เทวตาอุยโยชนคาถา ใชส้ วดตอ่ ทา้ ยเจ็ดตำ�นาน สิบสองตำ�นาน เพอื่ อญั เชญิ เทวดากลับ ทกุ ขัปปตั ตา จะ นทิ ทกุ ขา ภะยัปปตั ตา จะ นิพภะยา โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สพั เพปิ ปาณโิ น เอตตาวะตา จะ อัมเหห ิ สัมภะตงั ปญุ ญะสัมปะทงั สัพเพ เทวานุโมทนั ตุ สพั พะสมั ปัตติสิทธยิ า ทานงั ทะทนั ตุ สัทธายะ สลี ัง รักขันตุ สพั พะทา ภาวะนาภิระตา โหนต ุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา ฯ สัพเพ พทุ ธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานญั จะ ยงั พะลงั อะระหนั ตานญั จะ เตเชนะ รกั ขงั พันธามิ สพั พะโส ฯ นกั ขัตตยกั ขะภตู านงั ปาปัคคะหะนวิ าระณา ปะรติ ตสั สานุภาเวนะ หนั ตฺวา เตสัง อุปทั ทะเว ฯ ๒๓๗
คำ� แปลถวายพรพระ เพราะเหตุดังน้ี พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ันเป็น พระอรหนั ต์เปน็ ผ้ตู รัสรเู้ องโดยชอบ เป็นผูถ้ ึงพร้อมแลว้ ด้วยวชิ ชา และจรณะ เปน็ ผ้เู สดจ็ ไปดแี ลว้ เป็นผทู้ รงรู้แจ้งโลก เป็นผฝู้ กึ บรุ ุษ ให้ละพยศร้าย ไมม่ ีผใู้ ดเทยี ม เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ยท์ ั้ง หลาย เปน็ พทุ ธะ เพราะตรสั รเู้ องและใหผ้ อู้ น่ื รดู้ ว้ ย เปน็ ภควา เพราะ ตรัสรู้พร้อมกบั ได้สพั พญั ญตุ ญาณ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ประเสริฐแล้ว อันบุคคลพึงเห็นด้วยตัวเอง เป็นส่ิงไม่มีกาลเวลา เป็น ความจริงท่ีจะร้องเรียกผู้อื่นมาดูได้ เป็นธรรมอันบุคคล พึงทำ� ใหแ้ จง้ เป็นสภาพอันวญิ ญูชนทงั้ หลายพึงรเู้ ฉพาะตัว ดังน้ี พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติถูกต้องแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว พระสงฆ์นี้คือผู้ใด คือพระอริยบุคคลนับเป็นคู่ได้ ๔ นับเรียง องค์ได้ ๘, นี่คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรแก่การสักการะ เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควร แก่ทักษิณาทาน เป็นผู้ควรแก่อัญชลีกรรม เป็นเน้ือนาบุญ ของโลกไมม่ ีนาบุญอนื่ ยง่ิ กวา่ ดังนี้ ๒๓๘
ถวายพรพระ บทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคณุ อิตปิ ิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสมั พุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปนั โน สคุ ะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พทุ โธ ภะคะวาติ สว๎ฺ ากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปสั สิโก โอปะนะยโิ ก ปัจจตั ตงั เวทิตัพโพ วิญญหู ีติ สุปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อชุ ปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะททิ ัง จัตตาริ ปุรสิ ะยคุ านิ อัฏฐะปุรสิ ะปคุ คะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทกั ขิเณยโย อัญชะลีกะระณโี ย อะนตุ ตะรัง ปญุ ญกั เขตตงั โลกัสสาติ ฯ ๒๓๙
คำ� แปลพทุ ธชัยมงคลคาถา พระจอมมุนีทรงได้ชัยชนะพญามารผู้นิรมิตแขนต้ังพัน ถอื อาวธุ ครบมอื ขช่ี า้ งครเี มขละพรอ้ มดว้ ยเสนามาร โหร่ อ้ งกอ้ งกกึ ด้วยธรรมวิธี มีทานบารมี เป็นต้น ด้วยเดชแห่งพระจอมมุน ี พระองคน์ นั้ ขอชยั มงคลท้ังหลายจงมแี กท่ า่ น พระจอมมนุ ที รงชนะอาฬวกยกั ษ์ ผโู้ หดรา้ ยบา้ คลง่ั นา่ สะพรงึ กลวั ซึ่งต่อสู้กับพระองค์ตลอดท้ังคืน รุนแรงยิ่งกว่าพญามารจนละ พยศร้ายได้ส้ิน ด้วยขันติวิธีอันพระองค์ฝึกไว้ดีแล้ว ด้วยเดชแห่ง พระจอมมุนี พระองคน์ น้ั ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมแี ก่ทา่ น พระจอมมุนีทรงได้ชัยชนะพญาช้างช่ือนาฬาคิรี ซ่ึงก�ำลัง ตกมันจัด ทารุณโหดร้ายย่ิงนกั ดังไฟป่า จักราวุธ หรือสายฟ้า ดว้ ยวธิ รี ดดว้ ยน�้ำพระเมตตา ดว้ ยเดชแหง่ พระจอมมนุ พี ระองคน์ น้ั ขอชัยมงคลทงั้ หลายจงมีแก่ท่าน พระจอมมนุ ที รงไดช้ ยั ชนะ มหาโจรองคลุ มี าล ในมอื ถอื ดาบ เงอื้ ง่า โหดร้ายทารุณยิ่ง วง่ิ ไลต่ ามพระองค์ หา่ งออกไปเปน็ ทางถึง ๓ โยชน์ ดว้ ยทรงบนั ดาลมโนมยทิ ธิ คือฤทธ์ทิ างใจ ดว้ ยเดชแห่ง พระจอมมุนพี ระองค์นน้ั ขอชยั มงคลทง้ั หลายจงมีแกท่ า่ น ๒๔๐
พุทธชัยมงคลคาถา เรยี กอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ พาหงุ มหากาฯ เปน็ บทสวดสรรเสรญิ ชัยชนะของพระพทุ ธเจ้า พาหงุ สะหัสสะมะภนิ ิมมิตะสาวุธนั ตัง คร๎ฺ เี มขะลงั อทุ ิตะโฆระสะเสนะมารงั ทานาทธิ มั มะวิธนิ า ชติ ะวา มุนนิ โท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ มาราติเรกะมะภยิ ชุ ฌิตะสพั พะรัตติง โฆรมั ปะนาฬะวะกะมักขะมะถทั ธะยกั ขัง ขนั ตสี ทุ นั ตะวิธนิ า ชติ ะวา มุนนิ โท ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ นาฬาคริ ิง คะชะวะรงั อะตมิ ัตตะภตู ัง ทาวคั คิจกั กะมะสะนวี ะ สุทารุณนั ตัง เมตตัมพุเสกะวธิ นิ า ชติ ะวา มุนนิ โท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ อุกขิตตะขัคคะมะตหิ ัตถะสทุ ารุณนั ตงั ธาวันตโิ ยชะนะปะถงั คุลิมาละวันตงั อทิ ธภี สิ งั ขะตะมะโน ชิตะวา มนุ นิ โท ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ ๒๔๑
พระจอมมุนีทรงได้ชัยชนะ ค�ำกล่าวใส่ร้ายท่ามกลาง ชุมชนของนางจิญจมาณวิกา ผู้ผูกท่อนไม้ซ่อนไว้ที่ท้อง แสร้งท�ำ เป็นหญงิ มคี รรภ์ ด้วยความจริง ด้วยความสงบเยอื กเยน็ ดว้ ยเดช แหง่ พระจอมมุนี พระองค์นนั้ ขอชัยมงคลทง้ั หลายจงมีแกท่ า่ น พระจอมมุนที รงได้ชัยชนะ สัจจกนคิ รนถ์ ผู้มืดมนย่ิงนกั เชิดชูลัทธิของตนว่าจริงแท้อย่างเลิศลอยราวกับชูธงข้ึนฟ้ามุ่งมา โต้วาทะกับพระองค์ ด้วยพระปัญญาดังประทีปอันโชติช่วง ด้วย เดชแห่งพระจอมมุนพี ระองคน์ น้ั ขอชยั มงคลทั้งหลายจงมแี ก่ทา่ น พระจอมมุนีทรงได้ชัยชนะพญานาค ช่ือนันโทปนันทะ ผมู้ ฤี ทธมิ์ าก หลงผดิ โดยโปรดใหพ้ ระโมคคลั ลานะเถระพทุ ธชโิ นรส ไปปราบให้เช่ืองด้วยวิธีแนะน�ำให้ใช้อิทธิฤทธิ์ ด้วยเดชแห่ง พระจอมมุนีพระองค์นนั้ ขอชยั มงคลท้งั หลายจงมแี กท่ ่าน พระจอมมนุ ที รงได้ชยั ชนะ พรหมชือ่ ทา้ วพกะ ผู้รัดรึงทฏิ ฐ ิ คือความเห็นผิดไว้แนบแน่นดังมือถูกงูกัดติด โดยส�ำคัญผิดว่าตน บริสุทธิ์ มีฤทธิร์ งุ่ โรจน์ ด้วยวิธีวางพระโอสถคือเทศนาญาณดว้ ย เดชแหง่ พระจอมมนุ ีพระองค์นน้ั ขอชยั มงคลท้งั หลายจงมแี กท่ า่ น แมน้ รชนใดไมเ่ กยี จครา้ น สวดกด็ ี ระลกึ กด็ ี ซงึ่ พทุ ธชยั มงคล- ๘ คาถานที้ กุ วนั ๆ นรชนนน้ั จะพึงละเสยี ได้ ซ่งึ อุปัทวันตรายต่างๆ เป็นอเนก ถงึ ซง่ึ วิโมกข์สิวาลัย อันเปน็ บรมสขุ แล ๒๔๒
กตั ๎ฺวานะ กัฏฐะมทุ ะรงั อิวะ คพั ภนิ ียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนงั ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวธิ นิ า ชติ ะวา มุนนิ โท ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ สจั จงั วหิ ายะ มะตสิ จั จะกะวาทะเกตงุ วาทาภิโรปิตะมะนงั อะติอันธะภตู งั ปัญญาปะทีปะชะลโิ ต ชติ ะวา มุนนิ โท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ ฯ นนั โทปะนนั ทะภุชะคงั วพิ ธุ ัง มะหทิ ธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต อทิ ธูปะเทสะวธิ นิ า ชติ ะวา มนุ นิ โท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ ฯ ทุคคาหะทฏิ ฐิภชุ ะเคนะ สุทัฏฐะหตั ถัง พ๎ฺรัหฺ๎มงั วิสทุ ธชิ ตุ มิ ิทธพิ ะกาภธิ านงั ญาณาคะเทนะ วิธินา ชติ ะวา มุนนิ โท ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมงั คะลานิ ฯ เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอฏั ฐะคาถา โย วาจะโน ทนิ ะทเิ น สะระเต มะตันที หิต๎วฺ านะเนกะวิวิธานิ จปุ ทั ทะวานิ โมกขงั สขุ ัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปญั โญ ฯ ๒๔๓
คำ� แปลชัยปริตร พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นท่ีพึ่งของสัตว์ ทรงประกอบด้วย พระมหากรุณา ทรงบ�ำเพ็ญพระบารมีทั้งปวง เพ่ือประโยชน์ เกอ้ื กลู แกส่ รรพสตั ว์ ทรงบรรลพุ ระสมั โพธญิ าณอนั สงู สดุ แลว้ ดว้ ย การกลา่ วค�ำสตั ย์นี้ ขอชยั มงคลจงมแี ก่ท่าน ขอท่านจงมีชัยชนะในชัยมงคลพิธี เหมือนพระจอมมุนี ผู้ยังความปีติยินดีให้เพ่ิมพูนแก่ชาวศากยะ ทรงมีชัยชนะมาร ณ โคนไม้โพธิพฤกษ์ ทรงถึงความเป็นผู้เลิศ ทรงปีติปราโมทย์ อยู่เหนืออะปะราชิตะบัลลังก์อันสูง เป็นจอมมหาปฐพี อันเป็น ทอี่ ภิเษกของพระพุทธเจ้าทกุ พระองค์ ฉนั นนั้ เถิด เวลาท่ีสัตว์ประพฤติชอบ ชื่อว่า ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี ความพยายามดี ช่ัวขณะหน่ึงดี ชั่วครู่หน่ึงดี และการบูชาดีแก่ สงฆ์ผู้บริสุทธิ์ กายกรรมอันเป็นกุศล วจีกรรมอันเป็นกุศล มโนกรรมอันเปน็ กุศล ความปรารถนาของทา่ นอนั เป็นกศุ ล ผูไ้ ด้ กระทำ� กรรมอันเป็นกุศล ย่อมประสบโชคดแี ล ค�ำแปลโส อัตถลัทโธ ท่านผู้เป็นบุรุษ จงเป็นผู้ได้รับประโยชน์ถึงซึ่งความสุขกาย เจริญ งอกงามในบวรพระพุทธศาสนา เปน็ ผหู้ าโรคมิได้ มีความส�ำราญใจพรอ้ ม ดว้ ยหม่ญู าติท้ังปวงเถิด ท่านผู้เป็นสตรี จงเป็นผู้ได้รับประโยชน์ถึงซ่ึงความสุขกาย เจริญ งอกงามในบวรพระพทุ ธศาสนา เป็นผหู้ าโรคมิได้ มคี วามสำ� ราญใจพรอ้ ม ด้วยหม่ญู าตทิ ง้ั ปวงเถิด ทา่ นผเู้ ปน็ บรุ ษุ และสตรที งั้ หลาย จงเปน็ ผไู้ ดร้ บั ประโยชนถ์ งึ ซง่ึ ความ สุขกาย เจริญงอกงามในบวรพระพุทธศาสนา เป็นผู้หาโรคมิได้ มีความ สำ� ราญใจพร้อมด้วยหมญู่ าติทัง้ ปวงเถิด ๒๔๔
ชยั ปรติ ร บทพรรณนาชัยชนะของพระพทุ ธเจ้า นยิ มสวดเอาฤกษ์ เอาชัยและประพรมนำ�้ พระพุทธมนต์ มะหาการณุ ิโก นาโถ หติ ายะ สัพพะปาณนิ งั ปูเรตว๎ฺ า ปาระมี สัพพา ปตั โต สมั โพธิมตุ ตะมัง เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลงั ฯ ชะยนั โต โพธิยา มูเล สักฺย๎ านงั นนั ทวิ ฑั ฒะโน เอวัง ตฺวงั วิชะโย โหห ิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชติ ะปัลลังเก สีเส ปะฐะวโิ ปกขะเร อะภเิ สเก สัพพะพุทธานงั อัคคปั ปตั โต ปะโมทะติ ฯ สนุ กั ขัตตงั สุมังคะลัง สปุ ะภาตัง สหุ ุฏฐติ งั สุขะโณ สุมหุ ุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รฺ หั มฺ๎ ะจาริสุ ปะทักขณิ งั กายะกัมมัง วาจากมั มัง ปะทักขณิ งั ปะทักขณิ งั มะโนกมั มงั ปะณธิ ี เต ปะทกั ขิณา ปะทักขิณานิ กตั ฺ๎วานะ ละภนั ตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ โส อตั ถลทั โธ โส อัตถะลัทโธ สุขโิ ต วิรฬุ โห พทุ ธะสาสะเน อะโรโค สขุ ิโต โหห ิ สะหะ สพั เพหิ ญาติภิ สา อตั ถะลทั ธา สุขิตา วริ ฬุ หา พุทธะสาสะเน อะโรคา สขุ ิตา โหหิ สะหะ สพั เพหิ ญาติภิ เต อัตถะลัทธา สขุ ติ า วริ ฬุ หา พุทธะสาสะเน อะโรคา สขุ ิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิ ญาติภิ ฯ ๒๔๕
คำ� แปลพระสังคณี ธรรมทเ่ี ปน็ กศุ ลใหผ้ ลเปน็ สขุ มกี ามาวจรกศุ ลเปน็ ตน้ ธรรม ที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น ธรรมท่ีเป็น อัพยากฤตเป็นจิตกลางๆ มีอยู่ มีผัสสะเจตนาเป็นต้น ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุขย่อมบังเกิดข้ึนอย่างไรบ้าง จิตท่ีเป็น กศุ ลใหผ้ ลเปน็ สขุ ยอ่ มนำ� สตั วใ์ หไ้ ปเกดิ ในกามภพทงั้ เจด็ คอื มนษุ ย์ ๑ สวรรค์ ๖ ยอ่ มบงั เกดิ มแี กป่ ถุ ชุ นผเู้ ปน็ สามญั ชนเปน็ ไปพรอ้ มกบั จิตดว้ ยท่เี ป็นโสมนสั ความสุขใจ ประกอบพร้อมด้วยญาณเคร่อื งร ู้ คือปัญญามีจิตยินดีในรูป มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นอารมณ์ บา้ ง, มจี ติ ยนิ ดีในเสยี ง มเี สยี งทา่ นแสดงพระสทั ธรรมเป็นตน้ เป็น อารมณบ์ า้ ง, มจี ติ ยนิ ดใี นกลนิ่ หอม แลว้ คดิ ถงึ การกศุ ล มพี ทุ ธบชู า เป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง, มีจิตยินดีในรสเครื่องบรโิ ภค แล้วยินดี ใครบ่ รจิ าคเปน็ ทานเปน็ ตน้ เปน็ อารมณบ์ า้ ง, มจี ติ ยนิ ดใี นกายสมั ผสั อันถูกต้อง แล้วก็คิดให้ทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง, มีจิตยินดี ในท่ีเจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน มีพุทธานุสสติเป็นต้นเป็น อารมณบ์ า้ ง, อกี อยา่ งหนง่ึ ความปรารภแหง่ จติ กเ็ กดิ ขนึ้ ในอารมณ ์ ใดๆ ความกระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดข้ึน ในสมัยนั้น อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันแน่แน่วในสันดานก็ย่อม บังเกิดข้นึ อีกอย่างหนงึ่ ธรรมท้ังหลายเหล่าใดกย็ อ่ มบังเกิดข้นึ ในกาลสมยั นนั้ ธรรมทัง้ หลายอาศัยซ่ึงจติ ทงั้ หลายอ่ืนมีอย่ ู แล้ว อาศัยกันและกันก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม เป็นแต่นามธรรมท้ังหลาย ไม่มีรูป ธรรมทั้งหลายเหล่านชี้ ื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุขแก่สัตว์ ท้ังหลายแล ๒๔๖
พระสงั คณี กุสะลา ธมั มา อะกุสะลา ธมั มา อัพยฺ๎ ากะตา ธัมมา ฯ กะตะเม ธมั มา กุสะลา ฯ ยัสม๎ฺ ิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลงั จติ ตงั อปุ ปนั นงั โหต,ิ โสมะนสั สะสะหะคะตงั ญาณะสมั ปะยตุ ตงั , รูปารัมมะณัง วา สัททารัมมะณัง วา, คันธารัมมะณัง วา ระสารมั มะณงั วา, โผฏฐพั พารมั มะณงั วา ธมั มารมั มะณงั วา, ยัง ยงั วา ปะนารัพภะ, ตัส๎ฺมงิ สะมะเย ผสั โส โหติ อะวกิ เขโป โหติ, เย วา ปะนะ ตัสฺ๎มิง สะมะเย อญั เญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมปุ ปนั นา, อะรูปโิ น ธัมมา, อิเม ธมั มา กสุ ะลา ฯ ๒๔๗
คำ� แปลพระวิภังค์ กองแหง่ ธรรมชาตทิ งั้ หลายมี ๕ ประการ รปู ๒๘ มมี หาภตู รปู ๔ เป็นตน้ เป็นกองอันหนง่ึ ความเสวยอารมณ์ เปน็ สุขและเป็น ทุกข์ เปน็ โสมนัสและโทมนัส และอเุ บกขา เปน็ กองอันหนง่ึ ความ จ�ำได้หมายรู้ในรูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ อัน บงั เกดิ ในจิต เป็นกองอนั หนง่ึ เจตสิกธรรม ๕๐ ดวง เป็นเคร่อื ง ปรงุ แต่งจติ ให้คดิ อ่านไปต่างๆ มีบุญเจตสกิ เป็นต้นทใี่ หส้ ตั ว์บงั เกิด เปน็ กองอันหนงึ่ วิญญาณจิต ๘๙ ดวงโดยสงั เขป เป็นเครอ่ื งรู้แจง้ วิเศษมีจักขุวิญญาณเป็นต้น เป็นกองอันหน่ึง กองแห่งรูปใน ปญั จขนั ธ์ทง้ั หลายนนั้ เป็นอย่างไรบ้าง รูปอันใดอันหนงึ่ รูปที่เป็น อดีตอนั กา้ วลว่ งไปแลว้ และรปู ทเ่ี ป็นอนาคตอันยังมาไม่ถึง และ รูปท่ีเป็นปัจจุบันอยู่ เป็นรูปภายในหรือ หรือว่าเป็นรูปภายนอก เปน็ รปู อนั หยาบหรอื หรอื วา่ เปน็ รปู อนั ละเอยี ดสขุ มุ เปน็ รปู อนั เลว ทรามหรอื หรอื ว่าเป็นรปู อันประณตี บรรจง เปน็ รูปในท่ไี กลหรือ หรือว่าเป็นรูปในท่ีใกล้ พระผู้มีพระภาคทรงประมวลเข้าย่ิงแล้ว ซง่ึ รูปนนั้ เป็นหมวดเดียวกัน พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ยน่ ยอ่ เข้ายงิ่ แลว้ กองแห่งรูปธรรมอันน้ี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าเป็น รปู ขันธ์ แล ๒๔๘
พระวิภังค์ ปัญจกั ขนั ธา, รปู กั ขันโธ, เวทะนากขันโธ, สญั ญากขนั โธ, สังขารักขนั โธ, วิญญาณกั ขนั โธ, ตตั ถะ กะตะโม รูปักขนั โธ ฯ ยังกิญจิ รปู ัง อะตีตานาคะตะปจั จุปปันนงั , อัชฌตั ตงั วา พะหทิ ธา วา, โอฬาริกงั วา สขุ มุ งั วา, หนี งั วา ปะณตี ัง วา, ยัง ทูเร วา สันติเก วา, ตะเทกชั ฌัง อะภสิ ญั ญหู ิตวฺ๎ า อะภิสังขปิ ิตว๎ฺ า, อะยัง วจุ จะติ รูปักขันโธ ฯ ๒๔๙
คำ� แปลพระธาตกุ ถา พระพทุ ธองคส์ งเคราะหซ์ ง่ึ เจตสกิ รปู เขา้ ในขนั ธเ์ ปน็ หมวด ๑ พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซ่ึงรูปธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็น หมวด ๑ พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรมอัน สงเคราะห์แล้ว, พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งเจตสิกรูป ด้วยธรรม อนั มไิ ดส้ งเคราะห,์ พระพทุ ธองคส์ งเคราะหซ์ ง่ึ เจตสกิ รปู ดว้ ยธรรม อนั สงเคราะหแ์ ล้ว, พระพุทธองค์ไม่สงเคราะหซ์ ึง่ เจตสกิ รปู ดว้ ย ธรรมอนั มิไดส้ งเคราะห,์ เจตสกิ ธรรมทั้งหลายอันประกอบพร้อม กบั จิต ๕๕, เจตสกิ ธรรมทง้ั หลายอนั ประกอบแตกต่างกนั กบั จิต, ประกอบเจตสิกอันต่างกัน ด้วยเจตสิกอันประกอบพร้อมกันเป็น หมวดเดียว, ประกอบเจตสิกอันบังเกิดพร้อมกัน ด้วยเจตสิกอัน ตา่ งกันเป็นหมวดเดยี ว, พระพุทธองคไ์ ม่สงเคราะหซ์ งึ่ ธรรมอนั ไม่ สมควรสงเคราะหใ์ ห้ระคนกัน ๒๕๐
พระธาตกุ ถา สังคะโห อะสงั คะโห ฯ สังคะหเิ ตนะ อะสังคะหติ งั , อะสงั คะหิเตนะ สงั คะหติ งั , สงั คะหิเตนะ สังคะหิตัง, อะสงั คะหเิ ตนะ อะสังคะหิตงั ฯ สัมปะโยโค วปิ ปะโยโค ฯ สัม ปะยุตเตนะ วปิ ปะยุตตัง วปิ ปะยตุ เตนะ สัมปะยุตตัง, อะสงั คะหติ งั ฯ ๒๕๑
ค�ำแปลปคุ คลปัญญัตติ ธรรมชาตทิ ั้งหลาย ๖ ประการ อันบัณฑติ ได้บญั ญตั ไิ ว้ ได้แก่ ขนั ธบัญญัติ คือ กองแห่งรปู และนาม, อายตนะบัญญตั ิ คือ ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ อนั เป็นบอ่ เกดิ แห่งตณั หา, ธาตุบญั ญัติ คอื ธาตุทัง้ ๔ ดิน น�้ำ ไฟ ลม, สจั จะบญั ญตั ิ คอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ คอื ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ มรรค, อนิ ทรีย์บญั ญตั ิ คอื อินทรีย์ทั้ง ๒๒ และบุคคลบญั ญตั ิ อันบุคคลบญั ญัติ จำ� แนกเปน็ ๒๐ พวกคือ พระอรยิ บคุ คล ผ้มู ี จติ พ้นวเิ ศษเป็นสมัยอยู่ มีพระโสดาบนั เปน็ ต้น, พระอริยบุคคล ผู้มีจติ พ้น วิเศษไมม่ ีสมยั มพี ระอรหันต์เป็นตน้ , ฌานทีเ่ ปน็ เครอ่ื งฆา่ กิเลส อันบคุ คล ได้แล้ว ย่อมก�ำเริบสูญไป, ฌานท่ีเป็นเครื่องเผากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ย่อมไมก่ �ำเรบิ , ฌานท่ีเปน็ เครอื่ งฆา่ กิเลส อนั บุคคลได้สูงขึ้นไปแลว้ ย่อม เส่ือมถอยลง, ฌานท่ีเป็นเคร่ืองเผากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อม ไม่เส่ือมถอย, ฌานท่ีเป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ไม่สามารถท่ี จะรักษาไว้ในสนั ดาน, ฌานท่เี ปน็ เครื่องฆา่ กิเลส อนั บุคคลได้แลว้ ก็ตาม รกั ษาไวใ้ นสันดาน, บุคคลทม่ี ีอาสวะเคร่ืองยอ้ มใจ อันหนาแน่นในสนั ดาน, บุคคลท่ีเจริญในพระกรรมฐานตลอดขึ้นไปถึงโคตรภู, บุคคลที่เป็นปุถุชน ย่อมมีความกลัวเป็นเบ้ืองหน้า, บุคคลผู้มีความกลัวอันสิ้นแล้ว, บุคคล ผู้มีวาสนาอันแรงกล้า สามารถจะได้มรรคและผลในชาตินนั้ , บุคคลผู้มี วาสนาอนั นอ้ ย ไมส่ ามารถจะได้รับมรรคผลในชาตนิ น้ั , บคุ คลผู้กระทำ� ซง่ึ ปัญจอนนั ตริกรรมมีปิตุฆาตเป็นต้น, บุคคลผู้มีคติปฏิสนธิไม่เท่ียง ย่อม เป็นไปตามยถากรรม, บุคคลผู้ปฏิบัติม่ันเหมาะในพระกรรมฐาน เพ่ือจะ ได้พระอริยมรรค, บุคคลผู้ต้ังอยู่ในพระอริยผล มีพระโสดาบันปัตติผล เป็นต้นตามล�ำดับ, บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็น ผู้ไกลแลว้ จากกิเลส, บุคคลผปู้ ฏิบัตเิ พื่อจะให้ถงึ พระอรหตั ตผล เป็นผู้ควร แล้ว เปน็ ผไู้ กลแลว้ จากกเิ ลสฯ ๒๕๒
พระปคุ คลปญั ญตั ติ ฉะ ปญั ญตั ตโิ ย ฯ ขนั ธะปญั ญตั ต,ิ อายะตะนะปญั ญตั ต,ิ ธาตุ ปัญญัตต,ิ สัจจะปญั ญตั ติ, อินทรฺ๎ ยิ ะปญั ญัตติ, ปคุ คะละปญั ญตั ติ ฯ กติ ตาวะตา ปคุ คะลานงั ปคุ คะละปญั ญตั ติ ฯ สะมะยะวมิ ุตโต อะสะมะยะวิมุตโต, กปุ ปะธัมโม อะกปุ ปะธัมโม, ปะริหานะธมั โม อะปะริหานะธัมโม, เจตะนาภัพโพ อะนรุ กั ขะนาภัพโพ, ปถุ ุชชะโน โคต๎รฺ ะภ,ู ภะยปู ะระโต อะภะยูปะระโต, ภพั พาคะมะโน อะภพั พาคะมะโน, นยิ ะโต อะนิ ยะโต, ปะฏปิ ันนะโก ผะเลฏฐิโต, อะระหา อะระหัตตายะ ปะฏิ ปนั โน ฯ ๒๕๓
คำ� แปลพระกถาวัตถุ สกวาทถี ามว่า สัตว์บุคคลชายหญิง ย่อมมีได้โดยอรรถ แจ่มแจง้ โดยปรมตั ถค์ อื อรรถสูงสดุ หรอื ปรวาทีตอบว่า ยอ่ มมไี ด้ สกวาทถี ามวา่ อรรถแจม่ แจง้ เปน็ จรงิ อรรถอยา่ งยง่ิ สงู สดุ ใด สตั วบ์ คุ คลชายหญงิ นนั้ ยอ่ มมไี ดโ้ ดยอรรถแจม่ แจง้ เปน็ จรงิ โดย อรรถ อย่างย่งิ สูงสุดนน้ั หรอื ปรวาทีตอบวา่ ไม่พงึ กล่าวอยา่ งนน้ั เลย สกวาทีกลา่ วว่า ทา่ นจงยอมรบั นคิ คหะคอื โทษควรขม่ ข่ี ถา้ สตั วบ์ คุ คลชายหญงิ ยอ่ มมไี ดโ้ ดยอรรถแจม่ แจง้ เปน็ จรงิ โดยอรรถ อยา่ งยิ่งสูงสุดไซร้ ทา่ นผเู้ จรญิ เพราะเหตนุ นั้ แล เมอ่ื พงึ กลา่ ววา่ “อรรถแจม่ แจง้ เปน็ จรงิ อรรถอยา่ งยง่ิ สงู สดุ ใดๆ สตั วบ์ คุ คลชายหญงิ นน้ั ยอ่ มมไี ดโ้ ดยอรรถ แจม่ แจง้ เปน็ จรงิ โดยอรรถอยา่ งยง่ิ สงู สดุ นนั้ ” ยอ่ มเปน็ ค�ำกลา่ วผดิ คำ� แปลพระยมกะ ธรรมทง้ั หลายเหลา่ ใดเหลา่ หนง่ึ ธรรมทง้ั หลายนน้ั เปน็ กศุ ล มูล (คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ทง้ั สนิ้ ), กห็ รือว่า ธรรมทง้ั หลาย เหลา่ ใดเปน็ กศุ ลมูล, ธรรมทงั้ หลายเหลา่ นน้ั เป็นกุศลธรรมทง้ั สิ้น ธรรมทั้งหลายเป็นกุศลเหล่าใดเหล่าหนง่ึ , ธรรมทั้งหลาย เหล่านนั้ ทั้งสิ้นมีมูลเป็นอันเดียวกันกับกุศลมูล, ก็หรือว่า ธรรม ทงั้ หลายเหล่าใด มีมลู เปน็ อนั เดียวกันกับกศุ ลมลู , ธรรมเหล่านน้ั เปน็ กุศลธรรมทั้งส้ิน ๒๕๔
พระกถาวตั ถุ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ ฯ อามันตา ฯ โย สัจฉกิ ัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉกิ ัตถะปะระมัตเถนาติ ฯ นะเหวัง วตั ตพั เพ ฯ อาชานาหิ นคิ คะหัง หญั จ,ิ ปคุ คะโล อุปะลัพภะต,ิ สจั ฉกิ ัตถะปะระมัตเถนะ, เตนะ วะตะ เร วตั ตัพเพ, โย สัจฉกิ ัตโถ ปะระมัตโถ, ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉกิ ตั ถะปะระมัตเถนาติ มจิ ฉา ฯ พระยมก เย เกจิ กุสะลา ธมั มา, สพั เพ เต กสุ ะละมลู า ฯ เย วา ปะนะ กสุ ะละมูลา, สัพเพ เต ธัมมา กสุ ะลา ฯ เย เกจิ กสุ ะลา ธมั มา, สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, เย วา ปะนะ กสุ ะละมเู ลนะ เอกะมูลา, สัพเพ เต ธมั มา กุสะลา ฯ ๒๕๕
ค�ำแปลพระมหำปฏั ฐำน ๑. ปจั จยั (เครอื่ งสนบั สนนุ ) ทเ่ี ปน็ เหต ุ ๒. ปจั จยั ทเี่ ปน็ อารมณ ์ ๓. ปจั จยั ทเ่ี ปน็ ใหญ ่ ๔. ปจั จยั ทไี่ มม่ อี ะไรคนั่ ๕. ปจั จยั ทกี่ ระชน้ั ชดิ ๖. ปจั จยั ทเี่ กดิ พรอ้ มกนั ๗. ปจั จยั ทอ่ี งิ อาศยั กนั ๘. ปจั จยั ทเี่ ปน็ ทอ่ี าศยั ๙. ปจั จยั ทเ่ี ปน็ เชอื้ ๑๐. ปจั จยั ทเ่ี กดิ กอ่ น ๑๑. ปจั จยั ทเ่ี กดิ ภายหลงั ๑๒. ปจั จยั ทส่ี ะสม ๑๓. ปจั จยั คอื กรรม ๑๔. ปจั จยั คอื ผลของกรรม ๑๕. ปัจจยั คืออาหาร ๑๖. ปจั จยั คอื อนิ ทรีย์ ๑๗. ปัจจยั คอื ฌาน ๑๘. ปจั จัยคอื มรรค ๑๙. ปจั จยั ทีเ่ ป็นตัวประกอบ ๒๐. ปจั จยั ท่ี ไมเ่ ปน็ ตวั ประกอบ ๒๑. ปจั จัยคือสิ่งที่มี ๒๒. ปัจจัยคอื สง่ิ ทีไ่ มม่ ี ๒๓. ปัจจัยท่ีพ้นไป ๒๔. ปจั จยั ท่ไี มพ่ น้ ไป ค�ำแปลบงั สุกุลตำย สังขารท้ังหลายไม่เท่ียงหนอ มีความเกิดขึ้นและมีความ เส่ือมไปเป็นธรรมดา เกิดข้ึนแล้วย่อมดับไป ความเข้าไปสงบ สังขารเหล่านน้ั เป็นสุข สตั ว์ทัง้ หลายท้ังปวงจะตาย ตายแลว้ และจักตาย ถงึ เรากจ็ ัก ตายอย่างนนั้ เหมอื นกัน ความสงสยั ในความตายนจี้ งึ ไมม่ ีแกเ่ รา ค�ำแปลบงั สกุ ลุ เป็น ไมน่ านหนอกายนจ้ี กั นอนทบั แผน่ ดนิ กายนไี้ มม่ วี ญิ ญาณ อนั บุคคลทิง้ แลว้ เหมือนท่อนไม้ไมม่ ีประโยชน์ ๒2๕5๖๐6๖
พระมหำปัฏฐำน เหตุปจั จะโย อำรัมมะณะปจั จะโย อะธปิ ะติปัจจะโย อะนนั ตะระปัจจะโย สะมะนนั ตะระปจั จะโย สะหะชำตะปจั จะโย อญั ญะมัญญะปจั จะโย นสิ สะยะปจั จะโย อปุ ะนสิ สะยะปัจจะโย ปเุ รชำตะปัจจะโย ปัจฉำชำตะปัจจะโย อำเสวะนะปจั จะโย กมั มะปจั จะโย วปิ ำกะปจั จะโย อำหำระปจั จะโย อนิ ทร๎ ยิ ะปจั จะโย ฌำนะปัจจะโย มัคคะปัจจะโย สมั ปะยตุ ตะปัจจะโย วปิ ปะยตุ ตะปจั จะโย อตั ถปิ จั จะโย นตั ถปิ จั จะโย วคิ ะตะปจั จะโย อะวคิ ะตะปจั จะโย ฯ บังสกุ ุลตำย อะนจิ จำ วะตะ สังขำรำ อุปปำทะวะยะธมั มิโน อปุ ปชั ชติ วฺ๎ ำ นิรุชฌันต ิ เตสงั วปู ะสะโม สโุ ข ฯ (๓ ครง้ั ) สัพเพ สตั ตำ มะรนั ต ิ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร ตะเถวำหัง มะรสิ สำม ิ นตั ถ ิ เม เอตถะ สังสะโย ฯ บังสุกลุ เป็น อะจริ ัง วะตะยงั กำโย ปะฐะวิง อะธเิ สสสะติ ฉฑุ โฑ อะเปตะวิญญำโณ นริ ตั ถงั วะ กะลงิ คะรงั ฯ (๓ คร้ัง) ๒25๕๖7๑๗
ค�ำแปลธัมสงั คิณีมำติกำ ธรรมท่ีเป็นกุศล ธรรมท่ีเป็นอกุศล ธรรมที่เป็นกลางมิได้ ชช้ี ดั ลงไป (วา่ เปน็ กุศลหรืออกุศล) ธรรมท่ีประกอบด้วยสุขเวทนา ธรรมท่ีประกอบด้วย ทุกขเวทนา ธรรมที่ประกอบดว้ ยเวทนาทีม่ ใิ ช่ทกุ ขม์ ใิ ชส่ ขุ ธรรมท่ีเป็นวิบาก (คือเป็นผล) ธรรมท่ีมีผลเป็นธรรมดา (คือเป็นเหตุ) ธรรมที่มีผลก็ไม่ใช่ ไม่มีผลก็ไม่ใช่เป็นธรรมดา (คอื ไม่ใชผ่ ล ไมใ่ ชเ่ หตุ) ธรรมทถ่ี กู ยดึ ถอื และเปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความยดึ ถอื ธรรมทไี่ มถ่ กู ยดึ ถอื แตเ่ ปน็ ทต่ี งั้ แหง่ ความยดึ ถอื ธรรมทไี่ มถ่ กู ยดึ ถอื และไมเ่ ปน็ ที่ตัง้ แห่งความยึดถือ ธรรมท่ีเศร้าหมอง และเปน็ ท่ีตั้งแห่งความเศร้าหมอง ธรรม ที่ไม่เศร้าหมอง แต่เป็นท่ีตั้งแห่งความเศร้าหมอง ธรรมที่ไม ่ เศรา้ หมอง และไมเ่ ป็นท่ตี ้งั แห่งความเศรา้ หมอง ธรรมที่มีทั้งวิตก (ความตรึก) และวิจารณ์ (ความตรอง) ธรรมทีไ่ ม่มวี ิตกมีแต่เพยี งวิจารณ ์ ธรรมท่ไี ม่มีท้งั วติ กและวิจารณ์ ธรรมทป่ี ระกอบดว้ ยปตี ิ (ความอม่ิ ใจ) ธรรมทป่ี ระกอบดว้ ย สขุ ธรรมทปี่ ระกอบด้วยอเุ บกขา ธรรมท่ีพึงละได้ด้วยทัสสนะ คือการเห็น (มรรคท่ี ๑) ธรรมทพ่ี งึ ละไดด้ ว้ ยภาวนา (มรรคท ี่ ๒, ๓ และ ๔) ธรรมทล่ี ะไมไ่ ด้ ดว้ ยทสั สนะและภาวนา ธรรมท่ีมีเหตอุ นั พึงละได้ด้วยทัสสนะ ธรรมทมี่ ีเหตุอนั พงึ ละ ไดด้ ว้ ยภาวนา ธรรมทม่ี ีเหตอุ ันไมพ่ ึงละไดด้ ้วยทงั้ ทสั สนะและภาวนา ๒๒2๕5๕๖8๘
ธัมมสงั คิณมี ำติกำ กุสะลำ ธมั มำ อะกุสะลำ ธมั มำ อพั ย๎ฺ ำกะตำ ธัมมำ ฯ สขุ ำยะ เวทะนำยะ สัมปะยตุ ตำ ธมั มำ ทกุ ขำยะ เวทะนำยะ สัมปะยุตตำ ธมั มำ อะทกุ ขะมะสขุ ำยะ เวทะนำยะ สมั ปะยุตตำ ธัมมำ ฯ วิปำกำ ธมั มำ วปิ ำกะธัมมะธมั มำ เนวะวิปำกะนะวิปำกะธมั มะธมั มำ ฯ อปุ ำทนิ นปุ ำทำนยิ ำ ธัมมำ อะนปุ ำทนิ นุปำทำนยิ ำ ธมั มำ อะนปุ ำทนิ นำนุปำทำนยิ ำ ธัมมำ ฯ สงั กลิ ฏิ ฐะสงั กเิ ลสกิ ำ ธมั มำ อะสงั กลิ ฏิ ฐะสงั กเิ ลสกิ ำ ธมั มำ อะสงั กลิ ฏิ ฐำสังกิเลสิกำ ธัมมำ ฯ สะวติ ักกะสะวิจำรำ ธมั มำ อะวิตักกะวจิ ำระมัตตำ ธมั มำ อะวติ ักกำวิจำรำ ธัมมำ ฯ ปีติสะหะคะตำ ธัมมำ สุขะสะหะคะตำ ธมั มำ อุเปกขำสะหะคะตำ ธัมมำ ฯ ทัสสะเนนะ ปะหำตพั พำ ธมั มำ ภำวะนำยะ ปะหำตัพพำ ธมั มำ เนวะทัสสะเนนะ นะภำวะนำยะ ปะหำตพั พำ ธัมมำ ฯ ทัสสะเนนะ ปะหำตพั พะเหตกุ ำ ธัมมำ ภำวะนำยะ ปะหำตพั พะเหตกุ ำ ธัมมำ เนวะทสั สะเนนะ นะภำวะนำยะ ปะหำตพั พะเหตุกำ ธัมมำ ฯ ๒2๕5๗9๙
ธรรมทไี่ ปสคู่ วามสะสมกเิ ลส ธรรมทไ่ี มไ่ ปสคู่ วามสะสมกเิ ลส ธรรมท่ีไม่เป็นท้งั สองอย่างนนั้ ธรรมของพระอริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษา ธรรมของพระ อริยบุคคลผไู้ มต่ อ้ งศึกษา ธรรมที่ไมเ่ ป็นทง้ั สองอยา่ งนนั้ ธรรมทเี่ ปน็ ของเล็กน้อย (กาม) ธรรมที่เป็นของใหญ่ (ฌาน) ธรรมท่ีหาประมาณมไิ ด ้ (มรรค ผล นพิ พาน) ธรรมที่มีธรรมเล็กน้อยเป็นอารมณ์ ธรรมท่ีมีธรรมใหญ ่ เปน็ อารมณ ์ ธรรมทม่ี ีธรรมหาประมาณมไิ ดเ้ ปน็ อารมณ์ ธรรมที่เลว ธรรมทีป่ านกลาง ธรรมทป่ี ระณตี ธรรมท่ีเป็นฝ่ายผิดและแน่นอน ธรรมที่เป็นฝ่ายถูกและ แน่นอน ธรรมท่ีไมแ่ นน่ อน ธรรมท่มี ีมรรคเป็นอารมณ ์ ธรรมที่มมี รรคเปน็ เหตุ ธรรม ท่มี ีมรรคเปน็ ใหญ่ ธรรมทเ่ี กดิ ข้ึนแล้ว ธรรมท่ยี งั ไม่เกิดขนึ้ ธรรมทจ่ี กั เกิดข้นึ ธรรมท่ีเป็นอดีต ธรรมทเี่ ปน็ อนาคต ธรรมทเี่ ป็นปจั จบุ ัน ธรรมท่ีมีอดีตเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีอนาคตเป็นอารมณ ์ ธรรมท่ีมีปจั จบุ นั เป็นอารมณ์ ธรรมที่เป็นภายใน ธรรมที่เป็นภายนอก ธรรมท่ีเป็นท้ัง ภายในและภายนอก ธรรมทมี่ อี ารมณภ์ ายใน ธรรมทม่ี อี ารมณภ์ ายนอก ธรรมที่ มีอารมณท์ ้ังภายในและภายนอก ธรรมทเี่ หน็ ทถ่ี กู ตอ้ งได ้ ธรรมทเี่ หน็ ไมไ่ ดแ้ ตถ่ กู ตอ้ งได ้ ธรรม ที่ทั้งเหน็ ไมไ่ ด้และถูกต้องไมไ่ ด้ ๒2๕๖60๘๐
อำจะยะคำมโิ น ธมั มำ อะปะจะยะคำมิโน ธมั มำ เนวำจะยะคำมโิ น นำปะจะยะคำมโิ น ธมั มำ ฯ เสกขำ ธัมมำ อะเสกขำ ธมั มำ เนวะเสกขำนำเสกขำ ธัมมำ ฯ ปะรติ ตำ ธัมมำ มะหคั คะตำ ธัมมำ อปั ปะมำณำ ธัมมำ ฯ ปะรติ ตำรัมมะณำ ธมั มำ มะหัคคะตำรมั มะณำ ธัมมำ อัปปะมำณำรมั มะณำ ธัมมำ ฯ หนี ำ ธมั มำ มชั ฌมิ ำ ธัมมำ ปะณตี ำ ธมั มำ ฯ มิจฉตั ตะนยิ ะตำ ธัมมำ สมั มัตตะนิยะตำ ธมั มำ อะนยิ ะตำ ธมั มำ ฯ มคั คำรัมมะณำ ธัมมำ มัคคะเหตุกำ ธัมมำ มัคคำธิปะติโน ธัมมำ ฯ อุปปนั นำ ธมั มำ อะนุปปันนำ ธมั มำ อุปปำทโิ น ธัมมำ ฯ อะตตี ำ ธมั มำ อะนำคะตำ ธมั มำ ปัจจปุ ปันนำ ธัมมำ ฯ อะตีตำรมั มะณำ ธมั มำ อะนำคะตำรัมมะณำ ธมั มำ ปัจจุปปันนำรมั มะณำ ธมั มำ ฯ อัชฌัตตำ ธมั มำ พะหทิ ธำ ธัมมำ อัชฌัตตะพะหทิ ธำ ธมั มำ ฯ อชั ฌตั ตำรัมมะณำ ธัมมำ พะหทิ ธำรัมมะณำ ธัมมำ อัชฌตั ตะพะหทิ ธำรมั มะณำ ธัมมำ ฯ สะนทิ ัสสะนะสปั ปะฏิฆำ ธมั มำ อะนทิ ัสสะนะสัปปะฏฆิ ำ ธมั มำ อะนทิ ัสสะนำปปะฏิฆำ ธัมมำ ฯ ๒2๕6๖1๙๑
ค�ำแปลพระมหำปฏั ฐำน ๑. ปจั จยั (เครอื่ งสนบั สนนุ ) ทเ่ี ปน็ เหต ุ ๒. ปจั จยั ทเี่ ปน็ อารมณ ์ ๓. ปจั จยั ทเ่ี ปน็ ใหญ ่ ๔. ปจั จยั ทไี่ มม่ อี ะไรคนั่ ๕. ปจั จยั ทกี่ ระชน้ั ชดิ ๖. ปจั จยั ทเ่ี กดิ พรอ้ มกนั ๗. ปจั จยั ทอี่ งิ อาศยั กนั ๘. ปจั จยั ทเ่ี ปน็ ทอี่ าศยั ๙. ปจั จยั ทเี่ ปน็ เชอื้ ๑๐. ปจั จยั ทเี่ กดิ กอ่ น ๑๑. ปจั จยั ทเ่ี กดิ ภายหลงั ๑๒. ปจั จยั ทสี่ ะสม ๑๓. ปจั จยั คอื กรรม ๑๔. ปจั จยั คอื ผลของกรรม ๑๕. ปัจจยั คอื อาหาร ๑๖. ปัจจัยคอื อินทรยี ์ ๑๗. ปจั จัยคอื ฌาน ๑๘. ปจั จัยคอื มรรค ๑๙. ปจั จยั ท่เี ป็นตัวประกอบ ๒๐. ปจั จยั ท่ี ไมเ่ ปน็ ตัวประกอบ ๒๑. ปัจจัยคือส่งิ ท่มี ี ๒๒. ปจั จยั คอื ส่ิงท่ีไม่มี ๒๓. ปัจจัยท่พี ้นไป ๒๔. ปัจจัยทไี่ มพ่ ้นไป คำ� แปลบังสุกุลตำย สังขารทั้งหลายไม่เท่ียงหนอ มีความเกิดขึ้นและมีความ เสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดข้ึนแล้วย่อมดับไป ความเข้าไปสงบ สงั ขารเหล่านน้ั เป็นสุข สัตว์ท้งั หลายทงั้ ปวงจะตาย ตายแล้ว และจกั ตาย ถึงเรากจ็ กั ตายอย่างนนั้ เหมือนกัน ความสงสยั ในความตายนจี้ ึงไม่มแี ก่เรา คำ� แปลบังสกุ ุลเปน็ ไมน่ านหนอกายนจ้ี กั นอนทบั แผน่ ดนิ กายนไ้ี มม่ วี ญิ ญาณ อนั บคุ คลทง้ิ แลว้ เหมอื นทอ่ นไม้ไมม่ ปี ระโยชน์ ๒2๖62๐๒
พระมหำปัฏฐำน เหตปุ จั จะโย อำรมั มะณะปัจจะโย อะธปิ ะติปัจจะโย อะนนั ตะระปจั จะโย สะมะนนั ตะระปัจจะโย สะหะชำตะปัจจะโย อญั ญะมญั ญะปัจจะโย นสิ สะยะปจั จะโย อปุ ะนสิ สะยะปจั จะโย ปเุ รชำตะปจั จะโย ปจั ฉำชำตะปัจจะโย อำเสวะนะปัจจะโย กมั มะปจั จะโย วปิ ำกะปจั จะโย อำหำระปจั จะโย อนิ ทร๎ ยิ ะปจั จะโย ฌำนะปจั จะโย มัคคะปจั จะโย สมั ปะยตุ ตะปจั จะโย วปิ ปะยตุ ตะปจั จะโย อตั ถปิ จั จะโย นตั ถปิ จั จะโย วคิ ะตะปจั จะโย อะวคิ ะตะปัจจะโย ฯ บงั สุกุลตำย อะนจิ จำ วะตะ สังขำรำ อุปปำทะวะยะธัมมิโน อุปปชั ชติ ฺ๎วำ นิรชุ ฌนั ติ เตสงั วปู ะสะโม สโุ ข ฯ (๓ ครง้ั ) สพั เพ สตั ตำ มะรันต ิ จะ มะริงสุ จะ มะริสสะเร ตะเถวำหงั มะริสสำม ิ นตั ถิ เม เอตถะ สังสะโย ฯ บังสุกุลเป็น อะจิรัง วะตะยงั กำโย ปะฐะวงิ อะธิเสสสะติ ฉฑุ โฑ อะเปตะวิญญำโณ นริ ตั ถังวะ กะลิงคะรัง ฯ (๓ ครัง้ ) ๒๒2๖6๖๑3๓
ธมั มจกั กัปปวัตตนสตู ร เอวมั เม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยงั ภะคะวำ, พำรำณะสยิ งั วหิ ะระต,ิ อสิ ปิ ะตะเน มคิ ะทำเย ฯ ตตั รฺ ะ โข ภะคะวำ ปญั จะวคั คเิ ย ภกิ ขู อำมันเตสิ ฯ เทฺ๎วเม ภิกขะเว อนั ตำ ปพั พะชิเตนะ นะ เสวติ พั พำ, โย จำยงั กำเมสุ กำมะสขุ ลั ลกิ ำนโุ ยโค, หโี น คัมโม โปถุชชะนโิ ก อะนะรโิ ย อะนตั ถะสญั หิโต, โย จำยงั อตั ตะกลิ ะมะถำนุโยโค ทกุ โข อะนะริโย อะนตั ถะสญั หิโต ฯ เอเต เต ภกิ ขะเว อโุ ภ อนั เต อะนุปะคัมมะ, มัชฌมิ ำ ปะฏิปะทำ ตะถำคะเตนะ อะภิสมั พุทธำ, จกั ขกุ ะระณี ญำณะกะ- ระณี อุปะสะมำยะ อะภญิ ญำยะ สมั โพธำยะ นิพพำนำยะ สงั วัตตะติ ฯ กะตะมำ จะ สำ ภิกขะเว มชั ฌมิ ำ ปะฏิปะทำ ตะถำคะ- เตนะ อะภิสัมพทุ ธำ, จักขกุ ะระณี ญำณะกะระณี อปุ ะสะมำยะ อะภิญญำยะ สมั โพธำยะ นพิ พำนำยะ สงั วัตตะต ิ ฯ อะยะเมวะ อะรโิ ย อฏั ฐงั คโิ ก มคั โค ฯ เสยยะถีทงั ฯ สัมมำทิฏฐิ สัมมำสังกปั โป, สัมมำวำจำ สมั มำกมั มันโต สมั มำ- อำชโี ว, สัมมำวำยำโม สัมมำสะติ สมั มำสะมำธ ิ ฯ อะยัง โข สำ ภกิ ขะเว มชั ฌมิ ำ ปะฏปิ ะทำ ตะถำคะเตนะ อะภิสัมพทุ ธำ, จกั ขุกะระณี ญำณะกะระณี อุปะสะมำยะ อะภญิ ญำยะ สมั โพธำยะ นพิ พำนำยะ สงั วัตตะติ ฯ ๒2๖64๔๒
อิทงั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทุกขงั อะรยิ ะสจั จัง ฯ ชำตปิ ิ ทกุ ขำ ชะรำปิ ทกุ ขำ มะระณัมปิ ทกุ ขัง, โสกะปริเทวะทกุ ขะโทมนสั สุปำ- ยำสำป ิ ทกุ ขำ, อัปปเิ ยหิ สมั ปะโยโค ทกุ โข ปิเยหิ วปิ ปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉงั นะ ละภะติ ตัมป ิ ทกุ ขงั , สังขิตเตนะ ปญั จปุ ำทำ- นักขนั ธำ ทกุ ขำ ฯ อทิ ัง โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจงั ฯ ยำยัง ตัณหำ โปโนพภะวกิ ำ นนั ทิรำคะสะหะคะตำ ตัตฺระ ตตั ฺรำ- ภนิ ันทนิ ี ฯ เสยยะถีทัง ฯ กำมะตณั หำ ภะวะตัณหำ วิภะวะ- ตัณหำ ฯ อิทงั โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะรยิ ะสัจจงั ฯ โย ตสั สำเยวะ ตัณหำยะ อะเสสะวิรำคะนโิ รโธ จำโค ปะฏินิสสัคโค มตุ ต ิ อะนำละโย ฯ อทิ งั โข ปะนะ ภกิ ขะเว ทุกขะนโิ รธะคำมิน ี ปะฏปิ ะทำ อะรยิ ะสจั จัง, อะยะเมวะ อะรโิ ย อฏั ฐงั คโิ ก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมำทฏิ ฐ ิ สัมมำสังกัปโป, สมั มำวำจำ สัมมำกมั มันโต สัมมำ อำชโี ว, สมั มำวำยำโม สมั มำสะต ิ สัมมำสะมำธิ ฯ อทิ ัง ทกุ ขงั อะรยิ ะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสส-ุ เตส ุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปำท ิ ญำณัง อุทะปำท ิ ปัญญำ อทุ ะ ปำทิ วิชชำ อุทะปำทิ อำโลโก อุทะปำท ิ ฯ ตงั โข ปะนิทัง ทกุ ขัง อะริยะสัจจงั ปะรญิ เญยยนั ติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสเุ ตส ุ ธมั เมส,ุ จักขงุ อุทะปำท ิ ญำณัง อทุ ะปำทิ ปัญญำ อทุ ะปำท ิ วิชชำ อุทะปำท ิ อำโลโก อทุ ะปำทิ ฯ ๒2๖65๓๕
ตงั โข ปะนิทงั ทุกขัง อะริยะสจั จัง ปะริญญำตันต ิ เม ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสเุ ตสุ ธัมเมส,ุ จกั ขงุ อทุ ะปำทิ ญำณัง อทุ ะปำทิ ปัญญำ อุทะปำท ิ วิชชำ อทุ ะปำทิ อำโลโก อทุ ะปำท ิ ฯ อิทัง ทุกขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสัจจันติ เม ภกิ ขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สุเตส ุ ธมั เมสุ, จกั ขุง อุทะปำทิ ญำณงั อุทะปำทิ ปัญญำ อทุ ะปำท ิ วิชชำ อุทะปำทิ อำโลโก อุทะปำทิ ฯ ตงั โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหำตัพ- พันติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ, จักขงุ อุทะปำท ิ ญำณัง อุทะปำท ิ ปัญญำ อทุ ะปำทิ วิชชำ อทุ ะปำท ิ อำโลโก อุทะปำทิ ฯ ตัง โข ปะนทิ งั ทกุ ขะสะมทุ ะโย อะรยิ ะสจั จงั ปะหีนนั ติ เม ภกิ ขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมส,ุ จักขงุ อุทะปำท ิ ญำณัง อทุ ะปำท ิ ปญั ญำ อุทะปำทิ วิชชำ อทุ ะปำท ิ อำโลโก อทุ ะปำท ิ ฯ อทิ ัง ทุกขะนิโรโธ อะรยิ ะสจั จนั ต ิ เม ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปำท ิ ญำณงั อุทะปำท ิ ปัญญำ อทุ ะปำท ิ วชิ ชำ อุทะปำทิ อำโลโก อุทะปำทิ ฯ ตงั โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะนิโรโธ อะริยะสจั จัง สัจฉิกำตัพพันต ิ เม ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จกั ขุง อทุ ะปำท ิญำณัง อุทะปำท ิ ปญั ญำ อทุ ะปำทิ วชิ ชำ อทุ ะปำทิ อำโลโก อุทะปำทิ ฯ ตัง โข ปะนทิ งั ทกุ ขะนโิ รโธ อะริยะสัจจงั สจั ฉิกะตนั ต ิ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธัมเมสุ, จักขงุ อทุ ะปำทิ ญำณัง อทุ ะปำท ิ ปญั ญำ อุทะปำท ิ วิชชำ อทุ ะปำท ิ อำโลโก อทุ ะปำทิ ฯ ๒2๖6๔6๖
อิทัง ทกุ ขะนิโรธะคำมินี ปะฏิปะทำ อะริยะสัจจนั ติ เม ภกิ ขะเว, ปุพเพ อะนะนสุ สเุ ตสุ ธมั เมส,ุ จักขงุ อทุ ะปำท ิ ญำณัง อุทะปำท ิ ปัญญำ อทุ ะปำท ิ วชิ ชำ อุทะปำทิ อำโลโก อุทะปำท ิ ฯ ตงั โข ปะนทิ ัง ทกุ ขะนิโรธะคำมนิ ี ปะฏิปะทำ อะริยะสัจจัง ภำเวตพั พันต ิ เม ภิกขะเว, ปพุ เพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมส,ุ จักขุง อทุ ะปำทิ ญำณงั อุทะปำท ิ ปัญญำ อุทะปำทิ วชิ ชำ อุทะปำทิ อำโลโก อทุ ะปำทิ ฯ ตัง โข ปะนิทัง ทกุ ขะนิโรธะคำมนิ ี ปะฏปิ ะทำ อะรยิ ะสัจจงั ภำวิตนั ติ เม ภกิ ขะเว, ปพุ เพ อะนะนสุ สุเตส ุ ธัมเมส,ุ จกั ขงุ อุทะปำทิ ญำณงั อุทะปำท ิ ปญั ญำ อทุ ะปำท ิ วชิ ชำ อุทะปำท ิ อำโลโก อทุ ะปำทิ ฯ ยำวะกวี ัญจะ เม ภกิ ขะเว อเิ มส ุ จะตสู ุ อะรยิ ะสัจเจสุ, เอวันตปิ ะรวิ ัฏฏัง ทว๎ฺ ำทะสำกำรงั ยะถำภูตงั ญำณะทสั สะนงั นะ สวุ สิ ทุ ธงั อะโหส ิ ฯ เนวะ ตำวำหงั ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก สะมำระเก สะพรฺ หั ฺมะเก สสั สะมะณะพฺรำหมฺ ะณยิ ำ ปะชำยะ สะเทวะมะนุสสำยะ, อะนตุ ตะรัง สมั มำสมั โพธงิ อะภสิ ัมพทุ โธ ปัจจญั ญำสิง ฯ ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อเิ มส ุ จะตสู ุ อะริยะสจั เจสุ, เอวันตปิ ะรวิ ฏั ฏัง ทฺว๎ ำทะสำกำรัง ยะถำภตู งั ญำณะทสั สะนัง สุวสิ ธุ งั อะโหสิ ฯ อะถำหงั ภกิ ขะเว สะเทวะเก โลเก สะมำระเก สะพรฺ ัหมฺ ะเก, สัสสะมะณะพรฺ ำหมฺ ะณยิ ำ ปะชำยะ สะเทวะมะนุสสำยะ, อะนตุ - ตะรัง สมั มำสมั โพธิง อะภิสัมพุทโธ ปจั จญั ญำสงิ ฯ ๒2๖67๕๗
ญำณัญจะ ปะนะ เม ทสั สะนงั อทุ ะปำทิ, อะกปุ ปำ เม วิมตุ ต,ิ อะยะมนั ติมำ ชำติ, นตั ถิทำนิ ปนุ ัพภะโวต ิ ฯ อทิ ะมะโวจะ ภะคะวำ อัตตะมะนำ ปัญจะวัคคยิ ำ ภิกข ู ภะคะวะโต ภำสติ ัง อะภินันทุง ฯ อิมสั ฺมญิ จะ ปะนะ เวยยำกะ- ระณสั มฺ งิ ภญั ญะมำเน, อำยัสฺมะโต โกณฑัญญสั สะ วิระชัง วีตะมะลัง ธมั มะจกั ขงุ อุทะปำท,ิ ยังกญิ จ ิ สะมุทะยะธมั มัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันต ิ ฯ ปะวัตตเิ ต จะ ภะคะวะตำ ธัมมะจกั เก, ภุมมำ เทวำ สทั ทะ- มะนสุ สำเวสงุ เอตัมภะคะวะตำ พำรำณะสิยงั อิสปิ ะตะเน มคิ ะ- ทำเย อะนตุ ตะรัง ธมั มะจกั กงั ปะวัตตติ ัง, อปั ปะฏิวัตตยิ ัง สะมะเณนะ วำ พรฺ ำหมฺ ะเณนะ วำ เทเวนะ วำ มำเรนะ วำ พฺรัหฺมนุ ำ วำ เกนะจ ิ วำ โลกสั ฺมินต ิ ฯ ภมุ มำนงั เทวำนัง สทั ทัง สตุ วฺ ำ, จำตุมมะหำรำชกิ ำ เทวำ สัททะมะนุสสำเวสุง ฯ จำตมุ - มะหำรำชิกำนงั เทวำนัง สทั ทัง สตุ ฺวำ, ตำวะตงิ สำ เทวำ สทั ทะมะนุสสำเวสงุ ฯ ตำวะติงสำนงั เทวำนัง สทั ทงั สุตฺวำ, ยำมำ เทวำ สทั ทะมะนสุ สำเวสุง ฯ ยำมำนัง เทวำนงั สัททงั สตุ วำ, ตสุ ติ ำ เทวำ สทั ทะมะนุสสำเวสงุ ฯ ตุสติ ำนัง เทวำนัง สทั ทัง สุตฺวำ, ๒2๖68๖๘
นิมมำนะระตี เทวำ สทั ทะมะนุสสำเวสุง ฯ นมิ มำนะระ- ตนี งั เทวำนงั สทั ทงั สุตวฺ ำ, ปะระนมิ มติ ะวะสะวตั ตี เทวำ สัททะมะนุสสำเวสงุ ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวตั ตนี งั เทวำนงั สัททัง สตุ วฺ ำ, พรฺ ัหฺมะกำยิกำ เทวำ สทั ทะมะนสุ สำเวสุง, เอตัมภะคะวะตำ พำรำณะสิยงั อสิ ปิ ะตะเน มคิ ะทำเย อะนตุ ตะรัง ธมั มะจักกงั ปะวัตตติ ัง, อปั ปะฏิวัตติยงั สะมะเณนะ วำ พรฺ ำหมฺ ะเณนะ วำ เทเวนะ วำ มำเรนะ วำ พฺรัหมฺ ุนำ วำ เกนะจิ วำ โลกัสฺมินต ิ ฯ อติ หิ ะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มหุ ตุ เตนะ, ยำวะ พรฺ หั มฺ ะโลกำ สัทโท อัพภคุ คจั ฉิ ฯ อะยญั จะ ทะสะสะหัสสี โลกะธำต,ุ สงั กัมปิ สมั ปะกมั ปิ สัมปะเวธ ิ ฯ อปั ปะมำโณ จะ โอฬำโร โอภำโส โลเก ปำตรุ ะโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวำนงั เทวำนุภำวัง ฯ อะถะโข ภะคะวำ อุทำนงั อทุ ำเนสิ, อัญญำสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ, อญั ญำส ิ วะตะ โภ โกณฑญั โญต ิ ฯ อติ หิ ทิ งั อำยสั มฺ ะโต โกณฑญั ญสั สะ, อญั ญำโกณฑญั โญ- เตวฺ๎ วะ นำมงั อะโหสีติ ฯ ธมั มะจกั กปั ปะวัตตะนะสตุ ตงั นิฎฐติ งั . ๒๒2๖6๖๗9๙
คำถำชินบัญชร ของสมเดจ็ พระพุฒาจารย ์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสติ าราม กอ่ นเจรญิ ภาวนาคาถาชนิ บญั ชร ต้งั นะโม ๓ จบก่อน แลว้ ระลกึ ถงึ และบชู าเจ้าประคณุ สมเดจ็ ฯ ดว้ ยค�าวา่ ปตุ ตะกำโม ละเภ ปุตตัง ธะนะกำโม ละเภ ธะนงั อตั ถ ิ กำเย กำยะญำยะ เทวำนงั ปยิ ะตงั สุตฺวำ ๑. ชะยำสะนำกะตำ พทุ ธำ เชต๎วฺ ำ มำรงั สะวำหะนงั จะตุสจั จำสะภงั ระสงั เย ปวิ งิ สุ นะรำสะภำ. ๒. ตณั หงั กะรำทะโย พุทธำ อฏั ฐะวีสะติ นำยะกำ สัพเพ ปะติฏฐติ ำ มัยหงั มตั ถะเก เต มนุ สิ สะรำ. ๓. สเี ส ปะติฏฐิโต มยั หงั พทุ โธ ธัมโม ทะวโิ ลจะเน สงั โฆ ปะติฏฐโิ ต มยั หงั อเุ ร สพั พะคุณำกะโร. ๔. หะทะเย เม อะนรุ ุทโธ สำรีปุตโต จะ ทักขเิ ณ โกณฑัญโญ ปิฏฐิภำคสั ฺ๎มงิ โมคคัลลำโน จะ วำมะเก. ๕. ทักขเิ ณ สะวะเน มยั หัง อำสุง อำนันทะรำหลุ ำ กัสสะโป จะ มะหำนำโม อุภำสุง วำมะโสตะเก. ๖. เกสะโต ปฏิ ฐภิ ำคสั มฺ๎ งิ สรุ ิโย วะ ปะภงั กะโร นิสนิ โน สริ สิ ัมปนั โน โสภโิ ต มุนิ ปุงคะโว. ๗. กุมำระกสั สะโป เถโร มะเหส ี จิตตะวำทะโก โส มัยหงั วะทะเน นจิ จงั ปะตฏิ ฐำส ิ คุณำกะโร. ๒2๖7๗๘0๐
๘. ปุณโณ องั คุลมิ ำโล จะ อปุ ำลี นันทะสีวะลี เถรำ ปญั จะ อเิ ม ชำตำ นะลำเฏ ติละกำ มะมะ. ๙. เสสำสตี ิ มะหำเถรำ วิชิตำ ชินะสำวะกำ เอเตสตี ิ มะหำเถรำ ชติ ะวนั โต ชโิ นระสำ ชะลนั ตำ สลี ะเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐติ ำ. ๑๐. ระตะนงั ปุระโต อำส ิ ทกั ขิเณ เมตตะสตุ ตะกงั ธะชคั คัง ปจั ฉะโต อำส ิ วำเม องั คลุ ิมำละกัง. ๑๑. ขนั ธะโมระปะรติ ตัญจะ อำฏำนำฏิยะสตุ ตะกงั อำกำเส ฉะทะนัง อำส ิ เสสำ ปำกำระสัณฐติ ำ. ๑๒. ชนิ ำนำนำ วะระสงั ยุตตำ สัตตปั ปำกำระลงั กะตำ วำตะปิตตำทสิ ัญชำตำ พำหริ ัชฌตั ตุปทั ทะวำ. ๑๓. อะเสสำ วนิ ะยัง ยันตุ อะนนั ตะชนิ ะเตชะสำ วะสะโต เม สะกจิ เจนะ สะทำ สัมพุทธะปญั ชะเร. ๑๔. ชนิ ะปัญชะระมัชฌมั ห ิ วหิ ะรนั ตัง มะหีตะเล สะทำ ปำเลนตุ มงั สพั เพ เต มะหำปรุ ิสำสะภำ. ๑๕. อจิ เจวะมนั โต สุคตุ โต สุรกั โข ชินำนุภำเวนะ ชติ ปู ัททะโว ธมั มำนุภำเวนะ ชิตำรสิ ังโฆ สงั ฆำนุภำเวนะ ชติ นั ตะรำโย สัทธมั มำนะภำวะปำลิโต จะรำม ิ ชินะปญั ชะเรติ. ๒27๖๗๙1๑
๒2๗72๒
คำ� นำ� ถวายดอกไมธ้ ปู เทยี น วนั มาฆบชู า (ตงั้ นะโม ๓ จบ) อชั ชายงั มาฆะปณุ ณะมี สมั ปัตตา มาฆะนักขตั เตนะ ปุณณะจันโท ยตุ โต ยตั ถะ ตะถาคะโต อะระหัง สัมมาสมั พุทโธ จาตรุ งั คิเก สาวะกะสันนิปาเต โอวาทะปาตโิ มกขัง อทุ ทสิ ิ ตะทา หิ อัฑฒะเตระสานิ สัพเพสงั เยวะ ขีณาสะวานงั สพั เพ เต เอหภิ ิกขกุ า สพั เพปิ เต อะนามนั ติตาวะ ภะคะวะโต สนั ติกัง อาคะเต เวฬวุ ะเน กะลันทะกะนิวาเป มาฆะปณุ ณะมิยงั วฑั ฒะมานะกจั ฉายายะ ตัสมิญจะสนั นปิ าเต ภะคะวา วสิ ุทธโุ ปสะถงั อะกาสิ อะยงั อมั หากงั ภะคะวะโต เอโกเยวะ สาวะกะสันนปิ าโต อะโหสิ จาตรุ งั คโิ ก อัฑฒะเตระสานิ ภกิ ขุสะตานิ สพั เพสังเยวะ ขีณาสะวานัง มะยันทานิ อิมัง มาฆะปุณณะมี นกั ขัตตะสะมะยัง ตักกาละสะทสิ งั สัมปัตตา จริ ะปะรนิ พิ พตุ ัมปิ ตัง ภะคะวันตงั อะนุสสะระมานา อมิ ัสมิง ตสั สะ ภะคะวะโต สักขภิ ูเต เจติเย อิเมหิ ทปี ะธปู ะปปุ ผาทสิ ักกาเรหิ ตงั ภะคะวนั ตงั ตานิ จะ อฑั ฒะเตระสานิ ภกิ ขสุ ะตานิ อะภิปูชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สะสาวะกะสงั โฆ สจุ ิระปะรนิ ิพพโุ ต คเุ ณหิ ธะระมาโน อเิ ม สกั กาเร ทุคคะตะปณั ณาการะภูเต ปะฏคิ คัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรตั ตัง หติ ายะ สขุ ายะ ฯ ๒27๗3๓
๒27๗4๔
๒2๗7๕5
คำ� นำ� ถวายดอกไมธ้ ปู เทยี น วนั วสิ าขบชู า (ตง้ั นะโม ๓ จบ) ยะมัมหะ โข มะยงั ภะคะวันตงั สะระณัง คะตา, โย โน ภะ คะวา สัตถา, ยสั สะ จะ มะยงั ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ, อะโหสิ โข โส ภะคะวา มชั ฌิเมสุ ชะนะปะเทสุ อะริยะเกสุ มะนสุ เสสุ อปุ ปนั โน, ขตั ตโิ ย ชาตยิ า โคตะโม โคตเตนะ, สักยะปุตโต สักยะกลุ า ปัพพะชโิ ต สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรหั มะเก สสั สะมะณะพราหมะณยิ า ปะชายะ สะเทวะมะนสุ สายะ อะนตุ ตะรงั สัมมาสัมโพธิ อะภสิ ัมพทุ โธ, นิสสงั สะยัง โข โส ภะคะวา อะระหัง สมั มาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสมั ปันโน สคุ ะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุรสิ ะทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมะนสุ สานัง พทุ โธ ภะคะวา, สวากขาโต โข ปะนะ เตนะ ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐโิ ก อะกาลิโก เอหปิ ัสสโิ ก โอปะนะยโิ ก, ปจั จัตตัง เวทติ ัพโพ วญิ ญูห,ิ สุปะฏปิ ันโน โข ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อุชุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, ญายะปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, สามีจิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จตั ตาริ ปรุ ิสะยคุ านิ อฏั ฐะ ปรุ ิสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ, อาหุเนยโย ปาหเุ นยโย ทักขิเณยโย อัญชะลกี ะระณีโย อะนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตัง โลกัสสะ, อะยัง โข ปะนะ ปะฏิมา ตงั ภะคะวันตัง ๒27๗6๖
อุททสิ สะ กะตา ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ ตงั ภะคะวันตัง อะนสุ สะรติ วา ปะสาทะ สังเวคะปะฏิลาภายะ, มะยัง โข เอตะระหิ อมิ งั วสิ าขะปณุ ณะมี ตสั สะ ภะคะวะโต ชาติสัมโพธินพิ พานะกาละ สัมมะตัง ปตั วา อิมัง ฐานงั สัมปัตตา, อเิ ม ทณั ฑะทีปะธูปาทิ สกั กาเร คะเหตวา อัตตะโน กายงั สกั การุปะธานัง กะริตวา ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ อะนุสสะรนั ตา, อิมัง ปะฏิมงั ติกขัตตงุ ปะทกั ขิณัง กะริสสามะ อิมัง ยะถา คะหิเตหิ สกั กาเรหิ ปูชงั กรุ ุมานา, สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สจุ ริ ะปะรนิ พิ พโุ ตปิ ญาตัพเพหิ คเุ ณหิ อะตตี ารัมมะณะตายะ ปัญญายะ มาโน, อิเม อมั เหหิ คะหเิ ต สกั กเร ปะฏคิ คัณหาตุ อมั หากัง ทีฆะรตั ตัง หิตายะ สขุ ายะ ฯ ๒27๗7๗
๒2๗78๘
บัดนี้ เราทั้งหลายแล มาประจวบมงคลสมัย อาสาฬหปุณณมี วันเพ็ญอาสาฬหมาสท่ีรู้พร้อมกันว่า เป็นวันท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงประกาศพระ ธรรมจักรเป็นวันที่เกิดข้ึนแห่งพระอริยสงฆ์สาวก และเป็นวัน ทพ่ี ระรตั นตรยั สมบรู ณ์ คอื ครบ ๓ รตั นะ จงึ มาประชมุ กนั แลว้ ณ ท่ีน้ี ถือสักการะเหล่านี้ ท�ำกายของตนให้เป็นดังภาชนะ รับเครื่องสักการะ ระลึกถึงพระคุณตามเป็นจริงทั้งหลายของ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จักท�ำประทักษิณสิ้นวาระสามรอบซึ่ง พระสถปู (พระพทุ ธปฏมิ า) น้ี บชู าอยดู่ ว้ ยสกั การะอนั ถอื ไวแ้ ลว้ อย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ เสด็จปรินิพพานนานมาแล้ว ยังปรากฏอยู่ด้วยพระคุณสมบัติ อันข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะพึงรู้โดยความเป็นอตีตารมณ์ จงทรงรับเครื่องสักการะ อันข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายถือไว้ แล้วน้ี เพ่อื ประโยชน์ เพื่อความสุข แกข่ า้ พระพุทธเจา้ ทง้ั หลาย สน้ิ กาลนาน เทอญ ฯ ๒2๗79๙
คำ� นำ� ถวายดอกไมธ้ ปู เทยี น วนั อาสาฬหบชู า (ตง้ั นะโม ๓ จบ) ยะมัมหะ โข มะยงั ภะคะวนั ตัง สะระณัง คะตา โย โน ภะคะวา สัตถา ยัสสะ จะ มะยัง ภะคะวะโต ธมั มัง โรเจมะ อะโหสิ โข โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสมั พุทโธ สตั เตสุ การุญญัง ปะฏิจจะ กะรณุ ายะโก หเิ ตสี อะนุกมั ปัง อปุ าทายะ อาสาฬหะปณุ ณะมยิ ัง พาราณะสยิ ัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย ปญั จะวคั คยิ านัง ภิกขนู ัง อะนตุ ตะรัง ธมั มะจักกงั ปะฐะมัง ปะวัตเตตวา จัตตาริ อะรยิ ะสัจจานิ ปะกาเสสิ ฯ ตัสมิญจะ โข สะมะเย ปัญจะวคั คยานงั ภกิ ขูนัง ปะมโุ ข อายัสมา อญั ญาโกณฑัญโญ ภะคะวะโต ธมั มงั สตุ วา วริ ะชัง วตี ะมะลงั ธัมมะจกั ขงุ ปะฏลิ ะภิตวา ยงั กญิ จิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพนั ตัง นิโรธะธมั มันติ ภะคะวันตงั อุปะสมั ปะทงั ยาจติ วา ภะคะวะโต เยวะ สนั ตกิ า เอหิภกิ ขุ อปุ ะสัมปะทงั ปะฏลิ ะภติ วา ภะคะวะโต ธมั มะวนิ ะเย อะริยะสาวะกะสงั โฆ โลเก อปุ ปันโน อะโหสิ ฯ ตัสมญิ จะ โข สะมะเย สังฆะรตั ตะนงั โลเก ปะฐะมงั อปุ ปนั โน อะโหสิ พุทธะระตะนัง ธมั มะระตะนัง สังฆะระตะนันติ ตริ ะตะนงั สมั ปุณณัง อะโหสิ ฯ ๒2๘80๐
มะยัง โข เอตะระหิ อิมงั อาสาฬหะปณุ ณะมกี าลงั ตสั สะ ภะคะวะโต ธมั มะจักกัปปะวัตตะนะกาละสมั มะตงั อะรยิ ะสาวะกะสงั ฆะอุปปตั ติกาละสัมมะตญั จะ ระตะนัตตะยะสัมปุณณะกาละสัมมะตัญจะ ปัตวา อิมัง ฐานัง สัมปตั ตา อิเม สกั กาเร คะเหตวา อตั ตะโน กายงั สกั การุปะธานงั กะริตวา ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภจุ เจ คุเณ อะนุสสะรนั ตา อมิ ัง ถูปงั (อิมงั พทุ ธะปะฏมิ ัง) ตกิ ขัตตงุ ปะทกั ขิณงั กะรสิ สสามะ ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชงั กุรมุ านา ฯ สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ ญาตพั เพหิ คเุ ณหิ อะตตี ารัมมะณะตายะ ปญั ญายะมาโน อิเม อมั เหหิ คะหเิ ต สกั กาเร ปะฏคิ คัณหาตุ อมั หากัง ทฆี ะรัตตัง หติ ายะ สขุ ายะ ฯ ๒28๘1๑
มนุษยเ์ ราเอย๋ ... มนษุ ยเ์ราเอ๋ย เกิดม าท ำ�ไม นิพพานมีสุข อยู่ไยมิไป ตณั หาหน่วงห นัก หน่วงช กั หน่วงไว้ ฉนั ไปไมไ่ ด้ ตณั หาผูกพัน หว่ งนนั้ พ นั ผกู ห่วงล ูกห ว่ งหลาน ห่วงทรพั ยส์ ินศ ฤงคาร จงส ละเสยี เถิด จะได้ไปน ิพพาน ขา้ มพ น้ ภพส าม ยามหนุ่มสาวนอ้ ย หนา้ ตาแ ช่มช้อย งามแล้วท กุ ประการ แกเ่ฒ่าห นังย าน แต่ลว้ นเครอื่ งเหมน็ เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอน็ น อ้ ยเก้าพัน มนั ม าท ำ�ใหเ้ ข็ญใจ ใหร้ อ้ นใหเ้ ยน็ เมื่อยข บทัง้ ต วั ขนคิว้ ก ็ขาว นัยนต์ าก ม็ วั เส้นผมบนหัว ดำ�แ ล้วกลับห งอก หน้าตาเว้าวอก ดูหน้าบ ดั สี จะลกุ ก ็โอย จะน ่ังก็โอย เหมือนด อกไม้โรย ไมม่ ีเกสร จะเข้าทีน่ อน พงึ ส อนภาวนา พระอนิจจงั พระอ นตั ตา เราทา่ นเกดิ มา รังแ ตจ่ ะต าย ผดู้ เี ข็ญใจ กต็ ายเหมอื นก นั ๒28๘2๒
เงินทองท ัง้ นัน้ มิตดิ ตัวไป ตายไปเปน็ ผี ลกู เมยี ผวั รกั เขาชักหน้าหนี เขาเหม็นซากผี เปื่อยเน่าผุพอง หมญู่ าตพิ ีน่ อ้ ง เขาหามเอาไป เขาว างล งไว้ เขานง่ั ร อ้ งไห้ แลว้ กล ับคืนม า อยู่แต่ผู้เดยี ว ป่าไม้ชายเขียว เหลียวไมเ่ห็นใคร เหน็ แตฝ่ ูงแ รง้ เหน็ แตฝ่ งู กา เห็นแ ตฝ่ ูงหมา ยอ้ื แ ย่งก ันกนิ ดนู ่าส มเพช กระดกู กเู อ๋ย เรย่ี ร ายแ ผน่ ดนิ แร้งก าหมากิน เอาเป็นอ าหาร เที่ยงคืนสงดั ตื่นขนึ้ มิน าน ไมเ่ ห็นล ูกห ลาน พนี่ ้องเผา่ พันธ์ุ เห็นแ ต่นกเคา้ จับเจา่ เรียงกัน เหน็ แ ตน่ กแสก รอ้ งแ รกแหกขวัญ เห็นแ ต่ฝ งู ผี รอ้ งไหห้ ากนั มนษุ ยเ์ราเอย๋ อยา่ หลงนกั เลย ไม่มแี ก่นสาร อตุ สา่ หท์ ำ� บญุ คำ�้ จนุ เอาไว ้ จะไดไ้ ปส วรรค์ จะได้ทันพ ระพุทธเจ้า จะได้เขา้ พระน พิ พาน อะหงั วนั ทาม ิ สัพพ ะโส อะหงั วันทาม ิ นิพพานะปัจจ ะโย โหต ุ ๒28๘3๓
ประวตั ิโดยย่อ (History of Korwang’s abbot) พระครูสุนทรวรนาถ (นเรศ สรุ นาโถ) ชาตภิ ูม ิ - ชื่อนเรศ เย็นกระแส เกดิ วนั ศุกรท์ ี่ ๙ เดอื น ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ปีมะเมีย บ้านเลขที่ ๒๓/๑๙ หมู่ที่ ๒ ต�ำ บลแสมสาร อ�ำ เภอสตั หบี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๕๒๙ - บรรพชา-อปุ สมบทเมอ่ื อายุ ๒๐ ปี วนั ท่ี ๒๒ เดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๔ - ได้รบั แต่งตง้ั เป็นเจา้ อาวาส วัดป่าคอวัง พ.ศ. ๒๕๕๑ - ไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ด์ิ เปน็ พระครสู ญั ญาบตั รเจา้ อาวาส วดั ราษฎร์ ชน้ั โท ในราชทนิ นามที่ “พระครูสนุ ทรวรนาถ” พ.ศ. ๒๕๕๒ - สอบไลไ่ ดน้ กั ธรรมชน้ั เอก จากส�ำ นกั เรยี น คณะจงั หวดั นา่ น ได้รับวฒุ ิบตั รการเขา้ ฝึกอบรมหลกั สตู รพระวิปัสสนา พ.ศ. ๒๕๕๘ - ได้รบั แต่งต้ังเปน็ พระอปุ ัชฌาย์ เมอื่ วันท่ี ๓๑ มกราคม - สำ�เรจ็ การศกึ ษาพุทธศาสตรบ์ ณั ฑิต รุ่น ๖๐ จากวิทยาลัยสงฆ์นครนา่ น เมอ่ื วันท่ี ๓๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๕๙ - ไดร้ ับพระราชทานเล่อื นสมณศกั ดิเ์ ป็น พระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวดั ราษฎร์ ชน้ั เอก ฝา่ ยวปิ สั สนาธรุ ะ ในราชทนิ นามเดมิ ท่ี “พระครสู นุ ทรวรนาถ” 284
อโุ บสถ “ธรรมนาวา” พธิ วี างศลิ าฤกษ์ เมื่อ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ สร้างเสรจ็ สมบรู ณ์ เมอ่ื ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๖ อุโบสถ มีลกั ษณะเปน็ รูปเรือ หมายถงึ ไตรสิกขา ๓ ศีล สมาธิ ปัญญา เพอ่ื นำ�พาสตั วโ์ ลกข้ามพ้นหว้ งนำ้�แหง่ ความทุกข์ หัวเรือ เป็นรูปป้ันม้ากัณฐกะ ที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงใช้เสด็จ ออกผนวช ส่อื ความหมายถึงความพากเพียรพยายามให้กระโดดขา้ มพ้น อปุ สรรคในชีวิต พญานาคแปลงกายขอบวชหน้าอุโบสถ อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ กล่าวถึงเร่ืองนาคแปลงกายเป็นมนุษย์มาขอบวช ความวา่ พญานาคตนหนงึ่ ปรารถนาอยากบวชในส�ำ นกั ของพระพุทธเจา้ คิดอย่างน้ีจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายในสำ�นัก เพอ่ื ขอบวช ครนั้ บวชแลว้ เวลาจ�ำ วดั ฤทธเ์ิ สอื่ มกลบั กลายรา่ งเปน็ พญานาค ภิกษุนำ�ความกราบทูลพระพุทธองค์ ทรงรับส่ังให้กลับสู่ภาวะเดิมและ ทรงบญั ญตั ิห้ามบวชแกผ่ ู้ไมใ่ ช่มนษุ ย์ พญานาคน่ังสมาธิหลังอุโบสถ นาคอาภัพภพในชาติของ เดียรจั ฉาน ไมส่ ามารถบวชไดจ้ ึงกลับไปบำ�เพ็ญเพียรทางใจ คอื รกั ษา อุโบสถศีลเจริญสมาธิภาวนาทุกวันพระ ด้วยวิธีน้ีจะพ้นจากกำ�เนิดนาค และจะได้อัตภาพความเป็นมนษุ ยต์ ามวถิ แี หง่ ธรรม
อโุ บสถธรรมนาวา วดั ป่าคอวงั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300