แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวชิ าทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20201 ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 จดั ทาโดย นางสาวศิรวิ รรณ มนุ นิ คา ตาแหนง่ พนกั งานราชการ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ตาบลช่างเคิง่ อาเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชยี งใหม่ สานักบรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ สานกั งานการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
วช-ร 04 การออกแบบการจดั การเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20201 ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3 จัดทาโดย นางสาวศริ ิวรรณ มนุ นิ คา ตาแหนง่ พนักงานราชการ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ตาบลช่างเค่ิง อาเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชียงใหม่ สานักบริหารงานการศกึ ษาพิเศษ สานักงานการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
คาอธบิ ายรายวชิ า รายวิชาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20201 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลาเรยี น 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ คาอธบิ ายรายวิชา ศึกษา ทดลองเกี่ยวกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ การใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตรข์ ัน้ พืน้ ฐาน ได้แก่ การสงั เกต การจาแนกประเภท การวัด การหาความสัมพันธร์ ะหว่างสเปส กับสเปสและสเปสกับเวลา การสื่อความหมายข้อมูล การลงความคิดเห็น การพยากรณ์ วิเคราะห์ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานจากการเล่นเกมหรือการทากิจกรรมในชีวิตประจาวั นและพัฒนา ความคดิ สร้างสรรคใ์ นการออกแบบ ดดั แปลง และ/หรอื คิดประดษิ ฐช์ ้นิ งาน โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสังเกต การวัด การสารวจตรวจสอบ การสบื คน้ ข้อมลู จัดทาขอ้ มูล การอภิปรายและการสรปุ เพือ่ ให้มีความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถส่ือสาร สงิ่ ที่เรยี นรูแ้ ล้วนาไปใชป้ ระโยชน์ บรู ณาการกับภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ มีความสามารถในการตดั สนิ ใจ นาความร้ไู ป ใชใ้ นชีวติ ประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรมและค่านิยมท่เี หมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. ระบชุ อ่ื อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์และสามารถใชไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ต้อง 2. ทดลองเก่ยี วกับทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ด้านการสงั เกตไดอ้ ย่างถูกต้อง 3. ทดลองเกี่ยวกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้านความสามารถในการจัดจาแนกได้อย่าง ถกู ตอ้ ง 4. ทดลองเกย่ี วกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้านความสามารถในการใช้เครือ่ งมอื วัดไดอ้ ย่าง ถูกตอ้ ง 5. ทดลองเก่ียวกบั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ด้านการระบคุ วามสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปสกบั สเปส และสเปสกบั เวลาได้อย่างถกู ต้อง 6. ทดลองเก่ยี วกบั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรด์ ้านการนาขอ้ มูลมาจดั กระทาเพ่ือใหผ้ ูอ้ ่นื เขา้ ใจได้ อย่างถูกตอ้ ง 7. ทดลองเก่ยี วกบั ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ด้านการอธิบายข้อมลู ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง 8. ทดลองเก่ียวกบั ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ด้านการทานายหรอื คาดคะเนสงิ่ ทจ่ี ะเกดิ ขึ้น ล่วงหน้าไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง 9. นาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรข์ ั้นพนื้ ฐานมาใช้ออกแบบและประดษิ ฐช์ น้ิ งานได้อยา่ ง สร้างสรรค์ รวม 9 ผลการเรียนรู้
ผังมโนทศั น์ รายวิชาทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว20201 ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 – 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 รายวชิ าทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3 จานวน 40 ช่วั โมง หน่วยที่ 1 การใช้วสั ดอุ ุปกรณแ์ ละเทคนคิ หน่วยที่ 2 ทักษะทางวิทยาศาสตร์ พนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ จานวน 28 ชัว่ โมง: 70 คะแนน จานวน 12 ชั่วโมง: 30 คะแนน
ผงั มโนทัศน์ รายวชิ าทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว20201 ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 – 3 หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง การใช้วสั ดุอปุ กรณ์และเทคนิคพ้นื ฐานทางวิทยาศาสตร์ จานวน 12 ชัว่ โมง : 30 คะแนน หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 เร่อื ง การใชว้ ัสดอุ ปุ กรณ์และเทคนิคพืน้ ฐาน ทางวิทยาศาสตร์ จานวน 12 ชั่วโมง 1. ชอ่ื เรอ่ื ง อปุ กรณว์ ิทยาศาสตร์ 2. ชอ่ื เร่อื ง เทคนคิ พน้ื ฐานทาง จานวน 4 ชว่ั โมง : 10 คะแนน วทิ ยาศาสตร์ จานวน 8 ช่วั โมง : 20 คะแนน
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 1-3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 หน่วยที่ 1 เรอื่ ง การใช้วัสดอุ ุปกรณ์และเทคนิคพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์ เวลา 2 ชัว่ โมง แผนการจดั การเรียนรู้ เร่อื ง วัสดอุ ปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ผ้สู อน นางสาว ศิริวรรณ มุนินคา 1. ผลการเรียนรู้ 1. ระบุชอื่ อุปกรณว์ ิทยาศาสตรแ์ ละสามารถใช้ได้อย่างถกู ต้อง 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธบิ ายวิธกี ารใชว้ สั ดุอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ (K) 2. นักเรยี นเป็นผู้ที่มวี ินยั ใฝ่เรียนรู้ และมุง่ มัน่ ในการทางาน (A) 3. สาระการเรียนรู้ 1. ความหมายของวัสดุอุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ 2. วสั ดทุ างวทิ ยาศาสตร์ 3. อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน 4. ทักษะการเรยี นรู้ 1. ทกั ษะวทิ ยาศาสตร์ - การสังเกต - การอภปิ รายและลงขอ้ สรุป 5. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มีวนิ ยั - ใฝเ่ รียนรู้ - มุ่งม่นั ในการทางาน 6. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น/สมรรถนะของศตวรรษที่ 21 - ความสามารถในการส่อื สาร - ความสามารถในการคิด - ความสามารถในการแก้ปัญหา
7. สาระสาคญั วัสดุอปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง วตั ถเุ คร่ืองมอื เครอ่ื งใช้ที่นามาใชใ้ นการศึกษาค้นคว้า มีอยใู่ น ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ วัสดุอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นวัสดุทาง วทิ ยาศาสตร์ เคร่ืองแกว้ อุปกรณ์พืน้ ฐานอืน่ ๆ (เครอื่ งมอื ชา่ งและเครื่องมอื ทัว่ ไป) 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement) ครใู ชค้ าถามเพอื่ นาเขา้ สู่บทเรียน ดงั นี้ 1. นกั เรยี นรหู้ รอื ไม่วา่ วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์คืออะไร (แนวการตอบ: เครอ่ื งมือเครอ่ื งใชท้ นี่ ามาใชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ ทางวิทยาศาสตร์) 2. ใหน้ กั เรยี นยกตวั อย่างวสั ดอุ ปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตรท์ น่ี กั เรยี นรู้จกั มาคนละ 3 ตวั อยา่ ง (แนวการตอบ: บีกเกอร์ ขวดรปู ชมพู่ หลอดทดลอง กระบอกตวง ขวดวัดปรมิ าตร และหลอดหยด) 3. สามารถพบวสั ดอุ ุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ได้ท่ีไหน (แนวการตอบ: ห้องปฏบิ ตั ิการทางวทิ ยาศาสตร)์ ขั้นที่ 2 ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูแบง่ นกั เรียนออกเป็นกลมุ่ กล่มุ ละ 4-5 คน จากนนั้ ให้แต่ละกลมุ่ ร่วมกนั ศกึ ษาใบความรู้ เรอ่ื ง การ ใชว้ สั ดุอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ 2. เม่ือนกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มศึกษาใบความรู้เสรจ็ ครูใหน้ ักเรยี นทาแผนผงั มโนทศั น์ เร่ือง วัสดุอปุ กรณท์ าง วทิ ยาศาสตร์ 3. หลงั จากทน่ี ักเรียนทาแผนผังมโนทศั น์เสรจ็ ตัวแทนกล่มุ ออกมานาเสนอหน้าชั้นเรยี น ขั้นท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายเพื่อสร้างข้อสรปุ ร่วมกนั โดยครใู ช้คาถาม ดงั น้ี 1. วัสดุอุปกรณใ์ นห้องปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตรส์ ามารถแบ่งออกเป็นกี่ประเภท (แนวการตอบ: 3 ประเภท ได้แก่ วัสดุทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์พื้นฐาน และอุปกรณ์ วิทยาศาสตร์อ่ืนๆ) 2. วัสดุอปุ กรณแ์ ต่ละประเภทมอี ะไรบา้ ง (แนวการตอบ: - วัสดุทางวทิ ยาศาสตร์ ได้แก่ กระดาษลติ มัส กระดาษกรอง กระดาษเซลโลเฟน) - อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ บีกเกอร์ ขวดรูปชมพู่ หลอดทดลอง กระบอก ตวง ขวดวดั ปรมิ าตร หลอดหยด
