Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Sudmon KW FINAL 10-08-60

Sudmon KW FINAL 10-08-60

Published by maeaeuy.poonsanga, 2021-01-30 08:22:32

Description: Sudmon KW FINAL 10-08-60

Search

Read the Text Version

ธมั มจักกปั ปวตั ตนสตุ ตปาฐะ หันทะ มะยงั ธมั มะจักกัปปะวตั ตะนะสุตตะปาฐงั ภะณามะ เส ทเฺ วเม ภิกขะเว อนั ตา ดูก่อนภกิ ษุทัง้ หลาย ท่สี ดุ แห่งการกระท�ำสองอย่างเหลา่ น้ี มอี ยู่ ปพั พะชเิ ตนะ นะ เสวิตัพพา เปน็ สิง่ ทบ่ี รรพชิตไม่ควรข้องแวะเลย โย จายงั กาเมสุ กามะสขุ ลั ลกิ านุโยโค นค้ี อื การประกอบตนพวั พันอย่ดู ว้ ยความใครใ่ นกาม ท้ังหลาย หโี น๑ เป็นของตำ�่ ทราม คัมโม เป็นของชาวบา้ น โปถุชชะนิโก เปน็ ของคนชัน้ ปถุ ชุ น อะนะรโิ ย ไม่ใช่ข้อปฏบิ ตั ิของพระอรยิ เจ้า ๑ อา่ นว่า ฮโี น ๘๗

อะนตั ถะสัญหิโต ไม่ประกอบด้วยประโยชนเ์ ลย นอ้ี ย่างหนงึ่ โย จายัง อัตตะกลิ ะมะถานุโยโค อกี อยา่ งหนึง่ คอื การประกอบการทรมานตนให้ล�ำบาก ทกุ โข เป็นสงิ่ น�ำมาซ่ึงทุกข์ อะนะริโย ไมใ่ ช่ขอ้ ปฏิบตั ขิ องพระอรยิ เจ้า อะนัตถะสัญหิโต ไมป่ ระกอบด้วยประโยชนเ์ ลย เอเต เต ภกิ ขะเว อโุ ภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ดูกอ่ นภิกษทุ ง้ั หลาย ขอ้ ปฏบิ ตั ิเป็นทางสายกลาง ไมเ่ ขา้ ไปหาท่สี ุดแหง่ การกระทำ� สองอย่างนั้น มอี ยู่ ตะถาคะเตนะ อะภสิ มั พุทธา เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่ตี ถาคตไดต้ รสั รู้เฉพาะแลว้ จกั ขกุ ะระณี เปน็ เคร่อื งกระทำ� ให้เกดิ จกั ษุ ญาณะกะระณี เปน็ เครื่องกระท�ำให้เกิดญาณ อปุ ะสะมายะ เพ่ือความสงบ ๘๘

อะภญิ ญายะ เพ่ือความร้ยู ิง่ สัมโพธายะ เพอื่ ความรพู้ รอ้ ม นิพพานายะ สงั วัตตะติ เปน็ ไปเพ่ือนิพพาน กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌมิ า ปะฏปิ ะทา ดูกอ่ นภิกษุทง้ั หลาย ข้อปฏบิ ตั ิเปน็ ทางสายกลางนนั้ เปน็ อย่างไรเลา่ อะยะเมวะ อะริโย อฏั ฐงั คิโก มัคโค ขอ้ ปฏิบัติเป็นทางสายกลางนัน้ คอื ข้อปฏบิ ัติเป็นหนทางอนั ประเสรฐิ ประกอบด้วยองคแ์ ปดประการน้ีเอง เสยยะถีทงั ไดแ้ ก่ส่งิ เหลา่ น้ี คอื สัมมาทิฏฐิ ความเหน็ ชอบ สมั มาสังกปั โป ความด�ำริชอบ สมั มาวาจา การพดู จาชอบ สมั มากัมมันโต การท�ำการงานชอบ ๘๙

สัมมาอาชีโว การเลย้ี งชวี ติ ชอบ สมั มาวายาโม ความพากเพียรชอบ สัมมาสะติ ความระลกึ ชอบ สมั มาสะมาธิ ความตั้งใจมนั่ ชอบ อะยัง โข สา ภิกขะเว มชั ฌิมา ปะฏปิ ะทา ดกู ่อนภกิ ษทุ งั้ หลาย นแ้ี ลคอื ขอ้ ปฏิบตั ิ เป็นทางสายกลาง ตะถาคะเตนะ อะภิสมั พทุ ธา เปน็ ข้อปฏบิ ตั ทิ ่ตี ถาคตได้ตรัสรูเ้ ฉพาะแล้ว จกั ขกุ ะระณี เป็นเคร่อื งกระท�ำใหเ้ กดิ จกั ษุ ญาณะกะระณี เป็นเครอื่ งกระทำ� ใหเ้ กิดญาณ อปุ ะสะมายะ เพอ่ื ความสงบ อะภิญญายะ เพ่อื ความรยู้ ิ่ง สัมโพธายะ เพอ่ื ความรู้พรอ้ ม ๙๐

นิพพานายะ สังวตั ตะติ เป็นไปเพ่อื นิพพาน (อริยสจั ข้อที่ ๑) อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสจั จัง ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย กอ็ ริยสจั คือทกุ ข์น้ี มีอยู่ ชาติปิ ทุกขา คือความเกิดกเ็ ป็นทุกข์ ชะราปิ ทกุ ขา ความแกก่ ็เปน็ ทกุ ข์ มะระณัมปิ ทกุ ขัง ความตายก็เปน็ ทกุ ข์ โสกะปะรเิ ทวะทกุ ขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทกุ ขา ความโศกความร่�ำไรรำ� พนั ความไมส่ บายกาย ความไมส่ บายใจความคับแคน้ ใจกเ็ ปน็ ทุกข์ อปั ปเิ ยหิ สมั ปะโยโค ทกุ โข ความประสบกบั ส่ิงไมเ่ ปน็ ที่รกั ท่ีพอใจกเ็ ปน็ ทกุ ข์ ปเิ ยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ความพลดั พรากจากส่ิงเปน็ ทรี่ กั ทีพ่ อใจกเ็ ป็นทกุ ข์ ยัมปิจฉงั นะ ละภะติ ตมั ปิ ทกุ ขัง มีความปรารถนาส่ิงใดไมไ่ ดส้ ิ่งนน้ั นั่นก็เปน็ ทกุ ข์ สงั ขิตเตนะ ปัญจปุ าทานกั ขนั ธา ทกุ ขา วา่ โดยย่ออุปาทานขนั ธท์ ง้ั ห้าเป็นตัวทุกข์ ๙๑

(อรยิ สจั ขอ้ ที่ ๒) อทิ ัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทกุ ขะสะมุทะโย อะริยะสัจจงั ดกู อ่ นภิกษุทั้งหลาย กอ็ รยิ สจั คือเหตุใหเ้ กิดทุกข์น้ี มีอยู่ ยายัง ตัณหา นค้ี ือตัณหา โปโนพภะวกิ า อันเปน็ เคร่ืองท�ำใหม้ ีการเกิดอีก นนั ทริ าคะสะหะคะตา อนั ประกอบอยูด่ ว้ ยความก�ำหนดั ด้วยอ�ำนาจความเพลิน ตตั ฺระ ตตั รฺ าภินนั ทนิ ี เป็นเครอ่ื งให้เพลนิ อย่างยิ่งในอารมณ์นนั้ ๆ เสยยะถีทัง ไดแ้ ก่ตณั หาเหล่านี้ คือ กามะตณั หา ตัณหาในกาม ภะวะตัณหา ตณั หาในความมีความเป็น วภิ ะวะตัณหา ตณั หาในความไม่มไี ม่เปน็ ๙๒

(อริยสจั ขอ้ ที่ ๓) อทิ ัง โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทกุ ขะนิโรโธ อะรยิ ะสัจจัง ดูก่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย ก็อรยิ สัจคือความดับไม่เหลือแห่งทกุ ขน์ ้ี มีอยู่ โย ตสั สาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนโิ รโธ นีค้ อื ความดับสนิทเพราะจางไปโดยไม่มีเหลอื ของ ตณั หานั้นนนั่ เอง จาโค เปน็ ความสลดั ท้งิ ปะฏนิ สิ สคั โค เปน็ ความสละคืน มตุ ติ เปน็ ความปลอ่ ย อะนาละโย เปน็ ความทำ� ไม่ให้มีท่อี าศัยซึ่งตณั หานัน้ (อรยิ สัจ ข้อที่ ๔) อิทงั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทุกขะนโิ รธะคามนิ ี ปะฏิปะทา อะรยิ ะสัจจงั ดกู อ่ นภิกษทุ ง้ั หลาย ก็อริยสจั คอื ข้อปฏบิ ตั ิ ทท่ี ำ� สตั วใ์ ห้ลุถึงความดับไมเ่ หลือแห่งทุกข์นี้ มอี ยู่ ๙๓

