Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย

เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย

Published by dlit_sm037, 2020-08-04 07:46:15

Description: เอกสารประกอบการอบรมหลักสูตรครอบครัวศึกษากับการพัฒนาเด็กปฐมวัย

Search

Read the Text Version

46 2. พฒั นกจิ ของครอบครัวทมี่ เี ดก็ แรกเกดิ ถงึ 1 ปี โดยทั่วไป ครอบครัวในระยะที่มีเด็กแรกเกิดถึง 1 ปีจะต฾องเล้ียงดูเด็กนั้นมักพบว฽า ในระยะน้ี ภรรยาเป็น ผู฾เล้ียงดูลูกในเวลากลางวันและมีตายายคอยช฽วยเล้ียงดู (ภัสสรลิมานนทแ และคณะ 2538 อ฾างถึงในรุจา ภูไพบูลยแ 2549) นอกจากน้ี ท้ังสามีและภรรยาต฽างต฾องพบกับบทบาทท่ีเกิดการ เปลี่ยนแปลงและต฾องปรับตัวให฾เข฾ากับบทบาทใหม฽ตามหน฾าที่และสภาพสังคมในปใจจุบัน ซึ่งทั้งสามีและ ภรรยาต฽างคาดหวังซ่ึงกันและกันภรรยาคาดหวังว฽าสามีสามารถช฽วย เล้ียงดูบุตรร฽วมกับภรรยา หรือให฾ ความช฽วยเหลือบางด฾านเม่ือภรรยาขอให฾ช฽วยเหลือ ขณะเดียวกันสามคาดหวังว฽าภรรยา สามารถให฾การ เลี้ยงดูบตุ รท่เี กิดใหม฽ได฾อย฽างเต็มท่ี หรือหากภรรยาสนใจเล้ียงดูบุตรมากเกินไป จนไม฽ได฾ทําหน฾าท่ีภรรยา สามีอาจร฾ูสึกถูกทอดทิ้ง ไม฽ได฾รับความสนใจและร฾ูสึกว฽า บุตรแย฽งความรักของภรรยาไปจากตนเอง จน อาจเกิดปใญหา ข้ึนระหว฽างสามีกับบุตรอันส฽งผลให฾สามีแสดงพฤติกรรมท่ีไม฽เหมาะสมกับบุตรได฾ (Friedman, Bowden, andJone, 2003; รูจา ภูไพบูลยแ 2545) นอกจากน้ียังพบว฽า เม่ือภรรยาปรับตัว ได฾สกั ระยะ ภรรยาจะเรียนร฾ถู ึงการมีทศั นคติ เห็น คุณค฽าของตนเองและมีความร฾ูสึกของบทบาทที่ตนเอง สามารถเปน็ ท้ังภรรยา และเปน็ แมไ฽ ด฾ (Duvall, 1967) จึงอาจกล฽าวได฾ว฽า พัฒนกิจของครอบครัวหรือความรับผิดชอบของครอบครัวในช฽วงที่มีเด็กแรกเกิดถึง 1 ปี (Duvall, 1977) มีประเดน็ ที่สําคัญดงั น้ี 2.1 การจดั เตรียมบ้านทอ่ี ยู่อาศยั สาหรบั เดก็ เล็กๆ นอกจากการจัดเตรียมบ฾าน หรือสถานที่แล฾ว ควรปรับปรุง ส่ิงแวดล฾อมให฾เหมาะสม สะอาด ปลอดภัยควรเก็บสิ่งของต฽างๆ ให฾เป็นระเบียบเรียบร฾อย รวมท้ังตรวจสอบอันตรายท่ี จะเกดิ ข้ึนกับเด็ก เช฽น ของเล฽นควรมที ่เี กบ็ หลงั จากเด็กเลน฽ เสร็จปลักไฟควรมี ฝาครอบกันไม฽ให฾เด็กเอาน้ิวหรอื ส่งิ ของ แหย฽ไปในรูของปลก้ั ไฟ เป็นตน฾ 2.2 การจัดเตรียมค่าใช้จ่ายสาหรับการเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย ครอบครัวต฾องวางแผนสําหรับการ คลอดบุตรใน ปใจจุบันและบุตรที่กําลังจะเกิดในอนาคตในการเล้ียงดูบุตรน้ันจะมีค฽าใช฾จ฽ายเพิ่มขึ้นไป เร่อื ยๆ ตามความจําเปน็ ดงั น้ัน จงึ ต฾องมีการเตรยี มงบประมาณตา฽ ง ๆ เพ่อื ไว฾ใช฾ในอนาคต เช฽น ค฽าส่ิงของ เครื่องใช฾ต฽าง ๆ ภายในบ฾าน ค฽าอาหาร ค฽าเสื้อผ฾า ค฽าการศึกษาเล฽าเรียนของบุตร และค฽ารักษา พยาบาล เป็นต฾น ในขณะเดียวกันต฾องเตรียมเงินเมื่อเกิด เหตุการณแที่ไม฽คาดฝในขึ้นในครอบครัว อาทิ การเกิด อุบัติเหตุ หรือคนใดคนหนึ่งของครอบครัวถูกออกจากงาน นอกจากน้ี อาจมีเหตุการณแท่ีบางครอบครัว ตอ฾ งหารายไดเ฾ พ่ิมขึ้น เพ่ือหาคนมาช฽วยเลี้ยงดูเด็ก เพราะทั้งคู฽ต฾องออกไป ทํางานนอกบ฾าน แต฽อาจมีบาง ครอบครวั สามารถหาญาติผใ฾ู หญ฽ เช฽น ปุูยา฽ ตา ยาย มาช฽วยเลีย้ งดเู ดก็ ได฾ เปน็ ต฾น 2.3 ความเขา้ ใจและมคี วามรบั ผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ ท้ังพ฽อและแม฽ต฾อง ปรับตวั เขา฾ ส฽ู บทบาทใหม฽ ต฾องเรยี นรู฾หน฾าที่การดูแลและเล้ียงดูบุตรท้ังในเรื่องอาหารการกิน การอาบนํ้า การสังเกตอาการผิดปกติ ที่อาจเกิดข้ึนกับบุตรพ฽อต฾องมีบทบาทความรับผิดชอบมากขึ้น เข฾าใจและ ยอมรับบทบาทใหม฽ที่เกิดขึ้นและหาแนวทาง จัดการกับความกดดันท่ีอาจเกิดขึ้นในการช฽วยเลี้ยงดูลูก รวมท้งั ตอ฾ งเป็นผ฾ูหาเลยี้ งครอบครวั เป็นผู฾นําของครอบครัว ในขณะทีแ่ ม฽ต฾องเป็นคนเล้ียงดูบุตรท่ียังเล็กอย฽ู

47 นอกจากน้ที งั้ สองคนควรแลกเปล่ียนบทบาทความรับผิดชอบกันได฾ ท้ังในระยะส้ันและระยะยาว หากคน ใดคนหนึ่งไม฽สะดวก เช฽น พ฽ออาจต฾องช฽วยดูแลบุตร หรือช฽วยทํางานบ฾านแทนแม฽ เม่ือแม฽ต฾องไปซ้ือของ นอกบา฾ น หรอื มนี ดั กบั เพือ่ น เป็นต฾น 2.4 การเรียนรู้กฎเกณฑ์ พ฽อแม฽มือใหม฽ต฾องเรียนรู฾กฎเกณฑแเพ่ือช฽วยอํานวยความสะดวกให฾แก฽ สมาชิกใน ครอบครัว การแบ฽งบทบาทหน฾าที่กันจะช฽วยไม฽ให฾แม฽ต฾องเลี้ยงบุตรคนเดียวตามลําพัง หรือ ตลอดเวลา ควรส฽งเสรมิ ให฾ พอ฽ มสี ว฽ นรว฽ มเลย้ี งดูบตุ รด฾วย เพราะการเล้ียงดูบุตรไม฽ใชห฽ นา฾ ท่ขี องแม฽เพยี งคน เดยี วและควรมีการพดู คุยกันระหวา฽ ง พ฽อและแม฽เกย่ี วกบั พัฒนาการ หรือปใญหาการอบรมเล้ียงดูบุตรเพื่อ จะได฾ช฽วยเหลือซ่ึงกันและกันได฾นอกจากนี้พอควร ได฾เรียนร฾ูเกี่ยวกับความต฾องการของบุตร และการมี ปฏสิ ัมพันธแกับบตุ รตงั้ แตย฽ งั เลก็ จวบจนกระทั่งเจรญิ เติบโต เพอื่ ช฽วยเหลือแมใ฽ นการร฽วมมือกนั กระตุน฾ และ ส฽งเสริมพัฒนาการบุตรดว฾ ย 2.5 การสือ่ สารระหวา่ งคู่สมรสในครอบครวั การสือ่ สารในครอบครัวเป็นเร่ืองท่ีสําคัญยิ่ง ดังน้ัน คู฽สามีภรรยา ควรมีการพูดคุยกันเพ่ือสร฾างความเข฾าใจแบ฽งปในความร฾ูสึกภาคภูมิใจ ความเครียด ความ สนกุ สนาน หรือแมแ฾ ต฽เรือ่ ง เพศสัมพนั ธแ ตลอดจนการแสดงความรักกับลูก เช฽น การกอด การจูบลูก เพ่ือ สรา฾ งความรัก ความอบอ฽ุนให฾แกล฽ ูก และ เป็นการสื่อสารให฾ลูกร฾ูถงึ การแสดงความรกั ของพอ฽ แมท฽ ม่ี ีตอ฽ ลูก 2.6 การวางแผนครอบครัวเพ่ือลูกในอนาคตทั้งพ฽อและแม฽ควรปรึกษาและร฽วมมือกันวางแผน ครอบครวั อยา฽ ง เหมาะสม เพ่ือจะช฽วยให฾ครอบครัวไม฽เกิดความเครียดหรือวิตกกังวลกับภาระต฽างๆ ท่ีจะ เกดิ ขึ้นหากจะต฾องเล้ียงบตุ ร คนตอ฽ ไปทจี่ ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต 2.7 การสร้างความสัมพันธภาพกับเครือญาติ การสร฾างสัมพันธภาพกับเครือญาติของท้ังฝุาย สามีและฝาุ ย ภรรยาจะสามารถช฽วยเหลือครอบครัวที่เพ่ิงเริ่มต฾นต้ังครอบครัวใหม฽ได฾ ทั้งในการช฽วยเหลือ ด฾านการเงิน การดําเนิน ชวี ิตประจําวัน และในการเล้ียงดูบตุ รทย่ี ังเล็กอย฽ูได฾ 2.8 การสร้างแรงจูงใจและขวัญกาลังใจการท่ีค฽ูสมรสมือใหม฽ต฾องเผชิญกับการปรับตัวและ ภาระหน฾าที่ต฽างๆ ในการเล้ียงดูบุตรที่ยังเล็กอย฽ูอาจทําให฾เกิดความเครียดเหน่ือยล฾าดังน้ันทั้งคู฽จึงควร พูดคุยปรึกษาหารือกัน หรือปรึกษา คนอื่นเช฽นเพื่อนที่มีประสบการณแในการเลี้ยงบุตรญาติผู฾ใหญ฽หรือ ผ฾เู ชี่ยวชาญ เปน็ ตน฾ เพ่อื แลกเปลีย่ นประสบการณแ และให฾กําลังใจในการเลี้ยงดบู ุตรอย฽างมคี ุณภาพ 2.9 การจัดกิจวัตรประจาวันและกิจกรรมของครอบครัว กิจวัตรประจําวันและกิจกรรมต฽าง ๆ อาจทาํ ให฾ ครอบครวั ทเ่ี พงิ่ เร่ิมต฾นใหม฽สับสนได฾ ทั้งนี้เพราะมีกิจวัตรประจําวันมากมาย เช฽นต้ังแต฽ตื่นนอน ตอนเช฾าพ฽อแม฽ถกู ปลุก ให฾ตื่นด฾วยเสียงของลูกหรือลูกปืนข้นึ มาบนเตียง การเตรียมอาหารเช฾า การอาบนํ้า ใหล฾ กู เปน็ ต฾น ดงั นั้น ทั้งพ฽อและแม฽ ควรจัดกิจวัตรประจําวันและนําประสบการณแต฽าง ๆ ที่ได฾เผชิญในแต฽ ละวันมาปรับใช฾ให฾เหมาะสม การปรับตัวของพ฽อ และแม฽จะช฽วยให฾พัฒนกิจของครอบครัวลุล฽วงไปได฾ ด฾วยดี กลา฽ วโดยสรุป พฒั นาการและพัฒนกจิ ของครอบครัวเกย่ี วขอ฾ งสัมพันธแกัน โดยพัฒนกิจครอบครัว ในระยะ ท่ีมีเด็กแรกเกิดถึงอายุ 1 ปีก฽อให฾เกิดความเปลี่ยนแปลงและส฽งผลกระทบท้ังภายในครอบครัว

48 เครือญาติ ตลอดจน เพื่อนฝูง พัฒนกิจของครอบครัวมีความสําคัญเป็นอย฽างย่ิงที่จะช฽วยให฾สามีและ ภรรยารวมถงึ เครอื ญาติต฽างปรบั ตวั กับบทบาทใหม฽ รวมทง้ั เป็นการรว฽ มมือรว฽ มใจกันเล้ยี งดูเดก็ และอบรม ส่ังสอนส่งิ ที่ถกู ต฾องเหมาะสมใหแ฾ ก฽เด็ก เพอ่ื ให฾ เจรญิ เตบิ โตเปน็ คนดีของสงั คมต฽อไป 3. แนวปฏิบตั สิ าหรับครอบครวั ในระยะที่มเี ดก็ แรกเกิดถงึ อายุ 1 ปี พัฒนาการของเด็กจะเปลี่ยนแปลงไปตามช฽วงอายุของเด็กและพัฒนาการในเด็กทุกคนจะเกิด ตอ฽ เนอ่ื งกนั ตามขั้นตอนจะไม฽มกี ารขา฾ มขั้นตอนใดตอนหน่ึง สําหรับพัฒนาการของเด็กวัยแรกเกิดถึงอาย 1 ปีนี้มีความก฾าวหน฾า อย฽างรวดเร็ว ดังนั้นครอบครัวจึงควรมีแนวทางการปฏิบัติในการดูแลและส฽งเสริม พฒั นาการเดก็ เพื่อตอบสนองความ ตอ฾ งการของเด็กในแตล฽ ะระยะท่แี ตกต฽างกันในทนี่ ี้จะกลา฽ วออกเป็น 2 ระยะไดแ฾ ก฽ 1) ระยะเดก็ แรกเกิดถงึ อายุ 6 เดือน และ 2) ระยะเด็กอายุ 6 เดอื นถงึ 1 ปี 3.1 แนวปฏบิ ัติสาหรบั ครอบครวั ในการดแู ลเด็กแรกเกิด ถึงอายุ 6 เดอื น เด็กอายุแรกเกิดถึงอายุ 6 เดือน เป็นช฽วงเวลาที่สําคัญท่ีสุดของการสร฾างรากฐานของชีวิต เดก็ นอกเหนือจาก การพฒั นาดา฾ นสมองและดา฾ นร฽างกายแลว฾ เดก็ ยงั ต฾องได฾รับการเลีย้ งดดู ว฾ ยความรกั และ เอาใจใสท฽ งั้ จากการสัมผัสการ รับรู฾รส กลิ่น และเสียง การสร฾างความสัมพันธแระหว฽างพ฽อแม฽จะก฽อให฾เกิด ความผูกพันท่ีแนบแน฽นแก฽บุตร ซ่ึงพ฽อแม฽ สามารถสร฾างความผูกพันให฾บุตรผ฽านการให฾อาหาร การสัมผัส โอบกอด การสือ่ สารพดู คุย ผา฽ นการมองและการเลน฽ การเลา฽ นทิ าน เป็นต฾น แนวปฏิบัติสําหรับครอบครัวในการดูแลเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือนควรพิจารณาถึงการ ตอบสนองความต฾องการ ของเด็กตามวัยและการส฽งเสริมพัฒนาการของเด็กตามวัย (สํานักอนามัยเจริญ พนั ธแ 2554, สมาคมคหเศรษฐศาสตรแ แหง฽ ประเทศไทย 2524) ดังนี้ 3.1.1 การตอบสนองความต้องการตามวัยสําหรับเด็กอายุ แรกเกิดถึง 6 เดือนน้ันเป็น วยั ทีย่ งั ไมส฽ ามารถช฽วย เหลือตนเองได฾ ดังนั้นการตอบสนองของพ฽อแม฽ที่มีต฽อบุตรจึงมีความสําคัญในการ เสริมสร฾างบุคลิกภาพให฾แก฽บุตรการ ตอบสนองความต฾องการของเด็กในวัยน้ีแบ฽งเป็นด฾านต฽าง ๆ ได฾แก฽ การกนิ การนอน การขับถ฽าย การเล฽น การเรยี นรู฾ และความรกั ดังนี้ 1) การกิน ทารกแรกเกิดกินอาหารด฾วยวิธีดูดแล฾วกลืน ดังนั้นอาหารของเด็กวัย แรกเกิดถึง 6 เดือน ที่สําคัญที่สุด คือ นมแม฽ โดยปกติเด็กทารกจะกินนมแม฽ทุก 2 ช่ัวโมง แต฽เด็กทารก แรกเกิดจะใช฾เวลานอนมากกว฽าทุกวัย ดังน้ันแม฽จึงควรปลุกลูกขึ้นมาให฾ดูดนมแม฽ หากบุตรนอนหลับ มากกว฽า 4 ชั่วโมง เพ่อื กระตุ฾นนาํ้ นมแม฽ เพราะปรมิ าณ นํา้ นมจะมากหรือนอ฾ ยขึน้ อย฽ูกับการดูดนมบ฽อย ๆ ของลกู เม่อื บตุ รด่ืมนม แมค฽ วรย้ิมแย฾ม มองสบตาบุตร เลน฽ พูด คุยกบั บตุ ร เมอ่ื ทารกอายุประมาณเดือนที่ 4 - 5 ควรใหอ฾ าหารเสรมิ เพ่ิมเตมิ แตท฽ ารกแต฽ละคนมีความต฾องการอาหาร ไมเ฽ หมอื นกัน ฉะน้ันจะวางกฎ ตายตวั ไม฽ไดว฾ ฽าควรใหท฾ ารกกินอาหารเมือ่ ใด และปรมิ าณเทา฽ ใด พอ฽ แมจ฽ ึงควรสังเกต การกินของบุตรด฾วย นอกจากน้ี พ฽อควรมีบทบาทร฽วมกับแม฽โดยพาบุตรไปตรวจสุขภาพตามนัด เพราะนอกเหนือจาก การพา บุตรไปตรวจสุขภาพ และได฾รับวคั ซนี แลว฾ เดก็ จะได฾รับการประเมินภาวะโภชนาการ การเฝูาระวังติดตาม พัฒนาการสมวัย และอนื่ ๆ

49 2) การนอนในช฽วงแรกเกิดทารกจะใชเ฾ วลาส฽วนใหญ฽ไปกับการนอน โดยปกติทารก นอนหลับวันละ ประมาณ 20 ชั่วโมง และตื่นทุก ๆ 2-3 ช่ัวโมง เม่ือทารกอายุมากข้ึนประมาณ 4 เดือน จะนอนหลับน฾อยลงเป็นวันละ ประมาณ 14 - 15 ช่ัวโมง ในระยะ 3 เดือนแรก ทารกนอนกลางวัน น฾อยลง และนอนหลับกลางคืนมากขึ้น ส฽วนใหญ฽ ทารกจะต่ืนเน่ืองจากความร฾ูสึกไม฽สบายตัว เจ็บ หรือ หิว รวมถึงส่ิงแวดล฾อมท่ีมีเสียงดัง หรืออุณหภูมิห฾องท่ีร฾อนเกินไปดังนั้น จึงควรจัดที่นอนทารกให฾สะอาด ปลอดภัย และมีอากาศถ฽ายเทสะดวก พ฽อแม฽ควรสังเกตว฽าบุตรมีอาการง฽วงรู฾สึกไม฽สบายตัว หรือไม฽ หาก สังเกตบ฽อย ๆ รปู แบบกจิ วตั รประจําวนั ของบตุ รได฾ 3) การขับถ่าย อุจจาระของทารกจะเปล่ียนไปตามอาหารท่ีทารกได฾รับ ทารกที่ ได฾รับนมแม฽กับทารกที่กินนมผง จะมีลักษณะของสีอุจจาระที่แตกต฽างกัน ส฽วนความถ่ีในการขับถ฽ายจะ เปล่ยี นไปตามอายุของบุตรในช฽วง สปั ดาหแแรกทารกจะถา฽ ยมากกวา฽ 5 ครัง้ ใน 1 วนั แต฽ละลดลงเหลือ วนั อาจจะขบั ถา฽ ย 2-3 วันครัง้ ถา฾ ทารกไมถ฽ ฽ายอุจจาระแตท฽ ารกยังมีอารมณแร฽าเริง แสดงว฽ายังปกติอย฽ู พ฽อแม฽ ควรตอบสนองลูกด฾วยความรกั ทําความสะอาดใหท฾ ารกสบายตัว 4) การเล่น การเล฽นไม฽ใช฽เป็นเพียงช฽วยกระต฾ุนพัฒนาการเด็กเท โดยผ฽านประสาท สมั ผสั ทั้ง 5 ซ่ึงได฾แก฽ การมองเห็นด฾วยตา การได฾ยินด฾วยหู การดมกลิ่นด฾วยจมูกการชิมสัมผัสรสชาติผ฽าน ลิ้น และการสมั ผัสผ฽านผวิ หนัง สาํ หรับแนวทางปฏิบตั ิในการตอบสนองบุตรในวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน พ฽อ แม฽ควรพูดคยุ ส฽งเสยี ง ยมิ้ ทักทาย แสดงทา฽ ทางสนใจเมอ่ื อมบุตร และจัดหาของเล฽นท่ีปลอดภัยเหมาะสม กับวยั ของทารก 5) การเรียนรู้เด็กในวัยนี้ควรได฾รับการกระตุ฾นให฾เกิดการเรียนรู฾ โดยทั่วไป ครอบครัว เป็นตัวกระต฾ุน ซึ่งความเหมาะสมในการใช฾นิทานสําหรับเด็กแต฽ละวัยมีความแตกต฽างกัน พ฽อ แม฽ต฾องคํานึงถึงความ สนใจ การรับรู฾และความสามารถตามวัย จึงจะช฽วยให฾เกิดประโยชนแและช฽วยให฾ ทารกการเรยี นร฾ไู ด฾ ในเด็กทารกแรกเกดิ ถึง 6 เดือนมีช฽วงระยะเวลาความสนใจการฟใงนิทานประมาณ 3 นาที ดังน้ันจึงควรเลือกนิทานท่ีเป็นหนังสือ ภาพ มีรูปสัตวแ ผัก ผลไม฾ หรือ สิ่งของในชีวิตประจําวัน ลกั ษณะของนิทานควรเป็นผ฾าหรือพลาสติกน฽มุ ๆ ให฾เด็กจับ และเล฽นได฾ 6) ความรัก การดูแลด฾านจิตใจของทารกท่ีสําคัญท่ีสุด คือ การมอบความรักด฾วย การสมั ผัส กอดรัด อย฽างนม฽ุ นวลจะช฽วยให฾ทารกเรียนรู฾ถึงความรัก ความไว฾วางใจผ฾ูอื่น และเกิดทัศนคติที่ ดีตอ฽ สง่ิ แวดลอ฾ มและคนรอบข฾าง ทุกครงั้ ที่พ฽อแม฽อุ฾มทารก ควรเรียกช่ือและพูดคุย ส฽งเสียงพยักหน฾า หรือ ยิ้ม เพื่อกระต฾ุนพัฒนาการของทารก นอกจากน้ี พ฽อแม฽อาจนวดนิ้วมือ แขน น้ิวเท฾า เท฾าของทารกเบา ๆ จะชว฽ ยให฾ทารกสบายตัวและอารมณแแ จม฽ ใส 3.1.2 การส่งเสริมพัฒนาการตามวัย พัฒนาการเป็นการเปลี่ยนแปลงด฾านการทําหน฾าที่ (Function) และวุฒิ ภาวะ (Maturation) หรือความเจริญในด฾านความสามารถของอวัยวะต฽างๆ ของ ร฽างกายของเด็กทําให฾ระบบในร฽างกาย สามารถทําหน฾าท่ีได฾อย฽างมีประสิทธิภาพ และซับซ฾อนได฾มากขึ้น รวมท้ังมีการเพิ่มทักษะใหม฽ เช฽นการคว่ํา การยืน การ เดินการพดของเด็ก เป็นต฾น ท้ังนี้ พัฒนาการของ

50 เด็กจะเปล่ียนแปลงไปตามอายุ ต้ังแต฽อยู฽ในครรภแของแม฽ สิ่งต฽าง ๆ ล฾วนมีผลต฽อพัฒนาการเด็กซ่ึงได฾แก฽ กรรมพันธุแ อาหาร การเล฽น ภาวะการเจ็บปุวยในเด็ก และสิ่งแวดล฾อมท้ังท่ีอยู฽ใน บ฾านและนอกบ฾าน พัฒนาการในเดก็ ทกุ คนจะเกดิ ตอ฽ เนือ่ งกนั ไปตามขน้ั ตอน จะไมม฽ ีการข฾ามข้นั ตอนใดตอนหนึ่ง และ จะเริ่ม จากศรี ษะส฽ูปลายเทา฾ เช฽น เด็กจะมองกอ฽ นช้ันคอ จะชันคอกอ฽ นคว่ํา เป็นตน฾ พฒั นาการของเดก็ ดไู ด฾จากพฤตกิ รรมทเี่ ด็กแสดงออก พัฒนาการบุตรแรกเกิดถึง 6 เดือนแบ฽งเป็นด฾าน ต฽างๆ 4 ด฾าน ได฾แก฽ ร฽างกาย สติปใญญาจิตใจ-อารมณแและสังคม ท้ังน้ี ครอบครัวท่ีมี เด็กในวยั น้ตี อ฾ งเรียนร฾พู ฒั นาการด฾านตา฽ งๆของเด็ก พร฾อมทั้งใหก฾ ารสง฽ เสรมิ อยา฽ งเหมาะสม (ปยิ ะธดิ า ขจร ชัยกุล 2556) ศรีเรือน แกว฾ กังวาล Duval, 1967) ดงั นี้ 1) พฒั นาการและการเคล่ือนไหวรา฽ งกายลักษณะทางรา฽ งกายของเด็กเปลี่ยนแปลง ตาม ความเจริญเติบโตท้ังในด฾านส฽วนสูง นํ้าหนักและสัดส฽วนของร฽างกาย ในระยะแรกของชีวิตอวัยวะ ตา฽ งๆ ระหว฽างการกอ฽ ตัวใหส฾ มบูรณแ ดงั นนั้ รา฽ งกายจงึ ต฾องพฒั นาเซลลแสมองและระบบการทํางานของส฽วน ต฽าง ๆ ในร฽างกายไปอีกระยะ เพ่ือให฾เกิดความสมบูรณแเต็มที่ เด็กวัยน้ีจึงมักไม฽อยู฽น่ิงมีการเคลื่อนไหว ตลอดเวลา ซงึ่ เปน็ การช฽วยพัฒนา กล฾ามเน้อื มัดใหญแ฽ ละกลา฾ มเนื้อมดั เลก็ และกระต฾นุ การสร฾างโยงใยของ เส฾นประสาทท่ีพัฒนาเกือบสมบูรณแในวัยน้ี สําหรับพัฒนาการและการเคลื่อนไหวของร฽างกายจะเป็นไป ตามลาํ ดบั ตามตารางดงั น้ี ตารางท่ี 1 พฤตกิ รรมและความสามารถของร่างกายที่ควบคมุ ไดต้ ามชว่ งอายเุ ด็ก อาย(ุ เดอื น) พฤตกิ รรม ความสามารถของร฽างกายที่ควบคุม ได฾ 1 มองตามแสง สามรถยกศีรษะขน้ึ ได฾ กล฾ามเน้ือคอ 2 ย้ิมมองตามไดม฾ ากขน้ึ กล฾ามเนอื้ คอ 3 หันศีรษะไปมาได฾ กลา฾ มเน้ือคอ 3 ถึง 6 การบงั คบั ศรี ษะ ชนั คอได฾ คว่ํา หรือ กล฾ามเนอ้ื คอและหลัง หงายตัวได฾ การส฽งเสรมิ พัฒนาการทางดา฾ นรา฽ งกาย พ฽อแมค฽ วรสง฽ เสริมบตุ รในแต฽ละชว฽ งอายุ ดังนี้ • ในช฽วง 1-2 เดือน พ฽อแม฽ควรยิ้มแย฾มสบตา เล฽นพูดคุย แขวนของสีสดใสให฾ห฽างจากตาลูก และ ให฾ลูกมองตามของทเี่ คลื่อนไหว • ในช฽วงอายุ 3-6 เดือน พ฽อแม฽ควรจัดหาสถานที่ปลอดภัยให฾บุตรหัดพลิกซ฾าย-ขวาโดยเอา ของ เล฽นที่มีเสียงมากระตุ฾นล฽อข฾างหลังเด็ก เพื่อให฾เด็กพลิกตัวไปตามเสียง ส฽วนการส฽งเสริมพัฒนาการ ดา฾ นการชันคอใหพ฾ อ฽ แม฽จับเด็กอยู฽ในท฽านอนคว่ํา ใช฾ของเล฽นท่ีมีเสียง สีสดใส เช฽น ลูกกระพรวน กระตุ฾น ล฽อให฾เด็กมองแล฾วยกของเล฽นข้ึน เพื่อให฾เด็กยกศีรษะขึ้นมองตามของเล฽น นอกจากนี้ พ฽อแม฽ควรพูดคุย เลน฽ กบั ลกู บ฽อย ๆ ในสิ่งทีพ่ อ฽ แม฽กําลงั ทําอย฽กู บั ลกู เช฽น ขณะอาบนํา้ ใหล฾ ูก ปอู นขา฾ วใหล฾ ูก เป็นต฾น

51 2) พัฒนาการด้านสติปญั ญา เด็กวยั นส้ี นใจสงิ่ ตา฽ ง ๆ รอบตัว และชอบแตะ จับส่ิง ต฽าง ๆ จึงต฾อง ระมัดระวังสิ่งสกปรกท่ีติดมากับมือของทารก สําหรับพัฒนาการด฾านสติปใญญาในท่ีนี้จะ กล฽าวถึงพัฒนาการทางการ เรียนร฾แู ละการปรับตวั ซึ่งสรุปไดด฾ งั นี้ ตารางที่ 2 พฤตกิ รรมการแสดงออกทางดา้ นสติปญั ญาตามชว่ งอายเุ ดก็ อายุ พฤติกรรมการแสดงออก แรกเกิด สนใจสง่ิ แวดล฾อมรอบตวั เดก็ รับรู฾จากการดู ไดย฾ นิ ได฾กลิน่ ได฾สัมผสั 3 ถึง 6 เดือน มองตามสิ่งท่เี คลื่อนไหว มองหนา฾ ยมิ้ ได฾ มีปฏิกริ ิยาต฽อเสยี ง หยบิ ของเขา฾ ปาก การส฽งเสริมพัฒนาการทางด฾านสติปใญญา พ฽อแมค฽ วรส฽งเสริมบุตรโดยยิ้มแย฾มสบตา เลน฽ พดู คุยทาํ เสียง โตต฾ อบ รอ฾ งเพลง แขวนของสีสดใสใหห฾ า฽ งจากตาลูกและเคล่ือนของเล฽นเพื่อให฾ลูกมอง ตามของทีก่ ําลังเคล่ือนไหว ใช฾ ของเล฽นมีเสียงเขย฽าให฾ลูกฟใงเสียงและมองตามของเล฽น และเล฽านิทานสั้น ๆ ให฾ลกู ฟงใ 3) การพัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ อารมณแของเด็กไม฽ม่ันคง และ เปล่ียนแปลงง฽ายในระยะเวลาอันส้ัน ในการศึกษาการรับร฾ูอารมณแของเด็กพบว฽า เด็กอายุ 17 , 23 และ 29 สัปดาหแ พบว฽า เด็กยงั ไมส฽ ามสารถรับรูแ฾ ละแยกอารมณไแ ด฾ หากไม฽มีตวั กระตุน฾ ตัวอย฽างเช฽น การศึกษา ของแครอนและแครอน (Caron&Caron, 1985 อ฾างถึงใน ปิยะดา ขจรชัยกุล 2551) ที่ศึกษาโดยให฾เด็ก ทารกมองใบหน฾าที่โกรธเห็นฟใน ใบหน฾าท่ีไม฽โกรธไม฽เห็นฟในหรือย้ิมไม฽เห็นฟในซึ่งเป็นใบหน฾าท่ีเด็กค฾ุนเคย และใบหน฾าท่ียมิ้ เหน็ ฟนใ ทเ่ี ดก็ ไมค฽ ุ฾นเคย พบวา฽ เดก็ ไม฽สามารถแยกแยะข฾อมลู เกย่ี วกบั อารมณไแ ด฾ ในขณะที่ ลา บารแ (La barbera และคณะ 1976 อ฾างถึงใน ปิยะธิดา ขจรชัยกุล 2551) พบว฽า เด็กเล็กเร่ิมรับร฾ู เกี่ยวกับการแยกแยะอารมณแดีใจ เสียใจ หรือภาพแสดงใบหน฾าแปลก ๆ ได฾ เมื่ออายุได฾ 4 เดือน สําหรับ พฒั นาการดา฾ นจติ ใจและอารมณแของเด็กในละระยะสรปุ ได฾ดังนี้ ตารางท่ี 3 พฤตกิ รรมการแสดงออกทางดา้ นจติ ใจและอารมณ์ตามชว่ งอายขุ องเดก็ อายุ พฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณแ แรกเกิด เด็กมอี ารมณแวติ กกงั วน 3 ถึง 6 เดอื น เดก็ มีอารมณกแ ลวั เกลียด โกรธ ทกุ ขแ วติ กกังวน ดีใจ การสง฽ เสรมิ พัฒนาการทางด฾านจิตใจและอารมณแ พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมบุตรในช฽วงวัย น้ีโดย ย้ิมแย฾มสบตา เรียกชอ่ื เด็ก เล฽นพูดคยุ ทําเสยี งโตต฾ อบ รอ฾ งเพลง แสดงความรักดว฾ ยการกอดรัดอยา฽ ง นุ฽มนวล เพื่อให฾เดก็ สบายใจ และ อุม฾ ลกู เพ่ือให฾คลายความวิตกกังวลเม่ือลูกมีอารมณแกลัว เกลียด ทุกขแใจ เป็นตน฾ 4) พัฒนาการทางด้านสงั คม โดยทว่ั ไป อาจแบง฽ พฒั นาการทางด฾านสังคมของเด็ก ปฐมวัยในช฽วง แรกเกิด ถึงอายุ 1 ปี ออกเป็น 3 ขั้น ได฾แก฽ ข้ันท่ี 1 เด็กเร่ิมมีปฏิสัมพันธแกับผู฾อื่น ข้ันท่ี 2