- อุปกรณ์วิทยาศาสตร์อ่นื ๆ ไดแ้ ก่ หลอดฉีดยา กรวยกรอง กระจกนาฬิกา แท่งแก้ว คนสาร ช้อนตักสาร ตะเกียงแอลกอฮอล์ กล้องจลุ ทรรศน์ เทอร์มอมเิ ตอร์ เครอ่ื ง ชัง่ ) ข้ันท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูให้ความร้เู พ่มิ เติม เรอื่ ง เครื่องมอื วทิ ยาศาสตร์ ดังนี้ เคร่ืองมอื วิทยาศาสตร์ (Scientific Instrument) มีความหมายรวมถงึ เคร่ืองจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ หรือ ส่ิงประดิษฐ์ท่ีออกแบบมาใช้ในงานเฉพาะทาง โดยใช้ประโยชน์ในการพิสูจน์หลักการทางกายภาพ ความสมั พนั ธต์ า่ งๆ หรือเทคโนโลยี ด้วยวธิ กี ารวดั การเก็บขอ้ มลู การบนั ทกึ การแปลงสญั ญาณ การวดั ข้อมูล ซ้า การตรวจสอบยืนยันข้อมูล โดยปกติแล้วผลการวิเคราะห์จะออกมาในรปู ของตัวเลข ทง้ั ในเชิงปรมิ าณและ คุณภาพของตัวอย่างที่ไม่ทราบค่า (unknown) ใช้ตรวจสอบคุณสมบัติวัสดุ แรง ฯลฯ โดยใช้เครื่องมือ วทิ ยาศาสตร์ทีอ่ ยบู่ นพ้นื ฐาน วิธีการวเิ คราะหท์ างวทิ ยาศาสตร์ เครอื่ งมือวิทยาศาสตรเ์ ปน็ สว่ นหน่งึ ของอปุ กรณ์ ที่อยู่ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร แตกต่างจากอปุ กรณพ์ ืน้ ฐาน คอื มีความซบั ซอ้ น มีความพเิ ศษเฉพาะ ความละเอยี ดมาก ในปัจจุบันเคร่ืองมือวิทยาศาสตรม์ ีการพัฒนาการควบคุมโดยใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้ใช้งานง่าย เพ่ิมฟังก์ช่ัน ปรับเงื่อนไขสภาวะ ปรับพารามิเตอร์ ใช้ในการเก็บข้อมูล ปรับความละเอียดในการวัด ฯ ลฯ เครื่องมือ วทิ ยาศาสตรส์ ามารถเชอื่ มตอ่ เข้ากบั ระบบ LAN เพ่ือแลกเปลี่ยน เขา้ ถงึ ฐานขอ้ มูลการวิเคราะห์ (databases) เชน่ ฐานข้อมลู สเปกตรัม (spectra libraries) เป็นต้นเคร่ืองมอื วทิ ยาศาสตร์ของโปรแกรมวิชาตา่ งๆ มีดังนี้ 1. เคร่ืองมือวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโปรแกรมฟิสิกส์ เช่น เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ (Vernier) ซึ่งเรียกสั้นๆ ว่า \"เวอร์เนียร์\" เป็นเครื่องมือที่จะใช้สาหรับวัดช้ินงานที่ต้องการความละเอียดในหน่วยวัดต่างๆ เช่น มิลลิเมตร (mm) โดยลักษณะการใช้งานจาแนกได้ดังนี้ สเกลของเวอร์เนียร์คาลิเปอร์ เวอร์เนียร์คา ลิปเปอร์มีสเกลท่ีใช้วัดช้ินงาน 2 สเกล คือ 1. สเกลหลักหรือสเกลหยาบ (Course scale) สเกลหลักมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร อยู่ด้านล่าง ของแกนหลักมีจานวนทั้งหมด 100 สเกล โดยแต่ละสเกลมีความยาว 1 mm 2. สเกลเวอร์เนียร์หรือสเกลละเอียด ( Vernier or Fine Scale) เป็นสเกลที่ใช้อ่านค่า ละเอียดของการวัด โดยแต่ละสเกลแสดงถึงค่าความละเอียดท่ีสุดหรือจานวนนับที่น้อยที่สุดของเวอร์ เนียร์คาลิเปอร์ เช่น มีจานวนช่องสเกลทั้งหมด 10 ช่อง ค่าของ 1 ช่องสเกลเวอร์เนียร์คาลิเปอร์จะ แสดงถึงค่าความละเอียดที่สุดของเวอร์เนียร์คาลิเปอร์ หาได้โดยความสัมพันธ์ เม่ือ V คือ ค่าของ 1 ช่องสเกลเวอร์เนียร์คาลิเปอร์หรือค่าจานวนนับที่น้อยที่สุด S คือ ค่าความยาวของ 1 ช่องสเกลหลัก ซ่ึงมีค่า 1 mm N คือ จานวนช่องท้ังหมดบนสเกลเวอร์เนียร์คาลิเปอร์ ซ่ึงมีทั้งหมด 10 ช่อง
2. เครือ่ งมอื วิทยาศาสตรเ์ ก่ยี วกับโปรแกรมเคมี เช่น เครื่องโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (High Performance Liquid Chromatography (HPLC)) เป็นเครื่องมือใช้สาหรับแยกสารประกอบท่ี สนใจ ที่ผสมอยู่ในตัวอย่าง โดยกระบวนการแยกสารประกอบที่สนใจจะเกิดขึ้นระหว่างเฟส 2 เฟส คือ เฟสอยู่กับที่ (stationary phase) หรือ คอลัมน์ (column) กับเฟสเคลื่อนที่ (mobile phase) ซึ่งจะถูกแยกออกมาในเวลาท่ีต่างกัน สารผสมที่อยู่ในตัวอย่างสามารถถูกแยกออกจากกันได้นั้น จะ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้ากันได้ดีของสารนั้น กับเฟสที่เคลื่อนที่หรือเฟสที่อยู่กับที่ โดย สารประกอบตัวไหนที่สามารถเข้ากันได้ดีกับเฟสท่ีเคล่ือนท่ีสารน้ันก็จะถูกแยกออกมาก่อน ส่วนสารท่ี เข้ากันได้ไม่ดีกับเฟสท่ีเคล่ือนที่ หรือเข้ากันได้ดีกับเฟสอยู่กับท่ีก็จะถูกแยกออกมาทีหลัง โดยสารที่ถูก แยกออกมาได้น้ีจะถูกตรวจวัดสัญญาณด้วยตัวตรวจวัดสัญญาณ (detector) และสัญญาณที่บันทึกได้ จากตัวตรวจวัดจะมีลักษณะเป็นพีค ซึ่งจะเรียกว่า โครมาโตแกรม(chromatogram) 3. เครอ่ื งมอื วิทยาศาสตรเ์ ก่ยี วกับโปรแกรมชีววิทยา เช่น หม้อนึ่งความดันไอน้า (Autoclave) เป็นหม้ออัดความดันไอน้าแรงสูง เป็นเคร่ืองมือที่ใช้สาหรับฆ่าเชื้อโรคจุลินทรีย์ขนาดเล็ก โดยใช้ไอ นา้ ร้อนและอยู่ในระบบปิด เพ่ือให้เกิดแรงดันอากาศสูง ทาให้เคร่ืองมือ อุปกรณ์ ของท่ีผ่านการอบ ไอน้าที่ความดันสูงแล้วอยู่ในสภาพปราศจากเชื้อ จึงมักใช้เครื่องนี้ในการนึ่งฆ่าเชื้อของเสียทาง ชีวภาพเพื่อฆ่ากาจัดต้นตอของเชื้อโรค เครื่อง Autoclave ยังสามารถใช้ทาความสะอาดภาชนะได้ เป็นอย่างดีก่อนจะนามาใช้งานอีกครั้ง ส่วนการใช้งานเครื่อง Autoclave นั้นควรมีการทดสอบ เครื่องอย่างสมา่ เสมอเพ่ือให้สามารถใช้งานเคร่ือง Autoclave การใช้งาน นาสิ่งของที่ต้องการทาให้ปราศจากเชื้อ ฆ่าเชื้อ วางลงในหม้อ autoclave ที่ให้ความ ร้อนและแรงดันของไอน้าสูงกว่าสภาวะบรรยากาศปกติในระยะเวลาหนึ่ง การนึ่งฆ่าเชื้อโดยทั่วไป จะใช้สภาวะท่ีอุณหภูมิ 121-132 องศาเซลเซียส แรงดันอากาศของไอน้าท่ีประมาณ 15 PSI โดยใช้ ระยะเวลานึ่ง 15-20 นาที
ข้นั ที่ 5 ข้นั ประเมนิ ผล (Evaluation) 1. ครแู ละนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกยี่ วกับ “วัสดุอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์” 2. นักเรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ มจี ุดใดบ้างทย่ี ังไมเ่ ขา้ ใจหรอื ยงั มขี อ้ สงสัย ถ้ามีครูช่วยอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ให้ นกั เรียนเขา้ ใจ 9. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้ 9.1 สือ่ - สื่อการสอน Power Point เรือ่ ง การใชว้ สั ดุอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ - ใบความรู้ เรอื่ ง การใชว้ สั ดุอุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ - แผนผงั มโนทัศน์ เร่อื ง การใช้วัสดุอปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ - แบบประเมินการนาเสนอผลงาน - แบบประเมินคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 9.2 แหลง่ การเรียนรู้ - ห้องเรยี นวิทยาศาสตร์ - ห้องสมดุ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 10. การวดั และการประเมนิ ผล 10.1 การวดั ผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมอื 1. ด้านความรู้ (K) - ครูสังเกตพฤติกรรมใน - แบบประเมนิ พฤตกิ รรม - นักเรียนสามารถอธิบายวิธีการใช้วัสดุ การนาเสนอผลงานของ ในการนาเสนอผลงาน อุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ได้ นกั เรียน
จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมอื 2. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) - ครูประเมินคุณลักษณะ - แบบประเมิน - นักเรียนเป็นผู้ท่ีมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ อนั พึงประสงค์ คุณลกั ษณะอนั พงึ มุ่งม่นั ในการทางาน ประสงค์ 10.2 เกณฑก์ ารประเมนิ ผล ระดับคุณภาพ 10.2.1 ดา้ นความรู้ (K) (4) (3) (2) (1) - นกั เรยี นสามารถอธบิ าย ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง วธิ ีการใชว้ สั ดอุ ปุ กรณท์ าง วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ นักเรียนได้ นักเรยี นได้ นักเรยี นได้ นักเรยี นได้ คะแนนจากการ คะแนนจากการ คะแนนจากการ คะแนนจากการ ประเมนิ การ ประเมนิ การ ประเมินการ ประเมนิ การ นาเสนอผลงาน นาเสนอผลงาน นาเสนอผลงาน นาเสนอผลงานต่า 18-20 คะแนน 14-17 คะแนน 10-13 คะแนน กวา่ 10 คะแนน 10.2.3 คุณลักษณะ (A) ระดับคุณภาพ - นักเรียนเปน็ ผทู้ มี่ วี นิ ัย ใฝ่เรียนรู้ (4) (3) (2) (1) และมงุ่ ม่นั ในการทางาน ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง นกั เรียนได้ นักเรยี นได้ นกั เรียนได้ นักเรียนได้ คะแนนจากการ คะแนนจาก คะแนนจาก คะแนนจากการ ประเมิน การประเมนิ การประเมนิ ประเมิน คุณลกั ษณะ คณุ ลกั ษณะ คุณลักษณะ คุณลกั ษณะอัน อนั พึงประสงค์ อันพึงประสงค์ อันพึงประสงค์ พึงประสงค์ตา่ 11-12 คะแนน 9-10 คะแนน 6-8 คะแนน กวา่ 6 คะแนน
