Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่1

บทที่1

Published by phatthawan.kk, 2018-05-09 01:06:29

Description: บทที่1

Search

Read the Text Version

151 8) เป็นวัสดุทีหาง่ายในท้องถินและราคาถูก มนี ํ าหนกั เบา าสมารถเคลือนย้ายได้สะดวก 9) มคี วามคงทน มอี ายุการใช้งานอย่างน้อย4 เดือน 10) มคี วามสมําเสมอและได้มาตรฐาน 1.3.3 ประเภทของวัสดุปลูก วัสดุทีนํามาใช้ในการเพาะปลูกพชื ประกอบด้วยอินทรียวัตถุหรืออนินทรีย์วัตถุเพอื ให้พืชยึดเกาะและเจริญเติบโต วัสดโุ ดยทัวไปแบ่งเป็น2 ชนิด 1) วัสดุปลูกทีมีดนิ หรืออินทรียวัตถุเป็นส่วนผสม วัสดุประเภทนี ได้แก่ ดินร่วนปุ ๋ ยคอก ปุ ๋ ยหมัก แกลบดิบ ทราย ขี เลอื ย ขุยมะพร้าว และใบไม้ผุ เป็นต้น ข้อดี - มีธาตุอาหารหลัก โดยเฉพาะไนโตรเจน และฟอสฟอรัสในปริมาณมาก - พชื ไมแ่ สดงอาการขาดธาตุอาหารรอง ข้อเสีย - แหล่งดินร่วนทีมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชนั นหาได้ยาก - คุณภาพไมส่ มําเสมอ - ปนเปื อนด้วยเมล็ดวัชพชื เชือโรค และไข่แมลง จึงควรผ่านการอบด้วยไอนํ าหรือรมสารเคมีก่อนนํามาใช้ และต้องเกบ็ ไว้ในทีแห้ง จึงทําให้ยุ่งยาก - มีนํ าหนักมาก ขนย้ายยาก - ค่าแรงงานในการผสมแพงกวา่ ใช้วัสดุอืน 2) วัสดุปลูกทีไม่มดี ินเป็นส่วนผสม เป็นวัสดุทีผลติ ขึ นเพอื ใช้แทนดิน เช่น ดินวทิ ยาศาสตร์และไลท์มิกซ์เป็นต้น ข้อดี - มคี ุณภาพสมําเสมอแม้ใช้ในปริมาณมาก - ปราศจากเมล็ดวัชพืช จึงไม่จําเป็นต้องอบด้วยไอนํ า - ค่าแรงงานในการผสมถูกกว่า - มีนํ าหนักเบาขนย้ายได้สะดวก ข้อเสีย - มีธาตุอาหารน้อย และมีอัตราส่วนของคาร์บอนตอ่ ไนโตรเจน(C/N ratio)สูงจําเป็นต้องเพิมเติมธาตุอาหารหลัก เช่นไนโตรเจน และฟอสฟอรัส และธาตุอาหารรองเช่น โบรอนและทองแดง

152 - ก่อนใช้ต้องคลุกเคล้ากับนํ าให้มคี วามชืนพอเหมาะ เนืองจากเป็นวัสดุทีมีนํ าหนักเบาจนรากพืชยึดเกาะไมไ่ ด้ - เคม็ และมีขี เกลือสะสม ซึงเป็นอันตรายต่อพชื - ราคาแพง 1.3.4 วัสดุปลูกสําเร็จรูป เป็นดินทีใช้ผสมในวัสดุปลูก มีลักษณะร่วนซุย เหมาะกับการเจริญเติบโตของพชื สามารถจําแนกได้4 ชนิดตามแหล่งทีมาคือ 1) ดินขยุ ไผ่หรือดินจากโคนกอไผ่ เป็นดินทีเกิดจากการผุเปือยของซากใบไผ่และรากไผ่ทีทับถมกันมานานทําให้มลี ักษณะร่วนซุย มกี ารถ่ายเทอากาศและระบายนํ าได้ดี จึงมีความเหมาะสมอย่างยิงทีจะใช้ในการปลกู ไม้ดอกไม้ประดับและไม้กระถางเกอืบทุกชนิด แต่ในปัจจุบันดนิ ขุยไผ่แท้ค่อนข้างหายาก เนืองจากต้องขุดมาจากปา่ จึงทําใหม้ รี าคาสูงกว่าดนิประเภทอนื แหลง่ ใหญ่ของดินขุยไผ่มาจากจงั หวัดกาญจนบุรี ราชบุรีและลพบุรี ดังนั นการนํามาใช้ในปัจจุบันจึงมักผสมดินร่วนลงไป ทําให้ดินจับตัวเป็นก้อนแน่นและแขง็ เหมาะสําหรับปลูกต้นไม้ทีมีรากลกึ เช่น ไม้ใหญ่ในสวน ไม้ผลาตง่ ๆ ได้ดีกว่าพันธุ์ไม้ประดับทัวไป แต่กส็ ามารถใช้รองพืนเพอื ปสู นามหญ้าได้ดีเช่นกัน 2) ดินผสมใบก้ามปู เป็นดนิ ทีเกิดจากการทับถมของใบก้ามปูทีร่วงหล่นย่อยสลายดินชนิดนี มีคณุ สมบัติเด่นคือ ระบายนํ าได้ดีและมีธาตุไนโตรเจนค่อนขางสูง ช่วยให้ใแบละลําต้นของพืชเจริญเติบโตได้ดี แตด่ ินใบก้ามปูมีข้อเสียคือเนือในของฝักทีมีลักษณะคล้ายวุ้นหรือเยลลีนั นเป็นสาเหตุทําให้เกิดเชือรา ทีเป็นอันตรายต่อพืชทีปลูก และเมล็ดของก้ามปูทีติดมานั น เมอื ได้รับความชืนพอเหมาะกม็ ักจะงอกอย่างรวดเร็ว กลายเป็นวัชพืชในแปลงปลูก ในปัจจุบันมีการนําดินมาจากต้นก้ามปผู สมกับวัสดุชนิดอืนๆ เช่นขุยมะพร้าวสับได้เป็นวัสดุปลูกต้นไม้ทีดีอีกชนิดหนึง ซึงเหมาะสําหรับปลูกไม้กระถางทัวไป และราคาใกล้เคียงกับดินขุยไผ่ 3) ดินผสมใบทองหลาง ทองหลางเป็นพชื ตระกูลถั วชนิดหนึง ใบมธี าตุไนโตรเจนค่อนข้างสูง ต้นทองหลางมักขึ นอยู่ตามริมนํ า ให้ร่มเงากับพืชผลทีปลูกไว้ตามริมคลองหรือท้องร่องสวน เมอื ใบทองหลางร่วงหล่นลงคูนํ าและทับถมกันนจผุเปื อยเป็นเนือเดียวกันจะมีธาตุอาหารทีสามารถใช้ปลูกพชื ได้ ในการใช้ประโยชน์ จะนําดินหมักจากโคนต้นทองหลางหรือดินจากร่องสวนขึ นมาผึงแดดให้แห้งสนิทก่อน 4) ดินปลูกต้นไม้สําเร็จรูปทีเหมาะสมสําหรับพชื แต่ละชนิด เป็นวัสดุปลูกทีผลติขึ นเฉพาะสําหรับพชื บางชนิด เช่น วัสดุปลูกแคคตัส วัสดุปลูกโป๊ ยเซียน วัสดุปลูกบัว โดยวัสดุปลูก

153สําเร็จรูปประเภทนี จะมีลักษณะเฉพาะทีเหมาะสมสํหา รับพชื นั น ๆ และประกอบไปด้วยแร่ธาตุและอนิ ทรียวัตถุทีพชื นั น ๆต้องการ เช่น วัสดุปลูกแคคตัส ควรมีลักษณะโปร่ง ระบายนํ าได้ดี ไม่อุ้มนํ าอยู่ตลอดเวลา ดังนั นวัสดุทีเติมลงไปกม็ีทั งทรายหยาบ ถ่านป่ น ขี เถ้าแกลบใบไม้ผุ เป็นต้น ภาพที 7.4 ดินปลูกต้นไม้สําเร็จรูป ถ่ายภาพโดย สมพงษ์ ทองเด็จ1.3.5 สูตรดินผสมทีนิยมใช้ในการผลติ ไม้ดอกไม้ประดับ ได้แก่ 1) สูตรดินผสมสําหรับปักชําและเพาะกล้าไม้มสี ่วนผสมดังนี ทรายหยาบ 1-2 ส่วน ขี เถ้าแกลบ 1 ส่วน ขยุ มะพร้าว 1 ส่วน เปลอื กถั วลสิ งป่ นละเอยี ด 1 ส่วน 2) สูตรดินผสมสําหรับปลูกกล้าไม้หรือไม้กระถางชนิดต่าง ๆ มีส่วนผสมทีสําคัญดังนี ดินร่วน 1-2 ส่วน ขุยมะพร้าว 1 ส่วน ขี เถ้าแกลบ 1 ส่วน เปลอื กถั วลสิ งป่ น 1 ส่วน กาบมะพร้าวสับ 1 ส่วน ปุ ๋ ยหมัก/ ปุ ๋ ยคอกเกา่ 1 ส่วน ปุ ๋ ยเคมี15-15-15 1 กิโลกรัม/ม.3 (ดินผสม) ปูนขาว ½ - 1 กิโลกรัม

154หมายเหตุ ผสมคลุกเคล้าจนเข้ากันดีให้พรมนํ าใส่พอชืน ถ้าต้องการดินผสมไปปลูกไมอ้ วบนํ าหรื อต้องการระบายนํ าสูงๆ เช่นเฟนิ อะกาเว่อะโกนีมา สาวน้อยประแป้ ง เป็ นต้น ให้ใส่วัตถุพวกอิฐทุบป่ น ถ่านป่ นลงไปในสูตรอย่างละ1 ส่วน 3) สูตรดินผสมสําหรับปลูกเฟื องฟ้ าทีทําเป็นการค้า มีสูตรผสมดังนี ดินนาป่ น 1 ส่วน แกลบดิบ 1 ส่วน กาบมะพร้าวสับ 4 ส่วน หญ้าคาสับ 2 ส่วน ปุ ๋ ยคอกเก่า 1 ส่วน ภาพที 7.5 การผสมดนิ ปลูก ถ่ายภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ2. การปลูกไม้ดอก ไม้ดอกจัดเป็นพันธุ์ไม้ทีตลาดมีความต้องการ จึงนิยมปลูกเป็ นการค้าสามารถปลูกเพือชมความงามของดอกไม้ทีอยู่ในแปลงปลูก ในกระถาง บางชนิดมีวัตถุประสงค์เพือตัดดอก การปลูกต้องพิถพี ถิ ันในเรืองการเลียงดพู อสมควร ซึงสามารถจําแนกได้ ดังนี 2.1 การปลูกไม้ดอกลงแปลง การปลูกไม้ดอกลงแปลงนั นมีวตั ถุประสงค์ของการปลูกทีแตกต่างกันออกไป เช่น ปลกู เพือให้ได้ดอกโชว์ความงามอยู่ในแปลงขนาดต่างๆได้แก่พันธุไ์ ม้ดอกทีใช้ตกแต่งสวน และแปลงไม้ดอกทีทําเป็นพ่อแม่พันธุ์ มีทั งไม้ดอกล้มลกุ เช่นตบ้นานไม่รู้โรยบานชืน ดาวเรือง พิทูเนีย หงอนไก่ หรือไมด้ อกยนื ต้น เช่นกุหลาบ ชบา เข็มต่าง ๆ บานบุรีช้องนาง ลั นทม ชวนชม เป็นต้น

155 ดงั นั นการปลูกไม้ดอกลงแปลงจึงมีขั นตอนการปฏิบัติ อยู่หลายรูปแบบ ขึ นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ปลูกและชนิดของพันธุ์ไม้ ได้แก่ 2.1.1 การปลูกไม้ดอกลงแปลงโดยการเพาะเมลด็ ลงในแปลงปลกู เลย ส่วนมากจะเป็ นไม้ดอกล้มลุก ขั นตอนวธิ ีการปลูกมีดังนี 1) เตรียมแปลงปลูกตามขนาดทีต้องการ โดยใส่ปุ ๋ ย วัสดุผสมดินให้ครบถ้วนโดยยกเป็ นขอบแปลงได้ 2) ปรับระดับผิวแปลงไม้ดอกให้ราบเรียบเสมอกัน 3) โรยเมล็ดไม้ดอกล้มลกุ ลงในแปลง ให้เมล็ดกระจายโดยทัวถงึ ทงแั ปลงแล้วใช้ยาฆา่ แมลง เช่นSevin 85 โรยทับอกี ทีหนึง 4) ใช้ฟางแห้งคลมุ ทับลงบนแปลงให้ทัวทั งแปลง 5) รดนํ าให้ชุ่มจนทัวแปลงโดยใช้ฝักบัวชนิดฝอย 6) ทําเพงิ ป้ องกันแสงแดดให้กับแปลงไม้ดอก 7) ปฏิบัติดูแลรักษาจนเมล็ดไม้ดอกงอก ค่อยเปิ ดเพิงกันแดดออกเพือให้ไม้ดอกไม้ประดับแปลงเจริญเติบโตได้เตม็ ที 8) เมือไม้ดอกแตกใบจริง2-3 ใบ ให้ถอนต้นกล้าทีขึ นชิดแน่นเกินไปออกจะนําไปปลูกแปลงใหม่อีกก็ได้ ภาพที 7.6 ดอกบานชืนปลูกลงแปลง ถ่ายภาพโดย สมพงษ์ ทองเด็จ

156 2.1.2 การปลูกไม้ดอกลงแปลงโดยการตัดชํกาิงหรือแยกหน่อปลูกได้แก่ ต้นเบญจมาศซ่อนกลินไทย สร้อยทอง เยอบีร่า รวมทั งพุทธรักษา ธรรมรักษา เป็นต้น ซึงมีวธิ กี ารปลูกดังนี 1) เตรียมแปลงปลูกให้สมบูรณ์เหมอื นทีกลา่ วมาแล้วข้างต้น 2) รดนํ าแปลงให้ชุ่มโชกตลอดแปลง อย่าให้ขอบแปลงพัง 3) เจาะหลุมปลูกขนาดพอเหมาะกับหน่อหรือกิงพันธุ์ไม้ดอก ให้มีระยะห่างระหวา่ งต้น ระหว่างแถว 4 X 4 นิว 6X 6 นิว หรือ 8 X 8 นิว ขึ นอยู่กับชนิดของไม้ดอกทีปลูกหรือขึ นอยู่กับการเดด็ ยอดหรือไมเ่ ดด็ ยอด 4) ใส่ ต้น หน่อ หรือกิงไม้ดอกลงในหลุมแล้วกดดินรอบ ๆ หน่อนั นให้แน่นการปลูกควรจะปลูกเวลาเย็น อากาศเย็นสบาย เพือไมใ่ ห้ตน้ หน่อ หรือกิงไมเ้หียวเฉา 5) นําฟางแห้งมาคลุมแปลงระหว่างต้นหน่อ กิงไม้ดอกทปี ลูกให้ทัว ป้ องกันการเหียวเฉา ให้แปลงมคี วามชืนมากขึ น 6) รดนํ าด้วยบัวชนิดฝอยให้ชุ่มทัวทั งแปลง โดยรดเช้าเย็น 7) ทําเพงิ กันแดดให้แปลงไม้ดอกทีปลูกรดนํ าเรส็จแล้ว 8) ปฏบิ ัติดแู ลรักษาไม้ดอกทีปลูกจนกระทังให้ผลผลิตเช่น พ่นสารเคมีป้ องกันโรคแมลงทุก 7-14 วัน ใส่ปุ ๋ ยทุก15-30 วัน กําจัดวัชพชื ตลอดเวลา เป็นต้น 2.2 การปลูกไม้ดอกกระถาง หรือภาชนะ นิยมปลูกเพอื การค้าอย่างแพร่หลายในปัจจุบนัพันธุ์ไม้ทีนิยมปลูกเป็นไม้ดอกกระถางควรมีลักษณะพิเศษ คือ ดอกมีสีสวยงาม ออกดอกมากดอกมีความคงทนอยู่นาน โดยมีขั นตอนการเตรียมการปลูก และวธิ ีการปลูกไม้ดอกกระถางดังนี ภาพที 7.7 ไม้ดอกในถงุ เพือจําหน่าย ถา่ ยภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ

157 2.2.1 สิงจําเป็นทีต้องเตรียมก่อนการปลูกไม้ดอกกระถาง 1) เมล็ดพันธุ์สําหรับเพาะทํากล้า 2) วสั ดุเพาะพร้อมอุปกรณ์ และสถานทีวาง 3) อปุ กรณ์ทีใชใ้ นการย้ายกล้า 4) กระถางสําหรับปลูก 5) ดินผสม 6) ปุ ๋ ย ยา สารเคมี 7) อุปกรณ์ในการให้นํ าปุ ๋ ย และยา 2.2.2 ขั นตอนวธิ ีการปลูกไม้ดอกกระถางโดยทั วไป มีดังนี 1) เตรียมภาชนะปลูก (กระถาง) โดยนํากระถางไปแช่นํ าให้อิมตัว แล้วหาวัสดุรองก้นกระถางให้พร้อม 2) ใส่ดินผสมตามสูตรทีต้องการลงในกระถาง สูงประมาณ 1/3- 1/2 ของความสูงของกระถาง 3) ย้ายกล้าไม้ดอกทีทําการเพาเะมล็ดในกระบะ ในแปลงเพาะ หรือในถาดเพาะโดยพยายามให้มีดินติดรากมาด้วย 4) วางกล้าไม้ดอกลงในกระถาง โดยระวังอย่าให้ดินทีตดิ มากับรากแตกแล้วกลบด้วยดินผสมอกี ทีหนึง อย่าปลูกตืนหรอื ลกึ เกนิ ไป ให้เหลือขอบกระถางไว้ประมาณ1 นิวกดดินรอบต้นให้แน่นพอควร 5) หาไม้เล็ก ๆ คํ า หรือยันต้นกล้าไดมอ้ กไว้ไมใ่ ห้โค่น 6) รดนํ ากล้าไม้ทีปลูกด้วยบัวรดนํ าชนิดฝอยให้ชุ่ม 7) นําไม้ดอกกระถางทีปลูกได้ไปวางไว้ในเรือนเพาะชํา ปฏบิ ัติดแู ลรักษากล้าไม้ดอกให้เจริญเติบโตต่อไปโดยให้ฉีดยาป้ องกันโรคและแมลงตัดแต่งรูปทรง ควบคุมปัจจัยในการเจริญเติบโตให้ได้ตามความต้องการของไม้ดอกกระถางนั น ๆรวมทั งการจัดวางเรียงกระถางไม้ดอกให้มีระยะห่างกันพอสมควร

158 ภาพที 7.8 การปลกู ต้นกล้าดาวเรืองลงกระถาง ถ่ายภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ ปฏบิ ัติดูแลรักษากล้าไม้ดอกให้เจริญเติบโตต่อไป โดยให้ฉีดยาป้ องกันโรคและแมลงตัดแต่งรูปทรง ควบคุมปัจจัยในการเจริญเติบโตให้ได้ตามความต้องการของไม้ดอกกระถางนั น ๆรวมทั งการจัดวางเรียงกระถางไม้ดอกให้มีระยะห่างกันพอสมควร3. การปลูกไม้ประดบั (Ornamental plants) ไม้ประดับเป็นต้นไม้ทีให้ความสวยงามทางด้านรูปทรงของลําต้น กิงก้านและใบ เมอื นําไปปลูกประดับตกแต่งอาคารสถานที ทั งภายในและภายนอกอาคาร ในการปลูกไม้ประดับสามารถปลูกได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสมของสถานทีและวัตถุการใช้งาน ดังนี 3.1 การปลูกไม้ประดบั ในภาชนะ (Potted plants) เป็นการปลูกไมป้ ระดับในกระถางเพราะสะดวกในการเคลือนย้ายและสามารถดแู ลรักษาได้งา่ ย ซึงการปลูกไม้ประดับในภาชนะมวี ิธีดําเนินการดังนี 3.1.1 การผสมดินปลูกควรเตรียมไว้ลว่ งหน้า 1 สัปดาห์ ตามสูตรความต้องการของพันธุ์ไม้ประดับ 3.1.2 การเตรียมและเลือกกระถางปลูก ถ้าเป็ นกระถางดินเผา ควรนํากระถางไปแช่นํ าให้อิมตัวก่อน แต่ถ้าเป็ นกระถางพลาสติกไม่จําเป็ นต้องนาํ ไปแช่นํ า เสร็จแล้วจึงหาเศษวัสดุรองก้นกระถาง 3.1.3 นําดินผสมมาใส่ลงในกระถางประมาณ 2/3 ของกระถาง หรือดูขนาดความลึกของต้นไม้ประดับทีจะปลูกก็ได้

159 3.1.4 นําต้นไม้ประดับปลูกวางลงตรงกลางกระถาง แล้วใช้ดินผสมใส่กลบทีโคนต้นไม้อย่าปลูกตืนหรือลึกเกินไป เหลือขอบกระถางไว้ประมาณ1 นิว 3.1.5 ใช้ไม้หลักปักคํ ายันต้นไม้ กันไม่ให้โยกก่อนทีรากจะเดิน 3.1.6 การรดนํ าควรรดนํ าให้ชุ่ม แล้วนําไปเกบ็ ไว้ทีเรือนเพาะชํา 3.1.7 หมันดูแลรักษาไมป้ ระดับกระถางอยู่เสมอในเรืองการให้นํ า การป้ องศัตรพู ืชการตัดแต่งรูปทรง ตลอดจนการให้ปยุ ๋ ตามตาราง กจ็ ะได้พันธุ์ไม้ประดับกระถางทีสวยงาม ถ้าเป็นพันธุ์ไม้นํ าให้ใช้ภาชนะปลูกทีก้นไมม่ รี ู ใส่ดินเหนียวแล้วปลูกต้นไม้นํ าลงไปใส่นํ าตามขนาดของต้นไม้ แล้วปฏิบัติดแู ลรักษาเช่นไม้กระถางทัว ๆ ไป ภาพที 7.9 การปลูกไม้ประดับลงกระถาง ถา่ ยภาพโดย สมพงษ์ ทองเด็จ 3.2 การปลูกไม้ประดับลงแปลง (Bedding plants) ส่วนมากจะเป็นไม้ประดับกลางแจ้งมีลักษณะทรงต้นเล็ก ใหญ่แล้วแต่ชนดิ ของไม้ประดับ เหมาะสําหรับปลูกประดับสวนในบ้านและตกแต่งอาคารสถานที ซึงมีขั นตอนวธิ ีการปลูก ดังน(ปี ิ ยะ และคณะ, 2549) 3.2.1 เตรียมแปลงปลูกให้สมบรู ณ์ตามชนิดของพชื ทีจะปลูก 3.2.2 เจาะหลุมปลกู ลงบนแปลงใหม้ ีระยะห่างระหว่างตน้ ระหว่างแถว ตามขนาดชนิดและประเภทไม้ประดับทีจะปลูก ส่วนมากจะปลูกสลับฟันปลาเพือให้ดูสวยงาม 3.2.3 นาํ พันธุ์ไม้ประดับมาใส่ปลูกตามหลุมทีเจาะไว้พร้อมกันกลบโค่นตน้ ไม้ประดับแล้วกดให้แน่นพอสมควร

160 3.2.4 ใช้ไม้หลักปักข้างต้นไม้ประดับ ผูกด้วยเชือกหลวมๆ เพือป้ องกันลมโยก ถ้าเป็ นไม้พุ่มเตี ยกไ็ ม่ต้องปักไม้ 3.2.5 ใช้วัสดุคลุมดิน เช่น เปลอื กถั ว ฟางแห้งคลมุ แปลงปลูกไม้ประดับป้ องกันความชืนในดิน 3.2.6 รดนํ าบริเวณทีปลูกไม้ประดับให้ชุ่มทัวทั งแปลง ถล้ากัวไม้ประดับเหียวเฉา กรณีนีควรทําเพงิ บังร่มเงาให้ทั งแปลง 3.2.7 ปฏิบัติดแู ลรักษาจนไม้ประดับได้ขนาดรูปทรงตามทีต้องการ 3.2.8 ตัวอย่างพันธุ์ไม้ประดับทีนิยมปลกู เป็ นการค้ามีหลายชนิด เช่น ไม้เถาเลือยต่าง ๆการปลูกต้องมีไมห้ ลักปักให้เลือย ได้แก่ ฟิ โลเดนดรอน พลูทอง มอนสเตอร่ า เป็ นต้นส่วนไม้ประดับอืน ๆ ได้แก่ โกสน หมากเหลือง หมากเขียว เลบ็ ครุฑ ซองอ๊อฟอินเดีย ไทรเป็ นต้น ภาพที 7.10 การปลูกไม้ประดับลงแปลง ถ่ายภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ 3.3 การปลูกไม้ประดับยืนต้น (Trees) การปลูกไม้ยืนต้นทีทําเป็นการค้า ปัจจุบันนี ทํากันมากเพราะใช้ในธุรกิจการจัดสวน ส่วนมากจะผลิตขายในภาคกลางและภาคตะวันออก ปกติจะใช้การขยายพันธุ์เพาะเมลด็ เนืองจากเป็ นไม้สูงใหญ่ ต้องอาศัยระบบรากแก้ว ยกเว้นตระกูลปาล์มการปลูกไม้ประดับยืนต้นมีขั นตอนวิธีการปลูก ดังนี 3.3.1 เตรียมหลุมปลกู ให้สมบูรณ์ตามขนาดของไม้ทีปลกู มีขนาด 50 X 50 เซนติเมตรหรือ 75 X 75 เซนติเมตร โดยแยกหน้าดินผสมไว้ต่างหากด้วย

161 3.3.2 ใส่ปุ ๋ ยคอกหรือปุ ๋ ยอนิ ทรีย์ ผสมปุ ๋ ยเค15ม-ี 15-15 เล็กนอ้ ย ใส่ประมาณ 1 บุ้งกีแล้วใส่ดินทีแยกไว้ใส่ลงไปในหลมุ ประมาณ2 ใน 3 หลมุ 3.3.3 นําตน้ ไม้ประดับยืนต้นหรื อไมท้ ีขุดบอนมาปลูกลงไปในหลุม ให้ต้นตั งตรงอยู่ ตรงกลางใส่ดินผสมกลบลงไป อย่าปลูกต้นไม้ลึกหรือตืนเกินไปจะตายได้ กดดินรอบ ๆโคนต้นให้แน่นพอสมควร ทําดินรอบ ๆ โคนต้นให้เป็นแอ่งกักนํ าถ้าเป็นหน้าแล้ง 3.3.4 การใช้ไม้คํ ายัน ควรใช้ต้นไม้ไผ่หรือแขนงกิงสนผูกยดึ กับต้นไมร้ปะดับยืนต้นไว้ให้มั นคง เพือป้ องกันลมโยกในระยะแรก ๆ 3.3.5 ใช้วัสดุคลุมโคนต้นไม้ประดับนั น เช่น ฟางแห้งหญ้าแห้ง เพือป้ องกันความชืนในดินไม่ให้สูญหายไปเร็ว ไม้จะตั งตัวช้า 3.3.6 ถ้าเป็นหน้าแล้งอากาศร้อนจัด ควรทําเพงิ กันแดดให้กับไม้ยืนต้นวยดก้ ็ได้ 3.3.7 ปฏิบัติดแู ลรักษาจนกระทังไม้ยืนต้นเจริญเต็มที ภาพที 7.11 การปลูกไม้ประดับยืนต้น ถา่ ยภาพโดย สมพงษ์ ทองเด็จ

162สรุป การทีจะปลูกไม้ดอกไม้ประดับให้เจริญเติบโตตามวัตถุประสงคท์ ีต้องการ จะต้องมีปัจจัยทีเกียวข้อง เริมตั งแต่การเตรียมดินปลูกให้เหมาะสมกับสภาพทีต้องการ เช่นการปลกู ไม้ดอกหรือไม้ประดับลงแปลง จะตอ้ งเตรียมแปลงปลูกหรือขุดหลุมปลูกให้ตรงกับชนิด ขนาด ของพืชทีจะปลูก ใส่อินทรียวัตถุ เพือปรับสภาพของดินให้เหมาะสม พร้อมทั งใส่ปุ ๋ ยอินทรียป์ ◌ุ ◌๋ยเคมีคลกุ เคล้ากับดินให้เข้ากัน พร้อมทีจะนําต้นไม้ปลกู ส่วนการเตรียมดินผสมเพือปลกู ไม้ดอกหรือไม้ประดับลงในภาชนะ ซึงส่วนมากจะเป็ นกระถาง จะต้องเตรียมวัสดุปลูกให้เหมาะสมกับชนิดและขนาดของต้นไม้ และวัตถุประสงคข์ องการนําไม้ไปใชป้ ระโยชน์ วัสดุทีใชค้ วรมีลักษณะร่วนซุย ระบายนํ าและระบายอากาศได้ดี มีธาตุอาหารเพียงพอกับการเจริญเติบโตของพืช และมีความหนาแน่นพอกับการทรงตัวของพืช การปลูก จะแยกส่วนกันเป็นการปลูกไม้ดอกและการปลูกไม้ประดับ การปลกูไม้ดอกจะมีทั งการปลูกไม้ดอกลงแปลงและการปลูกไม้ดอกในภาชนะหรือกระถางปลูก หลังจากเตรียมแปลงปลูกหรือวัสดุปลูกแล้วจะดําเนินการปลูกพันธุ์ไม้ ถ้าเป็นการปลูกไม้ดอกลงแปลง ส่วนมากจะเป็ นไม้ดอกล้มลุก เช่น ดาวเรือง บานชืน หงอนไก่ หรือถ้าเป็ นไม้ดอกยืนต้น ได้แก่ กุหลาบชบา ซึงขั นตอนและวิธีการปลกู ถ้าเป็ นไม้ดอกล้มลุก จะใช้เมล็ดโรยหรือหว่านลงแปลงแต่ถ้าเป็นไม้ดอกยืนต้น จะใช้ต้นกล้าปลูก ส่วนการปลูกไม้ดอกกระถางซึงเป็นทีนิยมกันมากในปัจจุบันการปลูกจะใช้ต้นกล้ามาปลูก โดยย้ายกล้าจากถาดเพาะเมลด็ มปา ลกู ในกระถางปลกู และต้องดูแลรักษาอย่างดี ส่วนการปลูกไม้ประดับจะมีหลายรูปแบบคือ การปลูกไม้ประดบั ลงกระถางการปลูกไมป้ ระดับลงแปลง และการปลูกไมป้ ระดบั ยืนต้น จะมีขั นตอนและวิธีการปฏิบัติทีใกล้เคียงกัน เช่นปลูกไม้ประดับในกระถางจะต้องปลูกตรงกลางกระถาง ปลูกไม้ประดบั ลงแปลงต้องเตรียมหลุมปลูกในแปลงจะเป็ นแถวเดียว แถวคู่หรือสลับฟันปลา และการปลูกไม้ประดับยืนตน้ จะต้องปลูกไม้ประดับให้ตรงกลางหลุม กลบดินทีโคนตน้ ไม่ปลูกลึกหรือตืนเกินไปปักไม้คํ ายันไม่ใหต้ น้ ไม้โยกคลอนเหมือนกันทั ง3 แบบ เสร็จแล้วรดนํ า ปฏิบัติการดูแลรักษาเรืองการให้นํ า ให้ปุ ๋ ย ป้ องกันศัตรูพชื ตัดแต่งรูปทรง ให้สวยงามพร้อมทีจะจําหน่าย

163 แบบทดสอบก่อนเรียนวิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดับ รหัสวิชา 2501-2104เรืองที 7 การปลูกไม้ดอกไม้ประดบัคําชีแจง จงทําเครอื งหมาย กากบาท (x) หัวข้อทีถูกต้องทีสุดเพียงข้อเดียว1.บริ เวณใดทีไม่เหมาะสมทีจะเลือกเป็ นแปลงปลูกไม้ ดอกก. มวี ัชพชื น้อยข. อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ค. มีความอดุ มสมบรู ณ์สูงง. ไมเ่ คยปลูกพชื อนื มาก่อน2. วัสดุชนิดใดทีใส่ลงไปในแปลงปลูกเพือปรับสภาพดินทเี ป็นกรดมากเกินไปก. ปูนขาวข. ปุ ๋ ยคอกค. ปุ ๋ ยหมักง. ขี เถา้ แกลบ3. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติทีดีสําหรับดินผสมทีปลูกไม้กระถางก. มนี ํ าหนักมากข. มีการระบายนํ าดีค. มกี ารถา่ ยเทอากาศดีง. มธี าตุอาหารพอเพียงกับการเจริญเติบโตของต้นพืช4. กาบมะพร้าวสับทีใส่ดินปลูกไม้ดอกไม้ประดับมีวตัถุประสงค์เพือก. ช่วยในการอุ้มนํ าข. ช่วยถ่ายเทอากาศค. ช่วยเพิมธาตุอาหารง. เพอื ช่วยในการระบายนํ า5. การปลูกไม้กระถางมีวิธกี ารช่วยไม่ให้นํ าขังในกระถางอย่างไรก. ผสมขี เถ้าแกลบมากๆข. ผสมดินให้โปร่ง ร่วนซุยค. ใช้กระถางทีมีรูระบายนํ ามากๆง. รองก้นกระถางด้วยเศษกระถางแตก