อะยะเมวะ อะรโิ ย อัฏฐงั คิโก มคั โค นีค้ ือข้อปฏบิ ัตเิ ป็นหนทางอนั ประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการ เสยยะถีทัง ได้แก่สง่ิ เหล่าน้ี คอื สมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกปั โป ความดำ� ริชอบ สมั มาวาจา การพูดจาชอบ สมั มากมั มันโต การทำ� การงานชอบ สมั มาอาชีโว การเลีย้ งชีวติ ชอบ สมั มาวายาโม ความพากเพียรชอบ สัมมาสะติ ความระลึกชอบ สมั มาสะมาธิ ความตั้งใจม่นั ชอบ ๙๔

อิทงั ทกุ ขัง อะริยะสัจจนั ติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ, จักขงุ อุทะปาท,ิ ญาณงั อทุ ะปาท,ิ ปญั ญา อุทะปาทิ, วชิ ชา อุทะปาท,ิ อาโลโก อทุ ะปาทิ ดกู ่อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย จักษเุ กดิ ขนึ้ แล้วแกเ่ รา ญาณเกิดขึ้นแล้วแกเ่ รา ปญั ญาเกิดขึน้ แลว้ แก่เรา วิชชาเกิดขนึ้ แล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดข้ึนแล้วแก่เรา ในธรรมท่เี ราไม่เคยฟังมาแต่กอ่ น ว่าอริยสัจคือทุกข์ เปน็ อยา่ งนอ้ี ยา่ งน้ี ดังนี้ ตงั โข ปะนิทัง ทุกขงั อะรยิ ะสัจจงั ปะริญเญยยันติ ว่ากอ็ รยิ สัจคอื ทุกข์นั้นแล เป็นสิ่งท่ีควรก�ำหนดรู้ ดังนี้ ตงั โข ปะนทิ งั ทกุ ขงั อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ วา่ กอ็ รยิ สจั คือทกุ ข์น้ันแล เรากำ� หนดรู้ไดแ้ ล้ว ดงั นี้ อิทัง ทุกขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อทุ ะปาท,ิ ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุทะปาทิ, วิชชา อุทะปาท,ิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษทุ ง้ั หลาย จักษเุ กิดขน้ึ แล้วแก่เรา ญาณเกดิ ขนึ้ แลว้ แกเ่ รา ปัญญาเกิดข้ึนแล้วแก่เรา วชิ ชาเกดิ ขึ้นแลว้ แก่เรา แสงสว่างเกิดข้นึ แล้วแก่เรา ในธรรมทีเ่ ราไมเ่ คยฟงั มาแต่กอ่ น ว่าอรยิ สัจคอื เหตุใหเ้ กิดทุกข์ เปน็ อยา่ งน้ีอย่างน้ี ดงั นี้ ๙๕

ตงั โข ปะนทิ งั ทุกขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสจั จัง ปะหาตัพพันติ วา่ ก็อริยสัจคอื เหตุใหเ้ กิดทุกขน์ ้ันแล เป็นสง่ิ ทีค่ วรละเสยี ดังน้ี ตงั โข ปะนิทัง ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะริยะสจั จัง ปะหนี นั ติ วา่ ก็อรยิ สจั คอื เหตใุ ห้เกดิ ทุกขน์ นั้ แล เราละได้แลว้ ดงั น้ี อทิ งั ทุกขะนิโรโธ อะรยิ ะสจั จันติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสเุ ตสุ ธมั เมสุ, จกั ขงุ อุทะปาทิ, ญาณงั อุทะปาทิ, ปญั ญา อุทะปาท,ิ วชิ ชา อทุ ะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษทุ ้งั หลาย จกั ษุเกิดขนึ้ แล้วแก่เรา ญาณเกดิ ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา ปัญญาเกดิ ข้ึนแล้วแกเ่ รา วิชชาเกิดข้ึนแล้วแกเ่ รา แสงสวา่ งเกิดขึน้ แล้วแกเ่ รา ในธรรมทเ่ี ราไม่เคยฟงั มาแตก่ ่อน วา่ อรยิ สจั คอื ความดับไมเ่ หลือแห่งทุกข์ เปน็ อย่างนี้อย่างน้ี ดังนี้ ตงั โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะนิโรโธ อะริยะสจั จงั สัจฉกิ าตัพพนั ติ ว่ากอ็ รยิ สัจคอื ความดับไมเ่ หลอื แหง่ ทุกข์นนั้ แล เปน็ สิ่งทีค่ วรทำ� ใหแ้ จ้ง ดงั นี้ ตงั โข ปะนิทัง ทกุ ขะนโิ รโธ อะริยะสจั จงั สัจฉิกะตันติ ว่าก็อริยสจั คือความดับไม่เหลอื แห่งทกุ ข์นน้ั แล เราท�ำให้แจ้งไดแ้ ลว้ ดงั น้ี ๙๖

อิทัง ทกุ ขะนิโรธะคามนิ ี ปะฏปิ ะทา อะริยะสัจจันติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตสุ ธมั เมสุ, จักขงุ อุทะปาทิ, ญาณงั อุทะปาทิ, ปัญญา อทุ ะปาทิ, วชิ ชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ ดูกอ่ นภกิ ษทุ งั้ หลาย จกั ษุเกดิ ขึน้ แล้วแก่เรา ญาณเกดิ ขึน้ แล้วแก่เรา ปัญญาเกดิ ขน้ึ แล้วแกเ่ รา วิชชาเกดิ ข้นึ แล้วแก่เรา แสงสวา่ งเกดิ ขึน้ แล้วแกเ่ รา ในธรรมท่ีเราไมเ่ คยฟังมาแต่ก่อน วา่ อรยิ สัจคอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิท่ีท�ำสตั วใ์ หล้ ุถงึ ความดับไม่เหลือแหง่ ทุกข์ เปน็ อยา่ งน้อี ยา่ งน้ี ดงั นี้ ตัง โข ปะนิทัง ทกุ ขะนิโรธะคามินี ปะฏปิ ะทา อะรยิ ะสจั จัง ภาเวตัพพนั ติ ว่าก็อรยิ สัจคือขอ้ ปฏิบัติ ท่ีท�ำสัตว์ใหล้ ถุ งึ ความดับไม่เหลอื แหง่ ทุกขน์ น้ั แล เป็นส่งิ ทีค่ วรทำ� ให้เกดิ มี ดงั นี้ ตัง โข ปะนิทงั ทุกขะนโิ รธะคามินี ปะฏิปะทา อะรยิ ะสัจจงั ภาวติ ันติ ว่าก็อริยสจั คอื ขอ้ ปฏิบัติ ทีท่ �ำสัตว์ให้ลุถงึ ความดับไมเ่ หลอื แหง่ ทุกข์น้ันแล เราทำ� ใหเ้ กิดมีไดแ้ ล้ว ดงั นี้ ๙๗

ยาวะกวี ัญจะ เม ภิกขะเว, อิเมสุ จะตสู ุ อะริยะสัจเจส,ุ เอวันติปะริวฏั ฏงั ทวฺ าทะสาการงั ยะถาภตู ัง ญาณะทัสสะนัง นะ สวุ ิสุทธัง อะโหสิ ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปัญญาเครือ่ งรู้เห็นตามทเี่ ปน็ จริง มีปริวัฏฏ์สามมอี าการสิบสองเชน่ น้นั ในอรยิ สัจท้ังสี่เหล่านี้ ยังไม่เปน็ ของบริสุทธิห์ มดจดดว้ ยดีแกเ่ ราอยเู่ พียงใด เนวะ ตาวาหงั ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรฺ ัหฺมะเก, สสั สะมะณะพรฺ าหมฺ ะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนสุ สายะ, อะนตุ ตะรัง สมั มาสมั โพธิง อะภสิ มั พุทโธ ปจั จัญญาสงิ ดกู อ่ นภิกษทุ ัง้ หลาย ตลอดกาลเพียงน้ัน เรายงั ไม่ปฏิญญาวา่ ไดต้ รสั รู้พรอ้ มเฉพาะแล้ว ซึ่งอนุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณ ในโลกพรอ้ มท้งั เทวโลกมารโลกพรหมโลก ๑ ในหมสู่ ัตวพ์ ร้อมทง้ั สมณพราหมณ์ พรอ้ มท้ังเทวดาและมนษุ ย์ ๑ ออกเสียงว่า เท-วะ-โลก  มา-ระ-โลก  พรหม-มะ-โลก ๙๘

ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว, อเิ มสุ จะตสู ุ อะริยะสัจเจส,ุ เอวันติปะรวิ ัฏฏัง ทวฺ าทะสาการัง ยะถาภตู ัง ญาณะทัสสะนงั สุวสิ ุทธงั อะโหสิ ดกู อ่ นภิกษุทัง้ หลาย เมอื่ ใด ปัญญาเครอ่ื งรเู้ หน็ ตามท่ีเปน็ จรงิ มีปริวฏั ฏ์สามมอี าการสิบสองเชน่ นั้นในอรยิ สจั ทงั้ ส่ี เหลา่ นี้ เป็นของบรสิ ุทธ์ิหมดจดดว้ ยดแี กเ่ รา อะถาหงั ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหมฺ ะเก, สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนตุ ตะรงั สมั มาสมั โพธิง อะภิสมั พทุ โธ ปัจจัญญาสิง ดกู ่อนภิกษทุ งั้ หลาย เมอื่ นน้ั เราปฏิญญาวา่ ไดต้ รสั รูพ้ รอ้ มเฉพาะแล้ว ซ่ึงอนตุ ตรสัมมาสัมโพธญิ าณ ในโลกพรอ้ มทั้ง เทวโลกมารโลกพรหมโลก ๑ ในหมสู่ ตั ว์พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ พร้อมท้ังเทวดาและมนษุ ย์ ญาณญั จะ ปะนะ เม ภกิ ขะเว ทัสสะนงั อุทะปาทิ ดูกอ่ นภิกษุทั้งหลาย กญ็ าณและทัสสนะได้เกดิ ข้นึ แล้วแกเ่ รา ๑ ออกเสยี งวา่  เท-วะ-โลก  มา-ระ-โลก  พรหม-มะ-โลก ๙๙

อะกุปปา เม วมิ ุตติ วา่ ความหลุดพ้นของเราไม่กลบั กำ� เรบิ อะยะมนั ตมิ า ชาติ ความเกดิ นีเ้ ปน็ ความเกดิ ครั้งสดุ ท้าย นัตถิทานิ ปุนพั ภะโวติ บัดนคี้ วามเกิดอกี ยอ่ มไมม่ ี ดงั นี้ ๑๐๐

อรยิ มรรคมอี งคแ์ ปด หันทะ มะยงั อะรยิ ฏั ฐังคกิ ะมคั คะปาฐัง ภะณามะ เส อะยะเมวะ อะริโย อฏั ฐังคิโก มคั โค หนทางนี้แล เป็นหนทางอนั ประเสริฐ ซ่ึงประกอบดว้ ยองคแ์ ปด เสยยะถที งั ได้แกส่ ง่ิ เหลา่ นี้คอื สัมมาทฏิ ฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสงั กปั โป ความด�ำรชิ อบ สัมมาวาจา การพูดจาชอบ สัมมากมั มนั โต การทำ� การงานชอบ สมั มาอาชีโว การเลีย้ งชีวติ ชอบ สัมมาวายาโม ความพากเพียรชอบ ๑๐๑

สมั มาสะติ ความระลกึ ชอบ สมั มาสะมาธิ ความต้งั ใจมน่ั ชอบ (องคม์ รรคที่ ๑) กะตะมา จะ ภกิ ขะเว สมั มาทฏิ ฐิ ดูก่อนภกิ ษทุ ั้งหลาย ความเห็นชอบเป็นอยา่ งไรเลา่ ยัง โข ภิกขะเว ทกุ เข ญาณงั ดกู ่อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความรู้อนั ใด เปน็ ความรใู้ นทกุ ข์ ทุกขะสะมทุ ะเย ญาณัง เปน็ ความร้ใู นเหตุให้เกดิ ทุกข์ ทกุ ขะนิโรเธ ญาณัง เปน็ ความรใู้ นความดบั แหง่ ทกุ ข์ ทุกขะนิโรธะคามินิยา ปะฏปิ ะทายะ ญาณัง เป็นความรู้ในทางด�ำเนนิ ใหถ้ งึ ความดับแหง่ ทกุ ข์ อะยัง วจุ จะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย อันนเี้ รากล่าวว่า ความเหน็ ชอบ ๑๐๒

(องคม์ รรคที่ ๒) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สัมมาสังกัปโป ดกู อ่ นภิกษุทง้ั หลาย ความด�ำรชิ อบเปน็ อยา่ งไรเลา่ เนกขัมมะสังกปั โป ความดำ� ริในการออกจากกาม อพั ยฺ าปาทะสงั กัปโป ความดำ� ริในการไมม่ ุ่งรา้ ย อะวหิ งิ สาสงั กัปโป ความดำ� รใิ นการไมเ่ บยี ดเบียน อะยงั วจุ จะติ ภิกขะเว สมั มาสงั กัปโป ดูกอ่ นภกิ ษทุ ้ังหลาย อันนเ้ี รากล่าวว่า ความด�ำรชิ อบ (องคม์ รรคที่ ๓) กะตะมา จะ ภกิ ขะเว สมั มาวาจา ดูก่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย การพดู จาชอบเปน็ อยา่ งไรเล่า มสุ าวาทา เวระมะณี เจตนาเปน็ เคร่ืองเว้นจากการพดู ไมจ่ รงิ ๑๐๓

ปสิ ุณายะ วาจายะ เวระมะณี เจตนาเป็นเครอื่ งเวน้ จากการพูดสอ่ เสยี ด ผะรสุ ายะ วาจายะ เวระมะณี เจตนาเปน็ เครือ่ งเวน้ จากการพูดหยาบ สมั ผัปปะลาปา เวระมะณี เจตนาเป็นเครื่องเวน้ จากการพดู เพอ้ เจ้อ อะยงั วจุ จะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา ดูกอ่ นภิกษุทง้ั หลาย อนั นเี้ รากล่าวว่า การพดู จาชอบ (องค์มรรคท่ี ๔) กะตะโม จะ ภิกขะเว สมั มากมั มันโต ดูกอ่ นภกิ ษุท้ังหลาย การท�ำการงานชอบเปน็ อย่างไรเลา่ ปาณาตปิ าตา เวระมะณี เจตนาเปน็ เคร่อื งเวน้ จากการฆ่า อะทินนาทานา เวระมะณี เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาส่งิ ของทเ่ี จ้าของ ไมไ่ ด้ใหแ้ ล้ว กาเมสมุ ิจฉาจารา เวระมะณี เจตนาเปน็ เครอ่ื งเวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม ทงั้ หลาย ๑๐๔

อะยงั วุจจะติ ภกิ ขะเว สัมมากัมมันโต ดูกอ่ นภกิ ษทุ ั้งหลาย อนั น้ีเรากลา่ วว่า การท�ำการงานชอบ (องคม์ รรคท่ี ๕) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สัมมาอาชโี ว ดกู ่อนภกิ ษทุ ้งั หลาย การเลย้ี งชวี ิตชอบเปน็ อยา่ งไรเลา่ อธิ ะ ภกิ ขะเว อะริยะสาวะโก ดกู ่อนภิกษุทั้งหลาย สาวกของพระอรยิ เจา้ ในธรรมวนิ ัยนี้ มิจฉาอาชวี ัง ปะหายะ ละการเล้ียงชีวิตทผี่ ิดเสีย สัมมาอาชเี วนะ ชีวกิ ัง กัปเปติ ยอ่ มส�ำเร็จความเป็นอยู่ดว้ ยการเล้ยี งชีวิตทช่ี อบ อะยัง วจุ จะติ ภิกขะเว สมั มาอาชโี ว ดูกอ่ นภิกษุทงั้ หลาย อนั นเี้ รากลา่ ววา่ การเลย้ี งชวี ติ ชอบ (องคม์ รรคที่ ๖) กะตะโม จะ ภกิ ขะเว สัมมาวายาโม ดูก่อนภิกษทุ ง้ั หลาย ความพากเพียรชอบเปน็ อย่างไรเล่า ๑๐๕

อธิ ะ ภกิ ขะเว ภกิ ขุ ดูก่อนภิกษุทง้ั หลาย ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ อะนปุ ปนั นานงั ปาปะกานัง อะกสุ ะลานัง ธมั มานงั อะนุปปาทายะ, ฉนั ทงั ชะเนต,ิ วายะมะติ, วริ ิยัง อาระภะต,ิ จิตตงั ปัคคณั หาติ ปะทะหะติ ยอ่ มทำ� ความพอใจให้เกิดข้นึ ย่อมพยายาม ปรารภความเพยี ร ประคองตงั้ จติ ไว้ เพอ่ื จะยงั อกศุ ลธรรมอนั เปน็ บาปทยี่ งั ไมเ่ กดิ ไมใ่ หเ้ กดิ ขน้ึ อุปปันนานงั ปาปะกานงั อะกุสะลานัง ธัมมานงั ปะหานายะ, ฉันทงั ชะเนติ, วายะมะต,ิ วริ ยิ งั อาระภะต,ิ จติ ตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ย่อมทำ� ความพอใจให้เกดิ ขึ้น ยอ่ มพยายาม ปรารภความเพียร ประคองต้งั จิตไว้ เพอ่ื จะละอกศุ ลธรรมอนั เป็นบาปท่ีเกิดขน้ึ แลว้ อะนุปปนั นานัง กสุ ะลานงั ธมั มานงั อุปปาทายะ, ฉันทงั ชะเนต,ิ วายะมะต,ิ วริ ิยงั อาระภะติ, จิตตงั ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ยอ่ มท�ำความพอใจใหเ้ กิดขน้ึ ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองต้งั จติ ไว้ เพ่อื จะยังกศุ ลธรรมท่ยี งั ไม่เกดิ ให้เกิดข้นึ ๑๐๖