ใบความรู้ เรือ่ ง การใชว้ สั ดอุ ปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ความหมายของวสั ดุอุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานฉบบั พ.ศ. 2542 กลา่ วถงึ วัสดุและอุปกรณ์ ดงั นี้ วสั ดุ ความหมาย วตั ถทุ น่ี ามาใช้ อุปกรณ์ หมายถงึ เครื่องมือ เครือ่ งใช้ เคร่ืองชว่ ย เคร่อื งประกอบ ดังน้ันวัสดอุ ุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์จงึ หมายถึง วัตถุเคร่ืองมือเครือ่ งใช้ท่นี ามาใช้ในการศึกษาคน้ คว้า มีอยู่ในหอ้ งปฏิบตั ิการทางวทิ ยาศาสตร์ วัสดุอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งได้ ดังน้ี วัสดุทางวิทยาศาสตร์ เคร่ืองแก้ว อุปกรณพ์ ืน้ ฐานอืน่ ๆ (เครือ่ งมอื ชา่ งและเครื่องมือทวั่ ไป) วสั ดุทางวทิ ยาศาสตร์ วัสดุทางวิทยาศาสตร์เป็นวัตถุท่ีนามาใช้แล้วหมดไป เส่ือมสภาพไป ไม่สามารถนากลับมาใช้ใน การศึกษาคน้ ควา้ หรือนากลับมาใช้ทดลองได้อกี เชน่ 1. กระดาษลติ มัส คอื วสั ดทุ ี่ใชใ้ นการทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารละลายตา่ งๆ กระดาษลิตมสั เตรยี มได้ จากสารละลายของผงลิตมสั ซ่ึงสกดั ไดจ้ ากสง่ิ มีชวี ติ จาพวกไลเคนส์ กระดาษลิตมสั มี 2 สี คอื สีแดงกบั สีน้าเงนิ ถ้านากระดาษลิตมัสสีนา้ เงินจมุ่ ลงในสารละลายกรด กระดาษลติ มัสจะเปลยี่ นสจี ากสนี า้ เงินเป็นสีแดง เมอ่ื จ่มุ กระดาษลติ มัสสแี ดงลงในสารละลายเบส กระดาษลิตมสั จะเปล่ยี นสจี ากสีแดงเปน็ สีนา้ เงนิ ภาพที่ 1 กระดาษลิตมสั การใช้กระดาษลติ มสั ต้องใชท้ ีละแผน่ โดยตดั ขนาดพอเหมาะกับท่จี ะใช้ มอื ที่หยบิ ต้องสะอาดและแหง้ ถ้าจะทดสอบกับของเหลวต้องวางกระดาษลิตมัสบนถ้วยกระเบ้ืองแผ่นกระจกหรือกระดาษที่สะอาด แล้วใช้ แทง่ แก้วสะอาดจมุ่ ของเหลวมาแตะ 2. กระดาษยนู ิเวอร์แซลอินดเิ คเตอร์ เปน็ อินดิเคเตอร์ท่มี ีการเปล่ยี นสเี กือบทุกคา่ pH จึงใชท้ ดสอบหาคา่ pH ได้ดี อินดเิ คเตอร์ชนิดนี้มีท้งั แบบทเี่ ป็นกระดาษและแบบสารละลาย
ภาพที่ 2 กระดาษยนู เิ วอร์แซลอนิ ดเิ คเตอร์ การใชย้ นู ิเวอร์แซลอินดเิ คเตอรต์ อ้ งตดั ขนาดพอเหมาะกบั ทจ่ี ะใชม้ ือทห่ี ยบิ ต้องสะอาดและแห้ง ถ้าจะ ทดสอบกับของเหลวต้องวางกระดาษยูนิเวอร์แซลอินดิเคเตอร์บนถ้วยกระเบ้ืองแผ่นกระจกหรือกระดาษที่ สะอาดแล้วใช้แท่งแก้วสะอาดจุม่ ของเหลวมาแตะ แล้วจึงนาไปเทยี บสีบนตลบั จะทราบค่า pH 3. กระดาษกรอง คือ กระดาษที่มีคุณสมบตั ิทคี่ ัดเลอื กอนุภาคหรอื สิ่งเจือปนออกจากสารละลายหรืออากาศ การกรองเป็นวธิ แี ยกของแขง็ ออกจากของเหลวหรอื สารละลาย หรือเป็นการแยกสารท่เี ป็นของแขง็ ทอ่ี ย่ใู นรูป ผลึกหรือตะกอนออกจากของเหลวหรือสารละลายโดยใช้ตัวกรอง เช่น กระดาษกรอง การกรองท่ีมี ประสิทธิภาพดีน้ันขึ้นอยู่กับการเลือกอุปกรณ์ การกรองท่ีเหมาะสมกับลักษณะของตะกอนและใช้เทคนิคที่ ถกู ต้อง กระดาษกรองทใี่ ช้ในห้องปฏบิ ตั กิ ารมหี ลายแบบแบบจาเพาะกบั งาน และแบบทีใ่ ช้ท่ัวไปวสั ดทุ นี่ ามาใช้ ทากระดาษกรอง เช่น เส้นใยจากไม้คาร์บอนหรือเส้นใยแกว้ ควอทซ์ โดยใช้กระดาษกรองร่วมกับอุปกรณ์ที่ใช้ ในการกรอง คือ กรวยกรองหรือกรวยบุชเนอร์ กระดาษกรองมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีความเหมาะสมกับ ลักษณะและขนาดของตะกอน ตลอดจนจุดประสงค์ของการแยกตะกอนแตกต่างกัน ความเร็วของการกรอง ข้ึนอยู่กับการพับกระดาษกรองและการวางตาแหน่งของกระดาษกรองในกรวยกรอง ตลอดจนชนิดของกรวย กรองท่ีใช้ ผู้ใช้ต้องเลือกกระดาษกรองใหเ้ หมาะสมกับลักษณะขนาดและปริมาณของตะกอน กระดาษกรอง สามารถพบั ได้ 2 วิธี คอื การพบั แบบธรรมดาและการพบั แบบจีบ ภาพท่ี 3 การพบั กระดาษกรองแบบธรรมดา
ภาพที่ 4 การพบั กระดาษกรองแบบจบี วธิ กี ารใชก้ ระดาษกรอง เมื่อเลือกกระดาษกรองไดแ้ ลว้ นากระดาษกรองมาพับเป็นรูปกรวย ซงึ่ พับได้หลายวิธี เม่ือพับกระดาษ กรองเรียบร้อยแลว้ นาใส่ในกรวยกรอง โดยวางกระดาษกรองใหแ้ นบกบั กรวย เพ่ือไม่ให้มีอากาศอยู่ระหวา่ ง กระดาษกรองกบั กรวย โดยทากรวยใหเ้ ปยี กกอ่ น การพบั แบบธรรมดา กระดาษแนบกับกรวยทุกส่วนใชก้ รอง ของเยน็ สว่ นแบบจีบใช้กรองของรอ้ น เพราะ แบบจีบจะมชี ่องวา่ งระหว่างกระดาษกรองกับกรวย เวลาเทของ ร้อนลงไปอากาศในก้านกรวยขยายตัวจะออกทางช่องว่างนั้น ถ้าใช้กระดาษกรองที่พับแบบธรรมดาอากาศ ขยายตัวจะดนั ของเหลวไม่ใหไ้ หลออกจากกระดาษกรอง ภาพท่ี 5 การกรอง 4. กระดาษเซลโลเฟนหรอื กระดาษแก้วชนิดหนึ่ง (cellophane) เป็นวสั ดทุ ่ที าจากเซลลโู ลส (cellulose) ใน ไมห้ รือพชื เส้นใยอ่นื ๆ โครงสร้างทางเคมเี ป็นกระดาษแตร่ ปู รา่ งลักษณะจัดเปน็ พลาสติกเปน็ วัสดโุ ปรง่ แสงและ ใสความชืน้ ผ่านไดม้ ากอากาศผา่ นได้นอ้ ย
การนากระดาษเซลโลเฟนมาใช้ประโยชน์ 4.1 ใชห้ ่อหุม้ หรือบรรจุผลิตภณั ฑต์ ่างๆ เชน่ ใชห้ ่อเนอ้ื แช่แขง็ ห่อเบคอนท่ฝี าน ใชบ้ รรจเุ นอื้ สด ทาให้ การซึมผ่านของออกซิเจนเพียงพอ ทาให้เนื้อมีสีแดงสดและยังป้องกันความช้ืนแล้ว กระดาษเซลโลเฟนยัง สามารถปิดผนึกได้งา่ ยดว้ ยความรอ้ น 4.2 ใช้ในการแยกสารประเภทคอลลอยด์ได้ เนื่องจากคอลลอยด์ คือสารผสมที่ประกอบด้วยสารท่ี อนุภาคมีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 10-4- 10-7เซนติเมตร กระจายอยู่ในสารท่ีเป็นตัวกลางอีกชนิดหน่ึง ไม่ สามารถใชก้ ระดาษกรองในการแยกอนุภาคของคอลลอยด์ได้ เนื่องจากอนภุ าคของคอลลอยดม์ ีขนาดเลก็ กว่ารู ของกระดาษกรองแต่ใหญก่ วา่ รขู องกระดาษเซลโลเฟน 4.3 ใช้เป็นเยื่อเลือกผ่านในการทดลองการออสโมซีส (การแพรข่ องน้า) เนื่องจากน้ามีขนาดอนุภาค เลก็ สามารถแพรผ่ า่ นเย่ือเลือกผา่ นได้มวี ธิ กี ารใช้ ดงั น้ี นากระดาษเซลโลเฟนมาตัดให้พอดีกบั ปริมาณของสารที่จะใช้ในการทดลอง (ตัดใหพ้ อดีท่จี ะใส่ลงไป ในภาชนะให้เหลือขอบที่ปากภาชนะเล็กน้อย และภาชนะนั้นต้องบรรจไุ ด้มากกว่าสารทจ่ี ะนามาทดลอง) นา กระดาษเซลโลเฟนที่ตัดมาชุบน้าให้เปยี กคอ่ ยๆ ใส่ลงไปในภาชนะอย่าใหก้ ระดาษเซลโลเฟนขาด แลว้ จงึ นาสาร ท่ีตอ้ งการศึกษาใส่ลงไปใชเ้ ชือกรัดปากไม่ให้ในถงุ มีฟองอากาศและไม่ใหส้ ารล้นออกมานอกถงุ และลา้ งนอกถุง กอ่ นทกุ ครงั้ ภาพที่ 6 การทดลองออสโมซสิ อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตรพ์ ้นื ฐาน: เครื่องแกว้ เคร่ืองแก้วเปน็ อปุ กรณพ์ น้ื ฐานในห้องปฏบิ ัตกิ ารทัว่ ไปแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. เครื่องแก้วท่ีใช้เป็นภาชนะบรรจุเคร่ืองแก้วประเภทนี้จะมีขีดบอกปริมาตรอย่างคร่าวๆ จึงไม่เหมาะท่ีจะ นามาใช้วัดปรมิ าตรใชเ้ ป็นภาชนะบรรจุในการเตรยี มสารละลายหรอื ผสมสารละลาย ได้แก่ บีกเกอร์ (beakers) ขวดรปู ชมพู่ (erlenmeyer flasks) และหลอดทดลอง (test tubes) 2. เคร่ืองแก้วที่ใช้วัดปริมาตร เครื่องแก้วประเภทนี้มีขีดบอกปริมาตร ซ่ึงได้ทาการวัดเทียบกับปริมาตร มาตรฐานแล้ว ได้แก่ กระบอกตวง (cylinder) ขวดวัดปริมาตร (volumetric flask) หลอดหยด (dropper) บิวเรตต์ (burette) และปิเปต (pipette) ซ่ึงแต่ละชนิดจะมีขนาดและความละเอียดมีความถูกต้องแม่นยา แตกต่างกนั การเลือกใช้งานขนึ้ กบั วัตถุประสงค์ของการทดลอง
ตวั อยา่ งเคร่อื งแกว้ ในหอ้ งปฏิบตั ิการวทิ ยาศาสตรร์ ะดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ไดแ้ ก่ 1. บกี เกอร์ เปน็ แก้วใสใช้สาหรบั บรรจสุ ารทมี่ ีปรมิ าณมาก เพอ่ื ละลายสารหรือทาปฏกิ ริ ิยาเคมแี ละสามารถเท สารออกได้ง่ายทางปากบีกเกอร์ บีกเกอรม์ ขี นาดตง้ั แต่ 25 cm3 - 1,000 cm3 และมคี วามจตุ า่ งกัน โดยจะมีขีดบอกปริมาตร แตม่ ิได้มี จดุ ประสงค์ไว้เพอ่ื การตวงของเหลวไดอ้ ย่างแมน่ ยา ทาใหผ้ ู้ใช้สามารถทราบปริมาตรของของเหลวท่บี รรจอุ ยไู่ ด้ อย่างคร่าวๆ จึงสามารถใช้ตวงปริมาตรของเหลวโดยประมาณได้ บีกเกอร์ท่นี ิยมใช้ในห้องปฏิบัติการทาจาก แก้วทนไฟและก็ยังมีชนดิ ทท่ี าดว้ ยพลาสติกท่ไี ม่สามารถตง้ั ไฟได้ แตร่ าคาถูกกว่าปากบกี เกอรเ์ ป็นจงอยเหมือน ปากนกสาหรบั เทน้าออกจากบีกเกอรม์ ีประโยชน์ คอื - ทาใหก้ ารเทของเหลวออกได้โดยสะดวก - ทาใหส้ ะดวกในการวางแทง่ แกว้ คนสารซ่ึงย่ืนออกมาจากฝาที่ปดิ บีกเกอร์ - เป็นทางออกของไอน้าหรือแก๊ส เม่ือทาการระเหยของเหลวในบีกเกอร์ท่ีปิดด้วยกระจกนาฬิกา (watch glass) หรอื แผ่นกระจก 1.1 ส่วนประกอบและรายละเอียดท่ปี รากฏบนบกี เกอร์ ภาพที่ 7 บีกเกอร์ 1.2 วิธีการใช้งาน 1) เลอื กขนาดของบกี เกอรใ์ ห้เหมาะสมกบั งานคานึงถึงปริมาณของเหลวที่บรรจุ โดยปกตใิ ห้ ระดับของเหลวอยตู่ ่ากว่าปากบีกเกอร์ ไม่ควรเกินขีดสงู สดุ ที่ข้างบีกเกอร์ 2) การเทสารออกจากบีกเกอร์ ให้จับแท่งแก้วแตะกับปากบีกเกอร์เอียงบีกเกอร์ให้ของ เหลวไหลตามแทง่ แกว้ ลงสูภ่ าชนะทีร่ องรับ 1.3 ประโยชนข์ องบกี เกอร์ 1) ใชต้ วงปริมาตรของเหลวโดยประมาณ 2) ใชส้ าหรับตม้ สารละลายที่มปี ริมาณมากๆ 3) ใช้สาหรบั เตรียมสารละลายตา่ งๆ 4) ใช้สาหรับตกตะกอนและใชร้ ะเหยของเหลว 2. ขวดรูปชมพู่ ใชเ้ ป็นภาชนะบรรจุในการเตรยี มสารละลายหรือผสมสารละลายมหี ลายขนาดต้งั แต่ 25 cm3- 1,000 cm3 ใช้ค่กู ับอุปกรณอ์ ีกอยา่ งหน่ึงคือบิวเรตต์ (burette) ในการทาปฏกิ ริ ิยาไทเทรตช่ัน (titration) โดย