1646. การปลูกไม้ดอกไม้ประดับในกระถางมขี ้อเสียอะไรบาง้ ก. ต้องให้นํ าบ่อยๆ ข. ยากต่อการดูแลรักษา ค. มีวัชพชื ในดินผสมมาก ง. รากพชื ถูกจํากัดให้อยู่ในพืนทจี ํากัด7. ข้อใดเป็นการปฏบิ ัติทีถูกต้องในการปลูกไม้กระถาง ก. ไม้กระถางควรให้ปุ ๋ ยครั งละมากๆ ข. ไม้กระถางควรรดนํ าให้มากทีสุด วันละ1 ครั ง ค. การปลูกไม้กระถางควรใส่ดินให้เต็มกระถางและกดให้แน่น ง. การปลูกไม้กระถางควรเว้นขอบกระถางไว้ประมาณ1 นิว เพือเกบ็ กักนํ าไว้8. เปเปอร์โรเมยี พลูด่าง ผักเป็ดด่าง ควรปลูกในกระถางทีรูปทรงอย่างไร ก. ทรงสูง ข. ทรงกลมเตี ย ค. ทรงสีเหลียมสูง ง. ทรงโอ่งชนิดไม่มฝี า9. วัสดุชนิดใดไม่ควรใช้ในการทําดินผสมสําหรับปลูกไม้กระถาง ก. ปุ ๋ ยหมัก ข. แกลบผุ ค. ทรายหยาบ ง. ปุ ๋ ยคอกใหม่10. การปลูกไม้ดัดหรือไม้แคระนิยมปลูกในกระถางลักษณะใด ก. ทรงเตี ย ข. ทรงสูงกลม ค. ทรงโอง่ เปิ ดฝา ง. ทรงสูงเป็นเหลียม

165 แบบทดสอบหลังเรียนวิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดบั รหสั วิชา 2501-2104เรืองที 7 การปลูกไม้ดอกไม้ประดับคําชีแจง จงทําเครืองหมาย กากบาท (x) หวั ข้อทีถูกต้องทีสุดเพียงข้อเดียว1. ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติทดี ีสําหรับดินผสมทีปลูกไม้กระถางก. มนี ํ าหนักมากข. มกี ารระบายนํ าดีค. มีการถ่ายเทอากาศดีง. มธี าตุอาหารพอเพียงกับการเจริญเติบโตของต้นพชื2. กาบมะพร้าวสับทีใส่ดินปลูกไม้ดอกไม้ประดับมวี ัตถปุ ระสงค์เพอืก. ช่วยในการอมุ้ นํ าข. ช่วยถา่ ยเทอากาศค. ช่วยเพิมธาตุอาหารง. เพอื ช่วยในการระบายนํ า3. การปลูกไม้กระถางมีวิธีการช่วยไมใ่ ห้นํ าขังในกระถางอย่างไรก. ผสมขี เถ้าแกลบมากๆข. ผสมดินให้โปร่ง ร่วนซุยค. ใช้กระถางทีมรี ูระบายนํ ามากๆง. รองก้นกระถางด้วยเศษกระถางแตก4. วสั ดุชนิดใดไม่ควรใช้ในการทําดินผสมสําหรับปลูกไม้กระถางก. ปุ ๋ ยหมักข. แกลบผุค. ทรายหยาบง. ปุ ๋ ยคอกใหม่5. การปลูกไม้ดัดหรือไม้แคระนิยมปลูกในกระถางลักษณะใดก. ทรงเตี ยข. ทรงสูงกลมค. ทรงโอ่งเปิ ดฝาง. ทรงสูงเป็นเหลียม

1666.บริเวณใดทีไม่เหมาะสมทีจะเลอื กเป็นแปลงปลูกไม้ดอก ก. มีวัชพชื น้อย ข. อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ค. มคี วามอุดมสมบรู ณ์สูง ง. ไม่เคยปลูกพชื อนื มาก่อน7. วัสดุชนิดใดทีใส่ลงไปในแปลงปลูกเพอื ปรับสภาพดินทีเป็นกรดมากเกนิ ไป ก. ปนู ขาว ข. ปุ ๋ ยคอก ค. ปุ ๋ ยหมัก ง. ขี เถ้าแกลบ8. ข้อใดเป็นการปฏิบัติทีถูกต้องในการปลูกไม้กระถาง ก. ไม้กระถางควรให้ปุ ๋ ยครั งละมากๆ ข. ไม้กระถางควรรดนํ าให้มากทีสุด วันละ1 ครั ง ค. การปลูกไม้กระถางควรใส่ดินให้เตม็ กระถางและกดให้แน่น ง. การปลูกไม้กระถางควรเว้นขอบกระถางไว้ประมาณ1 นิว เพือเก็บกกั นํ าไว้9. เปเปอร์โรเมยี พลูด่าง ผักเป็ดด่าง ควรปลูกในกระถางทีรูปทรงอย่างไร ก. ทรงสูง ข. ทรงกลมเตี ย ค. ทรงสีเหลียมสูง ง. ทรงโอ่งชนิดไม่มีฝา10. การปลูกไม้ดอกไม้ประดับในกระถางมีข้อเสียอะไรบ้าง ก. ต้องให้นํ าบ่อยๆ ข. ยากต่อการดแู ลรกั ษา ค. มวี ัชพชื ในดินผสมมาก ง. รากพชื ถูกจํากัดให้อยู่ในพืนทีจํากัด

167 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน รหสั วิชา 2501-2104วิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดบัเรืองที 7 การปลูกไม้ดอกไม้ประดบั ข้อ เฉลย 1ข 2ก 3ก 4ก 5ข 6ง 7ง 8ข 9ง 10 ก

168 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน รหสั วิชา 2501-2104วิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดบัเรืองที 7 การปลูกไม้ดอกไม้ประดบั ข้อ เฉลย 1ข 2ก 3ข 4ง 5ค 6ง 7ง 8ค 9ง 10 ค

169 หน่วยที 8 การปฏบิ ตั ิดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดบัสาระสําคัญ การดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดับมีทั งการใหน้ ํ า ใหป้ ุ ๋ ย พรวนดิน คลุมดิน ป้ องกันกําจัดศัตรูพืช พร้อมทั งการตดั แต่งรูปทรงให้สวยงามและเหมาะสมกับชนิดของไม้ดอกไม้ประดบันอกจากนั นจะต้องเปลยี นกระถางและทําการจัดวางให้เป็นหมวดหมู่จุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ทวั ไป. 1. เพือให้นักเรียนรู้วธิ ีการปฏบิ ัติดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดับ 2. เพือให้นักเรียนรู้เรืองการจัดวางหรือจัดหมวดหมู่การวางไม้ดอกไม้ประดับ 3. เพือให้นักเรียนมคี ุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เรืองความมีวินัย จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. ปฏบิ ัติการพรวนดิน ให้นํ า ให้ปุ ๋ ย ป้ องกันกําจัดศัตรูพชื ได้อย่างถูกต้อง 2. ปฏิบัติการตัดแต่งรูปทรงและเปลยี นกระถางได้อย่างถูกต้อง 3. วางพันธุ์ไม้เป็นหมวดหมู่ได้อย่างถูกต้อง

170เนือหาสาระ1. การปฏบิ ตั ิดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดบั การปฏิบัติดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดับถือเป็ นสิ งจ ําเป็ นต่อการผลิตไม้ดอกไม้ประดับมากเพราะการปฏบิ ัติดแู ลรักษาจะช่วยทําให้ไม้ดอกไมป้ ระดับมีขนาดรูปทรงสวยงาม สมบูรณ์ การจัดจําหน่ายจะได้ราคาดี เนืองจากพันธุ์ไม้มคี ุณภาพดี ซึงการปฏบิ ัติดแู ลรักษาพันธุ์ไม้ทีสําคัญ ๆ ได้แก่ 1.1 การพรวนดิน ในการปลูกไม้ดอกไม้ประดับทุกชนิด ถ้าปลกู ในดินนานๆ จะทําให้ดินแน่น ทึบ แข็ง การะระบายนํ าและอากาศไม่ดี และการชอนไชของรากพืชเป็ นไปได้ยาก เป็ นผลให้การเจริญของไม้ดอกไม้ประดับไม่ดี ผลผลิตไม่มีคุณภาพ ดังนั นจึงต้องมีการพรวนดินเพือให้ดินโปร่ง ไม่แน่นทึบ หลังจากพรวนดินแล้วควรใส่ปุ ๋ ยให้นํ าแพกืช่ ทุกครั ง ข้อควรปฏิบัติในการพรวนดินมดี ังนี 1.1.1 ไม้กระถาง ให้พรวนรอบ ๆ กระถาง ห่างจากโคนต้นพอสมควร 1.1.2 การพรวนดินอย่าให้โดนรากหรือโคนต้น ทําใหต้ ้นพืชมีบาดแผล จะเป็ นผลทําให้ต้นพชื เหียวเฉาหรือเชือโรคเข้าทางบาดแผล ทําให้ตายได้ 1.1.3 การพรวนดินควรใช้ซ่อมพรวนดินพรวน อย่าใช้วัตถุทีแหลมคมไปพรวน จะทําให้เกิดบาดแผลได้ง่าย 1.1.4 ถ้าพรวนถูกโคนต้นเป็นแผล ต้องใช้ยาสมานแผลทาป้ องกันเชือโรคเข้าได้ 1.1.5 ถ้าเป็ นไม้ดอกไม้ประดับทีปลูกตามแปลงหรือร่องปลูก ควรพรวนระหว่างแถวระหว่างต้น ห่างจากโคนต้นพอประมาณ อย่าพรวนใกลต้ ้น หรือโคนต้น 1.1.6 ถ้าปลูกพันธุไ์ ม้ทีมีดินแข็งและแน่นมากควรใส่ปูนขาวและอินทรีย์วัตถุเพือใหด้ ินโปร่งร่วนซุย ต่อไปการพรวนดินจะได้ง่ายขึ น 1.1.7 หลังจากพรวนดินเสร็จควรใส่ปุ ๋ ยและให้นํ าแก่ไม้ดอกไม้ประดับทันที เพือไมใ่ ห้พันธุ์ไม้เหียวเฉา

171 ภาพที 8.1 การพรวนดินไม้ประดับ ถา่ ยภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ 1.2 การให้นํา (Watering) นํ าเป็นปัจจัยทมี คี วามสําคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช แม้วา่ พืชจะได้รับปัจจัยอืนๆ อย่างเพียงพอแล้วก็ตาม แต่ถ้าปริมาณนํ าไมเ่ พียงพอหรือไมเ่ หมาะสมกับความต้องการของพชื พชื เจริญเติบโตได้อย่างจํากัดและมผี ลต่อการสร้างผลผลติ ของพชื ดังนั นการศึกษาลักษณะการใช้นํ าของพืชแต่ละชนิดและแต่ละช่วงการเจริญเติบโตเพือเชือมโยงความสัมพันธ์กับข้อมูลด้านความเจริญเติบโตและผลผลติ พชื จะทําให้จัดการนํ าได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ(วิเชียร, 2546.) การให้นํ าไม้ดอกไม้ประดับ มีวธิ กี ารให้นํ า3 วธิ ี ใหญ่ๆ คือ 1.2.1 การให้นํ าเหนือดิน(Overhead irrigation system) คือการให้นํ าบริ เวณเหนือระดบั ดิน ทําให้ต้นและใบเปี ยกทัว ครอบคลุมพืนทีไดก้ ว้าง วิธีนี ดีทีสุดสําหรับการใหน้ ํ าสนามหญ้า ไม้ประดับ แตไ่ มเ่ หมาะสมสําหรับไม้ดอก เพราะหยดนํ าอาจทิงคราบไว้บนดอกและใบ ถ้ามดี อกบาน ดอกจะเสีย การทีใบเปี ยกทําให้เสียงต่อการเป็นโรค โดยเฉพาะในช่วงทีมีความชืนในอากาศสูง ถ้าใหน้ ํ าตอนเย็นทําให้ใบเปี ยกในช่วงกลางคืน การใช้ระบบนี ควรใหต้ อนเช้าเพือให้ใบแห้งตอนก่อนคํา ผู้ปลูกไม้ดอกบางคนใช้ระบบนี ตอนทีต้นยังเล็กและเปลยี นปไใช้ระบบทีใหน้ ํ าเฉพาะโคนต้นเมอื ต้นเริมเกิดตาดอก หรือใกล้เวลานําไปจําหน่ายได้ 1) การใช้สายยางหรือบัวรดนํ า เป็นการใช้แรงงานคนให้นํ ากับพืช ถ้าใช้สายยางควรมีทีกระจายนํ า(Water breaker) ทีปลายสายยาง เพอื ให้นํ ากระจายเป็นฝอยหยาบจนละเอียดอย่างสมําเสมอ ไม่ควรใช้นิวรองทีปลายสายยางจะทําให้เกิดนํ าแรงฉีดไปทีต้นไม้ ถ้าเป็นต้นเล็กงๆยิไม่เหมาะ

172 ภาพที 8.2 การให้นํ าโดยใช้สายยาง ถ่ายภาพโดย สมพงษ์ ทองเด็จ 2) สปริงเกอร์ คือการให้นํ าผ่านมาทางท่อใหญ่ แล้วกําหนดจุดทีติดตั งหัวฉีดไว้ทีปลายท่อทีแยกออกตั งฉากกับท่อใหญ่อยู่เหนือพืชทีปลกู ในระยะทีห่างทีจะให้นํ าได้สมํามเสอ หวั ฉีดจะให้นํ าเป็น0.1; 0.5;0.75 ของวงกลม ถ้าใช้กลางแจ้งลมจะพัดละอองนํ าปลิว 3) มิสต์และหมอก เป็ นการให้นํ าไปในอากาศรอบๆต้น เป็ นระบบทีทําใหอ้ ากาศรอบๆเยน็ ลงด้วย มิสต์ให้นํ าเปน็ ละอองฝอยมากกว่านํ าจากสปริงเกอร์ คือละอองนํ ามีขนาด10-20ไมครอน (เมด็ ฝนมีขนาดเท่ากบั 100 ไมครอน) มักใชใ้ นการปักชําเพือลดการคายนํ าของใบพืชส่วนระบบพ่นหมอก (Fog) คล้ายกับมสิ ต์แต่ให้ละอองนํ าเล็กกว่า ต้องการให้ละอองนํ าระเหยไปในอากาศก่อนถงึ ต้นพืช บริเวณรากอาจแห้งทั งๆทีพมุ่ ใบมคี วามชืนสูง 4) บูม (Boom) บูมเป็ นเครืองมือให้นํ าเหนือต้นโดยเคลือนไปช้าๆ บนรางท่อนํ าพร้อมๆกัน กบั ฉีดนํ าให้ต้นพืชออกมาทางหัวฉีด สามารถใชค้ อมพิวเตอร์ควบคุมการให้นํ าด้วยความเร็วตามความต้องการและเลือกให้นํ ากับบางโตะ๊ ทีวางกระถางได้ 1.2.2 การให้นํ าทีระดับดิน(Surface irrigation system) คือการให้นํ าทีระดับผิวดินไม่ให้ใบเปี ยกชืน 1) ระบบนํ าหยด ให้นํ ามาตามท่อและมีรูให้นํ าหยดเป็ นระยะๆลงมาทีระดบั ผวิ ดินบริเวณโคนชา้ ๆ และสมําเสมอ ตอ้ งมีตัวกรองและตัวปรับความดนั นํ า มักเปิ ดนํ1า0-15 นาทีทุก 2 ชัวโมง