อปุ ปันนานงั กุสะลานงั ธมั มานงั ฐติ ยิ า, อะสมั โมสายะ, ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ ปาริปูรยิ า, ฉนั ทงั ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ย่อมทำ� ความพอใจใหเ้ กดิ ข้ึน ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตงั้ จติ ไว้ เพือ่ ความต้ังอยู่ ความไม่เลอะเลอื น ความงอกงามยิ่งขน้ึ ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเตม็ รอบ แหง่ กุศลธรรมทเี่ กดิ ขนึ้ แลว้ อะยงั วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันน้เี รากลา่ ววา่ ความพากเพยี รชอบ (องคม์ รรคท่ี ๗) กะตะมา จะ ภกิ ขะเว สมั มาสะติ ดูกอ่ นภิกษทุ ัง้ หลาย ความระลกึ ชอบเป็นอย่างไรเล่า อิธะ ภิกขะเว ภกิ ขุ ดูก่อนภกิ ษุทัง้ หลาย ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี กาเย กายานปุ ัสสี วหิ ะระติ ยอ่ มเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยเู่ ป็นประจ�ำ ๑๐๗

อาตาปี สมั ปะชาโน สะติมา, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง มีความเพยี รเครอ่ื งเผากิเลส มีสัมปชญั ญะ มสี ติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสยี ได้ เวทะนาสุ เวทะนานปุ ัสสี วหิ ะระติ ย่อมเป็นผพู้ ิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทัง้ หลาย อยู่เปน็ ประจำ� อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา, วเิ นยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนสั สัง มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสต ิ ถอนความพอใจและความไมพ่ อใจในโลกออกเสียได้ จิตเต จิตตานุปสั สี วหิ ะระติ ยอ่ มเปน็ ผพู้ ิจารณาเห็นจติ ในจติ อยูเ่ ป็นประจ�ำ อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา, วเิ นยยะ โลเก อะภชิ ฌาโทมะนสั สงั มคี วามเพียรเครอื่ งเผากิเลส มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ ถอนความพอใจและความไมพ่ อใจในโลกออกเสยี ได้ ธัมเมสุ ธัมมานปุ สั สี วิหะระติ ย่อมเปน็ ผพู้ ิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจ�ำ ๑๐๘

อาตาปี สมั ปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสงั มีความเพียรเคร่ืองเผากิเลส มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ อะยัง วุจจะติ ภกิ ขะเว สมั มาสะติ ดูกอ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย อนั นี้เรากลา่ ววา่ ความระลึกชอบ (องค์มรรคท่ี ๘) กะตะโม จะ ภิกขะเว สมั มาสะมาธิ ดูกอ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ความต้ังใจมั่นชอบเปน็ อยา่ งไรเลา่ อธิ ะ ภกิ ขะเว ภกิ ขุ ดกู ่อนภิกษทุ ั้งหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้ี ววิ จิ เจวะ กาเมหิ สงดั แลว้ จากกามทั้งหลาย ววิ ิจจะ อะกุสะเลหิ ธมั เมหิ สงดั แล้วจากธรรมที่เป็นอกศุ ลทัง้ หลาย สะวิตกั กัง สะวิจารงั , วิเวกะชัง ปีติสุขัง ปะฐะมงั ฌานงั อปุ ะสัมปชั ชะ วหิ ะระติ เขา้ ถึงปฐมฌาน ประกอบด้วยวิตกวจิ าร มีปีตแิ ละสขุ อันเกดิ จากวเิ วก แลว้ แลอยู่ ๑๐๙

วติ ักกะวิจารานงั วูปะสะมา เพราะความท่วี ิตกวิจารท้งั สองระงบั ลง อชั ฌตั ตงั สมั ปะสาทะนงั เจตะโส, เอโกทภิ าวัง, อะวติ ักกัง อะวิจารัง, สะมาธชิ ัง ปีติสขุ ัง ทุตยิ งั ฌานัง อปุ ะสมั ปชั ชะ วหิ ะระติ เขา้ ถึงทตุ ิยฌาน เป็นเครอ่ื งผ่องใสแหง่ ใจภายใน ให้สมาธเิ ป็นธรรมอันเอกผดุ มขี นึ้ ไมม่ วี ติ กไม่มวี ิจาร มีแตป่ ีติและสุขอนั เกิดจากสมาธิ แลว้ แลอยู่ ปตี ยิ า จะ วิราคา อนึง่ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ อุเปกขะโก จะ วิหะระติ, สะโต จะ สมั ปะชาโน ย่อมเป็นผอู้ ยู่อเุ บกขา มสี ติและสัมปชญั ญะ สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏสิ ังเวเทติ และยอ่ มเสวยความสขุ ดว้ ยนามกาย ยนั ตัง อะริยา อาจิกขนั ต,ิ อุเปกขะโก สะตมิ า สขุ ะวหิ ารีติ ชนดิ ท่พี ระอริยเจ้าทง้ั หลาย ยอ่ มกล่าวสรรเสรญิ ผู้นั้นว่า เปน็ ผอู้ ยอู่ ุเบกขา มสี ติอยเู่ ป็นปกติสขุ ดังนี้ ตะตยิ งั ฌานัง อปุ ะสมั ปชั ชะ วหิ ะระติ เขา้ ถงึ ตติยฌาน แล้วแลอยู่ ๑๑๐

สขุ สั สะ จะ ปะหานา เพราะละสุขเสียได้ ทุกขัสสะ จะ ปะหานา และเพราะละทุกขเ์ สียได้ ปพุ เพวะ โสมะนสั สะโทมะนัสสานงั อัตถังคะมา เพราะความดบั ไปแห่งโสมนสั และโทมนสั ท้งั สอง ในกาลกอ่ น อะทกุ ขะมะสุขงั อเุ ปกขาสะตปิ ารสิ ุทธิง, จะตตุ ถงั ฌานงั อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ เขา้ ถงึ จตตุ ถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มแี ตค่ วามทส่ี ติ เปน็ ธรรมชาตบิ ริสุทธิเ์ พราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ อะยงั วุจจะติ ภิกขะเว สมั มาสะมาธิ ดกู อ่ นภกิ ษุทัง้ หลาย อันนีเ้ รากลา่ ววา่ ความตงั้ ใจมนั่ ชอบ ๑๑๑

อาน​ า​ปานส​ ติ​สูตร หนั ​ทะ มะ​ยงั อา​นาป​ านะส​ ะ​ตป​ิ าฐง​ั ภะณาม​ ะ เส อาน​ าป​ านะส​ ะ​ติ ภกิ ขะเว ภา​วต​ิ า พะห​ ล​ุ ก​ี ะต​ า ด​กู อ่ น​ภกิ ษ​ทุ ง้ั ห​ ลาย อา​นา​ปาน​สตอ​ิ นั ​บคุ คลเ​จรญิ ​ท�ำ ใหม​้ ากแ​ ลว้ มะห​ ปั ​ผะ​ลา โหต​ ิ มะห​ าน​ ส​ิ งั ส​ า ยอ่ ม​ม​ผี ลใ​หญ่ ม​อี านสิ งสใ​์ หญ่ อา​นา​ปานะ​สะ​ติ ภกิ ขะเว ภา​วต​ิ า พะห​ ​ลุ ​กี ะ​ตา ด​กู อ่ น​ภกิ ษท​ุ ง้ั ห​ ลาย อา​นาป​ าน​สตอ​ิ นั ​บคุ คลเ​จรญิ ​ท�ำ ใหม​้ ากแ​ ลว้ จตั ต​ าโ​ร สะต​ ป​ิ ฏั ฐ​ าเน ปะร​ ป​ิ เ​ู รน​ติ ยอ่ ม​ท�ำ ​สต​ปิ ฏั ฐ​ าน​ทง้ั ​สใ​่ี หบ​้ รบิ รู ณ์ จตั ​ตาโ​ร สะต​ ​ปิ ฏั ฐ​ าน​า ภาว​ ​ติ า พะห​ ล​ุ ก​ี ะ​ตา สต​ปิ ฏั ​ฐาน​ทง้ั ​สอ​่ี นั บ​ คุ คล​เจรญิ ​ท�ำ ให​ม้ าก​แลว้ สตั ตะ โพชฌงั เค ปะร​ ป​ิ ​เู รนต​ ิ ยอ่ ม​ท�ำ ​โพชฌงคท​์ ง้ั เ​จด็ ​ใหบ​้ รบิ รู ณ์ สตั ตะ โพชฌงั ค​ า ภา​ว​ติ า พะ​หล​ุ ​กี ะ​ตา โพชฌงคท​์ ง้ั เ​จด็ ​อนั ​บคุ คลเ​จรญิ ท​ �ำ ให​ม้ ากแ​ ลว้ วชิ ชา วมิ ตุ ​ตงิ ปะ​ร​ปิ เ​ู รนต​ ิ ยอ่ ม​ท�ำ ​วชิ ชา​และ​วม​ิ ตุ ใ​ิ ห​บ้ รบิ รู ณ์ ๑1๑12๒

