Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Published by krootapaw paradee, 2022-08-25 08:49:28

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

Search

Read the Text Version

1

2 กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เก่ียวกับธรรมชาติ โดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สารวจ ตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนาผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและ ทฤษฎี ดังน้ันการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วยตนเองมากท่ีสุด นั่นคือให้ได้ท้ังกระบวนการและองค์ความรู้ ต้ังแต่วัยเร่ิมแรกก่อนเข้าเรียน เม่ืออยู่ในสถานศึกษาและเม่ือออก จากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพแล้ว การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามเี ปา้ หมายสาคญั ดงั นี้ ๑. เพ่อื ให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีทเี่ ปน็ พ้ืนฐาในวทิ ยาศาสตร์ ๒. เพื่อให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติและข้อจากัดของวทิ ยาศาสตร์ ๓. เพ่ือใหม้ ที ักษะทีส่ าคัญในการศึกษาคน้ คว้าและคิดค้นทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔. เพอ่ื พฒั นากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปญั หาและการจดั การทกั ษะใน การส่ือสาร และความสามารถในการตัดสินใจ ๕. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์และสภาพแวดล้อมใน เชงิ ทมี่ อี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซง่ึ กนั และกัน ๖. เพ่ือนาความรู้ความเข้าใจในเร่ืองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดารงชีวิต ๗. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยอี ยา่ งสรา้ งสรรค์

3  เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการ เช่ือมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการ สืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทากิจกรรม ด้วยการลงมอื ปฏิบตั ิจริงอยา่ งหลากหลายเหมาะสมกบั ระดับชน้ั โดยกาหนดสาระสาคญั ดงั น้ี ✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต การดารงชีวิต ของมนุษยแ์ ละสตั วก์ ารดารงชวี ติ ของพืช พนั ธกุ รรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวฒั นาการของสง่ิ มชี ีวิต ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เก่ียวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคล่ือนท่ี พลงั งาน และคลน่ื ✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เก่ียวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สง่ิ มชี ีวติ และสิ่งแวดลอ้ ม ✧ เทคโนโลยี ✧ การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เก่ียวกับเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิต ในสังคมท่ีมีการ เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ✧ วิทยาการคานวณ เรียนรู้เก่ียวกับการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นข้ันตอนและ เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร ในการ แกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ติ จรงิ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

4  สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับส่ิงมีชีวิต และ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปลี่ยนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการ แก้ไขปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม รวมทง้ั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสงิ่ มีชวี ิต หน่วยพืน้ ฐานของสง่ิ มชี วี ิต การลาเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางาน สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ี ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทางาน สมั พนั ธ์กนั รวมทั้งนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ วิวฒั นาการของส่งิ มีชวี ติ รวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติ ของการเปล่ียนแปลง สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ิตประจาวนั ผลของแรงทกี่ ระทาตอ่ วัตถุ ลกั ษณะ การเคลื่อนท่ี แบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุรวมทงั้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของ คลื่น ปรากฏการณ์ท่ี เก่ียวขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมท้ัง นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

5 สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาว ฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก รวมทง้ั ผลต่อส่งิ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อม สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชวี ิตในสงั คมทม่ี ีการเปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคานงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สังคม และส่ิงแวดลอ้ ม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเป็น ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหา ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ รู้เท่าทนั และมจี ริยธรรม

6  ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะทางสติปัญญา (Intellectual) ที่นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่นา วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น ๑๓ ทกั ษะ ทักษะที่ ๑ – ๘ เปน็ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพื้นฐาน และทักษะท่ี ๙-๑๓ เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันสูงหรือขั้นผสมหรือข้ันบูรณาการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท้ัง ๑๓ ทักษะ มดี งั น้ี ๑. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอยา่ งใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพ่ือค้นห้าข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลท่ีเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงที่สังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์น้ัน ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิด ทักษะนี้ประกอบด้วยการช้ีบ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะประมาณและการบรรยายการ เปลี่ยนแปลงของส่ิงทส่ี ังเกตได้ ๒. การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ คือ การ อธิบายหรอื สรุป โดยเพ่ิมความคิดเห็นใหก้ ับข้อมูลโดยใชค้ วามรูห้ รือประสบการณ์เดิมมาช่วย ๓. การจาแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลาดับวัตถุหรือสิ่งท่ีมีอยู่ใน ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่าง หนึ่งก็ได้ ความสามารถท่ีแสดงว่าเกิดทักษะน้ีแล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อ่ืนกาหนดให้ได้ นอกจากน้ันสามารถเรียงลาดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของสิ่งของน้ันโดยใช้ อะไรเปน็ เกณฑ์ ๔. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือน้ันทาการวัดหาปริมาณของ ส่ิงต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขท่ีแน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับสิ่งที่วัด แสดงวิธีใช้เคร่ืองมืออย่างถูกต้อง พร้อมท้ังบอก เหตุผลในการเลือกใชเ้ ครื่องมือ รวมท้ังระบหุ นว่ ยของตวั เลขท่ีได้จากการวัดได้ ๕. การใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจานวนของวัตถุและการนาตัวเลขท่ีแสดงจานวนท่ี นับได้มาคดิ คานวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาคา่ เฉล่ยี ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นวา่ เกิดทักษะนี้ ได้แก่ การนบั จานวนสิ่งของได้ถูกต้อง เชน่ ใชต้ ัวเลขแทนจานวนการนับได้ ตัดสนิ ได้ว่าวัตถุ ในแต่ละกลุ่มมจี านวนเท่ากัน หรือแตกต่างกัน เป็นต้น การคานวณ เช่น บอกวิธีคานวณ คิดคานวณ และแสดงวิธีคานวณได้อย่างถูกต้อง และ ประการสุดท้ายคือ การหาค่าเฉล่ีย เช่น การบอกและแสดงวิธกี ารหาค่าเฉลย่ี ได้ถูกต้อง

7 ๖. การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสเปสกับสเปสและสเปสกบั เวลา(Using Space/Time Relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ท่ีว่างที่วัตถุน้ันครองท่ีอยู่ ซึ่งมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุนั้นโดยทั่วไป แล้วสเปสของวตั ถจุ ะมี ๓ มิติ คอื ความกว้าง ความยาว และความสูง ความสัมพนั ธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ไดแ้ ก่ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง ๓ มิติ กับ ๒ มติ ิ ความสัมพันธ์ ระหว่างตาแหน่งที่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหาความสัมพันธ์ ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การช้ีบ่งรูป ๒ มิติ และ ๓ มิติได้ สามารถวาดภาพ ๒ มิติ จากวัตถุหรือจากภาพ ๓ มิติ ได้ ความสัมพันธ์ระหวา่ งสเปสกับเวลา ไดแ้ ก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปล่ียนตาแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับเวลา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับเวลาความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตาแหน่งและทิศทางของวัตถโุ ดยใช้ตวั เองหรือวัตถุอ่ืนเป็นเกณฑ์ บอกความสัมพันธ์ระหวา่ งการเปล่ยี นตาแหน่ง เปลี่ยนขนาด หรือปริมาณของวัตถกุ ับเวลาได้ ๗. การส่ือความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนาข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัด การ ทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทาเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลาดับ จดั แยกประเภท หรือคานวณหาค่า ใหม่ เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้แล้ว คือการเปล่ียนแปลงข้อมูลให้อยู่ ในรูปใหม่ท่ีเข้าใจดีข้ึน โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบท่ีใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่างเหมาะสม บอกเหตุผลในการ เสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอข้อมูลน้ัน การเสนอข้อมูลอาจกระทาได้หลายแบบดังท่ีกล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะ การเสนอข้อมูลในรูปของตาราง การบรรจุข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางปกติจะใส่ค่าของตัวแปรอิสระไว้ทางซ้ายมือ ของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของตัวแปรอิสระไว้ให้เรียงลาดับจากค่าน้อย ไปหาคา่ มาก หรือจากคา่ มากไปหาค่าน้อย ๘. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคาตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัย ปรากฏการณ์ที่เกิดซ้า หลกั การ กฎ หรือ ทฤษฏีทีม่ ีอยู่แล้วในเรื่องน้ันมาชว่ ยสรุป เช่น การพยากรณ์ข้อมูลเกี่ยวกับ ตวั เลข ไดแ้ ก่ ข้อมลู ท่ีเป็นตารางหรือกราฟ ซ่งึ ทาได้สองแบบ คอื การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมลู ท่ีมีอยู่ กับ การพยากรณ์นอกขอบของข้อมลู ที่มีอยู่ เช่น การพยากรณ์ผลของข้อมูลเชงิ ปริมาณ เป็นตน้ ๙. การช้ีบ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้บ่งตัวแปร ตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรทตี่ ้องควบคุมให้คงที่ในสมมุติฐาน หนง่ึ ๆ ตัวแปรต้น หมายถึง สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดผลต่าง ๆ หรือสิ่งที่เราต้องการทดลองดูว่าเป็นสาเหตุท่ี ก่อให้เกดิ ผลเชน่ น้ันจริงหรือไม่ ตัวแปรตาม หมายถึง สิง่ ท่เี ปน็ ผลเน่ืองมาจากตัวแปรต้น เม่อื ตวั แปรต้นหรือส่ิงท่ีเป็นสาเหตุเปลยี่ นไป ตวั แปรตามหรอื สิ่งท่ีเป็นผลจะแปรตามไปดว้ ย ตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง ส่ิงอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นท่ีจะทาให้ผลการทดลอง คลาดเคลอ่ื น ถา้ หากวา่ ไมม่ ีการควบคุมให้เหมือนกัน

8 ๑๐. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคาตอบล่วงหน้าก่อนทาการ ทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คาตอบท่ีคิดล่วงหน้าน้ี ยังไม่ทราบ หรือยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมุติฐาน คือคาตอบท่ีคิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอก ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุตฐิ านที่ตั้งข้ึนอาจถูกหรือผิดก็ได้ซ่ึงทราบได้ภายหลังการทดลอง หาคาตอบเพ่ือสนับสนุนสมมุติฐานหรือคัดค้านสมมตุ ิฐานท่ีตั้งไว้ สิ่งที่ควรคานึงถึงในการต้ังสมมุติฐาน คือ การบอก ชอ่ื ตัวแปรต้นซง่ึ อาจมีผลต่อตัวแปรตามและในการต้ังสมมุติฐานต้องทราบตัวแปรจากปัญหาและสภาพแวดล้อมของ ตัวแปรน้ัน สมมุติฐานท่ีตั้งขึ้นสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการทดลอง ซึ่งต้องทราบว่าตัวแปรไหนเป็นตัว แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ตี ้องควบคุมให้คงท่ี ๑๑. การกาหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถึง การ กาหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ท่ีอยู่ในสมมุติฐานท่ีต้องการทดลองและบอกวิธีวัดตัวแปรท่ีเกี่ยวกับ การทดลองนนั้ ๑๒. การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบตั ิการเพื่อหาคาตอบจากสมมตุ ิฐานท่ีตั้งไว้ ในการทดลองจะประกอบไปดว้ ยกจิ กรรม ๓ ข้นั คอื ๑๒.๑ ออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจรงิ ๑๒.๒ ปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ เหมาะสม ๑๒.๓ การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลท่ีได้จากการทดลองซ่ึงอาจเป็น ผลจากการสังเกต การวัด และอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบันทึกผลการทดลองอาจอยู่ในรูปตาราง หรอื การเขยี นกราฟ ซึง่ โดยทวั่ ไปจะแสดงคา่ ของตวั แปรตน้ หรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัวแปรบนแกน ตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมท้ังแสดงให้เห็นถึงตาแหน่งของค่าของตัวแปรทั้งสองบน กราฟ ในการทดลองแต่ละคร้ังจาเป็นอาศยั การวิเคราะห์ตวั แปรต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง คือสามารถท่ีจะบอกชนิดของ ตัวแปรในการทดลองว่า ตัวแปรน้ันเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตัวแปรท่ีต้องควบคุม ในการทดลองหน่ึง ๆ ต้องมีตัวแปรตัวหนึ่งเท่าน้ันที่มีผลต่อการทดลอง และเพ่ือให้แน่ใจว่าผลท่ีได้เกิดจากตัวแปรนั้นจริง ๆ จาเป็นต้อง ควบคุมตัวแปรอืน่ ไม่ให้มีผลต่อการทดลอง ซ่งึ เรยี กตวั แปรนวี้ ่าตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงท่ี ๑๓. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป(Interpreting Data and Making Conlusion)การ ตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมายข้อมูล ใน บางครั้งอาจต้องใช้ทักษะอ่ืนๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคานวณ เป็นต้น และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุป ความสัมพันธ์ของข้อมูลท้ังหมด ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ของ ข้อมูลได้ เช่น การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถ้ากราฟเป็นเส้นตรงก็สามารถอธิบายได้ว่าเกิด อะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะท่ีตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรก่อนท่ีกราฟเส้นโค้งจะเปล่ียนทิศทางและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลังจากท่ีกราฟเส้น โคง้ เปลย่ี นทิศทางแลว้

9  คณุ ภาพผ้เู รยี น จบชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๓  เข้าใจลกั ษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัตบิ างประการของวสั ดุที่ใช้ทาวัตถุและการเปลีย่ นแปลงของวัสดุ รอบตวั  เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การเคล่ือนที่ของวัตถุ พลังงานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟา้ การเกดิ เสยี ง แสงและการมองเหน็  เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ข้ึนและตกของดวงอาทิตย์ การ เกิดกลางวันกลางคืน การกาหนดทิศ ลักษณะของหิน การจาแนกชนิดดินและการใช้ประโยชน์ ลักษณะและ ความสาคญั ของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม  ตั้งคาถามหรือกาหนดปัญหาเก่ียวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามท่ีกาหนดให้หรือตามความสนใจสังเกตสารวจ ตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสารวจตรวจสอบด้วยการเขียน หรอื วาดภาพ และสือ่ สารสิ่งที่เรยี นรดู้ ้วยการเลา่ เร่อื ง หรือดว้ ยการแสดงท่าทางเพอื่ ให้ผอู้ ื่นเข้าใจ  แกป้ ัญหาอย่างงา่ ยโดยใชข้ น้ั ตอนการแกป้ ญั หา มีทักษะในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร เบอ้ื งตน้ รกั ษาข้อมลู ส่วนตัว  แสดงความกระตือรือร้น สนใจท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องท่ีจะศึกษาตามท่ี กาหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ มีส่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ผู้อืน่  แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซ่ือสัตย์ จน งานลุลว่ งเปน็ ผลสาเรจ็ และทางานรว่ มกบั ผอู้ ื่นอยา่ งมีความสุข  ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดารงชีวิต ศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติม ทาโครงงานหรือช้ินงานตามท่กี าหนดให้หรือตามความสนใจ จบชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๖  เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของส่ิงมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตใน แหลง่ ท่ีอยู่ การทาหน้าทขี่ องสว่ นต่าง ๆ ของพืช และการทางานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์  เข้าใจสมบัติและการจาแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การ เปลยี่ นแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทีผ่ ันกลับไดแ้ ละผนั กลบั ไม่ได้ และการแยกสารอยา่ งงา่ ย  เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ ผลท่ี เกิดจากแรงกระทาต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้นของเสยี ง และแสง

10  เข้าใจปรากฏการณ์การขน้ึ และตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร์ องคป์ ระกอบ ของระบบสุรยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกตา่ งของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การขน้ึ และตกของ กลุ่มดาวฤกษ์ การใชแ้ ผนท่ดี าว การเกดิ อุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ  เข้าใจลักษณะของแหล่งน้า วัฏจักรน้า กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้าค้าง น้าค้างแข็ง หยาดน้าฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจกั รหนิ การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน กระจก  คน้ หาข้อมลู อย่างมีประสิทธภิ าพและประเมนิ ความน่าเช่ือถือ ตดั สินใจเลอื กข้อมูลใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ ในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการทางานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพสิทธิของผู้อน่ื  ต้ังคาถามหรือกาหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กาหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน คาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสอดคล้องกับคาถามหรือปัญหาที่จะสารวจตรวจสอบ วางแผนและ สารวจตรวจสอบโดยใชเ้ ครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง เชงิ ปริมาณและคุณภาพ  วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลท่ีมาจากการสารวจตรวจสอบใน รูปแบบทเ่ี หมาะสม เพือ่ ส่ือสารความรจู้ ากผลการสารวจตรวจสอบไดอ้ ยา่ งมเี หตุผลและหลักฐานอา้ งองิ  แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน ในส่ิงที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความ สนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลท่ีมีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความคิดเห็น ผู้อื่น  แสดงความรับผิดชอบด้วยการทางานท่ีได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จน งานลลุ ่วงเปน็ ผลสาเร็จ และทางานร่วมกบั ผ้อู นื่ อย่างสร้างสรรค์  ตระหนักในคุณค่าของความรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ใช้ความรแู้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการดารงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติม ทาโครงงานหรือชนิ้ งานตามทกี่ าหนดใหห้ รอื ตามความสนใจ  แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเก่ียวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อมอยา่ งร้คู ณุ ค่า

11 โครงสร้างเวลาเรียนกลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา/รายช่ือวิชา ชนั้ เวลาเรียน (ช่ัวโมง/ปี) ว ๑๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประถมศึกษาปีที่ ๑ ๘๐ ว ๑๒๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประถมศึกษาปที ี่ ๒ ๘๐ ว ๑๓๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประถมศึกษาปีที่ ๓ ๘๐ ว ๑๔๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประถมศึกษาปีที่ ๔ ๑๒๐ ว ๑๕๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประถมศึกษาปที ่ี ๕ ๑๒๐ ว ๑๖๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประถมศึกษาปที ี่ ๖ 12๐

12 ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ ไมม่ ชี ีวิตกับสิ่งมชี ีวิต และ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปล่ียนแปลง แทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไข ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มรวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชั้น ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.1 1. ระบุช่ือพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณ บริเวณต่าง ๆ ในท้องถิ่น เช่น สนามหญ้า ใต้ ตา่ ง ๆ จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ ต้นไม้ สวนหย่อม แหล่งน้า อาจพบพืชและสัตว์ 2. บอกสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับการ หลายชนิดอาศยั อยู่ ดารงชีวติ ของสัตว์ในบรเิ วณทอี่ าศยั อยู่ - บริเวณที่แตกต่างกันอาจพบพืชและสัตว์ แตกต่างกัน เพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละ บริเวณจะมี ความเหมาะสมต่อการดารงชวี ิตของ พืชและสัตว์ ท่ีอาศัยอยใู่ นแตล่ ะบริเวณ เชน่ สระ น้า มีน้าเป็นท่ีอยู่อาศัยของหอย ปลา สาหร่าย เป็นที่หลบภัยและมีแหล่งอาหารของหอยและ ปลา บรเิ วณต้นมะม่วงมตี ้นมะม่วงเป็นแหล่งท่ีอยู่ และมอี าหารสาหรบั กระรอกและมด - ถ้าสภาพแวดลอ้ มในบริเวณท่พี ืชและสัตว์อาศยั อยู่มีการเปลี่ยนแปลง จะมีผลต่อการดารงชีวิต ของพืชและสัตว์ ป.๕ ๑. บรรยายโครงสร้างและลักษณะของ - ส่ิงมีชีวิตท้ังพืชและสตั วม์ ีโครงสร้างและลกั ษณะ สิ่งมีชีวิตท่ีเหมาะสมกับการดารงชีวิตซ่ึง ท่ีเหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซึ่งเป็นผลมาจาก เป็นผลมาจากการปรับตัวของส่ิงมีชีวิตใน การปรับตัวของสิง่ มีชีวติ เพื่อให้ดารงชีวิตและอยู่ แตล่ ะแหลง่ ทอี่ ยู่ รอดได้ในแต่ละแหล่งที่อยู่ เช่น ผักตบชวามีช่อง ๒. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิต อากาศในก้านใบ ช่วยให้ลอยน้าได้ ต้นโกงกางที่ กับส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่าง ขน้ึ อยู่ใน ป่าชายเลนมีรากค้าจุนทาให้ลาต้นไม่ล้ม สงิ่ มชี วี ติ กบั สิ่งไม่มชี วี ิต ปลามคี รีบช่วยในการเคลอื่ นท่ีในนา้ ๓. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าที่ - ในแหลง่ ทีอ่ ยู่หนง่ึ ๆ ส่งิ มีชีวิตจะมีความสัมพันธ์ ของส่งิ มีชวี ติ ทเี่ ปน็ ผผู้ ลติ และผู้บรโิ ภคในโซ่ ซึ่งกันและกันและสัมพันธ์กับส่ิงไม่มีชีวิต เพ่ือ อาหาร ประโยชนต์ ่อการดารงชีวิต เช่น ความสมั พันธ์กัน ด้านการกินกันเป็นอาหาร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย หลบภัยและเลี้ยงดูลูกอ่อน ใช้อากาศในการ หายใจ

13 ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๕ ๔. ตระหนักในคุณค่าของส่ิงแวดล้อมท่ีมี - ส่ิงมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหารโดยกินต่อกัน ต่อ การดารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีส่วน เป็นทอด ๆ ในรูปแบบของโซ่อาหารทาให้ รว่ ม ในการดูแลรกั ษาส่ิงแวดล้อม สามารถระบุบทบาทหน้าท่ีของส่ิงมีชีวิตเป็น ผ้ผู ลติ และผบู้ ริโภค สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.1 1.ระบชุ อ่ื บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าท่ี มนุษย์มีส่วนต่าง ๆ ท่ีมีลักษณะและหน้าที่ ของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ แตกต่างกัน เพ่ือให้เหมาะสมในการดารงชีวิต เช่น และพืช รวมท้ังบรรยายการทาหน้าท่ี ตามีหน้าที่ไว้มองดู โดยมีหนังตาและขนตา เพ่ือ ร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ ปอ้ งกนั อันตรายให้กับตา หมู หี น้าที่รบั ฟงั เสยี ง โดยมี ในการทากิจกรรมต่าง ๆ จากข้อมูลที่ ใบหูและรูหู เพ่ือเป็นทางผ่านของเสียง ปากมีหน้าท่ี รวบรวมได้ พูด กินอาหาร มีช่องปากและมรี มิ ฝปี ากบนล่าง แขน 2.ตระหนักถึงความสาคัญของส่วนต่าง ๆ และมือมีหน้าท่ียก หยิบ จับ มีท่อนแขนและน้ิวมือท่ี ของร่างกายตนเอง โดยการดูแลส่วนต่าง ขยับได้ สมองมีหน้าท่ีควบคุมการทางานของส่วน ๆ อย่างถูกต้อง ให้ปลอดภัย และรักษา ต่าง ๆ ของร่างกาย อยู่ในกะโหลกศีรษะ โดยส่วน ความสะอาดอยเู่ สมอ ต่าง ๆ ของร่างกายจะทาหน้าที่ร่วมกันในการทา กิจกรรม ในชวี ิตประจาวนั สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีส่วนต่าง ๆ ที่มี ลักษณะและหน้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมใน การดารงชีวิต เช่น ปลามีครีบเป็นแผ่น ส่วนกบ เต่า แมว มีขา ๔ ขา และมเี ทา้ สาหรับใชใ้ นการเคลือ่ นที่ - พืชมีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าท่ีแตกต่างกนั เพื่อให้เหมาะสมในการดารงชีวิต โดยท่ัวไป รากมี ลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นรากเล็ก ๆ ทา หนา้ ท่ีดูดนา้ ลาต้นมลี ักษณะเป็นทรงกระบอกตั้งตรง และมีกิ่งก้าน ทาหน้าที่ชูกิ่งก้าน ใบ และดอก ใบมี ลักษณะเป็นแผ่นแบน ทาหน้าที่สร้างอาหาร นอกจากน้ีพืชหลายชนิด อาจมีดอกท่ีมีสี รูปร่างต่าง ๆ ทาหน้าที่สืบพันธ์ุ รวมทั้งมีผลที่มีเปลือก มีเน้ือ ห่อหุ้มเมล็ด และมีเมล็ดซึ่งสามารถงอกเป็นต้นใหม่ ได้

14 ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง มนุษย์ใช้ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายในการทากิจกรรม ตา่ ง ๆ เพือ่ การดารงชีวิต มนุษยจ์ ึงควรใชส้ ว่ นต่าง ๆ ของร่างกายอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และรักษาความ สะอาดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตามองตัวหนังสือในที่ท่ีมี แสงสว่างเพียงพอ ดูแลตาให้ปลอดภัยจากอันตราย และรกั ษาความสะอาดตาอยู่เสมอ ป.๒ ๑. ระบุว่าพชื ต้องการแสงและนา้ เพ่ือการ พชื ตอ้ งการน้า แสง เพอื่ การเจรญิ เตบิ โต เจรญิ เตบิ โต โดยใช้ขอ้ มูลจากหลกั ฐาน พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมีการ เชงิ ประจกั ษ์ สืบพันธ์ุเปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ด ๒. ตระหนักถงึ ความจาเปน็ ที่พชื ต้องไดร้ บั เมื่อเมล็ดงอก ต้นอ่อนท่ีอยู่ภายในเมล็ดจ ะ นา้ และแสงเพอื่ การเจรญิ เติบโต โดยดูแล เ จ ริ ญ เ ติ บ โ ต เ ป็ น พื ช ต้ น ใ ห ม่ พื ช ต้ น ใ ห ม่ จ ะ พืชใหไ้ ด้ รับสิง่ ดงั กลา่ วอย่างเหมาะสม เจริญเติบโต ออกดอกเพ่ือสืบพันธุ์มีผลต่อไปได้อีก ๓. สรา้ งแบบจาลองทบ่ี รรยายวัฏจักรชวี ิต หมุนเวยี นตอ่ เน่อื งเปน็ วัฏจักรชวี ิตของพืชดอก ของพืชดอก ป.3 1. บรรยายส่ิงที่ จาเป็นตอ่ การ ดารงชีวติ -มนษุ ย์และสัตว์ต้องการอาหาร น้า และอากาศ เพื่อ และการเจรญิ เติบโตของมนษุ ย์และสัตว์ การดารงชีวิตและการเจรญิ เตบิ โต โดยใช้ขอ้ มูลที่รวบรวมได้ - อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโต 2. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ อง อาหาร น้า น้าช่วยให้ร่างกายทางานได้อย่างปกติ อากาศใช้ ใน และ อากาศ โดยการ ดูแลตนเองและ การหายใจ สัตว์ให้ไดร้ ับ สงิ่ เหล่าน้อี ย่าง เหมาะสม - สัตว์เม่ือเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธ์ุมีลูก เมื่อลูก 3. สรา้ งแบบจาลองท่ีบรรยายวฏั จักร เจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็สืบพันธ์ุมีลูกต่อไปได้อีก ชวี ิตของสัตวแ์ ละ เปรยี บเทียบ วฏั จกั ร หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์ ซ่ึงสัตว์ ชีวิตของ สตั ว์บางชนดิ แตล่ ะชนดิ เชน่ ผีเส้อื กบ ไก่ มนษุ ยจ์ ะมีวฏั จกั รชีวิต 4. ตระหนกั ถึงคุณค่าของชีวิตสตั ว์ โดยไม่ ท่เี ฉพาะ และแตกต่างกนั ทาให้วัฏจกั รชวี ิตของสัตว์เปลี่ยนแปลง ป.๔ ๑. บรรยายหน้าทข่ี องราก ลาต้น ใบ • ส่วนตา่ ง ๆ ของพืชดอกทาหนา้ ทแี่ ตกต่างกนั และดอกของพชื ดอก โดยใชข้ อ้ มูลท่ี - รากทาหนา้ ที่ดูดนา้ และธาตุอาหารขนึ้ ไปยังลาต้น รวบรวมได้ - ลาต้นทาหน้าท่ีลาเลียงน้าต่อไปยังส่วนต่างๆ ของ พชื - ใบทาหน้าท่ีสร้างอาหาร อาหารที่พืชสร้างขึ้น คือ น้าตาลซง่ึ จะเปลี่ยนเปน็ แปง้ - ดอกทาหน้าที่สืบพันธ์ุ ประกอบด้วย ส่วนประกอบ ต่าง ๆ ได้แก่ กลีบเล้ียง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และ เกสรเพศเมยี ซง่ึ ส่วนประกอบแต่ละสว่ นของดอกทา หน้าท่แี ตกต่างกัน

15 ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.6 1. ระบสุ ารอาหารและบอกประโยชน์ของ - สารอาหารท่ีอยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่ สารอาหารแต่ละ ประเภทจากอาหารท่ี คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามินและ ตนเองรบั ประทาน น้า 2. บอกแนวทางในการเลือกรับประทาน - อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารที่ อาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสดั สว่ น แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้ว ย ที่ เหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ังความ ส า ร อ า ห า ร ป ร ะ เ ภ ท เ ดี ย ว อ า ห า ร บ า ง ย่ า ง ปลอดภัยต่อสขุ ภาพ ประกอบด้วยสารอาหารมากกวา่ หนึ่งประเภท 3. ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง - สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกาย สารอาหาร โดยการเลือกรับประทาน แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน อาหารที่มีสารอาหาร ครบถ้วนในสัดส่วน เป็นสารอาหารท่ีให้พลังงานแก่ร่างกาย สว่ นเกลือแร่ ทเ่ี หมาะสมกบั เพศ และวัย วิตามินและน้า เป็นสารอาหารท่ีไม่ให้พลังงานแก่ 4. สร้างแบบจาลองระบบย่อยอาหาร และ ร่างกาย แต่ช่วยให้รา่ งกายทางานได้เป็นปกติ – การ บรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบย่อย รับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญ เติบโต มี อาหาร รวมท้ังอธิบายการย่อยอาหารและ การเปลย่ี นแปลงของร่างกายตามเพศและวัย และ มี การดูดซมึ สารอาหาร สุขภาพดี จาเป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงาน 5. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบย่อย เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และให้ได้ อาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแล สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศ รกั ษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางาน และวัย รวมทั้งต้องคานึงถึงชนิดและปริมาณของ เป็นปกติ วตั ถุ เจือปนในอาหารเพ่อื ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ - ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซ่ึงทาหน้าที่ ร่วมกนั ในการยอ่ ยและดูดซึมสารอาหาร - ปาก มีฟันช่วยบดเค้ียวอาหารให้มีขนาดเล็กลงและ มีล้ินช่วยคลุกเคลา้ อาหารกบั น้าลาย ในน้าลาย มีเอนไซมย์ ่อยแป้งใหเ้ ปน็ นา้ ตาล – หลอดอาหาร ทาหน้าท่ีลาเลียงอาหารจากปาก ไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการ ย่ อ ย โ ป ร ตี น โ ด ย ก ร ด แ ล ะ เ อ น ไ ซ ม์ ท่ี ส ร้ า ง จ า ก กระเพาะอาหาร

16 ชนั้ ตัวชีว้ ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.6 - ลาไส้เล็กมเี อนไซม์ทส่ี ร้างจากผนังลาไส้เล็กเองและ จากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ที่ผ่าน การย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอที่จะ ดูดซึม ได้ รวมถึงน้า เกลือแร่ และวิตามิน จะถูกดูดซึม ท่ี ผนังลาไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลาเลียงไปยัง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซ่ึงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนาไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสาหรับ ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้า เกลือแร่ และวิตามิน จะช่วยใหร้ ่างกายทางานไดเ้ ป็นปกติ - ตับสร้างน้าดีแล้วส่งมายังลาไส้เล็กช่วยให้ไขมัน แตกตวั - ลาไส้ใหญ่ทาหน้าท่ีดูดน้าและเกลือแร่ เป็นบริเวณ ที่มีอาหารท่ีย่อยไม่ได้ หรือย่อยไม่หมด เป็นกาก อาหาร ซ่ึงจะถูกกาจัดออกทางทวารหนกั - อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร มีความสาคัญ จึงควรปฏิบัติตน ดูแลรักษาอวัยวะให้ทางานเป็น ปกติ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพนั ธุกรรม การเปลย่ี นแปลงทางพนั ธุกรรมที่มผี ลต่อสิง่ มีชวี ิต ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ัฒนาการ ของสิ่งมีชวี ิต รวมท้ังนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ชนั้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๒ ๑. เปรียบเทียบลักษณะของสิ่งมีชีวิตและ - ส่ิงท่ีอยู่รอบตัวเรามีท้ังที่เป็นสิ่งมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิต ส่ิงไม่มชี ีวติ จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้ สิ่งมีชีวิตต้องการอาหาร มีการหายใจ เจริญเติบโต ขับถ่าย เคลือ่ นไหว ตอบสนองต่อส่ิงเรา้ และสืบพันธุ์ได้ ลูกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพ่อแม่ ส่วนสิ่งไม่มีชีวิตจะ ไมม่ ีลักษณะดังกลา่ ว

17 ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๔ 1. จาแนกสงิ่ มีชวี ติ โดยใชค้ วามเหมอื น • สงิ่ มชี ีวิตมีหลายชนดิ สามารถจดั กลมุ่ ได้ โดยใช้ ความ และความแตกตา่ งของลกั ษณะของ เหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆ เช่น กลมุ่ สิ่งมีชีวิต ออกเป็น กลมุ่ พชื กลุ่มสตั ว์ และ พืชสรา้ งอาหารเองได้ และเคลอ่ื นที่ดว้ ยตนเองไม่ได้ กลมุ่ ทีไ่ มใ่ ชพ่ ืชและสัตว์ กลมุ่ สตั ว์กนิ สิ่งมีชวี ิตอนื่ เปน็ อาหารและเคล่ือนที่ได้ 2. จาแนกพืชออกเปน็ พืชดอกและพืชไม่มี กล่มุ ที่ไมใ่ ชพ่ ืชและสัตว์ เชน่ เหด็ รา จลุ ินทรีย์ ดอก โดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ • การจาแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเปน็ เกณฑใ์ นการ ขอ้ มูลที่รวบรวมได้ จาแนก ไดเ้ ปน็ พืชดอกและพืชไม่มีดอก 3. จาแนกสัตว์ออกเปน็ สตั วม์ ีกระดูกสัน • การจาแนกสัตว์ สามารถใช้การมกี ระดูกสนั หลงั เปน็ หลงั และสัตว์ไมม่ ีกระดกู สนั หลัง โดยใช้ เกณฑ์ในการจาแนก ได้เปน็ สัตว์มกี ระดูกสนั หลังและ การมีกระดูกสนั หลงั เปน็ เกณฑ์ โดยใช้ สัตว์ไม่มีกระดกู สนั หลงั ขอ้ มูลท่รี วบรวมได้ • สตั ว์มีกระดกู สนั หลังมหี ลายกลมุ่ ไดแ้ ก่ กลมุ่ ปลา 4. บรรยายลักษณะ เฉพาะท่ีสังเกตได้ของ กลมุ่ สตั ว์สะเทินนา้ สะเทนิ บก กลุ่มสัตว์เล้อื ยคลาน กลมุ่ สัตวม์ กี ระดูกสันหลงั ในกลุม่ ปลา กลมุ่ สตั ว์ นก และกลุ่มสัตวเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยน้านม ซงึ่ แต่ละกลุ่มจะมี สะเทินน้าสะเทินบก กลมุ่ สัตวเ์ ล้ือยคลาน ลักษณะเฉพาะท่ีสงั เกตได้ กลุ่มนก และกลมุ่ สัตว์เลีย้ งลูกดว้ ยนา้ นม และยกตวั อยา่ งสง่ิ มีชีวิตในแต่ละกลุ่ม ป.๕ ๑. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการ - ส่ิงมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ เม่ือโตเต็มท่ีจะมีการ ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกของพืช สัตว์ และ สืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจานวนและดารงพันธ์ุ โดยลูกท่ีเกิดมา มนษุ ย์ จะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ ๒. แสดงความอยากรู้อยากเห็นโดยการ ทาให้มีลักษณะทางพันธุกรรมท่ีเฉพาะแตกต่างจาก ถามคาถามเก่ียวกับลักษณะท่ีคล้ายคลึง สงิ่ มชี วี ติ ชนิดอืน่ กนั ของตนเองกับพอ่ แม่ - พืชมกี ารถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เช่น ลักษณะ ของใบ สีดอก - สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น สีขน ลกั ษณะของขน ลักษณะของหู - มนษุ ยม์ ีการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น เชงิ ผมท่หี นา้ ผาก ลกั ย้ิม ลักษณะหนังตา การหอ่ ล้ิน ลกั ษณะของตงิ่ หู

18 สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบตั ขิ องสสาร กับโครงสรา้ งและแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การ เกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.1 1.อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุท่ีใช้ทา - วัสดุท่ีใช้ทาวัตถุที่เป็นของเล่น ของใช้ มีหลาย วัตถุซ่ึงทาจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิด ชนดิ เช่น ผา้ แกว้ พลาสตกิ ยาง ไม้ อิฐ หนิ โลหะ ประกอบกันโดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ กระดาษ วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติที่สังเกตได้ต่าง ๆ 2.ระบุชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มวัสดุตาม เช่น สี นุ่ม แข็ง ขรุขระ เรียบ ใส ขุ่น ยืดหดได้บิด สมบัติทีส่ ังเกตได้ งอได้ - สมบัติท่ีสังเกตได้ของวัสดุแต่ละชนิดอาจ เหมือนกนั ซ่ึงสามารถนามาใช้เปน็ เกณฑใ์ นการจัด กลุ่มวัสดุได้ - วัสดุบางอย่างสามารถนามาประกอบกัน เพื่อทา เป็นวัตถุต่าง ๆ เช่น ผ้าและกระดุม ใช้ทาเสื้อ ไม้ และโลหะ ใชท้ ากระทะ ป.๒ ๑. เปรียบเทียบสมบัติการดูดซบั น้าของวัสดุ - วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติการดูดซับน้าแตกต่างกัน โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ และระบกุ ารนา จึงนาไปทาวัตถุเพื่อใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน สมบตั กิ ารดูดซบั น้าของวัสดไุ ปประยกุ ต์ใช้ เช่น ใช้ผ้าที่ดูดซับน้าได้มากทาผ้าเช็ดตัว ใช้ ในการทาวตั ถุในชวี ิตประจาวัน พลาสติก ซึ่งไม่ดูดซบั น้าทาร่ม ๒. อธิบายสมบตั ิทีส่ ังเกตได้ของวสั ดุท่ีเกดิ - วัสดุบางอย่างสามารถนามาผสมกันซ่ึงทาให้ได้ จากการนาวสั ดมุ าผสมกัน โดยใชห้ ลกั ฐาน สมบัติท่ีเหมาะสมเพื่อนาไปใช้ประโยชน์ตาม เชิงประจักษ์ ต้องการ เช่น แป้งผสมน้าตาลและน้ากะทิ ใช้ทา ๓. เปรยี บเทยี บสมบัติทสี่ งั เกตไดข้ องวสั ดุ ขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเย่ือกระดาษใช้ทา เพอ่ื นามาทาเป็นวตั ถใุ นการใช้งานตาม กระปุกออมสิน ปูนผสมหิน ทราย และน้าใช้ทา วัตถุประสงค์ และอธิบายการนาวสั ดุท่ใี ช้ คอนกรีต แล้วกลับมาใชใ้ หม่โดยใช้หลักฐานเชิง - การนาวัสดุมาทาเป็นวัตถุในการใช้งาน ตาม ประจกั ษ์ วัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับสมบัติของวัสดุ วัสดุท่ีใช้ ๔. ตระหนกั ถึงประโยชนข์ องการนาวัสดุที่ใช้ แล้วอาจนากลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษใช้แล้ว แล้วกลับมาใชใ้ หม่ โดยการนาวสั ดทุ ีใ่ ช้แล้ว อาจนามาทาเป็นจรวดกระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ กลับมาใชใ้ หม่ ถุงใส่ของ เปน็ ตน้

19 ช้นั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.3 1. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากช้ิน - วัตถุอาจทาจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซ่ึงแต่ละชิ้นมี ส่วนย่อย ๆ ซ่ึงสามารถแยกออกจากกันได้ ลักษณะเหมือนกันมาประกอบเข้าด้วยกัน เมื่อ และประกอบกันเป็นวัตถุช้ินใหม่ได้ โดยใช้ แยกช้ินส่วนย่อย ๆ แต่ละช้ินของวัตถุออกจากกัน หลักฐานเชิงประจักษ์ สามารถนาชิ้นส่วนเหล่านั้นมาประกอบเป็นวัตถุ 2. อธิบายการเปล่ียนแปลงของวัสดุเม่ือทา ชิ้นใหม่ได้ เช่น กาแพงบ้านมีก้อนอิฐหลายๆ ก้อน ให้ร้อนขึ้นหรือทาให้เย็นลง โดยใช้หลักฐาน ประกอบเข้าด้วยกัน และสามารถนาก้อนอิฐจา เชงิ ประจักษ์ กาแพงบา้ นมาประกอบเป็นพื้นทางเดนิ ได้ - เม่ือให้ความร้อนหรือทาให้วัสดุร้อนข้ึน และเมื่อ ลดความร้อนหรือทาให้วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกิด การเปลยี่ นแปลงได้ เชน่ สีเปล่ยี น รูปร่างเปลย่ี น ป.๔ ๑. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้าน • วสั ดแุ ต่ละชนดิ มีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนาความร้อน วัสดทุ ม่ี คี วามแข็งจะทนตอ่ แรงขดู ขดี วสั ดุที่มี และการนาไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐาน สภาพยืดหยุ่นจะเปลี่ยนแปลงรูปรา่ งเม่อื มแี รงมา เชิงประจักษ์จากการทดลองและระบุการ กระทาและกลับสภาพเดมิ ได้ วัสดทุ น่ี าความร้อน นาสมบัติเร่ืองความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การ จะรอ้ นไดเ้ รว็ เม่ือได้รับความร้อน และวสั ดทุ ีน่ า นาความร้อน และการนาไฟฟา้ ของวัสดุไปใช้ ไฟฟ้าได้ จะให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ดังนัน้ จึงอาจ ในชีวิตประจาวันผ่านกระบวนการออกแบบ นาสมบัตติ ่าง ๆ มาพิจารณาเพอื่ ใช้ใน ช้ินงาน กระบวนการออกแบบชนิ้ งาน เพอื่ ใชป้ ระโยชน์ใน ชวี ติ ประจาวนั ป.๔ ๒. แลกเปล่ียนความคิดกับผู้อ่ืนโดยการ • วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและต้องการท่ีอยู่ อภิปรายเก่ียวกับสมบัติทางกายภาพของ สสารมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส วสั ดุอยา่ งมีเหตุผลจากการทดลอง ของแข็ง มีปริมาตรและรูปร่างคงท่ี ของเหลวมี ๓.เปรยี บเทยี บสมบัติของสสารทัง้ ๓ สถานะ ปริมาตรคงที่ แต่มีรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะ จากข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตมวล การ เฉพาะส่วนท่ีบรรจุของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตร ต้องการที่อยู่ รปู ร่างและปรมิ าตรของสสาร และรปู รา่ งเปลี่ยนไปตามภาชนะทบี่ รรจุ ๔. ใช้เคร่อื งมือเพื่อวัดมวล และปริมาตรของ สสารทงั้ ๓ สถานะ ป.๕ ๑. อธบิ ายการเปล่ยี นสถานะของสสาร - ก า ร เ ป ล่ี ย น ส ถ า น ะ ข อ ง ส ส า ร เ ป็ น ก า ร เมื่อทาให้สสารร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยใช้ เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เม่ือเพ่ิมความร้อน หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ให้กับสสารถึงระดับหน่ึงจะทาให้สสารที่เป็น ๒. อธิบายการละลายของสารในน้า โดยใช้ ของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ หลอมเหลว และเมื่อเพมิ่ ความร้อนตอ่ ไปจนถึงอีก ๓. วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงของสาร เม่ือ ระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนเป็นแก๊ส เรียกว่า เกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมี โดยใช้ การกลายเป็นไอ แต่เมื่อลดความร้อนลงถึงระดับ หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ หนึ่งแก๊สจะเปล่ียนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแนน่

20 ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๕ ๔. วเิ คราะหแ์ ละระบุการเปล่ียนแปลงทผ่ี นั และถ้าลดความร้อนต่อไปอีกจนถึงระดับหน่ึง กลบั ได้และการเปล่ยี นแปลงทผ่ี ันกลับไม่ได้ ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า การแข็งตัว สสารบางชนิดสามารถเปล่ียนสถานะ จากของแขง็ เปน็ แก๊สโดยไมผ่ ่านการเปน็ ของเหลว เรียกว่า การระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิดสามารถ เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งโดยไม่ผ่าน การเป็น ของเหลว เรียกวา่ การะเหิดกลับ - เมื่อใส่สารลงในน้าแล้วสารนั้นรวมเป็นเนื้อ เดียวกันกับน้าทั่วทุกส่วน แสดงว่าสารเกิดการ ละลาย เรยี กสารผสมที่ไดว้ า่ สารละลาย - เม่ือผสมสาร ๒ ชนิดข้ึนไปแล้วมีสารใหม่เกิดข้ึน ซึ่งมีสมบัติต่างจากสารเดิม หรือเม่ือสารชนิดเดียว เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วมีสารใหม่เกิดข้ึน การ เปล่ียนแปลงนี้เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซ่ึงสงั เกตได้จากมีสี หรอื กลนิ่ ต่างจากสารเดิม หรือ มฟี องแก๊ส หรอื มีตะกอนเกิดข้ึน หรอื มีการเพ่ิมข้ึน หรอื ลดลงของอุณหภมู ิ - เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สารสามารถ เปลี่ยนกลับเปน็ สารเดิมได้ เปน็ การเปล่ียนแปลงท่ี ผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่สารบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง แลว้ ไม่สามารถเปลยี่ นกลับเป็นสารเดมิ ได้ เป็นการ เปลี่ยนแปลงที่ผันกลบั ไม่ได้ เช่น การเผาไหม้ การ เกิดสนิม ป.6 1. อธิบายและเปรยี บเทียบการแยกสารผสม - สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไป โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็ก ผสมกัน เช่น น้ามันผสมน้า วิธีการที่เหมาะสมใน ดึงดูด การรินออก การกรอง และการ การแยกสารผสมขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของ ตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สารที่ผสมกัน ถ้าสารผสมเป็นของแข็งกับของแข็ง รวมท้ังระบุวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ที่มีขนาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจใช้วิธีการ เกย่ี วกบั การแยกสาร หยิบออกหรือการร่อนผ่านวัสดุที่มีรู ถ้ามีสารใด เปน็ สารแมเ่ หลก็ อาจใช้วธิ ีการใชแ้ ม่เหลก็ ดงึ ดูด ถ้า เป็นของแข็งที่ไม่ละลายในของเหลวอาจใช้วิธีการ รินออก การกรองหรือการตกตะกอน ซ่ึงวิธีการ แ ย ก ส า ร ส า ม า ร ถ น า ไ ป ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ชีวิตประจาวันได้

21 สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ เคล่อื นท่แี บบ ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.3 1.ระบุผลของแรงท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลง - การดึง หรือการผลัก เป็นการออกแรงกระทา การเคล่ือนท่ีของวัตถุจากหลักฐานเชิง ต่อวัตถุ แรงมีผลต่อการเคล่ือนท่ีของวัตถุ แรง ประจกั ษ์ อ า จ ท า ใ ห้ วั ต ถุ เ กิ ด ก า ร เ ค ล่ื อ น ที่ โ ด ย เ ป ล่ี ย น 2.เปรียบเทียบและยกตัวอย่างแรงสัมผัส ตาแหนง่ จากทีห่ น่ึง ไปยังอกี ทห่ี นงึ่ และแรงไม่สัมผัสที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ - การเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีของวัตถุ ได้แก่ ของวัตถุ โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ วัตถุท่ีอยู่นิ่งเปล่ียนเป็นเคลื่อนที่ วัตถุที่กาลัง 3. จาแนกวัตถุโดยใช้การดึงดดู กบั แมเ่ หล็ก เคล่ือนท่ีเปล่ียนเป็นเคลื่อนที่เร็วขึ้นหรือช้าลง เปน็ เกณฑจ์ ากหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ หรือหยุดน่งิ หรือเปลย่ี นทศิ ทางการเคลือ่ นที่ 4. ระบุขั้วแม่เหล็กและพยากรณ์ผลท่ี - การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงที่เกิดจาก เกิดข้ึนระหว่างข้ัวแม่เหล็กเมื่อนามาเข้า วัตถุหนึ่งกระทากับอีกวัตถุหนึ่ง โดยวัตถุทั้งสอง ใกล้กนั จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ อาจสัมผัสหรือไม่ต้องสัมผสั กัน เชน่ การออกแรง โดยใช้มือดึงหรือการผลักโต๊ะให้เคล่ือนที่เป็นการ ออกแรงที่วัตถุต้องสัมผัสกัน แรงน้ีจึงเป็นแรง สัมผัส ส่วนการท่ีแม่เหล็กดึงดูดหรือผลักระหว่าง แ ม่ เ ห ล็ ก เ ป็ น แ ร ง ที่ เ กิ ด ขึ้ น โ ด ย แ ม่ เ ห ล็ ก ไ ม่ จาเป็นต้องสัมผัสกัน แรงแม่เหล็กน้ีจึงเป็นแรงไม่ สัมผัส - แม่เหล็กสามารถดึงดูดสารแมเ่ หล็กได้ - แรงแม่เหล็กเป็นแรงท่ีเกิดข้ึนระหว่างแม่เหล็ก กับสารแม่เหล็ก หรือแม่เหล็กกับแม่เหล็ก แม่เหล็ก มี 2 ข้ัว คือ ขั้ว เหนือและขั้วใต้ ข้ัวแม่เหล็กชนิดเดียวกันจะผลักกัน ต่างชนิดกัน จะดงึ ดดู กัน ป.๔ ๑. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงท่ีมีต่อวัตถุจาก • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระทา หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ต่อวัตถุ มีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลกและเปน็ แรง ๒. ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัดน้าหนักของ ไม่สมั ผสั แรงดงึ ดดู ที่โลกกระทากบั วัตถุหนงึ่ ๆ ทา วัตถุ ให้วัตถุตกลงสู่พื้นโลก และทาให้วัตถุมีน้าหนัก ๓. บรรยายมวลของวัตถุที่มีผลต่อการ วดั นา้ หนักของวัตถุได้จากเครื่องช่ังสปริง นา้ หนัก เปลี่ยนแปลงการเคล่ือนท่ีของวัตถุจาก ของวัตถุขึ้นกับมวลของวัตถุโดยวัตถุท่ีมีมวลมาก หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ จะมีน้าหนักมาก วัตถุที่มี มวลน้อยจะมีน้าหนัก นอ้ ย

22 ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • มวล คือ ปริมาณเน้ือของสสารท้ังหมดท่ี ประกอบกันเป็นวัตถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายใน การเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ วัตถุที่มี มวลมากจะเปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีได้ยากกว่า วัตถุท่ีมีมวลน้อย ดังนั้นมวลของวัตถุนอกจากจะ หมายถึงเน้ือทั้งหมดของวัตถุน้ันแล้ว ยังหมายถึง การต้านการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ นั้นดว้ ย ป.๕ ๑. อธบิ ายวิธีการหาแรงลพั ธ์ของแรงหลาย - แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ แรงในแนวเดียวกันท่ีกระทาต่อวัตถุใน โดยแรงลัพธ์ของแรง 2 แรงท่ีกระทาต่อวัตถุ กรณที ่ีวัตถุอยู่น่งิ จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ เดียวกันจะมีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงท้ังสอง ๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาต่อ เมื่อแรงท้ังสอง อยู่ในแนวเดียวกันและมีทิศทาง วัตถุที่อยู่ในแนวเดียวกันและแรงลัพธ์ท่ี เดียวกัน แต่จะมีขนาดเท่ากับผลต่างของแรงทั้ง กระทาตอ่ วตั ถุ สองเม่ือแรงท้ังสอง อยู่ในแนวเดียวกันแต่มีทิศ ๓. ใช้เคร่อื งชั่งสปริงในการวดั แรงท่ีกระทา ทางตรงข้ามกัน สาหรับวัตถุที่อยู่นิ่ง แรงลัพธ์ท่ี ต่อวัตถุ กระทาต่อวตั ถุมีค่าเป็นศูนย์ ๔. ระบุผลของแรงเสียดทานท่ีมีต่อการ - การเขียนแผนภาพของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ เปล่ียนแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุจาก สามารถเขียนได้โดยใช้ลูกศร โดยหัวลูกศรแสดง หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ทิศทางของแรง และความยาวของลูกศรแสดง ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและ ขนาดของแรงทกี่ ระทาตอ่ วัตถุ แรง ท่อี ยู่ในแนวเดยี วกันท่กี ระทาตอ่ วตั ถุ - แรงเสยี ดทานเป็นแรงทีเ่ กดิ ข้ึนระหว่างผิวสัมผัส ของวัตถุ เพ่ือต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดย ถ้าออกแรงกระทาต่อวัตถุที่อยู่น่ิงบนพ้ืนผิวหน่ึง ให้เคลื่อนที่ แรงเสียดทานจากพ้ืนผิวนั้นก็จะต้าน การเคล่ือนท่ีของวัตถุ แต่ถ้าวัตถุกาลังเคล่ือนที่ แรงเสียดทานก็จะทาให้วัตถุนั้นเคลื่อนที่ช้าลง หรือหยดุ นง่ิ ป.6 1. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซ่ึง - วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนาเข้าใกล้ เกดิ จากวัตถุที่ผ่านการขัดถโู ดยใช้หลักฐาน กัน อาจดึงดดู หรอื ผลกั กนั แรงทเ่ี กดิ ขึ้นนเ้ี ป็นแรง เชงิ ประจักษ์ ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่ มปี ระจุไฟฟ้า ซง่ึ ประจไุ ฟฟ้ามี 2 ชนิด คอื ประจุ ไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตถทุ ี่มีประจุไฟฟ้า ชนิดเดยี วกันผลกั กัน ชนดิ ตรงขา้ มกนั ดงึ ดูดกนั

23 สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้อง กบั เสยี ง แสง และคล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ รวมทัง้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.1 1.บรรยายการเกิดเสียงและทิศทางการ - เสียงเกิดจากการส่ันของวัตถุ วัตถุที่ทาให้เกิด เคล่ือนที่ของเสียงจากหลักฐานเชิง เสียงเป็นแหล่งกาเนิดเสียง ซึ่งมีทั้งแหล่งกาเนิด ประจักษ์ เสียงตามธรรมชาติและแหล่งกาเนดิ เสียงที่มนุษย์ สร้างข้นึ เสยี งเคล่ือนที่ออกจากแหลง่ กาเนิดเสียง ทุกทศิ ทาง ป.๒ ๑. บรรยายแนวการเคล่ือนท่ีของแสงจาก - แสงเคล่ือนที่จากแหล่งกาเนิดแสงทุกทิศทาง แหล่งกาเนิดแสง และอธิบายการมองเห็น เป็นแนวตรง เม่ือมีแสงจากวัตถุมาเขา้ ตาจะทาให้ วัตถุจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ มองเห็นวัตถุนั้น การมองเห็นวัตถุท่ีเป็น ๒. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ของการ แหล่งกาเนิดแสง แสงจากวัตถุน้ันจะเข้าสู่ตา มองเหน็ โดยเสนอแนะแนวทางการป้องกัน โดยตรง สว่ นการมองเห็นวตั ถทุ ่ีไม่ใช่แหลง่ กาเนิด อนั ตราย จากการมองวตั ถทุ ี่อยใู่ นบริเวณท่ี แสง ต้องมีแสงจากแหล่งกาเนิดแสงไปกระทบ มแี สงสวา่ ง ไมเ่ หมาะสม วัตถุแล้วสะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงท่ีสว่าง มาก ๆ เข้าสู่ตาอาจเกิดอันตรายต่อตาได้ จึงต้อง ห ลี ก เ ล่ี ย ง ก า ร ม อ ง ห รื อ ใ ช้ แ ผ่ น ก ร อ ง แ ส ง ท่ี มี คุณภาพเม่ือจาเป็น และต้องจัดความสว่างให้ เหมาะสมกับ การทากิจกรรมต่าง ๆ เช่น การ อ่ า น ห นั ง สื อ ก า ร ดู จ อ โ ท ร ทั ศ น์ ก า ร ใ ช้ โทรศพั ทเ์ คล่อื นทแ่ี ละแทบ็ เล็ต ป.3 1. ยกตวั อยา่ งการเปล่ียนพลังงานหน่งึ ไป - พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึงความสามารถ เปน็ อีกพลังงานหนึ่งจากหลกั ฐานเชิง ในการทางาน พลงั งานมีหลายแบบ เช่น พลังงาน ประจกั ษ์ กล พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสง พลังงานเสียง 2. บรรยายการทางานของเครือ่ งกาเนิด และพลังงานความร้อน โดยพลังงานสามารถ ไฟฟา้ และระบแุ หลง่ พลงั งานในการผลติ เปลี่ยนจากพลังงานหนึ่งไปเป็นอีกพลังงานหนึ่ง ไฟฟา้ จากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ได้ เช่น การถูมือจนรู้สึกร้อน เป็นการเปล่ียน 3. ตระหนักในประโยชนแ์ ละโทษของ พลังงานกลเป็นพลังงานความร้อน แผงเซลล์ ไฟฟา้ โดยนาเสนอวิธกี ารใชไ้ ฟฟ้าอยา่ ง สรุ ยิ ะเปล่ียนพลังงานแสง เป็นพลงั งานไฟฟ้าหรือ ประหยดั และปลอดภัย เคร่ืองใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงาน อ่นื

24 ชัน้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.3 - ไฟฟ้าผลิตจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้าซึ่งใช้พลังงาน จากแหล่งพลังงานธรรมชาติหลายแหล่ง เช่น พลังงานจากลม พลังงานจากน้า พลังงานจาก แกส๊ ธรรมชาติ - พลังงานไฟฟ้ามีความสาคัญต่อชีวิตประจาวัน การใช้ไฟฟ้านอกจากต้องใช้อย่างถูกวิธี ประหยัด และคุ้มค่าแล้ว ยังต้องคานึงถึงความปลอดภัย ดว้ ย ป.๔ ๑. จาแนกวตั ถเุ ปน็ ตัวกลางโปรง่ ใส • เมอ่ื มองส่ิงตา่ ง ๆ โดยมวี ัตถุตา่ งชนิดกันมากนั้ ตวั กลางโปรง่ แสง และวัตถุทึบแสง จาก แสง จะทาใหล้ ักษณะการมองเหน็ ส่งิ นั้น ๆ ลักษณะ การมองเห็นสง่ิ ตา่ ง ๆ ผ่านวตั ถุ ชัดเจนต่างกัน จงึ จาแนกวตั ถุทม่ี ากั้นออกเปน็ นั้นเป็นเกณฑ์โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ตัวกลางโปรง่ ใส ซึง่ ทาให้มองเห็นส่ิงตา่ ง ๆ ได้ ชดั เจน ตัวกลางโปร่งแสงทาให้มองเหน็ สิ่งต่าง ๆ ไดไ้ มช่ ดั เจน และวัตถุทึบแสงทาใหม้ องไม่เห็นสิง่ ตา่ ง ๆ นั้น ป.๕ ๑. อธิบายการได้ยินเสียงผ่านตัวกลางจาก - การได้ยินเสียงน้ันต้องอาศัยตัวกลางโดยอาจ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เป็นของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะ ๒. ระบตุ วั แปร ทดลองและอธิบาย สง่ ผ่านตัวกลางมายังหู ลกั ษณะและการเกิดเสียงสูง เสียงตา่ - เสยี งทีไ่ ด้ยินมีระดับสงู ตา่ ของเสยี งตา่ งกันข้ึนกับ ๓. ออกแบบการทดลองและอธบิ าย ความถี่ของการสั่นของแหลง่ กาเนดิ เสยี ง โดยเมือ่ ลกั ษณะและการเกิดเสียงดัง เสียงค่อย แหล่งกาเนิดเสียงสน่ั ด้วยความถต่ี า่ จะเกดิ เสียงต่า ๔. วัดระดับเสียงโดยใช้เคร่ืองมือวัดระดับ แต่ถ้าสั่นด้วยความถี่สูงจะเกิดเสียงสูง ส่วนเสียง เสยี ง ดั ง ค่ อ ย ท่ี ไ ด้ ยิ น ข้ึ น กั บ พ ลั ง ง า น ก า ร ส่ั น ข อ ง แหล่งกาเนิดเสียง โดยเมื่อแหล่งกาเนิดเสียงส่ัน ๕. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่อง พลังงานมากจะเกิดเสียงดัง แต่ถ้าแหล่งกาเนิด ระดับเสียงโดยเสนอแนะแนวทางในการ เสยี งส่นั ด้วยพลงั งานน้อยจะเกดิ เสยี งค่อย หลีกเลยี่ งและลดมลพษิ ทางเสยี ง - เสียงดังมาก ๆ เป็นอันตรายต่อการได้ยินและ เสียงที่ก่อให้เกิดความราคาญเปน็ มลพิษทางเสียง เดซเิ บลเป็นหนว่ ยท่บี อกถึงความดังของเสยี ง

25 ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ - วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหล่งกาเนิด ของแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ อย่างงา่ ยจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ไฟฟ้า แหล่งกาเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือ 2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอย่าง แบตเตอรี่ ทาหน้าท่ีให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า งา่ ย เป็นตัวนาไฟฟ้าทาหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย แหลง่ กาเนิดไฟฟ้า และเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าเขา้ ด้วยกัน วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายวิธีการและผล เคร่ืองใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็น ของการตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม พลงั งานอื่น 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของ - เมือ่ นาเซลล์ไฟฟา้ หลายเซลลม์ าตอ่ เรยี งกนั โดย การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รมโดยบอก ให้ข้ัวบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึงต่อกับขั้วลบ ประโยชน์และการประยุกต์ใช้ในชีวิต ของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทาให้มี ประจาวัน พลงั งานไฟฟ้าเหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟา้ ซ่งึ การ 5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย ต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนาไปใช้ วิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายการต่อหลอด ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน เช่น การต่อเซลล์ ไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบขนาน ไฟฟ้าในไฟฉาย 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของ - การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเม่ือถอดหลอด การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบ ไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ี ขนาน โดยบอกประโยชน์ ข้อจากัด และ เหลือดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบ การประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจาวนั ขนาน เม่ือถอดลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหน่ึงออก 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจาก หลอดไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสว่างได้ การต่อหลอด หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงในบ้านจึงต้อง เกดิ เงามดื เงามัว ต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเพ่ือเลือกใช้หลอด ไฟฟ้าดวงใดดวงหนงึ่ ไดต้ ามต้องการ - เม่ือนาวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉาก รับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้าย วัตถุท่ีทาให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสง บางส่วนตกลงบนฉาก สว่ นเงามืดเปน็ บริเวณที่ไม่ มีแสงตกลงบนฉากเลย

26 สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เขา้ ใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยี อวกาศ ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.1 1.ระบุดาวท่ีปรากฏบนท้องฟ้าในเวลา - บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว กลางวัน และกลางคืนจากขอ้ มลู ทรี่ วบรวม ซึ่งในเวลากลางวันจะมองเห็นดวงอาทิตย์และ ได้ อาจมองเห็นดวงจันทร์บางเวลาในบางวัน แต่ไม่ 2.อธิบายสาเหตุทมี่ องไม่เห็นดาวสว่ นใหญ่ สามารถมองเห็นดาว ในเวลากลางวนั จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ - ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ เน่ืองจากแสงอาทิตย์สว่างกว่าจึงกลบแสงของ ดาว ส่วนในเวลากลางคืนจะมองเห็นดาวและ มองเห็นดวงจันทร์เกอื บทกุ คืน ป.3 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก - คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น ของดวงอาทิตย์โดยใช้หลักฐานเชิง ทางด้านหน่ึงและตกทางอีกด้านหนึ่งทุกวัน ประจักษ์ หมุนเวียนเปน็ แบบรปู ซ้า ๆ 2. อธิบายสาเหตุการเกดิ ปรากฏการณ์การ - โลกกลมและหมุนรอบตวั เองขณะโคจรรอบดวง ขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ การเกิด อาทิตย์ ทาให้บริเวณของโลกได้รับแสงอาทิตย์ไม่ กลางวันกลางคืน และการกาหนดทิศ โดย พร้อมกัน โลกด้านท่ีได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะ ใช้แบบจาลอง เป็นกลางวัน ส่วนด้านตรงข้ามท่ีไม่ได้รับแสงจะ 3.ตระหนักถึงความสาคัญของดวงอาทิตย์ เป็นกลางคืน นอกจากน้ีคนบนโลกจะมองเห็น โดยบรรยายประโยชน์ของดวงอาทิตย์ต่อ ดวงอาทิตย์ปรากฏข้ึนทางด้านหน่ึงซึ่งกาหนดให้ ส่งิ มีชีวติ เป็นทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ตก ทางอีกด้านหน่ึง ซึ่งกาหนดให้เป็นทิศตะวันตก และเม่ือให้ด้านขวามืออยู่ทางทิศตะวันออก ด้าน ซ้ายมืออยู่ทางทิศตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศ เหนือ และด้านหลงั จะเป็นทิศใต้ - ในเวลากลางวันโลกจะได้รับพลังงานแสงและ พลังงานความร้อนจากดวงอาทติ ย์ ทาให้สิง่ มชี ีวิต ดารงชีวติ อย่ไู ด้

27 ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.4 ๑. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและตก • ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์ ของดวงจันทร์ โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ หมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะที่โลกก็ ๒. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายแบบรูป การ หมุนรอบตัวเองด้วยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเอง เปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ ของโลกจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกใน และพยากรณ์รปู รา่ งปรากฏของดวงจันทร์ ทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เม่ือมองจากขว้ั โลกเหนือ ๓. สร้างแบบจาลองแสดงองค์ประกอบ ทาให้มองเห็นดวงจันทร์ปรากฏขึ้นทางด้านทิศ ของระบบสุริยะ และอธิบายเปรียบเทียบ ตะวันออกและตกทางด้าน ทิศตะวันตก คาบการโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆ จาก หมุนเวียนเปน็ แบบรูปซ้า ๆ แบบจาลอง • ดวงจันทร์เป็นวตั ถุที่เป็นทรงกลม แต่รูปรา่ งของ ดวงจันทร์ท่ีมองเห็นหรือรูปร่างปรากฏของดวง จันทร์บนท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละวัน โดย ในแต่ละวนั ดวงจนั ทรจ์ ะมรี ปู รา่ งปรากฏเปน็ เสี้ยว ทีม่ ีขนาดเพ่มิ ขึน้ อยา่ งตอ่ เน่อื งจนเต็มดวง จากนน้ั รูปร่างปรากฏของ ดวงจันทร์จะแหว่งและมี ขนาดลดลงอย่างตอ่ เนื่องจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ จากน้ันรูปร่างปรากฏของ ดวงจันทร์จะเป็น เสีย้ วใหญ่ขึน้ จนเต็มดวงอกี ครงั้ การเปลย่ี นแปลง เช่นนี้เป็นแบบรปู ซ้ากันทกุ เดอื น • ระบบสุริยะเป็นระบบท่ีมีดวงอาทิตย์เป็น ศนู ย์กลางและมีบรวิ ารประกอบด้วย ดาวเคราะห์ แปดดวง และบริวาร ซ่ึงดาวเคราะห์แต่ละดวงมี ขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาว เคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ โคจรอยูร่ อบดวงอาทิตย์ วตั ถขุ นาดเลก็ อื่น ๆ เมื่อ เขา้ มาในช้นั บรรยากาศเน่ืองจากแรงโน้มถว่ งของ โลก ทาให้เกิดเป็นดาวตกหรือผีพุ่งไต้และ อกุ กาบาต

28 ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.๕ ๑ .เปรียบเทียบความแตกต่างของดาว - ดาวที่มองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ในอวกาศซึ่งเป็น เคราะหแ์ ละดาวฤกษจ์ ากแบบจาลอง บรเิ วณทีอ่ ยู่นอกบรรยากาศของโลกมีท้ังดาวฤกษ์ ๒. ใช้แผนที่ดาวระบุตาแหน่งและเส้นทาง และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์เป็นแหล่งกาเนิดแสง การข้ึนและตกของกลุ่มดาวฤกษ์บน จึงสามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะห์ ไม่ใช่ ท้องฟ้า และอธิบายแบบรูปเส้นทางการ แหล่งกาเนิดแสง แต่สามารถมองเหน็ ไดเ้ นอ่ื งจาก ขึ้นและตก ของกลุ่มดาวฤกษ์บนท้องฟา้ ใน แสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาวเคราะห์แล้ว รอบปี สะทอ้ นเขา้ ส่ตู า - การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่างต่าง ๆ เกิด จากจินตนาการของผู้สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ ท่ีปรากฏในท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์แต่ละ ดวงเรียงกันท่ีตาแหนง่ คงที่ และมีเส้นทางการขน้ึ และตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซ่ึงจะปรากฏ ตาแหน่งเดิมการสังเกตตาแหน่งและการข้ึนและ ตกของดาวฤกษ์และกลุ่มดาวฤกษ์สามารถทาได้ โดยใช้แผนที่ดาว ซ่ึงระบุมุมทิศและมุมเงยที่กลุ่ม ดาวน้ันปรากฏ ผู้สังเกตสามารถใช้มือในการ ประมาณค่าของมุมเงยเมือ่ สงั เกตดาวในท้องฟา้ ป.6 1. สร้างแบบจาลองที่อธบิ ายการเกิด และ - เม่ือโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนว เปรยี บเทียบปรากฏการณ์สรุ ิยุปราคา และ เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางท่ี จนั ทรุปราคา เหมาะสม ทาให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของ 2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยี ดวงจันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตท่ีอยู่บริเวณเงา อวกาศ และยกตัวอย่างการนาเทคโนโลยี จะมองเหน็ ดวงอาทิตย์มดื ไป เกิดปรากฏการณ์สุ อวกาศมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน รยิ ุปราคา ซ่งึ มีทัง้ สรุ ยิ ปุ ราคาเต็มดวง สุรยิ ุปราคา จากขอ้ มลู ท่ีรวบรวมได้ บางส่วน และสรุ ยิ ุปราคาวงแหวน ห า ก ด ว ง จั น ท ร์ แ ล ะ โ ล ก โ ค จ ร ม า อ ยู่ ใ น แ น ว เส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์ เคล่ือนท่ีผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์ มืดไป เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่งมีท้ัง จันทรปุ ราคาเต็มดวง และจันทรปุ ราคาบางสว่ น

29 ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 - เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการของ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มนุษย์ในการสารวจวัตถุท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า กล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่ง เพ่ือสารวจอวกาศด้วยจรวดและยานขนส่ง อวกาศ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ปัจจุบันมี การนาเทคโนโลยีอวกาศบางประเภ ทมา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน เช่น การใช้ ดาวเทียมเพ่ือการส่ือสาร การพยากรณ์อากาศ หรือการสารวจทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ อุปกรณ์วัดชีพจรและการเต้นของหัวใจ หมวก นริ ภยั ชุดกฬี า มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพบิ ตั ิภัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ัง ผล ตอ่ สิ่งมีชวี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.1 1.อธิบายลกั ษณะภายนอกของหนิ จาก - หนิ ที่อย่ใู นธรรมชาติมีลักษณะภายนอก ลักษณะเฉพาะตัวทสี่ ังเกตได เฉพาะตัว ทสี่ งั เกตได้ เชน่ สี ลวดลาย นา้ หนกั ความแข็ง และเน้ือหนิ ป.๒ ๑. ระบุส่วนประกอบของดิน และจาแนก - ดินประกอบด้วยเศษหิน ซากพืชซากสัตว์ผสม ชนิดของดินโดยใชล้ ักษณะเน้ือดินและการ อยู่ในเน้ือดิน มีอากาศและน้าแทรกอยู่ตาม จับตัวเป็นเกณฑ์ ช่องว่างในเน้ือดิน ดินจาแนกเป็นดินร่วน ดิน ๒. อธิบายการใช้ประโยชน์จากดินจาก เหนียวและ ข้อมูลท่ีรวบรวมได้ ดินทราย ตามลักษณะเน้ือดินและการจับตัวของ ดิน ซึ่งมีผลตอ่ การอุ้มน้าทแี่ ตกตา่ งกัน - ดินแต่ละชนิดนาไปใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน ตามลักษณะและสมบัตขิ องดิน ป.3 1. ระบุส่วนประกอบของอากาศ บรรยาย อากาศโดยท่ัวไปไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ประกอบด้วย - ความสาคัญของอากาศ และผลกระทบ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สไนโตรเจน แก๊ส ของมลพิษทางอากาศต่อสิ่งมีชีวิต จาก ออกซิเจน แก๊สอื่น ๆ รวมท้ังไอน้า และ ฝุ่น ข้อมูล ทร่ี วบรวมได้ ละออง อากาศมีความสาคัญต่อส่ิงมีชีวิต หาก ส่วนประกอบของอากาศไม่เหมาะสม เน่ืองจากมี แกส๊ บางชนิด

30 ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.3 2. ตระหนักถงึ ความสาคญั ของอากาศ หรือฝุ่นละอองในปริมาณมาก อาจเป็นอันตราย โดยนาเสนอแนวทางการปฏิบตั ิตนในการ ตอ่ สง่ิ มชี วี ติ ชนดิ ต่าง ๆ จดั เป็นมลพิษ ทางอากาศ ลด การเกดิ มลพิษทางอากาศ - แนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดการปลอ่ ยมลพิษ 3. อธบิ ายการเกิดลมจากหลักฐานเชิง ทางอากาศ เช่น ใช้พาหนะร่วมกัน หรือเลือกใช้ ประจกั ษ์ เทคโนโลยที ี่ลดมลพษิ ทางอากาศ 4.บรรยายประโยชน์และโทษของลม จาก - ลม คืออากาศที่เคล่ือนท่ี เกิดจากความ ขอ้ มลู ทรี่ วบรวมได้ แตกต่างกันของอุณหภูมิอากาศบริเวณท่ีอยู่ใกล้ กัน โดยอากาศบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะลอยตัว สูงข้ึน และอากาศบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ากว่าจะ เคลอ่ื นเข้าไปแทนท่ี -ลมสามารถนามาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทน ในการผลติ ไฟฟา้ และนาไปใชป้ ระโยชน์ ป.๕ ๑. เปรียบเทียบปริมาณน้าในแต่ละแหล่ง - โลกมีท้ังน้าจืดและน้าเค็มซึ่งอยู่ในแหล่งน้าต่าง และระบุปริมาณน้าท่ีมนุษย์สามารถ ๆ ที่มที ั้งแหล่งน้าผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง นามาใช้ประโยชน์ได้ จากข้อมูลที่รวบรวม แม่น้า และแหล่งน้าใต้ดิน เช่น น้าในดิน และน้า ได้ บาดาล น้าท้ังหมดของโลกแบ่งเป็นน้าเค็ม ๒. ตระหนักถึงคุณค่าของน้าโดยนาเสนอ ประมาณร้อยละ ๙๗.๕ ซ่ึงอยู่ในมหาสมุทรและ แนวทาง การใช้น้าอย่างประหยัดและการ แหล่งน้าอ่ืน ๆ และท่ีเหลืออีกประมาณร้อยละ อนรุ กั ษ์น้า ๒.๕ เป็นน้าจืด ถ้าเรียงลาดับปริมาณน้าจืดจาก ๓ . ส ร้ า ง แ บ บ จ า ล อ ง ที่ อ ธิ บ า ย ก า ร มากไปน้อยจะอยทู่ ่ี ธารนา้ แขง็ และพืดน้าแข็ง นา้ หมนุ เวียน ของน้าในวฏั จกั รนา้ ใต้ดิน ช้ันดินเยือกแข็งคงตัวและน้าแข็งใต้ดิน ๔. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดเมฆ ทะเลสาบ ความช้ืนในดิน ความชื้นในบรรยากาศ หมอก น้าค้าง และน้าค้างแข็ง จาก บงึ แม่น้า และน้าในสิ่งมชี วี ิต แบบจาลอง - น้าจืดท่ีมนุษย์นามาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก ๕. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดฝน หิมะ จึงควรใช้นา้ อยา่ งประหยัดและรว่ มกันอนุรักษน์ า้ และลกู เห็บ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - วัฏจกั รนา้ เป็นการหมนุ เวียนของน้าที่มีแบบรูป ซ้าเดิม และต่อเน่ืองระหว่างน้าในบรรยากาศ น้า ผิวดิน และน้าใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดารงชีวิต ของพชื และสตั วส์ ง่ ผลตอ่ วฏั จกั รนา้

31 ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๕ - ไอนา้ ในอากาศจะควบแนน่ เป็นละอองน้าเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง เกสร ดอกไม้เป็นอนภุ าคแกนกลาง เม่ือละอองนา้ จานวนมากเกาะกลุ่มรวมกนั ลอยอยูส่ งู จากพื้นดนิ มาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้าทีเ่ กาะกลุม่ รวมกัน อยใู่ กล้พืน้ ดิน เรยี กวา่ หมอก ส่วนไอน้าที่ ควบแนน่ เปน็ ละอองน้าเกาะอยูบ่ นพื้นผิววตั ถใุ กล้ พ้นื ดิน เรียกว่า นา้ ค้าง ถ้าอุณหภมู ิ ใกล้พ้นื ดนิ ตา่ กวา่ จุดเยือกแข็ง นา้ ค้างก็จะกลายเป็นน้าคา้ งแขง็ - ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดนา้ ฟา้ ซงึ่ เป็นนา้ ท่ีมี สถานะตา่ ง ๆ ทตี่ กจากฟา้ ถึงพืน้ ดิน ฝน เกิดจาก ละอองน้าในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถ ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี - หินเป็นวัสดุแข็งเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ หินตะกอน และหินแปรและอธิบายวัฏ ประกอบ ด้วยแร่ต้ังแต่หน่ึงชนิดข้ึนไป สามารถ จกั รหินจากแบบจาลอง จาแนกหินตามกระบวนการเกิดได้เป็น 3 2. บรรยายและยกตัว อย่างกา ร ใ ช้ ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร ประโยชน์ของหินและแร่ในชีวิตประจาวัน - หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เน้ือหิน จากขอ้ มูล ทีร่ วบรวมได้ มีลักษณะเป็นผลึก ท้ังผลึกขนาดใหญ่และขนาด 3. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกิด ซาก เลก็ บางชนดิ อาจเปน็ เน้ือแก้ว หรอื มรี ูพรนุ ดึกดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อม - หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอนเมื่อ ในอดีตของซากดึกดาบรรพ์ ถูกแรงกดทับและมีสารเช่ือมประสานจึงเกิดเป็น 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล หิน เนื้อหินกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ด และมรสุม รวมท้ังอธิบายผลท่ีมีต่อ ตะกอน มีทั้งเนื้อหยาบและเน้ือละเอยี ด บางชนิด สิง่ มชี วี ิตและสิง่ แวดล้อม จากแบบจาลอง เป็นเน้ือผลึกที่ยึดเกาะกันเกิดจากการตกผลึก 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของ หรือตกตะกอนจากน้าโดยเฉพาะน้าทะเล บาง ประเทศไทย จากข้อมูลท่ีรวบรวมได้ ชนิดมลี กั ษณะเปน็ ชน้ั ๆ จงึ เรียกอกี ชือ่ ว่าหินชน้ั 6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของ - หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิมซ่ึง น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม อาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปร โดย แผ่นดินไหว สึนามิ การกระทาของความร้อน ความดนั และปฏกิ ริ ิยา เคมี เน้ือหินของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรยี ง ตัวขนานกนั เป็นแถบ บางชนิดแซะออกเป็นแผ่น ได้ บางชนิด เปน็ เน้อื ผลกึ ที่มีความแขง็ มาก

32 ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.6 7. ตระหนักถงึ ผลกระทบของภัยธรรมชาติ - หินในธรรมชาตทิ ง้ั ประเภท มีการเปลย่ี นแปลง และธรณีพิบัติภัย โดยนาเสนอแนวทางใน จากประเภทหน่ึงไปเป็นอีกประเภทหน่ึง หรือ การเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัย ประเภทเดิมได้ โดยมีแบบรูปการเปลี่ยนแปลง จากภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัยท่ีอาจ คงที่และตอ่ เนื่องเปน็ วฏั จกั ร เกิดในทอ้ งถิ่น - หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติ 8. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกิด แตกต่างกัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ใน ปรากฏการณ์เรือนกระจกและผลของ ชวี ติ ประจาวัน ในลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ นาแร่มาทา ปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อสิง่ มชี วี ิต เครอื่ งสาอาง ยาสฟี ัน เครอื่ งประดบั อุปกรณ์ทาง 9. ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ข อ ง การแพทย์ และนาหินมาใช้ในงานก่อสร้างต่าง ๆ ปรากฏการณ์เรือนกระจกโดยนาเสนอ เปน็ ตน้ แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดกิจกรรมท่ี - ซากดึกดาบรรพ์เกิดจากการทับถม หรือการ กอ่ ใหเ้ กดิ แกส๊ เรอื นกระจก ประทับรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต จนเกิดเป็น โครงสร้างของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ ปรากฏอยู่ในหิน ในประเทศไทยพบซากดึกดา บรรพ์ ที่หลากหลาย เชน่ พืช ปะการงั หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีนสัตว์ - ซากดึกดาบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหนึ่งที่ ช่วยอธิบายสภาพแวดล้อมของพ้ืนที่ในอดีตขณะ เกิดสิ่งมชี ีวติ น้นั เชน่ หากพบซากดกึ ดาบรรพ์ของ หอยนา้ จืด สภาพแวดล้อมบริเวณนัน้ อาจเคยเป็น แหล่งน้าจืดมาก่อน และหากพบซากดึกดาบรรพ์ ของพืช สภาพแวดลอ้ มบริเวณนั้นอาจเคยเป็นปา่ มาก่อน นอกจากน้ีซากดึกดาบรรพ์ยังสามารถใช้ ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมูลในการศึกษา วิวัฒนาการของสิ่งมชี ีวิต - ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพื้นดินและ พ้ื น น้ า ร้ อ น แ ล ะ เ ย็ น ไ ม่ เ ท่ า กั น ท า ใ ห้ อุ ณ ห ภู มิ อากาศเหนือพ้ืนดินและพื้นน้าแตกต่างกัน จึงเกดิ การเคลื่อนที่ของอากาศจากบริเวณท่ีมีอุณหภูมิ ตา่ ไปยงั บรเิ วณท่ีมีอณุ หภมู สิ งู - ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจาถิ่นที่พบ บริเวณชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทา ให้มีลมพัดจากชายฝ่ังไปส่ทู ะเล ส่วนลมทะเลเกดิ ในเวลากลางวัน ทาให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ ชายฝงั่

33 ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 - มรสุมเป็นลมประจาฤดูเกิดบริเวณเขตร้อนของ โลก ซ่ึงเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาค ประเทศ ไทยได้รับผลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือน กุมภาพันธ์ทาให้เกิด ฤดูหนาว และได้รับผลจาก มรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ในชว่ งประมาณกลางเดือน พฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคมทาให้เกิดฤดู ฝน สว่ นชว่ งประมาณกลางเดือนกุมภาพนั ธ์จนถึง กลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปล่ียนมรสุมและ ประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แสงอาทิตย์ เกือบตัง้ ตรงและต้งั ตรงประเทศไทย ในเวลาเที่ยง วันทาให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์อย่าง เตม็ ทอี่ ากาศจงึ ร้อนอบอา้ วทาให้เกิดฤดูร้อน - นา้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝั่ง ดนิ ถลม่ แผ่นดินไหว และ สึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม แตกต่างกนั - มนุษย์ควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น ติดตามข่าวสารอย่างสม่าเสมอ เตรียมถุงยังชีพ ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติตามคาส่ังของ ผู้ปกครองและเจ้าหน้าท่ีอย่างเคร่งครัดเมื่อเกิด ภยั ทางธรรมชาติและธรณีพบิ ัตภิ ยั - ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือน กระจกในช้ันบรรยากาศของโลก กักเก็บความ รอ้ นแล้ว คายความร้อนบางสว่ นกลับสู่ผิวโลก ทา ให้อากาศ บนโลกมีอุณหภูมิเหมะสมต่อการ ดารงชีวิต - หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากขึ้น จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก มนุษย์ จึงควรร่วมกันลดกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดแก๊สเรือน กระจก

34 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืนๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือ พัฒนางาน อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ สังคม และสงิ่ แวดล้อม - ไมม่ ีตัวช้วี ดั ในระดบั ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1-6 สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชวี ิตจรงิ อย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสทิ ธิภาพ รเู้ ท่าทันและมีจริยธรรม ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.1 1.แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้การลองผิด - การแกป้ ญั หาให้ประสบความสาเร็จทาได้โดยใช้ ลองถูก การเปรียบเทียบ ขั้นตอนการแกป้ ญั หา 2.แสดงลาดับข้ันตอนการทางานหรือการ - ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจุด แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ภาพ สัญลักษณ์ แตกต่างของภาพ การจดั หนังสอื ใสก่ ระเป๋า หรอื ข้อความ - การแสดงข้ันตอนการแก้ปัญหา ทาได้โดยการ 3. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ เขียน บอกเล่า วาดภาพ หรอื ใช้สญั ลักษณ์ ซอฟตแ์ วรห์ รือส่ือ - ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมเขาวงกต เกมหาจุด 4.ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดเก็บ แตกตา่ งของภาพ การจดั หนังสือใส่กระเปา๋ เรยี กใชข้ อ้ มลู ตามวตั ถุประสงค์ - การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลาดับของ 5.ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย คาสัง่ ให้คอมพวิ เตอรท์ างาน ปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้คอมพิวเตอร์ - ตวั อยา่ งโปรแกรม เช่น เขียนโปรแกรมสัง่ ให้ ตวั ร่วมกัน ดูแลรักษาอุปกรณ์เบ้ืองต้น ใช้งาน ละครยา้ ยตาแหนง่ ยอ่ ขยายขนาด เปลยี่ นรูปรา่ ง อย่างเหมาะสม - ซอฟต์แวร์หรือส่ือท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น ใช้บัตรคาสั่งแสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org - การใช้งานอุปกรณเ์ ทคโนโลยีเบ้ืองต้น เช่น การ ใช้เมาส์ คีย์บอรด์ จอสมั ผัส การเปดิ -ปิด อปุ กรณ์ เทคโนโลยี - การใช้งานซอฟต์แวร์เบ้ืองต้น เช่น การเข้าและ ออกจากโปรแกรม การสร้างไฟล์ การจดั เกบ็ การ เรียกใช้ไฟล์ ทาได้ในโปรแกรม เช่น โปรแกรม ประมวลคา โปรแกรมกราฟกิ โปรแกรมนาเสนอ

35 ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.1 - การสร้างและจัดเก็บไฟล์อย่างเป็นระบบจะทา ให้เรียกใช้ ค้นหาข้อมลู ได้ง่ายและรวดเรว็ - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น รู้จักข้อมูลส่วนตัว อันตรายจากการเผยแพร่ ข้อมูลส่วนตัว และไม่บอกข้อมูลส่วนตัวกับบคุ คล อื่นยกเว้นผู้ปกครองหรือครู แจ้งผู้เก่ียวข้องเมื่อ ตอ้ งการความชว่ ยเหลือเกยี่ วกบั การใชง้ าน - ข้อปฏิบัติในการใช้งานและการดูแลรักษา อุปกรณ์ เช่น ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณ์ ทาความ สะอาด ใชอ้ ุปกรณ์อยา่ งถูกวธิ ี - การใช้งานอย่างเหมาะสม เช่น จัดท่านั่งให้ ถูกต้อง การพักสายตาเม่ือใช้อุปกรณ์เป็น เวลานาน ระมดั ระวงั อบุ ตั เิ หตุจากการใช้งาน ป.๒ ๑. แสดงลาดบั ข้ันตอนการทางาน หรือ - การแสดงข้ันตอนการแก้ปัญหาทาได้โดยการ การแก้ปัญหาอยา่ งงา่ ยโดยใช้ภาพ เขยี น บอกเล่า วาดภาพ หรือใช้สัญลกั ษณ์ในการ สญั ลักษณ์ หรือข้อความ แก้ปัญหาอย่างง่าย เช่น เกมตัวต่อ ๖ – ๑๒ ช้ิน, ๒. เขยี นโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ การแตง่ ตัวมาโรงเรยี น ซอฟตแ์ วร์หรือส่ือ และตรวจหา - ตวั อยา่ งโปรแกรม เชน่ เขียนโปรแกรมสง่ั ให้ ตัว ขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม ละครทางานตามที่ต้องการ และตรวจสอบ ๓. ใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จัดหมวดหมู่ ข้อผดิ พลาด ปรับแกไ้ ขใหไ้ ดผ้ ลลพั ธต์ ามที่กาหนด คน้ หา จดั เกบ็ เรียกใช้ขอ้ มูลตาม - การตรวจหาข้อผิดพลาดทาได้โดยตรวจสอบ วตั ถุประสงค์ คาสั่งที่แจ้งข้อผิดพลาด หรือหากผลลัพธ์ไม่ ๔. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เป็นไปตามท่ีต้องการให้ตรวจสอบการทางานที ปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้คอมพวิ เตอร์ ละคาสั่ง รว่ มกนั ดแู ลรักษาอปุ กรณ์เบ้ืองต้น ใช้งาน - ซอฟต์แวร์ หรือส่ือที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม อย่างเหมาะสม เช่น ใช้บัตรคาส่ังแสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org - การใช้งานซอฟต์แวรเ์ บ้อื งต้น เชน่ การเข้าและ ออกจากโปรแกรม การสรา้ งไฟล์ การจัดเกบ็ การ เรียกใช้ไฟล์ การแก้ไขตกแต่งเอกสาร ทาได้ ใน โปรแกรม เช่น โปรแกรมประมวลคา โปรแกรม กราฟกิ โปรแกรมนาเสนอ

36 ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๒ - การสร้าง คัดลอก ย้าย ลบ เปลี่ยนชื่อ จัด หมวดหมู่ไฟล์และโฟลเดอร์อย่างเป็นระบบจะทา ให้เรยี กใช้ คน้ หาข้อมูลไดง้ ่ายและรวดเรว็ - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น รู้จักข้อมูลส่วนตัว อันตรายจากการเผยแพร่ ข้อมูลส่วนตัว และไม่บอกข้อมูลส่วนตัวกับบุคคล อื่นยกเว้นผู้ปกครอง หรือครู แจ้งผู้เกี่ยวข้องเม่ือ ต้องการ ความช่วยเหลอื เก่ียวกับการใชง้ าน - ข้อปฏิบัติในการใช้งานและการดูแลรักษา อุปกรณ์ เช่น ไม่ขีดเขียนบนอุปกรณ์ ทาความ สะอาด ใช้อปุ กรณ์อย่างถูกวิธี - การใช้งานอย่างเหมาะสม เช่น จัดท่าน่ังให้ ถูกต้อง การพักสายตาเมื่อใช้อุปกรณ์เป็น เวลานาน ระมัดระวงั อบุ ัตเิ หตจุ ากการใช้งาน ป.3 1. แสดงอลั กอรทิ ึมในการทางาน หรือ - อัลกอริทึมเปน็ ข้นั ตอนท่ีใช้ในการแกป้ ัญหา การแก้ปัญหาอยา่ งง่ายโดยใช้ภาพ - การแสดงอลั กอริทึมทาไดโ้ ดยการเขยี น บอก สัญลกั ษณ์ หรือขอ้ ความ เล่า วาดภาพ หรือใช้สัญลักษณ์ 2. เขยี นโปรแกรมอย่างงา่ ย โดยใช้ - ตวั อยา่ งปญั หา เช่น เกมเศรษฐี เกมบนั ไดงู เกม ซอฟต์แวรห์ รือส่ือ และตรวจหา Tetris เกม OX การเดนิ ไปโรงอาหาร การทา ขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม ความสะอาดหอ้ งเรยี น 3.ใชอ้ นิ เทอร์เน็ตค้นหาความรู้ - การเขยี นโปรแกรมเปน็ การสร้างลาดับของ 4. รวบรวม ประมวลผล และนาเสนอ คาสงั่ ใหค้ อมพิวเตอร์ทางาน ข้อมูล โดยใชซ้ อฟต์แวรต์ ามวัตถปุ ระสงค์ - ตวั อย่างโปรแกรม เช่น เขยี นโปรแกรมท่ีส่ังให้ 5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ตวั ละครทางานซ้าไมส่ ้ินสดุ ปฏิบตั ิตามข้อตกลงในการใช้อนิ เทอรเ์ น็ต - การตรวจหาข้อผิดพลาดทาไดโ้ ดยตรวจสอบ คาสง่ั ท่ีแจ้งขอ้ ผิดพลาด หรือหากผลลัพธ์ไม่ เป็นไปตามที่ตอ้ งการให้ตรวจสอบการทางานที ละคาสั่ง - ซอฟต์แวรห์ รอื ส่ือท่ีใช้ในการเขยี นโปรแกรม เช่น ใช้บัตรคาสงั่ แสดงการเขียนโปรแกรม, Code.org

37 ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.3 - อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ช่วยให้ การติดต่อส่ือสารทาได้สะดวกและรวดเร็ว และ เป็นแหล่งข้อมูลความรู้ท่ีช่วยในการเรียน และ การดาเนนิ ชวี ิต - เว็บเบราว์เซอร์เป็นโปรแกรมสาหรับอ่าน เอกสารบนเว็บเพจ - การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตทาได้โดยใช้ เว็บไซต์สาหรับสืบค้น และต้องกาหนดคาค้นท่ี เ ห ม า ะ ส ม จึ ง จ ะ ไ ด้ ข้ อ มู ล ต า ม ต้ อ ง ก า ร – ข้ อ มู ล ความรู้ เช่น วิธีทาอาหาร วิธีพับกระดาษ เป็นรปู ต่าง ๆ ข้อมูลประวัติศาสตร์ชาติไทย (อาจเป็น ความรู้ในวิชาอ่ืน ๆ หรือเรื่องท่ีเป็นประเด็นท่ี สนใจ ในชว่ งเวลานน้ั ) - การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัยควรอยู่ใน การดแู ลของครู หรือผู้ปกครอง - การรวบรวมข้อมูล ทาได้โดยกาหนดหัวข้อท่ี ต้องการ เตรยี มอปุ กรณใ์ นการจดบันทึก - การประมวลผลอยา่ งงา่ ย เช่น เปรียบเทียบ จัด กลุ่ม เรียงลาดับ - การนาเสนอข้อมูลทาได้หลายลักษณะตาม ความเหมาะสม เช่น การบอกเล่า การทา เอกสารรายงาน การจดั ทาป้ายประกาศ - การใช้ซอฟต์แวร์ทางานตามวัตถุประสงค์ เช่น ใชซ้ อฟต์แวรน์ าเสนอหรือซอฟตแ์ วรก์ ราฟิก สร้าง แผนภูมิรูปภาพ ใช้ซอฟต์แวร์ประมวลคา ทาป้าย ประกาศ หรือเอกสารรายงาน ใช้ซอฟต์แวร์ ตารางทางานในการประมวลผลขอ้ มูล - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น ปกปอ้ งข้อมูลสว่ นตวั - ขอความช่วยเหลือจากครู หรือผู้ปกครองเม่ือ เกิดปัญหาจากการใช้งาน เม่ือพบข้อมูลหรือ บคุ คลทท่ี าให้ไมส่ บายใจ

38 ชั้น ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.3 - การปฏิบัติตามข้อตกลงในการใช้อินเทอร์เน็ต จะทาให้ไม่เกิดความเสียหายต่อตนเองและผู้อ่ืน เช่น ไม่ใช้คาหยาบ ล้อเลียน ด่าทอ ทาให้ผู้อ่ืน เสียหาย หรอื เสยี ใจ ป.๔ ๑. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ หรือเง่ือนไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา ผลลพั ธ์ จากปญั หาอย่างงา่ ย ในการแก้ปัญหา การอธิบายการทางาน หรือการ ๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย คาดการณผ์ ลลัพธ์ โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือส่ือ และตรวจหา • สถานะเร่ิมต้นของการทางานที่แตกต่างกันจะ ข้อผิดพลาดและแกไ้ ข ให้ผลลพั ธ์ท่แี ตกตา่ งกนั ๓. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ และ • ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม OX โปรแกรมทม่ี ี การ ประเมนิ ความนา่ เชือ่ ถอื ของขอ้ มูล คานวณ โปรแกรมทีม่ ตี ัวละครหลายตัวและมีการ ๔. รวบรวม ประเมิน นาเสนอข้อมูลและ สั่งงานท่ีแตกต่างหรือมีการส่ือสารระหว่างกัน สารสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ท่ีหลากหลาย การเดนิ ทางไปโรงเรยี น โดยวิธีการต่าง ๆ เพือ่ แก้ปัญหาในชวี ิตประจาวนั • การออกแบบโปรแกรมอย่างง่าย เช่น การ ๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ออกแบบ โดยใช้ storyboard หรือการออกแบบ ปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของ อลั กอรทิ มึ ตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้ง • การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างลาดับของ ผู้เกี่ยวข้องเม่ือพบข้อมูลหรือบุคคลท่ี คาส่ัง ให้คอมพิวเตอร์ทางาน เพ่ือให้ได้ผลลัพธ์ ไมเ่ หมาะสม ตามความต้องการ หากมีข้อผิดพลาดให้ ตรวจสอบ การทางานทีละคาสั่ง เมื่อพบจุดที่ทา ให้ผลลพั ธ์ ไม่ถูกต้อง ให้ทาการแกไ้ ขจนกว่าจะได้ ผลลพั ธ์ทถี่ ูกต้อง • ตัวอย่างโปรแกรมท่ีมีเร่ืองราว เช่น นิทานท่ี มี การโต้ตอบกับผู้ใช้ การ์ตูนสั้น เล่ากิจวัตร ประจาวนั ภาพเคล่ือนไหว • การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผู้อ่ืนจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของ ปญั หาไดด้ ียิ่งขน้ึ

39 ชั้น ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.๔ • ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo • การใช้คาค้นท่ีตรงประเด็น กระชับ จะทาให้ได้ ผลลัพธท์ ีร่ วดเรว็ และตรงตามความต้องการ • การประเมินความน่าเช่ือถือของข้อมูล เช่น พจิ ารณาประเภทของเว็บไซต์ (หนว่ ยงานราชการ สานักข่าว องค์กร) ผู้เขียน วันที่เผยแพร่ข้อมูล การอ้างองิ • เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการจากเว็บไซต์ต่าง ๆ จะต้องนาเน้ือหามาพิจารณา เปรียบเทียบ แล้ว เลอื กข้อมลู ท่มี คี วามสอดคล้องและสัมพันธก์ นั • การทารายงานหรือการนาเสนอข้อมูลจะต้อง นาข้อมูลมาเรียบเรียง สรุป เป็นภาษาของตนเอง ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและวิธีการนาเสนอ (บรู ณาการกับวชิ าภาษาไทย) • การรวบรวมข้อมูล ทาได้โดยกาหนดหัวข้อ ท่ี ต้องการ เตรียมอปุ กรณใ์ นการจดบนั ทกึ • การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบ จัด กลุ่ม เรียงลาดับ การหาผลรวม • วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ ประเมินทางเลือก (เปรยี บเทยี บ ตดั สนิ ) • การนาเสนอข้อมูลทาได้หลายลักษณะตาม ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม เ ช่ น ก า ร บ อ ก เ ล่ า เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรมนาเสนอ • การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปญั หาในชีวติ ประจาวัน เช่น การสารวจเมนูอาหารกลางวันโดยใช้ ซอฟต์แวร์สร้างแบบสอบถามและเก็บข้อมูล ใช้ ซอฟต์แวร์ตารางทางานเพ่ือประมวลผลข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการและ สร้างรายการอาหารสาหรับ ๕ วัน ใช้ซอฟต์แวร์ นาเสนอผลการสารวจรายการอาหารท่ีเป็น ทางเลือกและข้อมลู ด้านโภชนาการ

40 ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๔ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของ ผู้อ่ืน เช่น ไม่สร้างข้อความเท็จและส่งให้ผู้อ่ืน ไม่สร้างความเดือดร้อนต่อผู้อ่ืนโดยการส่งสแปม ข้อความลูกโซ่ ส่งต่อโพสต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวของ ผู้อื่น ส่งคาเชิญเล่นเกม ไม่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว หรือการบ้านของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไมใ่ ช้ เคร่อื งคอมพิวเตอร/์ ชอื่ บญั ชีของผ้อู ืน่ • การสือ่ สารอย่างมมี ารยาทและรกู้ าลเทศะ • การปกป้องข้อมูลส่วนตัว เช่น การออกจาก ระบบเมอ่ื เลกิ ใชง้ าน ไมบ่ อกรหัสผา่ น ไม่บอกเลข ประจาตัวประชาชน ป.๕ ๑. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา - การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ การอธิบายการทางาน การคาดการณ์ หรือเง่ือนไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่างง่าย ในการแก้ปัญหา การอธิบายการทางาน หรือ ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ การคาดการณผ์ ลลัพธ์ เหตุผลเชิงตรรกะอย่างง่าย ตรวจหา - สถานะเริ่มต้นของการทางานที่แตกต่างกันจะ ข้อผิดพลาดและแกไ้ ข ใหผ้ ลลพั ธ์ทแี่ ตกตา่ งกนั ๓ . ใ ช้ อิ น เ ท อ ร์ เ น็ ต ค้ น ห า ข้ อ มู ล - ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม Sudoku , โปรแกรม ติดต่อส่ือสารและทางานร่วมกัน ประเมิน ทานายตัวเลข, โปรแกรมสร้างรูปเรขาคณิตตาม ความนา่ เชอ่ื ถอื ของข้อมูล ค่าข้อมูลเขา้ , การจดั ลาดบั การทางานบ้านในช่วง ๔. รวบรวม ประเมิน นาเสนอ ข้อมูลและ วันหยดุ , จดั วางของในครวั สารสนเทศ ตามวัตถุประสงค์โดยใช้ - การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขียน ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ เป็นขอ้ ความ หรือผงั งาน ห ล า ก ห ล า ย เ พื่ อ แ ก้ ปั ญ ห า ใ น - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการ ชีวติ ประจาวัน ตรวจสอบเง่ือนไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีเพื่อให้ได้ ๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั ผลลพั ธ์ท่ีถกู ต้องตรงตามความตอ้ งการ มีมารยาท เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน - หากมีขอ้ ผิดพลาดใหต้ รวจสอบการทางาน ทลี ะ เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้งผู้เก่ียวข้องเมื่อ คาสั่ง เม่ือพบจุดที่ทาให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง ให้ทา พบข้อมลู หรอื บคุ คลท่ไี ม่เหมาะสม การแก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลพั ธท์ ถี่ กู ต้อง

41 ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๕ - การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผู้อ่ืนจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของ ปญั หาไดด้ ยี ่ิงขนึ้ - ตวั อย่างโปรแกรม เชน่ โปรแกรมตรวจสอบเลข คู่เลขค่ี โปรแกรมรับข้อมูลน้าหนักหรือส่วนสูง แล้วแสดงผลความสมสว่ นของร่างกาย, โปรแกรม สั่งให้ ตัวละครทาตามเง่ือนไขทก่ี าหนด - ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo - การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต และการ พิจารณาผลการค้นหา - การติดต่อส่ือสารผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น อีเมล บล็อก โปรแกรมสนทนา - การเขียนจดหมาย (บูรณาการกับวิช า ภาษาไทย) - การใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารและ ทางานร่วมกัน เช่น ใช้นัดหมายในการประชุม กลุ่ม ประชาสัมพันธ์กิจกรรมในห้องเรียน การ แลกเปล่ียนความรู้ ความคิดเห็นในการเรียน ภายใต้การดแู ลของครู - การประเมินความน่าเช่อื ถอื ของข้อมลู เช่น เปรียบเทียบความสอดคล้อง สมบูรณ์ของ ข้อมูลจากหลายแหล่ง แหล่งต้นตอของข้อมูล ผูเ้ ขยี น วันทเ่ี ผยแพรข่ อ้ มูล - ข้อมูลที่ดีต้องมีรายละเอียดครบทุกด้าน เช่น ข้อดีและขอ้ เสีย ประโยชน์และโทษ - การรวบรวมข้อมูล ประมวลผล สร้างทางเลือก ประเมินผล จะทาให้ได้สารสนเทศเพ่ือใช้ในการ แ ก้ ปั ญ ห า ห รื อ ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ไ ด้ อ ย่ า ง มี ประสทิ ธภิ าพ - การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผล สร้าง ทางเลือก ประเมินผล นาเสนอ จะช่วยให้การ แกป้ ญั หาทาไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ถกู ตอ้ ง และแม่นยา

42 ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ป.๕ - ตัวอย่างปัญหา เช่น ถ่ายภาพและสารวจแผนท่ี ในท้องถิ่นเพ่ือนาเสนอแนวทางในการจัดการ พืน้ ท่วี า่ งให้เกิดประโยชน์ ทาแบบสารวจความคิด เหน็ ออนไลน์ และวเิ คราะห์ข้อมูล นาเสนอข้อมูล โดยการใช้ Blog หรอื web page - อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม ทาง อินเทอร์เน็ต - มารยาทในการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต (บูรณาการกบั วชิ าท่ีเก่ยี วขอ้ ง) ป.6 1. ใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะในการอธิบายและ - การแก้ปญั หาอยา่ งเป็นขนั้ ตอนจะชว่ ยให้ ออกแบบวิธีการแกป้ ญั หาท่ีพบใน แก้ปญั หาได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ชวี ิตประจาวัน - การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเปน็ การนากฎเกณฑ์ 2. ออกแบบและเขยี นโปรแกรมอยา่ งง่าย หรือเงอ่ื นไขทีค่ รอบคลมุ ทุกกรณีมาใชพ้ จิ ารณา เพอ่ื แก้ปัญหาในชีวติ ประจาวนั ตรวจหา ในการแกป้ ัญหา ข้อผิดพลาดของโปรแกรมและแก้ไข - แนวคิดของการทางานแบบวนซา้ และเงื่อนไข 3. ใช้อนิ เทอรเ์ นต็ ในการคน้ หาข้อมลู อย่าง - การพจิ ารณากระบวนการทางานท่มี ีการ มีประสิทธิภาพ ทางานแบบวนซ้า หรือเง่ือนไขเปน็ วิธกี ารที่จะ 4. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทางานรว่ มกัน ชว่ ยให้การออกแบบวธิ ีการแก้ปญั หาเปน็ ไปอยา่ ง อยา่ งปลอดภัย เข้าใจสทิ ธิและหน้าท่ขี อง มปี ระสทิ ธภิ าพ ตน เคารพในสทิ ธิของผู้อื่น แจ้งผู้เกยี่ วข้อง - ตวั อยา่ งปญั หา เช่น การค้นหาเลขหน้าท่ี เม่อื พบข้อมูลหรือบุคคลท่ีไมเ่ หมาะสม ตอ้ งการให้เร็วทส่ี ุด, การทายเลข 1– 1,000,000 โดยตอบให้ถกู ภายใน 20 คาถาม, การคานวณเวลาในการเดนิ ทาง โดยคานงึ ถงึ ระยะทาง เวลา จดุ หยุดพัก - การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขยี น เปน็ ขอ้ ความ หรือผังงาน - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มกี ารใช้ตัว แปร การวนซ้า การตรวจสอบเงือ่ นไข – หากมี ข้อผิดพลาดใหต้ รวจสอบการทางาน ทลี ะคาสงั่ เม่ือพบจุดทีท่ าใหผ้ ลลัพธไ์ ม่ถูกต้อง ให้ทาการ แก้ไขจนกวา่ จะไดผ้ ลลัพธ์ที่ถูกต้อง - การฝกึ ตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผอู้ น่ื จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของ ปญั หาได้ดียงิ่ ขนึ้

43 ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 - ตวั อย่างปญั หา เชน่ โปรแกรมเกม โปรแกรม หาค่า ค.ร.น เกมฝึกพิมพ์ - ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo -ติดตั้งซอฟตแ์ วร์ท่ีอยู่บนอินเทอร์เน็ต - การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการค้นหา ข้อมูลทไี่ ดต้ รงตามความต้องการในเวลาทีร่ วดเร็ว จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายแหล่ง และ ข้อมูล มีความสอดคล้องกัน – การใช้เทคนิคการ ค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้ ตัวดาเนินการ การระบุ รูปแบบของขอ้ มูล หรือชนิดของไฟล์ - การจัดลาดับผลลัพธ์จากกาค้นหาของ โปรแกรมคน้ หา - การเรียบเรียง สรุปสาระสาคัญ (บูรณาการกบั วิชาภาษาไทย) - อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม ทาง อินเทอร์เน็ต แนวทางในการปอ้ งกนั - วธิ กี าหนดรหัสผา่ น - การกาหนดสิทธิก์ ารใช้งาน (สทิ ธ์ิในการเข้าถงึ ) - แนวทางการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ – อันตรายจากการ

44 คาอธบิ ายรายวชิ าพื้นฐาน ว ๑๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รี ย น รู้ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ แ ล ะ เทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ เวลา ๘๐ ช่วั โมง ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ศึกษา ค้นคว้าเก่ียวกับชื่อพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่บริเวณต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการ ดารงชีวิตของสัตว์ในบริเวณทีอ่ าศัยอยู่ ลักษณะและหนา้ ที่ของสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์และพืช การ ทาหน้าท่ีร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ในการทากิจกรรมต่างๆความสาคัญของส่วนต่างๆของ รา่ งกายตนเอง โดยการดแู ลส่วนต่างๆอยา่ งถกู ตอ้ งใหป้ ลอดภยั และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ศกึ ษาคน้ ควา้ เกีย่ วกับสมบัติท่สี ังเกตได้ของวัสดุท่ีใช้ทาวัตถุ ซ่ึงทาจากวสั ดชุ นิดเดียวกันหรือหลายชนิด ประกอบกันโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ชนิดของวัสดุและจัดกลุ่มตามสมบัติท่ีสังเกตได้ การเกิดเสียงและทิศ ทางการเคล่ือนที่ของเสยี งจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ ศึกษาค้นคว้าเก่ียวกับดาวท่ีปรากฏการณ์บนท้องฟ้าในเวลากลางวนั และกลางคืน สาเหตุที่มองไม่เหน็ ดาวสว่ นใหญ่ในเวลากลางวนั และลกั ษณะภายนอกของหนิ ศึกษาและฝึกทักษะในการแก้ปัญหาโดยใช้ข้ันตอนการแก้ปัญหาอย่างง่าย การแสดงขั้นตอนการ แก้ปัญหาโดยการเขียน บอกเล่า วาดภาพ หรือใช้สัญลักษณ์ การเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ส่ือหรือ ซอฟต์แวร์ การใช้เทคโนโลยีในการสร้าง จดั เกบ็ เรียกใชข้ ้อมลู การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั ข้อ ปฏบิ ัตใิ นการใชง้ านและการดแู ลรักษาอุปกรณ์ การใชง้ านเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างเหมาะสม ทั้งนี้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบค้น ข้อมูล การเปรียบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความ เข้าใจ สามารถสื่อสารส่ิงท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ในชีวติ ประจาวัน มจี ติ วิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมท่เี หมาะสม ตัวช้ีวัด ว 1.1 ป.1/1 , ป.1/2 ว 1.2 ป.1/1 , ป.1/2 ว 2.1 ป.1/1 , ป.1/2 ว 2.3 ป.1/1 ว 3.1 ป.1/1 , ป.1/2 ว 3.๒ ป.1/1 ว 4.2 ป.1/1 , ป.1/2 , ป.1/3 , ป.1/4 , ป.1/5 รวม 15 ตัวชีว้ ัด

45 โครงสรา้ งรายวชิ า ว๑1๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1เวลา ๘๐ ชวั่ โมง/ปี สัดสว่ นคะแนนระหว่างเรียน : ปลายปี ๖๐ : ๔๐ ลาดบั ชื่อหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนักคะแนน ท่ี เรียนรู้/ตัวชว้ี ดั (ช่วั โมง) ๑ การเรยี นรู้สงิ่ ต่างๆ - การเรียนรสู้ ิง่ ต่างๆรอบตัว 4 10 รอบตัว - การสืบเสาะหาความรู้ทาง 22 32 ว 1.๑ ป.1/1 วิทยาศาสตร์ ๑6 24 ๒ ตัวเรา สัตว์ และพชื ว 1.๑ ป.1/2 - การสงั เกตและลง รอบตวั เรา ว 1.2 ป.1/๑ ความเหน็ จากข้อมูล ว 1.2 ป.๒/๒ - การจาแนกประเภท ๓ สิ่งต่างๆรอบตัว ว ๒.1 ป.1/๑ - การพยากรณ์ ว ๒.1 ป.1/๒ ว 2.3 ป.1/1 - สว่ นประกอบและหนา้ ท่ี ของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ - ส่วนประกอบตา่ งๆของ สตั ว์และพืช - บรเิ วณท่พี ืชและสัตวอ์ าศัย - ชนิดและสมบัตขิ องวัสดุ รอบตวั - การเกิดและการเคลอื่ นท่ี ของเสยี งในชีวติ ประจาวัน ๔ โลกและท้องฟา้ ของเรา ว 3.1 ป.1/๑ - ลักษณะของหนิ ๑6 24 ว 3.1 ป.1/2 - การมองเห็นดวงดาวบน ว 3.๒ ป.1/1 ทอ้ งฟ้า ๖ วิทยาการคานวณ ว ๔.๒ ป.1/๑ 1. แกป้ ญั หาอย่างงา่ ยโดยใช้ ๒๐ 30 ว ๔.๒ ป.1/๒ การลองผิดลองถูก การ ว ๔.๒ ป.1/๓ เปรยี บเทียบ ว ๔.๒ ป.1/๔ 2. แสดงลาดบั ข้ันตอนการ ทางาน หรอื การแกป้ ญั หา อย่างงา่ ยโดยใชภ้ าพ สญั ลักษณ์ หรอื ข้อความ

46 ลาดบั ช่ือหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา นา้ หนกั คะแนน ที่ เรียนรู้/ตวั ช้ีวัด (ชว่ั โมง) 6 วทิ ยาการคานวณ ทกุ ตวั ชี้วดั 3. เขียนโปรแกรมอย่างง่าย ๒ ๑๒๐ โดยใชซ้ อฟต์แวรห์ รือสื่อ ๒ ๘๐ ๗ การประเมนิ ผลรวบ 4.ใช้เทคโนโลยใี นการสร้าง ๒๐๐ ยอด จัดเก็บ เรยี กใชข้ ้อมลู ตาม วัตถุประสงค์ ๘ การทดสอบปลาย 5. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ ภาค/ปลายปี อย่างปลอดภัย ปฏิบตั ติ าม ข้อตกลงในการใช้ คอมพวิ เตอร์รว่ มกัน ดูแล รักษาอปุ กรณ์เบอ้ื งต้น ใช้ งานอยา่ งเหมาะสม - ทกุ ตัวชว้ี ดั - รวม

47 การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้

48 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่ือง อาหารและสารอาหาร แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 เรอ่ื ง สารอาหาร รายวชิ า ว 16101 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ผสู้ อน.................................................................... โรงเรยี นอนุบาลตราด ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชีว้ ัด มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ ของโครงสร้าง และหน้าทีข่ องอวยั วะตา่ งๆ ของพืชทีท่ างานสัมพนั ธ์กนั รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวช้ีวัด ป.6/1 ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเอง รบั ประทาน ๒. สาระสาคญั สารอาหารท่ีอยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั เกลอื แร่ วติ ามนิ และนา้ โดยสารอาหารแต่ละประเภทใหป้ ระโยชนท์ แ่ี ตกต่างกันออกไป ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ด้านความรคู้ วามเข้าใจ (K) ๑) นกั เรยี นระบปุ ระเภทของสารอาหารจากอาหารทีร่ บั ประทานได้ ๒) นักเรียนบอกประโยชนข์ องสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารท่รี ับประทานได้ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) ๑) นักเรยี นจาแนกสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารท่ีรบั ประทานได้ ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) ๑) มคี วามรบั ผิดชอบในงานที่ไดร้ ับมอบหมาย ๒) มีความใฝร่ ใู้ ฝเ่ รยี น 4. สาระการเรียนรู้ อาหาร (food) คือ สง่ิ ทีเ่ รารบั ประทานไดโ้ ดยปลอดภยั และให้สารอาหารต่างๆ ท่เี ป็นประโยชนต์ ่อร่างกาย สารท่เี ป็นองค์ประกอบในอาหาร เรยี กว่า สารอาหาร (nutrient) เป็นสารทีร่ ่างกายสามารถใช้ ประโยชนใ์ นการดารงชีวติ จาแนกตามองค์ประกอบทางเคมเี ป็น 6 ประเภท คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมัน เกลือแร่ วติ ามนิ และนา้ คารโ์ บไฮเดรต ไดจ้ ากการรบั ประทานอาหารพวกขา้ ว แปง้ น้าตาล เผอื ก มัน ข้าวโพด โดยเป็นเป็น สารอาหารหลักทใ่ี ห้พลงั งานแกร่ ่างกาย

49 ๑) โปรตีน มีบทบาทสาคัญโดยเป็นเอนไซม์ ฮอร์โมน แอนติบอดี อาหารท่ีพบโปรตีนมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ นมและถั่ว โดยโปรตีนเป็นส่วนประกอบสาคัญของอวัยวะและเซลล์ทุกเซลล์ ช่วยสร้าง เสริมการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์ และเปน็ สารอาหารที่ให้พลังงาน ๒) ไขมัน พบในไขมันจากสัตว์ และไขมันจากพืช เช่น เนย น้ามันพืช เป็นต้น โดยไขมันให้พลังงานสูงแก่ ร่างกาย ช่วยในการดดู ซมึ วติ ามนิ บางชนดิ ได้แก่ วิตามนิ A,D,E และ K ๓) วติ ามิน เปน็ สารอาหารท่ีไม่ให้พลังงาน แตร่ า่ งกายก็ขาดไม่ได้ ช่วยให้รา่ งกายทางานได้อย่างปกติ โดย พบวติ ามนิ ไดใ้ นผกั และผลไม้ ๔) แร่ธาตุ เป็นส่วนประกอบของสารหลายชนิดทมี่ ีความสาคญั ต่อการทาหน้าท่ีของเซลลแ์ ละอวัยวะ อีก ทง้ั ยงั ชว่ ยให้ร่างกายทางานได้อยา่ งปกตอิ กี ดว้ ย ซงึ่ พบแร่ธาตุได้มากในผัก และผลไม้

50 ๕) น้า เป็นสารอาหารท่ีเป็นส่วนประกอบของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ช่วยในการนาของเสียออกจาก ร่างกายและช่วยในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ร่างกายได้รับน้าโดยการดื่มน้าและจากการ รบั ประทานอาหาร 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา 6. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 1) มีความสนใจใฝ่เรียนรู้ 2) มีความมุง่ ม่ันในการทางานใหส้ าเร็จดว้ ยความสามารถของตนเอง 3) มีความรับผดิ ชอบ 7. คา่ นิยม 1) ซือ่ สตั ย์ เสยี สละ อดทน และมีอดุ มการณ์ในสงิ่ ทดี่ งี าม เพอ่ื สว่ นรวม 2) ใฝห่ าความรู้ หมน่ั ศึกษาท้งั ทางตรงและทางอ้อม 8. ช้ินงาน/ภาระงาน 1) การตอบคาถามในแบบบนั ทึกกิจกรรม เร่อื ง อาหารท่รี บั ประทานใน 1 วนั 9. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ เคร่ืองมอื เกณฑ์การผ่าน วธิ กี าร การตอบคาถามในแบบบันทึก นกั เรียนสามารถตอบคาถามได้ 1.ดา้ นความรู้ กิจกรรม ถกู ต้องเกนิ ร้อยละ 80 2.ดา้ นทกั ษะกระบวนการ การตอบคาถามในแบบบันทึก นักเรียนสามารถทาการตอบ กิจกรรม คาถามได้ถูกต้องเกินร้อยละ 80 3.ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ แบบสังเกตพฤติกรรม มีคะแนนคณุ ลักษณะอันพึง ประสงค์ในเกณฑด์ ี-ดมี าก