173 2) ระบบสปาเก็ตตี ให้นํ ามาตามท่อใหญ่ มีหวัจ่าย (header) ขนาด 0.5-0.75 นิ วจ่ายไปตามท่อเล็กๆ เส้นผ่าศูนย์กลาง0.125 นิว เหมือนเส้นสปาเก็ตตี มาทีแต่ละกระถาง ปลายท่อมีลูกตุ้มถ่วงอยู่กับที 1.2.3 การให้นํ าใต้ผวิ ดิน(Subsurface หรือ Subirrigation system) คือการให้นํ าซึมขึ นทางด้านล่างของวัสดุปลูกเป็นระยะเวลาหนึงแล้วระบายออก 1) Capillary mat วิธีนี วางกระถางบนวัสดุทีดูดซึมนํ าได้ดีคล้ายพรม มีความหนา3 มลิ ลิเมตร หรือ 0.125 นิว เรียกว่าmat โดยใช้พลาสติกสีดําปูโต๊ะทีวางกระถางเสียก่อนแล้ววางmat ลงไป ให้นํ าด้วยสายยางหรือท่อนํ าบนmat และทําให้ชนื ตลอด แล้ววางกระถางบน matอีกทีหนึ ง ทีก้นกระถางมีรูเพือให้นํ าซึมขึ นไปด้วยการซึมตามรูเล็ก(Capillary action)อย่างต่อเนือง 2) Ebb and flow วางกระถางในถาดอลูมเิ นียมยาว 15-20 ฟุต มีขอบด้านข้างเพือให้เก็บนํ าไว้ได้ ให้นํมาาทางท่อ ระดับนํ าลึกประมาณ1 นิ ว ให้นํ าถูกดูดขึ นทางก้นกระถางเป็ นระยะเวลาหนึ งเช่น 5-20 นาที แล้วระบายออกอยา่ งอัตโนมัติ นํ าทีระบายออกไปสามารถนําไปกรองแล้วใช้ได้อีก 3) Ebb and flood floor เป็ นพืนทีคอนกรีตมีความลาดเลก็ น้อยสําหรับระบายนํ าขนาด 21 หรือ 24×100 ฟตุ ให้นํ าระดับสูง1-1.5 นิ ว ใช้นํ าประมาณ7,570-11,355 ลิตร ใช้ท่อนํ าขนาดเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 6 นิ ว ในเวลา 4 นาทีแล้วระบายออกผ่านท่อเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ วใช้เวลาอีก 4 นาที กระถางทีวางอยู่บนพืนจะดูดนํ าเข้าไป1-2 นาทีแรกเท่านั น เท่ากับใช้นํ าเพียง10% อีก 90% จะไหลกลับไปทีบ่อเกบ็ นํ าแล้วนําไปใช้ได้อกี 4) Trough irrigation วางกระถางในถาดโลหะกว้าง 4-6 นิ ว ลึก 1 นิ ว มีความยาวตามโต๊ะทีวางกระถาง ปรับระดับให้มีความลาดเทเล็กน้อย ใส่นํ าเข้าทางด้านสูงของถาดใหไ้ หลไปทางด้านตํา แล้วเกบ็ นํ าทีระบายออกไว้สูบเข้ามาใช้ได้อกี พืชจะดดู นํ าขึ นมาทางรูก้นกระถางเหมือนระบบ Ebb and flow 5) Furrow Irrigation คือการปลูกพืชในแปลงกลางแจ้งเป็ นแถวแคบๆ แล้วขุดข้างๆ เป็นร่องลึก 6-8 นิว ปล่อยนํ าเข้าตามร่องให้รากดดู นํ าไปใช้ไ(ดน้ ันทิยา, 2545)

174 1.3 การให้ปุ ๋ ย(Fertilizing) ปัจจัยควบคุมการเจริญเติบโตของไม้ดอกไม้ประดับมีอยู่หลายประการ เช่นพันธุ์ไม้ นํ าการจัดการดิน และปุ ๋ ยการป้ องกันกําจัดศัตรูพืชและการเขตกรรมอืนๆ สําหรับประเทศไทยมีการประเมนิ ว่า ปัจจัยทีเป็นตวั จํากัดผลผลติ พชื มากทีสุดคือ นํ ารองลงมาคือ ปหุ ๋ ยรือธาตุอาหารพชื ในดิน(วเิ ชียร, 2546) ดังนั นการให้ปุ ๋ ยจึงมคี วามสําคัญและจําเป็ นต่อการผลิตไม้ดอกไม้ประดับ เพราะดินปลูกไม้ดอกไม้ประดับทัว ๆไป มักจะขาดปุ ๋ ยหลัก โดยเฉพาะธาตุไนโตรเนจ(N) ฟอสฟอรัส (P)และโพแทสเซียม (K) ถ้าจะให้ไม้ดอกไมป้ ระดับเจริญเติบโตได้ดี มขี นาดรูปทรงและคุณภาพดีจึงต้องใหป้ ุ ๋ ยกับไม้ดอกไม้ประดับตามความต้องการและการขาดปุ ๋ ยแต่ละชนิดของพชื แต่ละอย่าง 1.3.1 การจําแนกธาตุอาหารพืช ธาตุอาหารทีพืชต้องการนําไปใช้ในการเจริญเติบโต มอี ยู่ทั งหมด16 ธาตุ จําแนกออกเป็น2 พวก ดังต่อไปนี 1) ธาตุอาหารทีไดจ้ ากนํ าและอากาศ ได้แก่ คาร์บอน((C) ไฮโดรเจน(H) และออกซิเจน(O) 2) ธาตุอาหารทีได้มาจากดินมี 13 ธาตุ คือ ไนโตรเจน(N)ฟอสฟอรัส (P)โพแทสเซียม(K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) กํามะถัน (S) เหล็ก( Fe) แมงกานีส (Mn) สังกะสี (Zn)ทองแดง (Cu) โมลิบดินัม (Mo)โบรอน (B) คลอรีน (Cl) ปริมาณและความเหมาะสมของธาตุอาหารเหล่านี จะเป็ นตัวกําหนดความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินทีมีความอุดมสมบูรณ์สูงหมายถึงดินทีมีสถานภาพทีจะให้ธาตุอาหารทั ง13 ธาตุครบถ้วนและแต่ละธาตุมปี ริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของไม้ดอกไม้ประดับทีปลูก ไม้ดอกไม้ประดับทีได้รับธาตุอาหารเพียงพอตามความต้องการ ไม้ดอกไม้ประดับนั นจะเจริญเติบโตเป็นปกติ ผลิตดอกออกผลตามช่วงอายุหรือฤดกู าลทีเหมาะสม ส่วนทีได้รับธาตุอาหารไมเ่ พยี งพอจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็น ซึงลักษณะความผิดปกติเมอื ขาดธาตอุ าหารต่างๆได้แสดงไว้ในตารางที7.1

175ตารางที 8.1 ลักษณะอาการผิดปกติของพชื เมือขาดธาตุอาหาร ธาตุอาหาร บริเวณของพืชทีแสดง ลักษณะอาการไนโตรเจน อาการ ระยะแรกมสี ีเหลืองปนส้มเมอื ขาดรุนแรงมากฟอสฟอรัส ใบลา่ งของต้น(ใบอายุ ขึ น ปลายใบและขอบใบแห้งโพแทสเซียม มากหรือใบแก่) ใบสีแดงอมมว่ ง ใบลา่ งหรือลําต้น ระยะแรกมสี ีเหลืองหลังจากนั นจะเปลยี นเป็น ใบล่าง สีนํ าตาลไหม้ โดยเริมจากปลายใบลกุ ลามเข้า สู่กลางใบแมกนีเซียม ใบล่าง เนือเยือระหวา่ งเส้นใบจะเป็นสีเหลอื งแต่เส้น ใบย ั งเป็ นสีเขียวปกติโมลบิ ดินัม ใบล่าง สีเหลือง บางครั งเกิดจุดสีนํ าตาลแคลเซียม ใบบนของต้น(ใบอายุ สีเหลอื ง บางครั งจะมจี ุดสีนํ าตาลเกิดขึ นใบ น้อยหรือใบออ่ น) อาจม้วนงอและยอดหงิกกํามะถัน ใบบนหรือยอด สีเหลอื งหรือสีเขียวอ่อนเหล็ก ใบอ่อนทียังไม่โตเต็มที เนื อเยือระหว่างเส้นใบจะเป็ นสีเหลืองหรื อสี เขียวซีด เส้นใบยังสีเขียวปกติ ใบทีแสดงแมงกานีส ใบอ่อนทียังไม่โตเตม็ ที อาการมขี นาดเล็กลงกว่าปกติ ใบจะมีสีเหลืองระหว่างเส้นใบ ส่วนเส้นใบยังสังกะสี ใบบน เขียวอยู่ เกิดสีเหลอื งระหว่างเส้นใบ ขอบใบไหม้มีจุดทองแดง ใบบน สีนํ าตาลแดงลําต้นยืดยาวช้าและใบแคบเล็ก ใบพชื มสี ีเขียวระยะแรกๆ ต่อมาค่อยๆเหลอื งโบรอน ใบบน ลง ในทีสุดกช็ ะงักการเจริญเติบโต ใบย่นและหนาผิดปกติและเปราะ ผลเกิดเป็นคลอรีน ใบบน จุดสีนํ าตาลหรือสีดํา ทีมา: วเิ ชียร ฝอยพิกลุ . 2546. ใบจะเหียวและเหลอื ง ใบมีสีปรอนซ์

176 1.3.2 ชนิดของปุ ๋ ยทีใช้ในการปลูไกม้ดอกไม้ประดับชนิดของปุ ๋ ยมอี ยู่ด้วยกันหลายชนิดซึงได้จากสิงทีมชี ีวิตและสิงทีไม่มชี ีวิตจําแนกได้เป็น 1) ปุ ๋ ยอินทรีย์คือสารประกอบทีได้จากสิงมีชีวิตได้แก่ซากพืชซากสัตว์ จุลินทรีย์ผ่านกระบวนการผลิตทางธรรมชาติ ปุ ๋ ยอนิ ทรีย์ส่วนใหญ่ใช้ในกาปรรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน ทาํ ให้ดินร่วนซุย ระบายนํ าได้ดี และถ่ายเทอากาศได้ดี รากชอนไชไปหาแร่ ธาตุได้ง่ายปุ ๋ ยอนิ ทริยส์่วนมากจะใช้เป็ นปุ ๋ ยรองก้นหลุมหรือผสมดินปลูกพืช แต่ตอ้งใชป้ ุ ๋ ยเก่า จึงจะไม่เป็ นอันตรายต่อพืช มอี ยู่ 3 ประเภทคือ ปุ ๋ ยคอก ปุ ๋ ยหมัก ปุ ๋ ยพืชสด - ปุ ๋ ยคอก(animal manure) ได้แก่ปุ ๋ ยทีได้จากมลู สตั วท์ุกชนิด เช่น วัว ควาย ม้า เป็ ดไก่ แกะ ห่าน ค้างคาว สุกร ปุ ๋ ยคอกเป็นปุ ๋ ยทีมีธาตุอาหารทีพืชต้องการอยู่พอมร้จึงเหมาะกับการใช้กับพวกพืชต้นออ่ นทีตอ้ งการธาตุไนโตรเจนมาก มูลสัตว์มักมีธาตุฟอสฟอรัสตํา ยกเว้นปุ ๋ ยคอกทีได้จากไก่ การใช้ปุ ๋ ยคอกใสก่ล้าไม้ดอกไม้ประดับไม่ควรใช้ปุ ๋ ยคอกใหม่ เพราะจะเกิดการหมักทําให้เกิดความร้อนซึงเป็นอันตรายต่อพืช ปุ ๋ ยคอกใหอ้ ินทรียวัตถุแก่ดิน ทําให้ดินร่วนซุย ถ่ายเทอากาศสะดวก และเพิมประสิทธิภาพในการอุ้มนํ าของดินให้ดีขึ น การให้ปุ ๋ ยคอกเพียงอย่างเดียวโดยไมเ่ สริมด้วยธาตุฟอสฟอรัส จะทําให้ดินมีธาตุไนโตรเจนหรือธาตุโพแทสเซียมมาก ทําใหพ้ ืชเจริญเติบโตมากเกินไป คุณภาพกล้าไม้ดอกล้มลุกไมแ่ ขง็ แรง อ่อนแอ - ปุ ๋ ยหมัก(compost) คือ ปุ ๋ ยทีได้จากการหมักสารอินทรี ย์ให้สลายตัวผุพังตามธรรมชาติ โดยนําสิงเหลา่ นั นมากองรวมกัน รดนํ าให้ชืน แล้วปล่อยทิงไว้ให้เกิดการย่อยสลายตัวโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ จึงนําไปปรับปรุงดิน ในการเตรียมกองปุ ๋ ยหมัก อาจใส่ปุ ๋ ยเคมี อเพชื ่วยเร่งกิจกรรมของจุลินทรี ย์ในดิน และเป็ นการเพิ มคุณค่าด้านธาตุอาหารของปุ ๋ ยหมักด้วย(มกุ ดา, 2543) - ปุ ๋ ยพืชสด(green manure) หมายถึงต้นพืชชนิดต่างๆทีปลูกไว้หรือขึ นเองตามธรรมชาติทีเราไถกลบหรือขุดกลบลงไปในดิน เพือปรับปรุงสภาพของดินใหด้ ีกว่าเดิม พืชทีนิยมใชท้ ําปุ ๋ ยพืชสด ได้แก่พืชตระกูลถัว เช่นถัวชนิดต่างๆ ปอเทือง โสน และพืชธรรมดา เช่นขา้ วข้าวโพด ข้าวฟางและหญ้า ปุ ๋ ยอินทรียม์ ีปริมาณธาตุอาหารพืชอยู่น้อยเมือเทียบกับปุ ๋ ยเคมีและธาตุอาาหรพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปสารประกอบอินทรีย์ เช่นไนโตรเจนอยใู่ นสารประกอบจําพวกโปรตีนเมือใส่ลงไ ป ใ น ดิ น พื ช จ ะ ไ ม่ ส า ม า ร ถดู ด ซึ ม ไ ป ใช้ป ร ะ โ ย ช น์ ไ ด้ทัน ที ต้อ ง ผ่า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ย่อ ย ส ลา ยโดยจุลินทรีย์ในดิน แล้วปล่อยธาตุอาหารเหล่านั นออกมาในรปู สารประกอบอนินทรีย์เช่นเดียวกับปุ ๋ ยเคมี จากนั นพืชจึงดูดไปใช้ประโยชนไ์ ด้

177 2) ปุ ๋ ยอนินทรี ย์ เป็ นปุ ๋ ยทีได้จากหินแร่หรื อจากการผสมของมนุษย์ จึงเรี ยกว่าปุ ๋ ยวิทยาศาสตร์หรือปุ ๋ ยเคมี ปุ ๋ ยชนิดนี ใช้ง่าย พืชสามารถดูดไปใชเล้ไดย้ แต่ต้องใส่ในปริมาณทีจํากัดใส่มากไม้ดอกไม้ประดับกจ็ ะตาย ราคาค่อนข้างแพง แต่ให้ผลเร็ว ปุ ๋ ยเคมีแบ่งออกได้ดังนี - ปุ ๋ ยเดียว(Single salt fertilizer) เป็ นปุ ๋ ยทีมีธาตุอาหารพืชตัวเดียวสามารถนําไปผสมกันเป็นปุ ๋ ยสูตรตามทีต้องการได้ เช่น ปุ ๋ ยสูตร46-0-0 (ยูเรีย), 0-50-0, 0-0-60 เป็นต้น - ปุ ๋ ยผสมชนิดเมด็ (Granular fertilizer) เป็นปุ ๋ ยทีมีธาตุอาหารพชื ตั งแต2่ ตัวขึ นไปผสมกัน อัดเป็นเม็ดขายตามตลาด มีมากมายหลายสูตร หลายยีห้อ เช่น16-20-0, 15-15-15,13-13-21 เป็นต้น - ปุ ๋ ยผสมละลายน(ํ Wา ater soluble fertilizer) เป็นปุ ๋ ยผสมทีมีคุณสมบัติละลายนํ าได้เร็วรูปร่างมักเป็นเกล็ดหรือเป็นนํ าปุ ๋ ยทีเข้มขก้น่อนใช้นําไปใส่นํ าให้ละลายเช่นปุ ๋ ยเกล็ดทีมขี ายอยู่ตามท้องตลาด เราเรยี กว่าปุ ๋ ยทางใบ คือใช้ฉีดพน่ เข้าทางปากใบ สามารถนําไปใช้ได้เร็วกวา่ วิธีอนื ๆ - ปุ ๋ ยผสมละลายช้า (Slow release fertilizer) เป็ นปุ ๋ ยผสมทีถูกเคลือบโดยสารเคมีพวกเรซิน เนือปุ ๋ ยอยู่ข้างใน เมือใส่ให้ไม้ดอกไม้ประดับแล้วจะค่อยๆปล่อยธาตุอาหารพืช ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม ออกมาจากผิวเม็ดปุ ๋ ยทีเคลือบไว้ มีอายุการใช้งานอยู่ประมาณ3-8 เดือน แล้วแต่ชนิดของปุ ๋ ยและยีหอ้ เช่น ปุ ๋ ยOsmocote Mag Ampเป็ นต้น มีหลายสูตร เช่น 14-14-14, 17-17-17, 24-8-16, 10-46-0 บางชนิดมีธาตุอาหารรองเช่น18-6-12 Mg หรือ 16-8-12 + 2 MgO เป็นต้น 1.3.3 วิธีการใส่ปุ ๋ ยให้กับไม้ดอกไม้ประดับ ทั งปุ ๋ ยอินทรีย์และปุ ๋ ยอนินทรีย์ มีวธิ ีการใส่ปุ ๋ ยทีเหมอื นๆ กันแต่ปุ ๋ ยอนินทรีย์ จะมีวธิ ีการทงี่ายและสะดวกกวา่ ปุ ๋ ยอนิ ทรีย์ เช่นปุ ๋ ยคอก ปุ ๋ ยหมัก ซึงวธิ ีการใส่ปุ ๋ ยมอี ยู่หลายวธิ ี ดังนี 1) ใส่ก่อนการปลกู พืช (Initially mixed) เป็ นการใส่ปุ ๋ ยรองก้นหลุมปุ ๋ ยทีใช้อาจเป็นปุ ๋ ยคอกหรือผสมกับปุ ๋ ยเคมใี ส่ในดินก่อนทีจะปลูกพืชลงไป การใส่ปุ ๋ ยควรใช้ร่วมกบัปูนขาวหรือปุ ๋ ยซุปเปอร์ฟอสเฟต(0-46-0) หรือใช้ปุ ๋ ยทีมเี รโชตําเช่น 15-15-15, 14-14-14 2) ใส่ปุ ๋ ยบริเวณผิวหน้าดิน(Soil surface) ส่วนมากจะเป็นปุ ๋ ยเคมชี นิดเม็ด ลงบนผิวหน้าดิน ใส่บริเวณโคนต้นไม้ดอกไม้ประดับ อย่าให้ชิดโคนซึงจะเป็นอันตรายต่อต้นพชื แล้วใช้ช้อนปลูก จอบตักดินหรือพรวนดินกลบเม็ดปุ ๋ ยระวังอย่าให้รากพืชกระทบกระเทือน การใส่ปุ ๋ ยแบบนี ใช้กับไม้กระถางและการปลูกไม้ดอกไม้ประดับลงแปลงทีมีจํานวนต้นไม้มาก ๆ ก็ได้ข้อสําคัญในการให้ปุ ๋ ยแลจ้วะต้องให้นํ าทันที อาจเกิกดารชะล้างของปุ ๋ ยบ้าง ปกติเวลาใหปุ้ ๋ ยจะให้ทุก ๆ 10-15 วันต่อครั งปริมาณของปุ ๋ ยทีใชข้ึ นอยู่กับชนิดของไม้ดอกไม้ประดับเช่นปุ ๋ ยสูตร