สารละลายท่ีใช้ใสใ่ นขวดรปู ชมพูจ่ ะเรยี กว่า ไทแทรนด์ (titrand) สารละลายท่ีบรรจใุ นบวิ เรตต์จะเรยี กว่า ไท แทนท์ (titrant) มีลักษณะเป็นทรงกรวย มีขีดบอกปริมาตร แต่มิได้มีจุดประสงค์ไว้ เพื่อการตวงของเหลวได้ อยา่ งแมน่ ยาทาใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถทราบปรมิ าตรของของเหลวทบี่ รรจุอยไู่ ด้อยา่ งคร่าวๆ เทา่ นน้ั จงึ สามารถใชต้ วง ปริมาตรของเหลวโดยประมาณไดเ้ ช่นเดยี วกบั บีกเกอร์ ขนาดท่นี ิยมใชก้ ันมากคือ 250 cm3- 500 cm3 ภาพท่ี 8 ขวดรูปชมพู่ 3. หลอดทดลอง เป็นอุปกรณ์ทใ่ี ชส้ าหรับใสส่ ารละลายหรอื สารเคมใี ดๆ ในปริมาณนอ้ ยๆ เพ่ือทดลองปฏกิ ริ ยิ า เคมรี ะหวา่ งสารต่างๆ ท่เี ป็นสารละลายใช้ตม้ ของเหลวที่มปี รมิ าณนอ้ ยๆ มีทัง้ ชนิดธรรมดาและชนิดทนไฟขนาด จะระบุได้ 2 แบบคือ ความยาวกบั เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางริมนอกหรือขนาดความจเุ ปน็ ปริมาตร ภาพที่ 9 หลอดทดลอง 3.1 ข้อควรระวัง: หลอดทดลองแบบทนไฟจะมีขนาดใหญ่และหนากว่าหลอดธรรมดา ใช้สาหรบั เผา สารตา่ งๆ ดว้ ยเปลวไฟโดยตรงในอุณหภมู ทิ ่สี งู หลอดชนิดนี้ไมค่ วรนาไปใชส้ าหรับทดลองปฏิกิรยิ าเคมรี ะหว่าง สารเหมอื นหลอดธรรมดา 3.2 วธิ กี ารเก็บรักษา: เมือ่ ใช้แลว้ ล้างทาความสะอาดด้วยแปรงลา้ งหลอดทดดลองและเก็บใส่ตะกรา้ ตง้ั ไวใ้ หแ้ ห้งในทป่ี ลอดภยั 4. กระบอกตวง เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ตวงปริมาตรของเหลวท่ีมีอุณหภูมิไม่สูงกว่าอุณหภูมิของห้องปฏิบัติการ กระบอกตวงไม่สามารถใชว้ ัดของเหลวท่ีมอี ณุ หภมู สิ งู ได้ เนือ่ งจากอาจทาให้กระบอกตวงแตกได้ กระบอกตวง สว่ นใหญ่ที่ใช้งานมีขนาดตั้งแต่ 5 cm3 - 2,000 cm3 กระบอกตวงขนาดเลก็ ใช้วดั ปรมิ าตรได้ใกลเ้ คยี งความจรงิ มากกวา่ กระบอกตวงขนาดใหญ่
4.1 การใชก้ ระบอกตวง 1) เทสารละลายจากขวดบรรจสุ ารเคมีลงในบีกเกอร์ ควรเทของเหลวใหม้ ปี รมิ าตรมากกว่าที่ ต้องการใช้เล็กน้อยลงในบีกเกอร์ ของเหลวที่รินออกมาจากภาชนะแล้วห้ามเทส่วนที่เหลือกลับคืน ภาชนะเดิม เม่อื ถา่ ยเทสารจากขวดเสรจ็ เรียบรอ้ ยต้องปิดฝาหรอื จุกทันที ห้ามวางสารเคมีทงิ้ ไว้โดยไม่ ปิดฝา ก่อนปดิ ต้องแนใ่ จวา่ ฝาไม่สลบั กับขวดอื่น 2) เทสารละลายจากบีกเกอร์ลงไปในกระบอกตวงจนส่วนโค้งเว้าต่าสุดอยู่ต่ากว่าขีดบอก ปรมิ าตร 3) ใช้หลอดหยดช่วยในการปรับปริมาตรให้ส่วนโค้งเว้าต่าสุดของสารละลายอยู่ตรงกับขีด บอกปริมาตร 4) อ่านปริมาตรของของเหลวในกระบอกตวงทาไดโ้ ดยใหส้ ่วนโค้งเว้าต่าสุดอยู่ระดับสายตา และอา่ นคา่ ปริมาตรณจดุ ตา่ สดุ ของส่วนโคง้ เว้า 5) ถ่ายเทของเหลวจากกระบอกตวงไปยังภาชนะท่รี องรบั ทาได้ โดยเอยี งกระบอกตวงใหแ้ ตะ กับปากภาชนะทรี่ องรบั เช่น บกี เกอร์ แลว้ เทของเหลวอย่างชา้ ๆ ลงไปจนหมดกระบอกตวง ภาพที่ 10 การใช้กระบอกตวง
4.2 การเก็บรักษากระบอกตวง เมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างให้สะอาดและเก็บตั้งไว้ในตู้เฉพาะ แต่ถ้า กระบอกตวงมีขนาดสงู มากควรวางนอนกับพื้นตเู้ พอื่ กนั ล้มแตก 5. ขวดวัดปริมาตร เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้สาหรบั ตวงของเหลวตามปรมิ าณท่ีตอ้ งการ มีขีดแสดงปรมิ าตรกากบั อยู่ รอบคอขวดเพียงขีดเดียวเป็นขวดแก้วคอยาวและมีจุกปิดด้านบน เพื่อให้เม่ือเขย่าสารแล้วสารนั้นเกิดการ ละลายผสมกันได้อย่างทว่ั ถึง ขวดวัดปริมาตรใช้สาหรับเตรยี มสารละลายทตี่ ้องการความเข้มข้นแนน่ อน เช่น สารละลายตวั อยา่ ง, สารละลายมาตรฐานแล้วทาให้สารละลายทีไ่ ดม้ คี วามเขม้ ขน้ น้อยกว่าสารละลายเดมิ ภาพที่ 11 ขวดวัดปรมิ าตร 5.1 วิธีใช้ขวดวดั ปริมาตรในการเตรยี มสารละลาย 1) เมื่อทราบความเข้มขน้ ของสารละลายที่ต้องการเตรยี มแล้วจึงตวงสารท่ีต้องการลงในขวด ปริมาตร (ถา้ เปน็ ของเหลวใช้ปิเปตถ้าเปน็ ของแขง็ ใชเ้ คร่อื งชง่ั ) 2) เติมตัวทาละลายลงไปในขวดปรมิ าตรใหม่มีปรมิ าตร ¾ ของขวดปิดจุกขวดแล้วให้ใชม้ ือ ข้างหน่ึงกดฝาไว้นาไปวางบนอีกฝ่ามอื หนึ่งแลว้ คว่า-หงายขวด (ไม่ควรหมุนขวดเพราะอาจทาให้คอ ขวดหกั ได)้ 3) ถ้าเป็นของแข็งให้ละลายในบกี เกอร์ กอ่ นใชต้ วั ทาละลายเลก็ น้อยใหส้ ารละลายหมด แลว้ จึงเทใสข่ วดปรมิ าตร ล้างบีกเกอร์ดว้ ยน้าทลี ะนอ้ ยเทรวมลงไปในขวดหลายๆ ครั้ง เตมิ น้าใหม้ ีระดบั ท่ี ขดี แล้วใชว้ ธี ีคว่า-หงายขวดปริมาตร หมายเหตุ ถ้าเป็นการเตรียมสารละลายกรดเข้มข้นให้เจือจาง ต้องเติมน้าลงไปในขวดปริมาตร ประมาณ ¾ ของขวด แลว้ จึงเตมิ กรดทีต่ วงลงไป 4) เติมตัวทาละลายลงในขวดปริมาตรจนสว่ นโค้งเว้าต่าสุดของสารละลายอยู่ต่ากว่าขีดบอก ปริมาตร 5) ใช้หลอดหยดหรือบิวเรตต์เติมตัวทาละลาย จนส่วนโค้งเว้าต่าสุดอยู่ตรงกับขีดกาหนด ปริมาตร 6) ปดิ จุกขวดปริมาตร แล้วควา่ ขวดจากบนลงล่าง จากน้ันเปิดจกุ ตัง้ ทิ้งไวป้ ระมาณ 30 วนิ าที เพื่อไล่ฟองอากาศภายในขวดวัดปริมาตรออกไป ทาแบบนี้ 2-3 คร้ัง เพ่ือให้สารละลายผสมเป็นเน้ือ เดียวกันและมเี น้อื สารเทา่ เทียมกนั ทกุ ส่วน
5.2 ขอ้ ควรระวงั 1) ขณะทาการทดลองควรจับทคี่ อขวดวัดปริมาตร อยา่ จบั ที่ตวั ขวดวัดปริมาตร เพราะจะทา ใหส้ ารละลายอ่นุ ข้นึ เนอื่ งจากความร้อนจากมอื 2) การอ่านปริมาตรต้องใหร้ ะดบั สายตาอยู่ในระดับเดียวกนั กับขีดบอกปรมิ าตร เพ่ือปอ้ งกัน การอา่ นปริมาตรผิด 3) ในระดับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาตอนต้น การเตรียมสารท่ีใช้ในการทดลองยังไม่มี ความละเอยี ดซบั ซ้อนมากนัก สามารถใช้หลอดฉีดยาแทนปิเปต และใชห้ ลอดหยดแทนบิวเรตต์ 1.หลอดหยด เป็นอปุ กรณ์ที่ใช้สาหรับตวงของเหลวปรมิ าณนอ้ ยๆ โดยการนบั จานวนหยดของของเหลวทห่ี ยด ลงไปและสามารถเทียบมาตรฐาน (calibrate) ด้วยกระบอกตวง แล้วใช้เป็นค่าโดยประมาณสาหรับทาการ ทดลองต่อไปได้ มีลักษณะเป็นหลอดแกว้ ปลายขา้ งหนงึ่ ยาวเรียวเลก็ และปลาย อีกขา้ งหนงึ่ มกี ระเปาะยางสวมอยู่ ภาพท่ี 12 หลอดหยด 6.1 การใช้งานหลอดหยด 1) ใช้สาหรับหยดสารละลายหรอื ใช้ช่วยเตรียมสารละลายร่วมกับขวดวัดปริมาตร โดยหยด เพ่อื ปรับปริมาตรใหถ้ ึงขดี บอกปรมิ าตร 2) ใช้สาหรับดูดของเหลวต่างๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เช่น ดูด สารละลายดา่ งทับทมิ เกลอื แกง กรดตา่ งๆ เปน็ ต้น 6.2 วิธใี ช้งาน 1) บบี จุกยางพอประมาณกับสารที่ต้องการดดู แล้วจ่มุ ลงในของเหลว 2) ปลอ่ ยมอื ทบ่ี บี จกุ ยางใหส้ ารเข้าไปในหลอดหยด 3) บีบจุกยางใหข้ องเหลวหยดทีละหยดอย่างสม่าเสมอและนบั จานวนหยด 6.3 ขอ้ ควรระวงั 1) หา้ มหงายหลอดหยด อยา่ ใหป้ ลายหลอดหยดกระทบหรอื แตะกับหลอดทดลอง 2) อย่าใหส้ ารละลายสัมผสั กับกระเปาะยาง เพราะจะทาให้สารละลายถกู ปนเป้ือนได้และถ้า สารละลายมฤี ทธ์ิเปน็ กรดก็จะกัดกร่อนกระเปาะยางด้วย ดงั น้นั เม่อื ทาการทดลองเสร็จแลว้ ควรรบี ดึง กระเปาะยางออกจากหลอดแก้วทนั ที 3) หลอดหยดเมื่อใช้ดูดสารชนิดหน่ึงแล้วห้ามนาไปดูดสารต่างชนิดกัน ถ้ายังไม่ได้ทาความ สะอาด
