Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย

เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย

Published by dlit_sm037, 2020-08-04 07:46:15

Description: เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย

Search

Read the Text Version

146 2.1.1 การสร฾างวินัยเชิงบวกเป็นเคร่ืองมือในการส฽งเสริมพัฒนาการและพฤติกรรมที่ได฾ผล ระยะยาว โดยธรรมชาติ มนุษยแเกิดมาพร฾อมกับความสามารถท่ีมีขีดจํากัดตามพัฒนาการทั้งทางร฽างกาย จิตใจ อารมณแ สังคม และสติปใญญา ดังจะเห็นได฾จากพฤติกรรมของเด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลก จะไม฽ สามารถช฽วยเหลือตนเองได฾ มีเพียง พฤติกรรมพ้ืนฐาน เพ่ือการมีชีวิตรอด และรอการพัฒนาในลําดับขั้น ต฽อไปเท฽านั้น เช฽น การร฾องไห฾เพื่อสื่อสารถึงความต฾องการทางร฽างกาย และจิตใจ การใช฾มือกําสิ่งของที่ แตะอ฾ุงมือโดยอัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัย หรือการมองเห็น ในระยะประมาณ 1 ฟุต ซึ่งเป็นระยะการ มองเห็นระหว฽างแม฽และเด็กทารกตอนให฾นมลูก เพื่อสร฾างสายสัมพันธแ ซ่ึง พฤติกรรมพ้ืนฐานเหล฽านี้ จะ พัฒนาขึ้นได฾จากปใจจัยภายใน ได฾แก฽ การเจริญเติบโตของร฽างกาย จิตใจ และการเรียนร฾ู จาก ประสบการณทแ เ่ี ด็กได฾รับของตัวเด็กเอง นอกจากปใจจัยภายในแล฾ว กระบวนการพัฒนาของเด็กยังข้ึนอย฽ู กับปใจจัย ภายนอก คือ การสอนจากสังคมอีกด฾วย ซึ่งท้ังปใจจัยภายในและปใจจัยภายนอกน้ี มี ความสัมพนั ธกแ นั อย฽างละเอียดอ฽อน และมีผลต฽อกระบวนการพัฒนาของเด็กควบคู฽กันไป ไม฽สามารถแยก ออกจากกันได฾ พฤติกรรมของเด็กจะพัฒนาขึ้น ได฾ส฽วนหน่ึงมาจากการเจริญเติบโตของร฽างกาย แต฽ พฤตกิ รรมทีถ่ กู ท่ีควรตามทสี่ ังคมคาดหวังน้ัน มาจากการสอนจาก คน และสิ่งแวดล฾อมในสังคม ดังน้ัน ผ฾ู เล้ียงดูเด็กปฐมวัยสามารถใช฾การสร฾างวินัยเชิงบวกเป็นรูปแบบการเล้ียงดูเด็กที่ เน฾นการสอน และการ ฝึกฝนท่ีสอดคล฾องกับพัฒนาการ และศักยภาพของเด็กแต฽ละคน และคํานึงถึงการตอบสนอง ความ ต฾องการพ้ืนฐานทางจิตใจของเด็กเป็นหลัก เพ่ือปลูกฝใงพฤติกรรมและจิตสํานึกท่ีดีงาม ตามที่สังคม คาดหวงั จนกลายเป็นวินยั ประจาํ ตน และวถิ ใี นการดาํ เนนิ ชวี ติ ตอ฽ ไปในอนาคต 2.1.2 การสร฾างวินัยเชิงบวกช฽วยให฾ผู฾เล้ียงดูใช฾เป็นต฾นแบบพฤติกรรมท่ีดีให฾แก฽เด็กปฐมวัย ธรรมชาตกิ าร เรยี นรข฾ู องเด็กปฐมวัยตง้ั แต฽แรกคลอด คอื การเรยี นร฾ูจากการสังเกต ซมึ ซบั และเลยี นแบบ พฤติกรรมจากส่ิงแวดล฾อม รอบตัว ดังจะเห็นได฾จากบุคลิกภาพของเด็ก ไม฽ว฽าจะเป็นลักษณะท฽าทาง คําพูด การใช฾นํ้าเสียงในการพูด หรือแม฾แต฽ วิธีการแก฾ไขปใญหาในชีวิตประจําวัน จะคล฾ายคลึงกับพ฽อแม฽ และผ฾ูที่เล้ียงดูใกล฾ชิด ผู฾เลี้ยงดูเด็กปฐมวัยในครอบครัว จําเป็นต฾องตระหนักถึงธรรมชาติการเรียนร฾ูของ เด็กปฐมวัยน้ี และตระหนักถึงพฤติกรรมของตนเองเม่ืออยู฽กับเด็ก ปฐมวัยอยู฽ตลอดเวลา เนื่องจากการ สังเกต ซึมซับ และเลียนแบบพฤติกรรมน้ัน เป็นกระบวนการเรียนร฾ูตามธรรมชาติ ของเด็กที่ยังไม฽ถูก กลัน่ กรองวา฽ พฤติกรรมใดควรทํา หรอื ไมค฽ วรทํา เหมาะสม หรือไม฽เหมาะสม กล฽าวคือ เด็กจะเลียน แบบ พฤติกรรมใดของผู฾เล้ียงดูก็ได฾ แม฾ว฽าพฤติกรรมน้ันจะเป็นพฤติกรรมท่ีผ฾ูเล้ียงดูต฾องการให฾เด็กเลียนแบบ หรือ ไม฽ก็ตาม ดังนั้น การสร฾างวินัยเชิงบวกจึงมีความสําคัญในการช฽วยให฾ครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยได฾นํา วิธีการสร฾างวินัย เชิงบวกมาใช฾เป็นแบบแผนในการดําเนินชีวิตประจําวัน เพ่ือเป็นแบบอย฽างที่ดีให฾เด็กได฾ เรยี นรจ฾ู ากการสงั เกต ซมึ ซับ และเลียนแบบพฤติกรรมทเ่ี หมาะสม 21.3 การสร฾างวินัยเชิงบวกเป็นเคร่ืองมือสื่อสารท่ีมีประสิทธิภาพ การสร฾างวินัยเชิงบวก นอกจากจะ เป็นวิธีการสอน และฝึกฝนเด็กให฾มีพัฒนาการและพฤติกรรมท่ีสอดคล฾องกับธรรมชาติการ เรียนรู฾ของเด็กแล฾ว การ - สร฾างวินัยเชิงบวกยังเน฾นถึงการสื่อสารท่ีตอบสนองความต฾องการพ้ืนฐานทาง

147 จติ ใจของเด็กอีกด฾วย ตามทฤษฎีลําดับ ข้ันความต฾องการของอับบราฮัม มาสโลวแ (Abraham Maslow's hierarchy of needs) อธิบายว฽า ความต฾องการพ้ืนฐานของมนุษยแเป็นแรงจูงใจในการท่ีจะตัดสินใจทํา พฤติกรรมใด พฤติกรรมหน่ึง ซึ่งความต฾องการพื้นฐานนี้จะต฾อง ได฾รับการตอบสนองอย฽างเต็มท่ีก฽อน มนุษยถแ ึงจะมีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองต฽อไป ความตอ฾ งการพ้ืนฐานข้ันแรก คือ ความต฾องการพ้ืนฐาน ทางด฾านรา฽ งกาย เช฽น การกนิ อ่ิม นอนหลับ ความสบายตัวไม฽เจ็บปุวย ท่ีมีผลต฽อการเรียน และพฤติกรรม ของมนุษยแและความต฾องการพ้ืนฐานข้ันต฽อ ๆ ไป จะเป็นความต฾องการพื้นฐานทางจิตใจของมนุษยแ อัน ได฾แก฽ ความปลอดภัย ความรัก ความร฾ูสึกมีคุณค฽าเป็นส฽วนหนึ่งของสังคม ซึ่งเป็นองคแประกอบสําคัญใน การเรียน และการพัฒนาตนเอง มีผลต฽อแรงจูงใจในการตัดสินใจเลือกที่จะทําพฤติกรรมของเด็กอีกด฾วย ผู฾เล้ียงดูเด็กปฐมวัยจึง จําเป็นต฾องตระหนักถึงความต฾องการพื้นฐานทางจิตใจของเด็ก และรู฾วิธีการ ตอบสนองความตอ฾ งการพน้ื ฐานทางจติ ใจ ของเด็ก เพ่ือส฽งเสริมให฾เด็กมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองต฽อไป ดังน้ัน การสร฾างวนิ ยั เชงิ บวกในครอบครวั ทม่ี ีเดก็ ปฐมวัย จึงมีความสาํ คญั มาก เน่อื งจากเป็นเครื่องมือการ เลี้ยงดูเด็กที่เน฾นวิธีการการส่ือสารกับเด็กท้ังการส่ือสารทางกาย และ ทางวาจาอย฽างมีประสิทธิภาพ สามารถช฽วยให฾ผ฾ูเล้ียงดูเด็กสามารถตอบสนองความต฾องการพ้ืนฐานทางจิตใจของเด็กได฾ ส฽งผลให฾เด็กมี แรงจูงใจที่จะเรียนรู฾พัฒนาตน และให฾ความร฽วมมือกับผู฾เลี้ยงดู ในทางตรงกันข฾าม การสร฾างวินัยเชิงลบ ทั้ง 3 ลักษณะ ได฾แก฽ การควบคุมด฾วยคําพูด การทําร฾ายจิตใจ และการลงโทษทางกาย เป็นการกระต฾ุน อารมณแด฾านลบ ของเด็ก ทําให฾เด็กรู฾สึกไม฽ปลอดภัย ไม฽เป็นที่รัก และไม฽เป็นส฽วนหน่ึงของสังคม จึงส฽งผล ให฾เด็กมีพฤติกรรมต฽อต฾าน เรียกร฾องความสนใจด฾วยพฤติกรรมที่ไม฽เหมาะสม หากความต฾องการพ้ืนฐาน ทางจติ ใจของเด็กนีย้ งั ไม฽ถกู เติมเตม็ เป็น เวลานาน เดก็ กม็ ีแนวโน฾มทจ่ี ะเตบิ โตขนึ้ พร฾อมกับบคุ ลกิ ภาพแบบ ก฾าวรา฾ ว หรือ เก็บกดได฾ 2.1.4 การสร฾างวินัยเชิงบวกเป็นเครื่องมือปกปูองและรักษาสิทธิข้ันพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ตาม อนุสัญญาว฽าด฾วยสิทธิเด็ก เด็กจะต฾องได฾รับสิทธิจากรัฐและครอบครัว 4 ประการ อันได฾แก฽ สิทธิใน การอยู฽รอด สิทธิที่จะ ได฾รับการปกปูองคุ฾มครองสิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส฽วนร฽วม ดังน้ัน บทบาทหนา฾ ทีข่ องผเ฾ู ลีย้ งดูเด็กปฐมวยั จงึ ไมใ฽ ช฽แค฽การเล้ียงดูเด็กเท฽าน้ัน แต฽ต฾องเป็นการเลี้ยงดูเด็กอย฽างดี ตามสิทธิที่เด็กจึงมีและพึงได฾ และผ฾ูเล้ียงดูจําเป็น ต฾องพึงระวังการละเมิดสิทธิขั้นพ้ืนฐานของเด็กปฐมวัย อีกด฾วย ดังน้ัน การสร฾างวินัยเชิงบวกจึงมีความสําคัญอย฽างมาก ในการช฽วยให฾ผ฾ูดูแลเด็กใช฾เป็นเครื่องมือ ในการเล้ียงเด็กอย฽างปกปูองและรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก เนื่องจากการ สร฾างวินัยเชิงบวกเป็น วิธีการเลย้ี งดูเด็กปฐมวัยที่เน฾นตัวเด็กเป็นศูนยแกลาง ได฾แก฽ เป็นวิธีการปลูกฝใงพฤติกรรมและ จิตสํานึก ที่ สอดคล฾องกับพัฒนาการด฾านต฽าง ๆ ของเด็กอย฽างเป็นองคแรวม ได฾แก฽ พัฒนาการด฾านร฽างกาย อารมณแ- จติ ใจสงั คม สติปใญญา จริยธรรม และคุณธรรม นอกจากนี้ ยังเน฾นท่ีการตอบสนองความต฾องการพ้ืนฐาน ทงั้ ทางดา฾ นรา฽ งกาย และจิตใจของเดก็ และทีส่ ําคญั การสรา฾ งวินยั เชงิ บวกเปน็ วธิ ีการเล้ียงเด็กท่ีหลีกเลี่ยง การใชค฾ วามรุนแรงทง้ั ทางวาจา การทาํ ร฾ายจติ ใจ และการทาํ ร฾ายร฽างกาย เนื่องจากการสร฾างวินัยเชิงบวก มาจากแนวความเชือ่ ที่ว฽า เดก็ จะเรียนร฾ไู ด฾ดี บนพืน้ ฐานของสมั พนั ธภาพท่ดี ีในครอบครวั ที่ดี

148 กล฽าวโดยสรปุ เนือ่ งจากการสร฾างวนิ ัยเชงิ บวก เป็นรูปแบบการเลีย้ งดเู ดก็ ที่เน฾นการสอน และการ ฝึกฝนท่ี สอดคล฾องกบั พฒั นาการและการเรียนรข฾ู องเดก็ ปฐมวยั การสรา฾ งวินัยเชิงบวกจึงเป็นเคร่ืองมือใน การส฽งเสริมพัฒนาการ และพฤติกรรมของเด็กได฾อย฽างเหมาะสมกับอายุและอย฽างเต็มศักยภาพของเด็ก แตล฽ ะคนจึงทําให฾พฤตกิ รรมเปูาหมาย ไดผ฾ ลระยะยาว การสรา฾ งวินัยเชิงบวกยงั เปน็ รูปแบบการเล้ียงดูเด็ก ท่เี นน฾ ถึงการตอบสนองความต฾องการพนื้ ฐานของเด็กเป็นหลัก จึงสามารถกระต฾ุนให฾เด็กมีแรงจูงใจในการ พัฒนาตน และตัดสินใจมีพฤติกรรมตามที่ผู฾เล้ียงดูคาดหวัง และสุดท฾ายคือการสร฾างวินัยเชิงบวก เป็น วิธกี ารเลยี้ งดูเด็กท่ีหลกี เลี่ยงการใช฾ความรุนแรงจึงช฽วยให฾ผ฾ูเลี้ยงดูสามารถ นําการสร฾างวินัยเชิงบวกไปใช฾ เพอ่ื สร฾างสัมพนั ธภาพท่ดี ี ปกปูอง และรักษาสิทธขิ ั้นพนื้ ฐานของเด็ก แต฽ในทางตรงกันข฾าม การสร฾างวินัย เชิงลบ เป็นรูปแบบการเลี้ยงดูท่ีเน฾นการตอบสนองต฽อพฤติกรรมท่ีไม฽คาดหวังจากเด็กด฾วยการควบคุม และการลงโทษ การสรา฾ งวินัยเชิงลบจึงไม฽สามารถตอบสนองความต฾องการพื้นฐานของเด็ก และเป็นการ ละเมิดสิทธิขั้นพ้ืนฐานของเด็กอีกด฾วย ซ่ึงส฽งผลกระต฾นให฾เด็กมีความเสียหาด และอยากได฾แสดงออกมา เป็นพฤติกรรมต฽อต฾าน และเรียกร฾องท่ีไม฽เหมาะสมในรูปแบบต฽าง ๆ ซึ่งส฽งผลกระทบต฽อการยับยั้ง พฒั นาการของเด็ก 2.2 ความสาคญั ของการสรา้ งวินัยเชงิ บวกตอ่ เดก็ ปฐมวัย สรุปไดด฾ ังนี้ 2.2.1 การสร฾างวินัยเชิงบวกช฽วยส฽งเสริมพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กปฐมวัย รูปแบบการ เลีย้ งดู - ปลกู ฝงใ เด็กต้ังแตแ฽ รกเกิดของครอบครัว มีความสําคัญต฽อคุณภาพชีวิตของเด็กน฾อยอย฽างย่ิงยวด เพราะนอกจาก รูปแบบการเล้ียงดูจะมีอิทธิพลต฽อการส฽งเสริมพัฒนาการเด็ก ในด฾านต฽าง ๆ ได฾อย฽างเต็ม ศักยภาพแล฾ว ยังมีผลต฽อการยับย้ังพัฒนาการ และความสามารถของเด็กได฾อีกด฾วย (Grogan. 2004; Chang, Olson, same 2011, Bailey & Baines, 2012, Ahmad, Said, & Khan, 2013) ดังนั้น การ สร฾างวินัยเชงิ บวก จึงมคี วามสาํ คัญ ต฽อตัวเดก็ เน่ืองจากการสร฾างวินัยเชิงบวก จะกลายเป็นประสบการณแ ส่ังสมท่ีเด็กใช฾เรียนรู฾ในการปรับตัวและแสดงออก มาเป็นพฤติกรรม การใช฾วินัยเชิงบวกจะช฽วยสอนและ ฝึกฝนเด็กให฾สามารถตอบสนองต฽อส่ิงเร฾า หรือสงแวดล฾อม ท้ังภายในตัวเด็กและภายนอกตัวเด็กได฾อย฽าง เหมาะสมตามลําดับขั้นพัฒนาการ และศักยภาพของเด็กตัวอย฽างเช฽น ดอก สามารถตอบสนองต฽อสิ่งเร฾า ภายในตัวเด็กเองออกมาเป็นพฤติกรรมตามท่ีผู฾เลี้ยงดูคาดหวัง เมื่อเกิดความร฾ูสึกไม฽สบาย ต฽อการ เปล่ยี นแปลงทางร฽างกายและจิตใจ จะสังเกตได฾จากเมื่อฟในของเด็กจะข้ึน เด็กจะร฾ูสึกเจ็บ หงุดหงิด และ ร฾สู ึก ไมป฽ ลอดภัย จึงตอบสนองดว฾ ยการรอ฾ งไห฾ แต฽เมือ่ ผูเ฾ ลี้ยงดเู ข฾ามาปลอบ เด็กก็สามารถควบคุมอารมณแ และความรสู฾ ึกของ ตวั เองได฾ เนื่องจากเด็กได฾เรียนรู฾และฝึกฝนกับผ฾ูเลี้ยงดู รวมทั้งมีความไว฾วางใจในตัวผู฾ เลี้ยงดูด฾วยว฽าจะสามารถทําให฾ เขาผ฽านความร฾ูสึกไม฽สบายนี้ไปได฾ (Murray & Kochainska, 2002, Masterson, 2008, Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b; Kersey & Masterson, 2013) ประสบการณแที่เด็กน฾อยส่ังสม จะค฽อย ๆ ถูกหล฽อหลอมเป็น ทัศนคติของเด็กท่ีมีต฽อสิ่งแวดล฾อมทั้งทาง กายภาพ และบคุ คลรอบตวั รวมถงึ ทศั นคติท่ีมีต฽อการมองโลกใบนีด้ ฾วย

149 2.2.2 การสร฾างวินัยเชิงบวกชว฽ ยให฾เดก็ เรยี นรู฾พฤติกรรมที่เหมาะสมอย฽างเป็นธรรมชาติ เด็ก ปฐมวยั มี ความสามารถในการเรยี นร฾ูไดเ฾ ร็วจากการสังเกต ซึมซับ และเลียนแบบพฤติกรรมจากผู฾คนรอบ ข฾าง ดังน้ันการสร฾างวินัย เชิงบวกจึงมีความสําคัญต฽อพัฒนาการของเด็กมาก เนื่องจากเด็กได฾เรียนรู฾ พฤติกรรมท่ีเหมาะสมอย฽างเป็นธรรมชาติ เด็กจึงได฾เห็น ซึมซับ และเลียนแบบพฤติกรรมท่ีเหมาะสม ส฽งผลให฾เด็กไม฽รู฾สึกว฽าตนเองกําลังถูกสอน หรือถูกควบคุม ซึ่งเป็นการปูองกันการต฽อต฾าน ไม฽ให฾ความ รว฽ มมอื ของเด็ก 2.2.3 การสรา฾ งวนิ ยั เชิงบวกช฽วยใหเ฾ ด็กมีพัฒนาการในส่ิงแวดล฾อมทเ่ี หมาะสม เด็กปฐมวัยจะ เรียนร฾ูได฾ อย฽างมีประสิทธิภาพ และเต็มศักยภาพสูงสุดในสิ่งแวดล฾อมท่ีเอ้ืออํานวยต฽อการเรียนรู฾ ส่ิงแวดล฾อมที่กระตุ฾นพัฒนาการ ของเด็กปฐมวัย คือ ส่ิงแวดล฾อมท่ีสามารถตอบสนองความต฾องการ พ้ืนฐานทางกายภาพ และทางจิตใจของเด็กนอ฾ ยได฾ เชน฽ ความปลอดภัย ความรกั ความไวใ฾ จ ความร฾สู ึกวา฽ มีคุณค฽าและเป็นท่ีต฾องการการสร฾างวินัยเชิงบวกจึงมีความสําคัญ ต฽อเด็กปฐมวัยมาก เพราะเป็นปใจจัย สําคัญท่ีมีผลต฽อคุณภาพความสัมพันธแระหว฽างเด็กและผ฾ูเล้ียงดู (Howes. Leslie & Peisner-Feinberg, 2000; Nathason, Rimm-Kaufman, & Brock, 2009; Paulo, Susan, &Susan 2010 Vittrup & Holden, 2010, Berry, 2012) ซึ่งคุณภาพความสัมพันธแน้ี จะเป็นตัวกระตุ฾นให฾เด็กแสดงเป็นพฤติกรรม หลอมรวมเป็นนิสัยส฽วนตัว บุคลิกภาพของเด็กท่ีดี หรือไม฽ดีต฽อไปในอนาคตได฾ เช฽น เด็กท่ีถูกเล้ียงดูใน ครอบครัวท่ี อบอุ฽น ให฾ความรักเด็กเพียงพอ และมีความยืดหย฽ุนในการสอนและกําหนดขอบเขต จะมี ความสัมพนั ธทแ ี่ดีกบั สมาชกิ ในครอบครวั สง฽ ผลให฾เด็กสามารถไว฾ใจคน และใหค฾ วามรว฽ มมือกับผู฾อื่นได฾ง฽าย ในทางตรงกันข฾าม เด็กที่ถูกเลี้ยงอย฽ู ในครอบครัวท่ีใช฾ความรุนแรงบ฽อยคร้ังจนเด็กไม฽สามารถพัฒนา ความสัมพันธแที่ดีกับผ฾ูเล้ียงดูได฾ จะส฽งผลให฾เด็กมอง โลกในแง฽ร฾าย ข้ีระแวง และไว฾ใจคนอ่ืนยาก ทําให฾มี นสิ ยั ชอบใช฾ความรนุ แรงในการแก฾ไขปใญหา หรือมนี สิ ัยหวาดระแวง ขก้ี ลัว ไม฽ส฾คู น เป็นตน฾ (Wincler De- Leon. Carlton, et al., 1997; Feldman & Klein, 2003; TrentaCosta &Shaw, 2009) 2.2.4 การสร฾างวินยั เชิงบวกช฽วยให฾เด็กได฾รับสิทธิข้ันพื้นฐานของเด็ก ดังที่ได฾กล฽าวมาแล฾วว฽า เด็กทุกคน ลืมตาดูโลกพร฾อมความสามารถท่ีจํากัด แต฽เด็กจะเติบโตเป็นทรัพยากรมนุษยแท่ีสําคัญของ ประเทศชาติและสังคมโลก ดงั นน้ั เดก็ ทุกคนจึงเกดิ มาพร฾อมสิทธิ แต฽เน่ืองจากเด็กปฐมวัยยังไม฽เข฾าใจสิทธิ ของตนเองรวมทั้งไม฽สามารถปกปูอง สิทธิขั้นพื้นฐานของตนเองได฾ การสร฾างวินัยเชิงบวก จึงมี ความสําคัญต฽อเด็กมากเหงของ ถูกละเมิดสิทธิ และได฾รับการปกปูองค฾ุมครองสิทธิข้ันพื้นฐานของเด็กใน ทกุ ดา฾ น จะเห็นได฾ว฽า ธรรมชาติของเด็กปฐมวัยจะเรียนรู฾ และมีพัฒนาการต฽อเน่ืองอย฽างมีประสิทธิภาพ และยงั ยืนไดต฾ อ฾ งอาศยั พนื้ ฐานความสมั พันธแที่ดี และบรรยากาศท่ีเอ้ือต฽อการเรียนรู฾ ดังน้ัน การสร฾างวินัย เชงิ บวก ตอ฽ ตวั เดก็ ปฐมวัยมากในเร่ืองของการส฽งเสรมิ พฒั นาการอยา฽ งมคี ุณภาพ และการปกปูองคุ฾มครอง สิทธขิ ้นั พ้นื ฐาน ใน ขณะที่เด็กปฐมวัยมีความสามารถจํากัด ไม฽สามารถปกปูองและรักษาสิทธิของตนเอง ได฾

150 2.เป้าหมายของการสร้างวินัยเชงิ บวกในครอบครวั ที่มีเดก็ ปฐมวยั การสร฾างวินัยเชิงบวกในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัย ซึ่งในที่น้ีจะขอกล฽าวถึงการสร฾างวินัยเชิงบวก ดว฾ ยเทคนคิ 101 (101s Positive Discipline) โดยมีเปาู หมายหลัก 3 ประการ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาศกั ยภาพสงู สุดของเดก็ ปฐมวยั และพฤตกิ รรมท่พี งึ ประสงค์การสร฾างวินัยเชิงบวก ดว฾ ยเทคนิค 101 (101s Positive Discipline) เปน็ วิธกี ารเลย้ี งดูเดก็ ปฐมวยั ดว฾ ยความเขา฾ ใจในพัฒนาการ ของเด็ก โดยเน฾นที่การ ส่ือสาร และการจัดประสบการณแที่สอดคล฾องกับพัฒนาการโครงสร฾างหน฾าที่ของ สมอง 3 ส฽วน ได฾แก฽ โครงสร฾างพ้ืนฐาน จากสมองส฽วนสัญชาตญาณ หรือ เรปทิเลียนเบรน (Reptilian brain) สมองสว฽ นอารมณแหรือโอลดแแมมมาเลยี นเบรน (Old mammalian brain) และสมองส฽วนเหตุผล หรือส฽วนนิวแมมมาเลียนเบรน (New mammalian brain) เพ่ือ กระต฾ุนพัฒนาการสมองด฾าน กระบวนการคดิ และปลูกฝใงพฤติกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการ พฤติกรรม และความ ต฾องการของเด็ก เลก็ มผี ลมาจากการทาํ งานของโครงสรา฾ งสมอง 3 สว฽ น ดงั ที่จะอธบิ ายต฽อไปนี้ 1.1 สมองส฽วนสัญชาตญาณ หรือเรปที่เลียนเบรน (Reptilian brain) เป็นสมองสัตวแชนตา หรือสมอง สัตวแเลื้อยคลาน ซึ่งเป็นการทํางานของระบบประสาทในเด็กเล็กทําหน฾าท่ีพ้ืนฐานง฽าย ๆ เพื่อ การมีชีวิตรอดเมือแรก คลอด และสามารถพัฒนาตนเองได฾ต฽อไปเม่ือเติบโตข้ึน เช฽น การเต฾นของหัวใจ การหายใจ และทําหน฾าท่ีเกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และส่ังให฾กล฾ามเนื้อมีการเคล่ือนไหว นอกจากนี้สมอง ส฽วนน้ียังมีหน฾าท่ีเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติ ด฾วย การรับและเก็บข฾อมูลที่ได฾จากการเรียนรู฾ของสมองส฽วน อารมณแ เนอ่ื งจากสมองสว฽ นน้จี ะมีพัฒนาการเตม็ ทต่ี ้งั แตแ฽ รก คลอด พฤติกรรมของเด็กส฽วนใหญ฽จึงแสดง ออกมาเป็นปฏิกิริยาง฽าย ๆ ปราศจากอารมณแ และปราศจากเหตุผล หรือ ท่ีเรียกว฽าเป็นการกระทําที่มา จากสญั ชาตญาณ และการกระทําเพ่อื การมีชีวติ อยร฽ู อด เช฽น รอ฾ งไหเ฾ ม่ือตอ฾ งการอาหาร เปน็ ต฾น 1.2 สมองส฽วนอารมณแ หรือโอลดแแมมมาเลียนเบรน (Old mammalian brain) เป็นสมอง สัตวแเล้ียงลูก ด฾วยนมยุคแรก ซึ่งเป็นการทํางานของระบบประสาทที่ซับซ฾อนมากขึ้น ทําหน฾าที่เก่ียวกับ อารมณแและความรู฾สึก ข้ันพ้นื ฐาน เช฽น ดี ไม฽ดี ชอบ ไมช฽ อบ รกั เกลียด โกรธ สขุ เศร฾า สนุกสนาน อบอุ฽น และยังทําหน฾าท่ีเก่ียวกับความจํา การเรียนรู฾ และพฤติกรรมของมนุษยแด฾วย เพื่อช฽วยให฾มนุษยแสามารถ ปรับตัว และปรับพฤติกรรมเข฾ากับสิ่งแวดล฾อม ได฾ นอกจากนี้ สมองส฽วนนี้ยังทําหน฾าที่เก่ียวข฾องกับ ความสัมพันธแของคน ไม฽ว฽าจะเป็นความสัมพันธแระหว฽างแม฽กับลูก ผ฾ูหญิงกับผ฾ูชาย คนในครอบครัว เด็ก กับผู฾ใหญ฽ เด็กกับคนในสังคม เนื่องจากสมองส฽วนน้ีจะมีพัฒนาการเต็มที่ตั้งแต฽ แรกคลอดเช฽นเดียวกับ สมองส฽วนสัญชาตญาณ พฤติกรรมของเด็กปฐมวัยส฽วนใหญ฽ จึงมาจากการใช฾อารมณแ และความ ร฾ูสึก แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมตามสญั ชาตญาณ เช฽น หากเดก็ ไดร฾ บั ประสบการณทแ ี่ไมด฽ ีจากผเู฾ ลีย้ งสมองส฽วน นี้จะ แปลความรู฾สึกออกมาเป็นความเครียด ไม฽มีความสุข และจดจําผ฾ูเลี้ยงดูไว฾ด฾วยความร฾ูสึกท่ีไม฽ดี เม่ือ เจอผู฾เลีย้ งดู เดก็ อาจจะรอ฾ งไห฾หวาดกลัว หรือเกรยี้ วกราด ไมใ฽ หค฾ วามร฽วมมือ และเม่ือเจอคนท่ีมีลักษณะ หรือพฤติกรรมท่ีสอดคล฾อง กับความทรงจําท่ีไม฽ดีเก่ียวกับผ฾ูเล้ียงดู สมองส฽วนอารมณแนี้ก็จะทํางาน แปล ผลให฾เดก็ รส฾ู กึ ไมช฽ อบ และแสดงออกมา เป็นพฤติกรรมท่ไี ม฽เหมาะสม เปน็ ตน฾

151 1.3 สมองส฽วนเหตุผล หรือส฽วนนิวแมมมาเลียนเบรน (New mammalian brain) เป็น สมองสตั วเแ ลี้ยง ลูกด฾วยนมยคุ ใหม฽ ซงึ่ เปน็ การทํางานของระบบประสาทท่ซี บั ซอ฾ นสูงสุด ทําหนา฾ ท่ีเก่ียวกับ ความร฾ูสึกนึกคิด การเรียนรู฾ สติสัมปชัญญะ และรายละเอียดท่ีมีความสลับซับซ฾อน สมองส฽วนนี้ทําให฾ มนุษยแแตกต฽างจากสัตวแช้ันต่ํา และสัตวแเลี้ยง ลูกด฾วยนมยุคแรก เพราะเป็นสมองท่ีเก่ียวข฾องกับความคิด สร฾างสรรคแ การคิดยืดหยุ฽น การคิดวิเคราะหแ ความฉลาดความรัก ความเมตตา ความรู฾สึกเห็นอกเห็นใจ ผ฾ูอ่ืน และความคิดทางด฾านปรัชญา ศาสนา สมองส฽วนน้ีจะ เต็มที่เมื่ออายุ 25 ปี ช฽วยให฾มนุษยแมีการ พัฒนา รู฾จักคิดหาหนทางท่ีจะเอาชนะธรรมชาติ ควบคุมคนอื่น และคาง สิ่งแวดล฾อมรอบตัว ซึ่ง พฤตกิ รรมของเดก็ สว฽ นใหญ฽จะแสดงออกมาจากสมองสว฽ นน้ีตามศักยภาพของอาย ประสบการณแเรียนรู฾ที่ ไดส฾ ะสมเอาไว฾ จะเห็นได฾ว฽าพฤติกรรมของเด็กปฐมวัยมาจากการทํางานของโครงสร฾างสมอง 3 ส฽วนท่ีมี พัฒนาการแตกต฽าง กัน ในขณะที่สมองส฽วนสัญชาตญาณ และสมองส฽วนอารมณแของเด็กพัฒนาเต็มที่ ต้งั แตแ฽ รกคลอด สามารถทํางานได฾ อย฽างเต็มท่ี แต฽สมองส฽วนเหตุผลจะพัฒนาเต็มท่ีเม่ืออายุ 25 ปี จึงไม฽ น฽าแปลกใจว฽าพฤติกรรมของเด็กปฐมวัยส฽วนใหญ฽ มาจากการทํางานของสมองข้ันต่ํา คือ สมองส฽วน สัญชาตญาณและสมองส฽วนอารมณแ ซ่ึงเปูาหมายของการใช฾เทคนิค การสร฾างวินัยเชิงบวก คือ เพ่ือ กระตน฾ุ พัฒนาการสมองแต฽ละส฽วนให฾ทาํ งานได฾อย฽างเต็มศักยภาพเด็กสามารถควบคุม อารมณแ และแสดง ออกมาเป็นพฤติกรรมพึงประสงคแ แทนการแสดงพฤติกรรมออกมาจากสัญชาตญาณได฾ ซ่งึ ความ สามารถ ในการควบคุมอารมณแ และความต฾องการ เป็นทักษะพื้นฐานของการต฽อยอดในการกระตุ฾นพัฒนาการ สมอง สว฽ นเหตุผลในลาํ ดบั ต฽อไปอีกด฾วย 2. เพื่อสร้างความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองให้แก่เด็กปฐมวัย การสร฾างวินัยเชิงบวกด฾วยเทคนิค 101 (101s Positive Discipline) เป็นวิธีการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยท่ีพัฒนาข้ึนมาจากทฤษฎีลําดับข้ันความ ตอ฾ งการของมาสโลวแ (Maslow's hierarchy of needs theory) เพอ่ื ให฾ผ฾ูเล้ียงดูเด็กปฐมวัยในครอบครัว เขา฾ ใจความต฾องการพน้ื ฐานทาง จิตใจ และสามารถมีปฏิสัมพันธแ และสื่อสารกับเด็กเพ่ือตอบสนองความ ต฾องการพื้นฐานทางจิตใจของพวกเขาได฾ มาสโลวแได฾แบ฽งลําดับขั้นความต฾องการพื้นฐานของมนุษยแ ออกเปน็ 5 ขนั้ ได฾แก฽ 2.1 ความต฾องการทางร฽างกาย (Physiological needs) เป็นความต฾องการพ้ืนฐานเพื่อการ อย฽ูรอด เช฽น ความหิว ความกระหาย ความต฾องการพักผ฽อนมนุษยแทุกคนจึงต฾องการน้ํา อากาศ ที่อย฽ู อาศยั หากไม฽ไดร฾ บั การตอบสนอง ความต฾องการน้ี กจ็ ะมแี รงจูงใจใหม฾ นุษยมแ พี ฤติกรรมขวนขวาย 2.2 ความต฾องการความมั่นคง ปลอดภยั (Safety needs) เปน็ ความตอ฾ งการสภาพแวดล฾อม ที่ไม฽เป็น อันตรายต฽อทั้งร฽างกาย และจิตใจ เช฽น การเป็นอิสระจากความกลัว การบังคับ ข฽ูเข็ญ ความ ตอ฾ งการทีจ่ ะควบคุม ส่ิงแวดล฾อม และได฾รับการปกปูองคุ฾มกัน ความต฾องการความมั่นคง ปลอดภัยนี้ จะ เกดิ ข้ึนหลงั จากท่คี วามตอ฾ งการ ทางรา฽ งกายได฾รับการตอบสนองอย฽างเตม็ ท่ี สมาํ่ เสมอแล฾ว

152 2.3 ความต฾องการความรัก และเป็นส฽วนหนึ่งในสังคม (Love and social needs) เป็น ความต฾องการการ ยอมรับว฽าตนเป็นคนสําคัญ เป็นที่ยอมรับของกล฽ุม ต฾องการเป็นอิสระจากความเหงา โดดเดี่ยวและไม฽มีเพอื่ น ต฾องการ ความรัก ความอบอ฽ุน ความใกล฾ชิดผูกพัน และการเป็นสมาชิกของกล฽ุม ใดกล฽ุมหน่ึง หรือหลายกลุ฽ม เป็นต฾น ความ ต฾องการความรักและเป็นส฽วนหน่ึงในสังคมน้ีจะเกิดขึ้น หลงั จากมคี วามม่นั คงปลอดภัยในชวี ติ แลว฾ 2.4. ความต฾องการที่จะรู฾ว฽าตนเองมีค฽า (Esteem needs) เป็นความต฾องการที่จะประสบ ความสาํ เรจ็ ความ ต฾องการใหผ฾ ฾ูอนื่ เห็นว฽าตนเองมคี วามสามารถได฾รับการยกยอ฽ งชื่นชม และมีส฽วนร฽วมใน การตัดสินใจ ความต฾องการท่ี จะร฾ูว฽าตนเองมีค฽าจะเกิดขึ้นหลังจากได฾รับความรัก และการยอมรับเป็น ส฽วนหน่ึงในสังคมแล฾ว หากความต฾องการน้ีได฾ รับการตอบสนอง ก็จะทําให฾เกิดการนับถือตนเอง มีความ ม่ันใจในตนเอง เห็นตนเองเปน็ คนมีประโยชนแ แต฽หากไม฽ได฾ รับการตอบสนองแล฾ว ก็จะทําให฾เกิดปมด฾อย และมองโลกในแงร฽ ฾าย 2.5 ความต฾องการเติมความสมบูรณแให฾ชีวิต (Self-actualization needs) เป็นความ ต฾องการพัฒนาตนเอง เพื่อเติมเต็มศักยภาพ และเปูาหมายสูงสุดในชีวิตของตนเอง สามารถร฾ูจั ก ความสามารถของตนเอง พ่ึงพาตนเอง กล฾าคิด กล฾าตัดสินใจเลือก และคิดสร฾างสรรคแส่ิงที่ดีให฾เกิดข้ึนใน ชีวติ ตัวเอง และสังคม ความต฾องการน้ี ถอื เปน็ ความ ตอ฾ งการระดบั สูง ที่จะเกิดขึ้นไดต฾ ฽อเมือ่ ความต฾องการ พน้ื ฐานท้ัง 4 ระดบั ได฾รบั การตองสนองอยา฽ งไม฽ขาดแคลนแล฾ว จะเหน็ ไดว฾ ฽า แรงจูงใจท่ที าํ ให฾มนษุ ยมแ ีพัฒนาการ และความกา฾ วหนา฾ ตอ฾ งมาจากการเติมเต็มความ ต฾องการพื้นฐานทางร฽างกายและทางจิตใจก฽อน ดังนั้น เปูาหมายของการใช฾วินัยเชิงบวก คือเพ่ือสร฾าง ความรส฾ู กึ มีคณุ ค฽าในตนเองให฾แก฽เด็กปฐมวยั โดยการตอบสนองความต฾องการพื้นฐานของเด็ก โดยเฉพาะ ความต฾องการพื้นฐานทางจิตใจ เมื่อเด็กมีสัมพันธภาพกับผ฾ูเลี้ยงดูแล฾ว เด็กจะมองเห็นคุณค฽าในตนเอง และมีแรงจูงใจในการต฽อยอดความสามารถและตอบสนองความต฾องการของตนเองในข้ันตอนต฽อไปที่มี ความซบั ซ฾อนมากย่ิงข้ึน 3. เพอื่ เสรมิ สรา฾ งใหเ฾ ดก็ มที กั ษะทางอารมณแ สงั คม จิตใจ และคุณธรรม การสร฾างวินัยเชิงบวกจะ เนน฾ ทักษะ ทต่ี อ฾ งการสง฽ เสรมิ และใหเ฾ ดก็ ฝึกฝนทักษะที่เป็นระยะวิกฤตของพัฒนาการในช฽วงเด็กปฐมวัยท่ี สาํ คัญ ได฾แกท฽ กั ษะทาง อารมณแ จิตใจ สงั คม และคุณธรรม ซึ่งสามารถแบ฽งออกเป็น 3 คณุ ลักษณะดังน้ี 3.1 การควบคุมตนเอง (Self-control) เป็นความสามารถในการควบคุมตนเองให฾มี พฤตกิ รรมบรรลุ ตามเปาู หมายอย฽างเหมาะสม ซ่ึงความสามารถนี้อาศัยการทํางานของสมองส฽วนอารมณแ เป็นส฽วนใหญ฽ในการควบคุม อารมณแ ความรู฾สึกตนเอง รวมถึงการตะหนักรู฾ถึงอารมณแ ความรู฾สึก และ ความคาดหวังของคนอ่ืน คุณลักษณะนี้ เป็นทักษะทางอารมณแและสังคมขั้นพื้นฐานที่สําคัญในการ ปลูกฝใงเด็กตั้งแต฽เยาวแวัย เพื่อต฽อยอดในการเสริมสร฾าง คุณลักษณะท่ีดีในขั้นต฽อไป (Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b)

153 3.2 ความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) เป็นความตระหนักรู฾ว฽าตนเองมีความสําคัญ อยา฽ งไร มีความสําคญั ตอ฽ ใคร มีความสามารถในเรื่องอะไร และมองเหน็ คณุ คา฽ ในตนเอง ซ่ึงความสามารถ นี้ นอกจากอาศัย การทํางานของสมองส฽วนอารมณแในการควบคุมตนเองให฾มีพฤติกรรมท่ีเหมาะสม และ สามารถสร฾างปฏิสัมพันธแที่ดีกับ คนอ่ืนได฾แล฾ว ยังอาศัยการทํางานของสมองส฽วนเหตุผลในการวิเคราะหแ ความสัมพันธแกับบุคคลภายนอกเพ่ือสะท฾อน ความสามารถ ความสําคัญ และคุณค฽าในตนเอง คุณลักษณะของความภาคภูมิใจในตนเองนี้ เป็นการยกระดับจิตใจ ข้ันพื้นฐานท่ีสําคัญเพื่อให฾เด็กปฐมวัย ใช฾เป็นฐานในการพัฒนาตนเองในทางสร฾างสรรคแต฽อไป (Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b) 3.3 ความเคารพตนเองและผู฾อ่ืน (Self-respect and respect for others) เป็น ความสามารถในการเข฾าใจ ยอมรับ และเคารพในความเหมือนและความต฽างของตนเองและผู฾อื่น ซ่ึง ความสามารถนีอ้ าศัยการกระต฾นุ การทาํ งาน ของสมองส฽วนเหตุผลมาก ในการวิเคราะหแทาํ ความเข฾าใจกับ ความเหมือน ความต฽างของตนเองกับบุคคลอื่น รวมถึง การคิดแก฾ไขปใญหา และแสดงพฤติกรรมออกมา อยา฽ งเคารพตนเองและผอ฾ู ่นื ซึง่ การเคารพตนเองและผอ฾ู ่นื นเี้ ปน็ คุณลกั ษณะพ้นื ฐานทางคุณธรรมทสี่ าํ คัญ มากในการกระตุ฾นพัฒนาการต้ังแต฽ปฐมวัย โดยเร่ิมจากสังเกตความเหมือน ความต฽างอย฽างง฽าย เช฽ น รูปลกั ษณแภายนอกตามศักยภาพพฒั นาการเรียนร฾ู และความเขา฾ ใจของเดก็ ก฽อนจะต฽อยอด เป็นคุณธรรม ทีม่ ีความสลับซบั ซอ฾ นขึ้น เช฽น การเคารพและยอมรับในความเห็นต฽าง เป็นต฾น (Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b) จะเห็นได฾ว฽า เด็กปฐมวัยไม฽ได฾เกิดขึ้นมาพร฾อมกับทักษะด฾านอารมณแ สังคม จิตใจ และคุณธรรม แต฽เป็น พัฒนาการท่ีมีความสอดคล฾องกับพัฒนาการสมอง ดังนั้นเปูาหมายของการใช฾การสร฾างวินัยเชิง บวก คอื การเสรมิ สรา฾ ง ทักษะทางอารมณแ สังคม จติ ใจ และคณุ ธรรมใหแ฾ กเ฽ ด็กปฐมวยั ซ่งึ คุณลกั ษณะท้ัง 3 ดา฾ นทกี่ ลา฽ วมาขา฾ งต฾น เป็นความ สามารถทีต่ อ฾ งได฾รับการสอนและมปี ระสบการณแรว฽ มกบั ผ฾ูเลย้ี งดู จากการรวบรวมองคคแ วามรู฾และงานวจิ ยั จากสหวิชาการ เรอ่ื งพัฒนาการตามธรรมชาติ ผู฾เขียนได฾ นํามา สังเคราะหแร฽วมกับการส฽งเสริมพัฒนาการของเด็กด฾วยหลักการสร฾างวินัยเชิงบวกของ 101 เทคนิค การสรา฾ งวนิ ัย เชิงบวกทถ่ี กู พัฒนาโดยเคอรแซยี แ โมเดลหลักการสร฾างวินัยเชิงบวกด฾วยเทคนิค 101 เพื่อพัฒนาการสมองและพฤติกรรม เป็นการ อธบิ ายการ ทาํ งานของเทคนิคการสร฾างวินยั เชิงบวกทตี่ อบสนองตอ฽ พฤติกรรมด฾วยความเข฾าใจพัฒนาการ ของเดก็ ปฐมวัย ว฽า พฤติกรรมของเด็กเล็กจะแสดงออกมาจากการทํางานร฽วมกันของโครงสร฾างสมองท้ัง 3 ส฽วน และความต฾องการพนื้ ฐาน ทางจิตใจ โดยเฉพาะอย฽างยิ่ง พฤติกรรมของเดก็ ปฐมวยั สว฽ นใหญ฽จะมา จากการทาํ งานของโครงสรา฾ งสมองส฽วน สัญชาตญาณและสมองส฽วนอารมณแ เนื่องจากมีการเจริญเติบโต และใชง฾ านไดอ฾ ยา฽ งเต็มที่ตง้ั แต฽แรกคลอดเด็กเลก็ จงึ มักแสดงพฤติกรรมออกมาตามอารมณแและความรู฾สึก ทเ่ี กิดจากความตอ฾ งการพ้ืนฐานทั้งทางร฽างกายและจิตใจ ดังน้ัน เทคนิคการสร฾างวินัยเชิงบวกจะเป็นการ สอนและฝึกฝนทักษะทางอารมณแ สังคม จิตใจ และคุณธรรมที่สอดคล฾องกับ พัฒนาการของเด็กปฐมวัย

154 จงึ กลา฽ วได฾วา฽ เทคนคิ การสร฾างวินยั เชิงบวกถกู พัฒนาข้ึนมาเพ่ือช฽วยตอบสนองความต฾องการ พื้นฐานของ เด็กเล็กและพัฒนาการตามการทํางานของสมองส฽วนสัญชาตญาณ และเพื่อส฽งเสริมทักษะทางอารมณแ สังคม ตามการทํางานของสมองส฽วนอารมณแ ให฾สามารถควบคุมอารมณแ ความร฾ูสึกที่เกิดข้ึนภายในตาม สัญชาตญาณ ให฾แสดงออกมาเป็นพฤติกรรมท่ีเหมาะสม เป็นที่ยอมรับในสังคมได฾ซ่ึงการรู฾จักควบคุม อารมณแน้ี จะเป็นพ้ืนฐานต฽อยอด ในการกระต฾ุนส฽งเสริมให฾เด็กปฐมวัยสามารถยกระดับจิตใจ และมี พัฒนาการด฾านคุณธรรม ซ่ึงเป็นการทํางานของ สมองส฽วนเหตุผลจากขั้นพ้ืนฐานต฽อไปจนถึงข้ัน สลบั ซับซ฾อนได฾อีกด฾วย 3.หลกั การสรา้ งวนิ ยั เชิงบวกเพอื่ เสรมิ สรา้ งสมั พนั ธภาพในครอบครัวทีม่ เี ดก็ ปฐมวยั หลกั การสร฾างวินยั เชงิ บวกด฾วยเทคนคิ 101 (The 101s: A Guide to Positive Discipline) เพื่อ เสริมสร฾าง สัมพันธภาพที่ดีครอบครัวเป็นรากฐานของการสร฾างวินัยเชิงบวกเพ่ือส฽งเสริมพัฒนาการและ การเรียนรขู฾ องเด็กอย฽างมี ประสิทธิภาพ เน่ืองจากความสัมพันธแที่ดีนี้ จะช฽วยเสริมสร฾างบรรยากาศที่เอ้ือ ตอ฽ การเรียนรู฾ ดังน้ัน หลักการสร฾างวินัย เชิงบวกท่ีสําคัญ คือ หลักการสื่อสารที่สามารถตอบสนองความ ต฾องการพื้นฐานของบุตรหลานปฐมวัยเพ่ือให฾บรรลุ พฤติกรรมเปูาหมายตามท่ีครอบครัวคาดหวัง ซ่ึง ประกอบไปด฾วยการใช฾ภาษากาย และภาษาพูด (MasterSon, 2008 Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b; Pichitkusalachai, et al., 2012; Suthipan, 2012; Kersey & Masterson, 2013) ดงั นี้ 1. หลักการมองตา (Eye-levelprinciple) เป็นการลดระดับตัวลงให฾อย฽ูในระดับสายตาเด็ก และมองตาเด็กทุก คร้ังท่ีมีการพูดคุยสื่อสารเล฽นและมีปฏิสัมพันธแกับเด็ก หลักการนี้จัดเป็นภาษากาย เมอื่ สอ่ื สารออกไปแลว฾ มผี ลทําให฾ เดก็ เล็กรสู฾ กึ ปลอดภยั ร฾สู กึ มเี กยี รติ และร฾ูสึกมีตัวตน เม่ือผ฾ูเลี้ยงดูเด็กใช฾ หลกั การมองตาเด็กร฽วมกับการส่ือสารดว฾ ย คําพูดแล฾วจะช฽วยให฾เด็กปฐมวัยได฾รับสารท่ีเราต฾องการส่ือเข฾า ไปอย฽างเต็มท่ีทําความเข฾าใจกับส่ิงท่ีเราต฾องการส่ือสารได฾ เร็วข้ึนและตอบสนองได฾เร็วข้ึนเนื่องจากการ มองตาเป็นการชว฽ ยควบคุมสมาธิของเด็กให฾อยู฽กับส่ิงท่ีผู฾เลี้ยงดูต฾องการ สื่อสาร อีกท้ังการมองตา ยังเป็น การให฾ความสนใจกับเดก็ อย฽างอ฽อนโยนและให฾ความสําคัญ ที่สําคัญ คือ การมองตา ขณะส่ือสารกับผู฾อ่ืน ยังเป็นทักษะสังคม และเป็นบุคลิกภาพท่ีพึงประสงคแ ดังนั้น เม่ือผู฾เล้ียงดูใช฾หลักการมองตากับ เด็ก ปฐมวัย จะช฽วยส฽งเสริมให฾เด็กมีพฤติกรรมมองตาคู฽สนทนาด฾วย โดยท่ีเด็กไม฽รู฾ตัวว฽ากําลังถูกสอนอยู฽ จะ เห็นได฾ ว฽า หลักการมองตานี้สามารถตอบสนองความต฾องการพื้นฐานด฾านจิตใจของเด็กปฐมวัย และใน ขณะเดียวกนั ยงั ช฽วย ของเด็กปฐมวยั อกี ด฾วย สอนและฝึกฝนพฤติกรรมการมองตา ซึ่งเป็นพฤติกรรมท่ีพึง ประสงคแ เหมาะสมกบั พฒั นาการตามวยั และศกั ยภาพของเด็กปฐมวยั อกี ด฾วย ตวั อย่างความสาเรจ็ ของการใชห้ ลกั การมองตา น฾องคุนหมิง เด็กผู฾ชายวัย 2 ขวบ มีพฤติกรรมไม฽อยู฽นิ่ง และไม฽ปฏิบัติตามที่คุณแม฽บอก เช฽น ให฾ เกบ็ ของเล฽น น฾องคุนหมิงก็จะน่ังเล฽นของเล฽นต฽อไม฽สนใจท่ีแม฽พูด เมื่อแม฽เดินมาช฽วยเก็บ น฾องคุนหมิงก็จะ วิ่งไปเล฽นอยา฽ งอืน่

155 หลังจากแม฽น฾องคุนหมิงเปลี่ยนวิธีจากการพูดลอยๆ ไม฽มองตาน฾องคุนหมิง มาเร่ิมต฾นใช฾หลักการ มองตา โดย การนง่ั คุกเข฽า จบั มอื น฾องคนุ หมงิ และมองตานอ฾ งคุนหมิงเอาไว฾ ในขณะที่บอกน฾องคุนหมิงว฽า “เกบ็ ของเล฽นนะครบั ” แม฽ น฾องคุนหมิงสังเกตเห็นปฏิกิริยาตอบรับของคุนหมิงในทางที่ดีข้ึน คือ คุนหมิง ตั้งใจฟใง และถามเหตุผลว฽าทําไมต฾องเก็บ ไม฽วิ่งหนีแม฽ไปเหมือนแต฽ก฽อน บางคร้ังน฾องคุนหมิงยังมีการ ต฽อรอง ขออนญุ าตแมเ฽ ล฽นของเลน฽ ตอ฽ อกี สักคร฽ูด฾วย เมอ่ื เลน฽ เสรจ็ ตามสญั ญานอ฾ งคุนหมงิ กเ็ ก็บของเล฽นเอง แม฽น฾องคุนหมิงพบว฽าการมองตาลูกทําให฾น฾องคุนหมิงมีอารมณแเย็นขึ้นเข฾าใจส่ิงที่แม฽บอกมากข้ึน และ ให฾ความร฽วมมือทําตามท่ีแม฽บอก ซ่ึงช฽วยให฾บรรลุพฤติกรรมท่ีเปูาหมายระยะสั้นได฾อย฽างมี ประสิทธภิ าพ สว฽ น พฤติกรรมเปูาหมายในระยะยาว แมค฽ ุนหมงิ พบวา฽ คุนหมิงฟใงแม฽มากขึ้น มีสมาธิมาก ขึ้น มีอารมณแดี ยิ้มแย฾ม เล฽นกับแม฽มากขึ้น และให฾ความร฽วมมือกับแม฽ในเรื่องอื่น ๆ อีกด฾วย ทําให฾น฾อง คนุ หมิงเป็นเด็กทีส่ อนง฽าย มี พัฒนาการดี และมรี ะเบยี บวนิ ยั ในเรื่องการเก็บของเล฽นแล฾ว ซ่ึงแม฽น฾องคุนห มิงพอใจกบั พฤติกรรมพึงประสงคแ น้ีของนอ฾ งคนุ หมงิ มาก (ขอขอบคุณเรอ่ื งเลา฽ จากคณุ จิตรวรรณ รัตนคูณชัย (คุณแม฽นอ฾ งคนุ หมิง) 2. หลกั การแสดงความเข้าใจ (Validation principle) เป็นการพูดชื่ออารมณแ หรือความร฾ูสึก ของเดก็ และ ตามดว฾ ยพฤตกิ รรมของเด็กทส่ี มั พนั ธแกับอารมณคแ วามรูส฾ กึ นั้นออกมา เช฽น หนูกําลังรู฾สึกง฽วง นอน หนูเลยร฾องไห฾ และ ไม฽อยากฟใงพ฽อ จากตัวอย฽างจะเห็นว฽า ชื่อความร฾ูสึก คือ ง฽วงนอน และ พฤติกรรมที่สัมพันธแกับอารมณแง฽วงนอน คือ ร฾องไห฾ ไม฽อยากฟใงพ฽อพูด เป็นต฾น หลักการน้ีจะช฽วย ตอบสนองความต฾องการพ้ืนฐานทางจิตใจของบุตรหลาน คือ ความมั่นคงทางอารมณแ และจิตใจ ใน ขณะเดียวกนั ยังเปน็ การเสริมสร฾างพฤตกิ รรมเปาู หมายคอื การเรียนรจ฾ู ักอารมณแ และความรู฾สึกของตนเอง รวมท้ังเรียนร฾ูวิธีการจัดการและแสดงอารมณแความรู฾สึกออกมาเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงคแ เนื่องจาก หลักการแสดงความเข฾าใจน้ีจะช฽วยให฾เด็กรับร฾ูว฽าผู฾เลี้ยงดูในครอบครัวมีความเข฾าใจในตัวเขา และเด็กได฾ เรียนรู฾คําศัพทแท่ีเก่ียวข฾องกับอารมณแ ความรู฾สึกของเขาเอง ซึ่งการรู฾ และเข฾าใจคําศัพทแนี้จะช฽วยให฾เด็ก สามารถสื่อสาร กับตัวเอง และใช฾ประสบการณแเดิมในการควบคุมอารมณแออกมาเป็นพฤติกรรมที่ เหมาะสมได฾ง฽ายข้ึน รวมถึงสามารถ ส่ือสารบอกความต฾องการ และความร฾ูสึกของตนเองให฾สมาชิกใน ครอบครัวได฾รับรู฾ ซ่ึงนอกจากจะช฽วยให฾ครอบครัว สามารถเข฾าใจความต฾องการ และความร฾ูสึกของเด็ก เพ่ือตอบสนองความต฾องการพ้ืนฐานได฾ถูกต฾องแล฾ว ครอบครัวยัง สามารถให฾คําแนะนําแก฽บุตรหลานใน การแสดงอารมณแ ความต฾องการนน้ั ออกมาเป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมอีกดว฾ ย จึงเห็นไดว฾ า฽ หลกั การแสดง ความเข฾าใจซ่ึงเป็นวิธีการสะท฾อนอารมณแและความรู฾สึกของเด็กควรนํามาใช฾แทนการต฽อว฽า การปฏิเสธ และการเพิกเฉยต฽อความต฾องการของเด็ก เพื่อช฽วยเสริมสร฾างสัมพันธภาพในครอบครัวและพัฒนาการท่ี เหมาะสมตามวัยของเด็ก ตวั อยา่ งความสาเร็จของการใช้หลักการแสดงความเขา้ ใจ เมอ่ื แม฽น฾องดโี ด฾ปฏิเสธที่จะซือ้ ของเล฽นชิ้นใหม฽ให฾ นอ฾ งดโี ด฾ เดก็ ชายท่มี อี ายุเพียง 3 ขวบคร่ึง ก็รู฾วิธี ที่จะได฾ ของเล฽นมาด฾วยการกรีดเสียงร฾องไห฾เสียงดังมาก ยิ่งแม฽น฾องดีโด฾บอกให฾หยุดร฾อง น฾องดีโด฾ก็จะย่ิง

156 ร฾องเสียงดังข้ึน และ น่ังลงไปท่ีพื้นไม฽ยอมเดินต฽อ ทําให฾คุณแม฽ต฾องยอมตัดใจซื้อให฾ และในบางคร้ังก็จบ ดว฾ ยการตี และการฉดุ กระชากนอ฾ ง ดโี ด฾ขึน้ รถกลบั บ฾าน เม่ือความโกรธแม฽น฾องดีโด฾หายไป ความร฾ูสึกผิดก็ จะเขา฾ มาแทนที่ ทาํ ใหค฾ ณุ แมใ฽ จอ฽อนซ้ือของเล฽น ชิ้นใหม฽ให฾น฾องดีโด฾ในคร้ังต฽อไปเพ่ือทดแทนความรู฾สึกผิด ทต่ี นเองตลี ูก หลังจากแม฽น฾องดีโด฾ใช฾หลักการแสดงความเข฾าใจ แทนการต฽อว฽า การห฾าม หรือการเงินเฉยโดย การพดู ว฽า “แม฽ เข฾าใจค฽ะวา฽ หนู อยากได฾ของเล฽นช้ินน้ัน และโกรธท่ีไม฽ได฾ซื้อของเล฽นชิ้นนั้น หนูเลยร฾องไห฾ เสียงดัง” แม฽น฾องดีโด฾สังเกตว฽า น฾องดีโด฾ร฾องไห฾เสียงเบาลงทันทีเพ่ือฟใงส่ิงท่ีแม฽พูด ระดับอารมณแรุนแรง ฉุนเฉียวของน฾องดีได฾น฾อยลง ระดับความก฾าวร฾าว ของพฤติกรรมก็ลดน฾อยลงด฾วย ทําให฾คุณแม฽ไม฽ต฾องตี นอ฾ งดโี ด฾ สามารถจูงมือน฾องดโี ด฾กลับบา฾ นไดโ฾ ดยดี แม฽น฾องดีโด฾พบว฽า หลักการแสดงความเข฾าใจนี้ ช฽วยให฾บรรลุพฤติกรรมเปูาหมายระยะสั้นได฾ คือ พานอ฾ งดโี ด฾กลบั บา฾ น หรอื ไปทําธุระอย฽างอื่นได฾โดยท่ไี ม฽ต฾องซื้อของเล฽น และไม฽ตอ฾ งทะเลาะกบั ลกู ในขณะ ที่การต฽อว฽า การห฾ามจะยิ่งเป็นการกระต฾ุนให฾ลูกยิ่งเสียใจ ต฽อต฾าน และอยากได฾มากขึ้น ส฽วนพฤติกรรม เปูาหมายในระยะยาว แม฽น฾องดีโด฾พบว฽าสัมพันธภาพระหว฽างคุณแม฽ และน฾องดีโด฾ดีข้ึนมาก น฾องดีโด฾ สามารถบอกความต฾องการ ความร฾ูสึก และอารมณแของ ตนเองได฾ รวมทั้งแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ เหมาะสม ท่ีสําคัญตอนนคี้ ุณแม฽ไม฽รู฾สึกทุกขแใจ และเป็นกังวลเวลาพาน฾องดีโด฾ไปทําธุระที่ห฾างแล฾ว เพราะ น฾องดีโด฾ให฾ความร฽วมมือดี รอคอยเป็น ไม฽ร฾องไห฾โวยวายเหมือนแต฽ก฽อน ทําให฾คุณแม฽ และน฾องดีโด฾มี ความสขุ มาก ขอขอบคณุ เรอ่ื งเล฽าจากแมด฽ าว (คุณแม฽นอ฾ งดโี ด฾) 3.หลักการเคารพในสิทธิของผู้อื่น (Respect principle) เป็นการยอมรับฟใงความต฾องการ ความรูส฾ กึ และ ความคิดเหน็ ของเดก็ ปฐมวยั ในครอบครวั ทุกครั้งท่เี ด็กแสดงความต฾องการ หรือความร฾ูสึก ออกมา รวมท้ังการเปิด โอกาสให฾เด็กมีส฽วนร฽วมในการแสดงความต฾องการและความคิดเห็นในเร่ืองของ ตัวเด็กเอง และกิจกรรมในครอบครัว หลักการนี้มีความสําคัญมาก เนื่องจากครอบครัวในประเทศไทย ส฽วนใหญ฽จะครอบครอง และควบคุมตัวเด็กให฾ ทําตามส่ิงท่ีครอบครัวบอก และมองข฾ามอารมณแ ความร฾ูสึก ความต฾องการ และความคิดเห็นของเด็ก ส฽งผลต฽อการ ยับยังพัฒนาการด฾านอารมณแ สังคม และกระบวนการคดิ ขั้นสูงของเด็กปฐมวัย กล฽าวคือ เด็กอาจจะมีแนวโน฾มแสดง พฤติกรรมความก฾าวร฾าว ต฽อต฾าน เพ่ือเรียกร฾องให฾ครอบครัวสนใจความต฾องการ และยอมรับตนเอง หรืออาจจะมี แนวโน฾มแสดง พฤติกรรมหวาดหวนั่ ขีร้ ะแวง และกลายเป็นเด็กเก็บกดได฾ แต฽หากครอบครวั สามารถยึดหลักการ เคารพ ในสิทธิของผู฾อื่นเปิดโอกาสให฾บุตรหลานแสดงความต฾องการ หรือความร฾ูสึกรวมท้ังการมีส฽วนร฽วมในการ แสดง ความต฾องการและความคิดเห็นด฾วยต฽างๆ ส฽งผลให฾เด็กต่ืนตัวต฽อสถานการณแรอบข฾างรับผิดชอบต฽อ ผลที่ตามมาจาก การแสดงความต฾องการและความคิดเห็นของตนเอง ท่ีสําคัญคือเป็นการปลูกฝใงให฾เด็ก ร฾จู ักเคารพสิทธขิ องผูอ฾ ่ืน เมอ่ื ต฾องมีปฏสิ ัมพันธแกบั ผูอ฾ ่นื ด฾วย

157 ตวั อย่างความสาเรจ็ ของการใช้หลกั การเคารพในสิทธขิ องผูอ้ นื่ เม่ือย฽าจะใส฽เสื้อกันหนาวให฾น฾องมังกร เด็กชายวัย 3 ขวบ น฾องมังกรปฏิเสธว฽า ไม฽ยอมใส฽ และ บอกย฽าว฽าไม฽ หนาว ย฽าอ฾มตัวน฾องมังกรข้ึนมานั่งบนตักรัดตัวน฾องมังกรแน฽นขึ้นเพื่อไม฽ให฾น฾องมังกรว่ิงหนี และบังคับใส฽เส้ือกันหนาว ให฾น฾องมังกร เมื่อน฾องมังกรลงจากตักย฽าได฾ ก็กระชากเส้ือกันหนาวออก และ โยนท้งิ ไปทีพ่ ื้น พรอ฾ มพดู ตดั พอ฾ เสียงดงั ใสย฽ า฽ วา฽ “กห็ นูไมห฽ นาว ทาํ ไมไมม฽ ใี ครฟงใ หนเู ลย” หลงั จากท่ยี า฽ และทุกคนในครอบครวั ไดย฾ ินน฾องมังกรตัดพ฾อ จึงนําหลักการเคารพในสิทธิของผู฾อื่น มาใชแ฾ ทน การบงั คับใหม฾ ังกรใส฽เสื้อหนาว โดยไม฽อารมณแเสียใส฽น฾องมังกร ไม฽ต฽อว฽าที่มังกรพูดเสียงดัง จับ ไปท่ีหลังมังกรและพบว฽า น฾องมังกรมีเหงื่อซึมอยู฽ที่หลัง จึงบอกสมาชิกในครอบครัวทุกคนว฽าน฾า ขอโทษ นอ฾ งมังกรทันทีท่ไี ม฽ฟงใ และพยายามบังคบั มงั กรใสเ฽ ส้อื น฾องมังกรรับคําขอโทษย฽า เดินไปหยิบเสื้อหนาวที่ พื้นข้ึน มา แลว฾ พูดกับย฽าอยา฽ งนุม฽ นวลว฽า “ย฽าเก็บไวใ฾ ห฾หนอ฽ ยครับ เดยี๋ วหนูหนาวแล฾วมาขอยา฽ ใสเ฽ อง” ย฽าและสมาชิกในครอบครัวพบว฽า หลักการเคารพเคารพในสิทธิของผู฾อื่น สามารถช฽วยให฾บรรลุ พฤติกรรม หมายระยะสั้นได฾ คือ รักษาบรรยากาศไม฽ให฾เกิดการทะเลาะกันระหว฽างย฽าและน฾องมังกร จะ เห็นได฾ว฽าเม่ือน฾องมังกรได฾รับความเคารพในความร฾ูสึกและการตัดสินใจว฽าจะยังไม฽ใส฽เสื้อหนาวแล฾ว น฾อง มังกรสามารถควบคุมอารมณแโกรธของตนเองได฾ทันที และสามารถคิดตัดสินใจแสดงพฤติกรรมที่พึง ประสงคแด฾วยตนเอง คือ การเก็บเส้ือหนาวที่ตนเองโยนทิ้งพ้ืนไปฝากย฽า และแก฾ไขปใญหาโดยการบอกย฽า ว฽าเขาจะใส฽เสื้อหนาว เมื่อเขาร฾ูสึกหนาว ในขณะท่ีการบังคับใส฽เสื้อหนาวใน ตอนแรกน้ัน เป็นกระต฾ุน อารมณขแ นุ฽ มวั และความคับขอ฾ งใจใหน฾ อ฾ งมังกร มีผลให฾น฾องมังกรมีพฤติกรรมท่ีไม฽เหมาะสม คือ กระชาก เสอื้ หนาว ปาเส้ือหนาวลงพืน้ และพูดเสยี งดงั ใสย฽ า฽ เพื่อระบายความขัดแย฾งในใจของตนเองออกมา ส฽วน พฤตกิ รรมเปูาหมายในระยะยาว พบวา฽ นอ฾ งมงั กรกลา฾ แสดงความคดิ เหน็ สามารถบอกความต฾องการของ ตนเองได฾ และ ยอมรับฟใงเหตุผล และเคารพการตัดสินใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคน แม฾แต฽น฾องชาย ของนอ฾ งมงั กรเอง นอ฾ งมงั กร จะขอหอมแก฾มน฾องทุกครั้ง และเม่ือน฾องชายปฏิเสธไม฽ให฾หอม น฾องมังกรจะ บอกวา฽ “ไมเ฽ ปน็ ไรครบั พี่กรรอได฾ จะให฾ พ่ีกรหอมแลว฾ บอกนะครบั ” ขอขอบคุณเรื่องเล฽าจาก นางวรนาถ ธันเศรษฐกร (คณุ ย฽านอ฾ งมงั กร) ที่มา: สว฽ นหน่ึงมาจากรอ฾ ยเอ็ด เคลด็ วิธี สร฾างเด็กดี มคี วามสขุ จึงเหน็ ได฾วา฽ หลักการสรา฾ งวินยั เชิงบวกด฾วยเทคนิค 101 ท้ังหลักการมองตา หลักการแสดงความ เข฾าใจ และ หลักการเคารพในสิทธิของผู฾อื่น ที่เน฾นการส่ือสารด฾วยภาษากายและภาษาพูด นอกจากจะ สร฾างสัมพันธภาพท่ีดีใน ครอบครัวท่ีมีเด็กปฐมวัยแล฾วยังช฽วยส฽งเสริมพัฒนาการและการเรียนร฾ูของเด็ก อย฽างมีประสทิ ธิภาพ 4.หลักการสรา้ งวนิ ยั เชงิ บวกเพอ่ื เสรมิ สร้างพฤติกรรมเด็กปฐมวัย หลักการสร฾างวินัยเชิงบวกในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัย เพื่อเสริมสร฾างพฤติกรรมเด็กปฐมวัยที่ เหมาะสมจําเป็น ต฾องมีความสอดคล฾องกับพัฒนาการศักยภาพและธรรมชาติการเรียนร฾ูของเด็กปฐมวัย เพ่ือความมีประสิทธภิ าพและ ประสิทธิผลรวมท้ังรักษาสัมพันธภาพท่ีดีไปพร฾อมกันด฾วย ดังน้ัน การสร฾าง

158 วินัยเชิงบวกสําหรับเด็กปฐมวัย จึงต฾องใช฾ หลักการส่ือสารซึ่งประกอบไปด฾วยภาษากายและภาษาพูด (Masterson, 2008; Thanasetkorn, 2009a, Thanasettom 2000b Dichitkusalachai et al. 2012. Suthipan, 2012; Kersey & MasterSon,2013) ดงั นี้ 1. หลักการใช้ภาษามือ (Sign language) เป็นการสอนให฾เด็กใช฾มือแสดงออกมาเป็น สัญลักษณแ ท฽าทาง เพ่ือ สื่อสารความต฾องการของเด็ก หลักการน้ีสอดคล฾องกับลําดับข้ันพัฒนาการของ เดก็ คือ เดก็ สามารถควบคมุ กล฾ามเน้ือ แขน กล฾ามเน้ือมือ และน้ิวได฾ก฽อนท่ีจะพูด ดังนั้น การสอนให฾เด็ก ใช฾ภาษามือในการสอ่ื สาร จะชว฽ ยให฾เดก็ เรียนรู฾ท่ีจะ ควบคุมอารมณแตนเอง และส่ือสารความต฾องการของ ตนเองออกมาเป็นภาษามือ ซ่งึ ทาํ ใหผ฾ เู฾ ลย้ี งดเู ข฾าใจ และสามารถ ตอบสนองความตอ฾ งการของเดก็ ได฾ 2.หลักการใช้ทางเลือกเชิงบวก (Choice principle) เป็นการเสนอทางเลือกให฾เด็กทํา พฤติกรรมเปูาหมาย 2 ทางเลือก กุญแจสําคัญของหลักการนี้คือท้ังสองทางเลือกต฾องเป็นทางเลือกท่ี ผปู฾ กครองและผ฾เู ลี้ยงดรู บั ไดแ฾ ละ พฤติกรรมเปูาหมายได฾ เช฽น พฤติกรรมเปูาหมาย คือ ต฾องการให฾เด็กไป อาบน้ํา เมื่อเด็กปฏิเสธ ผู฾ปกครองและครูสามารถเสนอทางเลือกให฾เด็กตัดสินใจโดยการถามว฽า “จะให฾ คุณพ฽อ หรือ คุณแม฽อาบให฾คะ” จะเห็นได฾ว฽า ไม฽ว฽า จะเลือกให฾พ฽อ หรือ แม฽อาบให฾ ก็บรรลุพฤติกรรม เปาู หมายท่ผี ฾ูเลยี้ งดตู อ฾ งการ 3.หลกั การอะไรก่อน อะไรหลัง (When-then principle) เป็นการบอกให฾เด็กทําพฤติกรรมท่ี เราอยากใหท฾ ํา กอ฽ นแลว฾ ตามด฾วยส่ิงท่เี ขาอยากทํา โดยใช฾คาํ ขนึ้ ตน฾ ประโยคว฽า “เมื่อ” ตามด฾วยพฤติกรรม ท่ีเราต฾องการให฾เด็กทํากอ฽ น และต฽อด฾วยคาํ ว฽า “แล฾ว” ตามด฾วยสงิ่ ทเ่ี ด็กตอ฾ งการทาํ เช฽น “เมอื่ หนูเก็บของ เล฽นเสร็จแล฾วหนูไปเข฾าแถวทานข฾าวได฾คะ” เป็นต฾น เทคนิคน้ี จะช฽วยลดอารมณแต฽อต฾านของสมองส฽วน สัญชาตญาณ หรือเรปท่ีเลียนเบรน (Reptilian brain) อีกท้ังยังเป็นการส฽งเสริมพฤติกรรมความ รับผิดชอบ และการอดทนรอคอยด฾วย จึงเห็นได฾ว฽า หลักการสร฾างวินัยเชิงบวกในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยเพ่ือเสริมสร฾างพฤติกรรมเด็ก ปฐมวัย ที่เหมาะสม ทั้งหลักการใช฾ภาษามือ หลักการให฾ทางเลือกเชิงบวก และหลักการอะไรก฽อน อะไร หลัง เป็นการส่ือสารอง ประกอบไปด฾วยภาษากาย และภาษาพูดที่มีความสอดคล฾องกับพัฒนาการ ศกั ยภาพและธรรมชาตกิ ารเรียนร฾ขู องเดก็ ปฐมวยั สามารถช฽วยให฾เด็กเกิดการเรียนรู฾และยอมปฏิบัติตาม ช฽วยในการควบคุมอารมณแ และไม฽กระตุ฾นพฤติกรรมท่ี ออกมาจากความต฾องการตามสัญชาตญาณของ เด็ก 5.แนวปฏบิ ตั ิการสร้างวินัยเชงิ บวกในครอบครัวที่มเี ด็กปฐมวยั อายแุ รกเกิดถึง 3 ปี เด็กทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 ปี ยังเป็นวัยท่ีมีประสบการณแน฾อย และร฾ูสึกใหม฽กับโลกใบน้ี จึง ตอ฾ งการความ รกั และความอบอุ฽นมาก ดงั นัน้ แนวปฏิบัติการสร฾างวินัยเชิงบวกสําหรับครอบครัวท่ีมีเด็ก ปฐมวยั ในวยั แรกเกดิ 3 ปี จงึ เนน฾ เร่ืองการสร฾างสายสัมพันธแที่ดีเพื่อสร฾างความรู฾สึกมั่นคงปลอดภัยทั้งทาง ร฽างกาย ก ซึง่ เป็นการปูพ้ืนฐานให฾เด็กเกิดความรู฾สึกไว฾วางใจ เช่ือมั่นในตัวผ฾ูเลี้ยงดูรวมถึงไว฾ใจโลกใบใหม฽

159 น้ีด฾วย (Nelsen, et al., 2007; Masterson, 2008; Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b; Kersey & Masterson, 2013) การสร฾างวินัยเชิงบวกสําหรับเด็กปฐมวัยในช฽วงวัยแรกเกิดจนถึงอาย 3 ปี มีแนวปฏิบัติสําคัญ 5 แนวทางดงั นี้ 1. กาหนดเป้าหมายระยะส้ันและตั้งเป้าหมายระยะยาว แนวปฏิบัติในสร฾างวินัยเชิงบวก ลักษณะนี้เป็นการ ปฏบิ ัติให฾บรรลเุ ปูาหมายระยะสน้ั ๆ เพอ่ื ไปให฾ถึงเปาู หมายระยะยาว ดังน้ัน ครอบครัว ที่มเี ดก็ ปฐมวัยในชว฽ งวัย แรกเกดิ จําเปน็ ตอ฾ งระลกึ ไวเ฾ สมอวา฽ เปูาหมายระยะยาวคือ ความสัมพันธแที่ดีการ มคี วามรกั ความห฽วงใย ความไวใ฾ จและ เอ้ืออาทรกันในครอบครัว แต฽การท่ีจะไปให฾ถึงเปูาหมายระยะยาว ได฾นั้น จําเป็นจะต฾องผ฽านเปูาหมายระยะสั้น ๆ ก฽อน ซึ่งก็คือ การตอบสนองความต฾องการพ้ืนฐานทาง ร฽างกาย และจิตใจของเดก็ ปฐมวยั อย฽างเข฾าใจในชวี ิตประจาํ วนั นน่ั เอง การตอบสนองความต฾องการขั้นพื้นฐานทัง้ ทางร฽างกายและจิตใจของเด็ก เริ่มต฾นจากการท่ีผ฾ูเล้ียง ดสู ังเกต พฤตกิ รรมเด็กวา฽ มคี วามต฾องการอะไร ในช฽วงเวลาไหน เป็นระยะเวลาเท฽าไร เช฽น เด็กร฾องกินนม ทุก ๆ 2 ชว่ั โมง นอน ทุก 2 ช่ัวโมง นอนได฾นานคร้ังละ 2 ชั่วโมง ขับถ฽ายทุกคร้ังหลังดูดนม หรือสามารถ นอนเล฽นคนเดียวได฾เป็นเวลาไม฽เกิน 20 นาที เป็นต฾นหลังจากน้ันนําความต฾องการของเด็กมาจัดเป็น ตารางประจาํ วนั เพ่ือตอบสนองความตอ฾ งการของเด็ก ไดถ฾ กู ตอ฾ ง และถูกเวลา การกําหนดเปูาหมายสั้นๆ เป็นตารางเวลาน้ี จะทําใหผ฾ เู฾ ลย้ี งดแู ละเดก็ ปรับตัวเขา฾ หากนั ไดง฾ า฽ ย ข้ึน และเดก็ เกิดความไว฾วางใจผู฾เลย้ี งดู ได฾เร็วข้ึนอีกด฾วย เพราะการจัดตารางเวลาการตอบสนองความต฾องการของ เด็กน้ันจะช฽วยให฾ผ฾ูเลี้ยงดู สามารถวางแผนจัดตารางชีวิตประจําวันได฾ และที่สําคัญเด็กจะเรียนร฾ูว฽าการตอบสนองความ ต฾องการ ของเขาจะเกิดข้ึนอย฽างแน฽นอน สามารถคาดเดาได฾ จึงทําให฾เด็กเกิดความไว฾วางใจในผ฾ูเล้ียงดู มีความ อดทน อดกลน้ั มากข้นึ และอารมณแดี ตวั อยา฽ งเช฽น เม่ือเด็กทารกหิวนม และร฾องไห฾ แม฽เดินมาปลอบและ ปูอนนม คราวต฽อไป เมื่อเด็กหิวนมและร฾องไห฾เด็กได฾ยินเสียงแม฽เดินมา เด็กจะหยุดร฾องไห฾เองและรอกิน นมแมแ฽ ละเมื่อแมเ฽ รม่ิ เรียนรเู฾ วลา หิวของลูก และจัดเปน็ ตารางเวลา เด็กก็จะรออย฽างไม฽เป็นกังวล เพราะ ม่นั ใจว฽าเมอ่ื ถงึ เวลา แมจ฽ ะใหก฾ นิ นมแน฽นอน 2. ให้ความรัก ความอบอุ่น การให฾ความรัก ความอบอุ฽นในชีวิตประจําวัน เป็นการสร฾าง บรรยากาศทเี่ ออ้ื ตอ฽ การเรยี นรู฾ ทําใหส฾ มองของเด็กสดใส พร฾อมที่จะเรียนรู฾ส่ิงต฽าง ๆ รอบตัว แนวปฏิบัติ ในการมอบความรกั ความอบอุ฽น สามารถทําไดโ฾ ดยการใช฾หลักการมองตาดังได฾กล฽าวมาแล฾ว โดยผ฾ูเล้ียงดู สามารถใชห฾ ลักการมองตากบั เด็กปฐมวัยได฾ ตั้งแต฽แรกเกิด เชน฽ ตอนให฾นมเดก็ ตอนเปล่ียนผ฾าอ฾อมให฾เด็ก ตอนกล฽อมเด็กให฾หลับ ตอนปลอบให฾เด็กหยุดร฾องไห฾ ตอนเล฽นและพูดคุยกับเด็กดังที่ได฾กล฽าวมาแล฾วว฽า การมองตาจะช฽วยดงึ ความสนใจของเดก็ มาอยูท฽ ี่ผเ฾ู ลยี้ งดู ทาํ ให฾เด็ก มีสมาธิ สามารถสอ่ื สาร และสร฾างสาย สมั พนั ธกแ บั ผเู฾ ลีย้ งดไู ด฾ นอกจากหลักการมองตาแล฾ว อีกหน่ึงหลักการที่ผ฾ูเล้ียงดูสามารถใช฾ได฾เลยต้ังแต฽เด็กแรกคลอด เพ่ือน ความรกั ความอบอน฽ุ คือ หลักการแสดงความเข฾าใจ โดยผ฾ูเลี้ยงดูสามารถพูดแสดงความเข฾าใจกับ

160 เด็กได฾ตลอด เพ่ือให฾เด็กซึมซับความรัก ความเข฾าอกเข฾าใจ และเก็บคําศัพทแ อธิบายอารมณแไว฾ในคลัง สมอง เมอ่ื เดก็ โตจนถึงวยั พดู ได฾ เด็กจะรู฾จักอารมณแตนเอง สามารถอธิบายความต฾องการ และความรู฾สึก ของตนเองได฾ ตัวอย฽างการใช฾หลักการ แสดงความเข฾าใจ เช฽น “หนูหิวแล฾วใช฽ไหมคะหนูเลยร฾องไห฾” “หนู ร฾ูสึกแฉะไม฽สบายตัวแน฽เลย หนูเลยดึงผ฾าอ฾อมตัวเอง “หนูมีความสุขเมื่อเล฽นกับแม฽ หนูเลยย้ิมกว฾างเลย” “หนอู ิม่ แล฾ว หนูเลยปใดนมทงิ้ ” เป็นต฾น 3. จดั การกบั อารมณต์ นเองและควบคมุ อารมณ์ตนเองให้เป็นปกติเม่ืออยู่กับเด็ก เด็กเรียนรู฾ได฾ ดีจากประสาทสัมผัส ประสบการณแแรกของประสาทสัมผัสท่ีเด็กได฾รับ คือ ความรัก ความอบอุ฽นจาก สัมผัส การมองตา กล่ินนํ้านม นํ้าเสียง และจังหวะการเต฾นของหัวใจของแม฽หรือผ฾ูเล้ียงดู ดังน้ันเด็กจึง สามารถรับรู฾อารมณแของผู฾เล้ียงดูได฾ต้ังแต฽แรก เกิด และเด็กยังสามารถซึมซับอารมณแของผู฾เลี้ยงดูได฾อีก ด฾วย หากผเ฾ู ล้ียงดูมีความวิตกกังวล เครียดอย฽ูเป็นประจํา เด็ก กจ็ ะซึมซบั กลายเปน็ เด็กทมี่ คี วามวิตกกงั วล เครียดรวมไปถงึ ไม฽ไว฾วางใจผ฾ูเล้ียงดูด฾วย ในทางตรงกันข฾าม หากผ฾ูเล้ียง ดูมีอารมณแปกติดี ยิ้มแย฾มแจ฽มใส เด็กกจ็ ะซมึ ซบั กลายเปน็ เดก็ อารมณดแ ี ไม฽เครียด และไวว฾ างใจผ฾ูเล้ียงดูเชน฽ เดียวกนั แนวปฏิบัติการจัดการและควบคุมอารมณแตนเองให฾เป็นปกติเมื่ออย฽ูกับเด็กนั้น ผู฾เลี้ยงดูต฾องมี ความเข฾าใจ พ้ืนฐานในเร่ืองพัฒนาการ และพฤติกรรมของเด็กในแต฽ละช฽วงวัย รวมถึงความเข฾าใจใน ธรรมชาตขิ องเด็กแรกเกดิ จนถงึ วัย 3 ขวบ กอ฽ นวา฽ การร฾องไห฾ การทาํ ผิดซ้ําแล฾วซ้ําอกี รวมไปถงึ การชอบ เลน฽ ไมอ฽ ย฽ูนิง่ เฉย และต฾องการความ สนใจอยตู฽ ลอดเวลาน้นั เปน็ เรอื่ งธรรมดาของเด็กเล็ก ถึงแม฾ว฽าความ โมโห ความโกรธ และความเครยี ดของผูใ฾ หญจ฽ ะ เป็นเรอ่ื งธรรมดาเช฽นเดียวกันแต฽ด฾วยความเป็นผู฾ใหญ฽ที่มี วุฒิภาวะมากกว฽าเด็กจึงสามารถจัดการและควบคุมอารมณแ ได฾ง฽ายกว฽าเด็ก ดังน้ัน หากเปูาหมายระยะ ยาว คือ การให฾เด็กมีทักษะทางอารมณแ สังคม และจิตใจดี เปูาหมายระยะ สั้น คือ ผ฾ูเล้ียงดูต฾องแสดง อารมณแออกมาเป็นพฤติกรรมท่ีเหมาะสม เพ่ือเป็นตัวอย฽างให฾เด็กได฾ดูก฽อนและฝึกฝนเด็ก จนซึมซับเป็น นิสยั ผู฾เลี้ยงดูสามารถใช฾หลักการแสดงความเข฾าใจโดยการคุยกับตนเอง เพื่อจัดการและควบคุม อารมณขแ องตนเอง หรือโดยการพูดคยุ กบั เด็ก แทนการระบายอารมณแใส฽เด็กก็ได฾ ตัวอย฽างการใช฾หลักการ แสดงความเข฾าใจเพือ่ จัดการ และควบคุมอารมณแของผ฾ูเลี้ยงดู เช฽น “แม฽ไม฽ค฽อยสดชื่น เพราะแม฽ปวดหัว” “วันนีพ้ อ฽ ไมอ฽ ยากเล฽นอ฾มุ หนูโยน เพราะ พ฽อเหน่ือยมาก” “แม฽รอ฾ งไห฾ เพราะแม฽เครียดเรอ่ื งงาน”เป็นตน฾ 4. เคารพในสิทธ์ิ และความรู้สึกของเด็ก เด็กเล็กลืมตาดูโลกพร฾อมกับความต฾องการพื้นฐานทั้ง ทางร฽างกาย และจิตใจ รวมถึงมีความสามารถในการแยกแยะสิ่งท่ีตนเองชอบ หรือ ไม฽ชอบ หาก เปูาหมายระยะยาว คือ การท่ีเด็ก เติบโตข้ึนมามีความเคารพในสิทธิและความรู฾สึกของผ฾ูอื่นเปูาหมาย ระยะสั้นคือผ฾ูเล้ียงดูต฾องเคารพในสิทธิและความ รู฾สึกของเด็กเล็ก แนวปฏิบัติการเคารพสิทธิและ ความรู฾สึกของเด็กสามารถทําได฾โดยผ฾ูเลี้ยงดูใช฾หลักการเคารพในสิทธิ และความรู฾สึกของผ฾ูอื่นใน ชวี ิตประจําวัน

161 การตอบสนองความต฾องการทางร฽างกาย และจิตใจเด็กแรกเกิดจนถึง 1 ปี ถือว฽าเป็นการเคารพ ในสิทธิ และ ความร฾ูสึกของเด็กข้ันแรก แต฽เมื่อเด็กโตข้ึนมาจนสามารถบอกความต฾องการและความร฾ูสึก ได฾ผ฾ูเล้ียงดูสามารถแสดง ความเคารพในสิทธิ และความรู฾สึกของเด็กได฾มากข้ึน และเป็นรูปธรรมมากข้ึน ดังน้ี - ถาม และฟใงความต฾องการ และความรู฾สึกของเด็ก รวมถึงให฾เด็กมีส฽วนร฽วมในการตัดสินใจ เช฽น ก฽อนใส฽เส้ือหนาวให฾เด็ก ผ฾ูเลี้ยงดูถามเด็กก฽อนว฽าเด็กร฾ูสึกหนาวหรือไม฽ เม่ือผ฾ูเล้ียงดูต฾องการหอมแก฾มเด็ก หรอื ใชข฾ อง ส฽วนตวั ของเดก็ ตอ฾ งขออนญุ าตเด็กก฽อน และเคารพในการตดั สินใจของเดก็ เปน็ ตน฾ - บอกใหเ฾ ดก็ รบั ร฾ูวา฽ ผูเ฾ ล้ยี งดเู คารพในการสิทธิ ความร฾สู ึก ความคิดเห็น และการตัดสินใจของเรา เม่ือเด็กตอบว฽าไม฽หนาว ไม฽อยากใส฽เส้ือกันหนาว ผู฾เล้ียงดูควรพูดว฽า “แม฽ยังไม฽ใส฽เส้ือกันหนาวให฾หน เพราะ เคารพในความร฾ูสกึ ของหนู หากเราจะติดเสอ้ื กนั หนาวไปเผือ่ หนจู ะเอาตัวไหนไป” เป็นต฾น 5. สอนและฝกึ ฝนให้เดก็ ปฏิบตั ทิ กั ษะท่ีนาไปสู่เป้าหมายระยะยาวหากใหผ฾ ฾เู ลี้ยงดลู องเขียนบาท ให฾เด็กเติบโตข้ึนมาเป็นอย฽างไร จะเห็นว฽าเปูาหมายระยะยาวจะเป็นนามธรรม เช฽น เป็นคนมีความ รับผิดชอบ เป็นคนดี มีมารยาท เป็นคนท่ีช฽วยเหลือตัวเองได฾ซึ่งเปูาหมายระยะยาวนี้จะไม฽สามารถบรรลุ ได฾ด฾วยการสอนปากเปล฽า แต฽ต฾องสอนให฾เด็กปฏิบัติทักษะท่ีจะนําไปส฽ูเปูาหมายระยะยาว เช฽น เด็กจะไม฽ สามารถมีความรับผดิ ชอบได฾หากผ฾ูเลีย้ งดู เพียงแค฽บอกวา฽ ต฾องมคี วามรบั ผดิ ชอบ แต฽ไมเ฽ คยสอนและฝึกฝน ให฾เด็กรับผิดชอบอะไรผ฾ูเล้ียงดูจําเป็นต฾องกําหนด เปูาหมายระยะสั้นด฾วยการมอบหมายงานและสอน ทักษะการทํางานท่ีได฾รับมอบหมายและให฾กําลังใจจนเด็กสามารถ และจนสําเร็จ เช฽นหากมอบหมายให฾ เดก็ รบั ผิดชอบเร่ืองการเกบ็ รองเทา฾ เขา฾ ที่ ผเ฾ู ล้ียงดูต฾องสอนวธิ กี ารเก็บของการ เก็บเรียงอย฽างไร เก็บท่ีไหน เป็นตน฾ จงึ เห็นไดว฾ ฽า แนวปฏิบตั กิ ารสรา฾ งวินัยเชิงบวกเพ่ือสานสายใยสัมพันธแ และเสริมสร฾างพฤติกรรมท่ี เหมาะสมใน เบ้ืองต฾นนี้มีความสําคัญมากต฽อการถักทอเครือข฽ายเส฾นใยสมองของเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี เพราะเด็กจะเรียนรพู฾ ฤติกรรม การตอบสนอง ตามที่ครอบครัวคาดหวังไปพร฾อม ๆ กันกับการเรียนรู฾โลก ใบน้ีสั่งสมเป็นประสบการณแที่มีผลต฽อยอด พัฒนาการสมองอารมณแ สังคม จิตใจ และพฤติกรรมของเด็ก หากเด็กได฾รับการสอนและฝึกฝนทักษะด฾วยความรัก ความอบอุ฽น เด็กก็จะเจริญเติบโตอย฽างงอกงาม มี พัฒนาการทางจติ ใจทีม่ ั่นคง ไว฾ใจสมาชกิ ในครอบครวั จนพัฒนา เป็นความรัก และความผูกพันธแที่เหนียว แน฽นต฽อไป ซึ่งจะเป็นที่ยึดเหน่ียวทางจิตใจ ให฾เด็กมีพฤติกรรมท่ีเหมาะสม มี ทักษะในการคิด ตัดสินใจ เลือกใช฾ชีวิตอย฽างชาญฉลาด มีวินัย และมีความรับผิดชอบต฽อตนเอง ครอบครัว และสังคม และมีความ ภาคภูมใิ จใจตัวเอง 6.แนวปฏิบตั กิ ารสร้างวินยั เชิงบวกในครอบครวั ทม่ี ีเด็กปฐมวยั อายุ 3 ปี เนื่องจากพัฒนาการของเด็กในช฽วงวัย 3 ปีถึง 6 ปี ดีข้ึนมากท้ังทางด฾านการควบคุมร฽างกาย และ อารมๆ รวมถึงสมองส฽วนเหตุผลเด็กในช฽วงวัยนี้สมองส฽วนเหตุผลเจริญเติบโตมากข้ึนด฾วย จึงทําให฾เด็ก สามารถนําประสบการอยู฽ มาวิเคราะหแ และเรียนร฾ูอย฽างเป็นเหตุผลมากข้ึน แต฽อย฽างไรก็ตาม

162 ความสามารถในการใช฾เหตุผล และแก฾ไขปใญหา เฉพาะหน฾ายังคงจํากัดอยู฽ โดยข้ึนอยู฽กับประสบการณแที่ ได฾รับมาจากการเลย้ี งดู และความรส฾ู ึกทชี่ ัดเจนมากข้ึนของ ตนเอง เดก็ วัยน้จี งึ มพี ฤตกิ รรมต฽อต฾าน และไม฽ ทําตามคําสั่ง เม่ือส่ิงท่ีผู฾เลี้ยงดูให฾ทําไม฽ตรงกับความต฾องการ หรือ เหตุผลของตนเอง ดังน้ัน การใช฾การ สร฾างวินัยเชิงบวกในช฽วงวัยนี้ จึงเน฾นแนวปฏิบัติการส฽งเสริมพฤติกรรมด฾วยการ สอน ฝึกฝน และสร฾าง แรงจูงใจอยา฽ งมัน่ คงต฽อเน่ือง เพ่ือชว฽ ยใหเ฾ ด็กบรรลุพฤติกรรมเปูาหมายระยะสนั้ และปูทางไปส฽ู พฤตกิ รรม เปูาหมายระยะยาว (Nelson, et al., 2007; Masterson, 2008, Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn 2009b; Kersey & Masterson, 2013) แนวปฏิบัติการสร฾างวินัยเชิงบวกในครอบครัวท่ีมีเด็กปฐมวัยในช฽วงอายุ 3 ปี ถึง 6 ปี สามารถ ปฏบิ ตั ไิ ด฾ 4 แนวทางสาํ คญั ดังน้ี 1. ใช้หลักการสร้างวินัยเชิงบวกในชีวิตประจาวัน เป็นแนวปฏิบัติเพ่ือเสริมสร฾างพฤติกรรมที่ เหมาะสมให฾ แก฽เด็กซ่ึงจะเป็นวิธีการสอนและการฝึกฝนเพ่ือให฾เด็กเกิดแรงจูงใจท่ีจะทําพฤติกรรม เปูาหมายระยะสั้นได฾สําเร็จ เช฽น หากเปูาหมายพฤติกรรม คือ การทานข฾าวให฾หมดจาน แทนการออก คําสั่งว฽ากินให฾หมด ผ฾ูเล้ียงดูสามารถใช฾หลักการ ให฾ทางเลือกเชิงบวก ด฾วยการถามว฽าจะทานอีก 5 คํา หรอื 10 คาํ หรือแทนการตั้งเงื่อนไขว฽าหากเก็บของเล฽นไม฽เสร็จ หนังสือนิทานให฾ฟใงค฽ะ เป็นต฾น แม฽จะไม฽ อ฽านนิทานให฾ฟใง ด฾วยการใช฾หลักการอะไรก฽อน อะไรหลัง เช฽น เมื่อหนูเก็บของเล฽นเรียบร฾อยแล฾วแม฽จะ อา฽ น 2. สอนทักษะเด็กให้บรรลุพฤติกรรมเป้าหมายตามขั้นตอนการสอนปรบมือ โดยมีแนวปฏิบัติ ดังนี้ 2.1 ทําให฾ดู เม่ือผ฾ูเล้ียงดูต฾องการส฽งเสริมทักษะ หรือปลูกพฤติกรรมที่คาดหวัง ผ฾ูเล้ียงดู จําเป็นต฾อง ทําให฾เด็กดูเป็นตัวอย฽างในชีวิตประจําวันด฾วย ซึ่งเปรียบได฾กับข้ันตอนแรกของการสอนเด็ก ปรบมือ นัน่ กค็ ือ เราปรบมือ ให฾เดก็ ดูกอ฽ น เพอ่ื หวงั ใหเ฾ ดก็ ไดท฾ ําตาม เชน฽ เม่อื ตอ฾ งการให฾เดก็ ล฾างจาน หลัง ทานข฾าวเสร็จแล฾ว ผเู฾ ลีย้ งดูกจ็ ะตอ฾ งล฾าง จานใหด฾ เู ป็นตัวอย฽าง 2.2 สอนให฾ทํา การอธิบายวิธีการทําพฤติกรรมเปูาหมายนั้น ๆ ว฽า ต฾องทําอย฽างไร เมื่อใด เปรียบได฾ ดงั ขนั้ ตอนการสอนเดก็ ปรบมือ คือ นอกจากการทําให฾ดเู ป็นตัวอย฽างแล฾ว ผ฾ูเลีย้ งดยู งั จาํ เปน็ ต฾อง จับมือเด็ก ปรบมือ เพื่อให฾เด็กได฾เรียนร฾ูวิธีการปรบมือผ฽านการสอน ควบคู฽ไปกับการลงมือทําไปด฾วยกัน กับผ฾ูเล้ียงดู เช฽น การ สอนวิธีการล฾างจานให฾กับเด็กตามขั้นตอนตั้งแต฽การเทนํ้ายาล฾างจานลงบนฟองน้ํา ไปจนถงึ วธิ กี ารควาํ่ จาน เปน็ ต฾น 2.3 ใหโ฾ อกาสฝกึ ฝน การเปดิ โอกาสใหเ฾ ด็กไดม฾ ีโอกาสลองทําดดู ว฾ ยตนเอง โดยมีผ฾ูเล้ียงดูคอย ให฾ กาํ ลังใจเพ่อื สง่ั สมประสบการณแ จนเกิดเป็นความสามารถและทักษะ ซึ่งเปรียบได฾ดังข้ันตอนการสอน ปรบมือที่ ผู฾เล้ียงดูกระต฾ุนให฾เด็กลองปรบมือด฾วยตนเอง โดยการร฾องเพลงกระตุ฾น หรือยกให฾เด็กปรบมือ ชมตวั เอง เชน฽ การมอบ หนา฾ ทลี่ ฾างแกว฾ ให฾กับเดก็ กอ฽ น สว฽ นผเ฾ู ลี้ยงดูจะเป็นคนลา฾ งจาน เปน็ ต฾น

163 2.4 ให฾กําลังใจการที่ผ฾ูเลี้ยงดูคอยให฾คําแนะนําและคําชมอยู฽ข฾าง ๆ เพื่อให฾เด็กเกิดแรงผลัก ภายใน ท่ี จะทําพฤตกิ รรมนน้ั บ฽อย ๆ ซ้าํ ๆ ดว฾ ยตนเอง เปรยี บได฾ดงั การท่ผี ฾ูเล้ยี งดู แสดงความชื่นชม ดีเจ แล฾ว ซ่งึ ทาํ ให฾เด็กร฾สู ึกอยากปรบมอื อยากให฾ความร฽วมมือกับผู฾เลี้ยงดูอีก หากเปลี่ยนเป็นการล฾างจา และ ขอบใจที่เดก็ รบั ผดิ ชอบชว฽ ยเหลอื งานจนสาํ เร็จ 3. ใช้การสร้างวินัยเชิงบวกอย่างม่ันคงและต่อเนื่อง เป็นแนวปฏิบัติการสร฾างวินัยเชิงบวกทบ เพราะจะช฽วยให฾เด็กได฾เรียนรู฾ว฽า ความคาดหวังของผ฾ูเล้ียงดูนั้นมั่นคงและสามารถคาดเดาได฾ เด็กจะร฾ูสึก ปลอดภัย เกิดความมั่นคงทางอารมณแ เรียนรู฾พฤติกรรมที่เหมาะสมได฾ง฽าย และกล฾าที่จะลองทํา ลอง เรียนรู฾โลกภายนอก หาก แนวปฏิบัติของผ฾ูเล้ียงดูผันแปรไปตามอารมณแของผ฾ูเลี้ยงดู ไม฽มีความม่ันคง ต฽อเนอื่ ง เชน฽ หากผ฾เู ลี้ยงดูมอบหมายให฾ เด็กลา฾ งจาน แตเ฽ ดก็ ทําไม฽เสร็จ และผูเ฾ ลี้ยงดูเตอื นให฾เด็กมาทําต฽อ จนเสร็จบา฾ ง บางคร้ังก็ปล฽อยปละละเลยไม฽ว฽าอะไร บ฾าง หรือบางทีก็ต฽อว฽า และทําโทษ ก็จะส฽งผลให฾เด็ก สับสน เกิดการต฽อต฾าน และไม฽เห็นความสําคัญของงานท่ีได฾รับ มอบหมายรวมไปถึงไม฽มีแรงจูงใจทําให฾ พฤติกรรมเปูาหมายบรรลตุ ามเปูาหมายระยะสนั้ ได฾ 4. ใช้หลักการสร้างวินัยเชิงบวกอย่างอ่อนโยนและแน่วแน่ เป็นแนวปฏิบัติการสร฾างวินัยเชิง บวกที่จะ ช฽วยให฾การเล้ียงดูเด็กมีขอบเขตชัดเจนว฽าอะไรที่เด็กควรทํา หรือไม฽ควรทํา ขอบเขตน้ีสามารถ ยืดหยุน฽ ไดบ฾ ฾าง แตต฽ ฾อง มีการตกลง ให฾เหตุผลกบั เดก็ ก฽อนเนื่องจากเด็กในช฽วงวัยน้ี จะมีพฤติกรรมทดสอบ ขอบเขตของตนเองว฽า สามารถจะ ประพฤติได฾เกินขอบเขตท่ีผ฾ูเลี้ยงดูต้ังไว฾ได฾เท฽าไหน ซ่ึงเป็นพฤติกรรม ธรรมชาติของมนุษยแท่ีชอบควบคุมสถานการณแ ดังน้ัน ผ฾ูเลี้ยงดูจึงจําเป็นต฾องมีความแน฽วแน฽ในการยืนยัน ให฾เด็กมคี วามประพฤตติ ามที่คาดหวงั แต฽ยังคงความ อ฽อนโยนในการสอน และสรา฾ งแรงจูงใจให฾เด็กอยาก ที่จะทําพฤติกรรมเปูาหมายด฾วยความเต็มใจ ไม฽ร฾ูสึกว฽าถูกบังคับ ยกตัวอย฽างเช฽น เม่ือใช฾หลักการให฾ ทางเลือกเชิงบวกในสอนพฤติกรรมเปูาหมาย คือ การเล฽นเสร็จแล฾วเก็บของเล฽น โดยการให฾ทางเลือกเด็ก ว฽าอีก 1 นาทีหรือ 2นาท่ีจะเก็บของเล฽นและถ฾าเด็กตอบว฽า 5นาที่ผู฾เลี้ยงดูก็จําเป็นต฾องยืนยันว฽า 1 นาที หรือ 2 นาที เนอื่ งจาก 5 นาที ไม฽มีอย฽ูในทางเลอื ก เปน็ ต฾น แนวปฏิบัติการสร฾างวินัยเชิงบวกท่ีเน฾นการสร฾างความสัมพันธแท่ีดีกับเด็กปฐมวัย ด฾วยการ ตอบสนองความ ต฾องการพ้ืนฐานทางกายและทางจิตใจรวมถึงเน฾นธรรมชาติการเรียนรู฾ของเด็กนอกจาก จะช฽วยให฾เด็กเรียนรู฾ผ฽านการ ซึมซับและเลียนแบบแล฾ว เด็กยังเรียนรู฾ได฾ดีจากการสอนวิธีการทํา พฤตกิ รรมเปูาหมายอย฽างเปน็ ขนั้ ตอน ซึ่งจะชว฽ ย ใหเ฾ ด็กมีกําลงั ใจในการทําพฤติกรรมเปูาหมายมากข้ึน มี ความรู฾สึกต฽อต฾านลดน฾อยลง ควบคุมอารมณแได฾ง฽ายขึ้น และ ให฾ความร฽วมมือกับผู฾เลี้ยงดูมากขึ้นโดยไม฽ รู฾สึกตัวว฽ากําลังถูกฝึกฝนอย฽ู (Nelson, et al., 2007, Masterson, 2008 Thanasetkorn, 2009a; Thanasetkorn, 2009b; Kersey & Masterson, 2013) นอกจากนี้ แนวปฏบิ ตั กิ ารสร฾างวินัยเชิงบวกจําเป็นต฾องมีความมั่นคง และต฽อเน่ือง รวมถึงผ฾ูเลี้ยง ดตู ฾อง ยืนกรานให฾เด็กทําพฤติกรรมที่คาดหวัง ด฾วยการสร฾างแรงจูงใจอย฽างอ฽อนโยน เพราะเด็กในช฽วงวัย 3 ปี ถึง 6 ปี จะมีประสบการณแมากข้ึนรู฾จักความต฾องการของตนเองมีความสนใจเป็นของตนเอง และท่ี

164 สําคัญคือ มีความสามารถ ในการพ่ึงตนเองได฾มากข้ึน จึงมีแรงขับภายในท่ีต฾องการจะทําตามใจตนเอง มากขึ้น และทดสอบขอบเขตกับผ฾เู ลี้ยงดู ด฾วยการลองทําพฤติกรรม เพ่ือที่จะได฾มาในส่ิงท่ีตนเองต฾องการ และลองดูผลตอบรับจากผู฾เลี้ยงดู หากผ฾ูเลี้ยงดูมี แนวปฏิบัติการสร฾างวินัยเชิงบวกอย฽างไร฾ทิศทาง ไม฽มี ความมน่ั คงต฽อเนอื่ ง และไมม฽ กี ารยนื ยนั ตามขอบเขตท่ีกาํ หนด จะทําให฾พฤติกรรมที่คาดหวังอย฽างแน฽วแน฽ จากเด็กไม฽ได฾รับความร฽วมมือในการทําตามกฎเกณฑแ และขอบเขตท่ีต้ังไว฾ใน ครั้งต฽อ ๆ ไป และถ฾าหาก เกิดขน้ึ บ฽อย ๆ ผ฾เู ลยี้ งดกู จ็ ะไม฽สามารถนําเดก็ ไปสเ฽ู ปูาหมายระยะยาวรวมถงึ เปาู หมายสูงสุด ของการสร฾าง วินัยเชิงบวกด฾วย น่ันก็คือ การสอนให฾เด็กมีวินัยในตนเอง (Nelson, et al., 2007; MasterSon, 2008;Thanasetkorn, 2009a: Thanasetkorn, 2009b; Kersey & Masterson, 2013) จะเห็นได฾ว฽าการสร฾างวินัยเชิงบวกในการเล้ียงดูของครอบครัว เพ่ือส฽งเสริมพัฒนาเชิงบวกในการ เลี้ยงดูของครอบครัว เพ่ือส฽งเสริมพัฒนาการ ศาสตรแและศิลป฼ท่ีเป็นศาสตรแเนื่องจากศาสตรแเรื่อง พัฒนาการและการเรียนร฾ขู องเด็กจะชวยกําหนดพฤติกรรมของเด็กมากขึ้น และที่สําคัญช฽วยให฾ผู฾เล้ียงดูมี ความสามารถในการเล้ียงดูเด็กอย฽างมีเปูาหมาย โดยสามารถกําหนดพฤติกรรมเปูาหมายท่ีต฾องการ ส฽งเสริม ให฾สอดคลอ฾ งกบั พฒั นาการ ได฾ นอกจากน้ี การสร฾างวินัยเชิงบวกยังเป็นศิลป฼ เน่ืองจากการสร฾าง วินัยเชิงบวกจําเป็นต฾องเชื่อยาง แนวปฏิบัติท่ีสามารถนําไปประยุกตแใช฾ให฾เหมาะสมตามเหตุการณแที่ เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน เพ่ือให฾เกิดประโยชนแ สูงสุดในการส฽งเสริมพัฒนาการในด฾านต฽าง ๆ ของเด็กแต฽ ละคนอยา฽ งเตม็ ศักยภาพ

165 บรรณานกุ รม Ahmad, I., Said, H.,& Khan, F. (2013). Effect of corporal, Effect of corporal punishment on students' motivation and classroom learning. Review of European Studies, 5(4). doi: 10.5539/res.vbn4p130 Ardila, A. (2008). On the evolutionary origins of executive functions. Brain and Cognition 68, 92-99. Bailey, S., & Baines, E. (2012). The impact of risk and resiliency factors on the adjustment of chosen the transition from primary to secondary school. Education & Child Psychology,29(1) 47-63 Berry, D. (2012). Inhibitory control and teacher-child conflict: Reciprocal associations across mentary- school years. Journal of Applied Developmental Psychology, 33(1), 66-76. doi: 10.1016/). appdev 2011.10.002 Bodrova, E., & Leong, D. J. (2008). Developing self-regulation in kindergarten. Can we keep all the Crickets in the basket? Beyond the Journal-Young Children on th Web(March), 1-3. Carlson, S. M. (2005). Developmentally sensitive measure of executive function in preschool children. Developmental Neuropsychology, 28, 595-616. Carlson, S. M., & Wang, T. S. (2007). Inhibitory control and emotion regulation in preschool children. Cognitive Development 22, 489-510. Chang, K., Olson, S. L., Sameroff, A. J., & Holly, S. R. (2011). Child effortful control as a mediator of parenting practices on externalizing behavior: evidence for a sex-differentiated pathway across the transition from preschool to school. Journal of Abnormal Child Psychology, 39(1), 71-81. doi: 10.1007/s10802-010-9437-7 Denham, S. A., Blair, K. A., & DeMulder, E. (2003). Preschool Emotional Competence: Pathway to Social Competence? Child Development, 74(1), 238-256. Dreikurs, R., Cassel, P., & Ferguson, E.D. (2004). Discipline without tears: How to reduce conflict and

166 establish cooperation in classroom (Revised Edition). Canada: WILEY. Dreikurs, R. & Soltz, V. (1991). Children: The challenge. New York: Penguin Group. Duckworth. K. Akerman, R., MacGregor, A., Salter, E., & Vorhaus, J. (2009). Self-regulated learning a literature review. Centre for Research on the Wider Benefits of Learning(33). Fantuzzo, J., Bulotsky-Shearer, R., McDermott, P. A., McWayne, C., Frye, D., & Perlman, S. (2007) Investigation of dimensions of social-emotional classroom behavior and school readiness for low-income urban preschool children. School Psychology Review, 36(1), 44-62. Feldman. R. & Klein. P. S. (2003). Toddlers' self-regulated compliance to mothers, caregivers, and fathers: Implications for theories of socialization personal. Developmental Psychology, 39(4): 680-692 Garon. N. Bryson S. E. & Smith, I. M. (2008). Executive function in preschoolers: A review using an Integrative framework. Psychological Bulletin, 134(1), 31-60. Grogan, K. (2004). The effect of corporal punishment on antisocial behavior in children. Social Work Research, 28(3), 153-162. Howes, P.C.. Leslie. C. & Peisner-Feinberg, E. (2000). The consistency of perceived teacher-child relationships between preschool and kindergarten. Journal of School Psychology, 38(2), 113-132 Howse, R. B., Calkins, S. D., & Anastopoulos, A. D. (2003). Regulatory contributors to children's kinderga achievement. Early Education and Development, 14(1), 101-119. Isquith, P. K., Gioia, G. A., & Espy K. A. (2004). Executive function in preschool children: Examinati through everyday behavior developmental neuropsychology. Developmental Neuropsycholo 26(1), 403-422. Jahromi, L. B., & Stifter, C. A. (2008). Individual differences in preschoolers' self- regulation and theory of mind. Merrill-Palmer Quarterly, 54(1), 125-150.

167 Kersey, K. C., & Masterson, M. L. (2013). 101 Principles for positive guideance with young chidren. Nem Jersey: Pearson Educarion, Inc. Lengua, L. J. (2003). Associations among emotionality, self-regulation, adjustment problems, and positive adjustment. Applied Developmental Psychology, 24, 595-618. Masterson, M. L. (2008). The impact of the 101s: A guide to positive discipline training on teacher interaction practices, attitudes and prosocial skill outcomes in preschool classroom. Norfolk, VA: Old Dominion University. Murray, K. T. & Kochanska, G. (2002). Effortful control: Factor structure and relation to externalizing and internalizing behaviors. Journal of Abnormal Child Psychology, 30(5), 503-514. Nathaniel, R.R., Laudan, B. J., Rachel, P. R., Janean, E. D., & Ulrich, M. (2006). Executive function and the promotion of social-emotional competence. Journal of Applied Developmental Psychology, 27, 300-309 Nathanson, L., Rimm-Kaufman, S. E., & Brock, L. L. (2009). Kindergarten adjustment difficulty: The contribution of children's effortful control and parental control. Early Education & Development, 20(5), 775-798. doi: 10.1080/10409280802571236 Nelsen, J. (2006). Positive discipline. New York: Ballantine Books. Nelsel, J., Erwin, C., & Duffy, R. A. (2007). Positive discipline for preschoolers. New York: Three Rivers Press Olson, S. L., Tardif, T. Z., Miller, A., et al. (2011). Inhibitory control and harsh discipline as predictors of externalizing problems in young children: A comparative study of U.S., Chinese, and Japanese preschoolers. J Abnormal Child Psychology 39(8), 1163-1175.

168 Paulo, A. G., Susan, P. K., & Susan, D. C. (2010). Maternal behavior and children's early emotion regulation skills differentially predict development of children's reactive control and later effortful control. Child Development, 19, 333-353. Pichitkusalachai, P., Sutipan, P., Chumchua, V., & Thanasetkorn, P. (2012). Self-regulation in Thai preschoolers: The impact of the 101s positive discipline teacher training on teacher interactions and children's self-regulation in Thailand. ISSBD 2012, p 3.117. Pichitkusalachai, P., Suthipan, P., Chutabhakdikul, N., Chumcha, V., & Thanasetkorn P. (2012). Self-Regulation in Thai preschoolers: The impact of the 101s positive discipline teacher training on teacher interactions and children's self-regulation in Thailand. The First ASEAN Plus Three Graduate Research Congress (AGRC) (Proceeding). Susanne, A. D., Hideko : B ,Melissa ,M Sara, K .,W.,Todd, W.,& Yana, S.(2011) Social – emotional learning profiles of preschoolers’ early school success: A person- approach. Learning and Individual Differences. Doi:10.1016/j.lindif.2011.05.001 Sutipan, P., Pichitkusalachai, P., Chumcha. V & Thanasetkorn , P. (2012). The impact of the 101s positive practices and preschoolers' executive function skills. ISSBD discipline teacher training on teacher practices and preschoolers' executive unce2012, p3.109. Guthipan, P., Pichitkusalachai, P., Chutabhakdikul. N Chumcha V. & Thanasetkorn P. (2012). The impact funcof the 101s positive discipline teacher training on teacher practices and preschool executive function skills. The First ASEAN Plus Three Graduate Research Congress (AGRC) (Proceeding). Thanasetkorn, P. (2009a). The impact of the 101s: A guide to positive discipline teacher training on teacher interaction practices, teacher-child relationship quality, school adjustment, and academico in kindergarten classroom in Bangkok, Thailand. Old Dominion University, Norfolk, VA. Thanasetkorn, P. (2009b). The impact of the 101s: A guide to positive discipline parent training: A case

169 study of kindergarteners and their parents in Bangkok, Thailand. Old Dominion University, Norfolk, VA. Trentacosta, C. J. & Shaw, D. (2009). Emotional self-regulation, peer rejection, and antisocial behavior: Developmental associations from early childhood to early adolescence. Journal of Applied Devel opmental Psychology, 30, 356-365. Vittrup, B. & Holden, G. W. (2010). Children's assessments of corporal punishment and other disciplinary practices: The role of age, race, SES, and exposure to spanking. Journal of Applied Developmental Psychology, 31(31), 211-220. Winsler, A., De Leon, J. R., Carlton, M., Barry, M. J., Jenkins, T., & Carter, K. L. (1997). Component of self regulation in the preschool years: Developmental stability, validity, and relationship to classroom behavior. The Biennial Meeting of the Socirty for Research in Child Development, (pp. 1-20). Washington, DC.

170 หนว่ ยที่ 6 การเสรมิ สรา้ งสุขภาวะ คุณค่า คณุ ธรรมในครอบครัว ความหมายและความสาคญั ของการเสรมิ สร้างทกั ษะชีวิตในครอบครวั ที่มีเดก็ ปฐมวัย ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล และคณะ (2556) ได฾กล฽าวไว฾ว฽า “ทักษะชีวิต (Life Skill)”ถูกนํามาใช฾ ในประเทศไทย ในความหมายของการคิด ตัดสินใจ แก฾ปใญหา จัดการอารมณแ การส่ือสาร (เช฽น ฟใง พูด บอกความร฾ูสึก ปฏิเสธ) โดยทักษะชีวิต” ได฾มีการใช฾คําอื่นท่ีแพร฽หลายในเวลาต฽อมา คือ คําว฽า “ความ ฉลาดทางอารมณแ (Emotional intelligence)” ซ่ึงเน฾นให฾เห็นว฽า ความฉลาดทางสติปใญญาหรือไอคิวไม฽ สําคัญเท฽าความฉลาดทางอารมณแซึ่งเป็นการพัฒนา คนอย฽างรอบด฾านให฾มีท้ังความดีความเก฽งและ ความสุข (กรมสุขภาพจิต 2547) และอีกคําหนึ่งคือ “ความเข฾มแข็งทางใจ (Resilience)” ที่หน฽วยงาน ตา฽ ง ๆ ในระดับนานาชาตินาํ มาใชแ฾ พรห฽ ลายมากข้ึน ซ่ึงเป็นทักษะที่เสริมให฾เยาวชนเติบโต เป็นผ฾ูใหญ฽ท่ีมี คุณภาพ ใช฾ชีวิตให฾เป็นประโยชนแต฽อสังคมได฾ แม฾ว฽าจะอย฽ูท฽ามกลางภาวะวิกฤตต฽าง ๆ (กรมสุขภาพจิต 2550) และเม่อื ถึงชว฽ งเปลี่ยนเข฾าส฽ูศตวรรษท่ี 21 วงการศึกษาทั่วโลกต฽างตื่นตัวกับการเตรียมนักเรียนให฾ พร฾อมกับชีวิต ในโลกยุคใหม฽ จึงมีการพัฒนาข฾อเสนอท่ีเรียกว฽า “ทักษะการดํารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 (21 Century skills)” ซง่ึ โดย มากประกอบดว฾ ยทักษะการเรียนรู฾การใช฾ข฾อมูลสารสนเทศทักษะชีวิตและ การงาน ความสามารถในการบริหารตนเอง การจัดการความสัมพันธแและอย฽ูร฽วมกันในสังคมท่ีมีความ หลากหลายและแตกตา฽ งกันทางวัฒนธรรม จึงเหน็ ได฾ว฽าการพัฒนาความสามารถในการดําเนินชีวิตอยู฽ภายใต฾แนวคิดเดียวกันแต฽มีการพัฒนา คุณลักษณะ อย฽างต฽อเน่ืองให฾สอดคล฾องกับสภาพแวดล฾อมสังคมและยุคสมัยท่ีเปลี่ยนแปลงอย฽างไม฽หยุด นิ่ง ในบทนี้จึงขอใช฾คําว฽า “ทักษะชีวิต (Life Skill)” ซ่ึงเป็นคําเริ่มแรกท่ีอาจเรียกชื่ออ่ืน เช฽น คําว฽า “ความฉลาดทางอารมณแ (Emotional intelligence)” “ความเข฾มแข็งทางใจ (Resilience)” และ “ทกั ษะการดาํ รงชวี ติ ในศตวรรษท่ี 21 (21st Century skills)” 1. ความหมายของการเสริมสรา้ งทักษะชวี ิตในครอบครวั ท่ีมเี ด็กปฐมวัย “ทักษะชีวิต” ตามความหมายขององคแการอนามัยโลก (World Health Organization, 1993) คือ ความ สามารถในการปรบั พฤติกรรมให฾เหมาะสมจัดการแก฾ปใญหาที่เกิดข้ึนในชีวิตประจําวันได฾อย฽างมี ประสิทธิภาพและเตรียม พร฾อมสําหรับปรับตัวในอนาคต ส฽วนองคแการยูนิเซฟ (UNICEF, 2014) ได฾ กลา฽ วถงึ ทกั ษะชวี ิตวา฽ ทกั ษะชีวติ เป็นความ สามารถดา฾ นจติ ใจในการปรับตัวและมีพฤติกรรมเชิงบวกที่จะ เผชิญกับปใญหาและอุปสรรคในการดําเนินชีวิต นอกจากนี้กรมสุขภาพจิต (2546, 2547, 2548, 2550) ได฾ให฾ความหมายของทักษะชีวิตไว฾ว฽า เป็นความสามารถ อันประกอบด฾วย ความรู฾ เจตคติ และทักษะใน อันท่จี ะจดั การปใญหารอบตวั ในสภาพสังคมปใจจุบันและเตรียมความ พร฾อมสําหรับการปรับตัวในอนาคต ไมว฽ า฽ จะเปน็ เร่อื งสารเสพตดิ บทบาทชายหญงิ ชวี ิตครอบครัว สุขภาพ อิทธิพลสื่อ สิ่งแวดล฾อม จริยธรรม ปใญหาสังคม ฯลฯ ซ่ึงการพัฒนาทักษะชีวิต หรือความฉลาดทางอารมณแนี้ เป็นกระบวนการ เรียนร฾ูที่

171 ต฽อเน่ืองจากวัยหน่ึงส฽ูวัยหนึ่ง การวางรากฐานท่ีดีในวัยต฾น ๆ จะส฽งผลต฽อการพัฒนาความฉลาดทาง อารมณทแ ี่ สมบรู ณแยง่ิ ข้นึ ในวัยต฽อ ๆ มา ผ฽านการเล้ยี งดูและการที่มีครอบครัวเปน็ แบบอยา฽ ง จึงเห็นได฾ว฽า “ทักษะชีวิต” เป็นความสามารถด฾านเจตคติ การคิด การจัดการอารมณแ การ รับผิดชอบตนเอง การปรับตัว ความสัมพันธแท่ีดีกับผ฾ูอื่นและการจัดการกับปใญหาที่เกิดข้ึนใน ชวี ิตประจําวันไดอ฾ ย฽างมีประสิทธิภาพและ มีความมั่นคงทางจิตใจในการรับมือกับส่ิงที่เข฾ามาคุกคามชีวิต ในอนาคต ส฽วน “การเสริมสร฾าง” คือ การทําให฾เกิดข้ึนทําให฾มีขึ้น ส฽วน “เด็กปฐมวัย” คือ เด็กท่ีมีอายุ ต้ังแต฽ปฏิสนธิถึง 6 ปีบริบูรณแ การอบรมและเล้ียงดูแก฽เด็กปฐมวัยมีความสําคัญอย฽างมาก เน่ืองจากเด็ก วัยนี้ตอ฾ งการการเรียนรู฾ในส่ิงแวดล฾อมรอบ ๆ ตัว ผ฽านประ จากบิดา มารดา คนรอบข฾างและส่ิงแวดล฾อม ซง่ึ จะสง฽ ผลให฾เกิดพัฒนาการที่เป็นรากฐานของบุคลิกภาพ อุปนิสัย และ การเจริญเติบโตท้ังทางร฽างกาย จติ ใจ สมอง สตปิ ญใ ญา และความสามารถ ดงั น้นั การเสริมสรา฾ งทักษะชวี ิตในครอบครวั ทมี่ เี ด็กปฐมวัยก็คือ การส฽งเสริมความสามารถในการ ดําเนินชีวิต ม฽ุงท่ีการพัฒนาเด็กปฐมวัยให฾ได฾รับการเล้ียงดูจากผ฾ูใหญ฽ในครอบครัวอย฽างมีคุณภาพ ควบคู฽ กับการสง฽ เสรมิ ความ สามารถในการดาํ เนินชีวิตของครอบครัวทีม่ ีเดก็ ปฐมวัยให฾สามารถเป็นแบบอย฽างท่ีดี มีความเขา฾ ใจ และมีแนวทาง เสริมสร฾างทักษะชีวิตของเด็กที่สอดคล฾องกับพัฒนาการตามช฽วงวัยของเด็ก เพ่ือใหเ฾ ด็กเตบิ โตอยา฽ งมีคณุ ภาพ เปน็ ท้ังคนดี คนเก฽ง และคนที่มีความสุขของสังคมไทยและสังคมโลก 2. ความสาคญั ของการเสริมสร้างทักษะชีวิตในครอบครวั ที่มีเด็กปฐมวยั การเสริมสร฾างทักษะชีวิตในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยมีประโยชนแกับเด็กโดยตรง (ประไพ ประดษิ ฐแสขุ ถาวร 2556) ดังนี้ 1. ช่วยให้เด็กมีความสุขท่ีได้อยู่กับครอบครัว เห็นคุณค฽าของการมีชีวิตและครอบครัวท่ีอบอ฽ุน เป็นสุข มีการแสดงออกถึงความรัก การช฽วยกันแบ฽งเบาภาระในครอบครัว และรับผิดชอบต฽อหน฾าท่ีท่ี ได฾รบั มอบหมายใน ครอบครัว 2. ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กมีความรู้ ทักษะ และกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อนํามา สร฾างสรรคแสง่ิ ตา฽ ง ๆ ใหเ฾ กดิ ประโยชนแ และนํามาแก฾ปญใ หาในการดาํ เนนิ ชวี ติ ประจําวนั ไดอ฾ ย฽างเหมาะสม 3. ช่วยให้เด็กมีทักษะการทางานและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุขสามารถทํางานด฾วย ตนเองและทํางาน ร฽วมกับผู฾อ่ืนได฾สําเร็จยอมรับฟใงความคิดเห็น และแสดงความคิดเห็นของตนเองด฾วย กิริยาวาจาสุภาพสามารถจัดการ กับปใญหาความขัดแย฾ง และปรับตัวต฽อการเปล่ียนแปลงได฾อย฽าง เหมาะสม 4. รู้ช่วยให้เดก็ รูจ้ กั ปอ้ งกนั หลีกเลีย่ งพฤตกิ รรมไมพ่ ึงประสงค์ท่ีสง฽ ผลกระทบตอ฽ ตนเองและผ฾ูอ่ืน ไม฽ก฽อเหตุ ที่นําไปสู฽การทะเลาะวิวาทและความรุนแรงมีสุขภาพจิตท่ีดี มีมุมมองเชิงบวกมีการควบคุม อารมณสแ ามารถจัดการกับ อารมณแและความเครยี ดได฾ นอกจากประโยชนแที่เด็กจะได฾รับโดยตรงแล฾วการเสริมสร฾างทักษะชีวิตในครอบครัวท่ีมีเด็ก ปฐมวยั ยังมีสว฽ น ช฽วยให฾ครอบครวั และสังคม มคี วามม่ันคง และเปน็ ปกตสิ ุข ดงั เหตุผลต฽อไปน้ี

172 1. พอ่ แมผ่ ูป้ กครอง คือ บคุ คลสําคัญในการเสริมสรา฾ งทกั ษะชีวิตของเดก็ ทกั ษะชวี ติ เปน็ ทกั ษะที่ เกดิ ขน้ึ ไดด฾ ว฾ ยกระบวนการเรยี นรูจ฾ ากวิธกี ารเล้ียงดูของพ฽อแม฽และคนใกล฾ชิด และเกิดจากการเลียนแบบ ส่ิงที่พ฽อแม฽และคน ใกล฾ชิดปฏิบัติ รวมท้ังบรรยากาศในครอบครัวหรือสิ่งแวดล฾อมท่ีทําให฾เด็กมีความสุข สรา฾ งความพอใจในตนเอง และ ความพงึ พอใจในชีวิตแก฽เด็ก 2. ปฐมวัย คือ เวลาทองแห฽งการเสริมสร฾างทักษะชีวิต ผลการศึกษายืนยันว฽าช฽วงชีวิตในวัยเด็ก โดยเฉพาะ รกเกิดถึงอาย 6 ปี หากเด็กได฾ซึมซับสิ่งใดแล฾ว ส่ิงนั้นจะมักถูกจดจําอย฽ูในจิตใต฾สํานึก กลายเป็นบคุ ลิกภาพประจํา ตัวบคุ คลน้ันไปชั่วชวี ติ สมองของเด็กแรกเกิดถึง 6 ปี มีความสามารถในการ เรียนรู฾อย฽างมากมาย เปรียบเสมือนฟอง น้ําที่จะซึมซับสิ่งต฽าง ๆ ที่ได฾เรียนร฾ูอย฽างรว ดเร็ว ดังน้ัน คุณลักษณะหลายประการ เช฽น การควบคุมอารมณแ การมีวินัย ความเอ้ืออาทร ความเห็นใจผ฾ูอ่ืนจะ เกิดขึ้นได฾จากการสร฾างรากฐานในวัยน้ีในทางตรงกันข฾าม หากเด็กได฾รับการเรียน บ฽มเพาะคุณลักษณะ ทางลบตั้งแต฽วัยเด็กเล็กก็จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาทักษะชีวิตในวัยต฽อมา เพราะจะต฾อง ตามแก฾ไข นสิ ยั และความเคยชินทไ่ี มด฽ ตี า฽ ง ๆ ซ่งึ ยากย่ิง ตอ฾ งใช฾เวลาหรือความอดทนของพอ฽ แมม฽ ากข้นึ 3. ทักษะชีวติ คอื ภมู คิ ุม฾ กนั ทางจติ ใจให฾เดก็ พร฾อมจะเผชญิ กับโลกยุคใหม฽ เด็กปฐมวัยยุคปใจจุบัน ต฾อง เติบโตท฽ามกลางสังคมท่ีเน฾นวัตถุนิยม และการแข฽งขัน เด็กต฾องปรับตัวอย฽างมากต฽อสังคมรอบข฾าง เด็กจาํ นวนมาก มคี วามเครยี ด ความโดดเดียว ความวิตกกงั วล ความโกรธ และไมม฽ คี วามเห็นใจผ฾ูอ่ืน เด็ก ที่ปรับตัวไม฽ได฾อาจถูกชักพา ส฽ูการเกี่ยวข฾องกับยาเสพติดหรือสิ่งเสพติดอ่ืน ๆ การก฽อความรุนแรง และ อาชญากรรมตา฽ ง ๆ ดงั น้ัน โลกยุคใหม฽นี้ พอ฽ แม฽จึงไมอ฽ าจละเลยในการพัฒนาทักษะชีวิตลูกเพื่อเป็นวัคซีน ทางจิตใจหรือเป็นเกราะปอู งกันไมใ฽ หล฾ กู มีพฤติกรรม เสยี งหรือมีปญใ หาสังคมดังกลา฽ ว จึงสรุปได฾ว฽า การเสริมสร฾างทักษะชีวิตในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัยมีคุณค฽าโดยตรงในการช฽วยให฾ เด็กมีความ สุข แก฾ไขปใญหาในชีวิตประจําวันได฾อยู฽ร฽วมกับคนอื่นในสังคมได฾ร฾ูจักปูองกัน และหลีกเล่ียง พฤติกรรมไม฽พึงประสงคแ ต฽างๆ นอกจากนี้ยังมีคุณค฽าต฽อการสร฾างความม่ันคงและความสงบสุขแก฽ ครอบครัวและสังคม ด฾วยเหตุผลที่ว฽าทักษะ ชีวิตจะเกิดขึ้นได฾จากการที่เด็กเรียนร฾ูแบบอย฽างที่ดีและการ เลี้ยงดทู ีเ่ หมาะสมของพ฽อแม฽และผ฾ใู กล฾ชดิ และจําเป็นต฾อง ให฾การเสริมสร฾างทักษะชีวิตแก฽เด็กต้ังแต฽ระยะ ปฐมวัย เพราะเป็นช฽วงเวลาทองแห฽งการวางรากฐานคุณลักษณะที่ดีงาม ให฾เป็นนิสัยประจําตัว พร฾อมท่ี จะเติบโตเป็นผ฾ูใหญ฽ที่ดี มีคุณภาพสามารถเผชิญโลกกว฾างและภัยคุกคามต฽างๆ ได฾ และ ไม฽เติบโตเป็น อาชญากรหรือเป็นปญใ หาของสงั คม 2.เปา้ หมายของการเสริมสรา้ งทักษะชีวติ ในครอบครัวท่มี ีเดก็ ปฐมวัย เปูาหมายของการเสริมสร฾างทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยในครอบครัวได฾มีนักวิชาการหลายท฽าน แสดงความ คิดเหน็ ดงั นี้ วิจารณแ พานิช (2554) กล฽าวไว฾ว฽า การเรียนร฾ูเพื่อศิษยแในศตวรรษท่ี 21 จะต฾องกระต฾ุน ประสาน และส฽งเสริม กระบวนการเรียนรู฾ใหม฽ ๆ ที่จะเป็นเคร่ืองมือพัฒนามนุษยแอย฽างเต็มศักยภาพ เพ่ือให฾บรรลุ ปใญญา ความดี ความงาม มิตรภาพ และสันติภาพ และท่ีกล฽าวมานี้คือเปูาหมายสําคัญท่ีจะต฾องพัฒนา

173 เดก็ ในศตวรรษท่ี 21 น้ี แตก฽ ารที่จะ บรรลุเปูาหมายดังกล฽าว เด็กปฐมวัยต฾องได฾รับการปลูกฝใงและฝึกฝน ตง้ั แต฽แรกเร่ิมของกาํ เนิดชีวติ และเปน็ ไป อย฽างต฽อเนอื่ งสมํา่ เสมอจากวยั หน่ึงสู฽วยั หนึ่ง การวางรากฐานที่ดี ในวัยต฾น ๆ ซ่ึงเป็นการพัฒนาท่ีสอดคล฾องกับ พัฒนาทางสติปใญญาและสังคมตามวัย จะส฽งผลต฽อพัฒนา ทกั ษะชีวติ ที่สมบรู ณยแ ง่ิ ขน้ึ ในวัยตอ฽ มา พฒั นาการแต฽ละ ชว฽ งวัยมคี วามแตกตา฽ งกนั และผลของพัฒนาการ ในวัยต฾น ๆ จะส฽งผลต฽อ ๆ มาจากวัยหน่ึงสู฽อีกวัยหน่ึง ด฾วยเหตุนี้ เปูาหมายของการพัฒนาทักษะชีวิตแต฽ ละชว฽ งวัยกจ็ ะแตกตา฽ งกนั ไปดว฾ ย มอรแริสัน (Morrison, 1998 อ฾างถึงในจีระพันธุแ พูลพัฒนแ 2556) กล฽าวว฽า การมีอิสระพึ่งพา ตนเองได฾ เป็น เปูาหมายหลักท่ีสําคัญสําหรับการดูแลและให฾การศึกษาแก฽เด็กปฐมวัย ดังน้ัน การพัฒนา เด็กปฐมวัยให฾มีทักษะการ อยู฽ร฽วมกับบุคคลอื่น ได฾เรียนรู฾การช฽วยเหลือบุคคลอื่น และพัฒนาทัศนคติ เกย่ี วกับการดแู ลตนเองไดท฾ ง้ั ในดา฾ น การแต฽งกาย เชน฽ เลือกเสื้อผา฾ ใส฽เอง ติดกระดุมรดซิบ ใสร฽ องเท฾า ผูก เชือกได฾ และแต฽งกายเองได฾รวมทั้งมีทักษะด฾าน สุขอนามัย เช฽น ดูแลความสะอาดของร฽างกาย อาบน้ํา ล฾างมอื แปรงฟนใ ทานอาหารเองไดอ฾ ยา฽ งเรียบร฾อย เป็นเปูาหมาย สําคัญของการเสริมสร฾างทักษะชีวิตให฾ เดก็ ปฐมวยั ไฮดแแบรนดแ (Hidebrand, 1991 อ฾างถึงในจีระพันธุแ พูลพัฒนแ 2556) ได฾นําเสนอเปูาหมายของ การศกึ ษา ระดับปฐมวัยไว฾ 10 ประการ ได฾แก฽ 1) การเติบโตไปอย฽างมีอิสระ 2) การเรียนร฾ูในการให฾และ แบ฽งปในไปพร฾อมกับการ รับความรักความใส฽ใจ 3) การเรียนรู฾ในการอย฽ูร฽วมกับผ฾ูอื่น 4) การพัฒนาการ ควบคุมตนเอง 5) การเรียนรบ฾ู ทบาททาง เพศ 6) การเริ่มเข฾าใจร฽างกายของตนเอง 7) การเรียนร฾ูและฝึก กลไกกล฾ามเนื้อใหญ฽และกล฾ามเน้ือเล็ก 8) การเริ่มเข฾าใจ และควบคุมโลกทางกายภาพ9) การเรียนรู฾คํา ใหม฽และเข฾าใจบคุ คลอืน่ และ 10) การพฒั นาความร฾ูสึกทางบวกเกีย่ วกบั สมั พันธภาพกับสงิ่ รอบตัว จากทฤษฎี “หน฾าต฽างแห฽งโอกาส” ยงยุทธวงศแภิรมยแศานต์ิ (อ฾างถึงในหนังสือพิมพแแนวหน฾าวันท่ี 14 ธันวาคม 2555) กล฽าวไว฾ว฽า ในแต฽ละช฽วงวัยที่เติบโตบุคคลจะต฾องได฾รับการหล฽อหลอม พัฒนาสิ่ง สําคัญบางเร่ืองซ่ึงโดยธรรมชาติ แล฾วคนเราจะเรียนร฾ูหรือพัฒนาบางเรื่องได฾ดีเฉพาะในช฽วงเวลาหนึ่ง เท฽านั้นช฽วงเวลาที่เหมาะสมนี้เราเรียกว฽า “หน฾าต฽าง แห฽งโอกาส” ซึ่งพ฽อแม฽ต฾องฉวยโอกาสพัฒนาเรื่องที่ เหมาะสมกับวัย และหน฾าต฽างแห฽งโอกาสจะช฽วยให฾พ฽อแม฽มเี ปูาหมาย ที่ชดั เจนในการเสริมสร฾างทกั ษะชีวิต เด็กปฐมวัย โดยทฤษฎีน้ีได฾กําหนดทักษะชีวิตท่ีต฾องพัฒนาทักษะในระดับอายุ ต฽าง ๆ โดยได฾ระบุว฽า เปาู หมายในการพฒั นาเด็กแรกเกิดถึง 2 ปี คือ การเรียนรู฾ความไว฾วางใจและความผูกพันธแกับ ผู฾อื่น และ เดก็ วยั 3 ถึง 6 ปี คือ รู฾จักควบคมุ อารมณแและร฾ูจักถกู ผิด จากการรวบรวมแนวคิดและทฤษฎีต฽าง ๆ ดงั กล฽าวมาแลว฾ ทําให฾เห็นว฽า การตั้งเปูาหมายของการ เสริมสร฾าง ทกั ษะชีวติ เดก็ ปฐมวยั สามารถกาํ หนดตามคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงคแท่ีสอดคล฾องกับพัฒนาการ ทางอารมณแ สังคม และ หน฾าต฽างแห฽งโอกาสในการพัฒนาโดยเปูาหมายของการเสริมสร฾างทักษะชีวิตใน ครอบครวั ท่มี เี ดก็ ปฐมวัยสามารถระบไุ ดด฾ งั น้ี

174 1.ในครอบครัวที่มีเด็กแรกเกิดถึงก่อนอายุ 3 ปี เปูาหมายการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัย คอื การช฽วย ให฾เด็กปฐมวยั ได฾เรียนร฾ูความไว฾วางใจและความผูกพันกับผ฾ูอ่ืน เด็กวัยแรกเกิดถึงก฽อนอายุ 3 ปี เป็นช฽วงวัยที่เด็ก ไม฽สามารถช฽วยเหลือตนเองได฾และมีขีดความสามารถจํากัด ต฾องการเพียงแต฽การกิน อิ่มนอนหลบั ได฾รับการตอบสนอง ความตอ฾ งการทางดา฾ นร฽างกายและจิตใจอย฽างนุ฽มนวลทะนุถนอม เด็กที่ ไดร฾ ับความผกู พันและการตอบสนองจากพอ฽ แม/฽ ผู฾เลีย้ งดอู ย฽างถกู ต฾องเหมาะสม ด฾วยการท่พี ฽อแม฽ให฾ความ รัก ความเอาใจใส฽ สร฾างสายใยผูกพัน จะสามารถสร฾างความ ผูกพันระหว฽างตนเองและพ฽อแม฽ผู฾เล้ียงดูได฾ ซึ่งจะส฽งผลให฾เด็กมีความรู฾สึกที่ดีต฽อตนเองและผ฾ูอ่ืน มีมนุษยแสัมพันธแท่ีดี จิตใจมั่นคง เชื่อมั่นในตัวเอง มี อารมณแสุขุม หนักแน฽น ตรงกันข฾ามกับเด็กที่ถูกทอดท้ิงไม฽เคยถูกอ฾ุมยิ้มด฾วยพูดคุยด฾วย ก็จะพัฒนาเป็น ความผิดปกตใิ นวัยต฽อมาท่เี รียกวา฽ “อาการโดดเดยี่ วทางสังคม” ชอบแยกตัวไม฽สนใจคนอื่นไม฽วางใจ ใคร มองโลกในแง฽ร฾าย สร฾างความสัมพันธแกับคนอื่นได฾ยาก ขาดความมั่นคงทางใจ และมีแนวโน฾มที่จะมี อารมณแ หว่ันไหวง฽าย 2. ในครอบครัวท่ีมีเด็กวัย 3 ถึง 6 ปี เปูาหมายการพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัย คือ การ สอนให฾เด็ก รู฾จักควบคุมอารมณแและร฾ูจักถูกผิดการฝึกหัดความรับผิดชอบการฝึกให฾ช฽วยเหลือผู฾อื่นและ การอยู฽ร฽วมกับผ฾ูอื่นเด็ก - ปฐมวัยในวัยอายุ 3 ปี เป็นวัยที่รักอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ไม฽ชอบทํา ตาม คําสั่งและยึดถือความต฾องการของตนเอง เป็นใหญ฽ เด็กจะด้ือ หวงของมาก แต฽ก็เป็นช฽วงเวลาที่เด็ก สามารถเรียนรู฾คุณค฽าและการมีปฏิสัมพันธแกับผ฾ูอ่ืนและเร่ิม สร฾างสัมพันธภาพกับบุคคลอ่ืนนอกจาก สมาชิกในครอบครวั เร่ิมเรียนรคู฾ วามถกู ตอ฾ งซึ่งเป็นส฽วนหนง่ึ ของพฒั นาการ ดา฾ นคณุ ธรรม เมือ่ ถึงวัย 4 ถึง 6 ปี เด็กจะพัฒนาความเข฾าใจและสื่อสารให฾ผู฾อื่นเข฾าใจตนได฾มากข้ึน รู฾จักความแตกต฽าง ของตนเองกับ ผู฾อืน่ ดงั นน้ั เปาู หมายการพฒั นาทกั ษะชีวติ ในระยะนมี้ ีดังน้ี 2.1 การสอนให้เด็กรู้จักควบคุมอารมณ์ ถ฾าพ฽อแม฽พลาดการปลูกฝใงเรื่องน้ีในช฽วงนี้ไปแล฾ว พอถึงวัย ประถมศึกษา เด็กจะเติบโตเป็นเด็กที่ตามใจตัวเอง อารมณแเสียง฽าย ทําใจไม฽ได฾ระงับอารมณแ ไม฽ได฾เม่ือผิดหวัง เสียหน฾า หรือไม฽ได฾อะไรดังใจ พ฽อแม฽จํานวนมากใจอ฽อนกับลูก หรือร฾ูสึกผิดท่ีไม฽ค฽อยมี เวลาให฾ลูก จึงชดเชยด฾วยการตามใจ หรือมักจะทําอะไรให฾ลูกทุกอย฽าง เด็กจึงเป็นคนท่ีคิดแต฽จะรับ และ คิดว฽าพ฽อแม฽จะต฾องเป็นฝุายให฾ตนทุกอย฽าง ดังนั้น ในวัยนี้พ฽อแม฽จึงต฾องใจคอเข฾มแข็งเข฾าไว฾ ปลูกฝใงให฾ลูก ร฾ูจกั ควบคมุ ยบั ยั้งความต฾องการ ร฾จู ักรอคอย และทําอะไรให฾ คนอ่นื บ฾าง ก฽อนหน฾าต฽างบานน้ีจะปดิ ลง 2.2 การสอนใหเ฾ ดก็ ร฾ูจักถูกผิด แม฾ว฽าเด็กเล็กยังไม฽ร฾ูว฽าการกระทําอะไรก฽อให฾เกิดผลอย฽างไร ยังไม฽ รจู฾ กั เรื่องของเหตุผล แต฽พอ฽ แมก฽ ็ควรเร่ิมสอนเรอ่ื งผิดถูก เหมาะควรได฾บ฾างแล฾ว ในทุก ๆ โอกาสท่ีเกิดข้ึน มีการกําหนด โทษหากทําผิด และลงโทษตามข฾อตกลง เช฽น ถ฾าลูกไปหยิบของคนอื่นมา ก็ต฾องบอกลูกว฽า ไมถ฽ กู ต฾องและให฾เอาไปคืน เจา฾ ของ หรือลูกชอบใช฾ความรุนแรงกับคนอ่ืนหรือสัตวแเลี้ยง ก็ต฾องสอนให฾ร฾ูว฽า ไม฽ดี และควบคุมตัวไม฽ยอมให฾เด็กทํา รุนแรงเช฽นนั้น นอกจากนี้การบอกสอนผ฽านเรื่องเล฽า หรือนิทาน สอนใจ ก็เป็นสิ่งท่ีเด็กช่ืนชอบและได฾ผลดี หากเร่ิมสอน เรื่องผิดชอบชั่วดีตั้งแต฽วัยนี้ จะได฾ผลดีที่สุดท่ีจะ กลอ฽ มเกลาให฾ลูกมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมในวยั ทโ่ี ตขน้ึ

175 2.3 การฝึกหัดความรับผิดชอบ ครอบครัวและผ฾ูเกี่ยวข฾องกับเด็กปฐมวัยควรหลีกเลี่ยงการทํา อะไรให฾ แกเ฽ ดก็ เพื่อใหเ฾ ดก็ ไดเ฾ รียนรู฾การทําอะไรด฾วยตนเองตามวัย เช฽น เด็กอายุ 3 ปีสามารถสอนให฾รู฾จัก เก็บของเลน฽ และเสื้อผา฾ ทาํ ความสะอาดถ฾วยชาม และแต฽งกายด฾วยตนเอง เมื่อเด็กอายุ 5 ปีสามารถฝึกปู และเก็บท่ีนอนได฾ ร฾ูจักต่ืนนอนและ เข฾านอนตามเวลา เป็นต฾น การที่เด็กทําอะไรด฾วยตัวเองได฾จะทําให฾ เดก็ รจ฾ู ักรบั ผดิ ชอบ เปน็ เด็กเล้ียงง฽าย และไม฽เอาแต฽ ใจตวั เองอีกดว฾ ย 2.4 การฝึกหัดการช่วยเหลือผู้อื่นและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ครอบครัวและผ฾ูเก่ียวข฾องกับเด็ก ปฐมวยั ควร เป็นแบบอยา฽ งและสอนให฾เด็กร฾ูจักการใหแ฾ ละช฽วยเหลอื ผ฾ูอื่น เช฽น แบ฽งขนมให฾เพื่อน แบ฽งของ เลน฽ ให฾เพือ่ นเลน฽ ดว฾ ย ช฽วย ผใ฾ู หญถ฽ ือของ ให฾เด็กได฾เล฽นและเรียนร฾ูเป็นกล฽ุมโดยมีเด็กท่ีหลากหลาย ท้ังเด็ก ท่ีเรียนรู฾เร็ว ช฾า พิการ ซน ฯลฯ เพ่ือให฾เด็กรู฾จักแพ฾ร฾ูจักชนะ ร฾ูจักการร฽วมมือ เคารพกฎเกณฑแกติกาใน สังคม ประนีประนอม ช฽วยเหลือคนท่ีด฾อยกว฽าในกลุ฽มยอมรับความคิดเห็นท่ีแตกต฽างจากตนเอง ร฾ูจัก มารยาท เช฽น การกล฽าวสวสั ดี ขอบคุณ ขอโทษเป็นเมอื ตนเองทําผดิ เป็นตน฾ จึงเห็นได฾ว฽า การพัฒนาทักษะชีวิตในครอบครัวท่ีมีเด็กปฐมวัยมีเปูาหมายแตกต฽างกันไปตามวัย ของเด็ก ปฐมวัยโดยเด็กวัยแรกเกิดถึงก฽อนอายุ 3 ปี เน฾นการช฽วยให฾เด็กเรียนร฾ูความไว฾วางใจและความ ผูกพันกับผู฾อ่ืนและเด็กวัย 3 ถึง 6 ปี เน฾นการช฽วยให฾เด็กได฾เรียนรู฾การควบคุมอารมณแและการร฾ูจักถูกผิด การรู฾จกั รับผิดชอบ การชว฽ ยเหลือผูอ฾ นื่ และอย฽รู ว฽ มกับผูอ฾ ืน่ ได฾ 3.หลกั การเสรมิ สร้างทักษะชวี ติ ในครอบครวั ทม่ี เี ด็กปฐมวยั จากการรวบรวมหลักการสําคัญในการเสริมสร฾างทักษะชีวิตในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัย ได฾แสดง ใหเ฾ หน็ วา฽ ครอบครวั ควรยึดหลักการเสรมิ สร฾างทกั ษะชีวติ สําหรบั เด็กปฐมวยั 6 ประการ ดงั น้ี 1. ทักษะชวี ิต ควรเรมิ่ ฝกึ ฝนตั้งแตเ่ ดก็ ปฐมวยั ปฐมวัยเปน็ ชว฽ งเวลาที่เปดิ รับและสามารถพัฒนา ลักษณะนิสัย ที่ดีได฾การศึกษาเปูาหมายและโอกาสทองของการพัฒนาตามวัยจะทําให฾ครอบครัวรู฾ว฽าควร จะฝึกอะไรเดก็ บา฾ งในเวลา ใด ซ่ึงจะทาํ ใหก฾ ารสง฽ เสรมิ ทักษะชวี ิตเด็กไดผ฾ ลยิ่งข้นึ 2. ทักษะการเรียนรู้และทักษะการใช้ชีวิตสามารถพัฒนาไปพร้อมกันและผสมผสานกันได้ ครอบครวั ตอ฾ ง ตระหนกั ว฽าการเลา฽ นทิ านใหเ฾ ด็กฟใงแล฾วมีการพดู คุยตั้งคาํ ถาม จะชว฽ ยให฾เด็กฝึกการมีสมาธิ ฝกึ การคิดวเิ คราะหแกลา฾ แสดงความคิดเห็น และซมึ ซับความประพฤติท่ีดงี ามจากเรื่องราวของนิทาน การ ให฾เด็กเล็กได฾รวมกลุ฽ม ร฾องเพลง ทํา กิจกรรมร฽วมกับเพ่ือนๆ เป็นการสร฾างความสุขใจ ได฾เคล่ือนไหว ร฽างกาย และเรียนร฾ูการอย฽ูร฽วมกับผ฾ูอ่ืน ท่ีสําคัญ คือ ในการทํางานเป็นทีมควรฝึกให฾เด็กได฾ลงมือทํางาน ไดใ฾ ชค฾ วามพยายาม เรยี นรู฾การทาํ ผิดถูกบา฾ ง รูจ฾ ักแบ฽งปในและช฽วย เพื่อน ๆ ทดี่ อ฾ ยกวา฽ 3. การเรียนรู้ที่ดีเกิดขึ้นพร้อมกับการใช้ชีวิตท่ีดี ซ่ึงหมายถึง การสร฾างความสัมพันธแที่ดีใน ครอบครวั ผา฽ น การปฏบิ ตั ดิ งั นี้ 3.1 ฝึกความรับผิดชอบในชีวิตประจําวัน การร฾ูจักคิดและเลือกสรรส่ิงที่เป็นประโยชนแ และ หลกี เลย่ี ง ส่งิ ทเ่ี ป็นอนั ตราย

176 3.2 สร฾างบรรยากาศที่อบอ฽ุนและเป็นสุขในบ฾าน เช฽น พ฽อแม฽มีเวลาเล฽นและพูดคุยกับลูก มี การทาน อาหารพร฾อมกัน มีงานอดิเรกที่สร฾างความสุขร฽วมกันในครอบครัว ครอบครัวมีการช฽วยกัน ทํางานบ฾าน แบ฽งเบาภาระ ซึ่งกันและกัน มีการแบ฽งปในของกิน ของเล฽น ระหว฽างพ่ีน฾อง หรือเพ่ือนบ฾าน ฯลฯ 3.3 ควรฝกึ ให฾เดก็ รจ฾ู กั แกป฾ ญใ หาเป็นและพงึ่ ตนเองได฾ต้ังแต฽เล็ก ด฾วยการให฾เด็กทําอะไรเองที่ สอดคล฾อง กับความสามารถตามวยั เชน฽ ฝกึ การทํางานบ฾าน ฝึกอาบนํ้า แต฽งตัว ทานอาหารเอง จะทําให฾ เดก็ มีความอดทน เรียนรู฾ การแก฾ไขปญใ หา และสรา฾ งความภาคภูมใิ จในตัวเอง ฯลฯ 3.4 ฝึกหัดให฾เด็กมีระเบียบวินัย สามารถควบคุมตัวเองได฾ เช฽น การเก็บข฾าวของเป็นที่ การ ทําอะไรตาม เวลา การรักษาความสะอาดรา฽ งกาย ของใช฾ ความสะอาดในบา฾ น ฯลฯ 3.5 สอนให฾เด็กรู฾จักการใช฾เวลาอย฽างมีคุณค฽า ไม฽ใช฾เวลากับกิจกรรมบันเทิง เช฽น ดูทีวี เล฽น เกม คุย โทรศัพทแมากเกินไป พ฽อแม฽ควรสนับสนุนและชักชวนลูกให฾ทํางานอดิเรกที่สร฾างสรรคแร฾ูจัก ประดิษฐแของเล฽นเองมากกว฽า ซอื้ ของเล฽นแพง ๆ สรา฾ งความเพลิดเพลนิ ไม฽ส้ินเปลืองมาก และไม฽เกิดโทษ ภยั 3.6 ฝึกให฾เด็กร฾ูจักคิด และเลือกสรรของกินของใช฾ที่เป็นประโยชนแ และระมัดระวังภัย อันตรายตา฽ ง ๆ ในชีวติ ประจําวัน เช฽น ร฾ูจักทานอาหารท่ีสะอาดและมีคุณค฽ามากกว฽าทานตามใจปาก ซ้ือ ของโดยคํานึงถึงความจําเป็น มากกว฽าซ้ือทุกอย฽างที่อยากได฾ ร฾ูจักสวมหมวกกันน็อคเม่ือนั่ง รถจักรยานยนตแ ฯลฯ 4 การฝกึ เด็กอยา่ งชดั เจน คงที่สม่าเสมอ และต่อเนอื่ ง ครอบครัวควรบอกเดก็ ใหช฾ ัดเจนว฽าอะไร ดีไม฽ดีอะไร ทําได฾ หรือทําไม฽ได฾ อะไรที่อยากให฾ทํา หรือไม฽ยินยอมให฾ทํา เช฽น บอกให฾เด็กร฾ูจักจดจํา และ ปฏิบัติตามศีล 5 บอกว฽า เมื่อเด็กโกรธ พ฽อแม฽อนุญาตให฾พูดเสียงดัง บอกได฾ว฽าโกรธอะไร แต฽ต฾องไม฽ด฽า หยาบคายและไม฽ทําร฾ายผู฾อ่ืน ไม฽ทําลายข฾าวของ ไม฽อนุญาตให฾เล฽นเกมในวันไปโรงเรียนต฾องทําการบ฾าน และรบั ผดิ ชอบงานบา฾ นใหเ฾ สร็จก฽อนจงึ จะไปเล฽นไดเ฾ ดก็ เลก็ ๆ ยงั ต฾องอาศยั พอ฽ แม฽ในการกําหนดกฎกติกา ต฽าง ๆ ซงึ่ เปน็ กตกิ า ขอ฾ ตกลงท่ีชัดเจน มีเหตุผล และเดก็ ปฏบิ ัติได฾ ครอบครัวพึงระลึกอย฽ูเสมอว฽า ความคงท่ี สมํ่าเสมอ เป็นหัวใจสําคัญที่ช฽วยฝึกให฾เด็กมีวินัยและ ทักษะชีวิต อย฽างได฾ผลราบรื่น ไม฽มีเด็กคนไหนรู฾สึกดีกับการท่ีวันหน่ึงพ฽อแม฽เข฾มงวด แต฽อีกวันหน่ึงกลับ ผ฽อนปรนขึ้น ๆ ลง ๆ ตามอารมณจแ นเอาแนเ฽ อานอนไม฽ได฾ พอ฽ แมจ฽ ึงต฾องอาศยั ความอดทน ใจเยน็ บางคร้ัง ตอ฾ งฝนื ความเคยชนิ บา฾ ง ให฾ พยายามนกึ ถึงผลดที ีจ่ ะเกดิ ข้ึนกับลกู และตวั พอ฽ แมเ฽ อง จะทําให฾มีกําลังใจทํา อย฽างต฽อเน่ือง การฝึกอย฽างคร่ึงๆกลางๆ ไม฽ต฽อเน่ือง ย฽อมทําให฾การพัฒนาของเด็กหยุดชะงัก ไม฽ได฾ผล ตามทค่ี วรจะเปน็ การท่คี นหนง่ึ ตามใจ คนหน่ึงควบคมุ ก็จะทําใหเ฾ ด็กรส฾ู กึ ไม฽ชอบและตอ฽ ตา฾ นคนทค่ี วบคุม 5. ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างที่ดีและการสอนที่ดีท่ีสุด คือ ต้องมีทั้งการสอนให้จาและทาให้ดูการ สอนท่ีดีที่สุด คือ การที่ผ฾ูใหญ฽ทําตัวเป็นแบบอย฽างท่ีดี เพราะเด็กจะซึมซับจากพฤติกรรมที่ผ฾ูใหญ฽แสดง ออกมาโดยอตั โนมตั อิ ยา฽ งไม฽ร฾ูตัว ยิ่งกว฽าการสอนด฾วยคําพูดใด ๆ สิ่งที่ควรคํานึงอยู฽ตลอดเวลา คือ คําพูด

177 และการกระทําของพ฽อแม฽อย฽ูในสายตาของ ลูก ๆ ซึ่งลูกพร฾อมท่ีจะซึมซับอยู฽ตลอดเวลา ดังน้ัน ถ฾าพ฽อแม฽ อยากใหล฾ กู เป็นอยา฽ งไร พอ฽ แมก฽ ็ควรทําอย฽างนนั้ 6. การใชเ้ ทคนิคและกิจกรรมทหี่ ลากหลายในการส่งเสรมิ เดก็ ครอบครัวควรปฏบิ ตั ิ ดังน้ี 6.1 แสดงความชื่นชมหรือชอบใจ เม่ือเด็กทําได฾ ด฾วยการหอมแก฾ม โอบกอด ยิ้ม ลูบศีรษะ พดู ชมเชย ใหเ฾ ด็กภูมิใจ เม่ือเดก็ แสดงพฤติกรรมดใี ด ๆ ควรแสดงความสนใจและรบี ชมเชยทนั ที 6.2 มวี ิธีโน฾มนา฾ วให฾ต่นื เต฾นอยากทาํ หรอื ทําใหเ฾ ป็นเรอ่ื งสนุก เช฽น เล฽านทิ าน รอ฾ งเพลง แสดง ทา฽ ทาง ประกอบ ทาํ รว฽ มไปกับพอ฽ แม฽ พ่ี ๆ นอ฾ ง ๆ หรือเพอื่ นร฽ุนเดยี วกัน 6.3 บอกสอนอย฽างนิ่มนวล มีการให฾กําลังใจและปลอบโยน เมื่อเด็กทําไม฽ได฾ดังใจอย฽าใช฾ อารมณแกับ เด็ก ไม฽ควรตีเด็กด฾วยอารมณแ การดุว฽า เข฾มงวดเกินไปจะทําให฾เด็กปฏิบัติตามด฾วยความกลัว กังวล มากกว฽ายนิ ดีทาํ ตามด฾วยความมัน่ ใจ พอใจ 6.4 สอนโดยให฾เด็กเรียนรู฾ความผิดพลาด ถ฾าความผิดพลาดท่ีจะเกิดขึ้นไม฽ได฾ส฽งผลเสียหาย รุนแรง เช฽น ถ฾าขโมย พอ฽ แมไ฽ มค฽ วรชดใช฾แทนเด็ก แต฽ควรให฾เด็กเอาของไปคืน ให฾ขอโทษ ลงโทษด฾วยการ หักคา฽ ขนมชดใช฾ความผิด หรือใหท฾ าํ งานบ฾านเป็นการลงโทษ เปน็ ต฾น 6.5 พูดคุยกับเด็กบ฽อย ๆ และรับฟใงเด็กเสมอ พ฽อแม฽ควรฟใงลูกอย฽างต้ังใจเพื่อที่จะเข฾าใจ ยอมรับ เห็น อกเหน็ ใจ ใหค฾ วามสาํ คัญกับสิ่งที่ลูกสนใจ ขณะเดียวกันพ฽อแม฽ก็ต฾องเฝูาระวังความร฾ูสึกและ อารมณแลบของตวั เอง เชน฽ ความหงุดหงดิ รําคาญ โกรธ สามารถระงบั และไม฽แสดงออกในอารมณลแ บ 6.6 ส฽งเสริมทกั ษะชีวิตด฾วยกิจกรรมท่ีผอ฽ นคลายและสนุกสนาน เชน฽ ดนตรี ศลิ ปะ กีฬา การ ท฽องเท่ียว การทาํ กิจกรรมอาสาสมัคร จึงเห็นได฾ว฽า หลักการสําคัญในการเสริมสร฾างทักษะชีวิตในครอบครัวท่ีมีเด็กปฐมวัย ได฾แก฽ การ เสริมสร฾าง ทักษะชีวิตต฾องสอดคล฾องกับพัฒนาการตามวัย การกลมกลืนกับชีวิตประจําวัน การมีชีวิตที่ดี และการเรยี นรู฾อื่น ๆ โดยพอ฽ แมเ฽ ป็นแบบอย฽างมกี ารกาํ หนดพฤติกรรมทีช่ ัดเจนว฽าอะไรทําได฾ และทําไม฽ได฾ และมีความคงท่สี มาํ่ เสมอต฽อเนอ่ื ง ในการส฽งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสม รวมทั้งมีเทคนิคที่หลากหลายใน การพัฒนา ท฽ามกลางบรรยากาศครอบครวั ท่ีอบอุ฽นและกจิ กรรมทีส่ นุกสนานผ฽อนคลาย 4.องคป์ ระกอบของการเสรมิ สร้างทักษะชวี ติ ในครอบครัวที่มีเดก็ ปฐมวยั ครอบครัวท่ีมีเด็กปฐมวัยจึงเรียนร฾ูและเข฾าใจว฽า ทักษะชีวิตพัฒนาได฾จากการเรียนร฾ูตั้งแต฽วัยเด็ก เล็ก และมี การพัฒนามากขึ้นเป็นลําดับ สอดคล฾องกับพัฒนาการตามวัยจากเด็กทารกสู฽ผู฾ใหญ฽ จาก การศึกษาด฾านพัฒนาการตาม ช฽วงวัย คุณลักษณะท่ีพึงประสงคแสําหรับผ฾ูใหญ฽ในสังคมไทย และความ พร฾อมหรอื โอกาสในการพฒั นาที่เหมาะสมตาม วัย ได฾นํามาสู฽การกําหนดเปูาหมายและองคแประกอบการ เสริมสรา฾ งทกั ษะชวี ติ ในครอบครัวทม่ี ีเดก็ ปฐมวัย จากการประมวลองคแประกอบของทักษะชีวติ จากหลายหน฽วยงาน พบวา฽ องคแประกอบของทักษะ ชีวิตมีส฽วน คล฾ายคลึงกันมากซ่ึงสามารถจําแนกเป็น 4 ด฾าน (WHO, 1993; UNICEF, 2014, กรม

178 สุขภาพจิต 2542, สํานักงาน วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน 2554) ดงั นี้ 1. การตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น เป็นองคแประกอบที่เก่ียวข฾องกับการรู฾จัก และยอมรบั ตนเองและผูอ฾ น่ื ร฾ูความถนัด จุดเดน฽ จุดด฾อย เขา฾ ใจความแตกต฽างของแต฽ละบคุ คล มีจุดหมาย ในชีวิต และมคี วาม ภาคภูมิใจในตนเอง 2. การคิดวิเคราะห์ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เป็นองคแประกอบที่เก่ียวข฾องกับ การคิดวิเคราะหแ สิ่งต฽าง ๆ อย฽างมีเหตุผล ระบุและประเมินสถานการณแได฾อย฽างสมเหตุสมผล สามารถ คาดผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตท่ี เกิดจากการกระทําของตนเองและผ฾ูอื่น สามารถวิเคราะหแกลุ฽มเพ่ือน ความเช่ือ ค฽านิยม อิทธิพลของส่ือและปทัสฐาน ทางสังคมท่ีส฽งผลกระทบต฽อตนเองได฾ สามารถตัดสินใจ เพื่อยุติปใญหาได฾ในทางสร฾างสรรคแ หรือสร฾างและรักษามิตรภาพ กับผู฾อ่ืนไว฾ได฾ รวมท้ังสามารถคิด ทางเลอื กในการแก฾ปญใ หาไดอ฾ ย฽างเหมาะสม 3. การจดั การกบั อารมณ์และความเครียด เป็นองคแประกอบที่เก่ียวข฾องกับความเข฾าใจและการ รับรู฾เท฽าทัน ภาวะอารมณแของบุคคล สามารถรู฾สาเหตุของความเครียด สามารถควบคุมอารมณแและ จัดการกับอารมณแ ไม฽ว฽าจะเป็น ความโกรธเศร฾ากังวล ผิดหวังร฾ูวิธีผ฽อนคลายความเครียดรู฾จักการคิดบวก และการบรหิ ารเวลาทีจ่ ะช฽วยลดความเครยี ด ได฾ อกี ทั้งสามารถเผชิญกับความทุกขแแ ละการสูญเสยี ได฾ 4. การสร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผอู้ ่นื เป็นองคแประกอบที่เกี่ยวข฾องกับความสามารถในการเข฾าใจ มุมมอง อารมณแ ความรสู฾ กึ และความเห็นอกเหน็ ใจผู฾อนื่ สามารถส่ือสารเพือ่ สรา฾ งสัมพันธภาพทดี่ ีกบั ผู฾อ่นื รวมท้ังสามารถ จัดการกับความขัดแย฾ง และวางตัวได฾อย฽างเหมาะสม มีทักษะการปฏิเสธ การเจรจา ต฽อรอง ตลอดจนมีความสามารถ ในการแสวงหาความร฽วมมือกับผู฾อื่น และทํางานร฽วมกับผู฾อื่นอย฽างมี ความสขุ การส฽งเสริมทักษะชีวิตในเด็กปฐมวัย จําเป็นต฾องพัฒนาให฾ครบทุกองคแประกอบ โดยคํานึงถึง ความสามารถ ทางอารมณแและสังคมตามช฽วงวัย เปูาประสงคแการพัฒนา และจุดที่เน฾นในการพัฒนาเด็ก แต฽ละชว฽ งวยั ไปด฾วย ซงึ่ ได฾ กล฽าวมาก฽อนแล฾วในตอนที่ 8.1.2 นัน่ คอื 1) ในเดก็ วัยแรกเกดิ ถึง อายกุ ฽อน 3 ปี เปูาหมายการพัฒนา คือ การเรียนรู฾ ความไว฾วางใจ ความผูกพันกับผู฾อ่ืน และ 2) ในเด็กวัย 3 ถึง 6 ปี เปูาหมายการพัฒนาทักษะชีวิต คือ การสอนให฾เด็ก รู฾จักควบคุมอารมณแและรู฾จักถูกผิด ฝึกหัดความ รับผิดชอบและการชว฽ ยเหลือผ฾ูอื่น รวมถึงการอยร฽ู ฽วมกับผ฾ูอ่ืน จึงเห็นได฾ว฽า ในเด็กวัยแรกเกิดถึงก฽อน 3 ปี จะให฾ความสําคัญมากกับการพัฒนาทักษะชีวิตใน องคแประกอบ ที่ 1 การเห็นคุณค฽าตัวเองและผู฾อ่ืน และองคแประกอบที่ 4 การสร฾างความสัมพันธแที่ดีกับ ครอบครวั ผใ฾ู หญท฽ ่ใี กล฾ชดิ ซ่งึ จะเปน็ การวางฐานความรู฾สึกท่ีดีตอ฽ ตนเองและผอ฾ู ่นื การมีอารมณแที่มั่นคงใน วยั ตอ฽ มา รวมทัง้ สร฾างความสัมพนั ธแ ทด่ี ีกับคนอนื่ ๆ ไดง฾ า฽ ยขึน้ ในวยั ต฽อมาดว฾ ย ส฽วนในเด็กวัย 3 ถึง 6 ปี ก็ จะให฾ความสําคัญในการสง฽ เสรมิ ทักษะชวี ิตทัง้ 4 องคปแ ระกอบ

179 ทั้งนี้ กรมสุขภาพจิต (2548) ได฾กล฽าวถึง ลักษณะนิสัยท่ีเป็นความฉลาดทางอารมณแในเด็กวัย 3 ถึง 5 ปี ซงึ่ เปน็ องคปแ ระกอบความฉลาดทางอารมณแ ใน 3 ดา฾ น ไดแ฾ ก฽ 1) ด฾านการอยู฽ร฽วมกบั ผูอ฾ ่ืน 2) การ เป็นบุคคลที่มีความสุข และ 3) การประสบความสําเร็จ ซึ่งพบว฽า ตัวอย฽างของพฤติกรรมเก่ียวกับความ ฉลาดทางอารมณแที่เป็นรูปธรรมที่ควร ฝึกหัดในเด็กปฐมวัยและเป็นพฤติกรรมที่สอดคล฾องกับ องคแประกอบของทักษะชวี ิตทั้ง 4 ด฾าน มดี ังน้ี 1. องคแประกอบด฾านการตระหนักร฾ูและเห็นคุณค฽าในตนเองและผู฾อื่นตัวอย฽างพฤติกรรมท่ีควร ฝกึ ฝนได฾แก฽ แบง฽ ปนใ ของกนิ ของเลน฽ และชว฽ ยเหลือผอ฾ู นื่ ให฾ความสนใจผู฾อื่นร฾ูจักแสดงความร฾ูสึกท่ีดีกับคน อ่นื เชน฽ ความรกั ความสงสารรบั รอู฾ ารมณแเศร฾า และรับรค฾ู วามรส฾ู ึกไมพ฽ อใจของผู฾อ่นื ได฾ 2. องคปแ ระกอบด฾านการคดิ วิเคราะหแ ตัดสนิ ใจ และแกป฾ ญใ หาอยา฽ งสรา฾ งสรรคแ ตัวอยา฽ งพฤตกิ รรม ทค่ี วร ฝึกฝน ไดแ฾ ก฽ ขอโทษเมือ่ ทําผิด มคี วามรับผิดชอบตัวเองตามวัย ยอมทําตามกฎระเบียบและกติกา ในบ฾านโรงเรียน กระตือรือร฾น/สนใจใฝุร฾ูด฾วยการซักถามหรือทําอะไรด฾วยตัวเอง มีความพยายามทําอะไร ใหส฾ าํ เรจ็ 3. องคปแ ระกอบด฾านการจัดการกับอารมณแและความเครียดตัวอย฽างพฤติกรรมที่ควรฝึกฝนได฾แก฽ บอกผ฾ูใหญ฽ ได฾ว฽า ตัวเองไม฽ชอบหรือกลัวอะไร ควบคุมความอยากได฾ เช฽น อดใจไม฽ร฾องไห฾จะเอาของเล฽น ไม฽อาละวาดเมอ่ื ไม฽พอใจ ส่ิงต฽าง ๆ แสดงอารมณแกลัว กังวล โกรธ ได฾อย฽างเหมาะสม 4.องคแประกอบดา฾ นความสัมพนั ธทแ ด่ี ีกับผู฾อืน่ ตัวอยา฽ งพฤติกรรมที่ควรฝึกฝน ได฾แก฽ส่ิงท่ีไม฽ตรงกับ ความปรารถนาหรอื ความตอ฾ งการของตนเอง กล฾าพดู ทกั ทายกับคนอนื่ หรือเพ่ือนๆ ความสามารถต฽อหน฾า คนหมู฽มาก กลา฾ พดุ ซกั ถาม พูดโต฾ตอบ และออกความคิดเห็น ร฾ูจักแบ฽งของเล฽น ของกินให฾เพื่อนรู฾จักการ ทักทาย การทําความเคารพ และมารยาทสังคม จะเห็นได฾ว฽า ครอบครัวควรเสริมสร฾างทักษะชีวิตให฾เด็กปฐมวัยทั้ง4องคแประกอบ ได฾แก฽การ ตระหนักและ เหน็ คณุ คา฽ ในตนเองและผูอ฾ ืน่ การคิดวิเคราะหแตัดสินใจและแก฾ปใญหาอย฽างสร฾างสรรคแ การ จัดการกับอารมณแและการสร฾างความสัมพันธแที่ดีกับผ฾ูอื่น ท้ังนี้การเน฾นแต฽ละองคแประกอบต฾องคํานึงให฾ เหมาะสมกับวัยของเด็กและพัฒนาควบคู฽ กับพฤติกรรมความฉลาดทางอารมณแ 5.แนวปฏิบตั ิการเสรมิ สร้างทักษะชีวิตสาหรบั พ่อแม่ และผู้เก่ยี วข้องกับเดก็ ปฐมวยั วิธกี ารสาํ คัญในการพัฒนาทักษะชีวิตเด็กปฐมวัย คือ พ฽อแม฽และผ฾ูเก่ียวข฾องในครอบครัวต฾องเป็น แบบอย฽าง ในการคิด การทําอย฽างมีทักษะชีวิต ซึ่งเด็กจะซึมซับจากการเห็นแบบอย฽างมากกว฽าการบอก สอน ดังนั้น หากพ฽อแม฽ ผ฾ูปกครองไม฽สามารถเป็นแบบอย฽างท่ีดีได฾ หรือมีปใญหาทางอารมณแ ขาดทักษะ ชีวิตเสียเอง ก็เป็นการยากลําบากที่ เด็กจะเรียนร฾ูทักษะชีวิตได฾ และยังมีผลเสียท่ีทําให฾เด็กเรียนร฾ูสิ่งที่ไม฽ ถูกตอ฾ งสง฽ ผลต฽อปญใ หาทางอารมณแและพฤติกรรมในอนาคต การเล้ียงดูเด็กท่ีไม฽ถูกต฾องจะไม฽สนับสนุนให฾เกิดการงอกงามของทักษะชีวิตของเด็กได฾อาทิ การ เลี้ยงดูแบบ ปกปูองมากเกินไป ตามใจมากเกินไป หรือปล฽อยปละละเลยเกินไปหรือเข฾มงวดเกินไปหรือ เล้ยี งดูแบบสบั สน คือ พ฽อ แม฽หรอื ผใ฾ู หญ฽ คือ ปุยู ฽าตายาย มกี ารเล้ยี งดูแตกตา฽ งกนั คนหน่งึ ตามใจ คนหน่ึง

180 เข฾มงวดซ่ึงจะย่ิงเลวร฾ายกว฽าการเล้ียงดู รูปแบบเดียวเสียอีก เพราะจะย่ิงทําให฾เด็กสับสน เครียด วิตก กังวลย่ิงขึ้น รูปแบบการเลี้ยงดูเชิงลบเหล฽านี้ เกิดจาก ปใจจัยใดปใจจัยหนึ่งหรือหลายปใจจัยร฽วมกัน ได฾แก฽ 1) ขาดความรู฾แนวทางปฏิบัติและทักษะการเล้ียงดู 2) มีความเช่ือ ในการเล้ียงดูเด็กที่ไม฽ถูกต฾อง 3) มี ความสัมพันธแท่ีไม฽ดีในครอบครัว และ 4) พ฽อแม฽มีปใญหาด฾านอารมณแและสังคม ซึ่งความร฾ูและทักษะการ เลี้ยงดูเด็กเพ่ือส฽งเสริมทักษะชีวิตเด็กจะได฾กล฽าวถึงในเร่ืองต฽อไป ในท่ีน้ีขอเร่ิมต฾นท่ีแนวทาง ในการปรับ ความเช่ือ การฝกึ ทกั ษะชวี ติ ของพอ฽ แม฽ผู฾ปกครองและการพัฒนาความสัมพันธแในครอบครัวซ่ึงองคแความรู฾ ดังกลา฽ วจะชว฽ ยใหพ฾ ฽อแมผ฽ ฾ูปกครองมตี น฾ ทุนเพียงพอท่จี ะสอนลกู ให฾ได฾ผล คอื เป็นทั้งการสอนให฾จําและทํา ให฾ดู 1. แนวทางการปรับเปลี่ยนความเชอื่ ที่ผิดในวิธกี ารเลี้ยงดเู ด็กปฐมวัย ครอบครัวมีแนวทางปรับเปลี่ยนความเช่ือท่ีผิด ๆ ในวิธีการเล้ียงดูเด็กปฐมวัย (กรมสุขภาพจิต 2547) ดงั น้ี 1.1 พึงตระหนักว฽า มีความเชื่อท่ีผิดในการเล้ียงดูเด็กปฐมวัยหลายประการ และครอบครัวควร ปรับเปลี่ยน ความเช่อื ทผี่ ิดเหลา฽ นใี้ หถ฾ ูกตอ฾ ง 1.2 ต฾องทบทวนว฽ามีประเด็นอะไรบ฾างท่ีทําให฾พ฽อแม฽มีความใจร฾อนและอดทนได฾น฾อย ความรู฾สึก ทนลูก ผิดหวังไม฽ได฾และอาการใจร฾อนของพ฽อแม฽เป็นเรื่องธรรมดาที่มักเกิดขึ้นในพ฽อแม฽ยุคน้ีจํานวนมาก เน่อื งจากพอ฽ แม฽ ส฽วนใหญท฽ าํ งานนอกบ฾านทั้งคู฽ และมลี ูกนอ฾ ย รวมท้ังสภาพสังคมที่มีการแข฽งขันสูง ทําให฾ พ฽อแม฽ต฾องดิ้นรนเพ่ือการมี และเป็นในส่ิงที่คนอ่ืน ๆ และสังคมบอกว฽าดี จึงตามมาด฾วยประเด็นต฽าง ๆ ดงั น้ี 1.2.1 ความร฾สู ึกผิดทต่ี ัวเองไมม฽ ีเวลาใหล฾ กู จงึ มกั ชดเชยด฾วยการตามใจให฾ทุกสงิ่ ทีล่ ูกอยากได฾ หรือ รอ฾ งขอ 1.2.2 พ฽อแม฽จํานวนมากมีชีวิตวัยเด็กที่ยากลําบาก จึงมักชดเชยความขาดแคลนในวัยเด็ก ของตัวเอง ด฾วยการท฽มุ เทวัตถุ และความสขุ สบายให฾ลูก เพราะกลวั ว฽าลกู จะผดิ หวงั โดยเข฾าใจว฽าน่ีคือการ ที่พ฽อแม฽ใหค฾ วามรกั และ สิ่งทีด่ ที ี่สดุ แกล฽ กู 1.2.3 ชีวิตท่เี รง฽ รีบท฽ามกลางปใญหาจราจรและการดิน้ รนในเมืองใหญ฽ ทําให฾พ฽อแม฽ไม฽มีความ อดทนและ ใจเยน็ ท่ีจะรอคอยใหล฾ กู ทําอะไรดว฾ ยตัวเอง ดังน้ัน พ฽อแม฽จึงต฾องตระหนักว฽า ความรักที่ให฾อย฽างไม฽ถูกต฾องท฽ามกลางความกดดันของกระแส สังคม ทน่ี ยิ มวัตถุ จะกลับกลายเปน็ การขัดขวางการพัฒนาทักษะชีวติ ของลูกโดยพอ฽ แมไ฽ มร฽ ต฾ู วั 1.3 ฝึกความอดทน อดกล้ัน และใจเย็นมากขึ้น พ฽อแม฽อาจเผลอตามใจ หรือทําอะไรให฾ลูก เพยี งเพ่ือให฾ลูก หยุดร฾องงอแง หยุดอาละวาด หรือทําเพื่อแก฾ปใญหาเฉพาะหน฾าให฾เสร็จ ๆ ไป แต฽กลับย่ิง สร฾างนิสยั ที่ไม฽ดีให฾ลูก ซ่ึงพ฽อ แม฽ต฾องหนักใจในระยะยาว ดังน้ัน ขอให฾พ฽อแม฽หนักแน฽นและม่ันคงในความ เป็นพ฽อแม฽เข฾าไว฾โดยปฏิบัตดิ งั น้ี

181 1.3.1 อยา฽ ควักกระเป฻าให฾สตางคแลูกง฽ายเกินไป อดทน นิ่งได฾ต฽ออาการงอแงจะเอาให฾ได฾ของ ลูก ร฾ูจัก ปฏิเสธบ฾างเมื่อลูกร฾องขอส่ิงที่ไม฽สมควร โดยไม฽จําเป็นต฾องร฾ูสึกผิดใด ๆ และขอให฾เชื่อในความ เป็นพ฽อแมท฽ ี่ยอ฽ มมีสิทธิ ในการควบคุมพฤตกิ รรมของลกู ไมใ฽ ชใ฽ หล฾ กู มาเป็นฝาุ ยควบคุมพอ฽ แม฽ 1.3.2 เวลาใหล฾ ูกทําอะไรดว฾ ยตัวเองบอกตวั เองใหใ฾ จเย็นเข฾าไว฾ แม฾ว฽าลูกจะทําช฾าไปบ฾าง อาจ ทาํ ของ เสยี บา฾ ง หรือไม฽เรียบร฾อยบา฾ ง อย฽าไปตาํ หนิ ดวุ ฽า ให฾คิดวา฽ ยอมใจเย็นตอนน้ี ชา฾ นิดหนอ฽ ย แตจ฽ ะทํา ให฾ลูกพึ่งตัวเองได฾ ดีกวา฽ ปลอ฽ ยจนลกู ทาํ อะไรไม฽เปน็ 1.4 วางแผนชีวิตและการใช้เวลาใหด้ ี สาํ หรับชีวิตในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งเต็มไปด฾วยวัฒนธรรม อาหารจาน ด฽วน การเล้ียงดูลูกจึงเป็นเร่ืองย฽ุงยากยิ่งขึ้น ดังน้ัน จะให฾พ฽อแม฽ทําใจเย็นและอดทนนั้นก็ อาจจะยากกว฽ายุคก฽อน ๆ อย฽างไรก็ตามพ฽อแม฽จะใจเย็นและอดทนได฾ง฽ายขึ้นหากมีการบริหารเวลาและ บริหารชีวิตควบคไู฽ ปดว฾ ย นอกจากนี้พ฽อแมค฽ วรคิดใหด฾ วี ฽า “อะไรจะดกี ว฽ากัน” ระหว฽างการให฾ลูกเรียนโรงเรียนมีชื่อเสียงแต฽ อยไ฽ู กลบ฾าน มาก กบั การใหเ฾ รยี นโรงเรยี นใกล฾บ฾านท่ีมคี ณุ ภาพพอประมาณ การเลือกทํางานท่ีได฾เงินเดือน สูง ๆ มีเงินจับจ฽ายมาก แต฽ก็เรียกร฾องเวลามากจนพ฽อแม฽เคร฽งเครียดและไม฽มีเวลาเหลือจะมาดูแล หรือ การเลอื กงานที่ไดเ฾ งินพอประมาณ มีเงนิ ใชส฾ อยแคพ฽ อไมเ฽ ดอื ดรอ฾ น แตม฽ ีเวลาดแู ลลูกมากข้ึน 1.5 เลกิ ตามใจตวั เอง หากอยากใหล฾ กู ไดด฾ ี พ฽อแม฽ต฾องเลิกตามใจตัวเองในหลายๆ เรื่อง เช฽นงดดู ทีวีรายการโปรดยามคํ่าคืนเพ่ือทจ่ี ะฝกึ ให฾ลูกแตห฽ ัวค่าํ ได฾ งดทานของโปรดที่เคยชอบอยา฽ งน้ําอัดลมเพ่ือฝึก ลูกให฾เลือกทานส่ิงมี ประโยชนแ ทําอะไรเป็นระเบียบมากขึ้นกว฽าเดิมเพ่ือฝึกให฾ลูกมีวินัย แต฽เรื่องนี้พ฽อแม฽ ส฽วนใหญ฽คงทําได฾ไม฽ยาก เพราะมี ความรักลูกเป็นพลังท่ียิ่งใหญ฽อยู฽แล฾ว เพื่อลูกที่รักพ฽อแม฽จึงพลอย เปลี่ยนแปลงตัวเองในทางทดี่ ีไปด฾วย 2. การฝกึ ทักษะชีวติ ของพ่อแม่ พ฽อแม฽ต฾องเรียนร฾ูในการฝึกทักษะชีวิตของตนเองก฽อนท่ีจะไปเสริมสร฾างทักษะชีวิตของลูกซ่ึงมี แนวทางดังนี้ 2.1 เรยี นร฾กู ารจดั การอารมณแ พอ฽ แมห฽ ลายคนทัง้ ๆ ทีร่ ว฾ู ฽าควรจะใจเย็นอดทนกบั ลูก แตพ฽ อเจอพบ สถานการณแ จริงเม่ือลูกด้ือ งอแงข้ึนมาก็ต฾อง “ปรีดแตก” ยากท่ีจะควบคุมตนเองได฾ ท้ังน้ีเพราะขาด ความสามารถในการจดั การกบั อารมณดแ า฾ นลบไดอ฾ ยา฽ งเหมาะสม อารมณแด฾านลบ ไม฽ว฽าจะเป็นความโกรธ ความกังวล ความกลัว ความเครียด ความ เศร฾า ฯลฯ หากจัดการควบคุมไม฽ได฾ปล฽อยให฾อารมณแอยู฽เหนือ เหตุผลก็มกั จะทําอะไรโดยขาดสติ เช฽นตั้งใจจะสอนลกู ด฾วยคาํ พูดดี ๆ แตพ฽ อโกรธก็อดท่ีจะตวาดลูกไม฽ได฾ ทําแล฾วก็มาร฾ูสึกผิดหรือเสียใจภายหลัง หรือปล฽อยให฾อารมณแลบ มีอิทธิพลต฽อตัวเองจนกระท้ังชีวิต เสียศูนยแ เต็มไปด฾วยความตึงเครียด และทําอะไรผิดพลาดซํ้าเติม ความสามารถในการจัดการอารมณแ ไม฽ใช฽ส่ิงท่ีเกิดขึ้นด฾วยการจดจํา และการนึกคิด เท฽าน้ัน แต฽เป็นความสามารถที่ต฾องผ฽านการฝึกฝน จน ชาํ นาญ เชน฽ เดียวกบั การฝึกข่จี กั รยานหรือการฝึกวา฽ ยนา้ํ ซ่ึงพอเป็นแล฾วก็ทําได฾ไมย฽ าก 2.2 ฝึกฝนลดความโกรธงา่ ยพอ฽ แม฽สามารถปฏบิ ัติได฾ดังน้ี

182 2.2.1 นึกถึงผลกระทบที่เกิดข้ึน เมื่อมีอารมณแโกรธ เช฽น โกรธบ฽อย ๆ แล฾วจะความดันข้ึน ทาํ ให฾ ครอบครวั ไม฽มีความสขุ ทําให฾ไม฽มีใครอยากร฽วมทาํ งานด฾วย 2.2.2 ฝกึ รู฾สึกตวั บ฽อย ๆ เม่ือโกรธมาก ๆ ให฾หายใจเข฾าออกลึกยาว หลาย ๆ คร้ัง ต้ังสติรับร฾ู ว฽ากําลงั โกรธ บอกตัวเองว฽า “กําลังโกรธมาก จะไม฽ทําอะไรตอนน้ี” หากความโกรธยังไม฽ลดลง ควรเดิน ออกจากเหตุการณแน้ัน จนกว฽าอารมณแจะสงบ อย฽าพยายามแก฾ปใญหา หรือสอนลูกขณะท่ีตัวเองกําลัง โกรธ 2.2.3 ทบทวนตัวเองบ฽อย ๆ ว฽าเรามักจะโกรธเร่ืองอะไร สถานการณแอะไร หลังจากน้ัน วางแผน การปูองกันและแก฾ไข เช฽น อาจให฾คนอื่นตักเตือน อาจต฾องหลีกเลี่ยงสถานการณแ อาจต฾องหา กิจกรรมคลายเครียด เปน็ ต฾น 2.2.4 ฝึกคิดบวกบอ฽ ย ๆ คนท่ีโกรธงา฽ ย เครียดง฽าย วิตกกังวลง฽าย มักมองโลกในแง฽ร฾าย เช฽น เจองาน ยากๆ ก็คิดไปก฽อนแล฾วว฽า “ฉันทําไม฽ได฾แน฽ ๆ ” คิดกลุ฾มใจแต฽ว฽า “ลูกเรียนไม฽เก฽งเท฽าเด็กข฾าง บา฾ น” ทั้งทลี่ กู มีข฾อดดี ฾าน อื่นทน่ี า฽ ชืน่ ชมตั้งมากมาย ดงั นั้นเมื่อพบคนที่ไมถ฽ ูกใจ หรอื สถานการณแอะไรที่ไม฽ ถูกใจ ให฾หมั่นคิดว฽า “มีดีบ฾างไหม” ในเร่ืองนั้น ๆ เช฽น คิดว฽าเจองานยาก ๆ ก็ดีซิ ท฾าทายดี ฝึกให฾เป็นคน เกง฽ ลูกเรยี นไม฽เก฽ง แต฽ก็เปน็ เด็กมนี าํ้ ใจ เกง฽ กฬี า และมนษุ ยสัมพันธแดี เปน็ ตน฾ 2.2.5 ฝึกผ฽อนคลายความเครียดและหม่ันดูแลร฽างกายและจิตใจให฾สดชื่น แข็งแรงอยู฽เสมอ ควรแบ฽ง เวลาแต฽ละสัปดาหแในการผ฽อนคลายท่ีเป็นประโยชนแ เช฽น ออกกําลังกาย น่ังหรือเดินเล฽นในที่ ธรรมชาติ เข฾าวัดฟใง ธรรมบ฾าง จะช฽วยคลายอารมณแ และได฾เรียนร฾ูการจัดการกับชีวิตมากข้ึน ดีกว฽าการ ผ฽อนคลายอารมณแด฾วยการดื่มสุรา การไปเดินซื้อของ การพูดคุยทางออนไลนแ (Chat) กับเพ่ือน การเล฽น เกม ซ่ึงยังทําใหป฾ ใญหาคงอยแู฽ ละอาจสรา฾ งปญใ หา ใหม฽ตามมา 2.2.6 ขอบคุณตัวเองทุกคร้งั ทีเ่ อาชนะความโกรธหรอื อารมณดแ ฾านลบได฾ 2.3 ใหก้ าลงั ใจตนเองในการเปลย่ี นแปลง การเปลยี่ นแปลงตนเองเป็นสิง่ ทต่ี อ฾ งทาํ อย฽างค฽อยเปน็ ค฽อยไป และ อาศัยแรงจูงใจ พ฽อแม฽สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได฾โดยปฏิบตั ดิ งั น้ี 2.3.1 ทบทวนและต้ังเปูาหมายพ฽อแม฽ควรจัดอันดับว฽า ส่ิงที่ต฾องการแก฾ไขเปล่ียนแปลง คือ อะไร อะไร เป็นส่งิ ทตี่ อ฾ งทาํ ก฽อนและหลงั อะไรทําง฽ายและอะไรยง฽ุ ยาก และควรเรม่ิ อะไรก฽อน 2.3.2 มุง฽ มน่ั ตอ฽ เปาู หมายคือ การลงมือปฏบิ ตั ิทนั ที และถอื วา฽ การเปลีย่ นแปลงตัวเองเพื่อลูก เป็นการ เปลีย่ นแปลงที่ทา฾ ทาย คมุ฾ ค฽าทีส่ ดุ น฽าทาํ ทสี่ ดุ ให฾นึกวา฽ “ความสุขของพ฽อแม฽คือการให฾ แต฽การให฾ ในท่ีน้ี ไม฽ใช฽ให฾วัตถุ เงินทองเท฽านั้น การให฾ท่ีย่ิงใหญ฽กว฽า คือ การเสียสละ ยอมท่ีจะเปล่ียนแปลงตัวเอง เพอ่ื สรา฾ งทกั ษะชีวิตท่ีดีใหล฾ กู ” แล฾ว ทา฾ ยทส่ี ุดพอ฽ แมก฽ จ็ ะได฾รบั คืน คือ ความภาคภูมิใจในตนเอง ความนับ ถือตนเอง และย฽อมแน฽นอนว฽าเม่ือพ฽อแม฽หว฽าน เม็ดพันธุแท่ีดี ให฾ความเอาใจใส฽รดน้ําพรวนดิน ท฽านก็ย฽อม ไดร฾ บั ทด่ี จี ากส่ิงทีไ่ ดท฾ าํ ไว฾ แน฽นอน 2.3.3 ลดความสมบูรณแแบบ พ฽อแม฽ต฾องใจเย็นกับตัวเองด฾วย ต฾องทําใจยอมรับว฽าคนเราไม฽ อาจ เปล่ียนแปลงตัวเองได฾ในช่ัวข฾ามวันข฾ามเดือน ให฾คิดว฽าเราจะพยายาม เผลอทําไม฽ดีอีกก็อย฽าถึงกับ

183 เครียด หรือตําหนิ ตัวเอง ก็ให฾เร่ิมต฾นทําดีใหม฽ทันที ฝึกไปเรื่อย ๆ เพ่ิมความถี่และความต฽อเน่ือง ดีขึ้น แบบค฽อยเป็นค฽อยไป 2.3.4 ชื่นชมผลสําเร็จ และหม่ันให฾กําลังใจตนเอง เม่ือทําดีได฾คร้ังใด ให฾บอกตัวเองว฽าเราก็ ทําได฾ ควร ใส฽ใจกับสิ่งดี ๆ ท่ีทําได฾ ส่ิงดี ๆ ที่เกิดขึ้นแม฾เป็นเร่ืองเล็กน฾อย เช฽น “ใจเย็นให฾ลูกค฽อย ๆ แต฽งตวั เองได฾ เห็นไหมถา฾ ใจเยน็ ลกู ก็ทาํ ได฾” “ใจแข็ง ไมซ฽ ้ือของตามใจลูก ลูกร฾องแปฺปเดียว เห็นไหมก็ยิ้ม หัวเราะร฽าเริงได฾” “ตัดใจได฾ไม฽ดูฟุตบอล รีบพาลูกเข฾านอนแล฾วเล฽านิทานให฾ลูกฟใงก฽อนนอน เห็นไหมลูก นอนหวั คํา แลว฾ ตน่ื เชา฾ ได฾โดยไม฽งอแงเลย” 3. การพัฒนาความสมั พันธใ์ นครอบครวั ปใญหาความสัมพันธแในครอบครัว โดยเฉพาะความขัดแย฾ง ไม฽เข฾าใจกันระหว฽างพ฽อแม฽ หรือเครือ ญาติใน ครอบครวั กระทบตอ฽ สุขภาพจิตของเดก็ มาก และเป็นอปุ สรรคตอ฽ การส฽งเสรมิ ทักษะชวี ิตเด็ก รูปแบบความสัมพันธแที่เป็นปใญหา เช฽นการขัดแย฾งกันที่ชัดเจนมีการทะเลาะวิวาทการทําร฾ายกันใน ครอบครัว ท้ังคําพูดและการกระทํารุนแรงซึ่งอาจมีการดึงลูกเข฾าพวกกับฝุายใดฝุายหนึ่ง หรือ ความสัมพันธแที่ห฽างเหินไม฽พูดคุย กัน อย฽ูบ฾านเดียวกันแต฽เหมือนคนแปลกหน฾ากัน พ฽อไปทาง แม฽ไปทาง ลกู ก็มกั จะวา฾ เหว฽ หรอื ความสัมพนั ธแทดี่ ูผวิ เผิน เหมือนรักกันดี แต฽ท่ีจริงมีความขัดแย฾งที่ซ฽อนเร฾น เช฽น พ฽อ หรอื แม฽ฝุายหนึง่ ควบคมุ บงการทุกอยา฽ ง อกี ฝาุ ยยอมตาม โดยไม฽โต฾แย฾ง แต฽ทําด฾วยใจท่ีไม฽มีความสุข เก็บ ซ฽อนความทุกขแใจ และมกั ตามมาด฾วยปญใ หาสุขภาพจติ ซงึ่ เดก็ กจ็ ะ ซึมซับความทกุ ขแใจเหลา฽ นี้ไว฾ด฾วย ความสัมพันธแท่ีไม฽ดีในครอบครัว เกิดจากปใจจัยใดปใจจัยหนึ่ง หรือจากหลายปใจจัยร฽วมกัน ได฾แก฽ 1) ปใญหา อารมณจแ ติ ใจ และบคุ ลิกภาพของพ฽อแม฽ เช฽น เป็นคนเอาแต฽ใจตัวเอง เจ฾าอารมณแ ชอบควบคุม และบงการคนอ่ืน หรือ อีกด฾านก็เป็นคนยอมตามผ฾ูอื่นและพ่ึงพิงคนอ่ืนเกินไป ขาดความเป็นตัวของ ตัวเอง 2) ครอบครัวประสบภาวะบีบค้ัน จากปใญหาเศรษฐกิจและสังคม เช฽น มีลูกพิการภาวะตกงานมี หนส้ี ินและครอบครัวไมส฽ ามารถจัดการกับปใญหาเหลา฽ นี้ จึงมปี ใญหาอารมณแและความขดั แย฾งในครอบครัว ตามมา 3) การขาดทักษะการสอ่ื สาร และการแก฾ปญใ หาในครอบครัว เช฽น ไม฽ฟงใ กัน ไม฽บอกความต฾องการ ของกนั และกนั ตกั เตอื นกันดว฾ ยคําตําหนิ แทนการบอกด฾วยเหตุผล เม่ือมีปใญหา ก็ไม฽มีการร฽วมปรึกษาใน การแก฾ปใญหาด฾วยกัน 4) ครอบครัวขาดแหล฽งสนับสนุนทางสังคม หลายครอบครัวปิดตัวเอง จาก ความสัมพันธแกับเพ่ือนบ฾าน เครือญาติ และชุมชน จึงทําให฾ขาดการรับข฾อมูลข฽าวสารที่เป็นประโยชนแ มี มุมมองท่ี คับแคบ เม่ือมีปใญหาก็จมอย฽ูกับปใญหา ขาดการเข฾าถึงแหล฽งสนับสนุนต฽าง ๆ และปฏิสัมพันธแก็ ม฽ุงแตค฽ นในครอบครัว จงึ ย฽อมมกี ารปะทะ ขัดแย฾งกันไดง฾ ฽าย ในครอบครัวปกติทั่วไปแล฾ว แม฾สมาชิกในครอบครัวจะมีความรัก ความผูกพัน ความห฽วงใยกัน และกัน แต฽ ก็พบว฽าส฽วนใหญ฽ยังมีปใญหาการส่ือสารกันอย฽ูมาก เมื่อไม฽สื่อสารกัน ไม฽ฟใงกัน ไม฽บอกความ ต฾องการ ก็ย฽อมไม฽เข฾าใจ ไม฽ร฽วมมือกันในการดูแลและแก฾ไขปใญหาของลูก ซ่ึงอาจบานปลายเป็นความ ขดั แย฾งกนั มากข้ึน อาจปลอ฽ ยใหก฾ ารดแู ล ลูกเป็นหน฾าที่ของคนใดคนหนึ่งไปเลย ซึ่งย฽อมสร฾างความเครียด

184 สูงแก฽ฝุายท่ีต฾องรับผิดชอบมากเกินไป หรือไม฽ก็เกิด ภาวะพ฽อพูดอย฽าง แม฽พูดอีกอย฽าง เด็กก็จะสับสน สดุ ทา฾ ยก็เลยกลายเป็นการต฽อต฾านไม฽ทาํ ตามท่ีพ฽อแม฽บอกสอน พ฽อแม฽ผ฾ูปกครองท่ีมีบุคลิกภาพและภาวะอารมณแที่เป็นปกติ สามารถเรียนรู฾การสร฾าง ความสมั พันธทแ ด่ี ใี น ครอบครัวได฾ไมย฽ ากนกั โดยฝึกหดั กจิ กรรมต฽อไปน้ี 3.1 ทบทวนสัมพันธภาพใหม่พอ่ แมม่ วี ิธปี ฏบิ ตั ิดงั นี้ 3.1.1 ใหน฾ กึ วา฽ คนใกล฾ชิดที่ตัวเองมักมีเรื่องไม฽สบายใจเกิดข้ึนมากที่สุด (ระบุ) คือ ใคร ลอง นึกถึง เหตุการณแและความคิดท่ีเกิดขึ้นบ฽อย ๆ ต฽อบุคคลดังกล฽าว โดยแยกเป็น 1) สิ่งแย฽ ๆ ของเขาท่ีทํา กับเรา 2) สิ่งดี ๆ ทเี่ ราพยายามทาํ แต฽กลับไม฽เปน็ ผล เช฽น เขาไม฽ช฽วยทาํ งานบา฾ น เราตง้ั ใจทาํ กับขา฾ วให฾เขา กนิ แต฽เขาไม฽เคยชมเลย เม่อื ทบทวนแลว฾ ลองดคู วามร฾สู กึ ว฽าทา฽ นเกิดความร฾ูสกึ อย฽างไร 3.1.2 ให฾ร฾ูลมหายใจเข฾าออก จนสังเกตว฽าตัวเองมีอารมณแผ฽อนคลาย แล฾วลองนึกทบทวน สัมพันธแใหม฽ โดยนึกถึงบุคคลคนเดิม ว฽า 1) ส่ิงดี ๆ ของเขาที่เรามองข฾าม 2) สิ่งแย฽ ๆ ที่เราทํากับเขาแม฾ ไมไ฽ ดต฾ ัง้ ใจ เชน฽ “ เขาให฾ เงินเดือนเราเก็บท้งั หมด” “เขาเปน็ คนรักและเอาใจใสล฽ ูก” “เราบ฽นวา฽ กบั ข฾าวไม฽ อรอ฽ ยทัง้ ๆ ท่เี ขาก็ตัง้ ใจทําใหเ฾ รากิน” ทบทวนแลว฾ ลองดคู วามร฾ูสกึ ของตวั เองอีกคร้ังหนึ่งว฽าเปล่ียนไปจาก ครั้งแรกหรอื ไม฽ และไดข฾ อ฾ คน฾ พบอะไรบ฾าง การฝึกคิดลักษณะน้ีจะทําให฾พ฽อแม฽เร่ิมมีมุมมองในด฾านบวกต฽อคนในครอบครัว และเกิดการ ยอมรบั กันมาก ข้นึ ว฽าคนเรามีทงั้ ด฾านบวกและลบ หากเรานึกถึงดา฾ นดีตอ฽ กนั และนกึ ถงึ ใจเขาใจเรามากข้ึน ก็จะทาํ ให฾มีความเขา฾ ใจกัน และลดความรู฾สกึ โกรธ ความขน฽ุ เคอื งใจต฽อกันได฾ 3.2 ฝกึ คุยกันใหเ้ ขา้ ใจ ขณะทเ่ี ราไมพ฽ อใจใคร และควบคุมอารมณแไม฽ได฾ ก็มักจะพ฽ุงความโกรธไป ที่คนน้ัน พรอ฾ มกบั คาํ พดู ตําหนิ หรือประชดประชัน ต฽าง ๆ เช฽น “ซนอีกแล฾ว อย฽ูเฉย ๆ เป็นไหม” “คุณนี่ เฮงซวย คดิ อะไร ไมเ฽ ป็น ฉนั ไม฽น฽าคิดผิดแต฽งงานกบั คณุ เลย” “เด็กอะไรไม฽ร฾ู ขเ้ี กียจเหลือเกิน โตขึ้นอยาก เป็นขอทานใช฽ไหม” คําพดู เหลา฽ น้ี แม฾อารมณแลึก ๆ คือคําพูดท่ีมาจากความรัก ความห฽วงใย ความกังวล แต฽ผู฾ฟใงจะรับรู฾แต฽ว฽าคุณโกรธ รังเกียจเขา ไม฽หวังดีต฽อเขา และมักจะตามมาด฾วยความร฾ูสึกโกรธ เป็นอริ และต฽อต฾านกลับ ย่ิงหากเขาได฾ยินคําพูดไม฽ดี บ฽อยๆ ก็พาลประชดทําไม฽ดียิ่งขึ้น เพราะธรรมชาติของ มนุษยแน้ันไม฽ตอ฾ งการคนมาพูดตอกเย฾าวา฽ เขาผิด เขาเลวอย฽างไร แตต฽ ฾องการคนทีจ่ ะบอกเขาดีๆว฽า เขาควร ทําอย฽างไรจึงจะถูกหรือหากเขารับร฾ูได฾ว฽าคําพูดนั้นมาจากความรักหวังดีและ ห฽วงใยจริง ๆ มากกว฽าการ ไมช฽ อบตัวเขา เขาก็พร฾อมจะเปล่ียนแปลงพฤติกรรมใหด฾ ีขึ้นมากกวา฽ การรบั รคู฾ ําพูดเชงิ ลบ ดังนน้ั พ฽อแม฽ควรเรียนรวู฾ ธิ กี ารสือ่ สารใหเ฾ ขา฾ ใจกันไดด฾ ังนี้ 3.2.1 ฝกึ ความสามารถในการจัดการอารมณแ การสื่อสารความร฾ูสึกที่ดีจะเกิดข้ึนได฾ก็ต฽อเมื่อ ผู฾พูดมีความ สามารถในการจัดการกับอารมณแตัวเองให฾สงบ และมีใจพร฾อมจะรับฟใงเหตุผลของอีกฝุาย หนึ่ง พึงระลึกเสมอว฽า เราจะ ไม฽สื่อสารกันขณะที่ยังมีความโกรธรุนแรงทั้งสองฝุาย เพราะฝุายพูดจะ ควบคุมตวั เองไม฽ได฾ ฝาุ ยฟงใ ก็ไมพ฽ รอ฾ มจะรับฟงใ เราสามารถใช฾คาํ พูดวา฽ “ พอ฽ กาํ ลังโกรธ พ฽อจะยงั ไม฽พูดกับ ลกู ตอนน”้ี “ลกู กาํ ลังโกรธ พอ฽ จะคุยตอนท่ีลูกใจเยน็ กว฽าน้ี”

185 3.2.2 สอ่ื สารด฾วยคําพดู แสดงความรส฾ู กึ เม่ืออารมณขแ องคขู฽ ดั แย฾งสงบในระดับท่ีพอรับฟใงกัน ได฾ จึง ส่ือสารด฾วยคําพูดแสดงความรู฾สึกแทนคําพูดตําหนิให฾ผ฾ูพูดแสดงความรู฾สึกท้ังความโกรธ และควร แสดงความรู฾สึก ด฾านบวก เช฽น ความห฽วงใย ความกังวลใจ ด฾วยพูดด฾วยน้ําเสียงท่ีนิ่งสงบ ไม฽เกร้ียวกราด ให฾ระวังว฽าเรากําลังบอก ความร฾ูสึก ความต฾องการให฾อีกฝุายรับร฾ู ไม฽ใช฽การระบายความโกรธต฽ออีกฝุาย และให฾บอกพฤติกรรมที่ชัดเจน เจาะจง แทนคําพูดแบบกล฽าวโทษและตีความพฤติกรรม เช฽น บอกว฽า “พอ฽ กังวลและโกรธทล่ี กู ไม฽บอกความจริงใหพ฾ อ฽ แมท฽ ราบ” แทนคําพดู ว฽า “พอ฽ โกรธทล่ี ูกเหลวไหลไม฽นึกถึง ใจพอ฽ แม”฽ 3.2.3 รบั ฟใงและสังเกตทา฽ ที เมอื่ บอกความรู฾สกึ ของผูพ฾ ดู แล฾วกต็ อ฾ งรบั ฟงใ และสังเกตทา฽ ทีของ อีกฝุาย ให฾อีกฝุายได฾บอกเหตุผล หรือความร฾ูสึกต฽างๆ หากผ฾ูฟใงยอมรับความผิด ก็ควรพูดถึงความ ต฾องการของผ฾ูพูดเป็นการ พูดเชิงขอร฾องมากกว฽าบังคับ เช฽น “ครั้งต฽อไป ถ฾าลูกอยากได฾ของเล฽นนี้ให฾ลูก บอกพอ฽ แมไ฽ ดไ฾ หม อยา฽ ไปหยบิ ของคนอน่ื มาโดยไมบ฽ อกเจา฾ ของ” และขอบคณุ เม่อื ลูกยอมร฽วมมือด฾วย 3.3 ฝึกปรองดองแม้คิดต่างกันการเล้ียงลูกเหมือนการวิ่งสามขา พ฽อแม฽ต฾องพูดคุยปรึกษาว฽าจะ เรม่ิ ทีข่ าไหน กอ฽ น ขาไหนตาม และสามัคคีในการว่ิง ไม฽เช฽นน้ันก็จะวิ่งได฾ช฾า ทุลักทุเล ยื้อยุดกัน หรือไม฽ก็ หกล฾มหัวคะมีตง้ั แตอ฽ อก สตารแท พ฽อแม฽หลาย ๆ ค฽ูมีความคิดเห็นแตกต฽างกัน ทําให฾มีปใญหาในการเล้ียงลูก ฝึกฝนลูกไปคนละทิศ คนละทาง พ฽อเขม฾ งวด แม฽ปลอ฽ ยปละละเลย ทําให฾ฝึกสอนลูกไม฽ได฾ผล และลงเอยด฾วยความขัดแย฾ง ลูก ๆ ก็มักจะเลือกไปทาง ฝุายท่ีตามใจเขามากกว฽าฝุายที่เข฾มงวด อาจเป็นปใญหาที่ทะเลาะกันไปจนลูกโต ถ฾า บ฾านไหนเป็นครอบครัวใหญ฽ มีปูุย฽า ตายาย ลุงปูาน฾าอาช฽วยเลี้ยงด฾วย ความคิดต฽างอาจเป็นไปคนละ ทิศทางได฾ง฽าย ผ฾ูสูงวัยบางคนก็อาจยึดถือความคิดตัว เองสูง หรือเป็นคนข้ีน฾อยใจ ซ่ึงกรณีนี้ พ฽อแม฽ต฾อง เป็นหลักและยืนยันร฽วมกันว฽าจะใช฾วิธีการไหนและใช฾กํากับลูกให฾ เป็นเสียงเดียวกัน อาจต฾องหาผ฾ูรู฾ช฽วย เป็นตัวกลางในการอธิบายให฾ผ฾ูสูงวัยเข฾าใจ ให฾ครอบครัวเล้ียงดูเด็กในแนวทาง เดียวกันจะได฾เดินหน฾าไป ดว฾ ยกันได฾ หากพอ฽ แม฽เปน็ คท฽ู ะเลาะวิวาทก็ตอ฾ งใช฾หลักการว่ิงสามขามาเปน็ หลกั ในการเลีย้ งลูก คือ พูดคุยตก ลงใหเ฾ ป็น เสยี งเดยี วกัน ชัดเจนว฽าเรอ่ื งน้ีจะเอายังไงจะฝึกสอนลูกแบบไหน หากยังคิดเห็นไม฽ตรงกันหาข฾อ ยุติไม฽ได฾กต็ ฾องชะลอ ไปกอ฽ น โดยบอกกับลูกว฽าพอ฽ แมข฽ อปรึกษากันก฽อน แล฾วจะให฾คําตอบทีหลัง ดีกว฽ามา ทะเลาะเถยี งกนั ตอ฽ หน฾าลูก การฝึกปรองดองความคดิ ตา฽ งในครอบครัว มวี ธิ ตี ฽อไปนี้ 3.3.1 ยอมรับในความคิดเห็นท่ีแตกต฽างโดยท่ีรักษาสัมพันธภาพไว฾ได฾ ให฾คิดว฽า พ฽อแม฽ท่ีมา จากต฽าง ครอบครัว ต฽างความคดิ มโี อกาสที่จะฝึกฝนลูกแตกต฽างกันได฾บ฾างในรายละเอียด แต฽ทิศทางการ ฝึกควรจะตรงกัน และตรงกับของโรงเรียน เช฽น การช฽วยเหลือตนเอง รับผิดชอบ ตรงเวลา รักษากติกา เป็นต฾น 3.3.2 หาขอ฾ ตกลงในหลักการใหญ฽ ๆ ร฽วมกัน

186 3.3.3 ยอมให฾มคี วามแตกตา฽ งกนั บา฾ งในรายละเอยี ดการฝกึ 3.3.4 ไมค฽ วรเถยี งกันตอ฽ หนา฾ ลกู แต฽ควรให฾เกยี รตริ ับฟใงเหตผุ ลของกนั และกนั 3.3.5 ควรพดู คุยกนั ระหว฽างพ฽อแมโ฽ ดยไม฽กล฽าวโทษกัน และพดู คยุ ในบรรยากาศทเี่ ปน็ มติ ร 3.3.6 ใช฾อารมณแขนั และการสอ่ื สารทีด่ ี (ต้ังใจฟงใ สอื่ สารความรส฾ู กึ ความตอ฾ งการ) จึงเห็นได฾วา฽ การจัดการกับอารมณแก็คือทักษะชีวิตเรื่องหน่ึงท่ีทุกคนฝึกฝนได฾ตลอดชีวิต และเป็น ทกั ษะที่ สําคัญของความเป็นพ฽อแม฽ ขอเพียงพ฽อแมเ฽ หน็ ความสําคญั ของเร่ืองนี้เทา฽ นัน้ กไ็ ม฽ยากเกนิ ไปที่จะ ฝกึ ฝน ความรูก฾ าร ฝกึ ฝนทักษะด฾านการจดั การกบั อารมณแท่มี อี ย฽ูในหนังสอื ต฽างๆ แต฽กอ็ าจได฾ผลไม฽มากนัก การพูดคุยขอคําปรึกษาหรือ เข฾ารับการอบรมกับผู฾ร฾ูหรือผู฾เช่ียวชาญต฽าง ๆ จะได฾ผลดีกว฽า เช฽น การเข฾า อบรมฝึกสติ สมาธิ หรือการเข฾าร฽วมกิจกรรม ชมรมผู฾ปกครองต฽าง ๆ เพ่ือจะได฾แลกเปลี่ยนทักษะการ จดั การกบั อารมณกแ ับพอ฽ แมอ฽ นื่ ๆ ในกรณีถ฾าพ฽อแม฽ร฾ูตัวว฽า มีความบกพร฽องในการจัดการกับอารมณแมาก เช฽น เป็นคนโมโหง฽าย ใจ ร฾อน อดทน กับลูกไม฽ได฾ เป็นคนเครียดง฽าย วิตกกังวลง฽าย หรือความสัมพันธแในครอบครัวไม฽ดีนัก การ แก฾ไขด฾วยตัวเองกอ็ าจจะ ทาํ ได฾ยาก หรอื ทําไม฽ได฾ และการอบรมทั่วไปก็ยังไม฽ช฽วยพอ฽ แมไ฽ ดม฾ ากนกั ในกรณี ดังกล฽าวพ฽อแม฽ควรยอมรับท่ีจะไป พบผ฾ูให฾การปรึกษาทางสุขภาพจิต และจิตแพทยแ ซึ่งปใจจุบันมี หน฽วยงานท้ังภาครัฐ และเอกชนมากมายท่ีให฾บริการทั้ง รูปแบบการปรึกษาทางโทรศัพทแ และบริการใน คลินิก ซ่ึงการพบจิตแพทยแเด็กและวัยรุ฽นเป็นเร่ืองท่ีดีย่ิง ที่พ฽อแม฽จะ มีผู฾ช฽วยทําความเข฾าใจกับอารมณแ ตนเอง ได฾คําแนะนําการจัดการกับอารมณแของพ฽อแม฽เอง ช฽วยปรับความสัมพันธแใน ครอบครัว และได฾รับ คําแนะนําวิธีการในการเลี้ยงดูลูกด฾วย การเล้ียงดูเด็กในยุคปใจจุบันมีความยุ฽งยากและซับซ฾อน ย่ิงขึ้น ดังน้ัน การพบผู฾เชี่ยวชาญต้ังแต฽ปใญหายังไม฽มากนัก จะเป็นตัวช฽วยพ฽อแม฽ได฾มาก ให฾สามารถแก฾ไขปใญหา หรอื ให฾การส฽งเสริมลกู ได฾รวดเร็ว ง฽ายขน้ึ และถูกทางมากขน้ึ โดยสรุป พ฽อแม฽และผ฾ูเก่ียวข฾องกับเด็กปฐมวัยสามารถเสริมสร฾างทักษะชีวิตของตนเองได฾โดย ปฏิบัติใน ประเด็นที่สําคัญ ได฾แก฽ การปรับเปล่ียนความเช่ือท่ีผิดในวิธีการเล้ียงดูเด็กปฐมวัยให฾ถูกต฾อง การฝึกทกั ษะชีวิตของ พอ฽ แม฽และผเู฾ กย่ี วข฾อง และการพฒั นาความสัมพันธใแ นครอบครวั 7.แนวปฏบิ ัติการเสรมิ สรา้ งทกั ษะชีวิตสาหรับเดก็ ปฐมวยั ในช฽วงปฐมวัย พ฽อแม฽มีบทบาทมากท่ีสุดในการส฽งเสริมทั้งสุขภาพกายใจสติปใญญา และทักษะ ชีวิตให฾แก฽ลูก ผา฽ นการทพี่ อ฽ แม฽เปน็ แบบอย฽างการบอกสอนและฝกึ หดั ในชวี ิตประจําวนั และการเรียนรู฾ผ฽าน ปฏสิ มั พนั ธแระหว฽างพ฽อแม฽ กับเด็ก ดังน้ัน การสอนลูกต฾องอาศัยท้ังความใจเย็น อดทน และต฾องมีเทคนิค ในการสอน 1. การสอนทกั ษะชีวติ ใหเ้ ดก็ ปฐมวัย 1.1 สอนให฾จํา ทําให฾ดู คําโบราณทั้งไทยและเทศกล฽าวว฽า “ลูกไม฾หล฽นไม฽ไกลต฾น” ซึ่งอธิบายการ เลี้ยงดูของ พ฽อแม฽ว฽าลูกเป็นคนอย฽างไรก็ให฾ย฾อนกลับไปดูพ฽อแม฽ พ฽อแม฽ท่ีสามารถควบคุมอารมณแและ แสดงออกไดเ฾ หมาะสม จะ เป็นแบบอย฽างท่ีดีให฾เด็กเลียนแบบ และเป็นการสอนลูกโดยไม฽รู฾ตัว เด็กท่ีเห็น

187 พ฽อแม฽ช฽วยเหลือกัน แบ฽งงานกันทํา จะ สังเกตและจดจําวิธีการท่ีพ฽อแม฽ใช฾ภายในบ฾าน ส฽งผลต฽อแนวคิด และการเลียนแบบพฤติกรรม ต฾นแบบทดี่ ขี องพ฽อแม฽ จึงเป็นหัวใจสําคญั ในการเลีย้ งดู ดงั นนั้ พอ฽ แมจ฽ ึงควรพิจารณาสิ่งทคี่ วรทาํ และสิง่ ท่ีไมค฽ วรทาํ ในการอบรมเลี้ยงดูเดก็ ปฐมวัย ดังน้ี 1.2 สอนผ่านการเล่น ศิลปะ กีฬา ดนตรี และทากิจกรรมสร้างสรรค์ ในเด็กช฽วงวัยแรกเกิดถึง อายุ 4 ปี เด็กชอบรอ฾ งเพลงและเล฽นกับคํา ซึ่งจะทําให฾เซลลแสมองเกิดการแตกแขนงและเชื่อมโยงกันเป็น เครอื ข฽าย และเปน็ การเชื่อมโยงแบบเดียวกับที่ใช฾ในการแก฾ไขปใญหาคณิตศาสตรแ เด็กชอบฟใงนิทานและ มกั ชอบฟใงเรอื่ งเดิมซ้ํา ๆ ทาํ ให฾ เซลลสแ มองเชือ่ มโยงแข็งแรงยิ่งขึ้นเด็กๆชอบเล฽นสมมติเลียนแบบบทบาท ต฽างๆ ทําให฾เด็กมีความสามารถในการสร฾าง ภาพในความคิดและจินตนาการ ซึ่งเป็นพ้ืนฐานสําหรับการ เรียนรูก฾ ารอา฽ นและการคิดเลข จะเห็นได฾ว฽าขณะที่เด็กเล฽น เด็กกําลังพัฒนาพลังสมองของตัวเองทุกขณะ และเตรยี มพร฾อมในการเรยี นร฾ทู ่ียากและซบั ซอ฾ นข้ึนอีกดว฾ ย นอกจากนี้ การเล฽นยังช฽วยส฽งเสริมพัฒนาการ ครบในทกุ ด฾าน ทง้ั ด฾านอารมณแ คือ มีความสุขท่ีได฾เล฽น อารมณแดี ได฾ผ฽อนคลาย พัฒนาการทางด฾านสังคม คือ มีสังคมเพ่ือนฝูงรู฾จักเอื้อเฟื้อแบ฽งปในและเคารพกติการู฾จักแก฾ปใญหา ค฾นพบความสามารถ ของตัวเอง ดังนั้น ในเด็กปฐมวัยพ฽อแม฽จึงไม฽ควรม฽ุงแต฽ยัดเยียดให฾เด็กรู฾หนังสือเร็ว ๆ แต฽ควรสนับสนุนให฾เด็กได฾เล฽น เพอ่ื พฒั นาสมองที่รอบด฾าน การเลน฽ ของเด็กเลก็ ไม฽จาํ เป็นต฾องใช฾ของเล฽นแพงๆ แต฽คือ การที่พ฽อแม฽เล฽นกับเด็กเช฽น เล฽นจ฿ะเอเ เล฽น ปูไต฽ เล฽นทราย เล฽นโยนบอล การเล฽นช฽วยให฾พ฽อแม฽และเด็กใกล฾ชิดผูกพันกันและพ฽อแม฽ยังได฾เข฾าใจ ลกั ษณะบุคลิก ความ คดิ ความฝนใ และจนิ ตนาการของเด็ก เม่ือเด็กเข฾าสู฽ช฽วง 5 ถึง 6 ปี เด็กเร่ิมมีกิจกรรมกับเพ่ือนมากขึ้น เด็กจะเรียนหนังสือได฾ดีขึ้น หาก ทํากิจกรรม อ่ืน ๆ ควบค฽ูไปด฾วย ที่จะช฽วยในการสร฾างสมาธิ การควบคุมตนเอง และการวางแผนแก฾ไข ปใญหา ฯลฯ เป็นต฾น ส่งิ เหล฽าน้ลี ว฾ นไดม฾ าจากการเลน฽ การทํางานศิลปะการเล฽นดนตรี กีฬา การกอด ความ รักและความอบอุ฽นในครอบครัว เมื่อเด็กได฾เล฽น ได฾พักผ฽อน หรือทํากิจกรรมสร฾างสรรคแที่เด็กสนใจ กิจกรรมเหลา฽ นีจ้ ะเกิดกระบวนการผลการถ฽ายโอน (Transfer effect) เชน฽ การทํางานศิลปะ การวาดรูป จะช฽วยให฾เด็กเกิดสมาธิ การเล฽นต฽อเลโก฾ เด็กจะได฾พัฒนาความ เลิศสร฾างสรรคแและการแก฾ไขปใญหา การ เล฽นกีฬาทําให฾เด็กได฾พฒั นากลา฾ มเน้ือ การวางแผน การตัดสินใจในการเล฽น - งานเป็นทีม การมีนํ้าใจเป็น นักกฬี า และยังฝกึ ความอดทนสร฾างความแขง็ แกร฽งทั้งร฽างกายและจติ ใจ ดังน้ัน พ฽อแม฽จึงควรพิจารณาส่ิงที่ควรทําและสิ่งที่ไม฽ควรทําในการสอนผ฽านการเล฽น ศิลปะ กีฬา ดนตรี และ กิจกรรมสร฾างสรรคสแ ําหรับเด็กปฐมวยั 1.3 สอนจากโลกรอบตัว พ฽อแม฽ควรให฾เด็กเรียนร฾ูทักษะชีวิตได฾จากการใช฾ชีวิตประจําวันและ กจิ กรรมท่ี หลากหลาย เช฽น 1.3.1 สอนผ฽านการเลน฽ เช฽น สอนเดก็ ทําของเล฽น สิง่ ประดิษฐแ การเล฽นเกมหมากกระดาน

188 1.3.2 สอนผ฽านการเดนิ ทางทอ฽ งเทยี่ ว เชน฽ การจัดกระเปา฻ เตรียมตัวเดินทาง การศึกษาพ้ืนที่ ท่ีจะไป เท่ียว การดูแผนท่ี การกางเต็นทแ การก฽อไฟ การหุงข฾าวหม฾อสนาม ฝึกความอดทนในการเดิน ทางไกล การพูดคยุ กบั คนในพืน้ ที่ ฯลฯ 1.3.3 สอนผา฽ นงานสวน เช฽น การปลูกตน฾ ไม฾ ศึกษาการรดนํา้ ใหป฾ ฻ยุ ตน฾ ไม฾ ความรับผิดชอบใน การรดนา้ํ ตน฾ ไม฾ การสงั เกตธรรมชาติ 1.3.4 สอนผา฽ นงานครัว เช฽น การซื้อเครื่องปรุง การหยิบจับของมีคมให฾ปลอดภัย การระวัง อันตราย จากการใช฾แก฿สหุงต฾ม ความภาคภูมิใจที่ทําอาหารทานเองได฾ ความสนุกสนานที่ได฾ทําอาหาร ความรบั ผิดชอบในการช฽วยลา฾ งจาน 1.3.5 สอนผ฽านการสอนด฾านการเงิน เช฽น ฝึกทําบัญชีรายรับ-จ฽าย ฝึกการออม การควบคุม ความอยาก 1.3.6 สอนให฾ลูกชว฽ ยเหลอื ตวั เองในชีวิตประจําวัน เช฽น อาบน้ํา ลา฾ งหนา฾ แปรงฟใน ใสเ฽ สื้อผ฾า เอง ฝึก ให฾คล฽องให฾ชินจนเปน็ กจิ วตั ร 1.3.7 ฝึกให฾ทาํ ในส่ิงที่ชอบและไม฽ชอบ เช฽น หัดให฾กินผัก กินของท่ีไม฽ชอบแต฽มีประโยชนแฝึก ใหต฾ นื่ เชา฾ ขม฽ ใจทาํ สงิ่ ทีไ่ ม฽ชอบเพอ่ื คนอืน่ 1.3.8 ฝึกให฾ชวี ิตตดิ ดนิ เชน฽ หัดให฾เด็กขึ้นรถเมลแ ลองไปอย฽ูกบั ตายายที่ชนบท การสอนเด็กปฐมวัยจากโลกรอบตัว จะช฽วยให฾เด็กมีความร฾ูความชํานาญหลายด฾าน ซึ่งจะทําให฾เป็นเด็ก เกง฽ ขยัน อดทน ปรบั ตัวได฾ง฽าย เด็กจึงมภี าวะผู฾นํา ไดร฾ บั การยอมรบั จากเพอื่ น และเกิดความภาคภูมใิ จใน ตนเอง ดงั น้ัน พ฽อแม฽จึงควรพจิ ารณาสิง่ ที่ควรทาํ และสง่ิ ท่ีไมค฽ วรทาํ ในการสอนเด็กปฐมวัยจากโลกรอบตัว 1.4 สอนเม่ือเด็กผิดพลาด เมื่อเด็กทําผิดพลาดใหญ฽ ๆ พ฽อแม฽อย฽าเพ่ิงด฽วนสรุปว฽าเป็นความผิด ของเด็กแต฽ ฝุายเดียว แล฾วรีบดูว฽าส่ังสอนซ่ึงอาจขยายปใญหาให฾บานปลายและรุนแรงมากย่ิงข้ึน แต฽ควร หาสาเหตขุ องความผิดพลาด นนั้ และสอนเดก็ ให฾เรยี นรจ฾ู ากความผิดพลาดนนั้ ด฾วยวิธีการดงั นี้ 1.4.1 ฟใงเด็กให฾ได฾ยิน คือ ถามเด็กว฽าเกิดอะไรข้ึน แล฾วฟใงอย฽างใส฽ใจว฽าเด็กคิดและรู฾สึก อยา฽ งไร คอ฽ ย ๆ ถาม รอเด็กพูดให฾จบ ไมพ฽ ดู ขดั จงั หวะ ไมร฽ ีบสรุปว฽าความคิดของเด็กถูกหรอื ผดิ 1.4.2 เข฾าใจความรู฾สึกของเด็กมากกว฽าม฽ุงสั่งสอนการให฾เด็กรู฾ว฽าพ฽อแม฽เข฾าใจความรู฾สึกและ ความทุกขแ ของเขาแทนการมุ฽งสั่งสอน จะช฽วยให฾เด็กรู฾สึกอบอุ฽นและยินดีบอกเล฽าถึงปใญหาและให฾ความ ร฽วมมอื ในการแก฾ปญใ หา 1.4.3 สอนใหม฾ มุ มองบวก แนะให฾มองความผดิ พลาดเป็นบทเรียนทจ่ี ะไมพ฽ ลาดซํ้า และทาํ ให฾ เรยี น การทาํ สิง่ ท่ถี กู ตอ฾ ง ดงั น้นั พอ฽ แม฽จึงควรพจิ ารณาสง่ิ ท่ีควรทําและสงิ่ ที่ไม฽ควรทําในการสอนเม่ือควรทําในการสอนเม่ือ เด็กปฐมวัยผิดพลาด 2. การฝกึ วินัยให้เดก็ ปฐมวยั

189 เด็กปฐมวัยล฾วนต฾องการกติกาหรือข฾อตกลงที่ตัวเองสามารถทํา ได฾และเกิดความสามารถเมื่อได฾ ทําซํ้า ๆ และ สม่ําเสมอจนเป็นปกติในชีวิตประจําวัน ซ่ึงจะเป็นการสร฾างอุปนิสัยท่ีดีและวินัยให฾กับชีวิต ของเด็ก ไม฽มีเด็กคนใดร฾ูสึก ดีกับการที่วันหนึ่งพ฽อแม฽เข฾มงวด แต฽อีกวันหนึ่งกลับผ฽อนปรนข้ึนๆลงๆ ตาม อารมณแเอาแน฽เอาแน฽ไม฽ได฾ ดังน้ันความ สมํ่าเสมอจึงเป็นหัวใจสําคัญท่ีช฽วยให฾เด็กฝึกวินัยอย฽างได฾ผล ราบรนื่ นอกจากน้ี การตงั้ กติกาและขอ฾ ตกลงก็เปน็ หวั ใจสําคัญของการฝึกวินยั เช฽นกัน ซึ่งเรอื่ งน้ีไม฽ใช฽เร่ือง ยาก แต฽ การปฏิบัติให฾สําเร็จน้ันยากย่ิงกว฽า เพราะต฾องใช฾ระเวลาและความอดทนท้ังพ฽อแม฽และลูก ด฾วย เหตุนี้ พอ฽ แมค฽ วรยึด หลกั การสําคัญในการฝึกวนิ ัยของเด็กปฐมวัยใหไ฾ ดผ฾ ลดงั นี้ 2.1 วางขอบเขตกติกาหรือข้อตกลงที่ชัดเจน หลักการน้ีจะช฽วยให฾เด็กปฐมวัยเรียนร฾ูว฽าการ กระทําใดของเขา ท่ีเปน็ ที่ยอมรบั และการกระทําใดไมเ฽ ปน็ ท่ยี อมรบั 2.2 กากับให้ทาอย่างจริงจัง สุภาพ และไม่ใช้อารมณ์ เมื่อลูกเผลอไผลหรือลองหยังใจพ฽อแม฽ ด฾วยการทําบ฾าง ไม฽ทําบ฾าง พ฽อแม฽ต฾องเตือนและกํากับให฾ลูกทําทันทีด฾วยท฽าทีท่ีสุภาพเอาจริงแบบนิ่ง ใช฾ เหตุผลมากกว฽าอารมณแจะทําให฾ เด็กร฾ูว฽าพ฽อแม฽ปรารถนาดีต฽อเขา และกําลังฝึกฝนเขา ไม฽ใช฽ลงโทษเขา อย฽าใจออ฽ นให฾เดก็ ต฽อรองบอ฽ ยๆ หรอื ยอมปลอ฽ ย ให฾เด็กทาํ ผิดขอ฾ ตกลง ซึ่งจะทําให฾เด็กร฾ูว฽ากฎน้ันไม฽จริงจัง ละเลยได฾ พ฽อแม฽จึงต฾องเข฾มงวดให฾ลูกปฏิบัติอย฽างต฽อเนื่อง อาจปรับหรือยืดหย฽ุนบ฾าง แต฽ต฾องหลังจาก ทดลองใช฾ไปสกั ระยะหน่งึ แล฾ว ไม฽ควรปรบั เปลยี่ น กลับไปกลับมาบ฽อย ๆ จะทาํ ให฾การฝนฝนไม฽ได฾ผล 2.3 จัดตารางเวลากจิ วัตรประจาวนั เพอื่ ให฾เด็กปฐมวัยได฾เรียนร฾ูว฽าเวลาใดเป็นเวลาเล฽นเวลาทํา การบ฾าน เวลากินข฾าว เวลาช฽วยงานบ฾าน เวลานอน ให฾กําหนดความยาก-ง฽าย ถ่ี-ห฽างของกิจกรรมให฾ เหมาะสมกบั วัย และทําต฽อเน่ือง สมํ่าเสมอ ซ่งึ จะทาํ ให฾เดก็ ปฐมวยั ไม฽ดือ้ และพอ฽ แม฽ไมต฽ อ฾ งหงุดหงิดกับเด็ก ในการต฾องคอยดุ เตอื น และลงโทษ เพราะ “วินยั ” ไม฽ใชเ฽ ป็น “การลงโทษ” แต฽เป็นการ “เรียนร฾ูระหว฽าง กันเพ่อื ฝึกฝนตนเองของเด็กปฐมวัยและพอ฽ แมด฽ ฾วย ดังนัน้ พ฽อแมจ฽ ึงควรพจิ ารณาส่งิ ทค่ี วรทาํ และส่งิ ทีไ่ มค฽ วรทาํ ในการฝกึ วนิ ัยใหเ฾ ด็กปฐมวยั 3. การฝกึ ความรบั ผิดชอบใหเ้ ด็กปฐมวยั พ฽อแมส฽ ว฽ นใหญ฽ลว฾ นแต฽ “ไม฽อยากให฾ลูกลําบาก” แต฽การส฽งเสริมให฾เด็กปฐมวัยม฽ุงเรียนอย฽างเดียว โดยไม฽ฝึก ให฾เด็กมีความอดทน และรู฾จักต฽อสู฾กับความยากลําบาก กลับจะทําให฾เด็กทําอะไรไม฽เป็น พึ่งตนเองไม฽ได฾ และจะพบกับความยากลําบากท่ีแท฾จริงตอนเติบโตข้ึน ในขณะที่พ฽อแม฽ไม฽อยู฽เป็นท่ีพ่ึงพิง ใหเ฾ ขาได฾อกี ต฽อไป พอ฽ แมจ฽ ึงควรฝึกใหล฾ ูกรับผิดชอบในด฾านตา฽ ง ๆ เช฽น - ฝกึ ความรับผดิ ชอบเรือ่ งส฽วนตัว เช฽น กินขา฾ ว เขา฾ นอน อาบนาํ้ ฯลฯ - ฝึกความรับผิดชอบเรื่องงานบ฾าน เช฽น ล฾างจาน ตากผ฾า รดนํ้าต฾นไม฾ ฯลฯ เน่ืองจากงาน บ฾านเป็นเครื่องมือ ฝึกความอดทนฝึกการทํางานได฾ละเอียดและรอบคอบฝึกการวางแผนและแก฾ปใญหา การทํางานตลอดจนเป็นการฝกึ ความมนี าํ้ ใจในการทําดแี ละช฽วยเหลือผอู฾ น่ื

190 - ฝึกความรับผิดชอบเรื่องตรงเวลา เช฽น การนัดหมาย การกําหนดเวลาออกจากบ฾าน การ ตรงต฽อเวลา ฯลฯ - ฝึกความรับผิดชอบต฽อชีวิตผ฾ูอื่น เช฽น การเล้ียงปลา การให฾อาหารสุนัข ฯลฯ ดังน้ัน พอ฽ แม฽จึงควรพิจารณาส่งิ ท่ีควรทําและสง่ิ ทไ่ี ม฽ควรทาํ ในการฝึกความรบั ผดิ ชอบใหเ฾ ดก็ ปฐมวัย 4. การฝกึ การคิดตัดสนิ ใจและการแกไ้ ขปัญหาในชวี ิต 4.1 ฝึกให้เด็กปฐมวัยให้เรียนรู้การคิดแก้ไขปัญหาในชีวิตประจาวัน เมื่อเกิดปใญหาใน ชีวิตประจําวัน ควรใช฾ ข฾อหานั้นเป็นโอกาสฝึกให฾เด็กเรียนรู฾การแก฾ไขปใญหา เช฽นสบู฽ในห฾องนํ้าหมด เส้ือ นักเรยี นไม฽แห฾งขา฾ วสารหมดไขเ฽ จียว ฯ ฯลฯ พ฽อแมส฽ ามารถฝึกให฾เดก็ เรยี นร฾ูการคดิ แก฾ไขปญใ หา เช฽น -ใหเ฾ ด็กคดิ เองและแก฾ปญใ หาเองกอ฽ น - คุยถามความคิดและวิธกี ารทเ่ี ดก็ จะใช฾ในการแก฾ปใญหา - ชมเมอื่ เดก็ คดิ วธิ ีการแกป฾ ญใ หาไดห฾ ลายวธิ ี -ช฽วยเด็กคดิ หาวิธแี กป฾ ใญหาและผลที่เกิดตามมาหลาย ๆ ทางเพอื่ เปน็ ทางเลือก -ให฾เลอื กวิธกี ารที่ดที สี่ ุดและรองลงมา และชมการตัดสินใจของเดก็ เม่ือเดก็ แกป฾ ใญหาได฾รอบตวั จะทําใหเ฾ กิดความม่ันใจในตัวเองขนึ้ และมีใจอยากเรียนรู฾มากข้ึนเพื่อ ทาํ ใหด฾ ี กว฽าเดมิ 4.2 ฝึกให้เด็กปฐมวัยรู้จักตัดสินใจเลือกในส่ิงท่ีเหมาะสมกับตัวเอง ผ฾ูใหญ฽มักจะมองว฽า เด็กปฐมวัยยังเล็ก ยังตัดสินใจอะไรไม฽เป็น ไม฽ถูกต฾อง จึงไม฽ค฽อยถามความคิดเห็นและให฾โอกาสเด็ก ตัดสินใจในเรอ่ื งต฽าง ๆ แต฽ระหว฽าง ทางท่ีเด็กเติบโตเป็นผู฾ใหญ฽นั้น มีเรื่องที่เด็กต฾องเผชิญกับการตัดสินใจ มากมาย ซ่ึงพ฽อแม฽ก็คงไม฽สามารถตามไปช฽วย ตัดสินใจได฾ในทุกเร่ือง ดังนั้น จึงควรฝึกให฾เด็กได฾ฝึกการ ตัดสินใจ โดยแม฾ว฽าจะตัดสินใจผิดพลาดก็ยังดีกว฽าไม฽เคย ลิ้มรสและเรียนร฾ูความผิดพลาดเลย พ฽อแม฽ สามารถฝึกใหล฾ ูกมีทักษะในการคิดตัดสินใจด฾วยการต้ังคําถามให฾เด็กหัด คิดและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับผ฾ูใหญ฽จะทําให฾เด็กฝึกการคิดวิเคราะหแและได฾รับฟใงมุมมองท่ีหลากหลาย เช฽นจะ เกิดอะไรได฾บ฾างเม่ือ เลน฽ กลางฝน จะซ้ืออะไรไปฝากคณุ ยายดี ถา฾ ปล฽อยบ฾านให฾สกปรกจะเกดิ อะไรข้ึน เปน็ ต฾น ดังน้ันพ฽อแม฽จึงควรพิจารณาส่ิงที่ควรทําและสิ่งท่ีไม฽ควรทําในการฝึกเด็กปฐมวัยให฾ร฾ูจักคิด ตัดสินใจและแก฾ ปญใ หาในชวี ิตด฾วยตนเอง 5. การฝกึ การจดั การกับอารมณใ์ ห้เด็กปฐมวัย 5.1 ฝกึ ควบคุมอารมณ์ เด็กปฐมวัย มักจะโกรธเม่ือถูกขัดใจ หรือเมื่อทะเลาะกับเพ่ือนและ พี่น฾อง พ฽อแม฽ ส฽วนใหญ฽มักส่ังให฾เด็กหยุดโกรธทันที และตามมาด฾วยการสั่งสอน เช฽น “ทําไมเล฽นกันแค฽นี้ ต฾องทะเลาะกัน ถ฾าหน อาละวาดอย฽างนี้ ใครเขาจะอยากเล฽นด฾วย ซ่ึงการพูดขณะท่ีเด็กยังโกรธเช฽นนี้มัก ไม฽ได฾ผล เพราะขณะที่เด็กอารมณแโกรธกร฽ุนอย฽ู เด็กจะไม฽สนใจรับฟใงคําสอนของพ฽อแม฽ สิ่งท่ีเด็กต฾องการ คอื คนที่รับฟงใ ความรส฾ู ึกของเขา ความ ของเขาจึงจะลดลงและสงบพอท่จี ะฟใงคาํ แนะนาํ จากผใู฾ หญ฽ การบอกสอนใหเ฾ ดก็ ปฐมวัยสามารถจดั การกบั อารมณคแ วามโกรธทาํ ไดด฾ งั นี้

191 5.1.1 ใหเ฾ ด็กปฐมวัยแยกตัวออกจากเหตุการณแน้ัน และให฾อย฽ูในบรรยากาศที่สงบเพ่ือคลาย อาระ เช฽น แยกเด็กไปอยคู฽ นละมุม บอกให฾หายใจเขา฾ ออกลึก ๆ ถา฾ ใจเย็นแลว฾ คอ฽ ยคุยกนั เปน็ ตน฾ 5.1.2 ใหเ฾ ด็กพูดระบายความรูส฾ ึก เชน฽ ถามวา฽ “หนูโกรธอะไร” ฯลฯ 5.1.3 ให฾เด็กรู฾ตัวว฽าตัวเองกําลังโกรธ เช฽น ให฾ดูใบหน฾าการแตูนแสดงอารมณแต฽าง ๆ แล฾วถาม วา฽ “ตอนนี้หนูเป็นแบบใด” “หนูเป็นอยา฽ งไรเวลาโกรธ” เป็นตน฾ 5.1.4 ใหเ฾ ด็กนกั เอาใจเขามาใส฽ใจเรา และนกึ ถึงความดีของคนที่โกรธ เช฽น พูดวา฽ “หนูอยาก เล฽นเกม แตพ฽ เ่ี ขาต฾องใชค฾ อมพิวเตอรแทํางาน” เปน็ ต฾น 5.1.5 ชวนให฾เด็กคิดหาทางออก เช฽น พูดว฽า “ลูกคิดว฽ามีวิธีไหนไหมจะแบ฽งกันใช฾ คอมพิวเตอรแได฾ (ยกเวน฾ การใหพ฾ ฽อแม฽ซ้ือเครอื่ งใหม)฽ เป็นตน฾ 5.2 ฝึกควบคุมความอยากเมื่อเด็กปฐมวัยอยากได฾ของเล฽นและรบเร฾าให฾พ฽อแม฽ซ้ือของเล฽นให฾ซึ่ง เด็กจะมีความ อยากได฾เหลือเกินจนไม฽ค฽อยรับฟใงเหตุผลของพ฽อแม฽ เช฽น พ฽อแม฽บอกว฽าของเล฽นที่บ฾านมี เยอะแยะแล฾ว และการหา฾ มก็ มักหยดุ เด็กไมไ฽ ดผ฾ ล ส฽วนการตามใจทุกครั้งก็ทําให฾เด็กเสียนิสัย แต฽พ฽อแม฽มี ทางออกในการแก฾ปใญหาน้ีด฾วยการลองใช฾ คติน้ําเช่ียวอย฽าเอาเรือไปขวาง คือ “อนุญาตให฾ซื้อ แต฽ไม฽ใช฽ เดี๋ยวนี้” เพื่อลดความอยากได฾ของเด็กที่พุ฽งสูงในขณะน้ัน ลงก฽อนโดยพ฽อแม฽อาจตกลงกับเด็กว฽าจะซ้ือใน อกี ก่ีอาทิตยแ แล฾วให฾เวลาเดก็ ทจ่ี ะไดท฾ าํ ความร฾ูจักกับของเลน฽ ชิ้นนนั้ เชน฽ หาข฾อมลู ของเลน฽ ท้งั แบบร฽ุนราคา ขอ฾ ดี ข฾อเสีย พาไปดู ไปทดลองเล฽น จนกว฽าจะครบกําหนดเวลาที่สัญญา ซ่ึงจะช฽วย เรียกสติและทดสอบ ใจว฽าเด็กสนใจและต฾องการของเล฽นชิ้นน้ันจริงๆ หรือกรณีของเล฽นราคาแพง ก็อาจทําข฾อตกลงให฾ ลูก ช฽วยงานพ฽อแม฽เพ่ิม เพ่ือฝึกลูกให฾ออมเงินค฽าขนมส฽วนหนึ่งมาซ้ือของเล฽นน้ัน ซ่ึงจะฝึกให฾เด็กร฾ูจักรอคอย ยบั ยง้ั ชั่งใจ มคี วามรอบคอบในการซอื้ ไมใ฽ ช฽ไหลไปตามความอยากซ้ือตอนน้ันแต฽พอได฾แล฾วเล฽นแค฽วันสอง วันกเ็ บ่อื ดังนั้นพ฽อแม฽จึงควรพิจารณาสิ่งท่ีควรทําและส่ิงที่ไม฽ควรทําในการฝึกเด็กปฐมวัยให฾ร฾ูจักควบคุม ความอยาก 6. การฝึกการแบง่ ปนั การแบ฽งปในเป็นทักษะที่ต฾องฝึกฝน และเป็นจุดเร่ิมต฾นของความเสียสละ เด็กต฾องใช฾ความอดทน อดกล้ัน ใจ และทําใจ เม่ือเด็กทําบ฽อย ๆ ก็จะทําได฾ง฽ายข้ึน เป็นการลดความเห็นแก฽ตัวภายในใจ เด็ก ๆ สามารถแบง฽ ปในทงั้ ลงเลน฽ ข฾าวของ ความคิด การช฽วยออกแรง การช฽วยทํางาน การช฽วยยกของ การช฽วย อํานวยความสะดวกให฾คนอื่น พ฽อแม฽ควรฝึกให฾เด็กแบ฽งปในโดยไม฽หวังส่ิงตอบแทนกลับมา แต฽ให฾เด็กรับร฾ู ว฽าขณะทีแ่ บ฽งปในใหค฾ นอืน่ นั้น อานะสกึ อย฽างไร ถา฾ เดก็ ร฾ูสกึ ดี ก็เทา฽ กับวา฽ ได฾รางวัลจากการทําดแี ลว฾ พ฽อแม฽จึงสอนให฾เด็กปฐมวัยเรียนรู฾การแบ฽งปในท่ีสําคัญ คือ การแบ฽งปในระหว฽างพ่ีน฾อง พี่น฾องที่ อิจฉากัน มัก เนื่องมาจากการแสดงออกของพ฽อแม฽ว฽ารักคนใดคนหนึ่งมากกว฽าทําให฾เด็กร฾ูสึกอิจฉา เช฽น การรักและปกปอู งน฾อง มากกว฽าพ่ี เปรียบเทียบความสามารถระหว฽างพี่น฾อง ทําให฾เด็กร฾ูสึกโกรธเคืองกัน ถา฾ ไม฽ได฾รับการแกไ฾ ขท่เี หมาะสม พน่ี อ฾ งก็จะขดั แย฾งกันไปจนโต

192 ดังน้ัน พ฽อแม฽จึงควรพิจารณาสิ่งที่ควรทําและส่ิงที่ไม฽ควรทําในการฝึกเด็กปฐมวัยให฾เรียนร฾ูการ แบง฽ ปใน 7.ความหมายและความสาคัญของการปลูกฝงั คุณคา่ ชวี ิต ในครอบครัวที่มีเด็กปฐมวยั ในวิถีชีวิตดั้งเดิม เด็กปฐมวัย (0-6 ปี) ส฽วนใหญ฽ได฾รับการดูแลจากพ฽อแม฽และเครือญาติที่มักอย฽ู รวมกันเป็น ครอบครัวใหญ฽ เด็กจึงได฾รับการดูแลทั้งในทางร฽างกายและจิตใจอย฽างต฽อเน่ือง ต้ังแต฽อย฽ูใน ครรภแแม฽จนคลอดออกมา เป็นทารก และเม่ือเจริญวัยขึ้นเด็กได฾ซึมซับวิถีชีวิตของตนโดยธรรมชาติ จาก กระบวนการที่สมาชิกในครอบครัวต฽าง มีการเกื้อหนุนจุนเจือ ถ฾อยทีถ฾อยอาศัย และความมีนํ้าใจไมตรี ระหว฽างสมาชกิ ในครอบครัว รวมถึงการอบรมเลีย้ งดู การสอนใหร฾ ูถ฾ งึ ทักษะการดํารงชีวติ ท่ีงดงามในสังคม ซึง่ จะพฒั นามาเปน็ วถิ ใี นการประพฤติปฏบิ ตั ิเม่อื เดก็ ได฾เจริญ เตบิ โตเป็นผู฾ใหญ฽ รวมตลอดถึงความรู฾สึกผิด ชอบช่ัวดี กฎเกณฑแแ ละมาตรฐานของความประพฤติปฏบิ ัติในสังคม ในการตดั สนิ วา฽ การกระทําใดถูกหรือ ผดิ การกระทาํ ใดควรทําหรือไม฽ควรทํา การอบรมเล้ียงดูเด็กตั้งแต฽วัยปฐมวัยจึง เป็นการส฽งผ฽านคุณค฽าใน การดํารงชีวิตหรือคุณค฽าชีวิตจากคนรุ฽นหนึ่งในครอบครัวไปสู฽คนรุ฽นใหม฽ท่ีเพิ่งเริ่มเข฾ามาเป็น สมาชิกใน ครอบครัวท่ีจะสง฽ ผลให฾มีชวี ติ งดงาม ทรงคณุ คา฽ อยา฽ งมีความสขุ 1. ความหมายของการปลกู ฝังคณุ คา่ ชวี ติ ในครอบครัวทีม่ เี ดก็ ปฐมวัย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได฾ให฾คําจํากัดความ หรือความหมายของคําว฽า “คุณ” หมายถึง ความดี ท่ีมีประจําอยู฽ในส่ิงน้ัน ๆ และ “คุณค฽า” หมายถึง สิ่งท่ีมีประโยชนแหรือมีมูลค฽าสูง เม่ือ พิจารณาถึง “คุณค฽าชีวิต” จึง หมายถึง การทําชีวิตให฾ถึงพร฾อม ด฾วยการเป็นมนุษยแที่สมบูรณแ โดย แสดงออกถึงความดี (Good) ความถูกต฾อง (Right) ความสามารถในการตัดสินจริยธรรม (Moral judgment) ความงาม (Beauty) ความสามารถในการตัดสิน ความสุนทรียแ (Aesthetic judgment) ความจริง (Truth) หรือความสมเหตุสมผล (Validity) รวมทั้งส่ิงที่ควรจะเป็น (What it ought to be) ในกรณีท่ีข฾อเท็จจริงแตกต฽างไปจากสิ่งที่มีคุณค฽า เม่ือไรก็ตามที่บุคคลได฾กําหนดคุณค฽าชีวิต จึงเป็นการ กําหนดถึงวิถีในการดํารงชีวิตของตนที่จะให฾มาได฾ถึงความเป็นมนุษยแที่สมบูรณแ นั่นหมายความว฽า การ เปน็ มนุษยทแ สี่ มบรู ณแของเขาเป็นเปูาหมายชีวิตของเขา เช฽น การให฾คุณค฽ากับความถูกต฾อง การประพฤติ ปฏิบัติใดที่เกิดข้ึน ด฾วยเหตุของความไม฽ถูกต฾องจะทําให฾บุคคลนี้ไม฽สบายใจ ไม฽มีความสุข เขาต฾องมีการ พิจารณาแก฾ไขเปลย่ี นแปลง ข฾อผิดพลาดต฽างๆ ทเี่ กดิ ขึน้ ให฾กลับมาถูกต฾องอีกครั้ง จึงจะทําให฾เขากลับมามี ความสุขได฾ คณุ คา฽ ชีวิตนโ้ี ดยเนอ้ื แทแ฾ ล฾ว เป็นคณุ สมบัติดงั้ เดมิ ของมนษุ ยแทีท่ ําให฾เราดํารงชีวิตอย฽ูอย฽างมีค฽า ดัง จะเหน็ ได฾ จากมนษุ ยทแ งั้ โลก โดยหลักแลว฾ ให฾คณุ ค฽าส่ิงต฽าง ๆ ที่มคี วามสอดรบั ระหวา฽ งกนั เป็นอย฽างยิ่ง เชน฽ การให฾คุณค฽า เก่ียวกับความสงบ คนทั้งโลกปรารถนาท่ีจะดําเนินชีวิตท่ีมีความสงบและสันติ ปราศจาก ความก฾าวร฾าวรนุ แรง โดยความ ปรารถนานน้ั เป็นไปทั้งในระดบั สว฽ นบุคคล ชมุ ชนจังหวดั ประเทศ และใน ระดับโลก หากบุคคลใดต฾องเผชิญกับความ ไม฽สงบ เขาต฾องหาหนทางที่จะได฾ความสงบกลับคืนมา โดย

193 อาจจดั การขจัดสิ่งที่รบกวนความสงบของเขาออกไป หรือ อาจย฾ายสถานท่ีเพื่อให฾ตนเองได฾รับความสงบ กลบั มาอกี ครัง้ ในกรณีของเด็กปฐมวัยที่ประสบการณแชีวิตเพ่ิงเร่ิมต฾นขึ้น การปลูกฝใงคุณค฽าชีวิตผ฽านการอบรม เล้ียงดูด฾วย ความเข฾าใจในคุณค฽าท่ีแท฾จริงของชีวิต ย฽อมทําให฾เด็กได฾รับประสบการณแต฽างๆ จาก กระบวนการที่เป็นธรรมชาติที่มี ความสําคัญต฽อการวางรากฐานชีวิต และสามารถใช฾คุณค฽าชีวิตเหล฽าน้ัน ได฾จากสภาพของจิตใจภายใน เช฽น การฝึกให฾เด็กจะร฾ูจักอารมณแตนเองและสามารถควบคุมอารมณแของ ตนเองได฾ เข฾าใจและเห็นอกเห็นใจผู฾อื่น เป็นเด็กท่ียอมรับ กฎเกณฑแกติกา จากการฝึกฝนและเรียนรู฾ใน เร่อื งระเบียบวินัย มีความม฽ุงมั่น มานะอดทนต฽อการทํางาน รู฾จักปรับตัว ต฽อปใญหาต฽าง ๆ ได฾ มองโลกใน แงด฽ แี ละกล฾าแสดงออก เป็นต฾น การอบรมเลี้ยงดูดังกล฽าวน้ี จะเป็นรากฐานให฾แก฽เด็ก เมื่อเติบโตข้ึน เด็ก สามารถที่จะทําให฾คุณค฽าชีวิตกลายเป็นส฽วนหนึ่งของความคิด การประพฤติปฏิบัติและวิถีในการ ดาํ รงชีวิต ทจ่ี ะทําใหเ฾ กดิ ประโยชนแสูงสุดต฽อตนเองและผู฾อ่ืนได฾อย฽างเป็นธรรมชาติ หรือกล฽าวอีกนัยหน่ึงก็ คือ การดํารง ชวี ติ ท่ีสามารถสร฾างความสขุ ไดด฾ ฾วยตนเองจนกระท่ังรจ฾ู ักให฾และรบั ความสุขน้ันกับทั้งตนเอง และผ฾อู ่ืนได฾ “ความสขุ ” มีความสัมพนั ธแกับคณุ ค฽าของชีวิต กล฽าวคือ ชีวติ ที่บรรลุสู฽สิ่งที่มีค฽าในตนเอง คือ ชีวิต ทมี่ ีคา฽ หรือ เปน็ ชวี ติ ทพ่ี ึงปรารถนา การลว฽ งรูถ฾ งึ วิธีการในการดําเนินชีวิตอย฽างมีความสุขนี้ เป็นประเด็นที่ เกยี่ วข฾องกบั คาํ วา฽ “จติ วญิ ญาณ” คาํ วา฽ “จติ วิญญาณ” มกี ารใช฾กนั ทว่ั ไปอย฽างหลากหลายในความหมาย ตั้งแต฽เรื่องราวที่เก่ียวโยงกับศาสนา สิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ศรัทธา จนถึงเร่ืองราวทางโลกท่ีอาจไม฽เก่ียวอะไรกับ ความสูงส฽งหรือความดีงาม จิตวิญญาณเป็นหนึ่งคํา ที่มักก฽อให฾เกิดความเข฾าใจผิดและอคติได฾เสมอ จิต วิญญาณที่แท฾จริงน้ันแตกต฽างอย฽างส้ินเชิงจากการเข฾าทรง การใช฾ พลังอิทธิฤทธิ์อภินิหารหรือเรื่องเหนือ ธรรมชาติ นอกจากนีเ้ รอื่ งที่เกยี่ วขอ฾ งกบั จิตวิญญาณเองมคี วามสอดคลอ฾ งกนั กบั ศาสนาอย฽างยิ่ง แต฽ก็มิได฾ เปน็ สง่ิ เดยี วกนั หน่ึงในคําจํากัดความของคําว฽า “ความเป็นจิตวิญญาณ” (Spirituality) คือ การมองกลับเข฾าไป ภายในเพ่ือ ค฾นพบเอกลักษณแท่ีแท฾จริงของความเป็นมนุษยแ แม฾จะฟใงง฽ายแต฽ก็หนักแน฽นและลึกซ้ึง ด฾วย “การมองเข฾าไปภายใน” เป็นการค฾นหาตัวตนท่ีแท฾จริงของตนเองท่ีจะตอบคําถามที่ดูเหมือนเป็นคําถาม พ้นื ฐาน แต฽เป็นคําถามท่ีต฾องผา฽ นการ ไตร฽ตรองอย฽างลึกซ้ึง คําถามทีแ่ ต฽ละคนตอ฾ งหาคําตอบมี ดงั นี้ 1. ฉนั คอื ใคร 2. คุณค฽าของฉันคืออะไร และ 3. อะไรคือส่ิงทม่ี ีความหมายและให฾เปูาหมายแกช฽ ีวิตของฉนั คําตอบของคําถามข฾างต฾นน้ีเป็นส่ิงบ฽งช้ีให฾เห็นและเข฾าใจถึง “เอกลักษณแท่ีแท฾จริงของความเป็น มนุษยแ” ก็คือ แก฽นแท฾ของความเป็นมนุษยแ ซ่ึงเกี่ยวโยงกับการตระหนักรู฾ (Awareness) และพฤติกรรม เป็นความกระจ฽างอย฽าง สมบูรณแว฽า จะสามารถนําเอาคุณค฽าอันเป็นเนื้อแท฾ของตนสะท฾อนออกมาใน ชวี ติ ประจาํ วัน

194 จิตวิญญาณท่ีแท฾จริงคือ การมีทัศนคติในเชิงบวกต฽อตนเองและผู฾อื่นท่ีทําให฾ชีวิตอยู฽ร฽วมกัน ด฾วย ความรกั ความสงบ และความสอดคลอ฾ งปรองดอง ความสุขเปน็ ส่ิงท่ีลํา้ ค฽า เป็นความปรารถนาของมนุษยแ ทุกคน การมีความสุข หรือไมม฽ คี วามสขุ นั้น มไิ ดเ฾ กดิ จากส่ิงต฽างๆ ภายนอก แต฽มาจากส่ิงที่อยู฽ภายใน หาก ความสุขท่ีได฾รับอย฽ูบนพ้ืนฐานของ สิ่งภายนอก และแล฾วเม่ือใดก็ตามที่เกิดการสูญเสียหรือการสูญหาย ของส่ิงภายนอกนั้นไป ความสุขท่ีเกิดขึ้นจะหาย ตามไปด฾วย เพราะไม฽มีปใจจัยภายนอกใดท่ีสามารถให฾ ความสขุ ทีถ่ าวร การสร฾างความสุขเป็นความรับผิดชอบของแต฽ละ บุคคลเอง ส่ิงต฽างๆ ภายนอก อาจเป็น เครื่องการช้ีนํา และแรงบันดาลใจได฾ แต฽ถึงที่สุดแล฾ว ชีวิตคือสิ่งท่ีเราเองต฾อง สร฾างขึ้นมา หากผู฾ใด ปรารถนาที่จะไดร฾ ับความสุขในชีวิตแลว฾ ผ฾ูนน้ั จาํ เปน็ ตอ฾ งสร฾างความสุขท่ีมาจากภายในตนเอง ดังน้ัน เมื่อ นําเอาความเป็นจิตวิญญาณมาใช฾ในชีวิต นั่นทําให฾เกิดความเข฾าใจถึงความหมายของความเป็นมนุษยแที่ แท฾จริง และแล฾วชีวิตก็มิได฾เป็นเพียงการมีชีวิตรอดและการเอาชนะอุปสรรคอีกต฽อไป แต฽ชีวิตหมายถึง การมี ประสบการณแของความสุขในความสัมพันธแทั้งกับตนเองและผู฾อื่น การกลับมาทําความร฾ูจักกับ ตนเองในมิติทาง จิตวิญญาณ เป็นการค฾นพบตัวตนท่ีแท฾จริง เป็นโอกาสของการได฾ค฾นหาคุณค฽าภายใน และมองเห็นความงดงามของ ชีวิต เป็นก฾าวแรกของการสร฾างความเคารพในตนเองข้ึนมา ด฾วยความ เชือ่ ม่นั และการมีศรัทธาต฽อคุณค฽าและคุณธรรม ภายในตัวเรา ส่ิงน้ีจะนํามาซ่ึงเกียรติ ศักดิ์ศรี และความ ภาคภมู ใิ นความเปน็ มนุษยแ 2.ความสาคัญของการปลูกฝงั คณุ ค่าชวี ิตในครอบครัวทม่ี เี ดก็ ปฐมวัย ปฐมวัยนับเปน็ ชว฽ งวัยทมี่ คี วามสําคัญเป็นอยา฽ งยงิ่ ในการท่ีจะได฾เรียนรู฾ส่ิงต฽างๆ ในวัยเด็กท่ีจะเป็น พ้ืนฐานใน การพฒั นาเปน็ ผู฾ใหญ฽ในอนาคต จึงเป็นเหตุให฾นักจิตวิทยาและนักการศึกษาต฽างให฾ความสนใจ ด฾านการพัฒนาเด็ก ปฐมวัย เน่ืองจากในช฽วงปฐมวัยนี้ระบบประสาทและสมองของเด็กกําลังสร฾าง โครงสร฾างต฽างๆ ท่ีสําคัญ อันมีผลทําให฾ สมองมีการเจริญเติบโตในอัตราสูงสุดถึงกว฽าร฾อยละ 80 ของวัย ผ฾ูใหญ฽ ดงั นั้น กระบวนการเรียนร฾ตู า฽ งๆ ทเ่ี กิดขน้ึ ใน ช฽วงปฐมวัยน้ี ทง้ั ในด฾านการเรยี นร฾จู ากสง่ิ แวดล฾อมท่ีมี อย฽รู อบตัวเด็ก และด฾านการอบรมดูแล จึงมีความสําคัญต฽อการ ปลูกฝใงเสริมสร฾างพัฒนาการของเด็กเป็น อย฽างยิ่ง เพราะเป็นช฽วงท่ีมีก฽อตัวของการพัฒนาทั้งโครงสร฾างสมอง ปใญญา อารมณแ ความดี และความ เชื่อของคนกระบวนการเรียนรู฾เหล฽าน้ันจึงเป็นพ้ืนฐานที่สําคัญต฽อการบ฽มเพาะบุคลิกภาพ อุปนิสัย และ การเจริญเติบโตของสมอง อันจะมีผลต฽อพัฒนาการของสติปใญญาและความสามารถของเด็กอย฽างถาวร หรืออาจกล฽าวได฾ว฽า กระบวนการเรียนร฾ูในช฽วงปฐมวัยน้ี จะมีผลกระทบในระยะยาวต฽อคุณภาพชีวิตของ คนหากประเทศ ใดปรารถนาที่จะให฾ประชากรของตนเป็นคนท่ีมีคุณภาพทั้งในด฾านสติปใญญาและ ความสามารถแล฾ว จําเป็นเป็น อย฽างย่ิงที่ประเทศนั้นจะต฾องใส฽ใจและให฾ความสําคัญต฽อกระบวนการ เรยี นรข฾ู องเด็กในชว฽ งปฐมวยั ในทฤษฎีพฒั นาการของอรี คิ สนั (Erikson's theory of development) อีริค เอช อีริคสัน (Erik H. Erikson) นกั จิตวิทยาชาวอเมริกัน มีความคดิ เปน็ ว฽าพัฒนาการทางบุคลิกภาพเป็นเร่ืองท่ีเกิดขึ้นในทุก ชว฽ งของชีวิต โดยเริ่มตั้งแต฽ช฽วงแรกของชีวิต ซึ่งพัฒนาการของมนุษยแมิได฾เป็นไปเพื่อสนองความสุขความ

195 พงึ พอใจทางดา฾ นสรีระ เทา฽ นนั้ แต฽ยังจะต฾องขึ้นอย฽ูกับสภาพทางจิต-สังคม ซ่ึงหมายถึงลักษณะการอบรม เลย้ี งดู สมั พันธภาพระหวา฽ ง พอ฽ -แม฽ ตลอดจนอทิ ธิพลของวฒั นธรรมในสังคมน้ันๆ ซึ่งเด็กจะแสดงให฾เห็น ถึงความรู฾สึกนึกคิดท่ีมีต฽อตนเองและส่ิงแวดล฾อม (Self-Concept) และความรู฾สึกน้ีเป็นส่ิงสําคัญในการ พัฒนาทางบุคลิกภาพ ซ่ึงจะเป็นเรื่องท่ีติดต฽อสืบเน่ืองกันไป ตลอดชีวิต ท้ังนี้ ในแต฽ละข้ันตอนของ พัฒนาการทางบุคลิกภาพจะมีโอกาสท่ีจะพัฒนาไปได฾ไม฽ทางบวก ก็ทางลบ นอกจากนี้ อีริคสันยังมี ความเหน็ ว฽าในแตล฽ ะขน้ั ของการพัฒนาจะมี “ช฽วงวิกฤต” (Critical period) สําหรับที่จะพัฒนา เร่ืองน้ัน ๆ ซงึ่ อรี ิคสนั หมายถงึ ผ฾ูที่มบี คุ ลกิ ภาพและจิตใจที่ดี ซึ่งจะเป็นลักษณะของคนที่สามารถเผชิญปใญหาหรือ แกป฾ ญใ หาทั้งปใญหาที่เกิดจากภายในตนเองและปใญหาจากภายนอก ด฾วยการที่สามารถจัดระบบระเบียบ ความคิดและ สามารถตัดสินใจได฾ ในทางตรงกันข฾ามถ฾าในช฽วงชีวิตใด พัฒนาการเป็นไปในทางลบ มากกว฽า เด็กผู฾น้ันจะมีพัฒนาการ ทางบุคลิกภาพไม฽สมบูรณแ ซ่ึงจะนําไปส฽ูการเป็นผู฾ที่มีปใญหาในการ ปรับตัว นอกจากน้ัน อีริคสันยังอธิบายต฽อว฽า ในการ พัฒนาการของมนุษยแตั้งแต฽เกิด เป็นทารก เป็นเด็ก และเจริญวัยเป็นผ฾ูใหญ฽จะเป็นการพัฒนาในแต฽ละข้ันตอนเป็นการ พัฒนาท่ีต฽อยอดจากการพัฒนาใน ขั้นตอนที่ได฾พัฒนามาแล฾วในข้ันตอนก฽อนหน฾า ดังน้ันถ฾าพัฒนาการของ ego ในตอน แรกเป็นไปด฾วยดีก็ จะไปช฽วยพัฒนา ego ในขั้นท่ี 2 ต฽อไป แต฽ถ฾าพัฒนาการในขั้นแรกไม฽ดีแล฾ว จะหวังให฾ ข้ันท่ี 2 มี การ พัฒนาไปในทางดีได฾ เด็กจําเป็นที่จะต฾องได฾รับประสบการณแท่ีเหมาะสมในช฽วงน้ันจริงๆ ซึ่งอีริคสันได฾ ชี้ให฾เห็นถึง อิทธิพลที่แต฽ละขั้นมีต฽อกันโดยที่พัฒนาการในขั้นหลังจะได฾รับอิทธิพลจากข้ันก฽อนน้ัน ตั้งแต฽ อดีตจนถึงปใจจุบัน (http:// WWW.baanjomyut.com/library/personality/09.html สืบค฾นเม่ือ 8 ม.ค. 2556) จากทฤษฎีพัฒนาการของอีริคสันข฾างต฾น ทําให฾สามารถเห็นประเด็นของความสําคัญของการ พัฒนาของเด็ก ในช฽วงปฐมวยั ทนี่ ักจิตวิทยาและนักการศกึ ษาต฽างถือวา฽ เปน็ ช฽วงวกิ ฤตหรือโอกาสทองของ ชวี ติ หรอื การพฒั นาการของ มนษุ ยเแ ลยก็ว฽าได฾ เนอื่ งจาก ในชว฽ งวัยปฐมวัยนี้ เป็นชว฽ งอายทุ ีม่ อี ัตราของการ พัฒนาการสงู ซึ่งเปน็ วยั ทเ่ี ดก็ พร฾อม เรียนร฾ูกับสิ่งแวดล฾อมที่มีอยู฽รอบตัว หากดูเด็กปฐมวัยได฾รับการเล้ียง ทีด่ ีและถกู ตอ฾ งตามหลักวิชาการทเี่ ก่ียวขอ฾ ง ท่ี สามารถสรา฾ งประสบการณแ และสภาพแวดล฾อมท่ีดีรอบตัว เดก็ ผ฽านการพฒั นาเด็กบนพืน้ ฐานการอบรมเล้ียงดูและ ส฽งเสริมกระบวนการเรียนร฾ูท่ีสนองต฽อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต฽ละบุคคลจะก฽อให฾เกิดการวางรากฐานชีวิต ของเด็กให฾เจริญเติบโตอย฽าง สมบูรณแ โดยเด็กปฐมวัยนี้ต฾องการมีพัฒนาการที่สอดคล฾องกับวัยได฾อย฽างสมดุล ท้ังด฾านร฽างกาย อารมณแ จิตใจ สังคม และสติปใญญา บนพื้นฐานความสามารถและความแตกต฽างระหว฽างบุคคล ซ่ึงสามารถ ดําเนินการได฾โดยใช฾กิจกรรมที่มุ฽งเน฾นการพัฒนาด฾านร฽างกายให฾แข็งแรงสมบูรณแ พร฾อมไปกับการกระต฾ุน ให฾สมองได฾ รบั การพัฒนาอยา฽ งเตม็ ท่ี และเกิดการพัฒนาไดเ฾ ต็มตามศักยภาพ ไม฽ว฽าจะเป็นการพัฒนาด฾าน จิตใจ และอารมณแให฾เป็น ผ฾ูมีความรู฾สึกที่ดีต฽อตนเอง เช่ือม่ันในตนเองร฽าเริงแจ฽มใส สามารถควบคุม อารมณแตนเองได฾รวมตลอดถึงการพัฒนา ด฾านสังคมที่เปิดโอกาสให฾เด็กมีปฏิสัมพันธแกับบุคคลและ สิ่งแวดล฾อมรอบตัว ส฽งผลให฾เป็นผู฾ที่มีมนุษยสัมพันธแท่ีดี สามารถดํารงชีวิตร฽วมกับผ฾ูอื่นได฾อย฽างมีความสุข