51ครอบครอง ยอ่ มไดไ้ ปซ่ึงสิทธิการครอบครองที่พิพาทน้นั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์มาตรา 1377, 1378 แลว้ ผขู้ ายจะมาฟ้องเรียกท่ีพพิ าทคืนไมไ่ ด้ คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 479/2514 จาํ เลยทาํ สัญญาขายที่นาให้โจทก์โดยมิไดท้ าํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หน้าที่ แต่เม่ือท่ีนาน้นั เป็ นที่ดินมือเปล่ามีแต่เพียงสิทธิครอบครองและจาํ เลยซ่ึงเคยครอบครองอยู่ไดข้ อเช่าท่ีนาน้นั จากโจทก์หลงั จากทาํ สัญญาซ้ือขายแลว้ กรณีจึงตอ้ งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 วรรคหน่ึง ว่า การโอนไปซ่ึงการครอบครองยอ่ มเป็ นผล ถา้ ผูโ้ อนแสดงเจตนาวา่ ต่อไปจะยดึ ถือทรัพยส์ ินไวแ้ ทนผูร้ ับโอน ถือไดว้ า่ไดม้ ีการโอนการครอบครองใหโ้ จทกแ์ ลว้ โดยถูกตอ้ ง คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2537 จาํ เลยซ้ือที่พิพาทจากสามีโจทก์และเขา้ อยูต่ ลอดมา แม้การซ้ือขายไม่ไดท้ าํ เป็นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีตกเป็ นโมฆะ แต่ท่ีพิพาทเป็ นท่ีดินที่มีหนังสือรับรองการทาํ ประโยชน์ย่อมโอนการครอบครองให้แก่กันได้โดยสละการครอบครองและส่งมอบทรัพยส์ ิทธิที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา1377, 1378 จาํ เลยจึงเป็นผมู้ ีสิทธิครอบครองที่พพิ าท ปัญหา คือ ถา้ ทาํ สัญญาซ้ือขายที่ดินมือเปล่ากนั และผขู้ ายยงั ไม่ไดส้ ่งมอบการครอบครองให้ เช่นน้ี ผูข้ ายจะอา้ งวา่ สัญญาเป็ นโมฆะจึงปฏิเสธไม่ยอมส่งมอบท่ีดินตามสัญญาหรือสละการครอบครองใหจ้ ะไดห้ รือไม่ คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 325/2519 ผูข้ ายขายท่ีดินไม่มีหนงั สือสาํ คญั ให้ผูซ้ ้ือสองแปลง ผูซ้ ้ือเขา้ ครอบครองทาํ ประโยชน์แลว้ หน่ึงแปลง ส่วนอีกแปลงผขู้ ายยงั ไม่สละการครอบครองให้ แมเ้ ป็ นเช่นน้ี ศาลกบ็ งั คบั ใหผ้ ขู้ ายส่งมอบการครอบครองที่ดินแปลงหลงั แก่ผซู้ ้ือได้ ดงั น้ันจากหลกั ในคาํ พิพากษาศาลฎีกาดงั กล่าวจึงกล่าวไดว้ ่า ผูซ้ ้ือสามารถฟ้องบงั คบั ให้ผขู้ ายส่งมอบท่ีดินตามสญั ญาหรือใหผ้ ขู้ ายสละการครอบครองใหไ้ ด้ ข. การซื้อขายระหว่างรัฐกบั ราษฎร ในเรื่องการซ้ือขายอสงั หาริมทรัพยท์ ี่วา่ จะตอ้ งมีการจดทะเบียน แต่ถา้ เป็ นการขายหรือการยกใหแ้ ก่หน่วยราชการเพอื่ เป็นสาธารณสมบตั ิของแผน่ ดินแลว้ ศาลฎีกาเคยวินิจฉยั วา่ “แมไ้ ม่มีการจดทะเบียนกถ็ ือเป็นการแสดงเจตนาสละกรรมสิทธ์ิโดยไม่ตอ้ งมีการจดทะเบียน” คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 3420/2526 การซ้ือขายที่พิพาทซ่ึงเป็ นท่ีมีโฉนดน้ีเป็ นท่ีทราบกนั วา่ฝ่ ายจาํ เลยซ้ือไปเพื่อใชป้ ระโยชน์ในราชการทหาร ซ่ึงเป็ นผลให้ที่พิพาทกลายเป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1304 (3) การท่ี พ.ตกลงขายท่ีพิพาทให้แก่จาํ เลย จึงเป็ นการแสดงเจตนาสละท่ีพิพาทให้เป็ นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดินต้งั แต่วนั ทาํสัญญา โดยไม่จาํ เป็ นตอ้ งมีการแก้โฉนดหรือจดทะเบียนการซ้ือขายแต่อย่างใด โจทก์ซ่ึงเขา้ครอบครองท่ีพิพาทในภายหลงั มิอาจยกเอาอายคุ วามแห่งการไดก้ รรมสิทธ์ิโดยการครอบครองข้ึนตอ่ สู้แผน่ ดินไดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1306
52 ค.ซื้อขายหุ้นของห้างหุ้นส่วน ซ่ึงห้างหุ้นส่วนมีทรัพย์สินเป็ นที่ดิน เช่นนี้ ไม่ใช่การซื้อขายทดี่ นิ แต่เป็ นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทวั่ ไป จึงไม่ต้องทาตามแบบ คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 143/2475 การโอนขายหุ้นในหา้ งหุ้นส่วนสามญั ซ่ึงมีทรัพยส์ ินเป็ นท่ีดินน้นั ท่านวา่ ไม่ใช่เป็ นการขายที่ดิน ไม่มีกฎหมายบงั คบั วา่ ตอ้ งทาํ แบบ ทาํ หนงั สือโอนกนั เองก็ใชไ้ ด้ 2) เรือมรี ะวางต้ังแต่ห้าตันขนึ้ ไป ไมว่ า่ จะเป็นเรือกาํ ปั่น เรือกลไฟ หรือเรือยนตก์ ็ได้ 3) แพ หมายถึง เฉพาะแต่แพท่ีเป็ นท่ีอยู่อาศยั ของคนเท่าน้นั ไม่ไดห้ มายความรวมถึง แพไมซ้ ุง แพไมไ้ ผ่ ไมร้ วก และแพไมท้ ุกอยา่ ง คาพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2487/2535 คาํ วา่ “แพ” ตามมาตรา 456 วรรคแรก หมายถึงแพท่ีเป็ นท่ีอยอู่ าศยั ของคนเท่าน้นั ไมไ่ ดห้ มายถึงแพที่ใชใ้ นการดูดและดาํ แร่ 4) สัตว์พาหนะ ตามพระราชบญั ญตั ิสัตวพ์ าหนะ พ.ศ.2482 บญั ญตั ิวา่ สัตวพ์ าหนะ ไดแ้ ก่ชา้ ง มา้ โค กระบือ ล่อ ลา โดยสัตวเ์ หล่าน้ีจะตอ้ งทาํ ตวั๋ รูปพรรณแลว้ ตวั๋ รูปพรรณ หมายถึง เอกสารแสดงตาํ หนิรูปพรรณสณั ฐานของสัตวพ์ าหนะดงั กล่าว คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2523 สัตวพ์ าหนะท่ีกฎหมายบงั คบั ใหม้ ีการจดทะเบียนการซ้ือขายต่อพนักงานเจา้ หน้าท่ีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456น้ัน ตอ้ งเป็ นสัตว์พาหนะตามพระราชบญั ญตั ิสัตวพ์ าหนะ พ.ศ.2482 มาตรา 4 อนั ไดแ้ ก่ชา้ ง มา้ โค กระบือ ล่อลา ซ่ึงไดท้ าํ หรือตอ้ งทาํ ตว๋ั รูปพรรณตามพระราชบญั ญตั ิน้ี สตั วพ์ าหนะดงั กล่าวท่ีกฎหมายบงั คบั ให้ตอ้ งทาํ ตวั๋ รูปพรรณมีบญั ญตั ิไวใ้ นพระราชบญั ญตั ิท่ีกล่าวน้นั มาตรา 8(3) วา่ ไดแ้ ก่สัตวใ์ ดที่ไดใ้ ชข้ บั ข่ีลากเขน็ หรือใชง้ านแลว้ กระบือรายพิพาทท่ีโจทกข์ ายให้จาํ เลยไม่มีตว๋ั รูปพรรณแมจ้ ะมีอายุ 4 ปี แลว้ แต่ไม่ปรากฏว่าเป็ นกระบือท่ีใช้งานแลว้ จึงไม่อยูใ่ นบงั คบั ที่ตอ้ งทาํ ตว๋ั รูปพรรณ ดงั น้นั การซ้ือขายกระบือรายพพิ าท ไมจ่ าํ ตอ้ งจดทะเบียนซ้ือขาย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 456 การซ้ือขายน้ีไมเ่ ป็นโมฆะ คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2520/2523 โคซ่ึงไดใ้ ช้งานแล้วเป็ นโคที่ตอ้ งทาํ ตวั๋ รูปพรรณตามพระราชบญั ญตั ิสัตวพ์ าหนะ พ.ศ.2482 มาตรา 8(3) และเป็น สตั วพ์ าหนะ ตามมาตรา 4 การซ้ือขายโคซ่ึงได้ใช้งานแล้ว แม้จะยงั ไม่ได้ทาํ ต๋ัวรูปพรรณก็ต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 456 มิฉะน้นั การซ้ือขายเป็นโมฆะ คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 1539/2526 แม่มา้ พิพาทเป็ นมา้ แข่งมาแต่เดิม แสดงวา่ ไดใ้ ชง้ านแลว้จึงอยใู่ นบงั คบั ที่ตอ้ งใหท้ าํ ตว๋ั รูปพรรณตามพระราชบญั ญตั ิสัตวพ์ าหนะฯ มาตรา 8(3) และเป็ นสัตว์พาหนะตามมาตรา 4 ตกอยูภ่ ายใตบ้ งั คบั ของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 456 แมจ้ ะซ้ือแมม่ า้ ไปเพอ่ื ผสมพนั ธุ์ มิไดซ้ ้ือเพอ่ื เอาไปใชใ้ นการขบั ขี่หรือลากเข็นก็ตาม ก็ไม่เป็ นเหตุใหไ้ ดร้ ับยกเวน้ ไม่ตอ้ งจดทะเบียนการซ้ือขายตอ่ เจา้ พนกั งาน
53 ข้อสังเกต - สัตวพ์ าหนะตอ้ งมีตว๋ั รูปพรรณ หรืออยูใ่ นเกณฑท์ ่ีตอ้ งทาํ ตวั๋ รูปพรรณแลว้ การซ้ือขายจึงจะตอ้ งทาํ เป็นหนงั สือและจดทะเบียนตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี - การซ้ือขายสัตวพ์ าหนะที่จะตอ้ งกระทาํ ตามแบบน้ี หมายถึง การซ้ือขายกนั อย่างสัตว์พาหนะ ไมใ่ ช่การซ้ือขายสัตวพ์ าหนะที่ตายแลว้ และโอนขายศพอยา่ งเน้ือสัตว์ เช่นน้ี ไม่ตอ้ งทาํ ตามแบบ เพราะเป็นการซ้ือขายสงั หาริมทรัพยท์ ว่ั ไป เช่น ซ้ือโค กระบือ ไปเพ่อื ฆ่ากิน คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3523/2535 กระบือท้งั 6 ตวั ที่โจทก์ขายให้จาํ เลยท้งั สามมีตวั๋รูปพรรณแลว้ จึงเป็ นสัตวพ์ าหนะตามมาตรา 4 แห่งพระราชบญั ญตั ิสัตวพ์ าหนะพ.ศ. 2483 ซ่ึงการซ้ือขายตอ้ งทาํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 มิฉะน้นั เป็ นโมฆะ แต่จาํ เลยท้งั สามไดซ้ ้ือกระบือจากโจทก์เพ่ือนาํ ไปฆ่าทาํลูกชิ้นท่ีโรงงานของจาํ เลยที่ 1 จึงไม่เป็ นการซ้ือขายสัตวพ์ าหนะซ่ึงตอ้ งทาํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนตามกฎหมายไมเ่ ป็นโมฆะ สรุป มีทรัพยอ์ ยู่เพียง 4 ประเภทเท่าน้ัน ท่ีจะต้องทาํ สัญญาซ้ือขายเป็ นหนังสือและจดทะเบียนกบั พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี ถา้ เป็ นทรัพยน์ อกจากน้ี คือ สังหาริมทรัพยท์ วั่ ไปแลว้ ก็ไม่ตอ้ งทาํตามแบบแตอ่ ยา่ งใด สัญญาซ้ือขายกส็ มบูรณ์ 2.6.2 ผลของการทไี่ ม่ทาตามแบบ สัญญาซ้ือขายทรัพย์สินตามท่ีระบุไวใ้ นมาตรา 456 วรรคหน่ึงดงั กล่าว หากไม่ทาํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่แลว้ สัญญาซ้ือขายน้นั ตกเป็ น “โมฆะ” บุคคลผูม้ ีส่วนไดเ้ สียคนใดคนหน่ึงจะยกการเป็นโมฆะน้นั ข้ึนกล่าวอา้ งกไ็ ด้ กล่าวคือ ผขู้ ายยอ่ มไม่มีสิทธิเรียกใหผ้ ู้ซ้ือชาํ ระราคา และผูซ้ ้ือก็ไม่มีสิทธิเรียกให้ผขู้ ายส่งมอบทรัพยท์ ี่ซ้ือ และในกรณีที่ผูข้ ายไดร้ ับชาํ ระราคาไปแลว้ ก็บงั คบั กนั ดว้ ยบทบญั ญตั ิลาภมิควรไดต้ ่อไป และหากผูข้ ายส่งมอบทรัพยไ์ ปแลว้ ก็มีสิทธิติดตามเอาคืนได้ เพราะถือวา่ สัญญาซ้ือขายน้นั มิไดเ้ กิดข้ึนเลย กรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายยงั เป็นของผขู้ าย ไม่ไดโ้ อนไปยงั ผซู้ ้ือแต่อยา่ งใด อยา่ งไรก็ตาม แมก้ ารซ้ือขายจะตกเป็ นโมฆะในเรื่องไม่ทาํ ตามแบบและไม่ก่อให้เกิดสิทธิใดๆ ตามสัญญาซ้ือขาย แต่ก็เป็ นการตดั สิทธิที่จะพึงอา้ งตามสัญญาซ้ือขายท่ีเป็ นโมฆะแลว้ เท่าน้นัหาไดต้ ดั สิทธิอ่ืนอนั ไมเ่ ก่ียวกบั สัญญาซ้ือขายไม่ เช่น การซ้ือที่ดินมีโฉนด ถ้าส่งมอบท่ีดินให้แก่ผูซ้ ้ือไปแลว้ แมจ้ ะเป็ นโมฆะเพราะไม่ทาํตามแบบ แต่ก็ถือวา่ ผูซ้ ้ือไดส้ ิทธิครอบครอง และอาจไดก้ รรมสิทธ์ิในที่ดินไดโ้ ดยการครอบครองปรปักษไ์ ด้ คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 6536/2544 เอกสารการซ้ือขายที่ดินระหวา่ งโจทก์กบั จาํ เลยระบุชื่อวา่ \"หนงั สือสญั ญาจะซ้ือขายหรือสัญญาวางมดั จาํ \" แตไ่ มไ่ ดร้ ะบุขอ้ ตกลงที่เป็ นการแน่นอนวา่ จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิกันหรือไม่เมื่อใด ประกอบกับโจทก์ได้ชําระค่าที่ดินให้แก่จาํ เลย
54ครบถว้ นแลว้ ในวนั ทาํ สัญญาและจาํ เลยไดส้ ่งมอบที่ดินให้โจทก์เขา้ ครอบครองนบั แต่วนั ดงั กล่าวเป็ นพฤติการณ์ที่เห็นไดว้ า่ โจทก์กบั จาํ เลยไม่มีเจตนาจะจดทะเบียนโอนที่ดินต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีจึงเป็ นสัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาด แมจ้ ะตกเป็ นโมฆะเน่ืองจากมิไดท้ าํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หน้าท่ีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคแรก แต่โจทก์เขา้ครอบครองโดยสงบและเปิ ดเผยด้วยเจตนาเป็ นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปี โจทก์จึงได้กรรมสิทธ์ิท่ีดินโดยการครอบครองตามมาตรา 1382 คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 3670/2547 ย. ซ้ือที่ดินมีโฉนดตราจองจาก จ. แมก้ ารซ้ือขายมิไดท้ าํเป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หน้าที่จึงตกเป็ นโมฆะ แต่ ย. ไดเ้ ขา้ ครอบครองต่อมาโดยเปิ ดเผยและเจตนาเป็ นจา้ ของ ภายหลงั ย. ยกที่พิพาทให้ ส. ครอบครองต่อเป็ นเวลากว่า 10 ปีจนตกถึงผรู้ ้อง ผรู้ ้องยอ่ มไดก้ รรมสิทธ์ิโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามมาตรา 1382 2.7 ค่าฤชาธรรมเนียมในสัญญาซื้อขาย ค่าฤชาธรรมเนียม คือ เงินท่ีจะเสียให้แก่รัฐตามอตั ราที่กฎหมายกาํ หนด โดยเสียผ่านทางพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ผมู้ ีอาํ นาจในการรับจดทะเบียนสัญญาซ้ือขายและตกเป็ นของรัฐ ฉะน้นั โดยมากจึงมีในสญั ญาซ้ือขายทรัพยส์ ินตามที่บญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 456 วรรคแรก เพราะการซ้ือขายจะตอ้ งจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐที่มีอาํ นาจ ค่าฤชาธรรมเนียมในการทาํ สัญญาซ้ือขายน้ันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา457 กาํ หนดให้ ผซู้ ้ือและผขู้ ายพึงออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทาํ สัญญาซ้ือขายเทา่ ๆ กนั ท้งั สองฝ่ าย อยา่ งไรกต็ าม มาตรา 457 น้ีไม่ใช่บทบญั ญตั ิท่ีเกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอนัดีของประชาชน คู่สัญญาจึงอาจตกลงยกเวน้ มาตรา 457 ได้ โดยอาจจะกาํ หนดให้ผูข้ ายเป็ นผูอ้ อกฝ่ ายเดียว หรือใหผ้ ซู้ ้ือเป็นผอู้ อกฝ่ ายเดียวก็ได้ 2.8 หลกั ฐานการฟ้องร้องบังคบั คดตี ามสัญญาซื้อขาย บญั ญตั ิไวอ้ ยใู่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “สัญญาจะขายหรือจะซ้ือ หรือคาํ มน่ั ในการซ้ือขายทรัพยส์ ินตามที่ระบุไวใ้ นวรรคหน่ึง ถา้มิไดม้ ีหลกั ฐานเป็ นหนงั สืออย่างหน่ึงอยา่ งใดลงลายมือชื่อฝ่ ายผูต้ อ้ งรับผิดเป็ นสําคญั หรือไดว้ างประจาํ ไวห้ รือไดช้ าํ ระหน้ีบางส่วนแลว้ จะฟ้องร้องใหบ้ งั คบั คดีหาไดไ้ ม่ บทบญั ญตั ิท่ีกล่าวมาในวรรคก่อนน้ี ให้ใชบ้ งั คบั ถึงสัญญาซ้ือขายสังหาริมทรัพยซ์ ่ึงตกลงกนั เป็นราคาสองหม่ืนบาท หรือกวา่ น้นั ข้ึนไปดว้ ย” ในเร่ืองหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีน้ี เป็ นเรื่องที่กฎหมายกาํ หนดใหค้ ู่กรณีกระทาํ หากไม่กระทาํ แล้ว ก็จะไม่สามารถฟ้องร้องบงั คบั คดีกนั ไดเ้ ท่าน้ัน หลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีไม่เก่ียวกบั ความสมบูรณ์ของนิติกรรมสัญญาแต่อย่างใด สัญญาซ้ือขาย หรือสัญญาจะซ้ือจะขาย หรือคาํ มน่ั ว่าจะซ้ือหรือจะขาย ท่ีเกิดข้ึนน้ันย่อมสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่กฎหมายกาํ หนดว่าหากไม่มี
55หลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีแลว้ ก็ไม่สามารถฟ้องร้องบงั คบั ให้คู่กรณีอีกฝ่ ายหน่ึงปฏิบตั ิตามสัญญาหรือคาํ มน่ั น้นั ได้ อยา่ งไรก็ตาม หากคู่กรณีไดป้ ฏิบตั ิการชาํ ระหน้ีไปตามสัญญาหรือตามคาํ มน่ั น้นั แลว้ การชาํ ระหน้ีดงั กล่าวก็สมบูรณ์ คู่กรณีจะมาเรียกร้องคืนในภายหลงั ไม่ได้ เช่น ก. ทาํ สัญญาซ้ือขายสร้อยเพชรจาก ข. ในราคา 1,000,000 บาท สัญญาซ้ือขายระหวา่ ง ก. และ ข. ย่อมเกิดข้ึนโดยสมบูรณ์แลว้ เพราะกฎหมายมิไดบ้ งั คบั การซ้ือขายสร้อยเพชรจะตอ้ งทาํ ตามแบบของกฎหมายใดๆ อีก ส่วนการท่ีวา่ ถา้ ข. ไม่ยอมส่งมอบสร้อยเพชรให้ ก. หรือก. ไม่ยอมชาํ ระราคาให้แก่ ข. เช่นน้ี ก. จะฟ้องร้องบงั คบั ให้ ข. ปฏิบตั ิการชาํ ระหน้ี หรือ ข.จะฟ้องร้องบงั คบั ให้ ก. ปฏิบตั ิการชาํ ระหน้ี ไดห้ รือไม่น้ัน ก็ตอ้ งพิจารณาต่อไปว่า สัญญาซ้ือขายระหว่าง ก. และ ข. น้ี มีหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีหรือไม่ ถา้ มีก็ฟ้องบงั คบั กนั ได้ ถา้ ไม่มีก็ฟ้องร้องบงั คบั คดีกนั ไมไ่ ด้ อยา่ งไรกต็ าม สญั ญาซ้ือขายระหวา่ ง ก. และ ข. น้นั ก็สมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ หากก. ชาํ ระราคาให้ ข. หรือ ข. ส่งมอบสร้อยเพชรให้ ก. แลว้ ก็เป็ นการชาํ ระหน้ีที่สมบูรณ์ ก. และ ข.จะมาเรียกคืนในภายหลงั ไมไ่ ด้ 2.8.1 ประเภทของสัญญาซื้อขายทตี่ ้องมีหลกั ฐานการฟ้องร้องบังคบั คดี 1) สญั ญาจะซ้ือจะขายอสังหาริมทรัพยห์ รือสังหาริมทรัพยพ์ เิ ศษ 2) คาํ มนั่ ในการซ้ือขายอสงั หาริมทรัพยห์ รือสงั หาริมทรัพยพ์ เิ ศษ 3) สัญญาซ้ือขายสังหาริมทรัพยท์ วั่ ไป ซ่ึงมีราคาต้งั แต่ 20,000 บาทข้ึนไป ข้อสังเกต คาํ ว่า “วรรคก่อน” ในมาตรา 456 วรรคสาม หมายถึงเฉพาะวรรคสองเท่าน้นั ไม่รวมถึงวรรคหน่ึง ฉะน้นั สัญญาซ้ือขายสงั หาริมทรัพยซ์ ่ึงมีราคา 20,000 บาทหรือกวา่ น้นั ข้ึนไป จึงตอ้ งการเพยี งหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีเท่าน้นั หาไดต้ อ้ งการแบบอยา่ งวรรคหน่ึงไม่ 2.8.2 ประเภทของหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คับคดีในสัญญาซื้อขาย 1) หลกั ฐานเป็นหนงั สือลงลายมือช่ือผตู้ อ้ งรับผดิ 2) การวางประจาํ 3) การชาํ ระหน้ีบางส่วน 1) หลกั ฐานเป็ นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผดิ หมายถึง หนงั สือใดๆ ก็ตามที่มีขอ้ ความแสดงให้เห็นถึงความรับผิดเฉพาะตวั ฝ่ ายผูล้ งช่ือซ่ึงผูล้ งชื่อจะเป็ นฝ่ ายผูซ้ ้ือหรือผูข้ ายก็ได้ หากลงช่ือก็ตอ้ งรับผิดตามหนงั สือน้นั กล่าวคือ สามารถถูกเรียกร้องบงั คบั ใหป้ ฏิบตั ิการชาํ ระหน้ีได้ ผใู้ ดไมไ่ ดล้ งช่ือก็ไมต่ อ้ งรับผดิ เช่น ก. ซ้ือรถจกั รยานยนตจ์ าก ข. คนั หน่ึงในราคา 25,000 บาท สัญญาน้ีเป็ นสัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาด แตเ่ นื่องจากเป็นสญั ญาซ้ือขายสังหาริมทรัพยท์ วั่ ไปจึงไม่ตอ้ งทาํ ตามแบบ อยา่ งไร
56ก็ตาม โดยเหตุที่คูส่ ัญญาตกลงราคากนั เกินกวา่ 20,000 บาท การฟ้องร้องบงั คบั คดีจาํ ตอ้ งมีหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดี มิฉะน้นั จะฟ้องร้องบงั คบั คดีไมไ่ ด้ ถา้ สมมติวา่ ก. ผซู้ ้ือไดท้ าํ หนงั สือไวใ้ ห้ ข.โดยมีขอ้ ความว่า “ขา้ พเจา้ ตกลงซ้ือรถจกั รยานยนตจ์ าก ข. คนั หน่ึง ในราคา 25,000 บาทถว้ น และจะชาํ ระเงินใหโ้ ดยครบถว้ นในวนั ท่ี 10 เมษายน 2556” แลว้ ก็ลงชื่อ ก. หนงั สือเช่นน้ีใชย้ นั ไดเ้ ฉพาะ ก. เท่าน้นั เพราะ ก. เป็ นผลู้ งช่ือในหนงั สือแต่ผูเ้ ดียวถา้ ก. ไม่ยอมชาํ ระเงิน ข. นาํ หนงั สือน้ีมาฟ้องร้องบงั คบั ให้ ก. ชาํ ระเงินจาํ นวน 25,000 บาท ได้เพราะเป็ นการฟ้องร้องบังคับคดีเอาแก่ ก. ซ่ึงเป็ นฝ่ ายผูต้ ้องรับผิด แต่ถ้า ข. ไม่ยอมส่งมอบรถจกั รยานยนต์ ก. จะฟ้องร้องบงั คบั ให้ ข. ส่งมอบมิได้ เพราะ ก. กาํ ลงั ฟ้องร้องบงั คบั คดีเอาแก่ ข.แต่ ก. ขาด “หลกั ฐานเป็นหนงั สือลงลายมือช่ือ ข. ซ่ึงเป็นฝ่ ายผตู้ อ้ งรับผดิ ” ลกั ษณะของหลกั ฐานเป็ นหนังสือ ก. หลกั ฐานเป็ นหนงั สือไม่จาํ ตอ้ งทาํ ถึงขนาดเป็ นเอกสารสัญญา จะเป็ นหนงั สือใดก็ได้เช่น บนั ทึกเปรียบเทียบของอาํ เภอ (คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี 1567/2499), รายงานการประชุม (คาํพพิ ากษาศาลฎีกาที่ 368/2506, บนั ทึกประจาํ วนั ของสถานีตาํ รวจ (คาํ พิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2509),บนั ทึกหลงั ทะเบียนเอกสารมหาชน (คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี 215/2510) หรือจดหมายโตต้ อบ (คาํพิพากษาศาลฎีกาท่ี 483/2510) ข. หลกั ฐานเป็ นหนงั สือจะมีกี่ฉบบั ก็ได้ จะเป็ นแผน่ เดียวหรือหลายแผน่ ประกอบกนั ก็ได้และจะทาํ ใหไ้ วแ้ ก่ใครกไ็ ด้ ไม่จาํ เป็นตอ้ งทาํ ใหค้ ูส่ ญั ญาเสมอไป อาจจะทาํ ใหแ้ ก่บุคคลภายนอกก็ได้เช่น บนั ทึกประจาํ วนั ของสถานีตาํ รวจ หรือจดหมายโตต้ อบ และผูท้ าํ จะทาํ โดยต้งั ใจหรือไม่ก็ไม่สาํ คญั ค. หลกั ฐานเป็นหนงั สือน้ีจะทาํ เมื่อใดก็ได้ จะทาํ หลงั จากเกิดสัญญาแลว้ ก็ได้ ง. หลกั เกณฑก์ ารลงลายมือชื่อผตู้ อ้ งรับผดิ เป็นไปตามมาตรา 9 วรรคสองและสาม 2) การวางประจา การวางประจาํ หมายถึง การวางมดั จาํ นั่นเอง ซ่ึงหลกั เกณฑ์ในเรื่องมดั จาํ บญั ญตั ิอยู่ในประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 377 และมาตรา 378 เมื่อมีการวางมดั จาํ แลว้ ถือวา่ มีหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีเกิดข้ึนแลว้ ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงสามารถฟ้องร้องบงั คบั ให้อีกฝ่ ายหน่ึงปฏิบตั ิตามสัญญาได้ มิใช่แต่เฉพาะฝ่ ายที่รับมดั จาํ ไวห้ รือฝ่ ายท่ีวางมดั จาํ เท่าน้นั 3) การชาระหนีบ้ างส่วนหนีต้ ามสัญญาซื้อขาย ผ้ซู ื้อชาระราคาให้แก่ผู้ขาย ผ้ขู ายส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผ้ซู ื้อ
57 โดยปกติคู่สัญญาท้งั สองฝ่ ายตอ้ งชาํ ระหน้ีของตนให้ครบถว้ น มิฉะน้ัน เจา้ หน้ีสามารถปฏิเสธไมร่ ับชาํ ระหน้ีได้ ตามมาตรา 320 แต่ในกรณีที่เจา้ หน้ียอมรับชาํ ระหน้ีบางส่วน ดงั น้ี ถือวา่ มีหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีเกิดข้ึนแลว้ ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงก็สามารถฟ้องร้องบงั คบั ให้อีกฝ่ ายหน่ึงปฏิบตั ิตามสัญญาได้ มิใช่แต่เฉพาะผชู้ าํ ระหน้ีบางส่วนหรือผรู้ ับชาํ ระหน้ีบางส่วนเทา่ น้นั ข้อสังเกต - การที่ผซู้ ้ือเขา้ ครอบครองทรัพยส์ ินโดยพลการ ไม่ถือวา่ เป็นการรับชาํ ระหน้ี - การท่ีลูกหน้ีชาํ ระหน้ีเตม็ จาํ นวนก็ยอ่ มอยู่ในความหมายของหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบัคดีดว้ ย - ในกรณีที่ผูซ้ ้ือชาํ ระเงินด้วยตว๋ั เงิน เช่น เช็ค จะถือว่าเป็ นการชาํ ระหน้ีบางส่วนหรือท้งั หมดก็ต่อเมื่อ มีการข้ึนเงินตามเช็คและธนาคารไมป่ ฏิเสธการจา่ ยเงิน หากยงั ไม่มีการข้ึนเงิน หรือนาํ ไปข้ึนเงินแล้ว แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เช่นน้ี ยงั ไม่ถือว่ามีการชาํ ระหน้ีบางส่วนหรือท้งั หมด เพราะยงั ไม่มีหน้ีส่วนใดระงบั ไปเลย - ในส่วนของผขู้ าย การส่งมอบทรัพยส์ ินก็ตอ้ งส่งมอบให้ถูกตอ้ งตามท่ีตกลงในสัญญา ถา้ส่งมอบของท่ีชาํ รุดบกพร่องหรือผิดประเภท อยา่ งน้ียอ่ มถือว่ายงั ไม่มีการส่งมอบ จึงยงั ไม่เป็ นการชาํ ระหน้ีบางส่วนของผขู้ าย 2.8.3 ความแตกต่างระหว่างแบบกบั หลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดี (1) แบบเป็ นองค์สมบูรณ์ของนิติกรรม แต่หลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีไม่ได้เป็ นองค์สมบูรณ์ของนิติกรรม หากแต่เป็ นเรื่องของพยานหลกั ฐานในการฟ้องร้องบงั คบั คดีเพื่อให้คู่สัญญาปฏิบตั ิการชาํ ระหน้ีเท่าน้นั ถา้ ไม่มีเหตุจะตอ้ งฟ้องร้องบงั คบั คดีแก่กนั กล่าวคือ ต่างมีการชาํ ระหน้ีจนครบถ้วนเป็ นที่พอใจแก่ท้ังสองฝ่ าย สัญญาน้ันก็สมบูรณ์ทุกประการ โดยไม่ต้องคาํ นึงถึงหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีอีก (2) สัญญาที่ทาํ ผดิ แบบตามที่กฎหมายกาํ หนดไว้ ยอ่ มตกเป็นโมฆะเสียเปล่า จะให้สัตยาบนัหรือปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งตามแบบเสียใหม่โดยอาศยั ขอ้ ตกลงเดิมยอ่ มทาํ ไม่ได้ แต่การขาดหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดียอ่ มไม่ทาํ ใหส้ ัญญาน้นั เป็นโมฆะ เพียงแต่วา่ จะฟ้องร้องบงั คบั คดีกนั ต่อไปในภายหนา้ ไม่ได้ ส่วนที่ไดป้ ฏิบตั ิการชาํ ระหน้ีกนั ไปแลว้ ในอดีตย่อมเป็ นอนั สมบูรณ์เรียกคืนมิได้ และเนื่องจากการขาดหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีไม่ไดท้ าํ ให้สัญญาเป็ นโมฆะ ฉะน้นั ถา้ ต่อไปในอนาคตเกิดหลกั ฐานข้ึนโดยวธิ ีใดกอ็ าจใชฟ้ ้องร้องบงั คบั คดีได้ (3) ความเสียเปล่าแห่งสญั ญาท่ีเป็ นโมฆะเพราะทาํ ผดิ แบบท่ีกฎหมายกาํ หนดน้นั บุคคลผมู้ ีส่วนไดเ้ สียคนใดคนหน่ึงจะกล่าวอา้ งข้ึนก็ได้ แต่การขาดหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีเป็ นเรื่องของคูส่ ัญญาหรือผสู้ ืบสิทธิของคูส่ ัญญาที่จะหยบิ ยกข้ึนกล่าวอา้ งเทา่ น้นั 50 50 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถที่ 7, น.144-145.
58 2.8.4 สรุปในเรื่องแบบและหลกั ฐานการฟ้องร้องบังคับคดี การที่จะพิจารณาวา่ การซ้ือขายน้นั จะตอ้ งกระทาํ ตามแบบตามมาตรา 456 วรรคหน่ึง หรือตอ้ งการเพียงหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีเท่าน้นั ตอ้ งพิจารณาเป็นไปตามลาํ ดบั ข้นั ตอนดงั น้ี ข้ันตอนทหี่ นึ่ง ตอ้ งดูก่อนวา่ ขอ้ ตกลงที่คู่กรณีทาํ กนั น้นั เป็ นขอ้ ตกลงประเภทใดในสัญญาซ้ือขาย กล่าวคือ เป็นสัญญาซ้ือขายเสร็จเดด็ ขาด หรือเป็ นเพียงสัญญาจะซ้ือจะขาย หรือคาํ มน่ั จะซ้ือหรือจะขาย ข้นั ตอนทสี่ อง เม่ือทราบแลว้ วา่ เป็ นขอ้ ตกลงประเภทใด ก็มาดูวา่ ทรัพยส์ ินที่ทาํ การซ้ือขายน้นั คืออะไร กล่าวคือ - ถา้ เป็ นอสังหาริมทรัพยห์ รือสังหาริมทรัพยพ์ ิเศษ และเป็ นสัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาด ก็ตอ้ งทาํ ตามแบบตามมาตรา 456 วรรคหน่ึง แต่ถา้ เป็ นสัญญาจะซ้ือจะขาย หรือคาํ มนั่ จะซ้ือหรือจะขาย กต็ อ้ งการเพียงหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีเท่าน้นั - ถ้าเป็ นสังหาริมทรัพย์ทว่ั ไปท่ีมีราคา 20,000 บาทข้ึนไป และเป็ นสัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาด กต็ อ้ งมีหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดี - แตถ่ า้ สังหาริมทรัพยท์ วั่ ไปน้นั มีราคาไม่ถึง 20,000 บาท หรือเป็ นเพียงคาํ มนั่ วา่ จะซ้ือหรือจะขายสงั หาริมทรัพยท์ ว่ั ไป (ไม่วา่ ทรัพยน์ ้นั จะมีราคาเท่าไรก็ตาม) เช่นน้ี ก็ไม่ตอ้ งทาํ ตามแบบและก็ไม่ตอ้ งมีหลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดีแต่อย่างใด ตกลงกนั ด้วยวาจาก็สมบูรณ์และสามารถฟ้องร้องบงั คบั คดีกนั ได้ 2.9 การโอนกรรมสิทธ์ิ การโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายถือเป็ นสาระสาํ คญั ของสัญญาซ้ือขาย แต่การโอนกรรมสิทธ์ิน้นั ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ตอ้ งมีการโอนกรรมสิทธ์ิกนั ในขณะท่ีสัญญาซ้ือขายเกิด การโอนกรรมสิทธ์ิอาจจะเกิดหลงั จากที่คูส่ ญั ญาทาํ สัญญากนั แลว้ หรือเกิดข้ึนพร้อมกบั การเกิดของสัญญาก็ได้ ซ่ึงในเรื่องการโอนกรรมสิทธ์ิน้นั บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 458-460 2.9.1 หลกั การโอนกรรมสิทธ์ิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 458 เป็ นบทหลกั ในเรื่องการโอนกรรมสิทธ์ิ ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ขายน้ัน ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อต้ังแต่ขณะเมื่อได้ทาสัญญาซื้อขายกนั ” มาตรา 458 น้ี หมายความวา่ เมื่อคู่สัญญาไดต้ กลงทาํ สัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาดกนั เม่ือไรยอ่ มก่อใหเ้ กิดผลเป็ นการโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายทนั ทีที่ทาํ สัญญากนั ซ่ึงจะเห็นไดว้ ่ากรรมสิทธ์ิโอนไปรวดเร็วมาก “เร็วจนคนขายอาจไม่รู้ตวั ” การโอนกรรมสิทธ์ิน้นั เป็ นการโอนไปโดยอาํ นาจแห่งกฎหมาย เป็นเร่ืองที่เป็นนามธรรม จึงอาจไม่มีใครรู้เห็นวา่ กรรมสิทธ์ิไดโ้ อนไปแลว้ซ่ึงแตกต่างจากการส่งมอบทรัพยท์ ี่เป็นรูปธรรมเห็นไดช้ ดั เจน
59 กรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายน้นั ทนั ทีที่ผูซ้ ้ือผขู้ ายแสดงเจตนายนิ ยอมเขา้ ทาํ สัญญากนัและเป็ นสัญญาท่ีไม่มีขอ้ บกพร่องใดๆ ในทางกฎหมาย คือสมบูรณ์แลว้ ยอ่ มก่อให้เกิดผลเป็ นการโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินท่ีซ้ือขายทันที ซ่ึงโดยหลักจะเกิดข้ึนได้ก็ต่อเม่ือผูข้ ายเป็ นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินท่ีขายน้ัน และทรัพยท์ ี่ซ้ือขายจะต้องเป็ นทรัพยท์ ่ีมีตวั ตนและเป็ นทรัพย์เฉพาะสิ่งแลว้ เช่น นายแดงตกลงขายโทรศพั ทม์ ือถือใหแ้ ก่นายดาํ ในราคา 5,000 บาท นายดาํ ตกลงซ้ือเช่นน้ี เมื่อสัญญาซ้ือขายระหวา่ งนายแดงกบั นายดาํ เกิดข้ึน กรรมสิทธ์ิในโทรศพั ท์มือถือก็โอนจากนายแดงไปยงั นายดาํ ทนั ที โดยที่แมน้ ายแดงยงั ไม่ไดส้ ่งมอบโทรศพั ทม์ ือถือใหแ้ ก่นายดาํ และนายดาํ จะยงั ไม่ไดช้ าํ ระราคาใหแ้ ก่นายแดงเลยก็ตาม คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 4933/2533 สญั ญาซ้ือขายรถยนตพ์ พิ าท มีเงื่อนไขเฉพาะวธิ ีการชาํ ระราคาใหช้ าํ ระเป็นเช็ค 2 งวด หากผดิ เงื่อนไขยอมใหผ้ ขู้ ายยึดรถคืนไดโ้ ดยไม่ไดร้ ะบุวา่ ใหก้ รรมสิทธ์ิโอนไปเม่ือผขู้ ายไดร้ ับชาํ ระราคาครบถว้ นแลว้ เช่นน้ีเป็ นสัญญาซ้ือขายเด็ดขาดกรรมสิทธ์ิโอนไปยงั ผซู้ ้ือต้งั แต่วนั ทาํ สญั ญา เงื่อนไขยอมใหผ้ ขู้ ายยดึ รถคืนไดเ้ ป็นเพยี งขอ้ กาํ หนดวิธีการบงั คบั เม่ือเกิดกรณีผิดสัญญาเท่าน้นั โจทก์ผซู้ ้ือรถยนตพ์ ิพาทจากผูซ้ ้ือเดิมโดยสุจริตย่อมไดก้ รรมสิทธ์ิในรถยนต์น้นั คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 2733/2546 ตามสัญญาซ้ือขายท่ีทาํ ข้ึนระหวา่ งผคู้ ดั คา้ นกบั จาํ เลยที่ 2มีขอ้ ความระบุแต่เพียงวา่ ผคู้ ดั คา้ นไดข้ ายรถยนตข์ องกลางให้แก่จาํ เลยท่ี 2 ในราคา 320,000 บาทไดร้ ับเงินมดั จาํ ไว้ 170,000 บาท ส่วนท่ีเหลือ 150,000 บาท จะชาํ ระในวนั ที่ 29 มกราคม 2541สัญญาซ้ือขายดงั กล่าวจึงเป็ นสัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาดที่มีการแบ่งชาํ ระราคาซ้ือขายเป็ น 2 งวดเท่าน้นั ดงั น้นั เม่ือทาํ สัญญาเสร็จแลว้ กรรมสิทธ์ิในรถยนต์ยอ่ มโอนไปยงั จาํ เลยท่ี 2 ซ่ึงเป็ นผูซ้ ้ือทนั ทีตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 458 มิใช่สัญญาซ้ือขายที่มีเง่ือนไขในการโอนกรรมสิทธ์ิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 459 ผูค้ ดั คา้ นจึงมิใช่เจา้ ของรถยนตข์ องกลาง จึงไม่มีสิทธิยนื่ คาํ คดั คา้ น ขอใหศ้ าลมีคาํ สัง่ คืนรถยนตข์ องกลางใหแ้ ก่ผคู้ ดั คา้ นได้ 2.9.2 ข้อยกเว้นหลกั การโอนกรรมสิทธ์ิ มีขอ้ ยกเวน้ อยหู่ ลายประการ คือ 1) กรณีการซื้อขายทรัพย์สินท่ีอยู่ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อนหรือเง่ือนเวลาเร่ิมต้น ตามมาตรา 459 - คาํ วา่ “สัญญาซ้ือขายมีเง่ือนไข” หมายถึงเง่ือนไขบงั คบั ก่อน มิใช่เงื่อนไขบงั คบั หลงั โดยดูจากมาตรา 459 ตอนหน่ึงว่า “...กรรมสิทธ์ิยงั ไม่โอนไป...” เช่นเดียวกับคาํ ว่า “เง่ือนเวลา” ก็หมายถึง เง่ือนเวลาเร่ิมตน้ ไม่ใช่เงื่อนเวลาสิ้นสุด - และคาํ ว่า “เงื่อนไข” หรือ “เงื่อนเวลา” น้นั หมายถึง เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาในการโอนกรรมสิทธ์ิทรัพยส์ ินที่ซ้ือขาย ไม่ใช่เง่ือนไขหรือเง่ือนเวลาของการเกิดสัญญา สัญญาซ้ือขายเกิดข้ึน
60แลว้ เพียงแต่คู่สัญญามากาํ หนดเงื่อนไขหรือเง่ือนเวลาไวไ้ ม่ใหก้ รรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินโอนไปยงั ผู้ซ้ือทนั ทีท่ีทาํ สญั ญาซ้ือขายกนั เช่น นายเหลืองตกลงขายคอมพิวเตอร์ใหแ้ ก่นายเขียวในราคา 4,000 บาท นายเขียวตกลงซ้ือ แต่มีขอ้ ตกลงวา่ กรรมสิทธ์ิในคอมพิวเตอร์จะยงั ไม่โอนไปยงั นายเขียวจนกวา่ นายเหลืองจะซ้ือคอมพิวเตอร์เคร่ืองใหม่ไดก้ ่อน เช่นน้ีเป็ นสัญญาซ้ือขายมีเงื่อนไข กรรมสิทธ์ิในคอมพิวเตอร์ยงัไม่โอนไปยงั นายเขียวทนั ทีที่เกิดสัญญา แต่จะโอนไปต่อเม่ือเง่ือนไขสําเร็จ คือนายเหลืองซ้ือคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ไดแ้ ลว้ นายม่วงตกลงขายรถยนตข์ องตนให้แก่นายขาวในราคา 200,000 บาท นายขาวตกลงซ้ือ แตม่ ีขอ้ ตกลงวา่ กรรมสิทธ์ิในรถยนตจ์ ะยงั ไม่โอนไปยงั นายขาวจนกวา่ จะถึงวนั ที่ 1 มกราคม2557 เช่นน้ีเป็ นสัญญาซ้ือขายมีเง่ือนเวลา กรรมสิทธ์ิในรถยนตย์ งั ไม่โอนไปยงั นายขาวทนั ทีท่ีเกิดสญั ญา แต่จะโอนไปต่อเมื่อไดถ้ ึงกาํ หนดเง่ือนเวลาดงั กล่าว 2) กรณกี ารซื้อขายทรัพย์สินทก่ี าหนดไว้แต่เพยี งประเภท ตามมาตรา 460 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 460 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิวา่ “ในการซ้ือขายทรัพยส์ ินซ่ึงมิไดก้ าํ หนดลงไวแ้ น่นอนน้นั ท่านวา่ กรรมสิทธ์ิยงั ไม่โอนไปจนกวา่ จะไดห้ มาย หรือนบั ชงั่ ตวง วดั หรือคดั เลือก หรือทาํ โดยวิธีอื่นเพื่อให้บ่งตวั ทรัพยส์ ินน้นัออกเป็นแน่นอนแลว้ ” มาตรา 460 วรรคหน่ึง หมายความวา่ กรณีตวั ทรัพยอ์ นั เป็ นวตั ถุแห่งสัญญาซ้ือขายน้นั ถูกกาํ หนดไวแ้ ต่เพียงประเภท กล่าวคือ ยงั ไม่เป็ นทรัพยเ์ ฉพาะส่ิง ดงั น้นั กรรมสิทธ์ิในทรัพยท์ ี่ซ้ือขายจึงยงั ไม่สามารถโอนไปยงั ผูซ้ ้ือได้ เพราะยงั ไม่ทราบว่าไดมีการซ้ือขายทรัพยก์ นั ชิ้นไหน อนั ไหนเลย แต่ถา้ หากกาํ หนดลงไวแ้ น่นอนแลว้ ว่าเป็ นวตั ถุชิ้นน้นั สินคา้ ชิ้นน้ี ทรัพยส์ ินอนั น้นั ดงั น้ีเป็ นการกาํ หนดตวั ทรัพยไ์ วแ้ น่นอนแลว้ (เป็ นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่งแลว้ ) ซ่ึงอาจจะตอ้ งพิจารณาเรื่องทรัพย์เฉพาะสิ่ง ตามมาตรา 460 วรรคสองต่อไป ส่วนการที่จะทาํ ใหว้ ตั ถุแห่งสัญญาซ้ือขายเป็นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่งน้นั จะตอ้ งดาํ เนินการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงตามท่ีมาตรา 195 วรรคสอง กาํ หนดไว้ คือ “ถา้ ลูกหน้ีไดก้ ระทาํ การอนั ตนจะพึงตอ้ งทาํ เพ่ือส่งมอบทรัพยส์ ิ่งน้นั ทุกประการแลว้ ก็ดีหรือถา้ ลูกหน้ีไดเ้ ลือกกาํ หนดทรัพยท์ ี่จะส่งมอบแลว้ ดว้ ยความยินยอมของเจา้ หน้ีก็ดี ท่านวา่ ทรัพย์น้นั จึงเป็นวตั ถุแห่งหน้ีจาํ เดิมแตเ่ วลาน้นั ไป” เช่นระบุตวั ทรัพย์ นบั จาํ นวนแยกออกมา ชงั่ ตามน้าํ หนกั ที่ตกลงซ้ือขาย วดั ขนาด หรือทาํอยา่ งไรกไ็ ด้ เพอ่ื ระบุตวั ทรัพยใ์ หแ้ น่นอนวา่ ตอ้ งการซ้ือชิ้นไหน อนั ไหน จาํ นวนไหน เมื่อไดก้ ระทาํการดงั กล่าวแลว้ ทรัพยน์ ้นั ก็จะเป็นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่ง กรรมสิทธ์ิจึงจะโอน ตราบใดถา้ ยงั ไม่ทาํ เช่นน้นัก็ไมส่ ามารถทราบไดว้ า่ จะซ้ือขายทรัพยส์ ินใดกนั จะใหก้ รรมสิทธ์ิโอนไปยอ่ มเป็นไปไม่ได้
61 เช่น นาย ก. ขอซ้ือไก่จากนาย ข. 3 ตวั จากเลา้ ไก่ของนาย ข. ท่ีมีอยู่ 10 ตวั ในราคาตวั ละ200 บาท นาย ข. ตกลงขาย เช่นน้ี ตราบใดท่ีนาย ข. ยงั ไม่ไดม้ ีการระบุวา่ ไก่ 3 ตวั ไหนที่นาย ข. จะขายใหก้ บั นาย ก. กรรมสิทธ์ิในไก่ก็ยงั ไม่โอนไปยงั นาย ก. กรรมสิทธ์ิในไก่จะโอนไปยงั นาย ก. ก็ตอ่ เมื่อ นาย ข. ไดม้ ีการคดั แยกไก่ออกมาจากเลา้ ไก่แลว้ วา่ เป็น 3 ตวั ไหน เม่ือน้นั กเ็ ป็นการทาํ ให้เป็ นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่งแลว้ กรรมสิทธ์ิก็จะโอนจากนาย ข. ไปยงั นาย ก. คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1504/2526 ผรู้ ้องซ้ือขา้ วสารของกลางจาํ นวน 70 กระสอบจากผขู้ ายแมผ้ รู้ ้องจะยงั ไม่ไดช้ าํ ระราคาขา้ วสารน้ีก็ตาม แต่ทางผขู้ ายก็ไดว้ า่ จา้ งให้ ย. เอารถยนตบ์ รรทุกไปส่งให้แก่ผูร้ ้อง และดาํ เนินการขออนุญาตขนขา้ วสารรายน้ีขา้ มเขตในนามของผูร้ ้องดงั น้ี ขณะที่ขนขา้ วสารดงั กล่าวไปส่งใหผ้ รู้ ้อง ขา้ วสารน้นั ตกเป็นกรรมสิทธ์ิของผรู้ ้องแลว้ คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 2607/2531 บริษทั อ. นาํ น้าํ มนั เตาจาํ นวน 12,000 ลิตรที่โจทก์ร่วมสัง่ ซ้ือไปส่งยงั บริษทั โจทกร์ ่วมโดยรถบรรทุกน้าํ มนั และจะรับรู้หรือรับผิดชอบถา้ หากลวดซีลท่ีฝาปิ ดเปิ ดอยใู่ นสภาพไม่เรียบร้อย แสดงวา่ บริษทั อ. ผขู้ ายไดห้ มาย หรือ นบั ชงั่ ตวงวดั หรือคดั เลือกบ่งตวั ทรัพยส์ ินคือน้าํ มนั เตาท่ีโจทก์ร่วมส่ังซ้ือไวแ้ น่นอนเป็ นจาํ นวน 12,000 ลิตร และบรรจุไวใ้ นรถเรียบร้อยแลว้ กรรมสิทธ์ิในน้าํ มนั เตาที่ซ้ือขายยอ่ มโอนไปเป็ นของโจทกร์ ่วม การที่โจทกร์ ่วมนาํรถบรรทุกน้าํ มนั ไปชงั่ น้าํ หนกั อีกทีหน่ึงเป็ นเพียงวธิ ีการตรวจสอบวา่ บริษทั อ.ไดส้ ่งมอบน้าํ มนั เตาที่สั่งซ้ือใหโ้ จทกร์ ่วมครบถว้ นหรือไม่เท่าน้นั หาใช่เป็ นเรื่องการกระทาํ เพื่อใหท้ ราบราคาท่ีแน่นอนไม่เม่ือจาํ เลยลกั น้าํ มนั เตาไป 4,000 ลิตร โจทกร์ ่วมจึงเป็นผเู้ สียหาย คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 5774/2534 กรมสารบรรณทหารซ้ือแบตเตอร่ีจากโจทก์และฝากแบตเตอร่ี ที่ซ้ือ ไวก้ บั โจทก์ แต่โจทก์ยงั มิไดก้ าํ หนดแบ่งแยกไวแ้ น่นอนวา่ จะขายแบตเตอรี่หมอ้ ใดใหก้ รรมสิทธ์ิในแบตเตอรี่จึงยงั ไมโ่ อนไปยงั กรมสารบรรณทหารตามป.พ.พ. มาตรา 460 3) กรณีการซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่งท่ียังต้องมีการกระทาอะไรบางอย่างเพ่ือรู้ราคา ตามมาตรา 460 วรรคสอง ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 460 วรรคสอง บญั ญตั ิวา่ “ในการซ้ือขายทรัพยส์ ินเฉพาะส่ิง ถา้ ผูข้ ายยงั จะตอ้ งนบั ชง่ั ตวง วดั หรือทาํ การอยา่ งอ่ืนหรือทาํ ส่ิงหน่ึงส่ิงใดอันเก่ียวแก่ทรัพย์สินเพ่ือให้รู้กาํ หนดราคาทรัพย์สินน้ันแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธ์ิยงั ไมโ่ อนไปยงั ผซู้ ้ือจนกวา่ การหรือสิ่งน้นั ไดท้ าํ แลว้ ” กรณีน้ีเป็ นกรณีที่ทรัพยส์ ินท่ีตกลงซ้ือขายน้นั เป็ นทรัพยเ์ ฉพาะส่ิงแลว้ คือรู้แลว้ ว่าชิ้นไหนอนั ไหน ตวั ไหน แตท่ ่ีกฎหมายยงั ไมย่ อมใหก้ รรมสิทธ์ิโอนไปเพราะคู่สัญญายงั ตอ้ งทาํ การบางอยา่ งเพอ่ื ใหร้ ู้ราคาก่อน เช่น นายแดงขอซ้ือสตรอเบอร์ร่ีจากนายขาว 1 ตะกร้า โดยนายขาวจะขายกิโลกรัมละ200 บาท เช่นน้ี แมน้ ายขาวจะมีการแยกสตรอเบอร์ร่ี 1 ตะกร้าออกมาแลว้ ก็ตาม (ซ่ึงทาํ ใหก้ ลายเป็ น
62ทรัพยเ์ ฉพาะสิ่ง) แต่กรรมสิทธ์ิในสตรอเบอร์ร่ีกย็ งั ไมโ่ อนไปยงั นายแดง จนกวา่ นายขาวจะนาํ สตรอเบอร์ร่ี 1 ตะกร้าน้นั ไปชง่ั น้าํ หนกั เพอื่ ใหร้ ู้ราคาเสียก่อน แต่ถา้ ขอ้ เท็จจริงเปล่ียนไปวา่ นายแดงขอซ้ือสตรอเบอร์ร่ีจากนายขาว 1 ตะกร้าและนายขาวขายสตรอเบอร์ร่ีท้งั ตะกร้าในราคา 1,000 บาท เช่นน้ี เมื่อนายขาวแยกสตรอเบอร์รี่ 1ตะกร้าออกมาแลว้ กรรมสิทธ์ิในสตรอเบอร์รี่ก็โอนไปยงั นายแดงทนั ที เพราะในกรณีน้ีเพียงแต่ทาํใหเ้ ป็นทรัพยเ์ ฉพาะส่ิง กรรมสิทธ์ิโอนทนั ทีเพราะทราบราคาของสตรอเบอร์ร่ีแลว้ นน่ั เอง คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 833/2541 ตามสัญญาระหว่างโจทก์และบริษทั ก. ไดต้ กลงให้อยู่ภายใตบ้ งั คบั กฎหมายแห่งประเทศไทย และมีขอ้ สัญญาระบุวา่ กรรมสิทธ์ิในน้าํ มนั เป็นของผซู้ ้ือ เมื่อไดผ้ า่ นเขา้ ระบบเช้ือเพลิงใตป้ ี กเครื่องบินแลว้ ซ่ึงตอ้ งมีการตวงวดั ปริมาณน้าํ มนั เพื่อใหร้ ู้กาํ หนดราคาน้าํ มนั ที่แน่นอนแลว้ สัญญาดงั กล่าวจึงมิใช่สัญญาซ้ือขายเสร็จเด็ดขาด แต่เป็ นสัญญาซ้ือขายท่ีกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายจะโอนไปยงั ผซู้ ้ือเม่ือไดม้ ีการตวงวดั ปริมาณน้าํ มนั เพื่อให้รู้กาํ หนดราคาทรัพยส์ ินตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 460 วรรคสอง 4) กรณีการซื้อขายทรัพย์สินท่ีกฎหมายบังคับว่าจะต้องทาตามแบบที่กฎหมายกาหนดไว้ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง การซ้ือขายอสังหาริมทรัพยห์ รือสังหาริมทรัพยพ์ ิเศษ กรรมสิทธ์ิจะโอนจากผูข้ ายไปยงั ผูซ้ ้ือก็ต่อเมื่อไดม้ ีการทาํ เป็นหนงั สือและจดทะเบียนตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่แลว้ ดงั น้นั ตราบใดท่ียงั ไม่ทาํเป็นหนงั สือและจดทะเบียนตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี กรรมสิทธ์ิกย็ งั ไม่โอนไปยงั ผซู้ ้ือ 2.9.3 ผลของการโอนกรรมสิทธ์ิ กรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายจะโอนไปแล้วหรือยงั มีผลในทางกฎหมายท่ีสําคญั อยู่หลายประการ คือ (1) ในเรื่องการใช้อานาจการเป็ นเจ้าของกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ซื้อขาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 1336 หากกรรมสิทธ์ิโอนไปยงั ผูซ้ ้ือแลว้ ผูซ้ ้ือยอ่ มเป็ นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินน้นั และยอ่ มอาศยั อาํ นาจความเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิตามมาตรา 1336 ได้ เช่น นายดาํ ตกลงขายรถยนตข์ องตนใหน้ ายเขียวในราคา 100,000 บาท นายเขียวตกลงซ้ือ เช่นน้ี เม่ือสัญญาซ้ือขายดงั กล่าวไมม่ ีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาประวิงการโอนกรรสิทธ์ิ กรรมสิทธ์ิในรถยนตค์ นั ดงั กล่าวยอ่ มโอนไปยงั นายเขียวทนั ทีเมื่อสัญญาซ้ือขายเกิดข้ึน ตามมาตรา 458 ดงั น้นันายเขียวจึงสามารถโอนขายรถยนต์คนั ดงั กล่าวให้แก่ผูอ้ ื่นได้ แมน้ ายดาํ ยงั ไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ใหแ้ ก่นายเขียวก็ตาม นายม่วงขอซ้ือสุนขั จากนายไก่ในราคา 20,000 บาท นายไก่ตกลงขาย แต่นายม่วงขอฝากสุนขั ไวท้ ่ีนายไก่ก่อน 3 เดือนแลว้ ตนจะมารับเอาทีหลงั ปรากฏวา่ ก่อนท่ีนายไก่จะมารับเอาสุนขั สุนขั ตวั ดงั กล่าวไดค้ ลอดลูกออกมา 5 ตวั เช่นน้ี ลูกสุนขั ท้งั 5 ตวั ดงั กล่าวเป็ นกรรมสิทธ์ิของ
63นายไก่ เพราะกรรรมสิทธ์ิในแม่สุนขั เป็ นของนายไก่แลว้ ต้งั แต่ในขณะท่ีทาํ สัญญา ลูกสุนขั ซ่ึงเป็ นดอกผลของแมส่ ุนขั จึงตกเป็นกรรมสิทธ์ิของนายไก่ดว้ ย (2) ในเร่ืองการรับความเส่ียงในภัยพบิ ตั ิทเ่ี กดิ กบั ทรัพย์สินทซ่ี ื้อขาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 370-372 ผลของการโอนกรรมสิทธ์ิยงั มีตอ่ การรับความเสี่ยงในภยั พบิ ตั ิที่เกิดข้ึนกบั ทรัพยส์ ินอีกดว้ ยเพราะหากกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินไดโ้ อนไปยงั ผูซ้ ้ือแลว้ ผูซ้ ้ือในฐานะท่ีเป็ นเจา้ ของยอ่ มเป็ นผูร้ ับความเส่ียงในภยั พิบตั ิท่ีเกิดข้ึนโดยไม่มีใครผิดตามมาตรา 370 วรรคหน่ึง แมว้ า่ ผูซ้ ้ืออาจจะยงั ไม่ได้รับมอบทรัพยน์ ้ันไปไวใ้ นความครอบครองก็ตาม ดงั น้นั เมื่อทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายน้นั สูญหรือเสียหายไปเพราะเหตุใดๆ โดยมิใช่ความผิดของผูข้ าย ผูซ้ ้ือในฐานะท่ีเป็ นเจา้ ของตอ้ งรับภยั โดยยงั คงตอ้ งชาํ ระราคาครบถว้ น แตไ่ ม่มีสิทธิเรียกใหผ้ ขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ่ิงอื่นใหแ้ ทน เช่น นายไวขอซ้ือขา้ วสารจากนายไกร 100 กระสอบ นายไกรตกลงขาย ต่อมานายไกรไดบ้ รรทุกขา้ ว 100 กระสอบข้ึนรถเพ่ือนาํ ไปส่งให้นายไว ปรากฏวา่ ระหวา่ งทางรถเกิดอุบตั ิเหตุตกแม่น้าํ ทาํ ใหข้ า้ วสารท่ีบรรทุกมาเสียหายท้งั หมด โดยไม่ใช่ความผิดของคนขบั รถบรรทุกขา้ ว เช่นน้ีกรรมสิทธ์ิในขา้ วไดโ้ อนไปยงั นายไวแลว้ ต้งั แต่ท่ีนายไกรไดท้ าํ ให้ขา้ วกลายเป็ นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่งโดยการบรรทุกขา้ ว 100 กระสอบข้ึนรถเพื่อนาํ ไปส่งใหน้ ายไว ตามมาตรา 460 วรรคหน่ึง นายไวจึงตอ้ งเป็ นผูร้ ับในภยั พิบตั ิดงั กล่าว โดยชาํ ระราคาให้แก่นายไกร และนายไกรไม่ตอ้ งส่งมอบขา้ วสารใหมใ่ หแ้ ต่อยา่ งใด นาย ก. ขอซ้ือส้มจากนาย ข. 10 เข่งท่ีนาย ข. มีอยใู่ นราคา 5,000 บาท นาย ข. ตกลงขาย โดยนาย ก. ใหน้ าย ข. ช่วยนบั ส้มบรรจุลงกล่อง กล่องละ 24 ลูกใหด้ ว้ ย ในระหวา่ งที่นาย ข.กาํ ลงั นบั ส้มบรรจุลงกล่อง ปรากฏวา่ มีรถเสียหลกั พุ่งเขา้ ชนแผงส้มของนาย ข. ทาํ ให้ส้มท้งั หมดเสียหาย เช่นน้ี การซ้ือขายส้มระหวา่ งนาย ก. กบั นาย ข. ดงั กล่าวเป็ นการซ้ือส้มแบบเหมาท้งั 10 เข่งในราคา 5,000 บาท ส้มท้งั 10 เข่งจึงเป็นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่งแลว้ ส่วนการนบั ส้มบรรจุลงกล่องเป็ นเพียงวธิ ีการส่งมอบเท่าน้นั ไม่ใช่การนบั เพ่ือให้ทราบราคา กรณีจึงไม่ใช่มาตรา 460 วรรคสอง แต่เป็ นกรณีตามมาตรา 458 กรรมสิทธ์ิในส้มท้งั 10 เข่งจึงตกเป็นของนาย ก. แลว้ ต้งั แต่ในขณะท่ีเกิดสัญญานาย ก. จึงตอ้ งเป็ นผรู้ ับในภยั พิบตั ิดงั กล่าว โดยชาํ ระราคาใหแ้ ก่นาย ข. และนาย ข. ไม่ตอ้ งส่งมอบส้มใหม่ใหแ้ ต่อยา่ งใด แต่ถ้าหากเป็ นสัญญาซ้ือขายมีเงื่อนไขหรือเง่ือนเวลา ซ่ึงกรรมสิทธ์ิยงั ไม่โอนไปยงั ผูซ้ ้ือและทรัพยน์ ้นั เกิดสูญหายหรือถูกทาํ ลายลงในระหวา่ งที่เงื่อนไขยงั ไม่สําเร็จหรือยงั ไม่ถึงกาํ หนดเง่ือนเวลา เมื่อเงื่อนไขสาํ เร็จแลว้ หรือถึงกาํ หนดเงื่อนเวลาแลว้ เช่นน้ี ผูซ้ ้ือยอ่ มมีสิทธิจะเลือกเอาวา่จะขอเลิกสัญญาซ้ือขาย หรือจะยอมรับเอาทรัพยเ์ ท่าที่เหลือ โดยขอลดราคาลงตามส่วนก็ได้ ท้งั น้ีเป็นไปตามมาตรา 371
64 เช่น นายดาํ อยูท่ ี่กรุงเทพฯขอซ้ือสตรอเบอร์รี่จากนายฟ้า 100 กิโลกรัม ในราคา15,000บาท โดยนายฟ้าจะตอ้ งส่งสตรอเบอร์รี่ใหก้ บั นายดาํ ที่กรุงเทพฯ และตกลงกนั วา่ กรรมสิทธ์ิในสตรอเบอร์ร่ียงั ไม่โอนจนกวา่ สตรอเบอร์รี่จะมาถึงกรุงเทพฯ ต่อมาปรากฏว่าเมื่อ สตรอเบอร์ร่ีมาถึงกรุงเทพฯ สตรอเบอร์ร่ีไดเ้ สียหายในระหวา่ งขนส่งไป 10 กิโลกรัม เช่นน้ี สัญญาซ้ือขายดงั กล่าวเป็ นสัญญาซ้ือขายมีเงื่อนไข กรรมสิทธ์ิในสตรอเบอร์ร่ียงั ไม่โอนจนกวา่ เง่ือนไขสําเร็จ คือ มาถึงกรุงเทพฯ เม่ือปรากฏวา่ สตรอเบอร์รี่ไดเ้ สียหายไปในระหวา่ งที่เงื่อนไขยงั ไม่สาํ เร็จ ผูร้ ับในภยั พิบตั ิจึงเป็ นนายฟ้าผขู้ ายเพราะกรรมสิทธ์ิยงั ไม่โอนไปยงั นายดาํ ผซู้ ้ือ นายดาํ จึงมีสิทธิเลือกว่าจะขอเลิกสญั ญาหรือยอมรับเอาสตรอเบอร์รี่ที่เหลือและใชร้ าคาตามส่วนก็ได้ (3) กรณเี จ้าหนีข้ องผ้ขู ายนายดึ ทรัพย์สินท่ีขาย ถ้ากรรมสิทธ์ิยงั คงอยู่ท่ีผูข้ าย เจา้ หน้ีของผูข้ ายย่อมสามารถนาํ ยึดทรัพยท์ ่ีขายเพ่ือนํามาบงั คบั ชาํ ระหน้ีได้ เช่น นายหนุ่มขายรถยนตข์ องตนใหแ้ ก่นายต่ายในราคา 100,000 บาท นายต่าย ตกลงซ้ือ โดยมีขอ้ ตกลงว่าให้นายต่ายสามารถผ่อนชาํ ระราคาได้ 10 งวด งวดละ 10,000 บาท และกรรมสิทธ์ิในรถยนตค์ นั ดงั กล่าวยงั ไมโ่ อนไปยงั นายตา่ ยจนกวา่ จะชาํ ระราคาครบถว้ น เช่นน้ี สัญญาซ้ือขายดงั กล่าวเป็นสญั ญาซ้ือขายมีเง่ือนไข กรรมสิทธ์ิจึงยงั ไม่โอนไปยงั นายต่ายจนกวา่ นายต่ายจะชาํ ระราคาครบถว้ น หากในระหว่างท่ีนายต่ายยงั ชาํ ระราคาไม่ครบถว้ น นายหนุ่มถูกเจา้ หน้ีฟ้องบงั คบั ชาํ ระหน้ีเงินจนศาลพพิ ากษาใหน้ ายหนุ่มชาํ ระหน้ีเงินใหก้ บั เจา้ หน้ี ดงั น้ี เจา้ หน้ีของนายหนุ่มสามารถนาํ ยดึ รถยนตท์ ี่นายหนุ่มขายใหแ้ ก่นายต่ายเพ่ือบงั คบั ชาํ ระหน้ีได้ เพราะรถยนตค์ นั ดงั กล่าวยงั เป็นของนายหนุ่มลูกหน้ีอยู่ 2.10 หน้าท่ีและความรับผดิ ของผู้ขาย หนา้ ที่และความรับผดิ ของผขู้ ายมี 3 ประการ คือ 2.10.1 หนา้ ท่ีในการส่งมอบทรัพยส์ ินท่ีขาย 2.10.2 หนา้ ที่รับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องของทรัพยส์ ินท่ีขาย 2.10.3 หนา้ ท่ีรับผดิ ในการรอนสิทธิ หนา้ ที่ท้งั 3 ประการน้ีเป็ นหนา้ ท่ีที่ระบุไวช้ ดั แจง้ ในกฎหมายลกั ษณะซ้ือขาย หมวด 2 ในบรรดาหนา้ ท่ีท้งั สามน้ี การส่งมอบเป็ นหนา้ ที่ท่ีสาํ คญั ท่ีสุด ความรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องและการรอนสิทธิเป็ นความรับผิดที่เกี่ยวเน่ืองหรือตามมาภายหลงั จากการส่งมอบแลว้ ถา้ ยงั ไม่ส่งมอบความชาํ รุดบกพร่องและการรอนสิทธิก็ยงั ไม่เกิด เพราะผูข้ ายอาจส่งมอบทรัพยท์ ่ีใชก้ ารไดแ้ ละไม่มีปัญหาเรื่องการรอนสิทธิกไ็ ด้ หนา้ ที่และความรับผดิ เหล่าน้ี ถือเป็ นเรื่องท่ีกฎหมายกาํ หนดไวอ้ ยา่ งชดั แจง้ ซ่ึงแมค้ ู่สัญญาจะไม่ตกลงกนั ไว้ กฎหมายก็กาํ หนดหน้าที่และความรับผิดไวใ้ ห้เสร็จ ที่เรียกวา่ เอกเทศสัญญาก็เพราะกฎหมายกาํ หนดหน้าที่และความรับผิดของแต่ละฝ่ ายไวเ้ สร็จเช่นน้ีเอง สิ่งอ่ืนท่ีนอกเหนือ
65หรือขาดเกินจากน้ีเป็ นเรื่องของคู่สัญญาตกลงกนั เอาเอง เช่น ตอ้ งห่อของขวญั ให้ด้วย หรือตอ้ งติดต้งั ใหด้ ว้ ย เป็ นตน้ 51 2.10.1 หน้าทใ่ี นการส่งมอบทรัพย์สินทข่ี าย หนา้ ที่ของผขู้ ายในกรณีน้ีเป็นไปตามบทบญั ญตั ิของมาตรา 461 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ผขู้ ายจาํ ตอ้ งส่งมอบทรัพยส์ ินซ่ึงขายน้นั ใหแ้ ก่ผซู้ ้ือ” หนา้ ท่ีประการน้ีถือเป็นหนา้ ที่หลกั ของผขู้ าย เพราะโดยหลกั ของสัญญาซ้ือขาย กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินย่อมโอนไปยงั ผู้ซ้ือทันทีที่ได้ทาํ สัญญา โดยท่ีไม่มีใครต้องรู้ต้องเห็น การโอนกรรมสิทธ์ิเป็นเรื่องนามธรรม ดงั น้นั กรรมสิทธ์ิอาจโอนไปโดยที่ผซู้ ้ือยงั ไม่ไดร้ ับมอบทรัพยส์ ินน้นัไปไวใ้ นครอบครองก็ได้ ซ่ึงการท่ีผูซ้ ้ือเป็ นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินท่ีซ้ือโดยท่ียงั ไม่ได้ครอบครองทรัพย์สินน้ัน อาจทาํ ให้ผูซ้ ้ือไม่สามารถใช้อาํ นาจความเป็ นเจ้าของกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่นน่ั เอง 2.10.1.1 ลกั ษณะของการส่งมอบทช่ี อบด้วยกฎหมาย (1) ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินทข่ี ายตาม “เวลา” ทไี่ ด้ตกลงกนั ไว้ เช่น นาย ก. ตกลงซ้ือเต็นท์จากนาย ข. เพื่อนาํ มาใชก้ บั การแสดงโชวส์ ินคา้ ของตนในวนั ท่ี 1 มกราคม 2557 โดยท้งั คู่ตกลงกนั วา่ นาย ข. จะตอ้ งส่งมอบเต็นทก์ ่อนวนั ที่ 1 มกราคม 2557เช่นน้ี นาย ข. ผขู้ ายมีหนา้ ท่ีส่งมอบเต็นทใ์ หแ้ ก่นาย ก. ผูซ้ ้ือตามวนั เวลาที่ตกลงกนั หากนาย ข. ส่งมอบเต็นท์ล่าช้ากว่าท่ีกาํ หนด นาย ก. มีสิทธิเลิกสัญญาได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 38852 หากไม่ได้ตกลงเวลาในการส่งมอบ ผู้ขายมีหน้าท่สี ่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อทันทที ่ีผู้ซื้อทวงถาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 203 วรรคหน่ึง53 เช่น นายแดงตกลงซ้ือรถยนตจ์ ากนายดาํ 1 คนั ในราคา 800,000 บาท โดยท้งั คู่มิไดต้ กลงกนั วา่ นายดาํ จะตอ้ งส่งมอบรถยนตใ์ ห้แก่นายแดงเม่ือไร เช่นน้ี เม่ือนายแดงผซู้ ้ือทวงถามให้นายดาํ ส่งมอบรถยนต์ นายดาํ ผขู้ ายมีหนา้ ที่ตอ้ งส่งมอบรถยนตไ์ ดท้ นั ที (2) ผ้ขู ายต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อตาม “สถานท”่ี ทไี่ ด้ตกลงกนั ไว้ 51 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 7, น.197-198. 52 มาตรา 388 บญั ญตั ิวา่ “ถา้ วตั ถุท่ีประสงคแ์ ห่งสัญญาน้นั วา่ โดยสภาพหรือโดยเจตนาที่คู่สัญญาได้แสดงไว้ จะเป็ นผลสาํ เร็จไดก้ ็แต่ดว้ ยการชาํ ระหน้ี ณ เวลามีกาํ หนดก็ดี หรือภายในระยะเวลาอนั ใดอนั หน่ึงซ่ึงกาํ หนดไวก้ ็ดี และกาํ หนดเวลาหรือระยะเวลาน้นั ไดล้ ่วงพน้ ไปโดยฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงมิไดช้ าํ ระหน้ีไซร้ ท่านว่าอีกฝ่ ายหน่ึงจะเลิกสญั ญาน้นั เสียกไ็ ด้ มิพกั ตอ้ งบอกกลา่ วดงั วา่ ไวใ้ นมาตราก่อนน้นั เลย” 53 มาตรา 203 วรรคหน่ึง บญั ญตั ิวา่ “ถา้ เวลาอนั จะพึงชาํ ระหน้ีน้นั มิไดก้ าํ หนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ท้งั ปวงกไ็ มไ่ ดไ้ ซร้ ท่านวา่ เจา้ หน้ียอ่ มจะเรียกใหช้ าํ ระหน้ีไดโ้ ดยพลนั และฝ่ ายลูกหน้ีก็ยอ่ มจะชาํ ระหน้ีของตนไดโ้ ดยพลนั ดุจกนั ”
66 เช่น นายขาวตกลงซ้ือเฟอร์นิเจอร์จากนายม่วง เพ่ือให้เป็ นของขวญั แก่นายฟ้า โดยท้งั คู่ตกลงกนั ว่านายม่วงจะตอ้ งส่งมอบเฟอร์นิเจอร์ดงั กล่าวให้แก่นายฟ้าท่ีบา้ นของนายฟ้า เช่นน้ี นายมว่ งมีหนา้ ท่ีส่งมอบเฟอร์นิเจอร์ดงั กล่าวท่ีบา้ นของนายฟ้า หากไม่ได้ตกลงกนั ก็บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 32454 กล่าวคือหากทรัพยท์ ่ีซ้ือขายน้ันเป็ นทรัพยเ์ ฉพาะสิ่งแล้ว สถานที่ท่ีจะตอ้ งส่งมอบคือสถานที่ท่ีทรัพยน์ ้ันต้งั อยู่ เช่น นายเหลืองตกลงขายรถยนต์ของตนให้นายเขียว ในราคา 500,000 บาท โดยรถยนต์คนั ดงั กล่าวจอดอยู่ที่บา้ นของนายแดงที่จงั หวดั เชียงใหม่ เช่นน้ี หากท้งั คู่ไม่ไดต้ กลงกนั วา่จะตอ้ งส่งมอบรถยนต์ที่ใด เมื่อรถยนต์เป็ นทรัพยเ์ ฉพาะส่ิง นายเหลืองก็มีหน้าที่ส่งมอบรถยนต์ใหแ้ ก่นายเขียวที่จงั หวดั เชียงใหม่ แต่หากทรัพยท์ ่ีซ้ือขายมิใช่ทรัพยเ์ ฉพาะส่ิง ผูข้ ายมีหนา้ ท่ีตอ้ งส่งมอบทรัพยส์ ินที่ซ้ือขาย ณสถานที่อนั เป็นภูมิลาํ เนาของเจา้ หน้ี และในที่น้ีเจา้ หน้ีสําหรับการส่งมอบทรัพยส์ ินก็คือผูซ้ ้ือนนั่ เองเพราะผขู้ ายเป็นลูกหน้ีในการส่งมอบทรัพยส์ ินที่ขาย ดงั น้นั ผูข้ ายจึงมีหนา้ ที่ส่งมอบทรัพยส์ ินที่ขายณ ภูมิลาํ เนาของผซู้ ้ือ เช่น นาย ก. อยู่ที่กรุงเทพฯสั่งซ้ือขา้ วสารจากนาย ข. ซ่ึงอยู่ที่จงั หวดั เชียงราย 1,000กระสอบ เช่นน้ี หากท้งั คู่ไม่ไดต้ กลงกนั วา่ จะตอ้ งส่งมอบขา้ วสารที่ใด และเมื่อขา้ วสารยงั มิไดเ้ ป็ นทรัพย์เฉพาะสิ่งในขณะที่เกิดสัญญา นาย ข. ผูข้ ายจึงมีหน้าที่ส่งมอบข้าวสารให้แก่นาย ก. ที่กรุงเทพฯ อนั เป็นภูมิลาํ เนาของผซู้ ้ือ (3) ผ้ขู ายจะต้องส่งมอบทรัพย์สินทซ่ี ื้อขายด้วย “วธิ ีการ” ทไี่ ด้ตกลงกนั เช่น นายขาวตกลงซ้ือรถยนต์จากนายฟ้า 1 คนั โดยท้งั คู่ตกลงกนั ว่าให้นายฟ้าขบัรถยนตท์ ี่ซ้ือไปส่งที่บา้ นของนายขาว เช่นน้ี นายฟ้าผูข้ ายมีหนา้ ท่ีขบั รถยนตไ์ ปส่งที่บา้ นของนายขาวตามที่ตกลงกนั หากไม่ได้ตกลงกนั ก็บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 462 ซึ่งบัญญัติว่า “การส่งมอบน้ันจะทาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้สุดแต่ว่าเป็ นผลให้ทรัพย์น้ันไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อ” 54 มาตรา 324 บญั ญตั ิวา่ “เมื่อมิไดม้ ีแสดงเจตนาไวโ้ ดยเฉพาะเจาะจงวา่ จะพึงชาํ ระหน้ี ณ สถานที่ใดไซร้หากจะตอ้ งส่งมอบทรัพยเ์ ฉพาะสิ่ง ท่านวา่ ตอ้ งส่งมอบกนั ณ สถานท่ีซ่ึงทรัพยน์ ้นั ไดอ้ ยใู่ นเวลาเม่ือก่อใหเ้ กิดหน้ีน้นั ส่วนการชาํ ระหน้ีโดยประการอื่น ท่านวา่ ตอ้ งชาํ ระ ณ สถานที่ซ่ึงเป็ นภมู ิลาํ เนาปัจจุบนั ของเจา้ หน้ี”
67 การส่งมอบให้อยู่ในเง้ือมมือของผูซ้ ้ือ ก็คือ การท่ีผขู้ ายจะทาํ อยา่ งไรก็ไดเ้ พื่อใหอ้ าํ นาจในการจดั การทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายน้นั ตกเป็ นของผูซ้ ้ือได้ ไม่ว่าจะเป็ นการไดใ้ ช้ทรัพย์ หรือไดด้ อกผลของทรัพย์ เป็ นตน้ 55 การส่งมอบให้อย่ใู นเงื้อมมือของผู้ซื้อ อาจแยกออกไดเ้ ป็น 2 กรณี คือ56 ก. การส่ งมอบให้อยู่ในเงื้อมมือของผู้ซื้อโดยตรง เช่น การซ้ือขายเส้ือผา้ แหวนเพชรสร้อยคอ เมื่อตกลงซ้ือขายแลว้ ผูข้ ายหยิบยื่นเส้ือผา้ แหวนเพชร สร้อยคอให้กบั ผซู้ ้ือโดยตรง เช่นน้ีถือวา่ ผขู้ ายไดส้ ่งมอบทรัพยส์ ินน้นั ใหอ้ ยใู่ นเง้ือมมือของผซู้ ้ือแลว้ เพราะผซู้ ้ือสามารถจะครอบครองและจดั การเก่ียวกบั ทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายน้นั ไดใ้ นฐานะท่ีเป็นเจา้ ของกรรมสิทธ์ิ ข. การส่งมอบให้อยู่ในเงื้อมมือของผ้ซู ื้อโดยอ้อม มีอยหู่ ลายกรณี อาทิเช่น - ผขู้ ายแสดงเจตนาส่งมอบใหผ้ ซู้ ้ือแลว้ แต่ผซู้ ้ือใหผ้ ขู้ ายดูแลทรัพยส์ ินท่ีขายไปก่อน เช่น นายม่วงตกลงซ้ือสร้อยเพชรจากนายเหลือง ในราคา 100,000 บาท โดยท้งั คู่ตกลงกนั วา่ ใหน้ ายเหลืองช่วยดูแลสร้อยเพชรใหก้ ่อนจนกวา่ นายมว่ งจะกลบั มาจากต่างประเทศ เช่นน้ี แม้สร้อยเพชรยงั อยูใ่ นความครอบครองของนายเหลือง แต่เม่ือนายเหลืองผูข้ ายแสดงเจตนาส่งมอบใหแ้ ก่นายม่วงผซู้ ้ือแลว้ ก็ตอ้ งถือวา่ นายเหลืองไดม้ ีการส่งมอบสร้อยเพชรดงั กล่าวใหน้ ายมว่ งแลว้ - ถา้ ทรัพยส์ ินท่ีขายอยทู่ ี่ผซู้ ้ืออยแู่ ลว้ ผขู้ ายกไ็ ม่ตอ้ งส่งมอบ เช่น นายขาวไดข้ อยมื รถยนตจ์ ากนายดาํ แลว้ รู้สึกชอบรถยนตค์ นั ดงั กล่าว นายขาวจึงขอซ้ือรถยนตค์ นั น้นั จากนายดาํ นายดาํ ตกลงขาย เช่นน้ี นายดาํ ผขู้ ายก็ไม่ตอ้ งส่งมอบรถยนตใ์ หแ้ ก่นายขาวอีก เพราะรถยนตอ์ ยใู่ นความครอบครองของนายขาวผซู้ ้ืออยแู่ ลว้ - ผขู้ ายอาจกระทาํ ใหผ้ ซู้ ้ืออยใู่ นฐานะผคู้ รอบครองไดโ้ ดยวธิ ีการส่งมอบเป็นพิธี เช่น นายเขียวตกลงซ้ือบา้ นและท่ีดินจากนายแดง นายแดงตกลงขาย เช่นน้ี นายแดงผขู้ ายเพยี งแตม่ อบกญุ แจบา้ นใหแ้ ก่นายเขียว ก็ถือวา่ นายแดงไดม้ ีการส่งมอบบา้ นและที่ดินดงั กล่าวใหแ้ ก่นายเขียวผซู้ ้ือแลว้ - ผูข้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินที่ขายให้แก่ผูร้ ับขน ในกรณีที่จะตอ้ งมีการขนส่งทรัพยส์ ินที่ซ้ือขาย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 463 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ ในสัญญากาํ หนดว่าให้ส่งทรัพยส์ ินซ่ึงขายน้นั จากท่ีแห่งหน่ึงไปถึงอีกแห่งหน่ึงไซร้ท่านวา่ การส่งมอบยอ่ มสาํ เร็จเม่ือไดส้ ่งมอบทรัพยส์ ินน้นั ใหแ้ ก่ผขู้ นส่ง” ในกรณีน้ีการส่งมอบต่อผรู้ ับขนแลว้ ถือเท่ากบั การส่งมอบทรัพยส์ ินให้อยใู่ นเง้ือมมือของผู้ซ้ือแลว้ 55 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถที่ 1, น.149. 56 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.149-150.
68 เช่น นายฟ้าขอซ้ืออะไหล่รถยนตจ์ ากนายเทาซ่ึงอยูท่ ่ีกรุงเทพฯ โดยท้งั คู่ตกลงกนั วา่ ให้นายเทาส่งอะไหล่รถยนต์ที่ซ้ือขายดังกล่าวมาทางผูร้ ับขนส่งแห่งหน่ึง เช่นน้ี เม่ือนายเทาได้นําอะไหล่รถยนตน์ ้นั ไปส่งมอบใหแ้ ก่ผรู้ ับขนส่งตามที่ไดต้ กลงไวก้ บั นายฟ้าแลว้ ก็ถือวา่ นายเทาไดส้ ่งมอบใหแ้ ก่นายฟ้าแลว้ เช่นกนั - ในกรณีท่ีทรัพยส์ ินอยู่ในความครอบครองของบุคคลท่ีสาม ผูข้ ายได้แสดงเจตนาไปยงับุคคลท่ีสามวา่ ต่อไปให้ครอบครองทรัพยส์ ินแทนผซู้ ้ือหรือเพื่อผูซ้ ้ือ เช่นน้ีก็นบั วา่ เป็ นการส่งมอบใหอ้ ยใู่ นเง้ือมมือของผซู้ ้ือแลว้ เช่นกนั เช่น นาย ก. ตกลงขายบา้ นและที่ดินของตนให้แก่นาย ข. โดยในบา้ นหลงั ดงั กล่าวมีนาย ค. เช่าอาศยั อยู่ และนาย ข. ก็ทราบและยงั มีความประสงคใ์ ห้นาย ค. เช่าต่อไป เช่นน้ี เม่ือนายก. ผขู้ ายไดแ้ จง้ ไปยงั นาย ค. ผูเ้ ช่าวา่ ตนไดข้ ายบา้ นให้แก่นาย ข. แลว้ ต่อไปใหน้ าย ค. ไปจ่ายค่าเช่าบา้ นที่นาย ข. แทน เพียงเทา่ น้ีก็นบั วา่ นาย ก. ไดม้ ีการส่งมอบบา้ นและท่ีดินใหแ้ ก่นาย ข. แลว้ - ผขู้ ายส่งมอบใหก้ บั ตวั แทนของผซู้ ้ือ ก็เทา่ กบั เป็นการส่งมอบใหผ้ ซู้ ้ือดว้ ย เช่น นาย ง. ขอซ้ือคอมพิวเตอร์จากนาย จ. โดยนาย ง. จะให้นายแดงซ่ึงเป็ นตวั แทนของตนไปรับคอมพิวเตอร์แทน เช่นน้ี เม่ือนาย จ. ผูข้ ายไดส้ ่งมอบคอมพิวเตอร์ให้แก่นายแดงก็ถือเทา่ กบั วา่ ไดม้ ีการส่งมอบใหแ้ ก่นาย ง. ผซู้ ้ือแลว้ (4) ผู้ขายต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขายตามปริมาณและประเภทที่ได้ตกลงกัน ไม่มากหรือไม่นอ้ ยเกินไป หรือที่ภาษากฎหมายใชค้ าํ ว่า “ขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวน” และจะตอ้ งไม่ผดิ ประเภท ซ่ึงหากผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินให้กบั ผูซ้ ้ือในปริมาณที่ผดิ จากท่ีตกลง หรือผิดประเภทแลว้ ผูซ้ ้ือจะเกิดสิทธิบางประการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 465 และมาตรา466 (4.1) กรณซี ื้อขายสังหาริมทรัพย์ บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 465 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ในการซ้ือขายสังหาริมทรัพยน์ ้นั (1) หากวา่ ผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินนอ้ ยกวา่ ท่ีไดส้ ญั ญาไว้ ท่านวา่ ผูซ้ ้ือจะปัดเสียไม่รับเอาเลยก็ได้ แตถ่ า้ ผซู้ ้ือรับเอาทรัพยส์ ินน้นั ไว้ ผซู้ ้ือกต็ อ้ งใชร้ าคาตามส่วน (2) หากวา่ ผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินมากกวา่ ท่ีไดส้ ัญญาไว้ ท่านวา่ ผูซ้ ้ือจะรับเอาทรัพยส์ ินน้นัไวแ้ ต่เพียงตามสัญญาและนอกกวา่ น้นั ปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียท้งั หมดไม่รับเอาไวเ้ ลยก็ได้ ถา้ ผู้ซ้ือรับเอาทรัพยส์ ินอนั เขาส่งมอบเช่นน้นั ไวท้ ้งั หมด ผซู้ ้ือก็ตอ้ งใชร้ าคาตามส่วน (3) หากวา่ ผูข้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินตามท่ีไดส้ ัญญาไวร้ ะคนกบั ทรัพยส์ ินอย่างอื่นอนั มิได้รวมอยูใ่ นขอ้ สัญญาไซร้ ท่านวา่ ผูซ้ ้ือจะรับเอาทรัพยส์ ินไวแ้ ต่ตามสัญญา และนอกกวา่ น้นั ปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียท้งั หมดก็ได”้ จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าวสามารถแยกออกไดเ้ ป็น 3 กรณี คือ กรณที ห่ี น่ึง ผู้ขายส่งมอบให้ขาดตกบกพร่อง ผซู้ ้ือมีสิทธิ คือ
69 ก. บอกปัดไม่รับทรัพยน์ ้นั เลย ข. รับมอบตามจาํ นวนท่ีผขู้ ายส่งมอบ และใชร้ าคาตามส่วน เช่น นายขาวขอซ้ือไขไ่ ก่จากนายมว่ ง 100 ฟอง ในราคาฟองละ 2 บาท รวมเป็ นเงิน 200บาท นายม่วงตกลงขาย ต่อมานายม่วงไดส้ ่งมอบไข่ไก่ใหน้ ายขาว 90 ฟอง เช่นน้ี เป็ นกรณีนายม่วงผูข้ ายส่งมอบไข่ไก่ใหข้ าดตกบกพร่อง นายขาวผูซ้ ้ือมีสิทธิบอกปัดไม่รับเอาไข่ไก่ท้งั หมดเลย หรือรับมอบตามที่นายมว่ งส่งมอบและใชร้ าคาตามส่วน คือ 180 บาท กรณที ส่ี อง ผ้ขู ายส่งมอบให้ลา้ จานวน ผซู้ ้ือมีสิทธิ คือ ก. รับมอบตามจาํ นวนท่ีกาํ หนดในสัญญา ท่ีเหลือปฏิเสธไป ข. บอกปัดไม่รับทรัพยน์ ้นั เลย ค. รับมอบตามจาํ นวนท่ีผขู้ ายส่งมอบ และใชร้ าคาตามส่วน เช่น นายดาํ ขอซ้ือไข่ไก่จากนายม่วง 100 ฟอง ในราคาฟองละ 2 บาท รวมเป็ นเงิน 200บาท นายมว่ งตกลงขาย ต่อมานายม่วงไดส้ ่งมอบไข่ไก่ใหน้ ายขาว 110 ฟอง เช่นน้ี เป็ นกรณีนายม่วงผขู้ ายส่งมอบไข่ไก่ใหล้ ้าํ จาํ นวน นายดาํ ผซู้ ้ือมีสิทธิรับมอบไขไ่ ก่ตามจาํ นวนที่ไดต้ กลงซ้ือขายกนั คือ100 ฟอง และใชร้ าคาใหน้ ายม่วง 200 บาท หรือบอกปัดไม่รับเอาไข่ไก่ท้งั หมดเลย หรือรับมอบตามที่นายม่วงส่งมอบและใชร้ าคาตามส่วน คือ 220 บาท กรณที สี่ าม ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินระคนกบั ทรัพย์สินอย่างอ่ืน ผซู้ ้ือมีสิทธิ คือ ก. ผซู้ ้ือรับเฉพาะทรัพยส์ ินประเภทที่ระบุไวใ้ นสัญญา และท่ีเหลือก็คืนไป ข. ผซู้ ้ือคืนไปท้งั หมด เช่น นายฟ้าขอซ้ือไข่ไก่เบอร์ 0 จากนายม่วง 100 ฟอง ในราคาฟองละ 3 บาท รวมเป็ นเงิน 300 บาท นายม่วงตกลงขาย ต่อมานายม่วงไดส้ ่งมอบไข่ไก่เบอร์ 0 ใหน้ ายขาว 90 ฟอง และส่งมอบไข่ไก่เบอร์ 1 อีก 10 ฟอง เช่นน้ี เป็ นกรณีนายม่วงผขู้ ายส่งมอบไข่ไก่ตามท่ีตกลงซ้ือขายระคนกบั ทรัพยส์ ินอยา่ งอ่ืน นายขาวผซู้ ้ือมีสิทธิรับเอาเฉพาะไข่ไก่เบอร์ 0 ส่วนไข่ไก่เบอร์ 1 ก็คืนนายม่วงไป และชาํ ระราคาตามส่วน คือ 270 บาท หรือบอกปัดไม่รับเอาไข่ไก่ท้งั หมดเลย (4.2) กรณซี ื้อขายอสังหาริมทรัพย์ บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 466 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ในการซ้ือขายอสังหาริมทรัพยน์ ้นั หากวา่ ไดร้ ะบุจาํ นวนเน้ือที่ท้งั หมดไว้ และผูข้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินนอ้ ยหรือมากไปกว่าที่ไดส้ ัญญาไซร้ ท่านวา่ ผูซ้ ้ือจะปัดเสีย หรือจะรับเอาไวแ้ ละใช้ราคาตามส่วนก็ไดต้ ามแต่จะเลือก อน่ึง ถา้ ขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนไม่เกินกวา่ ร้อยละหา้ แห่งเน้ือท่ีท้งั หมดอนั ไดร้ ะบุไว้น้นั ไซร้ ท่านวา่ ผซู้ ้ือจาํ ตอ้ งรับเอาและใชร้ าคาตามส่วนแตว่ า่ ผซู้ ้ืออาจจะเลิกสัญญาเสียไดใ้ นเม่ือขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนถึงขนาดซ่ึงหากผซู้ ้ือไดท้ ราบก่อนแลว้ คงจะมิไดเ้ ขา้ ทาํ สัญญาน้นั ” จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าวสามารถแยกออกไดเ้ ป็น 2 กรณี คือ
70 กรณที หี่ น่ึง ผู้ขายส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือลา้ จานวนเกินกว่าร้อยละห้าแห่งเนื้อท่ีท้งั หมดทไี่ ด้ระบุไว้ ผซู้ ้ือมีสิทธิ 2 ประการ คือ ก. ปฏิเสธไม่รับมอบอสังหาริมทรัพยน์ ้นั เลย ข. ผซู้ ้ือรับมอบตามท่ีผขู้ ายส่งมอบใหแ้ ละใชร้ าคาตามส่วน เช่น นาย ก. ตกลงซ้ือท่ีดินจากนาย ข. 100 ไร่ ในราคาไร่ละ 10,000 บาท รวมราคาท้งั สิ้น 1,000,000 บาท ต่อมาเมื่อรังวดั ท่ีดิน ปรากฏว่าที่ดินดงั กล่าวมีเน้ือท่ีเพียง 90 ไร่ เช่นน้ี เป็ นกรณีนาย ข. ผขู้ ายส่งมอบที่ดินขาดตกบกพร่องเกินกวา่ ร้อยละ 5 แห่งเน้ือที่ท้งั หมดท่ีไดร้ ะบุไว้ นายก. ผูซ้ ้ือมีสิทธิปฏิเสธไม่รับมอบที่ดินน้นั เลย หรือผูซ้ ้ือรับมอบตามที่ผูข้ ายส่งมอบให้และใชร้ าคาตามส่วน คือ 900,000 บาท หากขอ้ เท็จจริงเปลี่ยนไปวา่ เมื่อรังวดั ที่ดิน ปรากฏวา่ ที่ดินดงั กล่าวมีเน้ือท่ี 110 ไร่เช่นน้ี เป็นกรณีนาย ข. ผขู้ ายส่งมอบที่ดินล้าํ จาํ นวนเกินกวา่ ร้อยละ 5 แห่งเน้ือท่ีท้งั หมดที่ไดร้ ะบุไว้นาย ก. ผูซ้ ้ือมีสิทธิปฏิเสธไม่รับมอบที่ดินน้นั เลย หรือผูซ้ ้ือรับมอบตามที่ผูข้ ายส่งมอบให้และใช้ราคาตามส่วน คือ 1,100,000 บาท คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243-1244/2538 จาํ เลยที่2เป็ นโจทก์ในสํานวนหลงั ฟ้องอา้ งว่าห ลัง จ า ก ท ํา สั ญ ญ า จ ะ ซ้ื อ ข า ย ท่ี ดิ น กับ โ จ ท ก์ แ ล้ว ต่ อ ม า ไ ด้ต ร ว จ ส อ บ ท่ี ดิ น ท ร า บ ว่า ที่ ดิ น ไ ม่ มีทางเขา้ ออกและเน้ือที่ขาดหายไปประมาณ 3 ไร่ โจทกใ์ หก้ ารสู้คดีโดยมิไดป้ ฏิเสธใหแ้ จง้ ชดั วา่ ท่ีดินตามสัญญาจะซ้ือขายมิไดม้ ีเน้ือท่ีขาดหายไปดงั คาํ ฟ้องจึงตอ้ งฟังว่าโจทก์ยอมรับวา่ ที่ดินตามฟ้องเน้ือที่ขาดหายไปประมาณ 3 ไร่ ท่ีดินตามสัญญาจะซ้ือขายระบุมีเน้ือท่ีรวม 15 ไร่ 2 งาน 36 ตารางวาเมื่อเน้ือท่ีขาดหายไปประมาณ 3 ไร่ การขาดหายจึงเกินจาํ นวนร้อยละห้า ตามประมวลกฎหมายแพง่และพาณิชย์ มาตรา 466 จึงไม่เป็ นการประพฤติผดิ สัญญาจะซ้ือขายท่ีเป็ นเหตุใหโ้ จทก์อา้ งสิทธิเบิกสัญญาและริบมดั จาํ ตามสญั ญาจะซ้ือขายได้ คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 3754/2540 การทาํ สัญญาจะซ้ือขายที่ดินของโจทกก์ บั จาํ เลยมีเจตนาซ้ือขายที่ดินโดยกาํ หนดเน้ือท่ีดินเอาไวแ้ น่นอนแลว้ เพราะหากไม่ประสงคจ์ ะผกู พนั กนั เป็ นจาํ นวนเน้ือท่ีดินแน่นอนดงั กล่าวจาํ เลยก็ควรจะระบุเหตุน้ีให้ปรากฏในสัญญา แต่จาํ เลยก็มิไดร้ ะบุไว้ กรณีจึงตอ้ งดว้ ยบทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 ซ่ึงบญั ญตั ิใหผ้ ซู้ ้ือมีสิทธิบอกปัดไม่รับไวก้ ไ็ ดห้ ากการขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนน้นั เกินกวา่ ร้อยละหา้ แห่งเน้ือที่ท้งั หมดอนั ไดร้ ะบุไว้ เม่ือจาํ เลยมีหนงั สือแจง้ ให้โจทก์รับโอนที่ดินมีเน้ือที่น้อยกวา่ จาํ นวนตามสัญญากวา่ร้อยละหา้ ของเน้ือท่ีท้งั หมด โจทกใ์ นฐานะผซู้ ้ือยอ่ มมีสิทธิบอกปัดไม่รับโอนและบอกเลิกสัญญาแก่จาํ เลยได้ กรณที ส่ี อง ผู้ขายส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล้าจานวนไม่เกินร้อยละห้าแห่งเนื้อที่ท้งั หมดที่ได้ระบุไว้ ผูซ้ ้ือไม่มีสิทธิปฏิเสธ ตอ้ งรับไวต้ ามที่ผูข้ ายส่งมอบและใชร้ าคาตามส่วน ท้งั น้ี
71เป็ นเพราะจาํ นวนท่ีขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนเป็ นเพียงจาํ นวนเล็กน้อย ซ่ึงไม่น่าจะถือเป็ นสาระสาํ คญั กฎหมายจึงไมใ่ หผ้ ซู้ ้ือปฏิเสธไม่ยอมรับมอบ เช่น นายแดงตกลงซ้ือที่ดินจากนายดาํ 100 ไร่ ในราคาไร่ละ 10,000 บาท รวมราคาท้งั สิ้น 1,000,000 บาท ต่อมาเมื่อรังวดั ที่ดิน ปรากฏวา่ ที่ดินดงั กล่าวมีเน้ือที่เพียง 98 ไร่ หรือ 102 ไร่เช่นน้ี เป็ นกรณีนายดาํ ผขู้ ายส่งมอบที่ดินขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนไม่เกินร้อยละ 5 แห่งเน้ือท่ีท้งั หมดท่ีไดร้ ะบุไว้ นายแดงผซู้ ้ือมีไม่สิทธิปฏิเสธ ตอ้ งรับมอบท่ีดินตามที่ผูข้ ายส่งมอบให้และใช้ราคาตามส่วน คือ 980,000 บาท หรือ 1,020,000 บาท แลว้ แตก่ รณี คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 2720/2526 ตามสญั ญาจะซ้ือขายที่ดิน 2 แปลงมีเน้ือท่ีรวมกนั 106ไร่2 งาน48 ตารางวา เม่ือจาํ เลยจดั การออกโฉนดท่ีดินท้งั สองแปลงแลว้ ไดเ้ น้ือที่ดิน 111 ไร่ 82 ตารางวาเน้ือท่ีดินล้าํ จาํ นวนตามท่ีระบุไวใ้ นสัญญา 4 ไร่ 2งาน 34 ตารางวา ไม่เกินร้อยละ 5 แห่งเน้ือที่ท้งั หมดที่ระบุไวใ้ นสัญญา โจทก์ซ่ึงเป็ นผูซ้ ้ือจาํ ตอ้ งรับเอาไวแ้ ละใช้ราคาตามส่วนตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 466 วรรคสอง อยา่ งไรก็ตาม ถา้ ส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนไม่เกินกวา่ ร้อยละห้าน้นั ถึงขนาดที่หากผซู้ ้ือไดร้ ู้ก่อนแลว้ กจ็ ะไมเ่ ขา้ ทาํ สญั ญา เช่นน้ีผซู้ ้ือมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ เช่น นายขาวตกลงซ้ือท่ีดินจากนายเหลือง 100 ไร่ ในราคาไร่ละ 10,000 บาท รวมราคาท้งั สิ้น 1,000,000 บาท เพ่ือนาํ ที่ดินน้นั ไปทาํ หมู่บา้ นจดั สรร ซ่ึงเขียนแบบแปลนไวเ้ รียบร้อยแลว้ วา่ตอ้ งใชท้ ่ีดิน 100 ไร่ ต่อมาเมื่อรังวดั ที่ดิน ปรากฏวา่ ท่ีดินดงั กล่าวมีเน้ือที่เพียง 96 ไร่ เช่นน้ี แมเ้ ป็ นกรณีนายเหลืองผูข้ ายส่งมอบท่ีดินขาดตกบกพร่องไม่เกินร้อยละ 5 แห่งเน้ือท่ีท้งั หมดที่ไดร้ ะบุไว้ซ่ึงโดยปกตินายขาวผซู้ ้ือไม่มีสิทธิปฏิเสธ ตอ้ งรับมอบที่ดินตามที่ส่งมอบ แต่เนื่องจากการซ้ือท่ีดินดงั กล่าว นายขาวซ้ือไปเพื่อทาํ หมู่บา้ นจดั สรร ซ่ึงเขียนแบบแปลนไวเ้ รียบร้อยแลว้ วา่ ตอ้ งใช้ท่ีดิน100 ไร่ ดงั น้นั จาํ นวนเน้ือท่ีจึงถือเป็ นสาระสาํ คญั ของการเขา้ ทาํ สัญญา ถึงขนาดที่หากนายขาวผซู้ ้ือไดร้ ู้ก่อนแลว้ ก็จะไม่เขา้ ทาํ สัญญา นายขาวจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ข้อสังเกต 1. กรณีซ้ือขายอสังหาริมทรัพย์ หากผูข้ ายส่งมอบอสังหาริมทรัพยล์ ้าํ จาํ นวนไม่วา่ จะเกินกวา่ ร้อยละ 5 หรือไม่เกินกวา่ ร้อยละ 5 แห่งเน้ือท่ีท้งั หมดท่ีไดร้ ะบุไว้ มาตรา 466 มิไดใ้ หส้ ิทธิผซู้ ้ือรับมอบเฉพาะตามที่ไดต้ กลงกนั และใช้ราคาตามส่วน ส่วนที่เหลือคืนให้แก่ผูข้ าย ท้งั น้ี เป็ นเพราะอสังหาริ มทรัพย์ส่ วนท่ีเหลือน้ัน เมื่อผู้ขายรับมอบคืนไปแล้ว ผู้ขายอาจไม่สามารถนําอสังหาริมทรัพยท์ ี่เหลือน้นั ไปใชป้ ระโยชน์ไดเ้ ลย ดงั น้นั กฎหมายจึงให้ผูซ้ ้ือเลือกเอาวา่ จะรับไว้ท้งั หมดหรือปฏิเสธไม่รับมอบท้งั หมดเท่าน้นั อยา่ งไรก็ตาม หากผซู้ ้ือตอ้ งการรับมอบเฉพาะท่ีตกลงกนั และใชร้ าคาตามส่วน และผขู้ ายยนิ ยอมก็สามารถทาํ ได้
72 2. กรณีซ้ือขายที่ดิน โดยมีขอ้ ตกลงวา่ หากเน้ือท่ีมากกวา่ หรือนอ้ ยกวา่ ท่ีไดต้ กลงกนั ไว้ ให้ผู้ซ้ือใชร้ าคาตามส่วนของเน้ือที่ท่ีแทจ้ ริง เช่นน้ีก็ตอ้ งบงั คบั กนั ตามที่คู่สัญญาไดต้ กลงกนั แมจ้ ะขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนเกินกวา่ ร้อยละ 5 ผซู้ ้ือกต็ อ้ งรับมอบไวแ้ ละใชร้ าคาตามส่วน คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2526 สัญญาซ้ือขายระบุวา่ โจทก์ยอมรับซ้ือที่ดินราคาไร่ละ9,000 บาทโจทกจ์ าํ เลยจะขอใหเ้ จา้ พนกั งานท่ีดินไปทาํ การรังวดั สอบเขตหากที่ดินมีเน้ือท่ีนอ้ ยกวา่เน้ือที่ตามโฉนด จาํ เลยจะคืนเงินใหโ้ จทก์ตามส่วน หากท่ีดินมีเน้ือที่มากกวา่ เน้ือที่ตามโฉนดโจทก์จะจ่ายเงินเพิ่มใหจ้ าํ เลยตามส่วน ขอ้ ตกลงดงั กล่าวมิใช่เป็ นการขายแบบเหมายกโฉนดแต่เป็ นการขายตามเน้ือท่ีท่ีแทจ้ ริง ที่ดินในโฉนดส่วนหน่ึงจาํ เลยยอมให้ผูใ้ หญ่บ้านใช้ทาํ เป็ นถนนและประชาชนใช้สอยตลอดมาโดยจาํ เลยมิไดห้ วงหา้ มหรือสงวนสิทธิ แสดงวา่ จาํ เลยอุทิศท่ีดินส่วนท่ีเป็ นถนนให้เป็ นทางสาธารณะท่ีดินส่วนน้นั จึงเป็นถนนสาธารณะประโยชน์โดยจาํ เลยไม่จาํ ตอ้ งไปจดทะเบียนยกให้ต่อพนักงานเจา้ หน้าท่ีจาํ เลยไม่มีสิทธินาํ ที่ดินส่วนน้นั มาขายให้โจทก์ เม่ือหักที่ดินส่วนท่ีเป็ นถนนสาธารณะประโยชนอ์ อกแลว้ เหลือท่ีดินนอ้ ยกวา่ เน้ือที่ตามโฉนดจาํ เลยตอ้ งคืนเงินให้โจทกต์ ามส่วน 3. กรณีซ้ือขายท่ีดินแบบเหมาท้งั แปลง ไมต่ กอยภู่ ายใตบ้ งั คบั ของมาตรา 466 ดงั น้นั แมเ้ น้ือท่ีที่แทจ้ ริงจะมากกวา่ หรือนอ้ ยกว่าที่ไดต้ กลงกนั เพียงใดก็ตาม ผูซ้ ้ือก็ตอ้ งยอมรับมอบไวแ้ ละใช้ราคาเทา่ ท่ีไดต้ กลงกนั เทา่ น้นั คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 400/2501 สัญญาจะซ้ือขายที่ดินแมจ้ ะไม่ระบุว่าขายเหมา ถา้ ขอ้สญั ญาแสดงวา่ ซ้ือขายกนั ท้งั แปลงตามท่ีระบุและทาํ แผนท่ีสงั เขปไวโ้ ดยตกลงราคาแน่นอนระบุเน้ือที่ดินแต่โดยประมาณไม่กาํ หนดว่าตารางวาละเท่าใด ฯลฯ ถือเป็ นการขายเหมาเน้ือที่เกินจากที่ประมาณไวผ้ ขู้ ายจะเรียกราคาเพมิ่ ไมไ่ ด้ คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 6259/2541 ตามสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินฉบบั พิพาทระบุวา่ ผูจ้ ะขายตกลงจะขาย และผูจ้ ะซ้ือตกลงจะซ้ือที่ดินหรือท่ีดินพร้อมอาคาร ดงั ต่อไปน้ี ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขท่ี2571 เน้ือท่ีประมาณ 1,550 ตารางวา (3 ไร่ 3 งาน 50 ตารางวา) คู่สัญญาไดต้ กลงราคา ท่ีดินหรือท่ีดินพร้อมอาคาร ท่ีจะซ้ือขายกนั ดงั กล่าวเป็ นเงิน 3,400,000 บาท และตามสัญญาจะซ้ือจะขายมิได้ระบุ ไวว้ า่ ท่ีดินมีราคาตารางวาละเท่าไร ดงั น้ี เมื่อสัญญาจะซ้ือขาย ไม่ไดร้ ะบุราคากนั ไวว้ ่า ไร่ละหรือตารางวาละเท่าใด และเน้ือท่ีดินท่ีจะขายก็เป็ นแต่กะประมาณ แต่ไดก้ าํ หนดราคาไว้ 3,400,000บาท อนั มีลกั ษณะเป็ นการขายรวม ๆ กนั ไปเป็ นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาของคู่สัญญาได้วา่ ไม่ถือเอาจาํ นวนเน้ือท่ีดินเป็นสาระสาํ คญั โจทกเ์ องไดท้ าํ การตรวจสอบเน้ือที่ดินหลายคร้ัง จึงไม่สนใจท่ีจะถือเอาเร่ืองเน้ือที่ดินเป็ นขอ้ สาํ คญั อีกต่อไป อีกท้งั ตามสัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินฉบบั พิพาทคงกล่าวถึงความรับผดิ ของผจู้ ะขายหรือจาํ เลยไวแ้ ต่เฉพาะเรื่องปลอดจากการจาํ นอง การรอนสิทธิหรือภาระติดพนั อื่นใดซ่ึงเป็ นคนละเร่ืองกบั การรับผดิ ในขอ้ ที่ทรัพย์ ขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนอนัมิไดก้ ล่าวไวเ้ ลย เสมือนหน่ึง คูส่ ัญญาตา่ งมุง่ ประสงคไ์ มใ่ หต้ อ้ งรับผดิ ต่อกนั เก่ียวกบั เน้ือที่ดินที่ขาด
73ตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนที่อาจเกิดข้ึนใน ภายภาคหนา้ จึงถือไดว้ า่ เป็ นสัญญาซ้ือขายที่ดินยกท้งัแปลง หรือขายเหมา ดงั น้นั ไม่วา่ ที่ดินท่ีซ้ือขายจะขาดตกบกพร่อง หรือล้าํ จาํ นวนโจทกจ์ าํ เลยก็จะเรียกเงินคา่ ซ้ือท่ีดินคืนหรือคา่ ซ้ือท่ีดินที่ยงั ขาดอยูจ่ ากกนั มิได้ (4.3) อายคุ วามกรณผี ู้ขายส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือลา้ จานวน ในกรณีท่ีผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวน และผูซ้ ้ือตอ้ งการเรียกค่าเสียหายจากผูข้ าย ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 46757 กาํ หนดให้ผูซ้ ้ือจะตอ้ งฟ้องร้องภายใน 1 ปี นบั แตเ่ วลาที่ส่งมอบ อน่ึง อายุความ 1 ปี นับแต่เวลาท่ีส่งมอบดงั กล่าวใช้เฉพาะกับกรณีผูซ้ ้ือฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผูข้ ายเท่าน้ัน แต่ในกรณีที่ผูซ้ ้ือฟ้องร้องให้ผูข้ ายส่งมอบทรัพย์สินที่ขาดอยู่ให้ครบถว้ น (คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 2739/2525) หรือในกรณีท่ีผูซ้ ้ือฟ้องร้องเรียกเงินคืนเพราะผูข้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินขาดตกบกพร่อง (คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี 1691/2534, 9150/2539, 6368/2541) ในกรณีเหล่าน้ีไมไ่ ดใ้ ชอ้ ายคุ วาม 1 ปี ตามมาตรา 467 แต่มีอายคุ วาม 10 ปี ตามมาตรา 193/30 2.10.1.2 ค่าใช้จ่ายในการส่งมอบ ค่าใช้จ่ายสาหรับการเตรียมทรัพย์สินที่ซื้อขายให้อยู่ในสภาพพร้อมท่ีจะส่งมอบ เช่น ค่ากระดาษห่อของ หรือค่ากล่องบรรจุหีบห่อของน้นั ผูข้ ายจะตอ้ งเสียเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 325 เวน้ แต่คู่สญั ญาจะตกลงกนั เป็นอยา่ งอื่น ส่วนค่าขนส่งทรัพย์สินทซ่ี ื้อขาย ปกติผขู้ ายจะตอ้ งเป็นผเู้ สีย เวน้ แต่ - คูส่ ญั ญาตกลงกนั ไวเ้ ป็นอยา่ งอ่ืน - ถา้ ผขู้ ายตอ้ งส่งมอบทรัพยส์ ินน้นั ไปยงั ที่แห่งอื่นนอกจากสถานที่ท่ีผูข้ ายตอ้ งชาํ ระหน้ี ผู้ซ้ือจะตอ้ งเป็นฝ่ ายเสีย เวน้ แตต่ กลงเป็นอยา่ งอื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 464ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ค่าขนส่งทรัพยส์ ินซ่ึงไดซ้ ้ือขายกนั ไปยงั ที่แห่งอื่นนอกจากสถานท่ีอนั พึงชาํ ระหน้ีน้นั ผู้ซ้ือพงึ ออกใช”้ เช่น นาย ก. อยทู่ ่ีกรุงเทพฯ ส่งั ซ้ือขา้ วสารจากโกดงั ของนาย ข. ซ่ึงอยทู่ ี่จงั หวดั เชียงราย500 กระสอบ เช่นน้ี การซ้ือขายดงั กล่าวเป็ นการซ้ือขายทรัพยท์ ่ีมิใช่ทรัพยเ์ ฉพาะส่ิงในขณะท่ีเกิดสัญญา หากไม่ไดต้ กลงกนั ไว้ นาย ข. ผขู้ ายตอ้ งส่งมอบขา้ วสาร ณ ภูมิลาํ เนาของนาย ก. ผซู้ ้ือ คือที่กรุงเทพฯ ตามมาตรา 324 โดยนาย ข. เป็ นผูเ้ สียค่าใช้จ่ายเอง แต่ถา้ หากนาย ก. ใหน้ าย ข. จดั ส่งขา้ วสารไปให้นาย ค. ท่ีจงั หวดั นครราชสีมา เช่นน้ีค่าใช้จ่ายในการส่งมอบขา้ วสารไปให้นาย ค.หากไมไ่ ดม้ ีการตกลงกนั ไว้ นาย ก. ผซู้ ้ือจะตอ้ งเป็นผเู้ สีย 57 มาตรา 467 บญั ญตั ิวา่ “ในขอ้ รับผิดเพ่ือการที่ทรัพยข์ าดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวนน้นั ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพน้ กาํ หนดปี หน่ึงนบั แต่เวลาส่งมอบ”
74 2.10.1.3 กรณที ผี่ ้ขู ายไม่ต้องส่งมอบ ในบางกรณีผูข้ ายไม่จาํ ตอ้ งส่งมอบทรัพยส์ ินให้แก่ผูซ้ ้ือ เพราะมีเหตุบางประการที่ทาํ ให้ผูข้ ายไม่มน่ั ใจว่าตนจะไดร้ ับชาํ ระหน้ีตอบแทนหรือไม่ กฎหมายจึงให้สิทธิแก่ผูซ้ ้ือสามารถยึดหน่วงทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายได้ เพื่อเป็นประกนั การชาํ ระราคา ซ่ึงไดแ้ ก่กรณีดงั ต่อไปน้ี (1) ผู้ซื้อยังไม่ชาระราคา เป็ นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 468 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ ในสญั ญาไมม่ ีกาํ หนดเง่ือนเวลาใหใ้ ชร้ าคาไซร้ ผขู้ ายชอบที่จะยดึ หน่วงทรัพยส์ ินที่ขายไวไ้ ดจ้ นกวา่ จะใชร้ าคา” กรณีท่ีผซู้ ้ือยงั ไม่ชาํ ระราคา ผูข้ ายก็มีสิทธิท่ีจะยึดหน่วงทรัพยส์ ินที่ขายได้ อนั เป็ นไปตามหลกั สญั ญาต่างตอบแทน แต่ท้งั น้ีผขู้ ายจะใชส้ ิทธิยดึ หน่วงไดต้ อ้ งเป็ นกรณีที่สัญญาซ้ือขายน้นั ไม่มีเงื่อนเวลาใหใ้ ชร้ าคา หากมีเงื่อนเวลา ซ่ึงส่งผลใหผ้ ขู้ ายไม่มีสิทธิเรียกให้ผูซ้ ้ือชาํ ระราคาก่อนจะถึงกาํ หนดเง่ือนเวลาที่ไดต้ กลงกนั ผขู้ ายก็จะใชส้ ิทธิยดึ หน่วงไมไ่ ด้ อน่ึง การใช้สิทธิยึดหน่วงน้ัน ถ้าผูข้ ายได้ส่งมอบทรัพยส์ ินให้แก่ผูซ้ ้ือแล้ว สิทธิที่จะยึดหน่วงทรัพยส์ ินไวเ้ พื่อรับชาํ ระราคากเ็ ป็นอนั สิ้นสุดลง (2) ผู้ซื้อเป็ นบุคคลล้มละลายหรือทาให้หลักทรัพย์เสื่อมเสีย เป็ นไปตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 469 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ ผซู้ ้ือลม้ ละลายก่อนส่งมอบทรัพยส์ ินก็ดี หรือผูซ้ ้ือเป็ นคนลม้ ละลายแลว้ ในเวลาซ้ือขายโดยผูข้ ายไม่รู้ก็ดี หรือผูซ้ ้ือกระทาํ ใหห้ ลกั ทรัพยท์ ี่ใหไ้ วเ้ พื่อประกนั การใชเ้ งินน้นั เส่ือมเสียหรือลดนอ้ ยลงก็ดี ถึงแมใ้ นสัญญาจะมีกาํ หนดเงื่อนเวลาให้ใชร้ าคา ผูข้ ายก็ชอบท่ีจะยดึ หน่วงทรัพยส์ ินซ่ึงขายไวไ้ ด้ เวน้ แตผ่ ซู้ ้ือจะหาประกนั ท่ีสมควรใหไ้ ด”้ จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว หมายความวา่ หากเกิดกรณีอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงดงั ตอ่ ไปน้ี ก. ผซู้ ้ือถูกศาลพิพากษาใหล้ ม้ ละลายก่อนผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขาย หรือผูซ้ ้ือเป็ นคนลม้ ละลายแลว้ ในเวลาซ้ือขายโดยผขู้ ายไมร่ ู้ ข. ผซู้ ้ือทาํ ใหห้ ลกั ทรัพยท์ ่ีใหไ้ วเ้ พื่อประกนั การใชร้ าคาน้นั เส่ือมเสียหรือลดนอ้ ยลง ผล คือ ผขู้ ายมีสิทธิท่ีจะยดึ หน่วงทรัพยส์ ินที่ขายได้ แมใ้ นสัญญาจะมีกาํ หนดเงื่อนเวลาให้ใช้ราคาก็ตาม อยา่ งไรก็ตาม หากผูซ้ ้ือหาประกนั ที่สมควรให้ผูข้ ายได้ ผูข้ ายตอ้ งส่งมอบทรัพยส์ ินน้นั ใหแ้ ก่ผซู้ ้ือ 2.10.1.4 สิทธิของผู้ขายทใ่ี ช้สิทธิยดึ หน่วง
75 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47058 และมาตรา 47159 ไดก้ าํ หนดทางออกของผขู้ ายท่ีไดใ้ ชส้ ิทธิยดึ หน่วงไว้ ซ่ึงพอสรุปข้นั ตอนไดด้ งั น้ี ก. ผูข้ ายตอ้ งมีจดหมายบอกกล่าวไปยงั ผูซ้ ้ือให้ใช้ราคากบั ท้งั ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับการน้ันภายในเวลาอนั สมควรโดยกาํ หนดไวใ้ นคาํ บอกกล่าวน้นั ดว้ ย ข. ถา้ ผซู้ ้ือละเลยไม่ทาํ ตามคาํ บอกกล่าว ผขู้ ายมีสิทธินาํ ทรัพยส์ ินน้นั ออกขายทอดตลาดได้ ค. เม่ือขายทอดตลาดไดเ้ งินเท่าไร ผูข้ ายหักเอาจาํ นวนที่คา้ งชาํ ระแก่ตนสําหรับราคาของทรัพยส์ ินและคา่ ใชจ้ ่ายเกี่ยวกบั การน้นั ไว้ และถา้ ยงั มีเงินเหลือก็ใหส้ ่งมอบแก่ผซู้ ้ือโดยพลนั 2.10.2 ความรับผดิ เพื่อความชารุดบกพร่อง ความรับผิดของผขู้ ายสาํ หรับความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินที่ขายน้นั อาจเกิดได้ 2 กรณีคือ 1) เกดิ ความรับผดิ เพราะผ้ขู ายได้ให้ไว้โดยสัญญา กรณีน้ีคือ กรณีท่ีผูข้ ายได้ให้สัญญากับผูซ้ ้ือว่าจะรับผิด หากมีความชํารุดบกพร่องในทรัพยส์ ินท่ีขาย เป็ นการให้สัญญาโดยชดั แจง้ ซ่ึงความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินที่ขายอาจเป็ นอะไรก็ไดไ้ ม่จาํ เป็ นต้องเป็ นความชาํ รุดบกพร่องตามท่ีกาํ หนดอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 ก็ได้ ขอเพียงเป็นความชาํ รุดบกพร่องที่ผขู้ ายไดก้ าํ หนดไวล้ ่วงหนา้ แลว้ และแม้ความชาํ รุดบกพร่องน้นั จะเกิดข้ึนเพียงเลก็ นอ้ ย หากผขู้ ายตกลงวา่ จะรับผิดแลว้ ผูข้ ายก็จะตอ้ งรับผดิซ่ึงจะพบมากในกรณีที่ไปซ้ือเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าแลว้ มีใบรับประกนั สินคา้ เช่น นาย ก. ตกลงซ้ือแอร์จากนาย ข. โดยนาย ข. รับรองวา่ แอร์เคร่ืองน้ีเยน็ กินไฟนอ้ ย เดินเงียบ แต่พอหลงั จากติดต้งั แอร์ไปได้สักพกั ปรากฏวา่ แอร์มีเสียงดงั บางคร้ังมีน้าํ หยดลงมา ดงั น้ีนาย ข. ผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ต่อนาย ก. เพราะไดส้ ญั ญาไวแ้ ลว้ โดยชดั แจง้ 2) เกดิ ความรับผดิ โดยบทบัญญตั ิของกฎหมาย ความรับผดิ ที่เกิดข้ึนโดยบทบญั ญตั ิของกฎหมายน้นั เป็ นกรณีท่ีผขู้ ายเองมิไดต้ กลงหรือให้คาํ รับรองกบั ผซู้ ้ือไวโ้ ดยชดั แจง้ ว่าตนจะรับผิดสําหรับความชาํ รุดบกพร่องท่ีเกิดแก่ทรัพยส์ ินท่ีตนขาย แต่เป็นเร่ืองที่กฎหมายบงั คบั ใหผ้ ขู้ ายตอ้ งรับผดิ สาํ หรับความชาํ รุดบกพร่องท่ีเกิดแก่ทรัพยส์ ินท่ีตนขายเสมอไม่ว่าตนจะรู้หรือไม่รู้ว่ามีความชํารุดบกพร่องดังกล่าว หรือตนมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความชาํ รุดบกพร่องน้นั หรือไม่ก็ตาม ผูข้ ายตอ้ งรับผิดเสมอ ผูข้ ายจะแกต้ วั วา่ ตนไม่รู้ถึง 58 มาตรา 470 บญั ญตั ิวา่ “ถา้ ผซู้ ้ือผิดนดั ผขู้ ายซ่ึงไดย้ ดึ หน่วงทรัพยส์ ินไวต้ ามมาตราท้งั หลายที่กล่าวมาอาจจะใชท้ างแกต้ ่อไปน้ีแทนทางแกส้ ามญั ในการไมช่ าํ ระหน้ีได้ คือมีจดหมายบอกกล่าวไปยงั ผูซ้ ้ือให้ใชร้ าคากบัท้งั ค่าจบั จ่ายเก่ียวกบั การภายในเวลาอนั ควรซ่ึงตอ้ งกาํ หนดลงไวใ้ นคาํ บอกกลา่ วน้นั ดว้ ย ถา้ ผซู้ ้ือละเลยเสียไมท่ าํ ตามคาํ บอกกล่าว ผขู้ ายอาจนาํ ทรัพยส์ ินน้นั ออกขายทอดตลาดได”้ 59มาตรา 471 บญั ญตั ิวา่ “ เม่ือขายทอดตลาดไดเ้ งินเป็ นจาํ นวนสุทธิเท่าใด ใหผ้ ขู้ ายหักเอาจาํ นวนท่ีคา้ งชาํ ระแก่ตนเพ่ือราคาและคา่ จบั จ่ายเก่ียวการน้นั ไว้ ถา้ และยงั มีเงินเหลือ ก็ใหส้ ่งมอบแก่ผซู้ ้ือโดยพลนั ”
76ความชาํ รุดบกพร่องท่ีมีอยู่ไม่ได้ เน่ืองจากผูข้ ายอยู่ในฐานะท่ีจะรู้เร่ืองของทรัพยส์ ินท่ีขายน้นั ได้ดีกวา่ ใคร60 ซ่ึงเป็นไปตามหลกั ท่ีเรียกวา่ “ผขู้ ายตอ้ งระวงั ” 2.10.2.1 ความรับผดิ เพื่อความชารุดบกพร่องโดยบทบัญญตั ขิ องกฎหมาย บญั ญตั ิอยใู่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 472 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ในกรณีท่ีทรัพยส์ ินซ่ึงขายน้นั ชาํ รุดบกพร่องอยา่ งหน่ึงอย่างใด อนั เป็ นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเส่ือมความเหมาะสมแก่ประโยชนอ์ นั มุง่ จะใชเ้ ป็นปรกติก็ดี ประโยชน์ท่ีมุ่งหมายโดยสัญญาก็ดีทา่ นวา่ ผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ความท่ีกล่าวมาในมาตราน้ียอ่ มใช้ได้ ท้งั ท่ีผูข้ ายรู้อยแู่ ลว้ หรือไม่รู้ว่าความชาํ รุดบกพร่องมีอย”ู่ จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว หมายความวา่ หากทรัพยส์ ินท่ีขายน้นั มีความชาํ รุดบกพร่องอย่างหน่ึงอยา่ งใด เช่น แตก ร้าว เสื่อมคุณภาพ ขาดวิน่ เน่าเสีย ชาํ รุดแลว้ ผูข้ ายจะตอ้ งรับผดิ อยา่ งไรก็ดีผขู้ ายไม่ไดร้ ับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องทุกกรณี เม่ือพิจารณาบทบญั ญตั ิมาตรา 472 แลว้ จะเห็นได้วา่ ผขู้ ายจะตอ้ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่อง กต็ ่อเมื่อ ก. ความชารุดบกพร่องน้ันต้องถึงขนาดให้ทรัพย์ท่ีซื้อขายน้ันเสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ตามปกติ หรือแก่ประโยชน์ทม่ี ุ่งหมายตามสัญญา เช่น นางขาวซ้ือแหวนเพชรจากนายดาํ 1 วง ในราคา 100,000 บาท นางขาวชาํ ระราคาให้แก่นายดาํ เรียบร้อยและรับมอบแหวนเพชรมาแลว้ หลงั จากน้นั นางขาวให้ผเู้ ชี่ยวชาญดูเพชรให้ปรากฏวา่ เพชรมีรอยตาํ หนิท่ีมองดว้ ยตาเปล่าไม่เห็น ทาํ ให้แหวนเพชรวงดงั กล่าวราคาตกลง เช่นน้ีถือเป็นความชาํ รุดบกพร่องที่ถึงขนาดทาํ ให้ทรัพยท์ ่ีซ้ือขายเสื่อมราคา นางขาวสามารถเรียกใหน้ ายดาํ รับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวได้ นายแดงซ้ือรถยนตจ์ ากนายฟ้า 1 คนั ในราคา 250,000 บาท เม่ือนายแดงรับมอบรถยนต์มาขบั แลว้ ปรากฏว่าเบรคของรถยนต์เบรคไม่อยู่ เคร่ืองยนต์เสียงดงั เช่นน้ีถือเป็ นความชาํ รุดบกพร่องท่ีถึงขนาดทาํ ใหท้ รัพยท์ ี่ซ้ือขายเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ตามปกติ นายแดงสามารถเรียกใหน้ ายฟ้ารับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวได้ นายเขียวตกลงซ้ือแจกนั โบราณไม่มีตาํ หนิเพ่อื เอาไปจดั แสดงโชวจ์ ากนายเหลือง 1ใบ ในราคา 1,000,000 บาท โดยนายเหลืองทราบดีวา่ นายเขียวซ้ือแจกนั ไปเพ่ือจดั แสดงโชว์ ต่อมาปรากฏวา่ นายเขียวสังเกตเห็นวา่ แจกนั ดงั กล่าวมีรอยขีดข่วน เช่นน้ีถือเป็ นความชาํ รุดบกพร่องท่ีถึงขนาดทาํ ให้ทรัพย์ที่ซ้ือขายเส่ือมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ที่มุ่งหมายตามสัญญา นายเขียวสามารถเรียกใหน้ ายเหลืองรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวได้ 60 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.193.
77 คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 8088/2543 โจทก์ท้งั สามซ้ือทาวน์เฮาส์หลงั พิพาทมาในสภาพใหม่เพ่งิ ก่อสร้างเสร็จจากจาํ เลย และเขา้ อยูอ่ าศยั ใชป้ ระโยชน์ไดเ้ พียง 6 เดือน ก็เกิดความชาํ รุดบกพร่องในส่วนสาํ คญั หลายรายการ จนไม่อาจใชอ้ ยอู่ าศยั ไดอ้ ยา่ งปกติสุขหรือเหมาะสมแก่ประโยชน์อนั มุ่งจะใชเ้ ป็ นปกติต่อไปได้ เป็ นการชาํ รุดบกพร่องก่อนเวลาอนั สมควร จึงหาใช่เป็ นเรื่องท่ีความชาํ รุดบกพร่องเกิดข้ึนจากธรรมชาติของการใชส้ อยไม่ จาํ เลยผูข้ ายยอ่ มตอ้ งรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องของทาวน์เฮา้ ส์น้นั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 472 ฉะน้นั ถา้ ความชาํ รุดบกพร่องไม่ถึงขนาดทาํ ให้ทรัพยท์ ่ีซ้ือขายน้นั เสื่อมราคา หรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ตามปกติ หรือแก่ประโยชน์ท่ีมุ่งหมายตามสัญญาแลว้ ผูข้ ายก็ไม่ตอ้ งรับผดิ เช่น นาย ก. ซ้ือแจกนั จากนาย ข. 1 ใบ ในราคา 5,000 บาท และรับมอบแจกนั มาแลว้ต่อมาปรากฏวา่ แจกนั มีรอยขีดข่วนเพียงเล็กนอ้ ย เช่นน้ี นาย ข. ผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผดิ เพราะเป็ นความชาํ รุดบกพร่องท่ีไมถ่ ึงขนาดเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ตามปกติ อยา่ งไรกต็ าม ผขู้ ายอาจตอ้ งรับผดิ ฐานผดิ สญั ญาก็ได้ ซ่ึงเป็นเรื่องที่จะตอ้ งพจิ ารณาต่อไปเป็ นอีกเรื่องหน่ึง คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 6976/2542 โจทกฟ์ ้องเรียกใหจ้ าํ เลยชาํ ระราคาค่าปลาป่ นท่ีจาํ เลยคา้ งชาํ ระแก่โจทก์จาํ เลยใหก้ ารต่อสู้ว่าปลาป่ นท่ีโจทก์ส่งมอบให้แก่จาํ เลยมีสิ่งอื่นเจือปน ทาํ ให้จาํ เลยได้รับความเสียหายมากกว่าจาํ นวนท่ีโจทก์เรียกร้อง ขอให้ยกฟ้อง เม่ือขอ้ เท็จจริงได้ความว่าหลงั จากจาํ เลยไดร้ ับปลาป่ นที่มีขนไก่ปลอมปนแลว้ จาํ เลยยงั สั่งซ้ือปลาป่ นจากโจทก์ต่อไปอีก 30คนั รถบรรทุกแสดงว่าแมป้ ลาป่ นของโจทก์จะมีขนไก่ปลอมปนอยู่บา้ งก็น่าจะเพียงเล็กน้อย ไม่ถึงกบั ทาํ ใหไ้ ก่ของจาํ เลยเจริญเติบโตชา้ กวา่ ปกติการที่ปลาป่ นมีขนไก่ปลอมปนอยจู่ ึงไมถ่ ึงกบั ถือได้วา่ เป็ นกรณีทรัพยส์ ินท่ีขายชาํ รุดบกพร่องอนั เป็ นเหตุให้เส่ือมราคาหรือเส่ือมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อนั มุ่งจะใชเ้ ป็นปกติในอนั ที่โจทกผ์ ขู้ ายจะตอ้ งรับผิดต่อจาํ เลยผูซ้ ้ือตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 472 จาํ เลยจึงไม่มีสิทธิจะยึดหน่วงราคาที่ยงั ไม่ไดช้ าํ ระให้แก่โจทก์ไดต้ ามมาตรา 488 ข. ความชารุดบกพร่องนี้จะต้องเกิดขึ้นก่อนหรืออย่างน้อยที่สุดจะต้องมีอยู่ในขณะทาสัญญาซื้อขาย ถา้ ความชาํ รุดบกพร่องเกิดข้ึนหลงั จากที่สัญญาซ้ือขายเกิดข้ึนแลว้ และกรรมสิทธ์ิไดโ้ อนไปยงั ผซู้ ้ือแลว้ ก็ตอ้ งไปพิจารณาในเร่ืองการรับบาปเคราะห์ในภยั พบิ ตั ิแทน61 เช่น นายแดงตกลงซ้ือทีวีจากนายขาวในราคา 5,000 บาท ต่อมาอีก 3 วนั นายแดงเปิ ดทีวดี ู ปรากฏวา่ ภาพหายไปคร่ึงจอ โดยเป็นความเสียหายท่ีหลอดภาพอนั เกิดข้ึนมาก่อนท่ีนายแดงจะซ้ือทีวจี ากนายขาว เช่นน้ี นายแดงสามารถเรียกใหน้ ายขาวรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวได้ 61 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 7, น.223.
78 นายฟ้าตกลงซ้ือคอมพิวเตอร์จากนายดาํ 1 เครื่อง ในราคา 20,000 บาท โดยเม่ือนายฟ้าไดช้ าํ ระราคาใหแ้ ก่นายดาํ แลว้ แต่นายฟ้าขอฝากเครื่องคอมพิวเตอร์ไวท้ ่ีร้านของนายดาํ ก่อนเดี๋ยวจะมารับ ต่อมาปรากฏว่ามีคนมาเดินชนคอมพิวเตอร์ที่นายฟ้าซ้ือดงั กล่าวหล่นลงพ้ืน ทาํ ให้จอคอมพิวเตอร์แตกร้าว เช่นน้ี ความชาํ รุดบกพร่องเกิดข้ึนหลงั จากท่ีไดท้ าํ สัญญาซ้ือขายแลว้ นายฟ้าจึงไม่สามารถเรียกให้นายดาํ รับผิดในความชาํ รุดบกพร่องดังกล่าวได้ และเนื่องจากกรณีน้ีกรรมสิทธ์ิในคอมพิวเตอร์ไดโ้ อนไปยงั นายฟ้าแลว้ ต้งั แต่ในขณะที่เกิดสัญญา นายฟ้าจึงเป็ นผูร้ ับบาปเคราะห์ในภยั พิบตั ิท่ีเกิดข้ึน คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 459/2514 ความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินซ่ึงขาย อนั ผูข้ ายจะตอ้ งรับผิดต่อผูซ้ ้ือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 น้ัน จะต้องเป็ นความชํารุดบกพร่องท่ีมีอยกู่ ่อนแลว้ หรือมีอยใู่ นขณะทาํ สญั ญาซ้ือขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพยส์ ินท่ีขาย ส่วนความชาํ รุดบกพร่องที่มีข้ึนภายหลงั ผขู้ ายหาตอ้ งรับผดิ ไม่ เครื่องปรับอากาศที่โจทก์ติดต้งั ท่ีภตั ตาคารของจาํ เลยให้ความเยน็ เรียบร้อยดีนบั แต่เวลาติดต้งั ตลอดมาไม่น้อยกว่า 3-4 เดือน แสดงให้เห็นว่าเคร่ืองปรับอากาศดงั กล่าวมิไดม้ ีความชาํ รุดบกพร่องอยู่ก่อน หรือในขณะทาํ สัญญาซ้ือขาย หรือในเวลาส่งมอบเลย ฉะน้นั ท่ีเครื่องปรับอากาศให้ความเยน็ ไม่พอในเวลาต่อมา จึงเป็ นความชาํ รุดบกพร่องที่มีข้ึนภายหลงั จากที่จาํ เลยไดร้ ับมอบและใชป้ ระโยชนม์ าไม่นอ้ ยกวา่ 3-4 เดือน โจทกห์ าตอ้ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องน้ีไม่ และดว้ ยเหตุน้ีจาํ เลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยงั ไม่ไดช้ าํ ระตามมาตรา 488 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 1223/2545 ความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินซ่ึงขายอนั ผูข้ ายจะตอ้ งรับผดิ ต่อผซู้ ้ือตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 472 จะตอ้ งเป็นความชาํ รุดบกพร่องท่ีมีอยูก่ ่อนแลว้ หรือมีอยูใ่ นขณะทาํ สัญญาซ้ือขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพยส์ ินท่ีขาย ส่วนความชาํ รุดบกพร่องที่มีข้ึนภายหลงั ผขู้ ายหาตอ้ งรับผิดไม่ ฉะน้นั เมื่อโจทกท์ าํ และติดต้งั ถงั คริสตลั ท่ีโรงงานของจาํ เลยตามสัญญาซ้ือขายแลว้ จาํ เลยไดด้ าํ เนินการผลิตผงชูรสไดน้ านประมาณ 2 เดือน จึงเกิดปัญหาหรือความเสียหายในส่วนชุดกวนของถังคริสตลั โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องดงั กล่าว คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2545 ความชาํ รุดบกพร่องของทรัพยส์ ินที่ขายอนั ผูข้ ายจะตอ้ งรับผดิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 472 น้นั จะตอ้ งเป็ นความชาํ รุดบกพร่องที่มีอยู่ก่อนแลว้ หรือมีอยูใ่ นขณะทาํ สัญญาซ้ือขายหรือในเวลาส่งมอบทรัพยส์ ินที่ขายส่วนความชาํ รุดบกพร่องที่มีข้ึนภายหลงั ผูข้ ายหาตอ้ งรับผิดไม่ ปรากฏวา่ ก่อนท่ีจาํ เลยรับมอบเคร่ืองผลิตไอศกรีมพิพาทจากโจทก์ จาํ เลยไดต้ รวจสอบการทาํ งานของเคร่ืองแลว้ ซ่ึงสามารถใช้การได้ดี แสดงว่าเครื่องผลิตไอศกรีมดงั กล่าวมิไดม้ ีความชาํ รุดบกพร่องอยกู่ ่อนหรือในขณะทาํ สัญญาซ้ือขายหรือในเวลาส่งมอบ ดงั น้นั การที่เคร่ืองผลิตไอศกรีมพิพาทเกิดชาํ รุดบกพร่องหลงั จากใชง้ านไปไดเ้ กือบ 1
79ปี จึงเป็ นความชาํ รุดบกพร่องน้ีไม่ จาํ เลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงราคาที่ยงั ไม่ไดช้ าํ ระตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 488 หากเขา้ หลกั เกณฑท์ ้งั 2 ขอ้ ดงั กล่าวขา้ งตน้ แลว้ ผูข้ ายก็ตอ้ งรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องที่เกิดแก่ทรัพยส์ ินที่ขาย โดยไม่ตอ้ งพิจารณาวา่ ผขู้ ายจะรู้หรือไม่รู้ถึงความชาํ รุดบกพร่องน้นั เวน้ แต่จะเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ที่ไม่ตอ้ งรับผดิ ตามที่กาํ หนดอยใู่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 473 2.10.2.2 ข้อยกเว้นความรับผดิ ตามกฎหมาย ขอ้ ยกเวน้ ท่ีผขู้ ายไม่ตอ้ งรับผิดเพื่อความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินที่ซ้ือขาย บญั ญตั ิอยใู่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 473 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ผขู้ ายยอ่ มไมต่ อ้ งรับผดิ ในกรณีดงั จะกล่าวต่อไปน้ี คือ (1) ถา้ ผูซ้ ้ือไดร้ ู้อยูแ่ ลว้ แต่ในเวลาซ้ือขายวา่ มีความชาํ รุดบกพร่อง หรือควรจะไดร้ ู้เช่นน้นัหากไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั อนั จะพึงคาดหมายไดเ้ ช่นวญิ ํูชน (2) ถา้ ความชาํ รุดบกพร่องน้ันเป็ นอนั เห็นประจกั ษ์แล้วในเวลาส่งมอบและผูซ้ ้ือรับเอาทรัพยส์ ินน้นั ไวโ้ ดยมิไดอ้ ิดเอ้ือน (3) ถา้ ทรัพยส์ ินน้นั ไดข้ ายทอดตลาด ขอ้ ยกเวน้ ท้งั 3 ประการเป็ นไปตามหลกั ที่เรียกวา่ “ผูซ้ ้ือตอ้ งระวงั ” โดยขอ้ ยกเวน้ แต่ละประการมีความหมายดงั น้ี มาตรา 473 (1) เหตุผลท่ีผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผดิ ในกรณีน้ีชดั เจนอยูใ่ นตวั แลว้ เพราะในขณะที่ทาํ การซ้ือขาย ผซู้ ้ือรู้หรือควรจะรู้ไดอ้ ยูแ่ ลว้ วา่ ทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายน้นั มีความชาํ รุดบกพร่องแลว้ ผซู้ ้ือกย็ งั ซ้ือ แสดงวา่ ผซู้ ้ือยอมซ้ือทรัพยส์ ินน้นั ในสภาพท่ีมีความชาํ รุดบกพร่อง ดงั น้นั เม่ือซ้ือไปแลว้ จะมาอา้ งหรือเรียกร้องภายหลงั ใหผ้ ขู้ ายรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องไม่ได6้ 2 เช่น นาย ก. ซ้ือรถมือสองจากนาย ข. โดยนาย ก. ไดน้ าํ ช่างมาช่วยตรวจดูรถดว้ ย พอช่างตรวจดูแลว้ ช่างบอกวา่ เครื่องยนต์และช่วงล่างของรถไม่ค่อยดี แต่นาย ก. ก็ยงั ซ้ือ เช่นน้ี หากต่อมารถยนตท์ ี่นาย ก. ซ้ือมาเคร่ืองยนตช์ าํ รุด นาย ข. ไม่ตอ้ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวเพราะนาย ก. รู้อยแู่ ลว้ วา่ ทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายน้นั มีความชาํ รุดบกพร่องแลว้ กย็ งั ซ้ือ หรือขอ้ เทจ็ จริงเปล่ียนไปวา่ นาย ก. ไม่ไดน้ าํ ช่างมาช่วยตรวจดูรถ แต่นาย ก. ก็ตกลงซ้ือรถยนต์จากนาย ข. โดยที่ไม่ได้ลองขับเลย เช่นน้ี หากต่อมาปรากฏว่า รถยนต์ที่ซ้ือมาเครื่องยนตต์ ิดขดั ช่วงล่างของรถชาํ รุด นาย ข. กไ็ มต่ อ้ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าว เพราะนาย ก. ควรจะรู้ไดว้ า่ ทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายน้นั มีความชาํ รุดบกพร่อง หากไดใ้ ชค้ วามระมดั ระวงั ตรวจดูรถก่อนท่ีจะตกลงซ้ือ 62 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.199.
80 มาตรา 473 (2) คาํ วา่ “อิดเอ้ือน” หมายความถึง อาการปฏิเสธ บิดพลิ้ว คดั คา้ น หรือทกั ทว้ งตลอดจนการต้งั ขอสงวนวา่ จะไม่คดั คา้ นตอนน้ี แต่อาจคดั คา้ นในภายหลงั ได6้ 3 เหตุผลที่ผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผดิ ในกรณีน้ี ก็เพราะในขณะผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินที่ขายใหก้ บั ผู้ซ้ือ ผซู้ ้ือเห็นโดยชดั เจนวา่ ทรัพยส์ ินท่ีผขู้ ายส่งมอบให้น้นั มีความชาํ รุดบกพร่อง โดยหลกั เกณฑใ์ นเร่ืองสัญญาแลว้ ผูซ้ ้ือยอ่ มมีสิทธิปฏิเสธไม่ยอมรับมอบทรัพยส์ ินน้นั เพราะถือว่าผูข้ ายปฏิบตั ิการชาํ ระหน้ีไม่ถูกตอ้ ง หรือหากจาํ ตอ้ งรับไวก้ ็น่าจะไดส้ งวนสิทธิที่จะเรียกให้ผูข้ ายรับผิดไวด้ ว้ ย หากผู้ซ้ือยอมรับทรัพยส์ ินไวท้ ้งั ๆ ที่เห็นอยูแ่ ลว้ ว่าทรัพยส์ ินน้นั มีความชาํ รุดบกพร่องโดยไม่โตแ้ ยง้ ใดๆเลย กฎหมายถือเสมือนกบั ผซู้ ้ือยินดีท่ีจะรับมอบทรัพยส์ ินท่ีมีความชาํ รุดบกพร่องไว้ ดงั น้นั จะมาเรียกร้องใหผ้ ขู้ ายตอ้ งรับผดิ ในภายหลงั ไมไ่ ด6้ 4 เช่น นายแดงซ้ือรถยนตจ์ ากนายขาว 1 คนั ในราคา 200,000 บาท ในขณะที่นายขาวนาํรถมาส่งมอบ ปรากฏว่ารถยนตข์ องนายขาวมีรอยขีดข่วนบริเวณกระโปรงหนา้ รถอย่างชดั เจน แต่นายแดงก็รับมอบรถยนต์ไว้ โดยไม่โตแ้ ยง้ ใดๆ เลย เช่นน้ี ในภายหลงั นายแดงจะเรียกร้องให้นายขาวตอ้ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวไม่ได้ อยา่ งไรก็ตาม หากความชาํ รุดบกพร่องน้นั มีอยแู่ ลว้ แต่ไม่สามารถเห็นไดช้ ดั เจนในขณะท่ีผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินใหแ้ ก่ผซู้ ้ือ ผขู้ ายจะอา้ งมาตรา 473 (2) น้ี เพ่ือยกเวน้ ความรับผดิ ไมไ่ ด้ เช่น นายเหลืองตกลงซ้ือโทรศพั ทม์ ือถือจากนายม่วงในราคา 10,000 บาท ในขณะที่นายม่วงส่งมอบโทรศพั ท์มือถือใหแ้ ก่นายเหลือง นายเหลืองไดล้ องทดลองเปิ ดใช้ก็สามารถใช้ได้ตามปกติ แต่ต่อมาอีก 7 วนั โทรศพั ทม์ ือถือเคร่ืองดงั กล่าวลาํ โพงชาํ รุดทาํ ใหไ้ ม่ไดย้ นิ เสียงใดๆ เลยเช่นน้ี ความชาํ รุดบกพร่องดังกล่าวไม่สามารถเห็นได้ประจกั ษ์ในขณะส่งมอบ นายเหลืองจึงสามารถเรียกร้องใหน้ ายมว่ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องดงั กล่าวได้ คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 5581/2533 โจทก์ซ้ือกระป๋ องสาํ หรับบรรจุปลากบั น้าํ ซอส มะเขือเทศ จากจาํ เลยเมื่อกระป๋ องดงั กล่าวเป็ นสนิมและมีความชาํ รุดบกพร่องอย่างอ่ืน ซ่ึงเป็ นผลมาจากการผลิตของจาํ เลย อนั เป็นเหตุใหเ้ ส่ือมความเหมาะสมแก่ประโยชนท์ ่ีมุ่งหมายโดยสัญญาจาํ เลยตอ้ งรับผิดชดใชค้ ่าเสียหายใหโ้ จทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 แมโ้ จทกจ์ ะรับของจากจาํ เลยโดยไม่อิดเอ้ือน แต่ขณะที่มีการส่งมอบของน้นั ความชาํ รุดบกพร่องยงั ไม่เป็ นอนั เห็นประจกั ษ์ จาํ เลยก็หาพน้ จากความรับผดิ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 473(2) ไม่ มาตรา 473 (3) เหตุผลท่ีกฎหมายยกเวน้ ให้ผูข้ ายไม่ต้องรับผิดก็เพราะว่า ในการขายทอดตลาดน้นั จะมีการเปิ ดโอกาสใหผ้ ูซ้ ้ือไดต้ รวจดูทรัพยส์ ินก่อนเขา้ สู้ราคา หากพอใจก็เขา้ สู้ราคาแต่ถ้าไม่พอใจหรือเห็นว่าชาํ รุดบกพร่องก็ไม่ตอ้ งเขา้ สู้ราคา ด้วยเหตุน้ี หากบุคคลใดเขา้ สู้ราคา 63 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถที่ 7, น.226. 64 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.199.
81ยอ่ มจะสันนิษฐานไดว้ า่ พอใจท่ีจะซ้ือทรัพยส์ ินน้นั ตามสภาพที่เป็ นอยู่ จึงไม่สมควรให้ผขู้ ายจะตอ้ งรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องน้นั อีก65 2.10.2.3 ความรับผดิ ของผ้ขู ายต่อผู้ซื้อ เมื่อเกิดความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินท่ีขาย ผซู้ ้ือยอ่ มมีสิทธิดงั ต่อไปน้ี - ผูซ้ ้ือมีสิทธิยึดหน่วงราคาไวก้ ่อนได้ เวน้ แต่ผูข้ ายจะหาหลกั ประกนั ท่ีสมควรใหไ้ ด้ ท้งั น้ีเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 488 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ ผูซ้ ้ือพบเห็นความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินซ่ึงตนไดร้ ับซ้ือ ผูซ้ ้ือชอบท่ีจะยึดหน่วงราคาที่ยงั ไม่ไดช้ าํ ระไวไ้ ดท้ ้งั หมดหรือแต่บางส่วน เวน้ แต่ผขู้ ายจะหาประกนั ที่สมควรใหไ้ ด”้ - ผูซ้ ้ือมีสิทธิเรียกให้ผูข้ ายซ่อมแซมทรัพย์ที่ชํารุดบกพร่องให้ หรือหากผูข้ ายไม่ยอมซ่อมแซม ผซู้ ้ือก็สามารถนาํ ทรัพยด์ งั กล่าวไปซ่อมแซมเองโดยใหผ้ ูข้ ายเป็ นคนเสียค่าใชจ้ ่ายในการซ่อมแซม - หากผซู้ ้ือเรียกใหผ้ ขู้ ายซ่อมแซมแลว้ ผูข้ ายไม่ยอมซ่อมแซม และผซู้ ้ือก็ไม่นาํ ทรัพยน์ ้นั ไปซ่อมแซมเอง ผซู้ ้ืออาจใชส้ ิทธิบอกเลิกสญั ญา และเรียกใหผ้ ขู้ ายคืนเงินท่ีชาํ ระไปแลว้ - ผซู้ ้ือมีสิทธิเรียกค่าเสียหายอนั เกิดจากการที่ผขู้ ายส่งมอบทรัพยท์ ่ีชาํ รุดบกพร่องได้ คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2522 ผูข้ ายส่งมอบทรัพยท์ ่ีชาํ รุดบกพร่อง เท่ากบั ไม่ชาํ ระหน้ีตามสัญญา ผซู้ ้ือเลิกสญั ญาและเรียกค่าเสียหายได้ ผูข้ ายตอ้ งใหผ้ ูซ้ ้ือกลบั คืนสู่ฐานะเดิม ผูข้ ายไม่รับสินคา้ คืนไม่ปรากฏว่าสินคา้ ท่ีไม่รับคืนมีราคาเท่าใด ศาลให้ผูข้ ายใชร้ าคาคืนและค่าเสียหายเต็มจาํ นวน คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2389/2529 จาํ เลยส่งสินคา้ ท่ีมีคุณภาพชาํ รุดบกพร่องทาํ ใหผ้ ูซ้ ้ือในต่างประเทศปฏิเสธไม่ยอมรับซ้ือสินคา้ เป็ นเหตุให้โจทก์ขายสินคา้ น้นั ไม่ไดจ้ าํ เลยตอ้ งรับผิดในความชํารุ ดบกพร่ องดังกล่าวโจทก์มีสิ ทธิ บอกเลิกสัญญาและเรี ยกค่าเสี ยหายได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 215, 387, 391 และ 472 ค่าเสียหายที่จาํ เลยจะตอ้ งรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 คือคืนเงินราคาสินคา้ ท่ีจาํ เลยรับไปจากโจทก์ค่าที่โจทกไ์ ดช้ าํ ระค่าขนส่งสินคา้ ค่าวสั ดุสําหรับบรรจุหีบห่อสินคา้ ที่โจทก์จดั ซ้ือแลว้ ส่งให้จาํ เลยและคา่ โกดงั เกบ็ สินคา้ ซ่ึงถือวา่ เป็นค่าเสียหายพเิ ศษที่จาํ เลยควรจะคาดคิดล่วงหนา้ ได้ 2.10.2.4 อายุความในข้อรับผดิ เพ่ือชารุดบกพร่อง บญั ญตั ิอยใู่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 474 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ในขอ้ รับผิดเพื่อชาํ รุดบกพร่องน้นั ท่านหา้ มมิให้ฟ้องคดีเม่ือพน้ เวลาปี หน่ึงนบั แต่เวลาท่ีไดพ้ บเห็นความชาํ รุดบกพร่อง” 65 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.200.
82 หมายความว่า หากผูซ้ ้ือต้องการฟ้องให้ผูข้ ายรับผิดในความชํารุดบกพร่อง ผูซ้ ้ือต้องฟ้องร้องตอ่ ศาลภายใน 1 ปี นับแต่เวลาท่ีได้พบเห็นความชารุดบกพร่อง ดงั น้นั ตราบใดท่ีผซู้ ้ือยงั ไม่พบเห็นความชาํ รุดบกพร่องอายคุ วามก็ยงั ไมเ่ ร่ิมนบั 2.10.3 ความรับผดิ ในการรอนสิทธิ โดยปกติเมื่อผซู้ ้ือซ้ือทรัพยส์ ินมาจากผขู้ าย ผซู้ ้ือก็หวงั ที่จะเขา้ ครอบครองใชส้ อยหรือไดร้ ับประโยชน์จากทรัพยส์ ินอยา่ งเจา้ ของกรรมสิทธ์ิ แต่ในบางคร้ังอาจมีบุคคลภายนอกซ่ึงมีสิทธิบางประการท่ีสามารถยกข้ึนโต้แย้งผู้ซ้ือได้ และเม่ือใดที่สิ ทธิของผู้ซ้ือถูกโต้แย้งได้เพราะบุคคลภายนอกมีสิทธิดีกวา่ เมื่อน้นั ถือวา่ ผซู้ ้ือถูกรอนสิทธิและผขู้ ายจะตอ้ งรับผดิ ตอ่ ผซู้ ้ือ ความรับผิดของผูข้ ายในการรอนสิทธิน้นั เป็ นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 475-482 “การรอนสิทธิ” หมายถึง การที่ผูซ้ ้ือทรัพยส์ ินถูกบุคคลภายนอกมาก่อการรบกวนขดั สิทธิในอนั ท่ีจะครองทรัพยส์ ินโดยปกติสุข66 ท้งั น้ีเป็นไปตามท่ีมาตรา 475 บญั ญตั ิไวด้ งั น้ี “หากวา่ มีบุคคลผใู้ ดมาก่อการรบกวนขดั สิทธิของผซู้ ้ือในอนั จะครองทรัพยส์ ินโดยปกติสุขเพราะบุคคลผนู้ ้นั มีสิทธิเหนือทรัพยส์ ินท่ีไดซ้ ้ือขายกนั น้นั อยูใ่ นเวลาซ้ือขายก็ดี เพราะความผิดของผขู้ ายกด็ ี ทา่ นวา่ ผขู้ ายจะตอ้ งรับผดิ ในผลอนั น้นั ” 2.10.3.1 ลกั ษณะแห่งการรอนสิทธิ67 1) ความรับผดิ ในการรอนสิทธิเกิดขึน้ โดยผลแห่งกฎหมาย ขอ้ น้ีหมายความวา่ แมค้ ู่สัญญาจะไมม่ ีขอ้ ตกลงกนั ไวล้ ่วงหนา้ ใหผ้ ขู้ ายรับผดิ ผขู้ ายกย็ งั คงตอ้ งรับผดิ อยนู่ นั่ เอง และผขู้ ายจะรู้ถึงการรอนสิทธิน้นั หรือไม่ก็ตอ้ งรับผดิ เสมอ คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2053/2538 จาํ เลยผูข้ ายตอ้ งรับผิดในการ รอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 475 แมจ้ ะไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิก็ตามและเม่ือโจทก์จาํ ตอ้ งยอมให้เจา้ พนักงานตาํ รวจยึดรถยนต์พิพาทซ่ึงซ้ือมาจากจาํ เลยไปเพราะเป็ นรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาความรับผดิ ของจาํ เลยดงั กล่าวจึงไม่อยใู่ นบงั คบั อายุความฟ้องร้องตามมาตรา 481 แต่มีอายคุ วาม 10 ปี ตามมาตรา 193/30 2) การรอนสิทธิเป็ นเรื่องท่ีบุคคลภายนอกมาก่อการรบกวนขัดสิทธิผู้ซื้อในอันที่จะครอบครองทรัพย์สินทซ่ี ื้อโดยปกตสิ ุข 3) บุคคลภายนอกที่มาก่อการรบกวนขัดสิทธิจะต้องอ้างว่า ตนมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายดกี ว่าผ้ซู ื้อ 66 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถที่ 7, น.230. 67 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 7, น.231-232.
83 เช่น นาย ก. ตกลงซ้ือสร้อยคอทองคาํ จากนาย ข.ในราคา 50,000 บาท ปรากฏว่าหลงั จากที่นาย ก. ซ้ือสร้อยคอทองคาํ ดงั กล่าวมาแลว้ นาย ค. เจา้ ของที่แทจ้ ริงในสร้อยคอทองคาํดงั กล่าวมาติดตามเอาคืน ซ่ึงนาย ก. ตอ้ งคืนให้เพราะนาย ค. มีสิทธิดีกว่า เช่นน้ี ถือวา่ นาย ก. ถูกรอนสิทธิสามารถเรียกใหน้ าย ข. รับผดิ ได้ คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 655/2510 แมผ้ ูข้ ายจะไดร้ ถยนตม์ าโดยการโอนต่อนายทะเบียนและการขายให้ผูซ้ ้ือก็ไดโ้ อนต่อนายทะเบียนก็ดีก็ไม่ตดั สิทธิเจา้ ของอนั แทจ้ ริงท่ีจะติดตามเอาคืน การท่ีเจา้ ของอนั แทจ้ ริงติดตามเอารถคืนจากผซู้ ้ือเช่นน้ี เป็ นการรอนสิทธิของผซู้ ้ือ การที่ผูซ้ ้ือยินยอมคืนรถใหแ้ ก่เจา้ ของอนั แทจ้ ริงเอง แต่เมื่อความปรากฏชดั แจง้ แลว้ ว่ารถคนั น้นั เป็ นของเจา้ ของ การที่ผู้ซ้ือคืนรถให้แก่เจา้ ของที่แทจ้ ริงจึงเป็ นการปฏิบตั ิท่ีถูกตอ้ ง ถึงการซ้ือขายรถยนตจ์ ะไดท้ าํ การโอนซ้ือขายกนั ทางทะเบียน ผขู้ ายก็ยงั คงมีความรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธิอยู่ เม่ือผซู้ ้ือมิไดร้ ู้ในขณะซ้ือขายวา่ มีเหตุรอนสิทธิเกิดข้ึน ผขู้ ายกต็ อ้ งรับผดิ ตามกฎหมาย คาพิพากษาศาลฎกี าท่ี 885/2515 ปากกาหมึกซึมเป็ นของกองทพั อากาศสหรัฐอเมริกา ซ่ึงถูกคนร้ายลกั ไปจากโกดงั เก็บสินคา้ ที่สนามบิน จาํ เลยรับซ้ือปากกาเหล่าน้นั ไวโ้ ดยรู้วา่ เป็ นของไม่บริสุทธ์ิแลว้ เอามาขายให้โจทกซ์ ่ึงรับซ้ือไวโ้ ดยสุจริตภายหลงั ตาํ รวจมายึดเอาปากกาไปจากโจทก์แลว้ คืนใหเ้ จา้ ของไปตามคาํ พิพากษาของศาล ถือวา่ ทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายกนั หลุดไปจากโจทก์เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิ จาํ เลยผขู้ ายตอ้ งคืนเงินคา่ ปากกาใหโ้ จทกผ์ ซู้ ้ือ แต่หากผรู้ บกวนขดั สิทธิมิไดม้ ีสิทธิท่ีดีกวา่ ผซู้ ้ือ ก็ไมใ่ ช่เรื่องการรอนสิทธิ เช่น บุคคลภายนอกมีสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพยแ์ ต่ไม่มีหลกั ฐานเป็ นหนงั สือลงลายมือชื่อของผใู้ ห้เช่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซ่ึงทาํ ให้ฟ้องร้องบงั คบั คดีกนัไม่ได้ และส่งผลให้ผูร้ ับโอนกรรมสิทธ์ในอสังหาริมทรัพยด์ งั กล่าวไม่ตอ้ งรับโอนสัญญาเช่าที่ผูใ้ ห้เช่า (ผูข้ าย) ทาํ ไวก้ บั ผูเ้ ช่า ดงั น้ันผูซ้ ้ือจึงมีสิทธิดีกว่าผูเ้ ช่า กรณีเช่นน้ีจึงไม่ใช่เรื่องการรอนสิทธิผขู้ ายจึงไมต่ อ้ งรับผดิ ต่อผซู้ ้ือ 4) สิทธิท่ีอ้างถึงน้ันจะต้องเป็ นสิทธิท่ีมีอยู่แล้วก่อนหรือในเวลาทาสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจึงจะต้องรับผดิ เว้นแต่การรอนสิทธิจะเกดิ ขึน้ เนื่องจากความผดิ ของผู้ขาย เช่นนีผ้ ู้ขายต้องรับผดิ เช่น นายแดงตกลงซ้ือท่ีดินมีนส. 3 จากนายขาว 1 แปลง ในราคา 1,000,000 บาท นายแดงไดช้ าํ ระราคาใหแ้ ก่นายขาวเรียบร้อย ต่อมาปรากฏวา่ นายแดงจะเขา้ ไปทาํ ประโยชน์ในท่ีดิน แต่ท่ีดินผนื ดงั กล่าวมีนายฟ้าครอบครองอยจู่ นไดส้ ิทธิครอบครอง เช่นน้ี เป็ นกรณีนายแดงถูกรอนสิทธิเพราะสิทธิของนายฟ้ามีอยูก่ ่อนท่ีนายแดงกบั นายขาวจะไดท้ าํ สัญญาซ้ือขายกนั นายขาวจึงตอ้ งรับผดิ ต่อนายแดง นายเขียวตกลงซ้ือท่ีดินมีโฉนดจากนายดาํ 1 แปลง ในราคา 2,000,000 บาท ท้งั คูไดไ้ ปทาํ สัญญาเป็นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่เรียบร้อย ต่อมาปรากฏวา่ ที่ดินผืนดงั กล่าวถูกราชการเวนคืนที่ดินเพื่อนาํ ไปสร้างถนน เช่นน้ี ไม่ใช่การรอนสิทธิ เพราะการเวนคืน
84(สิทธิที่ดีกว่า) เกิดข้ึนหลงั จากท่ีนายเขียวตกลงทาํ สัญญาซ้ือขายกบั นายดาํ และไม่ใช่ความผิดของนายดาํ นายฟ้าตกลงซ้ือรถยนตจ์ ากนายม่วง 1 คนั ในราคา 100,000 บาท และนายฟ้าได้ฝากรถไวท้ ่ีนายม่วงก่อน โดยก่อนที่จะส่งมอบนายม่วงกลบั นาํ รถยนตค์ นั ดงั กล่าวไปขายต่อให้แก่นายเหลืองอีก ซ่ึงนายเหลืองไม่ทราบวา่ นายม่วงไดข้ ายรถยนตใ์ ห้แก่นายฟ้าแลว้ และนายเหลืองได้รับมอบการครอบครองรถยนต์แล้วด้วย เช่นน้ี เมื่อนายเหลืองซ้ือรถยนต์โดยสุจริ ตเสียค่าตอบแทนและไดค้ รอบครองทรัพยแ์ ลว้ จึงไดร้ ับความคุม้ ครองตามมาตรา 1303 ดงั น้นั เมื่อนายฟ้า (ผซู้ ้ือคนแรก) ไม่สามารถเขา้ ครอบครองรถยนต์ที่ตนซ้ือได้ จึงถือไดว้ า่ นายฟ้าถูกรอนสิทธิ แต่เป็ นการรอนสิทธิท่ีเกิดภายหลงั เวลาท่ีทาํ สัญญาซ้ือขาย แต่เน่ืองจากในกรณีน้ีการรอนสิทธิเกิดเพราะความผดิ ของนายมว่ งผขู้ าย นายมว่ งจึงตอ้ งรับผดิ ตอ่ นายฟ้า คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 8329/2543 เมื่อปรากฏวา่ มีการรอนสิทธิในท่ีดินพิพาทอยูก่ ่อนแลว้ในเวลาทาํ สญั ญาจะซ้ือจะขาย โดยฝ่ ายจาํ เลยหรือฝ่ ายผูข้ ายเป็ นผูก้ ่อเหตุข้ึน ดว้ ยการไปทาํ สัญญาจะซ้ือจะขายท่ีดินพิพาทบางส่วนใหแ้ ก่ผอู้ ื่น จาํ เลยจึงมีหนา้ ที่ตอ้ งขจดั เหตุท่ีถูกรบกวนสิทธิไปเสียก่อนถึงกาํ หนดนดั จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิ เมื่อจาํ เลยไม่ดาํ เนินการจาํ เลยจึงเป็ นฝ่ ายผิดสัญญา โจทก์ยอ่ มมีสิทธิไม่รับโอนกรรมสิทธ์ิท่ีดินพิพาทได้ จาํ เลยจึงไม่มีสิทธิริบเงินที่โจทก์วางไวต้ ามสัญญาและจะตอ้ งคืนเงินจาํ นวนดงั กล่าวพร้อมดอกเบ้ียแก่โจทก์ 5) การรอนสิทธิแม้เกิดขึ้นเพียงบางส่วน ผู้ขายก็ต้องรับผิด เป็ นไปตามมาตรา 479 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ ทรัพยส์ ินซ่ึงซ้ือขายกนั หลุดไปจากผูซ้ ้ือท้งั หมดหรือแต่บางส่วนเพราะเหตุการรอนสิทธิก็ดี หรือว่าทรัพยส์ ินน้นั ตกอยู่ในบงั คบั แห่งสิทธิอย่างหน่ึงอย่างใดซ่ึงเป็ นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่การที่จะใช้ หรือเส่ือมความสะดวกในการใชส้ อย หรือเสื่อมประโยชน์อนั จะพงึ ไดแ้ ตท่ รัพยส์ ินน้นั และซ่ึงผซู้ ้ือหาไดร้ ู้ในเวลาซ้ือขายไมก่ ด็ ี ท่านวา่ ผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ” เช่น นาย ก. ตกลงซ้ือบา้ นพร้อมท่ีดินจากนาย ข. ในราคา 2,000,000 บาท โดยได้ทาํเป็ นสัญญาเป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ีเรียบร้อยแลว้ แต่ขอ้ เท็จจริงปรากฏว่าก่อนที่นาย ข. จะขายบา้ นและที่ดินดงั กล่าวใหก้ บั นาย ก. นาย ข. ไดท้ าํ หนงั สือสัญญาใหน้ าย ค. เช่าห้องในบา้ นน้นั 1 ห้อง เป็ นเวลา 2 ปี โดยคิดค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท ซ่ึงตามหลกั เกณฑ์ในเรื่องการเช่าแลว้ การโอนกรรมสิทธ์ิในอสังหาริมทรัพยท์ ่ีเช่าไมม่ ีผลใหส้ ัญญาเช่าระงบั ผูร้ ับโอนยอ่ มรับไปท้งั สิทธิและหนา้ ท่ีท่ีผโู้ อนมีต่อผเู้ ช่า ตามมาตรา 569 ดงั น้นั นาย ก. จึงไม่สามารถเขา้ ครอบครองบา้ นไดท้ ้งั หมด เพราะบางส่วนอยใู่ นความครอบครองใชป้ ระโยชน์ของนาย ค. ตามสัญญาเช่า จึงถือวา่ เป็ นกรณีท่ีทรัพยส์ ินที่ซ้ือถูกรอนสิทธิแต่เพียงบางส่วน ซ่ึงนาย ก. ผูซ้ ้ือสามารถเรียกให้นาย ข.ผขู้ ายรับผดิ ตามมาตรา 475 และมาตรา 479 ได้ 2.10.3.2 ความรับผดิ ของผ้ขู ายต่อผ้ซู ื้อ
85 เมื่อมีการรอนสิทธิเกิดข้ึนผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ต่อผซู้ ้ือ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) ผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนสาํ หรับความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจากการรอนสิทธิ เช่น นายแดงตกลงซ้ือรถยนตจ์ ากนายขาวในราคา 100,000 บาท ปรากฏว่าหลงั จากที่นายแดงซ้ือรถยนตค์ นั ดงั กล่าวมาแลว้ นายม่วงเจา้ ของท่ีแทจ้ ริงในรถยนตด์ งั กล่าวมาติดตามเอาคืนซ่ึงนายแดงตอ้ งคืนใหเ้ พราะนายม่วงมีสิทธิดีกวา่ เช่นน้ี ถือวา่ นายแดงถูกรอนสิทธิ และในระหวา่ งน้ันถ้านายแดงต้องไปเช่ารถมาใช้ขับไปทาํ งานแทนรถยนต์ท่ีตนซ้ือมาจากนายขาว ค่าเช่ารถดงั กล่าวนายแดงสามารถเรียกใหน้ ายขาวชดใชค้ ืนได้ คาพพิ ากษาศาลฎกี าที่ 2199/2514 โจทกถ์ ูกยดึ รถยนตท์ ี่ซ้ือคืนไป โจทกจ์ ะเรียกค่าเสียหายที่ขาดรายไดจ้ ากการท่ีเคยใชร้ ถยนตพ์ พิ าทออกฉายภาพยนตร์เร่มิได้ เพราะโจทกอ์ าจใชร้ ถยนตอ์ ื่นได้รายไดจ้ ากการฉายภาพยนตร์เร่ มิใช่ค่าเสียหายโดยตรง โจทก์ไดร้ ับความเสียหายเพราะชาํ ระราคารถยนต์พิพาทให้จาํ เลยไปแลว้ 30,000 บาท แต่ไม่ไดก้ รรมสิทธ์ิรถยนต์ ไม่ไดใ้ ช้รถยนตเ์ ป็ นการตอบแทนหน้ีเงินน้นั นอกจากจะเรียกดอกเบ้ีย ยงั อาจพิสูจน์ค่าเสียหายอื่นไดอ้ ีกด้วย การที่โจทก์ชาํ ระเงินให้จาํ เลยไปก็โดยหวงั จะไดใ้ ชร้ ถยนตพ์ ิพาทเป็ นการตอบแทนโดยไม่ตอ้ งเสียค่าเช่า เม่ือโจทก์ถูกรอนสิทธิก็ชอบที่จะไดร้ ับชดใชค้ ่าเสียหายโดยคาํ นวณจากค่าเช่ารถยนต์ที่โจทก์เคยเช่าออกฉายภาพยนตร์เร่ คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2515 การที่โจทกจ์ าํ ตอ้ งยอมให้เจา้ หนา้ ท่ีตาํ รวจยึดรถยนตไ์ ปและศาลอาญาไดพ้ ิพากษาให้คืนแก่เจา้ ของที่แทจ้ ริงไปแลว้ รถยนตท์ ี่ซ้ือขายจึงหลุดไปจากโจทก์ผู้ซ้ือ จาํ เลยผูข้ ายตอ้ งรับผิดชาํ ระราคารถยนต์คืนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 479 และใชค้ ่าเสียหายใหโ้ จทกต์ ามมาตรา 475 (วนิ ิจฉยั โดยท่ีประชุมใหญ่ คร้ังท่ี 26/2515) 2) ผูข้ ายตอ้ งคืนราคาให้กบั ผูซ้ ้ือ ในกรณีที่ผูซ้ ้ือถูกรอนสิทธิ ผูข้ ายมีความรับผิดจะตอ้ งคืนราคาทรัพยส์ ินน้นั ใหแ้ ก่ผซู้ ้ือ คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 3220/2516 จาํ เลยเช่าซ้ือรถยนตม์ าจากเจา้ ของรถ ขณะท่ียงั ชาํ ระค่าเช่าซ้ือไม่ครบจาํ เลยไดน้ าํ รถน้นั ไปขายใหก้ บั โจทกโ์ ดยใหโ้ จทกผ์ อ่ นชาํ ระเป็นงวดๆ ต่อมาจาํ เลยไม่ชาํ ระค่าเช่าซ้ือ เจา้ ของรถไดม้ ายึดเอารถยนต์ไป ถือว่าได้มีการรอนสิทธิเกิดข้ึน ทาํ ให้จาํ เลยไม่สามารถจะส่งมอบและจดั การให้โจทก์ผูซ้ ้ือไดก้ รรมสิทธ์ิในรถยนต์คนั น้ีได้ ท้งั น้ีเพราะความผิดของจาํ เลย จาํ เลยจึงมีหนา้ ท่ีตอ้ งรับผดิ ตามบทบญั ญตั ิแห่งป.พ.พ. มาตรา 475 เมื่อโจทกผ์ ซู้ ้ือถูกรอนสิทธิ จาํ เลยซ่ึงเป็ นผขู้ ายตอ้ งรับผิดในการคืนราคารถยนตท์ ี่จาํ เลยรับชาํ ระไปจากโจทก์ ส่วนเงินท่ีโจทก์ไดร้ ับประโยชน์จากการใชร้ ถพิพาทและเงินท่ีโจทก์ไดร้ ับจากการขายรถน้นั ใหบ้ ุคคลอ่ืน ไม่ใช่เงินคา่ รถยนตท์ ่ีจาํ เลยจะตอ้ งส่งคืน จะนาํ มาคิดหกั กนั ไม่ได้ คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 7218/2542 โจทก์ซ้ือท่ีดินพิพาทจากจาํ เลย และชาํ ระค่าท่ีดินให้จาํ เลยครบถ้วนแลว้ จาํ เลยส่งมอบท่ีดินพิพาทให้โจทก์เขา้ ครอบครองทาํ ประโยชน์ต้งั แต่วนั ทาํสญั ญาแตท่ ่ีดินพพิ าทเป็นของ ผ. และ ผ. ไดแ้ จง้ ความกล่าวหาวา่ คนงานของโจทกบ์ ุกรุกที่ดินพิพาท
86ดงั น้ีเป็นกรณีท่ี ผ. มาก่อการรบกวนสิทธิของโจทกใ์ นฐานะผซู้ ้ือในอนั จะครองท่ีดินพิพาทเป็ นปกติสุข เพราะ ผ. มีกรรมสิทธ์ิเหนือท่ีดินพิพาทอยูใ่ นเวลาที่โจทกซ์ ้ือจากจาํ เลยจึงเป็ นการรอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 475 เมื่อโจทกม์ ิไดร้ ู้ในเวลาซ้ือขายวา่ ท่ีดินพิพาทเป็ นส่วนหน่ึงของที่ดิน ผ. และจาํ เลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าสิทธิของโจทก์ได้สูญไปโดยความผิดของโจทก์เองจาํ เลยจึงตอ้ งรับผดิ คืนเงินคา่ ท่ีดินพพิ าทพร้อมดอกเบ้ียแก่โจทก์ 3) ถา้ การรอนสิทธิไม่ถึงขนาดที่ผูซ้ ้ือจะไม่ไดร้ ับประโยชน์ตามสัญญา ผูซ้ ้ือไม่มีสิทธิเลิกสัญญา แต่ถา้ การรอนสิทธิก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงถึงขนาดผูซ้ ้ือจะไม่ไดป้ ระโยชน์แต่อยา่ งใดเลย ผซู้ ้ือยอ่ มบอกเลิกสัญญาและเรียกใหผ้ ขู้ ายรับผดิ ได6้ 8 2.10.3.3 การดาเนินคดี เม่ือใดที่มีการรอนสิทธิ และเกิดเป็นคดีข้ึนระหวา่ งผูซ้ ้ือกบั บุคคลภายนอก มาตรา 477 และมาตรา 478 ไดบ้ ญั ญตั ิถึงวธิ ีท่ีผูข้ ายสามารถเขา้ ไปในคดีระหวา่ งผซู้ ้ือกบั บุคคลภายนอก โดยบญั ญตั ิวา่ มาตรา 477 “เมื่อใดการรบกวนขดั สิทธิน้นั เกิดเป็ นคดีข้ึนระหวา่ งผซู้ ้ือกบั บุคคลภายนอก ผู้ซ้ือชอบท่ีจะขอใหศ้ าลเรียกผูข้ ายเขา้ เป็ นจาํ เลยร่วมหรือเป็ นโจทกร์ ่วมกบั ผซู้ ้ือในคดีน้นั ได้ เพ่ือศาลจะไดว้ นิ ิจฉยั ช้ีขาดขอ้ พพิ าทระหวา่ งผเู้ ป็นคู่กรณีท้งั หลายรวมไปเป็นคดีเดียวกนั ” มาตรา 478 “ถา้ ผขู้ ายเห็นเป็ นการสมควร จะสอดเขา้ ไปในคดีเพ่ือปฏิเสธการเรียกร้องของบุคคลภายนอก กช็ อบที่จะทาํ ไดด้ ว้ ย” จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว หมายความวา่ ก. ถา้ บุคคลภายนอกเป็ นโจทก์ฟ้องผูซ้ ้ือ ผซู้ ้ือมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายเรียกผขู้ ายเขา้ มาเป็นจาํ เลยร่วมได้ ข. ถา้ ผูซ้ ้ือเป็ นโจทก์ฟ้องบุคคลภายนอก ผซู้ ้ือมีสิทธิขอใหศ้ าลออกหมายเรียกผูข้ ายเขา้ มาเป็นโจทกร์ ่วมได้ ค. ถา้ ผขู้ ายเห็นสมควร ผขู้ ายจะขอร้องสอดเขา้ ไปเป็นโจทกร์ ่วมหรือจาํ เลยร่วมก็ได้ แลว้ แต่กรณี ท้งั น้ีก็เพื่อให้ศาลจะไดว้ นิ ิจฉยั ช้ีขาดขอ้ พิพาทระหวา่ งผเู้ ป็ นคู่กรณีท้งั หลายรวมไปเป็ นคดีเดียวกนั และผูข้ ายมีเหตุผลอะไรท่ีจะอา้ งปกป้องสิทธิของผูซ้ ้ือและเพ่ือให้ตนหลุดพน้ ความรับผิดในการรอนสิทธิดว้ ยจะไดท้ าํ เสียในคราวเดียวกนั 2.10.3.4 ข้อยกเว้นความรับผดิ ตามกฎหมาย ผขู้ ายไม่ตอ้ งรับผดิ ต่อผซู้ ้ือในการรอนสิทธิ หากเป็นไปตามกรณีใดกรณีหน่ึง ดงั ต่อไปน้ี 68 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 7, น.233.
87 1) ถา้ ผูซ้ ้ือรู้อยู่แล้วในเวลาซ้ือขายว่ามีผูอ้ ่ืนก่อการรบกวนขดั สิทธิหรือมีสิทธิดีกว่าผูซ้ ้ือเป็นไปตามมาตรา 476 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ สิทธิของผกู้ ่อการรบกวนน้นั ผซู้ ้ือรู้อยแู่ ลว้ ในเวลาซ้ือขาย ท่านวา่ ผขู้ ายไม่ตอ้ งรับผดิ ” ในกรณีน้ีเป็ นท่ีชดั เจนอยู่แลว้ วา่ เม่ือผูซ้ ้ือไดร้ ู้ต้งั แต่เวลาซ้ือขายแลว้ ว่ามีบุคคลอื่นมีสิทธิดีกวา่ แลว้ กย็ งั ซ้ือ แสดงวา่ ผซู้ ้ือไดซ้ ้ือทรัพยน์ ้นั โดยยอมรับความเส่ียงภยั ในการรอนสิทธิที่จะเกิดข้ึนเอง ผขู้ ายจึงไมต่ อ้ งรับผดิ เช่น นาย ก. ซ้ือโทรศพั ทม์ ือถือจากนาย ข. โดยนาย ข. ไดบ้ อกแก่นาย ก. ตนเก็บได้ จึงใหใ้ นราคาถูก นาย ก. ทราบแต่ก็ยงั ซ้ือ หากต่อมานาย ค. เจา้ ของที่แทจ้ ริงมาตามโทรศพั ทม์ ือถือคืนจากนาย ก. นาย ก. จึงตอ้ งคืนให้ เช่นน้ี แมจ้ ะถือวา่ นาย ก. ถูกรอนสิทธิ แต่เม่ือนาย ก. รู้อยูแ่ ลว้ ว่าโทรศพั ทม์ ือถือน้นั นาย ข. ไมใ่ ช่เจา้ ของ แต่กย็ งั ซ้ือ นาย ก. จึงไมส่ ามารถเรียกใหน้ าย ข. รับผดิ ได้ คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 2008/2540 หนงั สือที่จาํ เลยท่ี 1 มีไปถึงโจทก์แจง้ ใหโ้ จทก์ทราบวา่จาํ เลยท่ี 1 ตกลงขายที่ดินและอาคารใหแ้ ก่โจทกต์ ามที่โจทก์เสนอขอซ้ือ มีขอ้ ความระบุไวช้ ดั แจง้ วา่การตกลงขายท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างดงั กล่าวไม่ไดร้ วมสิ่งปลูกสร้างซ่ึงเป็ นสํานกั งานของจาํ เลยท่ี2 พร้อมกบั เครื่องจกั รและเครื่องชงั่ ซ่ึงปรากฏในแผนที่สังเขปตามท่ีจาํ เลยท่ี 1 ไดแ้ จง้ ให้ทราบล่วงหนา้ แลว้ เพราะส่ิงปลูกสร้างดงั กล่าวไม่ไดเ้ ป็ นกรรมสิทธ์ิของจาํ เลยที่ 1 แต่โจทก์ก็ยงั ตกลงทาํสัญญาจะซ้ือจะขายกบั จาํ เลยที่ 1 ดงั น้ี โจทกท์ ราบถึงการรบกวนขดั สิทธิของจาํ เลยท่ี 2 ในท่ีดินท่ีซ้ือแลว้ แมว้ า่ ผขู้ ายมีหนา้ ที่ตอ้ งส่งมอบการครอบครองทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายใหอ้ ยใู่ นเง้ือมือของผซู้ ้ือตามป.พ.พ. มาตรา 461 และ 462 และผขู้ ายตอ้ งรับผดิ ในกรณีที่มีผูม้ าก่อการรบกวนขดั สิทธิของผซู้ ้ือในอนั จะครองทรัพยส์ ินโดยปกติสุขตามมาตรา 475 แต่ในกรณีน้ีโจทก์ซ่ึงเป็ นผูซ้ ้ือทราบอยูแ่ ลว้ ในเวลาซ้ือขายวา่ มีทรัพยส์ ินของจาํ เลยท่ี 2 อยใู่ นที่ดินที่โจทกซ์ ้ือมาจาํ เลยท่ี 1 จึงไม่ตอ้ งรับผดิ ในการร้ือถอนและขนยา้ ยเคร่ืองจกั ร เครื่องชง่ั และค่าเสียหายแก่โจทกต์ ามมาตรา 476 คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 9652/2544 คดีก่อนศาลช้นั ตน้ พิพากษาใหเ้ พิกถอนการจดทะเบียนซ้ือขายที่ดินพิพาทระหวา่ งโจทก์และจาํ เลยบางส่วน โดยวินิจฉัยว่าจาํ เลยคดีดงั กล่าวจดทะเบียนโอนขายที่ดินพพิ าทใหแ้ ก่โจทก์คดีดงั กล่าวเป็ นการทาํ นอกขอบอาํ นาจในฐานะผจู้ ดั การมรดก ยอ่ มเป็ นการเสียเปรียบแก่ทายาทของ จ. และผูท้ ี่มีส่วนเป็ นเจา้ ของท่ีดินพิพาทซ่ึงอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิไดก้ ่อนท้งั โจทก์คดีดงั กล่าวรับซ้ือที่ดินพิพาทไวโ้ ดยทราบดีอยูแ่ ลว้ ว่าทายาทของ จ.และผูม้ ีส่วนเป็ นเจา้ ของท่ีดินพิพาทไดท้ าํ ประโยชน์ในที่ดินพิพาทหลายปี แลว้ และควรจะไดร้ ู้อยู่แลว้ ว่าจาํ เลยคดีดงั กล่าวกระทาํ ในฐานะผูจ้ ดั การมรดก จึงเป็ นการไม่สุจริต ดงั น้ีการที่ศาลช้นั ตน้พิพากษาให้เพิกถอนการซ้ือขายที่ดินพิพาทถือว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิ แต่โจทก์ทราบถึงสิทธิของผกู้ ่อการรบกวนในที่ดินพพิ าทแลว้ ในเวลาซ้ือขาย ฉะน้นั จาํ เลยซ่ึงเป็ นผูข้ ายจึงไม่ตอ้ งรับผดิ ในการรอนสิทธิต่อโจทกต์ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 476 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบงั คบัใหจ้ าํ เลยคืนเงินค่าท่ีดินพิพาทแก่โจทกต์ ามส่วนท่ีถูกเพิกถอนการซ้ือขายดงั กล่าว
88 ข้อสังเกต การท่ีผซู้ ้ือรู้อยู่แลว้ วา่ มีผูอ้ ่ืนก่อการรบกวนขดั สิทธิหรือมีสิทธิดีกวา่ ผูซ้ ้ือ จะตอ้ งเป็ นการรู้ในเวลาซ้ือขาย ผขู้ ายจึงจะไม่ตอ้ งรับผดิ หากผซู้ ้ือมารู้ภายหลงั จากทาํ สัญญาซ้ือขาย เช่นน้ีผขู้ ายยงั คงตอ้ งรับผดิ อยู่ (คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาที่ 645/2510, 7218/2542) 2) ถา้ เป็ นการซ้ือขายอสังหาริมทรัพย์ และอสังหาริมทรัพยน์ ้นั ตอ้ งตกอยูใ่ นบงั คบั แห่งภารจาํ ยอมโดยกฎหมาย อนั เป็นไปตามมาตรา 480 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถ้าอสังหาริมทรัพยต์ อ้ งศาลแสดงว่าตกอยู่ในบงั คบั แห่งภาระจาํ ยอมโดยกฎหมายไซร้ท่านวา่ ผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผิด เวน้ ไวแ้ ต่ผูข้ ายจะไดร้ ับรองไวใ้ นสัญญาวา่ ทรัพยส์ ินน้นั ปลอดจากภาระจาํ ยอมอยา่ งใด ๆ ท้งั สิ้น หรือปลอดจากภาระจาํ ยอมอนั น้นั ” ภารจาํ ยอมท่ีเกิดข้ึนโดยบทบญั ญตั ิของกฎหมาย ผูข้ ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะแมผ้ ขู้ ายจะไมไ่ ดข้ ายอสงั หาริมทรัพยน์ ้นั ใหแ้ ก่ผซู้ ้ือ ผขู้ ายเองก็ยงั ตอ้ งยอมให้อสังหาริมทรัพย์ของตนรับภาระที่กฎหมายกาํ หนด ดงั น้นั แมอ้ สังหาริมทรัพยท์ ่ีผูข้ ายขายให้กบั ผูซ้ ้ือจะมีภาระจาํยอมโดยกฎหมายติดมาซ่ึงทาํ ใหผ้ ซู้ ้ือไมส่ ามารถใชส้ อยหรือไดร้ ับประโยชน์หรือเสื่อมความสะดวกในการใชส้ อยอนั เขา้ ลกั ษณะท่ีผูซ้ ้ือถูกรอนสิทธิก็ตาม ผูซ้ ้ือก็จะเรียกใหผ้ ูข้ ายรับผิดไม่ได้ เวน้ แต่ผูข้ ายจะรับรองไวใ้ นสัญญาวา่ ทรัพยส์ ินน้นั ปลอดจากภารจาํ ยอมใดๆ ท้งั สิ้น หรือปลอดจากภารจาํยอมอนั น้นั เช่น นาย ก. ตกลงขายบา้ นพร้อมที่ดินของตนให้แก่นาย ข. ในราคา 2,000,000 บาทโดยไดท้ าํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่เรียบร้อย ปรากฏวา่ ท่ีดินแปลงดงั กล่าวน้นั เป็ นทางที่นาย ค. เดินเขา้ ออกอยู่เป็ นประจาํ เป็ นเวลานานกว่า 10 ปี เมื่อนาย ข. ไดซ้ ้ือบา้ นดงั กล่าวมา นาย ค. ก็ยงั คงเดินผา่ นเขา้ ออกที่ดินแปลงน้นั อยูอ่ ีก ทาํ ใหน้ าย ข. ไม่ไดร้ ับความสะดวกอนั เขา้ ลกั ษณะของการรบกวนขดั สิทธิของนาย ข. แลว้ แต่เน่ืองจากในกรณีน้ีที่ดินท่ีนาย ข. ซ้ือมาน้นั เป็ นภารยทรัพยข์ องที่ดินนาย ค. อนั เขา้ ลกั ษณะเป็ นภาระจาํ ยอมโดยบทบญั ญตั ิของกฎหมายและแมน้ าย ก. จะไม่ไดข้ ายท่ีดินใหแ้ ก่นาย ข. ท่ีดินแปลงน้ีก็ยงั คงเป็ นภารยทรัพยข์ องท่ีดินนาย ค.อยูน่ น่ั เอง แต่เมื่อนาย ก. โอนให้นาย ข. ภาระท่ีมีบนท่ีดินดงั กล่าวจึงตกติดไปกบั ท่ีดินดว้ ย นาย ข.จึงจะเรียกให้นาย ก. รับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้ เวน้ แต่นาย ก. จะไดร้ ับรองไวใ้ นสัญญาวา่ บา้ นและท่ีดินน้นั ปลอดจากภาระจาํ ยอมอยา่ งใดๆ ท้งั สิ้น นาย ข. จึงจะเรียกใหน้ าย ก. รับผดิ ได6้ 9 3) ถา้ ผซู้ ้ือสูญเสียทรัพยไ์ ปดว้ ยความผดิ ของผซู้ ้ือเอง ตามท่ีมาตรา 482 บญั ญตั ิไวอ้ นั ไดแ้ ก่กรณีดงั ตอ่ ไปน้ี (1) ถา้ ไม่มีการฟ้องคดี แต่ผูข้ ายพิสูจน์ไดว้ า่ สิทธิของผูซ้ ้ือไดส้ ูญไปโดยความผิดของผูซ้ ้ือเอง เช่น บุคคลภายนอกมาทวงทรัพยค์ ืนโดยอา้ งวา่ ตนเป็ นเจา้ ของทรัพย์ ผูซ้ ้ือก็คืนให้ทนั ที โดยไม่ 69 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.215-216.
89ตรวจสอบหรือถามผูข้ ายก่อนแต่อย่างใด เช่นน้ี หากผูข้ ายพิสูจน์ได้ว่าถา้ ตนรู้เร่ืองผูซ้ ้ือคงจะไม่สูญเสียสิทธิในทรัพยน์ ้นั ผขู้ ายกไ็ มต่ อ้ งรับผดิ ตอ่ ผซู้ ้ือ (2) ถา้ มีการฟ้องคดี แต่ผูซ้ ้ือไม่ไดข้ อให้ศาลออกหมายเรียกผูข้ ายเขา้ มาในคดี และผูข้ ายพิสูจน์ไดว้ า่ ถา้ เรียกเขา้ มาแลว้ ผซู้ ้ือจะชนะ เช่นน้ีผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผิด เพราะผูซ้ ้ือมีส่วนผดิ เองท่ีไม่เรียกผขู้ ายเขา้ มาในคดี เพราะผขู้ ายจะรู้เรื่องดีกวา่ ผูซ้ ้ือ อยา่ งไรก็ตาม ถา้ มีการเรียกผูข้ ายเขา้ มาในคดีแลว้ แต่ผขู้ ายไม่ยอมเขา้ มาเอง เช่นน้ีผขู้ ายยงั ตอ้ งรับผดิ อยู่ (3) ถ้ามีการฟ้องคดี และมีการเรียกผูข้ ายเขา้ มาในคดี แต่ศาลไดย้ กคาํ เรียกร้องของผูซ้ ้ือเพราะความผดิ ของผซู้ ้ือเอง เช่น ผซู้ ้ือขาดนดั หรือไปยอมรับสิทธิของบุคคลภายนอกเอง 2.10.3.5 อายคุ วามเรียกร้องให้ผู้ขายรับผดิ ในการรอนสิทธิ บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 481 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็ นคู่ความในคดีเดิม หรื อถ้าผู้ซ้ือได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก หรือยอมตามท่ีบุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในขอ้ รับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกําหนดสามเดือนนับแต่วนั คาํ พิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วนัประนีประนอมยอมความ หรือวนั ที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องน้นั ” จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว ผูซ้ ้ือจะตอ้ งใชส้ ิทธิฟ้องร้องให้ผขู้ ายรับผดิ ในการรอนสิทธิภายใน3 เดือน มิฉะน้นั สิทธิเรียกร้องจะขาดอายุความ สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 กรณีดงั น้ี 1) มีการฟ้องคดีระหวา่ งผซู้ ้ือและบุคคลภายนอก แตผ่ ซู้ ้ือมิไดข้ อใหศ้ าลหมายเรียกผูข้ ายเขา้มาในคดีเป็ นโจทก์ร่วมหรือจาํ เลยร่วม ในกรณีน้ีผูซ้ ้ือจะตอ้ งใชส้ ิทธิฟ้องร้องให้ผูข้ ายรับผิดในการรอนสิทธิภายใน 3 เดือน นบั แตว่ นั ที่คาํ พิพากษาในคดีระหวา่ งผซู้ ้ือกบั บุคคลภายนอกถึงท่ีสุด 2) มีการทาํ สัญญาประนีประนอมยอมความระหวา่ งผซู้ ้ือกบั บุคคลภายนอก ในกรณีน้ีผูซ้ ้ือจะตอ้ งใชส้ ิทธิฟ้องร้องให้ผขู้ ายรับผิดในการรอนสิทธิภายใน 3 เดือน นบั แต่วนั วนั ประนีประนอมยอมความ 3) เป็ นกรณีที่ไม่มีการฟ้องร้อง แต่ผูซ้ ้ือไปยอมตามท่ีบุคคลภายนอกเรียกร้องดว้ ยความสมคั รใจ เช่นน้ีผูซ้ ้ือจะตอ้ งใชส้ ิทธิฟ้องร้องให้ผูข้ ายรับผิดในการรอนสิทธิภายใน 3 เดือน นบั แต่วนั ที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องน้นั กรณีอื่นๆ นอกเหนือจากที่มาตรา 481 กาํ หนดไว้ การฟ้องให้ผขู้ ายรับผิดในการรอนสิทธิตอ้ งใชอ้ ายคุ วามทวั่ ไป ตามมาตรา 193/30 คือ 10 ปี คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 2597/2541 ท่ีดินที่จาํ เลยท้งั สองขายให้โจทกน์ ้นั ศาลฎีกาพิพากษาใหโ้ อนไปเป็ นของบุคคลอื่น จึงเป็ นกรณีบุคคลอ่ืนมาก่อการรบกวนขดั สิทธิของโจทกซ์ ่ึงเป็ นผซู้ ้ือในอนั ที่จะครองทรัพยส์ ินโดยปกติสุข เพราะบุคคลน้นั มีสิทธิเหนือท่ีดินที่ไดซ้ ้ือขายกนั อยู่ในเวลาซ้ือขาย จาํ เลยท้งั สองจึงตอ้ งรับผิดต่อโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475จาํ เลยท่ี 1 ผูข้ ายเป็ นคู่ความในคดีเดิม โจทกไ์ ม่ไดป้ ระนีประนอมยอมความกบั บุคคลภายนอกหรือ
90ยอมตามท่ีบุคคลภายนอกเรียกร้อง กรณีของโจทกเ์ ฉพาะจาํ เลยที่ 1 จึงไม่ตอ้ งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 และมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา193/30 สิทธิเรียกร้องของโจทก์เร่ิมนบั แต่วนั ท่ี 4 เมษายน 2534 โจทก์นาํ คดีมาฟ้องวนั ท่ี 1 ตุลาคม2534 คดีโจทก์เฉพาะจาํ เลยท่ี 1 จึงไม่ขาดอายคุ วาม แต่จาํ เลยที่ 2 น้นั ปรากฏวา่ ไม่ไดเ้ ป็ นคู่ความในคดีเดิม กรณีจึงตอ้ งตามมาตรา 481 คดีโจทกเ์ ฉพาะจาํ เลยที่ 2 จึงขาดอายคุ วามตามกฎหมายดงั กล่าว ข้อสังเกต การที่ผูซ้ ้ือยอมตามท่ีบุคคลภายนอกเรียกร้อง และผซู้ ้ือจะตอ้ งใชส้ ิทธิฟ้องร้องให้ผขู้ ายรับผดิ ในการรอนสิทธิภายใน 3 เดือน นบั แต่วนั ที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องน้นั จะตอ้ งเป็ นกรณีที่ผซู้ ้ือยอมโดยสมคั รใจ มิใช่โดนบงั คบั ใหย้ อมโดยอาศยั อาํ นาจของกฎหมาย คาพิพากษาศาลฎกี าที่ 390/2518 (ญ) โจทกซ์ ้ือรถจกั รยานยนตจ์ ากร้านจาํ เลยร่วม ต่อมาความปรากฏวา่ รถคนั น้นั เป็ นของ ค. ที่หายไป ตาํ รวจจบั จาํ เลยซ่ึงเป็ นผูจ้ ดั การร้านจาํ เลยร่วมเป็ นผตู้ อ้ งหาฐานรับของโจรและยดึ รถคนั ดงั กล่าวไว้ ดงั น้ีแมโ้ จทกจ์ ะไดร้ ถจกั รยานยนตจ์ ากการซ้ือขายในทอ้ งตลาดและมีสิทธิท่ีจะติดตามเอารถคืนไดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 1336ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏชัดแจง้ แล้วว่ารถเป็ นของ ค. ท่ีหายไป ซ่ึงโจทก์จะตอ้ งคืนให้แก่เจา้ ของที่แท้จริ ง และ พ นัก ง านส อบส วนค ดี ที่จํา เล ย ต้อง หาว่า รั บ ข อง โจรน้ ันก็ ว่า ถึ ง โจท ก์จะ ไ ปข อรั บรถจกั รยานยนตน์ ้นั คืนก็ไม่คืนใหจ้ าํ เลยในฐานะผขู้ ายจึงยงั คงตอ้ งรับผดิ ต่อโจทก์ เพราะทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขายหลุดไปจากโจทก์ เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิตามมาตรา 479 และแมโ้ จทก์จะมีสิทธิเรียกร้องเอารถคืนหรือขอใหช้ ดใชร้ าคาจากบุคคลที่อา้ งวา่ เป็นเจา้ ของรถโดยตรงตามมาตรา 1372 ก็มิไดห้ มายความว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจาํ เลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายหา้ มไว้ การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซ่ึงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481บญั ญตั ิหา้ มมิใหฟ้ ้องคดีในขอ้ ความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพน้ กาํ หนด 3 เดือนน้นั ตอ้ งเป็ นการยอมโดยสมคั รใจ การที่ตาํ รวจยึดรถจกั รยานยนต์ไปจากโจทก์ดว้ ยอาํ นาจของกฎหมายซ่ึงโจทก์จาํ ตอ้ งยอมใหย้ ึด มิฉะน้นั โจทก์อาจจะตอ้ งมีความผิดในทางอาญาน้นั ความรับผิดของจาํ เลยผูข้ ายไมอ่ ยใู่ นบงั คบั อายคุ วามตามมาตรา 481 แตต่ อ้ งอยใู่ นบงั คบั อายุความตามมาตรา 165 ซ่ึงมีอายุความ10 ปี (ปัจจุบนั คือมาตรา 193/30) (คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี 1885/2531 วนิ ิจฉยั ทาํ นองเดียวกนั ) 2.10.4 ข้อสัญญาว่าไม่ต้องรับผดิ ในกรณีที่มีความชาํ รุดบกพร่องท่ีถึงขนาดตามมาตรา 472 หรือมีการรอนสิทธิ ตามมาตรา475 เกิดข้ึนกบั ทรัพยส์ ินที่ซ้ือขาย โดยหลกั แลว้ ผูข้ ายตอ้ งรับผดิ เสมอ เวน้ แต่จะเขา้ ขอ้ ยกเวน้ ตามที่กฎหมายกาํ หนด การที่ผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องหรือการรอนสิทธินอกจากจะเป็ นไปตามขอ้ ยกเวน้ ตามที่กฎหมายกาํ หนดแลว้ ผูซ้ ้ือผูข้ ายอาจอาศยั หลกั เสรีภาพในการทาํ สัญญาและหลกั
91ความศกั ด์ิสิทธ์ิในการแสดงเจตนาตกลงยกเวน้ ให้ผูข้ ายไม่ตอ้ งรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิท่ีเกิดข้ึนกบั ทรัพยท์ ี่ขายกไ็ ด้ ท้งั น้ีกเ็ ป็นไปตามท่ีมาตรา 483 บญั ญตั ิวา่ “คู่สัญญาซ้ือขายจะตกลงกนั วา่ ผูข้ ายจะไม่ตอ้ งรับผิดเพื่อความชาํ รุดบกพร่องหรือเพ่ือการรอนสิทธิก็ได”้ จากมาตรา 483 น้ีเอง แสดงใหเ้ ห็นวา่ บทบญั ญตั ิในเรื่องความรับผดิ ของผูข้ ายในความชาํ รุดบกพร่องและการรอนสิทธิ ไม่ใช่บทบญั ญตั ิที่เกี่ยวกบั ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชน คู่สญั ญาจึงสามารถตกลงยกเวน้ ได้ หลกั เกณฑ์ของข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผดิ 1) คู่สัญญาในการซ้ือขายสามารถท่ีจะตกลงยกเวน้ ความรับผดิ ในความชาํ รุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิของผขู้ ายได้ (มาตรา 483) 2) แต่ขอ้ สญั ญาวา่ ไม่ตอ้ งรับผิดน้นั ก็ไม่คุม้ ผูข้ ายใหพ้ น้ จากการที่จะตอ้ งชาํ ระเงินคืนใหแ้ ก่ผซู้ ้ือ เวน้ แตจ่ ะไดต้ กลงเป็นอยา่ งอื่น (มาตรา 484) 3) แมจ้ ะมีขอ้ ตกลงยกเวน้ ความรับผดิ ไว้ แต่หากความชาํ รุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิน้นัเกิดเพราะความผิดของผขู้ าย หรือผูข้ ายรู้อยแู่ ลว้ แต่ปกปิ ดไวไ้ ม่ใหผ้ ูซ้ ้ือรู้ เช่นน้ีผูข้ ายก็ยงั คงตอ้ งรับผดิ อยู่ (มาตรา 485) เช่น นายแดงตกลงซ้ือรถยนตข์ องนายขาว ในราคา 200,000 บาท โดยนายขาวรู้อยูแ่ ลว้วา่ เคร่ืองยนต์ของรถหากวงิ่ ไปนานๆ เคร่ืองจะร้อนและหยดุ ทาํ งาน แต่ไม่ยอมบอกนายแดงเช่นน้ีแมก้ ารซ้ือขายดงั กล่าวจะมีขอ้ ตกลงยกเวน้ ความรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องให้แก่นายขาว แต่เม่ือนายขาวผขู้ ายรู้ถึงความชาํ รุดบกพร่องแตป่ กปิ ดไมใ่ หน้ ายแดงผูซ้ ้ือทราบ นายขาวจึงยงั คงตอ้ งรับผิดในความชาํ รุดบกพร่องอยู่ นายม่วงตกลงซ้ือคอมพิวเตอร์จากนายฟ้า ในราคา 10,000 บาท แต่ยงั ไม่ไดร้ ับมอบคอมพวิ เตอร์ ต่อมานายฟ้าเอาไปคอมพิวเตอร์เครื่องดงั กล่าวขายให้แก่นายเหลืองและมอบการครอบครองไปดว้ ย โดยนายเหลืองไม่ทราบว่านายฟ้าขายใหแ้ ก่นายม่วงไปแลว้ นายม่วงจึงเป็ นผูม้ ีสิทธิในคอมพิวเตอร์ดงั กล่าว ตามมาตรา 1303 จึงถือว่าการรอนสิทธิเกิดข้ึนกบนายม่วงเพราะความผดิ ของนายฟ้าผขู้ าย ดงั น้นั แมก้ ารซ้ือขายระหวา่ งนายมว่ งกบั นายฟ้าจะมีขอ้ ตกลงยกเวน้ ความรับผดิ ในการรอนสิทธิไวก้ ็ตาม แตน่ ายฟ้าก็ยงั คงตอ้ งรับผดิ อยู่ 2.11 หน้าทขี่ องผู้ซื้อ ผซู้ ้ือมีหนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปน้ี 2.11.1 รับมอบทรัพย์สินทซี่ ื้อขาย หนา้ ที่ประการน้ีบญั ญตั ิอยใู่ นประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 486 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ผซู้ ้ือจาํ ตอ้ งรับมอบทรัพยส์ ินที่ตนไดร้ ับซ้ือและใชร้ าคาตามขอ้ สัญญาซ้ือขาย”
92 โดยหลกั แลว้ ผูซ้ ้ือมีหนา้ ท่ีตอ้ งรับมอบทรัพยส์ ินท่ีซ้ือ เวน้ แต่จะเป็ นกรณีที่อาจอา้ งมูลเหตุตามกฎหมายได้ เช่น ผูข้ ายส่งมอบขาดตกบกพร่องหรือล้าํ จาํ นวน หรือระคนปนกบั ทรัพยส์ ินอ่ืนตามมาตรา 465 และมาตรา 466 หรือผขู้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินที่ชาํ รุดบกพร่อง เป็นตน้ ในกรณีที่ผูซ้ ้ือไม่ยอมรับมอบทรัพยส์ ินโดยปราศจากมูลอนั จะอา้ งกฎหมายได้ ผูซ้ ้ืออาจตอ้ งรับผดิ เสียค่าสินไหมทดแทน และผขู้ ายอาจใชส้ ิทธิบอกเลิกสญั ญาได้ 2.11.2 ชาระราคาให้แก่ผ้ขู าย ในเร่ืองของการชาํ ระราคาสามารถแยกพจิ ารณาไดด้ งั น้ี 2.11.2.1 จานวนราคา บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 487 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “อนั ราคาทรัพยส์ ินท่ีขายน้นั จะกาํ หนดลงไวใ้ นสัญญาก็ได้ หรือจะปล่อยไปใหก้ าํ หนดกนัดว้ ยวิธีอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงดงั่ ไดต้ กลงกนั ไวใ้ นสัญญาน้นั ก็ได้ หรือจะถือเอาตามทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกนั อยนู่ ้นั ก็ได้ ถ้าราคามิได้มีกาํ หนดเด็ดขาดอย่างใดดัง่ ว่ามาน้ันไซร้ ท่านว่าผูซ้ ้ือจะตอ้ งใช้ราคาตามสมควร” จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว ราคาของทรัพยส์ ินที่ซ้ือขายอาจกาํ หนดโดย ก. ตามท่ีกาํ หนดอยใู่ นสัญญา ข. ตามวิธีการท่ีตกลงกาํ หนดกนั ในสัญญา เช่น ตามราคาตลาด ณ เวลาส่งมอบ หรือให้บุคคลอื่นเป็นผกู้ าํ หนด ค. ตามทางการที่คู่สญั ญาประพฤติต่อกนั ง. ตามสมควร ในกรณีที่คู่สัญญามิไดก้ าํ หนดราคาอยา่ งใดตามที่กล่าวมา มาตรา 487 วรรคสอง กาํ หนดใหผ้ ซู้ ้ือจะตอ้ งใชร้ าคาตามสมควร ราคาตามสมควร คือ ราคาท่ีเหมาะสมกับมูลค่าของทรัพยส์ ินท่ีซ้ือขาย หรือราคาตามสมควรอาจเป็ นราคาปกติท่ีผูข้ ายขายของชนิดเดียวกนั น้นั ให้กบั ผูซ้ ้ือคนอ่ืน ซ่ึงโดยปกติแลว้ ราคาปกติกค็ ือราคาตลาดนนั่ เอง 2.11.2.2 เวลาทตี่ ้องชาระราคาบญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 490 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “ถา้ ไดก้ าํ หนดกนั ไวว้ า่ ใหส้ ่งมอบทรัพยส์ ินซ่ึงขายน้นั เวลาใด ท่านให้สันนิษฐานไวก้ ่อนวา่เวลาอนั เดียวกนั น้นั เองเป็นเวลากาํ หนดใชร้ าคา” จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว หมายความว่า หากคู่สัญญาตกลงกนั ไวว้ ่าจะต้องชาํ ระราคากนัเม่ือไร ก็ชาํ ระราคาในเวลาดงั กล่าว แตถ่ า้ ไม่ไดต้ กลงกนั มาตรา 490 ใหส้ ันนิษฐานไวก้ ่อนวา่ เวลาท่ีจะตอ้ งชาํ ระราคาคือเวลาเดียวกบั ท่ีผูข้ ายส่งมอบทรัพยส์ ินที่ซ้ือขาย ซ่ึงก็เป็ นไปตามหลกั เง่ือนไขร่วมกนั คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี 421/2536 กรณีตามฟ้องเป็ นเรื่องการซ้ือขาย ซ่ึงประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 490 บญั ญตั ิวา่ ถา้ ไดก้ าํ หนดกนั ไวว้ า่ ใหส้ ่งมอบทรัพยส์ ินซ่ึงซ้ือขายน้นั เวลา
93ใด ท่านใหส้ ันนิษฐานไวก้ ่อนว่าเวลาอนั เดียวกนั น้นั เองเป็ นเวลากาํ หนดใชร้ าคา เมื่อโจทก์ส่งมอบป่ านให้กรมพลาธิการทหารอากาศตามคาํ ส่ังของจาํ เลย และกรมพลาธิการทหารอากาศไดต้ รวจรับมอบไวถ้ ูกตอ้ งแลว้ เมื่อวนั ที่ 30 กนั ยายน 2529 จาํ เลยจึงชอบที่จะตอ้ งชาํ ระราคาป่ านใหแ้ ก่โจทก์ซ่ึงเป็ นผูข้ ายในวนั ดงั กล่าวเช่นเดียวกนั เม่ือจาํ เลยไม่ชาํ ระย่อมได้ช่ือว่าผิดนดั แล้ว โจทก์จึงฟ้องให้จาํ เลยชาํ ระราคาป่ านไดโ้ ดยไม่ตอ้ งทวงถาม 2.11.2.3 วธิ ีชาระราคา โดยปกติผูซ้ ้ือตอ้ งชาํ ระเป็ นเงินสดท้งั หมด เวน้ แต่คู่สัญญาจะตกลงให้สามารถชาํ ระได้บางส่วน หรือชาํ ระดว้ ยของอยา่ งอ่ืนได้ เช่น เช็ค หรือบตั รเครดิต คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี 5377/2539 แมต้ ามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยม์ าตรา 320โจทก์ซ่ึงเป็ นลูกหน้ีจะบงั คบั ให้เจา้ หน้ีรับชาํ ระหน้ีเป็ นอยา่ งอื่นผิดไปจากที่จะตอ้ งชาํ ระแก่เจา้ หน้ีไม่ไดซ้ ่ึงตามสัญญาระบุให้ชาํ ระสินไถ่เป็ นจาํ นวน 8,800,000 บาท สินไถ่จาํ นวนดงั กล่าวเป็ นเงินจาํ นวนมากการชําระค่าสินไถ่ด้วยแคชเชียร์เช็คซ่ึงเป็ นเช็คท่ีทางธนาคารออกให้เช็คดงั กล่าวจึงเปรียบเสมือนเงินสดหากจาํ เลยมีความสงสัยว่าเป็ นเช็คปลอมหรือไม่มีเงินก็อาจตรวจสอบโดยโทรศพั ทส์ อบถามไปยงั ธนาคารท่ีออกแคชเชียร์เช็คไดแ้ ต่จาํ เลยก็ ยืนกรานไม่ยอมรับแคชเชียร์เช็คซ่ึงเป็นการผดิ ปกติเพราะหากจาํ เลยตอ้ งการรับชาํ ระหน้ีดว้ ยเงินสดก็น่าจะระบุไวใ้ นสัญญาหรือแจง้ใหโ้ จทกท์ ราบล่วงหนา้ 2.11.3 สิทธิยดึ หน่วงของผู้ซื้อ ผซู้ ้ืออาจใชส้ ิทธิยดึ หน่วงราคาไวไ้ ด้ หากมีกรณีดงั ต่อไปน้ี 1) ถา้ ผูซ้ ้ือพบเห็นความชาํ รุดบกพร่องในทรัพยส์ ินซ่ึงตนไดร้ ับซ้ือ ผูซ้ ้ือมีสิทธิยึดหน่วงราคา เวน้ แต่ผขู้ ายจะหาประกนั ท่ีสมควรใหไ้ ด้ (มาตรา 488) 2) ถา้ ผซู้ ้ือถูกผรู้ ับจาํ นองหรือบุคคลผเู้ รียกร้องเอาทรัพยส์ ินน้นั ขู่วา่ จะฟ้องเป็ นคดีก็ดี หรือมีเหตุอนั ควรเชื่อวา่ จะถูกขเู่ ช่นน้นั ก็ดี ผซู้ ้ือมีสิทธิยึดหน่วงราคา จนกวา่ ผูข้ ายจะไดบ้ าํ บดั ภยั อนั น้นั ให้สิ้นไป หรือจนกวา่ ผขู้ ายจะหาประกนั ท่ีสมควรใหไ้ ด้ (มาตรา 489) 2.12 การซื้อขายเฉพาะบางอย่าง การซ้ือขายเฉพาะบางอยา่ ง คือ การซ้ือขายบางลกั ษณะที่มีหลกั เกณฑ์พิเศษเพ่ิมข้ึนจากการซ้ือขายทว่ั ไป อนั กาํ หนดอยใู่ นหมวด 4 ในกฎหมายลกั ษณะซ้ือขาย ไดแ้ ก่ ขายฝาก ขายตามตวั อยา่ งขายตามคาํ พรรณนา ขายเผอื่ ชอบ และขายทอดตลาด อยา่ งไรกต็ าม การซ้ือขายเฉพาะบางอยา่ ง ก็ยงั จะตอ้ งอาศยั หลกั เกณฑข์ องกฎหมายซ้ือขายเท่าท่ีไม่ขดั ต่อหลกั เกณฑ์ของการซ้ือขายเฉพาะอย่าง เช่น การทาํ ตามแบบ หลกั ฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดี การโอนกรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิและหนา้ ท่ีของคู่สัญญา เป็นตน้ 70 70 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 7, น.249.
94 2.12.1 การขายฝาก 2.12.1.1 ความหมายและลกั ษณะของการขายฝาก ความหมายของการขายฝาก บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 491 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “อนั วา่ ขายฝากน้นั คือสัญญาซ้ือขายซ่ึงกรรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินตกไปยงั ผซู้ ้ือ โดยมีขอ้ ตกลงกนั วา่ ผขู้ ายอาจไถ่ทรัพยน์ ้นั คืนได”้ จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว สามารถบง่ ลกั ษณะของสญั ญาขายฝากไดด้ งั น้ี 1) สัญญาขายฝากเป็นสัญญาซ้ือขาย เม่ือเป็ นสัญญาซ้ือขายจึงตอ้ งนาํ บทบญั ญตั ิท้งั หลายอนั ว่าดว้ ยการซ้ือขายมาใชบ้ งั คบั กบัสัญญาขายฝากดว้ ย เท่าท่ีไม่ขดั กบั บทบญั ญตั ิในของสัญญาขายฝาก ไม่วา่ จะเป็ นในเร่ืองคุณสมบตั ิของคู่สัญญาในการที่จะเป็ นผูซ้ ้ือหรือผูข้ าย, วตั ถุประสงค์ของสัญญา, แบบและหลักฐานการฟ้องร้องบงั คบั คดี, การโอนกรรมสิทธ์ิ ตลอดจนสิทธิหนา้ ท่ีและความรับผดิ ของผขู้ ายและผซู้ ้ือ 2) ผซู้ ้ือฝากและผขู้ ายฝากไดท้ าํ การตกลงกนั ไวว้ า่ ผขู้ ายฝากสามารถท่ีจะไถ่ทรัพยส์ ินท่ีขายฝากคืนได้ ก. ขอ้ ตกลงดงั กล่าว ตอ้ งตกลงกนั ไวแ้ ลว้ ในขณะท่ีทาํ สัญญาซ้ือขาย จึงจะทาํ ให้สัญญาท่ีทาํกนั น้นั เป็ นสัญญาขายฝากได้ หากมาตกลงกนั ในภายหลงั แลว้ สัญญาท่ีทาํ กนั ข้ึนมาน้นั เป็ นสัญญาซ้ือขายธรรมดา ส่วนขอ้ ตกลงท่ีทาํ ข้ึนภายหลงั สัญญากนั ว่าผูข้ ายสามารถมาไถ่ทรัพยค์ ืนไดน้ ้ันขอ้ ตกลงน้ีกส็ ามารถบงั คบั กนั ได้ แต่บงั คบั ในฐานะที่เป็นคาํ มนั่ วา่ จะขาย ไม่ใช่บงั คบั ในฐานะท่ีเป็ นสญั ญาขายฝาก เช่น นายแดงตกลงขายรถยนตข์ องตนใหแ้ ก่นายขาว ในราคา 100,000 บาท นายขาวตกลงซ้ือและรับมอบรถยนต์ไปแลว้ ต่อมานายแดงอยากไดร้ ถยนต์ของตนคืนแต่ยงั ไม่มีเงินซ้ือคืนตอนน้ี นายแดงจึงไปตกลงกบั นายขาววา่ ภายใน 2 ปี หากตนนาํ เงินจาํ นวน 120,000 บาท มาใหแ้ ก่นายขาวได้ นายขาวจะยอมคืนรถยนต์คนั ดงั กล่าวให้ นายขาวตกลง เช่นน้ี สัญญาซ้ือขายดงั กล่าวเป็นสญั ญาซ้ือขายธรรมดา ไมใ่ ช่สญั ญาขายฝาก เพราะขอ้ ตกลงท่ีใหผ้ ขู้ ายสามารถไถ่คืนทรัพยส์ ินท่ีขายไดน้ ้นั ไดท้ าํ หลงั จากท่ีมีสัญญาซ้ือขายแลว้ อย่างไรก็ตาม ขอ้ ตกลงดงั กล่าวนายแดงก็สามารถบงั คบั นายขาวได้ แต่บงั คบั กนั ในฐานะเป็ นคาํ มนั่ วา่ จะขายของนายขาว ไม่ใช่บงั คบั ในฐานะที่เป็ นสัญญาขายฝาก คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 170/2497 ขายที่ดินและโรงเรือนใหแ้ ก่ญาติกนั โดยตกลงกนั ดว้ ยปากเปล่า ก่อนทาํ หนงั สือสญั ญาซ้ือขายวา่ ภายใน 10 ปี ผซู้ ้ือยอมให้ผูข้ ายมีสิทธิไถ่คืนไดถ้ ือวา่ การตกลงดว้ ยปากเปล่าดงั กล่าวน้ี เม่ือมิไดท้ าํ เป็ นหนงั สือจดทะเบียนแลว้ ขอ้ ตกลงเช่นน้ีก็สูญเปล่าไม่มีผลบงั คบั แก่กนั ไดส้ ัญญาซ้ือขายท่ีทาํ กนั ในภายหลงั น้นั จึงสาํ เร็จเด็ดขาดไป แต่เม่ือปรากฏวา่ ต่อมาอีก2 ปี เศษ ผูซ้ ้ือกบั ผูข้ ายไดท้ าํ หนงั สือสัญญากนั อีกใหค้ าํ มน่ั สัญญาวา่ ที่ดินและโรงเรือนรายน้ีจะไม่ขายคนอ่ืนและภายใน 10 ปี นบั แต่วนั ซ้ือขาย ผูข้ ายมีเงินจะซ้ือกลบั ผูซ้ ้ือยินยอมขายกลบั ให้ ตาม
95ราคาซ้ือพร้อมท้งั ดอกเบ้ียตามกฎหมายนบั แต่วนั เซ็นสัญญาดงั น้ี ก็ยอ่ มถือไดว้ ่าเป็ นคาํ มน่ั จะขายตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 456 วรรคสองผขู้ ายเดิมจึงมีสิทธิจะฟ้องขอให้บงั คบัตามสัญญาใหม่น้ีได้ คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2528 ทําสัญญาซ้ือขายที่ดินจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจา้ หนา้ ท่ีแลว้ โจทกจ์ าํ เลยทาํ สัญญาต่อกนั อีกฉบบั หน่ึงวา่ โจทกม์ ีสิทธิซ้ือท่ีดิน คืนไดภ้ ายใน 10 ปีดงั น้ี สัญญาที่ทาํ ต่อกนั ไม่ใช่สัญญาขายฝาก หรือนิติกรรมอาํ พรางแต่ขอ้ กาํ หนดท่ีให้ โจทก์มีสิทธิซ้ือท่ีดินคืนจาก จาํ เลยไดภ้ ายใน 10 ปี เป็ นคาํ มนั่ ในการซ้ือขายทรัพยส์ ินตาม ประมวลกฎหมายแพง่และพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองจึงมีผลผกู พนั คู่กรณีใชบ้ งั คบั กนั ได้ ข. ในกรณีทาํ สัญญาขายฝากทรัพยส์ ินท่ีตอ้ งทาํ ตามแบบ ขอ้ ตกลงดงั กล่าวก็ตอ้ งทาํ ตามแบบดว้ ย ค. มาตรา 491 ใชค้ าํ วา่ “ผูข้ ายอาจไถ่ทรัพยน์ ้นั คืนได”้ แปลวา่ ผูข้ ายฝากอาจจะไถ่หรือไม่ไถ่ก็ได้ ขอ้ ตกลงดงั กล่าวผูกมดั เฉพาะผูซ้ ้ือฝาก มิไดผ้ ูกมดั ผูข้ ายฝาก กล่าวคือ ถา้ ผขู้ ายฝากมาขอใช้สิทธิไถ่ภายในกาํ หนดเวลา ผซู้ ้ือฝากตอ้ งยอมใหไ้ ถ่ จะปฏิเสธไม่ยอมใหไ้ ถ่ไมไ่ ด้ เวน้ แต่กฎหมายจะใหส้ ิทธิที่จะปฏิเสธได้ ง. เนื่องจากสัญญาขายฝากเป็ นสัญญาที่มีข้อตกลงท่ีให้ว่า ผูข้ ายฝากสามารถที่จะไถ่ทรัพยส์ ินท่ีขายฝากคืนได้ ฉะน้นั แมก้ รรมสิทธ์ิในทรัพยส์ ินที่ขายฝากจะโอนไปยงั ผูซ้ ้ือฝาก และทาํใหผ้ ซู้ ้ือฝากสามารถใชอ้ าํ นาจความเป็ นเจา้ ของตามมาตรา 1336 เช่น จาํ หน่ายจ่ายโอน ใชส้ อย หรือได้ดอกผลเช่นเดียวกบั สัญญาซ้ือขายก็ตาม แต่โดยหลกั สุจริตแล้วผูซ้ ้ือฝากจะต้องคาํ นึงด้วยว่าทรัพย์สินดงั กล่าวน้ัน สักวนั หน่ึงในอนาคตภายในเวลาท่ีคู่สัญญาตกลงกนั หรือภายในเวลาท่ีกฎหมายกาํ หนด ผูข้ ายฝากก็อาจจะนาํ เงินมาไถ่ทรัพย์สินน้ีคืนได้ เพราะฉะน้ัน ในการใช้สอยทรัพยส์ ินของผซู้ ้ือฝากจะตอ้ งเป็นการใชส้ อยตามปกติของการใชท้ รัพยน์ ้นั หากทรัพยน์ ้นั ถูกทาํ ลายหรือเสื่อมเสียไปดว้ ยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อ จนไม่มีอะไรเหลือท่ีจะกลบั คืนแก่ผขู้ ายฝากแลว้ ผซู้ ้ือฝากจะตอ้ งรับผดิ ใชค้ ่าสินไหมทดแทนใหแ้ ก่ผขู้ ายฝาก 2.12.1.2 ข้อตกลงมใิ ห้จาหน่ายทรัพย์สิน มาตรา 493 บญั ญตั ิวา่ “ในการขายฝาก คูส่ ญั ญาจะตกลงกนั ไม่ใหผ้ ซู้ ้ือจาํ หน่ายทรัพยส์ ินซ่ึงขายฝากก็ได้ ถา้ และผู้ซ้ือจาํ หน่ายทรัพยส์ ินน้นั ฝ่ าฝืนสญั ญาไซร้ ก็ตอ้ งรับผิดต่อผขู้ ายในความเสียหายใด ๆ อนั เกิดแต่การน้นั ” โดยหลกั แลว้ ผซู้ ้ือฝากในฐานะเจา้ ของกรรมสิทธ์ิยอ่ มสามารถโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพยใ์ ห้บุคคลอื่นได้ อยา่ งไรก็ตาม มาตรา 493 ก็บญั ญตั ิให้คู่สัญญาสามารถตกลงกนั ห้ามผูซ้ ้ือฝากจาํ หน่ายทรัพยส์ ินน้นั ตอ่ ไปกไ็ ด้ ซ่ึงการจาํ หน่ายตามมาตราน้ี ไม่ไดห้ มายความเฉพาะการซ้ือขายเท่าน้นั แต่
96หมายความถึง การจดั การใดๆ เก่ียวกบั ทรัพยส์ ินท่ีซ้ือฝากน้นั โดยมีผลใหท้ รัพยส์ ินน้นั หลุดไปจากผู้ซ้ือฝาก เช่น การใหโ้ ดยเสน่หา การแลกเปล่ียน เป็นตน้ การท่ีคู่สัญญาตกลงกนั ห้ามผูซ้ ้ือฝากจาํ หน่ายทรัพยส์ ินน้นั ขอ้ ตกลงดงั กล่าวก่อใหเ้ กิดหน้ีทางฝ่ ายผซู้ ้ือฝากที่จะตอ้ งงดเวน้ การกระทาํ คือ จาํ หน่ายทรัพยส์ ินน้นั ต่อไป หากฝ่ าฝื นก็ถือเป็ นการผดิ สัญญา ซ่ึงผซู้ ้ือฝากตอ้ งชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนความเสียหายใหก้ บั ผขู้ ายฝาก นอกจากน้ี ขอ้ ตกลงหา้ มจาํ หน่ายทรัพยส์ ินน้นั ตอ่ ไปจะมีข้ึนพร้อมกบั การทาํ สัญญาขายฝากหรือมีข้ึนในภายหลงั ก็ได้ แต่ในกรณีท่ีทรัพยส์ ินน้นั ในการซ้ือขายตอ้ งทาํ ตามแบบ ขอ้ ตกลงดงั กล่าวก็ตอ้ งทาํ ตามแบบดว้ ย 2.12.1.3 การไถ่คืนทรัพย์สิน 1) บุคคลผู้มสี ิทธิไถ่ทรัพย์สิน บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 497 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “สิทธิในการไถ่ทรัพยส์ ินน้นั จะพึงใชไ้ ดแ้ ต่บุคคลเหล่าน้ี คือ (1) ผขู้ ายเดิม หรือทายาทของผขู้ ายเดิม หรือ (2) ผรู้ ับโอนสิทธิน้นั หรือ (3) บุคคลซ่ึงในสัญญายอมไวโ้ ดยเฉพาะวา่ ใหเ้ ป็นผไู้ ถ่ได”้ จากบทบญั ญตั ิมาตรา 497 ดงั กล่าวจะเห็นไดว้ า่ บุคคลที่กฎหมายกาํ หนดใหเ้ ป็ นผมู้ ีสิทธิในการไถ่ทรัพยส์ ินน้นั มีหลายคน จึงอาจกล่าวในเบ้ืองตน้ ไดว้ า่ สิทธิในการไถ่ทรัพยส์ ินที่ขายฝากมิใช่สิทธิเฉพาะตวั สามารถโอนใหแ้ ก่บุคคลอื่นหรือตกทอดเป็ นมรดกได้ โดยแต่ละบุคคลมีความหมายดงั น้ี (1) ผูข้ ายเดิม (ผูข้ ายฝาก) แต่ไม่รวมถึงคู่สมรสของผูข้ ายฝาก (คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี2018/2539) หรือทายาทของผขู้ ายเดิม ข้อสังเกต ศาลฎีกาเคยตดั สินว่า เจา้ หน้ีของผูข้ ายฝากย่อมมีสิทธิใช้สิทธิเรียกร้องของเจา้ หน้ีแทนลูกหน้ีฟ้องขอไถ่ถอนทรัพยท์ ี่ขายฝากได้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 233 คาพพิ ากษาศาลฎกี าท่ี 1065/2496 เม่ือลูกหน้ีไม่ชาํ ระหน้ีใหแ้ ก่เจา้ หน้ีตามคาํ พิพากษา และปรากฏวา่ ลูกหน้ีมีท่ีดินอยู่ 1 แปลง ขายฝากแก่เขาไวย้ งั ไม่ท่วมราคาท่ีดินแต่ลูกหน้ีไม่ยอมไถ่ถอนดงั น้ีเจา้ หน้ียอ่ มมีสิทธิใชส้ ิทธิเรียกร้องของเจา้ หน้ีแทนลูกหน้ีฟ้องขอไถ่ถอนที่ดินน้นั ได้ และในการฟ้องคดีดงั กล่าวแมเ้ จา้ หน้ีจะเป็นโจทกฟ์ ้องลูกหน้ีและผูร้ ับซ้ือฝากที่ดินไวเ้ ป็ นจาํ เลยดว้ ยกนั ก็ถือได้ว่าเป็ นการขอหมายเรียกลูกหน้ีเขา้ มาในคดีด้วยแล้ว ตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 234 หาจาํ ตอ้ งหมายเรียกลูกหน้ีมาในคดีในฐานะเป็นโจทกเ์ สมอไปไม่ (2) ผรู้ ับโอนสิทธิน้นั หมายความถึง ผรู้ ับโอนสิทธิไถ่ทรัพยส์ ินมาจากผขู้ ายฝาก
97 คาพพิ ากษาฎีกาที่ 3390-3391/2538 โจทกเ์ จา้ หน้ีเป็ นผูร้ ับโอนสิทธิไถ่ทรัพยส์ ินตามมาตรา497 (2) ฉะน้นั จาํ เลย (ลูกหน้ีของลูกหน้ี) ตอ้ งรับไถ่ถอนทรัพย์ เมื่อจาํ เลยไม่ยอมรับไถ่ และเมื่อโจทกเ์ จา้ หน้ีไดน้ าํ เงินคา่ สินไถ่ไปวาง ณ สาํ นกั งานวางทรัพยแ์ ลว้ จาํ เลยตอ้ งยอมรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทกเ์ จา้ หน้ี (3) บุคคลท่ีในสัญญายอมไวโ้ ดยเฉพาะวา่ ให้เป็ นผไู้ ถ่ได้ หมายความถึง บุคคลภายนอกซ่ึงผูข้ ายฝากและผูซ้ ้ือฝากไดต้ กลงกนั ไวใ้ นสัญญาขายฝากว่ายอมให้เป็ นผูใ้ ชส้ ิทธิไถ่ได้ ซ่ึงลกั ษณะของขอ้ ตกลงเช่นน้ี เขา้ ลกั ษณะของการทาํ สญั ญาเพอ่ื ประโยชน์ของบุคคลภายนอก ตามมาตรา 374-376 ดงั น้นั เม่ือบุคคลตามที่ระบุไวใ้ นสญั ญาขายฝาก แสดงเจตนาเขา้ ถือประโยชน์ตามสัญญาเม่ือไรบุคคลดงั กล่าวยอ่ มไดส้ ิทธิในการไถ่ทรัพยส์ ินน้นั ไป ซ่ึงคู่สัญญาขายฝากจะมาแกไ้ ขเปล่ียนแปลงสิทธิดงั กล่าวในภายหลงั อีกไม่ได้ แต่ถา้ บุคคลภายนอกดงั กล่าวยงั มิไดแ้ สดงเจตนาเขา้ ถือประโยชน์สิทธิในการไถ่ทรัพยส์ ินน้นั คู่สัญญาก็อาจจะเปล่ียนแปลงแกไ้ ขได้ เช่น เปล่ียนแปลงกลบั มาเป็ นของผขู้ ายฝาก เช่น นาย ก. ขายฝากรถยนตข์ องตนใหแ้ ก่นาย ข. ในราคา 200,000 บาท กาํ หนดสินไถ่ไว้ 220,000 บาท และกาํ หนดเวลาไถ่ไว้ 2 ปี โดยท้งั คู่ไดต้ กลงกนั วา่ สิทธิในการไถ่รถยนตด์ งั กล่าวใหเ้ ป็ นสิทธิของนาย ค. เช่นน้ี เป็ นกรณีคู่สัญญากาํ หนดใหบ้ ุคคลอ่ืนเป็ นผูม้ ีสิทธิไถ่ หากต่อมานายค. รู้เรื่องจึงบอกไปยงั นาย ข. วา่ ตนจะถือเอาประโยชน์ดงั กล่าว ดงั น้ี นาย ก.และนาย ข. ไม่มีสิทธิแกไ้ ขเปล่ียนแปลงบุคคลท่ีจะมีสิทธิไถ่ แต่หากขอ้ เท็จจริงเปล่ียนไปวา่ นาย ค. ยงั ไม่ไดเ้ ขา้ ถือเอาประโยชน์จากสญั ญาขายฝาก ดงั น้ี นาย ก. และนาย ข. ยอ่ มสามารถตกลงเปลี่ยนแปลงบุคคลที่จะมีสิทธิไถ่ทรัพยส์ ินได้ เช่นเปลี่ยนกลบั มาเป็นนาย ก. เองที่จะมีสิทธิไถ่ 2) บุคคลผ้มู หี น้าทใ่ี ห้ไถ่ทรัพย์สิน บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 498 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “สิทธิในการไถ่ทรัพยส์ ินน้นั จะพงึ ใชไ้ ดเ้ ฉพาะตอ่ บุคคลเหล่าน้ี คือ (1) ผซู้ ้ือเดิม หรือทายาทของผซู้ ้ือเดิม หรือ (2) ผู้รับโอนทรัพย์สิ น หรื อรับโอนสิ ทธิเหนือทรัพย์สิ นน้ัน แต่ในข้อน้ีถ้าเป็ นสังหาริมทรัพยจ์ ะใชส้ ิทธิไดต้ ่อเม่ือผูร้ ับโอนไดร้ ู้ในเวลาโอน วา่ ทรัพยส์ ินตกอยใู่ นบงั คบั แห่งสิทธิไถ่คืน” สําหรับผูม้ ีหน้าที่รับไถ่น้ันมาตรา 498 มิได้กําหนดเฉพาะผู้ซ้ือเดิมเท่าน้ัน แต่ยงั ได้กาํ หนดให้บุคคลอ่ืนซ่ึงเป็ นผูร้ ับโอนทรัพยส์ ินน้นั ตอ้ งมีหน้าที่ให้ไถ่ทรัพยส์ ินด้วย จึงสามารถพิจารณาในเบ้ืองตน้ วา่ หนา้ ที่ในการให้ไถ่ทรัพยส์ ินที่ขายฝากน้ีมิใช่เรื่องเฉพาะตวั แต่อาจตกติดไปกบั ตวั ทรัพยส์ ินได้ โดยแต่ละบุคคลมีความหมายดงั น้ี (1) ผซู้ ้ือเดิม หมายถึง ผซู้ ้ือทรัพยส์ ินตามสัญญาขายฝาก หรือทายาทของผซู้ ้ือเดิม
98 (2) ผรู้ ับโอนทรัพยส์ ิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพยส์ ิน ในกรณีน้ีสามารถแยกพิจารณาได้เป็น 2 กรณี คือ ก. ทรัพยท์ ่ีขายฝากเป็นสังหาริมทรัพยธ์ รรมดา การขายฝากสังหาริมทรัพยธ์ รรมดาน้ี กฎหมายมิไดบ้ งั คบั ใหท้ าํ เป็นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี ดงั น้นั การขอไถ่คืนทรัพยส์ ินจากผูร้ ับโอนทรัพยส์ ิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพยส์ ิน ในกรณีน้ีจะขอไถ่คืนไดก้ ็ต่อเม่ือ ผรู้ ับโอนดงั กล่าวไดร้ ู้ในเวลาโอนวา่ ทรัพยส์ ินน้นั ตกอยู่ในบงั คบั แห่งสิทธิไถ่คืน ซ่ึงการรู้น้ีจะตอ้ งรู้ต้งั แต่ “เวลาท่ีรับโอน” มาดว้ ย หากตอนรับโอนไม่รู้ แต่มารู้ภายหลงั จากที่รับโอนมาแลว้ ผรู้ ับโอนก็ไม่มีหนา้ ท่ีในการรับไถ่ กล่าวคือ ผขู้ ายฝากจะไปบงั คบัใหเ้ ขาตอ้ งยอมใหไ้ ถ่ไม่ได7้ 1 เช่น นาย ก. ขายฝากรถยนตข์ องตนใหแ้ ก่นาย ข. ในราคา 200,000 บาท กาํ หนดสินไถ่ไว้ 220,000 บาท และกาํ หนดเวลาไถ่ไว้ 2 ปี ผา่ นไป 1 ปี นาย ข. ขายรถยนตค์ นั ดงั กล่าวให้แก่นายค. เช่นน้ี ในระหวา่ งที่ยงั ไม่หมดระยะเวลาไถ่ นาย ก. จะมาขอใชส้ ิทธิไถ่รถยนตค์ ืนจากนาย ค. ได้หรือไม่ ข้ึนอยู่กับว่าในขณะท่ีนาย ค. รับโอนรถยนต์ดงั กล่าวมา นาย ค. รู้หรือไม่ว่ารถยนต์คนัดงั กล่าวยงั อยใู่ นบงั คบั แห่งสิทธิไถ่คืน หากนาย ค. รู้ก็ตอ้ งยอมใหน้ าย ก. ไถ่รถยนตค์ ืน แต่ถา้ ไม่รู้นาย ก. ก็ไม่มีสิทธิบงั คบั นาย ค. ใหต้ อ้ งยอมรับการไถ่ หากนาย ก. เสียหายอยา่ งไรก็ไปเรียกร้องจากนาย ข. เอง ข. ทรัพยท์ ี่ขายฝากเป็นอสังหาริมทรัพย์ ในการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายบงั คบั ให้ทาํ เป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจา้ หน้าท่ี ซ่ึงผูร้ ับโอนมีโอกาสตรวจดูการจดทะเบียนขายฝากทางทะเบียนไดอ้ ยู่แล้วดงั น้ัน ผูร้ ับโอนจึงสามารถที่จะทราบได้อยู่แล้วว่าทรัพยส์ ินดงั กล่าวตกอยู่ในบงั คบั สิทธิไถ่คืนหรือไม่ ถา้ ไม่ตรวจกฎหมายก็สันนิษฐานวา่ เขาทราบ ฉะน้นั หากอสังหาริมทรัพยต์ กอยู่ในบงั คบัแห่งสิทธิไถ่คืน ผูร้ ับโอนย่อมทราบหรือกฎหมายสันนิษฐานว่าทราบ เมื่อผูร้ ับโอนทราบและยนิ ยอมท่ีจะรับโอนไป เทา่ กบั ไดร้ ับโอนไปโดยยอมรับความผกู พนั น้นั หรือหนา้ ที่ที่จะตอ้ งใหผ้ ูข้ ายฝากไถ่คืนไปดว้ ย72 ดงั น้นั ผไู้ ถ่สามารถไถ่ทรัพยส์ ินน้นั ไดเ้ สมอ หากเป็นการไถ่โดยชอบ ข้อสังเกต สังหาริมทรัพย์พิเศษ การขายฝากก็ต้องทาํ เป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจา้ หนา้ ท่ี ดงั น้นั จึงน่าจะเป็นกรณีเช่นเดียวกบั การขายฝากอสงั หาริมทรัพย์ 3) กาหนดเวลาสาหรับการไถ่ทรัพย์สิน สามารถแยกออกไดเ้ ป็น 2 กรณี คือ 71 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถท่ี 1, น.289. 72 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถที่ 1, น.289.
99 ก. กาหนดเวลาตามสัญญา คู่สัญญาสามารถตกลงกาํ หนดเวลาในการไถ่ทรัพย์สินได้ อย่างไรก็ตาม กาํ หนดเวลาที่คู่สัญญาตกลงกนั น้ี กฎหมายไดก้ าํ หนดกรอบเวลาเอาไวอ้ ยูใ่ นมาตรา 494 ซ่ึงระยะเวลาจะข้ึนอยูก่ บัทรัพยท์ ี่ขายฝากวา่ เป็นอสังหาริมทรัพยห์ รือสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ (1) ถา้ เป็นอสังหาริมทรัพย์ คูส่ ญั ญาจะกาํ หนดเวลาไถ่เกิน 10 ปี นบั แต่เวลาซ้ือขายไมไ่ ด้ (2) ถา้ เป็นสังหาริมทรัพย์ คูส่ ญั ญาจะกาํ หนดเวลาไถ่เกิน 3 ปี นบั แตเ่ วลาซ้ือขายไมไ่ ด้ ถา้ คู่สัญญากาํ หนดเวลาไถ่เกินไปกวา่ ท่ีมาตรา 494 กาํ หนดไว้ มาตรา 495 กาํ หนดให้เวลาไถ่ลดลงมาเป็น 10 ปี หรือ 3 ปี แลว้ แตก่ รณี การขยายระยะเวลาไถ่ บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 496 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “กาํ หนดเวลาไถ่น้ัน อาจทาํ สัญญาขยายกําหนดเวลาไถ่ได้ แต่กําหนดเวลาไถ่รวมกันท้งั หมด ถา้ เกินกาํ หนดเวลาตามมาตรา 494 ใหล้ ดลงมาเป็นกาํ หนดเวลาตามมาตรา 494 การขยายกาํ หนดเวลาไถ่ตามวรรคหน่ึงอย่างนอ้ ยตอ้ งมีหลกั ฐานเป็ นหนงั สือลงลายมือช่ือผูร้ ับไถ่ ถ้าเป็ นทรัพยส์ ินซ่ึงการซ้ือขายกันจะตอ้ งทาํ เป็ นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจา้ หนา้ ที่ หา้ มมิใหย้ กการขยายเวลาข้ึนเป็ นขอ้ ต่อสู้บุคคลภายนอกผูไ้ ดส้ ิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และไดจ้ ดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแลว้ เวน้ แต่จะไดน้ าํ หนงั สือหรือหลกั ฐานเป็ นหนงั สือดงั กล่าวไปจดทะเบียนหรือจดแจง้ ตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่” จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าว หมายความวา่ (1) คู่สญั ญาขายฝากเดิมหรือบุคคลผมู้ ีสิทธิไถ่และบุคคลผมู้ ีหนา้ ที่รับไถ่สามารถตกลงขยายระยะเวลาไถ่ได้ แต่การตกลงขยายเวลาไถ่น้ีจะตอ้ งเกิดก่อนที่กาํ หนดเวลาเดิมจะล่วงพน้ ไป เพราะหากกาํ หนดเวลาเดิมหมดสิ้นลงไปแลว้ สิทธิไถ่ใดๆ ก็ยอ่ มระงบั ไปดว้ ย การตกลงภายหลงั ให้ไถ่ได้จึงมิใช่การขยายเวลาไถ่อีกตอ่ ไป (2) ระยะเวลาไถ่ที่ขยายออกไปเม่ือรวมกบั ระยะเวลาท่ีกาํ หนดไวเ้ ดิมแลว้ ตอ้ งไม่เกิน 10 ปีนบั แตเ่ วลาซ้ือขาย สาํ หรับอสงั หาริมทรัพย์ และ 3 ปี นบั แต่เวลาซ้ือขาย สาํ หรับสงั หาริมทรัพย์ (3) เม่ือมีการตกลงขยายเวลาไถ่ โดยเป็ นไปตามหลักเกณฑ์ท้ัง 2 ข้อดังกล่าวแล้วกาํ หนดเวลาท่ีขยายออกไปยอ่ มสมบูรณ์ตามมาตรา 496 วรรคหน่ึง แต่จะสามารถบงั คบั ไดม้ ากนอ้ ยเพยี งไร ตอ้ งพิจารณาวา่ (3.1) ในกรณีบงั คบั ระหวา่ งคูก่ รณี การขยายกาํ หนดเวลาไถ่ตอ้ งมีหลกั ฐานเป็ นหนังสือลงลายมือชื่อผูร้ ับไถ่ จึงจะสามารถฟ้องร้องบงั คบั ได้ อยา่ งไรก็ตาม ถา้ ตกลงขยายเวลาแลว้ แมไ้ ม่มีหลกั ฐานเป็ นหนงั สือลงลายมือชื่อผรู้ ับไถ่ แต่ผูร้ ับไถ่ยินยอมให้ไถ่ตามเวลาท่ีขยายออกไปก็ยอ่ มทาํ ไดโ้ ดยสมบูรณ์ เพราะบทบญั ญตั ิดงั กล่าวเป็นเพยี งหลกั ฐานในการฟ้องร้องเทา่ น้นั มิใช่ความสมบูรณ์ของสัญญาแตอ่ ยา่ งใด
100 (3.2) ในกรณีบงั คบั กบั บุคคลภายนอก บุคคลอ่ืนนอกเหนือจากบุคคลท่ีไดต้ กลงกนั ขยายระยะเวลาไถ่ มาตรา 496 วรรคสองกาํ หนดว่า หากทรัพยส์ ินอนั เป็ นวตั ถุแห่งสัญญาน้ันเป็ นทรัพย์สินซ่ึงการซ้ือขายจะต้องทาํ เป็ นหนงั สือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจา้ หน้าที่ ซ่ึงก็คือ อสังหาริมทรัพยแ์ ละสังหาริมทรัพยพ์ ิเศษนนั่ เอง การขยายเวลาไถ่จะตอ้ งนาํ หนงั สือน้นั ไปจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ดว้ ย มิฉะน้นั จะยกการขยายเวลาไถ่ข้ึนต่อสู้กบั บุคคลภายนอกท่ีไดส้ ิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และไดจ้ ดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแลว้ มิได7้ 3 เช่น นายแดงตกลงขายฝากบา้ นและท่ีดินใหแ้ ก่นายดาํ โดยมีกาํ หนดเวลาไถ่ 5 ปี หากต่อมาจะครบกาํ หนดเวลาไถ่ นายแดงยงั ไม่สามารถรวบรวมเงินเพ่ือมาไถ่คืนได้ จึงไปตกลงกบั นายดาํ ขอขยายเวลาไถ่ออกไปอีก 1 ปี นายดาํ ตกลงดว้ ย และไดท้ าํ หนงั สือขยายเวลาไถ่พร้อมลงลายมือช่ือของตนให้แก่นายแดงไป เช่นน้ี หากต่อมานายแดงมาขอไถ่บา้ นและที่ดินของตนคืน โดยยงั ไม่เกินกาํ หนดเวลาท่ีขยายออกไป แลว้ นายดาํ ไม่ยอมให้ไถ่ นายแดงสามารถฟ้องร้องบงั คบั ให้นายดาํ รับการไถ่ได้ เพราะการขยายเวลาไถ่มีหลกั ฐานเป็นหนงั สือลงลายมือช่ือนายดาํ ผรู้ ับไถ่ แต่ถา้ ขอ้ เทจ็ จริงเปล่ียนไปวา่ ก่อนที่นายแดงจะมาขอไถ่บา้ นและที่ดินของตนคืน นายดาํ ได้ขายบา้ นและท่ีดินดงั กล่าวใหแ้ ก่นายขาว ซ่ึงนายขาวไดร้ ับซ้ือไวโ้ ดยสุจริตและไดจ้ ดทะเบียนเปลี่ยนมาเป็ นช่ือของตนแลว้ เช่นน้ี หากต่อมานายแดงมาขอไถ่บา้ นและท่ีดินของตนคืน แมย้ งั ไม่เกินกาํ หนดเวลาที่ขยายออกไป นายแดงก็ไม่มีสิทธิไปบงั คบั ใหน้ ายขาวผูร้ ับโอนสิทธิมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และไดจ้ ดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแลว้ รับการไถ่ได้ เพราะการตกลงขยายเวลาการไถ่ของนายแดงกบั นายดาํ ดงั กล่าว ไม่ไดน้ าํ ไปจดทะเบียนต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี จึงไม่อาจยกเป็ นขอ้ตอ่ สู้นายขาวได้ ตามมาตรา 496 วรรคสอง ข. กาหนดเวลาตามกฎหมาย หากคู่สัญญามิได้ตกลงกาํ หนดเวลาไถ่ทรัพย์สินไวใ้ นสัญญาขายฝาก กาํ หนดเวลาไถ่ทรัพยส์ ินดงั กล่าวยอ่ มเป็นไปตามท่ีมาตรา 494 กาํ หนด กล่าวคือ (1) 10 ปี นบั แตเ่ วลาซ้ือขาย กรณีอสงั หาริมทรัพย์ และ (2) 3 ปี นบั แต่เวลาซ้ือขาย กรณีสงั หาริมทรัพย์ 4) การใช้สิทธิไถ่ การใช้สิทธิไถ่ ที่จะถือเป็ นการใช้สิทธิไถ่โดยชอบ และก่อให้เกิดผลเป็ นการไถ่น้นั ตอ้ งประกอบดว้ ยหลกั เกณฑ์ ดงั น้ี ก. ตอ้ งเป็นการแสดงเจตนาใชส้ ิทธิไถ่โดยบุคคลผูม้ ีสิทธิไถ่ และไดแ้ สดงเจตนาต่อบุคคลผู้มีหนา้ ท่ีรับไถ่ 73 อา้ งแลว้ , เชิงอรรถที่ 1, น.299-301.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215