รายงานการวิจยั ข้อเสนอเชิงนโยบายการจดั การศึกษาในสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
รายงานการวิจัย ขอ้ เสนอเชิงนโยบายการจดั การศกึ ษาในสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) สำนกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 สำนกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ช่ือเรื่อง ขอ้ เสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณก์ ารแพร่ระบาด ของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผ้วู จิ ัย สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพษิ ณโุ ลก เขต 3 ปีงบประมาณ คำสำคญั คณะวิจยั สำนักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาพิษณโุ ลก เขต 3 2564 ขอ้ เสนอเชิงนโยบาย โรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 สำนักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา บทคดั ย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียน ลักษณะต่างๆ ด้านข้อดี ข้อเสีย โอกาส อุปสรรค (SWOT) ในการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และ การดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการศึกษาโรงเรียนทุกลักษณะใน สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 ดา้ นการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี น 3) จัดทำขอ้ เสนอเชงิ นโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 ในสำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาพิษณโุ ลก เขต 3 การวิจยั แบง่ เปน็ 3 ระยะ ระยะที่ 1 การศึกษาแนวคดิ และวิเคราะหส์ ภาพการจัดการศึกษา โดยการ วิเคราะห์เอกสาร และ SWOT สภาพการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในแต่ละลักษณะ ระยะที่ 2 จัดทำร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย ระยะที่ 3 สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครูผู้สอนระดับปฐมวัย ระดับชั้นประถมศึกษา และ ระดับชั้นมัธยมศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดกลาง โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนคุณภาพชุมชน และโรงเรียน Stand Alone โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้เชี่ยวชาญในสำนักงานเขตพื้นที่ และสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั ไดแ้ ก่ แบบสัมภาษณแ์ บบมีโครงสร้าง รา่ งขอ้ เสนอเชิงนโยบายวเิ คราะหข์ ้อมูลโดยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content Analysis) ผลการวิจยั พบวา่ 1. ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณการแพรระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID - 19) สำนกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 3 ของโรงเรยี น เรยี นแต่ละลกั ษณะมีองค์ประกอบของนโยบาย ไดแ้ ก่ โครงการ วัตถปุ ระสงค์ กลยทุ ธ์การดำเนินงาน และผลทีค่ าดว่าจะไดร้ ับ 2. ผลวิเคราะห์สภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนลักษณะต่างๆ ด้านข้อดี ข้อเสีย โอกาส อุปสรรค (SWOT) ในการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อหา แนวทางการพัฒนาการจัดการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรียนลักษณะต่าง ๆ พบว่า 1) โรงเรียนขนาดเล็ก มีทางการพัฒนาการจดั การศึกษา ด้านการ บริหารจัดการ 21 แนวทาง ด้านการจัดการเรียนรู้ 5 แนวทาง ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 22 แนวทาง 2) โรงเรียนขนาดกลาง มีทางการพัฒนาการจัดการศึกษา ด้านการบริหารจัดการ 13 แนวทาง ด้านการจัดการเรียนรู้ 2 แนวทาง ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 7 แนวทาง
3) โรงเรียนขนาดใหญ่ มที างการพัฒนาการจัดการศึกษา ดา้ นการบรหิ ารจดั การ 8 แนวทาง ด้านการ จัดการเรียนรู้ 5 แนวทาง ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 6 แนวทาง 4) โรงเรียนคุณภาพชุมชน มที างการพฒั นาการจดั การศกึ ษา ดา้ นการบริหารจัดการ 7 แนวทาง ดา้ นการจดั การเรยี นรู้ 5 แนวทาง ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2 แนวทาง 5) โรงเรียน Stand Alone มีทางการพัฒนาการจัด การศึกษา ด้านการบริหารจัดการ 5 แนวทาง ด้านการจัดการเรียนรู้ 2 แนวทาง ด้านการดูแล ชว่ ยเหลือนกั เรียน 3 แนวทาง 3. ผลการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณการแพรระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID - 19) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ของโรงเรียนเรียนแต่ละลักษณะมีความเหมาะสม และความเป็นไปได้ โดยมีกำหนดเป็น โครงการ ตามลักษณะของโรงเรียน ดังน้ี 1) โรงเรียนขนาดเล็ก ด้านบริหารจัดการ จำนวน 16 โครงการ ด้านการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 โครงการ ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 11 โครงการ 2) โรงเรียนขนาดกลาง ด้านบริหารจัดการ จำนวน 14 โครงการ ด้านการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 โครงการ ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 3 โครงการ 3) โรงเรียนขนาดใหญ่ ด้านบริหารจัดการ จำนวน 9 โครงการ ด้านการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 โครงการ ด้านการดูแล ช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 6 โครงการ 4) โรงเรียนคุณภาพชุมชน ด้านบริหารจัดการ จำนวน 10 โครงการ ด้านการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 โครงการ ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 โครงการ 5) โรงเรียน Stand Alone ด้านบริหารจัดการ จำนวน 7 โครงการ ด้านการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 โครงการ ด้านการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรยี น จำนวน 3 โครงการ
กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเร่ือง ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 สำเร็จสมบรู ณ์ได้ ต้องขอขอบคณุ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร ท่ีจัดสรรงบประมาณเพอื่ เปน็ ค่าใชจ้ า่ ยในการดำเนินงาน ตามกรอบการวจิ ัย จำนวน 30,000 บาท ขอขอบคุณนายสุรินทร์ มั่นประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา พษิ ณุโลก เขต 3 ที่ใหค้ ำปรึกษา แนะนำทีเ่ ปน็ ประโยชน์ยิ่ง ขอขอบคุณผู้บริหารสถานศึกษา และครูกลุ่มตัวอย่างที่ให้ความร่วมมือในการเก็บข้อมูลวิจัย ในคร้ังน้ีอย่างดียิ่ง ตลอดจนให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการจัด การศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำนกั งานเขต พน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพิษณุโลก เขต 3 กราบขอบพระคุณผู้เช่ียวชาญ ทุกท่านที่กรุณาประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ของข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 และให้ข้อเสนอแนะ อนั เปน็ ประโยชน์ จนทำใหก้ ารวิจัยสำเรจ็ บรรลุผลตามวัตถปุ ระสงค์ คุณค่าและคุณประโยชน์อันพึงจะมีจากงานวิจัยฉบับนี้ คณะผู้วิจัยขอมอบและอุทิศแด่ ผมู้ พี ระคณุ และผู้เขียนตำราท่ีใช้ในการอา้ งอิง ทุกท่าน หวังเปน็ อย่างยิ่งว่า งานวิจยั น้ีจะเป็นประโยชน์ ตอ่ การพฒั นาคุณภาพการศึกษาไทยต่อไป คณะผ้วู จิ ัย
บทท่ี 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ส่งผลกระทบ ต่อประชากรโลกเป็นวงกว้าง โดยมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพ่ิมข้ึนเป็นจำนวนมาก ในระยะเวลาอันรวดเร็ว องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรค ระบาดใหญ่ (Pandemic) ในวันที่ 11 มีนาคม พุทธศักราช 2563 (WHO, 2020) ซึ่งการแพร่ระบาด ของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลทำให้พฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมการบริโภคและ การบริการเกิดการเปล่ียนแปลงท่ีสำคัญในหลายๆ ด้าน ทำให้ในหลายภาคส่วนเกิดผลกระทบ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การท่องเทยี่ ว เทคโนโลยี รวมถงึ การศกึ ษา ผลกระทบต่อระบบการจัดการศึกษาและกระบวนการจัดการเรียนการสอน เร่ิมต้ังแต่ เช้ือไวรัสได้มีการระบาดในประเทศจีนเมื่อปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ซ่ึง UNESCO รายงานว่า รัฐบาล 191 ประเทศทั่วโลก ประกาศปิดสถานศึกษาทั้งประเทศ มีผู้เรียนได้รับผลกระทบกว่า 1.5 พันล้านคน (มากกว่า ร้อยละ 90 ของผู้เรียนทั้งหมด) (คณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา, 2563) สำหรับประ เทศไทยสถานก ารณ์ การระ บาดเกิดข้ึน ใน ช่วงสถาน ศึกษาขั้น พื้ น ฐานปิดภาคเรียน โดยในช่วงต้นเดือนเมษายน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เลื่อนวันเปิดเทอมภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ประเทศไทยจึงมีโอกาสทบทวนบทเรียนจาก ต่างประเทศเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่สอดรับกับมาตรการ ป้องกันการระบาด พร้อมกับเตรียมมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับและป้องกันไม่ให้ผู้เรียนได้รับ ผลกระทบจากรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเปล่ียนไป อีกท้ังหน่วยงานทม่ี ีส่วนเกี่ยวข้องในทุกระดับทั้ง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัด สถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง และภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกย่ี วข้องจะต้องเขา้ มามีส่วนรว่ มในการแกไ้ ขปัญหา ดังกล่าว เพื่อให้การจัดการศึกษาของชาติในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถเดินหนา้ ไปไดอ้ ย่างเปน็ รปู ธรรมมากทสี่ ดุ ในปีการศึกษา 2564 สถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอื้ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID- 19) ได้ทวีความรุนแรง และขยายตัวในวงกว้างอย่างรวดเร็วมากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีแนวโน้มที่จะเกิดการระบาดในโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศให้โรงเรียนในสังกัดและ กำกับ เล่ือนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จากวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2564 พร้อมท้ังได้กำหนดแนวทางการดำเนินงาน เพ่ือไม่ให้การเล่ือนวันเปิดภาคเรียน กระทบต่อโอกาสในการเรียนรู้และสิทธิของนักเรียน โดยช่วงเวลาจากวันที่ 17-31 พฤษภาคม 2564 ใหผ้ บู้ รหิ ารโรงเรยี น ครู บุคลากรทางการศึกษา นกั เรียนและผู้ปกครองเตรียม ความพร้อมด้านอาคาร สถานท่ี การจดั การเรยี นการสอน และภารกิจอื่น ๆ เพื่อรบั การเปิดภาคเรยี น
2 ในส่วนของแนวทางการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐานไดก้ ำหนดแนวทางการ จัดการเรยี นการสอน ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 สำหรับโรงเรียนในสงั กัด ไว้ 5 รูปแบบ ได้แก่ 1) On-site คือ การจัดการเรียนการสอนแบบปกติท่โี รงเรียน (มาตรการ ศบค.) โดยโรงเรียนสามารถ ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างเคร่งครัด 2) On-air คือ การจัดการเรียนการสอนผ่านระบบโทรทัศน์ โดยใช้ระบบสัญญาณดาวเทียม ระบบ เคเบิลทีวี (Cable TV) ระบบ Application TV และระบบ IPTV เป็นช่องทางในการเผยแพร่ส่ือการ เรยี นรู้ DLTV ของมูลนธิ ิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทยี ม ในพระบรมราชูปถมั ภ์ ในระดับอนบุ าลถึงชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 3) On-demand คือ การจัดการเรียนการสอนผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับ นักเรียนที่สามารถเรียนรู้ผ่านเว็บไซต์ DLTV (www,dltv.ac.th), Youtube (DLTV 1 Chanel - DLTV 12 Chanel), Application DLTV, DLIT (www.dlit,ac.th) Application DLIT หรือ OBEC Content Center บน Smart Phone /Tablet 4) Online คือ การจัดการเรียนการสอนแบบ ถ่ายทอดสดผ่านเครอื ข่ายอนิ เทอรเ์ นต็ ในลักษณะการสอ่ื สารสองทาง ซงึ่ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบถ่ายทอดสด (LIVE) ระหว่างครูกับนักเรียน โดยนักเรียนจะต้องมีความพร้อมด้านอุปกรณ์ และ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต 5) On-hand คือ การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่ไม่มีความพร้อม ด้านอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนทางไกล ด้วยการนำส่งเอกสารไปให้นักเรียนได้เรียนรู้ท่ีบ้าน ภายใต้ความดแู ลช่วยเหลือของผู้ปกครองในขณะท่ีเรยี นรู้ และให้โรงเรยี นสามารถออกแบบการจัดการ เรียนการสอนเองไดต้ ามความเหมาะสม (สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2564) จากรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 5 รูปแบบ ทางโรงเรียนต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับ สภาพบริบทของโรงเรียน มีการสื่อสารและทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง วางแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยการวางแผนการดำเนินการจัดการเรียนการสอนในช่วงเวลาดังกล่าว ตอ้ งเปน็ การหารอื วางแผนและประสานงานร่วมกันของผู้เกี่ยวข้องทุกฝา่ ย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตอ้ งเป็น การสร้างทางเลือก ในก ารเรียน รู้ให้แก่ นั กเรีย นได้เลือก รูป แบ บ การเรียน รู้ได้ ตามความ สมัครใจ โดยพิจารณาจากความพร้อมของนักเรียน ผู้ปกครองและครอบครัว รวมท้ังอุปกรณ์ท่ีจำเป็นในการ เข้าถึงการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ของนักเรียนเป็นสำคัญ แต่ไม่ว่าจะเลือกจัดการเรียนการสอน ในรูปแบบใดก็ตาม ทุกโรงเรียนต้องตระหนักเรื่องความปลอดภัยด้านสุขภาพของนักเรียน ครู และ บุคลากรที่เก่ียวข้อง ระดับของการแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ในพ้ืนที่ตั้งของโรงเรียน และต้องปฏิบัติตามมาตรการท่ีศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) (ศบค.) กำหนดอย่างเคร่งครัด และสำหรับการจัดการเรียน การสอนแบบปกติที่โรงเรียน ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขการจัดการเรียนการสอนแบบปกติท่ีโรงเรียน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกำหนด และต้องได้รับความเห็นชอบจาก ศนู ย์บริหารสถานการณ์แพรร่ ะบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) จังหวัด และสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดนั้น ๆ โดยให้โรงเรียนหารือและวางแผนร่วมกันผู้ปกครอง เพื่อเลือกรูปแบบการ จดั การเรยี นการสอนท่ีเหมาะสมท่ีสุดตามบริบทของโรงเรียน ส่ิงสำคัญท่ีสุดในช่วงระยะเวลาต่อไปนี้ ทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา นักเรียนและผู้ปกครอง ต้องปรับตัวในการ ปฏิบัติงาน เน้นการปฏิบัติภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
3 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้โรงเรียนเป็นสถานท่ีปลอดภัย ส่งผลให้นักเรียนสามารถ เรียนรูไ้ ด้อยา่ งเต็มศักยภาพและปลอดภัยจากโรค สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 มพี ื้นที่บรกิ ารการศึกษาทั้งหมด 5,837 ตารางกิโลเมตร พื้นท่ตี อนเหนือเปน็ ป่าเขาและท่ีลาดชันเชิงเขา ประมาณรอ้ ยละ 70 ของพ้ืนที่ ท้งั หมด ซง่ึ มีความห่างไกลและทุรกันดาร สำหรับพ้ืนทีต่ อนล่าง เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ ประมาณรอ้ ยละ 30 ของพ้ืนที่ท้ังหมด มีโรงเรียนในสงั กัดกระจายอยู่ใน 4 อำเภอ จำนวน 161 โรงเรียน ประกอบด้วย อำเภอนครไทย จำนวน 56 โรงเรียน อำเภอชาติตระการ จำนวน 29 โรงเรียน อำเภอวัดโบสถ์ จำนวน 26 โรงเรียน และอำเภอพรหมพิราม จำนวน 50 โรงเรียน ในปีการศึกษา 2564 มีนักเรียน ทั้งหมดจำนวน 20,406 คน (กลุม่ นิเทศ ติดตามและประเมนิ ผลการจัดการศกึ ษา, 2564) การบริหาร จัดการศึกษาดำเนินการในรูปแบบเครือข่ายโรงเรียนอำเภอ จำนวน 24 เครือข่าย มีศึกษานิเทศก์ ประจำเครือข่าย จำนวน 17 คน ในภาคเรียนท่ี 1 ในส่วนของเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนในสังกัดมีการเปิดเรียนแบบ On-site แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกเปิดเรียนวันท่ี 1 มิถุนายน 2564 จำนวน 144 โรงเรียน และกลุ่มท่ีสอง เปิดเรียนวันที่ 14 มิถุนายน 2564 จำนวน 17 โรงเรียน เน่ืองจากนโยบายของจังหวัดพิษณุโลก ตามความเสี่ยงของการแพร่ระบาดในพื้นท่ี ที่โรงเรียนต้ังอยู่ และจากผลการนเิ ทศ ติดตามและประเมินความพร้อมในการเปิดเรียน ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 โดยคณะศึกษานิเทศก์ประจำเครือข่าย ใน 6 ประเด็น ได้แก่ 1) ความพร้อมของ สถานศึกษาเก่ียวกับสภาพแวดล้อมบริเวณโรงเรียน และภายในหอ้ งเรียน 2) ความพร้อมด้านบริหาร จัดการศึกษา 3) ความพร้อมดา้ นการจดั การเรยี นการสอน 4) ความพรอ้ มของนักเรยี น 5) ความพร้อม ด้านมาตรการรักษาความปลอดภัยของบุคลากรและนักเรียน 6) การประเมินยืนยันผลการประเมิน ตนเองของโรงเรยี นตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กลุ่มนิเทศ ติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษา, 2564) ผลการนิเทศความพรอ้ มดา้ นการบรหิ ารจัดการศกึ ษา พบว่า โรงเรียนทุกแห่งมีการประชุมและจัดทำคำส่งั มอบหมายงานก่อนเปิดภาคเรียน การจัดทำรายงานผล การประเมินคุณภาพการศึกษา (SAR) ส่วนใหญ่ดำเนินแล้วเสร็จและจัดส่งให้สำนักงานเขตพ้ืนท่ีแล้ว ทุกโรงเรียนการดำเนินการเรื่องการสั่งซ้ือหนังสือแบบเรียน แบบฝึกหัด มีการมอบค่าเครื่องแบบ นักเรียนและอุปกรณ์การเรียนให้ผู้ปกครองครบถ้วน สำหรับอาหารเสริมนมและอาหารกลางวัน โรงเรียนได้ประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และได้ดำเนินการแจกให้กับผู้ปกครองเรียบร้อย ความพร้อมด้านการจดั การเรียนการสอน พบว่า โรงเรียนได้มีการประเมินหลักสูตรศึกษา แต่ครูส่วน ใหญ่ไม่ได้ออกแบบหน่วยการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมถึงไม่ได้นำหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การ จดั การเรียนการสอนอย่างแท้จริง โรงเรยี นท่ีจัดการเรียนการสอนด้วยทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) จะจัดตารางเรียนตามที่โรงเรียนต้นทาง โรงเรียนท่ีมีนักเรียนต่ำกว่า 60 คน จำนวน 48 โรงเรียน ได้รบั ชุดกิจกรรมการเรียนด้วย DLTV ทง่ี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานส่งมาให้ทำให้ การเรยี นสะดวกมากขึ้น เป็นการลดภาระในการจดั ทำใบงานของครู แต่ยังพบว่าครบู างคนยังขาดการ มสี ่วนรว่ มและการกระตุ้นนักเรียน ครูมักปล่อยให้นักเรียนน่ังดูและเรียนรู้เอง โรงเรียนที่จัดการสอน แบบ On-hand การรับส่งใบงาน / แบบฝึกหัดสำหรับนักเรียนผ่านช่องทางที่ลดความเส่ียงหรือ ประสานผูน้ ำชุมชนท้องถ่ินในการประชาสัมพนั ธ์ และใชช้ อ่ งทางไลน์ในการติดต่อประสานงานระหว่าง โรงเรียนกับผปู้ กครอง เพอ่ื ลดการตดิ ตอ่ พบปะกันโดยตรง ความพร้อมของนกั เรยี น ผลการนิเทศพบว่า