17815-15-15 หรือ 15-30-15 วิธีการอาจจะใช้โรย หวา่ น หรือขดุ ร่องตืน ๆ รอบทรงพมุ่ ของไม้ดอกไม้ประดับ 3) ใส่ปุ ๋ ยโดยการฉีดพ่นลงบนหรือใต้ใบพืช(Foliar spray) เป็นการให้ปุ ๋ ยประเภทปุ ๋ ยเกล็ดละลายนํ าได้ง่าย สูตรปุ ๋ ยจะมลี ักษณะพิเศษ คือ มธี าตุอาหารพืชมาก จัดเป็นปุ ๋ ยเสริมหรือเร่งการเจริญเติบโตเฉพาะพชื เช่น พวกไม้ดอกล้มลุกต่าง ๆจะใช้ได้ผลดีมาก เช่น ดาวเรือง พิทูเนียเป็นต้น สูตรทีมจี ําหน่ายและใช้กันมากในปัจจุบันไดแ้ก่ สูตร 13-0-46, 10-52-13,6-32-32, และ12-30-42 + MgO เป็นต้น การใส่จะนําปุ ๋ ยเกล็ดมาละลายนํ าตามสัดส่วน ใส่เครืองฉีดพ่นบริเวณบนและใต้ใบให้ทัว ปุ ๋ ยจะดดู ซึมเาขไ้ปทางปากใบได้ดี พืชจะโตเร็ว ให้ผลเร็ว 1.3.4 ใส่ปุ ๋ ยในรูปสารละลาย(Water soluble application) เป็นการให้ปุ ๋ ยโดยใช้ปุ ๋ ยทีอยู่ในรูปสารละลายชนิดเข้มขน้ นํามาผสมหรือละลายนํ า แล้วรดลงบนต้นหรือบนดินทีปลูกพืชการให้ปุ ๋ ยชนิดนี นิยมกันมากในปัจจุบันเพราะสามารถให้ปุ ๋ ยไปพร้อมกับการให้นํ า เช่น การให้นํ าแบบหยด การให้ปุ ๋ ยพร้อมกับการให้นํ า เราเรียกว“่าFertigation” ความเข้มข้นจะใชป้ ระมาณ200ppmเช่น สูตร 20-20-20 เป็นต้น 1.3.5 ข้อควรระวังในการใส่ปุ ๋ ยไม้ดอกไม้ประดับเพือให้เกิดประโยชนแ์ กต่ ้นพืชมากทีสุดควรมีขั นตอนและวิธีการปฏิบัติดังนี 1) ควรใส่ปุ ๋ ยห่างจากโคนต้นพอสมควร หรือตามขนาดของทรงพมุ่ 2) ควรใส่ปุ ๋ ยในปริมาณน้อย ๆ แต่ใส่บ่อยครั งจะมี ประโยชน์มากกวก่าารใส่ปุ ๋ ยในปริมาณทีมาก และนานๆครั ง 3) ปุ ๋ ยแต่ละชนิดจะมวี ิธีการใช้ทีแตกต่างกันดังนั นจึงจําเป็นต้องศกึ ษาการใช้ปุ ๋ ยให้มีความเหมาะสมกับชนิดของไม้ดอกไม้ประดับนั นๆ 4) การใช้ปุ ๋ ยควรอ่านฉลากของการใช้ให้ถูกต้อเงหมาะสมกับไม้ดอกไม้ประดับแต่ละชนิด 5) ถ้าเป็นปุ ๋ ยเม็ด หลังจากใปสุ่ ๋ ยแล้คววรให้นํ าทันที 6) ถ้าเป็นปยุ ๋ ในรูปของสารละลาย ควรละลายด้วยนํ าอุ่น สารละลายทีได้จะต้องสะอาดไมเ่ ช่นนั นเครือง Injector จะตันได้

179 1.4. การป้ องกันกําจัดศตั รูพืชในไม้ดอกไม้ประดับ ในการป้ องกนั กําจัดศตั รูพืชไม้ดอกไม้ประดับมีความสาํ คัญและจําเป็ นในการผลิตไม้ดอกไม้ประดับเป็ นอยา่ งมาก ซึงการจําแนกประเภทศัตรูพืชของไม้ดอกไม้ประดับจําแนกได้ตามลักษณะและวิธีการไดห้ ลายประการ ดังนี 1.4.1 ประเภทของศัตรูไม้ดอกไม้ประดับมอี ยู่หลายประเภท ทีเป็นอันตรายต่อพืชทําให้ผลผลิตหรือไม้ดอกไม้ประดับมคี ุณภาพไม่สมบรู ณ์ แบ่งออกไดด้ ังนี 1) แมลงศัตรูพืช เป็นศัตรูพืชทสี ําคัญของไม้ดอกไม้ประดับซึงตัวอ่อนหรือตัวเต็มวัยของแมลงเกือบทั งหมดจะกัดกินพืชเพือเป็ นอาหาร ถ้าแมลงระบาดและทําลายพันธุ์ไม้ ทําให้เกิดความเสียหายมาก ดังนั นผู้ผลิตไม้ดอกไม้ประดับจะตอ้ งศึกษาชนิด ประเภท ลักษณะการทําลายและการป้ องกันกําจัดแมลงศัตรูพชื ดังนี (1) ชนิดของแมลงศัตรูพชื ทีสําคัญ ได้แก่ - ตักแตน เป็ นแมลงทีทําลายไม้ดอกไม้ประดับโดยการกัดกินใบ กิง ก้านดอก และรากพืชให้เสียหายมาก - หนอนผีเสือ เป็นแมลงทีหากินทั งกลางวันและกลางคืนส่วนทีทําลายช่วงทีเป็นตัวอ่อน หรือตัวหนอน ลักษณะการทําลายจะกัดกินส่วนของราก ใบ ต้น กิง ดอก ของพันธุ์ไม้ให้เสียหาย ได้แก่ หนอนผีเสือกลางคืนต่าง ๆ เช่น หนอนกระทู้ หนอนหนงั เหนียว หนอนแก้วหนอนลา่ น หนอนผักบุ้ง เป็นต้น - แมลงปี กแขง็ และด้วงต่าง ๆ เป็นแมลงทีทําลายพชื โดยใช้ทั งปากกัดกิน เช่นพวกด้วงแรด ด้วงงวง แมลงค่อมทอง และปากประเภทเจาะดดู เช่น แมลงปี กแขง็ บางชนิด - เพลียและไรแดงต่าง ๆ เป็นแมลงศัตรูพืชประเภทปากเจาะดูด โดยจะดูดนํ าเลี ยงจากรากใบ กิง ต้น และดอก ของพันธุ์ไมใ้ ห้เหียวเฉาและร่วงหล่น ตลอดจนทําใหพ้ ืชชะงักการเจริญเติบโต เช่น เพลยี อ่อน เพลียแป้ ง เพลียไฟ เพลียเกล็ดหอย และไรแดง (2) การป้ องกันกําจัดแมลงศัตรูไม้ดอกไม้ประดับทีสําคัญ แบ่งได้เป็ น2 ประเภทใหญ่ๆคือ - การป้ องกันกําจัดโดยวิธีกล (Mechanical control) ไดแ้ ก่ กําจัดแมลงโดยวธิ ีดังนี เช่น การไถพรวนดิน หรือการเขตกรรม, การปลูกพืชหมุนเวียน,การกําหนดวันปลูก,การทําลายโดยเกบ็ ไข่ ตัวอ่อนของแมลงทําลาย, การทําความสะอาดโรงเรือนและบริเวณทีปลูก,การตัดแต่งทรงพุ่มและรูปทรง, การใช้เหยือหรือกับดักทําลาย, การควบคุมวิธีทางชีวภาพ, การปลูกพันธุ์ทีต้านทางแมลงศัตรแู ละการกําหนดเขตหรือด่านกักกันพืช

180 (3) การป้ องกันกําจัดโดยวิธีใช้สารเคมี (Chemical control) การป้ องกันวธิ ีนี จะใช้สารเคมฆี ่าแมลงฉีดพ่นใหแ้ ก่ต้นพืชทีเกิดโรคระบาด สารเคมีทีใชม้ ปี ระเภทดดู ซึมและประเภทถูกตัวตาย เลอื กสารเคมใี ห้เหมาะสมกับแมลงทีระบาด รวมทงั อัตราส่วนทีผสมใช้ให้ตามฉลากสารเคมเี ป็นสําคัญ สารเคมที ีใช้ได้แก่ ฟูราดาน3 จี, เซฟวิน 85, เอส-85,มาลาไธออน, พาราไธออนเคลเทน,ไดเมทโธเอท, แลนเนท,ดีลดริน เป็นต้น ถ้าหน้าฝนให้ใชส้ ารจับใบช่วยด้วยในการผสม 2) โรคพืช (Diseases) เป็นการเปลยี นแปลงขบวนการใช้พลังงาน ระบบการดํารงชีวติของพชื ไปจากปกตกิ ่อให้เกดิ ความเสียหายแก่ต้นพืช ซึงอาจเกิดจากสิงมีชีวติ หรือสิงไม่มชี ีวิตการป้ องกันกําจัดโรคจะต้องรู้ สาเหตุของโรคนั นให้ถูกต้อง จึงจะป้ องกันกําจัดได้ ประเภทของโรคพืชทีเกิดกับไม้ดอกไม้ประดับ แบ่งออกตามลักษณะของสาเหตุได2้ ประเภท ดังนี (1) โรคพืชทีมีสาเหตุมาจากสิงทีไมม่ ีชวี ิต ได้แก่ - โรคพืชทีเกิดจาการขาดธาตุอาหาร เช่นขาดธาตุโบรอน ธาตุเหล็ก - โรคพืชทีเกิดจากความเป็นกรดเป็นด่างของดนิ ปลูก - โรคพชื ทีเกิดจากปัจจัยสภาพแวดล้อม เช่น แสง อณุ หภมู ิ (2) โรคพืชทีมสี าเหตุจากสิงทีมชี ีวิต ซึงแบ่งตามลักษณะของการทําลายของ เชือโรค ได้แก่ - โรคที เกิดจากเชื อราต่ าง ๆ (Fungi) ได้แก่โรคเน่ าเกิดจากเชือ Phytopthera caetorum, โรคเน่าแห้งหรือเหียวเฉา เกิดจากเชือ Fusarium oxysporum,โรคใบจุด เกิดจากเชือ Cercospora sp. การป้ องกันกําจัดใช้ทั งวิธีกลและใช้สารเคมีกําจัดเชือราฉีดพ่น เช่น ออร์โธไซด์ (Orthoside) นาติฟิ น ไธแรม ซินเน็บ มาเน็บ เทอราคลอ เฟอร์บามแคบแทน โดยอาจจะใช้ฉีดพ่นให้ทัวต้น ใบ บางชนิดใช้รดราดลงดิน - โรคทีเกิดจากเชือแบคทีเรียต่าง ๆ (Bacteria) โรคทีสําคัญระบาดมากได้แก่ โรคเน่า เกิดจากเชือ Erwinia sp,โรคเหียวเฉา เกิดจาก Bacterial wilt การป้ องกันกําจัดใช้ทั งวธิ ีกลและการใช้สารเคมกี ําจัดเช่น ใช้ยาปฏิชีวนะฉีดพน่ ได้แก่ สเตปโตมัยซิน เป็นต้น - โรคทีเกิดจากเชือไวรัสต่าง ๆ (Visa) เป็นเชือโรคทีระบาดมาก รักษาให้หายขาดยากลักษณะโรคทีพบได้แก่ อาการใบด่าง ใบสีเหลืองขาวปนสีเขียว ใบบิดม้วน และซีดขาว ดอกร่วง การป้ องกนั กําจดั วิธีทีดีทีสุด คือ หาพันธุ์ตา้ นทานมาปลูกให้การป้ องกันโดยวธิ ีกลก็ได้ 3) วัชพชื (Weeds) เป็นศัตรูพืชทีแย่งอาหารธาตุในดินทีปลกู ไม้ดอกไม้ประดับ มีผลทําให้ต้นไม้ดอกไม้ประดับแคระแกร็น ชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตมคี ุณภาพไม่ดี จําหน่ายไมไ่ ด้ราคา ดังนั นผู้ผลติ ไม้ดอกไมร้ปะดับจะต้องรู้ประเภทและการป้ องกันกําจัดวัชพชื ดังนี

181 (1) ประเภทของวัชพชื ทีสําคัญ ได้แก่ - วัชพืชใบกว้าง ได้แก่ ผักแวน่ กะเพราผี ผักเบี ย กผเสั ี ยนผี - วัชพชื ใบแคบ ได้แก่ หญ้าคา หญ้าตีนกา หญ้าปากควาย แห้วหมู (2) การป้ องกันกําจัดใช้ทั งวิธีกล คือ ถอน ถาก เผา ไถ พรวน และการใช้สารเคมีฉีดพ่น เช่น แพนโซน กรัมม๊อกโซน สปาร์ค ไฮวาเอ็กซ์ เป็นต้น 4) ศัตรไู ม้ดอกไม้ประดับทีสําคัญประเภทอืน ๆ นอกเหนือจากทีกล่าวมาแล้วได้แก่ (1) ไส้เดือนฝอย (2) หอยทากยักษ์ (3) สัตว์พวกแทะ กัด ได้แก่ กระแต กระรอก หนู เป็นต้น (4) สุนัข โค กระบือ ศัตรูพวกนี มักทําลายไมด้ อกไมป้ ระดับทําให้เกิดโรค กัดกินและแทะเล็มไม้ดอกไม้ประดับใหต้ ายได้ การป้ องกันกําจัดได้โดยใช้วิธีกลต่าง ๆ รวมทั งสารพิษล่อหรือยาฉีดป้ องกันเช่นเดียวกับแมลงศัตรูพืชก็ได้ 1.5. การตัดแต่งรูปทรง การตัดแต่งรูปทรงไม้ดอกไม้ประดับโดยทวั ๆ ไปมคี วามสําคัญมาก โดยเฉพาะไม้ดัดและไม้แคระ ตลอดจนไม้ดอกไม้ประดับเพือประดับแปลงต่าง ๆจะต้องมีการตัดแต่ง กิงก้าน ใบและทรงพุ่มให้สวยงาม ซึงมวี ัตถปุ ระสงค์และวิธีการตัดแต่งดังนี 1.5.1 วัตถุประสงค์ของการตัดแต่ง เพือใหไ้ ม้ดอกไม้ประดับมีคุณภาพและลักษณะตรงตามความต้องการของผู้ผลติ และผู้บริโภคมดี ังนี 1) เพอื ให้ไม้ดอกไม้ประดับมีรูปทรงสวยงาม เช่น บอนไซไม้ดัด ไม้แคระ 2) การตัดแต่งเพือดูรูปทรงและชนิดของพนั ธุ์ไม้ เป็ นหลกั ทัวๆไป ของการดูแลรักษาพันธุ์ไม้ให้สวยงาม 3) เพอื ให้ทรงพ่มุ โปร่ง แสงสว่างส่องได้ทัวถงึ การเจริญเติบโตเป็นปกติ 4) เพือเป็นการป้ องกันกําจัดแมลงศัตรูพชื ทีอยู่กับไม้ดอกไม้ประดับหรือร่มใบไม้เป็นแหลง่ หลบซ่อนของแมลงศัตรูพืช 5) เพือให้คุณภาพของใบ กิง ดอก ของพชื มีคุณภาพดี มขี นาดใหญ่ สมบรู ณ์ ตรงกบัความต้องการของตลาด 6) เพือให้ไม้ดอกไม้ประดับกระถางมีรูปทรงเตี ยกะทัดรัด รูปทรงดี หรือเหมาะสมกับกระถางทีปลูก