4) การเกบ็ รักษาใชเ้ สร็จเรยี บรอ้ ยแล้วทาความสะอาดทงิ้ ไวใ้ ห้แห้งเองและเก็บไวใ้ นตอู้ ปุ กรณ์ ถ้ารบี ใช้งานใหใ้ ช้วิธีการอบใหแ้ หง้ อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์พนื้ ฐานอ่นื ๆ 1. หลอดฉีดยา เป็นอุปกรณ์วดั และตวงปริมาตรของเหลว เพราะมีขีดบอกปริมาตรและไดม้ าตรฐานหลอดฉีด ยาท่ีนิยมใช้ในโรงเรยี นจะทาด้วยพลาสติก เพราะราคาถกู และหาซื้อได้ง่าย สว่ นงานทีต่ อ้ งการความถูกตอ้ งสูง หรือใชก้ ับสารที่มเี ป็นกรดแก่ เบสแก่ จะใชห้ ลอดฉีดยาท่ที าด้วยแกว้ หลอดฉดี ยาในหอ้ งปฏิบตั กิ ารวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปมีขนาด 5 cm3 - 35 cm3 1.1 สว่ นประกอบและรายละเอยี ดท่ปี รากฏบนหลอดฉดี ยา ภาพท่ี 13 หลอดฉีดยา 1.2 วิธกี ารใชง้ าน 1) เลอื กขนาดของหลอดฉีดยาใหเ้ หมาะสมกับปริมาตรที่ตอ้ งการวัด 2) ดึงกา้ นหลอดฉีดยาขึ้นและกดลง เพ่อื ใหย้ างที่ปลายกา้ นหลอดฉีดยาเลือนได้คล่อง 3) กดก้านหลอดฉดี ยาจนสุดเพอื่ ไลอ่ ากาศออกให้หมด 4) จ่มุ ปลายหลอดฉดี ยาลงในของเหลวคอ่ ยๆ ดงึ ก้านหลอดฉดี ยาขนึ้ ขณะท่ดี ดู สารละลาย เขา้ ไปในหลอดฉดี ยาระวงั อย่าใหม้ ฟี องอากาศ ถา้ มีต้องกดก้านหลอดฉีดยาลงไปจนสดุ เพ่อื ไลอ่ ากาศ แล้วค่อยๆ ดึงก้านหลอดฉดี ยาดูดสารขนึ้ มาในหลอดตามปรมิ าณท่ีต้องการ ให้สว่ นที่โค้งต่าสดุ ของลูก ยางตรงกับขดี ปริมาตรที่ต้องการ 1.3 การเก็บรักษา ห้ามใช้หลอดฉีดยาท่ีทาด้วยพลาสติกตวงสารอินทรีย์ เพราะจะทาให้พลาสติก ละลายเมอ่ื เสรจ็ งานแลว้ ตอ้ งลา้ งทาความสะอาดเช็ดให้แห้งสนทิ 1.4 ขอ้ ควรระวงั 1) เมื่อดูดสารละลายเข้ามาในหลอดฉีดยาแล้วปรับปริมาตรให้ช้ีปลายเข็มฉีดยาข้ึนแล้วทา การไลฟ่ องอากาศออกด้วย 2) ห้ามใช้หลอดฉีดยาทที่ าด้วยพลาสติกตวงสารอนิ ทรยี เ์ พราะพลาสตกิ จะละลาย 3) เมื่อใช้เสร็จแลว้ ต้องล้างใหส้ ะอาด โดยดงึ แยกออกจากกนั และนาแต่ละสว่ นมาล้าง วางไวใ้ หแ้ ห้งแล้วจงึ นามาสวมเขา้ ตามเดมิ ต่อไป 2. กรวยกรอง เป็นอุปกรณท์ ี่ใช้คู่กบั กระดาษกรองในการแยกของแข็งออกจากของเหลว และมักจะใช้ในการ ถ่ายเทสารเคมีจากภาชนะทีม่ ขี นาดใหญล่ งในภาชนะท่มี ขี นาดเล็ก เชน่ เทสารละลายลงในบิวเรต กรวยกรองมี
มุมเกือบๆ 60 องศาและมีท้ังแบบก้านสนั้ และกา้ นยาว กรวยก้านยาวจะกรองได้เร็วกว่ากรวยก้านสนั้ ขนาด ของกรวยกรองจะใหญห่ รือวา่ เลก็ ขึ้นอยกู่ ับความยาวของเส้นผา่ นศนู ย์กลางวัดขอบนอก ขนาดทนี่ ยิ มใชม้ ีดงั นี้ ภาพท่ี 14 กรวยแกว้ 3. กระจกนาฬกิ า มีรปู คล้ายนาฬิกาเรือนกลมขนาดขนึ้ อยู่กับความยาวของเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง ภาพที่ 15 การใช้กระจกนาฬิกาปดิ บกี เกอร์ 3.1 การใช้งาน 1) ใช้สาหรับปิดบีกเกอร์หรืออุปกรณ์อ่ืนๆ เพ่ือป้องกันสารอื่นๆ หรือฝุ่นละอองตกลงใน สารละลายท่ีบรรจอุ ย่ใู นบีกเกอร์ (อาจใชก้ ระจกเรียบแทนก็ไดถ้ า้ ไม่ได้ใสส่ ารที่กระจกนาฬกิ า) 2) ใช้ป้องกนั สารละลายกระเด็นออกจากบีกเกอร์ เมื่อทาการตม้ หรือระเหยสารละลาย 3) ใชเ้ ปน็ ภาชนะในการใสส่ ารเคมีท่เี ป็นของแขง็ เพ่ือทดสอบการทาปฏิกิรยิ าของสาร 4) ใช้ระเหยสารทไี่ วไฟเช่นคารบ์ อนไดซลั ไฟดอ์ ีเทอร์แอซโี ตนฯลฯ จะระเหยโดยใชค้ วามรอ้ น จากเปลวไฟโดยตรงไมไ่ ด้เพราะอาจเกดิ อุบตั เิ หตุไฟไหม้ 3.2 การเลอื กใชค้ วรเลอื กใหเ้ หมาะสมกบั ขนาดของบีกเกอร์ ขนาดทีน่ ยิ มใชม้ ดี งั นี้ ภาพท่ี 16 กระจกนาฬิกา
4. แท่งแก้วคนสาร ใช้สาหรับคนสาร ปลายด้านหน่ึงเปน็ แบบพาย เพื่อช่วยในการกวนสารหรือใช้เมอ่ื จะเท สารท่ีเปน็ ของเหลวจากภาชนะหนง่ึ ลงในภาชนะอกี ชนิดหน่งึ โดยจะเทสารให้ไหลไปตามแท่งแก้วคนสาร ภาพที่ 17 แทง่ แกว้ คนสาร วธิ ีการใช้แท่งแก้ว ดงั น้ี 4.1 ใช้คนสาร เป็นการคนของแข็งให้ละลายเป็นเน้ือเดียวกันกับตัวทาละลาย หรือเป็นการกวนให้ สารละลายผสมกัน โดยใช้แท่งแก้วการคนสารละลายต้องคนไปในทิศทางเดียว และระวังอย่าให้แท่งแก้ว กระทบกบั ข้างบกี เกอร์ การผสมสารในหลอดทดลองใช้การเขย่าหรือใช้การกระทบกบั ฝ่ามือแทนการคน จะใช้ แท่งแกว้ คนสารในหลอดทดลองเมือ่ จาเปน็ จรงิ ๆ เทา่ นนั้ คือเมอื่ ใชก้ ารกระทบกับฝา่ มอื แล้วสารยังไมผ่ สมกนั จงึ ใช้แทง่ แกว้ คนและระวังไม่ใหแ้ ท่งแก้วกระทบกับข้างหลอดทดลองหรอื กน้ หลอดทดลอง เพราะจะทาให้หลอด ทดลองทะลไุ ด้ 4.2 ใช้ในการเทสารท่ีเป็นของเหลวจากภาชนะหน่ึงลงในภาชนะอีกชนดิ หนึ่ง โดยถือแทง่ แกว้ คนสาร ให้สัมผสั ปากของบกี เกอรบ์ รเิ วณทจี่ ะใหส้ ารไหลออก เอียงบกี เกอร์ เพื่อให้สารไหลลงมาตามแท่งแก้วคนสารลง สู่ภาชนะรองรับ 5. ชอ้ นตกั สาร เป็นอปุ กรณ์ทใ่ี ช้สาหรับตักสาร เพอ่ื นาไปชัง่ น้าหนกั ให้ได้ปริมาณสารเคมีตามทตี่ ้องการหรอื ใช้ ตวงสารท่เี ปน็ ของแขง็ โดยประมาณตามขนาดเบอรข์ องช้อน เชน่ ตกั โซเดยี มคลอไรด์ 2 ชอ้ นเบอร์ 1 ช้อนตัก สารทาดว้ ยพลาสตกิ หรือสแตนเลส (stainless steel) เมอื่ ใช้แลว้ ตอ้ งทาความสะอาด และผง่ึ ใหแ้ ห้งก่อนทจี่ ะ ใชต้ กั สารชนดิ อ่นื ๆ มเิ ช่นนัน้ แลว้ จะทาใหส้ ารเคมีในขวดเกดิ การปนเป้ือนได้ ภาพท่ี 18 ชอ้ นตักสาร 5.1 การใชช้ อ้ นตักสาร 1) ค่อยๆ เปิดขวดสารแล้วหงายจุกวางไว้ใช้ช้อนตักสารให้พอดี ใช้น้ิวหรือดินสอเคาะก้าน ชอ้ นเบาๆ เพอื่ เทสารในช้อนออกตามปริมาณทีต่ อ้ งการ
2) ถ้าเป็นช้อนท่ีมีเบอรส์ าหรบั ตวงสารปริมาณต่างกันให้ใช้ช้อนด้ามท่ี 1 ตักสารก่อนใหพ้ นู ช้อนโดยไม่ต้องกดใหแ้ น่นแลว้ จึงใช้ด้ามช้อนอีกด้ามหนึง่ ปาดผิวให้เรยี บจะได้สาร 1 ช้อนในปริมาณ ตามเบอร์นั้นๆ 5.2 การเกบ็ รักษา 1) เมอ่ื ใชช้ ้อนตกั สารแล้วตอ้ งทาความสะอาดช้อนให้แห้งก่อนใชต้ ักสารชนดิ อื่น 2) หา้ มใชช้ อ้ นตกั สารในขณะที่สารยงั ร้อน ภาพท่ี 19 วธิ กี ารใชช้ อ้ นตกั สาร 6.ตะเกียงแอลกอฮอล์ เป็นอุปกรณ์ใช้ในการให้ความร้อนแก่สารตัวภาชนะที่บรรจุแอลกอฮอล์ท่ีใช้เป็น เช้ือเพลิงทาด้วยอลูมเิ นียมหรอื แกว้ ขนาดสูงประมาณ 3 น้ิวมีฝาครอบ ทาด้วยอลูมเิ นียมหรือแก้วเช่นกัน เพื่อ ช่วยในการดบั ไฟและป้องกนั แอลกอฮอลร์ ะเหย มีไส้ตะเกียงทาด้วยเส้นใยฝ้าย แอลกอฮอล์ทใ่ี ช้เป็นเชื้อเพลิง คือเอทิลแอลกอฮอล์ จะใหค้ วามร้อนสูงและไม่มีควนั (ห้ามใชเ้ มทิลแอลกอฮอล์หรอื เมทานอลเพราะถ้าหายใจ เอาเมทานอลเข้าไปมากๆ จะทาให้เกดิ การปวดทอ้ ง เวียนหวั คลืน่ ไส้ อาเจยี น กล้ามเนื้อกระตกุ หายใจลาบาก การมองเห็นจะผิดปกติจนอาจทาให้ตาบอดได้ แต่หากด่ืมเข้าไปทางเดินอาหารจะดูดซึมและกระจายเข้าสู่ กระแสเลอื ดทันที มีผลให้เกดิ อาการคลืน่ ไส้ อาเจยี น ทอ้ งเดิน เหน็ ภาพไม่ชัด มีผลต่อประสาทตา อาจทาให้ตา บอด ท่ีสาคัญยังมีผลต่อระบบหายใจ ทาให้ไตอักเสบ กล้ามเน้ือตับตาย หรือโลหิตเป็นพิษ อันตรายถึงขั้น เสียชีวิตในทสี่ ดุ 6.1 วธิ กี ารใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ 1) ก่อนใชต้ ้องตรวจดูสภาพไส้ตะเกยี งและท่ยี ึดว่ามีสภาพพรอ้ มใชง้ าน ไม่แตกร้าว ความยาว ไส้ตะเกยี งเพยี งพอได้ เชน่ ส่วนยึดไส้ตะเกยี งไม่รา้ วหรอื แตกและปรมิ าณแอลกอฮอล์ในตะเกียงมีมาก นอ้ ยเพียงใด 2) เตมิ แอลกอฮอล์ประมาณครึ่งหน่งึ ของตะเกียงและอย่าให้หกเลอะขอบตะเกียง เช็ดให้แห้ง โดยใช้กรวยและเติมด้วยความระมัดระวัง อย่าให้หก เพราะเมื่อจุดตะเกียงแล้วอาจทาให้ไฟไหม้ ลุกลามได้ 3) ปรับไสต้ ะเกยี งเพอ่ื ให้ไดข้ นาดเปลวไฟตามทตี่ อ้ งการ 4) จดุ ตะเกยี งโดยใชไ้ ม้ขีดไฟ เมือ่ ใช้ตะเกยี งแอลกอฮอล์เสรจ็ แลว้ ต้องดบั ตะเกยี งทันที โดยใช้ ฝาครอบหา้ มเปา่ โดยเด็ดขาด
6.2 ข้อควรระวงั 1) อย่าใช้ตะเกยี งไปต่อกับตะเกยี งดวงอื่น เพราะอาจทาให้แอลกอฮอล์ในตะเกียงหกออกมา และติดไฟได้ 2) การดับตะเกียงหา้ มใช้ปากเปา่ ให้ดับ ใหใ้ ชฝ้ าครอบปดิ ให้สนทิ 3) ควรมกี ระป๋องทรายเพือ่ ทิ้งไม้ขีดไฟ ภาพที่ 20 ตะเกยี งแอลกอฮอล์และการดบั ตะเกียง 6.3 การเก็บรักษา: ทาความสะอาดหลังใช้งานครอบฝาตะเกียงให้สนิททุกคร้ัง เพ่ือป้องกันมิให้ แอลกอฮอล์ระเหยแล้วเก็บเขา้ ตู้ 7. กล้องจุลทรรศน์ เป็นอุปกรณ์สาหรับดูวัตถุท่ีมีขนาดเล็กเกินกว่ามองเห็นด้วยตาเปล่า กล้องจุลทรรศน์ สามารถแบ่งออกเปน็ ประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือกล้องจลุ ทรรศน์แบบใช้แสง (Optical microscopes) และกลอ้ งจลุ ทรรศนอ์ เิ ลก็ ตรอน (Electron microscopes) กลอ้ งจุลทรรศน์ที่ใชใ้ นหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารวทิ ยาศาสตร์ สว่ นใหญเ่ ปน็ กลอ้ งจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงมีเลนสอ์ ย่างนอ้ ย 1 ชน้ิ เพื่อทาการขยายภาพวตั ถทุ ีว่ างในระยะโฟกัส ของเลนส์น้ันๆ 7.1 สว่ นประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ 1) ฐาน (Base) เปน็ ส่วนที่ใชว้ างบนโต๊ะทาหนา้ ท่ีรบั นา้ หนกั ท้งั หมดของกล้องจุลทรรศน์ มีรปู ร่างส่เี หลย่ี มหรือวงกลม ทีฐ่ านจะมีป่มุ สาหรับปดิ เปดิ ไฟฟา้ (กรณใี ช้แสงจากหลอดไฟ) 2) แขน (Arm) เป็นสว่ นเชื่อมตัวลากลอ้ งกบั ฐาน ใชเ้ ป็นทีจ่ ับเวลาเคล่อื นยา้ ยกลอ้ ง จุลทรรศน์ 3) ลากล้อง (Body tube) เป็นส่วนทปี่ ลายด้านบนมเี ลนส์ตา ส่วนปลายดา้ นล่างตดิ กับ เลนส์วัตถุ ซง่ึ ตดิ กับแผน่ หมนุ ได้ เพ่ือเปลย่ี นเลนส์ขนาดต่างๆ ตดิ อย่กู ับจานหมุน 4) ปุ่มปรับภาพหยาบ (Coarse adjustment) ทาหนา้ ทปี่ รบั ภาพโดยเปล่ียนระยะโฟกสั ของเลนส์ใกลว้ ัตถุ (เลอ่ื นลากลอ้ งหรือแท่นวางวัตถขุ ้นึ ลง) เพ่ือทาใหเ้ หน็ ภาพชดั เจน 5) ปุม่ ปรบั ภาพละเอียด (Fine adjustment) ทาหนา้ ท่ีปรบั ภาพใหช้ ัดเจนมากขึ้น 6) เลนส์ใกลว้ ัตถุ (Objective lens) เปน็ เลนสท์ ่อี ยใู่ กลก้ บั แผน่ สไลด์หรอื วัตถุโดยปกติ เลนส์ใกลว้ ัตถุจะติดกับแป้นวงกลมซ่ึงมีประมาณ 3-4 อันแตล่ ะอันจะมกี าลงั ขยายบอกไวเ้ ช่น 4x, 10x, 40x และ 100x เปน็ ตน้ ภาพท่ีเกิดจากเลนสใ์ กลว้ ตั ถุเปน็ ภาพจรงิ หวั กลับ