52 เด็กเรียนรู฾ว฽าตนเป็นสมาชิก ในสังคม และขั้นที่ 3 เด็กเรียนร฾ูท่ีจะร฽วมมือกับผู฾อ่ืน สําหรับเด็กวัยแรกเกิด ถงึ อายุ 6 เดือน จะอยใ฽ู นขั้นท่ี 1 โดย เดก็ ยังคงยึดตัวเองเป็นศนู ยแกลาง และจําหน฾าพ฽อแม฽หรือผ฾ูเล้ียงดูได฾ บางครงั้ จะกลวั คนแปลกหนา฾ และแสดงอาการ ร฾องโยเยออกมา ซ่งึ สรุปพฒั นาการด฾านสงั คมไดด฾ ังนี้ - เด็กแรกเกิดถึงอายุ 3 เดือน เด็กจะมองหน฾าคนในระยะห฽างประมาณ 9 น้ิว อายุ 2 สปั ดาหแ ขึ้นไป เด็กจะจอ฾ งมองหน฾าแม฽ พออายุระหวา฽ ง 4 ถงึ 6 สปั ดาหแ เด็กจะเรมิ่ ยม้ิ แสดงความพึงพอใจ - เด็กอายุ 3 ถึง 6 เดือน เด็กเร่ิมจําหน฾าแม฽ได฾ และจํากล่ินแม฽ได฾ เวลาผ฾ูใหญ฽พูดคุยด฾วยจะ ส฽งเสียงและชอบสง฽ เสยี งคยุ กับผู฾อื่นด฾วย - เดก็ อายุ 6 เดือน เดก็ ร฾ูจกั วธิ ีท่ีจะให฾ผใู฾ หญส฽ นใจ เช฽น ทาํ เสียงไอ ย้มิ ดว฾ ย เป็นตน฾ การส฽งเสริมพัฒนาการทางด฾านสังคม พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมบุตรโดยยิ้มแย฾ม สบตาลูกเวลาเล฽น เรียกชื่อ เด็ก เล฽นพูดคุยทําเสียงโต฾ตอบเม่ือลูกส฽งเสียงคือ อา และอ฾ุมลูกให฾ร฾ูสึกอุ฽นใจเม่ือต฾องไปพบปะ ผู฾อืน่ เปน็ ตน฾ อาจสรุปได฾ว฽า พัฒนาการของเด็กวัยแรกเกิดถึงอายุ 6 เดือนนี้มีความก฾าวหน฾าได฾รวดเร็ว พ฽อแม฽ จึงควรดูแล พ฽อแม฽ที่มีต฽อลูก เด็กอย฽างใกล฾ชิด คอยแนะนําส่ังสอนให฾ความอบอ฽ุน และใส฽ใจให฾ความรัก เพือ่ ใหเ฾ ด็กเกิดความเชอ่ื ม่ันในความรกั ของพ฽อแมท฽ ี่มีต฽อลูก 3.2 แนวปฏิบตั ิสาหรบั ครอบครวั ในการดูแลเดก็ อายุ 6 เดอื นถึง 1 ปี ครอบครัวจะมีความสุขและมีความสุขมากขึ้นเม่ือมีเด็กเป็นศูนยแกลางของครอบครัว โดยเฉพาะเมอ่ื เดก็ มีชว฽ งอายุ 6 เดือนถงึ 1 ปี เน่ืองจาก เดก็ วัยนเี้ ปน็ วยั ที่นอนไม฽มากเหมือนวัยทารก เด็ก ที่ตื่นอย฽ูอารมณแดีมากขึ้น หากมีพ฽อแม฽ย้ิม เล฽นกับเด็ก เด็กก็จะทําท฽าดีใจ แต฽เม่ือแม฽เดินห฽างออไปเด็กจะ ร฾องไห฾ นน้ั แสดงถึงเดก็ เรมิ่ มคี วามผกู พันกบั แม฽ สํา ห รั บแ น ว ปฏิ บั ติ สํา ห รั บคร อ บครั ว ใน ก า รดู แ ล เด็ ก วั ยดั ง ก ล฽า ว ควร พิ จ าร ณ า ถึง ก า ร ตอบสนองความต฾องการของเด็กตามวัยและการส฽งเสริมพัฒนาการของเด็กตามวัย (สํานักอนามัยเจริญ พันธแุ 2554; สํานักงานกองทุนสนับสนุนการส฽งเสริมสุขภาพ 2552, มิชิโอ฿ะ มัตสุตะ 2550; สมาคม เศรษฐศาสตรแแ ห฽งประเทศไทย 2524) ดงั นี้ 3.2.1 การตอบสนองความต้องการตามวัย 2.1 การตอบสนองความต฾องการตามวัย สําหรับเด็กอายุระหว฽าง 6 เดือน ถึง 1 ปีนั้นเป็นวัยที่ยังไม฽สามารถ ช฽วยเหลือตนเองได฾ การตอบสนอง ของพ฽อแม฽ท่ีมีต฽อบุตรวัยนี้จึงมีความสําคัญท่ีจะช฽วยให฾เด็กเกิดความมั่นคงทาง อารมณแ การตอบสนอง ความต฾องการของเดก็ ในวัยน้ีแบง฽ เปน็ ด฾านตา฽ ง ๆ ได฾แก฽ การกิน การนอน.การขับถ฽าย การเล฽น การเรียนรู฾ และความรกั ดงั น้ี 1) การกินนมแม฽เป็นอาหารที่ดีสําหรับทารก แต฽หลัง 6 เดือนไปแล฾วทารกควร ได฾รับอาหารเสริมเพื่อ สร฾างพลังงานและสารอาหารท่ีเหมาะสม หลักในการให฾อาหารสําหรับเด็ก คือ “สมวยั เพยี งพอ ปลอดภัย เหมาะสม กบั ความหวิ และอ่มิ และพฒั นาการตามวยั ของบุตร\" อย฽างไรก็ตาม พ฽อแม฽ควรให฾อาหารที่มีคุณค฽าทางโภชนาการและ หลากหลายแก฽บุตร ให฾กินอาหารรสธรรมชาติ ไม฽ปรุง

53 แตง฽ รสอาหารด฾วยน้าํ ผง้ึ นา้ํ ตาล ผงปรุงรส หรือผงชูรส ไมค฽ วร ให฾อาหารที่มีรส หวานจัด มันจัด หรือเค็ม จัด และควรให฾รับประทานผักและผลไม฾ทุกวัน ส฽วนการปูอนอาหารแก฽บุตร ควรสบตา พูดคุย เพ่ือสร฾าง สมั พนั ธภาพทีด่ ี ควรปอู นอาหารอย฽างนมุ฽ นวล ไม฽ยัดเยียดหรือบังคับให฾ทาน เพราะเด็กอาจ สําลักอาหาร ได฾ ขณะทานอาหารไม฽ควรมีส่ิงล฽อใจให฾บุตรหันเหความสนใจ เช฽น โทรทัศนแ หรือเดินปูอนอาหาร ควรให฾ เด็กนงั่ รับประทานให฾เปน็ ท่เี ป็นทาง 2) การนอน การนอนมีความสําคัญกับเดก็ เพราะเม่อื ตน่ื นอนจะชว฽ ยใหเ฾ ด็กได฾ผ฽อน คลายอารมณแ แจ฽มใส หากเด็กนอนหลับไม฽เพียงพอเด็กจะหงุดหงิดงอแง และอาละวาดได฾ เด็กวัยน้ีจึง ควรได฾นอนพักผ฽อนเวลากลางวัน วันละ ประมาณ 3 ชั่วโมง และนอนหลับเวลากลางคืนประมาณ 11 ชั่วโมง หากเด็กต่ืนร฾องไห฾ให฾สังเกตว฽าเพราะเกิด จากการขับถ฽าย หรือตื่นเพราะหิวนม ไม฽ควรอ฾ุมลูกข้ึน จากท่นี อน ควรกล฽อมลกู ดว฾ ยเสียงเพลงเบาๆ หรือลูบหลังเด็ก เบา ๆ เด็กจะหลับได฾ พ฽อควรมีบทบาทใน การช฽วยกลอ฽ มลกู นอนดว฾ ย เพราะแม฽ต฾องดแู ลลูกทง้ั วันอาจเหน่อื ยและเพลยี จากการดแู ลลกู 3) การขับถ่ายการขับถ฽ายของเด็กวัยน้ีจะเป็นเวลาและสมํ่าเสมอมากข้ึน ดังนั้น พ฽อแม฽อาจฝึกนิสัย ขับถ฽ายโดยจับเด็กนั่งกระโถนได฾ แต฽การขับถ฽ายของลูกยังสัมพันธแกับอาหารเสริมที่ ไดร฾ บั หากไดร฾ บั อาหารเสริมทีม่ ี กากใยบา฾ งจะชว฽ ยเรอื่ งการดดู ซึมและขบั ถ฽ายแก฽ลกู ได฾ นอกเหนือจากการ ให฾อาหารเสริมแล฾ว พ฽อแม฽ควรให฾ลูกด่ืมน้ํา ต฾มสุก และน้ําผลไม฾ ตลอดจนพ฽อควรช฽วยแม฽ดูแลบุตรโดยใช฾ การกระตุน฾ ดว฾ ยการนวดสัมผัส หรือเลน฽ กับบุตรเพื่อให฾ บุตรไดเ฾ คล่ือนไหวแขน ขา จะช฽วยเร่อื งการขับถ฽าย ได฾ 4) การเล่นการเล฽นเป็นการกระตนุ฾ และก฽อให฾เกิดการเรยี นรท฾ู ีด่ ีสําหรบั เดก็ การเล฽น ช฽วยให฾เด็กได฾มี พัฒนาการทุกๆ ด฾าน หลังจากท่ีแม฽เป็นผู฾ดูแลลูกเกือบท้ังวันจะทําให฾แม฽เหน่ือยล฾าได฾ ดังน้ัน ในเรื่องการเล฽นกับลูก พ฽อ จึงควรมีบทบาทเป็นเพ่ือนเล฽นกับลูก พ฽อสามารถเล฽นกับลูกได฾ หลากหลายวิธี เช฽น เล฽นจ฿ะเอเ อ฾ุมลูกน่ังตักเล฽นโยกเยก หรือใช฾ลูกบอลนุ฽ม ๆ ให฾ลูกกลิ้งและเอื้อมมือจับ เล฽น หรือในกรณีทเ่ี ด็กอายปุ ระมาณ 9 ถงึ 11 เดือนพ฽ออาจเอาของ เล฽นวางไว฾บนโตะ฿ ใกล฾ ๆ ตัวลูกเพื่อให฾ ลูกเหนย่ี วตัว เกาะยืนเออ้ื มมือไปควา฾ ของเลน฽ เปน็ ต฾น 5) การเรียนรู้ เด็กวัยน้ีกําลังพัฒนาการเรียนร฾ู พ฽อแม฽สามารถใช฾นิทานเป็นสื่อ ได฾ เพราะนิทานมีประโยชนแหลากหลาย เช฽น ช฽วยให฾เด็กมีจินตนาการ ช฽วยพัฒนาการด฾านภาษาและ สติปใญญา เป็นต฾น สําหรับเด็กอายุ 6 เดือนมีช฽วงระยะเวลาความสนใจการฟใงนิทานประมาณ 3 นาที เช฽นเดียวกับในเด็กทารกแรกเกิด ดังน้ัน พ฽อแม฽จึงควรเล฽นนิทานให฾บุตรฟใงทุกวัน ลักษณะของนิทานควร เป็นผ฾าพลาสติกนม฽ุ ๆ ให฾เด็กจับ และเล฽นได฾ การเล฽านิทานให฾เด็กฟใงพ฽อแม฽ควรชวนให฾ดูรูปภาพประกอบ พูดคุย และอาจร฾องเพลงเบา ๆ ประกอบ เพื่อให฾เดก็ เพลดิ เพลนิ ไปกบั การฟงใ นิทาน 6) ความรัก พ฽อแม฽ควรแสดงความรักเด็กวัยน้ีเช฽นเดียวกับวัยทารก ด฾วยการใช฾ สัมผัส กอดรัดอย฽างน฽ุมนวลจะช฽วยให฾เด็กเรียนรู฾ถึงความรัก ความไว฾วางใจผ฾ูอ่ืน ทุกคร้ังที่อุ฾มลูกหรือเมื่อ ลูกนอนเล฽นกล้ิงตวั พ฽อแมค฽ วรย้ิม เรียกชอื่ ชแ้ี ละชักชวนพดู สิง่ ตา฽ ง ๆ กับลูกอยา฽ งสมาํ่ เสมอและให฾ลูกร฾ูว฽า

54 ถึงแม฾จะไม฽เห็นหน฾าแม฽เพราะแม฽ต฾องไปเตรียมอาหาร หรือกิจวัตรประจําวัน ลูกก็ยังได฾ยินเสียงของแม฽ เป็นตน฾ 3.2.2 การส่งเสรมิ พัฒนาการของเด็กตามวยั สิง่ สําคัญทเี่ ปน็ แนวปฏิบตั สิ ําหรับ ครอบครวั ในการดแู ลเดก็ อายุ 6 ถงึ 12 เดอื น ครอบครัวต฾องสง฽ เสริมและสนบั สนุนให฾เดก็ เกิดไวว฾ างใจ (Trust) เพราะเป็นจุดเรม่ิ ตน฾ ในการพฒั นาบคุ ลิกภาพของเด็ก และพัฒนาการของเดก็ ดไู ด฾จากพฤตกิ รรม ทีเ่ ดก็ แสดงออก ซึ่งแบง฽ เปน็ ด฾านต฽าง ๆ ไดแ฾ ก฽ ดา฾ นรา฽ งกาย สตปิ ใญญา จติ ใจ- อารมณแแ ละสงั คม ท้งั น้ี ครอบครัวทีม่ เี ด็กในวัยน้ีต฾องเรยี นรู฾พฒั นาการดา฾ นตา฽ ง ๆ ของเดก็ พรอ฾ มท้งั ใหก฾ ารส฽งเสรมิ อยา฽ งเหมาะสม (ปิยะธดิ า ขจรชยั กุล 2556) ศรเี รอื น แกว฾ กังวาล 2549; Duvall, 1967) 1) พัฒนาการและการเคล่อื นไหวรา่ งกาย เด็กวยั นม้ี พี ฒั นาการทเ่ี ปน็ ไปอยา฽ ง รวดเร็ว โดยพจิ ารณาไดต฾ ามลาํ ดับของช฽วงอายุ ดงั น้ี ตารางที่ 4 พฤติกรรมและความสามารถของร่างกายท่ีควบคุมไดต้ ามช่วงอายุ อาย(ุ เดอื น) พฤตกิ รรม ความสามารถของรา฽ งกายทคี่ วบคมุ ได฾ 6 ถงึ 7 การน่งั น่ังเองไดแ฾ ตไ฽ ม฽นาน กลา฾ มเนือ้ คอและหลงั 8 คลาน น่งั เองได฾สักคร฽ู กลา฾ มเนือ้ คอ หลัง และขา 9 นั่งเองไดน฾ าน เริม่ เกาะยนื กล฾ามเนื้อคอ หลงั และขา 10 เหนยี่ วตัวเกาะยืนได฾ เดินโดยใช฾เก฾าอ้ี กลา฾ มเนือ้ คอ หลงั และขา มลี กู ลอ฾ 12 การนัง่ ทรงตัว ตัง้ ไข฽ ยืนเอง จูงมอื กล฾ามเน้ือคอ หลงั และขา เดิน 9 ถงึ 12 การใชน฾ ว้ิ หยิบของดว฾ ยน้ิวมอื จบั กลา฾ มเนอื้ มอื โดยเฉพาะกลา฾ มเนื้อนว้ิ ขวดนมเองได฾ แต฽ละนิว้ การส฽งเสริมพัฒนาการทางด฾านร฽างกาย พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมบุตรในวัยนี้ด฾วยการพัฒนาการด฾าน การน่งั โดยให฾เด็กน่ังเอง แต฽มีพอ฽ แมป฽ ระคองระวังขา฾ งหลัง หรือให฾เด็กหัดนั่งในกล฽องหรือว฽า เด็กลงไปนั่ง อยู฽ได฾อย฽างสบาย และไม฽ล฾มหงายหลังและให฾มือท้ังสองข฾างของเด็กสามารถจับขอบกล฽อง หรืออ฽าง พลาสติก ได฾ถนัดพอดี พร฾อมกับส฽งเสริมพัฒนาการด฾านการคลานถ฾าเด็กยังคลานไม฽ได฾เลย พ฽อแม฽จับเด็ก ให฾อย฽ูในท฽าคลานและ โยกตัวเด็กไปข฾างหน฾า ข฾างหลัง ข฾างซ฾ายและข฾างขวา และฝึกให฾คลานโดยพ฽อแม฽ ช฽วยจับแขนขาของเด็กให฾ขยับตามท฽าของการคลาน นอกจากนี้พ฽อแม฽ควรหาของเล฽นท่ีมีสีสดใสและมี เสยี งมากระตน฾ุ ให฾เด็กคลานไปหาของเล฽น เปน็ ตน฾ เมื่อเด็กเริ่มเกาะยืน หรือเดิน ควรจัดหาของเล฽นมาดึงดูดให฾เด็กเอื้อมหยิบจับ หรือจูงมือเด็กเดิน ไป ด฾วยกันในระยะใกล฾ ๆ หรือกระตน฾ุ ให฾เด็กเกาะผนัง หรือขอบเตียงเดินไปรอบ ๆ หรือเรียกชื่อเด็กและ

55 ของเล฽นให฾เด็ก สนใจลุกข้ึนหยิบ นอกจากน้ี เมื่อเด็กเร่ิมใช฾น้ิวหยิบส่ิงของพ฽อแม฽ควรสนับสนุนให฾เด็กจับ ขวดนม หรือขนม ผลไม฾ ชิ้นเล็ก ๆ เช฽น คุกกี้ มะละกอหัน เป็นต฾น แต฽ควรระมัดระวังสิ่งท่ีอาจเกิด อนั ตราย เช฽น ถ่วั เพราะเม่อื เดก็ หยิบใสป฽ าก อาจสําลกั และเกดิ อันตรายได฾ 2) พัฒนาการด้านสติปัญญา เด็กวัยน้ีสนใจสิ่งต฽าง ๆ รอบตัวมากข้ึน และตื่นเต฾น กับการเหน็ สงิ่ ต฽าง ๆ รอบตัว เดก็ วัยน้ชี อบแตะ จับ หรือหยิบของเข฾าปาก จงึ ตอ฾ งระมัดระวงั สิง่ ของท่ีเด็ก หยิบเข฾าปาก ซ่ึงอาจเป็น อันตรายต฽อเด็กได฾ เด็กเริ่มรับร฾ูเสียงที่แตกต฽างของพ฽อแม฽และเสียงของคนอ่ืน สําหรับพัฒนาการด฾านสติปใญญาในที่น้ี จะกล฽าวถึงพัฒนาการทางการเรียนร฾ูและการปรับตัว ซึ่งสรุปได฾ ดังน้ี ตารางที่ 5 พฤติกรรมการแสดงออกดา้ นสตปิ ญั ญาตามช่วงอายเุ ด็ก อายุ พฤติกรรมการแสดงออกดา้ นสตปิ ัญญา 6 ถึง 9 เดอื น หยบิ ของดว฾ ยน้วิ ยา฾ ยของจากมือหน่ึงไปอกี มือหน่ึงได฾ จาํ หนา฾ คนใกลช฾ ิดไดเ฾ รมิ่ กลัว คนแปลกหนา฾ 9 ถึง 12 สนใจสาํ รวจทุกสิ่ง ชอบแตะ จบั และหยบิ ของเข฾าปาก ใชข฾ องสองช้นิ มาเคาะได฾ เดือน การสง฽ เสริมพัฒนาการทางดา฾ นสติปใญญา พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กวัยนี้โดยฝึกให฾เด็ก หดั ใชน฾ ิว้ หยบิ ของ เปล่ยี นมือไปมา เลน฽ กับลูก เช฽น จะ฿ เอเ จับปูดํา แมงมุม จําผลไม฾ ตบมือ ให฾เล฽นของเล฽น ท่ีมีขนาดและและสีต฽าง ๆ กัน เช฽น ลักษณะผิวเรียบ - หยาบ ของลักษณะอ฽อน-แข็ง หยิบของเข฾า-ออก จากกลอ฽ ง หรือถว฾ ย เปน็ ต฾น 3) พัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ อารมณแของเด็กวัยน้ีไม฽ม่ันคง และ เปล่ียนแปลงงา฽ ยในระยะเวลา อนั สน้ั ดังตารางที่ 2.6 ตารางท่ี 6 พฤติกรรมการแสดงออกทางด้านจิตใจและอารมณ์ของเดก็ อายุ 12 เดือน อายุ พฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ 12 เดอื น เด็กมีอารมณกแ ลัว เกลยี ด โกรธ ทกุ ขแ วิตกกงั วน ดีใจ เบิกบาน รัก อาจกล฽าวได฾ว฽า เด็กวัยทารกและวัยเตาะแตะ (Infancy and Toddlerhood) จะ ใช฾อารมณเแ ปน็ วิธีสอื่ สาร กับตนเองและผูอ฾ ื่น ทารกจะคอ฽ ย ๆ สร฾างความคาดหวังจากการมีปฏิสัมพันธแกับ พ฽อแมโ฽ ดยดูวิธีการตอบสนองของพอ฽ แม฽เมอื่ ทารกแสดงอารมณแอะไรออกมา ดังนั้น วิธีการที่พ฽อแม฽แสดง ออกมาเชื่อวา฽ จะมอี ทิ ธิพลท่ีสําคัญต฽อความสามารถ ทางอารมณแของทารกในเวลาต฽อมาได฾ นอกจากน้ียัง พบว฽า ความสัมพันธแในเชิงความผูกพัน (Attachment relationship) ซ่ึงเป็นความผูกพันทางอารมณแ

56 ของทารกกบั พ฽อแม฽ในช฽วงเวลาดังกล฽าวจะมีอิทธิพลต฽อการจัดการอารมณแและ การจัดการกับปใญหาของ ทารกในเวลาต฽อมาเช฽นกัน (ปยิ ะธิดา ขจรชยั กุล 2551) การส฽งเสริมพัฒนาการทางด฾านจิตใจและอารมณแ พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กวัยน้ี โดย พูดคุยปลอบลูก กอดลูก หรืออ฾ุมลูกเพื่อให฾คลายความวิตกกังวลเม่ือลูกแสดงอารมณแต฽าง ๆ เช฽น กลัว วิตกกงั วล หรือเม่ือพบปะคนอื่น และใหเ฾ วลาลูกทาํ ความค฾นุ เคยกับคนอื่น นอกจากนี้ใช฾ของเล฽นช฽วยคลาย อารมณลแ ูก เชน฽ ใหล฾ กู กอดตก฿ุ ตาทมี่ ลี ักษณะ น฽ุมน่ิม ใหฟ฾ ใงนิทาน เล฽นหุ฽นนิ้วมือ การเล฽นเครื่องดนตรี และ การฟงใ เพลงเบา ๆ เป็นตน฾ 4) พัฒนาการทางด฾านสังคม เด็กวยั อาย 6 เดือน ถึง 1 ปีมีพัฒนาการด฾านสังคมอยู฽ ในข้ันท่ี 2 คือเด็กเรียนร฾ูว฽าตนเป็นสมาชิกในสังคมและข้ันที่ 3 เด็กเรียนรู฾ท่ีจะร฽วมมือกับผ฾ูอื่น ท้ังน้ียังคง ยดึ ตัวเองเปน็ ศนู ยกแ ลาง บางคร้ังจึงกลัวคนแปลกหนา฾ และแสดงอาการรอ฾ งโยเยออกมา ซง่ึ สรปุ พัฒนาการ ด฾านสงั คมของเดก็ ในวยั น้ีไดด฾ ังนี้ ขั้นท่ี 2 เด็กเรียนรวู้ ่าตนเป็นสมาชิกในสังคม เด็กในวัย 9 เดือน สามารถจําหน฾าบุคคลที่คุ฾นเคย และมักเป็นบุคคลในครอบครัว และกลัวคนแปลกหน฾าท่ีไม฽ร฾ูจักมาก฽อน สามารถเร่ิมเล฽นเกมง฽าย ๆ ได฾ เช฽น จะ฿ เอเ ตบแผละ ฯลฯ ข้ันท่ี 3 เด็กจะเรียนรู้ร่วมมือกับผู้อื่น เด็กในวัย 12 เดือน สามารถเข฾าใจคําส่ังและปฏิบัติตาม คาํ สง่ั ง฽ายๆ ได฾ ชอบเล฽นเกมกบั ผ฾ใู หญ฽ สนใจสงิ่ รอบตัวและจะหยิบของใส฽ปาก การส฽งเสริมพัฒนาการทางด฾านสังคม พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กวัยนี้โดยปลอบลูกกอดลูกอย฽างเบา มือ เล฽นและพูดคุยกับลูก เช฽น ตบมือ ร฾องเพลงเบาๆ เมื่อพาลูกไปข฾างนอกพ฽อแม฽ควรอุ฾มลูกเพ่ือให฾คลาย ความวติ กกงั วล เมอ่ื พบปะคนอื่น และให฾เวลาลกู ทาํ ความคน฾ุ เคยกับคนอนื่ เป็นต฾น อาจสรุปไดว฾ า฽ พัฒนาการของเดก็ วัย 6 ถึง 1 ปี มีความก฾าวหนา฾ อย฽างรวดเรว็ พอ฽ แม฽จึงควรดแู ลเด็ก อย฽างใกล฾ชิด คอยแนะนําส่ังสอน ไม฽ใช฾กําลังบังคับ หรือข฽ูเข็ญให฾เด็กหวาดกลัวเด็กควรได฾รับความอบอ฽ุน และความสบายใจเมื่ออย฽ใู กล฾พ฽อแม฽ 4. แนวคดิ เก่ียวกับพัฒนาการและพฒั นกจิ ครอบครวั ในระยะทม่ี ีเด็กอายุ 1 ถงึ 3 ปี 4.1 พฒั นาการครอบครัวในระยะที่มีเด็กอายุ 1 ปีถึง 3 ปี เน่ืองจากพัฒนาการเด็กอายุ 1 ถึง 3 ปี มีความก฾าวหน฾ามากข้ึนทุกด฾านไม฽ว฽าจะเป็น พัฒนาการด฾านร฽างกายและ การเคลื่อนไหว พัฒนาการด฾านสติปใญญา พัฒนาการด฾านจิตใจและอารมณแ และพฒั นาการด฾านสงั คม เดก็ ท่อี ายุเกิน หน่ึงปีขึ้นไปพัฒนาการแต฽ละด฾านจะไวต฽อเหตุการณแรอบตัวมาก ขึ้น ดังน้ันพัฒนาการครอบครัวในระยะที่มีเด็กอายุ1 ถึง 3 ปี ซ่ึงอยู฽ในระยะที่ 2 เป็นระยะท่ีครอบครัวมี เดก็ คนแรกทีก่ าํ ลังตอ฾ งเลีย้ งดู (Stage I: Childbearing families) ระยะนี้คาบเกี่ยวกับครอบครัวในระยะ ท่ีมีเด็กแรกเกิด ถึง 1 ปี โดยครอบครัวจะต฾องดูแลเด็กให฾สามารถช฽วยตัวเอง ได฾ เน่ืองจากเด็กในวัยนี้ สามารถเคล่ือนไหวได฾คล฽องแคล฽วมากขึ้น พูดได฾มากคําขึ้นและเม่ือโตขึ้นจะพูดได฾คล฽องและ ตอบคําถาม ไดด฾ ี มอี ารมณแท่ีแสดงออกชัดเจนข้ึนและเลน฽ กบั เพอ่ื นได฾ แต฽ต฾องดูแลอย฽างใกล฾ชิด มีความระมัดระวังเป็น

57 อยา฽ งยงิ่ เน่อื งจากเป็นวยั ที่ไมอ฽ ยู฽นงิ่ เปน็ วัยแหง฽ การปีนปุายต฾องการออกกําลังกายจึงก฽อให฾เกิดอุบัติเหตุได฾ ง฽ายจากสถิติ ปี 2542 พบว฽าเด็กในช฽วงอายุเฉลี่ย 1.4 ปี จะประสบอุบัติเหตุจมน้ําตายมากสุดถึงร฾อยละ 38 โดยเกิดจากการเผอเรอ ช่ัวขณะของผู฾เลี้ยงดู (อดิศักด์ิ ผลิตผลการพิมพแ 2550) และพัฒนาการของ ครอบครัวในระยะน้ีครอบครัวจะมีอิทธิพล ในเร่ืองการรับประทานอาหารของเด็ก โดยเฉพาะการ รบั ประทานผักชนิดตา฽ งๆ (Fildes, et al., 2013) 4.2 พฒั นกจิ ครอบครัวในระยะทม่ี ีเดก็ อายุ 1 ถึง 3 ปี พัฒนกิจของครอบครัวท่ีมีเด็กอายุ 1 ถึง 3 ปี (Duval, 1977 และ มิชิโอะ มัตสุดะ 2550) สามารถสรุปได฾ดงั น้ี 4.2.1 การจัดส่ิงแวดลอ้ มให้เหมาะสม ครอบครัวต฾องปูองกันอันตรายท่ีจะเกิดข้ึนในเด็กวัย นี้ในขณะเดียวกัน ควรมที ใี่ ห฾เด็กไดอ฾ อกกําลงั กาย เนอื่ งจากเด็กวยั นี้ชอบเคลอื่ นไหว และชอบเลน฽ โลดโผน รนุ แรงจงึ ควรระมัดระวังเร่อื ง เกยี่ วกบั อุบัติเหตุดว฾ ย เชน฽ การหกล฾ม การตกจากทส่ี งู เน่อื งจากการปีนปุาย ทั้งนี้ พ฽อควรมบี ทบาทช฽วยดแู ลและเล฽น กับลูก เชน฽ ให฾ลูกเกาะแขนพ฽อทาํ เป็นชิงชา฾ แกวง฽ ไปมา เป็นตน฾ 4.2.2 การฝึกระเบียบวินัยให้แก่เด็ก พ฽อแม฽ควรมีการพูดคุยปรึกษาหารือกันในการฝึก ระเบียบวินัยใหล฾ กู เพือ่ ให฾ เป็นไปในทศิ ทางเดยี วกัน และทําให฾ลูกไม฽สบั สนกับสิ่งที่ไดร฾ บั การอบรมสั่งสอน ระเบียบวินัยท่ีควรฝึกเช฽นการขับถ฽าย การรับประทานอาหาร เป็นต฾น นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกให฾เด็กมี ความรบั ผดิ ชอบในงานของตน 4.2.3 การสง่ เสรมิ ให้เด็กใช้ทกั ษะตา่ ง ๆ พ฽อแม฽ช฽วยกนั จดั หาอุปกรณแ ของเลน฽ เครือ่ งเล฽นที่ สง฽ เสรมิ พัฒนาการ ด฾านตา฽ ง ๆ ให฾เด็กไดล฾ งมือทาํ ไดค฾ ิดและเคลือ่ นไหวอยา฽ งอสิ ระ 4.2.4 การเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนและมีสังคมนอกบ้าน พ฽อแม฽ควรเตรียมพร฾อม ให฾เดก็ ก฾าวส฽โู ลกกว฾าง ซึ่งได฾แกศ฽ ูนยแรบั เลีย้ งเดก็ หรือสถานพัฒนาเดก็ เล็ก 4.2.5 การร่วมสรา้ งความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของการเป็นพ่อแม่ ทั้งพ฽อและแม฽มี บทบาทที่ต฾องเรียนร฾ู ควบคู฽กับการทําหน฾าที่ต฽าง ๆ ท้ังการดูแลอบรมส่ังสอนลูก เช฽น การเตรียมอาหาร การกนิ การอาบน้าํ ใหล฾ กู เปน็ ตน฾ 4.2.6 การส่ือสารระหว่างคู่สมรสในครอบครัวค฽ูสามีภรรยาควรมีการพูดคุยกันเพื่อสร฾าง ความเขา฾ ใจแบง฽ ปใน ความรูสึกภูมิใจ และสร฾างสัมพันธภาพที่ดี เนื่องจากภาระที่เพ่ิมขึ้นภรรยาใช฾เวลาย฽ุง อยกู฽ ับการดูแลลูก ไมม฽ เี วลา เหล฽ามรูส฾ ึกถูกทอดทง้ิ ความร฾สู ึกดังกล฽าวจะทําให฾สัมพันธภาพกับภรรยาและ ลกู แยล฽ งได฾ 4.2.7 การวางแผนครอบครัวพ฽อแม฽ควรมีการวางแผนครอบครัวเพื่อลูกในอนาคต และ เพื่อให฾ครอบครัว ไม฽เกิดความเครียด หรือวิตกกังวลกับภาระต฽างๆ ท่ีจะเกิดข้ึนหากจะต฾องเล้ียงลูกคน ตอ฽ ไป