กะถงั ภาวติ า จะ ภิกขะเว อานาปานะสะติ, กะถัง พะหลุ ีกะตา ดกู อ่ นภิกษทุ ัง้ หลาย ก็อานาปานสติอนั บคุ คลเจรญิ ทำ� ใหม้ ากแลว้ อยา่ งไรเล่า มะหัปผะลา โหติ มะหานสิ งั สา จึงมผี ลใหญ่ มอี านิสงสใ์ หญ่ อธิ ะ ภกิ ขะเว ภกิ ขุ ดกู ่อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั นี้ อะรญั ญะคะโต วา ไปแลว้ สปู่ ่าก็ตาม รุกขะมลู ะคะโต วา ไปแลว้ สโู่ คนไม้ก็ตาม สุญญาคาระคะโต วา ไปแลว้ สู่เรอื นว่างก็ตาม นสิ ีทะติ ปลั ลงั กัง อาภุชติ ฺวา น่งั คู้ขาเขา้ มาโดยรอบแล้ว อุชุง กายงั ปะณิธายะ, ปะรมิ ุขงั สะตงิ อุปัฏฐะเปตฺวา ตั้งกายตรง ด�ำรงสติม่นั โส สะโต วะ อัสสะสะต,ิ สะโต ปสั สะสะติ ภกิ ษนุ นั้ เป็นผูม้ สี ตอิ ยูน่ ้ันเทยี ว หายใจเข้า มสี ติอยู่ หายใจออก ๑๑๓

(จะตุกกะทหี่ นงึ่ ) ทีฆัง วา อสั สะสันโต, ทฆี งั อัสสะสามีติ ปะชานาติ ภิกษุน้ัน เมื่อหายใจเขา้ ยาว กร็ สู้ กึ ตัวทวั่ ถงึ ว่า เราหายใจเขา้ ยาว ดังน้ี ทีฆัง วา ปัสสะสันโต, ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ เมื่อหายใจออกยาว ก็รูส้ ึกตัวทัว่ ถงึ วา่ เราหายใจออกยาว ดังน้ี รสั สงั วา อัสสะสนั โต, รัสสงั อสั สะสามีติ ปะชานาติ ภิกษุนน้ั เมือ่ หายใจเข้าสั้น กร็ ู้สกึ ตวั ทวั่ ถงึ ว่า เราหายใจเขา้ ส้นั ดังน้ี รัสสัง วา ปัสสะสนั โต, รสั สงั ปัสสะสามตี ิ ปะชานาติ เม่ือหายใจออกส้นั ก็รู้สกึ ตวั ทั่วถงึ ว่า เราหายใจออกส้นั ดงั นี้ สัพพะกายะปะฏสิ งั เวที อสั สะสสิ สามตี ิ สิกขะติ ภกิ ษุน้ัน ย่อมทำ� ในบทศึกษาว่า เราเปน็ ผ้รู ูพ้ รอ้ มเฉพาะซึ่งกายท้งั ปวง จักหายใจเขา้ ดังน้ี สพั พะกายะปะฏสิ งั เวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ� ในบทศึกษาวา่ เราเปน็ ผรู้ พู้ ร้อมเฉพาะซงึ่ กายท้ังปวง จักหายใจออก ดงั นี้ ๑๑๔

ปสั สัมภะยงั กายะสังขารงั อัสสะสสิ สามีติ สกิ ขะติ ภิกษนุ ัน้ ยอ่ มท�ำในบทศึกษาวา่ เราเป็นผ้ทู �ำกายสงั ขารใหร้ ำ� งับอยู่ จักหายใจเขา้ ดังน้ี ปัสสมั ภะยงั กายะสงั ขารัง ปัสสะสสิ สามีติ สกิ ขะติ ยอ่ มทำ� ในบทศกึ ษาวา่ เราเป็นผ้ทู �ำกายสังขารใหร้ �ำงบั อยู่ จกั หายใจออก ดงั น้ี (จะตุกกะท่สี อง) ปีติปะฏสิ งั เวที อัสสะสสิ สามตี ิ สิกขะติ ภกิ ษุนน้ั ยอ่ มทำ� ในบทศึกษาว่า เราเป็นผรู้ ูพ้ ร้อมเฉพาะซงึ่ ปตี ิ จักหายใจเขา้ ดังนี้ ปตี ิปะฏิสงั เวที ปสั สะสสิ สามตี ิ สกิ ขะติ ยอ่ มท�ำในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผู้รู้พร้อมเฉพาะซง่ึ ปตี ิ จกั หายใจออก ดงั น้ี สุขะปะฏิสงั เวที อสั สะสสิ สามตี ิ สกิ ขะติ ภิกษุนั้น ย่อมท�ำในบทศึกษาว่า เราเป็นผ้รู ู้พรอ้ มเฉพาะซึ่งสุข จักหายใจเข้า ดังนี้ สุขะปะฏิสงั เวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ย่อมทำ� ในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผู้รพู้ ร้อมเฉพาะซ่งึ สุข จักหายใจออก ดงั นี้ ๑๑๕

จิตตะสงั ขาระปะฏสิ ังเวที อสั สะสสิ สามตี ิ สิกขะติ ภกิ ษนุ ัน้ ยอ่ มทำ� ในบทศึกษาวา่ เราเป็นผู้รู้พรอ้ มเฉพาะซ่ึงจิตตสงั ขาร จักหายใจเข้า ดังน้ี จิตตะสงั ขาระปะฏิสังเวที ปัสสะสสิ สามตี ิ สิกขะติ ยอ่ มทำ� ในบทศึกษาว่า เราเป็นผรู้ ู้พร้อมเฉพาะซึง่ จติ ตสังขาร จกั หายใจออก ดังนี้ ปัสสมั ภะยงั จติ ตะสังขารัง อัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติ ภิกษุน้ัน ยอ่ มทำ� ในบทศึกษาว่า เราเปน็ ผู้ท�ำจิตตสังขารให้รำ� งับอยู่ จักหายใจเข้า ดงั น้ี ปสั สัมภะยัง จติ ตะสงั ขารัง ปัสสะสสิ สามีติ สกิ ขะติ ยอ่ มทำ� ในบทศกึ ษาวา่ เราเป็นผทู้ �ำจติ ตสงั ขารใหร้ ำ� งบั อยู่ จกั หายใจออก ดงั น้ี (จะตุกกะทส่ี าม) จิตตะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติ ภิกษนุ ้ัน ยอ่ มท�ำในบทศึกษาว่า เราเปน็ ผรู้ พู้ ร้อมเฉพาะซึ่งจติ จกั หายใจเขา้ ดังน้ี จิตตะปะฏสิ งั เวที ปัสสะสสิ สามตี ิ สกิ ขะติ ยอ่ มท�ำในบทศึกษาวา่ เราเป็นผรู้ ู้พรอ้ มเฉพาะซึ่งจิต จกั หายใจออก ดังน้ี ๑๑๖

อะภิปปะโมทะยงั จติ ตงั อัสสะสิสสามตี ิ สกิ ขะติ ภกิ ษนุ ั้น ย่อมทำ� ในบทศกึ ษาว่า เราเป็นผทู้ ำ� จติ ใหป้ ราโมทย์ยิง่ อยู่ จกั หายใจเขา้ ดงั นี้ อะภิปปะโมทะยงั จิตตงั ปสั สะสสิ สามีติ สิกขะติ ยอ่ มท�ำในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผทู้ ำ� จิตใหป้ ราโมทย์ยิ่งอยู่ จกั หายใจออก ดงั น้ี สะมาทะหงั จิตตัง อสั สะสสิ สามตี ิ สกิ ขะติ ภิกษนุ นั้ ยอ่ มท�ำในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ท�ำจิตใหต้ ง้ั มัน่ อยู่ จักหายใจเข้า ดังน้ี สะมาทะหงั จิตตงั ปสั สะสิสสามตี ิ สกิ ขะติ ยอ่ มท�ำในบทศึกษาวา่ เราเป็นผู้ทำ� จติ ให้ตั้งม่นั อยู่ จักหายใจออก ดงั นี้ วิโมจะยัง จิตตัง อัสสะสสิ สามีติ สิกขะติ ภิกษนุ ั้น ย่อมทำ� ในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผู้ทำ� จิตใหป้ ล่อยอยู่ จกั หายใจเขา้ ดงั น้ี วโิ มจะยงั จติ ตัง ปัสสะสิสสามีติ สกิ ขะติ ยอ่ มทำ� ในบทศึกษาวา่ เราเปน็ ผู้ทำ� จิตให้ปลอ่ ยอยู่ จักหายใจออก ดังนี้ ๑๑๗