4 นกั เรียนมีการแต่งกายที่สะอาดเรยี บร้อย ถูกระเบียบ นักเรียนได้รับหนังสือครบถ้วน กรณีโรงเรียนที่ ยังไม่ได้รับหนังสือบางรายวิชาที่อยู่ระหว่างการจัดส่ง ทางโรงเรียนแก้ไขโดยนำหนังสือเรียนเก่าให้ นักเรียนใช้เรียนก่อน นักเรียนทุกคนสวมหน้ากากอนามัยมาโรงเรียน แต่นักเรียนบางคนไม่คุ้นเคย โดยเฉพาะระดับข้ันอนุบาล โรงเรยี นมีการเตรียมหน้ากากอนามยั สำรองไว้ใหน้ ักเรียน ความพรอ้ มด้าน มาตรการรักษาความปลอดภัยของบุคลากรและนักเรียน ผลการนิเทศพบว่า โรงเรียนทุกแห่งแจ้งให้ ครูผู้สอน บุคลากรที่มภี ูมิลำเนาอยตู่ ่างจังหวัดเดินทางกลบั มาปฏิบตั ิหน้าที่ ต้งั แต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 และแจ้งให้ผ้ปู กครองนำนกั เรียนกลบั ภูมลิ ำเนาต้ังแต่วันที 15 พฤษภาคม 2564 มีการกกั ตัวครู นักเรียน ท่ีเดินทางมาจากพื้นท่ีเส่ียง จนครบ 14 วัน ส่วนนักเรียนท่ีกักตัวในช่วง 14 วัน จะให้เรียน แบบ On-hand ที่บ้าน โดยครูจะนำใบงาน ค่าอาหารกลางวันและนมไปมอบให้ท่ีบ้าน และโทรศัพท์ หรือไลน์สอบถามเป็นระยะ โรงเรียนมกี ารคัดกรองบุคคลท่ีเข้ามามาในบริเวณโรงเรียน มีจุดคัดกรอง อุณหภฒุ ิ ครูและนกั เรยี นสวมใส่หน้ากกาอนามัย ทุกโรงเรยี นจัดให้มคี ิวอาร์โค้ดไทยชนะ ให้ผู้มาติดต่อ สแกนหรือลงสมุดติดต่อไว้เป็นหลักฐาน การประเมินยืนยันผลการประเมินตนเองของโรงเรียนตาม เหณฑ์ (6 มิติ 44 ข้อ) ผลการนิเทศพบว่า โรงเรียนทุกโรงเรียนได้ดำเนินการประเมินยืนยันผลการ ประเมินตนเอง โดยการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา เพ่ือประกอบการพิจารณาอนุญาต การเปิดเรียนในรูปแบบ On-site ในมิติที่ 1 ความปลอดภัยจากการลดการแพร่เชื้อโรค ได้แก่ มาตรการการคดั กรองวัดไข้ กำหนดให้นักเรียน ครแู ละผู้ทเี่ ข้ามาในสถานศกึ ษาตอ้ งสวหน้ากากผ้าหรือ หน้ากากอนามัย มีจุดล้างมือเพียงพอ มีการจัดวางเจลแอลกอฮอร์สำหรับทำความสะอาดมือ การทำ สัญลักษณ์เว้นระยะห่าง จัดเหล่ือมเวลาในการรับประทานอาหาร มิติท่ี 2 การเรียนรู้ ได้แก่ มีการติด ป้ายประชาสัมพันธแ์ นะนำการปฏิบตั เิ พือ่ สุขภาพทดี่ ี มิตทิ ี่ 3 การครอบคลุมถึงเด็กดอ้ ยโอกาส ไดแ้ ก่ มี การปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับบริบทการเข้าถึงการเรียนรู้ มีการเตรียมหน้า อนามัยสำรอง มิติท่ี 4 สวัสดิภาพและการคุ้มครอง ได้แก่ มีการตรวจสอบประวัติเส่ียงของนักเรียน และบุคลากร รวมทั้งตรวจสอบเรื่องการกักตัวให้ครบ 14 วัน มิติที่ 5 นโยบาย มีการสื่อสาร ประชาสัมพันธค์ วามรู้การป้องกันโรคโควดิ -19 แก่ นักเรียน ครู บุคลากรและผู้ปกครอง ผ่านช่องทาง ต่าง ๆ และการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา มิตทิ ี่ 6 การบริหารการเงิน มีการประสานแสวงหา แหล่งสนบั สนุนจากหนว่ ยงานต่าง ๆ เพ่ือดำเนินการิจกรรมการปอ้ งกันการแพร่ระบาดของโรค จัดหา บคุ ลากรเพ่มิ เติมในการดูแลคดั กรอง (อสม. หมู่บา้ นทมี่ าช่วยในการคดั กรอง) แต่เมื่อลงไปในสภาพจริง โรงเรยี นยงั ไมส่ ามารถปฏบิ ัติจรงิ ให้เป็นไปตามเกณฑไ์ ด้ครบท้งั 44 ขอ้ โดยเฉพาะมติ ทิ ี่ 1 ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2564 เป็นต้นมา ได้มีข้อสั่งการคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด พิษณุโลก ครั้งที่ 23/2564 ให้โรงเรยี นทุกแห่งในจังหวัดพิษณุโลกงดจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ On-site เน่ืองจากการแพรร่ ะบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ทวีความรุนแรง เพ่มิ ขึน้ โรงเรียนตา่ ง ๆ จึงได้ปรับรูปแบบการเรียนการสอนจาก On-site เป็นรูปแบบอืน่ ๆ ตามความ เหมาะสมของบริบทโรงเรียนตัวเอง จากการนิเทศออนไลน์ของศึกษานิเทศก์ประจำเครือข่ายพบว่า บางโรงเรียนดำเนินการได้ดี มีประสิทธิภาพ บางโรงเรียนไม่สามารถดำเนินการได้เน่ืองจากข้อจำกัด ปัญหา อุปสรรคตา่ ง ๆ ทง้ั จากอปุ กรณ์การเรียน ตัวนักเรียนเอง รวมทัง้ ผู้ปกครองไม่สามารถชว่ ยเหลือ นักเรยี นในเรอ่ื งการเรยี นได้ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพษิ ณุโลก เขต 3 พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพ่ือให้ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไข จึงเห็นควรที่จะต้องมีการศึกษาแนวทางในการแก้ไข
5 ปญั หาเร่ืองดังกลา่ ว เพื่อใหไ้ ด้มาซงึ่ ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายเรง่ ดว่ น ซ่ึงจะเปน็ กลไกสำคัญในการแกไ้ ข ปัญหาในการบริหาร การจดั การศึกษาในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ท่ีเหมาะสมกับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และเป็นข้อมูล สารสนเทศเชิงนโยบายแก่สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐานตอ่ ไป คำถามการวจิ ยั 1. สภาพการบริหารจดั การ การจดั การเรียนรู้ และการดแู ลช่วยเหลือนักเรียนในช่วงการแพร่ ระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรียนลักษณะต่างๆ ในสำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษา ประถมศกึ ษาพิษณโุ ลก เขต 3 เปน็ อย่างไร 2. แนวทางการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาโรงเรียนทุกลักษณะในสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ด้านการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดูแลช่วยเหลือ นักเรยี น ทำอย่างไร 3. ข้อเสนอเชงิ นโยบายสำหรบั การจัดการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเช้อื ไวรัสโค โรนา 2019 ในสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 และระดับสำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานเปน็ อย่างไร วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั 1. เพ่ือวิเคราะห์สภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนลักษณะต่างๆ ด้านข้อดี ข้อเสีย โอกาส อุปสรรค (SWOT) ในการบรหิ ารจัดการ การจดั การเรียนรู้ และ การดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน 2. เพ่ือพัฒนาแนวทางการจัดการศกึ ษาโรงเรยี นทุกลักษณะในสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 ด้านการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดูแลช่วยเหลือ นกั เรยี น 3. จัดทำขอ้ เสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้ือ ไวรัสโคโรนา 2019 ในสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 และระดับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน ขอบเขตของการวจิ ยั การวิจัยข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือ ไวรสั โคโรนา 2019 สำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษาพิษณุโลก เขต 3 ครงั้ นี้ผู้วจิ ัยได้กำหนด ขอบเขตของการวจิ ยั ไวด้ งั น้ี 1. ขอบเขตดา้ นเนอ้ื หา 1..1 การบริหารจัดการ ด้านบุคลากร (Man) วิธีการ (Management) วัสดุอุปกรณ์ ส่งิ อำนวยความสะดวก (Material) และงบประมาณ (Money) 1.2 การจัดการเรียนรู้ของโรงเรียน 5 แบบ คือ 1) ออนไซส์ (On- site) เรียนที่โรงเรียน โดยมีมาตรการเฝ้าระวังตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรัส โคโรนา 2019 (ศบค.) 2) ออนแอร์ (On-air) เรียนผ่านมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม
6 ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรีอ DLTV 3) ออนดีมานด์ (On-demand) เรียนผ่าน แอปพลิเค ชันต่างๆ 4) ออนไลน์ (On-line) เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต และ 5) ออนแฮนด์ (On-hand) เรียนที่บ้าน ด้วยเอกสาร เช่น หนังสอื แบบฝึกหัด ใบงาน ในรูปแบบผสมผสาน 1.3 การดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในการส่งเสริม สนับสนุน และแก้ไขปัญหา การเรียนรู้ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะ การวัดประเมินผล การปอ้ งกันความปลอดภัย 2. ขอบเขตประชากร และกลุ่มตัวอย่าง/กลมุ่ ให้ข้อมูล ระยะที่ 1 การศึกษาแนวคดิ และวเิ คราะหส์ ภาพการจัดการศกึ ษา มี 2 ขัน้ ตอน คือ ข้ันตอนท่ี 1 การวิเคราะห์เอกสาร เป็นการวิเคราะห์เอกสารรายงานผลการปฏิบัติงาน ตาม MOU ของผู้บริหารสถานศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ศึกษาเอกสารรายงาน การนิเทศ ตดิ ตามและประเมินความพรอ้ มในการเปิดเรียนภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 เกย่ี วกับ สภาพปัจจุบนั และปัญหาการบรหิ ารจัดการ การจัดการเรยี นรู้ และการดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน ขั้นตอนท่ี 2 วิเคราะห์ SWOT การบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดูแล ชว่ ยเหลือนกั เรียนในช่วงการแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรยี นลักษณะต่างๆ ในสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 และจัดทำร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย การจัดการศกึ ษาในสถานการณ์การแพรร่ ะบาดของโรคติดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาประถมศึกษาพษิ ณุโลก เขต 3 ระยะท่ี 2 พัฒนาแนวทางการจัดการศกึ ษาและจัดทำร่างข้อเสนอเชิงนโยบาย นำผลการวิเคราะห์ SWOT ท่ีได้จากระยะท่ี 1 ประชุมระดมความคิด (Brainstorming) วิเคราะห์ตรวจสอบ หาแนวทางการพฒั นาการจัดการศกึ ษาในชว่ งการแพร่ระบาดของโรคตดิ เชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ของโรงเรียนลักษณะต่างๆ ในด้านการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรยี น กำหนดเปน็ โครงการ โดยการประชุมสัมมนาออนไลน์ กับผู้บรหิ ารสถานศึกษา และ ครูวิชาการ จากโรงเรียนแต่ละลักษณะ (โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนขนาดกลาง โรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรยี นคณุ ภาพชุมชน และโรงเรียน Stand Alone) ครอบคลุมท้ังสี่อำเภอ เป็นโรงเรยี นที่มคี ะแนน ผลการประเมินจากรายงาน MOU อยู่ในกลุ่มสูง (A) กลุ่มปานกลาง (B) และกลุ่มต่ำ (C) จำนวน 29 โรงเรียน ระยะท่ี 3 สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยการสัมมนาอิงผู้เช่ียวชาญ (Connoisseurship) ตรวจสอบข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ในระดับโรงเรียน สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ขอบเขตประชากร และ กลุ่มตัวอย่าง/กล่มุ ใหข้ อ้ มูล ผู้เช่ยี วชาญ จำนวน 9 คน นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษา หมายถึง การแตก นโยบายการจดั การศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 ปีการศกึ ษา 2565 ของสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาด้านการบริหารจัดการ การจัดการเรียนรู้ และการดูแล ชว่ ยเหลือนกั เรยี น ออกเปน็ โครงการ วัตถุประสงค์ กลยทุ ธ์การดำเนินงาน และผลทคี่ าดว่าจะได้รับ
7 2. ข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการศึกษาระดับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขนั้ พ้ืนฐาน หมายถงึ การวิเคราะห์คณุ ค่าของหลกั การเหตุผล และวัตถุประสงค์ การวิเคราะหก์ ลยุทธ์ การดำเนินงาน และการเปรียบเทียบงบประมาณกับผลที่คาดว่าจะได้รับ จากข้อเสนอเชิงนโยบาย การจัดการศึกษาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปีการศกึ ษา 2565 ของสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาเพื่อตัดสินใจกำหนดเป็นนโยบายการจัดการศึกษาระดับการศึกษา ขน้ั พนื้ ฐานในภาพรวมของสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 3. การบริหารจัดการ หมายถึง การอำนวยการ กำกบั ทศิ ทาง และควบคุม ใหโ้ รงเรียนสามาร ขับเคล่ือนดำเนินการจัดการศึกษาด้วยดี ทั้งด้านบุคลากร (Man) วิธีการ (Management) วัสดุ อปุ กรณ์ส่ิงอำนวยความสะดวก (Material) และงบประมาณ (Money) 4. การจัดการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการ เทคนิค หรือวิธ๊การท่ีครูนำมาใช้เพ่ือให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ในรูปแบบ 1) ออนไซต์ (On-Site) เรียนที่โรงเรียน 2) ออนแอร์ (On-Air) เรียนผ่าน มูลนธิ ิทางไกลผ่านดาวเทยี ม ในพระบรมราชุปถัมภ์ หรือ DLTV 3) ออนดีมานด์ (On-Demand) เรยี น ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ 4) ออนไลน์ (On-Line) เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต 5) ออนแฮนด์ (On-Hand) เรียนท่ีบ้านด้วยเอกสาร เช่น หนังสือ แบบฝึกหัด ใบงาน ในรูปแบบผสมผสาน หรืออาจใช้วิธีอื่น ๆ เช่น วิทยุ หรือ 6) รูปแบบอื่น ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ การวัดผลประเมินผล ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 5. การดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง การส่งเสริม สนับสนุน การป้องกัน และ การแก้ปัญหาให้แก่นักเรียนให้ได้รับการเรียนรู้ พัฒนาความรู้ ทักษะและคุณลักษณะ การวัดและ ประเมินผล การส่งผ่านผู้เรียนเรียนต่อในระดับสูงข้ึน และความปลอดภัยในสถานการณ์การแพร่ ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รับ 1. ได้ทราบถึงสภาพปัจจุบันของการจัดการศกึ ษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ของสำนกั งานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3 2. นโยบายและแนวทางการบริหารจัดการการศึกษา การจดั การเรยี น และการดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น ในช่วงการแพรร่ ะบาดของโรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 ของสำนกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา ประถมศกึ ษาพษิ ณุโลก เขต 3 3. สารสนเทศในดา้ นการตัดสนิ ใจเชิงนโยบายต่อผู้บริหารระดบั สำนกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาขึ้นพ้ืนฐาน
8 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย แนวคิด ทฤษฎี งานวิจยั เกย่ี วกบั ขอ้ เสนอเชงิ นโยบาย การพฒั นาข้อเสนอเชงิ นโยบาย การจัดการศึกษา ดา้ นการจัดการศกึ ษา วชริ ะ พลพิทักษ์ (2563) ชรินรตั น์ ในสถานการณ์การแพร่ จติ สุโภ (2561) อุษณี ไชยวงษ์ ระบาดเชอ้ื ไวรัสโคโรนา (2561) ศตพร บูรณ์เจรญิ (2559) เหรียญชยั วีรวรรธ์กลุ (2551) 2019 สำนกั งานเขตพ้นื ที่ แนวคิด หลกั การการบริหาร การศกึ ษาประถมศึกษา สถานศึกษา พิษณโุ ลก เขต 3 1. งานวชิ าการ 2. งานการเงินและพัสดุ 3. งานบริหารงานบุคคล 4. งานบรหิ ารงานท่วั ไป แนวทางการจดั การศึกษาใน สถานการณ์การแพรร่ ะบาดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (2564) 1. On Site 2. On Air 3. Online 4. On Demand 5. On Hand การดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียนใน สถานการณ์การแพรร่ ะบาดเชอื้ ไวรัส โคโรนา 2019 ภาพ 1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั ข้อเสนอเชงิ นโยบายการจัดการศึกษาในชว่ งการแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง การวิจัยขอ้ เสนอเชงิ นโยบายการจัดการศกึ ษาในสถานการณก์ ารแพรร่ ะบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 สำนักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาพิษณุโลก เขต 3 คณะผ้วู ิจยั ได้ศกึ ษา วิเคราะหแ์ ละสรปุ องคค์ วามรจู้ ากเอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง ดังรายละเอียดตอ่ ไปน้ี 1 แนวคดิ เก่ยี วกบั ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย 2. แนวคิด หลกั การการบริหารสถานศึกษา 3. การจดั การเรียนรู้ในสถานการณข์ องโรคติดเช้อื ไวรสั โคโรนา 2019 (COVID-19) 4. แนวคดิ เกี่ยวกับการการดูแลช่วยเหลือนกั เรียน เพ่ือพัฒนาศักยภาพผู้เรียน 5. งานวิจัยทเ่ี กีย่ วข้อง 1 แนวคิดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย การนำเสนอประเด็นเก่ียวกับแนวคิดและทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับโยบายเพื่อให้เกิดความเข้าใจ นโยบาย เป็นแนวทางในการดำเนินงาน คณะผู้วิจัยได้นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้ ความหมายของนโยบาย ความสำคัญของนโยบาย องค์ประกอบของนโยบาย ลักษณะของนโยบายทด่ี ี ประเภทของนโยบาย และกระบวนการกำหนดนโยบาย ความหมายของนโยบาย คำว่า นโยบาย (Policy) มีความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2542 (2556 ) มาจากคำว่า นย+อุปาย แปลว่า หลักและวิธีปฏิบัติซ่ึงถือเป็นแนวดำเนินการ นโยบาย คือ สิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวในการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งเป็นแนวทางท่ีกำหนดไว้ใช้เป็นกรอบ ในการตัดสินใจ นโยบายจะสะท้อนให้เห็นถึงวัตถุประสงค์และทิศทางท่ีผู้บริหารและบุคลากร ในองค์การใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเมื่อจำเป็น นักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ นโยบายไวด้ ังนี้ ทวีป ศิริรัศมี (2545) กล่าวไว้ว่า นโยบาย (Policy) หมายถึง แนวทางในการปฏิบัติหรือ การตัดสินใจเพ่ือดำเนินการใดๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายท่ีกำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสังคมท่ีซับซ้อนเช่นในปัจจุบัน และองค์กรซึ่งมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบหรือ เป็นทางการ นโยบายจะถูกประกาศใช้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ซ่ึงจะสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมาย ปลายทาง คุณคา่ และแนวทางหรือหลกั การในการปฏบิ ตั หิ รอื การตัดสนิ ใจในการปฏิบัติ วจิ ิตร ศรีสะอ้าน (2551) ได้เปรียบเทียบว่านโยบายเปรียบเสมือนเข็มทิศและหางเสือในการ เดิน หรือท่ีจะนำพาเรือไปในทิศทางที่กำหนดไว้ได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นท่ีจะต้องกำหนดนโยบาย การศึกษาให้สอดคล้องกบั การพัฒนาประเทศและการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบนั เพอื่ จะพาประเทศ ใหพ้ ฒั นาไปในทิศทางที่ต้องการ ชูวิทย์ บุตแสง (2553) กล่าวว่า นโยบาย หมายถึง ข้อความหรือความเข้าใจร่วมกันอย่าง กว้างๆ ที่ใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ ซ่ึงมีการระบุเป้าหมาย (end) และแนวทาง (means) หรือ
10 กิจกรรม (activity) อย่างใดอยา่ งหนึง่ หรอื ผสมผสานกนั เพื่อการปฏิบตั ภิ ารกจิ ตา่ งๆ ของผู้บริหารและ ของหนว่ ยงาน เชิดศักดิ์ ศรีสง่าชัย (2553) กล่าวว่า นโยบายเป็นข้อความท่ีเป็นแนวทางในการดำเนินงาน ซ่ึงผู้บริหารระดับต่างๆ หรือผู้ปฏิบัติต้องนำไปใช้เป็นกรอบในการพิจารณาตัดสินใจทำแผนและ โครงการ เมตต์ เมตต์การุณ์จิต (2553) กล่าวว่า นโยบายเป็นแนวทางกว้างๆ ท่ีกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อใช้ในการตัดสินใจขององค์กรหรือหน่วยงานหนึ่ง เป็นกรอบในการดำเนินกิจกรรมให้บรรลุ เปา้ หมายหรอื วัตถปุ ระสงคท์ ก่ี ำหนดไว้ ประสงค์ เอี่ยมเวียง (2554) กล่าวว่า นโยบายเป็นกรอบหรือแนวคิดท่ีใช้ในการตัดสินใจ ข้ันต้นในการดำเนินงานในอนาคตขององคก์ ารหรอื หน่วยงานเพอ่ื ให้บรรลุวัตถุประสงค์ทต่ี ้ังไว้ วิโรจน์ สารรัตนะ (2554) ให้ความหมายนโยบายว่า 1) เป็นแนวทางหรือวิธีการเพ่ือการ ปฏิบัติท่ีรัฐบาล หรือ สถาบัน หรือกลุ่ม หรือบุคคล เลือกจากทางเลือกหลาย ๆ ทางเพื่อใช้เป็นแนว ทางการปฏิบัติ และโดยปกติจะสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจในปัจจุบันและในอนาคต 2) การตัดสินใจหรือชุดของการตัดสินใจน้ันจะออกแบบเพ่ือให้แนวทางการปฏิบัติน้ันบรรลุผลสำเร็จ 3) การตัดสินใจหรือชุดของการตัดสินใจดังกล่าวจะเก่ียวพันกับแผนงานเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติด้วย 4) แผนงานท่ีได้รับการวางแผนนัน้ จะประกอบด้วยวัตถุประสงคท์ ่ีพึงปรารถนา (desired objectives) และวถิ ีทาง (means) เพื่อการบรรลผุ ล แวววรรณ พงษ์สะอาด (2554) กล่าวว่า นโยบายเป็นข้อความหรือความเข้าใจร่วมกันอย่าง กว้างๆ ท่ีใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจเพื่อการปฏิบัติภารกิจต่างๆ ของผู้บริหารและของหน่วยงาน มกั เป็นคำที่มีความยืดหยุ่นได้ เพราะนโยบายมิได้เป็นแนวทางที่ชี้เฉพาะว่าจะต้องปฏิบตั ิ แต่นโยบาย เป็นเพียงแนวกว้างๆ ทีช่ ่วยในการตัดสินใจเพื่อกระทำสิ่งหนึ่ง สิง่ ใดเท่าน้ัน โดยปกติแล้ว นโยบายจะ ถูกประกาศใช้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีระบบและเป็นทางการ นโยบายนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงทิศทางของการเปล่ียนแปลงแล้ว ยังมีการระบุเป้าหมายและ แนวทางหรือกจิ กรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือผสมผสานกัน อวยชัย อินศรีเมือง (2555) กล่าวว่า นโยบาย คือ แผนหรือกรอบการตัดสินใจในการ ดำเนินงานเร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่ีผู้บริหาร ได้พิจารณาแล้วว่าเหมาะสม เป็นหนทางแห่งการบรรลุ เปา้ หมายที่ตอ้ งการ โดยนโยบายจะเป็นกรอบกว้างๆ หรืออาจมีความชดั เจนเพือ่ การปฏิบัตทิ ี่ถกู ต้องที่ ประกอบด้วยแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรม เพื่อเป็นแนวทางไปสู่การปฏิบัติด้วย อาจรวมถึง หลักเกณฑ์ วิธีการ กลยทุ ธ์ และยุทธวิธี เพือ่ เป็นเคร่อื งช้ีแนวทางปฏิบตั ิในอันท่ีจะนำไปส่กู ารบรรลุผล งานตามนโยบายนนั้ ๆ ชิษณพงศ์ ศรจันทร์ (2556) กล่าววา่ นโยบายเปน็ ขอ้ ความทก่ี ำหนดไวก้ ว้างๆ เพอื่ เปน็ แนวใน การตดั สนิ ใจดำเนินงานของผบู้ รหิ ารและของหนว่ ยงาน ธนุ วงษ์จินดา (2556) กล่าวว่า นโยบาย หมายถึง แนวคิด ข้อความท่ีบอกทิศทางหรือ เป้าหมายขององค์การ ซ่ึงผู้บริหาร บุคลากร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์การกำหนดข้ึนเพื่อเป็น แนวทางหรือวธิ กี ารปฏบิ ตั ิงานให้องคก์ ารประสบความสำเรจ็ ตามเป้าหมายอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
11 ครรชิต วรรณชา (2557) ได้สรุปความหมายของคำว่านโยบาย หมายถึง หลักการและ แนวทางในการปฏิบัติซึ่งบุคลากรในองค์การและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์การกำหนดขึ้น เพ่ือเป็น แนวทางในการปฏบิ ตั งิ านให้องค์การประสบความสำเร็จตามเปา้ หมายอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ วีระยุทธ ชาตะกาญจน์ (2557) กล่าวว่า นโยบาย คือ อุบายหรือกลเม็ดที่ผู้มีอำนาจหนา้ ทไี่ ด้ พิจารณาเห็นว่าเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่เป้าหมายของส่วนรวมในเร่ืองใดเรื่องหน่ึงได้อย่างเหมาะสม ท่ีสดุ จรูญศักดิ์ พุดน้อย (2558) กล่าวว่า นโยบาย หมายถึง ข้อกำหนดหลักหรือแนวทาง การปฏิบัติท่ีผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจเพ่ือให้การดาเนินงานเป็นไปโดยถูกต้อง และบรรลุ ตามวตั ถปุ ระสงค์ที่กำหนดไว้ สุปัน สุรันนา (2559) ได้ให้ความหมายว่า นโยบาย หมายถึง แนวทางหรือกรอบ การดำเนินงานที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นทิศทางในการตัดสินใจ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุ ตามวตั ถปุ ระสงค์ทก่ี ำหนดไวแ้ ละการปฏบิ ัติทถ่ี ูกต้อง จากความหมายของนโยบายดังกลา่ วข้างต้น สรุปได้วา่ นโยบาย หมายถึง หลักการ แนวทาง หรือกรอบแนวคิด ซึ่งบุคลากรในองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กรกำหนดข้ึน เพ่ือใช้ในการ ตัดสินใจข้ันต้นในการดำเนินงานในอนาคต เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานขององค์กรหรือหน่วยงาน เพื่อใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ตี่ ้งั ไวอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ความสำคญั ของนโยบาย ชูวทิ ย์ บุตแสง (2553) กล่าวว่า นโยบายมีความสำคัญในฐานะเป็นเคร่ืองชีน้ ำการบริหารและ การวางแผนงานด้านต่างๆ เป็นเครื่องมือในการควบคุม กำกับ ติดตามงานของผู้บริหาร ในกรณีของ นโยบายของรัฐหรือนโยบายสาธารณะ นอกจากจะมีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องช้ีนำการ บริหารงานของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นสิ่งท่ีกำหนดการจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างบุคคลและกลุ่ม ผลประโยชนใ์ นสงั คม และเปน็ สง่ิ ชท้ี ิศทางการพัฒนาประเทศและสงั คมส่วนรวมอกี ดว้ ย พงษ์ศักดิ์ ภูกาบขาว (2553) ให้ความเห็นว่า นโยบายมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการ เพราะเป็นแนวทางการปฏิบัติงานท่ีต้องมีความชัดเจนในวัตถุประสงค์ ว่าใครจะทำอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน และอย่างไร เพ่ือให้การปฏิบัติงานบรรลุผลและสามารถตอบสนองความต้องการผู้รับบริการ หรอื สงั คมโดยรวม มีความเปน็ ไปได้สามารถนำไปปฏิบัตไิ ดจ้ รงิ สอดคลอ้ งกับแนวโน้มการเปลยี่ นแปลง ตา่ งๆ และนโยบายท่ีดีต้องมีความชัดเจนกำหนดข้ึนจากความคิดส่วนตัว มีการเรยี งลำดบั ความสำคัญ และความจำเป็นเขียนเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ด้วยข้อความท่กี ะทัดรัด ใช้ภาษาที่เขา้ ใจง่าย ให้ทุกคนใน หน่วยงานเข้าใจตรงกัน ตลอดจนมีขอบเขตและระยะเวลาใน การใช้เป็นจุดร่วมหรือศูนย์ ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ของสังคมโดยส่วนรวมและสอดคล้องกับความสนใจหรือความ คดิ เห็นของสาธารณชนด้วย เมตต์ เมตต์การุณ์จิต (2553) กล่าวว่า นโยบายมีความสำคัญ 1) ทำหน้าท่ีเป็นแม่บทในการ บริหารท่ีกำหนดแนวทางในการทำงานเพื่อใช้ในองค์กร ซ่ึงทุกแผนกงานจะต้องดำเนินไปในทิศทาง เดียวกันให้บรรลุเป้าหมาย นโยบายจังทำหน้าที่เสมือนแม่บทในการบริหาร เพราะมิฉะน้ันแล้วจะมี การปฏิบัตกิ ันไปคนละทิศคนละทาง 2) เป็นกรอบในการปฏิบัติ นโยบายจะกำหนดขอบเขตให้แคบลง
12 และเจาะจงไวเ้ ป็นเรื่องๆ อาจจะเป็นรูปของระเบียบ ข้อบังคบั เช่น นโยบายของกระทรวงศกึ ษาธิการ ทใ่ี ห้ทุกโรงเรียนเป็นโรงเรียนสีขาว ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพ่ือป้องกนั และปราบปรามยาเสพติด การพนัน การทะเลาะวิวาทและส่ือลามกอนาจาร เป็นต้น 3) เป็นหลักในการควบคุมการทำงาน เพ่ือมิให้การ ทำงานออกนอกลู่นอกทางหรือผิดไปจากวัตถุประสงค์ท่ีได้รั้งไว้ 4) ทำให้ผู้ปฏิบัติงานมีความม่ันใจ ในการทำงานให้สอดคล้องเป็นไปตามนโยบาย นอกจากน้ีนโยบายยังเป็นปัจจัยหน่ึงท่ีจะทำให้เกิด ช่องทางในการติดตอ่ ประสานงานกบั หน่วยงานต่างๆ แวววรรณ พงษ์สะอาด (2554) กล่าววา่ นโยบายเป็นส่ิงที่มีความสำคัญ เพราะนโยบายเป็น เคร่ืองช้ีทิศทางการบริหารและเป็นข้อมูลท่ีผู้บริหารพิจารณาใช้เพื่ อตัดสินใจและสั่งการ การบริหารงานโดยปราศจากนโยบายย่อมเป็นสิ่งท่ีเป็นไปไม่ได้ เพราะนโยบายเกิดจากวัตถุประสงค์ และเป้าหมายของการบริหารก็เกิดจากวัตถุประสงค์เช่นเดียวกัน และเป้าหมายจะสามารถเป็นไปได้ ก็ดว้ ยนโยบายท่ีกำหนดขึน้ ฉะน้ัน เม่ือไมม่ ีนโยบาย ย่อมจะไมม่ ีทั้งวัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายของการ บรหิ ารงาน ประภาพร บุญปลอด (2555) กล่าวว่า นโยบายมีความสำคัญต่อการบริหาร เพราะเป็น แนวทางการปฏิบัติงานท่ีต้องมีความชดั เจนในวัตถปุ ระสงค์วา่ ใครทำอะไร เม่ือไร เทา่ ใด และอยา่ งไร เพ่ือให้นโยบายสามารถนำไปปฏิบัติให้บรรลุผลและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และสังคม โดยรวมถึงความสอดคล้องกับแนวโน้มการเปล่ียนแปลงในสภาพแวดล้อมต่างๆ และ นโยบายที่ดีต้องมีความชัดเจน กำหนดข้ึนจากข้อมูลท่ีเป็นจริง ใช้ภาษาง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน มีการกำหนดระยะเวลาการใช้และยังสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและสังคม โดยรวม สอดคล้องกบั แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและมีความเป็นไปไดใ้ นการนำไปปฏบิ ัติ ธนุ วงษ์จนิ ดา (2556) กล่าวว่า นโยบายมีความสำคัญในด้านตา่ งๆ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้าน ทเ่ี ป็นเคร่ืองช้ีนำและกรอบในการวางแผน เป็นเคร่ืองช้ีนำการบบริหารขององค์การและเป็นเคร่ืองมือ ในการควบคุมกำกบั และติดตามงานของผ้บู ริหาร ครรชติ วรรณชา (2557) กลา่ วว่า นโยบายมคี วามสำคัญกบั หนว่ ยงานทกุ ระดบั เน่อื งจากเป็น การกำหนดเครอ่ื งชน้ี ำและกรอบในการวางแผนการบริหารงานขององคก์ าร เพ่อื ชว่ ยให้ไปส่เู ป้าหมาย ทีกำหนดไว้ สปุ นั สุรนั นา (2559) ได้กล่าวว่า ความสำคัญของนโยบายเปน็ กรอบในการวางแผนการจัดทำ แผนในระยะสั้นหรือระยะยาว ทำให้การตัดสินใจต้องรวดเร็ว สามารถดำเนินงานเป็นไปด้วยความ สะดวกรวดเรว็ และเป็นกรอบในการควบคุมและการติดตามการปฏิบัติ ดังนัน้ นโยบายที่ดจี ะต้องไดร้ ับ การกำหนดขึ้นก่อนท่ีจะมีการดำเนินการ มีความครอบคลุมโดยการกำหนดกลวิธีในการปฏิบัติต่าง ๆ กว้าง ๆ เพือ่ ใหส้ มาชกิ ทกุ คนในหนว่ ยงานสามารถเขา้ ใจและนำไปสูก่ ารปฏิบตั ไิ ด้ จากที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า นโยบายมีความสำคัญในฐานะเป็นเครือ่ งช้นี ำในการบริหาร องคก์ ร และการวางแผนงานด้านต่างๆ เป็นแนวทางการปฏิบัติงานให้มีความชดั เจน เป็นเครื่องมือใน การควบคุม กำกับ ติดตามงานของผู้บรหิ าร ช่วยให้ผู้บริหารมีความมั่นใจในการตัดสินในหรือวินิจฉัย ส่งั การ อนั จะสง่ ผลให้การบริหารงานมปี ระสิทธิภาพบรรลเุ ปา้ หมายตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้
13 องค์ประกอบของนโยบาย นกั การศกึ ษาหลายท่านได้กล่าวถึงองค์ประกอบของนโยบายไว้ดงั นี้ ประชุม รอดประเสริฐ (2545) ได้กล่าวว่าปัจจัยท่ีเป็นองค์ประกอบของนโยบาย สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คอื 1. ปัจจัยท่ีเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน (Fundamental Factor) หมายถึงส่ิงต่างๆ ท่ีผู้กำหนด นโยบายต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา หากไม่คำนึงถึงอาจทำให้นโยบายขาดความสมบูรณ์และ ไม่สามารถปฏบิ ัติได้ เช่น ปัจจัยทเ่ี กี่ยวกับผลประโยชน์ ปัจจัยท่ีเกยี่ วกับผู้กำหนดนโยบาย วิธีการหรือ กระบวนการในการดำเนินนโยบาย ปัจจัยท่ีเกย่ี วกับข้อมูลและเอกสารต่าง ๆ 2. ปัจจัยที่เป็นส่ิงแวดล้อม (Environmental factors) หมายถึง ส่ิงแวดล้อมในสังคม ที่ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึง อาจเป็นเพราะส่ิงแวดล้อมในสังคมมีผลกระทบต่อการกำหนด นโยบาย เช่น ปัจจัยทางการเมืองและวัฒนธรรมการเมือง ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางสังคม ปจั จัยทางภูมศิ าสตรแ์ ละประวตั ศิ าสตร์ สุคนธา คงศีล และสุขุม เจียมตน (2555) กล่าวว่า องค์ประกอบของนโยบาย คือ การมี เป้าหมายท่ีจะกระทำ มีการกำหนดแนวทางและกฎเกณฑ์ วิธีการ กลยุทธ์ กลวิธี เป็นเคร่ืองมือ เคร่อื งใชท้ ี่จะทำให้เหน็ ถงึ แนวทางการปฏบิ ัติ เพ่อื ให้บรรลผุ ลงานภายในเวลาท่ีกำหนดเป้าหมาย วิชิต กำมันตะคุณ (2552) กลา่ วว่า องค์ประกอบของนโยบายประกอบด้วยส่ิงสำคัญ 2 ส่วน คอื วตั ถปุ ระสงค์ของนโยบาย (Policy Objectives) และ แนวทางของนโยบาย (Policy Means) และ การกำหนดนโยบายจะขาดองค์ประกอบสว่ นใดส่วนหนึง่ มไิ ด้ เพราะถอื วา่ สำคญั ทั้ง 2 องค์ประกอบ วิโรจน์ สารรัตนะ (2554) กล่าวถงึ องค์ประกอบท่ีสำคญั ของนโยบายมี 3 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่ 1) วัตถุประสงค์ของนโยบาย (Policy Objective) 2) แนวทางของนโยบาย (Policy Means) หรือ เคร่ืองมือของนโยบาย (Policy Instruments) โดยในบางคร้ังอาจมีองค์ประกอบส่วนที่สามด้วย คือ 3) กลไกของนโยบาย (Policy Mechanism) แต่ในทางปฏิบตั ิ ผวู้ ิจยั อาจกำหนดองค์ประกอบย่อยของ แต่ ละองคป์ ระกอบหลกั ของนโยบายดงั กล่าวนั้นอีกได้ สมาน อัศวภมู ิ (255) กล่าวสรปุ องค์ประกอบของนโยบายวา่ มี 3 ส่วน ได้แก่ 1) ความต้องการจำเป็นของนโยบาย (Need of Policy) หมายถึง ความต้องการจำเป็น ที่ต้องการกำหนดนโยบาย ซ่ึงอาจจะมาจากสภาพปัญหาที่เป็นอยู่ หรือเกิดจากความต้องการของ ผู้มีสว่ นเกยี่ วขอ้ งและได้เสียในสิ่งทีจ่ ะกำหนดเป็นนโยบายเปน็ ตน้ 2) ข้อความนโยบาย (Policy Statement) เป็นข้อความซึ่งระบุเน้ือหาสาระของนโยบาย ที่กำหนดขึ้น อันเป็นผลมาจากการประมวลข้อมูลและฐานคิดทางวิชาการ การคิดวิเคราะห์ และ ตัดสินใจ ของผู้มีอำนาจ แล้วกำหนดเป็นนโยบาย เช่น คำแถลงนโยบาย โดยบ่งบอกเจตนารมณ์ ซง่ึ โดยทั่วไปจะประกอบดว้ ยสว่ นท่ีเป็นวตั ถปุ ระสงคแ์ ละมาตรการในการดำเนนิ งาน 3) การนำนโยบายไปใช้ (Policy Implementation) เป็นการนำนโยบายไปปฏิบัติ หรือใช้ เปน็ แนวทางในการดำเนนิ งาน ซ่ึงจะนำไปสูผ่ ลทเี่ กิดข้นึ จากนโยบายในสองส่วน คือ สว่ นท่ีเปน็ ผลผลิต (Policy Output) เป็นผลท่ีเกิดขึ้นจากการนำนโยบายไปปฏิบัติโดยตรง และ ผลลัพธ์ของนโยบาย (Policy Outcome) เป็นผลกระทบต่อเน่ืองจากการนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นส่วนที่ต้องมีการ ตดิ ตาม ผลตอ่
14 ละออง ภู่เงิน (2556 : 18) กล่าวว่า องค์ประกอบสำคัญของนโยบายประกอบด้วย วัตถุประสงค์ แนวทางหรือวิธีการในการดำเนินงานและปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนในการกำหนดนโยบาย รวมท้ังการประเมินนโยบายเพราะนโยบายหน่ึงๆ เมื่อกำหนดขึ้นมาแล้วจะใช้เป็นแบบไปตลอดก็คง ไมไ่ ด้ จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพ่อื ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทีเ่ ปลย่ี นแปลงไป รตั นาภรณ์ สมบูรณ์ (2556) พบว่า องค์ประกอบที่สำคญั ของนโยบาย มี 2 องคป์ ระกอบ คือ วัตถุประสงค์ของนโยบาย (Policy Objective) และแนวดำเนินงานของนโยบาย (Policy Means) หรือเครื่องมอื ของนโยบาย โดยในบางครั้งอาจมีองค์ประกอบที่สามดว้ ยคือ กลไกของนโยบาย (Policy Mechanism) โดยอาจมอี งคป์ ระกอบยอ่ ยของแตล่ ะองค์ประกอบหลกั ดังกลา่ วนนั้ ได้ จากแนวคิดของนักการศึกษาดงั กล่าว สรปุ องค์ประกอบของนโยบายได้ว่า มี 3 ประการ คือ 1) วตั ถุประสงค์หรอื เป้าหมายของนโยบาย 2) แนวทางหรือวิธกี ารในการดำเนินงานของนโยบาย และ 3) การนำนโยบายไปใช้ ลกั ษณะของนโยบายทด่ี ี Terry (1977) ให้ความเห็นวา่ นโยบายทด่ี ีมลี ักษณะพงึ ประสงคค์ วรมลี ักษณะดงั นี้ 1. สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การและสามารถท่ีจะช่วยให้การดำเนินงานบรรลุถึง เปา้ ประสงค์ได้ 2. กำหนดขึ้นจากข้อมูลท่ีเป็นจริง ไม่ใช่ข้อมูลท่ีเกิดจากความคิดเห็นส่วนตัวหรือข้อมูล ที่เกิดข้ึนตามโอกาสท่ีไม่แน่นอน แต่ในการกำหนดนโยบายบางคร้ังควรคำนึงถึงความคิดเห็น ขอ้ เสนอแนะ และปฏกิ ิรยิ าตา่ งๆ จากภายนอกบ้าง 3. ได้รับการกำหนดข้ึนก่อนที่จะดำเนินการ โดยการกำหนดวิธี และจัดสรรทรัพยากรให้ เหมาะสมแก่การดำเนนิ งาน แตท่ ั้งน้ีจะต้องไมแ่ จ้งรายละเอียดของกลวิธใี นการปฏิบัตคิ วรเปดิ กว้างไว้ เพ่ือให้ผู้ปฏิบัติ พิจารณาตีความแล้วนำไปปฏิบัติตามความสามารถ ให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ใน ขณะน้ัน และทรพั ยากรทม่ี อี ยู่ 4. กำหนดขึ้นเพื่อสนองหรือส่งผลประโยชน์ให้กับบุคคลโดยส่วนรวม และจะต้องมีการ พจิ ารณาว่า นโยบายใดควรทำก่อนควรทำหลังโดยการจัดลำดับตามความสำคญั และความจำเปน็ 5. เป็นถ้อยคำหรือข้อความท่ีกะทัดรดั ใชภ้ าษาท่ีเข้าใจง่าย และแถลงไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ท่สี มาชกิ ทุกคนและทกุ ระดบั ชัน้ ในหน่วยงานสามารถเข้าใจไดอ้ ย่างชดั เจน 6. มขี อบเขตและระยะเวลาในการใช้ หมายถึง ขอบเขตของวัตถุประสงคแ์ ละมคี วามยืดหยุ่น สามารถทีจ่ ะปรบั ปรุงเปลีย่ นแปลงใหท้ นั ตอ่ เหตกุ ารณใ์ หมๆ่ 7. เป็นจุดร่วมหรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์การ กล่าวคือ หน่วยงานต่างๆ สามารถใช้นโยบายเป็นหลักการในการปฏิบัติภารกิจของตน และสามารถประสาน สมั พนั ธ์กบั หน่วยงานอนื่ ซ่ึงมภี ารกิจทีแ่ ตกตา่ งกันออกไปได้เสมอ 8. กำหนดขนึ้ โดยใหค้ ลุมไปถึงสถานการณ์ทเ่ี กิดขน้ึ ในอนาคตด้วย แตท่ ้งั นี้ จะต้องได้ขอ้ มลู ท่ีมี การวิเคราะห์โดยละเอียดรอบคอบแล้ว การกำหนดนโยบายไว้เพ่ือเหตกุ ารณ์ในอนาคตจะช่วยให้การ ดำเนินงานท่เี ป็นอยูป่ ัจจุบัน และงานที่กำลังจะทำในระยะเวลาอันใกล้ กับงานท่ีจะต้องทำในอนาคต มคี วามสอดคล้องและต่อเน่อื งกัน
15 9. สอดคล้องกบั ปจั จัยภายนอกองคก์ ารกล่าวคอื จะต้องสอดคล้องกบั ระเบียบ กฎหมาย และ ข้อบังคับต่างๆ ของสังคมโดยส่วนรวมนอกจากน้ี จะต้องสอดคล้องกับความสนใจหรือความคิดเห็น ของสาธารณชน R. Wayne Mondy and Associate (1988) กล่าววา่ นโยบายทีด่ คี วรให้รายละเอยี ดและมี คุณลกั ษณะ ดังนี้ 1. นโยบายควรกำหนดจากฐานข้อมูลที่แท้จรงิ 2. นโยบายของผู้บังคบั บัญชาและผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชา ควรสนบั สนุนซง่ึ กันและกัน และเปน็ ไปใน ทิศทางเดยี วกัน 3. นโยบายของหน่วยงานและแผนกงานท่ีแตกต่างกัน แต่อยู่ภายในองค์การเดียวกัน ควรมี การประสานกัน 4. นโยบายควรเป็นข้อความท่ีแนน่ อนเข้าใจไดแ้ ละเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร 5. นโยบายควรยืดหยุ่นแตม่ นั่ คงอยู่บนหลกั การ หรอื ระเบยี บข้อบงั คับท่ีถกู ต้อง 6. นโยบายควรมีขอบข่ายท่ีเขา้ ใจไดโ้ ดยเหตผุ ล ประชมุ รอดประเสรฐิ (2545) ไดก้ ล่าวถึงคุณลักษณะท่ีดีของนโยบายไวด้ งั นี้ 1. นโยบายจะช้ีแนวทางให้การปฏิบัตงิ านขององค์การให้บรรลถุ ึงเปา้ หมายที่กำหนดไว้ 2. นโยบายจะตอ้ งเปน็ ข้อความท่เี ข้าใจได้ง่าย และตอ้ งเป็นลายลกั ษณอ์ ักษร 3. นโยบายจะต้องชใ้ี ห้เหน็ ถึงเง่อื นไขอนั จำกดั และช่องทางในการปฏบิ ัติงานในอนาคต 4. นโยบายจะต้องสามารถเปล่ียนแปลงได้ แต่ถ้าไม่จำเป็นแล้วนโยบายต้องการความม่ันคง แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้บ้างตามความจำเปน็ อยา่ งมีเหตผุ ล 5. นโยบายจะตอ้ งเปน็ เหตุเปน็ ผล และสามารถนำไปปฏิบตั ไิ ด้ 6. นโยบายจะต้องเปดิ โอกาสใหผ้ ู้นำไปปฏบิ ตั สิ ามารถแปลความและตัดสนิ ใจได้ด้วยตนเอง 7. นโยบายจะต้องได้รับการตรวจสอบและทบทวนเป็นระยะ ๆ วิโรจน์ สารรัตนะ (2554) เห็นว่าในการกำหนดนโยบายหรือการให้ข้อเสนอเชิงนโยบายนั้น แม้ผ้กู ำหนดอาจมคี ่านิยม ความสำนกึ หรือเจตนารมณ์ แตกต่างกันออกไป ซ่ึงอาจทำให้ได้นโยบายที่ เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป แต่ก็มีข้อเสนอแนะให้คำนึงถึงลักษณะของนโยบายที่ดี ดังนี้ 1) นโยบายท่ีดีจะต้องมเี ป้าหมายทส่ี ่งผลประโยชนแ์ ก่องคก์ ารหรือประชาชนโดยสว่ นรวมมาก ท่ีสุด 2) นโยบายท่ดี ีควรไดม้ าจากการกลนั่ กรองถึงความสำคัญของปัญหาหรอื ความต้องการ 3) นโยบายท่ีดีควรจะครอบคลุมภารกิจทุกด้าน ในแต่ละด้านนั้นควรมีความสอดคล้องกัน สนับสนนุ ซ่ึงกนั และกนั ไมค่ วรขัดแยง้ กัน 4) นโยบายทีด่ ีควรประกอบด้วยเป้าหมาย แนวทาง และกลวิธที ี่ดี ดำเนินการได้เรว็ ท่สี ุดและ เสยี คา่ ใชจ้ ่ายนอ้ ยท่ีสุด 5) นโยบายท่ีดี นอกจากจะมีเนื้อหาเป็นหลักในการทำงานแล้ว เน้ือหาดังกล่าวควรจะเป็น หลักในการประเมินความสำเรจ็ ได้ดว้ ยดี และควรคำนงึ ถงึ ท้ังในเชงิ คุณภาพและเชิงปรมิ าณ
16 6) นโยบายท่ีดจี ะเปน็ ข้อความที่ชัดเจน ถ่ายทอดไปสูผ่ ู้ปฏิบัตไิ ดโ้ ดยงา่ ย และมีความเขา้ ใจได้ ตรงกัน สนั ติสุข ภูศรีโสม (2554) ได้สรุปว่า นโยบายท่ีดีจะต้องสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ มีข้อมูลที่ ถูกต้องเป็นจริง กำหนดขึ้นก่อนที่จะดำเนินการส่งผลต่อประโยชน์ส่วนรวม มีถ้อยคำท่ีกะทัดรัดและ ชัดเจน มีขอบระยะเวลาในการใช้ ยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เป็นศูนย์รวมของการประชาสัมพันธ์ของ หน่วยงานต่าง ๆ ครอบคลุมสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และสอดคล้องกับปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติหรือ ผู้บังคับบัญชาสามารถกำหนดแนวปฏิบัติและ ตดั สนิ ใจในภารกิจทต่ี นเองรับผิดชอบโดยไม่จำเปน็ ต้องรอวินิจฉัยสัง่ การจากผู้บังคบั บญั ชาเสมอ ทงั้ นี้ เพราะเข้าใจนโยบายขององคก์ ารท่ชี ัดเจน เนื่องจากนโยบายเป็นเรอ่ื งการเลือกสรรแนวทางที่ดีท่ีเหมาะสม เพ่ือใช้ในการปฏิบัติงานให้ บรรลุเปา้ หมายขององค์การ ฉะนนั้ จะสงั เกตได้ว่าองคก์ ารทีอ่ ยู่ภายใตน้ โยบายท่ีดี การบรหิ ารงานตา่ งๆ ขององค์การน้ันมักจะมีลักษณะท่ีดีตามไปด้วย นโยบายที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปน้ี (ละออง ภู่เงิน, 2556) 1. นโยบายท่ีดีจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ขององค์การ และสามารถที่จะช่วยให้การ ดำเนนิ งานบรรลุถงึ เป้าประสงคไ์ ด้ 2. นโยบายท่ีดีจะต้องกำหนดข้ึนจากข้อมูลท่ีเป็นจริง มิใช่ข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว หรอื ข้อมลู ท่ีเกิดข้ึนตามโอกาสอนั ไม่แน่นอน อย่างไรก็ดี ความคิดเห็นข้อเสนอแนะและปฏิกิรยิ าต่างๆ จากภายนอกควรเปน็ สิ่งที่ต้องคำนงึ ถงึ ในการกำหนดนโยบาย 3. นโยบายที่ดีจะต้องมีการกำหนดข้ึนก่อนที่จะมีการดำเนินงาน โดยการกำหนดกลวิธีและ จัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสมต่อการดำเนินงาน แต่ท้ังนี้จะต้องไม่แจ้งรายละเอียดของกลวิธีในการ ปฏิบัติ ควรเปิดกว้างไว้เพ่ือผู้ปฏิบัติพิจารณาตีความ แล้วนำไปปฏิบัติตามความสามารถ และให้ สอดคล้องกับสภาวการณใ์ นขณะน้นั และเหมาะสมกบั ทรัพยากรทม่ี ีอยู่ 4. นโยบายที่ดีควรกำหนดข้ึนเพื่อสนองผลประโยชน์ให้กับบุคคลโดยส่วนรวมและจะต้องมี การพิจารณาวา่ นโยบายใดควรทำก่อน ควรทำหลัง โดยการจัดลำดบั ความสำคัญและความจำเปน็ 5. นโยบายที่ดีจะต้องเป็นถ้อยคำหรือข้อความท่ีกะทัดรัด ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและแถลงไว้ เปน็ ลายลักษณ์อกั ษรท่ีสมาชิกทกุ คน ทุกระดับชน้ั ภายในหน่วยงานสามารถเขา้ ใจอยา่ งชัดแจ้ง 6. นโยบายท่ีดีจะต้องมีขอบเขตและระยะเวลาในการใช้ กล่าวคือในองค์การหน่ึงๆ ย่อมมี ภารกิจและความรับผิดชอบหลายชนิด การกำหนดนโยบายเพ่ือให้ครอบคลุมภารกิจ และ ความรับผดิ ชอบทงั้ หมดย่อมเป็นไปได้ 7. นโยบายท่ีดีจะต้องเป็นจุดรวมหรือศูนย์ประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใน องค์การ กล่าวคือ หน่วยงานต่าง ๆ สามารถใช้นโยบายเป็นหลักการในการปฏบิ ัติภารกจิ ของตน และ สามารถประสานสัมพันธก์ บั หนว่ ยงานอื่นท่ีมภี ารกิจทแ่ี ตกต่างออกไปได้เสมอ 8. นโยบายท่ีดีจะต้องกำหนดข้ึน โดยให้ครอบคลุมไปถึงสถานการณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต แต่ทั้งนี้จะต้องได้ข้อมูลที่มีการวิเคราะห์โดยละเอียดรอบคอบแล้ว การกำหนดนโยบายไว้เพ่ือ เหตกุ ารณ์ในอนาคตจะชว่ ยให้การดำเนนิ งานที่เปน็ อยู่ในปจั จบุ นั มที ิศทางชัดเจน
17 9. นโยบายที่ดีจะต้องสอดคล้องกับปัจจัยภายนอกองค์การ กล่าวคือ จะต้องสอดคล้องกับ ระเบยี บ กฎหมาย และข้อบังคบั ตา่ ง ๆ ของสังคมโดยรวม นอกจากน้ีจะต้องสอดคลอ้ งกับความสนใจ หรอื ความคิดเห็นของสาธารณชนด้วย จรญู ศักด์ิ พุดน้อย (2558) ไดส้ รปุ ว่านโยบายที่ดีช่วยให้สามารถปฏิบตั ิงานได้อย่างถูกทิศทาง ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน ชว่ ยใหผ้ ปู้ ฏบิ ัติหรือผูใ้ ต้บงั คับบญั ชาสามารถกำหนดแนวปฏิบัติและ ตัดสินใจในภารกิจท่ีตนเองรับผิดชอบได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอการวินิจฉัยสั่งการจาก ผ้บู งั คับบัญชาเสมอไป ทง้ั น้ีเพราะเข้าใจนโยบายขององคก์ ารชดั เจนแล้ว นวพร รักขันแสง (2558) ได้สรุปว่า นโยบายท่ีดีจะช่วยให้ผู้ปฏิบัตติ ัดสินใจในการปฏบิ ัติงาน ได้อย่างมีทิศทางและมีประสิทธิภาพ ไมจ่ ำเปน็ ต้องรอการวนิ จิ ฉยั สง่ั การจากผู้บังคับบญั ชาอยตู่ ลอดไป ทง้ั น้ีเพราะเข้าใจในนโยบาย เข้าถึงการนำไปสู่การปฏิบัติและครอบคลุมถึงการแก้ปัญหาในอนาคตที่ จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าแล้ว นโยบายที่ดีจึงต้องมีความชัดเจน กำหนดขึ้นจากข้อมูลที่เป็นจริง ใช้ภาษา ง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าใจตรงกันมีการกำหนดระยะเวลาการใช้ สามารถตอบสนองความต้องการของ ประชาชนและสังคมโดยรวม สอดคล้องกบั แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงและมคี วามเป็นไปได้ในการนำไป ปฏิบตั ิ สรุปได้ว่า ลักษณะของนโยบายที่ดี ต้องสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ มีขอ้ มูลท่ีถูกต้องเป็นจริง มีความชัดเจน ครอบคลุมภารกิจทุกด้าน มีความสอดคล้องกัน สนับสนุนซึ่งกันและกัน กำหนดขึ้น กอ่ นที่จะลงมือปฏบิ ัติหรอื ดำเนินงาน มีความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติ สง่ ผลต่อประโยชน์สว่ นรวม และครอบคลุมสถานการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกทิศทาง นโยบายท่ดี ีจะส่งผลใหก้ ารบรหิ ารงานของหน่วยงานประสบความสำเรจ็ ประเภทของนโยบาย ทวีป ศิริรัศมี (2545) ได้จำแนกประเภทของนโยบายตามระดับช้ันของการบริหารเป็น 3 ประเภทดังน้ี 1. นโยบายพื้นฐาน (Basic Policy) หมายถึงนโยบายท่ีกำหนดขึ้น โดยผู้บริหารที่มีอำนาจ สูงสุด อาจหมายรวมถึงนโยบายหลัก หรือนโยบายระดับชาติท่ีกำหนดโดยรัฐบาลเพื่อใชเ้ ป็นแนวทาง ในการกำหนดนโยบายของการบริหารงานในระดับรองลงไป มีลักษณะเป็นกรอบแนวคิดกว้างๆ แต่อาจจะระบทุ ิศทางการบริหารพร้อมทั้งกลยทุ ธใ์ นการบรรลุจุดประสงค์ไวก้ ว้างๆ แต่มีความยดื หยุ่น เพอื่ ใหผ้ ู้บรหิ ารระดับรองลงไปสามารถนาไปตีความและปรบั ใชไ้ ด้ 2. นโยบายท่ัวไป (General Policy) หมายถึงนโยบายท่ีกำหนดขึ้นโดยผู้บริหารระดับกลาง ตามนโยบายข้ันพืน้ ฐาน เนน้ ในเรือ่ งวิธีการบรหิ ารทว่ั ๆ ไป เชน่ การกำหนดข้นึ เพ่อื ขอ้ ปฏบิ ัตงิ านต่างๆ นโยบายทั่วไปสามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า นโยบายการบริหาร (Administrative Policy) เป็น นโยบายระดบั หน่วยงาน เชน่ กระทรวง ทบวง กรม กำหนดโดยผบู้ รหิ ารระดบั ปลดั กระทรวง เปน็ ตน้ 3. นโยบายเฉพาะแผนกงาน (Public Policy) หมายถึงนโยบายท่ีกำหนดขึ้นโดยผู้บริหาร ระดับหัวหน้า (Supervisors) ในแผนกต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติงานเฉพาะด้าน มุ่งเน้นเฉพาะเรื่อง หรือกิจการ มักจะประกอบอยู่ในแผนงานของหน่วยงานต่างๆ นโยบายน้ีอาจเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า
18 นโยบายเฉพาะกิจ (Specific Policy) เป็นนโยบายที่หน่วยงานระดับกองหรือแผนกเป็นผู้จัดทำขึ้น เฉพาะกิจการตามบทบาทหน้าที่ ประชมุ รอดประเสรฐิ (อ้างถงึ ใน ชูวิทย์ บุตแสง. 2553) 1. จำแนกตามลักษณะการเกิด (Origin) โดยยึดถือเอาหน่วยงานหรือองค์การเป็นหลัก ว่านโยบายน้ันถือกำเนิดจากสว่ นใดของหนว่ ยงาน จำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 นโยบายภายใน (Internal Policy) เป็นนโยบายทผี่ บู้ ริหารทกุ ระดบั เป็นผู้กำหนดข้ึน เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานของตนเองและของผู้ร่วมงานอ่ืน ๆ ภายในหน่วยงาน อาจเป็น นโยบายท่ีผู้บริหารริเร่ิมจัดขึ้น หรือเป็นนโยบายที่บุคคลฝ่ายตา่ ง ๆ ภายในหน่วยงานรอ้ งเรียนใหม้ ีขึ้น เพือ่ ใหก้ ารดำเนินงานเป็นไปโดยถกู ตอ้ งและสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในหน่วยงาน 1.2 น โยบายภายนอก (External Policy) เป็น นโยบายท่ีเกิดจากอิทธิพ ลและ สภาวการณ์ต่าง ๆ ภายนอกองค์การเป็นส่วนใหญ่ โดยกำหนดขึ้นเพื่อสนองตอบอิทธิพลจากนอก องค์การหรือหน่วยงาน เช่น ระเบียบข้อบังคับและกฎหมายที่ออกโดยรัฐบาลหรือผู้แทนราษฎร การแข่งขันกับองค์การหรือหน่วยงานอื่น ๆ สภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ สังคมโดยส่วนรวม ความเข้มแขง็ ของสหภาพแรงงาน สภาวการณ์ด้านต่าง ๆ ของโลก และแม้แต่สถาบนั ท่ีใกล้เคียง เช่น วัด โรงเรยี น ก็มีอิทธพิ ลตอ่ การกำหนดนโยบายเช่นเดยี วกัน 2. จำแนกตามระดับชั้นการบริหารขององค์การ(Organizational level of Management) จำแนกเป็น 3 ประเภท คอื 2.1 นโยบายขั้นพ้ืนฐาน (Basic Policy) กำหนดข้ึนโดยผู้บริหารระดับสูง เป็นนโยบาย ท่ีใชเ้ ปน็ ฐานสำหรับการกำหนดนโยบายประเภทอน่ื ๆ มลี ักษณะเป็นแนวคดิ กว้าง ๆ 2.2 นโยบายท่ัวไป (General Policy) กำหนดข้ึนโดยผบู้ ริหารระดับกลาง เป็นนโยบาย ทีก่ ำหนดขนึ้ ตามนโยบายขัน้ พื้นฐาน และทำใหน้ โยบายพ้ืนฐานมีความหมายชดั เจนยงิ่ ขน้ึ สามารถเป็น ทเ่ี ขา้ ใจของผู้ปฏิบตั ิโดยงา่ ย 2.3 นโยบายเฉพาะแผนกงาน (Departmental Policy) กำหนดโดยผู้บริหารระดับ หัวหน้างาน เป็นนโยบายท่ีมีความละเอียดชัดเจนเฉพาะเรื่อง นโยบายประเภทนี้จะถูกกำหนด โดยอาศัยนโยบายท่วั ไปและนโยบายพนื้ ฐานเป็นแกน นโยบายท้ังสามประเภทท่ีกล่าวแล้ว มีลักษณะท่ีสอดคล้องกับการกำหนดนโยบายของ ประเทศเป็นอย่างมาก กล่าวคือ ในการบริหารประเทศนัน้ รัฐจะกำหนดนโยบายเป็น 3 ลักษณะ คือ นโยบายหลักหรือนโยบายระดับชาติ นโยบายการบรหิ าร และนโยบายเฉพาะกิจ (สรรคส์ ิริ สินธุวงศา นนท์, 2562) นโยบายหลักหรือนโยบายระดับชาติ (National Policy) เป็นนโยบายที่รัฐมนตรีหรือ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นผู้จัดทำขึ้นโดยมีเจตนารมณ์ในการดำเนินงานเพ่ือความอยู่ดีมีสุขของ ประชาชนโดยท่ัวไป จึงมีลักษณะเป็นแนวกว้างที่ใช้เป็นพ้ืนฐานของการกำหนดนโยบายอ่ืน ๆ คณะรัฐมนตรีจะนำนโยบายน้ีเสนอต่อรัฐสภา เม่ือรัฐสภาเห็นชอบจึงจะสามารถนำไปใช้เป็นหลักใน การดำเนินงานได้ นโยบายการบริหาร (Administrative Policy) เป็นนโยบายระดับหน่วยงาน เช่น กระทรวง ทบวง กรม โดยผู้บริหารระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีเป็นผู้จัดทำขึ้น เป็นการจำลอง
19 นโยบายหลักในส่วนท่ีกระทรวงและกรมจะต้องรับไปปฏิบัติ โดยจะต้องจำกัดขอบเขตหรือปรับปรุง เสริมแต่งให้มีความละเอียดชัดเจนยิ่งข้ึน เพื่อความเหมาะสมกับภารกิจ หน้าที่และความรับผิดชอบ ของหน่วยงานหรือผปู้ ฏิบัติ การกำหนดนโยบายบริหารน้ันจะต้องคำนึงถึงทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม ต่าง ๆ เป็นอย่างดี ท้ังน้ีเพ่ือให้นโยบายสามรถนำไปสู่การปฏิบัติได้ด้วยความเรียบร้อยและได้ผลตาม วตั ถปุ ระสงค์ท่ไี ด้กำหนดไว้ นโยบายเฉพาะกิจ (Specific Policy) เป็นนโยบายท่ีหน่วยงานระดับกอง ระดับแผนก เป็นผู้จัดทำขึ้นเฉพาะกจิ การอันเป็นหน้าที่ของหนว่ ยงานน้ัน โดยยึดถือนโยบายหลักและนโยบายการ บรหิ ารเป็นเกณฑ์ในการกำหนด ทง้ั น้ี เพ่อื ใหก้ ารปฏิบตั ภิ ารกิจของหน่วยงานเป็นไปตามเป้าหมาย ธนุ วงษจ์ นิ ดา (2556) กลา่ ววา่ นโยบายจำแนกได้ 3 ประเภท คอื 1) นโยบายพ้ืนฐาน เป็นนโยบายที่กำหนดข้ึนโดยผู้บริหารระดับสูงเพื่อชี้นำหรือเป็นแนวทาง สำหรับหนว่ ยงานระดับรองลงไป 2) นโยบายทั่วไป เป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นโดยผู้บริหารระดับกลางกำหนดข้ึนตามนโยบาย พ้ืนฐาน 3) นโยบายเฉพาะแผนกงาน เป็นนโยบายที่กำหนดขึ้นโดยผู้บริหารระดับหัวหน้างานระดับ กองในแผนกตา่ งๆ ซึง่ เปน็ หนว่ ยปฏบิ ัตงิ านเฉพาะดา้ น มีความละเอยี ดชัดเจนเฉพาะเรื่องเฉพาะกจิ ครรชติ วรรณชา (2557) กล่าวว่า นโยบายจำแนกได้ 3 ประเภท คือ 1) นโยบายพื้นฐาน เป็นนโยบายเพ่ือระบุทิศทางการดำเนินงานขององค์การกำหนดโดย ผู้บริหารระดบั สูง 2) นโยบายท่วั ไป เป็นนโยบายทีเ่ กดิ ขึ้นตามนโยบายพื้นฐานกำหนดโดยผู้บริหารระดับกลาง 3) นโยบายเฉพาะแผนกงาน เป็นนโยบายเฉพาะกจิ ที่ต้องดำเนนิ การตามนโยบายพื้นฐานและ นโยบายทั่วไป กำหนดโดยผู้บรหิ ารของหนว่ ยงานน้ันๆ จากท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปประเภทของนโยบายได้ 3 ประเภท คือ 1) นโยบายพื้นฐาน กำหนดโดยผู้บรหิ ารระดับสูง มีแนวคิดในลกั ษณะกว้างๆ เป็นพ้ืนฐานของการกำหนดนโยบายอ่ืน ๆ 2) นโยบายทั่วไป กำหนดโดยผู้บริหารระดับกลาง ตามนโยบายพ้ืนฐาน มีการกำหนดขอบเขตหรือ ปรับปรุงเสริมแต่งให้มีความละเอียดชัดเจนยิ่งข้ึน เพ่ือให้มีความเหมาะสมกับภารกิจ หน้าที่ และ ความรับผิดชอบของหน่วยงานหรอื ผู้ปฏบิ ัติ 3) นโยบายเฉพาะแผนกงาน เปน็ นโยบายเฉพาะกิจท่ีตอ้ ง ดำเนินการตามนโยบายพื้นฐานและนโยบายทว่ั ไป กำหนดโดยผูบ้ รหิ ารของหนว่ ยงานนั้นๆ ทง้ั นีเ้ พ่อื ให้ การปฏบิ ัติภารกิจของหนว่ ยงานเป็นไปตามเป้าหมาย การกำหนดนโยบายท่ีดี ต้องคำนึงถึงทรพั ยากร และปัจจัยแวดล้อมท่ีมีผลต่อนโยบายท้ังโดยทางตรงและทางอ้อม องค์ประกอบภายใน ภายนอก ท่ีมีอิทธิพลโดยตรงต่อการกำหนดนโยบาย เพ่ือให้องค์การหรือหน่วยงานน้ันดำรงอยู่ได้และสามารถ ดำเนินงานบรรลตุ ามวัตถปุ ระสงคท์ ่ตี งั้ ไว้
20 กระบวนการกำหนดนโยบาย นกั วชิ าการได้ให้แนวคิดซ่งึ เป็นที่มาของการกำหนดนโยบายดังนี้ สคุ นธา คงศีล และสขุ ุม เจยี มตน (2550) ได้กลา่ วไวว้ ่า การกำหนดนโยบายมาจาก 1) นโยบายท่ีสั่งมาจากผู้บริหาร (Originated Policy) เป็นนโยบายท่ีกำหนดโดยผู้บริหาร ให้ยึดถือเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิ ซ่งึ บางครัง้ ผู้ใตบ้ ังคบั บญั ชาอาจไม่เหน็ ด้วย 2) นโยบายท่ีเสนอข้ึนไป (Appealed Policy) เป็นนโยบายท่ีผู้ใต้บังคับบัญชาไม่แน่ใจว่าจะ ปฏิบตั ิอยา่ งไรดี จงึ เสนอกับไปให้ผู้บงั คบั บัญชาชแ้ี นวปฏบิ ัติ และเม่อื เกิดเหตุการณ์ดังกลา่ วอีกผู้ปฏิบัติ จะตดั สนิ ใจเหมอื นครง้ั กอ่ น โดยยึดถอื เปน็ แนวทางปฏิบัติต่อ ๆ ไป และสดุ ท้าย 3) นโยบายที่เข้าใจเอาเอง (Implied Policy) เป็นนโยบายท่ีไม่ได้ประกาศไว้อย่างเป็น ทางการ ไม่มีผู้บริหารคนใดใส่ใจมากนัก เพราะเป็นนโยบายปลีกย่อย และเมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้อง ผูบ้ รหิ ารก็ไมก่ ล่าวตกั เตอื น ผู้ปฏบิ ัติจึงเข้าใจวา่ เปน็ นโยบายทดี่ ปี ฏิบัตไิ ด้ กานต์ เนตรกลาง (2555) ได้กำหนดขั้นตอนการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายการดำเนินการ เพ่อื เป็นผู้นำในการจดั การศึกษาของโรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครราชสมี า ดังน้ี ขน้ั ตอนที่ 1 การพัฒนารา่ งขอ้ เสนอเชงิ นโยบาย 1. การศกึ ษาสภาพปัจจบุ ัน ปญั หา การดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า 2. การศึกษาแนวทางการดำเนนิ การเพอื่ ความเป็นผู้นำในการจัดการศกึ ษา ขั้นตอนที่ 2 การสังเคราะหข์ ้อเสนอเชิงนโยบาย 1. การสนาทนากลุม่ ผ้กู ำหนดนโยบาย 2. การสนาทนากล่มุ ผูน้ ำนโยบายไปปฏบิ ัติ 3. การสนทนากลุ่มผไู้ ดร้ ับผลจากนโยบาย 4. การสังเคราะหผ์ ลจากการสนทนากล่มุ สามกลมุ่ และจดั ทำเปน็ ร่างขอ้ เสนอเชิงนโยบาย ขน้ั ตอนที่ 3 การตรวจสอบข้อเสนอเชงิ นโยบาย 1. การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เช่ยี วชาญ 2. การนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายฉบับสมบูรณ์ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ (2555) ได้กล่าวว่า การกำหนดนโยบายเป็นส่วนหนง่ึ ของ วงจรนโยบาย ซง่ึ ประกอบดว้ ย การกำหนดนโยบาย การนำนโยบายปฏิบตั ิ การประเมนิ ผลนโยบาย และการวิเคราะหผ์ ลย้อนกลับของนโยบาย โดยมีแผนภูมขิ องวงจรนโยบาย ดงั ตอ่ ไปนี้
21 การวเิ คราะหผ์ ล การกำหนดนโยบาย การนำนโยบาย ยอ้ นกลบั ของนโยบาย ไปปฏิบัติ การประเมินผล ของนโยบาย ภาพ 2 วงจรนโยบาย ที่มา : สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ (2555) 1. การกำหนดนโยบาย (Policy Formulation) เป็นการพิจารณาสภาพปัญหาและความ ต้องการกำหนดเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของนโยบาย วิเคราะห์หาทางเลือก ตัดสินใจเลือก ทางเลอื กท่ีเหมาะสมทีส่ ดุ ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกดั 2. การนำนโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นการผลักดันให้การทำงานของ กลไกท่สี ำคญั ทง้ั หมด สามารถบรรลุผลตามนโยบายทีไ่ ด้ตั้งเปา้ หมายเอาไว้ 3. การประเมิน ผลของน โยบาย (Policy Evaluation) เป็น การศึกษาการบรรลุผล ตามเปา้ หมายของวัตถุประสงค์ของนโยบายที่ได้กำหนดไว้ 4. การวิเคราะห์ผลย้อนกลับของนโยบาย (Policy Feedback Analysis)เป็นการศึกษาดูว่า การสนองตอบของประชาชนกลุ่มตา่ ง ๆ จะมอี ิทธิพลต่อการเปลีย่ นแปลงนโยบายหรอื ไม่ ธนุ วงษจ์ ินดา (2556) กล่าวว่า กระบวนการกำหนดนโยบาย ประกอบดว้ ย 5 ขนั้ ตอน ดังนี้ 1) ขัน้ การค้นหาและรวบรวมข้อมูล 2) ขน้ั การกำหนดนโยบาย 3) ขน้ั การนำเอานโยบายไปปฏบิ ตั ิ 4) ขั้นการประเมินผลนโยบาย 5) ขน้ั การปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงนโยบาย ครรชิต วรรณชา (2557) กล่าวว่ากระบวนการกำหนดนโยบาย ประกอบดว้ ย 5 ขน้ั ตอน ดังน้ี 1. ขัน้ การศึกษาค้นคว้าและรวบรวมขอ้ มูลเพ่อื จัดทำนโยบาย 2. ขั้นการกำหนดนโยบาย 3. ขนั้ การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ 4. ข้นั การประเมินผลนโยบาย 5. ข้นั การปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงนโยบายเพอื่ นำไปกำหนดเปน็ นโยบายในรอบปีตอ่ ไป สปุ ัน สุรนั นา (2559) ไดก้ ล่าวไว้วา่ ในการกำหนดนโยบายนั้น ควรคำนึงถงึ วัตถุประสงค์หรือ ผลประโยชน์ขององค์การ ความตอ้ งการของสังคมหรือคนสว่ นใหญ่ ท่จี ะไดร้ ับผลกระทบหรือมีอิทธิพล
22 ต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ ความรู้ความสามารถของผู้ปฏิบัติครอบคลุม ครบถ้วนสมบูรณ์ ความถูกต้อง และความเป็นปัจจุบันของข้อมูลและสารสนเทศ ที่นำมาใช้ชัดเจน เข้าใจง่าย มีเหตุผล และความเป็นไปได้ สรุปได้ว่า กระบวนการกำหนดนโยบาย ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์หรือผลประโยชน์ของ องค์การ ประกอบด้วย 3 ข้ันตอน ได้แก่ 1) การศึกษาแนวคิดและวิเคราะห์สภาพการจัดการศึกษา 2) พัฒนาแนวทางการจดั การศึกษาและจดั ทำรา่ งขอ้ เสนอเชงิ นโยบาย 3) สรุปข้อเสนอเชิงนโยบาย 2. แนวคดิ หลกั การการบริหารสถานศึกษา ความหมายของการบริหาร การบริหาร คือ การทำให้คนต้ังแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทำงานให้บรรลุเป้าหมาย หรือ การทำงานกับคนและโดยคนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ มีนักบริหาร นักวิชาการ และ นกั การศกึ ษามากมายหลายท่านไดใ้ หค้ วามหมายของการบริหารไวห้ ลายทศั นะ ซงึ่ พอสรุปได้ดงั นี้ พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ตยสถาน พทุ ธศักราช 2542 (2546) บริหารหมายถึง การจัดการ ส่วนคำว่าการจัดการ หมายถึง สั่งงาน ควบคุมงาน ดำเนินงาน ดังนั้นการบรหิ ารหมายถึง การจัดการ ควบคมุ งานหรือการดำเนนิ งาน พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจติ ฺโต) (2549) กล่าวถึงการบริหารว่าเป็นวิธีการทำให้งาน สำเร็จโดยอาศัยผู้อ่ืน และกล่าวว่าหน้าที่ของผูบ้ ริหารเป็นกรอบในการพิจารณาของผู้บริหารใหส้ ำเร็จ มี 5 ประการ ตามคำย่อภาษาอังกฤษวา่ “POSDC” ดังนี้ คอื 1. P คือ planning หมายถึง การวางแผน เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานเพื่อ ความสำเร็จท่ีจะตามมาในอนาคต ผู้บริหารท่ีดีต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเพื่อกำหนดทิศทางของ องคก์ ร 2. O คอื organizing หมายถึง การจัดองค์กร เป็นการกำหนดโครงสร้างความสมั พันธ์ของ สมาชกิ และสายบงั คบั บญั ชาภายในองคก์ ร มีการแบ่งงานกนั ทำและการกระจายอำนาจ 3. S คือ Staffing หมายถึง งานบุคลากร เปน็ การสรรหาบุคลากรใหม่ การพัฒนาบุคลากร และการใชค้ นให้เหมาะสมกับงาน 4. D คือ Directing หมายถึง การอำนวยการ เป็นการสื่อสารเพ่ือให้เกิดการดำเนินการ ตามแผน ผบู้ รหิ ารตอ้ งมีมนุษยสมั พันธท์ ่ดี ีและต้องมีภาวะผูน้ ำ 5. C คอื Controlling หมายถึง การกำกับดูแล เป็นการควบคมุ คณุ ภาพของการปฏิบัติงาน ภายในองค์กรรวมทงั้ กระบวนการแกป้ ญั หาภายในองคก์ ร ปรียาพร วงษ์อนุตรโรจน์ (2553) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษาเป็นภารกิจหลักของ ผู้บรหิ ารท่ีจะต้องกำหนดแบบแผน วธิ ีการและข้ันตอนต่างๆ ในการปฏิบัตงิ านไว้อย่างมีระบบ เพราะ ถ้าระบบการบริหารงานไม่ดีจะกระทบกระเทือนต่อส่วนอ่ืนๆ ของหน่วยงาน นักบริหารที่ดีต้องรู้จัก เลือกวิธกี ารท่ีเหมาะสมและมีประสทิ ธิภาพพอทีจ่ ะให้งานน้ันบรรลจุ ดุ ม่งุ หมายทีว่ างไว้ การบรหิ ารงาน น้ันจะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ทุกประการเพราะว่าการดำเนินงานต่างๆ มิใช่เพียงกิจกรรมท่ีผู้บริหาร จะกระทำเพียงลำพังคนเดียว แตย่ งั มผี ู้ร่วมงานอกี หลายคนทม่ี ีสว่ นทำใหง้ านนน้ั ประสบความสำเร็จ
23 นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ (2527) กล่าวว่า การบริหารต้องมีหลัก 6 ประการ คือ มีคนตั้งแต่ สองคนขึ้นไป รว่ มมือกันทำกิจกรรม ใชท้ รัพยากรและกลวิธีทเ่ี หมาะสมทำงานให้บรรลุเป้าหมายและ เป้าหมายน้ันช่วยกันกำหนดขึ้นส่วน เอกชัย กี่สุขพันธ์ (2527) กล่าวว่าการบริหารมีองค์ประกอบ 4 ประการ คอื กลมุ่ บุคคล จุดมุ่งหมาย กระบวนการทำงาน และทรพั ยากร ศิริ ถีอาสนา (2557) ได้ให้ความหมายของการบริหารไว้ว่าเป็นกิจกรรมกลุ่มตั้งแต่สองคน ข้ึนไปรว่ มมือกันจัดการทรัพยากรทเี่ หมาะสม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน โดยใช้ทัง้ ศาสตร์และ ศิลป์จัดการกระบวนการบริหารหรือหน้าที่การบริหาร ซ่ึงประกอบด้วยการวางแผน (Planning) ก ารจั ดอ งค์ก ร (Organizing) ก าร จัด คณ ะ ท ำงาน (Staffing) ก าร อ ำน วย ก าร (Directing) การประสานงาน (Coordineting) การรายงาน (Reporting) และการงบประมาณ (Budgeting) สรุปได้ว่า การบรหิ ารหรือการจดั การ หมายถึง กระบวนการทำงานกบั คนและโดยคนเพ่ือให้ บรรลุเป้าหมายสูงสุดขององค์การ การบริหารจะครอบคลุมในเร่ืองของเป้าหมาย บุคลากร และ ทรัพยากรต่างๆ ซึ่งการบริหารจัดเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในทางสังคมศาสตร์ที่นำหลักการและทฤษฎี ต่างๆ ทางมานุษยวิทยา สังคมวิทยา จิตวิทยา และพฤติกรรมศาสตร์มาใช้ แต่ไม่ได้ใช้ศาสตร์เพียง อย่างเดียวยังต้องใช้ศิลป์เข้าควบคู่ไปด้วย คือต้องสามารถประยุกต์ความรู้ต่างๆ ทางการบริหาร ใหเ้ ข้ากับสถานการณท์ เี่ ปน็ จริง และการบริหารนน้ั จะครอบคลุมถึงหน้าท่ีการบรหิ าร ซงึ่ ประกอบดว้ ย การวางแผนการจดั องค์การ การส่ังการ การมอบหมาย การรายงาน และการงบประมาณ นอกจากนี้ องค์ประกอบท่ีสำคัญของการบริหารจะประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ทรัพยากรในการ บรหิ าร การประสานระหวา่ งกัน และประสิทธิภาพประสิทธผิ ลในการทำงาน การบรหิ ารสถานศึกษาระดับการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน ความหมายของการบริหารสถานศึกษา การบริหารสถานศึกษาจะใช้เรียกว่าการบริหารโรงเรียนตามที่เรียกแต่ก่อนก็ได้การบริหาร สถานศึกษานั้นเป็นภารกิจที่สำคัญย่ิงของผู้บริหารสถานศึกษาที่จะต้องกำหนดแผนงานวิธีการ ตลอดจนขน้ั ตอนตา่ งๆ ในการปฏบิ ัตงิ านไว้อย่างมีระบบ เพราะถ้าระบบบริหารภายในสถานศกึ ษาไม่ดี จะกระทบกระเทือนต่อส่วนอืน่ ๆ ของหน่วยงานได้ ดังนนั้ ความสำเรจ็ หรือความลม้ เหลวในการบริหาร สถานศึกษาจึงขน้ึ อยู่กับสมรรถภาพของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นสำคัญ นักวิชาการด้านการศึกษาได้ ให้นยิ ามหรอื ความหมายของการบริหารโรงเรียนไวด้ ังนี้ นพพงษ์ บุญจิตราดุลย์ (2540) ให้ความหมายการบริหารโรงเรียนไว้ว่า หมายถึงกิจกรรม ต่างๆ ท่ีบคุ คลต้ังแต่สองคนข้ึนไปร่วมมือกันดำเนินการเพ่ือใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่งึ หรือ หลายอย่างท่ีบุคคลร่วมกำหนดโดยใช้กระบวนการอย่างมีระเบียบและใช้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิค ต่างๆ ที่เหมาะสม ผู้บริหารโรงเรียนมีภารกิจที่ต้องปฏิบัติท้ังในโรงเรียนและนอกโรงเรียนในการ ดำเนินงาน 5 ประการคือ 1.การให้โอกาสทางการศึกษาหรือปรบั ปรงุ การศึกษาในโรงเรียนหรอื บริหารงานวชิ าการ 2.บริหารงานบุคลากรในโรงเรยี น 3. บริหารงานเกย่ี วกับชุมชนและการประชาสัมพันธโ์ รงเรยี น 4. บรหิ ารงานเก่ยี วกับอาคารสถานที่ธุรการการเงนิ และการให้บริการ
24 5. บรหิ ารงานกิจการนักเรียน วิโรจน์ สารรัตนะ (2548) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษาหมายถึง กระบวนการทำงาน ด้วยบุคคลและทรัพยากรในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนและสังคมมีความเจริญงอกงาม โด ย ก าร ถ่าย ทอ ด คว าม รู้ ก าร ฝึ ก ก าร อ บ ร ม ก าร สื บ สว น ท างวั ฒ น ธ รร ม ก าร สร้ างสร ร ค์ จร รโ ล ง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสรา้ งองคค์ วามรอู้ ันเกิดจากการจัดการสง่ิ แวดลอ้ มสงั คมการเรียนรู้และ ปจั จัยเกอ้ื หนนุ ใหบ้ คุ คลเรียนรอู้ ย่างตอ่ เน่ืองตลอดชีวิต ทะนงศักด์ิ คุ้มไข่น้ำ (2550) ให้ความหมายของการบริหารสถานศึกษาไว้ว่า เป็นการ ดำเนินงานของกลุ่มบุคคลเพ่ือพัฒนาสมาชิกของสังคมให้มีความเจริญงอกงามในด้านต่างๆ และเป็น สมาชกิ ที่ดมี เี ป็นประโยชนต์ ่อสังคม จันทรานี สงวนนาม (2551) กล่าวว่า การบริหารสถานศึกษาหมายถึงศาสตร์และศิลป์ที่ ผู้บริ หารน ำมาใช้ ใน การติ ดต่อ สื่ อ สาร โดย อ าศั ยภาวะ ผู้น ำมนุ ษ ยสั ม พั น ธ์ เพ่ื อ บริหารงาน ให้บรร ลุ เป้าหมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ หวน พินธุพันธ์ (2548) กล่าวว่าการบริหารสถานศึกษาหมายถึงการดำเนินงานของกลุ่ม บุคคลซ่ึงร่วมมอื กันพัฒนาคนให้มคี ุณภาพ การจะพฒั นาคนให้มีคุณภาพได้นน้ั จะต้องมีการดำเนินการ ในการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการวัดผลการจัดอาคารสถานท่ีและพัสดุครุภัณฑ์ การสรรหา บคุ คลมาดำเนนิ การหรือมาทำการสอนในสถาบันการศึกษา สรุปได้ว่าการบริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นกิจกรรมทางการศึกษาที่จะต้องทำเป็น กระบวนการโดยกลุ่มบุคคลต่างๆ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ นั่นก็คือการพัฒนาสมาชิกหรือ ผู้รับบริการทางการศึกษาให้เป็นผู้มีคุณภาพท่ีสังคมต้องการและเป็นภารกิจที่สำคัญย่ิงของผู้บริหาร สถานศกึ ษาที่จะต้องสามารถนำองคก์ รให้อย่รู อด ต้องกำหนดแผนงานวิธกี ารตลอดจนข้นั ตอนตา่ งๆใน กา รป ฏิ บั ติ งาน ไว้อ ย่ างมี ระ บ บ โด ย พ่ึ งพิ งงบ ป ร ะม า ณ จ าก รัฐที่ มี ไม่ ม าก นั ก ด้ว ย ค วาม ป ร ะห ยั ด ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าทั้งคนเงนิ เวลาและทรัพย์สินอย่างอื่น เพราะถ้าระบบบรหิ ารภายในสถานศึกษา ไม่ดีจะกระทบกระเทือนต่อส่วนอื่นๆ ของหน่วยงานได้ ดังนั้นความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการ บริหารสถานศึกษาจงึ ขึน้ อยู่กับสมรรถภาพของผู้บรหิ ารสถานศึกษาเปน็ สำคัญ ขอบข่ายของการบริหารสถานศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 และแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับท่ี 2 พุทธศักราช 2545 มาตรา 39) ได้กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการกระจายอำนาจการบริหาร 4 ด้าน คือ การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานงบประมาณ การบริหารบุคคล และการบริหารท่ัวไป ประกอบดว้ ยรายละเอียด ดังนี้ การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานวิชาการเป็นงานหลักถือเป็นหัวใจของการบริหารสถานศึกษา ทั้งนี้เพราะ จดุ มุ่งหมายของสถานศกึ ษาคอื การจัดการศกึ ษา ดังนน้ั คณุ ภาพและมาตรฐานของสถานศกึ ษาจึงขี้นอยู่ กบั งานวิชาการ ซึ่งการบริหารงานวิชาการเป็นหน้าที่หลักของผู้บริหารสถานศึกษาโดย ประกอบด้วย รายละเอียดดงั น้ี
25 1. ความหมายของการบรหิ ารงานวิชาการ การบริหารงานวิชาการเป็นงานหลักและเกี่ยวข้องกับทุกกิจกรรมในสถานศึกษาโดยมี จุดหมายให้ไปสู่การมีคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน ผู้บริหารโรงเรียนจะได้ใช้ความรู้ ความสามารถตลอดจนประสบการณ์ท้ังหลายบริหารงานในโรงเรียนให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จทาง การศกึ ษามคี ุณภาพตามท่ีสงั คมต้องการ กมล ภู่ประเสริฐ (2545) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า การบริหารงาน วิชาการ หมายถึง การบริหารท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซ่ึงเป็นเป้าหมายสูงสุดของ ภารกิจของสถานศึกษา วุฒิวัฒ น์ อินทสุวรรณ (2547) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถงึ การบรหิ ารกิจกรรมทกุ ชนิดของโรงเรยี นซ่ึงเกี่ยวข้องกับการปรับปรุง พฒั นาการสอนผู้เรยี นให้ได้ผลดีและมีประสทิ ธภิ าพมากทสี่ ดุ มณีรัตน์ ภิญโญภาพสกุล (2549) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า กระบวนการดำเนินงานปรับปรุง พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่มีการร่วมมือของบุคลากรใน โรงเรียนในการจัดกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียนท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้และการศึกษาของผู้เรียน โดยมี การประสานงานของทุกคนในโรงเรยี นร่วมกับบุคคลที่มีสว่ นเก่ียวข้องในการส่งเสริมงานวิชาการของ โรงเรียนคอื ผูบ้ ริหารโรงเรียนและครผู สู้ อน ส่วนในการบริหารโรงเรียนผู้บริหารจะต้องใชเ้ วลาส่วนใหญ่ ในการบริหารงานด้านวิชาการ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมีความรู้ทักษะ คณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงคแ์ ละภาวะสุขภาพตามจุดหมายของหลักสูตรอย่างมีประสทิ ธภิ าพ รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ(2550) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการบริหารกิจกรรมทุกอย่างที่เก่ียวของกับการปรับปรุง การเรียนการสอนให้ดีขึ้นตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผน การปรับปรุงพัฒนาการเรียน การสอน ตลอดถงึ การประเมนิ ผลการสอน เพื่อใหเ้ ปน็ ไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสตู รและจดุ มุง่ หมาย ของการศึกษา เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียน หากมองการบริหารงานวิชาการในด้านงานของ สถานศึกษา งานบรหิ ารวิชาการได้แก่งานการควบคุมดูแลหลักสูตรการสอน อุปกรณ์การสอน การจัด แบบเรียน คู่มอื ครูการจัดช้ันเรียน การจัดครูเข้าสอน การปรับปรงุ การเรียนการสอน การฝึกอบรมครู การนิเทศการศึกษา การเผยแพร่งานวิชาการ การวัดผลการศึกษา การศึกษาวิจัย การประเมิน มาตรฐานสถานศกึ ษาเพอื่ ปรบั ปรงุ คุณภาพและประสิทธภิ าพของสถานศกึ ษา สันติ บุญภิรมย์ (2553) ได้ให้ความหมายของการบริหารงานวิชาการไว้ว่าการบริหารงาน วชิ าการ หมายถงึ การบรหิ ารจัดการกิจกรรมทุกประเภทที่เก่ียวกับการเรียนการสอน และการบริหาร สิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่าง ราบร่ืน เปรียบเสมือนเสน้ เลอื ดใหญไ่ ปหล่อเลี้ยงหวั ใจ การบริหารจึงเป็นกิจกรรมที่สำคญั ท่ีสดุ ของงาน วชิ าการทส่ี ามารถทำให้งานวชิ าการเกดิ พลวัต (Academic Affairs Dynamic) อยู่ตลอดเวลาส่งผลต่อ ประสทิ ธภิ าพ ประสิทธผิ ล และคุณภาพของการศกึ ษาอยา่ งต่อเน่อื งตลอดไป สมชาย คำปลวิ (2549) ได้ให้ความหมายของการบรหิ ารงานวชิ าการไว้ว่าการบริหารกจิ กรรม ทกุ อย่างทางด้านวิชาการในสถานศึกษาท่ีเก่ียวขอ้ งกับหลกั สูตร การปรับปรุงพัฒนาการเรียนสอนให้
26 ได้ผลดีมีประสิทธิภาพส่งผลตอ่ การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพ่ือให้ผู้เรียนมีคุณภาพอันเป็นเป้าหมาย สูงสุดของสถานศึกษา สวุ รรณ ผ่าโผน (2549) ได้กล่าวเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ หมายถึง พฤติกรรมในการ ทำงานของบุคคลตง้ั แต่สองคนขึน้ ไป ร่วมมือดำเนินการใหบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์อย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ที่ บุ ค ค ล ดั ง ก ล่ า ว ต้ั ง เป้ า ห ม า ย ไว้ โด ย ก า ร ใช้ ศ า ส ต ร์ แ ล ะ ศิ ล ป์ ใน ก า ร น ำ ท รั พ ย า ก ร ก า ร บ ริ ห า ร (Administrative Resources ) อันมีคน เงิน วัสดุอุปกรณ์และการจัดการตามกระบวนการบริหาร (Process of Administration ) ด้วยความร่วมมือของกลุ่มบุคคลให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพและเกดิ ประสทิ ธิผลมากทส่ี ดุ มนูญ ร่มแก้ว (2553) ไดก้ล่าวว่าการบริหารวิชาการเป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดใน โรงเรียนซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนนักเรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอนและครอบคลุมถึงความรู้คุณสมบัติทัศนคติและความสามารถ ความมุ่ง หมายทางการศึกษาของประเทศได้กำหนดไว้ โดยคำนึงถึงความต้องการของสังคมไทยในปัจจุบันท่ี ตอ้ งการใหป้ ระชาชนมคี วามรู้ความเข้าใจและความสามารถทจ่ี ะอยู่รว่ มกันในระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย สรุปได้ว่า การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการดำเนินงานของบุคลากรใน สถานศกึ ษาและผู้ที่เก่ียวข้องในการบรหิ ารกจิ กรรมด้านวิชาการในสถานศึกษาทุกอยา่ งในการปรับปรุง พัฒนาการเรียนการสอนให้ดีข้ึน ต้ังแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผน ปรับปรุงพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ท่ีหลากหลายโดยมงุ่ เน้นให้ผเู้ รียนมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและมีความรู้ ทักษะ คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ตามจดุ มุง่ หมายของหลกั สตู รอย่างมีประสิทธิภาพและเกดิ ประสทิ ธผิ ลมากที่สุด 2. ความสำคัญของการบริหารงานวิชาการ งานท่มี ีความสำคัญเปน็ อยา่ งยิ่ง เปน็ หวั ใจท่ีสำคญั กค็ ืองานวชิ าการ สว่ นงานอื่น ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง ต่างกม็ าสนับสนนุ ส่งเสริมใหง้ านวชิ าการโดดเดน่ ยงิ่ ขนึ้ นักการศึกษาได้ใหค้ วามเห็นถงึ ความสำคัญของ งานวิชาการไวด้ งั ต่อไปน้ี สุวรรณ ผ่าโผน (2549) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการเป็นภารกิจหลักของผู้บริหาร โรงเรียนและถือว่าเป็นหวั ใจของโรงเรียนท่ีโรงเรยี นจะต้องดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการศึกษา น่ันคือ นักเรียนมีความรู้คู่คุณธรรม เก่ง ดีมีสุข มีคุณภาพและคุณสมบัติที่พึงประสงค์ตามที่ชาติ ต้องการสามารถดำรงชีพอยู่ในสงั คมได้อย่างมีความสขุ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2547) กำหนดให้ความสำคัญของงานวิชาการว่า งาน วิชาการเป็นงานทเี่ กี่ยวข้องกับกจิ กรรมทุกชนดิ ในสถานศกึ ษาโดยเฉพาะเก่ยี วกบั การปรบั ปรุงคณุ ภาพ การเรียนการสอนใหไ้ ด้ผลดแี ละมีประสทิ ธิภาพเกดิ ประโยชนส์ ูงสุดกับผ้เู รียน ชุมศักด์ิ อินทรรักษ์(2549) กล่าวถึงความสำคัญของการบริหารงานวิชาการว่า งานวิชาการ เปน็ งานหลกั และมีความสำคัญยิ่งทก่ี ำหนดบทบาทและภารกิจของหน่วยงานหรือสถานศึกษาให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงค์มีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล บคุ ลากรสามารถปฏิบัตงิ านไดอ้ ยา่ งมีทิศทางไม่ก่อให้เกิด ความสบั สนในบทบาทหนา้ ท่แี ละผู้บริหารสถานศึกษาตอ้ งรู้วา่ งานใดเปน็ งานหลกั หรอื งานสนับสนนุ
27 รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2550)กล่าวถึงความสำคัญของการบริหารงานวิชาการไว้ว่า งานวิชาการเป็นงานหลักเป็นภารกิจหลักของสถานศึกษาท่ีพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี2) พ.ศ.2545 มุ่งการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการให้ไปถึง สถานศกึ ษาใหม้ ากท่สี ุด ด้วยเจตนารมณท์ จ่ี ะให้สถานศึกษาดำเนินการได้อย่าง อิสระคล่องตัว รวดเร็ว สอดคลอ้ งกับความต้องการของผู้เรียน สถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น และการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกฝ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญท่ีทำให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหารและการจัดการ สามารถพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ตลอดจนวัดผลประเมินผล รวมท้ังการวัดปัจจัย เก้ือหนุนการพัฒนาคุณภาพนักเรียน ชุมชน ท้องถิ่นได้อย่างมีคุณภาพดังมาตราต่อไปน้ี มาตรา 24 จัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา 25 รัฐตอ้ งส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดต้ังแหลง่ การเรียนรู้ตลอด ชีวติ ทุกรูปแบบ มาตรา 26 จัดการประเมินผู้เรียน มาตรา 27 จัดทำสาระหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ ของหลักสูตรแกนกลางในส่วนท่ีเก่ียวกับปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปญั ญาท้องถ่ิน คุณลักษณะอัน พึงประสงค์เพ่ือเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัว มาตรา 30 พัฒนากระบวนการเรียนการสอนท่ีม่ี ประสทิ ธภิ าพและสง่ เสริมใหผ้ ู้สอนสามารถวจิ ัยเพื่อพัฒนาการเรียนรทู้ ่ีเหมาะสมกับผู้เรยี น มาตรา 48 จัดให้มีการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อหน่วยงานท่ีเก่ียว ของและเปิดเผยต่อสาธารณชน มาตรา 66 พฒั นาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา ของผู้เรยี น สันติ บุญภิรมย์ (2553) ได้กล่าวถึงความสำคัญของงานวิชาการว่างานด้านวิชาการถือว่าเป็น หัวใจสำคัญหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นงานหลักของสถานศึกษา ส่วนงานอ่ืนๆ เป็นงานที่มาสนับสนุน วชิ าการให้มีคุณภาพดังน้ันงานวิชาการจึงมใิ ช่เพยี งแต่ให้นักเรียนอา่ นออก เขียน ได้ทำเลขเก่งเท่าน้ัน แตห่ มายถงึ การดำรงชวี ิตในสงั คมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข สรุปได้ว่า การบริหารงานวิชาการเป็นกำหนดบทบาทและภารกิจของหน่วยงานหรือ สถาน ศึกษ าให้บ รร ลุวัตถุป ระ สงค์มี ประ สิท ธิภ าพ และ ป ระ สิทธิ ผลที่ผู้บริหารสถาน ศึกษาต้องให้ ความสำคัญอันดับแรก ส่วนงานอ่ืนเป็นงานที่สนับสนุนวิชาการให้มีคุณภาพ เพื่อให้ผเู้ รียนมคี วามรู้คู่ คุณธรรม เก่ง ดีมีสุข สามารถดำรงชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ผู้บริหารสถานศึกษาจึง ต้องรู้จักวางแผน ตดิ ต่อสื่อสารการประสานงาน ควบคุมบงั คบั บญั ชา วินจิ ฉัยสง่ั การ มอบหมายงานให้ ถูก ต้ อ ง แ ล ะ เห ม าะ ส ม เพ่ื อ ให้ ก าร ป ฏิ บั ติ ง าน วิ ช าก าร บ ร ร ลุ จุด มุ่ ง ห ม าย ข อ ง ห ลั ก สู ต ร ได้ อ ย่ าง มี ประสทิ ธิภาพ 3. หลกั การบรหิ ารงานวชิ าการ การบรหิ ารงานวิชาการ ผบู้ ริหารจำเป็นทต่ี ้องใช้ท้ังศาสตร์และศลิ ปเ์ ทคนคิ วิธีการ เพ่ือนำไปสู่ เป้าหมายที่กำหนดไวโ้ ดยอาศัยหลักการและกระบวนการ การบริหารงานวชิ าการนับเป็นงานท่ีสำคัญ ของสถานศึกษา สถานศึกษาจะดีหรือไม่ข้ึนอยู่กับงานวิชาการท่ีจะสรา้ งนักเรยี นใหม้ ีคณุ ภาพมคี วามรู้ มีจรยิ ธรรม และคุณสมบตั ิตามทต่ี ้องการเพื่อนำไปใช้ในการดำรงชวี ิตในสังคม ซึ่งมนี ักวิชาการบริหาร การศกึ ษาหลายท่านไดใ้ ห้ทศั นะเกยี่ วกับหลักการบรหิ ารงานวชิ าการไว้ดงั น้ี
28 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2547) ได้เสนอประเด็นสำคัญที่ผู้บริหารต้องคำนึงถึงหลัก ในการบริหารงานวชิ าการในสถานศึกษาที่สอดคลอ้ งกับพระราชบัญญัตกิ ารศึกษา แหง่ ชาติ พ.ศ.2542 ไว้ดังนี้ 1. หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม ด้วยความสำคัญ ของการบริหารงานวิชาการที่ เปรียบเสมือนหัวใจของการบริหารสถานศกึ ษาเป็นงานท่ีต้องมีส่วนสัมพันธก์ ับงานของสถานศกึ ษาท้ัง ระบบ โดยมหี ลักสูตรแกนกลางชน้ี ำการทำงานของทุกฝา่ ยของสถานศึกษา 2. การสร้างทีมงานท่ีมีประสิทธิภาพ การบริหารสถานศึกษาในยุคการปฏิรูปการศึกษาที่มี ความเจริญก้าวหน้ามีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เชิงบริหารเป็นท่ีประจักษ์ชัดว่าเป็นหน้าท่ีและความ รับผิดชอบของผู้มสี ว่ นเก่ียวข้องทกุ คนท่ตี อ้ งรว่ มกันทำงานเปน็ ทีม 3. เปลี่ยนภาพลักษณ์ของผู้บริหารสถานศึกษาจากผู้ท่ีคอยส่ังการเพียงอย่างเดียวเป็นผู้นำ ที่ทำหน้าท่ีส่งเสริม สนับสนุน และเชิญชวนผู้ร่วมงานทุกคนปฏิบัติงานเต็มความสามารถ ด้วยความ ศรัทธาในงานที่ทำ ชมุ ศกั ด์ิ อินทรร์ ักษ์ (2549) กล่าววา่ หลกั การบรหิ ารงานวชิ าการที่ สำคญั ๆ ดังนี้ 1. หลักการพัฒนาคุณภาพ (Quality Management) เป็นการบริหารเพื่อนำไปสู่ความเป็น เลศิ ทางวิชาการ องค์ประกอบของคุณภาพที่เป็นตวั ชี้วัดคือผลผลิต และกระบวนการเป็นปัจจยั สำคัญ ทที่ ำให้บุคลากรและผู้รบั บริการได้รับความพึงพอใจ พัฒนาศักยภาพเป็นที่ยอมรับของสังคมในระดับ สากลมากข้ึน โดยอาศัยกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษาได้แก่การควบคุม คุณภาพการ ตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินผล 2. หลักการมีส่วนร่วม (Participation) การปรับปรุงคุณภาพของกระบวนการ บริหารได้ พฒั นามาอย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอโดยหลักการมีส่วนร่วมการเสนอแนะและการพัฒนาในงานวชิ าการ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย จึงอาจดำเนินงานในรูปของคณะกรรมการวิชาการโดยมี เป้าหมายนำไปสูก่ ารพัฒนาคุณภาพได้มากขึ้น การมีสว่ นร่วมต้องเริ่มจากการร่วมคิดร่วมทำและร่วม ประเมินผล 3. หลักการ 3 องคป์ ระกอบ (3 – E’s) ได้แก่ ประสิทธิภาพ ประสิทธผิ ล ประหยัด 3.1 หลักประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) หมายถงึ การปฏิบตั ติ ามแผนที่กำหนด ไว้เป็นไปตาม ข้ันตอนและกระบวนการ มีปัญหาและอุปสรรคขณะดำเนินการก็สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ การมี ประสิทธิภาพเน้นไปที่กระบวนการ (Process) การใช้กลยุทธ์และเทคนิควิธีต่าง ๆ ท่ีทำให้บรรลุ วัตถปุ ระสงคม์ ากท่สี ุด 3.2 ห ลั ก ป ร ะ สิ ท ธิ ผ ล (Effectiveness) ห ม าย ถึ ง ได้ ผล ผ ลิ ต (Outcome) ต าม วัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ความรู้ความสามารถ มีทักษะเพ่ิมขึ้น รวมท้ังการคำนึงถึงผลประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ อย่างไรกต็ ามมักใช้สองคำนี้ควบคู่กัน คือมปี ระสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล 3.3 หลักประหยัด (Economy) หมายถึง การใช้เวลาน้อย การลงทนุ น้อย การใช้แรงงาน น้อย โดยไม่ต้องเพ่ิมทรพั ยากรการบริหารแต่ไดผ้ ลผลิตตามท่ีคาดหวงั ดงั นั้นการลงทนุ ทางวิชาการจึง ต้องคำนึงหลักความประหยัดด้วยเช่นกัน
29 4. หลักความเป็นวิชาการ (Academics) หมายถึง ลักษณะที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระของ วิชาการ ได้แก่ หลักการพัฒนาหลักสูตร หลักการเรียนรู้ หลักการสอน หลักการวัดผลประเมินผล หลักการนเิ ทศการศึกษา และหลักการวิจยั เป็นต้น หลกั การเหล่าน้ีเปน็ องคป์ ระกอบสำคญั ทก่ี อ่ ใหเ้ กิด การเปลยี่ นแปลงและสรา้ งสรรค์ รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2550) กล่าวว่า การบริหารจัดการของสถานศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ ใหบ้ รกิ ารการศกึ ษาแก่ประชาชนจงึ ต้องนำหลักการว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดใี น การจดั การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งซง่ึ เรียกว่าธรรมาภิบาลมาบรู ณาการให้กับการดำเนนิ งาน ในดา้ นต่างๆ การบรหิ ารงานวิชาการก็ต้องมีหลักธรรมาภิบาล คือ 1. หลักความคุ้มค่า คือการให้ผลผลิตคุ้มค่าแก่การลงทุน นั่นคือ ผู้เรียนสามารถสำเร็จ การศกึ ษาตามกำหนดของหลกั สตู รไม่ลาออกกลางคนั ไม่เรยี นเกนิ เวลาและช้ากว่ากำหนด 2. หลกั นิติธรรม หมายถึง ความถกู ต้องตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับทุกคน ตอ้ งปฏิบัตใิ ห้ เป็นไปในทศิ ทางเดยี วกัน สันติ บุญภิรมย์ (2552) กล่าวว่า หลักการบริหารงานวิชาการในเชิงพัฒนา ซ่ึงมีสาระสำคัญ โดยสรปุ ดงั นี้ 1. หลักสูตร ให้มีความรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับหลักการ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ ขอบข่ายเนี้อหา พร้อมท้ังเพ่ิมเติมเนื้อหาในการส่งเสรมิ ความรู้ความเข้าใจในรายวิชาน้ัน ๆ 2. แบบเรียนและหนังสืออ่านประกอบตรวจสอบดูเนื้อหาว่าสอดคล้องกับหลักสูตรเพียงใด การเพิ่มเติมเนื้อหากระทำโดยผสู้ อนตามความเหมาะสมกบยคุ สมยั น้นั ๆ 3. ประมวลการสอน ควรมกี ารปรับปรุงแก้ไขเพิม่ เตมิ หากในสถานศึกษาน้ัน ๆ ไมม่ ีประมวล การสอนก็จะไดจ้ ัดทำขึ้นให้ตรงตามเปา้ หมายของหลักสตู ร 4. ข้อสอบวิชาต่าง ๆ ต้องออกให้ครอบคลุมเน้ือหาและสอดคล้องกับความต้องการของ หลกั สตู รเป็นการจดั การเรยี นรู้ของผเู้ รยี นอย่างครบถ้วน 5. การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร สำหรับหลักสูตรเมื่อใช้ไประยะหน่ึงก็จะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงใหเ้ หมาะสมและทนั สมยั อยู่เสมอหรืออาจปรับปรุงอยู่ตลอดเวลาก็ได้ 6. ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้บริหาร และผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายให้ความรู้และ แนวทางในการศึกษาเล่าเรียน ซง่ึ ถอื ว่าเป็นการสง่ เสรมิ วิชาการ 7. ครูคณาจารย์ในสถานศึกษา ได้ผลัดเปล่ียนกันบรรยายพิเศษเป็นคร้ังคราวเพื่อให้ผู้เรียนมี ความรพู้ เิ ศษเพิ่มเติม 8. จดั ให้มกี ารวิเคราะหผ์ ลการสอบ เพอื่ นำมาปรับปรุงการเรียนการสอน 9. ส่งเสริมการอ่านหนังสือของผู้สอนเน่ืองด้วยเวลาเปล่ียนไปวิชาการต่าง ๆ ก็มีการ เปลี่ยนแปลงผูบ้ ริหารสถานศึกษาควรใช้งบประมาณส่วนหน่ึงมาใช้สำหรับการจัดซ้ีอหนังสือและตำรา เรยี นเข้าห้องสมุด 10. จดั ประชุมวชิ าการของคณะครู เพอ่ื อภิปรายปัญหาการเรียนการสอนร่วมกัน 11. ผบู้ รหิ ารควรไปเย่ียมห้องเรียนในขณะท่คี รูกำลังทำการสอนและควรทำเปน็ ประจำ 12. ผู้บริหารสถานศึกษาควรเชิญผู้สอนท่ีมีประสบการณ์สูงได้เข้าไปเยี่ยมชั้นเรียน เพ่ือ แนะนำการสอนใหก้ ับผู้สอนใหมๆ่
30 13. ผู้บรหิ ารสถานศึกษาไม่ควรสาธิตการสอนด้วยตนเองแต่พยายามให้ผู้สอนเห็นวิธีการท่ีดี ๆ จากผู้สอนคนอืน่ ๆ 14. เมื่อหยุดเรียนปลายภาคเรียน ควรมีการสัมมนาผู้สอนและควรเรียนเชิญผู้สอนใน สถานศึกษาอื่น ๆ เขา้ ร่วมตามความเหมาะสม 15. ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งครูผู้สอนไปร่วมประชุม และอบรมทางการสอนตามที่ หน่วยงานตา่ งๆ จดั ขน้ึ วิโรจน์ บุญเรือง (2552) กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการจะต้องมีหลักการและวิธีการ ดำเนนิ งาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหาร ดังนั้นในหลักการเบ้ีองตน้ ของการบริหารจึงต้องมี ข้อความในเรอ่ื งต่าง ๆ ดังน้ี 1. ยดึ หลกั ใหส้ ถานศึกษาจดั ทำหลกั สูตรสถานศกึ ษาให้เปน็ ไปตามกรอบหลกั สูตรแกนกลาง การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานและสอดคลอ้ งกับสภาพปญั หาและความต้องการของชมุ ชน 2. ม่งุ สง่ เสรมิ สถานศึกษาให้จดั กระบวนการเรียนรโู้ ดยถือว่าผ้เู รียนมีความสำคัญทสี่ ดุ 3. มุ่งสง่ เสริมให้ชุมชนและสังคมส่วนร่วมในการกำหนดหลกั สตู ร กระบวนการเรียนรู้ รวมท้ัง เป็นเครือขา่ ยและแหลง่ เรียนรู้ 4. มุ่งจัดการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐาน โดยจัดให้มีดัชนีช้ีวัดคุณภาพการจัดหลักสูตร และกระบวนการเรียนรู้ และสามารถตรวจสอบคุณภาพการจัดการศึกษาได้ทุกช่วงช้ันทั้งระดับเขต พื้นที่การศกึ ษาและสถานศึกษา 5. มงุ่ ส่งเสริมใหม้ ีการรว่ มมือเปน็ เครือข่าย เพอ่ื เพิ่มประสทิ ธิภาพและคุณภาพ ในการจดั และ พฒั นาคณุ ภาพการศึกษา จรุณี เก้าเอ้ียน (2556) กล่าวถึงหลักการบริหารงานวิชาการในการบริหารงานวิชาการซ่ึงถือ วา่ เป็นหัวใจของสถานศึกษาจะต้องมหี ลักการและวิธีการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการ บริหารของสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษาต้องยึดหลักในการทำงาน โดยเฉพาะหลักการบริหารงาน วิชาการเป็นแนวคิดเพ่ือปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จในการบริหารงานวิชาการจำเป็นต้องมีหลักการที่ สำคัญๆ 3 ประการ ดังน้ี หลักการพัฒนาคุณภาพ (Quality Management) เป็นการบริหารงานเพื่อ นำไปสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ องค์ประกอบของคุณภาพท่เี ป็นตัวชี้วดั คอื ผลผลิตและกระบวนการ เป็นปัจจัยสำคัญท่ีทำใหบ้ คุ ลากรและผ้รู ับบริการได้รับความพึงพอใจพัฒนาศักยภาพเปน็ ที่ยอมรบั ของ สังคมในระดับสากลมากข้ึน โดยอาศัยกระบวนการประกันคุณภาพการศึกษา ได้แก่ การควบคุม คุณภาพ การตรวจสอบคุณภาพ และการประเมินคุณภาพ หลักการมีส่วนร่วม (Participation) การ ปรับปรงุ คณุ ภาพของกระบวนการบรหิ ารได้พัฒนามาอย่างตอ่ เนอ่ื งสม่ำเสมอตลอดเวลา โดยทุกคนใน หน่วยงานมีส่วนร่วมเสนอแนะ ปรับปรุงและพัฒนา หลักการมีส่วนร่วมต้องการให้ทุกคนได้ร่วมกัน ทำงาน ซ่ึงลักษณะของงานวิชาการต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาจดำเนินงานในรูปของ คณะกรรมการวิชาการ ซึ่งจะมีเปา้ หมายการทำงานรว่ มกันนำไปสูก่ ารพฒั นาคุณภาพได้มากขน้ึ การมี สว่ นรว่ มต้องเริ่มจากการร่วมคิดร่วมทำและร่วมประเมินผลเพราะในการบริหารงานวิชาการผู้บริหาร ไม่สามารถทำคนเดียว ได้ต้องอาศัยความรู้ความสามารถของบุคลากร น่ันคือ ผู้บริหารต้องให้ ความสำคัญกับการมีสว่ นรว่ มของบุคลากรทั้งในการร่วมคิด วางแผนการทำงาน ร่วมปฏบิ ตั เิ พ่ือนำไปสู่ การบรรลเุ ปา้ หมายรว่ มกันหลักการ 3 องคป์ ระกอบ (3 –E’s) ไดแ้ ก่
31 1. หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึงการปฏิบัติตามแผนท่ีกำหนดไว้ เป็นไปตาม ขนั้ ตอนและกระบวนการ มีปัญหาและอุปสรรคอย่างไรในขณะดำเนินการก็สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ มปี ระสิทธิภาพเน้นไปที่กระบวนการ (Process) การใช้กลยุทธ์และเทคนิควิธีการต่าง ๆ ทท่ี ำใหบ้ รรลุ วัตถปุ ระสงคม์ ากท่สี ุด 2. หลักประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ได้ผลผลิต (Output) ตามวัตถุประสงค์ท่ี กำหนดไว้ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลกั สูตร มีความรูค้ วามสามารถมที ักษะเพ่ิมขึ้น รวมท้ังการคำนงึ ถึง ประโยชน์ท่ีได้รับอย่างไรก็ตามมกั ใช้คำสองคำนค้ี วบคกู่ ันคือ มีประสิทธิภาพ และประสิทธผิ ล 3. หลักประหยัด (Economy) หมายถึง การใช้เวลาน้อย การลงทุนน้อย การใช้กำลังหรือ แรงงานน้อยโดยไม่ต้องเพ่ิมทรัพยากรทางการบริหารแต่ได้ผลผลิตตามท่ีคาดหวัง ดังนั้นการลงทุน ในทางวิชาการจึงต้องคำนึงถึงความประหยัดเช่นเดียวกัน ผู้บริหารจะใช้กลวิธีอย่างไรในการบริหาร เพ่ือพัฒนาคุณภาพโดยอาศัยความประหยัดบุคลากร งบประมาณ วัสดุและเทคโนโลยี และใช้เวลา นอ้ ยอีกด้วย หลกั การความเป็นวชิ าการ (Academic) หมายถึง ลักษณะท่คี รอบคลมุ เน้อื หา สาระของ วิชาการ ได้แก่ หลักการพัฒนาหลักสูตร หลักการเรียนรู้หลักการสอน หลักการวัดผล ประเมินผล หลักการนิเทศการศกึ ษาและการวิจัย เปน็ ตน้ หลักการต่าง ๆ เหล่าน้ีเป็นองค์ประกอบสำคัญกอ่ ให้เกิด ลักษณะความเป็นวิชาการที่ต้องอาศัยองค์ความรู้เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและสรา้ งสรรค์ดงั นั้น การบริหารงานวิชาการจำเป็นตอ้ งคำนงึ ถึงหลกั การต่าง ๆ เพราะดา้ นการบริหารการศกึ ษามีหลักและ กระบวนการในการดำเนินการจงึ จำเปน็ ตอ้ งสอดคลอ้ งกับหลกั การของศาสตรใ์ นสาขาวชิ า สรุปได้ว่า หลักการบริหารงานวิชาการเป็นหลักการและแนวคิดให้เกิดความคล่องตัวในการ บริหารสถานศึกษา เพ่ือให้การปฏิบัติบรรลุสู่ความสำเร็จในการบริหารงานวิชาการ โดยใช้หลัก คุณภาพ การมีส่วนร่วม ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ประหยัด และ ให้การส่งเสริมสนับสนุนและดูแล เอาใจใส่ด้วยความยตุ ิธรรมและเสมอภาค โดยคำนงึ ถงึ คุณภาพของผเู้ รยี นเป็นเปา้ หมายหลัก 4. ขอบขา่ ยของการบรหิ ารงานวชิ าการ งานวิชาการเป็นงานหลักหรือเป็นภารกิจหลักของสถานศึกษาที่พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 มุ่งให้กระจายอำนาจในการบริหาร จัดการไปให้สถานศึกษาให้มากท่ีสุด ด้วยเจตนารมณ์ท่ีจะให้สถานศึกษาดำเนินการได้โดยอิสระ คลอ่ งตัว รวดเรว็ สอดคล้องกับความตอ้ งการของผู้เรียนสถานศึกษา ชุมชน ท้องถนิ่ และการมีสว่ นร่วม จากผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซ่ึงจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหารและ การจัดการสามารถพัฒนาหลกั สูตรและกระบวนการเรยี นรู้ ตลอดจนการวัดผลประเมนิ ผล รวมทง้ั การ วัดปัจจัยเกื้อหนุนการพัฒนาคณุ ภาพนักเรยี น ชุมชน ทอ้ งถนิ่ ได้อยา่ งมคี ุณภาพและมปี ระสทิ ธภิ าพ กมล ภู่ประเสริฐ (2545) ได้กำหนดขอบข่ายการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา ประถมศึกษาไวด้ ังนี้ 1. การบรหิ ารหลกั สตู ร 2. การบรหิ ารการเรียนการสอน 3. การบริหารการประเมนิ ผลการเรยี น 4. การบรหิ ารการนิเทศภายใน
32 5. การบริหารการพฒั นาบคุ ลากรทางวชิ าการ 6. การบริหารการค้นคว้าอิสระและพัฒนา 7. การบรหิ ารโครงการทางวิชาการอ่นื ๆ 8. การบริหารระบบขอ้ มลู และสารสนเทศทางวิชาการ 9. การบริหารการประเมนิ ผลงานทางวชิ าการของสถานศึกษา กระทรวงศกึ ษาธิการ (2549) ไดก้ ำหนดขอบขา่ ยและภารกจิ งานวิชาการมี 12 ด้าน ดังน้ี 1) การพัฒนาหลกั สูตรของสถานศึกษา 2) การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมินผลและการเทยี บโอนผลการเรียน 4) การวจิ ยั เพื่อพฒั นาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 5) การพัฒนาส่อื นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพ่อื การศึกษา 6) การพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ 7) การนเิ ทศการศึกษา 8) การแนะแนวการศึกษา 9) การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา 10) การส่งเสริมความรดู้ ้านวิชาการแก่ชมุ ชน 11) การประสานความรว่ มมือในการพฒั นาวชิ าการกับสถานศึกษาและองค์กรอนื่ 12) การสง่ เสรมิ และสนับสนุนงานวชิ าการแก่บุคคล ครอบครัว องค์กร หนว่ ยงาน สถาน ประกอบการและสถาบนั อน่ื ท่ีจดั การศกึ ษา จันทรานี สงวนนาม (2553) ได้กำหนดขอบข่ายการบรหิ ารงานวชิ าการไว้ดงั น้ี 1) หลกั สูตรและ การบรหิ ารหลักสูตร 2) การวิจัยในชั้นเรียน 3) การสอนซ่อมเสริม 4) การจัดกิจกรรมเสรมิ หลักสูตร 5) การนิเทศภายในสถานศึกษา 6) การประกันคณุ ภาพการศกึ ษา ธีระ รุญเจรญิ (2550) กลา่ วว่าขอบข่ายภารกิจการบริหารงานวิชาการ ประกอบดว้ ย 1) การพัฒนาหลักสตู ร ของสถานศึกษา 2) การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ 3) การวัดผล ประเมนิ ผลและการดำเนนิ การเทยี บโอนผลการเรยี น 4) การวิจยั เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพการศึกษาในสถานศกึ ษา 5) การพฒั นา และสง่ เสรมิ ให้มแี หลง่ เรยี นรู้ 6) การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษา 7) การสง่ เสริมชุมชนใหม้ คี วามเขม้ แข็งทางวิชาการ 8) การพัฒนาและใชส้ ื่อเทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษา ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553) กล่าวถึง ขอบข่ายงานวิชาการ ประกอบดว้ ย
33 1) การวางแผนงานเกีย่ วกบั งานวชิ าการ 2) การจัดดำเนนิ งาน เกยี่ วกบั การเรยี นการสอน 3) การจัดบรหิ ารเกยี่ วกบั การเรียนการสอน 4) การวดั และประเมินผล สนั ติ บญุ ภริ มย์ (2552) กล่าวถงึ ขอบข่ายของการบริหารงานวชิ าการวา่ ประกอบดว้ ย 1) งานประจำ 2) งานโครงการ 3) งานประกอบ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน (2550) กำหนดขอบข่ายและภารกิจ การ บรหิ ารงานวชิ าการออกเปน็ 17 ด้าน ดังน้ี 1) การพฒั นาหรือการดำเนินการเกี่ยวกบั การให้ความเห็นการพฒั นาสาระหลกั สตู รท้องถ่นิ 2) การวางแผนงานดา้ นวชิ าการ 3) การจัดการเรยี นการสอนในสถานศึกษา 4) การพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษา 5) การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ 6) การวดั ผลประเมนิ ผล และดำเนินการเทยี บโอนผลการเรยี น 7) การวจิ ัยเพือ่ พัฒนาคณุ ภาพ การศกึ ษาในสถานศึกษา 8) การพัฒนาและสง่ เสรมิ ใหม้ แี หลง่ เรยี นรู้ 9) การนเิ ทศการศกึ ษา 10) การแนะแนว 11) การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษา 12) การ สง่ เสริมชุมชนใหม้ ีความเข้มแขง็ ทางวชิ าการ 13) การประสานความร่วมมือในการพัฒนาวชิ าการกบั สถานศกึ ษาและ องคก์ รอื่น 14) การส่งเสริมและสนบั สนนุ งานวชิ าการแกบ่ คุ คล ครอบครวั องคก์ ร หนว่ ยงาน สถาน ประกอบการและสถาบันอ่นื ทีจ่ ดั การศกึ ษา 15) การจดั ทำระเบียบและแนวปฏิบัติ เกย่ี วกบั งานดา้ นวิชาการของสถานศึกษา 16) การคดั เลือกหนังสือ แบบเรียนเพอ่ื ใช้ในสถานศกึ ษา 17) การพฒั นาและใช้ส่อื เทคโนโลยเี พื่อการศึกษา สรปุ ได้ว่า ขอบข่ายงานวิชาการ หมายถงึ กจิ กรรมทุกอย่างในโรงเรยี นที่ก่อให้เกดิ การเรียนรู้ และพฒั นานักเรยี นใหส้ ามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษาทวี่ างไวอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพและ ประสทิ ธผิ ล
34 การบรหิ ารงานงบประมาณ คําว่า “งบประมาณ” ซึงในภาษาอังกฤษใชค้ ําว่า “budget” มาจากภาษาฝร่ังเศส โบราณว่า “bougette” รากศัพท์เดิม หมายถึง กระเป๋า หรือถุงของรัฐบาล ซ่ึงเสนาบดีคลัง (รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลัง) ของกษัตริย์ใช้บรรจุเอกสารต่างๆที่แสดงถึงความต้องการของ ประเทศและ ทรัพยากรท่ีมีอยู่ และในปัจจุบัน คําว่า “งบประมาณ” มีความหมายแตกต่างกันไปตาม เวลา สถานการณ์ และลักษณะ งบประมาณ โดยท่ัวไปจะมองในรูปของตัวเลขเป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลถือว่า งบประมาณเป็นส่วนสําคัญของการดําเนินงานตามเป้าหมายอย่างเห็นได้ชัดกว่า องค์การธุรกิจ ภาคเอกชนอื่นๆ ด้วยความจําเป็นท่ีกล่าวมา งบประมาณจึงเป็นเครื่องมือสําคัญท่ีจะนําองค์การไป เผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆเพื่อให้รดั กุม รวบรัด ทันตอ่ เหตุการณ์ เข้าเป้าหมายที่กาํ หนดไว้ไดเ้ รว็ ยิ่งขึ้น ดงั น้ันนกั วิชาการ ซ่ึงมีมมุ มองตา่ งกันออกไปได้ให้ความหมายของงบประมาณ ดังนี้ 1.ความหมายของการบรหิ ารงานงบประมาณ งบประมาณเป็นการวางแผนการจัดหาและการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างประหยัด แต่เกิด ผลประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งตามปกติกําหนดแผนดังกล่าวออกเป็นตัวเลข เพ่ือให้หน่วยงาน สามารถ ดําเนนิ งานไดผ้ ลสําเรจ็ ตามเปา้ หมาย งบประมาณอาจจะเป็นตัวกําหนดงบการเงินของกิจการไว้ล่วงหน้า เพื่อควบคุมการ ดาํ เนินงาน โดยมีการวางแผนในระยะเวลาใดช่วงใดช่วงหนึ่ง สว่ นใหญ่อาจเป็น 6 เดือน 1 ปี 3 ปี 5 ปี 10 ปี หรอื 15 ปี นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์ (2544) ได้นิยามคําว่า งบประมาณ หมายถึง การวางแผนการ บรหิ ารของรฐั บาลโดยแสดงถึงกจิ กรรมโครงการที่จะจดั ทาํ และหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ มีการประมาณ ค่าใช้จ่ายและที่มาของรายไดเ้ พื่อการใช้จา่ ยน้ันๆตามระยะเวลาท่ีแน่นอนที่เรียกว่า ปีงบประมาณ และ เป็นแผนบริหารทฝี า่ ยบรหิ ารจัดทําข้ึนเพ่ือเสนอขออนุมัตจิ ากรัฐสภา Sherwood (1964 อ้างถึงใน นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์, 2544) ให้ทัศนะว่า งบประมาณ คือ แผนเบ็ดเสร็จ ซ่ึงแสดงออกในรูปของตัวเงิน แสดงโครงการการดําเนนิ งานท้ังหมด ในระยะเวลาหน่ึง แผนนี้จะรวมถึงการกะประมาณ บริการ กิจกรรม โครงการ และการใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากร ท่ีจําเป็นในการสนับสนุนการดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมายตามแผนน้ีซึ่งประกอบด้วยการกระทํา 3 ขนั้ ตอน คือ การจดั เตรียม การอนมุ ัติ และการบริหารงบประมาณ อารีลักษณ์ พงษ์โสภา (2545) กล่าวว่า งบประมาณ หมายถึง แผนท่ีจัดทําขึ้น เพ่ือเป็น เคร่ืองมือทแี่ สดงถึงนโยบายของผู้บรหิ ารในการดําเนินงานและควบคมุ เพื่อให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ Schiavo – Campo และ Tommasi (1999 อ้างถึงใน ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์, 2546) กล่าวถึง งบประมาณว่า รวมถึงรายได้และรายจา่ ยทั้งหมดของรฐั บาล ซึ่งไม่ว่าจะนําไปใช้ในโครงการ อะไรหรอื นํามาจากแหล่งใดก็ตาม อรญั ธรรมโน (2548) ได้ให้ความหมายงบประมาณวา่ หมายถึง แผนการดา้ นรายจา่ ย การหา รายไดโ้ ดยกาํ หนดเป็นแผนประจําปี อเนก เธียรถาวร (อ้างถึงใน พรชัย ลิขิตธรรมโรจน์, 2550) กล่าวว่า งบประมาณหมายถึง แผนการเงินของรัฐบาลท่ีจัดทําข้ึนเพ่ือแสดงรายรับรายจ่ายของโครงการต่างๆ ที่กําหนดว่าจะทําใน
35 ระยะเวลาท่ีกําหนด โดยกําหนดเงินจํานวนเงินค่าใช้จา่ ยของแต่ละโครงการว่า จะต้องใช้จ่ายเงนิ เป็น จาํ นวนเทา่ ใด และจะหาเงินจากทางใดเพ่ือนํามาใชจ้ า่ ยตามโครงการน้ันๆ เบญจมาศ ขจรคาํ และประจวบ เพิ่มสุวรรณ (อ้างถงึ ใน พรชยั ลขิ ติ ธรรมโรจน์, 2550) ไดใ้ ห้ ความหมายของงบประมาณว่า หมายถึง แผนการเงินซ่ึงแสดงวัตถุประสงค์และ จํานวนของรายจ่าย และแหลง่ ท่ีมา และจํานวนของรายรับในระยะเวลาหน่ึง ชาญชัย มุสิกนิศากร (อ้างถึงใน พรชัย ลิขิตธรรมโรจน์, 2550) อธิบายว่า งบประมาณเป็น เอกสารประมาณการรายได้-รายจา่ ย ทมี่ ีระยะเวลากาํ หนดจุดเริ่มตน้ และส้ินสดุ ทแ่ี น่นอนโดยปกติ 1 ปี เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสนีธรรม (อ้างถึงใน พรชัย ลิขิตธรรมโรจน์, 2550) ได้นิยามคําว่า งบประมาณว่า หมายถึง แผนการปฏิบัติงานของรัฐบาล แสดงในรูปตัวเงินท่ีเสนอต่อ รัฐสภาในช่วง ระยะเวลาหนึ่ง สรุปได้ว่า งบประมาณ หมายถึง การกําหนดแผนการใช้จ่ายเงินหรือประมาณการ รายรับ- รายจ่ายล่วงหน้า การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยอู่ ย่างจํากัดใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด ซ่ึงแสดงใน รูปตัวเงินมี ระยะเวลากําหนดที่แน่นอน โดยแสดงกิจกรรมหรือโครงการที่จะปฏิบัติ ซ่ึงแผนนี้จะ รวมถึงการกะ ประมาณ บริการ กิจกรรม/โครงการ และค่าใชจ้ ่าย ตลอดจนทรัพยากรท่ีจําเป็นในการสนับสนุน การ ดาํ เนนิ งานให้บรรลตุ ามแผน 2. ความสําคญั ของงานงบประมาณ จากความหมายของงบประมาณ จะเหน็ ได้วา่ งานงบประมาณเป็นเรอื่ งท่ีสําคัญที่ผบู้ รหิ ารต้อง เอาใจใส่และดูแลเป็นพิเศษ เน่ืองจากงบประมาณเป็นเครื่องมือสําคัญในการสนับสนุน ให้การ ดําเนินงานหรือภารกิจอ่ืนๆในองค์การสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ด้วยดี ซึ่งได้มีผู้กล่าวถึง ความสาํ คญั และประโยชนข์ องงบประมาณไวด้ งั น้ี 1) งบประมาณเป็นเครื่องมือที่ผู้บริหารองค์การ หรือพนักงานเจ้าหนา้ ที่สร้างข้ึนมา โดยการ มองเห็นอนาคตอยา่ งครา่ วๆ โดยอาจจะได้จากการพยากรณ์สิ่งต่างๆควบคู่กันกับภาวะเศรษฐกจิ ตา่ งๆ ไปในตวั 2) เพื่อควบคุมการปฏิบัติงานของตนเอง หรือของหน่วยงานให้เป็นไปตามแผนท่ีกําหนดไว้ ซึ่งทกุ คนมีส่วนร่วมในการปฏิบัตงิ านใหถ้ งึ จดุ ม่งุ หมาย 3) ในแง่ของการบริหารงาน จะเห็นว่าประสทิ ธิภาพของการบริหารงานน้ันจะต้อง ใชค้ วามรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะ หรือความชํานาญพิเศษของแต่ละคนใหเ้ หน็ ประโยชน์ของหนว่ ยงานเป็นท่ีตง้ั 4) เพ่ือใหห้ น่วยงานมีประสทิ ธิภาพในการปฏบิ ตั งิ าน เมื่อพนกั งานเจ้าหน้าท่ีข้าใจลักษณะงาน และปฏิบัติงานต่อเน่ืองกัน มีความชํานาญเฉพาะด้านท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนหาความรู้ เพ่ิมเติมอยู่ ตลอดเวลา ดังน้ันเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตลอดจนผู้บริหารได้เข้าใจในเร่ืองงบประมาณ อย่างดีแล้ว ก็ควรกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ไว้อย่างชัดเจน จะช่วยให้การดําเนินงานสัมฤทธิผลได้เร็ว ย่ิงขนึ้ ณรงค์ สัจพันโรจน์ (2543) และ อารีลักษณ์ พงษ์โสภา (2545) กล่าวสอดคล้องกันว่า งบประมาณมีความสําคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอยู่หลายประการ รัฐบาลสามารถนําเอา งบประมาณแผ่นดินมาใช้ เปน็ เคร่ืองมือในการบรหิ ารประเทศให้เจรญิ กา้ วหน้า และเป็นประโยชน์ต่อ ประชาชน พอสรุปไดด้ ังนี้
36 1) ใช้เป็นเคร่ืองมือในการบรหิ ารประเทศ ให้มีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกันตามแผนงานท่ี วางไว้ เพื่อ ปอ้ งกันการร่ัวไหล และการปฏิบัตงิ านที่ไมจ่ าํ เป็นของหนว่ ยงานลดลง 2) ใช้เป็นเครื่องมือสง่ เสรมิ เร่งรัดการพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ โดยรฐั บาลจะตอ้ งพยายาม ใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผล และไปสู่โครงการท่ีจําเป็นและเป็นโครงการในด้าน การลงทนุ เพื่อกอ่ ให้เกดิ ความกา้ วหน้าทางเศรษฐกิจอย่างแทจ้ ริง 3) ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจํากัดให้มีประสิทธิภาพ และเกิด ประโยชนส์ งู สุด 4) ใชเ้ ป็นเครื่องมือในการกระจายรายไดป้ ระชาชาตทิ ี่เปน็ ธรรม 5) ใช้เป็นเคร่ืองมอื ในการรกั ษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกิจและการเงนิ การคลังของประเทศ 6) ใช้เป็นเครื่องมือเพ่ือประชาสัมพันธ์งาน และผลงานท่ีรัฐบาลดําเนินการให้แก่ผู้ใช้บริการ เขา้ ใจถงึ กระบวนการและความก้าวหน้าของการดาํ เนินงาน รุ่ง แก้วแดง (2546) ได้กล่าวถึงการบริหารงบประมาณและการเงินแบบใหม่ว่า โรงเรียน จะต้องให้ความสําคัญกับการวางแผน กําหนดเป้าหมาย และจัดลําดับความสําคัญของการใช้เงินให้ ชัดเจน กล่าวคือ ต้องให้ความสําคัญกับกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นอันดับแรก และในการ ดําเนินงานก็ต้องแสดงให้เห็นว่า ได้ใช้งบประมาณท่ีสอดคล้องกับแผนเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของ สถานศกึ ษา เสริมศักดิ วิศาลาภรณ์ และจรินทร์ เทศวานิช (อ้างถึงใน เดช ดอนจันทร์ โคตร, 2550) กลา่ วถงึ ความสําคัญของงบประมาณไว้ว่า เปน็ เครื่องมือในการบรหิ ารงาน เพราะเป็นแผนงานการเงิน ท่ีมีการกาํ หนดรายรับและรายจ่ายของงาน/โครงการตา่ งๆไว้ล่วงหนา้ จึงทําให้ ผู้บรหิ ารใช้งบประมาณ เป็นเคร่ืองมือในการควบคุมนโยบายของหน่วยงานในการดําเนนิ งานตามแผนงานและโครงการต่างๆ ของหน่วยงาน เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการปฏิบตั ิงานว่าได้ ดาํ เนินการตามแผนที่ตง้ั ไว้หรอื ไม่ซ่ึง เปน็ การวดั ความสามารถของผ้บู รหิ ารไปพร้อมกันดว้ ย สรุปได้ว่า งบประมาณมีประโยชน์โดยตรงต่อฝ่ายบรหิ าร ไม่วา่ จะเป็นในรูป องคก์ ารทั้งขนาด เล็กและขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นองค์การด้านธุรกิจ หรือองค์การด้านการศึกษาก็ตาม เพราะว่า งบประมาณมีส่วนสําคัญทําให้การทํางานสําเร็จไปสู่วัตถุประสงค์หลักขององค์การ ส่งผลให้การ ปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ กํากับ ติดตาม และประเมินผลการปฏบิ ัติงานด้านอื่นท่ีเกยี่ วข้อง 3.หลกั การบรหิ ารงานงบประมาณ งบประมาณเป็นแหล่งทรัพยากรหลัก เพ่ือการจัดการศึกษาของเขตพ้ืนท่ีการศึกษาและ สถานศึกษา ซึ่งมาจากการจัดเก็บภาษีจากประชาชน จึงมิใช่สมบัติของผู้หนึ่งผู้ใด หรือ หน่วยงานใด โดยเฉพาะ ซ่ึงแต่ละหน่วยงานหรือผู้บรหิ ารแต่ละคน จะต้องมีส่วนรับผดิ ชอบต่องบประมาณท่ีได้รับ จัดสรรทั้งที่เป็นตัวเงินและอื่นๆ ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรของหน่วยงาน ให้เป็นไปอย่าง ประหยัด คุมค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและสังคมซึ่งเป็นเจ้าของงบประมาณ โดยคาํ นึงถงึ หลักบรหิ ารจดั การ ดงั นี้
37 1) หลักการกระจายอํานาจไปยังเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา เพ่ือให้ผู้บริหารมีอิสระ และคล่องตวั ในการตัดสนิ ใจ และบรหิ ารทรพั ยากรของสถานศึกษาเพื่อจดั การศกึ ษาที่สนองตอบความ ต้องการของผู้เรยี น 2) หลักความโปร่งใสและความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ การท่ีผู้บริหารมีอิสระ และความ คล่องตัวในการบริหารจัดการทรัพยากรของสถานศึกษาจะต้องควบคู่กับความรับผิดชอบ ท่ีโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ 3) หลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจํากัด ผู้บริหารเขตพื้นท่ีการศึกษาและสถานศกึ ษาจะต้องพิจารณาตัดสินใจ และเลอื กใช้ ทรัพยากรที่มีอย่าง ประหยัด คุ้มคา่ และบรรลุวัตถุประสงคต์ ามเปา้ หมายและภารกจิ ซ่ึงจะต้อง สามารถวเิ คราะห์ ความ เป็นไปได้ของแผนงาน งาน/โครงการ เพ่ือตัดสินใจเลือกแผนงาน งาน/โครงการ ท่ีเกิดประสิทธิภาพ และประสทิ ธิผลสงู สดุ ภายใตเ้ ปา้ หมายผลผลิตและผลลพั ธท์ ี่ชัดเจน สามารถวัดได้ประเมินได้ กิตติมา ปรีดีดิลก (อ้างถึงใน เดช ดอนจันโคตร, 2550) กล่าวถึงหลัก งบประมาณท่ีดีไว้ 2 ประเด็น คือ 1) เป็นแหลง่ ที่แสดงรายรับรายจา่ ยของรัฐบาลทกุ รายการให้ไดม้ ากที่สุดเท่าท่ีจะทำได้ เพราะ จะชว่ ยให้รฐั บาลสามารถตัดสนิ ใจในการใช้จ่ายเงินได้ถูกต้องตามความสำคัญมากน้อย ก่อน หลัง และ จะชว่ ยใหเ้ กิดการประหยดั ดว้ ยแง่ของการทำงานซ้ำซ้อนกนั 2) งบประมาณจะต้องทําให้เกดิ ความเจรญิ แกป่ ระเทศชาติ จากหลักการบริหารงบประมาณจะเห็นว่า ต้องการให้เกิดการใช้ระบบถ่วงดุล ความ รับผิดชอบ โดยให้ผู้บริหารระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษาระดับสถานศึกษา เป็นผู้ติดตาม ตรวจสอบการ ดําเนินงาน ท้ังน้ีการที่จะบรรลุผลสําเร็จตามหลักการดังกล่าว ระบบและวิธีการ งบประมาณท่ีมี ประสิทธิภาพ โปร่งใสและตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน ถือวา่ เปน็ เงื่อนไขที่สําคญั ท่ีจะชว่ ยให้ กรอบหลักการดงั กลา่ วประสบผลสําเรจ็ ขอ้ ดีของงบประมาณ งบประมาณขององค์การ มีส่วนช่วยให้การดําเนินการสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย หรือ วัตถุประสงค์ท่ีตง้ั ไว้ นบั ว่ามีประโยชนต์ ่อองคก์ ารอย่างมากมาย อาทิเช่น 1) ทําให้ผู้บริหารรู้จักนําเอาการวางแผนมาเป็นเคร่ืองมือกําหนดงานแต่ละชนิด เพ่ือให้ สอดคล้องกบั วตั ถุประสงคท์ ี่กําหนดไว้ 2) งบประมาณจะกําหนดเป้าหมายที่แนน่ อนและเป็นไปได้ 3) มีการประสานงานกันในการปฏิบตั ิงาน ทาํ ให้การปฏิบตั ิงานมีประสิทธภิ าพ 4) งบประมาณเป็นเคร่ืองมือช่วยช้ีว่ากิจกรรมน้ันๆมีความสามารถในระดับใด เมื่อเทียบกับ การทาํ งานปีทีผ่ า่ นมา 5) งบประมาณช่วยให้พนักงานผู้ใต้บังคับบัญชาทราบแนวทางของตนท่ีจะปฏิบัติงาน เกิด ความรู้สึกวา่ เขามสี ว่ นร่วม 6) การใชจ้ า่ ยของคนสว่ นใหญอ่ าจขาดความรู้สึก ท้ังนี้เพราะอาจนกึ วา่ เราพยายามทํางานใหด้ ี ทสี่ ุดอยูแ่ ล้ว หากเรามงี บประมาณมาเปน็ เคร่ืองมือในการบังคบั การจ่ายเงินดงั กลา่ ว จะช่วยให้ผูป้ ฏิบัติ หาเหตผุ ลเพอื่ ปฏิเสธบางกรณไี ด้
38 7) การทํางานบรรลตุ ามงบประมาณที่ใหไ้ ว้ เกิดความรู้สกึ ได้มีส่วนร่วมเป็นผลดี สรุปได้ว่า ข้อดีของงบประมาณ คือ ช่วยให้การดําเนินงานขององค์การหรือ หน่วยงาน ดําเนินการสมั ฤทธผิ ลตามเป้าหมาย หรือวัตถุประสงคท์ ี่วางไว้ ข้อจํากัดของงบประมาณ งบประมาณแม้จะมีประโยชน์และสามารถใช้เป็นเคร่ืองมือในการบริหารองค์กร ให้บรรลุ วัตถุประสงค์ต่างๆ และมีความสําคัญอย่างมากก็จริง แต่งบประมาณก็ยังมีข้อจํากัดอยู่ในตัว ของ งบประมาณซ่ึงข้อจํากัดเหล่าน้ีมิใช่เป็นข้อเสียหายหรือทําให้การงบประมาณด้อยค่าลงไป เพียงแต่ ประเด็นเหล่านี้จะต้องนํามาพิจารณาในการใช้งบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณ อย่างเป็น ประโยชนส์ งู สดุ และมปี ระสทิ ธิภาพอย่างแท้จรงิ อนิ สอน บวั เขยี ว (2537) กลา่ วถงึ ข้อจาํ กัดงบประมาณ ดังน้ี 1) หากผู้ปฏิบัติงานไม่เข้าใจเร่ืองงบประมาณอย่างดีแล้ว อาจมีความคิดเห็นว่า ผู้บริหาร ตอ้ งการความสําเร็จเป็นที่ตง้ั การวางแผนงานตา่ งๆผบู้ รหิ ารเป็นผู้กาํ หนด เมอ่ื เป็นเชน่ น้ี พนกั งานส่วน ใหญ่จะเกิดขวัญเสยี ไมป่ ฏิบัตติ าม 2) หากการแบ่งหน่วยงานไม่เป็นระเบียบ ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ดีแล้ว การใช้งบประมาณมาเป็น เคร่ืองมือเพียงอย่างเดียว อาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะหน่วยงานแต่ละหน่วย อาจให้ผลตอบแทน ทางดา้ นรายไดไ้ มท่ ัดเทียมกนั 3) การได้รับงบประมาณไม่เท่ากัน อาจเป็นสาเหตุที่ทําให้หัวหน้าหน่วยงานมีข้อคิดเห็นไม่ เป็นไปในรปู เดียวกัน ซึ่งอาจเกดิ เป็นขอ้ พิพาทได้ในอนาคต 4) งบประมาณบางคร้ังนํามาวัดค่าของการทํางานของผู้ปฏิบัติ เพ่ือพิจารณาความดี ความชอบ ซึ่งอาจทาํ ให้เกดิ ความไมย่ ุติธรรมขึ้นได้ 5) บางหน่วยงานการใช้จ่ายมีวงเงินจํากัด แตเ่ ม่ือเห็นวา่ งบประมาณยังเหลืออยู่ก็ พยายามใช้ ใหม้ ากที่สุด เผื่อวา่ ปีหน้า หากของบประมาณมาแล้วอาจถกู ตัดได้ เพราะเม่ือมีแล้วไมใ่ ช้ เกดิ ผลเสยี ต่อ กิจการในท่ีสุด ณรงค์ สจั พันโรจน์ (2543) กลา่ วถงึ ข้อกําหนดและข้อจาํ กัดของงบประมาณโดยแบ่งได้ ดังน้ี 1) ดา้ นการบริหาร 1.1) ผู้บริหาร บทบาทของผู้บริหารต้องตระหนักและเห็นความสําคัญของงบประมาณ ว่าเป็นเคร่ืองมือสําคัญท่ีใช้ในการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูง ต้องจัดองค์การและวาง แผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับงบประมาณท่ีมีอยู่ และใหม้ กี ารประสานงาน ในระหว่างหน่วยงาน ในองค์การ โดยเฉพาะหน่วยงานท่ีเป็นหน่วยข้อมูลกลางในการบริหาร งบประมาณขององค์การ จะต้องจัดหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานงบประมาณให้เป็นงานที่ต่อเนื่อง และมขี ้อมูลในด้านต่างๆไว้ พร้อม จะต้องจัดเคร่ืองมืออุปกรณ์ ท่ีจําเป็นในการบริหารงาน งบประมาณไว้ครบถ้วน เพื่อให้ งบประมาณเป็นไปด้วยความรวดเร็ว 1.2) ดา้ นองค์กร ต้องมบี ทบาทในการจัดระบบงานและองค์กรให้มีสายบังคับบัญชาในองคก์ ร ให้แน่นอน จัดให้มีการประสานงานกันในหน่วยงาน ในการบริหารงบประมาณ โดยเฉพาะงาน งบประมาณและงานบัญชี และจดั ให้มีองค์กรกลางเป็นศูนย์รวมขอ้ มูลงบประมาณ ขององค์กรเพื่อใช้
39 ประโยชน์ในการวางแผนการบริหารงบประมาณ การงานอ่ืนๆท่ีเกย่ี วขอ้ งให้สอดคลอ้ งกนั ในดา้ นข้อมูล ทใี่ ช้ 1.3) เจ้าหน้าท่ีต้องปฏิบัติดังนี้ คือ ต้องรู้จักและเข้าใจบทบาทอํานาจหน้าที่ของตนเองเป็น อย่างดี และ เป็นคนมีเหตุผล ต้องมีประสบการณ์และความรอบคอบกว้างขวางในด้านต่างๆ อาทิ ด้านนโยบาย ด้านแผนงาน ด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ ต้องรู้จักปฏิบัติตัวกับหน่วยงานและส่วนราชการท่ี เก่ียวข้องให้มีบรรยากาศในการบริหารงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สงู สดุ เป็นประโยชนต์ ่อประเทศชาติและสว่ นรวม 2) ด้านนิติบัญญัติ กระบวนการงบประมาณ ต้องผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว จึงประกาศกฎหมายหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ ฉะนั้นฝ่ายนิติบัญญัติจึงมี ความสําคัญต่อกระบวนการงบประมาณอย่างมาก หากฝ่ายนิติบญั ญัติเป็นบุคคลท่ีมคี วามรอบรู้ ย่อม สามารถควบคุมเงินงบประมาณให้ใช้จ่ายไปอย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพ ตรงกันข้ามหากฝ่ายนิติ บัญญัติไม่มีความรอบรู้ รอบด้านแล้ว งบประมาณย่อมจะต้องถูกกําหนดและจํากัดไปสู่จุดที่ไม่ถึงไม่ ปรารถนา และเป็นผลดตี อ่ ประเทศชาตแิ ละส่วนรวมในท่ีสุด 3) ด้านเศรษฐกิจ งบประมาณย่อมถูกกําหนดและจํากัดโดยสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะนั้นเป็น สําคัญเพราะเงินรายรับท่ีจะนํามาใช้จ่ายเป็นงบประมาณรายจ่ายนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับ รายไดป้ ระชาชาติหรือภาวะเศรษฐกจิ ดีหรอื เลว ภาวะประเทศชาตริ ่ารวยหรือยากจนเป็นสาํ คญั 4) ด้านสังคม ลักษณะของสังคมจะเป็นตัวกําหนดและจํากัดงบประมาณอีก เช่นกัน อาทิ อัตราการว่างงาน อัตราการอ่านออกเขียนได้ อัตราโจรผู้ร้าย ฯลฯ ย่อมเป็นตัวกําหนดให้รัฐบาล ตระหนักว่า ควรจะใชง้ บประมาณเพื่อการนี้เป็นจาํ นวนเท่าไร เพ่ือให้สอดคลอ้ งกบั ความต้องการของ สงั คมดา้ นตา่ งๆ 5) ด้านอื่นๆ เช่น ข้อกําหนดและข้อจํากัดทางการศาสนา การต่างประเทศ การเมือง กฎหมายและประวัตศิ าสตร์ สรุปได้ว่า งบประมาณเป็นแผนงานแสดงถึงความต้องการใช้จ่ายเงินและทรัพยากร ในการ ดําเนินกิจกรรม/โครงการต่างๆในอนาคตขององค์การหรือหน่วยงานท้ังภาครัฐและเอกชน ซ่ึง งบประมาณเป็นการกะประมาณการรายรบั และรายจ่ายท่ีจะไดม้ าและจ่ายไปในอนาคต ขอบข่ายและ ภารกจิ การบรหิ ารงบประมาณของโรงเรียน 4.ขอบข่ายของการบริหารงานงบประมาณ การบริหารงบประมาณของโรงเรียน เป็นการดาํ เนินการเพ่ือให้ได้มาซ่ึงเงนิ เพ่ือนํามาใชจ้ ่าย ในการศึกษาของโรงเรียน การจัดการเกี่ยวกับการใช้จ่ายตลอดจน การควบคุมการดําเนินงานด้าน การเงินให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานท่ีตง้ั ไวใ้ นการบรหิ ารงบประมาณของโรงเรียนนั้น อาจมีสิ่งที่เป็น อุปสรรคเข้ามาเกี่ยวข้องได้ เช่น อิทธิพลของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และสังคม นโยบายของ การเมืองและรัฐบาล เป็นต้น กระบวนการบริหารงบประมาณของโรงเรียน ถ้าเป็นโรงเรียนของรัฐก็ ตอ้ งปฏิบัติให้เป็นไปตามหลกั เกณฑ์ วิธีการ และกําหนดระยะเวลาของ ปี งบประมาณตามที่กําหนด แต่โรงเรียนเอกชนอาจกําหนดรายละเอียดการบริหารงบประมาณให้ แตกต่างไปได้ตามความ เหมาะสม ระเบียบ วธิ ีการในการปฏิบัตบิ างอย่างอาจนําแบบอย่างของทางราชการมาใชไ้ ด้ ถ้าเหน็ ว่า จะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์มากท่ีสดุ ในการใชจ้ ่ายเงินให้เปน็ ไปตามโครงการท่ีตั้งไว้
40 งานงบประมาณเป็นงานที่ช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของสถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมายท่ี วางไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถใช้เป็นเครื่องมือควบคุมการดําเนินงานได้อีก ด้วย การ บริหารงานมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และมุ่งเน้นผลงานให้มีการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินของ สถานศึกษา รวมทั้งจัดหารายได้จากการบริการมาใช้บริหารจัดการเพ่ือเป็นประโยชน์ของการศึกษา ส่งผลให้เกดิ คุณภาพที่ดีข้ึนต่อผู้เรียน ซ่ึงไดม้ ีนักวชิ าการและนักการศึกษาให้ความหมายของขอบข่าย งานไว้ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2546) กล่าวถึงการบริหารงบประมาณว่า การบริหารงบประมาณ ของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระ ในการบริหารจัดการมีความคล่องตัว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ยึดหลักการบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ และการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ได้กําหนด ขอบข่ายภารกิจของการบรหิ ารงบประมาณ ไว้ดังนี้ 1) การจัดทําและเสนอของบประมาณ 2) การจัดสรรงบประมาณ 3) การตรวจสอ ตดิ ตาม ประเมนิ ผล และรายงานผลการใช้เงิน และผลการดําเนนิ งาน 4) การระดมทรัพยากร และการลงทุนเพื่อการศกึ ษา 5) การบรหิ ารการเงิน 6) การบรหิ ารบญั ชี 7) การบรหิ ารพัสดุและสนิ ทรัพย์ สํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน (2549) ไดก้ าํ หนดการกระจายอาํ นาจภารกิจ ของงานงบประมาณโรงเรียน ดงั ตอ่ ไปนี้ 1) การจดั ทําแผนงบประมาณ 2) การจัดทําแผนปฏิบัติการประจาํ ปงี บประมาณ 3) การอนมุ ัติการใช้จ่ายงบประมาณ 4) การโอนและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 5) การรายงานผลการเบกิ จ่ายงบประมาณ 6) การตรวจสอบ ติดตามและรายงานการใชง้ บประมาณ 7) การตรวจสอบติดตามและรายงานผลการดาํ เนินงาน 8) การระดมทรพั ยากรและการลงทนุ เพ่ือการศกึ ษา 9) งานกองทุนกูย้ ืมเพื่อการศกึ ษา 10) การบริหารจดั การทรัพยากรเพ่ือการศึกษา 11) การเบิกเงนิ จากคลงั 12) การรับเงิน การเกบ็ รกั ษาเงนิ และการจา่ ยเงิน 13) การนาํ เงนิ สง่ คลัง 14) การจดั ทําบญั ชกี ารเงิน 15) การจัดทํารายการทางการเงนิ และงบการเงนิ 16) การจัดทําและจดั หาแบบบัญชี ทะเบยี น และรายงาน 17) การวางแผนพัสดุ
41 18) การกําหนดรูปแบบรายงานหรอื คุณลักษณะเฉพาะของครภุ ณั ฑ์ หรือ สิ่งก่อสร้าง 19) การพัฒนาระบบขอ้ มลู และสารสนเทศเพ่ือการจดั ทาํ และจัดหาพัสดุ 20) การจดั หาพัสดุ 21) การควบคุมดูแลบํารุงรกั ษาและจําหนา่ ยพสั ดุ 22) การจดั หาผลประโยชน์จากทรพั ยส์ ิน กิติมา ปรีดีดิลก (อ้างถึงใน เดช ดอนจันทร์โคตร, 2550) กล่าวถึงขอบข่ายการ บริหาร งบประมาณของโรงเรยี น ไวด้ งั น้ี 1) การวางแผนการเงินในโรงเรียน การคาดการณ์ ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเงิน โรงเรียน ซ่ึงผูบ้ รหิ ารจะตอ้ งพิจารณาถงึ ผลกระทบที่มตี ่อการไดม้ าหรือการจ่ายไปซึ่งเงินของโรงเรียน เช่น ฐานะ ทางเศรษฐกิจของประเทศ รายได้ของประชาชนในทอ้ งถิ่น เป็นต้น 2) การจัดการเก่ียวกับทรัพย์สินของโรงเรียนโดยส่วนรวม เช่น ที่ดิน และ ส่ิงก่อสร้าง วัสดุ ครภุ ัณฑ์ต่างๆของโรงเรียน เป็นตน้ 3) การควบคุมการดําเนินการทางด้านการเงิน เพ่ือให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และกฎเกณฑ์ท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงประกอบด้วยระบบบัญชีและวิธีการต่างๆในการตรวจสอบเงินและ สนิ ทรพั ย์ของโรงเรียน 4) การจัดการเก่ียวกับการรับและจ่ายเงินของโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ หลักการเศรษฐศาสตร์ หลักการทางบรหิ ารรวมท้ังหลกั การคลังทั่วไป สรุปได้ว่า การบริหารงบประมาณ หมายถึงการปฏิบัติงานเก่ียวกับการจัดต้ังงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ การบริหารการเงินและบัญชี การจัดซื้อจัดจ้างและการพัสดุ การตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณ การระดมทรัพยากรและการลงทุนทาง การศึกษา การบริหารงานบุคคล ความหมายของการบรหิ ารงานบคุ คล องค์กรทุกองค์กรไม่ว่าจะเป็นทั้งภาครัฐหรือเอกชน ย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการบรรลุ เป้าหมายขององค์กร การบริหารจัดการทรัพยากรจึงเป็นสิ่งท่ีมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะการ บรหิ ารบคุ คล จึงมนี กั วชิ าการไดศ้ กึ ษาการบรหิ ารงานบุคคล และให้ความหมายไว้หลากหลาย ดงั น้ี กิตติคณุ เกลย้ี งเกลา (2554) ได้กล่าววา่ การบริหารงานบุคคล หมายถึง กระบวนการบริหาร ที่ผู้บริหารจะตอ้ งใช้ทัง้ ศาสตรแ์ ละศิลป์ในการบริหารจัดการ เพื่อให้การดำเนินงานที่เก่ยี วข้องกบั การ บริหารงานบุคคล ต้ังแต่เริ่มเข้าสู่หน่วยงานหรือองค์การจนถึงการได้ปฏิบัติงานอยู่ในหน่วยงานหรือ องค์การ เพ่ือไดบ้ ุคคลมาปฏบิ ัติงานตรงตามความต้องการ มีการพัฒนาส่งเสรมิ บุคคล การธำรงรกั ษา บุคคล เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคคลในหน่วยงานหรือองค์การให้อยู่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสทิ ธิผล พิชิต สุดโต (2555) ได้กล่าวว่า การบริหารงานบุคคล หมายถึง กระบวนการต่าง ๆ ในการ ดำเนินงานที่เก่ียวข้องกับบุคคลนับต้ังแต่การกำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคล การวางแผน กำลังคน การสรรหาและเลือกสรร การธำรงรักษาบุคลากร การพัฒนาให้บุคลากรกา้ วหน้าทันสมัยอยู่ เสมอ การควบคมุ การประเมินผลการปฏิบตั ิงานและการให้พน้ จากงานโดยวิธีต่าง ๆ ต้ังแต่โอน ย้าย
42 ให้ออก ไล่ออก ปลดออก และเกษียณอายุเป็นต้น เพื่อให้ได้คนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคงอยู่กับ องค์การตราบนานเท่านาน สทุ นิ พรหมเพ็ชร (2556) ได้กล่าวว่า การบริหารงานบุคคล หมายถึง การดำเนนิ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการจูงใจ การพัฒนา การกระตุ้น และการคงไว้ซ่ึงผลสำเร็จในระดับสูงของแรงงาน ทั้งหมดในองค์กรรวมถึงการขับเคลอื่ นใหเ้ กิดความก้าวหน้าในการดำเนินงานและการพัฒนาบุคคล ฟรั ฮาม เจะ๊ แม (2556) ได้กล่าวว่า การบริหารงานบุคคล หมายถึง การบริหารทรัพยากรเพื่อ ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน โดยมีเป้าหมายของการบริหารงานบุคคล คือการได้มาซึ่งมีความรู้ ความสามารถเหมาะตามความต้องการของหน่วยงาน หลักการท่ัวไปของการบริหารงานบุคคล คอื การ กระทำใด ๆ ของฝ่ายบรหิ ารท่ีจะทำใหบ้ ุคคลสองฝ่ายในหน่วยงาน คือฝา่ ยบริหาร และฝ่ายปฏบิ ัติ เกิด ความเข้าใจในหน้าที่ บทบาท และความสัมพันธข์ องงานจนมีแนวคิดท่ีจะช่วยเหลือเกือ้ กูลกัน โดยยึด ความเจริญก้าวหน้าของหน่วยงานเป็นหลัก เป้าหมายของการบริหารงานบุคคล คือ การดำเนินงาน ขององค์กรบรรลุเป้าหมาย ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสบ ความสำเร็จในการทำงาน และพัฒนาวิชาชีพของบุคลากร ศิริพล ทัศศรี (2558) ได้กลา่ วว่า การบริหารงานบุคคล หมายถึง กระบวนการที่เก่ียวกับการ วางแผนนโยบาย การวางแผนโครงการ ระเบียบและวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับตัวบุคคล หรือ เจ้าหน้าท่ีที่ปฏิบัติงานในองค์กรใดองค์กรหน่ึงเพื่อให้ได้มา เพื่อใช้ประโยชน์ และบำรุงรักษาไว้ ซึ่ง ทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีประสิทธิภาพ และมีปริมาณเพียงพอ เพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุผลสำเร็จตาม วตั ถุประสงค์ จากความหมายของการบริหารงานบุคคลท่ีได้กล่าวมาแล้ว สามารถสรุปได้ว่า การบริหาร ทรพั ยากรให้เหมาะสมกับงานโดยเร่ิมตั้งแต่การวางแผนกำลังคน การสรรหาและเลือกสรร การธำรง รักษาบุคลากร การพัฒนาให้บุคลากรก้าวหน้าทันสมัยอยู่เสมอ การควบคุม การประเมินผลการ ปฏิบัติงานและการให้พ้นจากงานโดยวิธีต่าง ๆ ตั้งแต่โอน ย้าย ให้ออก ไล่ออก ปลดออก และ เกษยี ณอายุ ซง่ึ ทรพั ยากรทมี่ ีประสทิ ธภิ าพจะสามารถปฏบิ ัติงานบรรลผุ ลสำเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ ความสำคญั ของการบริหารงานบุคคล จากการศึกษาความสำคัญของการบริหารงานบุคคล มีนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวถึง ความสำคญั ของการบริหารงานบุคคลไว้ดังน้ี กัญญามน อินหว่าง และขวัญหทัย ยิ้มละมัย (2556) ได้กล่าวว่า ในการบริหารองค์การ มนุษย์นับเป็นทรัพยากรสำคัญท่ีจำเป็นและต้องใช้ทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากในหลากหลายหน้าที่ เพราะทรพั ยากรมนุษย์จะเป็นผู้สร้างสรรค์งานบริการซึ่งการท่ีจะได้มาซึ่งทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ การพัฒนาและการรกั ษาทรัพยากรมนุษยใ์ หท้ ำงานใหก้ บั องคก์ ารอย่างมปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผล ตลอดจนการออกจากองค์การไปด้วยดีนั้นล้วนต้องอาศัยการจัดการทรัพยากรมนุษย์ท่ีดี ดังน้ันการ จัดการทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญกับการบริหารองคก์ าร ชาญไชย พิมพ์คำ (2558) ได้กล่าวว่า ความสำคัญของการบริหารงานบุคคลสรุปได้เป็น 3 ประการ คือ ช่วยให้องค์การหรือหน่วยงานได้บุคคลท่ีมคี วามรู้ความสามารถเหมาะกับงาน ช่วยทำให้ องค์การหรือหน่วยงานใชบ้ ุคคลให้ปฏบิ ัติงานตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสทิ ธิภาพ และช่วยประสาน ความต้องการสว่ นบคุ คล ความต้องการขององคก์ าร และความตอ้ งการของสังคมเข้าดว้ ยกนั
43 มูนิเราะห์ เจ๊ะเมิง (2559) ได้กล่าวว่า การบริหารงานบคุ คลในสถานศึกษามีความสำคัญมาก เพราะทรพั ยากรบุคคลเป็นปัจจัยทส่ี ่งผลตอ่ ความสำเร็จขององคก์ าร ผบู้ รหิ ารจำเป็นต้องมีความรู้ดา้ น พฤติกรรมศาสตร์ รู้หลักในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะช่วยให้บุคคลในองค์การมีขวัญและ กำลังใจในการปฏิบัติงาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การ ซ่ึงจะช่วยพัฒนาให้องค์การเจริญก้าวหน้า และสง่ ผลต่อการพฒั นาคุณภาพ สุเทพ เท่งประกิจ (2557) ได้กล่าวว่า ความสำคัญของการบริหารงานบุคคลน้ัน เป็นการ เตรียมความพร้อมให้กับบุคคลในทุกๆ ด้านต่อการเปล่ียนแปลง ทั้งทางด้านเทคโนโลยี การแขง่ ขันใน สังคม ความซับซ้อนขององค์การ และที่สำคัญ ผลกระทบในด้านต่างๆ ท่ีมีความเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในการทำงาน ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อันจะเป็น ปจั จัยท่ีจะก่อใหเ้ กิดความภกั ดีตอ่ องค์การ และทำใหเ้ กิดการบรหิ ารงานบุคคลไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ โสภณ เกียรตินพคุณ (2555) ได้กล่าวว่า การบริหารงานบุคคลมีความสำคัญต่อองค์การ 10 ประการ ได้แก่ 1. ส่งผลให้องค์การประสบความสำเร็จหรอื เสอ่ื มลง 2. ทำให้เกิดความสามัคคีในการปฏิบัตงิ าน 3. ช่วยปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาในองคก์ รเปน็ การสรา้ งเสริมและพฒั นาองคก์ ร 4. เป็นการวางแผนกำลังคน สามารถกำหนดบทบาทหน้าที่ของบคุ คลได้ชัดเจน 5. ช่วยพฒั นาบุคลากรใหม้ คี วามรู้ความสามารถและความชำนาญ 6. ช่วยควบคุม ตดิ ตาม ประเมินผล นิเทศไดอ้ ย่างเปน็ ระบบ 7. เป็นการกำหนดนโยบายในการสรรหาบุคลากรตามความเหมาะสม 8. จัดทำประวตั ิการทำงาน 9. มีการบำรงุ รักษาบุคลากรด้วยส่งิ ตอบแทนตา่ ง ๆ ที่จะทำใหร้ กั ษาบคุ ลากรไวไ้ ด้ 10. มกี ารสร้างวินยั การรักษาวนิ ยั ของบุคลากร รวมถึงการให้พน้ จากงาน จากความสำคัญของการบริหารงานบุคคลท่ีได้กล่าวมาแล้ว สามารถสรุปได้ว่า ความสำคัญ ของการบริหารงานบุคคลเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้องค์กรประสบความสำเร็จ เน่ืองจากมนุษย์มี ความสำคัญต่อการดำเนินการทุกข้ันตอน การบริหารงานบุคคลที่ดีจะส่งผลให้องค์กรมีบุคลากรที่มี คุณภาพสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ส่งผลให้องค์การประสบ ความสำเร็จและชว่ ยพัฒนาให้องค์การเจรญิ ก้าวหนา้ ขอบขา่ ยภารกจิ ของการบรหิ ารงานบคุ คล การบริหารงานบุคคล มีขอบข่ายภารกิจอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักวิชาการหลายท่าน ได้กำหนด ขอบขา่ ยการบรหิ ารงานบุคคลไว้แตกต่างกนั ดงั นี้ นาวาวี ยามา (2554) ได้สรุปไว้ว่า กลุ่มงานการบริหารงานบุคคล มีขอบข่าย/ภารกิจดังนี้ การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง การเสริมสร้าง ประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั ิราชการ วนิ ัยและการรกั ษาวินยั และการออกจากราชการ
44 กนกวรรณ แชม่ ช้อย (2555) ไดส้ รุปไว้วา่ งานการบริหารบุคคลประกอบไปด้วยภารกิจงาน ดังน้ี 1) การสรรหา/เลือกสรร และการปรับสถานภาพ 2) การคัดเลือกหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 3) การกำหนดค่าตอบแทน สทิ ธิ สวสั ดกิ าร 4) การประเมินผลการปฏบิ ัตงิ าน 5) การพัฒนาบคุ ลากร สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2556) ได้สรุปไว้ว่า ขอบข่าย ภารกิจการ ดำเนินการด้านบริหารงานบุคคลของสถานศึกษาตามระบบการพัฒนาการบริหารรูปแบบนิติบุคคล มีรายละเอียดดังน้ี 1) การวางแผนอัตรากำลัง 2) การจัดสรรอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา 3) การสรรหาและบรรจแุ ต่งต้ัง 4) การเปลี่ยนตำแหน่งให้สูงขึ้น การย้ายข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา 5) การดำเนนิ การเก่ียวกบั การเลอ่ื นข้ันเงินเดือน 6) การลาทกุ ประเภท 7) การประเมินผลการปฏิบัติงาน 8) การดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ 9) การสั่งพักราชการและ การส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน 10) การรายงานการดำเนินการทางวินัยและการลงโทษ 11) การ อุทธรณ์และการร้องทุกข์ 12) การออกจากราชการ 13) การจัดระบบและการจัดทำทะเบียนประวัติ 14) การจัดทำบัญชีรายชอื่ และให้ความเห็นเกย่ี วกับการเสนอขอพระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ 15) การส่งเสรมิ การประเมนิ วิทยฐานะขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 16) การส่งเสรมิ และ ยกย่องเชิดชูเกียรติ 17) การส่งเสรมิ มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ 18) การส่งเสรมิ วินัย คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 19) การริเร่ิมส่งเสริมการ ขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา 20) การพัฒนาข้าราชการครูและ บคุ ลากรทางการศกึ ษา การดำเนินการท่ีเกีย่ วกับการบรหิ าร งานบคุ คลให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วย การน้ัน 21) การพฒั นาการบริหารรูปแบบนติ ิบคุ คลด้านการบรหิ ารงานบคุ คล รณกฤต รินทะชัย (2557) ได้สรุปไว้ว่า การบริหารงานบุคคล เป็นงานสนับสนุนงานหลัก คอื งานวิชาการและการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาเป็นภารกิจสำคัญที่มุ่งสง่ เสริมให้สถานศึกษา สามารถปฏิบัติงานเพื่อตอบสนองภารกิจสถานศึกษา การบริหางานบุคคลจึงต้องให้มีความคล่องตัว อิสระภายใต้กฎหมาย ระเบยี บเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลข้าราชการครแู ละบุคคลกรทางการศึกษา ได้รับการพัฒนา มีความรู้ ความสามารถ มีขวัญกำลังใจ ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติมีความม่ันคง และก้าวหน้าในวิชาชีพ ซงึ่ ส่งผลต่อการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาของผ้เู รยี นเป็นสำคัญ ภฌลดา ปรางควิรยา (2562) ได้สรุปไว้ว่า การบริหารงานบุคคล ต้องมีการจัดทำแผนงาน/ โครงการ/แผนปฏิบัติการประจำปี สำรวจความต้องการในการพัฒนาครูและบุคลากรในโรงเรียน จัดทำแผนพัฒนาตนเองของครูและบุคลากรในโรงเรียน ส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูและบุคลากร ได้รับการพัฒนาจัดทำแฟ้มบุคลากรในโรงเรียน และติดตาม ประเมินผล สรุปรายงานผลการ ปฏิบตั งิ านเสนอผ้อู ำนวยการ จากขอบข่ายภารกิจของการบริหารงานบุคคลที่ได้กล่าวมาแล้ว สามารถสรุปได้ว่า ภารกิจ ของงานบรหิ ารงานบคุ คล เป็นงานสนับสนนุ หลักของงานต่าง ๆ เพอ่ื ใหส้ ถานศึกษาไดด้ ำเนินงานและ สามารถปฏิบัติงานเพื่อตอบสนองภารกิจสถานศึกษา การพัฒนาครูและบุคลากรในโรงเรียน จัดทำ แผนพัฒนาตนเองของครูและบุคลากรในโรงเรียน โดยมีงานหลักที่ดำเนินงาน ได้แก่ การวางแผน อตั รากำลังและการกำหนดตำแหน่ง การสรรหาและบรรจุแต่งต้ัง การเสรมิ สร้างประสทิ ธิภาพในการ ปฏิบัติราชการ วินัยและการรักษาวนิ ัยและการออกจากราชการ รวมไปถึงการสร้างขวัญกำลังในการ ทำงานให้กับขา้ ราชการครแู ละบุคคลการทางการศกึ ษาเพ่อื ใหส้ ง่ ผลตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา
45 งานบริหารทวั่ ไป งานบริหารทั่วไป เป็นภารกิจหน่ึงของโรงเรียนในการสนับสนุนส่งเสริมการปฏิบัติงานของ โรงเรียนให้บรรลุตามนโยบาย และมาตรฐานการศึกษาที่โรงเรียนกําหนดให้มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล เช่น การดําเนินงานธุรการ การประชาสัมพันธ์ งานประสานราชการ การจัดระบบ การบริหารและพัฒนาองค์กร งานเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดทําสํามะโนนักเรียน การรับนักเรียน การจัดระบบการควบคมุ ภายในหน่วยงาน การดูแลสถานท่ีและสภาพแวดล้อม งานบริการสาธารณะ งานเลขานุการคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน การประสานและพัฒนาเครือข่ายการศึกษา การส่งเสริมสนับสนุนด้านวิชาการ งบประมาณ และบุคลากร การระดมทรัพยากรเพ่ือการศึกษา งานส่งเสริมงานกิจการนักเรียน การส่งเสริมสนับสนุนและประสานงาน งานการศึกษาของบุคคล ชมุ ชน องค์กร หน่วยงานสถาบันสังคมอ่ืนทจี่ ัดการศึกษา ซ่ึงผู้รบั ผิดชอบงานควรรู้แนวปฏิบัติราชการ ด้านการบรหิ ารงานท่วั ไป มีภาระหน้าที่ 22 อยา่ งดว้ ยกนั คือ 1..การพฒั นาระบบและเครอื ขา่ ยข้อมูลสารสนเทศ บทบาทและหนา้ ท่ี 1.1. สำรวจระบบและจัดทำทะเบียนการเช่ือมโยงข้อมูลสารสนเทศกับหน่วยงานหรือ องค์กรทเี่ กยี่ วขอ้ ง และเป็นประโยชน์ต่อภารกิจการจดั การศึกษาของสถานศึกษา 1.2. ออกแบบและจัดทำระบบฐานข้อมูลของสถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูลนักเรียน ข้อมูล บุคลากร ข้อมูลส่ือการเรียนการสอน ข้อมูลครุภัณฑ์ อาคารสถานท่ี ข้อมูลชุมชน ฯลฯ เพื่อใช้ในการ บริหารจัดการภายในสถานศึกษา ให้สอดคล้องกับระบบฐานข้อมูลของสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา และสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 1.3. พัฒนาบุคลากรผู้รับผิดชอบระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ ให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการปฏิบัติภารกิจ และส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรในสถานศึกษาใช้ ระบบขอ้ มูลสารสนเทศ 1.4. จัดระบบเครือข่ายข้อมูลสารสนเทศ เช่ือมโยงกับสถานศึกษาอ่ืน สำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษา และสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 1.5. นำเสนอและเผยแพรข่ ้อมูลสารสนเทศ เพื่อการบรหิ ารบริการและการประชาสัมพันธ์ 1.6. ทำการประเมินและประสานงานระบบเครอื ข่ายข้อมูลสารสนเทศ และปรบั ปรงุ พัฒนา เป็นระยะ ๆ 2. การประสานงานและพัฒนาเครอื ข่ายการศึกษา บทบาทและหนา้ ท่ี 2.1. กำหนดรูปแบบเครือข่ายและวตั ถุประสงค์ในการประสาน ให้สอดคล้องและเหมาะสม กบั ภารกิจงานจัดการศึกษา 2.2. จัดทำแผนประสานงานและพฒั นาเครือขา่ ย 2.3. ประสานงานกับหน่วยงานและสถาบันที่เก่ียวข้อง เพื่อจัดทำข้อตกลงและการพัฒนา เครือขา่ ยรว่ มกนั 2.4. กำหนดบุคลากรผูร้ บั ผิดชอบการประสานงานตามภารกจิ อยา่ งชัดเจน และเหมาะสม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283