58 4.2.8 การสร้างสัมพันธภาพกับเครือญาติ ทั้งสามีและภรรยาต฾องสร฾างสัมพันธภาพกับ เครือญาติของท้ังสองครอบครัว เพราะจะสามารถช฽วยเหลือครอบครัวในการดําเนินชีวิตประจําวัน และ การเลีย้ งดเู ดก็ เชน฽ หากคนใดคนหน่งึ ไม฽มีเวลาดูแลเด็กก็อาจนําเด็กไปฝากเลย้ี งได฾ 4.2.9 การสร้างบรรยากาศภายในบ้าน ครอบครัวต฾องมีความรัก ความเข฾าใจ และความ ร฽วมมือกันอย฽างใกล฾ชิด เพ่ือเป็นแบบอย฽างให฾แก฽เด็ก รวมท้ังการให฾คําชมเชย หรือสิทธิพิเศษให฾แก฾เด็ก เมอ่ื เหน็ วา฽ เด็กทําสงิ่ ทด่ี ี เพอ่ื เปน็ การสรา฾ งกาํ ลงั ใจในการทําส่ิงท่ีดี อันจะเป็นการปลูกฝใงจริยธรรมท่ีดีงาม ตั้งแต฽วัยเด็ก กล฽าวโดยสรุป พัฒนกิจของครอบครัวท่ีมีอายุ 1 ถึง 3 ปี การร฽วมมือกันระหว฽างสามีและ ภรรยารวมท้ังเครือญาติท่ีช฽วยกันทําหน฾าท่ีอบรมสั่งสอนในวัยน้ัน เพราะครอบครัวเป็นส่ิงแวดล฾อมแห฽ง แรกทเี่ ดก็ รับร฾ูและสัมผสั รวมทั้งเป็นแบบอยา฽ งท่ีใหเ฾ ดก็ เห็นแนวทางการพฒั นาและก฾าวหน฾าเดินตอ฽ ไปได฾ 5. แนวปฏบิ ัตสิ าหรับครอบครวั ในการดแู ลเด็กอายุ 1 ถงึ 3 ปี เดก็ อายุ 1 ถงึ 3 ปี เป็นวัยทพี่ รอ฾ มจะเรยี นร฾สู งิ่ ใหม฽ๆรอบด฾าน มีความอยากรู฾อยากเห็นกระตืนรือ ร฾นท่ีจะสํารวจ และชอบทดลองทําสิ่งต฽าง ๆ เพื่อจะดูว฽าจะเกิดผลอะไรตามมา รวมท้ังชอบตั้งคําถาม ตลอดเวลา ส่งิ ทีเ่ ด็กโปรดปราน ท่ีสดุ คอื การเดนิ เล฽น ดงั น้นั จงึ อาจก฽อให฾เกิดอุบัติเหตุได฾ง฽าย พ฽อแม฽จึงควร มีแนวปฏิบัติสําหรับดูแลเด็กอย฽างเหมาะสม ในท่ีนี้จะแบ฽งเด็กออกเป็น 2 ระยะ ได฾แก฽ ระยะเด็กอายุ 1 ถึง 2 ปี และระยะเดก็ อายุ 2 ถึง 3 ปี 5.1แนวปฏบิ ตั ิสาหรบั ครอบครวั ในการดูแลเด็กอายุ 1 ถึง 2 ปี เด็กอายุ 1 ถึง 2 ปี เป็นวัยท่ีอยากร฾ูอยากเห็น สนใจสิ่งต฽างๆ รอบตัว แต฽มีช฽วงระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งแนว ปฏบิ ัติ ในการดูแลเด็กในวัยนี้ ครอบครัวควรพิจารณาถึงพัฒนาการของเด็กโดยดูได฾จากพฤติกรรมท่ีเด็ก แสดงออกซ่ึงแบ฽ง เป็นด฾านต฽าง ๆ ได฾แก฽ ด฾านร฽างกาย สติปใญญา จิตใจ-อารมณแ และสังคม พร฾อมท้ังให฾ การส฽งเสริมพัฒนาการของเด็ก อย฽างเหมาะสมตามวัย (ปิยะธิดา ขจรชัยกุล 2556, มิชิโอะ มัตสุดะ 2550) ดงั น้ี 5.1.1 พัฒนาการด้านร่างกายและการเคล่ือนไหวเด็กวัยน้ีพัฒนาการทางการเคลื่อนไหว ของร฽างกายจะพฒั นา ไปอยา฽ งรวดเรว็ ทรงตวั ได฾ดี เดินเกง฽ ขนึ้ ส฽วนการใช฾มือจะพัฒนาได฾คล฽องแคล฽วมาก ขึ้น เด็กสามารถใช฾มือถือถ฾วย นํ้าดื่มได฾เอง แต฽ยังใช฾ช฾อนไม฽ค฽อยเก฽ง สรุปพัฒนาการด฾านร฽างกายและการ เคลอ่ื นไหวในแต฽ละชว฽ งวยั ได฾ดงั น้ี

59 ตารางที่ 7 พฤติกรรมและความสามารถของรา่ งกายท่ีควบคุมไดต้ ามช่วงอายเุ ดก็ อายุ (เดอื น) พฤตกิ รรม ความสามารถของรา฽ งกาย 15 การทรงตัว ยืน เดินเตะ เหน่ียว กลา฾ มเนือ้ คอและหลงั ปืนขึ้น เก฾าอี้ เกาะบันได จับ ส่ิงของตั้งช฾อนกันใช฾น้ิวช้ีภาพ จับดนิ สอขีดวนไปมา 18 เดินได฾ดี หัดวิ่ง ลงบันไดโดยน่ัง กล฾ามเน้อื คอ หลงั และขา ถัดเอง ก฾าวถอยหลัง ต้ังของเล฽น ซ฾อนกนั ได฾ 2 ถงึ 3 แผ฽น การส฽งเสริมพัฒนาการด฾านร฽างกายและการเคล่ือนไหว พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กในวัยน้ีใน พัฒนาการด฾าน การทรงตัว ยืน เดินเตาะแตะ โดยพ฽อแม฽จูงมือลูกเดินไปด฾วยกันในระยะใกล฾ ๆ หรือ กระตน฾ุ ให฾เด็กเหนยี่ วปนี ข้ึนเกา฾ อีไปหยบิ ของเล฽นบนโตะ฿ จูงลกู เกาะเดินข้ึนบันไดและลงบันไดไปด฾วยกันกับ พ฽อแม฽ ฝึกการเดินถอยหลังโดยอาจ เล฽นเกมเดินถอยหลังด฾วยกัน เป็นต฾น พร฾อมทั้งกระตุ฾นการใช฾น้ิวมือ และมือ โดยให฾ลกู เอาของเล฽นท่ีมขี นาดต฽างกัน จับตัง้ ซอ฾ นกัน นําหนังสือนิทานมาเล฽าและฝึกให฾ลูกใช฾นิ้วช้ี ภาพตา฽ ง ๆ ฝกึ ใหล฾ กู จบั ดนิ สอ หรอื จบั สีเทียนแท฽งใหญ฽ ขีดเขียนวนไปมาบนกระดาษ เป็นตน฾ เม่ือลูกเจริญเติบโตข้ึนตั้งแต฽อายุ 2 ปีข้ึนไป พ฽อแม฽ควรเลือกของเล฽นที่เคลื่อนไหวกล้ิงไปมา ได฾ เพื่อให฾ลูกฝึก การลากจูง เตะลูกบอล ขี่จักรยาน และกระตุ฾นการใช฾น้ิวมือและมือด฾วยการฝึกหัดขีด เขียนลากเส฾นระบายสี ทํางาน ศิลปะ ร฾อยลูกปใด ใช฾ค฾อนตอก หมุนหรือบิด หยิบรูปทรงต฽าง ๆ ใส฽กล฽อง เล฽นเครอ่ื งดนตรตี ฽าง ๆ เชน฽ ตีกลอง หรอื ตีกระปอ฻ งเล็ก ๆ ตีระนาด เป็นต฾น 5.1.2 พัฒนาการด้านสติปัญญา เด็กในวัย 1 ถึง 2 ขวบสามารถพูดเป็นคํา ๆ ได฾มากข้ึน และเมอ่ื อายุเพมิ่ ขนึ้ สามารถพูดคําที่เป็นประโยคสั้น ๆ ได฾ สามารถสื่อสารอย฽างง฽ายๆ ท่ีมีความหมายได฾ ซึ่งสรปุ พฒั นาการดา฾ นสติปญใ ญา ไดด฾ งั นี้ ตารางที่ 8 พฤติกรรมการแสดงออกด้านสตปิ ญั ญาตามช่วงอายุเด็ก อายุ พฤติกรรมการแสดงออกทางสติปญใ ญา 12 ถึง 18 เดือน หาของท่ีซ฽อนได฾ ใส฽ของประเภทอิฐ กรวด ลงกล฽องได฾ พูดคําท่ีมี ความหมายไดป฾ ระมาณ 6 ถงึ 20 คาํ พูดท่มี ีพยางคตแ ิดกันได฾ 18 ถงึ 24 เดือน ขีดเส฾นบนกระดาษหรือพื้นทราย ชี้อวัยวะของตนเองหรืออวัยวะ ผ฾ูอ่ืนได฾ ร฾ูจักอวัยวะง฽ายๆ เช฽น ตา จมูก ปาก เม่ืออายุ 24 เดือน สามารถพดู คาํ พดู ท่มี คี วามหมายได฾ 20 ถงึ 50 คํา และพูดประโยค ที่มี 3 คาํ ขึน้ ไปได฾

60 การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กในวัยนี้โดยกระต฾ุนให฾เด็กได฾ใช฾ ประสาทสัมผัส ท้ังหา฾ ด฾วยตนเอง ใหเ฾ ด็กไดท฾ ดลองได฾คิด และฝึกการเล฽น เชน฽ ซ฽อนของให฾ลกู หาของทซ่ี อ฽ น ต฽อบล็อกขนาดต฽างๆ เล฽น เกมอะไรเอ฽ยง฽าย ๆ เช฽น พ฽อแม฽ชวนลูกพูดคุยโดยชี้ถามชื่ออวัยวะต฽าง ๆ หรือ ถามว฽าอย฽ูที่ส฽วนไหนของร฽างกาย ให฾ลูก ฟใงนิทานที่มีเน้ือหาสั้น ๆ และมีรูปภาพท่ีไม฽ซับซ฾อน สอนร฾อง เพลงเนื้อหาสั้น ๆ สอนให฾ลูกรู฾จักคําทักทาย เช฽น สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษในเวลาที่เหมาะสม พร฾อมท้ัง กระต฾ุนด฾านการใชน฾ ว้ิ มือและมอื ด฾วยการฝกึ ใชด฾ ินสอลากเสน฾ เปน็ รูปตา฽ งๆ ทํางานศลิ ปะ ระบายสี วาดเส฾น ปะติดกระดาษสี หรือใช฾น้ิวจุ฽มสีลากเส฾นบนกระดาษให฾เป็นลวดลายต฽าง ๆ หรือใช฾นิ้ว ลากเส฾นบนพ้ืน ทรายใหเ฾ ป็นรปู ตา฽ งๆ เป็นต฾น 5.1.3 พัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์อารมณแของเด็กวัย 1 ถึง 2 ปี ยังไม฽ม่ันคง และ เปลี่ยนแปลงง฽ายในระยะ เวลาอันส้ัน เด็กยังไม฽รู฾จักตอบโต฾คนท่ีตัวเองไม฽ชอบ รวมถึงยังไม฽สามารถ ปูองกันตนเองได฾ เป็นวัยขี้กลัว และแสดง อารมณแได฾ชัดเจนมากขึ้นตามวัย สําหรับพัฒนาการด฾านจิตใจ และอารมณขแ องเดก็ วยั นสี้ รปุ ได฾ดงั น้ี ตารางท่ี 9 พฤติกรรมการแสดงออกทางจิตใจและอารมณ์ตามช่วงอายขุ องเดก็ อายุ พฤตกิ รรมการแสดงออกทางจิตใจและอารมณแ 18 เดอื น ถงึ 24 เดอื น เด็กมีอารมณแกลัว เกลียด โกรธ ทุกขแ วิตกกังวล ดีใจ รัก ผ฾ใู หญ฽ รักเดก็ การส฽งเสริมพัฒนาการด฾านจิตใจและอารมณแ พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมบุตรวัยน้ี โดยให฾เด็กได฾ระบาย อารมณแผ฽าน การเล฽นด฾วยของเล฽น เช฽น เล฽นตีกลอง ใช฾ค฾อนตอกหมุดลงบนไม฾ เม่ือลูกมีอารมณแกลัว วิตก กังวล หรือทุกขแใจ พ฽อแม฽ ควรกอดลูก ปลอบลูกด฾วยการพูดคุยให฾ลูกคลายความกลัว หรือทุกขแใจ เน่ืองจากลักษณะพัฒนาการทางอารมณแสะท฾อนให฾เห็นว฽าเด็กจะค฽อยๆ มีพัฒนาการทางอารมณแเพ่ิมขึ้น ดังน้ันพ฽อแม฽ต฾องดูแลและส฽งเสริมให฾เด็กมีอารมณแท่ีดี ไม฽ให฾เกิดความหวาดกลัว หรือมีอารมณแท่ีก฾าวร฾าว อนั จะสง฽ ผลถึงการชะงกั ทางพฒั นาการด฾านอื่น ๆ และสง฽ ผลตอ฽ การ พัฒนาบุคลิกภาพในภายภาคหน฾าได฾ 5.1.4 พัฒนาการทางด้านสังคม เด็กวัยนี้มีพัฒนาการทางสังคมอยู฽ในขั้นท่ี 3 คือ เด็ก เรียนรู฾ท่ีจะร฽วมมือกับ ผ฾ูอ่ืน แต฽ยังมีลักษณะยึดตัวเองเป็นศูนยแกลางเมื่อเด็กได฾พบปะบุคคลอื่นที่ไม฽ใช฽ บุคคลในครอบครวั และเม่ือเร่ิมแยก ตวั จากพ฽อแม฽ เด็กจะต฾องปรับตัวให฾เข฾ากับคนอ่ืนและเรียนรู฾บทบาท ของตน ซึ่งทําให฾เด็กเร่ิมให฾ความสําคัญและร฾ูจัก การเห็นอกเห็นใจผ฾ูอ่ืนมากข้ึน ซ่ึงสรุปพัฒนาการด฾าน สงั คมของเดก็ วยั นี้ ไดด฾ ังน้ี • อายุ 15 เดือน ชอบเลียนแบบผ฾ูใหญ฽ ชอบช฽วยเหลือผู฾ใหญ฽ทํางาน เร่ิมแสดงความอิจฉา จากอาการ โกรธ หรือรอ฾ งไห฾ เริ่มมีความร฾ูสกึ แขง฽ ขนั เมอื่ เลน฽ กับพ่ี ๆ ทโ่ี ตกวา฽ และดมื่ น้าํ จากถว฾ ยได฾

61 • อายุ 2 ปี เร่ิมหวงของ แสดงความเห็นอกเห็นใจเด็กท่ีร฾องไห฾ หรือเจ็บปวด รับประทาน อาหารได฾ด฾วย ตนเอง และชอบเลียนแบบ การสง่ เสริมพฒั นาการดา้ นสงั คม พ฽อแมข฽ องเด็กวยั นีค้ วรสอนใหเ฾ ดก็ ปรบั ตัวให฾เข฾ากับคนอ่ืนและ เรียนรู฾ บทบาทของตน โดยส฽งเสริมลูกด฾วยการฝึกให฾เด็กช฽วยเหลือตนเอง เช฽น รับประทานอาหารด฾วย ตนเอง หัดดื่มน้ําจาก ถ฾วย ฝึกการขับถ฽ายให฾เป็นที่ร฾ูจักล฾างมือก฽อนรับประทานอาหาร ช฽วยพ฽อแม฽ทํางาน เล็ก ๆ น฾อย ๆ เช฽น หยิบสิ่งของส฽ง ให฾พ฽อแม฽ และสอนให฾ลูกแบ฽งขนม หรือของเล฽นให฾เด็กคนอ่ืน ๆ หรือ ผูอ฾ ืน่ เป็นตน฾ 5.2 แนวปฏบิ ัตสิ าํ หรบั ครอบครวั ในการดูแลเดก็ อายุ 2 ถงึ 3 ปี เดก็ อายุ 2 ถึง 3 ปเี ป็นวยั อยากรู฾อยากเหน็ ทุก ๆ อย฽างกระตือรือร฾นเพิ่มมากข้ึนท่ีจะทดลอง สนใจสิง่ ตา฽ ง ๆ รอบตวั อยา฽ งจริงจงั และเรยี นร฾ูสง่ิ ต฽าง ๆ ได฾รวดเร็ว ดังนั้น พ฽อแม฽จึงควรเรียนร฾ูพัฒนาการ ของเด็กในวัยน้ี พร฾อมท้งั สง฽ เสริมพฒั นาการของเดก็ ให฾เหมาะสมตามวัย (ปิยะธิดา ขจรชัยกุล 2556, มิชิ โอะ มตั สดุ ะ 2550) ดงั นี้ 5.2.1 พัฒนาการด฾านร฽างกายและการเคลื่อนไหว เด็กอายุ 2 ถึง 3 ปี จะมีพัฒนาการ ทางการเคลื่อนไหวของ ร฽างกายอย฽างรวดเร็วทรงตัวได฾ดี เดินวิ่งเก฽งมากข้ึนและการใช฾มือจะคล฽องแคล฽ว มากข้นึ สามารถทําอะไรได฾ดว฾ ยตนเอง มากขนึ้ ซ่งึ สรุปพฒั นาการร฽างกายและการเคลื่อนไหวของเด็กวัยน้ี ได฾ดังนี้ ตารางที่ 10 พฤติกรรมและความสามารถของร่างกายท่คี วบคมุ ไดต้ ามชว่ งอายุเดก็ อายุ (เดอื น) พฤติกรรม ความสามารถของรา฽ งกายทคี่ วบคุมไดด฾ ี 24 วิ่งได฾ เตะฟุตบอล ข้ึนลงบันไดเอง กลา฾ มเนอ้ื คอ หลังและขา โดยจับราว ดึงเชือกและลากของเล฽น เข฾าหาตัวได฾ พลิกหนังสือที่ละแผ฽น ขีดเส฾น หรือวงกลมได฾ 36 ข้ึนลงบันไดสลับเท฾า กระโดดกางขา กล฾ามเนอ้ื คอ หลังและขา สลับขาได฾ ขี่จักรยาน 3 ล฾อ ลากเส฾น เป็นวงกลม หรือกากบาทได฾ ร฾อย ลูกปใดได฾ การส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว พ฽อแม฽ของเด็กวัยนี้ควรส฽งเสริม พฒั นาการลูกโดย กระตุน฾ ใหเ฾ ลน฽ ของเล฽นที่มกี ารเคล่ือนไหว เช฽น รถลาก พอ฽ แมไ฽ ม฽ควรซ้ือรถลากที่มีขนาด ใหญเ฽ กินไปเพราะอาจจะ ทําให฾ลูกเล฽นไม฽สนุก นอกจากน้ีต฾องคํานึงถึงนํ้าหนักและการทรงตัวด฾วย ฝึกให฾ ลกู หดั ขจ่ี กั รยาน 3 ล฾อ เล฽นม฾าโยก ฝกึ เดนิ บนไม฾แผ฽นเดียว เพ่อื ฝึกการทรงตัว ฝึกขน้ึ ลงบนั ได พร฾อมท้ังฝึก

62 กลา฾ มเนอ้ื มือดว฾ ยการใชด฾ นิ สอ หรือสเี ทียน ขนาดใหญ฽ เพอ่ื ฝกึ ลากเสน฾ ต฽าง ๆ เช฽น ฝึกลากเส฾นเป็นวงกลม หรือกากบาท ฝกึ ร฾อยลูกปใดได฾ ฝกึ แตง฽ ตวั ตดิ กระดุม ผูกเชือกรองเท฾า เป็นตน฾ 5.2.2 พัฒนาการด้านสติปัญญา เด็กในวัย2ถึง3ปี มีพัฒนาการด฾านสติปใญญาอย฽างเห็นได฾ ชดั เด็กวยั นี้สามารถ พดู เป็นประโยคไดม฾ ากข้ึนและยาวข้ึนอย฽างมีความหมายและสามารถสื่อสารโดยการ ซักถามได฾ซึง่ สรปุ พฒั นาการด฾าน สติปใญญาของเด็กวยั นี้ไดด฾ งั น้ี ตารางท่ี 11 พฤตกิ รรมการแสดงออกดา้ นสติปญั ญาตามชว่ งอายุเดก็ อายุ พฤติกรรมการแสดงออกดา฾ นสตปิ ใญญา 2 ถงึ 3 ปี เขียนวงกมบนกระดาษหรือพื้นทรายได฾ ต฽อบล็อก 3 ก฾อนได฾ ชอบถาม อะไร ใคร การสง่ เสรมิ พัฒนาการดา้ นสติปญั ญาพอ฽ แม฽ของเดก็ วยั นีค้ วรส฽งเสรมิ พัฒนาการโดยพูดคุยกับลูก ให฾ลูกเล฽า เรื่องต฽างๆ ให฾ฟใง ให฾ลูกร฾ูจักช่ือตนเอง และคนในครอบครัวพ฽อแม฽ควรตอบคําถามลูกโดยไม฽ดุ หรอื แสดงความรําคาญ ใหล฾ กู เหน็ สอนลกู ใหร฾ ฾องเพลงสัน้ ๆ หรือพูดคําคล฾องจองส้ัน ๆ และควรใช฾นิทาน เป็นสอ่ื ในการพฒั นาทักษะการใช฾ ภาษาและการพัฒนาความคดิ เชิงเหตุผล 5.2.3 พัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ อารมณแของเด็กวัย 2 ถึง 3 ปีจะพัฒนาครบทุก อย฽าง คอื เดก็ มีอารมณแ กลัว เกลียด โกรธ ทุกขแ วิตกกังวล ดีใจ เบิกบานรักผ฾ูใหญ฽ รักเพ่ือนซ่ึงเด็กแต฽ละ คนจะมอี ารมณแท่ีแตกต฽างกัน อีกทัง้ สงิ่ แวดล฾อมก็เป็นปใจจยั ทห่ี ลอ฽ หลอมจติ ใจและอารมณแของเด็กด฾วยถ฾า เด็กเติบโตมาจากสิ่งแวดล฾อมที่สงบเงียบห฽างไกล จากเสียงดังและความต่ืนเต฾น และเด็กได฾รับการ ตอบสนองความต฾องการทันทีและสมํ่าเสมอในวัยทารก เด็กมักจะมี อารมณแดีกว฽าเด็กที่เติบโตมาจาก ส่งิ แวดลอ฾ มท่ตี รงกนั ข฾าม อาจสรุปพฒั นาการดา฾ นจิตใจและอารมณขแ องเดก็ วัยน้ี ดงั น้ี ตารางท่ี 12 พฤตกิ รรมการแสดงออกทางจติ ใจและอารมณต์ ามชว่ งอายุของเด็ก อายุ พฤตกิ รรมการแสดงออกทางจติ ใจและอารมณ์ 24 เดือนเป็นต฾นไป อารมณขแ องเด็กจะพัฒนาครบทุกอย฽างคือเด็กมีอารมณแกลัว เกลียด โกรธ ทุกขแ วิตกกังวล ดีใจ เบิกบาน รักผู฾ใหญ฽ รกั เพ่อื น การส่งเสริมพัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ พ฽อแม฽ของเด็กวัยนี้ควรส฽งเสริมพัฒนาการโดย พยายามเข฾าใจ อารมณแทีเ่ ด็กแสดงออก และแสดงให฾เด็กรู฾ว฽าพ฽อแม฽เข฾าใจและยอมรับ แม฾จะไม฽ชอบที่เด็ก

63 แสดงอารมณแน้ันออกมา และช฽วยให฾เด็กได฾ระบายอารมณแบ฾าง นอกจากน้ีช฽วยสอนให฾เด็กหันเหความ สนใจไปหาสิ่งอ่ืน เม่ือเด็กไม฽ได฾สิ่งท่ีเด็ก ต฾องการ และกล฽าวคําชมเชย หรือกอดจูบเด็กเพ่ือเสริมแรงเมื่อ เด็กแสดงพฤติกรรมทดี่ ี เปน็ ต฾น 5.2.4 พัฒนาการทางด้านสังคม เด็กวัยนี้มีพัฒนาการทางสังคมอยู฽ในข้ันที่ 3 คือ เด็ก เรียนร฾ูที่จะร฽วมมือกับ ผ฾ูอ่ืน เรียนร฾ูโลกกว฾างเพิ่มขึ้นเริ่มแยกตัวจากพ฽อแม฽ได฾สามารถปรับตัวให฾เข฾ากับคน อื่นและเรียนร฾ูบทบาทของตนอาจ สรุปได฾ว฽าพัฒนาการทางสังคมของเด็กในวัย 2 ถึง 3 ปีน้ี เริ่มเล฽นกับ เด็กอื่นยอมแบ฽งของเล฽นกับเพื่อนรจู฾ กั การรอคอย สามารถช฽วยเหลอื ทํางานบ฾านเลก็ ๆ น฾อย ๆ ได฾ การส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม พ฽อแม฽ของเด็กในวัยนี้ควรส฽งเสริมพัฒนาการ โดยเปิดโอกาสดว฾ ยการพาเด็ก ไปนอกบา฾ น เลน฽ กับเพอื่ น สอนการแบ฽งของเล฽นกับเพื่อน หรือกับคนอ่ืน ๆ สอนให฾รูจ฾ กั การรอคอย เพื่อฝึกให฾ร฾ูจักการ เห็นอกเห็นใจผู฾อื่น และฝึกให฾เด็กช฽วยเหลือทํางานบ฾านเล็ก ๆ นอ฾ ย ๆ เปน็ ตน฾ กล฽าวโดยสรุป แนวปฏิบัติสําหรับครอบครัวในการดูแลเด็กอายุ 1 ถึง 3 ปีนั้นเป็นไปเพ่ือให฾ เด็กเรียนรู฾ โดยเปิดโอกาสให฾เด็กร฾ูว฽าสามารถทําส่ิงต฽าง ๆ ได฾ดีย่ิงข้ึน หากพ฽อแม฽ดูแลแนะนําส่ังสอนให฾ กําลังใจ และคอยให฾ความ ช฽วยเหลือในทุก ๆ ด฾านไม฽ว฽าจะเป็นด฾านร฽างกายและการเคลื่อนไหว ด฾าน สตปิ ญใ ญา ด฾านจติ ใจ และอารมณแแ ละ ดา฾ นสงั คมซึ่งจะชว฽ ยให฾เด็กเจริญเติบได฾อยา฽ งเหมาะสมตามวยั 6.แนวคดิ เกย่ี วกับพัฒนาการและพัฒนกิจครอบครวั ในระยะที่มเี ดก็ อายุ 3 ถึง 6 ปี 6.1 พัฒนาการครอบครัวในระยะทมี่ ีเดก็ อายุ 3 ปถี ึง 6 ปี พัฒนาการครอบครัวในระยะที่มีเด็กอายุ 3 ถึง 6 ปี จัดอยู฽ในระยะท่ี 3 เป็นระยะท่ี ครอบครัวมีเด็กคนแรกอยู฽ ในวัยก฽อนเรียน (Stage III: Families with preschool children) ซึ่ง ครอบครวั จะต฾องดูแลอบรมเล้ียงดู ฝึกนิสัย ของเด็กเพื่อเตรียมพร฾อมสําหรับเข฾าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย รวมท้ังเป็นระยะท่ีครอบครัวอาจจะมีเด็กคนต฽อไป (Friedman, Bowden, &Jones, 2003) จึงต฾อง เตรียมให฾ลูกคนแรกสามารถช฽วยตัวเองได฾เน่ืองจากพัฒนาการของเด็ก อายุ3ถึง6ปีมีการเปล่ียนแปลง อย฽างรวดเร็วและมีพัฒนาการด฾านร฽างกายและการเคลื่อนไหวเพ่ิมมากขึ้น มีพัฒนาการ ทางอารมณแท่ี รุนแรงกว฽าวัย 1 ถึง 3 ปี เด็กยังไม฽รู฾จักเก็บหรือจํา ไม฽มีการอาฆาตแค฾น หรืออารมณแค฾าง และอารมณแ เปล่ียนแปลงง฽ายมาก นอกจากนี้มีการพัฒนาด฾านสติปใญญา และมีการปรับตัวท่ีต฾องการเป็นอิสระ มี จนิ ตนาการ และ ชอบการเขา฾ สังคมด฾วยการเลน฽ กับเพอ่ื นวัยเดยี วกันมากกวา฽ ผใ฾ู หญ฽ 6.2 พัฒนกจิ ครอบครวั ในระยะที่มีเดก็ อายุ 3 ถงึ 6 ปี ในขณะที่เด็กวัย 3 ถึง 6 ปี มีพัฒนาการในด฾านต฽าง ๆ ก฾าวหน฾าเพิ่มข้ึน ครอบครัวย฽อมต฾อง มีพัฒนกิจเพ่ิมข้ึน ตามมา เพื่อเตรียมพร฾อมเด็กสู฽วัยเรียน (Duvall, 1977, 1967) ซ่ึงพัฒนกิจของ ครอบครัวในชว฽ งที่มเี ดก็ วยั น้ี มดี งั น้ี 6.2.1 การจัดหาพ้ืนที่ อุปกรณ์สิ่งอานวยความสะดวกให้แก่คนในครอบครัวอย่าง เพียงพอ สําหรับครอบครัว ที่มีเด็กวัยน้ี ท้ังพ฽อและแม฽มีความสําคัญอย฽างยิ่งที่จะจัดเตรียมส่ิงต฽าง ๆ

64 ให฾แกเ฽ ด็ก ก฽อนท่เี ดก็ จะก฾าวออกไปส฽ู นอกบ฾าน นอกจากน้ีต฾องระมัดระวังส่ิงท่ีจะก฽อให฾เกิดอุบัติเหตุ หรือ อันตรายในบ฾านด฾วย เพราะเด็กวัยนี้เป็นวัย อยากรู฾อยากเห็นอยากทดลองสิ่งต฽างๆ การเตรียมพ้ืนที่ บรเิ วณบา฾ นนัน้ ควรจัดบริเวณบ฾านให฾ปลอดภยั มพี ื้นที่ใหเ฾ ดก็ ได฾ วงิ่ เลน฽ ออกกาํ ลงั กาย เพอ่ื พัฒนาการด฾าน ร฽างกายและการเคล่ือนไหว หรือพ฽อแม฽ควรพาเด็กไปเล฽นที่สนามเด็กเล฽น นอกบ฾าน และมีเพ่ือนเล฽นนอก บ฾านด฾วย เพื่อเรียนรู฾การเข฾าสังคมและการปรับตัวกับผ฾ูอ่ืน ในขณะเดียวกันควรมี ส่ิงอํานวยความ สะดวกสบายใหแ฾ ก฽ภรรยาเพ่ือชว฽ ยใหภ฾ รรยาผอ฽ นแรงการทํางานบ฾านควบคกู฽ บั การดูแลเดก็ ดว฾ ย 6.2.2 การจัดหาคา่ ใชจ้ า่ ยสาหรับสิ่งไม่ได้คาดหวังในครอบครัวท่ีมีเด็กเล็ก นอกเหนือจาก คา฽ ใช฾จา฽ ยเกีย่ วกบั ปใจจัยสี่ ซึ่งไดแ฾ ก฽ ท่อี ยอู฽ าศยั อาหาร เสื้อผ฾า และยารักษาโรคแล฾ว อาจมีการใช฾จ฽ายกับ เหตกุ ารณทแ ไ่ี ม฽คาดคดิ อาทิ อุบัตเิ หตุต฽าง ๆ เช฽น การหกล฾มแขนขาหัก เป็นต฾น ดังน้ัน ทั้งสามีและภรรยา ควรปรึกษาหารือเตรียมค฽าใช฾จ฽ายเหล฽าน้ี ด฾วย เพราะเม่ือเกิดเหตุการณแท่ีต฾องใช฾เงินจะได฾ไม฽เกิดปใญหา การเงนิ ในครอบครวั 6.2.3 การเข้าใจกฎและแบ่งปันความรับผิดชอบภายในครอบครัว ครอบครัวในยุค ปใจจุบันท้ังสามแี ละภรรยา ต฽างต฾องออกไปทาํ งานนอกบ฾าน เมื่อกลับมาถึงบ฾านไม฽ใช฽เพียงภรรยาเท฽านั้นที่ ต฾องจัดเตรียมอาหารหรือดูแลเด็กเพียง ลําพัง สามีควรมีบทบาทช฽วยเหลือภรรยาบ฾าง นอกจากนี้ สามี ควรชว฽ ยเหลือทํางานบ฾านหากงานบ฾านน้ันเป็นงานที่ต฾อง ใช฾แรงมาก ๆ เช฽น การทําความสะอาดพื้นบ฾าน การขัดพื้น เปน็ ต฾น รวมถึงควรฝึกใหเ฾ ด็กร฽วมรับผิดชอบงานบ฾านอย฽าง งา฽ ย ๆ เช฽น ช฽วยเก็บจานชาม เก็บที่ นอนเมือ่ ตนื่ นอนแลว฾ เพราะเป็นการฝึกระเบยี บวนิ ยั ใหแ฾ กเ฽ ด็ก 6.2.4 การสื่อสารเพื่อสร้างความพึงพอใจในครอบครัวการพูดคุยกันระหว฽างสามีและ ภรรยาไม฽เพียงแต฽ช฽วยให฾ บรรยากาศในครอบครัวเกิดการผ฽อนคลายเท฽านั้น แต฽การพูดคุยจะช฽วยให฾ทั้ง สองคนเข฾าใจความร฾ูสึก เรียนรู฾และแก฾ไข ปใญหาต฽างๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัวได฾เป็นอย฽างดี อันจะช฽วยให฾ ครอบครวั เกดิ ความสงบสุข 6.2.5 การอบรมเล้ียงดูและวางแผนการเล้ียงเด็กการเลี้ยงดูเด็กในวัยน้ีท้ังพ฽อและแม฽ต฾อง ช฽วยกันอบรมเล้ยี งดู และสง฽ เสริมพัฒนาการในแตล฽ ะดา฾ นให฾เหมาะสม เพื่อให฾เด็กได฾เจริญเติบโตต฽อไป ใน ขณะเดียวกันต฾องสอนเด็ก ไม฽ให฾อิจฉาริษยาลูกคนต฽อไปท่ีกําลังจะเกิดข้ึนด฾วยรวมถึงการสอนเร่ืองเพศ อยา฽ งงา฽ ยๆ เพราะเดก็ วยั นี้อาจสนใจและ ถามคําถามวา฽ หนูมาจากไหน 6.2.6 การสร้างสัมพันธภาพกับเครือญาติ เครือญาติสามารถช฽วยเล้ียงดูเด็กในกรณีท่ีท้ัง สามีและภรรยา ไม฽สะดวก หรือมีปใญหาต฾องสอบถามเกี่ยวกับการเล้ียงดูบุตร อย฽างไรก็ตามอาจเกิด ปใญหาตามมาได฾ เช฽น การฝากให฾ ปูุ ย฽า ตา ยาย ช฽วยเลี้ยงหลาน อาจจะเกิดปใญหาการตามใจหลาน ทั้ง สามีและภรรยาต฾องหนักแน฽น พูดคุยกันอย฽าง เปิดเผยถึงปใญหาดังกล฽าวและควรมีความยืดหย฽ุนในการ แก฾ปญใ หาต฽าง ๆ เพ่ือให฾ครอบครวั เกดิ ความสงบสุข 6.2.7 การส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้นอกบ้าน การเรียนร฾ูสําหรับเด็กวัยน้ี ไม฽ใช฽เพียงเรียนรู฾แต฽ ภายในที่บ฾านเท฽าน้ัน สิ่งแวดล฾อมนอกบ฾านก็มีความสําคัญเช฽นกัน ดังนั้น ในช฽วง