182 1.5.2 วิธีการตัดแต่งไม้ดอกไม้ประดบั ขึ นอยู่กบั ชนิดของพืช การใช้ประโยชน์ของพันธุ์ไม้ ขนาด และทรงพมุ่ ของพันธุ์ไมโ้ ดยมีวิธีการดังนี 1) การเด็ดยอด เป็ นการหรื อปลิดส่วนยอดของพืชออก เพือบงั คับให้ต้นไม้แตกกิงข้างเป็ นพุ่มแจ้ ดอกบานพร้อมกนั ขนาดดอกใหญ่ กา้ นดอกเท่า ๆ กนั ใชม้ ากในพวกไม้ดอกกระถาง ไม้ตัดดอกต่าง ๆ การทําควรทําอย่างประณีตแลมะีความชํานาญ 2) การตดั แต่ง ควรใชก้ รรไกรหรือเลือยตัดแต่งกิงโดยการตดั แต่งกิงออกจากลําต้น ส่วนใหญ่ต้องตัดตามรูปทรงของพันธุ์ไม้มักใชก้ ับไม้ตัดทรงพุ่มทัวๆไปในการจดั สวนไม้ประดับไม้ดอกยืนต้นต่าง ๆ ถ้าเปน็ ไม้ใหญ่หลังการตัดแต่งเสรจ็ ต้องทายาสมานแผลทุกครั งเพือกันนํ าและเชือโรคเข้า เช่นสีนํ ามัน ปูนกินหมาก การตัดแต่งกิงหรือตัดแต่งรูปทรงควรเลือกตัดแต่งในช่วงต้นฤดฝู น เพือให้ต้นไม้เจริญเติบโต แตกกิงก้านได้เร็วขึ นดังภาพที 8.3 ภาพที 8.3 การตัดแต่งปาล์มอนิ ทผลัม ถ่ายภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ1.6 การเปลียนภาชนะปลูก การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ โดยเฉพาะไม้กระถาง เมือปลูกไประยะหนึ งแล้วโดยทัวไปไม้ดอกไม้ประดับจะชะงกั การเจริญเติบโต คือ จะมีรูปทรงแคระแกร็น คุณภาพใบ ดอก ผลมขี นาด เล็กและมสี ีไมส่ วย เนืองจากสารอาหารทีเราผสมในดินหมด รากแน่น การระบายนํ าไม่ดีระบายอากาศไม่สะดวก วิธีการแกไ้ ขโดยเราจะตอ้ งมีการเปลียนภาชนะปลกู ใหม่ให้ใหญ่ขึ นเพิมดินเตมิ ลงไปใหมใ่ ส่ปุ ๋ ยและสารดดู ซึมเพอื ให้ไม้ดอกไม้ประดับเจริญเติบโตได้ต่อเนือง

183 1.6.1 วิธีการเปลียนกระถางปลูกไม้ดอกไม้ประดับ มีขั นตอนและวิธีการทีต้องทําเป็นขั นตอน เพือไม่ให้ไม้กระถางทีเปลยี นเหียวเฉา โดยมีวธิ ีการดังนี 1) ถอดกระถางต้นไม้เก่าออก การใช้ไม้ลิมดันก้นกระถาง หรือใช้แช่นํ าใหด้ ินอ่อนตัว จะถอดง่าย โดยใช้มอื ซ้ายรับไว้ 2) นํากระถางใหม่ ขนาดใหญ่กว่าเดิมมาแช่นํ าให้อิมตแัวล้วรองก้นด้วยกระถางแตก 3) ใส่ดินผสมตามสูตรลงไปในกระถางประมาณ 2 ใน 3 ของความสูงกระถาง 4) นําต้นไม้เก่าทีถอดกระถางแล้วตัดแต่งรากและดินปลูกเก่าออกบ้าง ประมาณ1 ใน 3ของดินเดิม ถ้าเป็นไม้ทีตายง่ายไม้ต้องแกะดินเก่าออก พร้อมทั งตัดแต่งทรงพุ่มด้วยจากนั นนําใส่ลงบนดินให้อยู่ตรงกลางกระถาง 5) ใส่ ดินผสม กลบและกดโคนต้นไม้ให้แน่ นพอสมควร อย่าใส่ ดิ น พูนพ้นขอบกระถางควรเหลอื ขอบกระถางไว้ 1 นิว 6) ใช้ไม้หลักปักยึดลําต้นไว้ อย่าให้โยกกลับ 7) นําเกบ็ ไว้ในโรงเรือน ดแู ลรักษาต่อไป 1.6.2 การปฏิบตั ิดูแลรักษาไมก้ ระถางทีเปลียนแล้ว ปฏบิ ัติเช่นเดียวกับการดแู ลรักษาไม้ดอกไม้ประดับในกระถาง เช่นการให้นํ า การให้ปุ ๋ ย การป้ องกกันําจัดศัตรูพชื เป็นต้น2. การจัดวางพันธุ์ไม้ให้เป็ นหมวดหมู่ การจัดหมวดหมู่ของพันธุ์ไม้ในเรือนโรงทีผลติ ไม้ดอกไม้ประดับจําหน่ายนั นนับว่ามีความสําคัญและจําเป็นมาก โดยจัดวางเรียงให้อยู่กันเป็นหมวดหมโู่ ดยมากมักจะปฏิบัติกับไม้ดอกไม้ประดับกระถางเท่านั น 2.1 วัตถุประสงค์ของการวางพันธุ์ไม้ให้เป็ นหมวดหมู่ การวางไม้ดอกไม้ประดับให้เป็นหมวดหมู่ มีวัตถุประสงค์ทีสําคัญดังนี 2.1.1 เพือจะได้ ทราบชนิด ขนาด และประเภทของพันธุ์ไม้ 2.1.2 เพอื ความเป็นระเบียบสวยงามของเรือนโรงทีเลียงดูพันธุ์ไม้ 2.1.3 เพือประโยชนใ์ นการเช็คจํานวน ปริมาณของพันธุ์ไม้ได้ถูกต้อง 2.1.4 เพอื สะดวกในการปฏบิ ัติดแู ลรักษาพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ 2.1.5 ช่วยทําให้การเจริญเติบโตของไม้ดอกไม้ประดับมคี วามสมําเสมอกัน มีคุณภาพเท่าเทียม กันทุกต้น มีรปู ทรงสวยงาม 2.1.6 ช่วยป้ องกันการระบาดของโรคแมลงได้ดขี ึ น 2.1.7 เพอื ประโยชน์ในการศึกษาวจิ ัยพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับต่างๆ

184 2.1.8 เพอื ให้เกิดการระบายนํ าและอากาศภายในโรงเรือนดีขึ น 2.1.9 ป้ องกันการสูญหายของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ได้ คือ หยิบก็ง่าย หายก็รู้ ดูกง็ ามตา 2.2 วิธกี ารจัดวางพันธุ์ไม้ให้เป็ นหมวดหมู่ การจัดวางพันธุ์ไมม้ ีหลักและวิธีการทีวางพันธุ์ไม้ให้เป็นหมวดหมู่ ตามหลักการ และลักษณะนิสัยของพันธุ์ไมด้ ังนี 2.2.1 การจัดวางตามหลักพฤกษศาสตร์ โดยจัดวางพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับตามตระกูลสกุล ชนิด และสายพันธุ์ของไม้ดอกไม้ประดับนั น เช่น พวกโกสน ไทร กหุ ลาบ หน้าวัว มีชือป้ ายแขวนติดไว้ให้รู้ โดยจดั วางเป็นแปลง ๆ เป็นหมู่ ๆ พวก ๆ ไป 2.2.2 การวางพันธุ์ไม้ตามลักษณะนิสัยของพันธุ์ไม้ โดยวางไม้ดอกไม้ประดับแต่ละชนิดได้แก่ 1) ไม้ในร่ม เช่น บอนสี หน้าวัว เฟิ ร์น สาวน้อยประแป้ ง เป็นต้น 2) ไม้กลางแจ้ง เช่น โกสน ไทร เล็บครุฑ ดาวเรือง กหุ ลาบ เป็นต้น 3) ไม้นํ า เช่น บัว กก สาหร่าย สันตะวา เป็นต้น 4) ไม้หัว เช่น กระเจียว หวา่ นสีทิศ ซ่อนกลินฝรัง เป็นต้น 5) ไม้ยืนต้น เช่น ประดู่ นนทรี หางนกยูงฝรัง เป็นต้น 6) ไมพ้ ่มุ เช่น แก้ว ชบา หูปลาซ่อน เป็นต้น 7) ไม้เถาเลือย เช่น พวงเงิน พวงชมพู เล็บมอื นาง เป็นตน้ 8) ไม้ล้มลุก เช่น หงอนไก่ ดาวเรือง แพนซี เป็นต้น 9) ไม้อวบนํ า เช่น กระบองเพชร กุหลาบหิน อะกาเว่ ภาพที 8.4 การวางไม้ดอกไม้ประดับกลางแจ้ง ถ่ายภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ

185 2.2.3 การจัดวางพันธุ์ไม้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ โดยมุ่งประโยชน์ของพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับเป็ นหลักดังนี 1) ไม้สําหรับจัดสวน ได้แก่ ไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ 2) ไม้ประเภทเป็นยาสมนุ ไพร ได้แก่ พยับหมอก แก้ว ฯลฯ 3) ไม้ใช้ใบ ดอกในการจัดแจกัน กระเช้า และของชํารวย 2.2.4 การจัดวางกระถางไม้ดอกไม้ประดับบนชั นวางพันธุ์ไม้หรือเรียกวB่าench ซึงใช้ลักษณะการจําแนกพันธุ์ไม้เหมือน ๆ กับ ข้อ1-3 แต่มวี ธิ ีวางกระถางทีจํากัดขนาดพืนที ใช้กับพนั ธุไ์ ม้ทีปลูกในกระถาง4-8 นิว แยกได้ดังนี 1) การวางแบบไมเ่ คลอื นทีหรือขยับอีก(Nomove) คือวางให้มีระยะห่างระหว่างกระถาง35X 35 ซม. วางจนถงึ ส่งขาย 2) การวางแบบขยับหรือเคลือนย้ายอกี 1 ครั ง(One move) คือ ปลูกไม้กระถางแล้ววางบนโต๊ะใหม้ ีระยะห่างระหว่างตน้ ขนาด 22 X 22 ซม.ก่อน พอเลี ยงไปได้2-4 สัปดาห์พันธไุ์ ม้ได้ทรงพมุ่ ใหญ่ ให้ขยับกระถางให้มรี ะยะห่างประมาณ35 X35 ซม. 3) การวางแบบขยับ2 ครั ง(Two move) เป็นการปลูกไม้กระถางวาง 18X18 ซม.ก่อนสักระยะหนึ ง ไม้ได้ขึ นให้ขยับ1 ครั งเปน็ 22 X22 ซม. เมือเลี ยงไปทรงพุ่มใหญ่ขึ นก็ขยับอีก1 ครั ง คือ ระยะ35 X 35 ซม. ต่อไปก็ไมข่ ยับอกี ไม้นํ า เช่น บัว กก สาหร่าย สันตะวา เป็นต้น 4) การวางแบบขยับได้มากกว่า 2 ครั ง(Multi move) เป็ นการจัดวางพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดบั กระถางแบบขยับเปลยี นทีระยะห่างของกระถางได้ตลอดเวลาคือ ต้นโต พุ่มชิดเมือไรกข็ ยับเมอื นั น ภาพที 8.5 การวางไม้ดอกไม้ประดับจนถึงส่งขาย ถา่ ยภาพโดย สมพงษ์ ทองเด็จ

186สรุป การปฏบิ ัติดูแลรักษาไม้ดอกไมป้ ระดับ เป็ นสิงทีจําเป็ นในการทีจะให้ไม้ดอกไม้ประดับมีรูปทรงสวยงาม มีลักษณะและคุณภาพดี เหมาะสําหรับการนาํ ไปใช้ประโยชน์หรือจําหน่ายวิธีการดแู ลรักษาไม้ดอกไม้ประดับมหี ลายวิธีได้แก่ 1. การพรวนดิน เพือใหด้ ินโปร่ง ร่วนซุย การระบายนํ าและการระบายอากาศดีทําใหพ้ ืชเจริญเติบโตได้ดี 2. การให้นํ า นํ าเป็ นปัจจัยทีสาํ คญั ทีสุดในการเจริญเติบโต เพราะนาํ เป็ นตัวทําละลายธาตุอาหารเพือให้พืชเจริญเติบโต วิธีการให้นํ ามีหลายแบบหลายวิธีขึ นอยู่กับชนิดของพันธุ์ไม้แหลง่ นํ าและเงินทุนในการจัดซือวัสดุอุปกรณ์ในากรระบบนํ า 3. การให้ปุ ๋ ย ปุ ๋ ยเป็นแหลง่ ให้ธาตุอาหารพืช ปุ ๋ ยแบ่งออกเป2็นประเภทคือปุ ๋ ยอนิ ทรีย์ และปุ ๋ ยอนินทรีย์ ปุ ๋ ยอินทรียไ์ ด้แก่ ปุ ๋ ยคอก ปุ ๋ ยหมัก ปุ ๋ ยพืชสด ส่วนปุ ๋ ยอนินทรียไ์ ด้แก่ปุ ๋ ยเคมีสูตรต่างๆ วิธีการให้ปุ ๋ ยม2ี วธิ ีคือ การใส่ปุ ๋ ยก่อนการปลูกพชื และใส่ปุ ๋ ยบริเวณผิวหน้าดิน วิธีการให้ปุ ๋ ยขึ นกับชนิดของพืชและชนิดของปุ ๋ ย 4. การป้ องกันกําจัดศัตรูพืชของไม้ดอกไม้ประดับ ศัตรูไม้ดอกไม้ประดับมีหลายประเภทได้แก่ แมลงศัตรูพชื โรคพชื วัชพชื และศัตรูพชื ประเภทอืนๆ - แมลงศัตรูพชื ทีเปน็ อันตรายต่อไม้ดอกไม้ประดับได้แก่ หนอนผเี สือ ด้วงและแมลงปี กแข็ง เพลียต่างๆ และไรแดง - โรคพืช เกิดจากสิงมีชีวิตและสิงไม่มีชีวิต โรคทีเกิดมาจากสิงมีชีวิตไดแ้ ก่โรค ทีเกิดจาก เชือรา เชือแบคทีเรีย และเชือไวรัส ส่วนโรคพืชทีเกิดจากสิ งไม่มีชีวิตได้แก่โรคทีเกิดจากการขาดธาตุอาหาร และสภาพแวดล้อมทีไม่เหมาะสม - วัชพืช เป็ นพืชทีแย่งนํ าแย่งอาหารในดินจากไม้ดอกไม้ประดับ วัชพืชมี 2 ประเภทคือวัชพชื ใบแคบและวัชพชื ใบกว้าง - ศัตรูพชื ชนิดอนื ๆ เช่นไสเ้ดือนฝอย หอยทาก และสัตว์เลียง 5. การตัดแต่งรูปทรง เป็ นการตัดแต่งให้ต้นไม้มีความสวยงาม เหมาะสมกับชนิดของพันธุ์ไม้และการไปใช้ประโยชน์ 6. การเปลียนภาชนะปลูกหรือเปลยี นกระถางปลูก เป็นการทําให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้อยา่ งต่อเนือง ไม่แคระแกร็น

187 การจัดวางพันธุ์ไม้ใหเ้ ป็ นหมวดหมู่ มีวัตถุประสงคท์ ีสําคญั หลายประการ เช่น เพือให้ทราบขนาด ประเภท จํานวน และเพือความสะดวก ความสวยงาม ช่วยป้ องกันโรคและแมลงและอืนๆ ส่วนวิธีการจัดวางพันธุ์ไม้ มีหลายวิธีเช่น จัดวางพันธุ์ไม้ให้เป็ นหมวดหมแู่ บ่งออกได้ดังนี 1. การจัดวางตามหลักพฤกษศาสตร์ 2. การจัดวางพันธุ์ไม้ตามลักษณะนิสัยของพันธุ์ไม้ เช่น ไม้ในร่ม ไม้กลางแจ้งไม้นํ า ไม้หัว ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ฯลฯ 3. การจัดวางพันธุ์ไม้ตามลักษณะการใช้ประโยชน์ เช่นการจัดสวน ยาสมนุ ไพร 4. การจัดวางกระถางไม้ดอกไม้ประดับบนชนั วางพันธุ์ไม้หรือเรียกว่า Bench

188 แบบทดสอบก่อนเรียนวิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดับ รหัสวิชา 2501-2104เรืองที 8 การปฏิบัติดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดับคําชีแจง จงทําเครอื งหมาย กากบาท (x) หวั ข้อทีถูกต้องทีสุดเพียงข้อเดยี ว1. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องก. ถ้าดินแข็งควรใส่ปุ ๋ ยเคมีก่อนพรวนดินข. หลีกเลียงการพรวนดนิ ให้โดยราหกพชืค. หลังพรวนดินควรใส่ปุ ๋ ยปละรดนํ าทันทีง. ควรพรวนดนิ รอบๆกระถางห่างจากต้นพอประมาณ2. การให้นํ าไม้กระถางทีถูกวิธีคือก. รดนํ าให้ใบเปี ยกมากทีสุดข. รดนํ าตอนเย็นและให้น้อยๆค. รดนํ าตอนเช้าและรดให้มากทีสุดง. รดนํ าทีละน้อยแต่บ่อยครั งก่อนตะวันตกดิน3. ข้อใดคืออาการขาดธาตุฟอสฟอรัสของพชืก. ใบเหลอื งส้มข. ใบสีแดงอมม่วงค. ใบเหลืองหรือเขียวอ่อนง. ใบเหลอื งมจี ุดสีนําตาลไหม้4. แมลงศัตรูไม้ดอกไม้ประดับในข้อใดทําลายพืชดโยวธิ ีปากกัดก. เพลียหอยข. เพลียแป้ งค. หนอนแก้วส้มง. ผีเสือมวนหวาน5. เพลียไฟไรแดงทําลายไม้ดอกไม้ประดับดโยวิธีใดก. กัดกินยอดอ่อนข. ทําให้รูปทรงใบเปลยี นรูปค. ดดู นํ าเลียงจากส่วนของพืชง. ทําให้พชื สังเคราะหแ์ สงไม่ได้

1896. วิธีทีดีทีสุดของการป้ องกันกําจัดโรคทีเกิดจากเชือไวรัส ก. กําจัดโดยวธิ ีกล ข. ใช้ยาปฏชิ ีวนะฉีดพน่ ค. หาพันธุ์ต้านทานมาปลูก ง. ใช้สารเคมปี ระเภทดูดซึมพ่นทําลาย7. ขอ้ ใดเป็นวัชพืชใบแคบทั งหมด ก. หญ้าคา ผักเบี ย ข. ผักแว่น หญ้าตีนกา ค. ผักโขมหิน กะเพราผี ง. แห้วหมู หญ้าปากควาย8. ไม้ประดับในข้อใดทีจําเป็นต้องตัดแต่งกิง ก. ปาล์มจีน ข. อินทผาลัม ค. หมากเหลอื ง ง. ปาล์มฟอกซ์เทล9. ไม้ดอกไม้ประดับทีต้องวางในกลมุ่ เดียวกัน ก. กก วา่ นสีทิศ ข. ชบา หูปลาช่อน ค. สัตตบรรณ ปาล์มจีน ง. สาวน้อยปะแป้ ง โกสน10. ข้อใดไม่ใช่ข้อดีของการจัดวางไม้กระถาง ก. ไม่สะดวกในการจัดจําหน่าย ข. ป้ องกันการสูญหายของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ค. ช่วยป้ องกันการระบาดของโรคแมลงได้ดีขึ น ง. เพอื จะได้ ทราบชนิด ขนาด และประเภทของพันธุ์ไม้

190 แบบทดสอบหลังเรียนวิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดบั รหสั วิชา 2501-2104เรืองที 8 การปฏบิ ัติดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดบัคําชแี จง จงทําเครืองหมาย กากบาท (x) หัวข้อทีถูกต้องทีสุดเพียงข้อเดยี ว1. ข้อใดคืออาการขาดธาตุฟอสฟอรัสของพชืก. ใบเหลอื งส้มข. ใบสีแดงอมมว่ งค. ใบเหลืองหรือเขียวอ่อนง. ใบเหลอื งมจี ุดสีนําตาลไหม้2. แมลงศัตรูไม้ดอกไม้ประดับในข้อใดทําลายพชื โดยวิธีปากัดก. เพลียหอยข. เพลียแป้ งค. หนอนแก้วส้มง. ผีเสือมวนหวาน3. ไม้ดอกไม้ประดับทีต้องวางในกล่มุ เดียวกันก. กก วา่ นสีทิศข. ชบา หูปลาช่อนค. สัตตบรรณ ปาล์มจีนง. สาวน้อยปะแป้ ง โกสน4. ข้อใดไม่ใช่ข้อดีของการจัดวางไม้กระถางก. ไม่สะดวกในการจัดจําหน่ายข. ป้ องกันการสูญหายของพันธุ์ไม้ต่าง ๆค. ช่วยป้ องกันการระบาดของโรคแมลงได้ดีขึ นง. เพอื จะได้ ทราบชนิด ขนาด และประเภทของพันธุ์ไม้5. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกต้องก. ถ้าดินแข็งควรใส่ปุ ๋ ยเคมีก่อนพรวนดินข. หลกี เลยี งการพรวนดินให้โดยราหกพืชค. หลังพรวนดินควรใส่ปุ ๋ ยปละรดนํ าทันทีง. ควรพรวนดนิ รอบๆกระถางห่างจากต้นพอประมาณ

1916. วิธีทีดีทีสุดของการป้ องกันกําจัดโรคทีเกิดจากเชือไวรัส ก. กําจัดโดยวิธีกล ข. ใช้ยาปฏิชีวนะฉีดพ่น ค. หาพันธุ์ต้านทานมาปลูก ง. ใช้สารเคมีประเภทดูดซึมพน่ ทําลาย7. ข้อใดเป็นวัชพชื ใบแคบทั งหมด ก. หญ้าคา ผักเบี ย ข. ผักแว่น หญ้าตีนกา ค. ผักโขมหิน กะเพราผี ง. แห้วหมู หญ้าปากควาย8. การให้นํ าไม้กระถางทีถูกวธิ ีคือ ก. รดนํ าให้ใบเปี ยกมากทีสุด ข. รดนํ าตอนเย็นและให้น้อยๆ ค. รดนํ าตอนเช้าและรดให้มากทีสุด ง. รดนํ าทีละน้อยแต่บ่อยครั งก่อนตะวันตกดิน9. ไม้ประดับในข้อใดทีจําเป็นต้องตัดแต่งกิง ก. ปาล์มจีน ข. อินทผาลัม ค. หมากเหลือง ง. ปาล์มฟอกซ์เทล10. เพลียไฟไรแดงทําลายไม้ดอกไม้ประดับโดยวิธีใด ก. กัดกินยอดอ่อน ข. ทําให้รูปทรงใบเปลยี นรูป ค. ดดู นํ าเลียงจากส่วนของพืช ง. ทําให้พืชสังเคราะหแ์ สงไมไ่ ด้

192 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน รหสั วิชา 2501-2104วิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดบัเรืองที 8 การปฏบิ ัติดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดบั ข้อ เฉลย 1ก 2ง 3ข 4ค 5ค 6ค 7ง 8ข 9ข 10 ก

193 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น รหสั วิชา 2501-2104วิชา การผลิตไม้ดอกไม้ประดบัเรืองที 8 การปฏบิ ัติดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดบั ข้อ เฉลย 1ข 2ค 3ข 4ก 5ก 6ค 7ง 8ง 9ข 10 ค

194 หน่วยที 9 การจัดการหลังการเกบ็ เกียว การเพิมมูลค่าผลผลิตและการนําไม้ดอกไม้ประดบั ไปใช้ประโยชน์สาระสําคัญ การจัดการหลังการเก็บเกียวไม้ดอกไม้ประดับนั นมีความสําคัญไม่น้อยกาวพ่ ืชชนิดอืนๆจุดประสงค์สําคัญทปี ฏิบัติกับไม้ดอกไม้ประดับขณะการเก็บเกยีวและหลังการเก็บเกียวให้ผลผลิตนั นมีคุณภาพดี เป็นทีต้องการของลูกค้าอย่างสมบรู ณ์จนกว่าจะถึงมอื ลูกค้า การเพิมมูลค่าผลผลิตหลังการเก็บเกียว จะเป็ นเทคนิควิธีการของเกษตรกรและผู้รู้ทัวไปมานาน การปฏิบัติอาจจะมาจากเหตุปัจจัยบางอยา่ ง อาจเป็ นเพราะผู้ทีชอบศึกษาหาความรู้และทดลองของแปลกๆใหม่ๆ เช่นการนําต้นกวนอิมมาถักเป็ นรูปแจกัน ซึงเป็ นการเพิมมลู ค่าผลผลิตหรือการเปลยี นยอดของไม้ดอกไม้ประดับเพอื ใหไ้ ด้ดอกไม้หลายๆสี ในต้นเดียวกัน หรือเป็ นการนําไม้ประดับไปปลูกในผลของตีนเป็ดนํ าเพือเพิมมูลค่า งซเปึ ็นการคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคลจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ทัวไป 1. เพอื ให้มคี วามรู้ความเข้าใจทางสรีระวทิ ยาของไม้ดอกไม้ประดับ 2. เพือให้มคี วามรู้ความเข้าใจถงึ หลักการปฏบิ ัติการหลังการเกบ็ เกียวไม้ดอกไม้ประดับ 3. เพือให้เข้าใจวธิ ีการเพมิ มูลค่าผลผลิตไม้ดอกไม้ประดับ 4. เพอื ให้ได้นําไม้ดอกไม้ประดับไปใช้ประโยชนต์ ่างๆ 5. เพอื ให้นักเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ เรืองความรับผิดชอบ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. สามารถมีความรู้ความเข้าใจเกียวกับสรีระวทิ ยาของไม้ดอกไม้ประดับ 2. สามารถบอกหลักการปฏิบัติการหลังการเก็บเกียวไม้ดอกไม้ประดับได้อย่างถูกต้อง 3. อธิบายวิธีการเพิมมูลค่าผลผลติ ได้อย่างถูกต้อง 4. บอกการนําไม้ดอกไม้ประดับไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง

195เนือหาสาระ1. การจัดการหลังการเก็บเกียวไม้ดอกไม้ประดบั การจัดการหลังการเก็บเกียว(Post harvesting) หมายถึง วิธีการปฏิบัติทีเกียวกับการเก็บรักษาพชื ทีเป็นอาหารและพชื สวนประดับพวกไม้ดอก ตั งแต่เก็บจากต้น จนถึงระยะทีพืชนั นถึงมือผู้บริโภค ซึ งจะเน้นหนกั เกียวกับผลิตผลทางด้านพืชสวน คือพืชผัก ไม้ผล ไม้ดอกไม้ประดบัสภาพสดจะไม่เกียวข้องกับพืชไร่ หรือการตากแหง้ และการหมักดองหลักการปฏิบัติหลังการเก็บเกียวไม้ดอกไม้ประดับมีดังน(ี สังคม, 2542) 1.1 ไม้ตัดดอก ไม้ตัดดอก ของประเทศไทยมีการสูญเสียคุณภาพหลังการเก็บเกียวเร็วมาก เนืองจากประเทศไทย มีสภาพอากาศร้อน หากต้องให้ดอกไม้มคี ุณภาพดี ขนส่งระยะไกลได้ อายุการใช้งานนาน ควรปฏิบัติดังนี 1.1.1 ลดอุณหภูมิของดอกไม้ (Pre-cooling) ไม้ดอกเมือตัดดอกออกจากต้น จะมีอัตราการหายใจและการระเหยของนํ าสูง เนืองจากอุณหภูมิสูงจึงควรลดอุณหภูมิโดยเร็ว มีวิธีทีลดอุณหภมู ิทีนิยมใช้กันมี2 วธิ ีคือ 1) การแช่นํ า มวี ธิ ีปฏิบัต2ิ วิธีคือ - ตัดดอกไม้แล้วนําแช่นํ าในถังทันทีหลังจากตัดออกจากแปลงโดยการถือถังนํ าติดตัวไปด้วยขณะตัดดอกไม้และนําเข้ามรท่ ันที - นําดอกไม้ทีตัดเข้าร่มจึงแช่นํ าในกรณีนี ควรตัดก้านดอกท1ิง-2 เซนติเมตรแล้วจุ่มนํ าโดยเร็วทีสุด นํ าทีแช่ควรเติมนํ ายาPresenvatives ลงไปด้วย นํ ายานี จะมีส่วนประกอบของนํ าตาลซึงเป็นอาหารของดอกไม้ สารควบคุมการเจริญของจุลนิ ทรีย์และกรดอินทรีย์ 2) การนําเข้าห้องเย็น ดอกไม้ในต่างประเทศจะเก็บรักษาในอุณหภูมิ 1-50องศาเซลเซียส กล้วยไม้สกุลแคทรียา แนะนําให้เก็บรักษาในอุณหภูมิที 9 องศาเซลเซียส ส่วนในประเทศไทยให้ใช้อณุ หภูมิ10 องศาเซลเซียส ซึงสามารถเก็บไว้ได้ประมาณ1 เดือน โดยการใส่ในถงุ พลาสติกและรัดปากถงุ ให้แน่น ในกรณีไมม่ ตี ู้เย็น อาจดัดแปลงโดยใส่ในถังนํ าแข็งบรรจุนํ าแข็งผสมเกลือ ข้อควรระวัง การลดอุณหภูมโิ ดยการบรรจุดอกไม้ในตู้เย็นไม่ควรรวมกับพืชผักและผลไม้เพราะผักและผลไม้จะปลดปล่อยแก๊สแอทธีลินออกมาทําให้ดอกไม้สีซีด กลีบเหียวเฉา การลดอุณหภูมิในตู้เย็นหรือห้องเย็น ควรล้างทําความสะอาดตู้เย็นหรือห้องเย็นบ่อยๆเพือใหอ้ ากาศถ่ายเทได้บ้าง เป็นการลดการสะสมแก๊สคาร์บอนไดออกไซต์ ไม่ให้มากเกินไปและไม่ขาดออกซิเจน(อภิชาติ และพัชร,ี 2555)

196 1.1.2 การคัดคุณภาพ คุณภาพของดอกไม้คือลักษณะทีมองเห็นได้ เช่น ขนาดของดอกสีของกลบี ดอก ความยาวของก้านดอก และตําหนิ ลักษณะต่างๆ เหล่านี รวมตัวกันเป็ นตัวกําหนดในการยอมรับของผู้ซือทีมีต่อดอกไม้ คุณภาพของดอกไม้เป็นสิงกําหนดว่าดอกไม้ชนิดนั นๆจะขายไดม้ ากน้อยเพียงใด (สายชล, 2531) ดังนั นการคัดคุณภาพควรทําการคดั ดอกทีชํ า ไม่ได้คุณภาพออกเสียก่อน แล้วจึงทําการคัดเกรด การคัดเกรดดอกไม้ภายในกําหรือภายในกล่องใหม้ ีคุณภาพใกล้เคียงกันเป็ นสิงสําคัญยิงสําหรับตลาดต่างประเทศ ซึงมีมาตรฐานการคัดเกรดโดยอาศัยลักษณะต่าง ๆ ดังต่อไปนี 1) ความยาวก้านดอก ไมด้ อกทีปักแจกัน เช่น กหุ ลาบ ดอกดาวเรือง เป็นต้น จะเลอื กความยาวก้านซึงแต่ละเกรดจะมคี วามยาวก้านแตกต่างกัน10 เซนติเมตร 2) จํานวนดอก ถ้าเป็นดอกเดียวจะต้องมดี อกเดียวในหนึงก้าน ถ้าเป็นประเภทดอกช่อตลาดจะเป็นผู้กําหนดจํานวนดอกขั นตําต่อช่อไว้ใหใ้ นแลตะ่ เกรดสําหรับดอกไม้แต่ละชนิด หรืออาจจะดคู วามยาวของช่อดอกเป็นมาตรฐานตามทีตลาดลูกค้าต้องการ 3) ความแขง็ แรงของก้านดอกและช่อดอก จะยึดถอื ก้านดอกหลักเป็นสําคัญ 4) รูปร่างหน้าตา โดยทัว ๆ ไปมักจะดรู วมทั งช่อดอก เมือดูแล้วมีลักษณะดีมีจังหวะการเรียงของกลบี ภายในดอกและการจัดเรียงของดอกภายในช่อได้สัดส่วนสวยงาม 5) โรคและแมลง ทั งดอก ใบและก้านดอกจะต้องปราศจากโรคและแมลงใด ๆ ทั งสิ นรวมทั งตําหนิอนื ๆ ด้วย 6) นํ าหนัก ดอกไม้บางชนิดจําหน่ายตามนํ าหนัก ภายในเวลาเดียวกันดอกไม้แต่ละกําจะต้องมจี ํานวนก้านเท่ากัน นํ าหนักเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน 1.1.3 การตบแต่งและการหุ้มดอก ในบางครั งดอกอาจจะมีใบมากเกินไป เช่น กุหลาบควรปลิดใบส่วนล่างออก 1 ใน 3 ของก้านดอก เพราะใบส่วนล่างจะซึมซับนํ าในการปักแจกนัหลังจากการตกแต่งแล้วอาจมีการห่อดอกดว้ ยกระดาษบางนุ่มหุ้มกลีบดอกไม้ไม่ให้ชํ า ปัจจุบันใช้โฟมในการห่อหุ้ม สะดวกในการบรรจุหรือห่อดอก ดอกเดียวหรือหลายดอกด้วยกระดาษแก้วใสซึงมีจําหนา่ ยในท้องตลาดตามยุคสมัย มีทั งสีขาวใสหรือมีสีสวยงามแก่ดอกไม้ด้วย นอกจากนั นยังมีการรักษาคุณภาพด้วยการหุ้มโคนดอกดว้ ยสําลีชุบนํ า แล้วหุม้ ทับด้วยถุงพลาสติก หรือจะเป็ นหลอดพลาสติกทีผลิตเพือสวมก้านดอกโดยเฉพาะ การหุม้ โคนหุ้มทับด้วยสําลีชุบนํ าจะช่วยให้ดอกไม้ได้รับนํ าตลอดเวลาทีขนส่ง วางขาย หรือใช้งาน ปัจจุบันมกี ารมัดกําตามความต้องการของลูกค้า ซึงมีการคุ้มก้านโคนและหอ่ ดอกเรียบร้อยทําให้สะดวกในการจําหน่ายและผู้ใช้งาน

197 ภาพที 9.1 การห่อหุ้มกหุ ลาบ เบญจมาศและลิลลี ถา่ ยภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ 1.1.4 การนําก้านเข้ากํา ดอกไม้แต่ละชนิดจะมจี ํานวนก้านต่อกําหรือต่อกล่องแน่นอนเป็นมาตรฐานเดียวกัน เช่น 10 20 25 หรือ 30 ดอกเป็นต้น โดยมีการจัดเรียงก้านต่อก้าน ดอกต่อดอกประกอบกันเป็นกําไม่ใหใ้ บและดอกเสียหายชอกชํ า รัดด้วยยางทีโคนก้านดอก ระวังอยา่ รัดแน่นมากเกินไป จะทําให้เกิดเชือราได้ง่ายเนืองจากอากาศถา่ ยเทไม่สะดวก และดอกอาจจะเกิดรอยชํ าได้ 1.1.5 การหุ้มดอกทีมัดกาํ เป็ นการหุ้มหรื อห่อดอกทีมดั เป็ นกาํ ๆ เพือการป้ องกันการกระทบกระเทือน และสะดวกในการขนส่ง การหุม้ ห่อดอกทีมัดกําจะมีวิธีดําเนินการหลายวิธีขึ นอยู่กับชนิดของดอกไม้ และระยะเวลาทีขนส่ง ดังนี 1) การหุ้มห่อด้วยกระดาษหนังสือพมิ พ์ใช้สําหรับการขนส่งตลาดใกล้ ๆ เช่น จากสวนบางกรวยไปยังปากคลองตลาด หรื อปากคลองตลาดสู่ผู้ซื อ หรื อส่งไปยังบริ ษัทผู้ส่งออกในระยะใกล้ ๆ กับสวน การห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์อาจจะเกิดการดูดซับความชืนจากใบและดอกทําให้ดอกเหียวเร็วขึ น ฉะนั นดอกไม้ทีใช้วิธีนี ควรเป็ นพวกดอกตูมและชนิดดอกเดียวเทคนิคการห่อ ควรให้ขอบบนของกระดาษสูงขึ นกวา่ ดอก เพือป้ องกันดอกกระทบกระเทือน และขอบล่างควรสูงขึ นมาจากปลายก้านอยา่ งน้อย 10 ซม. เพือว่าเมือตกแต่งเรียบร้อยแล้วสามารถนํามัดดอกไมท้ ีหุ้มดอกนี ไปแช่นํ าระหว่างการรอขนส่ง ในบางครั งจะห่อปิ ดทั งกําเพือสะดวกในการวางขาย 2) การห่อดว้ ยกระดาษพลาสติก หรือกระดาษไข จะช่วยกกั เก็บความชืนได้ดีอาจเป็ นส่วนเร่ งการเจริ ญเติบโตของเชื อราบางชนิดทาํ ให้เกิดโรค ในปัจจุบันจึงมีการใช้กรวยพลาสติกแบบเจาะรูแทนพลาสติกแผ่นเพือให้มีการระบายอากาศบ้าง วัสดุทีใช้ห่อมีการพัฒนาเร็ วมาก มีการใช้พลาสติกพิเศษมีลักษณะการใช้งานที ดี ไม่ค่ อยยับ ทําให้ป้ องกัน

198การกระทบกระเทือนระหว่างมัดต่อมัดได้ดี และยังสะดวกต่อผูซ้ ือสามารถจะนําไปมอบเป็ นของขวัญได้เลย ซึงผู้รับสามารถจะตั งแสดงได้หลายวัน โดยไม่ต้องปักแจกัน เนืองจากมีการเตรียมดอก มัดกําและห่อหุ้มกําเรียบร้อยสวยงามมาก ภาพที 9.2 การห่อดอกไม้เพือเป็นของขวัญ ถ่ายภาพโดยสมพงษ์ ทองเด็จ 1.1.6 การส่งเสริ มคุณภาพของดอกก่อนการขนส่ง การส่งเสริมคุณภาพของดอกไม้ด้วยนํ ายาส่งเสริมคุณภาพ จะทําให้ดอกไม้มีคุณภาพดีในขณะปักแจกัน โดยเฉพาะในดอกทีตัดในระยะตมู ซึงเดิมกลา่ วกันวา่ ถ้าเก็บเกียวดอกในระยะตมู มาก การบานจะมีคุณภาพไม่ดีเนืองจากการสะสมอาหารมนี ้อย ปัจจุบันสามารถแก้ปัญหาดังกลา่ ว โดยใช้นํ ายาส่งเสริมคุณภาพ 1) วิธีการใช้นํ ายาส่งเสริมคุณภาพ การใช้นํ ายาเพือปรับปรุงคุณภาพและยืดอายุการปักแจกันของดอกไม้ สามารถทําได้หลายวีแต่ละวิธีการปฏิบตั ิและวัตถุประสงค์ของการใช้แตกต่างกัน องค์ประกอบและความเข้มข้นของสารเคมใี นนํ ายาทีใช้ในแต่ละวธิ ีแตกต่างกันอีกด้วย - การทําให้ดอกไม้สด วัตถปุ ระสงค์ของการใช้นํ ายาโดยวิธีนี คือ ทําให้ดอไกม้กลับมีสภาพเหมือนเดิม ในกรณีทีดอกไม้ไม่ได้แช่นํ าหรือนํ ายาทันทีหลังการตัด การทําใหด้ อกไม้สดมกั แช่โคนก้านดอกไม้ในนํ าอุ่น37-43 องศา นานประมาณ 4-8 ชัวโมง ทีอุณหภูมิห้องหลังจากนั นจึงนําดอกไม้ไปเก็บในหอ้ งเย็นหรือขนส่งไปยังตลาด การทําให้ดอกไม้สดมักนิยมใช้นํ าดีไอออไนซ์ และมักจะผสมสารฆา่ จุลินทรีย์ลงไปด้วย แต่ไมใ่ ส่นํ าตาล - การเพิมอาหารใหด้ อกไม้ เป็ นการแช่โคนก้านดอกในระยะเวลาเพียงสั น ๆโดยผู้ปลูก ก่อนทําการขนส่งหรือเก็บรักษาเรียกวิธีนี ว่าpulsing หรืออาจจะทําโดยคนกลางหรือ

199คนขายปลีกกไ็ ด้ ดอกไม้ทีผ่านการแช่ในนํ ายาแล้ว เมอื นําไปักแจกันในนํ าทีไม่มีสารเคมีใดๆจะมีอายุการปักแจกันเพิมขึ น องค์ประกอบทีสําคัญของนํ ายาชนิดนี ก็คือ นํ าตาลซูโครสและสารฆา่ จุลินทรีย์ ความเข้มขน้ ของนํ าตาลซูโครสประมาณ5-20% สารฆ่าจุลินทรีย์มักใชเ้งินและPhysan-20 โดยปกติแล้วจะแช่โคนก้านดอกไม้ในนํ ายาจํานวน12-24 ชัวโมง หรืออาจจะสั นกว่านีกไ็ ด้ การแช่โคนก้านดอกในนํ ายาทีมีความเข้มข้นของนํ าตาลและสารฆ่าจุลินทรีย์เพียงระยะเวลาสั น ๆ จะทําให้ดอกไมด้ ูดเอานํ าตาล นํ า และสารฆ่าจุลินทรี ย์เข้าไปสะสมไว้มากภายในดอกสารฆ่าจุลินทรีย์บางส่วนจะเคลือบอยูท่ ีโคนก้านดอก ทําใหด้ อกไม้มีสารอาหารสําหรับใช้ในการหายใจมาก โคนก้านดอกเกิดการอุดตันเล็กน้อย และไมค่ ่อยเน่าเสียเมือนําดอกไม้ไปปักแจกันในนํ าทีไม่มีสารเคมี ดอกไม้ทีได้รับผลดีโดยวิธีนี คือ คาร์เนชัน แกลดิโอลัส เบญจมาศเยอบีร่า - การทําให้ดอกตูมบาน ดอกไม้ไมว่ า่ จะเป็นดอกเดียวหรือดอกช่อทีตัดในระยะทีดอกยังไม่บาน หรือดอกย่อยในช่อดอกบานเพียงบางส่วน สามารถทําให้ดอกบานโดยการใช้นํ ายาเมอื แช่ในนํ ายาจนกระทังดอกบานแล้ว จึงนําดอกไม้ไปใช้งานต่อไป เวลาทีต้องแช่ก้านดอกในนํ ายาเพือทําให้ดอกตูมบานต้องใช้เวลานานกว่าการแช่ก้านดอกไม้ในนํ ายาเพือเพิมอาหารดอกไม้ทีตัดในระยะตมู และสามารถทําให้ดอกบานได้โดยการแช่นํ ายาได้แก่ แกลดิโอลัส กุหลาบ คาร์เนชันเบญจมาศ และกล้วยไม้สกลุ หวาย - การปักแจกัน ดอกไม้ทีตัดในระยะทีดอกเริมบานหรือบานเต็มทีอาจนําไปแช่นํ ายาระหว่างรอการขายทีร้านขายดอกไม้โดยผู้ขายปลีก หรอื ผู้ใชป้ ักแจกนั ในนํ ายาทีบ้านได้ดอกไม้ทีโคนก้านดอกแช่ในนํ ายาตลอดเวลา จะทําให้ดอกไม้มีอายุการวางขายหรื ออายุการปักแจกันนานขึ น นํ ายาประเภทนี จะมรี ดะับความเข้มข้นของนํ าตาลประมาณ10-10% ดอกไม้ทีแช่อยู่ในนํ ายาไม่ต้องตัดโคนก้านดอกหรื อเปลียนนํ ายาอีก ดอกไม้เกือบทุกชนิดยืดอายุการปักแจกันโดยวิธีนี เช่น กุหลาบ แกลดิโอลัส คาร์เนชัน ลิลี เบญจมาศ ดาวเรือง หน้าวัวและกล้วยไม้ เปน็ ต้น (สายชล, 2531) 1.2 ไม้ดอกและไม้ประดับ การจัดการหลังการเก็บเกียวไม้ดอกนั นไม้ดอกในทีนี ไม่ใช่ไม้ตัดดอก แต่เป็ นไม้ดอกกระถางหรือไม้ดอกประดับแปลง ซึงการจัดการหลังการเก็บเกียว ไม้ดอกทั ง2 ชนิดนี ไม่ได้นําดอกไม้ไปใช้ประโยชน์โดยการตัดออกจากต้น แต่เป็นการดูความสวยงามทีบนแปลงปลูก หรือในกระถางดังนั นการจัดการหลังการเก็บเกียวจึงไม่มีความสําคัญกับไม้ดอก2 ประเภทนี ส่วนการเก็บเกียวไม้ประดบั นั น ไม้ประดบั มีอยู่หลายประเภท ดงั นั นการจัดการหลังการเก็บเกียวจึงมีวธิีการทีแตกต่างกัน แล้วแต่ชนิด ขนาดและประเภทของไม้ประดับ ดังนี

200 1.2.1 การเตรียมพันธุ์ไม้สําหรับจําหน่าย มีขั นตอนและวธิ ีการหลายแบบขึ นอยู่กับพันธุไ์ ม้ขนาดของพันธุ์ไม้ และชนิดของพันธุ์ไม้ โดยมขี ั นตอนและวดิธําี เนินการทีใกล้เคียงกันดังนี 1) นําพันธุ์ไม้นั นมาทําความสะอาดตกแต่งรูปทรงให้สวยงามตามความต้องการของตลาด 2) นําพันธุ์ไม้มาจัดเรียงให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ 3) พันธุ์ไม้บางชนิดทีจะจําหน่ายโดยไม่ให้มดี ินติดราก เราควรล้างรากใหส้ ะอาดตัดแต่งรากพร้อมรูปทรงให้ได้ขนาดตามทีต้องการ พร้อมแช่นํ ายาป้ องกันเชือราก่อนบรรจุหีบห่อ 4) การเตรียมพันธุ์ไม้ทุกครั งต้องมีการปรับปรุงคุณภาพของพันธุ์ไม้ให้ดีขึ น 5) การเตรียมพันธุ์ไมท้ ีมีดอกต้องพยายามหาวิธีการทีจะช่วยทําให้ดอกไม้ตั งชูช่อดอกเด่นสวยงาม 6) ภาชนะทีใช้ปลกู หรือบรรจุหีบห่อพันธุไ์ ม้ก่อนจําหน่ายต้องทําความสะอาดและปราศจากเชือโรคหรือสิงสกปรกต่าง ๆ 7) ลักษณะพันธุ์ไม้ทีจะจําหน่ายมอี ยู่หลายรูปแบบ ดังนั นการปฏิบัติในการเตรียมก็แตกต่างกันไปรวมถึงการบรรจุหีบห่อด้วย 8) ก่อนทีจะเตรียมพันธุ์ไม้เข้าบรรจุหีบห่อหรือส่งออกจําหน่าย เราตอ้ งมีการให้ความชืนกับพันธุ์ไม้นั น ๆ ก่อน 1.2.2 การขุดย้ายพรรณไม้ยืนต้น การขุดย้ายพรรณไม้ยนื ต้นมีวัตถุประสงค์เพือการจําหน่ายหรือการย้ายปลกู ในพืนทีอืน ต้องวางแผนและเลือกวิธีการปฏิบัติให้สอดคล้องกบั ความต้องการของผู้ประกอบการประเภทของพรรณไม้ ระยะเวลา และการอนุบาลดูแลรักษาหลังการขุดย้ายพรรณไม้ ซึงมีขั นตอนปฏิบัติในการขุดย้ายพรรณไม้ยืนต้นและต้องพิจารณาสิงทีเกียวข้อง ดังนี(เดชา, 2543) 1) วางผังปลกู ใหร้ ัดกุม เนืองจากพรรณไม้ปลูกลงดินเหล่านี มิใช่การปลูกถาวรแต่จะต้องมีการขุดขึ นมาจําหน่าย ฉะนั นจะต้องจัดผังการปลูกให้สามารถขนย้ายพรรณไม้ออกจากแปลงได้สะดวก โดยจัดช่องทางทีคน หรือรถยกเข้าไปยกพรรณไม้ออกมาได้ ต้องมีทีจอดรถเพือขนส่งพรรณไม้เหลา่ นี ด้วย 2) การเตรียมหลุมปลกู การจะขุดหลุมใหก้ ว้างแคบเท่าใดนั นขึ นอยูก่ บั ขนาดของพรรณไม้เมอื จะขุดขึ นมาขาย โดยปกติพรรณไม้ขนาดใหญ่ตุ้มดินทีขุดติดรากขึ นมา ก็ต้องมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ขนาดของหลุมปลกู นั นควรจะเท่ากับหรือเล็กกว่าขนาดของตุ้มดินดังกล่าว ทั งนีเพอื หล่อให้รากส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตของตุ้มดินทีจะขดุ ขึ นมา พรรณไม้ทีขุดขึ นกจ็ ะไม่โทรมมากและตั งตัวได้เร็ว ภายในหลุมปลูกต้องปรุงดินให้ดีด้วยเพือให้พรรณไม้เจริญเติบโตเร็วและสมบูรณ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook