การสรา้ งสรรค์ผลงานนาฏศลิ ป์ ปน่ิ เกศ วัชรปาณ ศศ.ม.(นาฏยศลิ ป์ไทย) สาขาวิชานาฏศิลปไ์ ทย คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธานี 2559
คำนำ ตาราเล่มนี้ผู้เขียนได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ ตาราจากเอกสาร ตารา งานวิจัยที่เก่ียวข้องกับ งานสร้างสรรค์นาฏศิลป์ และประสบการณ์การเรียนการสอนนาฏศิลป์ท้ังนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ พ้ืนเมือง และนาฏศิลป์สากล นอกจากน้ียังเกิดจากประสบการณ์การเป็นกรรมการตัดสินในผลงาน สรา้ งสรรคน์ าฏศิลป์ระดบั อุดมศกึ ษาหลายแหง่ และในการตดั สินงานสร้างสรรค์นาฏศิลป์ของสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาขยายความเพิ่มเติม จากประสบการณท์ ัง้ หมดของผู้เขียน ตาราการสรา้ งสรรค์ผลงานนาฏศลิ ป์ มเี นื้อหาเก่ยี วกบั หลักความร้เู บ้ืองต้นในการสร้างสรรค์ นาฏศิลป์ องค์ประกอบการสร้างสรรค์ผลงานเบื้องต้น การสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ไทยประเภท มาตรฐาน การสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ไทยประเภทพ้ืนเมือง การสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ ประยุกต์ และการบันทกึ ผลงานสร้างสรรคน์ าฏศิลป์ ใช้ประกอบการสอนในรายวิชา ผลงานสร้างสรรค์ นาฏศิลปส์ าหรับครู (TD03401) ซ่ึงเป็นวิชาบังคับที่เปิดสอนในสาขาวิชานาฏศิลป์ไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธานี ผู้เขียนขอขอบคุณผู้เขียนเอกสาร ตารา และงานวิจัยที่ได้นามาใช้ในการอ้างอิงและ เรียบเรียง ขอกราบขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์มาลินี อาชายุทธการ ครูผู้ประสาทวิชา และอาจารย์ท่ีปรึกษาในการเขียนตารา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปัทมาวดี ชาญสุวรรณ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พีรพงศ์ เสนไสย ท่ีกรุณาให้คาปรึกษา คณาจารย์สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย และ คณาจารย์ทุกทา่ น คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี ท่ีให้กาลงั ใจด้วยดีมาตลอดภาพท่ารา ทา่ เตน้ ในตาราเล่มน้ี นักศึกษาสาขาวิชานาฏศลิ ป์ไทย คณะครศุ าสตรร์ ่วมแสดงแบบบนั ทึกภาพ ผู้ เ ขี ย น ข อ ข อ บ พ ร ะ คุ ณ อ า จ า ร ย์ แ ล ะ นั ก วิ ช า ก า ร ท่ี ผู้ เ ขี ย น ไ ด้ น า ม า อ้ า ง อิ ง ทุ ก ท่ า น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าตาราเล่มน้ีคงจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาและผู้สนใจท่ัวไป ผู้เขียน ขอขอบพระคณุ ทกุ ทา่ นมา ณ ที่น้ี ปน่ิ เกศ วัชรปาณ มิถุนายน 2559
สารบญั (3) คานา หนา้ สารบญั สารบญั ภาพ (1) สารบญั ตาราง (3) บทท่ี 1 ความรู้เบ้ืองตน้ เกีย่ วกับการสร้างสรรคผ์ ลงานนาฏศิลป์ (7) (15) ความหมายของการสร้างสรรคผ์ ลงานนาฏศิลป์ 1 ประเภทและลักษณะของนาฏศิลป์ 1 รูปแบบการนาเสนอผลงานนาฏศิลป์ 3 คุณลกั ษณะผู้สร้างสรรคผ์ ลงานนาฏศิลป์ 11 สรุป 16 18 บทที่ 2 องคป์ ระกอบการสร้างสรรคเ์ บือ้ งตน้ ขั้นตอนการเกิดความคิดสร้างสรรค์ 19 กระบวนการสร้างสรรค์นาฏศิลป์ 19 ทฤษฎีทัศนศลิ ป์ 22 ทฤษฎแี ห่งการเคล่ือนไหว 27 สรุป 29 30 บทท่ี 3 การสรา้ งสรรคผ์ ลงานนาฏศลิ ป์ แนวคิด 33 ทา่ ทาง 33 การใช้พ้นื ที่ การแปรแถว 38 เพลง ดนตรี 80 เครอื่ งแตง่ กาย 85 อุปกรณ์การแสดง 91 สรุป 97 101
(4) สารบญั (ตอ่ ) หน้า บทท่ี 4 การสรา้ งสรรคน์ าฏศลิ ปไ์ ทยประเภทมาตรฐาน ชุดสุวรรณวารี 103 ขน้ั ตอนและวิธกี ารสร้างสรรค์ 103 แนวคดิ 104 แรงบันดาลใจ 104 การแบ่งชว่ งการแสดง 105 การประดิษฐ์แมท่ ่าและกระบวนทา่ 105 การเคลอื่ นไหวบนเวที และการแปรแถว 134 การแต่งกาย 138 เพลงและดนตรี 139 สรปุ 141 บทท่ี 5 การสร้างสรรค์นาฏศลิ ป์ไทยประเภทพืน้ เมือง ชดุ เซงิ้ สาวกมุ ภวาโบกข้าวหลาม 143 ขัน้ ตอนและวิธีการสร้างสรรค์ แนวคิด 143 แรงบนั ดาลใจ 144 การแบง่ ช่วงการแสดง 144 การประดิษฐแ์ ม่ท่าและกระบวนทา่ 144 การเคล่อื นไหวบนเวที และการแปรแถว 145 การแตง่ กาย 170 เพลงและดนตรี 172 สรปุ 175 177
สารบญั (ตอ่ ) (5) บทที่ 6 การสรา้ งสรรคผ์ ลงานนาฏศลิ ป์ประยุกต์ ชดุ ฟ้อนพุทธชนะมาร หน้า ขน้ั ตอนและวิธกี ารสร้างสรรค์ ประวตั ทิ ี่มา 179 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 179 แนวคิด 180 แรงบนั ดาลใจ 182 การแบง่ ช่วงการแสดง 182 การประดิษฐแ์ ม่ท่าและกระบวนท่า 182 การเคลื่อนไหวบนเวที และการแปรแถว 183 การแตง่ กาย 184 สรปุ 202 206 บทที่ 7 การบันทึกผลงานสร้างสรรคน์ าฏศิลป์ 209 การบนั ทึกผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบรายงานการวิจยั รูปแบบการบนั ทึกผลงาน 211 บทสรปุ 213 214 บรรณานุกรม 218 223
(6)
สารบญั ภาพ (7) ภาพที่ หน้า 1.1 นาฏศลิ ปไ์ ทยอนรุ ักษ์ ชดุ ระบาอยุธยา 8 1.2 ระบามาตรฐาน ชดุ ระบากฤษดาภนิ ิหาร 9 1.3 นาฏศิลปไ์ ทยสร้างสรรค์ แบบมาตรฐานในงานประกวดศิลปหตั ถกรรม 13 นักเรยี นภาคอีสาน ชดุ ปูชนาคินี ปราสาทพร 14 1.4 นาฏศลิ ปไ์ ทยสร้างสรรค์ประเภทนาฏศลิ ป์พืน้ เมืองในงานประกวดศิลปหัตถกรรม 38 นกั เรียนภาคอสี าน ชดุ เซ้งิ ลีลาหมากยาง 39 3.1 การใชเ้ สน้ ตรง สอ่ื ความหมายเข้มแขง็ เด็ดเด่ียว 39 3.2 การใชเ้ ส้นตรงมมุ ลกึ ส่ือความหมายหนักแนน่ สูงสงา่ 40 3.3 การใชจ้ ดุ สื่อความหมายโดดเด่ยี ว สงบเงียบ 40 3.4 การออกแบบรปู ทรงสี่เหลย่ี ม ส่อื ความหมายถกู กาหนด ตกี รอบ 42 3.5 การออกแบบรปู ทรงวงกลม ส่ือความหมายสามคั คี มพี ลงั 42 3.6 การออกแบบท่าทางการยนื 43 3.7 การออกแบบทา่ ทางการกม้ ตวั 43 3.8 การออกแบบท่าทางสอ่ื อารมณ์ สื่อความหมายแนว่ แน่ มพี ลัง 45 3.9 การออกแบบท่าทางการยนื แบบอิสระในแตล่ ะอารมณ์ 45 3.10 ท่าราสอดสร้อยมาลา 46 3.11 ทา่ ราผาลาเพียงไหล่ 46 3.12 การจดั ซุ้มในระบามาตรฐาน ชดุ ระบานารายณเ์ จด็ ปาง 47 3.13 การจดั ซุ้มในระบา อยุธยา 3.14 การสรา้ งสรรคน์ าฏศิลป์รูปแบบนาฏศิลป์ไทย (แบบมาตรฐาน) 47 ชดุ นาฏนรีมณเี มขลา 50 3.15 การสร้างสรรคน์ าฏศลิ ปร์ ปู แบบนาฏศิลป์ไทย (แบบมาตรฐาน) 50 51 ชดุ นาฏนรมี ณเี มขลา 51 3.16 ท่าบดิ บัวบาน 3.17 ทา่ กังหนั ร่อน 3.18 ทา่ พสิ มัยเรยี งหมอน 3.19 ท่าสะบดั จบี
(8) หน้า สารบญั ภาพ (ตอ่ ) 52 52 ภาพท่ี 54 54 3.20 ท่าจบี หงาย 55 3.21 ทา่ ต้งั วงหนา้ 55 3.22 ทา่ จีบเข้าอก 56 3.23 ท่าไหว้ 56 3.24 ท่าตากปีก 57 3.25 ท่าสะบัดจีบ 59 3.26 ทา่ สอดสร้อยมาลา 59 3.27 ท่าสลบั จีบ 60 3.28 ทา่ วงแบบ 60 3.29 ท่าไวม้ ือดา้ นข้าง 61 3.30 ท่าพรหมส่ีหนา้ 61 3.31 ท่าไหว้ 62 3.32 ท่าต้งั วงกลาง 63 3.33 ท่าแตะแก้ม 63 3.34 ท่าชี้น้ิว 64 3.35 ทา่ เดินออก 64 3.36 ทา่ เดินแตะเทา้ 65 3.37 ทา่ การเดนิ ซ้อนแถว 3.38 การแสดงนาฏศลิ ป์พื้นเมืองอสี าน ชุดชยนังธัญญงั 66 3.39 การแสดงนาฏศลิ ป์พื้นเมืองอีสาน ชดุ วิจิตราภูษานาคนางหาญ 3.40 ตาแหน่งทา่ ที่ 1 the Frist Position 66 3.41 ตาแหนง่ ท่าท่ี 2 the Second Position 3.42 ตาแหนง่ ทา่ ที่ 3 the third Position 67 3.43 ตาแหน่งท่าท่ี 4 the fourth Position 3.44 ตาแหน่งท่าที่ 5 the fifth Position 67 3.45 ทา่ ยืดตวั ข้นึ เดอมปี วงต์ (ทา่ เขยง่ เท้า) 3.46 ท่ากองเบรในท่าเดกาเซ (แอ่นหลังในท่าแยกขากวา้ ง) 68 68
สารบญั ภาพ (ต่อ) (9) ภาพท่ี หน้า 3.47 ทา่ เดกาเชในเท้าท่าท่ี 4 โดยชีเ้ ท้าหลัง แขนอยู่ในท่าท่ี 5 69 3.48 ท่าอาราเบสก์ ปองเช 69 3.49 ท่าการเคลื่อนไหวโบกแขนแบบบัลเลต่ ์ในการออกแบบจินตลีลาประกอบเพลง 71 3.50 ทา่ การหมุนในการออกแบบจินตลลี าประกอบเพลง 3.51 การแสดงชุดขุนลางทรงเครือ่ ง 71 3.52 การราเดย่ี วชุดมโนห์ราเลน่ นา้ 72 3.53 การราเด่ยี วไหซองภาคอสี าน 73 3.54 การราค่ชู ดุ ศภุ ลักษณ์อุ้มสม 73 3.55 การราคู่ชดุ เซง้ิ พายหญ้าคา 74 3.56 การออกแบบท่ากล่มุ จินตลลี าลมหนาว 74 3.57 การออกแบบท่ากลุ่มจินตลีลาสายฝน 75 3.58 การเลียนแบบทา่ นกในรปู แบบนาฏศิลป์ไทย 75 3.59 การเลียนแบบทา่ เล้ือยของงูในรปู แบบนาฏศลิ ป์ประยกุ ต์ 76 3.60 การเลียนแบบทา่ ว่ายน้าของปลาในรูปแบบนาฏศลิ ป์ประยุกต์ 76 3.61 ท่าเชงิ สัญลักษณแ์ บบรูปธรรม ทา่ สายน้า 77 3.62 ท่าเชิงสญั ลกั ษณเ์ ชิงรูปธรรม ทา่ ดอกบัว 78 3.63 ทา่ เชงิ สญั ลักษณเ์ ชิงนามธรรม ความสบั สน วุ่นวาย หาทางออก 78 3.64 ท่าเชิงสัญลักษณเ์ ชิงนามธรรม ความเศรา้ โศก หมดหวงั 79 3.65 ภาพแสดงการแบง่ พืน้ ทกี่ ารแสดง A 79 3.66 ภาพแสดงการแบ่งพืน้ ท่ีการแสดง B 81 3.67 การแต่งกายนาฏศิลปไ์ ทยสร้างสรรค์ (แบบมาตรฐาน) ชุดนาฏนรมี ณเี มขลา 82 3.68 การแต่งกายนาฏศลิ ปไ์ ทยสร้างสรรค์ (แบบมาตรฐาน) ชดุ เทวาอารักษ์ 92 3.69 การแต่งกายนาฏศิลปไ์ ทยสรา้ งสรรค์ (พน้ื เมือง) ชุดอุสานารี 93 3.70 การแต่งกายนาฏศลิ ป์ไทยสรา้ งสรรค์ (พ้นื เมือง) ชุดเซง้ิ ขอลอ 94 3.71 การแตง่ กายนาฏศลิ ป์ไทยประยุกต์ (พื้นเมอื ง) ชดุ ลลี านาคิน 95 3.72 อปุ กรณ์การแสดงนาฏศิลปป์ ระยกุ ต์ ชุดสายฝน 96 3.73 อปุ กรณ์การแสดงนาฏศิลปป์ ระยกุ ต์ ชุดเจ๋อซ่าน 98 99
(10) หน้า สารบัญภาพ (ต่อ) 100 106 ภาพที่ 107 108 3.74 อปุ กรณ์การแสดงนาฏศิลปป์ ระยกุ ต์ ชดุ สวุ รรณภมู ิ 109 4.1 ทา่ เดินพระ-นาง 110 4.2 ทา่ ประมง 111 4.3 ทา่ ลงเรอื 112 4.4 ท่านง่ั เรือ 113 4.5 ท่าเดินเรือ 114 4.6 ทา่ ทาการคา้ 115 4.7 ท่าเล่นนา้ 116 4.8 ท่าทักทาย 117 4.9 ท่าประสบพายุ 118 4.10 ท่าบังฝน 119 4.11 ทา่ เรือโคลง 120 4.12 ท่าพายโุ หมกระหนา่ 121 4.13 ทา่ เรือล่ม 122 4.14 ท่าจมน้า 123 4.15 ท่าว่ายน้า 124 4.16 ท่านา้ พัดพาไป 125 4.17 ทา่ ดาผดุ ดาวา่ ย 126 4.18 ท่าพบกัน 127 4.19 ท่าร่วมใจ 128 4.20 ท่าช่วยเหลอื กนั 129 4.21 ทา่ ช่วยกันกเู้ รอื 130 4.22 ท่าพบเรือ 131 4.23 ท่าประกอบเรือ 4.24 ท่ามองเห็นฝงั่ 4.25 ท่าเดนิ ขนึ้ ฝ่ัง 4.26 ทา่ ก้าวไกล
สารบัญภาพ (ตอ่ ) (11) ภาพท่ี หน้า 4.27 ท่าย่งิ ใหญ่ 132 4.28 ท่าความสาเรจ็ 133 4.29 เครอ่ื งแตง่ กายนักแสดงหญงิ 138 4.30 เครื่องแตง่ กายนักแสดงชาย 139 5.1 ทา่ ที่ 1 145 5.2 ท่าที่ 2 146 5.3 ท่าท่ี 3 147 5.4 ทา่ ท่ี 4 148 5.5 ท่าที่ 5 149 5.6 ทา่ ท่ี 6 150 5.7 ท่าที่ 7 151 5.8 ท่าท่ี 8 152 5.9 ท่าที่ 9 153 5.10 ทา่ ท่ี 10 154 5.11 ท่าที่ 11 155 5.12 ทา่ ที่ 12 156 5.13 ท่าที่ 13 157 5.14 ท่าท่ี 14 158 5.15 ท่าท่ี 15 159 5.16 ท่าท่ี 16 160 5.17 ทา่ ที่ 17 161 5.18 ทา่ ท่ี 18 162 5.19 ท่าท่ี 19 163 5.20 ทา่ ท่ี 20 164 5.21 ท่าที่ 21 165 5.22 ทา่ ท่ี 22 166 5.23 ท่าท่ี 23 167
(12) หนา้ สารบัญภาพ (ตอ่ ) 168 169 ภาพที่ 172 173 5.24 ทา่ ที่ 24 173 5.25 ท่าที่ 25 174 5.26 เสือ้ แขนกุด 174 5.27 ผา้ ถุง 175 5.28 ตา่ งหูเงิน 175 5.29 ดอกไมต้ ดิ ผม 184 5.30 หมวก 185 5.31 ดอกไม้ติดผม 186 5.32 ดอกไม้ตดิ ผม 187 6.1 ทา่ กอบฟาง 188 6.2 ท่าบังสรุ ิยะ 189 6.3 ทา่ เก้ยี วเกลา้ 190 6.4 ท่าแลหา 191 6.5 ท่าโกยหญา้ 192 6.6 ท่าน้อมถวาย 193 6.7 ท่าลงวงลงเหลย่ี ม 194 6.8 ทา่ เข้มแขง็ 195 6.9 ท่ากระทบสน้ 196 6.10 ท่าแผลงศรแบบมวยโบราณ 197 6.11 ท่างวงชา้ ง 198 6.12 ท่าเสอื ลากหาง 199 6.13 ทา่ แข่แกง่ หาง 200 6.14 ทา่ พญามารยกพล 201 6.15 ทา่ ตอ่ สู้ 6.16 ทา่ ยกลอย 6.17 ท่าคลน่ื มหาสมุทร 6.18 ทา่ พชิ ติ มาร
สารบญั ภาพ (ต่อ) (13) ภาพท่ี หน้า 6.19 เครอื่ งแต่งกายนักแสดงชายฝ่ายพราหมณ์ 206 6.20 เครอื่ งแตง่ กายนักแสดงชา่ ยฝ่ายพญามาร 207 6.21 เคร่ืองแตง่ กายนักแสดงพระแม่ธรณี 208 7.1 ตวั อย่างช่องบันทึกโนต้ แบบระบบลาบาน (Labannotation) 211 7.2 ตวั อย่างการเขียนทา่ ทางก่อนจังหวะระบากฤษดาภินหิ าร 212
(14)
สารบัญตาราง (15) ตารางที่ หน้า 84 3.1 การเคลอ่ื นไหวลกั ษณะเส้นตรงและเส้นโคง้ 140 4.1 โน้ตเพลงสวุ รรณวารี 176 5.1 โน้ตเพลงเซง้ิ สาวกมุ ภวาปโี บกขา้ วหลาม
(16)
บทท่ี 1 ความรู้เบอ้ื งตน้ เก่ียวกบั การสร้างสรรค์ผลงานนาฏศลิ ป์ การสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ จัดเป็นหนึ่งในการพัฒนาความสามารถของมนุษย์ในด๎าน สุนทรยี ศาสตรค์ วามคดิ ริเร่ิมในสิง่ แปลกใหมํจากประสบการณ์ การสั่งสมความรู๎ การแก๎ไขสถานการณ์ การประยุกต์ การสะท๎อนสังคม การประยุกต์ปรับเปลี่ยนให๎ทันกับสังคม วัฒนธรรมในโลกปัจจุบัน กระบวนการสรา๎ งสรรคน์ าฏศลิ ป์เป็นองค์ประกอบสาคัญท่ีชํวยพัฒนาความงอกงามทางวัฒนธรรมอัน หลากหลายให๎เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู๎สร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์จึงเป็นกลไกสาคัญใน การผลิตผลงานด๎านศิลปวัฒนธรรมของชาติ ท้ังน้ีผู๎สร๎างสรรค์จึงมีความจาเป็นในการเข๎าใจ กระบวนการออกแบบผลงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในการประมวลองค์ความร๎ูด๎านนาฏศิลป์สาหรับผู๎เรียนใน บทนผ้ี เู๎ ขยี นจะกลําวถงึ ความรูเ๎ บื้องต๎นเก่ียวกับการสรา๎ งสรรคผ์ ลงานนาฏศิลป์ ได๎แกํความหมายของ การสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ ประเภทและลักษณะของนาฏศิลป์ รูปแบบการนาเสนอผลงาน นาฏศิลป์ และคุณลักษณะผูส๎ รา๎ งสรรคผ์ ลงานนาฏศลิ ป์ ความหมายของการสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ นาฏศิลป์ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได๎ให๎ความหมายวํา ศิลปะแหํง การละคร หรอื การฟอู นรา การสร๎างสรรค์ ตามการให๎คาจัดความของราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได๎ให๎ความหมายไว๎วํา สร๎างให๎มีให๎เป็นข้ึน (มักใช๎เป็นนามธรรม) มีลักษณะริเร่ิมในทางที่ดี เชํนความคิดสร๎างสรรค์ ศิลปะ สร๎างสรรค์ นอกจากนี้การสร๎างสรรค์ผลงานทางนาฏศิลป์ ยังรวมถึงการประยุกต์ ซ่ึงคานิยาม กลาํ ววาํ เป็นการนาความร๎ูในวทิ ยาการตํางๆ มาปรับให๎เปน็ ประโยชน์ การสร๎างสรรค์ และการประยุกต์ ในทางนาฏศิลป์แล๎วไมํสามารถแยกออกจากกันได๎อยําง เดด็ ขาด จงึ เป็นการสร๎างข้นึ ใหมจํ ากความรู๎พืน้ ฐานด้งั เดิม นาความคิดใหมํมาปรับเปลี่ยน แตํงเติมใน รปู แบบใหมํ เป็นการสรา๎ งองค์ความร๎ใู หมํที่แตกตํางไปจากเดมิ นอกจากน้ีความหมายของการสร๎างสรรค์ผลงานด๎านนาฏศิลป์ มีผู๎เช่ียวชาญด๎านนาฏศิลป์ หลายทาํ น ได๎ให๎คาจากดั ความไว๎อยํางนําสนใจ ดงั นี้ ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ราชบัณฑิต ได๎ให๎ความหมายของ Choreography หรือ นาฏยประดษิ ฐ์ ทหี่ มายความรวมถึงการสร๎างสรรค์นาฏศิลป์ ไว๎วาํ
2 “นาฏยประดิษฐ์ หมายถึง การคิด การออกแบบและการสร๎างสรรค์ แนวคิด รูปแบบและ กลวิธีแนวนาฏยศิลป์ชุดหน่ึง ที่แสดงโดยผ๎ูแสดงคนเดียวหรือหลายคน ท้ังน้ีรวมถึงการปรับปรุง ผลงานในอดีต นาฏยประดิษฐ์จึงเป็นการทางานท่ีครอบคลุม ปรัชญา เนื้อหา ความหมาย ทํารา ทําเตน๎ การแปรแถว การตั้งซ๎มุ การแสดงเดีย่ ว การแสดงหมํู การกาหนดดนตรี เพลงเครื่องแตํงกาย ฉากและสํวนประกอบอ่ืนๆที่สาคัญในการทาให๎นาฏยศิลป์ชุดหน่ึงสมบูรณ์ตามท่ีตั้งใจไว๎ ผ๎ูออกแบบ นาฏยศลิ ป์ เรยี กกันโดยท่ัวไปวํา ผ๎ูอานวยการฝึกซ๎อม หรือ ผู๎ประดิษฐ์ทํารา แตํในท่ีน้ีขอเสนอคาใหมํ วาํ นักนาฏยประดิษฐ์ ซง่ึ ตรงกบั ภาษาองั กฤษวํา Choreography” มาลินี อาชายุทการ (2547: 3) ได๎กลําวถึง ความหมายของคาวํา Choreography มีรากศัพท์มาจาก ภาษากรีก ดังนี้ Chores – Dance , Graphy – Write และกลําวถึงนาฏศิลป์สร๎างสรรค์วํานาฏศิลป์สร๎างสรรค์ หมายถึง การแสดงการฟูอนราให๎แปลกใหมํ ไมํเหมือนใคร การทาการฟูอนราให๎วิจิตรพิสดารในแนวทางหรือ หลักการท่เี ปน็ ขอ๎ มลู ใหมํ แปลกใหมํ ไมซํ ้าแบบใคร (มาลินี อาชายุทธการ, 2556: 25) พีรพงศ์ เสนไสย (2546: 2) ได๎กลําวถึงความหมายของคาวํา Choreography หมายถึง การจัดการ ทางสรีระรํางกายให๎เกิดเป็นระบาโดยกระบวนการเรียงร๎อยทําทางอยํางเป็นระบบโดยมีเจตนารมย์และ วัตถปุ ระสงค์ชัดเจน ผู๎เขียนจึงสรุปความหมายของการสร๎างสรรค์ผลงานทางด๎านนาฏศิลป์ได๎วํา การสร๎างสรรค์ ผลงานนาฏศิลป์หรือเรียกวํานาฏยประดิษฐ์ เกิดจากผ๎ูสร๎างสรรค์ผลงานทางนาฏศิลป์กาหนดแนวคิด รูปแบบจากการสั่งสมประสบการณ์ข้ึนในชุดการแสดงท่ีใหมํอยํางเป็นระบบ ผํานนักแสดงท่ีถํายทอด เรือ่ งราว อาจเปน็ ผลงานเด่ียว หรือกลํุมก็ได๎โดยอาศัยองค์ประกอบในงานศิลปะในการสร๎างสรรค์งาน ให๎ตรงเจตนาของผส๎ู รา๎ งสรรค์ การสร๎างสรรค์ผลงานทางนาฏศิลป์ เป็นพลวัตทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีสามารถขับเคลื่อน ไดต๎ ลอดเวลาไมจํ ากัดเฉพาะกลมุํ ใดกลุมํ หน่งึ ของสงั คม สามารถกํอให๎เกดิ ปรากฏการณ์ที่มีความสาคัญ ตํอเอกลักษณ์ของชาติ เป็นส่ิงสนับสนุนอันกํอเกิดให๎เห็นถึงความงดงามในอัตลักษณ์ของชนชาติอยําง เหมาะสม ทั้งยังเป็นเครอื่ งบํงบอกถึงสายสัมพนั ธท์ างวฒั นธรรมที่เช่ือมโยงระหวํางประเทศอยํางทั่วถึง และในขณะเดียวกันยังเป็นสิ่งชํวยผลักดันให๎เอกลักษณ์นั้นคงอยํู การสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ มีความจาเป็นอยํางยิ่งที่ต๎องทราบถึง ประเภทและลักษณะของนาฏศิลป์ อันเป็นพื้นฐานหน่ึงของ ความรูท๎ จ่ี ะนาไปสร๎างสรรคไ์ ด๎ ซงึ่ ผ๎ูเขยี นจะขอกลาํ วในลาดับตํอไป
3 ประเภทและลกั ษณะของนาฏศิลป์ ประเภทของนาฏศิลป์ หมายถึง การกาหนด ช้ีเฉพาะ ลักษณะเฉพาะของนาฏศิลป์น้ันๆ ทั้ง ในด๎านทําทาง เครื่องดนตรี เพลง การแตํงกาย ให๎เกิดความเข๎าใจตรงกัน และเป็นที่ยอมรับในสังคม ในชํวงเวลาหน่ึงจนเกิดเป็นศิลปะประจาชาติหรือท๎องถิ่น การเข๎าใจในเร่ืองการสร๎างสรรค์ผลงาน นาฏศิลป์ในเบ้ืองต๎นนั้น ส่ิงที่ผู๎สร๎างสรรค์ผลงานจาเป็นต๎องทราบเป็นอันดับแรกคือ ประเภทและ ลักษณะของนาฏศิลป์ในโลก ท่ีสามารถแบํงออกได๎เป็นหลายสกุล หลายเผําพันธ์ุ ผ๎ูเขียนสรุปได๎วํา สามารถแบํงประเภทและลักษณะตามหลักเกณฑ์การกาหนดลักษณะเฉพาะของนาฏศิลป์ใน แตํละสกลุ ไดแ๎ กํ 1. กาหนดจากลักษณะนาฏศิลป์ตามเชอื้ ชาติ 2. กาหนดจากแบบมาตรฐาน (Classical) และ แบบพน้ื เมอื ง (Folk) 3. กาหนดตามยุคสมัย 4. กาหนดจากการสร๎างสรรคข์ ึ้นใหมไํ มํซ้าแบบเดมิ 1. กาหนดจากลักษณะนาฏศลิ ป์ตามเชือ้ ชาติ ลักษณะเฉพาะทางนาฏศิลป์หรือเรียกวํา นาฏยลักษณ์ สามารถกาหนดได๎ตามเช้ือชาติ เผําพันธุ์ของมนุษยท์ ีก่ าเนิดเกิดขนึ้ ต้ังแตโํ บราณกาล ดังมีปรากฏถึงกลํุมวัฒนธรรมนาฏศิลป์ในหนังสือ นาฏยศิลป์ปริทรรศน์ มีความโดยสรุปวํานาฏศิลป์สืบทอดจากชุมชนถือกาเนิด สืบทอด และ พัฒนาข้ึน การพิจารณาถึงลักษณะเดํนของนาฏยศิลป์เป็นเร่ืองยากเพราะมีความซ้าซ๎อนและปนเป กันอยํู นาฏศิลป์ในโลกอาจแบํงเป็นกลํุมตามความคล๎ายคลึงกันได๎ถึง 8 กลุํม คือ จีน อินเดีย อาหรับ อาฟริกา โพลินเี ซยี ยโุ รป อเมริกา และมาเลย์ จากผู๎เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลป์สากล พอจะสรุปถึงการแบํงประเภทของ นาฏศิลปส์ กลุ ตาํ งๆ ที่เกิดข้ึนใหเ๎ หน็ ถึงลกั ษณะเฉพาะเจาะจงในแตลํ ะประเภทพอสงั เขปได๎ดังนี้ ประเภทการเต๎นราตะวันออก (Eastern Dance) และตะวันตก (Western Dance) มีลักษณะที่แตกตํางกันเน่ืองมาจากความเช่ือทางศาสนา ซ่ึงเป็นแรงกระตุ๎นและแหลํงกาเนิดใน การสรา๎ งสรรคท์ ํารา ดงั จะเหน็ ได๎ในบางประเทศท่ีการเต๎นราเกิดขึ้นมาจากกการบูชาเทพเจ๎ากํอนแล๎ว ตํอมาจงึ คํอยๆกลายมาเป็นการเต๎นราเพ่ือการแสดง ได๎แกํ อียิปต์และกรีกโบราณ เป็นต๎น ในปัจจุบัน รูปแบบของการเต๎นราของตะวันตกได๎เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแทบจะไมํหลงเหลือความสัมพันธ์ของ มนุษยก์ บั เทพเจ๎าหรือภูติผปี ีศาจอกี ตํอไป(สุพรรณี บญุ เพง็ , ม.ป.ป.: 3) ประเภทนาฏศิลป์ตะวันตก ได๎แกํ Classic Ballet, Romantic Ballet, Modren Ballet (บัลเลํต์คลาสสิค โรแมนติค โมเดิร์นบัลเลํต์) Ballroom Dance (ลีลาศ) หรือการเต๎นเพ่ือสังคม Jazz Dance (แจส๏ ดา๏ นซ)์ Tap Dance (แท๏ป ด๏านซ์) ระบากระทบปลายเท๎าและส๎นเท๎า โดยความแข็งแรง
4 ของขา และเทา๎ Rap Dance (แรพ๏ ดา๏ นซ)์ Latin Dance (ละติน ด๏านซ์) การเต๎นแบบชนชาติลาตินที่ เน๎นการสน่ั เขยาํ ทกุ สวํ นรํางกายตามจงั หวะของเครอ่ื งประกอบจังหวะ เป็นต๎น ประเภทระบาและละครอินเดีย เชํน ภารตะนาฏยัม กถักกะลิ กถัก มณีปุระ ลักษณะเดํน ของศิลปะการแสดงของอินเดีย นาฏลีลาอาศัยการเคลื่อนไหวของสํวนตํางๆของรํางกายคํอนข๎างมาก เครื่องดนตรีที่เดํนท่ีสุดและขาดไมํได๎คือ กลอง ซึ่งมีมากมายหลายประเภท นาฏศิลป์และการแสดง ละครของอินเดียโดยแกํนแท๎แล๎ว คือการแสดงออกของความศรัทธาทางศาสนาและเป็น การตีความตามความหมายและความเช่อื ของชาวฮนิ ดู (มาลนิ ี ดิลกวณิช, 2543: 107) ประเภทระบาและละครญป่ี ุน เชนํ โนงาคุ: โนและเคียงเงน็ บุนราคุ คาบูกิ ลักษณะเดํนของ ศิลปะการแสดงของญี่ปุน มีความละเอียด ประณีต พิถีพิถันในการสร๎างสรรค์ ใสํใจรายละเอียดของ เทคนิคการแสดงตํางๆ นิยมใช๎เคร่ืองดนตรีน๎อยชิ้นประกอบการแสดงและใช๎อยํางแผํวเบา สุภาพ ระมัดระวัง เนื้อเร่ืองสะท๎อนความจริงจังตํอชีวิต คํานิยมและทัศนคติคนญ่ีปุนจะให๎ความเคารพและ เทิดทนู ศลิ ปินช้ันครอู ยํางสมเกียรติ ประเภทของระบาและละครจีน เชํน อุปรากรจีน (ง้ิว) นามาการแสดงทุกแขนงมาบูรณาการ ไวใ๎ นงิ้ว ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงประจาชาติประกอบด๎วย ดนตรี การขับร๎อง ระบา การแสดงออกด๎วย ทํวงทํา การแสดงอารมณ์และสื่อความหมาย ตลอดจนการแสดงกายกรรมโลดโผน เน๎นท่ี การแตํงหน๎าและแตํงกายสีสันฉูดฉาด สดใส สะดุดตา เปน็ ที่ต่ืนตาต่ืนใจและให๎เข๎ากับความอึกทึกของ ดนตรี (มาลนิ ี ดลิ กวณิช, 2543: 154) ประเภทนาฏศิลป์และการละครไทย เชํน ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครพันทาง ละครดึกดาบรรพ์ ละครร๎อง ละครพูด ละครพูดสลับลา ละครเสภา นาฏศิลป์พ้ืนเมืองภาคกลาง นาฏศิลป์พ้ืนเมืองภาคอีสาน นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ เชํน หมอลากลอน หมอลาเรื่องตํอกลอน หมอลาเรื่อง หมอลาเพลิน หมอลากกขาขาว เป็นต๎น (พีรพงศ์ เสนไสย, 2546: 91) นาฏศิลป์หลวง ยังคงเป็นศูนย์กลางท่ีมีบทบาทสาคัญในการวางรากฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับวําเป็นแบบแผนมาตรฐาน ทัว่ ประเทศ สํวนนาฏศิลป์พื้นบ๎านไมํมีแบบแผนทําราหรือภาษาทําที่ตายตัว ผ๎ูแสดงอาจคิดทําราขึ้น ใหมไํ ด๎หากได๎รบั แรงบันดาลใจบางประการ (มาลินี ดลิ กวณชิ , 2543: 255) จะเห็นได๎วําแตํละประเทศมีนาฏศิลป์และการละครที่เป็นเอกลักษณ์ประจาชาติ ท่ีมีลักษณะ แตกตํางทงั้ ทางกายภาพตามสภาพภมู ปิ ระเทศ ทอ๎ งถน่ิ นอกจากน้ียังพบวํา การเกิดนาฏศิลป์ในแตํละ ประเทศน้ันยังมีปัจจัยการกาเนิดจากสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ความเป็นอยํู การย๎ายถิ่นฐาน อันกํอใหเ๎ กิดการผสมผสานกันทางวฒั นธรรมอยํางไมํส้ินสุด ดังนั้น ประเภทของนาฏศิลป์ตามเชื้อชาติ ที่กลําวถึงอาจเป็นเพียงการบันทึกจากผ๎ูรู๎ ผ๎ูเชี่ยวชาญ นักเดินทาง ศิลปิน ท่ีเคยได๎สัมผัส ศิลปะการแสดงของชาตินั้นๆ อาจยังมีนาฏศิลป์ในเผําพันธุ์ตํางๆอีกมากมายท่ียังรอการค๎นพบและ
5 บนั ทกึ นาฏศิลปท์ ีบ่ ํงบอกถึงความเป็นตัวตน เป็นสญั ลกั ษณท์ างวัฒนธรรม ทส่ี ามารถระบุได๎ถึงการเป็น ชนชาติทเี่ จริญดว๎ ยอตั ลักษณแ์ หํงตน 2. กาหนดจากแบบมาตราาน Classical) และ แบบพื้นเมอื ง Folk) คาวํา มาตรฐาน (Classical) และพ้ืนเมือง (Folk) มักพบในการกาหนดนาฏศิลป์ใน ประเทศท่ีมีอารยธรรมอันยาวนาน มีนาฏศิลป์ของหลวง (แบบราชสานัก) และมีการละเลํนตาม ท๎องถน่ิ ควบคกํู ัน หรือเรียกวํา แบบพื้นเมือง เชํน การแสดงบัลเลํต์ ของตะวันตก เป็นการแสดงแบบ หลวง ที่ยอมรับวําเป็นมาตรฐาน และมีการแสดงระบาพ้ืนเมือง เชํน ระบาชนเผํา หรือเรียกวํา พืน้ เมอื ง สํวนในนาฏศิลป์และการละครไทยน้ัน มีการแบํงลักษณะของการแสดงออกเป็น 2 ประเภท นาฏศิลป์แบบหลวงและนาฏศลิ ปแ์ บบท๎องถ่ิน โดยนาฎศิลปแ์ บบหลวง คอื นาฏศลิ ป์ท่สี ืบทอดมาจาก ราชสานัก เชํน โขน ละคร การละเลํนของหลวง นอกจากน้ันกรมศิลปากรยังได๎นาเอาการแสดงและ นาฏศิลป์ท๎องถ่ินมาปรับปรุงขึ้นใหมํและเรียกวําการแสดงและนาฏศิลป์พ้ืนเมือง นอกจากนี้ยังพบวํา กรมศิลปากรได๎มีการผลิตนาฏศิลป์พ้ืนเมืองในรูปแบบของกรมศิลปากร กลําวคือ นาศิลปะการแสดง พื้นบ๎านท่ีมีในท๎องถิ่นในแตํละภาค มาปรับปรุงให๎มีมาตรฐานข้ึนเพ่ือใช๎ในการบรรจุไว๎เป็นเอกลักษณ์ ของชาติ โดยมกี ารบรรจเุ ป็นแบบเรียนเพื่อใหเ๎ ยาวชนไดร๎ ูจ๎ กั และสืบทอด เชํน การราเอาราโทน ที่เป็น การละเลํนของภาคกลาง มาประยกุ ตป์ รับปรุงใหมํและเปลย่ี นชื่อเป็น ราวงมาตรฐาน นาฏศิลปแ์ ละการละครไทย แบํงประเภทแบบมาตรฐาน และแบบพ้นื เมืองไว๎ดงั น้ี แบบมาตรฐาน ประเภทการละครไทย แบํงเป็น โขน ละครรา และระบา (เต็มสิริ บุญยสิงห์, เจือ สตะเวทิน, 2519: 128) นอกจากนี้ยังหมายความรวมถึงมหรสพ ที่เรียกคา รวมวาํ ระบา รา เตน๎ โดยมีลักษณะของการแสดง คือ 1. โขน หมายถึง การแสดงสวมหน๎ากาก ท่ีเรียกวํา หัวโขน มีการเต๎นประกอบจังหวะและ คาพากย์ เจรจา ตลอดจนการราหน๎าพาทย์และราประกอบบทรอ๎ งบา๎ ง (ธนิต อยูโํ พธ์ิ, 2508: 38) 2. ละครรา หมายถึง การใชศ๎ ิลปะการรํายราในการดาเนินเร่ืองเป็นหลกั ได๎แกํ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครดึกดาบรรพ์ ละครพันทาง ละครเสภา (สํวนละครร๎อง และละครพูด ดาเนินเรื่องด๎วยการร๎องและการพูด ตามลาดับ จัดวําเป็นแบบมาตรฐานเชํนเดียวกัน แตํไมํใชํ ละครรา) 3. ระบา หมายถึง ศิลปะแหํงการราที่ผู๎แสดงราพร๎อมกันเป็นหมํู เชํน ระบาชุดเทพบุตร นางฟาู ระบาเบกิ โรงชดุ เมขลา รามสรู หรือถ๎าจะเทียบกับระบาที่รู๎จักกันในภายหลังตํอมา เชํน ระบา ดาวดึงส์ หรือถ๎าเป็นชุดระบามีศิลปะแบบไทยก็เรียกกันวํา ฟูอน เชํน ฟูอนเมือง ฟูอนเง้ียว ฟูอนมํานม๎ุยเชียงตา ฟูอนลาวแพน จึงเลยเรียกเป็นคารวมวํา ฟูอนรา หรือ ระบาราฟูอน (ทั้งนี้ฟูอน ดงั กลาํ ว กรมศิลปากรได๎นามาปรับปรงุ ให๎เป็นแบบมาตรฐานในภายหลงั ) (ทะเบยี นขอ๎ มูล: วิพิธทัศนา ชุดระบา รา ฟูอน, 2549: 36)
6 แบบพื้นเมอื ง นาฏศิลปพ์ นื้ เมอื ง หมายถงึ การราํ ยราท่เี กดิ จากวัฒนธรรม ประเพณีตามแบบของท๎องถิ่น ของตน ตามคนพื้นเมืองหรือชนเผํา นาฏศิลป์พ้ืนเมืองถูกจัดเป็นประเภทหน่ึงของนาฏศิลป์ไทยโดย ประกอบไปด๎วย การแสดงพ้นื เมืองและเพลงพ้นื เมอื ง (พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน, 2538) คาจากัดความของนาฏศิลป์พ้ืนเมืองน้ัน แตํเดิมเรามักใช๎คาวํา “พ้ืนบ๎าน” กับ “พ้ืนเมือง” สับสนปนเปกันโดยไมํมีการแบํงแยก ซ่ึงความแตกตํางของพื้นบ๎านและพื้นเมืองนั้น ผู๎เชี่ยวชาญด๎าน การศกึ ษาศลิ ปะพน้ื บ๎านและศลิ ปะพ้ืนเมือง ไดส๎ รปุ ไว๎ดงั น้ี (ปรานี วงษ์เทศ, 2525: 319) นอกจากนน้ี าฏศลิ ปพ์ น้ื เมอื งยงั มีคาจากดั ความทีช่ ีเ้ ฉพาะถึงลักษณะการแสดง ดงั เชนํ ฟูอน คือ ศิลปะของการราท่ีประกอบด๎วยผู๎แสดงตั้งแตํ 1 คน ขึ้นไป ซึ่งจัดอยูํในการแสดง ประเภท ระบา หรือรา แตํคาวาํ ฟูอน ใช๎กับการแสดงทางภาคเหนือเป็นหลัก เป็นการแสดงที่มีความ สวยของลีลาทําราอันอํอนช๎อยงดงาม เพลงร๎อง และทานองดนตรีมีความไพเราะ ฟูอนเป็นการแสดง พืน้ เมอื งทมี่ ลี กั ษณะการแตงํ กาย เพลงรอ๎ ง เพลงดนตรีตามภาษาท๎องถิ่นหรือตามเช้ือชาติ ซ่ึงมีปรากฏ อยํทู างภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เซง้ิ คือศิลปะของการแสดงพนื้ บา๎ นทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื การจาแนกประเภทของนาฏศิลป์พื้นเมืองน้ัน สามารถแบํงได๎ตามลักษณะที่แตกตํางกันไป ตามสภาพภูมิประเทศ สังคม วัฒนธรรมแตํละท๎องถิ่น ดังน้ัน การแบํงประเภทของการแสดงพื้นเมือง ของไทย โดยทัว่ ไปจะแบํงตามสวํ นภมู ภิ าค ดังนี้ 1. การแสดงพนื้ เมืองและนาฏศลิ ป์ภาคเหนอื 2. การแสดงพ้ืนเมอื งและนาฏศลิ ป์ภาคกลาง 3. การแสดงพน้ื เมืองและนาฏศิลป์ภาคอสี าน 4. การแสดงพนื้ เมอื งและนาฏศลิ ปภ์ าคใต๎ นาฏศลิ ป์พน้ื เมือง เปรยี บเสมือนสญั ลักษณแ์ หงํ วัฒนธรรมชนเผําของไทยในแตํละภูมิภาคท่ี แฝงไว๎ดว๎ ยคุณคาํ ในปรัชญา สังคม วิถถี ิ่นของชุมชนที่สั่งสมเป็นวฒั นธรรมอยํางยาวนาน ประกอบด๎วย ความงามของการฟูอนราทม่ี ีความเปน็ เอกลกั ษณ์และแตกตาํ งกนั ทั้ง 4 ภาคของประเทศไทย 3. กาหนดตามยคุ สมัย การกาหนดนาฏศิลป์และการละคร สามารถแบํงได๎ตามชํวงสมัยของประวัติศาสตร์ ของไทย โดยแบํงละครเป็นแบบละครราแบบด้ังเดิม (มาตรฐาน) และละครราท่ีปรับปรุงขึ้นใหมํ ตามลักษณะการแสดงพบวํา กาหนดในราวปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยํูหัว (นิยะดา สารกิ ภูติ, 2515: 94) ดงั นี้ 1. ละครราแบบดั้งเดิม (มาตรฐาน) หมายถึง ละครที่ใช๎ศิลปะการรํายราเป็นหลักใน การดาเนนิ เรื่อง ได๎แกํ ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครดึกดาบรรพ์ และละครพนั ทาง
7 2. ละครราที่ปรับปรงุ ขนึ้ ใหมํ หมายถงึ ละครท่ีนาเอาละครแบบด้ังเดิมมาปรับปรุงขึ้นใหมํ โดยใช๎ศลิ ปะการร๎องและการพดู ไดแ๎ กํ ละครรอ๎ ง และละครพูด นอกจากการแสดงละครของไทยแล๎ว ยังพบวําการกาหนดนาฏศิลป์แบบดั้งเดิมและ ปรับปรงุ ขน้ึ ใหมํ ยงั มีความหมายรวมถงึ นาฏศิลปพ์ ้ืนเมืองดว๎ ย 1. แบบด้ังเดิม เป็นการแสดงพ้ืนเมืองที่เกิดข้ึนในชนบทของทุกภาคของประเทศไทย สะท๎อนให๎เห็นวัฒนธรรมและสภาพของสังคม รวมทั้งการดารงชีวิตความเป็นอยํูในแตํละท๎องถิ่นที่มี ความแตกตํางกนั ตามลักษณะภมู อิ ากาศ ออกมาเป็นการแสดงในรูปแบบของการละเลํนกันในกลุํมชน เพ่ือพิธีการ เพ่ือความสนุกสนานหรือเพ่ือเทศกาลท่ีสาคัญๆ เชํน กลองสะบัดชัย ฟูอนเล็บ ฟูอนเทียน ฟูอนเงี้ยว ฟูอนเจิง ฟูอนดาบ ราโนรา ราสิละ แสกเต๎นสาก ฟูอนภูไท เซ้ิงกระติ๊บข๎าว ราโทน ราแมํศรี เรอื มจับกรบั เซ้ิงกะโป๋ เซ้งิ บง้ั ไฟ เซิง้ ตังหวาย 2. แบบท่ีกรมศิลปากรประดิษฐ์ขึ้นใหมํ เป็นการแสดงพ้ืนเมืองท่ีกรมศิลปากรนามา ปรับปรุงและประดิษฐ์ข้ึนใหมํ เพ่ือให๎เกิดความเหมาะสมท้ังในด๎านความสวยงาม และระยะเวลาใน การแสดงให๎มีความกระชับและรวดเร็ว ซ่ึงเป็นชุดการแสดงที่ได๎รับความนิยมแพรํหลายมาจนถึง ปัจจุบัน เชํน ฟูอนแพน ฟูอนสาวไหมฟูอนดวงเดือน ฟูอนจันทราพาฝัน ระบาตารีกีปัส ระบารํอนแรํ ราซดั ชาตรี ระบาศลิ ปากร ระบาเก็บใบชา ระบาชาวนา พัฒนาการการเกิดนาฏศิลป์พื้นเมืองของไทย จึงกลําวได๎วํา เกิดจากการละเลํนพ้ืนบ๎าน ของไทยเขา๎ ไปสกูํ ารพฒั นานาฏศิลปใ์ นราชสานักโดยมีการปรับปรุงการแสดงพน้ื บ๎านให๎มีระเบียบแบบ แผนท่ีชัดเจนเพ่ือเหตุผลการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติและเผยแพรํกลับเข๎าไปสํูท๎องถ่ินตํ างๆ เพื่อให๎เกิดความก๎าวหนา๎ เฟอื่ งฟู เป็นเอกลักษณข์ องชาตใิ นยคุ ตอํ ๆ ไป ในปัจจุบันยังพบคาวํา นาฏศิลป์ไทยอนุรักษ์ นาฏศิลป์ไทยมาตรฐานหรือระบามาตรฐาน ท่ีบํงบอกถึงประเภทนาฏศิลป์ไทยอีกลักษณะหนึ่งในลักษณะการแบํงตามยุคสมัย รวมถึงเพ่ือความ ชดั เจนในการประกวด ดังนี้ 1. นาฏศิลปไ์ ทยอนุรกั ษ์ การอนุรักษ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให๎ความหมายวํา หมายถึง การรกั ษาไวใ๎ หค๎ งเดิม นาฏศิลป์ไทย หมายถึง ศิลปะแหํงการฟูอนราที่แสดงถึงเอกลักษณ์ประจาชาติไทยท่ีมี ระเบียบแบบแผน มที ํวงทาํ ทีค่ ดิ ขึ้นอยํางเปน็ ระบบ ถูกยกยอํ งเปน็ ศิลปะของชาตไิ ทย คาวํา นาฏศิลป์ไทยอนุรักษ์ เกิดข้ึนจากการแขํงขันนาฏศิลป์ไทยในงานศิลปหัตถกรรรม นักเรยี นมีการแขํงขนั ครง้ั แรกในปีการศึกษา 2552 โดยสานักคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานเป็น ผ๎ูกาหนดเกณฑ์การแขํงขัน และได๎แบํงกิจกรรมการแขํงขันนาฏศิลป์ไทยออกเป็น 3 กิจกรรม คือ ราวงมาตรฐาน นาฏศลิ ป์ไทยอนุรักษ์ ระบามาตรฐานและนาฏศลิ ปไ์ ทยประยุกต์
8 นาฏศลิ ป์ไทยอนุรักษ์ ในเกณฑ์การแขํงขันนาฏศิลป์ไทยในงานศิลปหัตถกรรรมนักเรียนได๎ ระบุความหมายไว๎วํา นาฏศิลป์ไทยอนุรักษ์ หมายถึง การแสดงนาฏศิลป์ไทยประเภทราหรือระบา เบ็ดเตล็ดที่ปรมาจารย์นาฏศิลป์ไทยได๎คิดประดิษฐ์ทํารา ดนตรี และทานองเพลงไว๎ และได๎รับ การยอมรับ ตัวอยํางเชํน ระบาโบราณคดี ราสีนวล ราอวยพร รามโนห์ราบูชายัญ ระบานพรัตน์ ระบานางกอย ระบาวิชนี ระบาไกํ ระบาม๎า ระบานกยูง ระบากวาง ระบาจันทกินรี ระบาฉ่ิง และ ระบากรับ เปน็ ตน๎ การกาหนดลักษณะของนาฏศิลป์ไทยอนุรักษ์นั้น เห็นได๎วํานําจะเป็นการกาหนดประเภท ระบาเบ็ดเตล็ดให๎มีความตํางชัดเจนในลักษณะเป็นนาฏศิลป์ท่ีมีที่มาจากแบบราชสานักหรือเรียกวํา เป็นแบบมาตรฐาน (ในวังหลวง) ซ่ึงตํอมาได๎กลายเป็นนาฏศิลป์ของชาติภายใต๎การดูแลของ กรมศิลปากร ในแบบเดียวกัน ดังน้ัน เมื่อมีการประกวดระบามาตรฐาน จึงมีคาวํา นาฏศิลป์ไทย อนุรักษเ์ กดิ ขึน้ ภายหลงั ภาพที่ 1.1 นาฏศิลป์ไทยอนรุ ักษ์ ชุดระบาอยุธยา ท่ีมา : ป่นิ เกศ วชั รปาณ, 2559
9 2. ระบามาตรฐาน สานกั คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน ได๎กาหนดคานยิ ามของ ระบามาตรฐาน ไวว๎ ํา ระบามาตรฐาน หมายถึง การแสดงระบาท่ีเป็นมาตรฐานของการแตํงกาย ซ่ึงผ๎ูแสดง จะต๎องแตํงกายยืนเครื่องพระ-นาง ทํารา และเพลง ตัวอยํางเชํน ระบากฤษดาภินิหาร ราแมํบท ระบาสบี ท ระบาดาวดงึ ส์ ระบาเทพบันเทิง ระบาพรหมาสตร์ เป็นต๎น ภาพท่ี 1.2 ระบามาตรฐาน ชดุ ระบากฤษดาภินิหาร ที่มา : ป่ินเกศ วชั รปาณ, 2559 จากภาพจะเห็นได๎วํา สานักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแยกประเภทของนาฏศิลป์ ในประเภทระบามาตรฐาน และนาฏศิลป์ไทยอนุรักษ์โดยระบุจากเครื่องแตํงกายพระ-นาง จัดให๎เป็น ระบามาตรฐาน และเครื่องแตงํ กายที่ไมไํ ด๎แตงํ เครือ่ งพระ-นาง เรยี กวํา นาฏศลิ ป์ไทยอนุรักษ์ ซึ่งยังคง ความหมายวํา เป็นแบบแผนมาตรฐาน ท่ีกรมศิลปากรเป็นผคู๎ ิดประดษิ ฐ์ขึน้ เทาํ นน้ั 4. กาหนดจากการสร้างสรรคข์ ึ้นใหม่ไมซ่ ้าแบบเดิม การสร๎างสรรค์นาฏศิลป์ขึ้นใหมํไมํซ้าแบบเดิม มีลักษณะนาฏศิลป์ที่เกิดจากการปรุงแตํง ประยุกต์ ปรับปรุง สร๎างสรรค์ท้ังท่ีเกิดขึ้นใหมํ และเกิดจากการรวมนาฏศิลป์หลายๆประเภทเข๎า ด๎วยกัน โดยกาหนดจากการเกิดกํอนหลัง และมีลักษณะท่ีแตกตํางจากของเดิม มักใช๎กับนาฏศิลป์ ประเภทระบาเบ็ดเตล็ด หรือการแสดงชุดส้ันๆ ซึ่งผู๎เขียนขอกลําวถึง นาฏศิลป์ตะวันตก ท่ีเข๎ามามี อิทธิพลตํอการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร๎างสรรค์นาฏศิลป์ในประเทศไทย คือ โมเดอร์นบัลเลํต์ โมเดอนแดนซ์ คอนเทมโพรารี่แดนซ์ การเต๎นแจ๏ส การเต๎นแท็ปแดนซ์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ (สุพรรณี บุญเพ็ง, ม.ป.ป.: 6-7)
10 โมเดอร์นบัลเลํต์ (Modern Ballet) เป็นรูปแบบการแสดงการเต๎นราประเภทหนึ่งที่เกิดข้ึน ในภายหลงั แตํยงั คงมหี ลักของความเปน็ บัลเลตํ ด์ ้ังเดิมอยํู แตํได๎ถูกสร๎างสรรค์ข้ึนในชํวงศตวรรษที่ 20 โมเดอร์นบัลเลต์เป็นการแสดงบัลเลํต์ท่ีไมํมีเรื่องราว (non-literal) และคํอนข๎างเป็นนามธรรม (abstract) โมเดอร์นแดนซ์ (Modern Dance) หรือการเต๎นสมัยใหมํ เป็นรูปแบบหนึ่งของ การเคลื่อนไหวที่ใช๎ในการแสดง การเต๎นโมเดอร์นแดนซ์เป็นรูปแบบการเต๎นที่มีลักษณะที่ ตรงกันข๎ามกับการเต๎นบัลเลํต์ แจ๏ส หรือแท๏ป เป็นการเต๎นที่ใช๎เทคนิคแบบใหมํซึ่งหลีกหนี กฏเกณฑ์อันมากมายและจาเจของการเต๎นมากขึ้นทั้งในด๎านทําทางการแสดงออก การนาเสนอ และเครื่องแตํงกายที่ใช๎ในการแสดงเป็นต๎น คอนเทมโพราร่ีแดนซ์ (Comtemporary Dance) เป็นรูปแบบการเต๎นที่เกิดขึ้นในชํวงศตวรรษที่ 20 เปน็ การรวมระบบและรปู แบบตํางๆของการเตน๎ ที่พัฒนามาจากการเตน๎ แบบโมเดอร์นแดนซ์ และโพสโม เดอร์นแดนซ์ มากกวําท่ีจะเป็นการหมายถึงเทคนิคการเต๎นแบบใหมํหรือ New Dance ในประเทศอังกฤษ การเต๎นคอนเทมโพราร่ีแดนซใ์ นประเทศทางแถบอเมริกา ยุโรปและในทวปี เอเซียจะมลี ักษณะที่แตกตาํ งกัน การเต๎นแจ๏ส (Jazz Dance) เป็นรูปแบบการเต๎นที่พัฒนามาจากดนตรีแจ๏ส การเต๎นแจ๏ส เป็นรูปแบบการเต๎นท่ีมีความหลากหลายและเต็มไปด๎วยพลัง (Energy) แบํงเป็น 3 ลักษณะได๎แกํ Lyric Style, Comic Style, หรือ Comical และ Geometric การเต๎นแจ๏สเป็นรูปแบบการเต๎นชนิด หนง่ึ ของชาวแอฟริกันในประเทศอเมรกิ าท่ีเกิดในชํวงต๎น ค.ศ. 20 เป็นการเต๎นราเพื่อความสนุกสนาน และเพ่ือการเข๎าสังคม เป็นการเต๎นเข๎ากับจังหวะของชาวแอฟริกันที่ซึ่งเป็นการเคล่ือนไหวโดย การแยกสวํ นตาํ งๆของรํางกาย (Isolation) แลว๎ ประดิษฐ์ทาํ เต๎น ในลักษณะตํางๆ การเต๎นแจ๏สมักเป็น การเต๎นกับเพลงที่มีจังหวะเร็ว เชํนในจังหวะสวิง (Swing) หรือชาร์ลสตัน (Charleston) เป็นต๎น เน่ืองจากเป็นการเต๎นทง่ี าํ ยมจี ังหวะเรว็ และสนุกสนานจงึ ทาใหเ๎ ปน็ ท่นี ิยมอยํางรวดเร็ว การเต๎นแท็ปแดนซ์ (Tap Dance) เป็นรูปแบบการเต๎นชนิดหนึ่งซ่ึงเกิดข้ึนระหวํางปี ค.ศ. ท่ี 19 ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นการผสมผสานและพัฒนามาจากการเต๎น Irish Jigs และการเต๎น English (Lancashire) Clogs แตํได๎รับอิทธิพลอยํางมากจากจังหวะการเต๎นของชนเผําแอฟริกัน (African Tribal Dance) การเต๎นแท๏ปแดนซ์ เป็นการเต๎นโดยใช๎รองเท๎าท่ีมีโลหะเล็กๆ ติดอยํูที่พื้น ของรองเท๎าเพ่ือให๎เกิดเสียงดังเม่ือปลายเท๎าหรือส๎นเท๎าเคาะโดนพื้นท่ีมีลักษณะแข็ง การเต๎นผู๎เต๎น จะตอ๎ งเคลือ่ นไหวเท๎าโดยการเคาะเท๎าในลักษณะตํางๆเพื่อให๎เกิดเสียงและเป็นการสร๎างจังหวะตํางๆ กนั ไป
11 มาลินี อาชายุทธการ (2547: 67) ไดก๎ ลาํ วถงึ รปู แบบการนาเสนอ สามารถแจกแจงเป็นกลุํม ใหญๆํ ได๎ดังนี้ 1. นาฏยศิลป์ที่เป็นแบบแผน อาจมีการปรับแตํงบางทําให๎แตกตํางออกไปบ๎าง แตํก็ยังคง ลักษณะนาฏยศิลป์แบบแผนอยาํ งชัดเจน 2. นาฏยศิลป์แบบพ้ืนเมือง รูปแบบน้ีจะมีการนาเอาศิลปะท๎องถิ่นในลักษณะตํางๆ มาใช๎ มีขอ๎ จากัดนอ๎ ยลง ให๎ความรู๎สกึ ถงึ กลน่ิ ไอของทอ๎ งถิน่ นนั้ ๆ 3. นาฏยศิลป์รํวมสมัย เป็นการใช๎ศิลปะการเคลื่อนไหวท่ีไมํมีขีดจากัด มีอิสระ แตํมี ความหมายในตวั เอง 4. นาฏยศิลป์ประยุกต์ เป็นการนาเอานาฏยศิลป์บางประเภทมาปรุงแตํง ดัดแปลง เพิ่มเติม ให๎เกิดสีสัน ความแปลกใหมํ เชํนผู๎แสดงมีการเปลํงเสียงบางชํวง, มีการนาเทคโนโลยีมาผสม, มีการสรา๎ งทาใหป๎ ระหลาดผดิ รปู ทรง อยํางชดั เจน การผสมผสานนาฏศิลปต์ ํางสกุลกัน พบวํา เป็นลักษณะการสร๎างสรรค์รูปแบบหนึ่งท่ีพบและ เรียกวําไมํซ้าแบบเดิม เชํนนาฏศิลป์ไทยผสมผสานกับนาฏศิลป์ตะวันตก (บัลเลํต์) เชํน บัลเลํต์ มโนห์ราหรือราวงมาตรฐาน ที่มีการใช๎มือแบบราไทยผสมผสานกับการย่าเท๎าแบบตะวันตก ทั้งนี้ใช๎ องค์ประกอบของการแสดงเรื่อง ทาํ ทาง เพลง ดนตรี ทม่ี ลี กั ษณะผสมผสานกนั รวมอยดํู ๎วย จะเห็นได๎วําประเภทของนาฏศิลป์ในแตํละลักษณะประกอบไปด๎วย การแสดงละครที่เป็น เรื่องเป็นราว นาฏศิลป์ท่ีสอดแทรกอยูํในละคร ราและระบาเบ็ดเตล็ด ทั้งนาฏศิลป์ท่ีเกิดข้ึนใน ราชสานักที่เป็นแบบมาตรฐาน นาฏศิลป์พ้ืนบ๎านในท๎องถ่ินตํางๆของไทย และนาฏศิลป์สร๎างสรรค์ รวมถึงการแสดงนาฏศิลป์และการละครของประเทศตํางๆ ที่เป็นรากฐานของการกาเนิดนาฏศิลป์ท่ี สาคัญของโลก เป็นข๎อมูลพื้นฐานสาหรับการสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ชุดใหมํซ่ึงจาเป็นต๎องอาศัย การศึกษาหาข๎อมูลเบื้องต๎นเพื่อนาไปประยุกต์ สร๎างสรรค์ผลงานชิ้นใหมํอยํางถูกต๎อง ในลาดับตํอไป ผเ๎ู ขียนจะได๎อธิบายถึง รูปแบบการนาเสนอผลงานนาฏศิลป์ ที่นาไปใช๎ในการทาผลงานนาฏศิลป์ตาม วัตถปุ ระสงคข์ องรายวิชาที่เรยี น รปู แบบการนาเสนอผลงานนาฏศลิ ป์ การสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ในรายวิชาผลงานสร๎างสรรค์นาฏศิลป์สาหรับครู กาหนดให๎ ผู๎เรียนสามารถสร๎างสรรค์นาฏศิลป์ในลักษณะของการราหรือเต๎นเป็นชุดส้ันๆอยํางระบาเบ็ดเตล็ด หรือเรียกวํา นาฏศิลป์สร๎างสรรค์ ท่ีต๎องอาศัยความรู๎ ประสบการณ์เดิม และนามาสร๎างสรรค์ขึ้นใหมํ ภายใต๎ความคิดอยํางมีระบบในการสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ จึงเป็นการคิดชุดการแสดงขึ้นมาใหมํ ให๎แตกตํางจากชุดที่มีอยํูเดิม ไมํวําจะเป็นการสร๎างสรรค์จากรูปแบบใดเป็นพ้ืนฐาน เชํน การนาเอา
12 เพลงไทยสากลมาประกอบกับจินตลีลาที่มีลักษณะมีพื้นฐานทําราไทยแตํรูปแบบการใช๎เท๎า การใช๎ จงั หวะในการเคลื่อนไหวเปน็ แบบการประยกุ ต์ทาํ บัลเลํต์ รูปแบบนาเสนอผลงานนาฏศิลป์ดังกลําวนี้ เป็นการสร๎างสรรค์ท่ีเกิดข้ึนในชํวง 50 ปี และ แพรํหลายในราวปีพ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน ท่ีสถาบันการศึกษาหลายแหํงเร่ิมมีภาควิชานาฏยศิลป์ มกี ารวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการดา๎ นนาฏศลิ ป์ด๎วยการประดิษฐ์นาฏศลิ ป์สร๎างสรรค์ขึน้ ใหมํ นอกจากนี้ยังพบวํา มีการประกวดนาฏศิลป์สร๎างสรรค์ประเภทนาฏศิลป์ไทย (แบบดั้งเดิม) จากงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนของสานักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานท่ีกาหนดการแขํงขัน ประเภทน้ียิ่งสํงผลให๎การประดิษฐ์นาฏศิลป์ใหมํๆ เพ่ิมจานวนข้ึนอยํางรวดเร็ว นับเป็นปรากฎการณ์ ทางวัฒนธรรมของชาติที่เกิดขึ้นจากภูมิปัญญานักนาฏยประดิษฐ์ทุกระดับการศึกษา เน๎นย้าให๎เห็นวํา นาฏศิลป์ไทยยงั คงสบื ทอด มีการปรบั ตัวให๎สอดคลอ๎ งกับสงั คมทุกยุคทุกสมัย ผ๎ูเขียนจึงแบํงรูปแบบของการสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ที่มักพบในการทาผลงานในวงการ การศึกษาและนามาเป็นรูปแบบการสร๎างสรรค์งานเพ่ือใช๎ในการวัดผลความร๎ูด๎านนาฏศิลป์ของ นกั ศกึ ษาสาขาวิชานาฏศลิ ป์ในหลายสถาบนั เพื่อการเปน็ ประโยชน์ในการทาผลงานไวด๎ งั น้ี 1. นาฏศลิ ปไ์ ทยสรา๎ งสรรค์ 2. นาฏศลิ ป์รํวมสมัย หรือนาฏศิลป์ประยุกต์ 1. นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ นาฏศลิ ปไ์ ทยสร๎างสรรค์ ต้งั แตปํ กี ารศึกษา 2553 ของงานศิลปหัตกรรมนักเรียนกิจกรรม นาฏศิลป์ไทยประยุกต์ได๎ถูกยกออกจากกิจกรรมการแขํงขันนาฏศิลป์ไทย โดยได๎บรรจุกิจกรรม นาฏศิลป์สร๎างสรรค์เข๎ามาแทนที่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน (ปีการศึกษา 2554) (อรรจมาภรณ์ ชัยวิสุทธ์ิ, 2556: 2) ซ่งึ ในการให๎คาจากัดความของการแขํงขนั ประเภทนาฏศิลป์ไทยสร๎างสรรค์ในการประกวดนี้ พบวํา มกี ารใหค๎ าจากัดความแตกตํางกัน ต้ังแตํปีพ.ศ. 2552 – 2558 กาหนดเกณฑ์การแขํงขันไว๎วํา นาฏศิลป์ไทยสร๎างสรรค์ คือ การแสดงท่ีนอกเหนือจากนาฏศิลป์ไทยอนุรักษ์ เป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยท่ีคิดประดิษฐ์ สร๎างข้ึน ใหมํทงั้ เพลง ดนตรี เน้ือหา การแตํงกาย และลีลาทํารา สอดคล๎องตามกรอบแนวคิดที่กาหนด และ ไมํเก่ียวข๎องกับการแสดงนาฏศิลป์พ้ืนเมือง และนาฏศิลป์สากล (ศิลปหัตถกรรมนักเรียน คร้ังที่ 64, 2558: 8) ในปี พ.ศ. 2559 กาหนดเกณฑ์การแขํงขันไว๎วํา นาฏศิลป์ไทยสร๎างสรรค์ หมายถึง การแสดงนาฏศิลป์ไทยที่สร๎างสรรค์ขึ้นใหมํท้ังทํารา เพลง ดนตรี เนื้อหา การแตํงกาย และลีลาทํารา สอดคล๎องตามกรอบแนวคิดท่ีกาหนดขึ้น ท้ังนี้จะแสดงออกมาในรูปแบบของระบาเบ็ดเตล็ด หรือ การแสดงพืน้ เมอื งกไ็ ด๎ (ศลิ ปหตั ถกรรมนกั เรียน คร้งั ท่ี 65, 2559: 8)
13 ภาพที่ 1.3 นาฏศิลปไ์ ทยสรา๎ งสรรค์ แบบมาตรฐาน ในงานประกวดศิลปหัตถกรรมนักเรยี นภาคอีสาน ชุดปชู นาคินี ปราสาทพร ทมี่ า : ปน่ิ เกศ วัชรปาณ, 2559 ในปี พ.ศ. 2560 กาหนดเกณฑก์ ารแขํงขันไว๎วํา นาฏศิลป์ไทยสร๎างสรรค์ หมายถึง การแสดง นาฏศลิ ปไ์ ทยทีส่ รา๎ งสรรค์ขน้ึ ใหมํทงั้ ทํารา เพลง ดนตรี เนอ้ื หา การแตํงกาย และลีลาทํารา สอดคล๎อง ตามกรอบแนวคิดที่กาหนดขึ้น โดยผํานทักษะกระบวนการกลํุมอยํางเป็นระบบแล๎ว นาเสนอใน รูปแบบของโครงงานและการแสดง 1 ชุด ซ่ึงจะออกมาในรูปแบบของประเภทระบาเบ็ดเตล็ดหรือ การแสดงพนื้ เมืองในเชิงสร๎างสรรค์ นาฎศิลป์ไทยสร๎างสรรค์ประเภทนาฏศิลป์พื้นเมือง เป็นการแสดงท่ีเกิดข้ึนจากการนาเอา นาฏศิลป์พื้นบ๎านท้ัง 4 ภาคของไทย และรวมถึงศิลปะการแสดงพื้นบ๎านตามท๎องถิ่นตํางๆ ที่มี เอกลักษณ์เป็นของตัวเองอยํางเห็นได๎ชัด นามาสร๎างสรรค์ให๎เห็นถึงวิถีชีวิตท๎องถ่ิน หรือเรียก การสร๎างสรรค์นี้ได๎อีกอยํางหน่ึงวํา นาฏศิลป์พื้นเมืองสร๎างสรรค์ ซ่ึงมีท้ังจากการประดิษฐ์โดย กรมศิลปากร นานาฏศิลป์พื้นบ๎าน 4 ภาคที่กรมศิลปากรได๎ศึกษาทําราและนาทํารามาปรับปรุง เผยแพรํโดยท่ัวไป จัดวําเป็นนาฏศิลป์มาตรฐาน(แบบแผนตามแบบฉบับกรมศิลปากร) สํวนทํารา แมบํ ทอีสาน โนราห์ภาคใต๎ หรือ ฟอู นเล็บตามคุ๎มเจ๎า เหลํานี้ขอยกเป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองด้ังเดิมจากน้ี เมื่อมีผ๎ูผลิตนาฏศิลป์พ้ืนบ๎านโดยใช๎ทําด้ังเดิมอยํูมากบ๎าง น๎อยบ๎าง และนาเน้ือเร่ือง บทร๎อง เนื้อหา ใหมํมาสร๎างสรรค์ทําราโดยใช๎วงดนตรีและเพลงพื้นเมืองตามท๎องถ่ินนั้นๆ ให๎จัดวําเป็นนาฏศิลป์ไทย ประเภทพ้นื เมืองสร๎างสรรค์
14 ภาพท่ี 1.4 นาฏศิลป์ไทยสรา๎ งสรรค์ประเภทนาฏศิลป์พ้นื เมือง ในงานประกวดศิลปหตั ถกรรมนกั เรียนภาคอีสาน ชดุ เซ้ิงลลี าหมากยาง ทม่ี า : ปน่ิ เกศ วชั รปาณ, 2559 ดังนั้น นาฏศิลป์ไทยสร๎างสรรค์ จึงมีลักษณะในเกณฑ์การประกวดฯ วํา มีรูปแบบท่ี สร๎างสรรค์ทํารา เพลง ดนตรี เคร่ืองแตํงกาย ในลีลาทําราไทย ทั้งแบบ นาฏศิลป์ไทยมาตรฐาน หรือ แบบนาฏศิลป์ไทยประเภทพ้ืนเมือง ในลักษณะการแสดงชุดส้ันๆหรือเรียกวํา ระบาเบ็ดเตล็ด ทีม่ เี นือ้ หาใหมํ ภายใต๎กรอบแนวคิดใหมโํ ดยมีผํานกระบวนการกลุํม ที่มเี นอ้ื หาเชิงสร๎างสรรค์ 2. นาฏศิลป์ร่วมสมัย หรอื นาฏศลิ ป์ประยกุ ต์ นาฏศิลป์ไทยรํวมสมัย หมายถึง การบูรณาการนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์จากหลาย หลายวัฒนธรรมแล๎วสร๎างสรรค์ข้ึนในปัจจุบันซ่ึง นราพงษ์ จรัสศรี ได๎กลําวถึง นาฏศิลป์ไทยรํวมสมัย วํา เป็นการเต๎นราหรือฟูอนราท่ีสร๎างสรรค์ข้ึนในปัจจุบัน โดยบูรณาการนาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์ จากหลากหลายวัฒนธรรม ที่ตํางยุคตํางสมัยกันมารํวมแสดงในคราวเดียวกัน (มาลินี อาชายุทธการ, 2556: 12) นาฏศิลป์รํวมสมัย เป็นปรากฎการณ์ของนาฏศิลป์ท่ีเกิดข้ึนในชํวง 60 ปีท่ีเกิดขึ้นใน ประเทศไทย จากการหลั่งไหลทางวัฒนธรรมการแสดงของตํางชาติที่เข๎ามาตามเส๎นทางการค๎า คมนาคม การอพยพยา๎ ยถน่ิ ฐานของคน การแลกเปลีย่ นทางศาสนาและวัฒนธรรม กระแสโลกาภิวัฒน์ มีผลให๎เกิดการเปล่ียนแปลงของการละครและนาฏศิลป์ไทย เป็นการปรับตัว ประยุกต์ให๎เกิดสิ่งใหมํ ท้ังเปน็ นาฏศิลป์ที่เกิดจากการประยุกต์นาฏศิลป์ไทยมาตรฐานภายใต๎จารีตด้ังเดิม และประยุกต์จาก นาฏศิลป์ไทยสํูนาฏศิลป์รูปแบบใหมํท่ีมีความหลากหลาย รวมเรียกการสร๎างสรรค์งานนาฏศิลป์ท่ี เกดิ ข้ึนใหมนํ ี้วาํ นาฏศิลป์รวํ มสมยั
15 นาฏศิลป์รํวมสมยั ที่เป็นนาฏศิลปช์ นิดใหมทํ ่ีเกิดขน้ึ โดยการหลั่งไหลเข๎ามาของนาฏศิลป์สากล ในประเทศไทย มผี ลให๎เกดิ นาฏศิลป์ประยุกต์หรอื เรยี กกนั วํา นาฏศิลปร์ ํวมสมัย นาฏศิลป์ทางสากล เป็นรูปแบบผสมผสานระหวํางนาฏศิลป์ของไทย และนาฏศิลป์ของ ตํางประเทศ ท่ีนามาเผยแพรํในประเทศไทย นาฏศิลป์ตํางประเทศสํวนหน่ึงเติบโตขึ้นในแนวทางแหํง สกลุ ศลิ ปะของตน แตํอกี สวํ นหน่ึงเกดิ การผสมผสานกับนาฏศิลป์ในประเทศไทย จนเกิดเป็นนาฏศิลป์ แบบใหมํขึ้น และได๎รับความนิยมจึงพัฒนาตํอมาให๎การผสมผสานเข๎ารูปเข๎ารอยมากขึ้นสาหรับ บทบาททางศิลปวฒั นธรรมกเ็ ปน็ การผสมผสานนาฏศลิ ป์ตํางๆหลากชนิดกวาํ นาฏศิลป์ทางสากล บัลเลํต์ เป็นนาฏศิลป์ตะวันตกที่เข๎ามามีสํวนสาคัญในวงการนาฏศิลป์ของประเทศไทยมาก ขึ้นเป็นลาดับ บัลเลํต์ในประเทศไทยนําจะมีมานานแตํไมํมีหลักฐานชัดเจน จนกระทั่งปีพ.ศ. 2480 โรงเรียนศิลปากรหรือวิทยาลัยนาฏศิลปในขณะน้ันเร่ิมเปิดสอนบัลเลํต์ข้ึนโดย คุณครูสวัสดิ์ ธนบาล ครั้นถึงปี พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นชํวงระหวํางสงครามโลกคร้ังท่ี 2 มีการทิ้งระเบิดกรุงเทพมหานครอยําง หนักจนตอ๎ งหยุดกิจการชวั่ คราว ในขณะเดียวกันก็มีนาฏศิลป์สากลหรือบัลเลํต์ท่ีไมํยืนปลายเท๎าแสดง สลับฉากละครของคณะตํางๆ เชนํ คณะศิวารมณ์ ในเร่ือง พันท๎ายนรสิงห์ ประดิษฐ์ทําเต๎นโดย สวัสดิ์ ธนบาล, คณะผกาวลี ในเร่ือง มนต์นาคราช พ.ศ. 2491 ประดิษฐ์ทําเต๎นโดย ประสิทธิ์ จันทรนิตรา และเรื่องเงือกน๎อย พ.ศ. 2492 ในปีพ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยํูหัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานเพลงชุด มโนห์ราและโปรดเกล๎าฯ ให๎คุณหญิงเดมอน ประดิษฐ์บัลเลํต์มโนห์ราข้ึนเป็นบัลเลํต์ผสมราไทย จึงเรยี กวํา บลั เลํต์ไทย บัลเลํต์ไทยเรื่องมโนห์ราจึงเป็นต๎นแบบให๎เกิดบัลเลํต์ไทย เป็นบัลเลํต์สกุลใหมํ ขึ้นในวงการบัลเลํต์ของโลก ซึ่งนับวําบัลเลํต์สกุลใหมํนี้เป็นต๎นแบบของนาฏศิลป์รํวมสมัยในประเทศ ไทยยุคตอํ มา นาฏศิลป์รํวมสมัย เป็นการฟูอนราท้ังที่เป็นเรื่องราวและไมํเป็นเรื่องราวอยํางละคร รูปแบบ ของทําทางและการเคลอ่ื นไหวที่นามาใชใ๎ นการฟูอนรามคี วามหลากหลายและไมํมีแบบแผนหรือจารีต ใดๆ กากับไว๎ นาฏศิลป์รํวมสมัยมีช่ือเรียกตํางๆกัน เชํน Modern Dance Comtemporary Dance และ Buto ซึ่งเป็นแนวหรอื รูปแบบการฟูอนราท่ีนามาจากญี่ปุน ในประเทศไทยไมํได๎ยึดถือรูปแบบใด รูปแบบหน่ึงโดยเฉพาะ อีกท้ังมีการนานาฏศิลป์ไทยและนาฏศิลป์พ้ืนบ๎านของไทยมาประยุกต์เข๎าใน การฟูอนราประเภทนี้อยูํด๎วย นอกจากน้ียังมีการนานาฏศิลป์ตะวันตกสกุลอื่นๆ เชํน อินโดนีเซียบ๎าง จีนบ๎างมาผสมผสานเข๎าด๎วยกัน จึงทาให๎นาฏศิลป์รํวมสมัยมีความแปลกแตกตํางกันไปในแตํละชุด อยํางมาก นาฏศิลป์รํวมสมัย มีพัฒนาการกํอนบัลเลํต์ เพราะระบาฝรั่งเข๎ามาสํูประเทศต้ังแตํสมัย รัชกาลที่ 5 และอยํูคํูกับสังคมกรุงเทพมหานครมาจนถึงรัชกาลท่ี 9 กระแสของการประสมไทยกับ สากลในระบาฝรั่ง ก็พัฒนามาเป็นลาดับในช่ือตํางๆ เชํน จินตลีลา นาฏศิลป์สร๎างสรรค์ นาฏศิลป์
16 รํวมสมัยไมํใชํการผสมผสานระหวํางนาฏศิลป์ที่มีแบบแผยตายตัว 2 ประเภทคือ บัลเลํต์กับราไทย อยํางบัลเลํต์แบบไทย แตํเป็นการผสมผสานขององค์ประกอบท่ีหลากหลาย จึงทาให๎ไมํสามารถจะ พัฒนารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งได๎ คร้ันเวลาลํวงเลยไปหลายทศวรรษการแสดงนาฏศิลป์รํวมสมัยก็ย่ิง เพิ่มความนิยมข้ึน มีนักประดิษฐ์ทํารารํุนใหมํๆที่ผํานการศึกษา และประสบการณ์จากตํางประเทศ กลับมาพัฒนานาฏศิลป์รํวมสมัยผนวกกับกระแสการอนุรักษ์วัฒนธรรม จึงมีกระแสหรือแนวพัฒนาที่ ชัดเจนขึ้น เกิดนาฏศิลป์รํวมสมัยรูปแบบใหมํท่ีมีองค์ประกอบนาฏศิลป์ไทยเป็นพ้ืนฐาน บุคคลสาคัญ ในวงการนาฏศิลป์รํวมสมัยในประเทศไทยท่ีมีบทบาทตํอการพัฒนาวงการนาฏศิลป์รํวมสมัยคือ นราพงษ์ จรัสศรี ผ๎ูบุกเบิกนาฏศิลป์สมัยใหมํ (Modern Dance) ของประเทศไทยตั้งแตํปี 1978 เป็นต๎นมา ได๎สร๎างผลงานการแสดงมากมายท้ังในฐานะนักแสดง ผ๎ูออกแบบนาฏศิลป์และผ๎ูสืบทอด งานนาฏศลิ ป์อยํางตอํ เน่ืองจวบจนปัจจุบัน นาฏศิลป์รํวมสมัย หรือเรียกอีกอยํางหน่ึงได๎วํา นาฏศิลป์ ประยุกต์ นิยมแสดงกันในหมูํนิสิตนักศึกษา หรือนักเรียน ในโอกาสพิเศษตํางๆ เชํน งานประจาปี สถาบนั ของตน ตํอมาได๎กระแสการแสดงนาฏศิลป์รํวมสมัยมากขึ้น กระแสมาจากหลักสูตรการศึกษา ทางนาฏศิลป์ไทยและสากล กาหนดให๎นักเรียน นิสิต นักศึกษาต๎องจัดการแสดง นาฏศิลป์สร๎างสรรค์ เพ่ือเป็นสํวนหนึ่งของการจบการศึกษาในหลักสูตรนั้นๆ นักเรียน นิสิต นักศึกษาเหลําน้ี นิยมเลือก แนวนาฏศิลป์รํวมสมัยหรือนาฏศิลป์ประยุกเกิดข้ึนเป็นจานวนมากเพราะจานวนสถาบันการศึกษา นาฏศลิ ป์และผเู๎ รยี นเพมิ่ จานวนมากขนึ้ เปน็ ลาดบั (สุรพล วิรฬุ รักษ์, 2549: 258) คณุ ลักษณะผ้สู ร้างสรรค์ผลงานนาฏศลิ ป์ ผส๎ู รา๎ งสรรค์ผลงานหรือเรียกอีกอยํางหนึ่งวํา นักนาฏยประดิษฐ์ คือ ผู๎สร๎างสรรค์ผลงานด๎าน นาฏศิลป์ ให๎เกิดสิ่งใหมํโดยใช๎องค์ประกอบในงานนาฏศิลป์แตํละประเภทเป็นพ้ืนฐาน การเป็น นักนาฏยประดิษฐ์น้ันทุกคนสามารถเป็นได๎ ไมํจากัดเพศ วัย การศึกษา เพียงแตํต๎องมีคุณสมบัติของ นักออกแบบดังน้ี คณุ สมบตั ิของนักออกแบบทําเตน๎ (มาลินี อาชายุทธการ, 2547: 3) 1. ชํางสังเกตและจดจา 2. ใฝหุ าความรแู๎ ละสรา๎ งสมประสบการณ์ 3. กลา๎ คิด กลา๎ สรา๎ งผลงาน 4. มีจุดยืนทแ่ี นํนอนในการสร๎างผลงาน 5. มีใจกว๎างกลา๎ รับฟังคาวจิ ารณ์
17 ผู๎ออกแบบทําเต๎น (Choreographer) สุพรรณี บุญเพ็ง (ม.ป.ป.: 10) หมายถึง บุคคลที่เป็น ผู๎คิดค๎นทําทางการเคลื่อนไหวและนาทําทางการเคล่ือนไหวตํางๆเหลําน้ันมาจัดเรียบเรียงและ ประกอบเป็นการแสดงการเต๎นราชุดหน่ึงหรือเร่ืองหนึ่ง ผู๎ออกแบบทําเต๎นจะเปรียบเสมือนผู๎กากับ การแสดงน้ันๆ เอง โดยมีหน๎าที่ และอานาจในการตัดสินใจ และมีความรับผิดชอบในการแสดงน้ัน อยาํ งเตม็ ท่ี พรี พงศ์ เสนไสย ไดห๎ ยบิ ยกข๎อคดิ ของแมคคนิ นอล ชาวอเมรกิ า กลําวถึงคุณลักษณะของคนท่ี มีความคดิ สรา๎ งสรรค์สงู ในสาขาตาํ งๆ มบี ุคลกิ ดังน้ี (พีรพงศ์ เสนไสย, 2546: 18-19) 1. ชอบแสดงความเดนํ 2. ชอบคลุกคลใี นวงสงั คม 3. ถือตนเปน็ ศูนยก์ ลาง 4. เช่ือมั่น 5. ชอบอสิ ระ 6. ไมกํ งั วลใจ 7. ชอบรบั ในสิง่ แปลกๆ 8. มีความคิดในลกั ษณะท่ีมคี วามยืดหยํนุ 9. มคี วามซับซ๎อนในการรบั รู๎ 10. มีความกล๎าหาญ 11. ไมชํ อบระเบียบ 12. ชอบอยคํู นเดียวมากกวําการรวมกลํุม คุณสมบัติดังกลําวของนักสร๎างสรรค์ เป็นจุดเร่ิมต๎นของการหาส่ิงแปลกใหมํ ยอมรับใน หลักการเหตุผลและมีการพัฒนาตนเสมอ งานสร๎างสรรค์นาฏศิลป์เป็นงานที่ต๎องอาศัยพ้ืนฐานความรู๎ ด๎านการปฏิบัตนิ าฏศิลปจ์ นเกดิ ความชานาญ สง่ั สมประสบการณ์ มคี วามเข๎าใจในลกั ษณะและรูปแบบ ของงาน จึงเกิดกระบวนการพัฒนา สร๎างสรรค์ งานด๎านนาฏศิลป์ ความเข๎าใจพื้นฐานเก่ียวกับ การออกแบบทําทาง ผู๎สร๎างงานจาเป็นต๎องมีความร๎ูเกี่ยวกับองค์ประกอบของการสร๎างงานและ การนาเสนอ เพื่อให๎เกิดความเข๎าใจพื้นฐานอยํางชัดเจนอันสํงผลให๎ผลงานออกมาสมบูรณ์เป็นไป ตามความมุํงหมาย ไมํคลาดเคลื่อนไปจากจุดมุํงหมายที่วางไว๎ ซึ่งสามารถวัดผลได๎จากผ๎ูชมนั่นเอง ความเข๎าใจพื้นฐานเก่ียวกับการออกแบบทําทางนั้น ผู๎สร๎างงานจะต๎องรู๎และเข๎าใจเก่ียวกับสรีระ รํางกายของมนุษย์และการแสดงอารมณ์ความร๎ูสึกตํางๆ เพ่ือเป็นจุดเร่ิมในการคิดงานแบบงํายๆอัน เกดิ จากจนิ ตนาการในการฟังเพลง แล๎วถํายทอดออกเป็นการแสดง (มาลนิ ี อาชายุทธการ, 2547: 6)
18 สรุป การสร๎างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์หรือเรียกวํานาฏยประดิษฐ์ เกิดจากผ๎ูสร๎างสรรค์ผลงานทาง นาฏศิลป์กาหนดแนวคิด รูปแบบจากการส่ังสมประสบการณ์ขึ้นในชุดการแสดงที่ใหมํอยํางเป็นระบบ ผํานนักแสดงที่ถํายทอดเรื่องราว อาจเป็นผลงานเดี่ยว หรือกลํุมก็ได๎ การสร๎างผลงานทางนาฏศิลป์มี ความจาเป็นต๎องมีความร๎ูพ้ืนฐานเก่ียวกับประเภทของนาฏศิลป์ในโลกเพื่อการนามาใช๎เป็นรูปแบบ การคิดสร๎างสรรค์ผลงานช้ินใหมํ การกาหนดประเภทนาฏศิลป์น้ันสามารถสรุปหลักการได๎หลาย ลักษณะ ทั้งแบํงตามเชื้อชาติ เผําพันธุ์ แบบมาตรฐาน หรือแบบดั้งเดิม แบบพ้ืนเมืองหรือท๎องถ่ิน แบํงตามยุคสมัยการเกิดกํอนและหลัง และการเกิดขึ้นใหมํโดยไมํซ้าของเดิม ในวงการนาฏศิลป์ไทย ชํวง 50 ปีที่ผํานมา พบวํา มีการกาหนดประเภทนาฏศิลป์เพ่ิมเติมเพื่อให๎เห็นถึงนาฏศิลป์ตามจารีต ดั้งเดิม และนาฏศิลป์ท่ีประดิษฐ์ขึ้นใหมํ ท้ังนี้การเกิดข้ึนของนาฏศิลป์ในยุคใหมํน้ีมีปัจจัยจากหลาย สาเหตุ เกิดจากการหลั่งไหลของอารยธรรมตํางชาติไมํวําจะเป็น ชาติตะวันตก ตะวันออก เกิดจาก สถาบันการศึกษาที่ผลิตสาขาวิชานาฏศิลป์ในระดับอุดมศึกษา เกิดจากการประกวดนาฏศิลป์ สร๎างสรรค์ในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เหลําน้ีทาให๎นาฏศิลป์สร๎างสรรค์ขึ้นใหมํมี จานวนมาก ที่สาคัญคือ รูปแบบของนาฏศิลป์สร๎างสรรค์มิได๎ถูกจากัดอยํูในวงการของศิลปินที่เป็น ผู๎ผลิตผลงานเพียงเทํานั้น นาฏศิลป์สร๎างสรรค์ในปัจจุบันถูกขยายตํอสํูวงการการศึกษาของไทยทุก ระดับชั้น ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มีความสาคัญตํอประเทศชาติ การศึกษาเรื่องกระบวนการสร๎างสรรค์ ในเรื่อง องค์ประกอบของความคิดสร๎างสรรค์ เป็นสิ่งที่มีความจาเป็นในเบื้องต๎นตํอการสร๎างงานของ นักศกึ ษาสาขาวชิ านาฏศิลปท์ ี่จาเปน็ ตอ๎ งเรียนรู๎เพ่ือใชใ๎ นสาขาวชิ าชพี ตํอไป
บทที่ 2 องค์ประกอบการสร้างสรรค์เบ้อื งต้น การสร้างสรรค์นาฏศิลป์มีองค์ประกอบในการสร้างสรรค์งานท่ีผู้สร้างสรรค์จาเป็นในการคิด ออกแบบ ในขั้นตอนของการออกแบบสร้างสรรค์นี้ นักนาฏยประดิษฐ์อาจมีเนื้อเร่ืองโดยคร่าวที่ อยากจะลงมือทา แต่ยังไม่รู้จะเร่ิมจากจุดไหน หรืออาจมองยังไม่ทะลุถึงปลายทาง อาจเป็นเพราะ ยังไม่เกิดการตีความในชิ้นงานท่ีจะสร้างสรรค์ข้ึน การเกิดแนวความคิดใหม่ยังรวมถึงองค์ประกอบ หลายส่วนท่ีต้องการรายละเอียดอย่างชัดเจน เพื่อให้งานสร้างสรรค์น้ันเป็นไปตามจินตนาการของ นักนาฏยประดษิ ฐ์ ซ่งึ ส่วนประกอบท่ที าให้เกดิ กระบวนการการสร้างสรรค์จาแนกได้ดังนี้ 1. ขั้นตอนการเกิดความคดิ สร้างสรรค์ 2. กระบวนการสร้างสรรคน์ าฏศิลป์ 3. ทฤษฏีทัศนศิลป์ 4. ทฤษฎีแหง่ การเคล่อื นไหว ขน้ั ตอนการเกิดความคิดสรา้ งสรรค์ การเกิดความคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการในการคิดหนึ่งในการเกิดการสร้างงานใน หลากหลายอาชีพ ส่วนมากแล้วมักพบในงานประเภทออกแบบต่างๆ งานสร้างสรรค์ด้านศิลปะ งานประพันธ์เพลง ดนตรี การออกแบบฉาก เวที แสง การออกแบบเคร่ืองแต่งกาย รวมถึงงาน ออกแบบท่ารา ท่าเต้น และการประเภทอ่ืนๆอีกมากมาย จึงอาจกล่าวได้ว่า การเร่ิมต้นออกแบบใน เบื้องต้นนั้น ควรมีหลักการในการคิดอย่างเป็นระบบ เปรียบเสมือนมีเข็มทิศในการเดินทางเพ่ือมิให้ ออกนอกประเด็น ซง่ี มขี ั้นตอนในการเกิดความคดิ สรา้ งสรรคจ์ ากนักทฤษฎีได้รวบรวมไว้ดังนี้ นิพนธ์ จติ ตภ์ กั ดี (2523: 20) ไดศ้ ึกษาเก่ยี วกบั การสร้างสรรคแ์ ละได้จัดลาดับขั้นตอนการเกิด ความคดิ สร้างสรรคไ์ ว้ 4 ขนั้ ตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียม (Preparation) เป็นขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับความรู้ ทวั่ ไปและความรเู้ ฉพาะ เพอ่ื มาประกอบการพจิ ารณา โดยอาศยั พนื้ ฐานของกระบวนการตอ่ ไปน้ี 1.1 การสังเกตนักคิดสร้างสรรค์จาเป็นต้องเป็นนักสังเกตท่ีดี และสนใจต่อสิ่ง แปลกๆ ใหมท่ ี่ไดพ้ บเห็นเสมอ 1.2 การจาแนก หมายถึง กระบวนการจาแนกข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตเป็น หมวดหมู่เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการลาดบั ความคิดต่อไป
20 1.3 การทดลอง เป็นหัวใจของการสร้างสรรค์งาน เพราะผลการทดลองจะเป็น ข้อมลู สาหรบั คิดสรา้ งสรรค์ตอ่ ไป 2. ขั้นฟักตัว (Incubation) เป็นข้ันที่ใช้เวลาสาหรับการครุ่นคิดเป็นระยะที่ยังคิด ไมอ่ อกบางครง้ั แทบไม่ได้ใช้ความคดิ เลย การฟกั ตัวนบี้ างครงั้ ความคิดอืน่ จะแวบมาโดยไมร่ ตู้ ัว 3. ข้ันคิดออก (Illumination or Inspiration) เป็นข้ันของการแสดงภาวะสร้างสรรค์ อยา่ งแทจ้ รงิ คอื สามารถมองเห็นลู่ทางในการรเิ รม่ิ หรอื สร้างสรรค์งานอยา่ งแจม่ ชัดโดยตลอด 4. ขั้นพิสูจน์ (Verification) เป็นขั้นการทบทวน ตรวจสอบ ปรับปรุงประเมินค่า วธิ กี ารว่าใชไ้ ดห้ รอื ไม่ เพอ่ื ให้คาตอบทถ่ี กู ตอ้ งแน่นอนเป็นกฎเกณฑต์ ่อไป Divito (1971: 208) ได้กาหนดขน้ั ตอนของการเกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ไวด้ งั น้ี 1. ขั้นวิเคราะห์ (Analysis) คือ ขั้นสัมผัสหรือเผชิญกับสถานการณ์ ซ่ึงส่วนมากจะ เป็นปัญหาต่างๆ ปัญหาจะถูกนามาวิเคราะห์ กาหนดนิยามเพ่ือก่อให้เกิดความเข้าใจในปัญหาและ ส่วนประกอบ 2. ข้ันผสมผสาน (Manipulate) หลงั จากรู้สภาพปัญหา วิเคราะห์ปัญหา ความคิดที่ จะแกป้ ญั หาจะถกู นามาผสมผสานกัน ซึง่ จะตอ้ งอาศัยความคบั ขอ้ งใจและความเข้าใจในปัญหา 3. ขั้นการพบอุปสรรค (Impasse) เป็นข้ันที่เกิดข้ึนบ่อยและเป็นข้ันสูงสุดของ การแก้ปัญหาในข้ันน้ีจะมีความรู้สึกว่าวิธีการบางอย่างในการแก้ปัญหาน้ันใช้ไม่ได้ คิดไม่ออกรู้สึก ล้มเหลวในการแกป้ ญั หา 4. ขั้นคิดออก (Eureka) เป็นข้ันคิดแก้ปัญหาได้ทันทีทันใดหลังจากที่ได้พบอุปสรรค มาแลว้ ซง่ึ จะทาให้เกดิ ความเข้าใจอยา่ งแจม่ แจ้งในการแกป้ ัญหานั้นๆ 5. ข้ันพิสจู น์ (Verification) เป็นข้นั ตอ่ จากข้ันพบอปุ สรรคและข้ันคิดออกเพื่อพิสูจน์ ตรวจสอบความคิดเพือ่ ยืนยันความคิดดังกล่าว ความคิดสร้างสรรค์ไม่จาเป็นต้องมีข้ันตอนเป็นลาดับขั้นตอนดังกล่าวแต่เป็นการคาดคะเน จากเหตกุ ารณ์ทวั่ ไปทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ความคิดสร้างสรรค์ การคิดสร้างสรรค์ของบุคคล ไม่จาเป็นต้องเป็น ขั้นสูงสุดเสมอไป แต่ความคิดสร้างสรรค์อาจเป็นข้ันตอนใดในหกข้ันตอนต่อไปนี้ (บุญเหลือ ทองอยู่, 2521: 16) ขน้ั ท่ี 1 การคดิ สร้างสรรคข์ ้นั ต้น ข้นั ที่ 2 ขนั้ มผี ลผลิตออกมา ขนั้ ท่ี 3 ขน้ั สรา้ งสรรค์ ขัน้ ท่ี 4 ขั้นความคดิ สร้างสรรค์สิง่ ประดษิ ฐใ์ หม่ ขั้นที่ 5 ขนั้ ปรบั ปรุงความคดิ สรา้ งสรรค์สง่ิ ประดิษฐ์ใหมๆ่ ขน้ั ที่ 6 ข้นั ความคิดสร้างสรรคส์ ูงสุด สามารถแสดงความคิดเปน็ นามธรรม
21 ความคิดสรา้ งสรรค์เป็นการคิดอเนกนัยที่ประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม ความคล่องแคล่วในการคิด ความยืดหยุ่นในการคิด และความคิดละเอียดลออ (อารี รังสินันท์, 2527: 24-34) เป็นองค์ประกอบของ ความคดิ ความคิดสร้างสรรคท์ ี่ประกอบดว้ ยทฤษฎีเกยี่ วกบั สตปิ ัญญาและความคิด แต่ท่ีจะใช้เป็นแนวคิดใน การศกึ ษาเก่ยี วกบั ความคดิ สรา้ งสรรค์มี 3 ทฤษฎคี อื ทฤษฎโี ครงสรา้ งทางสตปิ ญั ญาของกลิ ฟอรด์ ซง่ึ ได้แบ่ง สมรรถภาพทางสมองออกเป็น 3 มิตคิ อื 1. เน้ือหาท่ีคิด (Content) หมายถึง ส่ิงเร้าหรือข้อมูลต่างๆท่ีสมองรับไปคิดมี 4 ประเภท ไดแ้ ก่ ภาพ สญั ลักษณ์ ภาษา และพฤตกิ รรม 2. วิธีการคิด (Operation) หมายถึง ลักษณะกระบวนการทางานของสมองแบบ ต่างๆ มี 5 แบบ ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ความจา การคิดแบบเอกนัย (Convergent Thinking) การคดิ แบบอเนกนยั และการประเมนิ ผล 3. ผลของการคิด (Product) เป็นผลของกระบวนการจัดกระทาของความคิดกับ ข้อมลู เนอื้ หา ผลติ ผลของความคิดออกมาเป็นรูปแบบต่างๆ การแปลงรูป และการประยุกต์จากแบบ ทฤษฎีโครงสร้างทางสตปิ ัญญา องคป์ ระกอบส่วนหนงึ่ ในมิติที่ว่าด้วยการคิดแบบอเนกนัยมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความคิด สร้างสรรค์ และองคป์ ระกอบสว่ นหน่งึ ในมติ ิท่วี า่ ดว้ ยผลของความคิดที่เรียกว่า การแปลงรูปเป็นส่วนที่ แสดงถงึ ความคดิ ประเภทของความคดิ สร้างสรรค์ แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 3 ประเภท คือ 1. ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างความคดิ (creative in thinking) 2. ความคิดสร้างสรรค์ทางความงาม (creative in beauty) 3. ความคดิ สร้างสรรคท์ างประโยชน์ใชส้ อย (creative in function) ความคิดสร้างสรรค์ทางความคิด หมายถึง การที่บุคคลพยายามคิดหาแนวทางต่างๆ ซึ่งเร่ือง ของความคิดทบี่ างท่านเสนอแนะวา่ ความคดิ มีลกั ษณะต่างๆ กัน 3 ประเภท คอื 1. ความคิดภายใน (insight thinking) 2. ความคดิ ตามลาดับ (sequential thinking) 3. ความคดิ พลกิ แพลง (strategic thinking) ความคิดทั้ง 3 ประเภท เป็นส่วนหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์น่ันเอง ขั้นตอนความคิด สร้างสรรค์เหล่าน้ี สามารถนามาใช้กับการเร่ิมคิดผลงานสร้างสรรค์นาฏศิลป์ได้เช่นเดียวกัน เป็นจุดเร่ิมต้นให้เกิดแนวคิดซ่ึงการคิดนั้นหากไม่ถูกฝึกให้คิดมาก่อน ย่อมไม่สามารถคิดได้อย่างทันที แต่เมื่อฝึกคิดจากการชมการแสดง ฟังเพลง แล้วคิดตาม วิเคราะห์ตามจากน้ันเม่ือนาส่ิงเหล่าน้ันมา ขยายความคิดออกเป็นลาดับ แยกประเภท แยกหัวข้อ พิจารณาต่อยอดความคิด หรืออาจเรียกได้ว่า
22 ถอดองค์ความรู้จากส่ิงท่ีได้เห็น นามาคิดสร้างสรรค์ผนวกกับความรู้ ประสบการณ์ของผู้สร้างสรรค์ ก็สามารถเกดิ งานช้นิ ใหมไ่ ด้ ดงั กระบวนการสรา้ งสรรค์นาฏศลิ ป์ ท่จี ะกลา่ วในลาดบั ต่อไป กระบวนการสรา้ งสรรค์นาฏศลิ ป์ ในขน้ั ตอนการสรา้ งสรรค์ผลงานนาฏยศลิ ป์ หรอื เราเรยี กวา่ นาฏยประดษิ ฐ์น้นั ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วริ ฬุ ห์รักษ์ ราชบัณฑิต (สรุ พล วิรฬุ ห์รักษ์, 2543: 211-229) กล่าวถึง ขั้นตอนการทางานไว้ อย่างน่าสนใจ ผ้เู ขยี นขอหยบิ ยกเนอื้ หาโดยสงั เขป ดังน้ี 1. การคดิ ให้มนี าฏยศิลป์ 2. การกาหนดความคิดหลกั 3. การประมวลข้อมลู 4. การกาหนดขอบเขต 5. การกาหนดรปู แบบ 6. การกาหนดองคป์ ระกอบอนื่ ๆ 7. การออกแบบนาฏยศลิ ป์ นอกจากน้ี ยังมีการกล่าวถึงหลักการขั้นตอนการออกแบบนาฏศิลป์ตามแบบของ พีรพงศ์ เสนไสย ซ่ึงเป็นวิธีคิดหน่ึงท่ีช่วยให้เกิดการสร้างผลงานท่ีมีความชัดเจนมากข้ึนในหนังสือ นาฏยประดิษฐ์ กลา่ วไว้วา่ (พีรพงศ์ เสนไสย, 2546: 22-23) 1. คิดสร้างให้เป็นของเก่าแก่ โบราณ และดั้งเดิมตามแบบแผนบรรพบุรุษ หมายถึง การสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์โดยยังยึดหลัก และคงโครงสร้างตามแบบแผนโบราณ เช่น นาฏยศิลป์ไทย ยังปรากฏการต้ังวง จีบ ล่อแก้ว กระดก ยกหน้า หรือปรากฏท่าราในเพลงแม่บทเล็ก หรือแมบ่ ทใหญ่ เป็นต้น เชน่ ราเปิดงานมงคลทั่วไป ราอวยพรวันเกิด งานมงคลสมรส เป็นต้น ท้ังนี้ เพลงทีเ่ ลอื กมาประกอบอาจเปน็ บทเพลงท่ีมีอยู่แล้ว แลว้ นามาบรรจกุ บั เนอ้ื หาทแ่ี ตง่ ข้นึ ใหม่ 2. คิดสร้างให้เปน็ การผสมผสานนาฏยศิลปห์ ลายๆ จารีตเข้าด้วยกัน หมายถึง การนา นาฏศิลป์ตั้งแต่สองนาฏยจารีตขึ้นไปผสมผสานเป็นงาน เช่น นาฏยศิลป์ตะวันตกอย่างบัลเล่ต์กับ นาฏยศิลป์อินเดีย นาฏยศิลป์อีสานกับนาฏยศิลป์อินเดีย ท่ีปรากฏในการแสดงแสงเสียงไม่ว่าจะเป็น ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา ปราสาทพนมรุ้ง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ และปราสาทเปือยน้อย จ.ขอนแก่น เป็นต้น นาฏยประดิษฐ์ประเภทนี้จะพบการผสมผสานนาฏยลักษณ์ของแต่ละอย่างเอาไว้ ชัดเจนเชน่ ลักษณะการจีบ การกระดกเท้าไปหลัง การทรงตัว ยังคงเป็นแบบนาฏยศิลป์ไทย ส่วนเท้า และการเคลอื่ นไหวอาจเป็นการคดิ ประดษิ ฐ์ตามแบบนาฏยลกั ษณอ์ นื่ ๆ เปน็ ตน้
23 3. คิดสร้างแบบประยุกต์จากแบบด้ังเดิม หมายถึง งานนาฏยประดิษฐ์ ที่อาศัยการหยิบ เพยี งเอกลักษณเ์ ดน่ ของนาฏยศลิ ป์นน้ั ๆ เช่น ทา่ ทาง เทคนิคพิเศษบางอย่าง นอกจากน้ัน ผู้ประดิษฐ์ก็ จะพยายามแสวงหากระบวนท่าใหม่ๆ การเคล่ือนไหวใหม่ๆ ให้แหวกแนวจากของเดิม และให้ได้ ความหมายตรงกบั ที่ผปู้ ระดษิ ฐ์ตอ้ งการ หรือตรงวัตถุประสงคท์ ี่กาหนดไว้ 4. คิดใหม่ ทาใหม่ ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน อาจพูดได้ว่าเป็นงานสร้างแบบหลุดโลก ไปเลย (ระบาตามใจฉัน) ไม่สนใจในกฎและกรอบใดๆ เพราะฉันเห็นอะไรบางอย่างที่เข้าใจว่าล้าสมัย เพราะฉันเห็นอะไรบางอย่างมันขัดแย้งกับความเป็นตัวของฉัน ฉันจึงอยากจะสร้างอยากจะประดิษฐ์ งานนาฏยศลิ ป์ตามแบบทฉ่ี นั เกบ็ ส่งั สมประสบการณ์ใหม่ทีไ่ มม่ นี ักนาฏยกวีคนใดเลยสร้างสรรค์มาก่อน มนั เปน็ สงิ่ ท่หี ลบหลกี กฎเกณฑท์ ัง้ มวล ไม่ไดเ้ ดินทางตามแบบอย่างใครๆ มันเป็นการเคล่ือนไหวอย่าง อสิ ระเสรี มันไม่จาเปน็ ทจ่ี ะต้องอาศัยองคป์ ระกอบอืน่ ใดนอกเสยี จากร่างกาย ฉนั ไม่ได้นาเอาอดีต และ ปัจจุบันมาปะปนกัน ฉันเป็นฉันในยุคน้ี พ.ศ.นี้ ฉันจึงได้สรรสร้างนาฏยศิลป์ให้เป็นไปตามยุคและ อายุขัยของฉัน เพ่ือประดับไว้ให้แผ่นดินได้รู้จัก ก่อนที่มันจะกลายเป็นเพียงตานานในอนาคต ฉันไม่ได้ทาลายศิลปะ ขนบ จารีต และประเพณีแต่อย่างใดเพราะฉันรู้เสมอว่าฉันกาลังทาอะไรอยู่ เพราะฉันได้ศึกษาส่ิงที่ฉันกาลังจะลงมือทามาเป็นอย่างดี แต่ประติมากรรมเคล่ือนที่ที่ฉันกาลังปนันอยู่ น้ันมันคือ สมัยนี้ สมัยท่ีฉันเป็นอยู่ปัจจุบันเขาทั้งหลายในวงการนาฏยศิลป์เรียกฉันว่า “นาฏยศิลป์ ร่วมสมัย” ซ่ึงฝรั่งเรียกฉันว่า “Contemporary Dance” ตัวตนท่ีฉันเป็นอยู่ ณ ทุกวันนี้ คือ บูชา ส่ิงเกา่ โดยจะไม่หยิบยมื มาใช้ แตจ่ ะประดษิ ฐร์ า่ งกายและการเคลอื่ นไหวใหเ้ ปน็ สิง่ ใหม่ ซ่งึ ยังมีนักนาฏยศิลป์ท่ีมีวิธีทางานการออกแบบนาฏยศิลป์แตกต่างกันเป็นการเฉพาะของตน แต่ในท่ีนี้จะได้กาหนดขั้นตอนไว้เพื่อให้สะดวกแก่การออกแบบสาหรับนักนาฏยประดิษฐ์ เม่ือนักนาฏยประดิษฐ์ได้คานึงถึงหลักการต่างๆ ดังกล่าวมาแต่ต้นแล้ว ก็ถึงเวลาออกแบบจริงๆ การออกแบบทางนาฏยศิลป์มีวิธี และข้ันตอนคล้ายคลึงกันศิลปะสาขาอ่ืนๆ คือ 1. กาหนด โครงร่างรวม 2. การแบง่ ช่วงอารมณ์ 3. ทา่ ทางและทิศทาง และ 4. การลงรายละเอียด นอกจากนี้ สวภา เวชสุรักษ์ (2547: 10-21) ได้รวบรวมแนวคิดเก่ียวกับกระบวนการ สร้างสรรคง์ านของศิลปนิ ไว้ในงานวิทยานพิ นธ์ระดับดษุ ฎบี ัณฑิต กล่าวโดยสรุปดงั น้ี อารี สทุ ธิพันธ์ุ กลา่ วถงึ กระบวนการในการสรา้ งสรรค์งานไวว้ า่ การสรา้ งให้เกิดเปน็ ส่งิ ใหม่หรอื ของใหม่น้ัน มีหลักในการสร้างสรรค์ที่สาคัญ 3 ประการ หรือ จะเรียกว่ากระบวนในการสรา้ งสรรค์ก็ไดค้ ือ 1. การสลบั ให้ตา่ งไปจากทเ่ี คยเหน็ (misplacing) เช่น การสลับให้ผิดตาแหน่งท่ีเคยเห็น มากอ่ น การสลบั ใหม้ ีรูปร่างหรือรูปทรงต่างไปจากเดิม การสลับให้มีสีสันแตกต่างไปจากท่ีเคยเห็นกัน มาแล้ว การสลับให้เกิดประโยชน์ใช้สอยต่างออกไปจากท่ีเคยพบเห็นเคยทราบมาก่อน การสลับมี ประโยชน์ได้มากมายหลายประการ เป็นความคิดสร้างสรรค์อย่างหน่ึงท่ีจาเป็นมาก การสลับทั้ง 4
24 ประการนี้ เป็นกระบวนความคิดสร้างสรรค์ที่มักจะทาให้ผู้ชมรูปเขียนหรือภาพปันน มักฉงนอยู่เสมอ เนื่องจากไมค่ ุ้นหรือไม่เคยคาดคิดมาก่อน 2. การสร้างความคิดให้สับสน (ambiguity) คือ การพยายามให้ผู้ชมได้ใช้ความคิดและ สงั เกตต่อเร่ืองราวทต่ี นเหน็ ซึ่งอาจจะดาเนินได้ดังน้ี การดาเนินเร่ืองแล้วขมวดปมให้คิด การเน้นส่วนท่ี เหน็ วา่ ไมส่ าคญั ให้เด่นขึ้น การผกู เร่อื งใหม่ให้เหน็ วา่ มนั อาจจะเปน็ ไปได้หรือมนั น่าจะเป็นไปได้ 3. การปรุงแต่งดดั แปลงใหม่ (adjustable) คือ การท่ีรู้จักดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ ใหม่ขนึ้ แปลกไปจากเดมิ โดยมีวธิ กี ารปรับปรงุ ของเดิมจากความคิดเดมิ การเปล่ียนแปลงฐานะเดิมให้ ดีข้นึ และการปรบั ใหเ้ หมาะสมกบั เวลาและบริเวณวา่ ง (time and space) กระบวนความคิดสร้างสรรค์ทั้ง 3 ประการ ดังกล่าวคือ การสลับท่ี การสร้างความคิดสับสน และการปรุงแต่งเป็นเหตุที่สาคัญในวิธีการสร้างศิลปกรรมทุกชนิด ทุกแขนงศิลปกรรมถ้าไม่มี การเปล่ียนแปลงและไม่มีคนเข้ามีส่วนร่วมด้วยจะเรียกว่าเป็นศิลปกรรมที่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังน้ัน การเปลย่ี นแปลงศิลปกรรมทุกๆอย่างทุกระดับ จาต้องยึดถอื ลกั ษณะสาคัญ 3 ประการคอื 1) ความกวา้ งขวางในรปู ทรงและเรอื่ งราว หรือความหลากหลาย 2) ความคิดแรกเรม่ิ เปน็ ของตนเอง หรอื ความเป็นต้นแบบ 3) ความเหมาะสมสามารถดดั แปลงแก้ไขให้ไดด้ ีได้ ความคดิ สร้างสรรคท์ างความงาม หมายถึง การสร้างความงามใหม่ แปลกไปจากเดิม เช่น การ สลับสีเสื้อผ้า การออกแบบลวดลายเส้ือผ้า หรือออกแบบตกแต่งเพ่ือความงามอ่ืนๆ รวมถึง การสรา้ งสรรค์สิ่งใหม่ด้วย ความคิดสร้างสรรค์ทางประโยชน์ ได้แก่ ความพยายามที่จะใช้ส่ิงของท่ีมีประโยชน์อยู่แล้ว ทาประโยชน์อ่ืนๆ นอกเหนือจากท่ีรู้จักกัน เช่น การนาเอาเคร่ืองเรือหางยาวมาทาเป็นเคร่ืองสูบน้า หรือนาเอาผ้าขาวมา้ ไปใชแ้ ทนยางในรถจกั รยานหรอื ยางในลูกบอลเล่นแกข้ ัด เปน็ ต้น จากประสบการณ์การสอนของผู้เขียนนักศึกษาในวิชาเอกนาฏศิลป์ ในระดับอุดมศึกษาส่วน ใหญม่ ีกลมุ่ นกั ศึกษาท่ีมพี ้ืนฐานแตกต่างกันก่อนเขา้ มาศึกษาในวชิ าเอกนาฏศลิ ป์โดยแบ่งกลุ่มหลักๆ ได้ คือ 1. มีประสบการณ์การเรียนนาฏศิลป์ไทย 5 ปีขึ้นไป อย่างสม่าเสมอฝึกฝนอย่างเป็น ระบบ คือ กลุ่มนักศึกษาสังกัดวิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร มีความถนัดนาฏศิลป์ไทยแบบ มาตรฐาน นาฏศลิ ปพ์ ้นื เมอื งอย่างเขม้ ข้น 2. มีประสบการณ์การเรียนนาฏศิลป์ไทย 2-3 ปีข้ึนไป ในส่วนร่วมการแสดงของ โรงเรียน คือ กลุ่มประเภทนักเรียนท่ัวไปท่ีมีส่วนร่วมในกิจกรรมนาฏศิลป์ในชมรมนาฏศิลป์หรือ การละคร มคี วามถนดั ที่หลากหลายแต่ไมถ่ นัดอยา่ งใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ
25 3. มีประสบการณ์การเรียนนาฏศิลป์ไทยน้อยกว่า 1ปี ท่ีมีส่วนร่วมในกิจกรรมของ โรงเรียนไม่บ่อยครั้ง คือ กลุ่มประเภทนักเรียนทั่วไป ที่อาจเคยมีประสบการณ์บ้าง ซึ่งไม่มีความถนัด ในวิชานาฏศิลป์ อาจกล่าวได้ว่ากลุ่มนักศึกษาวิชาเอกนาฏศิลป์ในระดับอุดมศึกษามีพื้นฐานความถนัดใน นาฏศิลป์ต่างกัน ทั้งน้ีเร่ืองการสร้างสรรค์งานนาฏศิลป์ก็มิใช่เรื่องยาก เกินไปที่จะทาได้ จากประสบการณ์การสอนของผู้เขียนในรายวิชาผลงานความคิดสร้างสรรค์ทางนาฏศิลป์ พอจะสรุป ไดว้ ่า การเลือกประดษิ ฐ์นาฏศลิ ปช์ ุดใหม่น้ันสามารถมีรูปแบบแนวทางการสร้างสรรค์ไดด้ ังนี้ 1. พิจารณาจากความสามารถ ความรู้ของตนในชิ้นงานน้ันๆ เช่น มีพื้นฐานราได้ เต้นเป็น พื้นเมืองคล่อง สามารถสร้างงานได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์ (มาตรฐาน) นาฏศิลป์พ้ืนเมืองสร้างสรรค์ นาฏศิลป์ร่วมสมัยหรือนาฏศิลป์ประยุกต์ หรือ มีความสามารถเฉพาะอย่าง หรือถนัดเพียงรูปแบบใดรูปแบบเดียว ควรจะเลือกทาในสิ่งท่ีตนถนัด การหยิบเอาความถนัดมาใช้เป็นสิ่งท่ีง่ายกว่าการแสวงหาท่ีไม่ถนัด ซึ่งจะทาให้เราทราบกฎเกณฑ์ใน รูปแบบนั้นๆดีกว่า ถ้าไม่ถนัดนาฏศิลป์ทุกรูปแบบ ควรเลือกนาฏศิลป์ร่วมสมัย ท่ีสามารถใช้ องค์ประกอบหลายอย่างในการแสดง หารูปแบบการนาเสนอท่ีแปลกใหม่มานาเสนอร่วมด้วย เช่น รปู แบบการนาเสนองาน การใชฉ้ าก อุปกรณ์ สอ่ื เพ่อื ใหง้ านนา่ สนใจ มจี ุดขาย 2. พิจารณาจากโครงเรื่องท่ีสะท้อนส่ิงท่ีกาลังได้รับความสนใจ หรือเป็นการนาเสนอ โลกการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น เรื่องโลกยุคดิจิตอลท่ีมาถึงและความเป็นไปต่ออนาคต การเปล่ยี นแปลงของขัน้ บรรยากาศโลกมผี ล ซง่ึ เนื้อหาท่ีน่าสนใจเป็นจดุ ดึงดดู ทจ่ี ะได้รบั ความนิยมจาก ผ้ชู ม 3. พิจารณาจากสิ่งที่ผู้สร้างสรรค์มีแรงบันดาลใจท่ีจะทาขึ้น เช่น ชอบวิถีชีวิตชนบท เป็นคนท้องถิ่นนั้นๆ รู้จักเอกลักษณ์และเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น ใฝุฝันอยากจะทาในสิ่งท่ีตนมุ่งมั่น ถึงแม้จะไม่มีความถนดั มากนกั กส็ ามารถศกึ ษา แสวงหาคาตอบและมีที่ปรึกษาในผลงานก็สามารถทา ข้ึนได้ 4. พิจารณาจากนักแสดง นักแสดงจัดว่ามีความสาคัญเป็นอันดับต้นๆ ต่อแนวคิดใน การสร้างสรรค์ เพราะหากนักแสดงไม่มีความถนัดในงานท่ีผู้สร้างอยากจะทา ก็เท่ากับไม่ประสบ ความสาเร็จเพียงจุดแรกแลว้ เช่น ผสู้ รา้ งสรรคต์ อ้ งการนาเสนอรูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ร่วมสมัย แต่นักแสดงไม่มีความถนัดไม่เข้าใจการเคลื่อนไหว แสดงท่าทางท่ีดูฝืนธรรมชาติ ขัดต่อสายตาผู้ชม ลักษณะเช่นน้ีการแสดงก็ไม่บังเกิดผลสาเร็จท่ีดีได้ ดังน้ันจึงควรมีนักแสดงที่สามารถเข้าใจ กระบวนการ มีความถนดั ที่จะแสดงในงานน้ันๆ ได้
26 5. พิจารณาจากงบประมาณ การแสดงทุกชุดต้องมีการลงทุน ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก ถา้ ผ้สู ร้างสรรคส์ ามารถหางบประมาณไดเ้ พยี งพอต่อการแสดงก็จัดว่า การแสดงน้ันมีความเป็นไปได้ ในการทาใหป้ ระสบความสาเร็จ เช่นผสู้ ร้างสรรค์ตอ้ งการใชอ้ ปุ กรณก์ ารแสดงทม่ี รี าคาสูง ต้องจ้างทา หรือใช้ชุดแต่งกายท่ีมีการตัดเย็บใหม่ทั้งชุด ไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องอาศัยการจ้างทาซึ่งมี งบประมาณท่ีสูงเกินกว่างบประมาณท่ีมี เช่นน้ีก็ขัดแย้งกับความต้องการของผู้สร้างสรรค์ จึงควร พจิ ารณารูปแบบทนี่ าเสนอให้มีความเหมาะสมกบั งบประมาณ 6. พิจารณาจากภาพรวมของการสร้างงาน ผู้สร้างสรรค์ผลงานนอกจากจะใช้ ประสบการณ์ แรงบนั ดาลใจ องคป์ ระกอบของการแสดงต่างๆ แล้ว ส่ิงท่ีต้องคานึงถึงความเป็นไปได้ ของการสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์คือ ภาพรวมของการสร้างงาน เช่น ทาแล้วได้อะไร เพื่ออะไร มีประโยชน์หรอื ไม่ เปน็ การหาโจทยแ์ ละคาตอบของผสู้ ร้างสรรคง์ าน ใหม้ ีเปูาหมายของการกระทาที่ ชัดเจน เช่น ต้องการสร้างการราบวงสรวงของศาลหลักเมืองในจังหวัดของตน เพ่ือเป็นการศึกษา ท่าฟูอนแบบด้ังเดิมนามาประยุกต์ใหม่ เพราะท่าฟูอนเดิมท่ีมีอาจไม่ได้มีการศึกษาเพ่ิมเติม จึงทาให้ ท่าฟูอนพื้นบ้านขาดหายไป ในการประยุกต์ใหม่จึงรวบรวม ผ่านการตรวจสอบจากผู้เช่ียวชาญใน ท้องถิ่น เพ่ือการอนุรักษ์และสร้างสรรค์ควบคู่กับไป จึงมีประโยชน์ต่อการสร้างผลงานนี้ข้ึนและ ถา่ ยทอดโดยคนในทอ้ งถน่ิ รนุ่ สู่รนุ่ ทาใหท้ ่าฟอู นท่ีคิดใหม่น้ีมีคุณค่า คุณประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ ใหม่ หรือการสร้างสรรค์ผลงานทาข้ึนเพื่อสะท้อนปัญหาที่เป็นอยู่ของชุมชน เช่น การกาจัดขยะ และวิธีนาไปรีไซเคิล แก้ปัญหาการขาดความรู้ของมนุษย์ที่ทาให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ของโลก จากน้นั ผู้สร้างสรรค์นาการแสดงนไ้ี ปแสดงในโรงเรียนต่างๆ เพ่ือประโยชน์ในการปลูกฝังต่อ เยาวชนให้ชว่ ยกันอนรุ ักษโ์ ลก เมื่อผู้สร้างสรรค์งานพิจารณาจากพื้นฐานองค์ประกอบการสร้างงานบนพ้ืนฐานความเป็นไป ได้ท้ังภาพในจินตนาการ การออกแบบ และอยู่บนพ้ืนฐานที่สามารถเกิดข้ึนได้จริงแล้วน้ัน มีความคิดรวบยอด (Concept) ของการแสดงที่จะทาแล้ว ขั้นตอนต่อไปของผู้สร้างสรรค์ผลงาน นาฏศิลป์คือ การออกแบบองค์ประกอบของงาน อันได้แก่ ท่ารา เพลง ดนตรี ชุดแต่งกาย การออกแบบการเคลื่อนท่ี การออกแบบเวที ฉาก แสง ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ใช้ทฤษฎีทาง ทัศนศิลป์เป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างสรรค์ด้านนาฏศิลป์ในทุกส่วนร่วมกัน จึงต้องศึกษา องค์ประกอบทางทัศนศิลป์ควบคู่กัน เพื่อให้ผลงานสร้างสรรค์ท่ีจะเกิดขึ้นมีพื้นฐานทางศิลปะใน การออกแบบ ย่ิงทาให้ภาพรวมการแสดง และรายละเอียดในองค์ประกอบต่างๆมีความสมบูรณ์ ย่งิ ขน้ึ
27 ทฤษฎที ัศนศิลป์ ทฤษฎที ศั นศิลป์ เปน็ พน้ื ฐานเบื้องตน้ ทผี่ ู้เรยี นดา้ นศิลปะในทุกแขนงต้องศึกษาเป็นอันดับแรก ศาสตราจารย์เกียรติคุณชะลูด น่ิมเสมอ (2557: 8) ได้กล่าวถึง การแบ่งประเภทศิลปะตามลักษณะ ของการรบั สมั ผสั ออกได้เป็น 3 สาขา คือ 1. ทัศนศิลป์ (Visual Arts) เป็นศิลปะที่สามารถมองเห็นได้ด้วยการเห็น ได้แก่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม ภาพพิมพ์ และสถาปตั ยกรรม 2. โสตศิลป์ (Aural Art) เป็นศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการฟัง ได้แก่ ดนตรี และวรรณกรรม (ผา่ นการอา่ นหรือรอ้ ง) 3. โสตทศั นศิลป์ (Audiovisual Arts) เปน็ ศิลปะที่รับสัมผัสด้วยการฟังและการเห็นพร้อมกัน ได้แก่ นาฏกรรม การแสดง ภาพยนตร์ ซึ่งเป็นการผสมกันของวรรณกรรม ดนตรี และทัศนศิลป์ บางแห่งเรยี กศิลปะสาขานวี้ า่ ศลิ ปะผสม (Mixed Art) นอกจากน้ี ศลิ ปะยังมคี านยิ ามมากมายถึงคุณค่า ลักษณะ และมีนักทฤษฎีมากมายท่ีกล่าวถึง แนวคดิ ทฤษฎที างศลิ ปะ ซ่ึงแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ทฤษฎหี ลักๆ ดังนี้ 1. ศลิ ปะ คอื การเลยี นแบบธรรมชาติ (Art as representation) 2. ศลิ ปะ คือ รปู ทรง (Art as pure form) 3. ศิลปะ คือ การแสดงออกซง่ึ อารมณ์ (Art as expression) ทฤษฎีการเลียนแบบธรรมชาติน้ันเป็นทฤษฎีท่ีเก่าแก่กว่าทฤษฎีอื่น ชาวกรีกโบราณถือว่า การลอกแบบธรรมชาติได้เหมือนมากท่ีสุด จัดว่าเป็นสิ่งที่สวยท่ีสุด ทฤษฎีเร่ืองรูปทรง มีความสาคัญ ในเรอ่ื งคุณค่าทางสนุ ทรียะ คาว่ารูปทรง (Form) หมายถึงการจดั วัตถุแห่งเพทนาการ คือ แสง สี เสียง เป็นตน้ รปู ทรงทาให้เกดิ ความสนใจ งานศลิ ปะชิ้นเยยี่ มจะเกิดความแปลกใหม่ ความต่ืนเต้น ศิลปะจึง เปน็ เครื่องมอื ท่จี ะนาไปสู่ความตนื่ เตน้ รปู ทรงเกดิ ขึ้นกับงานศิลปะทุกประเภททั้งดนตรี และนาฏศิลป์ และทฤษฎีการแสดงออกทางอารมณ์น้ันถือว่าศิลปะเป็นการแสดงออกของอารมณ์ภายในของมนุษย์ ออกมา ซ่ึงมีลักษณะของการแสดงอารมณ์ที่เป็นศิลปะได้แก่ การแสดงออกที่เป็นไปด้วยเจตนา คือ ต้ังใจแสดงออกมา เป็นอารมณ์ที่มุ่งให้เกิดความสวยงาม การแสดงอารมณ์ที่มีพลังจูงใจให้เกิด ความรู้สึกว่างามหรือไม่งาม ส่ืออารมณ์ท่ีใช้ในการแสดงอารมณ์ออกมานั้น เป็นสิ่งท่ีมีความหมายใน ตัวเอง เช่น คาพูด สีสัน ทรวดทรง เป็นต้น และการแสดงอารมณ์ท่ีมีเอกภาพทางอารมณ์ อารมณ์ท่ี ศิลปินแสดงออกมาน้ันมิใช่เป็นความรู้สึกของใครคนใดคนหน่ึง แต่เป็นอารมณ์ของมนุษย์ท่ัวๆ ไป ดังนัน้ ทฤษฎนี ีจ้ งึ ถอื ว่า ท้ังรปู ทรงและความหมายมคี วามสาคญั ต่อศิลปะด้วยกันทง้ั คู่
28 จากทฤษฎีทางทัศนศิลป์ดังกล่าวข้างต้นน้ี เห็นได้ว่า ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านศิลปะ จาเป็นต้องอาศัยหลักทฤษฎีเบ้ืองต้นในการทาความเข้าใจต่อลักษณะของงานศิลปะที่มีรูปแบบใน การส่ือสารต่อผู้ชม และสิ่งท่ีสาคัญอีกประการหนึ่งคือ ทฤษฎีเร่ืองทัศนธาตุ จัดว่าเป็นองค์ประกอบ หลักในขั้นตอนการสร้างสรรค์ลาดับถัดมาในการกาหนดรูปร่าง รูปทรง ให้เกิดภาพในผลงาน สร้างสรรค์อย่างชดั เจนย่งิ ขน้ึ ทัศนธาตุ (Visual Element) หรือองค์ประกอบศิลป์ในทางทัศนศิลป์ หมายถึง สื่อ สุนทรียภาพท่ีศิลปินจะนามาประกอบกันเข้าให้เป็นรูปทรง เพ่ือสื่อความหมายตามแนวเรื่องหรือ แนวความคิดที่เป็นจุดหมายน้ัน ประกอบไปด้วย จุด เส้น รูปร่าง รูปทรง น้าหนักอ่อน แก่ สี บริเวณว่าง และพนื้ ผวิ จุด (Dot) จุดเป็นธาตุเบ้ืองต้นที่สุดของการเห็น จุดมีมิติเป็นศูนย์ ไม่มีความกว้าง ความยาว หรือความลึก เป็นธาตุท่ีไม่สามารถจะแบ่งออกได้อีก เป็นส่ิงที่เล็กท่ีสุดท่ีจะใช้สร้างรูปทรงและสร้าง พลังเคลื่อนไหวของทีว่ า่ งข้นึ ในภาพได้ เส้น (Line) เส้นเป็นทัศนธาตุเบื้องต้นที่สาคัญท่ีสุด เป็นแกนของทัศนศิลป์ทุกๆ แขนง เส้น เป็นพ้ืนฐานของโครงสร้างของทุกสิ่งในจักรวาล เส้นแสดงความรู้สึกได้ท้ังด้วยตัวของมันเอง และด้วย การสร้างเป็นรูปทรงตา่ งๆ ขน้ึ เส้นยงั สามารถบง่ บอกถงึ ความรสู้ ึกได้ดังนี้ เสน้ นอน ใหค้ วามรู้สกึ กว้างขวาง เงยี บสงบ นงิ่ ราบเรยี บ ผ่อนคลายสายตา เส้นตงั้ ให้ความรสู้ กึ สูงสง่า ม่ันคง แข็งแรง รุ่งเรือง เสน้ เฉียง ให้ความรสู้ ึกไมม่ ่นั คง เคล่อื นไหว รวดเรว็ แปรปรวน เส้นโคง้ ให้ความรู่สกึ ออ่ นไหว สภุ าพออ่ นโยน สบาย นุ่มนวล เย้ายวน เสน้ โค้งกน้ หอย ให้ความรสู้ ึกเคล่อื นไหว การคลค่ี ลาย ขยายตัว มนึ งง เส้นซิกแซกหรอื ฟันปลา ใหค้ วามรู้สกึ รุนแรง กระแทกเป็นห้วงๆ ตืน่ เต้น สับสนวุ่นวาย และ การขดั แยง้ เส้นประ ให้ความรสู้ กึ ไม่ตอ่ เนื่อง ไมม่ ่ันคง ไม่แน่นอน เส้นกับความรู้สึกที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแนวทางหน่ึง ไม่ใช่ความรู้สึกตายตัว ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับ การนาไปใชร้ ว่ มกับสว่ นประกอบอื่น รปู ร่างและรปู ทรง รูปร่าง (Shape) หมายถึง เสน้ รอบนอกทางกายภาพของวัตถุ สิ่งของเคร่ืองใช้ คน สัตว์ และ พืช มลี กั ษณะเป็น 2 มติ ิ มีความกว้างและความยาว รปู ร่างแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. รูปร่างธรรมชาติ (Natural Shape) หมายถึง รูปร่างท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เชน่ คน สตั ว์ และพืช เป็นตน้
29 2. รูปร่างเรขาคณิต (Geometrical Shape) หมายถึง รูปร่างที่มนุษย์สร้างขึ้นมี โครงสร้างทแ่ี นน่ อน เช่น รูปสามเหลีย่ ม รปู ส่ีเหลยี่ ม และรปู วงกลม เป็นตน้ 3. รูปร่างอิสระ (Free Shape) หมายถึง รูปร่างที่เกิดขึ้นตามความต้องการของ ผู้สร้างสรรค์ ให้ความรู้สึกท่ีเป็นเสรี ไม่มีโครงสร้างท่ีแน่นอนของตัวเองเป็นไปตามอิทธิพลของ ส่ิงแวดล้อม เชน่ รปู ร่างของหยดน้า เมฆ และควนั เปน็ ตน้ รปู ทรง (Form) หมายถึง โครงสร้างท้ังหมดของวตั ถุทีป่ รากฏแก่สายตาในลักษณะ 3 มิติ คือ มีทั้ง ส่วนกว้าง ส่วนยาว ส่วนหนา ส่วนลึก คือจะให้ความรู้สึกเป็นแท่ง มีเน้ือที่ภายใน มีปริมาตร และมีน้าหนกั น้าหนักออ่ น-แก่ (Value) หมายถึง จานวนความเข้ม ความอ่อนของสีต่างๆ และแสงเงา ตามที่ประสาทตารับรู้ เมื่อเทียบกับน้าหนักของสีขาว-ดา ความอ่อนแก่ของแสงเงาทาให้เกิดมิติ เกิดระยะใกล้ไกลและสมั พันธ์กับเรอื่ งสีโดยตรง สี หมายถึง สิ่งท่ีปรากฏอยทู่ ่ัวไปรอบๆ ตวั เรา ไมว่ ่าจะเป็นสที ่ีเกดิ ข้นึ เองในธรรมชาติหรือสิ่งที่ มนษุ ยส์ รา้ งข้นึ สีทาให้เกิดความรู้สึกแตกต่างมากมาย เช่น ทาให้รู้สึกสดใส ร่าเริง ต่ืนเต้น หม่นหมอง หรือเศรา้ ซมึ ได้ เป็นตน้ บริเวณว่าง (Space) หมายถึง บริเวณที่เป็นความว่างไม่ใช่ส่วนท่ีเป็นรูปทรงหรือเนื้อหาใน การจดั องคป์ ระกอบใดก็ตามถ้าปล่อยใหม้ ีพ้ืนทีว่ ่างมากและใหม้ รี ูปทรงน้อย การจัดนั้นจะให้ความรู้สึก อา้ งว้าง โดดเด่ียว พื้นผิว (Texture) หมายถงึ พ้นื ผิวของวัตถตุ ่างๆท่ีเกิดจากธรรมชาตแิ ละมนษุ ยส์ รา้ งสรรค์ข้ึน พืน้ ผิวของวัตถุที่แตกตา่ งกนั ย่อมให้ความรู้สึกทแี่ ตกตา่ งกนั ดว้ ย การออกแบบนาฏยศิลป์คล้ายคลึงกับการออกแบบทัศนศิลป์เพราะนาฏยศิลป์เปรียบเสมือน ประติมากรรมการเคล่ือนท่ีบนเวที อันมีผู้แสดงเป็นปัจจัยหลัก นักนาฏยประดิษฐ์มีหน้าที่ออกแบบ โดยกาหนดให้ผแู้ สดงออกทา่ ทาง ทิศทางการเคลอ่ื นไหว การจับกลุ่มฯลฯ ให้เป็นไปตามการออกแบบ ทางนาฏยประดษิ ฐ์ของตน ในการออกแบบนาฏยศลิ ป์นั้นนักนาฏยประดิษฐ์จาเป็นต้องคานึงถึงทฤษฎี ทางทัศนศิลป์ เพ่ือให้งานของตนครบองค์ประกอบทางศิลปะตามท่ีนักนาฏยประดิษฐ์ได้ออกแบบ สรา้ งสรรค์ไว้ ทฤษฎีแหง่ การเคล่ือนไหว กฎแห่งการเคลื่อนไหว หรือเป็นกฎของธรรมชาติที่เสมือนกุญแจของท่าทาง รูปแบบ การเคลือ่ นไหวสามารถบ่งบอกอารมณ์ สือ่ ความหมาย ซึ่งมีหลักทฤษฎีแห่งการเคล่ือนไหว 2 ประเภท คือ การใชพ้ ลัง และการใช้ท่ีวา่ ง (สรุ พล วริ ุฬรกั ษ์, 2543: 229-230)
30 1. การใช้พลัง การใช้พลังในนาฏศิลป์มี 3 ประเภทคือ ความแรงของพลัง การเนน้ พลงั และลักษณะของการใช้พลัง ความแรงของพลัง เป็นการท่ีใช้ปริมาณการเคลื่อนไหวในด้านพลังมาก-น้อย แตกต่างกัน และให้ความรู้สึกท่ีแตกต่างกันด้วย เช่น การเคลื่อนไหวท่ีรวดเร็ว และรุนแรง จะให้ ความรู้สึกรบี เร่ง ทรงพลัง ดุดัน ในขณะท่ีปริมาณของพลังน้อย ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน คือ อ่อนโยน ละเมียดละไม เปน็ มิตร การเน้นพลัง เป็นการใช้พลังอย่างเจาะจง ปัจจุบันทันด่วน เป็นจุดเน้นให้เกิด ความสนใจ เช่น การกระแทกสน้ เท้า ให้จงั หวะทไ่ี มแ่ นน่ อน ทาให้ผู้ชมหนั มามอง ลักษณะการใช้พลัง เป็นการใช้พลังในการเคลื่อนไหว อันได้แก่ การแกว่งไกว การระเบิด การสืบเนื่อง การส่ันพล้ิว และการลอยตัว เป็นการใช้พลังที่ให้อารมณ์และความรู้สึก ตา่ งกนั ขณะเคลอ่ื นที่ 2. การใช้ท่ีว่าง เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะ ความกว้าง ความยาว และความสูง โดยมกี ารกาหนดได้ 3 ลักษณะคอื ตาแหนง่ ขนาด และทิศทาง ตาแหน่ง มีลักษณะการจัดให้ผู้แสดงอยู่ตาแหน่งใดบนเวที หรืออาจเรียก อีกอย่างว่า กาหนดจุดบนเวทีทั้งในการกาหนดตาแหน่งในลักษณะของท่าทาง และกาหนดตาแหน่ง ของการเคล่ือนที่ เปน็ ชว่ งๆ ขนาด มีลักษณะการที่ผู้แสดงสามารถเคลื่อนไหวไปยังจุดหนึ่งจุดใดบนเวทีได้ กว้างหรอื แคบ โดยมีปริมาณผู้แสดงเปน็ ตวั กาหนดขนาดในการใชบ้ นเวที ทิศทาง มีลักษณะการเคลื่อนที่จากจุดหน่ึงไปยังอีกจุดหนึ่ง ในการแปรแถว บนเวทีได้ 8 ทิศ ซ่งึ สมั พนั ธ์กับตาแหน่งของคนดูคือ การเข้าหาคนดู การถอยออกจากคนดู การขนาน กับคนดู การทแยงมุมกับคนดู การวนเป็นวงหน้าคนดู การฉวัดเฉวียนหรือเล้ียวไปมาแบบฟันปลา การยกสูงและการกดต่า ซ่ึงมีอิทธพิ ลตอ่ ความรู้สึกของคนดเู ป็นสาคัญ สรปุ องค์ประกอบการสร้างสรรค์เบื้องต้นประกอบไปด้วย ขั้นตอนการเกิดความคิดสร้างสรรค์ กระบวนการสร้างสรรค์ และทฤษฎีแห่งการเคลื่อนไหว ทฤษฎีทัศนศิลป์ เป็นพ้ืนฐานของกระบวน ความคิดให้เกิดงานสร้างสรรค์ด้านศิลปะทุกประเภท ลาดับขั้นตอนของการเกิดความคิดนั้นเกิดจาก การมีข้อมูลในเรื่องท่ีสนใจ จัดเรียงระบบ แยกแยะข้อมูล ทดลอง แล้วจึงเกิดกระบวนการสร้างสรรค์ ขึ้นอย่างแท้จริง ชัดเจน จากน้ันจึงเป็นข้ันตรวจสอบ ประเมินคุณค่าผลงานเพ่ือความถูกต้องใน กระบวนการสร้างสรรค์ทางนาฏศิลป์น้ันมีข้ันตอนกาหนดความคิด กาหนดรูปแบบ กาหนด
31 องค์ประกอบอื่นๆ และสามารถพิสูจน์ทดลองได้เช่นกันรวมถึงการคิดสร้างสรรค์ยังเกิดจากการเข้าใจ ในประเภทของนาฏศลิ ปแ์ ตล่ ะประเภท และสามารถสรา้ งสรรคน์ าฏศลิ ป์จากการผสมผสาน ประยุกต์ ท้ังในรูปแบบด้ังเดิมให้ใหม่ข้ึนโดยยังรักษาจารีตเดิม การผสมผสานนาฏศิลป์ต้ังแต่สองจารีตข้ึนไป ประยกุ ตจ์ ากแบบดง้ั เดมิ บางส่วนนามาประยุกต์ข้ึนใหม่ และคิดใหม่โดยไม่ยึดกับสิ่งใด นอกจากน้ี นัก นาฏยประดิษฐ์ยังสามารถเลือกสร้างสรรค์ผลงานข้ึนใหม่โดยพิจารณาจากความสามารถ ความถนัด ของตนจากเร่ืองที่สนใจหรือสะท้อนเหตุการณ์ปัจจุบัน นอกจากน้ี แรงบันดาลใจของนักนาฏย ประดิษฐ์ท่ีใฝุฝันอยากสร้างผลงานเป็นสิ่งท่ีสามารถนามาสร้างสรรค์ได้อย่างดีย่ิงรวมถึงองค์ประกอบ ด้านนักแสดง งบประมาณ และประโยชน์จากผลงานสร้างสรรค์ที่ทาขึ้น นักนาฏยประดิษฐ์ยังต้องมี ความรู้พ้ืนฐานด้านทฤษฎีทัศนศิลป์ และทฤษฎีแห่งการเคล่ือนไหว อันเป็นองค์ประกอบทางศิลปะ และการเคล่ือนไหวของท่าทางท่ีสาคัญและสามารถนาไปใช้ในงานสร้างสรรค์นาฏศิลป์ได้ เม่ือนัก นาฏยประดิษฐ์เขา้ ใจในองคป์ ระกอบการสร้างสรรค์เบื้องต้นแล้วในขั้นตอนต่อไปจะเข้าสู่กระบวนการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานทางนาฏศิลป์ซ่ึงเปน็ หวั ใจหลกั ของการเกิดงานช้นิ ใหม่ ดังจะได้กล่าวในบทตอ่ ไป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243