65 วนั หยุดเสารแ และอาทติ ยแ พ฽อแม฽ควร พาเดก็ ไปเรยี นรูจ฾ ากแหลง฽ เรียนร฾ูนอกบ฾าน เช฽น สวนสัตวแ สนามเด็ก เล฽น สวนสาธารณะ เป็นตน฾ เพื่อฝึกให฾รู฾จักสงั คม ธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล฾อมต฽างๆ เพิ่มขนึ้ 6.2.8 การสร้างแรงจูงใจ ในกรณีท่ีเกิดสภาวะการยากลําบากในครอบครัว พ฽อแม฽ที่มีเด็ก อย฽ูในช฽วงอายุ 3ถึง4ปีอาจจะมีเด็กท่ีกําลังจะเกิดขึ้นตามมาอีกคนจึงทําให฾เกิดความเครียดภายใน ครอบครวั ซึ่งอาจทําให฾ครอบครัว ประสบสภาวะยากลําบากในการปรับตัว แต฽การประสบการณแดังกล฽าว จะช฽วยให฾เกิดการเรียนร฾ู มีคุณค฽าและมีราคาที่ จะช฽วยให฾ครอบครัวพัฒนา เติบโตและแข็งแกร฽งมากข้ึน หากทัง้ สามีและภรรยาเตรียมตัว และปรกึ ษาชว฽ ยเหลือกนั กลา฽ วโดยสรปุ พัฒนกจิ ครอบครวั ท่มี เี ด็กอายุ 3 ถงึ 6 ปีน้ัน เป็นไปเพื่อช฽วยเหลือเด็กให฾ได฾รับการ พัฒนาที่ ถกู ต฾องเหมาะสมกับวัย ในขณะเดียวกันยังเปน็ การร฽วมมอื ระหวา฽ งพ฽อและแมท฽ ่จี ะเรียนร฾ูบทบาท หน฾าท่ี ตลอดจนการ เตรียมตวั รับมอื กับสิ่งท่จี ะเกิดข้นึ ในอนาคต 7.แนวปฏิบัติสาหรบั ครอบครวั ในการดแู ลเด็กอายุ 3 ถงึ 6 ปี การอบรมเลี้ยงดูของพ฽อแม฽สําหรับเด็กวัย 3 ถึง 6 ปีมีความสําคัญยิ่งในการสร฾างเจตคติและ พฤติกรรมตา฽ ง ทั้งดา฾ นดีและไม฽ดีใหแ฾ ก฽เดก็ รวมถึงเปน็ แบบอยา฽ งท่ีเดก็ จะซมึ ซบั และนําไปใช฾ เพราะเด็กวัย น้ีเป็นวัยท่ีกําลังจะก฾าวเข฾าส฽ูวัยเรียนและเจริญเติบโตต฽อไปในสังคม แต฽ไม฽ใช฽เพียงแต฽พ฽อแม฽เท฽านั้น เครือ ญาติผ฾ูใหญ฽ท้ังหลายก็มีความสําคัญเช฽นกันท่ีจะคอยช฽วยเหลือ สนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูเด็กด฾วย ด฾วย เหตุนี้ พ฽อแม฽จึงมีแนวปฏิบัติที่ต฾องตรียมพร฾อม ให฾แก฽เด็กหลายประการ รวมท้ังการเตรียมความพร฾อม ก฽อนออกสูส฽ ังคมนอกบ 7.1 แนวปฏบิ ตั สิ าหรบั ครอบครวั ในการดูแลเด็กอายุ 3 ถึง 6 ปี พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ถึง 6 ปี มีการเปลี่ยนแปลงอย฽างรวดเร็วและเห็นได฾ชัดเจน ท้ังด฾าน ร฽างกาย ผล ปญใ ญาจติ ใจ-อารมณแ และสังคมเพื่อพร฾อมท่ีจะเข฾าสู฽วัยเรียนพ฽อแม฽จึงเป็นคนสําคัญที่จะช฽วย ส฽งเสริมพฒั นาการของ ลูกใหก฾ ฾าวไกลหรือทาํ ใหย฾ ่ําแย฽ลงได฾ ดังนนั้ พอ฽ แม฽จึงควรเรียนรู฾เก่ียวกับพัฒนาการ ด฾านตา฽ ง ๆ ของเด็กวัยน้ี พร฾อมทง้ั ให฾การสง฽ เสริมพัฒนาการของเด็กแต฽ละด฾านอย฽างเหมาะสมตามวัย (ปิ ยะธดิ า ขจรชยั กุล 2556, มิชิโอะ มตั สดุ ะ 2550 ศรเี รอื น แก฾วกงั วาล 2549) ดังน้ี 7.1.1 พัฒนาการด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ลักษณะด฾านร฽างกายของเด็ก เปลี่ยนแปลงอย฽างรวดเร็ว โดยเฉพาะด฾วนส฽วนสูง น้ําหนักน้ําหนักตัวที่เพ่ิมข้ึนเกิดจากการเจริญเติบโต ของกระดกู และกลา฾ มเนื้อท่ีมากข้ึน ทําให฾ สามารถควบคมุ กล฾ามเน้อื ในการเคลอ่ื นไหวและการทรงตัวได฾ดี เดก็ ๆ มักจะวงิ่ กระโดด และไมห฽ ยดุ อยูน฽ ่งิ ๆ จงึ พร฾อม จะทํากิจกรรมเก่ียวกับการออกกําลังได฾มากขึ้นรวม ไปถงึ การใช฾มือหยบิ จบั สงิ่ ของ และการช฽วยเหลือตนเองของเด็กก็ดีขึ้นเป็นลําดับ นอกจากนี้ สัดส฽วนของ ร฽างกายที่เปลี่ยนแปลงใกล฾เคียงกับผ฾ูใหญ฽มากขึ้นลักษณะหน฾าตาแบบทารกจะเริ่มหายไป ศีรษะซึ่งโต ประมาณ 1ใน 4 ของส฽วนสูงเม่ือแรกเกิดจะดูเล็กลงและได฾ขนาดกับลําตัวซ่ึงยาวและกว฾างข้ึนเป็น 2 เท฽า ของเมื่อแรกเกิด ไหล฽กว฾าง มือและเท฾าก็ใหญ฽ขึ้นด฾วย ซึ่งขอสรุปพัฒนาการด฾านร฽างกายและการ เคล่ือนไหว ของเดก็ วยั นม้ี ีดังนี้

66 ตารางท่ี 13 พฤตกิ รรมและความสามารถของรา่ งกายทีค่ วบคมุ ได้ตามชว่ งอายเุ ด็ก อายุ พฤตกิ รรม ความสามารถของรา่ งกาย 3 ถึง 4 ปี ชอบวง่ิ กระโดด ไมอ฽ ยู฽น่งิ ทรงตัวดี กระโดดขาเดียวซ้ํา กล฾ามเนื้อคอ หลงั และขา ๆ อย฽ูกับที่ ขี่จักรยาน 3 ล฾อได฾ ลงบันไดสลับเท฾า ขว฾าง และรบั ลูกบอลได฾ ตดิ กระดมุ เส้ือ ล฾างหน฾าสฟี นใ เอง 5 ปี กระโดดสลับเท฾า ยืนบนเท฾าเดียวได฾ลากเส฾นเป็น รูป กล฾ามเนือ้ คอ หลัง และขา สามเหล่ียม เขียนรูปคนครบส฽วนและเขียนหนังสือ ตามตวั อย฽าง แตง฽ ตัวเองได฾ 6 ปี ก฾าวถอยหลังโดยเอาสันเท฾าจรดปลายเท฾าได฾เป็นแนว กลา฾ มเนอ้ื คอ หลัง และขา ตรงเขียนช่ือตัวเองได฾ เขียนรูปสี่เหลียมขนมเปียกปูน ได฾ อาบนํา้ เองได฾ การส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นร่างกายและการเคลอ่ื นไหว พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กวัย 3 ถึง 6 ปี ใน การพฒั นา กลา฾ มเน้ือมดั ใหญ฽ ดว฾ ยการฝึกใหล฾ งบันไดสลบั เท฾า ฝึกเลน฽ กระโดดเชือก เลน฽ เกมใครยืนได฾นาน กว฽ากัน โดยให฾ลูก หัดยืนบนเท฾าเดียว เล฽นเกมก฾าวถอยหลังโดยเอาส฾นเท฾าจรดปลายเท฾า หัดเดินบนไม฾ กระดานแผ฽นเดียว ฝึกข่ีจักรยาน 3 ล฾อ ฝึกการเล฽นขว฾างและรับลูกบอล ฝึกให฾เด็กช฽วยเหลือตนเอง ทั้งน้ี ต฾องมีพ฽อแม฽ดูแลอย฽างใกล฾ชิด เพราะอาจ เกิดอุบัติเหตุได฾ ส฽วนการกระตุ฾นพัฒนาการกล฾ามเน้ือมัดเล็ก ด฾านนิ้วมือและมือ พ฽อแม฽ฝึกด฾วยการให฾หัดจับดินสอ อย฽างถูกต฾อง ฝึกใช฾ดินสอสีลากเส฾นเป็นรูป สามเหล่ียม รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ฝึกเขียนช่ือตัวเอง ฝึกการเขียน วาดรูปต฽อไม฾บล็อกให฾ช฽วยเหลือ ตนเองในการรับประทานอาหารการแต฽งตัวการแปรงฟใน และช฽วยหยิบจับสิ่งของให฾ พ฽อแม฽ รวมท้ัง ปลกู ฝงใ ให฾เด็กรกั ษาความสะอาดของช฽องปากและฟนใ เปน็ ตน฾ 7.1.2 พัฒนาการด้านสตปิ ัญญาเดก็ วัยน้ีมีจนิ ตนาการสร฾างสรรคแและก฾าวหน฾าอย฽างรวดเร็ว แต฽จนิ ตนาการมัก ปะปนกับโลกแหง฽ ความเป็นจริง นอกจากน้เี ดก็ มีพัฒนาการทางภาษาอย฽างรวดเร็วและ เห็นได฾ชัด สามารถร฾องเพลง ท฽องกลอนบอกความแตกต฽างของสิ่งต฽างๆ ได฾ และเม่ืออายุเพ่ิมข้ึนถึง 6 ปี จะแสดงเหตผุ ลได฾ดี ซึ่งอาจสรุปพฒั นาการ ดา฾ นสตปิ ใญญาของเดก็ วัยนไ้ี ดด฾ ังนี้

67 ตารางที่ 14 พฤตกิ รรมการแสดงออกด้านสติปัญญาตามชว่ งอายเุ ดก็ อายุ พฤติกรรมการแสดงออกด้านสติปัญญา 3 ถึง 4 ปี บอกเพศหญงิ ชายได฾ เล฽าเรื่องเกีย่ วกบั ตวั เองได฾ ร฾องเพลง ท฽อนกลางจากความจํา เข฾าใจ คําเปน็ นามธรรมไดม฾ ากข้ึน 5 ปี นับเลขได฾ถึง 30 ร฾ูจักสี 3 ถึง 4 สี บอกที่อย฽ู อายุ วันเกิดได฾ บอกความแตกต฽างของส่ิง ต฽างๆ ได฾ 6 ปี ตอบคําถามทใ่ี ชเ฾ หตผุ ลง฽าย ๆ เล฽นขายของเลยี นแบบชวี ิตจรงิ การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา พ฽อแม฽ที่มีลูกวัย 3 ถึง 6 ปี ควรส฽งเสริมการใช฾ภาษาของ เด็กโดยฝกึ ให฾ เลา฽ เรื่องต฽าง ๆ ทงั้ ทีเ่ ก่ียวกบั ตวั เองและสิ่งแวดล฾อมรอบตวั เดก็ ประเพณีในทอ฾ งถิน่ เล฽นเกม อะไรเอ฽ย ฝึกร฾องเพลง ท฽องกลอนอ฽านบทอาขยานส้ันๆ ง฽ายๆ หรือคําคล฾องจองซึ่งจะช฽วยให฾เด็กเรียนรู฾ พื้นฐานของระบบเสียงท่ีเกี่ยวข฾องกับ การอ฽านได฾ง฽ายข้ึน อ฽านหนังสือให฾เด็กฟใงและใช฾หนังสือภาพ (Picture books) มาประกอบการเลา฽ เพอ่ื ใหเ฾ ข฾าใจง฽ายขึน้ และกระต฾ุนใหเ฾ ด็กใฝรุ ฾มู ากข้ึน ฝึกให฾สังเกตเพื่อ บอกความแตกต฽างของส่ิงต฽างๆ บอกสิ่งที่เหมือนกันฝึกหัดนับส่ิงของ ที่เด็กพบเห็นในชีวิต ทั้งน้ี พ฽อแม฽ ควรตอบคาํ ถามดว฾ ยคาํ ตอบงา฽ ย ๆ สั้น ๆ และใชภ฾ าษาทีถ่ กู ตอ฾ ง พรอ฾ มท้งั สรา฾ งความ เขา฾ ใจทีถ่ ูกตอ฾ ง เร่ือง ลําดับก฽อนหลัง สง่ิ ทีเ่ ปน็ นามธรรม ได฾แก฽ สี ขนาด จาํ นวน เปน็ ตน฾ 7.1.3 พัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ในการศึกษาการรับรู฾อารมณแของเด็กพบว฽า เมื่อ เดก็ อายุเพมิ่ ขน้ึ คืออย฽ู ในช฽วงอายุ 3 ถึง 5 ปี เด็กสามารถจําแนกใบหน฾าที่แสดงลักษณะดีใจและเศร฾าได฾ มากกว฽าใบหน฾าที่โกรธ และต่ืนเต฾น โดยเฉพาะถ฾าได฾รับคําชี้แนะจากผ฾ูใหญ฽จะทําให฾เด็กจําแนกภาพได฾ ถูกต฾องมากยิ่งข้ึน (Walden & Field, 1982 อ฾างถึง ในปิยะธิดา ขจรชัยกุล 2551) เด็กวัยน้ีมีการ แสดงออกทางอารมณแรุนแรงกว฽าวัยทารก เป็นวัยเจ฾าอารมณแ มี “ความ เป็นตัวของตนเอง” จะปรากฏ ออกมาในรูป “การเอาแต฽ใจตนเอง” อจิ ฉารษิ ยาอยา฽ งไม฽มเี หตผุ ล และโมโหร฾าย การส่งเสริมพัฒนาการด้านจิตใจและอารมณ์ พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กในวัย 3 ถึง 6 ปีโดย แสดงให฾เด็กรู฾ว฽า พ฽อแม฽เข฾าใจและยอมรับ แม฾จะไม฽ชอบท่ีเด็กแสดงอารมณแน้ันออกมา และช฽วยให฾เด็กได฾ ระบายอารมณแ พ฽อแม฽ต฾อง ร฾ูจักสะกดอารมณแเมื่อเด็กแสดงความโกรธออกมา พร฾อมกับสอนให฾เด็กรู฾จัก และเข฾าใจอารมณแต฽างๆ เชน฽ สอนเดก็ วา฽ อารมณแโกรธเป็นอารมณแตามธรรมชาติ แสดงออกได฾ แต฽ต฾องไม฽ ทําร฾ายร฽างกายผู฾อ่ืน สอนให฾เด็กร฾ูจักคําศัพทแหรือ คําพูดที่บอกอารมณแความรู฾สึกทั้งของตนเองและผู฾อ่ืน เชน฽ ถา฾ เด็กรูส฾ ึกโกรธ เมอ่ื ถกู แยง฽ ของเลน฽ ควรสอนให฾เด็กเข฾าใจ วา฽ อารมณแทเี่ กิดขน้ึ คืออารมณโแ กรธ โดยพูด ว฽า “หนร฾ูสกึ โกรธท่ถี กู แยง฽ ของเลน฽ ” อกี ทั้งพ฽อแมค฽ วรหลกี เลย่ี งการใหเ฾ ด็ก เลิกทํากิจกรรมอย฽างกะทันหัน เพ่อื เปน็ การลงโทษนอกจากน้ีควรสอนให฾เด็กหันเหความสนใจไปหาส่ิงอ่ืนเมื่อเด็กไม฽ได฾ สิ่งที่เด็กต฾องการ และกลา฽ วคาํ ชมเชย หรือกอดจบู เดก็ เพ่อื เสรมิ แรงเมื่อเดก็ แสดงพฤตกิ รรมทด่ี ี เป็นตน฾

68 7.1.4 พฒั นาการทางด้านสังคม เด็กวยั 3 ถึง 6 ปี มีพัฒนาการทางสังคมอยู฽ในขั้นท่ี 3 เร่ิม เรียนรู฾การติดต฽อ และมีความสัมพันธแกับบุคคลภายนอกครอบครัวของตนเอง โดยเฉพาะอย฽างยิ่งกับเด็ก วัยเดียวกัน เด็กเรียนรู฾การ ปรับตัวให฾เข฾ากับสังคมกับเด็กอ่ืนๆ พร฾อมกับรู฾จักร฽วมมือเล฽นกับกลุ฽มเพื่อนได฾ เด็กเร่ิมมีอิสระและต฾องการช฽วยตนเอง เพ่ิมขึน้ เดก็ เรมิ่ ตอ฽ ต฾านกฎเกณฑแต฽าง ๆ ท่ีผ฾ูใหญ฽ต้ังข้ึน แต฽อย฽างไร ก็ตามเด็กยังคงต฾องการความรักและความอบอุ฽น จากครอบครัวของเขา อาจสรุปพัฒนาการด฾านสังคม ของเด็กวยั นี้ได฾ดงั นี้ • อายุ 3 ถึง 4 ปี แบ฽งของเล฽นกับเพ่ือน ชอบเล฽นกับเด็กอื่น แต฽พฤติกรรมไม฽คงท่ี บางคร้ังก็ รว฽ มมือดี บางคร้งั ก็กา฾ วรา฾ ว แสดงกิรยิ าโกรธเม่ือถกู ขัดใจ สนใจกิจกรรมของผ฾ใู หญ฽และอยากจะทาํ ดว฾ ย • อายุ 5 ถงึ 6 ปี เล฽นรว฽ มกับเพือ่ นได฾ดี เข฾าใจกฎเกณฑแแ ละกติกาการเล฽น เข฾าใจความหมาย คําว฽า เมื่อ วานนี้ พร฽ุงนี้ สนใจที่จะรู฾จักชื่อของผ฾ูใหญ฽และเด็กอื่น สนใจส่ิงท่ีเกิดขึ้นในบ฾านและชุมชน สามารถทํางานบ฾านง฽าย ๆ ด฾วยความเต็มใจและตั้งอกตั้งใจ เริ่มแสดงกิริยาการขัดขืนไม฽พอใจ เช฽น หาก ถกู ส่ังใหท฾ าํ สิ่งทีไ่ ม฽พอใจกแ็ กลง฾ ทําชา฾ ๆ สามารถคดิ กตกิ าหรอื วิธเี ล฽นเกมใหม฽ ๆ ได฾ การส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม พ฽อแม฽ควรส฽งเสริมเด็กในวัย 3 ถึง 6 ปี โดยฝึกมารยาท และ สร฾าง ระเบียบวินัย ให฾เด็กร฾ูจักและทําตามกฎ กติกาหรือข฾อตกลงภายในบ฾าน เล฽นบทบาทสมมติกับเด็ก ในรูปแบบต฽าง ๆ ที่จะเจอในชีวิตประจําวันเพื่อฝึกหัดก฽อนที่เด็กจะได฾เจอสถานการณแจริง ฝึกการเล฽น อย฽างเหมาะสมเคารพกฎและกติกา การเล฽น แบ฽งของเล฽นกับเพ่ือน ฝึกการรอคอยตามลําดับก฽อนหลัง ส฽งเสริมให฾เด็กเล฽นกับเด็กอ่ืน ฝึกการแสดงความ เคารพผู฾ใหญ฽ ฝึกขอบคุณเมื่อได฾รับคําชมหรือได฾รับของ จากผ฾ูใหญ฽ เป็นต฾น กล฽าวโดยสรุป เด็กอายุ 3 ถึง 6 ปี มีพัฒนาที่ก฾าวหน฾ามากยิ่งข้ึน มีความคิดสร฾างสรรคแก฾าวหน฾า และต฾องการ ให฾พ฽อแม฽ส฽งเสริมการพัฒนาด฾านสติปใญญา รวมทั้งมีความเป็นตัวของตัวเองเพ่ิมสูงขึ้น และ เร่ิมต฽อต฾านกฎเกณฑแของ ผู฾ใหญ฽ แต฽ถึงแม฾เด็กจะต฾องการพ่ึงตนเองมากขึ้น เด็กก็ยังคงต฾องการความรัก และการยอมรับจากผใู฾ หญ฽เช฽นเดยี วกบั เด็กวัยทารก และเปน็ วยั ทสี่ ามารถเรียนรท฾ู จี่ ะอย฽ูรว฽ มกบั ผูอ฾ ่ืนได฾ 7.2 การเตรยี มความพรอ้ มออกสู่สังคมนอกบ้าน เด็กวัย 3 ถึง 6 ปี เป็นวัยก฽อนวัยเรียนเด็กวัยน้ีจึงจําเป็นต฾องมีเพ่ือนและสังคมนอกบ฾าน เมื่อเด็ก อยู฽ท่ีบ฾านจะ ค฾นเคยกับทุกคนในครอบครัวและเด็กจะแสดงพฤติกรรมอย฽างไรก็ได฾ แต฽เม่ือถึงช฽วงวัยเข฾าสู฽ สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ไม฽ว฽าจะเป็นศูนยแพัฒนาเด็ก หรือโรงเรียนอนุบาล เด็กต฾องเผชิญกับคนแปลก หน฾า เพื่อนใหม฽ และสถานที่ใหม฽ที่ ไม฽ค฾ุนเคย เด็กอาจรู฾สึกอึดอัด ลําบากใจ ดังนั้น พ฽อแม฽จึงควรมีแนว ทางการสง฽ เสรมิ พัฒนาการเด็กเพ่อื ใหเ฾ ด็ก ปรับตัวดังนี้ 7.2.1 การเตรียมความพร้อมให้แก่เด็ก พ฽อแม฽ควรเตรียมความพร฾อมทุกด฾านทั้งด฾าน ร฽างกายและการเคล่ือนไหว ด฾านสติปใญญา ด฾านจิตใจและอารมณแ และทางด฾านสังคม ต้ังแต฽อย฽ูที่บ฾าน เพราะการเตรียมความพร฾อมจะช฽วยให฾เด็ก ปรับตัวได฾ดีเกิดการเรียนร฾ูและมีประสบการณแร฾ูสึกมีความสุข

69 และสนุกกับการเรียนท่ีศูนยแพัฒนาเด็กหรือไปโรงเรียน ดังนั้น พ฽อแม฽ควรฝึกให฾เด็กช฽วยเหลือตนเอง เพราะเมื่อไปโรงเรยี นจะมีเดก็ เป็นจํานวนมาก ครอู าจดแู ลไม฽ทัว่ ถงึ การฝกึ ใหเ฾ ดก็ ช฽วยเหลอื ตนเองไดแ฾ ก฽ 1) ฝึกการรบั ประทานอาหารเปน็ เวลา และฝกึ หดั ใหต฾ กั อาหารรบั ประทานดว฾ ยตนเอง 2) ฝกึ การแต฽งตัว ตดิ กระดมุ ใสร฽ องเทา฾ แนะนําเด็กว฽าตอ฾ งแต฽งตัวอย฽างไรเมือ่ ไปโรงเรียน 3) ฝกึ การขบั ถ฽ายดว฾ ยการใช฾ห฾องนา้ํ เองและทําความสะอาดดว฾ ยตนเอง 4) ฝึกการบอกสิ่งทต่ี อ฾ งการ โดยพ฽อแม฽ต฾องรอใหเ฾ ดก็ บอกกอ฽ นทีจ่ ะทาํ อะไรให฾ 5) ฝึกระเบียบวินัย การทาํ ความเคารพผู฾ใหญ฽ กฎกตกิ า และการรอคอยลําดับก฽อนหลงั 6) ฝึกให฾รจู฾ กั ระมดั ระวงั การเกดิ อบุ ตั ิเหตุ 7.2.2 การพาเด็กไปพบเห็นสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยก่อนวันเข้าเรียนจริง เพ่ือให฾เด็กวัยน้ี เรียนร฾ูว฽าสถานที่ แห฽งใหม฽ที่จะไปเป็นอย฽างไรไม฽ว฽าจะเป็นศูนยแพัฒนาเด็ก หรือโรงเรียนอนุบาล และ พดู คุยให฾เหน็ ว฽าท่แี หง฽ น้ีจะมี เพอ่ื นเลน฽ มีของเลน฽ มีสนามวง่ิ เลน฽ ทเ่ี ดก็ สามารถเลน฽ ได฾อย฽างปลอดภัย และมี ครทู คี่ อยช฽วยเหลอื ได฾ กล฽าวโดยสรปุ พฒั นาการของเดก็ อายุ 3ถึง 6 ปี มกี ารเปลี่ยนแปลงอย฽างรวดเร็วและชัดเจนในทุก พัฒนาการ พ฽อแม฽จึงควรมีแนวทางในการส฽งเสริมพัฒนาการของเด็กอย฽างเหมาะสมกับวัยรวมถึงเตรียม ความพรอ฾ มให฾เด็กก฾าวส฽ู สังคมภายนอกอย฽างมีความสุข และสามารถปรับตัวเข฾าส฽ูสถานที่ใหม฽ เพื่อนใหม฽ และครไู ด฾

70 บรรณานกุ รม ปิยะธิดา ขจรชัยกุล (ม.ค.-เม.ย. 2551) ความฉลาดทางสังคม มิติหนึ่งของความอย฽ูรอดในสังคมไทย วารสารสขุ ศึกษา 31 (108) หน฾า 1- 6 _______(2556) เอกสารการสอนวิชา 608 พัฒนาการและการอบรมเล้ียงดู สาหรับนักศึกษา หลักสูตร วทิ ยาศาสตร์มหาบัณฑติ สาขาอนามยั ครอบครัว คณะสาธารณสุขศาสตรแ มหาวิทยาลยั มหดิ ล อดั สําเนา มิชิโอะ มัตสุดะ (2550) สารานุกรมการเลี้ยงดูเด็ก เล่ม 2 ต้ังแต่หน่ึงขวบถึงวัยประถม พิมพแครั้งท่ี 21 แปลโดย พรอนงคแ นยิ มคา฾ กรงุ เทพมหานคร สํานักพิมพแ หมอชาวบา฾ น รุจา ภูไพบูลยแ (ม.ค.-เม.ย. 2545) พัฒนกิจของครอบครัวในการดูแลบุตรวัยทารกจนถึงวัยรุ฽น วารสาร คณะ พยาบาลศาสตรมแ หาวทิ ยาลยั บรู พา 10 (1) หนา฾ 1-14 ลัดดา เหมาะสุวรรณ และคณะ (2543) รายงานการทบทวนองค์ความรู้สถานะสุขภาพของเด็กปฐมวัย สงขลา คณะแพทยศาสตร์มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทรแ ศรีเรือน แก฾วกังวาล (2549) จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช฽วงวัย เล฽ม 1: แนวคิดเชิงทฤษฎี-วัยเด็ก ตอนกลาง กรงุ เทพมหานครสาํ นกั พมิ พแมหาวิทยาลัยธรรมศาสตรแ สมาคมคหเศรษฐศาสตรแแห฽งประเทศไทย (2524) ตําราพัฒนาการเด็ก ฉบับปรับปรุงแก฾ไขล฽าสุด กรุงเทพมหานคร วิบูลยกแ จิ การพิมพแ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการส฽งเสริมสุขภาพ สสส. (2552) คู่มืออาหารตามวัยสาหรับทารกและเด็ก เลก็ ค฾นคืนวันที่ 2 มกราคม 2557 จาก http://www.thaipediatrics.org/attchfle/BabyFood pdf สํานักนโยบายและยุทธศาสตรแ สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จํานวนและอัตราเกิดต฽อประชากร 1000 คน จําแนก รายเดือน พ.ศ. 2549-2553 ค้นคืนวันที่ 2 มกราคม 2557 จาก http://bps.ops.moph.go.th/2.1.7-53.pdf สํานักส฽งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด-5 ปี สาหรับผู้ เลี้ยงดูเด็กในครอบครัวและศูนย์เด็กเล็ก ค้นคืนวันที่ 2 มกราคม 2557 จาก http://www.saiyairakhospital.com/back-office/upload/document/b.pdf สํานักอนามัยเจริญพันธุแ กรมอนามัย และ กองทุนประชากรแห฽งสหประชาชาติ (2554) ค฽ูมือมารดาหลัง ห ล อ ด แ ล ะ ก า ร ดู แ ล ท า ร ก ส า ห รั บ คุ ณ แ ม่ จ า ก http://countryoffice.unfpa.org/thailand/drive/PP_Handbook pd อดิศักด์ิ ผลิตผลการพิมพ์ (2550) โลกที่เหมาะสมสาหรับเด็ก: เด็กกับความปลอดภัย ค้นคืนวันที่ 2 มกราคม 2557 จากhttp://www.csip.org/csip/autopage/file/MonJanuary 2007-11-35-24- SAFETY FORTHAICHILDREN.pdf Duvall, E. M. (1967). Family development. 3rd ed. Philadelphia: J. B. Lippincott Company.

71 _______(1977). Marriage and family development. 5th ed. Philadelphia: J. B. Lippincott Company. Duvall, E. M. & Miller, B. C. (1985). Marriage and family development. 6th ed. NY: Harper and Row. Fildes, A., et al. (2013). Parent-administered exposure to increase children's vegetable acceptance: A randomized controlled trial. Journal of the Academy of Nutrition and Dietetics Friedman M M., Bowden,V . R.,& Jone , E .G. (2003). Family nursing : Research, theory & practice. 5th ed. NJ: prentice Hall.

72 หน่วยท่ี 3 หลักการและรูปแบบการอบรมเลย้ี งดแู ละพัฒนาเดก็ ปฐมวยั ตามบริบทและวถิ ีไทย 1. ความหมายและความสาคัญของการอบรมเลย้ี งดูเดก็ ปฐมวยั เดก็ เป็นทรพั ยากรที่มคี ณุ ค฽ายง่ิ สาํ หรับประเทศชาติ การอบรมเล้ยี งดูเด็กมีความสําคัญอย฽างยิ่งต฽อ การพัฒนาการเด็กปฐมวัย เด็กวัยน้ีต฾องการเรียนรู฾ส่ิงแวดล฾อมรอบ ๆ ตัว โดยเรียนรู฾ผ฽านประสาทสัมผัส ท้ัง 5 จากพ฽อแม฽ บุคคลในครอบครัว ดังน้ันพ฽อแม฽และบุคคลในครอบครัวจึงมีความสําคัญที่สุดท่ีจะทํา หน฾าท่ีกล฽อมเกลาเด็ก คอยอบรมเลี้ยงดูปลูกฝใงบุคลิกภาพนิสัย พฤติกรรมคุณธรรมจริยธรรม ค฽านิยม และถ฽ายทอดวัฒนธรรมของ ให฾เด็กเตบิ โตเป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพ มีความพร฾อมที่จะเป็นพลังสําคัญในการ พฒั นาสังคมและประเทศชาติต฽อไป 1.ความหมายของการอบรมเล้ยี งดูเด็กปฐมวยั เดก็ ปฐมวยั หมายถึง เด็กแรกเกิด ถึงอายุตํ่ากว฽า 6 ปี เป็นช฽วงวัยที่สําคัญที่สุดของชีวิตมนุษยแ กา วอ0256 เด็กปฐมวัยมีคุณค฽าต฽อการพัฒนาของประเทศชาติ แพทยแนักจิตวิทยา นักวิชาการทางด฾านเด็ก ปฐมวัยกล฽าวถึงความ สําคญั และสรุปความหมายหลากหลาย ได฾แก฽ เพญ็ ศรี พิชัยสนธิ (2522) ให฾ความหมายของการอบรมเลย้ี งดเู ด็กปฐมวัยไว฾ว฽าการอบรม หมายถึง การแนะนําสั่งสอนและอบรม ฝึกฝน ท่ีม฽ุงให฾เด็กประพฤติดี มีระเบียบวินัย ร฾ูจักควบคุมตนเองมีความ รบั ผิดชอบ เปน็ ต฾น การเล้ียงดู หมายถึงการดูแลเพ่ือตอบสนองความต฾องการของเด็กท้ังกายและใจ โดย มง฽ุ ให฾เด็กมสี ุขภาพดีรา฽ งกายแข็งแรง ทุกระบบ ไมม฽ โี รค ไม฽มีความพิการ อารมณแแจ฽มใส สติปใญญาเฉลียว ฉลาด และมคี วามสัมพันธแอนั ดกี ับผูอ฾ ื่น เปน็ ต฾น สุมน อมรวิวัฒนแ และคณะ (อ฾างถึงในกุศล สุนทรธาดาและคณะ 2540: 7) สรุปความหมายการ อบรมเลยี้ งดู เด็ก หมายถึง ลกั ษณะวิธีการต฽างๆ ที่ผ฾ูเล้ียงเด็กใช฾ในการเลี้ยงดูเด็ก ดูแลเด็ก อบรมส่ังสอน เด็ก และมีปฏิสัมพันธแกับ เด็กรวมทั้งการปฏิบัติตัวของผู฾เลี้ยงเด็ก และความคิดเห็นของผู฾ใหญ฽เก่ียวกับ เดก็ ตลอดจนสอื่ กิจกรรมและสงิ่ แวดล฾อม ต฽างๆ ท่ีเด็กมีปฏิสมั พนั ธดแ ว฾ ย สธุ รรม นนั ทมงคลชยั และคณะ (2547: 11) ให฾ความหมายการอบรมเลีย้ งดเู ดก็ ว฽า หมายถึง การ ตอบสนอง ความต฾องการของเด็กทุกด฾านตามวัย ท้ังทางร฽างกาย สติปใญญา อารมณแจิตใจ และสังคม ตลอดจนการอบรมสัง่ สอน และปลกู ฝงใ ค฽านยิ ม จริยธรรม และพฤติกรรมท่ีเปน็ ทีย่ อมรบั ของสงั คม ศิริกุล อิศรานุรักษแ และปราณี สุทธิสุคนธแ (2550: 106) สรุปความหมายของการอบรมเลี้ยงดู หมายถึง การ ตอบสนองความต฾องการของเด็กทั้งกายและใจการมีปฏิสัมพันธแกับเด็ก การถ฽ายทอด วัฒนธรรมทศั นคติความเช่ือ คา฽ นยิ ม ความรูแ฾ ละความหวังของสังคมตลอดจนการสง฽ เสรมิ ให฾เด็กมีพัฒนา ที่ดอี ย฽างรอบดา฾ น คือ กายใจ สังคม และปญใ ญา สรปุ ได฾ว฽า การอบรมเล้ยี งดูเด็กปฐมวัย เป็นวิธีการดูแลเด็กต้ังแต฽แรกเกิดจึงถึงอายุตํ่ากว฽า 6 ปี ที่ พ฽อแม฽ ผ฾เู ล้ยี งดูในครอบครัวตอบสนองความต฾องการของเด็กทั้งร฽างกายและจิตใจ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธแ

73 กับเด็ก ถ฽ายทอด ทัศนคติ ความเช่ือ ค฽านิยม ความร฾ูวัฒนธรรม ตลอดจนส฽งเสริมให฾เด็กมีพัฒนาการท้ัง ดา฾ นรา฽ งกาย จติ ใจ อารมณแ สงั คม สติปญใ ญา และสามารถดาํ รงชีวิตในสังคมได฾ 2.ความสาคัญของการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย ความคาดหวังของพ฽อแม฽ ครอบครัวคือเด็กมีสุขภาพสมบูรณแแข็งแรง เป็นคนดี มีความสุขและ เป็นเด็ก ประสบความสาํ เร็จในชีวติ ซึง่ ความปรารถนาดงั กล฽าวจะบรรลเุ ปูาหมายไดต฾ ฾องผ฽านกระบวนการ อบรมเลี้ยง เหมาะสมในแต฽ละช฽วงวัยของชีวิต โดยเฉพาะช฽วงปฐมวัย อันเป็นพื้นฐานสําคัญของชีวิต มนุษยแ ดังนั้น การอบรม เด็กปฐมวัยจึงมีความสําคัญอย฽างย่ิง ดังจะเห็นได฾จากนานาประเทศให฾ ความสําคัญตอ฽ การพัฒนาเด็กและเห็นว฽า ควรได฾รับการค฾ุมครองและอบรมเลี้ยงดูอย฽างเหมาะสม เพ่ือให฾ เติบโตเป็นมนุษยแที่สมบูรณแ โดยร฽วมกันลงนามในอนุสัญญาสิทธิเด็ก เด็กหมายถึงมนุษยแทุกคนท่ีอายต่ํา กว฽า 18 ปโี ดยมรี ายละเอียดสรปุ ดังนี้ อนุสัญญาว฽าด฾วยสิทธิเด็ก พ.ศ. 2535 ได฾เน฾นการค฾ุมครองเด็กจากการเลือกปฏิบัติและการ ปกปูอง ของเด็กในหลายมิติ ด฾วยมาตรการทางนิติบัญญัติและบริหารที่เหมาะสมทั้งปวง รัฐภาคีแห฽ง อนุสัญญาน้ี ระลึกว฽า สหประชาชาติได฾ประกาศในปฏิญญาสากลว฽าด฾วยสิทธิมนุษยชนว฽า เด็กมีสิทธิจะ ได฾รับการดูแลและการช฽วยเหลือเป็น พิเศษ และอนุสัญญาว฽าด฾วยสิทธิเด็กกําหนดพันธกรณีให฾ประเทศ ภาคีสมาชิกคุ฾มครองสิทธิเด็กโดยแยกเป็นประเภท ใหญ฽ๆ ได฾ 4 ประเภท (มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ 2543) ดังน้ี 1. สิทธิในการมีชวี ิตและการอย฽รู อด 2. สิทธิในการได฾รบั การปกปอู งคมุ฾ ครอง 3. สทิ ธใิ นการพฒั นา 4. สิทธใิ นการมสี ว฽ นร฽วม 1. สิทธิในการมีชีวิตและการอยู่รอดเด็กมีสิทธิที่คลอดออกมาแล฾วต฾องมีชีวิตอย฽ูรอดอย฽าง ปลอดภัย ได฾รับ การเล้ียงดูไม฽ว฽าโดยพ฽อแม฽ ญาติพ่ีน฾องหรือรัฐ เพ่ือให฾อย฽ูรอดและเจริญเติบโต และมี มาตรฐานความเป็นอย฽ูท่ีดีเพียงพอ ตามฐานะ ได฾รับการบริการด฾านสุขอนามัยให฾พ฾นจากโรคภัยต฽างๆ ท่ี จะทําให฾เด็กเสียชีวิตหรือพิการ เช฽น ได฾รับวัคซีน ปูองกันโรคต฽างๆ การตรวจรักษาและการบริการด฾าน สาธารณสุขอ่ืนๆ มีที่อยู฽อาศัย ไม฽ถูกทอดท้ิงให฾เป็นเด็กเร฽ร฽อน ได฾รับอาหารในปริมาณท่ีเพียงพอและ สะอาด 2. สทิ ธใิ นการได้รับการปกป้องคมุ้ ครองเดก็ มสี ทิ ธทิ จี่ ะได฾รับการปกปูองค฾ุมครองในทุกรูปแบบที่ จะเป็น อนั ตรายต฽อเด็ก ทั้งทางร฽างกาย จิตใจและทางเพศ ซ่ึงรวมทั้งการล฽วงละเมิดทางเพศกับหรือการ แสวงหาประโยชนแใน รปู แบบต฽างๆ จากเดก็ ไม฽ว฽าโดยพ฽อแม฽ ผู฾ปกครองเด็ก เด็กมีสิทธิได฾รับการค฾ุมครอง จากโรคภัยต฽างๆ ตามมาตรฐาน สาธารณสขุ ที่ดที สี่ ดุ เท฽าท่จี ะเป็นไปได฾ และไดร฾ ับการปกปอู งค฾ุมครองจาก การใชแ฾ รงงาน

74 3. สิทธใิ นการพัฒนาเดก็ มสี ิทธไิ ด฾รบั สทิ ธใิ นการพัฒนาตนเองท้ังด฾านการพัฒนาทางร฽างกายและ สติปใญญา น่ันหมายถึง เด็กมีสิทธิท่ีจะมีมาตรฐานความเป็นอย฽ูท่ีเพียงพอต฽อการพัฒนาการของเด็กท้ัง ทางร฽างกายจิตใจ สตปิ ใญญา ศีลธรรมและทางสังคม เด็กมีสทิ ธไิ ด฾รบั การบริการสาธารณสุขและการตรวจ รกั ษาเพอื่ ใหเ฾ ด็กพน฾ จากโรคภยั ท่ีปูองกนั รักษาไดแ฾ ละไมใ฽ หโ฾ รคภยั ดงั กลา฽ วเปน็ อปุ สรรคต฽อพัฒนาการของ เด็ก นอกจากน้ี เด็กมีสิทธิได฾รับการศึกษา อันเป็น พื้นฐานและมาตรการท่ีจําเป็นต฽อการพัฒนาของเด็ก เพื่อให฾เด็กได฾พัฒนาบุคลิกภาพ ความสามารถพิเศษ และความ สามารถทางด฾านร฽างกายและจิตใจของ เด็ก ให฾เต็มศักยภาพของเด็กแต฽ละคนให฾เด็กได฾พัฒนาความเคารพต฽อสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้น พ้ืนฐาน เพื่อเป็นการเตรยี มเด็กให฾มีชวี ิตและมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ฽ สังคม 4. สิทธิในการมีส่วนร่วม เด็กมีสิทธิในการมีส฽วนร฽วมในรูปแบบต฽าง ๆ โดยเสรีในทุกเร่ืองที่มีผล กระ เดก็ และรฐั ภาคีตอ฾ งดําเนินมาตรการให฾เด็กได฾แสดงความคิดเห็น ท้ังต฾องให฾น้ําหนักต฽อความคิดเห็น นั้นตามควร อายและวุฒิภาวะของเด็กเด็กต฾องได฾รับโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นต฽อการดําเนินการน้ัน ตามกระบวนการทก่ี ฎหมายกาํ หนดและสทิ ธใิ นการแสดงออกของเดก็ และมีสิทธทิ ่จี ะเข฾าถึงข฾อมูลข฽าวสาร โดยเฉพาะท่มี ีความมุง฽ หมายเพือ่ สง฽ เสริมเดก็ ในด฾านตา฽ งๆ จะเห็นได฾วา฽ อนุสญั ญาว฽าด฾วยสทิ ธิเดก็ ให฾ความสาํ คญั กับเด็กรวมถึงการอบรมเลี้ยงดูเด็กด฾วยเหตุน้ี การพัฒนา เด็กปฐมวยั ซง่ึ เป็นรากฐานสําคญั ของการพัฒนาเด็กในชว฽ งอายต฽อไปจึงมีความสําคัญอย฽างย่ิง เพราะมีผลต฽อพัฒนาการ ด฾านต฽างๆ ของเด็กปฐมวัย ดังนั้น ครอบครัวจึงต฾องเข฾าใจถึงความสําคัญของ การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวยั ดังน้ี 1) การส฽งเสริมสุขภาพ ปูองกันโรคและภัยอันตรายที่สามารถหลีกเลี่ยงได฾เด็กท่ีได฾รับการเล้ียงดู อย฽าง เอาใจใส฽ใกล฾ชิด จะได฾รับภูมิค฾ุมกันโรคด฾วยวัคซีนพ้ืนฐานตามที่ได฾ภาครัฐกําหนด เพื่อปูองกันโรคที่ สามารถปูองกันได฾ ได฾รบั การรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานและฟื้นฟูสภาพเม่ือเจ็บปุวย รวมท้ังเป็นการฝึกใน เรือ่ งการปฏิบัตกิ จิ วัตรประจาํ วนั การกนิ การขับถ฽าย ตลอดจนการปกปอู งภยั อุบัติเหตุอันตรายต฽างๆ ท่ีมี โอกาสเกิดขน้ึ กับเดก็ เล็ก อนั ส฽งผลต฽อสุขภาพ อนามัยของเดก็ ให฾มสี ุขภาพสมบรู ณแ แขง็ แรง ตอ฽ ไป 2) การส฽งเสริมการเจรญิ เติบโตและไดร฾ บั อาหารเหมาะสมพอเพยี งความต฾องการของร฽างกาย เด็ก ท่ีพ฽อแม฽ เลี้ยงดูใกล฾ชิดด฾วยตนเองจะได฾รับการเลี้ยงดูด฾วยนมแม฽ต้ังแต฽แรกเกิด ตลอดจนได฾รับอาหารท่ีมี คุณค฽าต฽อร฽างกายใน ช฽วงอายที่เหมาะสม เฝูาระวังการเจริญเติบโตอย฽างสมํ่าเสมอ ให฾มีการเจริญเติบโต เหมาะสมตามเกณฑแ 3) การส฽งเสริมพฒั นาการทั้งด฾านร฽างกาย จิตใจ สติปใญญา อารมณแ สังคม เด็กที่ได฾รับการเล้ียงดู ท่ีดีจาก พ฽อแม฽ หรือ พ฽อแม฽เข฾าใจลักษณะธรรมชาติของเด็ก สามารถส฽งเสริมพัฒนาการด฾านต฽างๆ ของ เด็กให฾เหมาะสมตาม วัย สามารถตอบสนองความต฾องการของเด็กได฾ตามความเหมาะสม ย฽อมจะทําให฾ เด็กเตบิ โตแข็งแรงสมบูรณแท้ังร฽างกาย และจิตใจ อันเป็นพนื้ ฐานในการสร฾างบุคลกิ ภาพ ความรสู฾ ึกนึกคดิ ท่ี ดี และเสรมิ สร฾างความม่นั คงทางจติ ใจใหแ฾ กเ฽ ดก็ (อาํ ไพพรรณ ปใญญาโรจนแ 2545)

75 4) การพัฒนาทักษะการเรียนร฾ูเด็กที่ได฾รับการอบรมเลี้ยงดูเด็กอย฽างเอาใจใส฽จากพ฽อแม฽ ด฾วย ความรัก ความอบอ฽ุน จะส฽งผลให฾เด็กได฾รับโอกาสเรียนร฾ู สร฾างเสริมประสบการณแ ฝึกทักษะในการ ดํารงชวี ติ รวมทัง้ ฝึกทกั ษะ ในการแกป฾ ใญหาของเด็ก อันเป็นการพัฒนาความฉลาด ความรู฾สึกนึกคิด และ ความสามารถของเดก็ ในด฾านตา฽ งๆ 5) การสร฾างแบบแผนทางวัฒนธรรม การอบรมเล้ียงดูเด็กเป็นกระบวนการถ฽ายทอดวัฒนธรรม วฒั นธรรมเปน็ ส฽วนเสริมความร฾เู กย่ี วกับลกั ษณะความเป็นอยูข฽ องมนษุ ยแ พ฽อแม฽จะเลี้ยงดูเด็กภายในระบบ สังคมท่ี อาศัยอยู฽ ซึ่งมีความแตกต฽างกันในแต฽ละวัฒนธรรม ความแตกต฽างในการอบรมเลี้ยงดูจึงถูก กาํ หนดโดยวฒั นธรรม ของแต฽ละสงั คม และเปน็ ผลจากค฽านิยมทางสังคมวัฒนธรรมท่ีแตกต฽างกัน เด็กจะ ไดเ฾ รยี นรูก฾ ารรกั ษาและดํารง วัฒนธรรมในสงั คมทีต่ นเองอาศัยอย฽ูอย฽างมีความสุข (สุมน อมรวิวัฒนแ และ คณะ 2534) 6) การถ฽ายทอดทัศนคติ ความเชื่อ ค฽านิยม ของสังคม การอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยเป็นการ ถ฽ายทอด ความเช่ือ ทัศนคติ ค฽านิยม ของครอบครัว สังคมรอบตัวเด็ก การปฏิบัติตนให฾เหมาะสมกับ บทบาทในสังคมนนั้ ๆ ตลอดจนปลูกผังลักษณะนสิ ยั และบคุ ลิกภาพของเด็กในอนาคต 7) การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยเป็นการสอนให฾เด็กเรียนร฾ู พัฒนา จติ ใจ ใหม฾ ีความเห็นอกเห็นใจ มีนาํ้ ใจแบ฽งปนใ และร฾จู ักเขา฾ กบั ผอ฾ู นื่ ได฾ 8) การส฽งเสริมพัฒนาการด฾านสังคม การอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยช฽วยให฾เด็กได฾เรียนร฾ูโลก ภายนอก สังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี แบบแผนวัฒนธรรม ระเบียบวินัยและกฎกติกาต฽างๆ ของ สงั คม สรุปได฾ว฽า การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยของพ฽อแม฽ ครอบครัวมีผลต฽อคุณภาพชีวิตของเด็ก ทําให฾เด็กมี สุขภาพ อนามัยสมบูรณแแข็งแรง มีการเจริญเติบโต และพัฒนาการเหมาะสมทุกด฾าน ทั้งด฾านร฽างกาย จิตใจอารมณแ สังคม และ สติปใญญา ตลอดจนพัฒนาการเรียนรู฾ความร฾ูสึกนึกคิด ค฽านิยม บุคลิกภาพ คุณธรรมจริยธรรม การถ฽ายทอดทัศนคติ แบบแผนวัฒนธรรม ซ่ึงผลท่ีจะเกิดข้ึนดังกล฽าวขึ้นกับรูปแบบ และวธิ กี ารอบรมเลย้ี งดูของพอ฽ แม฽ ครอบครัว 2. รปู แบบของการอบรมเล้ียงดเู ด็กปฐมวัย เปูาหมายของพ฽อแม฽ท่ีมีเด็กปฐมวัยคือ เด็กมีการเจริญเติบโตมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เป็น คนดีคนเก฽ง และมีความสุข เด็กจะบรรลุเปูาหมายดังกล฽าวได฾หรือไม฽ ส฽วนหน่ึงข้ึนอย฽ูกับสภาพครอบครัว และวิธีการอบรมเล้ียงดู จากพ฽อแม฽และบุคคลในครอบครัวท่ีจะดูแลส฽งเสริมสุขภาพ การเจริญเติบโต พัฒนาการ และปลูกฝใงบุคลิกภาพ พฤติกรรม ทัศนคติ ค฽านิยม ความเชื่อตลอดจนจิตสํานึกของเด็กให฾ เปน็ ไปตามทพี่ ฽อแม฽คาดหวัง เพ่อื ให฾เด็กเป็นไปตามเปูาหมายดังกล฽าว รปู แบบหรือวิธีการอบรมเล้ยี งดูเด็กจงึ มีความแตกต฽างไป ในแต฽ละ ประเพณี วัฒนธรรม ประสบการณแ ความร฾ูของพ฽อแม฽และครอบครัว มีนักจิตวิทยาและ นกั วิชาการสรุปรปู แบบการ อบรมเลีย้ งดูเด็กปฐมวยั ดังน้ี

76 บอมรินดแ (Baumrind, 1967 อ฾างถึงในดุลยาจิตตะยโศธร 2552. 175) ศึกษาเด็กก฽อนวัยเรียน และผ฾ูปกครอง ของเด็กโดยการสังเกตพฤติกรรมของเด็กทั้งท่ีโรงเรียนและที่บ฾าน ประกอบกับการ สัมภาษณแผ฾ูปกครองและสังเกต ปฏิสัมพันธแระหว฽างผู฾ปกครองกับเด็กที่บ฾าน จากการศึกษาดังกล฽าว บอมรินดแไดท฾ ําการวเิ คราะหแแ บง฽ องคแประกอบ พฤติกรรมของพ฽อแม฽ในการอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยเป็น 2 มติ ิกวา฾ งๆ ดังน้ี 1. มิตคิ วบคมุ คือ การท่ีพ฽อแม฽กําหนดมาตรฐานสําหรับเด็กและเรียกร฾องให฾เด็กทําตามมาตรฐาน ท่ีพ฽อแม฽ได฾ กําหนดไว฾ ซ่ึงพ฽อแม฽บางคนจะมีมาตรฐานสูง และเรียกร฾องให฾เด็กปฏิบัติตามมาตรฐานที่ตน กําหนด ขณะท่ีพ฽อแม฽ บางคนเรียกร฾องให฾เด็กทําตามมาตรฐานเพียงเล็กน฾อย และไม฽พยายามท่ีจะใช฾ อทิ ธิพลในการควบคุมเด็ก 2. มิติการตอบสนองความรู้สึกเด็กคือ การที่พ฽อแม฽หรือผู฾เล้ียงดูเด็กตอบสนองต฽อความต฾องการ ของเด็ก ซ่ึง พ฽อแม฽บางคนจะยอมรับ เขา฾ ใจ และตอบสนองความตอ฾ งการของเด็กดว฾ ยดี เปดิ โอกาสให฾เด็ก คดิ และตัดสนิ ใจดว฾ ย ตนเอง ขณะทพ่ี อ฽ แมบ฽ างคนเพกิ เฉย และปฏเิ สธตอ฽ ความตอ฾ งการของเด็ก แนวคิดของ บอมรินดแ (Baumrind อ฾างถึงในสุธรรมนันทมงคลชัย 2547) ได฾ผสมผสาน 2 มิติ ดงั กลา฽ ว และ จัดรปู แบบการอบรมเลย้ี งดูเดก็ ปฐมวัย เปน็ 4 รปู แบบ ดังน้ี 1. การอบรมเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่หรือประชาธิปไตยคือ การอบรมเล้ียงดูที่พ฽อแม฽สนับสนุนให฾ เด็กมีพัฒนาการ ตามวัยของเด็ก โดยพ฽อแม฽ให฾ความรัก และความอบอ฽ุนใกล฾ชิด มีการอบรมที่ชัดเจน ตอบสนองความต฾องการตาม วุฒิภาวะของเด็ก ให฾เด็กมีอิสระตามความสามารถแต฽บางเวลาพ฽อแม฽จะ กําหนดขอบเขตพฤติกรรมของเด็ก และกําหนด ให฾เด็กเชื่อฟใงและปฏิบัติตามแนวทางที่พ฽อแม฽กําหนดไว฾ อย฽างมีเหตุผล ขณะเดียวกันก็ให฾ความรักความอบอ฽ุนและใส฽ใจ ต฽อเด็ก เปิดโอกาสให฾เด็กเป็นตัวของ ตวั เอง รบั ฟงใ เหตุผลจากเดก็ และสนบั สนนุ ใหเ฾ ด็กมีส฽วนร฽วมในการคิด ตัดสนิ ใจ เรือ่ งต฽างๆ ของครอบครวั 2. การอบรมเล้ียงดูแบบควบคุมหรืออานาจนิยมคือ การอบรมเลี้ยงดูท่ีพ฽อแม฽ควบคุม และ คํานึงถึงวุฒิภาวะ ของเด็กค฽อนข฾างสูงมีความคาดหวังต฽อเด็กสูง แต฽หย฽อนในเรื่องความใกล฾ชิดและการ สอื่ สารมกี ารวางกฎเกณฑแให฾เดก็ ปฏิบตั ิตามอยา฽ งเขม฾ งวด อธิบายน฾อยมาก หรือไม฽มีเลย เด็กต฾องยอมรับ ในคําพูดของพ฽อแม฽ว฽าเป็นส่ิงท่ีถูกต฾อง เหมาะสมเสมอ มีการใช฾อํานาจควบคุมโดยวิธีบังคับ และลงโทษ เมอื่ เด็กไม฽ทาํ ตามความคาดหวงั ของพอ฽ แม฽ 3. การอบรมเลี้ยงดูแบบตามใจคือการอบรมเล้ียงดูที่พ฽อแม฽ให฾การดูแลอย฽างใกล฾ชิดอบอุ฽น แต฽ หยอ฽ นในเร่อื ง การควบคุมพฤติกรรม การสื่อสารและการคํานึงถึงวุฒภิ าวะของเด็ก 4. การอบรมเลยี้ งดูแบบทอดท้ิงหรือปล่อยปละละเลย คือ การอบรมเล้ียงดูที่พ฽อแม฽ไม฽ให฾ความ สนใจหรือ ตอบสนองความตอ฾ งการของเดก็ ให฾การดแู ลเอาใจใสต฽ ฽อเด็กนอ฾ ยมาก พ฽อแม฽จะเพิกเฉยต฽อเด็ก พอๆ กับไมเ฽ รยี กร฾อง หรือวางมาตรฐานพฤติกรรมใดๆ ให฾เด็กปฏิบัติทั้งนี้อาจเป็นเพราะพ฽อแม฽ปฏิเสธเด็ก แตแ฽ รกหรือหมกมุ฽นอยก฽ู ับปญใ หา และความกดดันในชวี ติ ประจําวนั จนไมม฽ เี วลาดแู ลเอาใจใส฽เด็ก ซ่ึงส฽งผล

77 เชิงลบตอ฽ พัฒนาการเดก็ มากทีส่ ุด ส฽งผลให฾ เดก็ มีพฤตกิ รรมต฽อต฾านสังคม ขาดทักษะทางสังคม ไม฽มีเพ่ือน และล฾มเหลวในการเรียน สรปุ ได฾ว฽ารปู แบบการอบรมเลย้ี งดขู องพ฽อแม฽ ครอบครวั มีหลายแบบ แตกตา฽ งตามพฤติกรรมของ พ฽อแมใ฽ น การอบรมเลีย้ งดเู ดก็ พ฽อแมบ฽ างครอบครัวคาดหวังเด็กสูงจะเล้ียงดูเด็กแบบอํานาจนิยม ขณะที่ พ฽อแม฽บางครอบครัว ตามใจเดก็ จนขาดการกาํ กับควบคุมเด็ก แต฽รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูเด็กท่ีเหมาะสม เป็นการอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบ ประชาธิปไตยที่พ฽อแม฽อบรมเล้ียงดูเด็กตามพัฒนาการของเด็กแต฽ละวัย ควบค฽กู ับการใหค฾ วามรกั ความอบอุ฽นและเล้ยี ง แบบมีเหตุผล 3. สภาพการอบรมเล้ยี งดเู ดก็ ปฐมวัยของครอบครัวในสงั คมไทย ครอบครัวเป็นหน฽วยเล็กที่สุดท่ีใกล฾ชิดและสําคัญต฽อการพัฒนาเด็กปฐมวัย ด฾วยเป็นผู฾ตอบสนอง ความต฾องการ พ้ืนฐานและให฾การอบรมเลี้ยงดูเด็กต้ังแต฽แรกเกิดจากการเปล่ียนแปลงสภาวะเศรษฐกิจ และสังคม ความก฾าวหน฾าของ เทคโนโลยีและการสื่อสารอย฽างรวดเร็วในปใจจุบันทําให฾สภาพการอบรม เลีย้ งดูเดก็ ปฐมวัยของครอบครวั ในสงั คมไทย มลี กั ษณะดงั นี้ 1. โครงสร้างครอบครัวไทยและสภาพแวดล้อมเดก็ ประเทศไทยมีจํานวนครัวเรือน 20.52 ล฾าน ครัวเรือน ขนาดครอบครัวเฉล่ีย 3.1 คนต฽อครัวเรือน (ข฾อมูลการสํารวจสํามะโนประชากร ปี 2553 ) สภาพสังคมไทยมีการ เปลี่ยนแปลงจากสังคมเครือญาติเป็นสังคมปใจเจกมากข้ึน ส฽งผลให฾มีการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบครอบครัวไทย เช฽น ครอบครัวเดี่ยวมีเฉพาะพ฽อแม฽และลูก ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวท่ีมี เฉพาะพ฽อหรือแม฽เล้ียงลูกเพียงลําพัง ครอบครัวพ฽อแม฽ วัยร฽ุน ครัวเรือนท่ีอยู฽ด฾วยกันแบบไม฽ใช฽ญาติ ครวั เรือนทีม่ ีแตป฽ ูยุ า฽ หรอื ตายายกับหลาน ผลของการสํารวจผู฾เล้ียงดูเด็กหลัก จากรายงาน เด็กและเยาวชน ปี 2552 ของสํานักงานสถิติแห฽งชาติ พบวา฽ เด็กทอี่ าศยั อย฽ูกบั พอ฽ แมร฽ ฾อยละ 61.8 ไม฽ได฾อยู฽กับพ฽อแม฽ ร฾อยละ 20.1 ที่เหลืออยู฽กับพ฽อหรือแม฽คน ใดคนหนึ่ง สําหรับ เด็กที่ไม฽ได฾อย฽ูกับพ฽อแม฽ พบว฽าอาศัยอย฽ูนอกเขตเทศบาลมากกว฽าในเขตเทศบาล เนื่องจากการดําเนินชีวิตของครอบครัว มีการเปลี่ยนแปลงท้ังพ฽อและแม฽ต฾องหารายได฾เลี้ยงดูครอบครัว ทําให฾ไม฽สามารถอบรมเลี้ยงดูบุตรได฾เท฽าที่ควร ส฽ง ผลกระทบต฽อเด็ก ทําให฾ไม฽ได฾รับการดูแลอย฽าง เหมาะสมเพยี งพอ 2. บทบาทหน้าท่ีของครอบครัวที่มีผลต่อความม่ันคงของเด็ก แม฽เป็นบุคคลสําคัญอย฽างยิ่งต฽อ การอบรมเล้ยี งดูเดก็ ปฐมวยั แตจ฽ ากรายงานการสาํ รวจท่พี บว฽า แม฾วา฽ ยังคงมีบทบาทการเป็นผู฾เล้ียงดู฾หลัก ของเด็กปฐมวัย แตก฽ ลบั มแี นวโน฾มลดลง ดังนี้ พ.ศ. 2544 แมเ฽ ปน็ ผ฾ูเลย้ี งดูหลัก รอ฾ ยละ 71 (สุธรรม นันทมงคลชยั และคณะ 2507) พ.ศ. 2551 แม฽เปน็ ผู฾เลย้ี งดูหลัก ร฾อยละ 62.8 (วิชัย เอกพลากร และคณะ 2551) นอกจากนี้ จะเห็นได฾ว฽า ปใจจุบันครอบครัวมีการปฏิสัมพันธแกันน฾อยมาก โดยเฉพาะการ ความ เข฾าใจกันภายในครอบครัว ทําให฾เด็กและเยาวชนหันไปหาอบายมุข และประพฤติตนเรียกร฾องคอ สังคม อยา฽ งไม฽เหมาะสม ปญใ หาสําคญั คือ พอ฽ แมผ฽ ฾ปู กครอง ไม฽สามารถเปน็ แบบอย฽างท่ีดีได฾ และขาดทักษะการ

78 ลกอย฽างเหมาะสม มีความคาดหวังทางการศึกษาของลูกในระดับสูงจนเกินไป ทําให฾เด็กและเยาวชนเกิด ความ และไม฽มีความสุขกับการเรียน แนวโน฾มของครอบครัวไทยในอนาคตคาดว฽าจะมีรูปแบบครอบครัว เดียวเพม่ิ มากขึ้น เกดิ สภาวการณแพ฽อหรือแม฽เล้ียงเดี่ยวเพิ่มมากข้ึน รวมถึงสภาวการณแปใจจุบันท่ีความบีบ คั้นทางเศรษฐกิจเป็นสาเหตุ หลักให฾พ฽อแม฽ต฾องทํางานนอกบ฾านมากขึ้นในท฾องถิ่นชนบทหลายครอบครัว พ฽อแม฽ต฾องไปทํางานในตัวเมือง โดยเฉพาะ ในกรุงเทพฯและเมืองใหญ฽ๆ ให฾เด็กอยู฽ในความดูแลของ ผ฾ูสูงอายุ ซ่ึงอาจทําให฾เด็กเติบโตมาอย฽างไม฽มีคุณภาพเท฽าท่ีควร (คณะกรรมการส฽งเสริมการพัฒนาเด็ก และเยาวชนแหง฽ ชาติ 2554) 3. การดูแลสุขภาพของเด็ก เด็กทารกหรือแรกเกิด ถึงอายุ 1 ปี เป็นช฽วงชีวิตที่สําคัญ ปใจจุบัน เด็กมีโอกาส รอดชีวิตมากข้ึน ขณะท่ีทารกแรกเกิดมีน้ําหนักน฾อยกว฽า 2,500 กรัมลดลงทุกปี การให฾ ภูมคิ ฾ุมกันโรคดว฾ ยการใหว฾ คั ซนี ค฽อนข฾างประสบความสําเร็จอัตราเส่ียงต฽อการเป็นโรคธาลัสซีเมียและโรค เอดสแลดลงแตท฽ างด฾านอาหารและโภชนาการ พบว฽า เด็กได฾รับการเลี้ยงด฾วยนํ้านมแม฽อย฽างเดียว 6 เดือน มีระดับตํ่ามาก คือ ร฾อยละ 7.1 เด็กชนบทได฾กินนมแม฽ มากกว฽าเด็กในเมือง และมีการเลี้ยงลูกด฾วยนม ผสมแทนนมแมเ฽ พ่ิมขึน้ เด็กไทย 1 ใน 4 มปี ใญหาภาวะโภชนาการเกนิ หรอื โรคอ฾วน โดยความชุกของเด็ก อ฾วนจะเพม่ิ สูงขน้ึ ถงึ 1 ใน 5 ของเด็กปฐมวยั 4. การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยไม฽สามารถพัฒนาได฾ถ฾าไม฽มีพ฽อแม฽ ผ฾ูเล้ียงดูส฽งเสริม พัฒนาการด฾าน ต฽างๆ ให฾เหมาะสม แต฽ละช฽วงอายุรายงานการศึกษาพบว฽า การส฽งเสริมพัฒนาการเด็ก ปฐมวัยของพ฽อแม฽ ครอบครัว ไทย เน฾นส฽งเสริมพัฒนาการด฾านการช฽วยเหลือตนเองมากกว฽าพัฒนาการ ด฾านอ่ืนๆ เช฽น ด่ืมน้ําจากแก฾ว ตักอาหาร เข฾าปาก แต฽งตัว ขับถ฽าย เก็บของเล฽นเข฾าท่ี และอาบน้ําด฾วย ตนเอง เปน็ ต฾น (ลัดดา เหมาะสวุ รรณและคณะ 2547) ในการส่งเสรมิ พฒั นาการดา้ นสตปิ ญั ญา พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽ส฽งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยด฾วยการ สอน ใหน฾ บั เลข อ฽าน ก.ไก฽ โดยกจิ กรรมส฽งเสรมิ พฒั นาการด฾านสติปญใ ญา หรอื กจิ กรรมส฽งเสริมการเรียนร฾ู มีค฽อนข฾างน฾อย ดังรายงานสํานักงานสถิติแห฽งชาติสํารวจเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2551 ที่สํารวจกิจกรรม ส฽งเสริมการเรียนร฾ูเด็กปฐมวัย ของพ฽อแม฽ ผู฾เลี้ยงดูเด็ก โดยศึกษาเปรียบเทียบการมีส฽วนร฽วมในกิจกรรม ส฽งเสริมการเรียนรู฾ 6 ประเภท ของพ฽อแม฽ และคนอื่นๆ ในครอบครัว ได฾แก฽ (1) การอ฽านหนังสือ/ดูสมุด ภาพร฽วมกับเด็ก (2) การเล฽านิทาน/เล฽าเร่ืองต฽างๆ ให฾เด็ก ฟใง (3) การร฾องเพลงร฽วมกับเด็ก/ร฾องเพลง กล฽อมเด็ก (4) การพาเด็กไปนอกบ฾าน (5) การเล฽นกับเด็ก และ (6) การทํา กิจกรรมร฽วมกับเด็ก พบว฽า ร฾อยละ 95.9 ของเด็กปฐมวัยได฾รับการส฽งเสรมิ การเรียนรู฾จากพ฽อแม฽ ผู฾เลี้ยงดูเด็ก และพบ ว฽า 4 กิจกรรม ใน 6 กจิ กรรม แม฽มสี ว฽ นร฽วมกจิ กรรมทกุ ประเภทกับเดก็ พ฽อมีส฽วนร฽วมทํากิจกรรมดังกล฽าวน฾อยมาก ส฽วน กจิ กรรมทพี่ อ฽ แมท฽ ําร฽วมกับเด็กมากทีส่ ดุ คือ การเล฽น รองลงมา คือ การพาไปนอกบ฾าน ส฽วนกิจกรรมที่ทาํ รว฽ มกับ เดก็ น฾อยท่ีสุด คอื การเลา฽ นทิ าน

79 ในการส่งเสริมพัฒนาการด้านจริยธรรม พ฽อแม฽สังคมไทยส฽งเสริมด฾วยการสอนเด็กให฾รู฾จักการ ไหว฾แสดง ความเคารพผู฾ใหญ฽ หรือเม่ือได฾รับของ นอกจากนี้ พ฽อแม฽ยังสอนเร่ืองการแบ฽งปใน ขอโทษ ให฾ อภัย ไม฽พดู โกหก และไม฽ หยิบของผอู฾ น่ื เปน็ ต฾น ในการส฽งเสริมพัฒนาการด฾านอารมณแ จิตใจ สังคม และจริยธรรม พ฽อแม฽ ผ฾ูเล้ียงดูเด็กมีการร฾อง เพลง พ้ืนบ฾านใหเ฾ ด็กฟใงบ฾างแต฽น฾อยลง การส฽งเสริมพัฒนาการด฾านสังคม พบว฽า มากกว฽าครึ่งหนึ่งของพ฽อ แม฽เดก็ ปฐมวัย ส฽งเสรมิ ด฾วยการพาเทยี่ วหา฾ งสรรพสนิ คา฾ ตลาด ร฾านคา฾ เปน็ ประจํา ปใจจุบนั พ฽อแม฽ หรอื ผเ฾ู ลี้ยงดูให฾เด็กดูโทรทัศนแมากกวา฽ ในอดตี พบวา฽ เดก็ อายุ 1 ปี ถงึ อายุนอ฾ ยกว฽า 6 ปี ดูโทรทัศนแเฉล่ียวันละ 1.9 ช่ัวโมง เด็กในกรุงเทพมหานครใช฾เวลาดูมากที่สุด วันละ 2.1 ช่ัวโมง ส หนึ่ง พอ฽ แม฽และผเ฾ู ลยี้ งดไู มเ฽ คยเลอื กรายการโทรทัศนใแ หเ฾ ด็กดู ถึงรอ฾ ยละ 40.1 (ลัดดา เหมาะสุวรรณ และ คณะ 2547) สรุปว฽า การอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัย แม฽เป็นผู฾เลี้ยงดูหลักของเด็กปฐมวัย แม฾ว฽าจะมีแนว ตายาย เป็นผู฾เล้ียงดูหลักของเด็กเพ่ิมข้ึน ด฾านอาหารและโภชนาการเด็กปฐมวัยได฾กินนมแม฽ตํ่ามาก การส฽งเสริม พัฒนาการพ฽อแม฽ให฾ความสําคัญกับการส฽งเสริมพัฒนาการการช฽วยเหลือตนเองมากกว฽าการส฽งเสริม พฒั นาการด฾านอ่ืนๆ กจิ กรรมส฽งเสรมิ การเรียนรข฾ู องเด็กปฐมวยั เนน฾ การเลน฽ กบั เด็กมากกว฽ากิจกรรมอนื่ ๆ 4. รูปแบบการอบรมเลย้ี งดเู ด็กปฐมวัยตามวิถีชวี ติ ไทย เด็กเป็นทรพั ยากรทมี่ ีความสําคญั และมีคา฽ ต฽อการพฒั นาประเทศชาติ เด็กทเ่ี ติบโตอย฽างมีคุณภาพ เป็นความ คาดหวังของพ฽อแม฽และครอบครัว แม฾ว฽าสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยมีการเปล่ียนแปลงไป จากอดตี อย฽างมากจาก อดตี ครอบครัวไทยมีแม฽ทาํ หน฾าที่ผ฾ูเลี้ยงดูหลกั โดยเฉพาะช฽วงทารกที่แม฽มีบทบาท สําคัญอย฽างยิ่งตอ฽ เด็กในการอบรม เล้ยี งดูเดก็ ให฾เด็กมีสุขภาพอนามัยที่ดี เจริญเติบโต มีพัฒนาการดี แต฽ ปใจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแปลงเลียนแบบ วัฒนธรรมตะวันตก คู฽สมรสที่แต฽งงานแยกครอบครัวเป็น ครอบครัวเดี่ยว ประกอบอาชีพนอกบ฾านท้ังสามีและภรรยา เมื่อภรรยาต้ังครรภแและคลอดบุตร แม฾ว฽า กฎหมายของประเทศไทยได฾ให฾ความสําคัญต฽อการเล้ียงดูเด็กในระยะแรก ของชีวิตเด็ก โดยให฾หญิงหลัง คลอดลุ าคลอดเพือ่ การเลี้ยงลูกแรกเกิดได฾จนถึง 3 เดือน ให฾แม฽ได฾มีเวลาอบรมเลี้ยงดู ลูกอย฽างใกล฾ชิด ให฾ ลูกได฾กินนมแม฽ ดูแลส฽งเสริมสุขภาพอนามัย ส฽งเสริมพัฒนาการของเด็ก อย฽างไรก็ตามเมื่อครบ กําหนดการลาคลอด แม฽ต฾องกลับไปทํางานจึงนําเด็กเล็กไปให฾ญาติพ่ีน฾องในต฽างจังหวัดดูแลแทนขณะท่ี ครอบครัวบาง ครอบครัวที่มีรายได฾พอเพียงที่จะจ฾างพ่ีเลี้ยงเด็กมาดูแลที่บ฾านโดยย฽า ยาย คอยช฽วยเหลือ ดูแลจนเด็กอายุครบเกณฑแ เข฾าเรียนอนุบาลหรือศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก โดยจะส฽งเข฾ารับบริการโรงเรียน อนุบาลหรอื ศูนยพแ ัฒนาเดก็ ต฽อไป แต฽มี ครอบครวั บางครอบครวั จะนําเด็กเล็กเข฾ารับบริการสถานรับเลี้ยง เด็กออ฽ นในช฽วงเวลากลางวนั และรบั กลับบา฾ นหลังเลิก งานตอนเย็น เปน็ ตน฾ ในที่นข้ี อกลา฽ วภาพรวมของการอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยตามวิถีชีวิตไทยท่ีมีการศึกษารูปแบบการ อบรม เลีย้ งดเู ด็กปฐมวยั ของสงั คมไทยใน 2 แนวคิด ดงั นี้

80 1. การศึกษาของดวงเดอื น พันธุมนาวนิ และคณะ (2528) แบ฽งรปู แบบการอบรมเลี้ยงดูเป็น 5 แบบ ไดแ฾ ก฽ 1.1 การอบรมเล้ียงดูแบบรักสนบั สนุน คือ พ฽อแมป฽ ฏบิ ัติตอ฽ เด็กด฾วยความรกั เอาใจใส฽ ใกล฾ชิด และทํา กจิ กรรมต฽างๆ ร฽วมกบั เด็ก ช฽วยเหลอื สนับสนุนเด็กในสงิ่ ทีต่ ฾องการทกุ อย฽าง 1.2 การอบรมเล้ียงดูแบบให฾เหตุผล คือ พ฽อแม฽อธิบายเหตุผลให฾กับเด็กขณะที่ส฽งเสริมหรือ ขัดขวาง การกระทําของเด็ก นอกจากน้ีพ฽อแม฽มีการลงโทษและให฾รางวัลแก฽เด็กอย฽างเหมาะสมกับการ กระทาํ ของเดก็ มากกวา฽ ปฏิบัตติ อ฽ เด็กตามอารมณขแ องตนเอง 1.3 การอบรมเลี้ยงดูแบบลงโทษทางจิตใจมากกว฽าทางกาย การลงโทษทางกาย หมายถึง การทําให฾เด็ก เจ็บตัวโดยผ฾ูลงโทษใช฾อํานาจทางกายของตนข฽มเด็ก ส฽วนการลงโทษทางจิตใจ หมายถึง การแสดงความไม฽พอใจ เสีย และประท฾วงท่ีเด็กทําผิด มีการใช฾วาจาว฽ากล฽าวตักเตือน ผู฾ลงโทษจะทํา เพกิ เฉย ไม฽สนใจใยดกี บั เด็กในชว฽ ง 1.4 การอบรมเล้ียงดูแบบควบคุม คือ พ฽อแม฽ออกคําสั่งให฾เด็กทําตาม แล฾วผู฾ใหญ฽ดูแลตรวจ ตราใกล฾ชดิ วา฽ เด็กจะทาํ ตามหรอื ไม฽ ถ฾าเด็กไม฽ทําก็จะลงโทษ ส฽วนการควบคุมน฾อย หมายถึง การปล฽อยให฾ เด็กร฾ูจักคิดตัดสินใจ ว฽าควรทําหรือไม฽ควรทําส่ิงใด และเปิดโอกาสให฾เด็กเป็นตัวของตัวเองบ฽อยครั้ง โดย ไม฽เข฾าไปยงุ฽ เก่ยี วกบั เดก็ มากนัก 1.5 การอบรมเลี้ยงดูแบบให฾พ่ึงตนเองเร็วคือ การที่พ฽อแม฽ให฾โอกาสลูกทํากิจกรรมต฽าง ๆ ด฾วยตนเอง ในชวี ติ ประจําวันดว฾ ยตนเองภายใตก฾ ารแนะนาํ และฝกึ ฝนจากพ฽อแมห฽ รือผเู฾ ล้ยี งดูอ่ืน ๆ 2. การศึกษาการสังเคราะห์การอบรมเลี้ยงดูเด็กตามวิถีไทย 10 แบบ (ทิศนา แขมมณี และ คณะ 2536) ได้แก่ 2.1 การให฾อิสระเชิงควบคุม เป็นการอบรมเล้ียงดูแบบน้ีผ฾ูใหญ฽ให฾อิสระแก฽เด็ก เร่ิมต้ังแต฽ อิสระในการ ตัดสินใจเรื่องต฽างๆ เก่ียวกับตนเอง ให฾เด็กช฽วยตนเองโดยผ฾ูใหญ฽คอยดูแลห฽าง ๆ เพื่อความ ปลอดภัยของเด็กเซน โอกาสเด็กเลือกอาหารเอง กินอาหารเอง แต฽งตัวเอง อาบนํ้า ให฾อิสระในการเล฽น ซ่ึงเป็นการให฾เด็กดูแลตนเองอยาง อิสระเพื่อลดภาระของผ฾ูใหญ฽ อย฽างไรก็ตามความเป็นอิสระของเด็ก ลดลงเมื่อเด็กไปอยู฽ศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก เพราะเด็ก ต฾องปฏิบัติตามตารางกิจกรรมประจําวันที่กําหนดให฾ เด็กจงึ ตอ฾ งปรับตวั ใหเ฾ ขา฾ กับวถิ ชี ีวิตแบบใหม฽ ทแ่ี ตกตา฽ งจากวัด ชวี ติ ท่ีบา฾ น 2.2 การควบคุมเชงิ ละเลย เปน็ การอบรมเล้ียงดูแบบผ฾ูใหญ฽จะคอยควบคุมดูแลให฾เด็กกินอยู฽ หลับนอน โดยเด็กอย฽ูในสายตาของผ฾ูใหญ฽ การควบคุมไม฽เป็นการควบคุมทุกกระบวนการ หากพฤติกรรม ใดที่ห฾ามเด็กหรือบอก เด็ก แต฽เด็กเฉยหรือยังทําอยู฽ บางคร้ังผ฾ูใหญ฽ก็ปล฽อยให฾เด็กทําต฽อไป บางครั้ง เข฾มงวด การควบคุมของผู฾ใหญ฽ไม฽คงเส฾น คงวา ข้ึนกับอารมณแของผู฾ใหญ฽ แต฽เม่ือเด็กเข฾าศูนยแพัฒนาเด็ก เด็กได฾รับการควบคมุ ดูแลตลอดกระบวนการมากกวา฽ ที่บา฾ น 2.3 การยอมรบั แบบไม฽แสดงออกเป็นการอบรมเลี้ยงดูแบบผู฾ใหญ฽ให฾การยอมรับเด็ก โดยไม฽ แสดงออก อย฽างชัดเจนทางพฤติกรรม เม่ือเด็กยังเล็ก ผู฾ใหญ฽จะแสดงความรักโดยการกอดจูบ แต฽เม่ือโต

81 ขนึ้ การสัมผสั ทางกาย จะลดลง การแสดงความรักและการยอมรับจะเปลี่ยนเป็นการแสดงออกทางวาจา และการกระทาํ เม่อื เด็กมีพฤติกรรม ในทางทีด่ เี ปน็ ทพ่ี อใจของผูใ฾ หญ฽ ผู฾ใหญ฽ไม฽ชมเชยแต฽จะเฉยและนิ่งซ่ึง เป็นการแสดงการยอมรบั เดก็ แต฽ถ฾าการกระทาํ ไมเ฽ ป็นท่พี อใจ ผู฾ใหญ฽จะตกั เตือน ดุ ว฽า ตี หรือสัง่ สอน 2.4 การเปน็ แบบอย฽าง เปน็ การอบรมเล้ียงดูแบบผู฾ใหญ฽ให฾เด็กเรียนรู฾จากเป็นแบบอย฽างของ ผู฾ใหญ฽ทั้ง พฤติกรรมทางบวกและทางลบ โดยพฤติกรรมทางบวก เช฽น การแสดงคารวะผู฾ใหญ฽และ พระสงฆแ การช฽วยเหลือกันใน หมูเ฽ พอื่ นบ฾าน สว฽ นพฤตกิ รรมทางลบ เช฽น การพูดไม฽จริงหลอกกัน และเห็น เป็นเรอ่ื งสนกุ 2.5 การให฾เด็กสัมพันธแกับสภาพแวดล฾อมและร฽วมสถานการณแแล฾วเกิดการเรียนรู฾ตาม ธรรมชาติเป็นการ อบรมเล้ียงดูแบบให฾เด็กได฾เรียนรู฾จากการสัมผัสและสัมพันธแกับสภาพแวดล฾อมที่เป็น บคุ คล สภาพแวดล฾อมทาง ธรรมชาติ สภาพแวดล฾อมทางจิตวญิ ญาณและสภาพแวดล฾อมทางวัตถุ เป็นต฾น การอบรมเลี้ยงดูแบบน้ี เด็กได฾สะสม ประสบการณแจากการทํากิจวัตรประจําวัน การสังเกต การเรียนร฾ู บทบาทของตนในครอบครัว การเรียนร฾ูจากการมี ส฽วนร฽วมในพิธีกรรมทางศาสนาและการทํามาหากิน การเรียนรู฾จากการเล฽นกับเพ่ือน และการเผชิญกับสถานการณแต฽าง ๆ จึงเห็นได฾ว฽าการเรียนรู฾ของเด็กไป ตามธรรมชาตไิ ม฽มแี บบแผน และขน้ึ กับความสมั พนั ธแท่ีใกล฾ชิดของผใ฾ู หญ฽ 2.6 การใชพ฾ ฤตกิ รรมทางวาจาอยา฽ งมาก และแสดงเหตุผลน฾อยในการอบรมเล้ียงดูเด็ก เป็น การอบรม เล้ียงดูแบบผใู฾ หญ฽ใชพ฾ ฤตกิ รรมทางวาจาโดยการบอก การตอบคําถาม การออกคําส่ัง การห฾าม การตกั เตือน การหลอก การข฽ูและดุด฽า วิธีการเสริมแรงที่พ฽อแม฽และครูผู฾ดูแลเด็กท่ีโรงเรียนใช฾พฤติกรรม ทางวาจามากเหมือนๆ กัน วิธีการพูด ของผ฾ูใหญ฽มีการชี้แจงเหตุผลน฾อย และส฽วนใหญ฽เด็กมีการ ตอบสนองด฾วยวิธีนง่ั เฉยหรอื หลกี ห฽าง 2.7 การใช฾อาํ นาจในการอบรมเลี้ยงดูเป็นการอบรมเลี้ยงดูท่ีผ฾ูใหญ฽จะใช฾อํานาจทั้งวาจาและ ท฽าทาง เม่ือ เด็กทําส่ิงท่ีผ฾ูใหญ฽ไม฽พอใจ ผู฾ใหญ฽จะดุด฽าหรือลงโทษเด็กด฾วยการตีหรืองดรางวัล การใช฾ อํานาจของผ฾ูใหญ฽ขึ้นอยู฽กับ อารมณแ เด็กเล็กจะได฾รับโทษน฾อยและรุนแรงน฾อยกว฽าเด็กโต ครูและผ฾ูดูแล เด็กในศูนยแพัฒนาเด็กก็ใช฾อํานาจเช฽น เดียวกัน เมื่อออกคําส่ังแล฾วก็คาดหวังว฽าเด็กจะปฏิบัติตาม ซึ่งส฽วน ใหญเ฽ ดก็ สามารถรับคําสัง่ และเชอื่ ฟงใ ดี 2.8 การไม฽คงเส฾นคงวา เป็นการอบรมเล้ียงดูเด็กท่ีผู฾ใหญ฽แสดงพฤติกรรมท้ังทางวาจาและ การกระทํา ไม฽คงเส฾นคงวาข้ึนอยู฽กับอารมณแผ฾ูใหญ฽ ถ฾าผู฾ใหญ฽อารมณแดีจะแสดงออกอย฽างหนึ่ง แต฽ถ฾า อารมณแไม฽ดีจะแสดงออกอีก แบบหนึ่ง การอบรมเล้ียงดูในลักษณะนี้ พ฽อแม฽อบรมส่ังสอนเด็กโดยใช฾ อารมณแค฽อนข฾างมาก ไมค฽ อ฽ ยสนใจสาเหตขุ อง พฤติกรรมท่ีเป็นปญใ หาเหล฽าน้ัน 2.9 การมีผู฾ดูแลเลี้ยงดูเด็กหลายคน ครอบครัวในชนบทยังมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย นอกจากการอบรมเลย้ี งดเู ดก็ แล฾ว ยงั มีญาติพ่ีน฾องที่อาศัยอยู฽ด฾วย เช฽น ปุู ย฽า ตา ยาย ปูา น฾า อา ที่มีส฽วน ดู ขณะเดยี วกนั ทม่ี ีบทบาทในการเลี้ยงดูนอ฾ ง บางคร้ังเพื่อนบา฾ นก็มีส฽วนร฽วมช฽วยเหลือเล้ียงดูเด็ก พ฽อแม฽ที่

82 มีบทบาทในการอบรมเล้ียงดูเด็กแล฾ว ยังมีญาติพ่ีน฾องท่ีอาศัยอยู฽ ในการอบรมเล้ียงดู ขณะเดียวกันท่ีมี บทบาทในการเล้ียงดูน฾อง\"ดว฾ ย 2.10 การสนองความตอ฾ งการของเด็กเปล่ยี นแปลงไปตามวัยของเด็ก เปน็ ลักษณะการอบรม เลีย้ งดูของพ฽อแม฽ท่ีจะแตกต฽างไปตามวัย และเพศของเด็ก เช฽น พ฽อแม฽จะกอดรัดสัมผัสใกล฾ชิดกับเด็กเล็ก แตเ฽ มื่อเด็ก พอ฽ แม฽ท่ีจะแตกต฽างไปตามวัย วุฒิภาวะ และเพศของเด็ก เช฽น พ฽อแม฽จะกอดรัดสัมผัสกับเด็ก น฾อยลง โดยเปลี่ยนเป็นการใช฾คําพูดและแสดงความสนใจแทน เม่ือเด็กโตข้ึนพ฽อ อายุมากขึ้นพ฽อแม฽จะ กอดรัดสัมผัสน฾อยลง โดยเปล่ียนเป็นการใช฾คําพูดและแสดงความมีเหตุผลร฽วมด฾วย หรือไม฽ใช฾เหตุผล สําหรับเด็กหญิงพ฽อแม฽จะสอนให฾ระมัดระวัง แม฽จะใช฾การลงโทษทางกายโดยอาจใช฾เหตุผลร฽วมด฾วย หรือไม฽ใชเ฾ หตุผล สําหรับเดก็ หญงิ พอ กริ ิยามารยาท ฝึกใหช฾ ฽วยเหลืองานบา฾ น ขณะที่เดก็ ชายจะปลูกฝใงให฾ เปน็ ผเู฾ ขม฾ แข็ง อดทน และ สรุปได฾ว฽ารูปแบบการอบรมเลี้ยงดูเด็กในวิถีไทยมีหลากหลายรูปแบบ ท้ังนี้รูปแบบที่แตกต฽างกัน เป็นไปตาม ความคิด อารมณแ ประสบการณแของพ฽อแม฽ ผ฾ูเลี้ยงดู โดยส฽วนใหญ฽ขาดความร฾ู ความเข฾าใจ เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก แต฽ละช฽วงวัยซึ่งมีความแตกต฽างจากแนวคิดรูปแบบการอบรมเล้ียงดูเด็กของ ต฽างประเทศ แต฽บางรปู แบบมคี วาม คลา฾ ยคลงึ กนั 5. แนวทางการอบรมเล้ยี งดเู ด็กปฐมวยั ตามวิถีชวี ิตไทย การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยตามวิถีชีวิตไทยในปใจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากอดีตค฽อนข฾างมาก ตาม สังคมเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีปใจจุบันที่มีความก฾าวหน฾าอย฽างรวดเร็ว ด฾วยการเปิดรับวัฒนธรรม ต฽างชาตทิ ี่เข฾ามาอยา฽ งรวดเรว็ โดยผ฽านส่ือต฽างๆ ตลอดจนขาดกลไกทางสังคมที่ทําหน฾าที่กล่ันกรองและให฾ ความรู฾กับพ฽อแม฽ในการนําข฾อมูลท่ีรับไปใช฾ในการอบรมเล้ียงดูเด็ก นอกจากนี้สภาพสังคมไทยในชนบท และสงั คมเมอื งมีความแตกตา฽ งกนั อนั ส฽งผลตอ฽ แนวทางการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยบางเร่อื ง สําหรับแนวทางการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยตามวิถีชีวิตไทย ท่ีจะกล฽าวต฽อไปนี้ เป็น 10 แนว ต฽อไปน้ี 1.เรียนรแู้ ละแสดงบทบาทพ่อแม่ การอบรมเล้ยี งดเู ดก็ ปฐมวัยของพอ฽ แม฽ ครอบครัว ตามวถิ ชี วี ติ ไทยสว฽ นใหญ฽ มีจุดประสงคหแ ลกั 3 ประการ ได฾แก฽ ต฾องการให฾เด็กมีสุขภาพดี มีกิริยามารยาทดี มีคุณธรรมท้ังทางกาย วาจา ในอดีตแม฽ทําหน฾าท่ีผ฾ู เล้ยี งดูหลกั ของ เด็กปฐมวยั ดังนั้น เดก็ สว฽ นใหญไ฽ ดก฾ ินนมและได฾รับการเลยี้ งดูอย฽างทะนถุ นอมและใกลช฾ ดิ ถา฾ เปน็ ครอบครัวขยายท่ี มีปูุ ยา฽ ตา ยาย อาศยั อย฽ูรวมกันกจ็ ะให฾ความช฽วยเหลอื อบรมเลี้ยงดูเด็ก เมื่อพ฽อ แม฽ไม฽อย฽ูบ฾าน หรือทํางานนอกบ฾าน แต฽ปใจจุบันบทบาทของแม฽ในการทําหน฾าที่ผ฾ูเลี้ยงดูหลักของเด็ก ปฐมวัยมีแนวโน฾มลดลงทั้งสังคมเมืองและสังคมชนบท ขณะท่ีปุูย฽าตายายทําหน฾าท่ีผ฾ูเล้ียงดูหลักของเด็ก ปฐมวยั เพม่ิ มากขน้ึ สาเหตุการท่ีแม฽ลดบทบาทการทําหน฾าท่ีผ฾ูเล้ียงดูหลักของเด็กปฐมวัย เพราะสภาวะเศรษฐกิจท่ี ตอ฾ งด้นิ รน ประกอบอาชีพเพ่ือความอย฽ูรอดของครอบครัว ส฽งผลให฾แม฽ต฾องช฽วยครอบครัวประกอบอาชีพ

83 หารายได฾เพ่ือการดํารง ชีวิต ทําให฾แนวทางในการอบรมเลี้ยงดูของพ฽อแม฽เปล่ียนแปลงไปท้ังสังคมเมือง และสังคมชนบท ดังนี้ สงั คมเมือง พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽ทํางานนอกบ฾าน อาจมีบางครอบครัวท่ีมีญาติช฽วยเหลือดูแลเด็กในช฽วงเวลากลางวัน ขณะท่ี ครอบครัวท่ีไม฽มีญาติช฽วยเหลือจะนําเด็กไปฝากสถานรับเล้ียงเด็กกลางวันดูแล และรับเด็กกลับ บา฾ นหลงั จากเลิกงาน เช฽นเดียวกัน สําหรับครอบครัวที่มีภูมิลําเนาอยู฽ต฽างจังหวัดจะส฽งเด็กกลับไปบ฾านให฾ ญาตเิ ล้ยี งดตู ง้ั แต฽วยั ทารก สังคมชนบท พ฽อแม฽ในชนบทท่ที าํ งานนอกบ฾านและสถานท่ไี มห฽ ฽างไกลบ฾านจะกลับมาดแู ลเดก็ หลังเสร็จจากการ ทําไร฽ทาํ นา หรอื ทาํ งานนอกบา฾ น แตก฽ รณที พ่ี ฽อแม฽อพยพย฾ายถ่ินไปทํางานในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ฽ จะ ฝากเด็กปฐมวัยให฾ญาติ ได฾แก฽ปูุย฽า ตายาย ญาติ เลี้ยงดูแทน โดยจะส฽งค฽าใช฾จ฽ายมาให฾และกลับมาเย่ียม เด็กเป็นชว฽ งเวลาส้นั ๆ สําหรับบทบาทของพ฽อในการอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยมีน฾อยโดยช฽วยเหลือแม฽ดูแลเด็กเวลาแม฽ไม฽ อย฽ูบา฾ น เชน฽ เลน฽ กบั เด็ก พาไปเทยี่ ว อาบน้ํา ปอู นข฾าว เปน็ ต฾น 2. สรา้ งเสรมิ ความสุข วิถีการดําเนินชีวิตแบบไทย พ฽อแม฽เลีย้ งดเู ดก็ ปฐมวัยด฾วยวถิ ชี วี ติ ธรรมชาติ โดยเฉพาะช฽วงแรกเกิด ถึงอายุ 2 ปี พ฽อแม฽เล้ียงดูใกล฾ชิดมีการสัมผัสทางกาย เช฽น การโอบอุ฾ม การจูบ ลูบหลัง ให฾นอนหนุนตัก เห฽กล฽อม อาบน้ํา แต฽งตัวให฾ ปูอนข฾าว และเวลานอนก็นอนกับพ฽อแม฽ เป็นต฾น นอกจากน้ียังมีการสัมผัส ทางวาจา ท฽าทาง เช฽น การ หยอกล฾อ เล฽านิทานหัวเราะร฾องเพลงให฾ฟใง และตักเตือน เป็นต฾น เม่ือเด็กโต ขึ้น พ฽อแม฽จะสอนใหเ฾ ด็กชว฽ ยเหลือตนเอง และดแู ลเอาใจใสใ฽ กลช฾ ดิ ลดลง แตเ฽ ด็กยงั อยใ฽ู นสายตาของผ฾ใู หญ฽ คอยระวังไม฽ให฾เกิดอันตราย และความใกล฾ชิดทําให฾ เด็กรู฾สึกปลอดภัยได฾เรียนรู฾ทางสังคม มีการปรับตัว ได฾เรียนร฾ูจากพฤติกรรมและความสัมพันธแกับผู฾ใหญ฽ ได฾รับรู฾ถึง ความร฾ูสึกรักและห฽วงใย ความผูกพัน ระหว฽างเด็กกับพ฽อแม฽มีความลึกซึ้ง เด็กจึงมีความกตัญโูต฽อพ฽อแม฽ ทดแทน พระคุณพ฽อแม฽โดยการดูแล เมอื่ พอ฽ แมอ฽ ายุมากข้ึน ซึ่งแนวทางการอบรมเล้ียงดูเดก็ แบบเสริมสร฾างความสุขของสังคม เมืองและสังคม ชนบทตา฽ งกัน ดังน้ี สงั คมเมอื ง แนวทางการอบรมเด็กปฐมวัยในการสร฾างเสริมความสุขในสังคมเมืองมี 2 ลักษณะ ได฾แก฽ แบบ คาดหวังกบั เดก็ สูง หรือแบบทะนุถนอมมากเกินไป ครอบครัวแบบคาดหวังกับเด็กสูง ทั้งด฾านการเรียนร฾ู ความประพฤติ และการประกอบอาชีพใน อนาคต พ฽อแม฽จะอบรมเด็กแบบพ฽อแม฽เป็นศูนยแกลาง เคียวเข็ญให฾เด็กทําตามคําส่ัง กําหนดวิถีการ ดํารงชีวิตต้ังแต฽เกิด ชอบ ห฾ามเด็ก หรือใช฾คําว฽า “อย฽า” ห฾ามเด็กทําส่ิงต฽างๆ ดุด฽า หรือลงโทษ เมื่อเด็ก

84 คัดค฾าน ไม฽ทําตามใจพ฽อแม฽ เม่ือเด็กทําดี หรือทําตามใจท่ีพ฽อแม฽ต฾องการ พ฽อแม฽จะไม฽แสดงออกทั้งการ ชมเชยหรอื ใหร฾ างวลั ส฽วนใหญ฽จะน่ิงเฉย ส฽วนครอบครัวเล้ียงดูแบบถนอมมากเกินไป ส฽วนใหญ฽จะพบในครอบครัวท่ีมีบุตรน฾อย 1 หรือ 2 คน พ฽อแม฽ จะปกปูองเด็กมากเกินไป ไม฽ให฾เด็กได฾รับความลําบากหรืออันตรายจนเด็กไม฽ร฾ูจักการช฽าง ปใก เหาด฾วยตนเอง คอยช฽วยเหลือทุกอย฽างไม฽ให฾โอกาสเด็กทําสิ่งต฽าง ๆ ด฾วยตนเอง คอยชี้แนะไม฽ให฾เด็กเล฽น กับเพื่อนๆเพราะกลัวถูกรังแกหรือเป็นอันตรายแม฾แต฽การกินอาหารจะไม฽ปล฽อยให฾เด็กกินอาหารเอง เพราะเกรงสกปรกเลอะเทอะ หรือกินไม฽อิ่ม จึงต฾องเดินตามปูอนอาหาร ผลที่เกิดกับเด็ก ได฾แก฽ เด็กจะ เตบิ โตเป็นเด็กทีต่ ฾องพงึ่ พาผู฾อนื่ โดยเฉพาะพ฽อแม฽ เอาแต฽ใจตนเอง หรอื เปน็ เดก็ ว฽านอนสอนง฽าย ขาดความ เป็นตวั ของตวั เอง และขาดความเช่อื ม่นั ในตนเอง สังคมชนบท สภาพสังคมชนบทมีความแตกต฽างจากสังคมเมือง เพราะวิถีชีวิตไม฽ต฾องแข฽งขัน ชีวิตเป็นไปแบบ ธรรมชาติ การเล้ียงดูแลเด็กใช฾ภูมิปใญญาท฾องถ่ินในการเลี้ยงดู ท้ังเรื่องการกิน การนอน การเปล่ียนท฽า การขับถ฽าย และการทําความสะอาดร฽างกาย ในการเลี้ยงดูอย฽างใกล฾ชิดช฽วงเด็กแรกเกิด ถึงอาย 2 ปี ขึ้น ไปการดูใกล฾ชิดลดลง การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยของพ฽อแม฽มีลักษณะเป็นผ฽อนปรน ไม฽เข฾มข฾นกับเด็กใน เรื่องต฽างๆ เป็นไปแบบปล฽อยปละละเลยมีความสนใจเก่ียวกับความเป็นอย฽ูของเล็กลดลง ปล฽อยให฾เด็ก เล฽นหรือกระทําตามใจตนเอง จึงทําให฾บางครั้งเกิดเหตุอุบัติเหตุได฾ง฽าย นอกจากน้ีพ฽อแม฽เล้ียงลูกตาม อารมณแไม฽คงเส฾นคงวา ดุว฽าเด็กตามอารมณแ ชอบพูดข฽ูเด็กให฾กลัวและกระทํารุนแรงกับเด็กเม่ือเด็กไม฽ทํา ตามคาํ สั่งหรือส่ิงท่ีพ฽อแม฽ไม฽พอใจ ผลท่ีเกิดกับเด็กจากการเลี้ยงดูลักษณะน้ีทําให฾เด็กเป็นคนไม฽มีระเบียบ วินัย ไม฽เคารพกฎเกณฑแ และชอบการกระทาํ ส่ิงตา฽ ง ๆ ตา฽ งตามใจตนเอง 3.ปลกู ฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรม พอ฽ แมใ฽ นสังคมไทยมแี นวโนม฾ สอนและปลูกฝใงใหเ฾ ดก็ เปน็ คนดี ไม฽ดื้อ ไม฽เกเร เคารพผู฾ใหญ฽ ซ่ึงเป็น ขนบธรรมเนียมประเพณีท่ีถ฽ายทอดกันมาตั้งแต฽ในอดีต จึงเป็นส฽วนหน่ึงท่ีส฽งผลให฾เด็กไทยไม฽กล฾า แสดงออก การปลูกฝใงคุณธรรม จริยธรรมในสังคมเมืองและชนบทให฾แก฽เด็กปฐมวัยมีความแตกต฽างกัน บางส่งิ ขณะทบี่ างสิง่ บางอย฽างคลา฾ ยคลงึ กนั ซ่งึ จะกลา฽ วพอสงั เขป ดงั นี้ สงั คมเมือง เน่ืองด฾วยสังคมเมืองจะมีครอบครัว 2 ลักษณะ ได฾แก฽ ครอบครัวท่ีมีการศึกษาน฾อยหรือมีรายได฾ น฾อย และครอบครัวทมี่ กี ารศกึ ษาสงู ฐานะเศรษฐกิจดี หรือปานกลาง ซ่งึ ลักษณะของครอบครวั ดงั กล฽าวมี ความเมตตาแตกตา฽ งกนั ในการดแู ลเลยี้ งลกู ครอบครัวที่มีการศึกษาน฾อยหรือมีรายได฾น฾อย จะมีความเช่ือในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัตถุมงคล เครอ่ื งรางของขลงั และสงิ่ ท่มี องไมเ฽ หน็ การเลี้ยงดเู ด็กบางอย฽างคล฾ายสังคมชนบท เช฽น การไหว฾พระก฽อน นอน สวดมนตแในวันพระแตก฽ ารทํากิจกรรมในวันประเพณตี ฽าง ๆมีน฾อย ขณะที่การเป็นแบบอย฽างของการ แสดงทางคุณธรรม จริยธรรมมีน฾อย เช฽น การเมตตา การเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ฽ต฽อคนอื่นๆสัตวแอ฽อนแอกว฽า

85 ความซอ่ื สตั ยแ และการมีจิตสาธารณะเห็นประโยชนแส฽วนรวมมากกว฽าประโยชนแส฽วนตน ซึ่งสาเหตุสนใหญ฽ เนอื่ งจากตา฽ งคนตา฽ งม฽งุ ประกอบอาชีพ และหารายไดจ฾ งึ ไมส฽ นใจซึง่ กันและกัน ส฽วนครอบครัวท่ีมีการศึกษาสูงฐานะเศรษฐกิจดี หรือปานกลางในสังคมเมือง พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽ให฾ ความสําคัญกับศาสนาน฾อย เม่ือเปรียบเทียบกับสังคมชนบท การอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยจะมุ฽งเน฾นการ สอนเด็กในเร่ืองระเบียบวินัย กริยามารยาทสุภาพ ไม฽พูดคําหยาบคาย เคารพผู฾ใหญ฽ เชื่อม่ันในตนเอง กลา฾ แสดงออก และความสอ่ื สตั ยแ แต฽บางครง้ั พอ฽ แม฽ในสงั คมไทยมีพฤติกรรมการแสดงไม฽สอดคล฾องกับกา ราสอนเดก็ สังคมชนบท ครอบครวั ชนบทจะใหค฾ วามสาํ คญั ตอ฽ กจิ กรรมทางศาสนามากกว฽าสงั คมเมือง พ฽อแม฽พาเด็กเข฾าวัด ทําบญุ ร฽วมพิธกี รรมทางศาสนาในสําคญั ทางศาสนา ทําให฾เดก็ ได฾เรียนรู฾และมีส฽วนร฽วมในกิจกรรมเหล฽านั้น บ฽อยครั้ง นอกจากน้ีพ฽อแม฽ในชนบทจะสอนเรื่องมารยาทสุภาพเรียบร฾อย ไหว฾ผ฾ูใหญ฽ กล฽าวขอบคุณเม่ือ ไดร฾ ับของ กลา฽ วขอโทษและไม฽พูดโกหก เช่ือฟงใ ผใู฾ หญ฽ ชว฽ ยผู฾ใหญ฽ทํางาน ไม฽รังแกสัตวแ ไม฽พูดคําหยาบคาย หากเด็กมีพฤติกรรมไม฽เรียบร฾อย พ฽อแม฽จะห฾ามไม฽ให฾กระทํา ถ฾าเด็กกระทําจะถูกดุว฽า ตี ขณะเดียวกัน ผใู฾ หญก฽ ็มพี ฤตกิ รรมบางอยา฽ งทีไ่ ม฽เหมาะสมกระทาํ ใหเ฾ ดก็ เห็น เช฽น ด่มื สรุ า เล฽นการพนนั ซ้ือหวย ทะเลาะ ววิ าท และใชค฾ วามรุนแรง เป็นต฾น ซึ้งไม฽สอดคล฾องกบั การสงั่ สอนเดก็ เช฽นกัน 4.พฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ การอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยให฾มีการพัฒนาความคิดสร฾างสรรคแ เป็นสิ่งสําคัญท่ีจะส฽งผลต฽อการ พัฒนาการด฾านสติปใญญา การอบรมเลี้ยงดู฾เด็กปฐมวัยของพ฽อแม฽สังคมไทยมีแนวทางสอนเด็กปฐมวัยไม฽ ดอ้ื ไมซ฽ น เชื่อฟใงผใ฾ู หญ฽ จงึ เปน็ ส฽วนหนงึ่ ทําใหเ฾ ด็กไทยขาดความคิดสร฾างสรรคแ ซึ่งแนวทางการอบรมเลี้ยงดู เดก็ แบพัฒนาความคดิ ของสังคมเมอื งและสงั คมชนบทมีความแตกตา฽ งกันดังนี้ สงั คมเมือง เนื่องด฾วยสังคมเมืองมีโอกาสเข฾าถึงแหล฽งจําหน฽ายผลิตภัณฑแของเล฽น ส่ือส฽งเสริมพัฒนาการเด็ก มากกว฽าสังคมในชนบทพ฽อแม฽จึงมีโอกาสเลือกซื้อของเล฽นส่ือส฽งเสริมพัฒนาการสํา เร็จรูปท้ังที่ผลิต ภายในประเทศและตา฽ งประเทศไดง฾ า฽ ย แต฽ส฽วนใหญ฽พ฽อแม฽จะขาดความเข฾าใจความสําคัญของการเล฽นกับ เด็ก และไม฽มเี วลาเล฽นกับเด็ก ปลอ฽ ยใหเ฾ ดก็ เลน฽ ตามลําพงั คนเดียว หรือเล฽นกบั เพอ่ื นๆ สําหรับการเล฽านิทานและอ฽านหนังสือให฾เด็กฟใงในสังคมเมืองแม฾ว฽าพ฽อแม฽เข฾าถึงแหล฽งจํา หน฽าย หนังสือได฾ง฽าย แต฽ความรู฾ความเข฾าใจประโยชนแยังมีแต฽ในกลุ฽มพ฽อแม฽ที่มีความร฾ูและสนใจการส฽งเสริม พัฒนาการเด็กด฾วยหนังสือ หรือ มีรายได฾พอเพียงท่ีจะซื้อหนังสือให฾เด็ก การเลือกซ้ือหนังสือจะข้ึนกับ ความสนใจของพ฽อแมโ฽ ดยเด็กมสี ว฽ นรว฽ มในการ เลอื กหนงั สอื นอ฾ ย นอกจากน้ีพ฽อแม฽ในสังคมเมืองส฽วนใหญ฽ปล฽อยให฾เด็กดูโทรทัศนแต้ังแต฽เล็ก บางครอบครัวติดต้ัง โทรทัศนแไว฾ ในห฾องนอน และเปิดทิ้งไว฾ให฾เด็กดูขณะท่ีพ฽อแม฽ทํางาน เพ่ือทําให฾เด็กสนใจโทรทัศนแและไม฽ รบกวนพ฽อแม฽ เด็กไทยจึง ติดการดูโทรทัศนแรายการที่พ฽อแม฽เลือกให฾เด็กดูส฽วนใหญ฽เป็นประเภทการแตูน

86 ปใจจบุ ันมีพ฽อแม฽จาํ นวนมากให฾เด็กดู ละครโทรทัศนแพรอ฾ มพ฽อแมโ฽ ดยไมม฽ ีการคัดกรองประเภทของละครว฽า เหมาะสมกับเด็กหรือไม฽ และไม฽มีการแนะนําเด็ก ดังนั้นจึงพบว฽าเด็กมักเลียนแบบการแสดงพฤติกรรม และคาํ พูดหยาบคาย รนุ แรง ก฾าวรา฾ ว เหมือนนักแสดงในละคร สังคมชนบท พ฽อแม฽ไม฽ค฽อยสนองตอบต฽อความสนใจของเด็กในสิ่งใดสิ่งหน่ึง ส฽วนใหญ฽จะมองไปทางลบ เช฽น ตอบสนอง แบบไม฽ค฽อยเต็มใจ เฉยๆ ห฾ามทําส่ิงนั้นๆ ไล฽ให฾ไปทําส่ิงอ่ืน ห฾ามเด็กทํา แต฽ถ฾าเป็นเร่ืองสอน อ฽านเขียน นบั เลข พอ฽ แม฽ จะส฽งเสรมิ สนบั สนุนใหเ฾ ดก็ กระทาํ การเลา฽ นิทาน และอา฽ นหนงั สือกบั เดก็ ปฐมวัยมีน฾อยมาก หนังสือนิทาน หนังสือภาพสําหรับเด็กมี นอ฾ ย ส฽วน ใหญ฽จะมีหนังสอื สอนก.ไก฽ ข.ไข฽ ฝึกให฾เด็กเขียน พอ฽ แมย฽ งั ขาดความเข฾าใจความสําคญั และวธิ ีใช฾ นิทานและหนังสือใน การพัฒนาความคิดสร฾างสรรคแของเด็ก โดยพ฽อแม฽จะเล฽านิทาน อ฽านหนังสือให฾เด็ก เมือ่ เดก็ พูดไดเ฾ ทา฽ นั้น เพราะคดิ วา฽ เด็กยังไม฽เขา฾ ใจภาษา พ฽อแม฽ในชนบทจะเน฾นการฝึกให฾เด็กช฽วยเหลือตนเอง หรือสอนเด็กช฽วยผู฾ใหญ฽ทํางาน ตั้งแต฽เด็ก อายุ 3 ปี ข้ึนไป เช฽น อาบนาํ้ แปรงฟนใ ล฾างจาน เกบ็ ของ เป็นต฾น 5. ฝกึ ภาษาใหถ้ กู ต้อง เด็กแรกเกิด ถึงอายุ 1 ปี พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽จะยังไม฽อบรมเด็ก เพราะเข฾าใจว฽าเด็กยังไม฽พร฾อม ไม฽รู฾ ภาษา ฟใง ใจ และจะสอนเมื่อเด็กอายุ 1 ปีข้ึนไป เพราะเด็กเริ่มพูดได฾เป็นคํา ๆ ซึ่งแนวทางการอบรม เล้ียงดเู ด็กแบบฝึกภาษา ใหถ฾ กู ต฾องนัน้ สังคมเมืองและสังคมชนบทมคี วามแตกต฽างกัน ดงั นี้ สงั คมเมือง พ฽อแม฽ในสังคมเมืองฝึกสอนให฾เด็กพูดคล฾ายสังคมในชนบท แต฽บางครอบครัวพ฽อแม฽ไม฽สอนให฾พูด ภาษาท฾องถิ่น แต฽สอนให฾พูดภาษากลาง เพื่อให฾เด็กคุ฾นเคยและพูดภาษกลางได฾ชัดเจนเมื่อเด็กเข฾า โรงเรียนปใจจุบันพ฽อแม฽ในสังคมเมืองใหญ฽ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร มีการศึกษาสูงหรือมีรายได฾สูงมด เด็กพูดภาษาไทยควบค฽ูภาษาอังกฤษต้ังแต฽เด็กเร่ิมหัดพูดมากขึ้น โดยมุ฽งหวังให฾เด็กเก฽งด฾านภาษา มี สําเนียงการพูด เหมือนชาวต฽างประเทศ พร฾อมท้ังสนับสนุนให฾เด็กเข฾าเรียนในโรงเรียนอนุบาล ที่สอน 2 ภาษา คือ ภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ หรือโรงเรยี นนานาชาติ สังคมชนบท ในชนบทเด็กปฐมวัยเรียนรู฾การใช฾ภาษาท฾องถิ่นจากพ฽อแม฽และครอบครัว โดยพ฽อแม฽พูดภาษา ท฾องถิ่นระหว฽างบุคคลในครอบครัวและพูดภาษาท฾องถิ่นกับเด็ก โดยเด็กจะเร่ิมเรียนรู฾การพูดภาษาภาค กลางเมือเด็กเข฾าศนู ยแพัฒนาเดก็ สําหรับเดก็ เลก็ แม฽จะพูดคุยกับเด็กขณะให฾นมลูก อาบน้ํา ทํากิจวัตรประจําวันให฾กับเด็ก เน้ือหา ทีพ่ ดู เชน฽ เรียกชอ่ื พดู เรอื่ งท่วั ไปในชีวติ ประจาํ วัน และหยอกล฾อกบั เด็ก เมื่อเด็กเร่ิมหัดพูดจะสอนให฾เด็ก พูดคาํ ส้ันๆง฽าย ๆ เชน฽ คําว฽า พ฽อ แม฽ ตา ยาย พ่ีช่ือสัตวแเล้ียงในบ฾าน โดยเชื่อว฽าพูดบ฽อยๆ เร่ือย ๆ เด็กจะ

87 พดู ได฾เรว็ ข้ึน รวมทง้ั สอนการพดู จา ท่ีสุภาพไมพ฽ ูดหยาบคายถ฾าเดก็ พูดไม฽ชัด พ฽อแม฽และครอบครวั บางคร้ัง พูดล฾อเล฽นเดก็ ด฾วยการเลยี นคาํ พูดท่ีไม฽ชัดตาม 6. สง่ เสริมการเล่น ออกกาลังกาย และการพกั ผอ่ น การเลน฽ การออกกําลังกาย และการพักผ฽อน มีสว฽ นสาํ คญั ที่มีผลตอ฽ พัฒนาการของเด็ก สังคมไทย จะเนน฾ ให฾ เด็กปฐมวยั ไดม฾ โี อกาสออกกําลงั กายดว฾ ยการว่งิ เล฽น และนอนหลับพักผ฽อนในช฽วงเวลากลางวัน การส฽งเสริมการเล฽น ของเด็กปฐมวัยมีความแตกต฽างกันบ฾างระหว฽างสังคมชนบทและสังคมเมือง ซึ่ง แนวทางการอบรมเล้ียงดูแบบส฽งเสริม การเล฽นออกกําลังกายและการพักผ฽อนของสังคมเมืองและสังคม ชนบทมีความแตกต฽างกนั ดงั นี้ สังคมเมือง พ฽อแม฽ในสงั คมเมอื งมีคา฽ นยิ มซือ้ ของเลน฽ สาํ เร็จรปู ให฾เดก็ ปฐมวัยเลน฽ โดยเลอื กตามความสนใจของ เด็ก ตัวอย฽างของเล฽นได฾แก฽ ตุ฿กตาโมบายมีเสียงตัวต฽อ ชุดจําลองบทบาทสมมติรถเด็กเล฽นรถลากจูงสมุด วาดภาพระบาย สี เป็นต฾น การละเล฽นของเด็กในสังคมเมืองเป็นกิจกรรมการเล฽นที่มีลักษณะการออก กําลังกายน฾อยกว฽าเด็กในสังคม ชนบท เด็กในสังคมเมืองจะเล฽นตามลําพังหรือเล฽นกับพี่น฾องภายในบ฾าน เพราะพอ฽ แมไ฽ ม฽ปลอ฽ ยใหเ฾ ดก็ ไปเลน฽ นอกบ฾าน เกรงว฽าเดก็ จะไม฽ปลอดภยั สังคมชนบท เด็กมีโอกาสเรียนรู฾อย฽างมากจากส่ิงต฽างๆ ในธรรมชาติ ดังน้ัน การเล฽นของเด็กส฽วนใหญ฽ยังเป็น การเล฽นโดย อาศัยของเล฽นทีท่ ําจากวสั ดุธรรมชาติหรือเศษวัสดุเหลือใช฾หรือหาได฾ในท฾องถ่ิน ส฽วนของเล฽น บางอย฽างที่เป็นของเล฽น สําเร็จรูปประเภทพลาสติกพ฽อแม฽จะซื้อจากตลาดนัดมาให฾เด็กเล฽นบ฾างอย฽างไรก็ ตามพ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽ไม฽เข฾าใจประโยชนแ ของของเล฽นแต฽ละชนิดท่ีมีต฽อพัฒนาการเด็กปฐมวัยตัวอย฽างของ เลน฽ เด็กทีน่ ิยมเล฽นในชนบทได฾แก฽โมบายปลาตะเพยี น ลกู บอลจกั รยานม฾าก฾านกล฾วยรถเด็กเล฽นตัวต฽อ ของ เล฽นลากจูงต฿ุกตา เป็นต฾น ส฽วนการละเล฽นของเด็กในสังคมชนบท เป็นแบบง฽าย ๆ เด็กชอบเล฽นเป็นกลุ฽ม เด็ก ๆ ในละแวกบ฾านใกล฾เคียงกัน การเล฽นมีท้ังการสํารวจสิ่งแวดล฾อมรอบตัว ต฾นไม฾ สัตวแ การเล฽น บทบาทสมมติ และการทดลองผดิ ลองถกู เป็นต฾น สําหรับการพักผ฽อนของเด็กปฐมวัย พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽จะไม฽ให฾เด็กนอนกลางวันมาก เพราะเชื่อว฽า กลางคนื เด็ก จะไมย฽ อมนอน รวมทง้ั ไม฽ให฾นอนกอ฽ นตะวันตกดิน เพราะเป็นช฽วงผีจร จะทําให฾เด็กงอแง ไม฽ สบาย นอกจากนี้มีความ เชือ่ วา฽ การตบศรี ษะเด็กจะทาํ ใหเ฾ ดก็ นอนปสใ สาวะรดที่นอน 7.สร้างสิ่งแวดล้อมทีด่ ใี หก้ ับเด็ก ในอดตี ครอบครวั ไทยมีลกั ษณะครอบครวั ขยายมปี ยูุ า฽ ตายายญาตชิ ฽วยเหลือดแู ลกนั และกันภายใน ครอบครัว เมื่อมีเด็กเล็กสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะช฽วยกันดูแลเด็ก ให฾ความรักความอบอ฽ุนแก฽เด็ก ตลอดจนอบรมสัง่ สอนเด็ก ภายใต฾บรรยากาศทีเ่ อ้ืออาทรกันและกัน เด็กมีเพื่อนเล฽นทั้งท่ีเป็นวัยเด็ก และ วัยผู฾ใหญ฽ เด็กจะมีของเล฽นที่พ฽อแม฽ และ ญาติภายในครอบครัวทําให฾เล฽น แต฽ในปใจจุบันครอบครัวเป็น ครอบครัวเด่ียวมากขึ้น พ฽อแม฽มุ฽งประกอบอาชีพมากขึ้น บรรยากาศความเอ้ืออาทรลดลง ต฽างคนต฽างอย฽ู

88 มากขึ้น สภาพแวดล฾อมของครอบครัวในสังคมไทยท้ังสังคมเมืองและ ชนบทมีความแตกต฽างกันไป ซึ่ง แนวทางการอบรมเล้ียงดูแบบสร฾างส่ิงแวดล฾อมท่ีดีให฾กับเด็กของสังคมเมืองและสังคม ชนบทมีควา ม แตกตา฽ งกนั ดังน้ี สงั คมเมือง สภาพสังคมเมืองส฽วนใหญ฽เป็นครอบครัวเด่ียวมากกว฽าครอบครัวขยาย และพ฽อแม฽ทํางานนอก บา฾ น ในช฽วง \"เด็กแรกเกดิ จนถึงอายุ 3 เดือน แม฽ดูแลเด็กจนครบกําหนดการลาคลอด หลังจากน้ันจะนํา เด็กไปฝากสถานรับเลี้ยง เด็กกลางวันและรับกลับบ฾านหลังเลิกงาน เมื่อเด็กอายุครบตามเกณฑแเข฾ารับ บริการจะส฽งเด็กเข฾าโรงเรียนอนุบาล ส่ิงแวดล฾อมส฽วนใหญ฽ของเด็กช฽วงกลางวันจึงเป็นสถานท่ีอ่ืนที่ไม฽ใช฽ บ฾านของตนเอง ผูเ฾ ล้ยี งดเู ด็กจึงไม฽ใช฽พ฽อแม฽ และ เน่ืองจากจํานวนเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กมีหลายคนการ ดแู ลเอาใจใส฽ใกลช฾ ิดจงึ น฾อยเม่ือเปรียบเทียบกับการดูแลเอาใจ ใส฽จากพ฽อแม฽ เด็กจึงได฾รับการดูแลใกล฾ชิด โดยพอ฽ แม฽ในช฽วงเวลากลางคนื เทา฽ น้นั หรือวนั หยดุ ของพอ฽ แม฽ สําหรับการใช฾เพลงกล฽อมเด็กจะมีน฾อย โดยพ฽อแม฽จะเปิดเพลงจากวิทยุ หรือเครื่องเล฽นซีดี หรือ โทรทัศนแให฾ เด็กฟใงแทนเสียงของพ฽อแม฽ เด็กในสังคมเมืองจึงคุ฾นเคยกับการดูโทรทัศนแ และเครื่องเล฽นซีดี ต้งั แตแ฽ รกเกดิ นอกจากน้ีสภาพความเป็นอย฽ูของครอบครัวในสังคมเมืองจะมีลักษณะต฽างคนต฽างอย฽ู แม฾บ฾านอย฽ู ติดกนั แต฽ จะไมม฽ ปี ฏิสัมพันธแกัน เด็กเล็กจะอย฽ูเฉพาะในบริเวณบ฾าน พ฽อแม฽จะห฾ามไม฽ให฾เด็กเล฽นนอกบ฾าน เพราะกลวั วา฽ จะไม฽ปลอดภยั ส฽วนใหญพ฽ อ฽ แม฽จะพาเด็กไปสรรพสินค฾าในวันหยุดงาน หรือเยี่ยมญาติ สงั คมชนบท แม฾ว฽าสังคมชนบทมีลักษณะครอบครัวขยายมากกว฽าครอบครัวเดียว แต฽ส฽วนใหญ฽พ฽อแม฽ทํางาน นอกบ฾านหรือ ทํางานต฽างถิ่น และให฾เด็กอย฽ูในความดูแลของปูุย฽า ตายาย หรือญาติ ทั้ง ๆ ท่ีเด็กปฐมวัย เป็นวัยท่ีต฾องการพ฽อแม฽ เอาใจใส฽ดูแลใกล฾ชิด แต฽เมื่อมีปูุย฽า ตายาย ผู฾สูงอายุเหล฽าน้ีจะดูแลแทนพ฽อแม฽ ในช฽วงเด็กแรกเกิด-อายุ 2 ปี เด็กจะได฾ รับการดูแลใกล฾ชิดและได฾รับการเล้ียงดูแบบตามใจจากปุูย฽า ตา ยายเป็นส฽วนใหญ฽ เม่ือเด็กอายุ 2 ถึง 3 ปี ข้ึนไป ปูุย฽า ตายายส฽วนใหญ฽เป็นผ฾ูสูงอายุ จะปล฽อยให฾เด็กเล฽น ตามลําพงั หรือปลอ฽ ยให฾ ดโู ทรทศั นแ และเมอ่ื อายุครบเกณฑแท่ีศูนยแ งานนาเด็กเล็กรับเข฾าบริการ จะนําไป ฝากศนู ยพแ ัฒนาเด็กเล็กใกลบ฾ า฾ นดแู ลในเวลากลางวนั และรับกลบั ในเวลาเยน็ การใช฾เพลงกล฽อมเด็กในชนบทมีการใช฾เพลงกล฽อมเด็กบ฾างแต฽น฾อยลง เพราะไม฽มีเวลาดูแล ส฽วน ใหญ฽จะเปิดเพลงจากวิทยุหรือโทรทัศนแให฾เด็กฟใง ย฽า ยาย ท่ีเล้ียงดูเด็กเป็นผ฾ูใช฾เพลงกล฽อมเด็กพื้นบ฾าน มากกว฽าแม฽ สภาพสังคมในชนบทยังมีความเอ้ืออาทรกันและกัน แต฽ละครอบครัวจะร฾ูจักกันดี เด็กจึงมีเพ่ือน เล฽นทั้งวยั เดียวกันและตา฽ งวัย 8. ใหแ้ รงเสริมและการลงโทษ

89 การใหแ฾ รงเสริมและการลงโทษในวถิ ีชวี ติ ของสงั คมไทย ท้ังสังคมเมืองและสังคมชนบทคล฾ายคลึง กันมาก ไม฽ ค฽อยแตกต฽างกัน เด็กอายุตํ่ากว฽า 1 ปี ส฽วนใหญ฽แม฽จะดูแลใกล฾ชิด แสดงการกอด ตอบสนอง เดก็ เมอื่ เด็กรอ฾ งไหง฾ อแง แสดงความรกั ต฽อเด็ก สอนเด็กให฾พูด นง่ั เดิน ชว฽ ยเหลอื ตนเอง ถ฾าเด็กทําสิ่งท่ีพ฽อ แม฽พอใจ จะชมว฽า เก฽ง ย้ิมปรบมือ หรือกอด หอมแก฾ม ถ฾าหากเด็กทําส่ิงที่พ฽อแม฽ไม฽พอใจจะลงโทษด฾วย การแสดงสีหนา฾ ไม฽พอใจพร฾อมใช฾เสยี งดดุ ัน สําหรับเด็กอายุ 1 ปี ข้ึนไป เด็กจะแสดงความเป็นอิสระมากข้ึน ซุกซน ด้ือ ชอบถาม พ฽อแม฽จะ ตอบสนองต฽อคาํ ถามของเดก็ ได฾หรอื กําลังทํางาน การแสดง ออกปฐมวัยพ฽อแม฽ยังโอบกอดอุ฾มบ฾าง แต฽เมื่อ เด็กอายุ 3 ปี ขึ้นไป การโอบกอด สัมผสั ทางกายเด็กจะลดลงการแสดงออกของพ฽อแม฽ เมื่อเดก็ ทําส่ิงท่ีพ฽อ แม฽พอใจ คือ การพูดชมเชย ให฾รางวัล ปรบมือ แต฽ถ฾าเด็กทําส่ิงท่ีพ฽อแม฽ไม฽พอใจพ฽อแม฽จะลงโทษเด็กด฾วย กาดวุ ฽าเสียงดงั ตักเตอื น ส่งั สอน หรือ ตีท่ีตวั สว฽ นใหญ฽ท่มี อื หรอื กน฾ 9. เอาใจใส่ ดูแลสขุ ภาพ การเล้ียงดูช฽วงวัยทารกทั้งสังคมเมืองและสังคมชนบทคล฾ายคลึงกันโดยแม฽มีบทบาทสํา คัญ มากกว฽าพ฽อหรือบุคคลอ่ืนในครอบครัว เด็กได฾กินนมแม฽ เพราะแม฽เชื่อว฽านมแม฽มีประโยชนแกับเด็ก ทําให฾ เดก็ แข็งแรง และได฾รับการเล้ียงดูใกล฾ชิด อย฽างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติการเอาใจใส฽ในเร่ืองสุขภาพของลูก อาจมคี วามแตกตา฽ งกันบ฾างระหวา฽ ง ครอบครวั ในสงั คมเมอื งและสงั คมชนบท แม฾เจ฾าหน฾าที่สาธารณสุขจะให฾ความรู฾แก฽แม฽ให฾ลูกกินนมแม฽อย฽างเดียวใน 6 เดือนแรก และไม฽ให฾ กินอาหารอื่น จนกว฽าเด็กอายุ 6 เดือนขน้ึ ไป แต฽พบว฽า ในชนบทแม฽ยังคงมีความเช่ือการให฾เด็กกินข฾าวบด กับกล฾วยน้ําว฾า เม่ือเด็กอายุ 2-3 เดือน โดยผสมข฾าวสุกผสมเกลือเล็กน฾อย บดกับกล฾วยนํ้าว฾าสุกงอมที่ เลือกเฉพาะเน้ือกล฾วยไม฽ใช฾ไส฾กล฾วย พ฽อแม฽ ในชนบทบางแห฽งจะให฾ข฾าวเด็กกิน ข฾าวยํา คือ การเคี้ยวข฾าว ใหล฾ ะเอียด หรืออาจมกี ล฾วยดว฾ ย แล฾วคายออกมาปูอน เด็ก การให฾เด็กกินกล฾วยหรือข฾าวก฽อนวัยที่สมควร จะมีความเช่อื วา฽ ทาํ ให฾เดก็ อิ่มทอ฾ งมากกว฽ากนิ นมแม฽อย฽างเดยี ว เมือ่ เดก็ อิ่มทอ฾ งจะไมร฽ อ฾ งกวนโยเย ไม฽ยอม นอน ความร฾ูเก่ียวกับอาหารเด็กส฽วนใหญ฽ได฾รับคําแนะนําจากย฽า ยายญาติหรือ เพื่อนบ฾านที่มี ประสบการณแการเล้ียงเด็ก พ฽อแม฽จะฝึกให฾เด็กกินอาหารด฾วยตนเอง โดยให฾กินอาหารเป็นเวลา เม่ือเด็ก อายุ 1 ปี ขน้ึ ไป เพราะเด็กพดู รเู฾ รอ่ื ง แต฽การกินอาหารยังไมเ฽ ปน็ ระเบียบเรียบร฾อย พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽ยังเดิน ปูอนอาหาร เด็กนอกบ฾าน เพ่ือให฾เด็กกินอาหารได฾มาก เด็กอายุ ประมาณ 9 เดือน บางคนฟในซี่แรกขึ้น หรอื เด็กเรมิ่ หัดยนื หรือ ตัง้ ไข฽ เด็กอาจมอี าการตวั รอ฾ น สํารอก และท฾องเสีย สังคมไทยมีความเชื่อว฽า ห฾าม ทัก ถือวา฽ ถา฾ ทักเด็กจะท฾องเสียมาก ครง้ั เทา฽ กับจํานวนครัง้ ท่ีทกั ในการส฽งเสริมพัฒนาการเด็ก พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽จะถามจากเพื่อนบ฾าน ญาติ หรือเจ฾าหน฾าที่ สาธารณสขุ การ สง฽ เสริมพฒั นาการเด็กของพ฽อแม฽ เช฽น การที่เด็กยืนได฾เป็นครั้งแรกหรือต้ังไข฽ ต฽อมาเด็ก จะก฾าวเดิน พ฽อแม฽จะมีความ เชื่อว฽า ห฾ามพยุงเด็กให฾เดินเพราะจะทําให฾เด็กไม฽ร฾ูจักช฽วยตนเอง แต฽จะมีวิธี หัดสอนเดิน ด฾วยการให฾เด็กยืนพิงฝาผนัง แล฾วเอาหลังและแขนยันฝาผนังพยุงตัวเองแล฾วทําท฽าก฾าวย฽าง ผู฾ใหญค฽ อยข฾างหนา฾ เดก็ ระยะไมห฽ ฽างมากอ฾าแขนทําท฽ารับ เด็กจะก฾าวโผเข฾ามาหา ครั้งแรกๆ จะก฾าวได฾ 12

90 กา฾ ว แล฾วลม฾ ลง โดยผูใ฾ หญ฽คอยระวังและรบั เด็กอย฽าให฾ลม฾ ลง แล฾วให฾ เด็กทําท฽าก฾าวใหม฽ ขณะท่ีเด็กทรงตัว ผ฾ูใหญ฽จะร฾อง “ต้ังไข฽ล฾ม จะตม฾ ไข฽กิน ไข฽ตกดนิ จะกนิ เสียเนอ฾ ” ซ่งึ การรอ฾ งจะชว฽ ย ใหเ฾ ด็กเพลนิ และเผลอตัว จะได฾รจ฾ู ักยืนทรงตวั และก฾าวเดนิ ได฾ เมอื่ เด็กก฾าวเดินได฾พอสมควรแล฾วบางครอบครัวจะทําไม฾ เป็นวงเวียน ที่เรียกว฽ากระแตเวียนให฾เด็กเกาะเดินหมุนตัวเองเพื่อให฾แข็งแรงและคล฽องแคล฽วขึ้นส฽วนการดูแลเม่ือเด็ก เจ็บปุวยส฽วนใหญ฽พาเด็กไปพบแพทยแใกล฾บ฾านถ฾าเจ็บปุวยไม฽รุนแรงเช฽นหวัด หรือมีไข฾ตัวร฾อนพ฽อแม฽จะซ้ือ ยาแกห฾ วดั ลดไข฾ใหเ฾ ด็กกินในระยะแรก ถา฾ ไมท฽ เุ ลาจะพาเด็กไปพบแพทยแ 10. ป้องกันอบุ ัตเิ หตุ ครอบครัวในสังคมเมืองและชนบทมีแนวทางการอบรมเล้ียงดูเด็กเล็กเพ่ือปูองกันอุบัติเหตุคล฾าย ๆ กัน โดย เมื่อเด็กแรกเกิด ถึงอายุ 2 ปี พ฽อแม฽จะดูแลใกล฾ชิด ไม฽ปล฽อยให฾เด็กอย฽ูตามลําพัง แต฽ถ฾าต฾อง ทํางานบ฾านหรอื มีภารกิจ นอกบ฾านจะนําเด็กไปด฾วย ในเร่ืองการจัดสถานที่นอนของเด็ก ถ฾าไม฽มีเตียงเด็ก พอ฽ แมจ฽ ะให฾เด็กนอนบนเบาะทนี่ อนน฽ุม ๆ และวางไว฾บนพืน้ ราบ แต฽ถา฾ ครอบครัวมีเตียงเด็กจะให฾เด็กนอน ในเตียงและมีที่กั้นเตียงสูงเพื่อปูองกันเด็กตกเตียง เม่ือ เด็กเร่ิมคลาน หรือเดินได฾ พ฽อแม฽ส฽วนใหญ฽จะนํา เด็กใสไ฽ วใ฾ นรถพยงุ ตวั เดก็ หรือเรยี กทวั่ ไปว฽า รถหัดเดิน เพื่อให฾เดก็ อย฽ูในที่จาํ กดั ไมซ฽ กุ ซน โดยพอ฽ แมไ฽ ม฽ร฾วู ฽า อาจทาํ ใหเ฾ ดก็ เกิดอันตรายพลกิ ควํ่าได฾ง฽ายในการปอู งกนั อบุ ัติเหตุ ท่ีจะเกิดกับเด็กปฐมวัยจากการเดินทาง มีน฾อยมากพ฽อแม฽ที่เดินทางโดยรถจักรยานหรือจักรยานยนตแพร฾อมเด็กปฐมวัย มักจะไม฽ใส฽หมวกกันน็อค ให฾กับเด็กเป็นส฽วนใหญ฽ สรุปไดว฾ า฽ แนวทางการอบรมเลี้ยงดเู ดก็ ปฐมวยั ตามวถิ ีชีวิตไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต แม฽ ยังมีบทบาท อบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยแต฽มีแนวโน฾มลดลง สังคมเมืองและสังคมชนบทมีการอบรมเด็ก ปฐมวัยแตกต฽างกัน เดก็ ใน ชนบทยังได฾รับการเล้ียงดูอิงธรรมชาติมากกว฽าสังคมเมือง แต฽โดยทั่วไปพ฽อแม฽ ยังขาดความร฾ูความเข฾าใจในการอบรม เล้ียงดูเด็กปฐมวัยท่ีเหมาะสมกับพัฒนาการเด็ก โดยเด็กเล็กจะ ไดร฾ บั การเลีย้ งดใู กล฾ชดิ เดก็ โตพ฽อแม฽จะปลอ฽ ยให฾ ช฽วยเหลือตนเองมากกวา฽ 6.รูปแบบการอบรมเลี้ยงดเู ด็กปฐมวัยในยคุ ปจั จุบัน นับตั่งแต฽ประเทศไทยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห฽งชาติ สภาพสังคมไทยมีการ เปลี่ยนแปลงไปอย฽าง มาก ทั้งด฾านเศรษฐกิจ ประชากรสังคม และวัฒนธรรม มีการแข฽งขันกัน เพื่อเพ่ิม รายได฾ตอ฽ หัวของประชากร หน฽ุมสาว วยั ทาํ งานทง้ิ อาชีพเกษตรกรรมทํานา ทาํ ไร฽ทาํ สวนไปทาํ งานในเมือง ใหญ฽ท่ีมีโรงงานอุตสาหกรรมและมีรายได฾มากกว฽า ในชนบทองเหลือแต฽ผ฾ูสูงอายุและเด็ก ผลกระทบ ดังกล฽าวส฽งผลกระทบอย฽างมากต฽อสถาบันครอบครัวและเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นกล฽ุมประชากรที่ได฾รับ ผลกระทบรุนแรงทสี่ ุด เพราะเด็กปฐมวยั ไม฽สามารถดูแลตนเองได฾ต฾องพึ่งพิงการเลี้ยงดู จากพ฽อแม฽จึงอาจ กล฽าวได฾ว฽ารูปแบบการอบรมเลี้ยงดูในยุคปใจจุบันเป็นการผสมผสานระหว฽างรูปแบบการเลี้ยงดูแบบ รถ ชีวิตไทยกับรูปแบบการเลย้ี งดูตามวัฒนธรรมตะวนั ตก ซ่งึ สามารถแบ฽งออกเป็น 7 ลักษณะ ดังจะได฾กล฽าว ตอ฽ ไปน้ี

91 1. การเปน็ แบบอยา่ งการอบรมเลย้ี งดแู บบน้เี ดก็ เรียนร฾ูจากการเลียนแบบพฤติกรรมของพ฽อแม฽ผ฾ู เล้ียงดูใน ครอบครัวผู฾เลี้ยงดูในศูนยแพัฒนาเด็กเล็ก ตลอดจนส่ือจากการภาพโฆษณาละครโทรทัศนแ ซ่ึง พฤติกรรมมีทั้งทางบวก และทางลบ โดยพ฽อแม฽ และผ฾ูเลี้ยงดูในครอบครัวขาดการแนะนํา ตัวอย฽างการ เป็นแบบอย฽างทางบวก เช฽น การแสดง ความเคารพผ฾ูใหญ฽ พระสงฆแและการเข฾าแถวตามลําดับก฽อนหลัง เป็นต฾น และแบบอย฽างทางลบ เช฽น การพูดโกหก ท่ี ผ฾ูใหญ฽หลอกเด็กให฾กลัวเพราะเห็นว฽าเป็นเรื่องสนุก การทะเลาะวิวาท การเล฽นการพนัน การดื่มสุรา การรับประทาน อาหารไม฽มีประโยชนแ จําพวกนํ้าอัดลม ขนมกรบุ กรอบ ลูกอม และอาหารจานดว฽ น เป็นตน฾ 2. การควบคุมแบบปล่อยปละละเลยการอบรมเล้ียงดูแบบน้ี พ฽อแม฽เน฾นให฾ความสนใจทางด฾าน การกิน การนอนการปฏิบัติกิจวัตรประจําวัน โดยออกคําส่ังให฾เด็กกระทํา ด฾วยวาจา ควบคุมกํากับด฾วย การสังเกตหรือถาม ถ฾าหากเด็กไม฽ทําตามคําส่ัง ในบางครอบครัวพ฽อแม฽เข฾มงวดบังคับให฾เด็กปฏิบัติตาม คาํ สง่ั แตบ฽ างครงั้ ก็ปลอ฽ ยเด็กอาจ เป็นเพราะขาดความสนใจจริงจัง หรอื มีงานอื่นที่กาํ ลังทําอยู฽ 3. การเล้ียงดูแบบปล่อยปละละเลยไม่สนใจการเลี้ยงดูแบบน้ีจะพบในกลุ฽มพ฽อแม฽วัยร฽ุนท่ีไม฽ ตอ฾ งการมีบตุ ร ครอบครัวแตกแยก หรือหย฽าร฾าง พ฽อแม฽จะขาดความสนใจเด็ก หรือปล฽อยเด็กอย฽ูในความ ดูแลของปยุู ฽าตายาย ญาติ พีน่ ฾องโดยไมส฽ นใจทจี่ ะอบรมเลยี้ งดูเดก็ หรอื ปล฽อยให฾พเ่ี ลีย้ งนอ฾ งตามลําพงั 4. การยอมรบั แบบไมแ่ สดงออก พอ฽ แมใ฽ นสังคมไทยแสดงออกในการยอมรับเด็กเม่ือเด็กเล็ก ดัง จะเห็นได฾ จากพ฽อแม฽จะแสดงออกด฾วยการกอดรดั การหอมแก฾ม แสดงให฾เด็กร฾ูว฽าพ฽อแม฽รัก แต฽เมื่อเด็กโต ขึ้น การแสดงออก ทางการยอมรับเด็กด฾วยการกอดรัด เหมือนเด็กเล็กน฾อยลงถ฾าเด็กกระทําดี พ฽อแม฽จะ น่ิงเฉยไม฽ชมเชย หรือแสดงออก ให฾เด็กเข฾าใจโดยคิดว฽ากลัวเด็กเคยตัวเด็กรู฾แล฾วว฽ารักไม฽จําเป็นต฾อง แสดงออก แต฽ถ฾าเดก็ กระทาํ ไมเ฽ ปน็ ทพ่ี อใจ พ฽อแม฽ พ฽อแม฽ไม฽รัก จะดุว฽า ท่ีอาจควบคู฽กับการสั่งสอนหรือไม฽ มกี ารสั่งสอน ซ่ึงการกระทําดงั กลา฽ วทาํ ใหเ฾ ดก็ เกิดความสบั สนว฽าและคิดวา฽ พ฽อแมไ฽ ม฽รกั 5. การเลี้ยงดูแบบตามใจเป็นรูปแบบการเลี้ยงดูที่พ฽อแม฽แสดงความรักลูกด฾วยการตามใจเด็ก แม฾ว฽าสิ่งทเี่ ดก็ กระทาํ เปน็ ส่งิ ไม฽สมควรกระทํา พอ฽ แมม฽ ักคิดว฽าการตามใจเป็นการแสดงให฾เด็กเข฾าใจว฽าพ฽อ แม฽รัก บางครั้งการเลี้ยงดู แบบตามใจของพ฽อแม฽เป็นการทดแทนเวลาท่ีพ฽อแม฽ไม฽มีเวลาให฾เด็กขาดความ ใกล฾ ปล฽อยใหเ฾ ด็กอยกู฽ บั ปุยู ฽าตายายหรือพเี่ ลยี้ งดแู ทน เป็นตน฾ 6. การเล้ียงดูแบบไม่คงเส้นคงวาการอบรมเล้ียงดูแบบน้ีพ฽อแม฽จะแสดงพฤติกรรมต฽อเด็กไม฽ แน฽นอนขนอย฽ู กับอารมณแของพ฽อแม฽ในแต฽ละช฽วงเวลาขาดเหตุผลสนับสนุนบางคร้ังเด็กกระทําเป็นที่ พอใจของพ฽อแม฽พ฽อแม฽จะชมเชย แต฽บางครั้งพ฽อแม฽กลับเพิกเฉยไม฽สนใจหรือบางครั้งดูว฽า ทําให฾เด็กมี ความสับสน 7. การเล้ียงดูแบบคาดหวังสูงการอบรมเล้ียงดูแบบน้ีพ฽อแม฽มีการต้ังเปูาหมายล฽วงหน฾าว฽าเด็ก ตอ฾ งเปน็ อย฽างทีค่ าดหวัง เช฽น เดก็ เก฽ง และฉลาด พอ฽ แมจ฽ ึงคอยควบคุมกาํ กบั บงั คับใหเ฾ ดก็ ปฏิบตั ิตามทพี่ ฽อ แมต฽ อ฾ งการโดยไม฽คดิ ให฾อิสระเดก็ คดิ และตัดสนิ ใจด฾วยตนเอง

92 ในยุคปใจจุบันที่สภาพสังคมไทยมีการแข฽งขันสูงประกอบกับความทันสมัยของการส่ือสารและ เทคโนโลยี ใหค฾ วามสําคัญกับวัตถุนิยม เงินอารยธรรม วัฒนธรรมของต฽างประเทศ สังคมไทยจึงมุ฽งแต฽หา รายเด ขาดความ * ซึ่งกันและกันขาดความเอื้ออาทรเห็นประโยชนแส฽วนตนมากกว฽าประโยชนแส฽วนรวม ผลกระทบดังกล฽าวส฽งผลให฾พ฽อแม฽ ครอบครัวอบรมเล้ียงดูเด็กรูปแบบท่ีแตกต฽างกัน ซ่ึงจะเป็นปใญหาต฽อ สังคมไทยเพ่มิ มากข้นึ 7.แนวทางการอบรมเล้ียงดเู ด็กปฐมวยั ในยุคปัจจบุ ัน เด็กแรกเกิดถึง 5 ปี เป็นทรัพยากรที่มีคุณค฽าและเป็นอนาคตท่ีสําคัญต฽อการพัฒนาของประเทศ เด็กมคี ุณภาพ คือ เดก็ ทม่ี กี ารเจริญเติบโตสมวัย พัฒนาการสมบูรณแท้ังร฽างกาย สติปใญญา จิตใจ อารมณแ และสงั คม โดยพ฽อแม฽ และ ครอบครัวคือ บุคคลที่ทําหน฾าที่อบรมเลี้ยงดูเด็กและสร฾างเสริมประสบการณแ ตา฽ งๆ ใหแ฾ กเ฽ ดก็ ต้ังแต฽แรกเกิด เพอื่ พัฒนา ใหเ฾ ดก็ มีคุณภาพ ความคาดหวังของพ฽อแม฽ในยุคปใจจุบันต฽างม฽ุงหวังให฾เด็กเจริญเติบโตเป็นเด็กดี ฉลาด มีคุณธรรม จรยิ ธรรม ดีงาม มคี วามประพฤติดี ไม฽ด้ือ ไม฽เกเร เช่ือฟใงพ฽อแม฽ ในด฾านความประพฤตินั้นพ฽อแม฽คาดหวัง ตอ฽ เด็กเพศหญงิ และ เพศชายแตกตา฽ งกนั ความประพฤติของเดก็ เพศหญิง ได฾แก฽เรียบร฾อย ช฽วยเหลืองาน บ฾านไม฽เถียง ไม฽เท่ียวเตร฽ เป็นต฾น ขณะท่ีความประพฤติของเด็กเพศชาย ได฾แก฽ ไม฽เท่ียวเตร฽ ไม฽ทําเร่ือง หนกั ใจให฾พ฽อแม฽ ไมเ฽ กเร เป็นต฾น ในท่ีนี้จะกล฽าวสรุปประเด็นแนวทางการอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยของพ฽อแม฽และครอบครัวไท ยใน ยุคปใจจุบัน ที่มีความสําคัญและมีผลให฾เด็กมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัยท้ังร฽างกายจิตใจสติปใญญา อารมณแและสงั คม มีคุณธรรม และจริยธรรมดีงาม ดังน้ี 1. เรยี นรแู้ ละแสดงบทบาทของพ่อแม่ พ฽อแม฽จําเป็นต฾องเรียนร฾ูบทบาทหน฾าที่ของตนเองและเตรียมความพร฾อมของตัวเองทั้ง ร฽างกายและจิตใจต้ังแต฽ ก฽อนมีลูก ความคาดหวังของพ฽อแม฽ในสังคมไทยทั้งในอดีตและปใจจุบัน คือ ถ฾ามี ลกู ต฾องการให฾เดก็ มสี ขุ ภาพสมบูรณแ แข็งแรง เจริญเติบโต เปน็ เด็กดี ฉลาด มคี วามสุข สามารถดํารงชีวิต ในสงั คมไดอ฾ ย฽างดี ดังนั้นพ฽อแม฽ควรมีเจตคติท่ีดีต฽อเด็กแสวงหาความร฾ูและความเข฾าใจเก่ียวกับพฤติกรรมท่ี เกิดข้ึนของเด็กใน วัยต฽างๆ ส฽งเสริมสนับสนุนเม่ือเด็กแสดงพฤติกรรมที่ดี ไม฽ตําหนิเมื่อเด็กมีพฤติกรรมท่ี ผิดแปลกไปและหาสาเหตุ ทําความเข฾าใจต฽อสิ่งท่ีเกิดข้ึนกับเด็ก แก฾ไขพฤติกรรมเด็กด฾วยความรัก ความ เขา฾ ใจเดก็ สมํ่าเสมอ 2. สรา้ งเสรมิ ความสขุ ฉันทนา ภาคบงกช (2544: 29) กล฽าวว฽า ความสุขเป็นส่ิงที่มนุษยแทุกคนแสวงหา ความสุข เกี่ยวขอ฾ งกับความ ร฾สู กึ ท่ดี ีตอ฽ ตนเอง และรจ฾ู ักรกั ผ฾อู นื่ ความสขุ เปน็ มิติทางจิตใจซ่ึงเป็นพื้นฐานสําคัญของ การพัฒนาด฾านการคิดและ พัฒนาการด฾านอื่นๆ ซึ่งเริ่มต฾นมาจากความรัก ความผูกพันระหว฽างแม฽และ

93 เดก็ ตั้งแต฽วยั ทารกการบําบัดความต฾องการ เช฽นได฾กินเม่ือหิวและได฾รับความสบายด฾านร฽างกาย ความเอา ใจใสจ฽ ากแมด฽ ว฾ ยความรักทาํ ให฾เดก็ มีความสขุ ค และตราตรึงอยูใ฽ นสาํ นึกตลอดไป การอบรมเลย้ี งดเู ด็กเสริมสร฾างความสขุ มีแนวทาง ดังนี้ 2.1 เล้ียงดูเด็กให้ความรักและความอบอุ่นการสร฾างสัมพันธภาพท่ีดีระหว฽างพ฽อแม฽ลูกเป็น จุดเริ่มต฾นท่ี 2 เด็กเกิดความม่ันคงทางจิตใจพร฾อมท่ีจะรับการอบรมสั่งสอนต฽างๆ ที่พ฽อแม฽แนะนํามาใช฾ และเกิดความพอใจท่ีตรง สามารถกระทําตามคํา แนะนําของพ฽อแม฽ได฾ ความรักความอบอ฽ุนที่เด็กได฾รับ ช฽วงปฐมวัยจะช฽วยส฽งเสริมพัฒนาการ ต฽างๆ ช฽วยให฾เด็กพัฒนาความไว฾วางใจในโลกรอบตัวเด็ก ช฽วยให฾ เด็กพฒั นาความเปน็ ตัวของตวั เอง อนั เปน็ พ้ืน ของการพัฒนาความคดิ ริเร่ิมต฽อไป 2.2 แสดงความรักกบั เด็กด้วยการส่ือสารกับเด็กอย่างเข้าใจ เด็กปฐมวัยต฾องการความรัก ความอบอ฽ุนจาก พ฽อแม฽ ในการแสดงความรักต฽อเด็กปฐมวัย นอกจากการสัมผัส โอบกอด และพูดคุยกับ เด็กอย฽างอ฽อนโยนและ เปดิ โอกาสให฾เด็กได฾พดู แสดงความคิดเห็น รับฟงใ เด็กอย฽างสงบ ให฾เวลาอยู฽กับเด็ก อย฽างใกล฾ชิด เข฾าใจความต฾องการของเดก็ ใหก฾ ําลังใจ และไมแ฽ สดงการกระทําและคําพูดท่ีน่ันทอนกําลังใจ ของเด็ก เปน็ สิ่งสาํ คัญที่จะแสดงให฾เด็กเขา฾ ใจว฽าพ฽อแม฽รกั อนั ก฽อให฾เกดิ ความสขุ กบั เด็ก 2.3 เลี้ยงดูเด็กอย่างมีเหตุผล เป็นการอบรมเล้ียงดูเด็กปฐมวัยที่ไม฽ใช฾อารมณแ ดุว฽ากระทํา รุนแรงกับเด็ก เข฾าใจ ยอมรับ และสอนเด็กอย฽างใจเย็น อดทน มีเหตุผล หลีกเล่ียงคําพูดท่ีมีความหมาย ทางลบ เช฽น “คิดโง฽ ๆ” “ทําไมไม฽ฉลาดเหมือนเด็กคนอ่ืน ๆ” เพราะถ฾อยคําดังกล฽าว ทําให฾เด็กเสีย กาํ ลงั ใจและเกดิ การตอ฽ ตา฾ น 2.4 ใช้คาพูดเชิงบวกกับเด็ก พ฽อแม฽ให฾กําลังใจช่ืนชมโดยการใช฾คําพูดเชิงบวกจะช฽วยสร฾าง ทศั นคตดิ ฾านบวก ให฾กับเดก็ ทาํ ให฾เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง เห็นคุณค฽าของตัวเอง มองโลกในแง฽ดี มที ัศนคติทดี่ ีต฽อตนเองและ ผู฾อ่ืน และมีความสุข (จิตราวงศแบญุ สิ้น 2549) ดังตวั อย฽างเช฽น คาํ พดู ชืน่ ชม - ยอดเย่ยี ม เก฽งมาก ลกู ทําไดส฾ าํ เรจ็ แล฾ว คําพูดให฾กําลังใจ - พอ฽ แมเ฽ ชื่อว฽าลูกทําได฾ ลกู ทําได฾เหมอื นคนอ่ืนแตล฽ กู ทําได฾ดกี ว฽า 2.5 สร้างเชื่อมั่นในตนเองให้แก่เด็ก พ฽อแม฽ชมเชยเมื่อเด็กกระทําส่ิงที่ดี ถูกต฾องเหมาะสม จะทําให฾เด็ก ภาคภูมิใจสิ่งท่ีทํา ให฾กําลังใจถ฾าเด็กพยายามกระทําแต฽ยังทําไม฽สําเร็จ ไม฽ดุว฽า ซํ้าเติม เปรยี บเทยี บกับพ่นี อ฾ งหรอื ผูอ฾ นื่ ให฾เด็กเสียใจ ขาดความเชอ่ื มั่นในตนเอง 2.6 หลีกเล่ียงคําว฽า “อย฽า” การท่ีเด็กถูกห฾ามปราม หรือดว฽า ไม฽ให฾ทําสิ่งต฽างๆ แทบ ตลอดเวลา มีผลให฾เด็ก เป็นคนข้ีอาย ไม฽กล฾าแสดงออก ไม฽เช่ือม่ันในตนเอง ไม฽กล฾าเสนอความคิดเห็น อาจเป็นเด็กดือ้ รนั้ และก฾าวร฾าวรนุ แรง ดังนั้นหากครอบครัวจะสอนเด็ก แทนที่จะใช฾คําว฽า ห฾าม แต฽ควรใช฾ คําแนะนําแทนเช฽นแทนคําพูดทว่ี า฽ “อย฽าว่ิงในบ฾าน” แต฽ใช฾คําพดู ว฽า “เดนิ ในบ฾าน” เป็นตน฾ 3. ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม

94 เด็กเป็นคนดี เป็นความต฾องการของพ฽อแม฽ทุกคน การสร฾างเด็กให฾เป็นคนดีจําเป็นต฾องเริ่ม ตงั้ แตเ฽ ด็กเล็กๆ ด฾วยการเป็นแบบอย฽างให฾เด็กและแนะนําเด็กอย฽างมีเหตุผล แนวทางในการอบรมเลี้ยงดู ของครอบครัวมดี ังนี้ 3.1 สอนเด็กใหร้ จู้ กั การอดทน รอคอย พอ฽ แมต฽ ฾องให฾เดก็ ไดเ฾ รียนร฾ทู ่จี ะควบคมุ ตัวเอง ไม฽พูด โกหก ซอ่ื สัตยแ และไม฽ลกั ขโมย 3.2 สอนเด็กให้รู้ผิด รู้ถูก รู้จักกฎระเบียบวินัย และร฽วมรับผิดชอบกับสังคม พ฽อแม฽ต฾อง ส฽งเสริมสนับสนุน ให฾เด็กสามารถคิดวิเคราะหแว฽าสิ่งใดควรทํา สิ่งใดไม฽ควรทํา โดยพ฽อแม฽ต฾องทําเป็น แบบอยา฽ งใหเ฾ ดก็ 3.3 ฝกึ เดก็ ให้รู้จักการใหก้ ารแบง่ ปันเด็กควรไดเ฾ รยี นร฾กู ารมีจติ ใจเอ้อื เฟอื้ รจ฾ู ักเห็นอกเห็นใจ มคี วามเมตตา สงสารผู฾อน่ื หรอื สัตวแทม่ี คี วามทกุ ขแและเดือดรอ฾ น และมนี า้ํ ใจและชว฽ ยเหลือผอ฾ู ื่น เปน็ ตน฾ 3.4 ฝกึ เดก็ ให้รู้จกั หนา้ ท่ขี องตนเองเดก็ จาํ เป็นต฾องเรยี นรูท฾ ่จี ะรบั ผดิ ชอบและรว฾ู า฽ ทุกคนต฾อง มีหนา฾ ท่ี เรม่ิ จาก คนท่เี ลก็ ๆ น฾อยๆ ในการช฽วยเหลือภายในบ฾านตามความสามารถของเด็กท่ีจะทําได฾ เช฽น เก็บของเล฽นเข฾าท่ี เก็บจาน 2 หรือช฽วยงานเล็กๆน฾อยๆ ผลท่ีจะติดตามมา คือ เด็กเกิดความตระหนักถึง คณุ ค฽าของตนเอง 3.5 สอนเด็กใหม้ มี ารยาท เด็กควรได฾เรียนร฾ูการแสดงความเคารพผ฾ูใหญ฽ กล฽าวของคุณเมื่อ ไดร฾ บั การ ช฽วยเหลอื กลา฽ วขอโทษเม่ือกระทาํ ส่งิ ท่ไี ม฽ถกู ตอ฾ ง 3.6 รู้จักกล่าวคาขอโทษกับเด็ก หากพ฽อแม฽กระทําสิ่งไม฽ถูกต฾องกับเด็กและรู฾ว฽าผิด การ กล฽าวคําว฽า “ขอโทษ” เป็นการกระทําแบบอย฽างสอนให฾กับเด็กเรียนร฾ูว฽า ทุกคนมีโอกาสจะกระทําผิดได฾ แต฽ต฾องรู฾จักยอมรับผิดและกล฽าวคําขอ โทษ ถ฾าพ฽อแม฽และครอบครัวแสดงออกเช฽นน้ี เด็กจะเรียนรู฾ที่จะ กล฾าบอกเลา฽ ทุกเรอื่ งให฾แก฽พอ฽ แมฟ฽ งใ ไม฽ว฽าจะ ถูกหรอื ผิด และพอ฽ แมพ฽ รอ฾ มทจ่ี ะใหอ฾ ภัยเสมอ 4. พฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ การฝึกฝนและพัฒนาความคิดสร฾างสรรคแของเด็กต้ังแต฽ปฐมวัยเป็นเร่ืองสําคัญ พ฽อแม฽ สามารถพฒั นาความ คิดสร฾างสรรคแใหเ฾ ด็กดว฾ ยแนวทาง ดงั น้ี 4.1 เร่ิมต้นด้วยการเล่านิทานก่อนนอน นิทานแต฽ละเรื่องเป็นอาหารสมองและสร฾าง จินตนาการให฾เดก็ สอดแทรกความร฾แู ละสรา฾ งเด็กใหร฾ จู฾ กั คิด สง่ิ สําคัญต฾องเป็นการเล฽าโดยพ฽อแม฽ขณะเล฽า ถ฾าเด็กอยากร฾ูและถามพ฽อแม฽ ต฾องตอบคําถาม เพ่ิมความร฾ูให฾แก฽เด็ก สอดแทรกความคิด ทัศนคติ การใช฾ ชีวิตท่ีเป็นประโยชนแกับเด็ก ไม฽ดูว฽า ถ฾าเด็ก ถามซ้ําไปมา ถ฾าตอบไม฽ได฾ ให฾ตอบเด็กว฽าไม฽ร฾ู แต฽จะไปค฾นหา คาํ ตอบมาให฾ และต฾องรักษาสัญญา กระทําตามที่พูด ไม฽ โกหกเด็กส่ิงสําคัญอีกประการคือ ให฾โอกาสเด็ก ถาม คิด และแสดงความคดิ เห็นโดยพอ฽ แม฽ต฽อยอดความคิดของเด็ก ใหถ฾ กู ต฾อง 4.2 สร้างนิสัยรักการอ่านให้แก่เด็กพ฽อแม฽สามารถเร่ิมต฾นปลูกฝใงนิสัยรักการอ฽านให฾แก฽เด็ก ด฾วยการเล฽านิทาน อ฽านหนังสือให฾เด็กฟใงต้ังแต฽แรกเกิด เม่ือเด็กอายุ 6 เดือนให฾อุ฾มเด็กน่ังตักและอ฽าน หนังสอื นิทาน หรอื หนังสอื ภาพมี เน้ือหาคําสนั้ ๆ ซาํ้ ๆ หรือคํากลอนให฾เด็กฟใงบ฽อยๆ ทุกๆ วัน สม่ําเสมอ

95 อยา฽ งน฾อย 15 นาที พร฾อมท้ังทํามุมหนังสือไว฾ ภายในบ฾าน เมื่อเด็กสนใจต฾องการให฾พ฽อแม฽อ฽านหนังสือให฾ ฟใงจะคลานหรือเดินไปที่มุมหนังสือ หรือหยิบหนังสือให฾อ฽าน พ฽อแม฽จะต฾องสนองตอบความต฾องการของ เด็กอยา฽ ปฏเิ สธเดก็ นอกจากนคี้ วรหาหนงั สอื ใหม฽ ๆ ไว฾ที่บ฾าน โดยใหเ฾ ดก็ มี สว฽ นรว฽ มในการเลือก 4.3 สอนใหเ้ ดก็ คดิ เป็นพอ฽ แม฽ต฾องฝึกให฾เด็กมองภาพรวม มองกว฾างๆ คิดให฾กว฾าง เช฽น ก฽อน ต฽อภาพจ๊ิกซอวแ ถ฾าให฾เด็กมองภาพรวมของจิกซอวแท้ังภาพก฽อนเด็กจะสามารถต฽อภาพจิ๊กซอวแได฾เร็วกว฽า การตอ฽ ภาพทีย่ ังไมไ฽ ด฾ดูภาพรวม 4.4 ใหเ้ วลาเดก็ รอ้ งเพลง เล่นดนตรี วาดรูป หรือทางานศิลปะเล็ก ๆ น้อย ๆ พ฽อแม฽ควร พัฒนาลูกด฾วย งานดนตรีหรือศิลปะ เช฽น ทําของเล฽นจากเศษวัสดุในบ฾าน ปใ้นดิน ก฽อกองทราย เป็นต฾น เพื่อให฾เด็กผ฽อนคลาย และมี ความสุข สมองของเด็กจะทํางานได฾อย฽างมีประสิทธิภาพและสร฾างสรรคแสิ่ง ใหม฽มากขน้ึ 4.5 ไมค่ วรใหเ้ ดก็ อายุนอ้ ยกว่า 2 ปี ดูโทรทัศน์หรือดีวีดี เม่ือเด็กอายุมากกว฽า 2 ปี พ฽อแม฽ ควรให฾เดก็ ดู โทรทัศนหแ รอื ดวี ีดไี ม฽เกนิ วนั ละ 2 ช่ัวโมง เน่ืองจากเด็กแรกเกิด - 6 เดือน เซลลแสมองเด็กจะ สร฾างและเชอ่ื มต฽อใยประสาท ตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กที่กําลังฝึกพูด เน่ืองจากการดูทีวีเป็นการสื่อสาร ทางเดียว ขาดการพูดคุยโต฾ตอบกับบุคคล อ่ืน ๆ ภาพในทีวีเคล่ือนไหวเร็ว เด็กมีโอกาสสมาธิส้ันหรือ ซุกซนมากผิดปกติ นอกจากนี้ เน้ือหาในทีวีบางครั้งมีภาพ ความรุนแรงยิงกัน ตบตีกันฆ฽ากัน เหาะเหิน เดินอากาศ ซง่ึ เด็กไม฽สามารถแยกแยะวา฽ ดีหรือไม฽ดี หรือเป็นความจริง หรือการแสดง ขณะท่ีเด็กเป็นวัย กําลังเลียนแบบอาจทําให฾เด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบตามท่ีเป็นเด็กก฾าวร฾าว หรือเกิด อุบัติเหตุได฾ นอกจากน้ี เด็กที่ตดิ ดูทีวจี ะขาดการออกกาํ ลงั กาย เป็นเดก็ อ฾วนหรือโรคอว฾ นได฾ 4.6 ให้โอกาสเด็กเรียนรู้จากประสบการณ์จริงพ฽อแม฽ควรพาเด็กไปนอกบ฾านเรียนร฾ู ส่ิงแวดล฾อมภายนอกเย่ียม ญาติ เล฽นที่สนามเด็กเล฽น สวนสาธารณะ รวมทั้งบอกเล฽าให฾เด็กร฾ูจักส่ิงแปลก ใหม฽ สงั คมใหม฽ ๆ นอกบา฾ น 4.7 สอนเด็กให้รู้จักหัดสังเกตรายละเอียดของส่ิงต่างๆ รอบตัวพ฽อแม฽ต฾องฝึกให฾เด็กหัด สังเกตความเหมือน ความแตกต฽าง ขนาด สีรูปทรง จํานวน ท฽าทาง และฝึกด฾วยการบอกเล฽าเหตุการณแ ตา฽ ง ๆ ใหฟ฾ ใง 5. ฝกึ ภาษาใหถ้ ูกต้อง ถา฾ พ฽อแม฽สอนใหเ฾ ด็กใช฾ภาษาทีด่ ี เดก็ จะพดู ได฾เรว็ ชัดเจนจดจํา และเข฾าใจความหมายของคํา ตา฽ งๆ เป็นเด็กฉลาดและมีพัฒนาการด฾านภาษาดี อันเป็นพ้ืนฐานสําคัญของพัฒนาการด฾านสติปใญญา สิ่ง ทพ่ี อ฽ แมค฽ วรสอนและเปน็ ตวั อยา฽ งให฾แก฽เดก็ ดงั นี้ 5.1 พูดคุยกับเด็กดว้ ยภาษาท่ีเขา้ ใจงา่ ย ชดั เจน และเป็นประโยค เพื่อให฾เด็กเรียนร฾ูจดจํา นาํ ไปใชไ฾ ด฾ เช฽น ลูก เดินไปทีต่ ู฾เสอ้ื ผ฾า และหยิบเส้ือสีฟูามาใหแ฾ ม฽ เป็นต฾น 5.2 อา่ นหนังสอื และเล่านิทานใหเ้ ดก็ ฟังตง้ั แต่แรกเกิด พ฽อแมค฽ วรเรมิ่ จากเลือกหนงั สือท่ีมี รูปภาพและมี คําบรรยายประกอบสั้นๆ ง฽าย ๆ อ฽านให฾กับเด็กทุกวันเวลาใดก็ได฾ที่เด็กพร฾อมไม฽ง฽วง ไม฽