(จะตุกกะทีส่ )่ี อะนิจจานปุ ัสสี อสั สะสิสสามตี ิ สิกขะติ ภกิ ษนุ ั้น ยอ่ มทำ� ในบทศกึ ษาวา่ เราเปน็ ผู้ตามเหน็ ซ่ึงความไม่เท่ียงอยู่เปน็ ประจ�ำ จักหายใจเข้า ดงั น้ี อะนจิ จานุปัสสี ปสั สะสิสสามตี ิ สกิ ขะติ ยอ่ มทำ� ในบทศึกษาว่า เราเปน็ ผตู้ ามเหน็ ซง่ึ ความไม่เที่ยงอยเู่ ปน็ ประจำ� จักหายใจออก ดงั นี้ วริ าคานุปสั สี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ภิกษนุ ้ัน ยอ่ มทำ� ในบทศกึ ษาวา่ เราเป็นผ้ตู ามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ� จกั หายใจเข้า ดงั นี้ วิราคานปุ ัสสี ปัสสะสิสสามตี ิ สิกขะติ ยอ่ มท�ำในบทศกึ ษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความจางคลายอยเู่ ป็นประจำ� จกั หายใจออก ดังน้ี นิโรธานปุ สั สี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ภิกษุนน้ั ยอ่ มท�ำในบทศึกษาวา่ เราเป็นผตู้ ามเห็นซ่ึงความดบั ไม่เหลืออย่เู ปน็ ประจำ� จกั หายใจเข้า ดงั น้ี ๑๑๘

นโิ รธานปุ ัสสี ปสั สะสสิ สามตี ิ สกิ ขะติ ยอ่ มท�ำในบทศกึ ษาวา่ เราเป็นผตู้ ามเหน็ ซ่ึงความดบั ไม่เหลืออยู่เปน็ ประจ�ำ จักหายใจออก ดงั น้ี ปะฏนิ ิสสคั คานุปสั สี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ ภกิ ษนุ ัน้ ย่อมท�ำในบทศกึ ษาว่า เราเปน็ ผ้ตู ามเห็นซ่ึงความสลดั คืนอยเู่ ป็นประจ�ำ จักหายใจเขา้ ดงั นี้ ปะฏนิ สิ สคั คานปุ ัสสี ปัสสะสสิ สามตี ิ สิกขะติ ย่อมทำ� ในบทศึกษาว่า เราเป็นผู้ตามเห็นซึ่งความสลัดคนื อยู่เปน็ ประจ�ำ จกั หายใจออก ดงั นี้ เอวัง ภาวติ า โข ภกิ ขะเว อานาปานะสะต,ิ เอวงั พะหลุ กี ะตา ดูกอ่ นภิกษุท้งั หลาย อานาปานสตอิ นั บคุ คลเจริญแลว้ ท�ำให้มากแล้ว อยา่ งนีแ้ ล มะหัปผะลา โหติ มะหานิสังสา ย่อมมผี ลใหญ่ มอี านิสงส์ใหญ่ อติ ิ ด้วยประการฉะน้แี ล ๑๑๙

ธมั มปหงั สนปาฐะ หันทะ มะยัง ธมั มะปะหงั สะนะสะมาทะปะนาทิวะจะนะ ปาฐงั ภะณามะ เส เอวัง สวฺ ากขาโต ภกิ ขะเว มะยา ธมั โม ดูกอ่ นภิกษทุ งั้ หลาย ธรรม เปน็ ธรรมอันเรากลา่ วดีแลว้ อย่างนี้ อตุ ตาโน เป็นธรรมอันทำ� ให้เป็นดจุ ของคว�่ำทห่ี งายแลว้ ววิ ะโฏ เปน็ ธรรมอนั ทำ� ใหเ้ ปน็ ดุจของปิดท่เี ปิดแลว้ ปะกาสิโต เปน็ ธรรมอันเราตถาคตประกาศกอ้ งแล้ว ฉินนะปิโลติโก เป็นธรรมมีสว่ นข้ีริ้วอันเราตถาคตเฉอื นออก หมดสนิ้ แลว้ เอวงั สฺวากขาเต โข ภิกขะเว มะยา ธมั เม ดกู ่อนภิกษุทั้งหลาย เมอ่ื ธรรมน้ีเป็นธรรมอันเรากล่าวดีแลว้ อยา่ งนี้ อะลงั เมวะ ย่อมเปน็ การสมควรแล้วน่นั เทียว ๑๒๐

สัทธา ปัพพะชเิ ตนะ กุละปตุ เตนะ วริ ยิ ัง อาระภิตุง ทกี่ ลุ บตุ รผบู้ วชแลว้ ดว้ ยศรัทธา จะพงึ ปรารภการกระท�ำความเพียร กามัง ตะโจ จะ นะหารุ จะ อฏั ฐิ จะ อะวะสสิ สะตุ ดว้ ยการอธษิ ฐานจติ วา่ แม้หนังเอน็ กระดกู เท่านั้นจักเหลืออยู่ สะรีเร อุปะสสุ สะตุ มงั สะโลหติ งั เนอ้ื และเลอื ดในสรีระน้ีจักเหือดแห้งไปกต็ ามที ยันตงั ปรุ ิสะถาเมนะ ปรุ ิสะวิรเิ ยนะ ปรุ ิสะปะรักกะเมนะ ปตั ตัพพงั ประโยชนใ์ ดอนั บุคคลจะพึงลถุ ึงไดด้ ว้ ยกำ� ลงั ดว้ ยความเพียร ความบากบนั่ ของบุรษุ นะ ตงั อะปาปุณิตวฺ า ปรุ ิสัสสะ วริ ิยัสสะ สณั ฐานงั ภะวิสสะตีติ ถา้ ยังไมบ่ รรลุประโยชนน์ ั้นแล้ว จักหยุดความเพยี รของบุรษุ เสยี เป็นไมม่ ี ดังนี้ ทกุ ขัง ภิกขะเว กสุ โี ต วหิ ะระติ ดูกอ่ นภิกษทุ ้งั หลาย คนผูเ้ กยี จครา้ นยอ่ มอย่เู ปน็ ทกุ ข์ โวกณิ โณ ปาปะเกหิ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ ระคนอยูด่ ้วยอกุศลธรรมอนั ลามกท้ังหลายด้วย ๑๒๑

มะหันตญั จะ สะทัตถัง ปะรหิ าเปติ ย่อมทำ� ประโยชน์อันใหญห่ ลวงของตนใหเ้ สื่อมดว้ ย อารัทธะวริ โิ ย จะ โข ภกิ ขะเว สุขัง วหิ ะระติ ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย บคุ คลผมู้ ีความเพยี ร อันปรารภแลว้ ยอ่ มอยู่เป็นสุข ปะวิวิตโต ปาปะเกหิ อะกสุ ะเลหิ ธมั เมหิ สงดั แลว้ จากอกุศลธรรมอนั ลามกทง้ั หลายดว้ ย มะหันตัญจะ สะทัตถงั ปะรปิ เู รติ ย่อมทำ� ประโยชนอ์ ันใหญ่หลวงของตนให้บรบิ รู ณด์ ้วย นะ ภิกขะเว หีเนนะ อัคคัสสะ ปัตติ โหติ ดกู ่อนภิกษทุ ั้งหลาย การบรรลธุ รรมอนั เลิศ ดว้ ยการกระทำ� อันเลว ย่อมมีไม่ไดเ้ ลย อัคเคนะ จะ โข อัคคัสสะ ปัตติ โหติ แตก่ ารบรรลธุ รรมอนั เลศิ ดว้ ยการกระท�ำอันเลิศ ยอ่ มมีได้แล มัณฑะเปยยะมิทัง ภกิ ขะเว พฺรัหมฺ ะจะริยงั ดกู ่อนภิกษทุ ัง้ หลาย พรหมจรรยน์ ้ีน่าดืม่ เหมือนมณั ฑะยอดโอชาแห่งโครส สัตถา สัมมขุ ีภโู ต ทง้ั พระศาสดากอ็ ยู่ ณ ท่เี ฉพาะหน้านี้แล้ว ๑๒๒

ตสั ฺมาตหิ ะ ภกิ ขะเว วริ ิยัง อาระภะถะ ดูก่อนภิกษุทัง้ หลาย เพราะฉะน้ัน เธอทง้ั หลายจงปรารภความเพียรเถดิ อปั ปัตตัสสะ ปัตติยา เพือ่ การบรรลถุ ึงซงึ่ ธรรมอนั ยังไม่บรรลุ อะนะธิคะตัสสะ อะธคิ ะมายะ เพื่อการถึงทับซง่ึ ธรรมอันยังไม่ถึงทบั อะสจั ฉกิ ะตสั สะ สัจฉิกิริยายะ เพื่อการกระทำ� ให้แจ้งซึ่งธรรมอันยงั ไม่ไดท้ �ำให้แจง้ เอวงั โน อะยัง อมั หากัง ปัพพัชชา เมอ่ื เป็นอย่างน้ี บรรพชานี้ของเราท้งั หลาย อะวงั กะตา อะวญั ฌา ภะวสิ สะติ จกั เป็นบรรพชาไม่ต่ำ� ทราม จักไมเ่ ปน็ หมนั เปลา่ สะผะลา สะอุทะระยา แตจ่ ักเปน็ บรรพชาท่ีมีผล เป็นบรรพชาทมี่ ีกำ� ไร เยสงั มะยัง ปะรภิ ญุ ชามะ จวี ะระปิณฑะปาตะ- เสนาสะนะคิลานะปจั จะยะเภสัชชะปะริกขารัง พวกเราทง้ั หลาย บรโิ ภคจีวรบณิ ฑบาตเสนาสนะและเภสชั ของชนทงั้ หลายเหลา่ ใด ๑๒๓

เตสัง เต การา อมั เหสุ การกระท�ำน้ันๆ ของชนทั้งหลายเหลา่ นน้ั ในเราทั้งหลาย มะหปั ผะลา ภะวิสสนั ติ มะหานสิ งั สาติ จักเป็นการกระท�ำมผี ลใหญ่ มอี านิสงสใ์ หญ่ ดงั น้ี เอวัง หิ โว ภิกขะเว สกิ ขิตัพพงั ดูกอ่ นภกิ ษุทัง้ หลาย เธอทงั้ หลายพึงทำ� ความสำ� เหนียกอยา่ งนี้แล อัตตัตถงั วา หิ ภกิ ขะเว สัมปัสสะมาเนนะ ดูก่อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เม่อื บุคคลมองเหน็ อยู่ซึง่ ประโยชนแ์ ห่งตนกต็ าม อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สมั ปาเทตงุ ก็ควรแล้วนั่นเทยี ว เพือ่ ยังประโยชนแ์ ห่งตน ให้ถงึ พร้อมดว้ ยความไม่ประมาท ปะรัตถงั วา หิ ภิกขะเว สมั ปัสสะมาเนนะ ดูก่อนภกิ ษุทง้ั หลาย เมอ่ื บุคคลมองเหน็ อยู่ ซงึ่ ประโยชน์แห่งชนเหลา่ อ่ืนก็ตาม อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สมั ปาเทตุง กค็ วรแลว้ นัน่ เทยี ว เพือ่ ยงั ประโยชนแ์ หง่ ชนเหลา่ อืน่ ให้ถึงพรอ้ มดว้ ยความไมป่ ระมาท ๑๒๔

อุภะยตั ถงั วา หิ ภิกขะเว สมั ปัสสะมาเนนะ ดกู ่อนภิกษุทัง้ หลาย หรอื ว่าเมอ่ื บุคคลมองเหน็ อยู่ ซึ่งประโยชน์ของท้งั สองฝ่ายกต็ าม อะละเมวะ อปั ปะมาเทนะ สัมปาเทตุง กค็ วรแลว้ นัน่ เทียว เพือ่ ยังประโยชน์ของท้ังสอง ฝ่ายน้นั ให้ถงึ พรอ้ มด้วยความไม่ประมาท อติ ิ ดังนแี้ ล ๑๒๕

มงคลสูตร (ทางแห่งความเจริญ) หันทะ มะยัง มงั คะละสุตตะปาฐงั ภะณามะ เส  พะหู เทวา มะนุสสา จะ มงั คะลานิ อะจินตะยงุ อากังขะมานา โสตถานัง พรฺ หู ิ มังคะละมตุ ตะมัง บุคคลผู้หนึ่งได้กราบทูลถามพระผ้มู พี ระภาคเจ้าวา่ หมเู่ ทวดาและมนษุ ยท์ ัง้ หลาย มงุ่ หมายความเจริญ กา้ วหนา้ แลว้ แต่ส่ิงใดเล่าคอื มงคลอันแทจ้ ริง ขอพระองค์ทรงบอกทางมงคลอันสงู สดุ เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสตอบดงั น้ีวา่ อะเสวะนา จะ พาลานงั การไมค่ บคนพาล ปัณฑติ านัญจะ เสวะนา การคบบณั ฑิต ปูชา จะ ปูชะนยี านัง การบูชาต่อบคุ คลท่คี วรบูชา เอตมั มงั คะละมุตตะมงั กิจเหล่าน้ีเปน็ มงคลอนั สูงสดุ ปะฏิรปู ะเทสะวาโส จะ การอยใู่ นประเทศอันสมควร ๑๒๖

ปุพเพ จะ กะตะปญุ ญะตา การเปน็ ผทู้ �ำบุญไวใ้ นกาลก่อน อัตตะสมั มาปะณิธิ จะ การต้งั ตนไวช้ อบ เอตัมมังคะละมตุ ตะมัง กจิ เหลา่ นี้เปน็ มงคลอันสูงสุด พาหุสจั จญั จะ การเป็นผ้ไู ด้ยินได้ฟังมาก สปิ ปญั จะ การมศี ลิ ปวทิ ยา วนิ ะโย จะ สสุ ิกขโิ ต วนิ ัยทศ่ี ึกษาดแี ลว้ สภุ าสติ า จะ ยา วาจา วาจาทเี่ ปน็ สภุ าษติ เอตมั มังคะละมุตตะมงั กจิ เหล่าน้ีเป็นมงคลอันสงู สุด มาตาปติ อุ ปุ ัฏฐานงั การบำ� รงุ เล้ยี งมารดาบิดา ปุตตะทารัสสะ สงั คะโห การสงเคราะห์บุตรและภรรยา ๑๒๗

อะนากลุ า จะ กมั มันตา การงานท่ไี มย่ ุ่งเหยิงสับสน เอตมั มงั คะละมุตตะมงั กจิ เหลา่ นเ้ี ป็นมงคลอันสูงสดุ ทานญั จะ การบำ� เพ็ญทาน ธัมมะจะรยิ า จะ การประพฤติธรรม ญาตะกานัญจะ สงั คะโห การสงเคราะห์หม่ญู าตมิ ิตร อะนะวัชชานิ กัมมานิ การงานอนั ปราศจากโทษ เอตมั มงั คะละมตุ ตะมงั กจิ เหลา่ นี้เป็นมงคลอันสูงสุด อาระตี วิระตี ปาปา การงดเวน้ จากบาปกรรม มัชชะปานา จะ สญั ญะโม การเหนยี่ วร้ังใจไว้ไม่ด่ืมน�้ำเมา อปั ปะมาโท จะ ธมั เมสุ การไมป่ ระมาทในธรรมทงั้ หลาย ๑๒๘

เอตัมมังคะละมุตตะมัง กจิ เหลา่ นี้เปน็ มงคลอันสูงสุด คาระโว จะ ความเคารพอ่อนน้อม นวิ าโต จะ ความออ่ นน้อมถอ่ มตัวไม่เยอ่ หยง่ิ สนั ตุฏฐี จะ ความสันโดษยินดีในของท่ีมีอยู่ กะตญั ญุตา ความเปน็ คนกตัญญู กาเลนะ ธมั มสั สะวะนงั การฟังธรรมตามกาล เอตัมมงั คะละมุตตะมงั กจิ เหล่าน้ีเป็นมงคลอันสูงสดุ ขนั ตี จะ ความอดทน โสวะจสั สะตา ความเป็นคนว่างา่ ยสอนง่าย สะมะณานัญจะ ทัสสะนงั การไดพ้ บสมณะผูส้ งบจากกิเลส ๑๒๙

กาเลนะ ธัมมะสากจั ฉา การสนทนาธรรมกันตามกาล เอตมั มงั คะละมตุ ตะมงั กจิ เหลา่ น้ีเปน็ มงคลอนั สงู สดุ ตะโป จะ มีความเพยี รเผากเิ ลส พรฺ หั มฺ ะจะริยญั จะ การประพฤติพรหมจรรย์ อะรยิ ะสัจจานะ ทัสสะนงั การเห็นอริยสัจ นพิ พานะสัจฉิกริ ิยา จะ การทำ� ใหแ้ จ้งซงึ่ พระนพิ พาน เอตัมมังคะละมุตตะมัง กิจเหลา่ นเ้ี ปน็ มงคลอนั สูงสุด ผุฏฐสั สะ โลกะธัมเมหิ จิตตงั ยัสสะ นะ กมั ปะติ จิตของผู้ใดอันโลกธรรม๑ ทงั้ หลายกระทบแลว้ ไมห่ ว่นั ไหว อะโสกัง เป็นจิตไม่เศรา้ โศก ๑ อา่ นว่า  โลก-กะ-ธรรม ๑๓๐

วิระชงั เปน็ จิตไร้ธลุ กี ิเลส เขมงั เปน็ จติ อันเกษมศานต์ เอตัมมงั คะละมุตตะมัง กจิ เหลา่ น้เี ปน็ มงคลอนั สงู สดุ เอตาทสิ านิ กตั วฺ านะ สพั พตั ถะมะปะราชติ า, สัพพัตถะ โสตถงิ คัจฉันติ ตนั เตสัง มังคะละมตุ ตะมัง หมมู่ นษุ ยท์ ั้งหลาย ถ้าไดก้ ระทำ� มงคลทงั้ ๓๘ ประการนี้ให้มใี นตนแล้ว จะเป็นผู้ไมพ่ า่ ยแพ๑้  ในทีท่ ้ังปวง ยอ่ มถงึ ความสวสั ดใี นทกุ สถาน ทัง้ หมดน้เี ป็นมงคล คอื เหตุใหถ้ ึงความเจริญกา้ วหนา้ อันสูงสุดของมนุษย์ทง้ั หลายโดยแท้ อิติ ด้วยประการฉะนแ้ี ล ๑ ไม่ถูกอกุศลธรรมครอบงำ� ๑๓๑

ปราภวสุตตปาฐะ (ทางแหง่ ความเส่ือม) หันทะ มะยัง ปะราภะวะสตุ ตะปาฐงั ภะณามะ เส สวุ ิชาโน ภะวัง โหติ ผู้ร้ดู ีเป็นผเู้ จรญิ ทุวชิ าโน ปะราภะโว ผ้รู ชู้ วั่ เป็นผ้เู ส่อื ม ธมั มะกาโม ภะวัง โหติ ผู้ใคร่ธรรมเป็นผ้เู จริญ ธัมมะเทสสี ปะราภะโว ผูเ้ กลยี ดชงั ธรรมเป็นผู้เส่อื ม อะสันตสั สะ ปิยา โหนติ นะ สันเต กุรุเต ปยิ งั , อะสะตัง ธัมมัง โรเจติ ตงั ปะราภะวะโต มุขงั เขานั้นทำ� ความรกั ในอสัตบรุ ษุ ๑ ไมท่ ำ� ความรกั ในสตั บรุ ษุ ๒ เขาชอบใจธรรมในอสัตบรุ ุษ ขอ้ นัน้ เป็นทางแห่งความเสอ่ื ม ๑ อา่ นว่า  อะ - สัด - บุ - หรดุ ๒ อา่ นว่า  สัด - บุ - หรดุ ๑๓๒

นิททาสลี ี สะภาสลี ี อะนุฏฐาตา จะ โย นะโร, อะละโส โกธะปัญญาโน ตงั ปะราภะวะโต มขุ งั ผใู้ ดเป็นผู้ชอบนอนหลบั ชอบพูดคยุ ไม่ขยนั เกยี จคร้านการงาน และเปน็ คนมกั โกรธ ข้อนน้ั เปน็ ทางแหง่ ความเสือ่ ม โย มาตะรัง ปติ ะรัง วา ชณิ ณะกัง คะตะโยพพะนัง, ปะหสุ ันโต นะ ภะระติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง ผู้ใดมีความสามารถอยู่ ไม่เลีย้ งดบู ิดามารดา ผู้ชรา อนั มวี ยั หนุม่ ผ่านไปแล้ว ข้อน้ันเปน็ ทางแหง่ ความเสือ่ ม โย พรฺ าหมฺ ะณัง สะมะณัง วา อัญญัง วาปิ วะณิพพะกงั , มุสาวาเทนะ วญั เจติ ตงั ปะราภะวะโต มุขัง ผู้ใดหลอกลวงสมณะพราหมณ์ หลอกแมว้ ณิพกคนขอทานอ่นื ใดดว้ ยมุสาวาท ขอ้ นนั้ เป็นทางแหง่ ความเส่ือม ปะหุตะวติ โต ปรุ ิโส สะหริ ัญโญ สะโภชะโน, เอโก ภญุ ชะติ สาธนู ิ ตัง ปะราภะวะโต มุขงั ผใู้ ดมีทรพั ย์มีเงนิ มขี องเหลอื กินเหลอื ใช้ เขาบรโิ ภคสง่ิ ที่ดๆี น้นั แต่ผู้เดยี ว ขอ้ นนั้ เป็นทางแหง่ ความเสอ่ื ม ๑๓๓

ชาตถิ ัทโธ ธะนะถัทโธ โคตตะถทั โธ จะ โย นะโร, สญั ญาติมะติมัญเญติ ตัง ปะราภะวะโต มขุ งั ผูใ้ ดหยง่ิ เพราะชาตกิ ำ� เนิด หยง่ิ เพราะทรัพย์ หย่ิงเพราะโคตร แลว้ ดูหม่นิ ซ่ึงญาติของตน ข้อนนั้ เป็นทางแห่งความเสือ่ ม อิตถีธุตโต สุราธุตโต อกั ขะธตุ โต จะ โย นะโร, ลทั ธัง ลัทธัง วินาเสติ ตงั ปะราภะวะโต มขุ งั ผูใ้ ดเปน็ นกั เลงหญิง นกั เลงสรุ า และนักเลง เลน่ การพนัน เขาได้ทำ� ลายทรพั ยท์ ่ีหาได้มา ให้พนิ าศฉบิ หายไป ขอ้ น้นั เปน็ ทางแหง่ ความเสือ่ ม เสหิ ทาเรหิ อะสันตฏุ โฐ เวสยิ าสุ ปะทุสสะติ, ทุสสะติ ปะระทาเรสุ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง ผ้ใู ดไมพ่ อใจรกั ใครใ่ นภรรยาตน กลับไปเทยี่ วซุกซน กบั หญงิ แพศยา และลอบทำ� ชู้กับภรรยาของผอู้ ่ืน ขอ้ น้นั เปน็ ทางแหง่ ความเสือ่ ม อะตีตะโยพพะโน โปโส อาเนติ ติมพะรตุ ถะนงิ , ตัสสา อสิ สา นะ สุปปะติ ตัง ปะราภะวะโต มขุ ัง ชายแก่ผู้มวี ยั หนุ่มผา่ นไปแล้ว ไดน้ ำ� หญิงสาวน้อยมาเป็นภรรยา เขานอนไม่หลับ เพราะความหงึ หวงและห่วงอาลยั ในหญิงนนั้ ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสอื่ ม ๑๓๔

อติ ถิง โสณฑงิ วิกริ ณิ ิง ปุรสิ ัง วาปิ ตาทสิ ัง, อิสสะรยิ ัสมฺ ิง ฐะเปติ ตัง ปะราภะวะโต มุขงั ชายใดต้ังหญิงนกั เลงใช้จ่ายสรุ ่ยุ สุรา่ ยมาเป็นแมเ่ รือน และหรอื หญงิ ใดตัง้ ชายนักเลงใช้จา่ ยสรุ ่ยุ สรุ า่ ย มาเปน็ พ่อเรือน ขอ้ น้นั เป็นทางแห่งความเส่ือม อัปปะโภโค มะหาตณั โฺ ห ขัตติเย ชายะเต กเุ ล, โส จะ รชั ชัง ปตั ถะยะติ ตัง ปะราภะวะโต มขุ งั ผใู้ ดมีโภคะน้อย แตม่ ีความอยากใหญ่ ปรารถนาราชสมบัติ ข้อนน้ั เปน็ ทางแห่งความเสอื่ ม เอเต ปะราภะเว โลเก ปณั ฑิโต สะมะเวกขิยะ, อะรโิ ย ทัสสะนะสมั ปันโน สะโลเก ภะชะเต สิวงั ผเู้ ปน็ บัณฑิตสมบูรณด์ ว้ ยทัสสนะอันประเสรฐิ ไดเ้ หน็ เหตุแห่งความเสื่อมทงั้ หลายเหล่าน้นั ชัดแลว้ ท่านย่อมละเว้นสิ่งเหล่านเ้ี สีย เมอ่ื เปน็ เช่นนัน้ ทา่ นจึงพบและเสพแต่โลกซง่ึ มีแตค่ วามเจริญ อิติ ดงั น้ีแล ๑๓๕

มติ ตามติ ตคาถา หนั ทะ มะยัง มติ ตามิตตะคาถาโย ภะณามะ เส อญั ญะทัตถหุ ะโร มติ โต มติ รปอกลอก๑น�ำไปทางเสอ่ื มอยา่ งเดียว โย จะ มิตโต วะจปี ะระโม มติ รใดดีแตพ่ ูด๒ อะนุปปิยญั จะ โย อาหุ มิตรใดกลา่ วค�ำประจบ๓ อะปาเยสุ จะ โย สะขา มิตรใดเป็นเพอื่ นชวนฉิบหาย๔ เอเต อะมติ เต จัตตาโร อิติ วญิ ญายะ ปัณฑิโต บัณฑติ พิจารณาเหน็ วา่ คนท้งั ๔ จำ� พวกนี้ มใิ ช่มิตรแล้ว อาระกา ปะริวชั เชยยะ พึงหลีกเลี่ยงเสยี ใหห้ ่างไกล มคั คงั ปะฏภิ ะยงั ยะถา เหมือนคนเดนิ ทาง เว้นทางอันมภี ัยเสียฉะนั้น ๑ คิดเอาแตไ่ ด้ฝ่ายเดียว, ยอมเสียน้อย หวังเอาให้มาก, เมอื่ ตัวมภี ยั จึงมาชว่ ยทำ� กิจของเพ่ือน, คบเพื่อน เพราะเห็นแกผ่ ลประโยชน์ ๒ ดีแตย่ กของลว่ งแลว้ มาพดู , ดีแตอ่ ้างของยงั ไมม่ ีมาพูด, สงเคราะหด์ ้วยส่งิ หาประโยชนม์ ไิ ด้, เมือ่ เพ่ือนมีกิจ อ้างเหตุขดั ข้อง ๓ จะท�ำชั่วกเ็ ออออ, จะท�ำดีก็เออออ, ตอ่ หนา้ สรรเสรญิ , ลบั หลงั นินทา ๔ เพ่ือนด่มื น้�ำเมา, เพอ่ื นเท่ียวกลางคืน, เพื่อนดูการละเลน่ , เพื่อนเล่นการพนัน ๑๓๖


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook