล ครสิ ต์ศตวรรษที่ 20 เช่น สงครามโลกครงั้ ท่ี 1 ต่อการเปลย่ี นแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ ครง้ั ที่ 2 สงครามเย็น องค์การความรว่ มมอื และการเมือง เขา้ สู่โลกสมยั ปัจจบุ ัน ระหว่างประเทศ 3. วิเคราะห์ผลกระทบของการขยาย อิทธิพลของประเทศในยุโรปไปยังทวปี  อารยธรรมของโลกยุคโบราณ ไดแ้ ก่ อารย อเมรกิ า แอฟรกิ าและเอเชยี ธรรมลมุ่ แม่น้าไทกรีส-ยเู ฟรตีส ไนล์ ฮวงโห 4. วเิ คราะหส์ ถานการณ์ของโลกใน สนิ ธุ และอารยธรรมกรีก-โรมัน คริสต์ศตวรรษท่ี 21  การตดิ ตอ่ ระหว่างโลกตะวันออกกบั โลก ตะวันตก และอทิ ธิพลทางวฒั นธรรมท่มี ตี ่อกนั และกนั  เหตุการณ์สาคัญต่างๆทีส่ ่งผลต่อการ เปลีย่ นแปลงของโลกในปัจจุบัน เช่นระบอบ ฟิวดสั การฟ้ืนฟู ศิลปวทิ ยาการสงครามครู เสด การสารวจทางทะเล การปฏิรูป ศาสนา การปฏวิ ตั ิทาง วทิ ยาศาสตร์ การปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรม จกั รวรรดนิ ยิ ม ลทั ธชิ าตินยิ ม เป็นตน้  ความร่วมมอื และความขัดแย้งของมนุษยชาติ ในโลก  สถานการณ์สาคัญของโลกในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 21 เชน่ - เหตกุ ารณ์ 11 กนั ยายน 2001 (Nine Eleven ) - การขาดแคลนทรัพยากร - การกอ่ การร้าย - ความขดั แย้งทางศาสนา ฯลฯ

หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 207 สำระที่ 4 ประวตั ิศำสตร์ มำตรฐำน ส 4.3 เข้าใจความเปน็ มาของชาติไทย วัฒนธรรม ภมู ปิ ัญญาไทย มคี วามรกั ความภูมิใจและธารง ความเป็นไทย ช้ัน ตวั ชี้วัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ม.1 1. อธิบายเรอ่ื งราวทางประวัติศาสตร์  สมัยกอ่ นประวัตศิ าสตรใ์ นดินแดนไทย สมยั กอ่ นสุโขทยั ในดนิ แดนไทย โดยสังเขป โดยสังเขป  รัฐโบราณในดนิ แดนไทย เช่น ศรีวิชัยตามพร 2. วิเคราะหพ์ ัฒนาการของอาณาจกั ร ลงิ ค์ ทวารวดี เป็นตน้ สโุ ขทัยในดา้ นต่าง ๆ  รฐั ไทย ในดนิ แดนไทย เช่น ล้านนา นครศรธี รรมราช สพุ รรณภมู ิ เปน็ ต้น 3. วเิ คราะหอ์ ทิ ธิพลของวฒั นธรรม และ  การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย และ ปัจจยั ที่ ภูมิปญั ญาไทยสมัยสโุ ขทัยและสงั คมไทย เก่ียวข้อง (ปจั จยั ภายในและ ปจั จัยภายนอก )  พัฒนาการของอาณาจักรสุโขทัย ในด้าน ในปจั จุบัน การเมืองการปกครอง เศรษฐกจิ สังคม และ ความสมั พันธร์ ะหว่างประเทศ  วฒั นธรรมสมัยสโุ ขทยั เช่น ภาษาไทย วรรณกรรม ประเพณีสาคัญ ศลิ ปกรรมไทย  ภมู ิปัญญาไทยในสมัยสุโขทัย เชน่ การชลประทาน เครื่องสงั คมโลก  ความเสื่อมของอาณาจักรสโุ ขทัย ม.2 1. วเิ คราะหพ์ ัฒนาการของอาณาจักร  การสถาปนาอาณาจักรอยธุ ยา อยธุ ยา และธนบุรีในดา้ นตา่ งๆ  ปัจจัยที่สง่ ผลต่อความเจริญรุ่งเรอื งของ 2. วเิ คราะห์ปจั จยั ที่สง่ ผลต่อความมั่นคง อาณาจักรอยธุ ยา และความเจรญิ รุ่งเรอื งของอาณาจักร  พฒั นาการของอาณาจักรอยธุ ยาในด้าน อยุธยา การเมืองการปกครอง สังคม เศรษฐกิจ และ 3. ระบุภมู ิปญั ญาและวัฒนธรรมไทย ความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ สมัยอยธุ ยาและธนบรุ ี และอิทธิพลของ  การเสียกรงุ ศรอี ยุธยาคร้ังที่ 1 และ การกู้ ภูมปิ ัญญาดังกลา่ ว ต่อการพัฒนาชาติ เอกราช ไทยในยุคต่อมา  ภูมปิ ญั ญาและวัฒนธรรมไทยสมยั อยุธยา เชน่ การควบคมุ กาลังคน และศลิ ปวฒั นธรรม  การเสียกรงุ ศรีอยุธยาคร้ังที่ 2 การกู้ เอกราช และการสถาปนาอาณาจกั รธนบุรี  ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยสมยั ธนบรุ ี  วรี กรรมของบรรพบรุ ุษไทย ผลงาน ของบุคคลสาคัญของไทยและต่างชาติ ท่มี สี ่วนสร้างสรรคช์ าตไิ ทย

หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทบั โพธ์ิพฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 208 ช้ัน ตวั ชี้วัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง ม.3 1. วิเคราะห์พฒั นาการของไทย  การสถาปนากรงุ เทพมหานครเปน็ ราชธานีของ สมยั รัตนโกสินทร์ในด้านต่างๆ ไทย 2. วิเคราะห์ปัจจยั ทีส่ ง่ ผลตอ่ ความม่ันคง  ปจั จัยทสี่ ง่ ผลต่อความมน่ั คงและ และความเจริญรุ่งเรืองของไทยในสมัย ความเจริญร่งุ เรืองของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ รัตนโกสินทร์  บทบาทของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยในราชวงศ์ 3.วิเคราะห์ภมู ปิ ญั ญาและวฒั นธรรม จักรีในการสร้างสรรค์ความเจรญิ และความ ไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร์ และอิทธิพลตอ่ มนั่ คงของชาติ การพัฒนาชาติไทย  พัฒนาการของไทยในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ 4.วิเคราะห์บทบาทของไทยในสมยั ทางดา้ นการเมอื ง การปกครอง สงั คม ประชาธปิ ไตย เศรษฐกจิ และความสมั พันธ์ระหวา่ งประเทศ ตามชว่ งสมยั ตา่ งๆ  เหตุการณส์ าคญั สมัยรัตนโกสนิ ทร์ทมี่ ี ผลตอ่ การพัฒนาชาติไทย เช่น การทา สนธิสญั ญาเบาวร์ งิ ในสมัยรชั กาลท่ี 4 การ ปฏิรูปประเทศในสมัยรชั กาลที่ 5 การเขา้ รว่ ม สงครามโลกครัง้ ที่ 1 และคร้งั ท่ี 2 โดยวเิ คราะห์ สาเหตปุ จั จัย และผลของเหตุการณ์ต่าง ๆ  ภูมปิ ญั ญาและวฒั นธรรมไทยในสมยั รัตนโกสินทร์  บทบาทของไทยต้งั แต่เปลีย่ นแปลง การปกครองจนถงึ ปัจจุบันในสงั คมโลก ม.4 – ม.6 1.วิเคราะห์ประเดน็ สาคัญของ  ประเด็นสาคัญของประวัติศาสตร์ไทย เช่น ประวตั ิศาสตร์ไทย แนวคดิ เกย่ี วกบั ความเป็นมาของชาติไทย 2. วเิ คราะหค์ วามสาคัญของสถาบัน อาณาจักรโบราณในดนิ แดนไทย และอิทธพิ ล พระมหากษัตริยต์ อ่ ชาติไทย ทมี่ ตี อ่ สังคมไทย ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ การสถาปนา 3. วเิ คราะห์ปัจจยั ท่ีส่งเสรมิ ความ อาณาจักรไทยในชว่ งเวลาต่างๆ สาเหตุและ สรา้ งสรรคภ์ มู ิปัญญาไทย และ ผลของการปฏิรปู ฯลฯ วัฒนธรรมไทย ซง่ึ มผี ลตอ่ สังคมไทยใน  บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริย์ในการ พัฒนาชาตไิ ทยในดา้ นต่างๆ เช่น การปอ้ งกนั ยุคปจั จุบัน 4. วิเคราะห์ผลงานของบคุ คลสาคญั ท้ัง และรักษาเอกราชของชาติ การสร้างสรรค์ วัฒนธรรมไทย ชาวไทยและตา่ งประเทศ ท่ีมีสว่ น  อทิ ธิพลของวัฒนธรรมตะวนั ตก และตะวันออก สรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรมไทย และ ประวตั ิศาสตร์ไทย ทม่ี ตี ่อสงั คมไทย  ผลงานของบคุ คลสาคัญทัง้ ชาวไทยและ ต่างประเทศ ท่มี ีสว่ นสร้างสรรค์ วฒั นธรรมไทย และประวัติศาสตรไ์ ทย

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธิพ์ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 209 ชั้น ตวั ชี้วัด สำระกำรเรียนรู้แกนกลำง  ปัจจัยที่สง่ เสรมิ ความสร้างสรรคภ์ มู ิปญั ญาไทย และวฒั นธรรมไทย ซงึ่ มผี ลต่อสังคมไทยในยคุ ปัจจุบนั 5. วางแผนกาหนดแนวทางและการมี  สภาพแวดลอ้ มทม่ี ผี ลตอ่ การสร้างสรรคภ์ ูมิ ส่วนรว่ มการอนรุ กั ษ์ภูมิปัญญาไทยและ ปัญญาและวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมไทย  วถิ ีชวี ิตของคนไทยในสมัยต่างๆ  การสืบทอดและเปล่ยี นแปลงของวฒั นธรรม ไทย  แนวทางการอนรุ ักษ์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ไทยและการมสี ว่ นรว่ มในการอนรุ ักษ์  วธิ ีการมีส่วนรว่ มอนุรักษภ์ มู ิปญั ญาและ วฒั นธรรมไทย สำระท่ี 5 ภมู ศิ ำสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เขา้ ใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสมั พันธ์ของสรรพสงิ่ ซ่ึงมีผลต่อกนั ใช้แผนที่ และเครื่องมือทางภมู ศิ าสตร์ในการคน้ หา วเิ คราะห์ และสรุปขอ้ มูลตามกระบวนการทางภูมิศาสตร์ลอดจนใช้ ภมู สิ ารสนเทศอย่างมีประสิทธภิ าพ ชน้ั ตัวชวี้ ัด สำระกำรเรยี นรู้แกนกลำง ม.1 1. วิเคราะหล์ ักษณะทางกายภาพ  ท่ตี ้งั ขนาด และอาณาเขตของ ของทวปี เอเชยี ทวีปออสเตรเลีย ทวีปเอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และ และโอเชยี เนีย โดยใชเ้ คร่ืองมือ ทาง โอเชยี เนีย ภมู ศิ าสตรส์ บื ค้นข้อมูล  การใชเ้ คร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ รปู ถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทยี มในการสืบค้น ลักษณะทางกายภาพของทวปี เอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย 2. อธิบายพิกัดภมู ิศาสตร์ (ละติจดู  พิกัดภมู ศิ าสตร์ (ละติจูด และลองจจิ ูด) และลองจิจดู ) เส้นแบง่ เวลา และ  เสน้ แบ่งเวลา เปรียบเทียบวนั เวลาของโลก  เปรยี บเทียบวนั เวลาของโลก 3. วเิ คราะหส์ าเหตุการเกิดภยั พิบัติ  สาเหตุการเกดิ ภยั พิบัติและผลกระทบในทวีปเอเชีย และผลกระทบในทวปี เอเชีย ทวปี ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชียเนยี ออสเตรเลยี และโอเชียเนีย ม.2 1. วเิ คราะหล์ กั ษณะทางกายภาพ  ที่ต้งั ขนาด และอาณาเขตของทวีปยุโรป และทวปี ของทวปี ยุโรป และทวปี แอฟริกา แอฟริกา

หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทบั โพธ์พิ ัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 210 โดยใช้เครื่องมือทางภมู ิศาสตร์สืบคน้  การใช้เครือ่ งมอื ทางภมู ิศาสตร์ ข้อมลู เช่น แผนท่ี รปู ถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทยี มใน การสืบคน้ ลักษณะทางกายภาพของทวีปยุโรป 2. อธบิ ายมาตราสว่ น ทิศ และ และทวีปแอฟริกา สัญลกั ษณ์  การแปลความหมาย มาตราสว่ น ทศิ และสัญลักษณ์ ในแผนท่ี 3. วเิ คราะห์สาเหตกุ ารเกดิ ภยั พบิ ัติ สาเหตกุ ารเกิดภัยพบิ ัติและ และผลกระทบในทวีปยโุ รป และ ผลกระทบในทวปี ยโุ รป และทวีป ทวีปแอฟรกิ า แอฟริกา ช้นั ตัวชว้ี ัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ม.3 1. วิเคราะหล์ ักษณะทางกายภาพ  ที่ตง้ั ขนาด และอาณาเขตของทวปี อเมริกาเหนือ ของทวปี อเมริกาเหนอื และทวปี และทวีปอเมรกิ าใต้ ม.4 – ม.6 อเมรกิ าใต้ โดยเลอื กใช้แผนทเ่ี ฉพาะ  การเลือกใชแ้ ผนที่เฉพาะเร่ืองและเครอื่ งมือทาง เรื่องและเคร่อื งมือทางภมู ิศาสตร์ ภมู ศิ าสตรส์ บื ค้นข้อมูล ลักษณะทางกายภาพของ สบื ค้นขอ้ มูล ทวปี อเมริกาเหนือ และทวปี อเมรกิ าใต้ 2. วิเคราะห์สาเหตกุ ารเกิดภยั พิบตั ิและ สาเหตกุ ารเกดิ ภัยพิบัติและผลกระทบในทวปี ผลกระทบในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาเหนอื และทวีปอเมริกาใต้ และทวปี อเมรกิ าใต้ 1. วเิ คราะหก์ ารเปลี่ยนแปลงทาง  การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ กายภาพในประเทศไทยและภูมภิ าค (ประกอบด้วย 1. ธรณีภาค ตา่ งๆ ของโลก ซงึ่ ไดร้ ับอทิ ธิพลจาก 2. บรรยากาศภาค 3. อทุ กภาค4. ชวี ภาค) ของ ปัจจยั ทางภมู ศิ าสตร์ พน้ื ทใ่ี นประเทศไทยและภูมิภาคต่างๆ ของโลก ซ่งึ ได้รบั อิทธิพลจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ 2. วิเคราะหล์ ักษณะทางกายภาพ  การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ ซ่ึงทาใหเ้ กิดปัญหาและภยั พิบัติ ท่ีสง่ ผลตอ่ ภมู ปิ ระเทศ ภูมิอากาศ ทางธรรมชาตใิ นประเทศไทยและ และทรัพยากรธรรมชาติ ภมู ิภาคต่างๆ ของโลก  ปญั หาทางกายภาพและภัยพิบตั ิ 3. ใชแ้ ผนที่และเครื่องมือทาง ทางธรรมชาติในประเทศ ภมู ศิ าสตรใ์ นการค้นหา วเิ คราะห์ และภมู ภิ าคต่างๆ ของโลก และสรุปข้อมลู ตามกระบวนการ ทางภูมศิ าสตร์ และนาภูมสิ ารสนเทศ  แผนทแ่ี ละองคป์ ระกอบ มาใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน  การอ่านแผนทเ่ี ฉพาะเรื่อง  การแปลความหมายรูปถา่ ยทางอากาศ และภาพ จากดาวเทยี ม  การนาภมู ิสารสนเทศไปใช้ในชีวติ ประจาวนั

หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 211 สำระที่ 5 ภูมิศำสตร์ มำตรฐำน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษยก์ ับสงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพที่ก่อใหเ้ กิดการสรา้ งสรรคว์ ถิ กี าร ดาเนนิ ชวี ิต มีจิตสานกึ และมสี ่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และสงิ่ แวดลอ้ มเพื่อการพัฒนาที่ยัง่ ยนื ชั้น ตัวชี้วัด สำระกำรเรยี นรแู้ กนกลำง ม.1 1. สารวจและระบุทาเลทีต่ ั้งของ  ทาเลท่ีตัง้ ของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสังคม กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม เชน่ พน้ื ทเี่ พาะปลูกและเลย้ี งสัตว์ ในทวปี เอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย และ แหลง่ ประมง การกระจายของภาษาและศาสนาใน โอเชยี เนยี ทวีปเอเชีย ทวปี ออสเตรเลยี และโอเชยี เนยี 2. วิเคราะหป์ ัจจัยทางกายภาพและ  ปัจจัยทางกายภาพและปัจจยั ทางสงั คมท่ีสง่ ผล ปัจจยั ทางสังคมท่ีมผี ลตอ่ ทาเลที่ต้ัง ต่อการเปลย่ี นแปลงโครงสร้างทาง ของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสงั คม ประชากร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจสังคมและ ในทวีปเอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย วัฒนธรรมในทวีปเอเชยี ทวีปออสเตรเลยี และโอ และโอเชียเนีย เชียเนยี 3. สบื คน้ อภิปรายประเดน็ ปัญหา ประเดน็ ปญั หาจากปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ ง จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างส่ิงแวดล้อม สงิ่ แวดลอ้ มทางกายภาพกับมนุษย์ทเ่ี กิดข้ึนในทวีป ทางกายภาพกับมนษุ ย์ทเี่ กิดข้ึน เอเชยี ทวีปออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย ในทวปี เอเชยี ทวปี ออสเตรเลีย และโอเชยี เนีย 4. วิเคราะหแ์ นวทางการจดั การภัย  แนวทางการจัดการภยั พบิ ัตแิ ละการจดั การ พบิ ตั แิ ละการจัดการทรัพยากรและ จัดการทรัพยากรและสิง่ แวดล้อมในทวปี เอเชยี สง่ิ แวดล้อมในทวีปเอเชีย ทวีปออสเตรเลีย และโอเชียเนยี ทวีปออสเตรเลยี และโอเชียเนยี ที่ยง่ั ยนื ที่ย่ังยนื ม.2 1. สารวจและระบุทาเลทีต่ ้ังของ ทาเลที่ตงั้ ของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสงั คม กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสังคม เช่น พนื้ ท่เี พาะปลกู และเลี้ยงสตั ว์ แหลง่ ประมง ในทวปี ยโุ รป และทวีปแอฟริกา การกระจายของภาษา และศาสนาในทวปี ยุโรป 2. วเิ คราะหป์ ัจจยั ทางกายภาพ และทวปี แอฟริกา และปัจจัยทางสังคมที่มผี ลตอ่ ทาเล ทตี่ งั้ ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ  ปัจจยั ทางกายภาพและปจั จยั สังคมในทวีปยุโรป และทวปี แอฟริกา ทางสงั คมทีส่ ง่ ผลตอ่ การเปลี่ยนแปลง โครงสรา้ งทางประชากร สง่ิ แวดลอ้ ม เศรษฐกจิ สงั คมและวัฒนธรรม ในทวปี ยโุ รป และทวีปแอฟรกิ า

หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทบั โพธ์ิพฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 212 ช้นั ตวั ช้วี ดั สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง 3. สืบค้น อภปิ รายประเดน็ ปัญหา  ประเดน็ ปญั หาจากปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่าง จากปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพกบั มนุษย์ทเ่ี กิดขน้ึ ในทวีป ทางกายภาพกบั มนษุ ยท์ ่เี กดิ ขึ้น ยโุ รป และทวีปแอฟรกิ า ในทวปี ยุโรป และทวีปแอฟริกา 4. วเิ คราะห์แนวทางการจดั การภยั แนวทางการจัดการภัยพิบัติและการจัดการ พบิ ตั แิ ละการจดั การทรัพยากรและ ทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อมในทวีปยุโรป และทวปี ส่งิ แวดล้อมในทวปี ยุโรป แอฟริกาทีย่ ั่งยนื และทวปี แอฟริกาท่ยี ัง่ ยนื ม.3 1. สารวจและระบทุ าเลท่ตี ้ังของ  ทาเลท่ตี ้ังของกจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสังคม กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คมในทวีป อเมรกิ าเหนือ และทวปี อเมริกาใต้ เชน่ พ้นื ทเ่ี พาะปลูกและ เล้ยี งสตั ว์ แหล่งประมง การกระจายของภาษาและ ศาสนาในทวปี อเมรกิ าเหนือ และ ทวีปอเมริกาใต้ 2. วิเคราะหป์ จั จยั ทางกายภาพและ  ปจั จยั ทางกายภาพและปัจจยั ทางสงั คมท่สี ่งผล ปัจจยั ทางสังคมทมี่ ีผลตอ่ ทาเลท่ตี ั้ง ต่อการเปล่ียนแปลงโครงสร้าง ของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ และสงั คม ทางประชากร ส่งิ แวดล้อม เศรษฐกิจ ในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีป สงั คมและวัฒนธรรมในทวปี อเมรกิ า อเมรกิ าใต้ เหนือ และทวีปอเมริกาใต้ 3. สืบค้น อภิปรายประเด็นปัญหา  ประเด็นปญั หาจากปฏสิ ัมพันธ์ระหว่าง จากปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งสง่ิ แวดลอ้ ม สิ่งแวดลอ้ มทางกายภาพกับมนุษยท์ ่ีเกิดขึ้นในทวปี ทางกายภาพกับมนุษยท์ ่เี กิดข้ึน อเมรกิ าเหนอื และทวปี อเมรกิ าใต้ ในทวีปอเมริกาเหนือ และทวีป อเมรกิ าใต้ 4. วิเคราะห์แนวทางการจัดการ  แนวทางการจดั การภัยพิบัตแิ ละการจัดการ ภยั พบิ ัตแิ ละการจดั การทรพั ยากร ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อมในทวีปอเมรกิ าเหนือ และสง่ิ แวดล้อมในทวีปอเมรกิ าเหนือ และทวีปอเมริกาใตท้ ่ียงั่ ยืน และทวปี อเมรกิ าใต้ ท่ยี ่ังยืน 5. ระบุความร่วมมือระหว่างประเทศ ท่ี  เป้าหมายการพัฒนาท่ยี ง่ั ยืนของโลก มผี ลต่อการจดั การทรัพยากรและ  ความร่วมมอื ระหว่างประเทศทีม่ ผี ลต่อการ สิ่งแวดล้อม จัดการทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม

หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทบั โพธ์พิ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 213 ชั้น ตัวช้วี ัด สำระกำรเรียนรแู้ กนกลำง ม.4 –ม.6 1. วิเคราะห์ปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ ง  ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิ่งแวดล้อมทางกายภาพกบั สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพกับกิจกรรมของ วถิ กี ารดาเนนิ ชีวติ ภายใตก้ ระแสโลกาภิวัตน์ ได้แก่ มนุษย์ในการสร้างสรรคว์ ถิ ี  ประชากรและการตงั้ ถิ่นฐาน(การกระจายและ การดาเนินชวี ิตของท้องถนิ่ ทั้งใน การเปล่ียนแปลงประชากร ชุมชนเมอื งและชนบท ประเทศไทยและภูมิภาคตา่ งๆ และการกลายเปน็ เมือง ของโลกและเหน็ ความสาคัญของ  การกระจายตวั ของกิจกรรมทางเศรษฐกจิ สิง่ แวดลอ้ มทมี่ ผี ลต่อการดารงชีวติ (เกษตรกรรม อตุ สาหกรรมการผลติ การบรกิ าร ของมนษุ ย์ และการทอ่ งเทยี่ ว) 2. วิเคราะหส์ ถานการณ์ สาเหตุ  สถานการณ์การเปลีย่ นแปลงด้าน และผลกระทบของการเปลีย่ นแปลง ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมได้แก่ การ ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม เปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศความเสอื่ มโทรมของ ของประเทศไทยและภมู ิภาคตา่ งๆ ของ สงิ่ แวดล้อม ความหลากหลายทางชวี ภาพ และภยั โลก พิบตั ิ  สาเหตุ และผลกระทบของการเปล่ยี นแปลง ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดลอ้ มของ ประเทศไทย และภูมภิ าคตา่ งๆ ของโลก  การจดั การภยั พิบัติ 3. ระบมุ าตรการป้องกันและแกไ้ ข  มาตรการป้องกันและแกไ้ ขปัญหา ปญั หา กฎหมายและนโยบายด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มในประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม และระหวา่ งประเทศ ตามแนวทาง บทบาทขององค์การที่เก่ยี วข้อง และ การพัฒนาทย่ี ั่งยืน ความมน่ั คงของมนษุ ย์ และ การประสานความร่วมมือทัง้ ในประเทศ การบรโิ ภคอยา่ งรบั ผิดชอบ และระหว่างประเทศ  กฎหมายและนโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดลอ้ มท้งั ในประเทศและระหวา่ ง ประเทศ  บทบาทขององค์การ และการ ประสานความร่วมมือท้ังในประเทศ และระหวา่ งประเทศ 4. วิเคราะห์แนวทางและมสี ว่ นรว่ ม  แนวทางการจัดการทรัพยากรธรรมชาตแิ ละ ในการจัดการทรพั ยากรธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม และสิ่งแวดล้อมเพ่ือการพัฒนา  การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและการดาเนิน ท่ยี ง่ั ยืน ชวี ิตตามแนวทางการจดั การทรัพยากรและ สง่ิ แวดลอ้ มเพื่อการพัฒนาทีย่ ่ังยืน

หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 214 อภิธำนศพั ท์ กตญั ญูกตเวที ผู้รอู้ ปุ การะท่ีทา่ นทาแลว้ และตอบแทน แยกออกเป็น ๒ ข้อ ๑. กตัญญู รคู้ ุณทา่ น ๒. กตเวที ตอบแทนหรือสนองคณุ ทา่ น ความกตญั ญกู ตเวทวี ่าโดยขอบเขต แยกได้ เป็น ๒ ระดบั คือ ๒.๑ กตัญญูกตเวทตี ่อบคุ คลผู้มีคุณความดีหรืออปุ การะต่อตนเป็นส่วนตัว ๒.๒ กตัญญกู ตเวทีตอ่ บคุ คลผูไ้ ดบ้ าเพ็ญคุณประโยชนห์ รือมีคุณความดี เก้อื กลู แก่สว่ นรว่ ม (พ.ศ. หน้า ๒-๓) กตัญญูกตเวทตี อ่ อำจำรย์ / โรงเรยี น ในฐานะที่เป็นศษิ ย์ พึงแสดงความเคารพนับถืออาจารย์ ผู้ เปรยี บเสมือนทิศเบ้ืองขวา ดงั นี้ ๑. ลูกตอ้ นรับ แสดงความเคารพ ๒. เขา้ ไปหา เพ่อื บารงุ รบั ใช้ ปรกึ ษา ซักถาม รับคาแนะนา เปน็ ตน้ ๓. ฟงั ด้วยดี ฟงั เปน็ รจู้ กั ฟัง ใหเ้ กิดปญั ญา ๔. ปรนนิบัติ ชว่ ยบรกิ าร ๕. เรยี นศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจรงิ เอาจังถือเป็นกจิ สาคัญด้วยดี กรรม การกระทา หมายถึง การกระทาท่ปี ระกอบดว้ ยเจตนา คอื ทาด้วยความจงใจ ประกอบด้วยความ จงใจหรอื จงใจทาดีกต็ าม ช่ัวกต็ าม เชน่ ขดุ หลุมพรางดักคนหรือสตั ว์ในตกลงไปตายเปน็ กรรม แต่ขดุ บ่อนา้ ไว้กนิ ไวใ้ ช้ สตั ว์ตกลงไปตายเองไมเ่ ป็นกรรม (แตถ่ า้ รอู้ ยู่วา่ บ่อน้าทตี่ นขดุ ไว้อยูใ่ นท่ีซ่ึงคน จะพลัดตกได้ง่ายแล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปกไ็ มพ่ ้นกรรม) การกระทาทด่ี ีเรยี กวา่ “กรรมดี” ท่ีช่ัวเรียกวา่ “กรรมชว่ั ” (พ.ศ. หน้า ๔) กรรม ๒ กรรมจาแนกตามคุณภาพ หรอื ตามธรรมท่เี ป็นมลู เหตุมี ๒ คือ ๑. อกศุ ลกรรม กรรมทเ่ี ป็นอกุศล กรรมชว่ั คอื เกดิ จากอกุศลมูล ๒. กศุ ลกรรม กรรมทเี่ ป็นกุศล กรรมดี คือกรรมทเ่ี กดิ จากกุศลมูล กรรม ๓ กรรมจาแนกตามทวารคือทางท่ีกรรมมี ๓ คือ ๓. กายกรรม การกระทาทางกาย ๒. วจีกรรม การกระทาทางวาจา ๓. มโนกรรม การกระทาทางใจ กรรม ๑๒ กรรมจาแนกตามหลักเกณฑเ์ กยี่ วกบั การใหผ้ ล มี ๑๒ อยา่ ง คือ หมวดท่ี ๑ ว่ำดว้ ยปำกกำล คอื จาแนกตามเวลาท่ีใหผ้ ล ไดแ้ ก่ ๑. ทิฏฐิธรรมเวทนยี กรรม กรรมที่ใหผ้ ลใน ปจั จบุ นั คอื ในภพนี้ ๒. อุปชั ชเวทนยี กรรม กรรมทใ่ี หผ้ ลในภาพท่ีจะไปเกดิ คือ ในภพหนา้ ๓. อปราบ ปรเิ วทนยี กรรม กรรมท่ีใหผ้ ลในภพต่อ ๆ ไป ๔. อโหสกิ รรม กรรมเลิกให้ผล หมวดท่ี ๒ วำ่ โดยกจิ คือการให้ผลตามหนา้ ที่ ได้แก่ ๕. ชนกกรรม กรรมแตง่ ให้เกิด หรือกรรมท่ีเปน็ ตวั นาไป เกดิ ๖. อปุ ัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนนุ คือ เข้าสนับสนุนหรือซ้าเติมต่อจากชนกกรรม ๗. อปุ ปีฬก กรรม กรรมบีบค้ัน คือเขา้ มาบีบคนั้ ผลแหง่ ชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรมนัน้ ใหแ้ ปรเปลย่ี นทเุ ลาเบาลง หรือส้ันเขา้ ๘. อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือ กรรมแรงฝ่ายตรงข้ามทีเ่ ข้าตัดรอนใหผ้ ลของกรรม สองอย่างน้ันขาดหรือหยุดไปทีเดียว .................................................................. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ การจัดสาระการเรยี นรพู้ ระพทุ ธศาสนา กลุม่ สาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ สภาลาดพรา้ ว ,ครั้งที่ ๒ ๒๕๔๖ . *หมายเหตุ พ.ศ. หมายถงึ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศัพท์ ; พ.ธ. หมายถึง พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมาวลธรรม พิมพ์คร้งั ที่ ๙ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต) กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย,๒๕๔๓. หมวดที่ ๓ วำ่ โดยปำนทำนปรยิ ำย คือจาแนกตามลาดับความแรงในการใหผ้ ล ได้แก่ ๙. ครุกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน ๑๐. พหลุ กรรม หรอื อาจณิ กรรม กรรที่ทามากหรือกรรมชนิ ใหผ้ ลรองลงมา ๑๑. อาสัน นกรรม กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลต้ าย ถ้าไมม่ ีสองข้อกอ่ นก็จะใหผ้ ลก่อนอื่น ๑๒. กตัตตา

หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทับโพธ์พิ ัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 215 กรรม หรือ กตตั ตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทา คือเจตนาอ่อน หรือมิใชเ่ จตนาอย่างนน้ั ให้ผลต่อเมื่อไม่ มีกรรมอ่นื จะให้ผล (พ.ศ. หนา้ ๕) กรรมฐำน ที่ตัง้ แห่งการงาน อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ อุบายทางใจ วธิ ฝี ึกอบรมจิต มี ๒ ประเภท คือ สมถกรรมฐาน คือ อุบายสงบใจ วิปสั สนากรรมฐาน อุบายเรืองปัญญา (พ.ศ. หนา้ ๑๐) กลุ จริ ฏั ตธรรม ๔ ธรรมสาหรบั ดารงความม่นั คงของตระกูลให้ย่ังยนื เหตทุ ี่ทาใหต้ ระกูลมั่งคงั่ ตงั้ อยู่ได้นาน (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) ๑. นฏั ฐคเวสนา คือ ของหายของหมด รจู้ ักหามาไว้ ๒. ชิณณปฏสิ ังขรณา คือ ของเก่า ของชารดุ รจู้ กั บูรณะซ่อมแซม ๓. ปริมิตปานโภชนา คือ รจู้ ักประมาณในการกนิ การใช้ ๔. อธปิ ัจจสลี วนั ตสถาปนา คอื ตงั้ ผู้มีศลี ธรรมเป็นพ่อบ้านแมเ่ รอื น (พ.ธ. หน้า ๑๓๔) กุศล บญุ ความดี ฉลาด สิ่งที่ดี กรรมดี (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กศุ ลกรรม กรรมดี กรรมทีเ่ ป็นกุศล การกระทาทดี่ คี ือเกิดจากกุศลมูล (พ.ศ. หน้า ๒๑) กศุ ลกรรมบถ ๑๐ ทางแหง่ กรรมดี ทางทาดี กรรมดีอนั เป็นทางนาไปสูส่ ุคตมิ ี ๑๐ อย่างไดแ้ ก่ ก. กำยกรรม ๓ (ทางกาย) ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เวน้ จากการทาลายชีวติ ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวน้ จากถือเอาของที่เขามิได้ให้ ๓. กาเมสุมจิ ฉาจารา เวรมณี เวน้ จากประพฤติผดิ ในกาม ข. วจีกรรม ๔ (ทางวาจา) ได้แก่ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน้ จากพดู เท็จ ๕. ปสิ ุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากพูดสอ่ เสยี ด ๖. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เวน้ จากพูดคาหยาบ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เวน้ จากพดู เพ้อเจ้อ ค. มโนกรรม ๓ (ทางใจ) ๘. อนภิชฌา ไม่โลกคอยจ้องอยากได้ของเขา ๙. อพยาบาท ไมค่ ิดรา้ ย เบยี ดเบยี นเขา ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เหน็ ชอบตามคลองธรรม (พ.ศ. หนา้ ๒๑) กุศลมลู รากเหงา้ ของกุศล ต้นเหตุของกุศล ต้นเหตขุ องความดี ๓ อย่าง ๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ) ๒. อโทสะ ไมค่ ดิ ประทุษร้าย (เมตตา) ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปญั ญา) (พ.ศ. หน้า ๒๒) กุศลวติ ก ความตรึกทีเ่ ป็นกุศล ความนกึ คดิ ท่ีดีงาม ๓ คือ ๑. เนกขัมมวิตก ความตรึกปลอดจากกาม ๒. อพยาบาทวติ ก ความตรึกปลอดจากพยาบาท ๓. อวิหิสาวิตก ความตรึกปลอดจากการเบยี ดเบยี น (พ.ศ. หน้า ๒๒) โกศล ๓ ความฉลาด ความเชี่ยวชาญ มี ๓ อยา่ ง ๑. อายโกศล คือ ความฉลาดในความเจริญ รอบรทู้ างเจรญิ และเหตขุ องความเจริญ ๒. อปายโกศล คอื ความฉลาดในความเสื่อม รอบรู้ทางเสื่อมและเหตขุ อง ความเส่ือม ๓. อปุ ายโกศล คือ ความฉลาดในอบุ าย รอบรู้วิธีแกไ้ ขเหตุการณแ์ ละวิธีทีจ่ ะทาให้สาเร็จ ท้งั ในการป้องกันความเส่ือมและในการสร้างความเจริญ (พ.ศ. หนา้ ๒๔) ขันธ์ กอง พวก หมวด หมู่ ลาตัว หมวดหน่ึง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทง้ั หมดที่แบ่งออกเป็นหา้ กอง ได้แก่ รปู ขนั ธ์ คือ กองรปู เวทนาขนั ธ์ คือ กองเวทนา สญั ญาขนั ธ์ คือ กองสัญญา สังขารขนั ธ์ คือ กอง สงั ขาร วิญญาณขันธ์ คือ กองวญิ ญาณ เรยี กรวมวา่ เบญจขันธ์ (พ.ศ. หนา้ ๒๖ - ๒๗) คำรวธรรม ๖ ธรรม คอื ความเคารพ การถอื เป็นส่งิ สาคัญที่จะพงึ ใสใ่ จและปฏิบตั ิด้วย ความเอ้ือเฟื้อ หรือ โดยความหนกั แน่นจริงจังมี ๖ ประการ คือ ๑. สตั ถคุ ารวตา ความเคารพในพระศาสดา หรือพุทธ คารวตา ความเคารพในพระพุทธเจา้ ๒. ธมั มคารวตา ความเคารพในพระธรรม ๓. สังฆคารวตา

หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทับโพธิพ์ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 216 ความเคารพในพระสงฆ์ ๔. สกิ ขาคารวตา ความเคารพในการศกึ ษา ๕. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไมป่ ระมาท ๖. ปฏสิ นั ถารคารวตา ความเคารพในการปฏสิ นั ถาร (พ.ธ. หน้า ๒๒๑) คิหิสุข (กามโภคสี ขุ ๔) สุขของคฤหัสถ์ สุขของชาวบา้ น สุขทีช่ าวบ้านควรพยายามเข้าถงึ ให้ไดส้ ม่าเสมอ สขุ อันชอบธรรมทีผ่ คู้ รองเรอื นควรมี ๔ ประการ ๑. อัตถสิ ขุ สขุ เกดิ จากความมที รัพย์ ๒. โภคสุข สุข เกิดจากการใชจ้ า่ ยทรัพย์ ๓. อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เปน็ หน้ี ๔. อนวชั ชสขุ สขุ เกดิ จากความ ประพฤตไิ ม่มีโทษ (ไมบ่ กพร่องเสียหายทง้ั ทางกาย วาจา และใจ) (พ.ธ. หน้า ๑๗๓) ฆรำวำสธรรม ๔ ธรรมสาหรบั ฆราวาส ธรรมสาหรบั การครองเรือน หลกั การครองชีวิตของคฤหสั ถ์ ๔ ประการ ได้แก่ ๑. สัจจะ คอื ความจริง ซ่ือตรง ซ่ือสัตย์ จรงิ ใจ พูดจรงิ ทาจรงิ ๒. ทมะ คือ การฝกึ ฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรบั ตวั รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัด ดัดนิสัย แกไ้ ขข้อบกพรอ่ ง ปรับปรุง ตนใหเ้ จริญก้าวหน้าดว้ ยสตปิ ัญญา ๓. ขนั ติ คอื ความอดทน ต้ังหนา้ ทาหนา้ ที่การงานดว้ ยความ ขยนั หมั่นเพยี ร เข้มแข็ง ทนทาน ไม่หวัน่ ไหว มนั่ ในจุดหมาย ไม่ท้อถอย ๔. จาคะ คือ เสียสละ สละกิเลส สละความสุขสบาย และผลประโยชนส์ ่วนตนได้ ใจกว้าง พร้อมทีจ่ ะรบั ฟัง ความทุกข์ ความคดิ เห็นและความต้องการของผู้อ่ืน พร้อมทีจ่ ะร่วมมือช่วยเหลือ เอ้ือเฟอ้ื เผื่อแผ่ ไมค่ บั แคบเหน็ แกต่ วั หรอื เอาแต่ใจตัว (พ.ธ. หนา้ ๔๓) จิต ธรรมชาติทรี่ ูอ้ ารมณ์ สภาพที่นึกคดิ ความคิด ใจ ตามหลักฝา่ ยอภิธรรม จาแนกจิตเป็น ๘๙ แบง่ โดย ชาตเิ ป็นอกุศลจิต ๑๒ กศุ ลจิต ๒๑ วปิ ากจิต ๓๖ และกิรยิ าจิต ๘ (พ.ศ. หน้า ๔๓) เจตสกิ ธรรมท่ปี ระกอบกับจิต อาการหรือคุณสมบัตติ ่าง ๆ ของจิต เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศรทั ธา เมตตา สติ ปญั ญาเปน็ ต้น มี ๕๒ อยา่ ง จัดเปน็ อัญญสมานาเจตสกิ ๑๓ อกุศลเจตสิก ๑๔ โสภณ เจตสิก ๒๕ (พ.ศ. หน้า ๔๙) ฉันทะ ๑. ความพอใจ ความชอบใจ ความยนิ ดี ความต้องการ ความรักใคร่ในส่ิงน้ัน ๆ ๒. ความยินยอม ความยอมให้ที่ประชุมทากิจนั้น ๆ ในเมอ่ื ตนมิไดร้ ่วมอยู่ดว้ ย เป็นธรรมเนยี มของภกิ ษุทีอ่ ยู่ในวดั ซ่งึ มี สีมารวมกนั มสี ทิ ธิทจ่ี ะเข้าประชุมทากิจของสงฆ์ เว้นแต่ภิกษุนนั้ อาพาธ จะเข้าร่วมประชมุ ดว้ ยไมไ่ ด้ ก็ มอบฉันทะคือ แสดงความยินยอมให้สงฆท์ ากิจนั้น ๆ ได้ (พ.ศ. หนา้ ๕๒) ฌำน การเพ่ง การเพ่งพนิ ิจดว้ ยจิตท่ีเป็นสมาธิแนว่ แน่ มี ๒ ประเภท คือ ๑. รูปฌาน ๒. อรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๖๐) ฌำนสมบตั ิ การบรรลุฌาน การเขา้ ฌาน (พุทธธรรม หน้า ๙๖๔) ดรุณธรรม ธรรมท่เี ปน็ หนทางแหง่ ความสาเรจ็ คือ ข้อปฏบิ ัตทิ เ่ี ปน็ ดจุ ประตูชยั อนั เปิดออกไปสคู่ วามสขุ ความ เจรญิ กา้ วหน้าแหง่ ชีวิต ๖ ประการ คือ ๑. อาโรคยะ คือ รักษาสขุ ภาพดี มิใหม้ ีโรคท้งั จิต และ กาย ๒. ศลี คือ มีระเบยี บวนิ ัย ไม่กอ่ เวรภัยแก่สงั คม ๓. พทุ ธานุมัติ คือ ได้คนดเี ป็นแบบอยา่ ง ศึกษา เยีย่ งนิยมแบบอยา่ งของมหาบรุ ษุ พทุ ธชน ๔. สุตะ คือ ตง้ั เรยี นรูใ้ ห้จรงิ เลา่ เรียนคน้ ควา้ ให้รู้เชีย่ วชาญ ใฝ่สดบั เหตุการณ์ให้รูเ้ ทา่ ทัน ๕. ธรรมานวุ ัติ คือ ทาแต่สิง่ ที่ถูกต้องดีงาม ดารงม่ันในสจุ ริต ท้ังชีวติ และงานดาเนนิ ตามธรรม ๖. อลนี ตา คอื มีความขยันหมน่ั เพยี ร มกี าลังใจแขง็ กล้า ไม่ท้อแท้ เฉ่ือยชา เพียรก้าวหนา้ เรือ่ ยไป (ธรรมนูญชวี ติ บทที่ ๑๕ คนสบื ตระกูล ข้อ ก. หนา้ ๕๕) หมำยเหตุ หลักธรรมข้อน้ีเรียกช่อื อีกย่างหน่งึ วา่ “วฒั นมขุ ” ตรงคาบาลีวา่ “อตั ถทวาร” ประตูแห่งประโยชน์ ตัณหำ (๑) ความทะยานอยาก ความดนิ รน ความปรารถนา ความแสห่ า มี ๓ คือ ๑. กามตัณหา ความทะยาน อยากในกาม อยากไดอ้ ารมณ์อนั นา่ รักนา่ ใคร่ ๒. ภวตณั หา ความทะยานอยากในภพ อยากเป็นนน่ั เป็น น่ี ๓. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ อยากไมเ่ ปน็ นั่นไม่เป็นนี่ อยากพรากพ้นดบั สูญ ไป เสยี

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธพ์ิ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 217 ตนั หำ (๒) ธดิ ามารนางหน่ึงใน ๓ นาง ที่อาสาพระยามารผูเ้ ปน็ บดิ า เขา้ ไปประโลมพระพุทธเจา้ ดว้ ยอาการ ตา่ ง ๆ ในสมัยที่พระองคป์ ระทบั อยู่ทตี่ น้ อชปาลนิโครธ ภายหลงั ตรัสรู้ใหม่ ๆ (อีก ๒ นางคือ อรดี กบั ราคา) (พ.ศ. หนา้ ๗๒) ไตรลกั ษณ์ ลกั ษณะสาม คือ ความไมเ่ ท่ียง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตวั ตน ๑. อนิจจตา (ความเปน็ ของ ไมเ่ ที่ยง) ๒. ทุกขตา (ความเปน็ ทุกข์) ๓. อนัตตา (ความเป็นของไมใ่ ช่ตน) (พ.ศ. หน้า ๑๐๔) ไตรสิกขำ สกิ ขาสาม ข้อปฏิบัติทต่ี ้องศกึ ษา ๓ อย่าง คือ ๑. อธศิ ีลสกิ ขา หมายถงึ สิกขา คือ ศีลอันย่ิง ๒. อธิจิตตสิกขา หมายถึง สิกขา คือ จติ อนั ยิง่ ๓. อธิปญั ญาสกิ ขา หมายถึง สิกขา คือ ปัญญา อันย่ิง เรยี กกนั ง่าย ๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๘๗) ทศพธิ รำชธรรม ๑๐ ธรรม สาหรบั พระเจ้าแผ่นดนิ คณุ สมบตั ิของนักปกครองท่ีดี สามารถปกครองแผ่นดินโดย ธรรม และยงั ประโยชนส์ ขุ ให้เกิดแก่ประชาชน จนเกิดความชืน่ ชมยนิ ดี มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน การใหท้ รพั ย์สินสิง่ ของ ๒. ศลี ประพฤติดงี าม ๓. ปริจจาคะ ความเสียสละ ๔. อาชชวะ ความซอ่ื ตรง ๕. มทั ทวะ ความอ่อนโยน ๖. ตบะ ความทรงเดช เผากเิ ลสตณั หา ไม่หมกมุน่ ใน ความสขุ สาราญ ๗. อกั โกธะความไม่กร้ิวโกรธ ๘. อวิหงิ สา ความไมข่ ่มเหงเบยี ดเบียน ๙. ขนั ติ ความอดทนเขม้ แข็ง ไม่ท้อถอย ๑๐. อวิโรธนะ ความไมค่ ลาดธรรม (พ.ศ. หน้า ๒๕๐) ทิฏธมั มิกัตถสังวตั ตนิกธรรม ๔ ธรรมทเ่ี ป็นไปเพื่อประโยชน์ในปจั จุบนั คอื ประโยชนส์ ุขสามญั ที่มองเห็นกันใน ชาตินี้ ท่ีคนท่วั ไปปรารถนา เชน่ ทรพั ย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นตน้ มี ๔ ประการ คือ ๑.อฏุ ฐานสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความหมั่น ๒. อารักขสัมปทา ถงึ พร้อมดว้ ยการรักษา ๓. กัลยาณมิตตตา ความมีเพ่ือนเป็นคนดี ๔. สมชวี ติ า การเลีย้ งชพี ตามสมควรแก่กาลังทรัพย์ทีห่ าได้ (พ.ศ. หนา้ ๙๕) ทุกข์ ๑. สภาพท่ที นอยู่ไดย้ าก สภาพที่คงทนอยู่ไม่ได้ เพราะถกู บีบค้นั ดว้ ยความเกิดข้นึ และดับสลาย เน่ืองจาก ตอ้ งไปตามเหตุปัจจยั ที่ไม่ขึ้นต่อตัวมันเอง ๒. สภาพที่ทนได้ยาก ความร้สู กึ ไม่สบาย ไดแ้ ก่ ทุกขเวทนา (พ.ศ. หนา้ ๙๙) ทกุ รกิริยำ กิรยิ าที่ทาได้ยาก การทาความเพียรอนั ยากที่ใคร ๆ จะทาได้ เช่น การบาเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรม วเิ ศษ ด้วยวิธีทรมานตนตา่ ง ๆ เชน่ กลนั้ ลมอัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปสั สาสะ (ลมหายใจออก) และอด อาหาร เป็นตน้ (พ.ศ. หนา้ ๑๐๐) ทจุ ริต ๓ ความประพฤตไิ มด่ ี ประพฤติชั่ว ๓ ทาง ไดแ้ ก่ ๑. กายทจุ รติ ประพฤตชิ ่ัวทางกาย ๒. วจที ุจริต ประพฤตชิ ่ัวทางวาจา ๓. มโนทจุ ริต ประพฤตชิ ่ัวทางใจ (พ.ศ. หน้า ๑๐๐) เทวทูต ๔ ทูตของยมเทพ ส่อื แจ้งขา่ วของมฤตยู สัญญาณที่เตือนใหร้ ะลกึ ถึงคตธิ รรมดาของชวี ติ มีใหม้ คี วาม ประมาท ได้แก่ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ ๓ อย่างแรกเรียกเทวทูต สว่ นสมณะเรียกรวมเป็น เทวทูตไปด้วยโดยปรยิ ายเพราะมาในหมวดเดียวกัน แต่ในบาลีทา่ นเรยี กวา่ นมิ ิต ๔ ไม่ไดเ้ รียกเทวทตู (พ.ศ. หน้า ๑๐๒) ธำตู ๔ ส่ิงท่ที รงภาวะของมั้นอยเู่ องตามธรรมดาของเหตปุ จจยั ไดแ้ ก่ ๑. ปฐวีธาตุ หมายถึง สภาวะที่แผไ่ ปหรอื กนิ เน้ือที่ เรยี กชื่อสามัญว่า ธาตเุ ข้มแข็งหรือธาตดุ นิ ๒. อาโปธาตุ หมายถงึ สภาวะท่ีเอบิ อาบดูดซึม เรียกสามัญว่า ธาตเุ หลว หรือธาตุน้า ๓. เตโชธาตุ หมายถึง สภาวะทีท่ าใหร้ ้อน เรยี กสามัญวา่ ธาตไุ ฟ ๔. วาโยธาตุ หมายถึง สภาวะทท่ี าให้เคล่ือนไหว เรยี กสามัญว่า ธาตุลม (พ.ศ. หนา้ ๑๑๓) นำม ธรรมท่ีรู้จักกันดว้ ยชือ่ กาหนดรู้ดว้ ยใจเป็นเรื่องของจิตใจ สิง่ ท่ีไมม่ รี ูปร่าง ไม่มีรูปแต่นอ้ มมาเป็นอารมณ์ ของจติ ได้ (พ.ศ. หน้า ๑๒๐)

หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทบั โพธิ์พฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 218 นิยำม ๕ กาหนดอนั แนน่ อน ความเป็นไปอนั มีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ ๑. อตุ นุ ิยาม (กฎธรรมชาตเิ กี่ยวกบั อณุ หภูมิ หรือปรากฏการณธ์ รรมชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะ ดนิ นา้ อากาศ และฤดูกาล อนั เป็นสิ่งแวดล้อมสาหรับมนุษย์) ๒. พีชนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กย่ี วกับการสบื พันธ์ุ มี พันธกุ รรมเปน็ ตน้ ) ๓. จิตตนยิ าม (กฎธรรมชาตเิ กีย่ วกับการทางานของจติ ) ๔. กรรมนยิ าม (กฎธรรมชาติเกยี่ วกับพฤติกรรมของมนุษย์ คือ กระบวนการให้ผลของการกระทา) ๕. ธรรมนิยาม (กฎ ธรรมชาตเิ ก่ียวกบั ความสมั พนั ธแ์ ละอาการท่ีเปน็ เหตุ เป็นผลแก่กนั แห่งสง่ิ ทง้ั หลาย (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) นวิ รณ์ ๕ สิ่งทกี่ ั้นจติ ไมใ่ ห้ก้าวหนา้ ในคุณธรรม ธรรมที่ก้ันจติ ไมใ่ ห้บรรลคุ ุณความดี อกุศลธรรมทีท่ าจติ ใหเ้ ศร้า หมองและทาปัญญาให้ออ่ นกาลัง ๑. กามฉนั ทะ (ความพอใจในกาม ความตอ้ งการกามคุณ) ๒. พยาบาท (ความคิดร้าย ความขดั เคืองแคน้ ใจ) ๓. ถีนมิทธะ (ความหดห่แู ละเซอื่ งซึม) ๔. อุทธจั จกกุ กจุ จะ (คามฟงุ้ ซา่ นและร้อนใจ ความกระวนกระวายกลมุ้ กังวล) ๕. วจิ ิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) (พ.ธ. หนา้ ๑๙๕) นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สนิ้ เชิง ภาวะปลอดทุกข์ เพราะไมม่ ที ุกข์ท่จี ะเกิดขึน้ ได้ หมายถงึ พระนิพพาน (พ.ศ. หนา้ ๑๒๗) บำรมี คุณความดีทบ่ี าเพญ็ อย่างย่งิ ยวด เพื่อบรรลจุ ุดหมายอันสูงยง่ิ มี ๑๐ คือ ทาน ศลี เนกขัมมะ ปญั ญา วริ ยิ ะ ขนั ติ สจั จะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา (พ.ศ. หน้า ๑๓๖) บญุ กิริยำวัตถุ ๓ ที่ต้ังแห่งการทาบุญ เรื่องทจี่ ดั เป็นการทาความดี หลักการทาความดี ทางความดีมี ๓ ประการ คอื ๑. ทานมยั คือทาบุญดว้ ยการให้ปันสงิ่ ของ ๒. ศลี มยั คือ ทาบุญด้วยการรกั ษาศลี หรอื ประพฤติดี มรี ะเบยี บวินัย ๓. ภาวนมยั คือ ทาบุญด้วยการเจรญิ ภาวนา คอื ฝกึ อบรมจิตใจ (พ.ธ. หนา้ ๑๐๙) บญุ กริ ิยำวตั ถุ ๑๐ ทีต่ ั้งแห่งการทาบุญ ทางความดี ๑. ทานมัย คือทาบุญด้วยการใหป้ นั สิง่ ของ ๒. สีลมัย คือ ทาบุญดว้ ยการรักษาศีล หรือประพฤตดิ ี ๓. ภาวนมัย คือ ทาบุญด้วยการเจรญิ ภาวนา คอื ฝึกอบรม จิตใจ ๔. อปจายนมัย คอื ทบุญด้วยการประพฤติอ่อนนอ้ มถอ่ มตน ๕. เวยยาวจั จมยั คอื ทาบญุ ดว้ ย การชว่ ยขวนขวาย รบั ใช้ ๖. ปัตตทิ านมยั คือ ทาบุญด้วยการเฉลย่ี สว่ นแหง่ ความดใี หแ้ ก่ผ้อู ื่น ๗. ปตั ตานุโมทนามัย คือ ทาบญุ ดว้ ยการยินดใี นความดีของผู้อ่ืน ๘. ธมั มสั สวนมยั คอื ทาบุญด้วยการ ฟงั ธรรม ศกึ ษาหาความรู้ ๙. ธัมมเทสนามัย คือทาบุญด้วยการสง่ั สอนธรรมใหค้ วามรู้ ๑๐. ทฏิ ฐุชุกรรม คอื ทาบุญด้วยการทาความเหน็ ใหต้ รง (พ.ธ. หน้า ๑๑๐) บุพนมิ ิตของมัชฌมิ ำปฏิปทำ บพุ นมิ ิต แปลวา่ สิ่งทเ่ี ปน็ เครื่องหมายหรือส่ิงบง่ บอกลว่ งหน้า พระพุทธองค์ตรัส เปรยี บเทยี บว่า ก่อนท่ีดวงอาทิตย์จะขึน้ ย่อมมแี สงเงินแสงทองปรากฏให้เหน็ ก่อนฉันใด กอ่ นท่ี อริยมรรคซ่ึงเปน็ ข้อปฏบิ ัตสิ าคัญในพระพุทธศาสนาจะเกิดข้นึ ก็มีธรรมบางประการปรากฏขน้ึ ก่อน เหมือนแสงเงนิ แสงทองฉนั นัน้ องคป์ ระกอบของธรรมดังกลา่ ว หรอื บพุ นิมติ แหง่ มัชฌิมาปฏิปทา ไดแ้ ก่ ๑. กัลป์ยาณมติ ตตา ความมีกัลยาณมติ ร ๒. สีลสมั ปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศลี มีวินัย มีความเปน็ ระเบยี บ ในชีวติ ของตนและในการอยู่ร่วมในสงั คม ๓. ฉนั ทสมั ปทา ถงึ พร้อมด้วยฉนั ทะ พอใจใฝ่รกั ในปัญญา สัจธรรม ในจรยิ ธรรม ใฝร่ ูใ้ นความจริงและใฝ่ทาความดี ๔. อัตตสมั ปทา ความถึงพร้อมด้วยการทจ่ี ะ ฝกึ ฝน พัฒนาตนเอง เห็นความสาคัญของการท่จี ะตอ้ งฝึกตน ๕. ทิฏฐิสปั ทา ความถงึ พร้อมดว้ ยทิฏฐิ ยึดถือ เช่อื ถือในหลกั การ และมคี วามเห็นความเข้าใจพ้ืนฐานทมี่ องสิ่งทง้ั หลายตามเหตุปัจจัย ๖. อัปป มาทสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความไมป่ ระมาท มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เห็นคุณค่าของ กาลเวลา เห็นความเปลย่ี นแปลงเป็นส่ิงกระต้นุ เตือนใหเ้ ร่งรดั การค้นหาใหเ้ ขาถึงความจรงิ หรือในการ ทาชีวติ ทด่ี งี ามให้สาเร็จ ๗. โยนโิ สมนสกิ าร รจู้ ัดคดิ พิจารณา มองสง่ิ ทงั้ หลายใหไ้ ด้ความรู้และได้

หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทบั โพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 219 ประโยชน์ทจ่ี ะเอามาใช้พัฒนาตนเองยง่ิ ๆ ข้นึ ไป (แสงเงินแสงทองของชวี ิตท่ี ดีงาม: พระธรรมปิฎก) (ป.อ. ปยุตโฺ ต) เบญจธรรม ธรรม ๕ ประการ ความดี ๕ อย่าง ท่ีควรประพฤตคิ ูก่ ันไปกบั การรักษาเบญจศีลตามลาดบั ข้อ ดังนี้ ๑. เมตตากรุณา ๒. สมั มาอาชีวะ ๓. กามสังวร (สารวมในกาม) ๔. สัจจะ ๕. สตสิ มั ปชญั ญะ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๐ – ๑๔๑) เบญจศลี ศลี ๕ เว้นฆ่าสัตว์ เว้นลกั ทรพั ย์ เว้นประพฤตผิ ิดในกาม เวน้ พูดปด เวน้ ของเมา (พ.ศ. หนา้ ๑๔๑) ปฐมเทศนำ เทศนาคร้ังแรก หมายถึง ธมั มจักรกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคยี ใ์ นวนั ขึ้น ๑๕ คา่ เดือน ๘ หลังจากวนั ตรัสรู้สองเดือน ท่ีปา่ อิสิปตนมฤคทายวนั เมืองพาราณสี (พ.ศ. หนา้ ๑๔๗) ปฏิจจสมุปบำท สภาพอาศัยปัจจยั เกิดข้ึน การทส่ี ิ่งท้ังหลายอาศัยกนั จึงมขี ึ้น การที่ทุกข์เกิดข้นึ เพราะอาศยั ปัจจัย ตอ่ เน่ืองกันมา (พ.ศ. หนา้ ๑๔๓) ปริยตั ิ พทุ ธพจนอ์ ันจะพึงเล่าเรียน สิง่ ที่ควรเล่าเรยี น การเลา่ เรยี นพระธรรมวินัย (พ.ศ. หน้า ๑๔๕) ปธำน ๔ ความเพยี ร ๔ อย่าง ได้แก่ ๑. สังวรปธาน คือ การเพยี รระวังหรือเพยี รปิดก้ัน (ยับยง้ั บาปอกุศลธรรมที่ ยงั ไม่เกิด ไม่ให้เกดิ ขึ้น) ๒. ปหานปธาน คือ เพียรละบาปอกุศลท่เี กิดข้ึนแล้ว ๓. ภาวนาปธาน คือ เพียรเจริญ หรือทากุศลธรรมท่ียงั ไมเ่ กิดให้เกิดข้ึน ๔. อนุรักขนาปธาน คือ เพยี รรักษากุศลธรรมทีเ่ กิดขึ้น แลว้ ไม่ให้เส่ือมไปและทาให้เพิ่มไพบูลย์ (พ.ศ. หน้า ๑๔๙) ปปัญจธรรม ๓ กเิ ลสเครื่องเน่ินช้า กเิ ลสท่เี ปน็ ตัวการทาให้คิดปรงุ แต่งยึดเยื้อพสิ ดาร ทาให้เขาหา่ งออกไปจาก ความเป็นจรงิ งา่ ย ๆ เปดิ เผย ก่อให้เกิดปญั หาต่าง ๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริง หรือทาให้ ไม่อาจแก้ปัญหาอย่างถกู ทางตรงไปตรงมา มี ๓ อย่าง คือ ๑. ตัณหา (ความทะยานอยาก ความปรารถนา ที่จะบารุงบาเรอ ปรนเปรอตน ความยากได้อยากเอา) ๒. ทฏิ ฐิ (ความคิดเห็น ความเชื่อถือ ลักธิ ทฤษฎี อุดมการณ์ตา่ ง ๆ ท่ียดึ ถือไวโ้ ดยงมงายหรือโดยอาการเชิดชวู ่าอย่างน้ีเท่านั้นจริงอยา่ งอ่ืนเท็จทั้งนั้น เป็น ต้น ทาให้ปดิ ตวั แคบ ไมย่ อมรับฟังใคร ตัดโอกาสท่จี ะเจริญปัญญา หรือคิดเตลิดไปข้างเดยี ว ตลอดจน เปน็ เหตแุ ห่งการเบียดเบียนบีบคัน้ ผอู้ ื่นท่ีไมถ่ ืออย่างตน ความยึดตดิ ในทฤษฎี ฯลฯ คือความคดิ เห็นเปน็ ความจริง) ๓. มานะ (ความถือตวั ความสาคัญตนว่าเปน็ นั่นเป็นน่ี ถือสงู ถือตา่ ย่ิงใหญ่ เท่าเทียม หรือด้อยกว่าผู้อ่นื ความอยากเด่นอยากยกชูตนให้ย่ิงใหญ)่ (พ.ธ. หน้า ๑๑๑) ปฏิเวธ เขา้ ใจตลอด แทงตลอด ตรัสรู้ รู้ทะลปุ รุโปร่ง ลลุ ่วงด้วยการปฏบิ ัติ (พ.ศ. หนา้ ๑๔๕) ปฏเิ วธสทั ธรรม สัทธรรม คือ ผลอนั จะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏบิ ัติได้แก่ มรรค ผล และนิพพาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕) ปัญญำ ๓ ความรอบรู้ เข้าใจ ร้ซู ้ึง มี ๓ อยา่ ง คือ ๑. สตุ มยปญั ญา (ปัญญาเกิดแต่การสดบั การเลา่ เรื่อง) ๒. จินตามนปัญญา (ปญั ญาเกิดแตก่ ารคิด การพิจารณาหาเหตผุ ล) ๓. ภาวนามยปญั ญา (ปญั ญาเกดิ แตก่ ารฝึกอบรมลงมือปฏบิ ัต)ิ (พ.ธ. หน้า ๑๑๓) ปัญญำวุฒิธรรม ธรรมเปน็ เครื่องเจริญปญั ญา คุณธรรมท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามแหง่ ปัญญา ๑. สัปปรุ สิ สงั เสวะ คบหาสัตบุรษุ เสวนาท่านผู้ทรง ๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังสัทธรรม เอาใจใส่ เล่าเรยี นหา ความรู้จริง ๓. โยนโิ สมนสิการ ทาในใจโดยแยบคาย คิดหาเหตผุ ลโดยถูกวิธี ๔. ธัมมานุธัมมปฏบิ ัติ ปฏบิ ัตธิ รรมถูกต้องตามหลัก คือ ใหส้ อดคล้องพอดี ขอบเขตความหมาย และวตั ถุประสงค์ท่ีสมั พนั ธ์กบั ธรรมข้ออืน่ ๆ นาสงิ่ ท่ีได้เล่าเรียนและตรติ รองเห็นแล้วไปใช้ปฏบิ ัติให้ถูกต้องตามความมุ่งหมายของส่ิง นน้ั ๆ (พ.ธ. หน้า ๑๖๒ – ๑๖๓) ปำปณิกธรรม ๓ หลกั พ่อค้า องค์คุณของพ่อค้ามี ๓ อย่าง คือ ๑ จักขุมา ตาดี (รูจ้ ักสนิ ค้า) ดูของเป็น สามารถ คานวณราคา กะทุน เก็งกาไร แม่นยา ๒. วิธูโร จัดเจนธรุ กิจ (รแู้ หล่งซ้ือขาย ร้คู วามเคล่ือนไหวความ

หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 220 ต้องการของตลาด สามารถในการจัดซื้อจดั จาหน่าย รู้ใจและรจู้ ักเอาใจลูกค้า) ๓. นสิ สยสัมปันโน พร้อม ด้วยแหล่งทนุ อาศัย (เป็นที่เชือ่ ถอื ไวว้ างในในหมู่แหล่งทนุ ใหญ่ ๆ หาเงินมาลงทุนหรือดาเนินกิจการ โดยงา่ ย ๆ) (พ.ธ. หน้า ๑๑๔) ผสั สะ หรือ สมั ผัส การถูกต้อง การกระทบ ความประจวบกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วญิ ญาณ มี ๖ คือ ๑. จกั ขุสมั ผัส (ความกระทบทางตา คือ ตา + รปู + จักขุ - วิญญาณ) ๒. โสตสมั ผสั (ความกระทบทางหู คือ หู + เสียง + โสตวิญญาณ) ๓. ฆานสัมผสั (ความกระทบทางจมูก คือ จมูก + กลนิ่ + ฆานวญิ ญาณ) ๔. ชวิ หาสมั ผสั (ความกระทบทางล้ิน คอื ลิ้น + รส + ชวิ หาวญิ ญาณ) ๕. กายสัมผสั (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐัพพะ + กายวญิ ญาณ) ๖. มโนสัมผสั (ความกระทบทางใจ คือ ใจ + ธรรมารมณ์ + มโนวิญญาณ) (พ.ธ. หน้า ๒๓๓) ผ้วู ิเศษ หมายถึง ผสู้ าเร็จ ผู้มีวทิ ยากร (พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕) พระธรรม คาส่ังสอนของพระพทุ ธเจา้ ท้ังหลักความจริงและหลักความประพฤติ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระอนุพุทธะ ผตู้ รัสรู้ตาม คือ ตรสั รดู้ ว้ ยได้สดับเล่าเรยี นและปฏบิ ัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน (พ.ศ. หนา้ ๓๗๔) พระปัจเจกพุทธะ พระพทุ ธเจ้าประเภทหนึ่ง ซึ่งตรัสรู้เฉพาะตัว มไิ ด้ส่ังสอนผู้อน่ื (พ.ศ. หน้า ๑๖๒) พระพุทธคณุ ๙ คณุ ของพระพุทธเจา้ ๙ ประการ ได้แก่ อรห เปน็ ผไู้ กลจากกิเลส ๒. สมมฺ าสมั พฺ ุทโฺ ธ เป็นผู้ตรัสรชู้ อบได้โดยพระองค์เอง ๓. วชิ ชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น เปน็ ผถู้ ึงพร้อมดว้ ยวิชชาและ จรณะ ๔. สคุ โต เปน็ ผู้เสดจ็ ไปแลว้ ดว้ ยดี ๕. โลกวทิ ู เป็นผูร้ โู้ ลกอย่างแจ่มแจง้ ๖. อนตุ ฺตโร ปุรสิ ทมฺมสารถิ เป็นผู้สามารถฝึกบรุ ุษท่สี มควรฝึกได้อยา่ งไม่มีใครยง่ิ กวา่ ๗. สตฺถา เทวมนุสสฺ าน เป็นครูผสู้ อนเทวดา และมนษุ ย์ทงั้ หลาย ๘. พทุ โฺ ธ เปน็ ผู้รู้ ผตู้ ืน่ ผู้เบิกบาน ๙. ภควา เปน็ ผูม้ ีโชค มคี วามเจรญิ จาแนก ธรรมสง่ั สอนสัตว์ (พ.ศ. หน้า ๑๙๑) พระพทุ ธเจำ้ ผ้ตู รสั รูโ้ ดยชอบแล้วสอนผู้อ่ืนให้รู้ตาม ท่านผ้รู ู้ดี รชู้ อบดว้ ยตนเองก่อนแล้ว สอนประชมุ ชนให้ ประพฤตชิ อบด้วยกาย วาจา ใจ (พ.ศ. หน้า ๑๘๓) พระภิกษุ ชายผูไ้ ด้อุปสมบทแลว้ ชายทบ่ี วชเป็นพระ พระผู้ชาย แปลตามรปู ศัพทว์ า่ ผู้ขอหรือผมู้ องเห็นภัยใน สังขารหรอื ผทู้ าลายกเิ ลส ดบู ริษทั ๔ สหธรรมกิ บรรพชติ อปุ สมั บัน ภกิ ษุสาวกรปู แรก ได้แก่ พระอญั ญาโกณฑัญญะ (พ.ศ. หน้า ๒๐๔) พระรัตนตรัย รัตนะ ๓ แกว้ อันประเสริฐ หรอื สิง่ ลา้ คา่ ๓ ประการ หลักที่เคารพบชู าสูงสดุ ของ พทุ ธศาสนกิ ชน ๓ อยา่ ง คือ ๑ พระพุทธเจ้า (พระผ้ตู รัสรูเ้ อง และสอนใหผ้ ู้อ่นื รตู้ าม) ๒.พระธรรม (คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งหลกั ความจรงิ และหลกั ความประพฤติ) ๓. พระสงฆ์ (หมู่สาวกผู้ ปฏบิ ตั ติ ามคาส่งั สอนของพระพุทธเจา้ ) (พ.ธ.หน้า ๑๑๖) พระสงฆ์ หมชู่ นทีฟ่ ังคาส่งั สอนของพระพทุ ธเจ้าแลว้ ปฏบิ ัติชอบตามพระธรรมวนิ ยั หมู่สาวกของพระพุทธเจา้ (พ.ศ. หนา้ ๑๘๕) พระสัมมำสัมพทุ ธเจ้ำ หมายถงึ ท่านผตู้ รัสรเู้ อง และสอนผู้อื่นใหร้ ตู้ าม (พ.ศ. หนา้ ๑๘๙) พระอนุพุทธะ หมายถงึ ผู้ตรสั รู้ตาม คือ ตรัสรดู ว้ ยไดส้ ดับเล่าเรียนและปฏบิ ตั ิตามทพี่ ระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง สอน ได้แก่ พระอรหนั ตส์ าวกทั้งหลาย (พ.ศ. หนา้ ๓๗๔) พระอรยิ บุคคล หมายถึง บุคคลผูเ้ ปน็ อริยะ ท่านผบู้ รรลธุ รรมวิเศษ มีโสดาปตั ตผิ ล เป็นต้น มี ๔ คือ ๑. พระโสดาบัน ๒. พระสกทาคามี (หรอื สกิทาคาม)ี ๓. พระอนาคามี

หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 221 ๔. พระอรหันต์ แบง่ พสิ ดารเป็น ๘ คือ พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปตั ติมรรค และพระผตู้ ั้งอยู่ในโสดาปตั ติผลคู่ ๑ พระผู้ตง้ั อย่ใู นสกทาคามมิ รรค และพระผ้ตู ัง้ อยู่ในสกทาคามีผลคู่ ๑ พระผูต้ ้ังอยู่ในอนาคามิมรรค และพระผู้ต้ังอยใู่ นอนาคามผิ ลคู่ ๑ พระผู้ตั้งอยใู่ นอรหตั ตมรรค และพระผ้ตู ง้ั อยู่ในอรหัตตผลคู่ ๑ (พ.ศ. หน้า ๓๘๖) พรำหมณ์ หมายถึง คนวรรณะหน่ึงใน ๔ วรรณะ คือ กษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ; พราหมณเ์ ป็นวรรณะ นักบวชและเป็นเจ้าพิธี ถือตนวา่ เป็นวรรณะสงู สุด เกดิ จากปากพระพรหม (พ.ศ. หน้า ๑๘๕) พละ ๔ กาลงั พละ ๔ คือ ธรรมอันเป็นพลงั ทาใหด้ าเนินชีวติ ดว้ ยความมน่ั ใจ ไมต่ ้องหวาดหว่นั ภัยต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ๑. ปญั ญาพละ กาลงั คือปัญญา ๒. วิริยพละ กาลงั คอื ความเพยี ร ๓. อนวัชชพละ กาลงั คือการกระทา ทไ่ี ม่มโี ทษ ๔. สงั คหพละ กาลงั การสังเคราะห์ คือ เกื้อกูลอยรู่ ่วมกับผู้อ่ืนได้ดี (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พละ ๕ พละ กาลัง พละ ๕ คือ ธรรมอันเปน็ กาลัง ซ่งึ เปน็ เครื่องเกื้อหนุนแก่อริยมรรค จัดอยู่ในจาพวก โพธิปกั ขยิ ธรรม มี ๕ คือ สัทธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปัญญา (พ.ศ. หน้า ๑๘๕ – ๑๘๖) พทุ ธกิจ ๕ พระพุทธองค์ทรงบาเพ็ญพุทธกิจ ๕ ประการ คือ ๑. ปพุ ฺพณฺเห ปิณฑฺ ปาตญจฺ ตอนเชา้ เสด็จออก บณิ ฑบาต เพ่ือโปรดสตั ว์ โดยการสนทนาธรรมหรอื การแสดงหลักธรรมใหเ้ ข้าใจ ๒. สายณเฺ ห ธมฺม เทสน ตอนเยน็ แสดงธรรมแก่ประชาชนที่มาเฝ้าบรเิ วณทป่ี ระทบั ๓. ปโทเส ภกิ ฺขุโอวาท ตอนคา่ แสดงโอวาทแก่พระสงฆ์ ๔. อฑฒฺ รตเฺ ต เทวปญหฺ น ตอนเทย่ี งคืนทรงตอบปัญหาแก่พวก เทวดา ๕. ปจฺจเู สว คเต กาเล ภพพฺ าภพฺเพ วโิ ลกน ตอนเชา้ มืด จวนสวา่ ง ทรงตรวจพจิ ารณาสตั วโ์ ลก ว่าผใู้ ดมอี ปุ นิสยั ทจี่ ะบรรลธุ รรมได้ (พ.ศ. หน้า ๑๘๙ - ๑๙๐) พทุ ธคณุ คณุ ของพระพทุ ธเจ้า คอื ๑. ปญํ ญาคณุ (พระคุณ คือ ปญั ญา) ๒. วิสุทธคิ ณุ (พระคณุ คอื ความ บริสุทธ์ิ) ๓. กรุณาคณุ (พระคุณ คอื พระมหากรุณา) (พ.ศ. หน้า ๑๙๑) ภพ โลกเป็นทอี่ ยู่ของสตั ว์ ภาวะชีวติ ของสัตว์ มี ๓ คือ ๑. กามภพ ภพของผูย้ ังเสวยกามคุณ ๒. รปู ภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน ๓. อรปู ภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน (พ.ศ. หน้า ๑๙๘) ภำวนำ ๔ การเจริญ การทาให้มีขนึ้ การฝึกอบรม การพัฒนา แบง่ ออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่ ๑. กายภาวนา ๒. สลี ภาวนา ๓. จิตตภาวนา ๔. ปัญญาภาวนา (พ.ธ. หน้า ๘๑ – ๘๒) ภูมิ ๓๑ ๑.พ้ืนเพ พืน้ ชนั้ ทีด่ ิน แผน่ ดนิ ๒. ชั้นแหง่ จิต ระดบั จิตใจ ระดับชวี ิต มี ๓๑ ภมู ิ ไดแ้ ก่ อบายภูมิ ๔ (ภูมทิ ่ปี ราศจากความเจรญิ ) - นิรยะ (นรก) – ติรัจฉานโยนิ (กาเนดิ ดริ จั ฉาน) – ปิตติ วสิ ัย (แดนเปรต) - อสรุ กาย (พวกอสรู ) กามสคุ ติภมู ิ ๗ (กามาวจรภมู ิที่เป็นสุคติ ภูมทิ ี่เป็นสุคตซิ ึง่ ยงั เกี่ยวข้องกบั กาม) - มนุษย์ (ชาวมนษุ ย)์ – จาตุมหาราชกิ า (สวรรค์ช้นั ทที่ า้ วมหาราช ๔ ปกครอง) - ดาวดงึ ส์ (แดนแห่งเทพ ๓๓ มที ้าวสกั กะเป็นใหญ่) -ยามา (แดนแหง่ เทพผ้ปู ราศจากความทุกข์) - ดุสิต (แดนแห่งผเู้ อบิ อ่ิมดว้ ยสิริสมบตั ิของตน) - นมิ มานรดี (แดนแห่งเทพผ้ยู ินดีในการเนรมติ ) - ปรนมิ มติ วสวัตตี (แดนแหง่ เทพผู้ยงั อานาจให้เปน็ ไปในสมบัตทิ ผ่ี ้อู ่ืนนิรมติ ให้) (พ.ธ. หน้า ๓๑๖-๓๑๗) โภคอำทิยะ ๕ ประโยชน์ที่ควรถือเอาจากโภคทรัพย์ ในการที่จะมหี รือเหตุผลในการที่จะมหี รอื ครอบครองโภค ทรัพย์ ๑. เลี้ยงตัว มารดา บิดา บตุ ร ภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสขุ ๒. บารุงมิตรสหาย และร่วมกจิ กรรมการงานใหเ้ ป็นสุข ๓. ใชป้ ้องกนั ภยนั ตราย ๔. ทาพลี คือ ญาติพลี สงเคราะหญ์ าติ อติถิ พลี ต้อนรับแขก ปุพพเปตพลี ทาบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลบั ราชพลี บารงุ ราชการ เสยี ภาษี เทวตาพลี สักการะ บารงุ สงิ่ ทเี่ ชื่อถือ ๕. อปุ ถัมภบ์ ารุงสมณพราหมณ์ ผู้ประพฤติชอบ (พ.ธ. หน้า ๒๐๒ -๒๐๓)

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 222 มงคล สง่ิ ทท่ี าใหม้ ีโชคดตี ามหลักพระพุทธศาสนา หมายถึง ธรรมที่นามาซ่ึงความสุข ความเจริญ มงคล ๓๘ ประการ หรือ เรียกเต็มว่า อุดมมงคล (มงคลอันสงู สุด) ๓๘ ประการ (ดูรายละเอียดมงคลสูตร) (พ.ศ. หนา้ ๒๑๑) มิจฉำวณิชชำ ๕ การคา้ ขายทีผ่ ดิ ศีลธรรมไม่ชอบธรรม มี ๕ ประการ คือ ๑. สตั ถวณิชชา คา้ อาวธุ ๒. สัตตวณิชชา ค้ามนษุ ย์ ๓. มงั สวณชิ ชา เลี้ยงสัตว์ไวข้ ายเนอื้ ๔. มัชชวณิชชา ค้าขายน้าเมา ๕. วิสวณชิ ชา ค้าขายยาพิษ (พ.ศ. หนา้ ๒๓๓) มรรคมอี งค์ ๘ ขอ้ ปฏบิ ัติให้ถงึ ความดับทกุ ข์ เรียกเตม็ วา่ “อริยอัฏฐังคิกมรรค” ไดแ้ ก่ ๑. สมั มาทฎิ ฐิ เหน็ ชอบ ๒. สัมมาสังกัปปะ ดาริชอบ ๓. สมั มาวาจา เจรจาชอบ ๔. สัมมากัมมันตะ ทาการชอบ ๕. สัมมาอาชีวะ เลย้ี งชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ เพยี รชอบ ๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ ๘. สัมมาสมาธิ ต้ังจติ มน่ั ชอบ (พ.ศ. หน้า ๒๑๕) มจิ ฉัตตะ ๑๐ ภาวะทผี่ ิด ความเป็นสิ่งท่ผี ิด ไดแ้ ก่ ๑. มิจฉทิฏฐิ (เหน็ ผดิ ไดแ้ ก่ ความเหน็ ผดิ จากคลองธรรมตาม หลกั กุศลกรรมบถ และความเหน็ ที่ไม่นาไปสู่ความพน้ ทุกข)์ ๒. มิจฉาสังกัปปะ (ดารผิ ดิ ได้แก่ ความ ดาริทเี่ ปน็ อกุศลท้ังหลาย ตรงข้ามจากสัมมาสังกัปปะ) ๓. มจิ ฉาวาจา (วาจาผดิ ไดแ้ ก่ วจีทุจริต ๔) ๔. มิจฉากัมมนั ตะ (กระทาผิด ได้แก่ กายทจุ ริต ๓) ๕. มจิ ฉาอาชวี ะ (เลย้ี งชพี ผิด ไดแ้ ก่ เลย้ี งชพี ในทาง ทุจรติ ) ๖. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผิด ไดแ้ ก่ ความเพียรตรงข้ามกบั สมั มาวายามะ) ๗. มจิ ฉาสติ (ระลกึ ผดิ ได้แก่ ความระลึกถงึ เร่ืองราวที่ล่วงแลว้ เช่น ระลึกถงึ การได้ทรัพย์ การได้ยศ เปน็ ตน้ ในทางอกุศล อันจดั เป็นสติเทียม) เป็นเหตุชักนาใจให้เกิดกเิ ลส มีโลภะ มานะ อสสา มจั ฉรยิ ะ เป็นต้น ๘. มิจฉาสมาธิ (ตง้ั ใจผดิ ได้แก่ ตั้งจิตเพง่ เลง็ จดจ่อปกั ใจแนว่ แน่ในกามราคะพยาบาท เป็น ตน้ หรือเจริญสมาธแิ ล้ว หลงเพลิน ติดหมกมนุ่ ตลอดจนนาไปใช้ผิดทาง ไมเ่ ป็นไปเพื่อญาณทัสสนะ และความหลดุ พ้น) ๙. มิจฉาญาณ (ร้ผู ิด ได้แก่ ความหลงผิดทแี่ สดงออกในการคดิ อุบายทาความชั่ว และในการพจิ ารณาทบทวน วา่ ความชว่ั นน้ั ๆ ตนกระทาไดอ้ ยา่ งดีแล้ว เป็นต้น) ๑๐. มิจฉาวิมุตติ (พ้น ผิด ได้แก่ ยงั ไม่ถึงวิมุตติ สาคัญวา่ ถึงวิมุตติ หรือสาคัญผิดในสิง่ ทีม่ ิใชว่ มิ ุตติ) (พ.ธ. หน้า ๓๒๒) มิตรปฏิรูป คนเทยี มมิตร มติ รเทยี ม มใิ ช่มิตรแท้ มี ๔ พวก ไดแ้ ก่ ๑. คนปอกลอก มลี ักษณะ ๔ คอื ๑.๑ คดิ เอาได้ฝ่ายเดียว ๑.๒ ยอมเสียแตน่ ้อย โดยหวังจะเอาให้มาก ๑.๓ ตัวเองมภี ยั จึงมาทากิจของเพื่อน ๑.๔ คบเพอื่ นเพราะ เห็นแก่ประโยชน์ของตัว ๒. คนดแี ต่พูด มีลักษณะ ๔ คอื ๒.๑ ดีแต่ยกเรอื่ งทผี่ ่านมาแล้วมาปราศรยั ๒.๒ ดีแต่ อ้างสงิ่ ที่ยงั มีดี แต่อ้างสงิ่ ท่ยี ังไม่มีมาปราศรัย ๒.๓ สงเคราะห์ด้วยสิ่งท่ีไรป้ ระโยชน์ ๒.๔ เม่ือเพ่ือนมีกิจอ้างแต่เหตุขัดข้อง ๓. คนหวั ประจบมลี ักษณะ ๔ คือ ๓.๑ จะทาชว่ั ก็คล้อยตาม ๓.๒ จะทาดีก็คล้อยตาม ๓.๓ ต่อหน้าสรรเสรญิ ๓.๔ ลับหลังนนิ ทา ๔. คนชวนฉบิ หายมลี กั ษณะ ๔ ๔.๑ คอยเป็นเพ่ือนดื่มน้าเมา ๔.๒ คอยเป็นเพ่อื นเท่ยี วกลางคืน ๔.๓ คอยเป็นเพื่อนเท่ยี วดูการเลน่ ๔.๔ คอยเป็นเพ่ือนไปเล่นการพนนั (พ.ธ. หนา้ ๑๕๔ – ๑๕๕) มิตรน้ำใจ ๑. เพ่อื นมที ุกขพ์ ลอยทกุ ข์ดว้ ย ๒. เพื่อนมีสขุ พลอยดีใจ ๓. เขาตเิ ตียนเพือ่ น ชว่ ยยบั ยงั้ แกไ้ ขให้ ๔. เขาสรรเสรญิ เพ่ือน ช่วยพูดเสรมิ สนับสนุน (พ.ศ. หนา้ ๒๓๔) รปู ๑. ส่ิงที่ต้องสลายไปเพราะปจั จัยตา่ ง ๆ อนั ขดั แย้ง ส่ิงท่ีเปน็ รูปรา่ งพร้อมทง้ั ลักษณะอาการของมนั ส่วน รา่ งกาย จาแนกเป็น ๒๘ คอื มหาภูตรปู หรือธาตุ ๔ และอุปาทายรูป ๒. อารมณ์ที่รไู้ ดด้ ้วยจักษุ สงิ่ ท่ี

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธิพ์ ัฒนวิทย์ พ.ศ.2563 223 ปรากฏแกต่ า ข้อ ๑ ในอารมณ์ ๖ หรอื อายตนะภายนอก ๓. ลักษณนามใชเ้ รยี กพระภิกษสุ ามเณร เช่น ภกิ ษุรูปหน่ึง (พ.ศ. หนา้ ๒๕๓) วฏั ฏะ ๓ หรอื ไตรวัฎฎ์ การวนเวียน การเวยี นเกดิ เวยี นตาย การเวียนวา่ ยตายเกดิ ความเวียนเกิด หรือ วนเวียนด้วยอานาจกเิ ลส กรรม และวิบาก เชน่ กิเลสเกิดข้ึนแล้วให้ทากรรม เม่ือทากรรมแล้วยอ่ ม ได้ผลของกรรม เมื่อได้รับผลของกรรมแล้ว กิเลสกเ็ กิดอีกแลว้ ทากรรมแลว้ เสวยผลกรรมหมนุ เวียน ต่อไป (พ.ธ. หน้า ๒๖๖) วำสนำ อาการกายวาจา ที่เป็นลกั ษณะพเิ ศษของบุคคล ซง่ึ เกดิ จากกเิ ลสบางอย่าง และไดส้ ง่ั สมอบรมมาเป็น เวลานานจนเคยชินติดเปน็ พนื้ ประจาตวั แม้จะละกิเลสนั้นได้แลว้ แต่ก็อาจจะละอาการกายวาจาท่ี เคยชินไม่ได้ เช่น คาพูดติดปาก อาการเดนิ ท่เี ร็วหรอื เดนิ ตว้ มเตย้ี ม เปน็ ต้น ทา่ นขยายความวา่ วาสนา ท่เี ป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เปน็ อพั ยากฤต คอื เป็นกลาง ๆ ไม่ดีไมช่ วั่ กม็ ี ทเี่ ปน็ กุศลกับอพั ยากฤตนั้น ไมต่ ้องละ แต่ท่ีเปน็ อกศุ ลซ่ึงควรจะละนนั้ แบง่ เป็น ๒ สว่ น คือ ส่วนทจ่ี ะเปน็ เหตุใหเ้ ขา้ ถึงอบายกบั ส่วนทเ่ี ปน็ เหตุใหเ้ กิดอาการแสดงออกทางกายวาจาแปลก ๆ ต่าง ๆ สว่ นแรก พระอรหนั ตท์ ุกองค์ละได้ แตส่ ่วนหลงั พระพทุ ธเจา้ เท่านนั้ ละได้ พระอรหนั ต์อ่ืนละไมไ่ ด้ จึงมีคากลา่ วว่าพระพทุ ธเจ้าเท่านั้นละกเิ ลส ทั้งหมดได้ พร้อมท้ังวาสนา; ในภาษาไทย คาวา่ วาสนามีความหมายเพ้ยี นไป กลายเป็นอานาจบญุ เก่า หรอื กศุ ลที่ทาให้ไดร้ ับลาภยศ (ไม่มีใน พ.ศ. ฉบบั ที่พิมพ์เป็นเล่ม แต่ค้นได้จากแผ่นซดี ีรอม พ.ศ. ของ สมาคมศิษยเ์ กา่ มหาจฬุ าฯ) วติ ก ความตรึก ตริ กายยกจิตขนึ้ สู่อารมณ์ การคิด ความดาริ “ไทยใช้วา่ เปน็ ห่วงกังวล” แบ่งออกเปน็ กุศลวิตก ๓ และอกุศลวติ ก ๓ (พ.ศ. หนา้ ๒๗๓) วบิ ัติ ๔ ความบกพร่องแหง่ องค์ประกอบต่าง ๆ ซึง่ ไมอ่ านวยแก่การทกี่ รรมดจี ะปรากฏผล แตก่ ลับเปดิ ชอ่ งให้ กรรมช่ัวแสดงผล พดู ส้ัน ๆ วา่ ส่วนประกอบบกพรอ่ ง เปิดช่องใหก้ รรมชว่ั วบิ ตั มิ ี ๔ คือ ๑. คติวบิ ัติ วบิ ัตแิ หง่ คติ หรอื คตเิ สยี คือเกดิ อยู่ในภพ ภูมิ ถน่ิ ประเทศ สภาพแวดล้อมท่ีไมเ่ หมาะ ไมเ่ กื้อกูล ทาง ดาเนินชีวิต ถิ่นทไ่ี ปไมอ่ านวย ๒. อปุ ธวิ ิบัติ วิบตั แิ หง่ ร่างกาย หรือ รูปกายเสีย เช่น รา่ งกายพิกลพิการ อ่อนแอ ไมส่ วยงาม กริ ยิ าท่าทางน่าเกลยี ด ไมช่ วนชมตลอดจนสขุ ภาพที่ไม่ดี เจ็บปว่ ย มีโรคมาก ๓. กาล วิบัติ วิบัตแิ ห่งกาลหรอื หรอื กาลเสีย คือเกิดอยใู่ นยุคสมัยท่ีบา้ นเมอื งมภี ัยพิบตั ิไมส่ งบเรยี บรอ้ ย ผู้ปกครองไม่ดี สังคมเส่ือมจากศลี ธรรม มากด้วยการเบียดเบยี น ยกย่องคนช่ัว บบี ค้นั คนดี ตลอดจน ทาอะไรไมถ่ ูกาลเวลา ไม่ถกู จังหวะ ๔. ปโยควิบัติ วิบตั แิ หง่ การประกอบ หรือกจิ การเสยี เช่น ฝักใฝ่ใน กจิ การหรือเร่ืองราวทีผ่ ดิ ทาการไมต่ รงตามความถนดั ความสามารถ ใช้ความเพยี ร ไมถ่ ูกตอ้ ง ทาการครึ่ง ๆ กลาง ๆ เปน็ ตน้ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๐- ๑๖๑) วปิ สั สนำญำณ ๙ ญาณในวิปัสสนา ญาณท่นี ับเขา้ ในวปิ สั สนา เป็นความรู้ทท่ี าใหเ้ กดิ ความเหน็ แจง้ เข้าใจ สภาวะของสิง่ ท้ังหลายตามเป็นจรงิ ไดแ้ ก่ ๑. อทุ ยพั พยานปุ ัสสนาณาณ คอื ญาณอนั ตามเหน็ ความ เกดิ และดับของเบญจขันธ์ ๒. ภงั คานุปสั สนาญาณ คือ ญาณอันตามเหน็ ความสลาย เมื่อเกิดดบั ก็ คานงึ เดน่ ชดั ในส่วนดับของสังขารท้งั หลาย ต้องแตกสลายทัง้ หมด ๓. ภยตปู ฏั ฐานญาณ คือ ณาณ อันมองเหน็ สังขาร ปรากฏเป็นของนา่ กลัว ๔. อาทนี วานุปสั สนาญาณ คอื ญาณอันคานึงเหน็ โทษของ สังขารทัง้ หลาย วา่ เป็นโทษบกพร่องเป็นทุกข์ ๕. นพิ พิทานปุ ัสสนาญาณ คอื ญาณอนั คานงึ เหน็ ความหนา่ ยของสังขาร ไมเ่ พลินเพลนิ ติดใจ ๖. มญุ จติ ุกมั ยตาญาณ คือ ญาณอนั คานึงด้วย ใครพ่ น้ ไปเสยี คือ หน่ายสงั ขารทัง้ หลาย ปรารถนาทจ่ี ะพ้นไปเสยี ๗. ปฏสิ งั ขานปุ ัสสนาญาณ คือ ญาณอนั คานงึ พิจารณาหาทาง เมือ่ ต้องการจะพ้นไปเสยี เพื่อมองหาอบุ ายจะปลดเปล้ืองออกไป ๘. สงั ขารเุ ปกขาณาณ คือ ญาณอนั เป็นไปโดยความเปน็ กลางต่อสังขาร คือ พจิ ารณาสงั ขารไม่ยินดียนิ

หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 224 ร้ายในสงั ขารท้ังหลาย ๙. สจั จานุโลมกิ ญาณ หรอื อนโุ ลมญาณ คือ ณาณอนั เป็นไปโดยอนโุ ลกแกก่ าร หยง่ั ร้อู ริยสัจ แลว้ แลว้ มรรคญาณใหส้ าเร็จความเปน็ อรยิ บุคคลต่อไป (พ.ศ. หนา้ ๒๗๖ – ๒๗๗) วมิ ุตติ ๕ ความหลดุ พ้น ภาวะไรก้ เิ ลส และไมม่ ีทุกข์ มี ๕ ประการ คือ ๑. วกิ ขมั ภนวมิ ตุ ติ ดับโดยขม่ ไว้ คอื ดับ กิเลส ๒. ตทังควมิ ุตติ ดับกเิ ลสดว้ ยธรรมท่เี ป็นคปู่ รับธรรมท่ีตรงกนั ข้าม ๓. สมุจเฉทวมิ ุตติ ดับด้วยตดั ขาด ดับกิเลสเสร็จสิน้ เดด็ ขาด ๔. ปฏปิ ัสสัทธิวิมตุ ติ ดับดว้ ยสงบระงบั โดยอาศยั โลกุตตรมรรคดบั กเิ ลส ๕. นสิ รณวมิ ุตติ ดบั ด้วยสงบระงับ คือ อาศัยโลกตุ ตรธรรมดับกเิ ลสเด็ดขาด เสรจ็ สน้ิ (พ.ธ. หนา้ ๑๙๔) โลกบำลธรรม ธรรมคมุ้ ครองโลก ได้แก่ ปกครองควบคุมใจมนษุ ย์ไวใ้ ห้อยใู่ นความดี มใิ ห้ละเมดิ ศีลธรรม และ ให้อยกู่ นั ดว้ ยความเรยี บร้อยสงบสุข ไม่เดือดร้อนสับสนวุ่นวาย มี ๒ อยา่ งได้แก่ ๑. หิริ ความอายบาป ละอายใจต่อการทาความช่วั ๒. โอตตัปปะ ความกลวั บาปเกรงกลวั ต่อความช่ัว และ ผลของกรรมชว่ั (พ.ศ. หน้า ๒๖๐) ฤำษี หมายถงึ ผูแ้ สวงธรรม ได้แก่ นักบวชนอกพระศาสนาซึง่ อยู่ในป่า ชีไพร ผู้แต่งคมั ภรี ์พระเวท (พ.ศ. หน้า ๒๕๖) สตปิ ัฏฐำน ๔ ท่ีตงั้ ของสติ การตงั้ สติกาหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รเู้ หน็ ตามความเป็นจริง คือ ตามสงิ่ น้นั ๆ มันเป็นของมันเอง มี ๔ ประการ คือ ๑. กายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน (การตั้งสติกาหนดพจิ ารณากายใหร้ เู้ ห็นตามเป็นจรงิ ว่า เป็นแต่เพยี ง กาย ไม่ใช่สัตว์บคุ คล ตัวตนเราเขา) ท่านจาแนกวธิ ปี ฏิบตั ิไดห้ ลายอย่าง คือ อานาปานสติ กาหนด ลมหายใจ ๑ อิริยาบถ กาหนดรู้ทนั อริ ิยาบถ ๑) สัมปชญั ญะ สร้างสัมปชัญญะในการกระทาความ เคลอ่ื นไหวทุกอย่าง ๑) ปฏกิ ูลมนสิการ พิจารณาสว่ นประกอบอนั ไมส่ ะอาดท้งั หลายท่ีประชุมเข้าเป็น รา่ งกายนี้ ๑) ธาตมุ นสิการ พิจารณาเห็นร่างกายของตน โดยสกั วา่ เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ ๒. เวทนานปุ ัสสาสตปิ ฏั ฐาน (การตั้งสติกาหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็นตามเป็นจริงวา่ เปน็ แตเ่ พียง เวทนา ไม่ใชส่ ัตวบ์ คุ คลตัวตนเราเขา) คือ มสี ติร้ชู ัดเวทนาอันเปน็ สขุ ก็ดี ทกุ ข์กด็ ี เฉย ๆ ก็ดี ทั้งทเ่ี ปน็ สามิสและเปน็ นริ ามิสตามทีเ่ ป็นไปอยู่ขณะนั้น ๆ ๓. จิตตานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การตั้งสติกาหนดพิจารณาจิต ใหร้ ู้เห็นตามเปน็ จรงิ วา่ เป็นแตเ่ พยี งจิต ไม่ใช่สตั ว์บุคคลตวั ตนเราเขา) คอื มีสตริ ู้ชัดจติ ของตนทม่ี ีราคะ ไม่มรี าคะ มโี ทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มโี มหะ เศร้าหมองหรือผอ่ งแผ้ว ฟงุ้ ซา่ นหรือเป็นสมาธิ ฯลฯ อย่างไร ๆ ตามท่เี ป็นไปอยู่ ในขณะนัน้ ๆ ๔. ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน (การตงั้ สติกาหนดพิจารณาธรรม ให้รูเ้ ห็นตามเป็นจรงิ วา่ เปน็ แตเ่ พยี ง ธรรม ไม่ใชส่ ัตว์บคุ คลตัวตนของเรา) คือ มสี ตริ ู้ชดั ธรรมทั้งหลาย ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ขนั ธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อรยิ สจั ๔ ว่าคอื อะไร เปน็ อยา่ งไร มใี นตนหรือไม่ เกดิ ขึน้ เจริญบริบูรณ์และดับได้อย่างไร เปน็ ต้น ตามท่ีเป็นจริงของมันอย่างน้นั ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๖๕) สมณะ หมายถงึ ผูส้ งบ หมายถงึ นกั บวชทว่ั ไป แต่ในพระพุทธศาสนา ท่านใหค้ วามหมายจาเพาะ หมายถึง ผู้ระดับบาป ได้แก่ พระอรยิ บุคคล และผู้ปฏิบัติเพื่อระงับบาป ไดแ้ ก่ ผู้ปฏบิ ัตธิ รรมเพือ่ เป็น พระอริยบคุ คล (พ.ศ. หน้า ๒๙๙) สมบตั ิ ๔ คือ ความเพยี บพรอ้ มสมบูรณแ์ ห่งองคป์ ระกอบต่าง ๆ ซึ่งช่วยเสริมสง่ อานวยโอกาสให้กรรมดี ปรากฏผล และไมเ่ ปิดช่องให้กรรมชั่วแสดงผล มี ๔ อย่าง คือ ๑. คตสิ มบัติ สมบตั ิแห่งคติ ถึงพร้อม ดว้ ยคติ หรือคตใิ ห้ คอื เกดิ อยู่ในภพ ภมู ิ ถนิ่ ประเทศทเ่ี จริญ เหมาะหรือเกื้อกลู ตลอดจนในระยะสั้น คือ ดาเนินชีวิตหรอื ไปในถนิ่ ที่อานวย ๒. อุปธิสมบตั ิ สมบัติแห่งรา่ งกาย ถงึ พร้อมด้วยร่างกาย คือมี

หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทบั โพธพิ์ ัฒนวิทย์ พ.ศ.2563 225 รปู รา่ งสวย ร่างกายสง่างาม หนา้ ตาท่าทางดี น่ารัก นา่ นยิ มเลื่อมใส สขุ ภาพดี แขง็ แรง ๓. กาลสมบัติ สมบัตแิ ห่งกาล ถึงพร้อมดว้ ยกาลหรือกาลให้ คือ เกดิ อยู่ในสมัยท่ีบ้านเมืองมีความสงบสุข ผู้ปกครองดี ผคู้ นมคี ณุ ธรรมยกยอ่ งคนดี ไม่สง่ เสรมิ คนชว่ั ตลอดจนในระยะเวลาสน้ั คอื ทาอะไรถูกกาลเวลา ถกู จังหวะ ๔. ปโยคสมบัติ สมบตั ิแห่งการประกอบ ถึงพรอ้ มด้วยการประกอบกิจ หรือกจิ การให้ เชน่ ทา เรื่องตรงกบั ทีเ่ ขาต้องการ ทากจิ ตรงกบั ความถนดั ความสามารถของตน ทาการถึงขนาดถูกหลัก ครบถ้วน ตามเกณฑ์หรือเต็มอัตรา ไม่ใชท่ าคร่งึ ๆ กลาง ๆ หรอื เหยาะแหยะ หรือไม่ถูกเรอ่ื งกัน รู้จกั จัดทา รู้จกั ดาเนนิ การ (พ.ธ. หน้า ๑๖๑ – ๑๖๒) สมำบตั ิ ภาวะสงบประณีตซง่ึ พึง่ เขา้ ถึง; สมาบตั ิมีหลายอยา่ ง เช่น ณานสมบัติ ผลสมาบัติ อนุปพุ พวหิ าร สมาบตั ิ (พ.ศ. หน้า ๓๐๓) สติ ความระลึกได้ นกึ ได้ ความไม่เผลอ การคุมใจได้กับกจิ หรอื คุมจิตใจไวก้ ับสงิ่ ที่เกี่ยวขอ้ ง จาการทีทา และคาพดู แมน้ านได้ (พ.ศ. หน้า ๓๒๗) สงั ฆคณุ ๙ คุณของพระสงฆ์ ๑. พระสงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคเป็นผูป้ ฏบิ ตั ิดี ๒. เปน็ ผู้ปฏบิ ตั ติ รง ๓. เปน็ ผู้ปฏบิ ัตถิ ูกทาง ๔. เปน็ ผปู้ ฏิบตั สิ มควร ๕. เป็นผคู้ วรแก่การคานบั คอื ควรกับของท่ีเขา นามาถวาย ๖. เป็นผคู้ วรแกก่ ารตอนรับ ๗. เปน็ ผคู้ วรแก่ทกั ษิณา ควรแก่ของทาบญุ ๘. เป็นผคู้ วร แก่การกระทาอัญชลี ควรแก่การกราบไหว้ ๙. เป็นนาบญุ อันยอดเยย่ี มของโลก เป็นแหลง่ ปลกู ฝงั และ เผยแพร่ความดีที่ยอดเยย่ี มของโลก(พ.ธ. หน้า ๒๖๕-๒๖๖) สังเวชนยี สถำน สถานทีต่ งั้ แห่งความสังเวช ที่ที่ให้เกดิ ความสงั เวช มี ๔ คือ ๑. ทีพ่ ระพุทธเจ้าประสตู ิ คือ อุทยานลุมพนิ ี ปจั จุบันเรียกลุมพนิ หี รอื รุมมินเด (Lumbini หรือ Rummindei) ๒. ทีพ่ ระพุทธเจ้า ตรัสรู้ คือ ควงโพธิ์ ทต่ี าบลพุทธคยา (Buddha Gaya หรอื Bodh – Gaya) ๓. ท่พี ระพุทธเจา้ แสดง ปฐมเทศนา คือปา่ อิสปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมืองพาราณสี ปจั จุบันเรยี กสารนาถ ๔. ท่ีพระพทุ ธเจ้า ปรินิพพาน คอื ท่ีสาลวโนทยาน เมอื งกสุ ินารา หรือกุสนิ คร บดั น้เี รียกกาเซีย (Kasia หรือ Kusinagara) (พ.ศ. หนา้ ๓๑๗) สันโดษ ความยินดี ความพอใจ ยนิ ดดี ้วยปจั จัย ๔ คอื ผา้ นงุ่ ห่ม อาหารทีน่ อนที่นั่ง และยาตามมีตามได้ ยินดี ของของตน การมีความสุข ความพอใจดว้ ยเครอ่ื งเลี้ยงชพี ที่หามาได้ดว้ ยเพยี รพยายามอันชอบธรรม ของตน ไม่โลภ ไม่รษิ ยาใคร (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สันโดษ ๓ ๑. ยถาลาภสนั โดษ ยินดตี ามที่ได้ คือ ได้สิ่งใดมาดว้ ยความเพียรของตน ก็พอใจดว้ ยสงิ่ นนั้ ไม่ได้ เดือดร้อนเพราะของท่ีไม่ได้ ไม่เพง่ เล็งอยากได้ของคนอ่ืนไม่ริษยาเขา ๒. ยถาพลสนั โดษ คือ ยินดตี าม กาลงั คอื พอใจเพยี งแค่พอแกก่ าลงั ร่างกาย สุขภาพ และขอบเขตการใชส้ อยของตน ของทเ่ี กนิ กาลังก็ ไม่หวงแหนเสียดายไม่เก็บไวใ้ หเ้ สียเปลา่ หรอื ฝืนใชใ้ หเ้ ปน็ โทษแก่ตน ๓. ยถาสารปุ ปสันโดษ ยินดตี าม สมควร คือ พอใจตามท่สี มควร คือ พอใจตามทส่ี มควรแกภ่ าวะฐานะแนวทางชีวติ และจุดหมายแห่ง การบาเพ็ญกิจของตน เช่น ภกิ ษุพอใจแตอ่ งอันเหมาะกบั สมณภาวะ หรอื ได้ของใช้ท่ีไม่เหมาะสมกบั ตนแตจ่ ะมีประโยชน์แก่ผอู้ นื่ ก็นาไปมอบให้แก่เขา เปน็ ตน้ (พ.ศ. หน้า ๓๒๔) สทั ธรรม ๓ ธรรมอนั ดี ธรรมท่ีแท้ ธรรมของสตั บุรุษ หลักหรอื แก่นศาสนา มี ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ปรยิ ัติสทั ธรรม (สทั ธรรมคอื คาส่ังสอนอนั จะตอ้ งเลา่ เรียน ได้แก่ พุทธพจน์) ๒. ปฏบิ ัติสัทธรรม (สทั ธรรมคอื ส่ิงพึงปฏิบตั ิ ได้แก่ ไตรสกิ ขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา) ๓. ปฏิเวธสัทธรรม (สทั ธรรมคือผลอนั จะพึงเข้าถึง หรอื บรรลุด้วยการปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ มรรค ผล และ นพิ พาน (พ.ธ. หน้า ๑๒๕)

หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธิ์พฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 226 สัปปุรสิ ธรรม ๗ ธรรมของสตั บุรษุ ธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นสัตบุรุษ คุณสมบตั ิของคนดี ธรรมของผู้ดี ๑. ธมั มัญญตุ า คือ ความร้จู ักเหตุ คือ รหู้ ลักความจริง ๒. อัตถัญญตุ า คือ ความรูจ้ ักผล คือรูค้ วาม มุ่งหมาย ๓. อัตตัญญุตา คือ ความรจู้ กั ตน คือ รูว้ า่ เราน้ันวา่ โดยฐานะ ภาวะ เพศ กาลงั ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคณุ ธรรม เป็นตน้ ๔. มตั ตัญญุตา คือ ความรจู้ กั ประมาณ คือ ความ พอดี ๕. กาลญั ญุตา คือ ความรู้จกั กาล คือ รจู้ ักกาลเวลาอันเหมาะสม ๖. ปรสิ ญั ญุตา คือ ความรู้ จกั บริษทั คือรู้จกั ชุมชนและรู้จักที่ประชมุ ๗. ปุคคลญั ญุตา หรือ ปคุ คลปโรปรัญญตุ า คือ ความรู้จัก บุคคล คอื ความแตกตา่ งแหง่ บุคคล (พ.ธ. หน้า ๒๔๔) สัมปชัญญะ ความร้ตู วั ทั่วพร้อม ความรู้ตระหนัก ความรชู้ ัดเขา้ ใจชดั ซ่งึ ส่งิ นึกได้ มักมาคูก่ บั สติ (พ.ศ. หน้า ๒๔๔) สำรำณยี ธรรม ๖ ธรรมเปน็ ท่ตี ง้ั แห่งความให้ระลกึ ถึง ธรรมเปน็ เหตุให้ระลึกถงึ กัน หลกั การอยรู่ ่วมกนั เรยี กอีกอยา่ งว่า “สาราณียธรรม” ๑. เมตตากายกรรม มเี มตตากายกรรมทั้งตอ่ หน้าและลับหลัง ๒. เมตตาวจกี รรม มีเมตตาวจกี รรมทงั้ ต่อหน้าและลับหลัง ๓. เมตตา มโนกรรม มีเมตตามโนกรรม ทงั้ ตอ่ หน้าและลบั หลงั ๔. สาธารณโภคี แบ่งปันส่ิงของท่ไี ด้มาไมห่ วง แหน ใชผ้ ู้เดยี ว ๕. สีลสามญั ญ ตา มคี วามประพฤตริ ว่ มกันในขอ้ ท่ีเป็นหลักการสาคัญท่จี ะนาไปสู่ความหลุดพน้ ส้ินทุกข์หรอื ขจัด ปญั หา ๖.ทฏิ ฐิสามัญญตา มีความเห็นชอบดีงาม เช่นเดียวกับหมู่คณะ (พ.ธ. หน้า ๒๓๓-๒๓๕) สขุ ๒ ความสบาย ความสาราญ มี ๒ อยา่ ง ได้แก่ ๑. กายกิ สขุ สุขทางกาย ๒. เจตสกิ สุข สขุ ทางใจ อกี หมวดหนง่ึ มี ๒ คอื ๑. สามิสสุข สขุ องิ อามิส คือ อาศยั กามคุณ ๒. นริ ามิสสขุ สขุ ไม่องิ อามิส คือ อิงเนกขมั มะ (พ.ศ. หนา้ ๓๔๓) ศรทั ธำ ความเชือ่ ความเช่ือถือ ความเชื่อมนั่ ในสิง่ ทดี่ ีงาม (พ.ศ. หน้า ๒๙๐) ศรัทธำ ๔ ความเช่อื ที่ประกอบด้วยเหตุผล ๔ ประการคือ ๑. กัมมสทั ธา (เชอื่ กรรม เช่ือว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่าเม่ือทาอะไรโดยมีเจตนา คอื จงใจทาทั้งท่รี ู้ ย่อมเปน็ กรรม คอื เปน็ ความชั่ว ความดี มีขน้ึ ในตน เป็นเหตปุ จั จยั ก่อใหเ้ กิดผลดผี ลร้ายสืบเน่ืองตอ่ ไป การกระทาไมว่ ่างเปลา่ และเช่อื วา่ ผลที่ ตอ้ งการจะสาเรจ็ ได้ดว้ ยการกระทา มิใช่ดว้ ยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นตน้ ๒. วิปากสัทธา (เชอ่ื วบิ าก เชอื่ ผลของกรรม เชอื่ วา่ ผลของกรรมมีจริง คือ เช่ือว่ากรรมทีส่ าเร็จต้องมีผล และผลต้อง มี เหตุ ผลดเี กิดจากกรรมดี และผลชัว่ เกิดจากกรรมชว่ั ๓. กัมมสั สกตาสทั ธา (ความเชื่อท่ีสัตวม์ กี รรม เปน็ ของตน เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจา้ ของจะต้องรับผดิ ชอบเสวยวบิ ากเป็นไปตามกรรมของตน ๔. ตถาคตโพธสิ ัทธา (เชื่อความตรสั รู้ของพระพุทธเจา้ มน่ั ใจในองค์พระตถาคตวา่ ทรงเปน็ พระสัมมา สัมพุทธะ ทรงพระคุณทง้ั ๙ ประการ ตรัสธรรม บัญญตั วิ นิ ัยไว้ดว้ ยดี ทรงเป็นผู้นาทางที่แสดงใหเ้ ห็น วา่ มนษุ ย์ คือเราทกุ คนน้ี หากฝึกตนดว้ ยดกี ็สามารถเข้าถึงภมู ิธรรมสูงสุด บริสุทธหิ์ ลดุ พน้ ได้ดังท่ี พระองค์ได้ทรงบาเพ็ญไว้ (พ.ธ. หน้า ๑๖๔) สงเครำะห์ การช่วยเหลอื การเอ้อื เฟ้ือเกื้อกลู (พ.ศ. หน้า ๒๒๘) สงั คหวัตถุ ๔ เร่ืองสงเคราะห์กนั คุณธรรมเปน็ เครือ่ งยึดเหนยี่ วใจของผอู้ ื่นไว้ได้ หลกั การสงเคราะห์ คือ ชว่ ยเหลือกนั ยึดเหนี่ยวใจกนั ไว้ และเป็นเคร่ืองเกาะกมุ ประสานโลก ไดแ้ ก่ สงั คมแห่งหม่สู ัตวไ์ ว้ ดุจ สลกั เกาะยึดรถที่กาลังแล่นไปให้คงเป็นรถ และว่งิ แลน่ ไปได้มี ๔ อยา่ งคือ ๑. ทาน การแบ่งปัน เอ้ือเฟื้อเผือ่ แผ่กนั ๒. ปยิ วาจา พูดจานา่ รัก นา่ นยิ มนบั ถอื ๓. อัตถจริยา บาเพ็ญประโยชน์ ๔.สมานตั ตนา ความมีตนเสมอ คือ ทาตัวใหเ้ ข้ากนั ได้ เชน่ ไม่ถือตัว ร่วมสขุ รว่ มทกุ ข์กัน เปน็ ตน้ (พ.ศ. หน้า ๓๑๐)

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 227 สัมมัตตะ ความเป็นถูก ภาวะทถี่ ูก มี ๑๐ อย่าง ๘ ข้อต้น ตรงกบั องค์มรรคทั้ง ๘ ข้อ เพ่ิม ๒ ขอ้ ทา้ ย คือ ๙. สัมมาญาณ รชู้ อบได้แกผ่ ลญาณ และปจั จเวกขณญาณ ๑๐. สมั มาวิมตุ ติ พ้นชอบได้แก่ อรหัตตผลวมิ ุตติ; เรยี กอีกอย่าง อเสขธรรม ๑๐ (พ.ศ. หน้า ๓๒๙) สุจริต ๓ ความประพฤติดี ประพฤตชิ อบตามคลองธรรม มี ๓ คอื ๑. กายสจุ ริต ประพฤตชิ อบทางกาย ๒. วจีสุจรติ ประพฤติชอบทางวาจา ๓. มโนสุจริต ประพฤติชอบทางใจ (พ.ศ. หน้า ๓๔๕) หิริ ความละอายต่อการทาชั่ว (พ.ศ. หน้า ๓๕๕) อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ทางแห่งอกุศลกรรม ทางความชัว่ กรรมชวั่ อันเปน็ ทางนาไปสู่ความเส่ือม ความทุกข์ หรือ ทคุ ติ ๑. ปาณาติบาต การทาชีวติ ใหต้ กลว่ ง ๒. อทนิ นาทาน การถอื เอาของทเ่ี ขามไิ ด้ให้ โดยอาการ ขโมย ลกั ทรพั ย์ ๓. กาเมสุมิจฉาจาร ความประพฤตผิ ดิ ทางกาม ๔. มสุ าวาท การพูดเท็จ ๕. ปิสุณวาจา วาจาสอ่ เสยี ด ๖. ผรสุ วาจา วาจาหยาบ ๗. สมั ผัปปลาปะ พดู เพอ้ เจ้อ ๘. อภิชฌา เพ่งเลง็ อยากได้ของเขา ๙. พยาบาท คิดร้ายผอู้ น่ื ๑๐. มจิ ฉาทฏิ ฐิ เห็นผดิ จากคลองธรรม (พ.ธ. หน้า ๒๗๙, ๓๐๙) อกุศลมูล ๓ รากเหง้าของอกุศล ตน้ ตอของความชั่ว มี ๓ คอื ๑. โลภะ (ความอยากได)้ ๒. โทสะ (ความคิด ประทษุ ร้าย) ๓. โมหะ (ความหลง) ๘ (พ.ธ. หน้า ๘๙) อคติ ๔ ฐานะอนั ไมพ่ ึงถึง ทางความประพฤติทีผ่ ดิ ความไม่เท่ียงธรรม ความลาเอียง มี ๔ อยา่ งคือ ๑. ฉนั ทาคติ (ลาเอยี งเพราะชอบ) ๒. โทสาคติ (ลาเอียงเพราะชงั ) ๓. โมหาคติ (ลาเอียงเพราะหลง พลาดผิดเพราะเขลา) ๔. ภยาคติ (ลาเอยี งเพราะกลัว) (พ.ธ. หน้า ๑๗๔) อนตั ตำ ไมใ่ ชอ่ ตั ตา ไมใ่ ช่ตัวตน (พ.ศ. หน้า ๓๖๖) อบำยมุข ชอ่ งทางของความเสื่อม เหตเุ ครื่องฉิบหาย เหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์ ทางแห่งความพินาศ (พ.ศ. หน้า ๓๗๗) อบำยมุข ๔ ๑. อิตถธี ุตตะ (เป็นนักเลงหญงิ นกั เที่ยวผ้หู ญิง) ๒. สรุ าธตุ ตะ (เปน็ นักเลงสรุ า นักด่ืม) ๓. อกั ขธุตตะ (เปน็ นกั การพนัน) ๔. ปาปมติ ตะ (คบคนช่ัว) (พ.ศ. หน้า ๓๗๗) อบำยมขุ ๖ ๑. ตดิ สุราและของมนึ เมา ๑.๑ ทรัพยห์ มดไป ๆ เหน็ ชดั ๆ ๑.๒ ก่อการทะเลาะวิวาท ๑.๓ เป็นบ่อเกิดแหง่ โรค ๑.๔ เสยี เกียรติ เสียชอื่ เสยี ง ๑.๕ ทาให้ไม่รู้อาย ๑.๖ ทอนกาลงั ปญั ญา ๒. ชอบเท่ียวกลางคนื มีโทษ ๖ อยา่ งคือ ๒.๑ ชอ่ื วา่ ไมร่ ักษาตน ๒.๒ ช่อื ว่าไมร่ กั ษาลูกเมีย ๒.๓ ชอื่ ว่าไม่รักษาทรัพย์สมบัติ ๒.๔ เปน็ ท่รี ะแวงสงสัย ๒.๕ เปน็ เปา้ ให้เขาใสค่ วามหรือขา่ วลอื ๒.๖ เปน็ ทม่ี าของเร่ืองเดือดร้อนเปน็ อนั มาก ๓. ชอบเที่ยวดกู ารละเล่น มโี ทษ โดยการงานเส่อื มเสีย เพราะมใี จกังวลคอยคิดจอ้ ง กับเสยี เวลาเม่อื ไปดสู ่ิงน้นั ๆ ทั้ง ๖ กรณี คือ ๓.๑ ราที่ไหนไปทนี่ นั่ ๓.๒ – ๓.๓ ขบั ร้อง ดนตรี เสภา เพลงเถดิ เทิงทไ่ี หนไปที่น่นั ๔. ติดการพนัน มีโทษ ๖ คือ ๔.๑ เมื่อชนะยอ่ มกอ่ เวร ๔.๒ เมอ่ื แพก้ เ็ สยี ดายทรัพย์ที่เสียไป ๔.๓ ทรัพย์หมดไป ๆ เห็นชัด ๆ ๔.๔ เข้าทีป่ ระชุมเขาไม่เชอ่ื ถือถ้อยคา ๔.๕ เปน็ ทห่ี มน่ิ ประมาทของเพื่อนฝงู ๔.๖ ไม่เป็นท่ี พึงประสงค์ของผูท้ ่จี ะหาคู่ครองใหล้ ูกของเขา เพราะเหน็ ว่าจะเลยี้ งลกู เมยี ไม่ได้ ๕. คบคนชั่ว มโี ทษโดยนาให้กลายเปน็ คนชั่วอยา่ งท่ีตนคบท้ัง ๖ ประเภท คือ ไดเ้ พ่ือนท่ีจะนาให้กลายเปน็ ๕.๑ นกั การพนนั ๕.๒ นักเลงหญงิ ๕.๓ นกั เลงเหลา้ ๕.๔ นักลวงของปลอม ๕.๕ นักหลอกลวง ๕.๖ นักเลงหัวไม้ ๖. เกยี จครา้ นการงาน มโี ทษโดยทาใหย้ กเหตุต่าง ๆ เป็นข้ออา้ งผิดเพ้ียน ไมท่ า การงานโภคะใหมก่ ็ไมเ่ กดิ โภคะที่มอี ยู่ก็หมดสน้ิ ไป คอื ให้อา้ งไปท้ัง ๖ กรณวี ่า ๖.๑ – ๖.๖ หนาวนัก รอ้ นนกั เยน็ ไปแลว้ ยงั เช้านกั หิวนัก อมิ่ นัก แลว้ ไมท่ าการงาน (พ.ธ. หน้า ๑๗๖ – ๑๗๘)

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทับโพธพิ์ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 228 อปรหิ ำนิยธรรม ๗ ธรรมอนั ไม่เปน็ ทตี่ ั้งแหง่ ความเสื่อม เป็นไปเพ่ือความเจริญฝ่ายเดยี วมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. หมัน่ ประชุมกันเนืองนิตย์ ๒. พร้อมเพรียงกันประชมุ พร้อมเพรยี งกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกนั ทากิจกรรมทีพ่ ึงทา ๓. ไม่บัญญัตสิ ่งิ ท่ีมิได้บญั ญัติไว้ (อนั ขัดตอ่ หลกั การเดิม) ๔. ทา่ นเหลา่ ใดเปน็ ผูใ้ หญ่ ควรเคารพนับถอื ท่านเหล่าน้นั ๕. บรรดากุลสตรี กลุ กุมารีท้งั หลาย ให้อยูด่ ีโดยมิถูก ข่ม เหง หรอื ฉุดครา่ ขนื ใจ ๖. เคารพสกั การบชู า เจดยี ห์ รืออนุสาวรยี ป์ ระจาชาติ ๗. จัดใหค้ วามอารักขา คมุ้ ครอง ป้องกันอนั ชอบธรรมแก่พระอรหันตท์ งั้ หลาย (รวมถึงพระภิกษุ ผู้ปฏิบตั ดิ ี ปฏบิ ตั ิชอบดว้ ย) (พ.ธ. หนา้ ๒๔๖ – ๒๔๗) อธปิ ไตย ๓ ความเปน็ ใหญ่ มี ๓ อย่าง คือ ๑. อัตตาธิปไตย ความมตี นเปน็ ใหญ่ ถอื ตนเป็นใหญ่ กระทาการ ด้วยปรารภตนเปน็ ประมาณ ๒. โลกาธปิ ไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ ถือโลกเปน็ ใหญ่ กระทาการดว้ ย ปรารภนิยมของโลกเปน็ ประมาณ ๓. ธมั มาธิปไตย ความมีธรรมเปน็ ใหญ่ ถือธรรมเปน็ ใหญ่, กระทา การด้วยปรารภความถูกต้อง เปน็ จรงิ สมควรตามธรรมเป็นประมาณ (พ.ธ. หนา้ ๑๒๗-๑๒๘) อริยสัจ ๔ ความจริงอนั ประเสริฐ ความจริงของพระอริยะ ความจริงท่ีทาให้ผเู้ ข้าถึงกลายเป็นอรยิ ะมี ๔ คือ ๑. ทุกข์ (ความทุกข์ สภาพที่ทนได้ยาก สภาวะทบ่ี บี คนั้ ขัดแย้ง บกพรอ่ ง ขาดแก่นสารและความ เที่ยงแท้ ไม่ให้ความพงึ พอใจแท้จรงิ ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอนั ไมเ่ ป็นทีร่ ัก การ พลัดพรากจากสง่ิ ทร่ี กั ความปรารถนาไมส่ มหวงั โดยย่อวา่ อปุ าทานขันธ์ ๕ เปน็ ทุกข์ ๒. ทุกขสมทุ ัย (เหตเุ กิดแหง่ ทุกข์ สาเหตุใหท้ ุกข์เกิด ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ คอื กามตณั หา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา) กาจัดอวิชชา สารอกตัณหา สิน้ แล้ว ไมถ่ ูกย้อม ไม่ติดขัด หลดุ พน้ สงบ ปลอดโปรง่ เปน็ อิสระ คือ นพิ พาน) ๓. ทุกขนโิ รธ (ความดบั ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ภาวะทต่ี ัณหาดับสน้ิ ไป ภาวะท่เี ข้าถงึ เมอื่ กาจดั อวิชชา สารอก ตณั หาส้นิ แลว้ ไมถ่ ูกย้อม ไมต่ ิดข้อง หลดุ พ้น สงบ เป็นอิสระ คอื นิพพาน) ๔. ทุกขนิโรธคามินปี ฏปิ ทา (ปฏิปทาท่ีนาไปสู่ความดับแห่งทุกข์ ข้อปฏิบตั ิให้ถึงความดับทกุ ข์ ได้แก่ อริยอัฏฐังคิกมรรค หรอื เรียกอีกอย่างหนง่ึ วา่ มัชฌิมปฏปิ ทา แปลวา่ ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ นี้ สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา) (พ.ธ. หน้า ๑๘๑) อริยอัฏฐคกิ มรรค ทางสายกลาง มรรคมีองค์ ๘ (ศีล สมาธิ ปญั ญา) (พ.ธ. หน้า ๑๖๕) อัญญำณเุ บกขำ เป็นอเุ บกขาฝา่ ยวบิ ตั ิ หมายถงึ ความไม่รู้เรื่อง เฉยไม่รเู้ รอื่ ง เฉยโง่ เฉยเมย (พ.ธ. หน้า ๑๒๖) อัตตำ ตัวตน อาตมัน ปุถชุ นยอ่ มยึดม่นั มองเห็นขันธ์ ๕ อย่างใดอยา่ งหนงึ่ หรอื ทั้งหมดเปน็ อตั ตา หรือยึดถือ วา่ มอี ตั ตา เน่ืองด้วยขนั ธ์ (พ.ศ. หน้า ๓๙๘) อัตถะ เร่อื งราว ความหมาย ความมุ่งหมาย ประโยชน์ มี ๒ ระดบั คอื ๑. ทิฏฐธิ ัมมกิ ัตถะ ประโยชน์ในชีวิตนี้ หรอื ประโยชนใ์ นปัจจบุ นั เปน็ ทม่ี ุง่ หมายกนั ในโลกนี้ ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสรญิ รวมถงึ การแสวงหา ส่ิงเหลา่ นม้ี าโดยทางที่ชอบธรรม ๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชนเ์ บอื้ งหนา้ หรอื ประโยชน์ท่ลี า้ ลึกกว่าท่ี จะมองเหน็ กันเฉพาะหนา้ เป็นจดุ หมายขั้นสูงข้นึ ไป เปน็ หลกั ประกันชวี ิตเม่ือละจากโลกนไี้ ป ๓. ปรมัตถะ ประโยชน์สูงสุด หรอื ประโยชน์ทีเ่ ปน็ สาระแท้จรงิ ของชีวติ เป็นจุดหมายสูงสุดหรอื ที่หมายข้ัน สุดท้าย คอื พระนิพพาน อีกประการหนง่ึ หมายถึง ๑. อตั ตัตถะ ประโยชน์ตน ๒. ปรตั ถะ ประโยชน์ ผอู้ นื่ ๓. อภุ ยตั ถะ ประโยชนท์ ั้งสองฝา่ ย (พ.ธ. หนา้ ๑๓๑ – ๑๓๒) อำยตนะ ท่ีต่อ เครอ่ื งตดิ ต่อ แดนต่อความรู้ เคร่อื งรู้ และสง่ิ ที่ถูกรู้ เชน่ ตาเปน็ เคร่ืองรู้ รูปเป็น ส่งิ ทร่ี ู้ หูเป็นเคร่อื งรู้ เสยี งเปน็ สง่ ทรี่ ู้ เป็นต้น จดั เปน็ ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. อาตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทบั โพธพ์ิ ัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 229 ๒. อายตนะภายนอก หมายถึง เครื่องต่อภายนอก ส่ิงทีถ่ ูกรู้ มี ๖ คอื ๒.๑ รปู คอื รูป ๒.๒ สัททะ คอื เสียง ๒.๓ คนั ธะ คือ กลิ่น ๒.๔ รส คอื รส ๒.๕ โผฏฐพั พะ คือ ส่งิ ตอ้ งกาย ๒.๖ ธมั มะ หมายถงึ ธรรมารมย์ คอื อารมณ์ทเ่ี กดิ กับใจ หรือสงิ่ ที่ใจรู้ อารมณ์ ๖ กเ็ รียก (พ.ศ. หน้า ๔๑๑) อำยตนะภำยใน เครอ่ื งต่อภายใน เคร่ืองรับรู้ มี ๖ คอื ๑. จกั ขุ คอื ตา ๒. โสตะ คือ หู ๓. ฆานะ คอื จมูก ๔. ชิวหา คอื ล้นิ ๕. กาย คือ กาย ๖. มโน คือ อนิ ทรยี ์ ๖ ก็เรยี ก (พ.ศ.หนา้ ๔๑๑) อริยวัฑฒิ ๕ ความเจริญอย่างประเสริฐ หลกั ความเจริญของอารยชน มี ๕ คือ ๑. ศรัทธา ความเชือ่ ความ มั่นใจในพระรตั นตรยั ในหลักแหง่ ความจริง ความดีอนั มเี หตุผล ๒.ศีลความประพฤตดิ ี มวี ินยั เลี้ยง ชพี สจุ ริต ๓. สุตะ การเลา่ เรยี น สดับฟัง ศึกษาหาความรู้ ๔. จาคะ การเผือ่ แผ่เสยี สละ เอ้ือเฟื้อ มนี า้ ใจชว่ ยเหลอื ใจกวา้ ง พร้อมท่ีจะรับฟังและร่วมมือ ไม่คับแคบ เอาแตต่ ัว ๕. ปัญญา ความรอบ รู้ ร้คู ิด รพู้ ิจารณา เข้าใจเหตุผล รจู้ กั โลกและชวี ิตตามความเป็นจรงิ (พ.ธ. หนา้ ๒๑๓) อทิ ธบิ ำท ๔ คุณเครื่องให้ถึงความสาเร็จ คุณธรรมท่นี าไปสคู่ วามสาเร็จแห่งผลทมี่ งุ่ หมาย มี ๔ ประการ คือ ๑. ฉนั ทะ ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทาใฝ่ใจรักจะทาสิง่ นน้ั อยู่เสมอแล้วปรารถนาจะทา ให้ได้ผลดียิ่ง ๆ ข้ึนไป ๒. วิรยิ ะ ความเพยี ร คือ ขยันหม่ันประกอบสิง่ น้ันด้วยความพยายาม เข้มแขง็ อดทน เอาธรุ ะไม่ ท้อถอย ๓. จติ ตะ ความคิด คือ ตงั้ จิตรับรใู้ นส่ิงที่ทาและทาส่งิ น้ันด้วยความคิด เอาจติ ฝักใฝไ่ ม่ปล่อยใจให้ ฟุ้งซ่านเล่ือนลอย ๔. วิมงั สา ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คือ หม่ันใชป้ ญั ญาพจิ ารณา ใคร่ครวญ ตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยง่ิ หย่อนในส่ิงทท่ี านน้ั มกี ารวางแผน วดั ผลคิดคน้ วิธีแก้ไขปรับปรุง ตัวอย่างเชน่ ผู้ ทางานท่วั ๆ ไปอาจจาสน้ั ๆ ว่า รักงาน สงู้ าน ใสใ่ จงาน และทางานดว้ ยปัญญา เปน็ ต้น (พ.ธ. หน้า ๑๘๖-๑๘๗) อบุ ำสกธรรม ๗ ธรรมท่ีเปน็ ไปเพือ่ ความเจริญของอบุ าสก ๑. ไม่ขาดการเยยี่ มเยือนพบปะพระภกิ ษุ ๒. ไมล่ ะเลยการฟงั ธรรม ๓. ศกึ ษาในอธศิ ลี ๔. มีความเล่ือมใสอยา่ งมากในพระภกิ ษุทุกระดับ ๕. ไม่ฟงั ธรรมด้วยตัง้ ใจจะคอยเพ่งโทษตเิ ตียน ๖. ไมแ่ สวงหาบญุ นอกหลักคาสอนในพระพุทธศาสนา ๗. กระทาการสนับสนุน คือ ขวนขวายในการอปุ ถัมภ์บารุงพระพุทธศาสนา (พ.ธ. หนา้ ๒๑๙ – ๒๒๐) อบุ ำสกธรรม ๕ สมบัตขิ องอุบาสก ๕ คอื ๑. มศี รัทธรา ๒. มีศีลบริสทุ ธ์ิ ๓. ไมถ่ ือมงคลต่นื ข่าว เช่อื กรรม ไม่เชอื่ มงคลคือมุง่ หวังผลจากการกระทา และการงานมิใช่จากโชคลาภ และสิ่งท่ีต่นื กันวา่ ขลงั ศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา ๕. ขวนขวายในการอปุ ถมั ภ์บารงุ พระพุทธศาสนา (พ.ศ. หน้า ๓๐๐) อบุ ำสกธรรม ๗ ผูใ้ กลช้ ดิ พระศาสนาอยา่ งแท้จริง ควรตัง้ ตนอยู่ในธรรมทเ่ี ปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ ของอบุ าสก มี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ไม่ขาดการเย่ยี มเยือนพบปะพระภิกษุ ๒. ไมล่ ะเลยการฟังธรรม ๓. ศกึ ษาใน อธิศีล คือ ฝึกอบรมตนให้ก้าวหนา้ ในการปฏิบัตริ ักษาศลี ขั้นสูงข้นึ ไป ๔. พร่งั พร้อมด้วยความเลื่อมใส ในพระภิกษุท้งั หลายทั้งที่เป็นเถระ นวกะ และปนู กลาง ๕. ฟงั ธรรมโดยความต้งั ใจ มิใช่ มาจับผดิ ๖. ไมแ่ สวงหาทักขิไณยภายนอก หลักคาสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกหลกั พระพุทธศาสนา ๗. กระทาความสนบั สนนุ ในพระพุทธศาสนานี้ คือ เอาใจใสท่ านุบารุงและช่วยกิจกรรม (ธรรมนูญชวี ติ , หน้า ๗๐ – ๗๐)

หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธ์ิพฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 230 อเุ บกขำ มี ๒ ความหมายคือ ๑. ความวางใจเปน็ กลาง ไม่เองเอียงดว้ ยชอบหรอื ชัง ความวางใจเฉยได้ ไมย่ ินดยี นิ รา้ ย เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเหน็ ผลอันเกิดข้ึนโดยสมควรแก่เหตุและรวู้ า่ พงึ ปฏิบตั ิต่อไปตาม ธรรม หรอื ตามควรแก่เหตนุ ัน้ ๒. ความร้สู ึกเฉย ๆ ไมส่ ุข ไมท่ กุ ข์ เรยี กเตม็ วา่ อเุ บกขาเวทนา (อทุกขม สุข) (พ.ศ. หนา้ ๔๒๖ – ๔๒๗) อุปำทำน ๔ ความยึดมน่ั ความถอื ม่นั ดว้ ยอานาจกเิ ลส ความยดึ ตดิ อนั เนอ่ื งมาแต่ตัณหา ผกู พันเอาตวั ตนเปน็ ท่ีตัง้ ๑. กามปุ าทาน ความยึดมั่นในกาม คอื รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะทนี่ ่าใคร่ น่าพอใจ ๒. ทฏิ ฐปุ าทาน ความยึดมนั่ ในทิฏฐหิ รอื ทฤษฎี คือ ความเห็น ลทั ธิ หรอื หลกั คาสอนตา่ ง ๆ ๓. สีลพั พตปุ าทาน ความยึดม่ันในศลี และพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏบิ ัติ แบบแผน ระเบยี บ วธิ ี ขนบธรรมเนยี มประเพณี ลทั ธพิ ิธตี า่ ง ๆ กัน ไปอย่างงมงายหรือโดยนยิ มวา่ ขลัง วา่ ศักด์สิ ทิ ธ์ิ มไิ ด้ เป็นไปด้วยความรู้ ความเข้าใจตามหลกั ความสมั พนั ธ์แห่งเหตุและผล ๔. อตั ตาวาทปุ าทาน ความยึด มั่นในวาทะวา่ ตวั ตน คือ ความถือหรือสาคญั หมายอยใู่ นภายในว่ามีตัวตน ทีจ่ ะได้ จะมี จะเป็น จะสูญสลาย ถกู บีบคั้น ทาลายหรอื เปน็ เจ้าของ เปน็ นายบงั คบั บัญชาสงิ่ ตา่ ง ๆ ไดไ้ ม่มองเหน็ สภาวะ ของสง่ิ ท้งั ปวง อันรวมทั้งตัวตนวา่ เปน็ แต่เพียงสิง่ ท่ปี ระชมุ ประกอบกันเขา้ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ทั้งหลายที่มาสมั พนั ธ์กนั ล้วน ๆ (พ.ธ. หนา้ ๑๘๗) อปุ นสิ ยั ๔ ธรรมท่พี ่ึงพงิ หรือธรรมชว่ ยอุดหนนุ ๑. สงฺขาเยก ปฏิเสวติ พิจารณาแลว้ จงึ ใชส้ อยปัจจัย ๔ คือ จีวร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั เปน็ ตน้ ท่ีจาเปน็ จะต้องเกย่ี วขอ้ งและมปี ระโยชน์ ๒. สงฺขาเยก อธิวาเสติ พจิ ารณาแลว้ อดกล้นั ได้แก่ อนฏิ ฐารมณ์ ต่าง ๆ มีหนาวรอ้ น และทุกขเวทนา เป็นตน้ ๓. สงฺขาเยก ปริวชเฺ ชติ พิจารณาสิ่งท่เี ป็นโทษ ก่ออันตรายแกร่ ่างกาย และจติ ใจแล้ว หลกี เวน้ ๔. สงขฺ าเยก ปฏิวิโนเทติ พจิ ารณาส่ิงทเ่ี ปน็ โทษ ก่ออันตรายเกิดขึ้นแลว้ เช่น อกุศลวิตก มกี ามวติ ก พยาบาทวติ ก และวิหงิ สาวิตก และความชวั่ รา้ ยทง้ั หลายแลว้ พิจารณาแก้ไข บาบดั หรอื ขจัดให้ส้ินไป (พ.ธ. หน้า ๑๗๙) โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ต่อความชั่ว (พ.ศ. หนา้ ๔๓๙) โอวำท คากล่าวสอน คาแนะนา คาตักเตอื น โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ คือ ๑. เวน้ จากทุจรติ คอื ประพฤติ ชว่ั ด้วยกาย วาจา ใจ (ไมท่ าชั่วทง้ั ปวง) ๒.ประกอบสุจรติ คือ ประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ (ทาแต่ ความดี) ๓. ทาใจของตนใหห้ มดจดจากเคร่ืองเศร้าหมอง โลภ โกรธ หลง เปน็ ต้น (ทาจิตของตนให้ สะอาดบริสุทธ์ิ) (พ.ศ. หน้า ๔๔๐) สงั คมศำสตร์ การศึกษาความสมั พันธข์ องมนุษย์ โดยใช้กระบวนการวทิ ยาศาสตร์ สงั คมศึกษำ การเรยี นร้เู พ่ือพฒั นาตนใหอ้ ยู่รว่ มในสงั คมได้อยา่ งมีคุณภาพ คณุ ธรรม(virtue) และจริยธรรรม(moral or morality or ethics) คุณธรรม หมายถงึ สภาพคุณงามความ ดี จริยธรรมมีความหมายเช่นเดียวกบั ศลี ธรรม หมายถึง ธรรมที่เปน็ ข้อประพฤตกิ รรมปฏิบตั คิ วาม ประพฤติหรอื หนา้ ทที่ ช่ี อบ ที่ควรปฏบิ ัตใิ นการครองชีวิต ดังน้นั คุณธรรมจริยธรรม จึงหมายถึง สภาพคณุ งามความดีทป่ี ระพฤติปฏิบัตหิ รอื หน้าท่ีทค่ี วรปฏิบตั ใิ นการครองชวี ติ หรือคุณธรรมตาม กรอบจริยธรรม ส่วนศีลธรรมและจรยิ ธรรม มคี วามหมายใกลเ้ คียงกัน คุณธรรมจะมคี วามหมายท่เี น้น สภาพ ลักษณะ หรือคุณสมบัตทิ แ่ี สดงออกถงึ ความดีงาม สว่ นจริยธรรม มีความหมายเน้นที่ ความ ประพฤติหรอื การปฏิบัตทิ ดี่ ีงาม เปน็ ที่ยอมรับของสงั คม นักวชิ าการมกั ใช้คาทงั้ สองคานใี้ นความหมาย นัยเดยี วกนั และมักใช้คาสองคาดงั กลา่ วควบคู่กนั ไป เป็นคาวา่ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม ซึง่ รวม ความหมายของคณุ ธรรมและจริยธรรม นั่นคือมีความหมายเน้นท้ังสภาพ ลักษณะหรือคุณสมบตั ิ และ

หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธิพ์ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 231 ความประพฤติอันดงี าม เปน็ ที่ยอมรับของสังคม (โครงการเร่งสรา้ งคุณลักษณะทีด่ ขี องเด็กและเยาวชนไทย ศูนยค์ ณุ ธรรม หน้า ๑๑ -๑๒) กำรเมอื ง ความรู้เกี่ยวกับความสมั พนั ธ์ระหว่างอานาจในการจดั ระเบียบสงั คมเพอื่ ประโยชน์และความสงบ สุขของสังคม มีความสมั พนั ธต์ อ่ กนั โดยรวมทั้งหมดในส่วนหนึ่งของชีวติ ในพืน้ ท่หี น่งึ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั อานาจ อานาจชอบธรรม หรืออิทธพิ ล และมีความสามารถในการดาเนินการได้ ขอ้ มูล สิง่ ทไี่ ด้รบั รแู้ ละยงั ไม่มีการจัดประมวลใหเ้ ปน็ ระบบ เมอ่ื จัดระบบแลว้ เรียกว่า สารสนเทศ คำ่ นิยม การกาหนดคุณค่าและพัฒนาจนเปน็ บคุ ลิกภาพประจาตัว คุณคำ่ ลักษณะที่พึงประสงค์ เช่น ความดี ความงาม ความดเี ป็นคณุ ค่าของจรยิ ธรรม ความงามเป็นคณุ คา่ ทางสนุ ทรียศาสตร์ สิง่ ทีต่ อบสนองความต้องการไดเ้ ปน็ ส่ิงที่มีคุณค่า คุณค่าเป็นสิง่ เปลี่ยนแปลงได้ คุณค่าเปล่ยี นไปไดต้ ามเวลา และคุณคา่ มักเปลี่ยนแปลงไปตามวิวฒั นาการของความเจริญ บทบำท การกระทาท่สี ังคมคาดหวังตามสถานภาพท่บี คุ คลครองอยู่ หน้ำที่ เป็นความรบั ผดิ ชอบทางศีลธรรมของปจั เจกชนซึ่งสงั คมยอมรับ สถำนภำพ ตาแหน่งที่แต่ละคนครองอยู่ในสถานที่หนง่ึ ในช่วงเวลาหนึ่ง บรรทัดฐำน ข้อตกลงของสงั คมท่ีกาหนดให้สมาชกิ ประพฤติ ปฏิบัติ บางทเี รียกปทสั ถาน สามารถใช้บรรทัด ฐานของสังคม (social norms) เป็นมาตรฐานความประพฤติในทางจริยธรรมได้ ซ่ึงแยกออกเป็น ก. วิถปี ระชา (folkways) ไดแ้ ก่ แบบแผนพฤตกิ รรมในชีวิตประจาวนั ท่ีสังคมยอมรบั และ ไดป้ ระพฤตปิ ฏิบตั ิสืบต่อกันมา มกั เก่ยี วข้องกับเรื่องการดาเนนิ ชีวติ และในส่วนทีเ่ ก่ียวข้องกบั จริยธรรม จะไม่มกี ฎเกณฑเ์ คร่งครัดแน่นอนตายตัว ข. กฎศีลธรรมหรือจารตี (mores) เป็นมาตรฐานความประพฤตขิ องสงั คมท่ีมีการกาหนด เกยี่ วกับจริยธรรมที่เข้มขน้ึ ในกรณีมผี ฝู้ ่าฝนื อาจมีการลงโทษ แมว้ า่ ในบางครง้ั จะไม่มีการเขยี นไว้เป็น ลายลักษณ์อกั ษรกต็ าม เช่น การลวนลามสตรใี นชนบท ต้องลงโทษด้วยการเสยี ผี ค. กฎหมาย (law) เป็นมาตรฐานความประพฤติท่รี ัฐกาหนดใหส้ มาชิกของรฐั พงึ ปฏิบตั หิ รือละ เวน้ การปฏบิ ัติ และกาหนดวิธีการปฏบิ ัติการลงโทษสาหรับผฝู้ า่ ฝืน สทิ ธิ ข้อเรยี กร้องของปัจเจกชนซึ่งสังคมยอมรับ สิทธิทำงศลี ธรรม เป็นขอ้ เรียกร้องทางศีลธรรมของปัจเจกชนซึง่ สงั คมยอมรบั ประเพณี เป็นความประพฤติของคนหมู่หนึง่ อยู่ในที่แหง่ หนึ่ง ถอื เป็นแบบแผนกนั มาอย่างเดียวกันและ สบื กันมานาน ประเพณี คือ กจิ กรรมที่มีรปู แบบของชมุ ชนหรือสังคมหน่ึงที่จัดขึ้นมาดว้ ยจุดประสงค์ใด จดุ ประสงค์หน่ึง และกาหนดการจัดกจิ กรรมในชว่ งเวลาแนน่ อนสมา่ เสมอ กิจกรรที่เป็นประเพณอี าจ มองไดอ้ ีกประการหนึ่งว่าเป็นแบบแผนการปฏบิ ตั ขิ องกลุม่ เฉพาะหรือทางศาสนา ปฏญิ ญำสำกลวำ่ ด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights sinv UDHR) คอื การ ประกาศเจตนารมณ์ ในการร่วมมือระหวา่ งประเทศที่มีความสาคญั ในการวางกรอบเบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั สิทธมิ นุษยชนและเป็นเอกสารหลักดา้ นสิทธิมนษุ ยชนฉบับแรก ซึง่ ทีป่ ระชมุ สมชั ชาใหญ่แห่ง สหประชาชาติ ให้การรบั รองตามข้อมติท่ี ๒๑๗ A (III) เมอ่ื วนั ท่ี ๑๐ ธนั วาคม ๒๔๙๑ โดยประเทศ ไทยออกเสยี งสนนั สนนุ วัฒนธรรม และภมู ิปญั ญำไทย เป็นการศึกษา วเิ คราะหเ์ ก่ียวกบั วัฒนธรรมและภูมิปัญญาในเรอื่ งเก่ียวกับ ความเป็นมา ปัจจัยพืน้ ฐานและผลกระทบจากภายนอกที่มีอิทธิพลต่อการสรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรมไทย

หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรสู้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทบั โพธิ์พัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 232 วฒั นธรรมทอ้ งถิ่น ภมู ปิ ญั ญาไทย รวมท้ังวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของมนุษยชาติโลก ความสาคัญ และผลกระทบที่มีอทิ ธิพลตอ่ การดาเนินชีวติ ของคนไทยและมนุษยชาติ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สัมมำชีพ การประกอบอาชพี สุจริตและเหมาะสมในสังคม ประสิทธภิ ำพ ความสามารถในการทางานจนสาเรจ็ หรอื ผลการกระทาท่ีไดผ้ ลออกมาดีกวา่ เดิม รวมทั้ง การใช้ทรพั ยากรตา่ งๆ อย่างคุ้มค่า โดยไม่ใหเ้ กดิ ความสูญเปล่าหรอื ความสูญเสยี ทรัพยาการต่างๆ พจิ ารณาได้จากเวลา แรงงาน วัตถุดิบ เคร่ืองจักร ปริมาณและคณุ ภาพ ฯลฯ ประสทิ ธผิ ล ระดบั ความสาเรจ็ ของวัตถุประสงค์ หรือ ผลสาเร็จของงาน สนิ คำ้ หมายความว่าส่ิงของที่สามารถซ้ือขาย แลกเปลีย่ น หรือโอนกันได้ ไม่ว่าจะเกดิ โดยธรรมชาติหรอื เปน็ ผลิตผลทางการเกษตร รวมตลอดถงึ ผลิตภัณฑ์ทางหัตถกรรมและอุตสาหกรรม ภูมิปญั ญำ สว่ นหนง่ึ ของประเพณี หรือเป็นกจิ กรรมเฉพาะตวั ก็ได้ เชน่ พิธถี วายสงั ฆทาน พธิ บี วชนาค พิธบี วชลกู แก้ว พิธีขอฝน พิธีไหว้ครู พิธีแต่งงาน มนุษยชำติ การเกิดเป็นมนุษยม์ าจาก มนุษย์ = ผมู้ จี ิตใจสูง กับชาติ = เกิด โดยปกตหิ มายถึง มนุษย์ทว่ั ๆ ไป มรรยำท พฤตกิ รรมทีส่ ังคมกาหนดว่าควรประพฤติเปน็ วัฒนธรรม วัดจากความเหมาะสมและไมเ่ หมาะสม ระบบ การนาสว่ นต่าง ๆ มาปรับเรยี งต่อให้ทางานประสานตอ่ เนือ่ งกันจนดูเป็นสิ่งเดียวกนั กระบวนกำร กรรมวธิ ีหรือลาดับการกระทาซ่ึงดาเนินการต่อเนอื่ งกนั ไปจนสาเร็จลง ณ ระดับหนึง่ วเิ ครำะห์ การแยกแยะให้เหน็ คุณลักษณะของแต่ละองค์ประกอบ เศรษฐกิจ ความรู้เกย่ี วกับการกนิ การอยู่ของมนุษย์ในสงั คม วา่ ดว้ ยทรัพยากรที่มจี ากัดการผลติ การกระจายผลผลิต และการบริโภค สหกรณ์ แปลว่าการทางานร่วมกัน การทางานร่วมกันน้ลี กึ ซง้ึ มาก เพราะว่าต้องรว่ มมอื กันในทุกด้าน ท้ังใน ด้านงานทท่ี าดว้ ยรา่ งกาย ทั้งในด้านงานทที่ าด้วยสมอง และงานการที่ทาด้วยใจ ทุกอยา่ งนี้ขาดไมไ่ ด้ ต้องพร้อม (พระราชดารสั พระราชทานแกผ่ ูน้ าสหกรณ์การเกษตร สหกรณน์ ิคมและสหกรณ์ประมงท่ัว ประเทศ ณ ศาลาดสุ ติ ดาลยั ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทรัพยส์ ินทำงปัญญำ หมายถงึ ผลงานอนั เกดิ จากการประดิษฐ์คิดค้น หรอื สร้างสรรค์ของมนุษย์ ซ่งึ เน้นที่ ผลผลิตของสติปัญญาและความชานาญ โดยไมค่ านึงถงึ ชนิด ของการสร้างสรรคห์ รอื วธิ ีในการ แสดงออก ทรัพย์สนิ ทางปัญญา อาจเปน็ สิ่งท่จี ับต้องได้ เชน่ สินค้า ต่าง ๆ หรือ เปน็ สงิ่ ท่ีจบั ตอ้ งไม่ได้ เชน่ บรกิ าร แนวความคดิ กรรมวธิ ีและทฤษฎีต่าง ๆ เป็นต้น ทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญามี ๒ ประเภท ทรพั ย์สนิ ทางอตุ สาหกรรม (Industrial property) และลขิ สทิ ธิ์ (Copyright) ๑. ทรพั ย์สินทำงอุตสำหกรรม มีสทิ ธบิ ตั ร แบบผังภมู ขิ องวงจรรวม เครอ่ื งหมายการค้า ความลบั ทางการค้า ช่ือทางการค้า ส่งิ บ่งชท้ี างภมู ศิ าสตร์ สง่ิ บง่ ชที้ ำงภูมศิ ำสตร์ หมายความว่า ชื่อ สัญลกั ษณ์ หรือสิ่งอน่ื ใดท่ีใชเ้ รียกหรอื ใชแ้ ทนแหล่ง ภมู ศิ าสตร์ และทีสามารถบ่งบอกวา่ สนิ ค้าท่เี กิดจากแหล่งภูมศิ าสตรน์ ั้นเป็น สนิ ค้าที่มีคุณภาพ ช่อื เสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะของแหลง่ ภมู ศิ าสตรด์ งั กลา่ ว ๒. ลิขสทิ ธิ์ คือ งานหรือความคดิ สร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรกี รรม งานภาพยนตร์ หรืองานอนื่ ใดในแผนกวรณคดี หรือแผนกศิลปะ แผนกวิทยาศาสตร์ ลขิ สทิ ธิ์ยังรวมทง้ั สทิ ธิขา้ งเคยี ง (Neighbouring Right) เหตุ ภาวะเงื่อนไขท่จี าเปน็ ท่ีทาให้ส่ิงหนึ่งเกิดขึ้นตามมา เรยี กวา่ ผล เหตุกำรณ์ ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขนึ้ อำนำจ ความสามารถในการบีบบังคับให้สงิ่ หนึ่ง (คนหนง่ึ ...) กระทาตามทปี่ รารถนา

หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธพ์ิ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 233 อทิ ธพิ ล อานาจบงั คบั ท่ีก่อใหเ้ กิดความสาเร็จในสงิ่ ใดสง่ิ หนึง่ เอกลักษณ์ ลกั ษณะทมี่ คี วามเป็นหนง่ึ เดียว ไม่มที ใี่ ดเหมือน ตำนำน เป็นเรอ่ื งเลา่ ต่อกันมาและถูกบันทึกข้ึนภายหลัง พงศำวดำร คอื การบนั ทึกเหตกุ ารณท์ ี่เกิดขนึ้ ตามลาดบั เวลา ซึ่งส่วนใหญจ่ ะเป็นเรือ่ งราวทก่ี ับพระมหากษัตรยิ ์ และราชสานกั อดีต คอื เวลาทีล่ ว่ งมาแล้ว ความสาคญั ของอดีต คือ อดีตจะครอบงาความคดิ และความรขู้ องเราอยา่ ง กว้างขวางลกึ ซึ้ง อดตี ทีเ่ กี่ยวข้องกับกลุ่มคน/ความสาคญั ท่ีมีต่อเหตกุ ารณแ์ ละกลุ่มคนจะถูกนามา เชือ่ มโยงเข้าด้วยกัน นักประวตั ศิ ำสตร์ เป็นผูบ้ ันทึกเหตกุ ารณ์ที่เกดิ ขึ้น ผ้สู รา้ งประวตั ิศาสตร์ขน้ึ จากหลกั ฐานประเภทต่าง ๆ ตามจุดมงุ่ หมายและวธิ ีการคดิ ซง่ึ งานเขียนอาจนาไปสู่การเปน็ วิชาประวัติศาสตรไ์ ดใ้ นทสี่ ดุ ควำมมุ่งหมำยในกำรเขียนประวัติศำสตร์ - นกั ประวัตศิ าสตรร์ ุ่นเกา่ มงุ่ สู่การรวมชาต/ิ รบั ใชก้ ารเมือง - นกั ประวตั ศิ าสตร์รุ่นใหม่ มงุ่ ที่จะหาความจริง (truth) จากอดีตและตีความโดยปราศจากอคติ (bias) หลกั ฐำนประเภท ตำ่ ง ๆ จะใหข้ ้อเทจ็ จริงบางประการ ซึง่ จะนาไปส่คู วามจริงในท่ีสดุ โดยมวี ธิ กี ารแบง่ ประเภทของหลักฐานหลายแบบ เชน่ หลักฐานสมัยกอ่ นประวัตศิ าสตรแ์ ละหลักฐานสมัย ประวัตศิ าสตร์แบบหนง่ึ หลักฐานประเภทลายลกั ษณ์อักษรและหลักฐานท่ีไมใ่ ช่ลายลกั ษณ์แบบหน่ึง หรือหลกั ฐานชน้ั ต้นและหลักฐานช้ันรอง (หรือหลักฐานชนั้ ท่ีหน่งึ ชน้ั ที่สอง ช้ันทีส่ าม) อีกแบบ หนึง่ หลักฐานท่จี ะถูกประเมินว่านา่ เชอ่ื ถอื ทสี่ ดุ คือ หลกั ฐานท่ีเกิดรว่ มสมัยหรือเกดิ โดยผู้ทรี่ ้เู ห็น เหตกุ ารณ์นนั้ ๆ แต่กระนนั้ นักประวัติศาสตร์ก็จะต้องวเิ คราะหท์ ้ังภายในและภายนอกก่อนด้วยเชน่ กัน เน่อื งจากผู้ท่อี ยรู่ ่วมสมัยกย็ ่อมมจี ุดมงุ่ หมายส่วนตัวในการบนั ทึก ซ่ึงอาจทาใหเ้ ลือกบนั ทกึ เฉพาะเรื่อง บางเรอ่ื งเท่านั้น อคติ คอื ความลาเอยี ง ไม่ตรงตามความเปน็ จริง เปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ทกุ คน ซึ่งผู้ที่เปน็ นกั ประวตั ศิ าสตร์ จะตอ้ งตระหนักและควบคมุ ใหไ้ ด้ ควำมเปน็ กลำง คอื การมองด้วยปราศจากความรสู้ ึกอคติจะเกดิ ขน้ึ ไดห้ ากเข้าใจธรรมชาตขิ องหลักฐานแต่ ละประเภท เขา้ ใจปรชั ญาและวิธีการทางประวตั ิศาสตร์ เข้าใจจุดมงุ่ หมายของผ้เู รียน ผูบ้ ันทึก ประวตั ิศาสตร์ (นัน่ คือ เขา้ ใจวา่ บันทกึ เพื่ออะไร เพราะเหตุใด) ควำมจรงิ แท้ (real truth) คอื ความจริงทค่ี งอยู่แนน่ อนนริ ันดร์ เปน็ จดุ หมายสงู สุดที่นกั ประวตั ศิ าสตร์ ม่งุ แสวงหาซง่ึ จะต้องอาศัยความเข้าใจและความจริงที่อยเู่ บ้ืองหลังการเกิดพฤตกิ รรมและเหตกุ ารณ์ ต่าง ๆ (ที่มนุษย์เปน็ ผู้สร้าง) ซ่ึงการแสวงหาความจริงแท้ ต้องอาศยั ความสมบูรณ์ของหลกั ฐานและ กระบวนการทางประวตั ิศาสตร์ที่ละเอียด ถถี่ ้วน กนิ เวลายาวนาน แต่นคี้ ือ ภาระหน้าที่ของนกั ประวตั ศิ าสตร์ ผู้สอนวิชำประวตั ศิ ำสตร์ คอื ผ้นู าความรู้ทางประวตั ิศาสตรม์ าพัฒนาใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ความรู้ เจตคติและ ทักษะในการใช้กระบวนการวิทยาศาสตรใ์ นการแสวงหาความจริงและความจริงแท้จะต้องศึกษา ผลงานของนักประวัติศาสตร์และเลือกเน้ือหาประวัตศิ าสตร์ทีเ่ หมาะสมกบั วัยของผู้เรียน โดยต้อง เปน็ ไปตามจดุ ประสงค์ของหลักสูตรและสอดคลอ้ งธรรมชาติของประวตั ศิ าสตร์ เวลำและยคุ สมัยทำงประวัติศำสตร์ เปน็ การศึกษาเร่ืองการนบั เวลา และการแบง่ ช่วงเวลาตามระบบต่าง ๆ ทงั้ แบบไทย สากล ศักราชทีส่ าคัญ ๆ ในภูมภิ าคต่าง ๆ ของโลก และการแบ่งยุคสมยั ทาง ประวตั ิศาสตร์ ทง้ั นเี้ พอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นมที ักษะพืน้ ฐานสาหรับการศึกษาหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทบั โพธ์ิพฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 234 สามารถเขา้ เหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตรท์ ี่สัมพนั ธ์กบั อดีต ปัจจุบนั และอนาคต ตระหนักถึง ความสาคัญในความต่อเนือ่ งของเวลา อทิ ธพิ ลและความสาคัญของเวลาท่มี ีต่อวถิ ีการดาเนินชีวติ ของ มนุษย์ วิธีกำรทำงประวัติศำสตร์ หมายถึงกระบวนการในการแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ เกิดจากวิธีวจิ ัย เอกสารและหลักฐานประกอบอืน่ ๆ เพื่อให้ได้มาซ่ึงองค์ความรู้ใหม่ทางประวตั ศิ าสตรบ์ นพื้นฐานของ ความเปน็ เหตุเป็นผล และการวิเคราะหเ์ หตุการณต์ า่ ง ๆ อย่างเปน็ ระบบ ประกอบด้วยข้ันตอนตอ่ ไปนี้ หน่งึ การกาหนดเป้าหมายหรอื ประเดน็ คาถามที่ต้องการศึกษา แสวงหาคาตอบด้วยเหตุ และผล (ศึกษาอะไร ชว่ งเวลาไหน สมัยใด และเพราะเหตใุ ด) สอง การคน้ หาและรวบรวมหลักฐานประเภทตา่ ง ๆ ท้ังทเ่ี ป็นลายลักษณ์อักษร และไม่เป็นลาย ลกั ษณ์อกั ษร ซ่ึงได้แก่ วัตถโุ บราณ ร่องรอยถ่นิ ที่อยู่อาศัยหรือการดาเนนิ ชีวติ สำม การวิเคราะหห์ ลักฐาน (การตรวจสอบ การประเมินความน่าเชือ่ ถือ การประเมนิ คุณค่าของ หลักฐาน) การตีความหลักฐานอยา่ งเปน็ เหตุเปน็ ผล มีความเปน็ กลาง และปราศจากอคติ ส่ี การสรปุ ขอ้ เทจ็ จริงเพ่ือตอบคาถาม ด้วยการเลือกสรรข้อเทจ็ จริงจากหลกั ฐานอย่างเครง่ ครัดโดย ไมใ่ ช้ค่านยิ มของตนเองไปตัดสนิ พฤติกรรมของคนในอดีต โดยพยายามเขา้ ใจความคดิ ของคนในยุคนัน้ หรือนาตวั เข้าไปอยู่ในยคุ สมัยท่ตี นศกึ ษา ห้ำ การนาเสนอเร่อื งที่ศึกษาและอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล โดยใช้ภาษาที่เขา้ ใจงา่ ย มคี วาม ตอ่ เน่ือง นา่ สนใจ ตลอดจนมีการอ้างอิงขอ้ เท็จจรงิ เพ่ือให้ไดง้ านทางประวัติศาสตร์ท่ีมีคุณคา่ และมี ความหมาย พัฒนำกำรของมนษุ ยชำตจิ ำกอดตี ถึงปจั จบุ นั เป็นการศึกษาเร่ืองราวของสงั คม มนุษย์ในบริบทของเวลา และสถานที่ โดยทั่วไปจะแยกเรื่องศึกษาออกเปน็ ดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ โดยกาหนดขอบเขตการศกึ ษาในกลุ่ม สังคม มนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ในท้องถิ่น/ประเทศ/ภูมภิ าค/โลก โดยมงุ่ ศึกษาว่าสงั คมนั้น ๆ ได้ เปล่ียนแปลงหรอื พัฒนาตามลาดับเวลาได้อยา่ งไร เพราะเหตุใด จงึ เกดิ ความเปล่ยี นแปลงมีปัจจัย ใดบ้าง ทง้ั ทางดา้ นภูมิศาสตร์และปัจจัยแวดลอ้ มทางสงั คม ที่มีผลต่อพัฒนาการหรือการสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และผลกระทบของการสรา้ งสรรค์ของมนุษยใ์ นด้านตา่ ง ๆ เปน็ อยา่ งไร ท้งั น้ีเพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจ อดีตของสงั คมมนุษย์ในมิติของเวลาและความต่อเน่ือง ภมู ศิ ำสตร์ เป็นคาทมี่ าจากภาษากรีก (Geography) หมายถึงการพรรณนาลกั ษณะของโลกเปน็ ศาสตร์ทาง พ้นื ท่ี เป็นความรู้ที่วา่ ด้วยปฏิสัมพันธข์ องสง่ิ ตา่ ง ๆ ในขอบเขตหนึง่ ลักษณะทำงกำยภำพ ของภูมศิ ำสตร์ หมายถึง ลกั ษณะท่ีมองเห็นเป็นรปู รา่ ง รปู ทรง โดยสามารถมองเหน็ และวิเคราะห์ไปถึงกระบวนการเปล่ยี นแปลงต่าง ๆ ทเ่ี กิดข้ึนในสภาพแวดลอ้ มต่าง ๆ ซงึ่ เก่ยี วขอ้ งกับ ลกั ษณะของธรณสี ัณฐานวิทยาภมู อิ ากาศวทิ ยา ภมู ิศาสตร์ดิน ชวี ภมู ศิ าสตร์พชื ภมู ศิ าสตรส์ ตั ว์ ภมู ศิ าสตรส์ ิง่ แวดลอ้ มต่าง ๆ เปน็ ต้น ปฏสิ ัมพันธ์ระหวำ่ งกัน หมายถงึ วธิ ีการศึกษา หรือวธิ กี ารวเิ คราะห์ พิจารณาสาหรับศาสตร์ทางภมู ิศาสตร์ ได้ใชส้ าหรบั การศึกษาพิจารณา คิดวิเคราะห์ สงั เคราะหถ์ ึงสิ่งตา่ ง ๆ ทม่ี ีผลตอ่ กันระหว่างส่ิงแวดลอ้ ม กบั มนษุ ย์ (Environment) ทางกายภาพ ดว้ ยวธิ กี ารศึกษา พิจารณาถงึ ความแตกตา่ ง ความเหมอื นระหวา่ งพืน้ ท่ีหน่ึงๆ กบั อีกพนื้ ที่หน่งึ หรือระหวา่ งภูมภิ าคหนึ่งกบั ภูมภิ าค หนึง่ โดยพยายามอธบิ ายถึงความแตกต่าง ความเหมือน รูปแบบของภูมิภาค และพยายามขีดเสน้ สมมุติ แบ่งภูมภิ าคเพื่อพจิ ารณาวเิ คราะห์ ดสู ัมพนั ธภาพของภมู ภิ าคเหล่านัน้ วา่ เปน็ อย่างไร

หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทับโพธิ์พฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 235 ภูมศิ ำสตร์ คอื ภาพปฏิสมั พนั ธ์ของธรรมชาติ มนุษย์ และวฒั นธรรม รูปแบบต่าง ๆ ถ้าพิจารณาเฉพาะปจั จัยทางธรรมชาติ จะเปน็ ภูมิศำสตรก์ ำยภำพ (Physical Geography) ถา้ พิจารณาเฉพาะปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกบั มนุษย์ เช่น ประชากร วิถีชวี ติ ศาสนา ความเชื่อ การเดินทาง การอพยพจะเป็นภมู ศิ ำสตร์มนษุ ย์ (Human Geography) ถ้าพิจารณาเฉพาะปัจจัยที่เป็นสงิ่ ทม่ี นุษย์สร้างขน้ึ เช่น การตง้ั ถ่นิ ฐาน การคมนามคม การคา้ การเมือง จะเปน็ ภูมศิ ำสตร์วัฒนธรรม (Cultural Geography) ภูมิอำกำศ คอื ภาพปฏสิ มั พันธข์ ององค์ประกอบอุตนุ ิยมวิทยา รปู แบบต่าง ๆ เชน่ ภูมิอากาศ แบบร้อนชนื้ ภูมอิ ากาศแบบอบอนุ่ ชนื้ ภมู ิอากาศแบบร้อนแหง้ แล้ง ฯลฯ ภมู ปิ ระเทศ คือ ภาพปฏสิ มั พันธ์ขององค์ประกอบแผน่ ดิน เชน่ หนิ ดนิ ความตา่ งระดับ ทาใหเ้ กดิ ภาพ ลักษณะรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ พื้นทแี่ บบภูเขา พืน้ ท่ีระบบลาด เชิงเขา พื้นที่ราบ พ้ืนท่ลี ุ่ม ฯลฯ ภมู พิ ฤกษ์ คือ ภาพปฏสิ มั พนั ธ์ของพชื พรรณ อากาศ ภูมปิ ระเทศ ดิน สตั ว์ปา่ ในรปู แบบตา่ ง ๆ เชน่ ป่าดิบ ปา่ เต็งรัง ปา่ เบญจพรรณ ปา่ ทงุ่ หญ้า ฯลฯ ภมู ธิ รณี คอื ภาพปฏิสัมพันธ์ของแร่ หิน โครงสรา้ งทางธรณี ทาใหเ้ กดิ รปู แบบทางธรณีชนดิ ตา่ ง ๆ เช่น ภเู ขาแบบทบตัว ภูเขาแบบยกตวั ทร่ี าบนา้ ท่วมถึง ชายฝงังแบบยุบตัว ฯลฯ ภูมิปฐพี คือ ภาพปฏสิ ัมพันธ์ของแร่ หิน ภูมิประเทศลกั ษณะอากาศ พชื พรรณ ทาใหเ้ กิดดนิ รูปแบบ ต่าง ๆ เช่น แดนดนิ ดา มอดินแดง ดินทรายจดั ดินกรด ดนิ เค็ม ดนิ พรุ ฯลฯ ภมู ิอทุ ก คือ ภาพปฏสิ มั พันธข์ องแผน่ ดนิ ภูมปิ ระเทศ ภูมอิ ากาศ ภมู ิธรณี พชื พรรณ ทาให้เกิดรปู แบบ แหล่งนา้ ชนดิ ตา่ ง ๆ เช่น แมน่ ้า ลาคลอง ห้วย หนอง บึง ทะเล ทะเลสาบ มหาสมุทร น้าใตด้ นิ นา้ บาดาล ฯลฯ ภูมดิ ำรำ คือ ภาพปฏิสมั พันธ์ของดวงดาว กลมุ่ ดาว เวลา การเคลื่อนการโคจรของ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ ทาให้เกดิ รปู แบบปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ เช่น การเกดิ กลางวนั กลางคนื ข้างขึ้น-ขา้ งแรม สุรยิ ุปราคา ตะวนั อ้อมเหนือ ตะวนั อ้อมใต้ ฯลฯ ภยั พบิ ตั ิ เหตกุ ารณ์ท่ีก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายและสูญเสียอยา่ งรุนแรง เกิดข้นึ จากภัยธรรมชาตแิ ละกระทาของ มนษุ ย์ จนชมุ ชนหรอื สงั คมทเี่ ผชญิ ปัญหาไมอ่ าจรบั มือ เช่นดินถล่ม สนึ ามิ ไฟป่า ฯลฯ แหลง่ ภมู ศิ ำสตร์ หมายความว่า พน้ื ทข่ี องประเทศ เขต ภูมภิ าคและทอ้ งถ่นิ และใหห้ มายความรวมถงึ ทะเล ทะเลสาบ แมน่ ้า ลานา้ เกาะ ภเู ขา หรอื พน้ื ท่ีอนื่ ทานองเดยี วกนั ดว้ ย เทคนิคทำงภมู ิศำสตร์ หมายถงึ แผนที่ แผนภมู ิ แผนภาพ และกราฟ ภายถ่ายทางอากาศ และภาพถ่ายจาก ดาวเทยี ม เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ สอ่ื ทีส่ ามารถค้นข้อมลู ทางภูมศิ าสตร์ได้ มติ ทิ ำงพ้ืนท่ี หมายถงึ การวิเคราะห์ พจิ ารณาในเร่ืองขององค์ประกอบทางภมู ิศาสตรท์ ีเ่ ก่ียวข้องกับเวลา สถานที่ ปัจจัยแวดลอ้ ม และการกระจายของพื้นที่ในรูปแบบต่าง ๆ ทงั้ ความกว้าง ยาว สูง ตาม ขอบเขตท่กี าหนด หรือสมมุติพ้ืนท่ีข้นึ มาพจิ ารณา กำรศกึ ษำรปู แบบทำงพืน้ ท่ี หมายถึง การศึกษาเร่ืองราวเกี่ยวกบั พื้นทีห่ รือมติ ิทางพื้นท่ีของ สังคมมนษุ ย์ ที่ตัง้ ถิน่ ฐานอยู่ มีการใชแ้ ละกาหนดหนว่ ยเชงิ พ้นื ที่ ท่ชี ดั เจน มกี ารอาศัยเสน้ ท่ีเราสมมตุ ิข้ึน อาศัย หน่วยต่าง ๆ ขนึ้ มากาหนดขอบเขต ซ่งึ มีองค์ประกอบลกั ษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมอื ง และลักษณะทางพฒั นาการของมนุษยท์ ี่เด่นชัด สอดคล้องกนั เปน็ พืน้ ฐานใน การศึกษา แสวงหาข้อมูล ภมู ศิ ำสตรก์ ำยภำพ หมายถึง ศาสตร์ท่ศี ึกษาเร่ืองเกย่ี วกบั ระบบธรรมชาติ ถงึ ความเปน็ มา ความเปลีย่ นแปลง และพัฒนาการไปตามยุคสมัย โดยมขี อบเขตทีก่ ลา่ วถึง ลกั ษณะภูมิประเทศ ลักษณะภมู ิอากาศ

หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรสู้ งั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทบั โพธ์พิ ฒั นวทิ ย์ พ.ศ.2563 236 ภมู ิปฐพี (ดนิ ) ภมู อิ ากาศ (ลมฟ้าอากาศ บรรยากาศ) และภูมพิ ฤกษ์ (พืชพรรณ ป่าไม้ ธรรมชาต)ิ รวมทงั้ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมตามธรรมชาติ การเปลยี่ นแปลงของธรรมชาตทิ ี่มีผลต่อ ชีวติ และความเปน็ อยู่ของมนุษย์ สิ่งแวดล้อม สง่ิ ที่อยู่รอบ ๆ สง่ิ ใดสงิ่ หนงึ่ และมอี ิทธพิ ลตอ่ สง่ิ นั้น อาทิ อากาศ นา้ ดนิ ต้นไม้ สตั ว์ ซงึ่ สามารถ ถูกทาลายไดโ้ ดยการขาดความระมัดระวงั ส่งิ แวดล้อมทำงภำยภำพ หมายถึง ทุกสง่ิ ทุกอยา่ ง ยกเว้นตัวมนษุ ยแ์ ละผลงาน และมนษุ ย์ สง่ิ แวดล้อมทาง กายภาพ ได้แก่ ภูมิอากาศ ดิน พืชพรรณ สตั วป์ ่า ธรณสี ณั ฐาน (ภเู ขาและท่รี าบ) บรรยากาศ มหาสมุทร แร่ธาตุ และนา้ อนรุ ักษ์ การรักษา จดั การ ดแู ลทรัพยากรธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรม หรอื การรักษาปอ้ งกันบางสงิ่ ไม่ให้ เปลี่ยนแปลง สญู หายหรอื ถูกทาลาย ภูมศิ ำสตรม์ นุษย์ และส่งิ แวดลอ้ ม หมายถึง ศาสตร์ทศ่ี ึกษาเรอื่ งราวเก่ียวกับมนษุ ย์ วิถชี วี ิตและ ความเปน็ อยู่ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจและสังคม สิ่งแวดลอ้ มด้านสังคมท้งั ในเมืองและท้องถิ่น การเปลยี่ นแปลงทางสงิ่ แวดล้อม สาเหตุและผลกระทบท่ีมีต่อมนุษย์ ปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาทาง สังคม กรอบทำงพนื้ ที่ (Spatial Framework) หมายถึง การวางข้อกาหนดหรือขอบเขตของพืน้ ที่ในการศึกษาเรื่องใด เรอื่ งหนึง่ หรือแบบรูปแบบกระจายของสิง่ ต่าง ๆ บนผิวโลกสว่ นใดสว่ นหนึง่ เพ่ือให้เราเข้าใจลักษณะ โลกของมนุษยด์ ีขึ้น เช่น การกาหนดใหม้ นุษย์ และวัฒนธรรมของมนษุ ยด์ ีข้นึ เช่น การกาหนดให้มนษุ ย์และ วัฒนธรรมของมนุษย์กรอบพื้นทข่ี องโลกทม่ี ีลกั ษณะเปน็ ภูมภิ าค ประเทศ จังหวัด เมือง ชุมชน ทอ้ งถ่นิ ฯลฯ สาหรบั การวิเคราะห์ หรือศึกษาองคป์ ระกอบใดองค์ประกอบหนง่ึ เฉพาะเรื่อง รูปแบบทำงพื้นท่ี (Spatial Form) หมายถึง ขอ้ เท็จจริง เครอื่ งมือ หรอื วธิ ีการ โดยเฉพาะกลมุ่ ของข้อมูลท่ี ไดม้ า เปน็ ตน้ ว่า ความสัมพนั ธ์ทางพ้นื ที่แบบรูปแบบของการกระจาย การกระทาระหว่างกัน เคร่อื งมือที่ใช้ ได้แก่ แผนที่ ภาพถา่ ย ฯลฯ พน้ื ท่หี รอื ระวำงที่(Space) หมายถงึ ขอบเขตทางพนื้ ท่ีในการวิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาพ้ืนท่ี ในมิติต่าง ๆ ตามระวางท่ี (Spatiak study) ทก่ี าหนดขึ้นมีขอบเขตชดั เจน อาจจะมีการกาหนดเป็น เขตบริเวณ สถานที่ นามติ ขิ องความกวา้ ง ความลึก ความสูง ความยาว รวมทั้งมิติทางเวลา ในเขต พน้ื ทต่ี ่าง ๆ ตามทเ่ี รากาหนด ขอบเขตระหว่างที่ ด้วยเครื่องมอื เส้นสมมติและเทคนิคทางภมู ิศาสตร์ ต่าง ๆ เชน่ แผนท่ี ภาพถา่ ย ฯลฯ อาจจะจาแนกเป็นเขต ภูมภิ าค ประเทศ จงั หวดั เมือง ชุมชน ทอ้ งถนิ่ ฯลฯ ท่เี ฉพาะเจาะจงไป มกี ารพจิ ารณา วเิ คราะหถ์ ึงการกระจายและสัมพนั ธภาพของมนุษย์ บนผวิ โลก และลกั ษณะทางพื้นท่ีของการต้งั ถ่ินฐานของมนุษย์ และการทีใ่ ชป้ ระโยชนจ์ ากพื้นโลก สัมพันธจ์ ากถ่นิ ฐานของมนุษย์ และการท่ีใช้ประโยชน์จากพ้ืนโลก สัมพนั ธภาพระหวา่ งสงั คมมนุษย์กบั ส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ ซึ่งถือว่าเปน็ ส่วนหนง่ึ ในการศึกษาความแตกต่างเชิงพืน้ ท่ี (Area difference) มติ สิ มั พนั ธ์เชิงทำเลทต่ี ั้ง หมายถงึ การศึกษาความแตกตา่ งหรือความเหมอื นกนั ของสังคมมนุษย์ในแตล่ ะ สถานท่ี ในฐานะทค่ี วามแตกต่างและเหมือนกนั นนั้ อาจมีความเกี่ยวเนอื่ งกบั ความแตกต่างและความ เหมือนกนั ในสงิ่ แวดล้อมทางกายภาพ ทางเศรษฐกจิ ทางสังคม ทางวัฒนธรรม ทางการเมือง และ การศกึ ษาภูมิทัศน์ท่ีแตกตา่ งกันในเรอ่ื งองค์ประกอบ ปจั จยั ตลอดจนแบบรูปการกระจายของมนุษย์ บนพ้นื โลก และการท่ีมนุษยใ์ ช้ประโยชน์จากพน้ื โลก เหตไุ รมนษุ ย์จงึ ใช้ประโยชน์จากพนื้ โลก แตกต่าง กนั ในสถานท่ีตา่ งกัน และในเวลาที่ตา่ งกนั มีผลกระทบอย่างไร

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนทบั โพธิ์พัฒนวทิ ย์ พ.ศ.2563 237 ภำวะประชำกร รายละเอยี ดขอ้ เทจ็ จริงเกยี่ วกับประชากรในเรอ่ื งสาคัญ 3 ดา้ น คือขนาดประชากร การกระจายตวั เชิงพ้นื ท่ี และองคป์ ระกอบของประชากร ขนำดของประชำกร จานวนประชากรทงั้ หมดของเขตพนื้ ทห่ี น่งึ พ้นื ที่ ณ เวลาท่ีกลา่ วถึง กำรกระจำยตัวเชงิ พ้นื ท่ี การท่ีประชากรกระจายตัวกันอยู่ในสว่ นต่างๆ ของพ้ืนท่ีหน่ึงพ้ืนท่ี ณ เวลาท่ีกลา่ วถึง องค์ประกอบของประชำกร ลักษณะต่าง ๆ ท่ีมสี ่วนผลักดันให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงขนาดหรอื จานวน ประชากร องค์ประกอบของประชากรเป็นดัชนอี ย่างหนึง่ ทช่ี ี้ให้เห็นถึงคุณภาพของประชากร องค์ประกอบประชากรทส่ี าคัญ ไดแ้ ก่ เพศ อายุ การศกึ ษา อาชีพ การสมรส กำรเปลยี่ นแปลงประชำกร องค์ประกอบสาคัญทที่ าใหเ้ กิดกรเปลีย่ นแปลงประชากร คือ การเกิด การตาย และการยา้ ยถิ่น

หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรยี นทับโพธพิ์ ฒั นวิทย์ พ.ศ.2563 238 ผจู้ ดั ทำ

หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นร้สู งั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนทับโพธ์ิพัฒนวิทย์ พ.ศ.2563 239 นำยวีรเดช มะแพทย์ ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐำนะครูชำนำญกำรพเิ ศษ ปฏบิ ตั หิ น้ำที่ หัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรยี นรู้สังคมศึกษำ ศำสนำและวฒั นธรรม นำยสงกรำนต์ พันคลัง ตำแหน่ง ครูพ่เี ล้ียงเดก็ พกิ ำรเรียนร่วม