ภาพท่ี 21 สว่ นประกอบของกล้องจลุ ทรรศน์ 7) เลนส์ใกล้ตา (Eye piece) เป็นเลนส์ท่ีอยู่บนสุดของลากล้อง โดยทั่วไปมีกาลังขยาย10x หรือ 15x ทาหน้าที่ขยายภาพที่ได้จากเลนส์ใกล้วัตถุให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทาให้เกิดภาพที่ตาผู้ศึกษา สามารถมองเห็นไดโ้ ดยภาพท่ไี ดเ้ ป็นภาพเสมือนหัวกลับ 8) เลนส์รวมแสง (Condenser) ทาหน้าทร่ี วมแสงใหเ้ ขม้ ข้ึนสวา่ งข้ึนเพือ่ ส่องไปยงั วัตถุ 9) กระจกเงา (Mirror) ทาหน้าท่ีสะท้อนแสงจากธรรมชาติภายในห้องให้ส่องผ่านวัตถุ โดยท่ัวไปกระจกเงามี 2 ดา้ น ดา้ นหนึ่งเป็นกระจกเงาเวา้ อีกดา้ นเป็นกระจกเงาระนาบ สาหรับกลอ้ ง ร่นุ ใหม่จะใช้หลอดไฟเปน็ แหล่งกาเนิดแสงซง่ึ สะดวกและชดั เจนกวา่ 10) ไดอะแฟรม (Diaphragm) อยใู่ ตเ้ ลนสร์ วมแสงทาหนา้ ท่ีปรับปริมาณแสงให้เข้าสู่เลนส์ใน ปริมาณทตี่ ้องการ 11) แท่นวางวตั ถุ (Speciment Stage) เป็นแท่นใชว้ างแผ่นสไลด์ที่ต้องการศกึ ษา 12) ท่ีหนีบสไลด์ (Stage Clip) ใช้หนีบสไลด์ให้ติดอยกู่ ับแทน่ วางวัตถุกลอ้ งรุ่นใหม่จะมีทยี่ ึด สไลด์ (Mechanical stage) แทน เพอื่ ควบคุมการเลื่อนสไลด์ใหส้ ะดวกย่ิงข้ึน 13) จานหมนุ (Revolving nosepiece) ใชห้ มุนเมอ่ื ต้องการเปลี่ยนกาลงั ขยายของเลนส์ใกล้ วตั ถุ 7.2 วิธีการใชก้ ล้องจุลทรรศนแ์ บบใช้แสง 1) วางกลอ้ งให้ฐานอยู่บนพน้ื รองรบั ท่ีเรียบสม่าเสมอเพื่อใหล้ ากล้องต้ังตรง 2) หมุนเลนส์ใกลว้ ัตถุอันทม่ี กี าลังขยายต่าทีส่ ดุ มาอยตู่ รงกบั ลากลอ้ ง 3) ปรับกระจกเงาใตแ้ ท่นวางวตั ถใุ หแ้ สงสะท้อนเข้าลากลอ้ งเตม็ ที่ 4) นาสไลด์ที่จะศึกษามาวางบนแทน่ วางวัตถุให้วัตถุอยกู่ ลางบริเวณท่ีแสงผา่ น ค่อยๆ หมุน ปุ่มปรับภาพหยาบให้ลากลอ้ งเลื่อนลงมาอยู่ใกล้วัตถุที่จะศึกษามากที่สุด โดยระวังอย่าให้เลนส์ใกล้ วตั ถสุ ัมผัสกบั กระจกปดิ สไลด์
5) มองผ่านเลนส์ใกล้ตาลงตามลากล้องพรอ้ มกับหมนุ ปมุ่ ปรับภาพหยาบข้นึ ช้าๆ จนมองเหน็ วัตถุท่ีจะศึกษาแล้วจึงเปลี่ยนมาหมุนปรบั ปมุ่ ภาพละเอียด เพื่อปรับภาพให้ชัดอาจเล่ือนสไลด์ไปมา ช้าๆเพ่อื ใหส้ ิง่ ท่ตี ้องการศกึ ษาอยกู่ ลางแนวลากล้องขณะปรับภาพ 6) ถ้าต้องการขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น ให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุอันท่ีมีกาลังขยายสูงข้ึนเข้ามาใน แนวลากลอ้ ง และไม่ควรขยบั สไลด์อกี แล้วหมุนป่มุ ปรับภาพละเอยี ดเพอื่ ให้เหน็ ภาพชัดเจนขน้ึ 7.3 การระวังรักษากล้องจุลทรรศน์ เนื่องจากกล้องจุลทรรศน์เป็นอุปกรณ์ท่ีมีราคาสูงและมี สว่ นประกอบท่อี าจเสียหายง่ายโดยเฉพาะเลนส์จงึ ตอ้ งใช้และเกบ็ รักษาด้วยความระมัดระวังให้ถูกวิธี ซง่ึ มวี ธิ ีปฏิบัติ ดังนี้ 1) การยกกล้อง ควรใช้มือหนึ่งจับที่แขนกล้องและอีกมือหน่ึงรองรับที่ฐานลากล้องต้ังตรง เสมอเพ่อื ปอ้ งกันการเลอ่ื นหลดุ ของเลนส์ใกล้ตาซงึ่ สามารถถอดออกไดง้ ่าย 2) สไลด์และกระจกปิดสไลด์ต้องไม่เปยี ก เพราะอาจทาใหแ้ ท่นวางเกดิ สนิมและทาให้เลนส์ ใกลว้ ัตถชุ ื้นและเกิดราทเี่ ลนส์ได้ 3) ขณะที่ตามองผ่านเลนสใ์ กลต้ า เม่อื จะตอ้ งหมุนปุม่ ปรบั ภาพหยาบต้องหมุนขนึ้ เทา่ นน้ั หา้ ม หมนุ ลงเพราะเลนส์ใกล้วตั ถุอาจกระทบกระจกสไลดท์ าให้เลนสแ์ ตกได้ 4) การหาภาพต้องเร่ิมต้นด้วยเลนส์วัตถุกาลังขยายต่าสุดก่อนเสมอ เพราะปรับหาภาพ สะดวกท่สี ดุ เมอ่ื ใช้เลนส์ใกล้วัตถทุ ่มี ีกาลังขยายสูงจะปรบั ภาพโดยหมนุ ปุ่มปรับภาพละเอียดเทา่ น้ัน 5) ห้ามใช้มอื แตะเลนส์ ในการทาความสะอาดใหใ้ ช้กระดาษสาหรับเช็ดเลนส์เท่านั้น 6) เม่ือใช้เสร็จแล้วเอาวัตถุที่ศึกษาออก เลื่อนท่ีหนีบสไลด์ให้ต้ังฉากกับแท่นวางวัตถุปิดไฟ หรือปรบั กระจกให้อยู่ในแนวดิง่ ตั้งฉากกับตัวกลอ้ ง หมุนเลนส์ใกลว้ ัตถทุ ่ีมกี าลังขยายต่าให้ตรงกบั ตวั กล้องเลื่อนใหอ้ ยใู่ นระดับต่าสุด ใช้ผา้ นุ่มทาความสะอาดสว่ นท่เี ปน็ โลหะเก็บเขา้ ตูใ้ หเ้ รยี บรอ้ ย กาลังขยายของกล้องจลุ ทรรศน์ = กาลงั ขยายของเลนส์ใกลว้ ตั ถุ x กาลงั ขยายของเลนส์ใกลต้ า 7.4 สตู รสาคญั เก่ยี วกบั กลอ้ งจุลทรรศน์ 8. เทอรม์ อมเิ ตอร์ เปน็ เครอ่ื งมือสาหรบั วดั ระดับความร้อนภายในบรรจขุ องเหลวทีม่ สี มบัตขิ ยายตัว เมือ่ ได้รับ ความร้อนและหดตวั เมอื่ คายความร้อน ของเหลวท่ีใช้บรรจใุ นกระเปาะแก้วของเทอร์มอมิเตอร์คอื ปรอทหรือ แอลกอฮอล์ท่ีผสมกับสีแดง เพราะปรอทหรอื แอลกอฮอล์ไวต่อการเปล่ียนแปลงของอุณหภูมิและไม่เกาะผวิ ของหลอดแก้ว เมื่อได้รับความร้อนจะขยายตัวขึ้นไปตามหลอดแก้วเลก็ ๆ เหนือกระเปาะแก้วและจะหดตวั ลง ไปอยใู่ นกระเปาะตามเดมิ ถา้ อุณหภมู ิลดลง
8.1 ชนิดของเทอร์มอมิเตอร์ เทอร์มอมิเตอรท์ ีน่ ยิ มใช้กันมากมี 2 ชนิด คือ 1) เทอรม์ อมเิ ตอรแ์ บบหลอดแกว้ ภาพท่ี 22 เทอรม์ อมเิ ตอรแ์ บบหลอดแก้ว 2) เทอร์มอมิเตอรแ์ บบดจิ ิตอล ภาพที่ 23 เทอรม์ อมิเตอรแ์ บบดจิ ติ อล 8.2 การใช้งานเทอร์มอมิเตอร์แบบหลอดแก้ว: เทอร์โมมิเตอร์ท่ีนามาใช้งานจะวัดอุณหภูมิได้ต่าสุด และสงู สดุ กอ่ี งศาเซลเซียส (ดไู ด้จากสเกลขา้ งหลอดแกว้ ) ขน้ึ อยูก่ ับการออกแบบ เพ่อื นาไปใช้ให้ตรงกับลกั ษณะ งานดังนี้ 1) เทอร์มอมิเตอร์แบบธรรมดาหรือเทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิของสาร โดยทั่วไปมีการกาหนด อณุ หภูมิที่ใช้เปน็ มาตรฐานในการแบง่ ช่องสเกล ดังน้ี 1.1) จดุ เดอื ด (boiling point) คอื จดุ เดอื ดของนา้ บริสุทธิ์ที่ความดนั 1 บรรยากาศ จดุ เดือด น้อี าจเรยี กอีกอยา่ งหน่ึงว่า จุดควบแน่น 1.2) จดุ เยอื กแข็ง (freezing point) คอื จุดเยอื กแขง็ ของน้าบริสุทธิ์ที่ความดัน 1 บรรยากาศ จุดเยอื กแขง็ นี้อาจเรียกอีกอยา่ งหนึ่งวา่ จุดหลอมเหลว เทอรม์ อมิเตอรน์ ้ีจึงมีสเกลแบง่ ตามหนว่ ยอุณหภูมิ ดงั นี้ (1) แบบเซลเซียส แบง่ สเกลไว้ 100 ช่อง มีจุดเยอื กแข็ง 0 °C จุดเดอื ด 100 °C (2) แบบฟาเรนไฮต์ แบ่งสเกลไว้ 180 ช่อง มีจดุ เยอื กแข็ง 32 °F จุดเดือด 212 °F (3) แบบโรเมอร์ แบง่ สเกลไว้ 80 ชอ่ ง มจี ดุ เยือกแข็ง 0 °R จุดเดือด 80 °R (4) เแบบเคลวนิ แบง่ สเกลไว้ 100 ชอ่ ง มจี ดุ เยอื กแข็ง 273 K จดุ เดือด 373 K
2) เทอร์มอมิเตอรว์ ดั ไข้มีลักษณะทีส่ าคญั ดังนี้ 2.1) ของเหลวท่บี รรจุภายในมกั จะเปน็ ปรอทเทา่ นั้น 2.2) มชี ่วงบอกคา่ อณุ หภมู ชิ ว่ งส้นั คือในช่วงระหว่าง 35 - 42 องศาเซลเซยี ส เพราะเทอรม์ อ มิเตอร์วัดไข้ใช้สาหรบั วัดอุณหภูมขิ องร่างกาย และอุณหภูมิปกติของรา่ งกายมีคา่ ประมาณ 37 องศา เซลเซยี ส การที่ชว่ งบอกคา่ อุณหภูมิสัน้ ทาให้ช่วงมาตราส่วนบอกอุณหภูมิขยายใหญ่ข้ึน สามารถอา่ น คา่ ไดช้ ัดเจนละเอียดและมีความผิดพลาดนอ้ ย 2.3) ภายในหลอดแก้วตอนบนเหนือกระเปาะเล็กน้อยจะมีลกั ษณะงอโค้งและมรี ูตีบเลก็ ลง เพ่อื ป้องกนั ไม่ใหป้ รอทไหลกลบั สกู่ ระเปาะเร็วเกนิ ไป กอ่ นท่ีจะอา่ นคา่ อุณหภมู ิได้ทัน ทาใหก้ ารอ่านคา่ ไม่ผิดพลาดไปมากหลงั จากดงึ ออกจากตวั คนไข้ 2.4) มีขีดสีแดงแสดงอณุ หภูมิปกติของร่างกาย 8.3 หลกั ปฏิบตั ิในการใชเ้ ทอรม์ อมิเตอร์ 1) เทอรม์ อมเิ ตอร์แบบธรรมดา 1.1) ให้กระเปาะเทอร์มอมิเตอร์จุ่มหรือสัมผัสกับส่ิงท่ีต้องการจะวัดอุณหภูมิเสมอและ ระมัดระวงั ไมใ่ หก้ ระเปาะแตะดา้ นขา้ งหรือกน้ ภาชนะ 1.2) ให้กา้ นเทอร์มอมิเตอรต์ ้ังตรงในแนวด่งิ 1.3) อ่านค่าอุณหภูมเิ ม่ือระดับของเหลวข้ึนไปจนหยดุ นิง่ แล้ว 1.4) ขณะอา่ นคา่ ให้สายตาอย่รู ะดับเดียวกบั ระดับของเหลวในเทอร์มอมิเตอร์ 1.5) อา่ นอุณหภมู ขิ ณะทกี่ ระเปาะเทอร์มอมิเตอร์สัมผัสกบั ส่ิงทวี่ ัดอยู่ เม่ืออ่านค่าเสร็จแลว้ จงึ เอาออกจากการสัมผัสได้ 1.6) ข้อควรระวังในการใช้เทอร์มอมเิ ตอร์ (1) เนื่องจากกระเปาะของเทอรม์ อมเิ ตอร์บางและแตกงา่ ยจงึ ควรใชอ้ ย่างระมดั ระวงั ไม่ใหก้ ระเปาะไปกระทบกบั ของแข็งๆ แรงๆ (2) ไม่ควรใช้เทอร์มอมิเตอร์ใช้วัดอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากๆ ในเวลาต่อเนื่องกัน เช่นวัดของที่ร้อนจัด แล้วเปล่ียนมาเป็นวัดของที่เย็นจัดทันที เพราะหลอดแก้วจะขยายตัว และหดตัวอยา่ งทันทที นั ใดทาให้แตกหกั ได้ (3) อย่าใช้เทอรม์ อมเิ ตอร์วัดอณุ หภูมิท่ีสูงหรือต่ากวา่ สเกลสูงสุดตา่ สดุ หลอดแกว้ จะแตก (4) เมอื่ ใชเ้ สร็จแล้วควรลา้ งทาความสะอาดเชด็ ให้แหง้ แลว้ เกบ็ ในกลอ่ งหรอื รกั ษา ไว้ในที่ปลอดภยั 2) เทอร์มอมเิ ตอรว์ ดั ไข้ 1.1) วัดทางรักแร้: เช็ดรักแร้ให้แห้งสอดปลายกระเปาะบริเวณรักแร้หนีบให้แน่นนาน 3-4 นาทีแล้วจึงอา่ นอุณหภมู ิ
1.2) วัดทางปาก: สอดปลายกระเปาะไว้บริเวณใต้ล้ินอมไว้ใต้ล้ินนาน 2 นาทีแล้วจึงอ่าน อณุ หภมู ิ 1.3) วดั ทางทวาร: ผู้ปว่ ยนอนควา่ นาปลายกระเปาะจมุ่ วาสลนิ เพื่อหล่อล่นื ค่อยๆ สอดปลาย กระเปาะท่ีทวารไม่ควรสอดลึกเกนิ 1 น้ิวนาน 2-3 นาที จึงนาออกมาอา่ นอุณหภูมิ 1.4) ขอ้ ควรปฏิบัติ (1) ก่อนใช้ควรจะลา้ งทาความสะอาดด้วยนา้ หรือเช็ดฆ่าเชอื้ ดว้ ยแอลกอฮอล์ (2) กอ่ นใชส้ ลัดให้ปรอทไหลกลบั ลงไปในกระเปาะให้หมด (3) หลังใช้ล้างทาความสะอาดโดยใช้แอลกอฮอลฆ์ ่าเชือ่ โรคแลว้ เกบ็ ไว้ในกล่องหรอื ในทปี่ ลอดภัย 9. เครอื่ งชั่ง เป็นเครื่องมือทใี่ ชว้ ัดปรมิ าณน้าหนักของวัตถุ โดยแบ่งตามโครงสร้างหลักการทางานได้ 2 ระบบ ไดแ้ ก่ 1) เครอื่ งช่ังแบบกลที่ตอ้ งอาศยั คานและจุดหมนุ เชน่ เครอ่ื งชั่งจานเดีย่ วแบบสามคานช่งั เครื่องช่ังสอง แขน เคร่อื งชัง่ สปรงิ 2) เคร่ืองชัง่ แบบอิเลก็ ทรอนกิ สห์ รอื เครอ่ื งชงั่ ดิจติ อล อาศยั การเปล่ยี นแปลงสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า 9.1 เคร่อื งช่ังทใ่ี ช้ในการทดลองในระดบั มธั ยมศกึ ษา แบ่งออกเปน็ ดงั น้ี ภาพที่ 24 เครือ่ งชัง่ ชนดิ จานเดียว (Ohaus Cent-O-Gram) 1) เครื่องชงั่ ชนดิ จานเดยี ว เครอ่ื งชง่ั นี้มีจานวางสารเพยี งด้านเดียว อาจเป็นแบบทจี่ านวางอยู่ ในสาแหรกซึ่งห้อยจากคาน ได้แก่ เครื่องชงั่ จานเดยี วแบบแขวน (Ohaus Cent-O-Gram) ซึ่งสามารถ ชั่งได้ละเอยี ดถึง 0.01 กรัมหรอื เปน็ แบบทมี่ ีจานวางอยบู่ นคานด้านซ้ายมอื ได้แก่ เคร่ืองชั่งจานเดยี ว (Ohaus triple beam) ภาพท่ี 25 เคร่อื งชัง่ ชนิดจานเดยี ว (Ohaus triple beam)
2) เครื่องชั่งชนิดสองจานเปน็ เคร่อื งชงั่ ทีม่ ีจานอยู่ทัง้ 2 ดา้ นของเครือ่ งช่งั โดยวางอยดู่ า้ นบน ของคานจานดา้ นซา้ ย ใช้สาหรบั วางวัตถุทจ่ี ะช่งั สว่ นดา้ นขวาสาหรับวางตุ้มนา้ หนกั ส่ิงท่ีจะวางบนจาน ทง้ั สองข้าง ควรวางตรงบรเิ วณก่ึงกลางของจานเสมอเครอื่ งชงั่ แบบน้ีวัดไดล้ ะเอียดถงึ 0.1 กรัม ก. Ohaus Cent-O-Gram ข. Ohaus Triple Beam ภาพที่ 26 เครื่องชัง่ ชนดิ สองจาน 9.2 วธิ ีการใชเ้ ครือ่ งชง่ั 1) เครอ่ื งช่งั ชนิดจานเดียว (1) วางเครื่องช่ังบนพื้นราบและเรยี บ (2) ปรับเคร่อื งชั่งให้ชเี้ ลขศนู ย์กรณคี านยงั ไม่ดลุ ทั้งๆ ทีต่ มุ้ นา้ หนักอยู่ที่ 0 กรัมแล้ว ตอ้ งหมนุ ป่มุ ปรบั ทางด้านซา้ ยสุดของคานใตจ้ าน (3) วตั ถทุ จ่ี ะช่งั ต้องไม่รอ้ นและเปยี กชื้น (4) ถา้ เป็นสารเคมคี วรใสภ่ าชนะโดยชงั่ ภาชนะใหท้ ราบนา้ หนักแน่นอนแล้ว จงึ วางตรงกึ่งกลางของจานชง่ั (5) ต้องการตกั สารเพิ่มเท่าไร ให้เล่ือนตุ้มนา้ หนกั บนคานตามทต่ี อ้ งการ สงั เกตเข็มช้ี ทเ่ี ลขศูนยห์ รอื ไม่ ถา้ เข็มชเ้ี หนอื ขีดศูนย์แสดงวา่ สารที่ชง่ั มนี ้าหนักมากไป แต่ถ้าเขม็ ชี้ต่ากว่าศูนย์ แสดงวา่ สารท่ชี งั่ มนี ้าหนักนอ้ ยไป (6) หากต้องการชง่ั วัตถหุ รอื ส่งิ ของให้วางตรงกึง่ กลางของจานเล่ือนตุ้มนา้ หนัก คานหนว่ ยหลักรอ้ ยก่อนคอ่ ยๆ เลื่อนไปทลี ะชอ่ งจนเขม็ ต่ากวา่ ศนู ย์ให้ถอยกลบั 1 ช่องแล้วจงึ เลอื่ น ตุ้มหนว่ ยหลกั สิบทาเช่นเดมิ แล้วจงึ เลอื่ นตมุ้ หลักหน่วยจนเข็มชที้ ่ขี ดี ศนู ยอ์ า่ นคา่ นา้ หนกั (7) เม่อื ช่งั เสร็จแล้วตอ้ งเลื่อนตมุ้ นา้ หนักไปไวท้ ี่ขีดศนู ยก์ รัมเชด็ ทาความสะอาด แลว้ เก็บเข้าท่ใี หเ้ รียบรอ้ ย (8) ถา้ เป็นเครอื่ งชงั่ ท่มี จี านเป็นชนดิ แขวน ใหย้ กสาแหรกออกจากท่แี ขวนวางไว้ บนแปน้ รองจานทอี่ ยดู่ า้ นล่าง เพื่อไมใ่ ห้สาแหรกแกว่งไปมา 2) เครอื่ งชั่งชนิดสองจาน (1) จานซา้ ยใชว้ างวตั ถทุ จ่ี ะชง่ั จานขวาใชว้ างตมุ้ น้าหนกั ควรวางตรงก่ึงกลางจาน (2) วธิ ีการใชค้ ล้ายคลงึ กบั ชนดิ จานเดียว แตต่ ่างกันตรงมีจานสาหรับวางต้มุ น้าหนกั และเข็มชีข้ ดี ศนู ย์ เพ่อื แสดงว่าคานสมดลุ และปุ่มหมนุ สาหรับปรบั สมดลุ จะอย่ตู รงกลาง ของเครือ่ งชง่ั ตมุ้ นา้ หนกั จะเป็นชดุ มหี ลายขนาดรวมอยู่ในกล่องเดียวกัน ตอ้ งใช้คมี หยบิ ต้มุ น้าหนัก เหลา่ น้ที ุกครงั้ อยา่ ใชม้ อื หยิบ เพราะจะทาใหเ้ กดิ สนมิ หรือมวลผดิ ไปได้
(3) มวลของวัตถุทช่ี ัง่ อ่านไดจ้ ากผลรวมของตมุ้ นา้ หนักบนจานทางขวามือกับ น้าหนักท่ีใช้ปรบั บนคาน เมื่อใช้เสร็จใหก้ ดปมุ่ หมนุ ลงยกตุ้มน้าหนักออกเก็บใสก่ ลอ่ งและนาวัตถุท่ชี ั่ง ออก เลื่อนตุ้มน้าหนกั ที่สาหรบั ใช้เพ่ิมบนคานไปไว้ที่ตาแหน่ง 0 กรัม ทาความสะอาดเครอื่ งชั่ง (4) ถ้าเป็นเครอื่ งชั่งท่ีมีจานเป็นชนิดแขวนใหย้ กสาแหรกออกจากทแี่ ขวนวางไว้บน แป้นรองจานท่อี ยดู่ ้านลา่ งทั้งสองข้าง 10. อุปกรณ์อ่ืนๆ ท่ีเป็นเครื่องมือประกอบการใช้อุปกรณ์พ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้เกิดความปลอดภัย หรืออานวยความสะดวกในการทดลองไดแ้ กอ่ ปุ กรณ์ ดงั น้ี ขาต้ังและข้อต่อ เป็นอุปกรณ์เพ่ือยึดจบั กับอุปกรณ์อื่นๆ ในการทดลอง เพื่อ ความสะดวกขณะทาการทดลอง เช่น การกรอง การกล่ัน การวัดอุณหภูมิของน้าเดือด การใหค้ วามร้อนแก่สาร เป็นต้น ถว้ ยยเู รกา เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการหาปริมาตรของวัตถุท่ีไม่เป็น รูปทรงเรขาคณิต ทาได้โดยการนาวัตถุชนิดนั้นไปแทนท่ีน้าใน ถ้วยยูเรก้า แล้วตวงหาปริมาตรของน้าท่ีล้นออกมา ซ่ึงจะมีค่า เทา่ กับปรมิ าตรของวัตถนุ ้นั ตามหลักของอาร์คิมดิ ิส ทีจ่ ับหลอดทดลอง - ทาจากวัตถุหลายชนิด เช่น ไม้หรือลวดเหลก็ ใช้สาหรบั จบั หลอดทดลอง เนื่องจากเมือ่ ใชห้ ลอดทดลองทบี่ รรจุของเหลว ต้มไอระเหยทเ่ี กดิ จากการตม้ ของเหลว ภายในหลอดจะทาให้ มือทจี่ ับรอ้ น แต่อยา่ ใช้จบั บีกเกอรห์ รอื ขวดปริมาตร เพราะจะ ทาให้ล่นื ตกแตกได้ - การใช้ท่ีจับหลอดทดลองต้องหนบี ที่ระยะประมาณ 1 ใน 3 จากปากหลอดทดลอง กรณที ี่ใช้ยึดกบั ขาตง้ั เพือ่ หนบี เทอรม์ อ มิเตอร์จะต้องใช้เศษผ้าหรอื กระดาษชาระหมุ้ เทอร์มอมิเตอร์ ให้แน่นเสียก่อน
ที่กั้นลมและตะแกรงลวด - ที่กั้นลมทาด้วยโลหะ เพื่อกั้นลมในการต้มสารโดยใช้ตะเกียง แอลกอฮอลม์ ีรสู าหรบั สอดแท่งเหลก็ เพอื่ วางตะแกรงลวด - ตะแกรงลวดมีทั้งท่ีทาจากลวดเหล็กและท่ีทาด้วยลวดนิโครมหรือ โครเมยี ม ซงึ่ ไมเ่ กิดสนมิ และใช้ไดร้ ะยะเวลานานกวา่ ตะแกรงลวดเป็น รปู สเี่ หลยี่ มใชส้ าหรับตั้งบีกเกอรท์ ่ีนามาตม้ ดว้ ยเปลวไฟ แปรงลา้ งหลอดทดลอง แปรงใช้สาหรับทาความสะอาดอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แปรงล้าง เคร่ืองแก้วมีหลายขนาดและมีหลายชนิด ควรจะเลือกใช้ให้เหมาะสม กับลักษณะของเคร่ืองแก้วน้ันๆ การใช้แปรงล้างเคร่ืองแก้วต้อง ระมัดระวังให้มาก อย่าถูแรงเกินไป เน่ืองจากกา้ นแปรงเป็นโลหะ เมื่อ ไปกระทบกบั แก้วอาจทาใหแ้ ตกและเกดิ อนั ตรายได้ ท่ีต้งั หลอดทดลอง ใชส้ าหรบั ตง้ั หลอดทดลองมีทัง้ ทาดว้ ยโลหะไมแ้ ละพลาสติก สามารถใช้ ตัง้ หลอดทดลองได้หลายขนาด ภาพท่ี 27 อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์อื่นๆ
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ท่ี ชือ่ - สกลุ มีวินยั ใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ มั่นในการ รวม ทางาน 432143214321 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ประเดน็ การ (4) ระดบั การปฏิบตั ิ (1) ประเมนิ ดีมาก (3) (2) ปรบั ปรุง ดี พอใช้ 1. มีวนิ ยั ส่งงานครบทกุ ช้ิน ส่งงานครบทกุ ชิ้น สง่ งานช้าเปน็ บางคร้ัง สง่ งานช้าเปน็ ประจา ก่อนเวลาท่กี าหนด ตามเวลาทกี่ าหนด หรือไมส่ ง่ งานเลย ทุกครั้ง 2. ใฝเ่ รยี นรู้ ตงั้ ใจเรียน มคี วาม ต้งั ใจเรยี น มคี วาม ต้ังใจเรยี น แต่ขาด ไมค่ ่อยตัง้ ใจเรียน พยายามในการ พยายามในการเรยี นรู้ ความพยายาม ขาดความพยายาม ค้นคว้าหาความรู้จาก ในห้องเรยี น ซักถาม ซักถามคาตอบ ไม่มกี ารซักถามเพ่อื แหล่งเรยี นรตู้ า่ งๆ บอ่ ยครง้ั บางครง้ั หาคาตอบ ซักถามเพอ่ื คาตอบ ทกุ ครั้ง 3. มุง่ มน่ั ในการ มีความกระตือรือรน้ มีความกระตือรอื ร้น มีความกระตือรือร้น ขาดความ ทางาน ทางานสาเรจ็ ถูกต้อง ทางานสาเรจ็ ถูกตอ้ ง ทางานสาเรจ็ แต่ กระตือรือร้นตอ่ การ ตามเวลาทกี่ าหนด แต่ชา้ เกินเวลาท่ี เนอื้ หาไมถ่ ูกต้อง ทางาน งานไม่เสรจ็ กาหนด บางสว่ น หรอื ไม่ ตามเวลาทกี่ าหนด ถูกต้อง และเน้อื หาไมถ่ กู ตอ้ ง เกณฑ์การประเมนิ ต้องได้ระดับคะแนน 2 ข้นึ ไปจงึ จะผา่ นเกณฑ์ (6คะแนน) 11-12 คะแนน อยใู่ นระดับดีมาก 9-10 คะแนน อยู่ในระดับดี 6-8 คะแนน อยใู่ นระดบั พอใช้ ตา่ กวา่ 6 คะแนน อยู่ในระดับควรปรบั ปรุง สรปุ การประเมนิ ลงชื่อ…………………………………………ผู้ประเมิน ผ่าน……………………. (นางสาวศิรวิ รรณ มุนินคา) ไมผ่ ่าน……………….. ………./………./……….
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 2 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 - 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยที่ 1 เรอ่ื ง การใชว้ ัสดุอุปกรณ์และเทคนิคพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง แผนการจัดการเรยี นรู้ เรือ่ ง การใช้วัสดุอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ผสู้ อน นางสาว ศิรวิ รรณ มุนินคา 1. ผลการเรยี นรู้ 1. ระบชุ ่อื อุปกรณว์ ิทยาศาสตรแ์ ละสามารถใช้ได้อยา่ งถกู ต้อง 2. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. นักเรียนมคี วามรู้ความเข้าใจเกยี่ วกบั การใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ (K) 2. นักเรียนสามารถปฏิบัตกิ จิ กรรมการใช้วัสดุอปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ (P) 3. นักเรียนเปน็ ผูท้ ่ีมีวนิ ัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการทางาน (A) 3. สาระการเรยี นรู้ 1. การใช้วัสดุอปุ กรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ 4. ทักษะการเรียนรู้ 1. ทักษะวิทยาศาสตร์ - การสงั เกต - การทดลอง - การอภิปรายและลงข้อสรุป 5. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - มวี นิ ัย - ใฝ่เรยี นรู้ - มุ่งมั่นในการทางาน 6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน/สมรรถนะของศตวรรษที่ 21 - ความสามารถในการส่อื สาร - ความสามารถในการคิด - ความสามารถในการแกป้ ญั หา
7. สาระสาคัญ วัสดุอปุ กรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ หมายถึง วัตถเุ ครอ่ื งมือเครือ่ งใชท้ ่ีนามาใช้ในการศึกษาค้นคว้า มีอยู่ใน ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ วัสดุอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์สามารถแบ่งออกเป็นวัสดุทาง วทิ ยาศาสตร์ เครือ่ งแก้วอปุ กรณ์พ้ืนฐานอนื่ ๆ (เครอ่ื งมือช่างและเคร่อื งมือท่วั ไป) 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ (Engagement) ครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ท่ีนักเรียนได้เรียนในคาบทแ่ี ล้ว โดยใช้ คาถาม ดงั นี้ 1. วสั ดุอปุ กรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ หมายถึงอะไร (แนวการตอบ: เครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้ที่นามาใชใ้ นการศกึ ษาค้นคว้าทางวทิ ยาศาสตร์) 2. วัสดอุ ุปกรณใ์ นห้องปฏบิ ตั กิ ารวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง (แนวการตอบ: 3 ประเภท ได้แก่ วัสดุทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์พ้ืนฐาน และอุปกรณ์ วิทยาศาสตรอ์ ่ืนๆ) ขน้ั ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูแจ้งให้นักเรียนฟังว่า ในคาบน้ีจะให้นักเรียนทากิจกรรมการใช้วัสดุอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ จากนน้ั ครอู ธิบายวิธกี ารปฏบิ ัติกิจกรรมและวิธกี ารหาค่าเฉลีย่ ให้นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มฟงั 2. ครูให้นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ (กลุ่มเดิมจากแผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 1) ร่วมกันปฏิบตั ิกิจกรรมการใช้วสั ดุ อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ หลังจากปฏิบัติกิจกรรมเสร็จ ตัวแทนกลุ่มออกมานาเสนอผลการปฏิบัติ กิจกรรมหนา้ ช้นั เรยี น ขัน้ ท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเพอื่ ลงข้อสรุปรว่ มกัน โดยใช้คาถาม ดังน้ี 1. วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวิทยาศาสตรท์ ี่นกั เรยี นใชม้ ีอะไรบ้าง (แนวการตอบ: บกี เกอร์ กระบอกตวง ปเิ ปตต์ ขวดรูปชมพู่ หลอดฉดี ยา หลอดหยด) 2. นกั เรียนมีวธิ ีการในการเลอื กใชว้ ัสดอุ ปุ กรณท์ างวทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร (แนวการตอบ: ตามความคิดของนักเรียน) 3. สมาชกิ แตล่ ะคนวดั ปริมาตรของเหลวเท่ากนั หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด (แนวการตอบ: ไม่เท่ากัน เพราะขึ้นอยู่กบั อปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการวัด)
ขั้นที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) ครใู ห้ความรเู้ พ่มิ เตมิ เกี่ยวกับความสาคญั ของวัสดอุ ุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ ดังนี้ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสาคัญยง่ิ ในสังคมโลกปัจจบุ ันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตรเ์ กี่ยวข้องกบั ชีวิต ของทุกคนท้ังในการดารงชีวิตประจาวนั และในงานอาชพี ต่างๆ เคร่ืองมือเครื่องใช้ ตลอดจนผลผลิตต่างๆ เพื่อ ใช้อานวยความสะดวกในชีวิตและการทางาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิด สร้างสรรค์และศาสตร์อ่ืนๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกดิ การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก วัสดุอุปกรณ์ทาง วทิ ยาศาสตรก์ ็สาคัญมากทจ่ี ะทาใหก้ ารศึกษาคน้ คว้าความรูท้ างวิทยาศาสตร์เพมิ่ ขึน้ อย่างไมห่ ยดุ ยัง้ ข้นั ที่ 5 ขน้ั ประเมินผล (Evaluation) 1. นักเรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ มีจุดใดบ้างท่ยี ังไมเ่ ข้าใจหรือยงั มีข้อสงสยั ถา้ มีครชู ว่ ยอธิบายเพ่มิ เติมให้ นักเรียนเขา้ ใจ 9. สือ่ /แหล่งการเรียนรู้ 9.1 ส่อื - ส่อื การสอน Power Point เร่อื ง การใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ - ใบงาน เรื่อง การใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ - แบบประเมินพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม - แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 9.2 แหล่งการเรียนรู้ - หอ้ งเรียนวิทยาศาสตร์ - ห้องสมุดโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 10. การวดั และการประเมนิ ผล 10.1 การวดั ผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมอื 1. ดา้ นความรู้ (K) - นักเรียนทาใบงาน เร่ือง - ใบงาน เรื่อง การใช้วัสดุ - นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ การใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทาง อุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ การใช้วัสดอุ ปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 2. ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) - ครูสงั เกตพฤติกรรมใน - แบบประเมนิ พฤติกรรม - นักเรียนสามารถปฏิบัติกิจกรรมการ การทางานกลมุ่ ของ ในการทางานกลุ่ม เลอื กใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ นกั เรยี น 3. ดา้ นคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) - ครูประเมินคุณลักษณะ - แบบประเมิน - นักเรียนเป็นผู้ที่มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ อันพึงประสงค์ คณุ ลักษณะอันพึง มงุ่ มน่ั ในการทางาน ประสงค์
10.2 เกณฑ์การประเมนิ ผล ระดับคุณภาพ 10.2.1 ดา้ นความรู้ (K) (4) (3) (2) (1) ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง - นักเรยี นมคี วามรคู้ วาม นักเรียนได้ นกั เรียนได้ นักเรยี นได้ นกั เรียนได้ เขา้ ใจเกย่ี วกบั การใช้วสั ดอุ ุปกรณ์ คะแนนจากการ คะแนนจากการ คะแนนจากการ คะแนนจากการ ทางวทิ ยาศาสตร์ ทาใบงาน 9-10 ทาใบงาน 7-8 ทาใบงาน 5-6 ทาใบงานตา่ คะแนน คะแนน คะแนน กวา่ 5 คะแนน 10.2.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ระดบั คุณภาพ (1) (4) (3) (2) ปรับปรงุ - นักเรยี นสามารถปฏิบตั กิ ิจกรรม ดมี าก ดี พอใช้ นักเรยี นได้ การเลือกใช้วัสดุอปุ กรณ์ทาง นักเรยี นได้ นักเรยี นได้ นกั เรยี นได้ คะแนนจาก วิทยาศาสตร์ คะแนนจาก คะแนนจาก คะแนนจาก การประเมนิ การประเมนิ การประเมิน การประเมิน พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ พฤตกิ รรม ทางานกลมุ่ ต่า ทางานกลมุ่ ทางานกลมุ่ การทางาน กวา่ 10 18-20 14-17 กลุม่ 10-13 คะแนน คะแนน คะแนน คะแนน 10.2.3 คุณลักษณะ (A) ระดบั คุณภาพ - นักเรียนเป็นผทู้ ่ีมวี ินัย ใฝ่ (4) (3) (2) (1) เรียนรู้ และมงุ่ มั่นในการทางาน ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ นกั เรียนได้ นักเรียนได้ นักเรยี นได้ นักเรียนได้ คะแนนจากการ คะแนนจาก คะแนนจาก คะแนนจากการ ประเมนิ การประเมิน การประเมนิ ประเมนิ คุณลกั ษณะ คณุ ลกั ษณะ คณุ ลกั ษณะ คุณลกั ษณะอัน อันพงึ ประสงค์ อนั พงึ ประสงค์ อันพึงประสงค์ พึงประสงค์ตา่ 11-12 คะแนน 9-10 คะแนน 6-8 คะแนน กว่า 6 คะแนน
ใบงาน เรื่อง การใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ สมาชกิ 1……………………………………………………………………………………….เลขท…ี่ ……... 2……………………………………………………………………………………….เลขท…่ี ……... 3……………………………………………………………………………………….เลขท…ี่ ……... 4……………………………………………………………………………………….เลขท…่ี ……... 5……………………………………………………………………………………….เลขท…ี่ ……... เกมการตวง คาชี้แจง: 1. รับอุปกรณ์การเลน่ ทค่ี รูเตรยี มไว้ใหแ้ ละฟงั ครอู ธิบายวธิ ีการเล่น 2. นกั เรยี นแตล่ ะคนถือแก้วของเหลวคนละ 1 ใบเพ่ือทาการตวงของเหลวในแก้วตามจดุ ดงั ภาพ 3. เมือ่ ไดย้ ินเสียงนกหวดี ใหค้ นท่ี 1 ว่งิ ไปจดุ ที่ 2 แล้วใหน้ กั เรียนเลอื กเครื่องมือทม่ี อี ยู่และตวง ของเหลวในแกว้ 4. เมอื่ นักเรยี นคนแรกเลอื กเครือ่ งมือและทาการตวงเสร็จใหว้ ่งิ ไปจดุ ที่ 3 คนตอ่ ไปจงึ ว่ิงมาจุดท่ี 2 ทาเช่นนี้ไปเร่ือยๆ จนครบทั้ง 5 5. ท่ีจดุ ที่ 3 แตล่ ะกล่มุ รบั แบบบนั ทึก เกมการตวง แลว้ บนั ทกึ ผลการตวงของแตล่ ะคน แล้วจึง ช่วยกันหาค่าเฉล่ียของเหลวในแกว้ แต่ละใบลงในแบบบันทกึ ที่แจกให้ หมายเหต:ุ โปรดระมดั ระวงั ในการใชว้ สั ดอุ ปุ กรณเ์ พอื่ ไม่ใหเ้ กดิ อุบตั ิเหตขุ ณะปฏิบตั กิ จิ กรรม ************************
แบบบันทกึ : เกมการตวง 1. อุปกรณว์ ทิ ยาศาสตร์ท่ีใช้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ปรมิ าตรของเหลวในแก้ว สมาชกิ คนท่ี ปริมาตรทว่ี ดั ได้ (cm3) วิธกี ารหาคา่ เฉลย่ี 1 2 3 4 5 เฉล่ีย
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ คาชี้แจง: ให้ครูผู้สอนสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียนแล้วขีด ลงในชอ่ ง ท่ตี รงกับระดับคะแนน พฤตกิ รรม/ระดบั คะแนน ชื่อ - สกลุ ความสนใจในการทา รวม ที่ ิกจกรรม คะ แนน การมีส่วน ่รวมในการ แสดงความ ิคดเ ็หน การตอบคาถาม การยอม ัรบ ัฟงความ ิคดเ ็หนผู้ ื่อน การทางานตาม ่ีทไ ้ด ัรบ มอบหมาย 43214321432143214321 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22
เกณฑ์การใหค้ ะแนน ประเด็นการ (4) ระดบั การปฏิบัติ (1) ประเมิน ดมี าก (3) (2) ปรบั ปรุง ดี พอใช้ 1. ความสนใจใน มีความสนใจดีมาก มคี วามสนใจดี และให้ มีความสนใจพอใช้ ไม่ใหค้ วามสนใจ การทา และใหค้ วามรว่ มมือใน ความร่วมมือในการ และให้ความรว่ มมอื และความรว่ มมอื ใน กิจกรรม การทากจิ กรรม ทากิจกรรมบอ่ ยครง้ั ในการทากจิ กรรม การทากจิ กรรม บางครง้ั หรอื ให้แตเ่ ลก็ น้อย 2. การมสี ่วน มีการแสดงความ มกี ารแสดงความ มกี ารแสดงความ ไม่แสดงความ รว่ มในการ คดิ เหน็ ทุกครั้ง คดิ เหน็ บอ่ ยครง้ั คิดเห็นบางครัง้ คิดเหน็ เลย แสดงความ คิดเห็น 3. การตอบ มีการตอบคาถาม และ มกี ารตอบคาถาม มกี ารตอบคาถาม ไมม่ ีการตอบคาถาม คาถาม ถามในสิ่งทส่ี งสัยทกุ และถามในสง่ิ ทส่ี งสัย และถามในสงิ่ ที่ และถามในสง่ิ ท่ี ครง้ั บ่อยคร้งั สงสัยบางครงั้ สงสยั เลย 4. การยอมรบั มกี ารยอมรบั ฟงั ความ มกี ารยอมรบั ฟังความ มีการยอมรบั ฟงั ไม่ยอมรบั ฟังความ ฟังความ คดิ เห็นผอู้ ่นื ทุกคร้งั คิดเห็นผอู้ ื่นบ่อยครัง้ ความคิดเหน็ ผอู้ น่ื คิดเหน็ ผอู้ น่ื เลย คดิ เห็นผอู้ ืน่ บางครงั้ 5. การทางาน ทางานตามที่ได้รบั ทางานตามทไี่ ด้รบั ทางานตามท่ีได้รบั ไม่ทางานตามที่ ตามทีไ่ ด้รับ มอบหมาย และสง่ งาน มอบหมาย และส่ง มอบหมาย และส่ง ได้รบั มอบหมาย มอบหมาย ก่อนเวลาท่กี าหนดทุก งานตามเวลาท่ี งานเลยเวลาท่ี และไมส่ ง่ งานเลย ครง้ั กาหนด กาหนดบางครงั้ เกณฑก์ ารตัดสนิ คณุ ภาพต้องได้ระดบั คะแนน 2 ขึน้ ไป จงึ จะผ่านเกณฑ์ (10 คะแนน) 18-20 คะแนน อยู่ในระดับดีมาก 14-17 คะแนน อย่ใู นระดบั ดี 10-13 คะแนน อยใู่ นระดับพอใช้ ตา่ กว่า 10 คะแนน อย่ใู นระดับควรปรบั ปรงุ สรุปการประเมิน ลงชื่อ…………………………………………ผ้ปู ระเมิน ผ่าน……………………. (นางสาวศริ ิวรรณ มุนินคา) ไมผ่ า่ น……………….. ………./………./……….
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ ท่ี ชือ่ - สกลุ มีวินยั ใฝเ่ รียนรู้ มงุ่ มั่นในการ รวม ทางาน 432143214321 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ประเดน็ การ (4) ระดบั การปฏิบตั ิ (1) ประเมนิ ดีมาก (3) (2) ปรบั ปรุง ดี พอใช้ 1. มีวนิ ยั ส่งงานครบทกุ ช้ิน ส่งงานครบทกุ ชิ้น สง่ งานช้าเปน็ บางคร้ัง สง่ งานช้าเปน็ ประจา ก่อนเวลาท่กี าหนด ตามเวลาทกี่ าหนด หรือไมส่ ง่ งานเลย ทุกครั้ง 2. ใฝเ่ รยี นรู้ ตงั้ ใจเรียน มคี วาม ต้งั ใจเรยี น มคี วาม ต้ังใจเรยี น แต่ขาด ไมค่ ่อยตัง้ ใจเรียน พยายามในการ พยายามในการเรยี นรู้ ความพยายาม ขาดความพยายาม ค้นคว้าหาความรู้จาก ในห้องเรยี น ซักถาม ซักถามคาตอบ ไม่มกี ารซักถามเพ่อื แหล่งเรยี นรตู้ า่ งๆ บอ่ ยครง้ั บางครง้ั หาคาตอบ ซักถามเพอ่ื คาตอบ ทกุ ครั้ง 3. มุง่ มน่ั ในการ มีความกระตือรือรน้ มีความกระตือรอื ร้น มีความกระตือรือร้น ขาดความ ทางาน ทางานสาเรจ็ ถูกต้อง ทางานสาเรจ็ ถูกตอ้ ง ทางานสาเรจ็ แต่ กระตือรือร้นตอ่ การ ตามเวลาทกี่ าหนด แต่ชา้ เกินเวลาท่ี เนอื้ หาไมถ่ ูกต้อง ทางาน งานไม่เสรจ็ กาหนด บางสว่ น หรอื ไม่ ตามเวลาทกี่ าหนด ถูกต้อง และเน้อื หาไมถ่ กู ตอ้ ง เกณฑ์การประเมนิ ต้องได้ระดับคะแนน 2 ข้นึ ไปจงึ จะผา่ นเกณฑ์ (6คะแนน) 11-12 คะแนน อยใู่ นระดับดีมาก 9-10 คะแนน อยู่ในระดับดี 6-8 คะแนน อยใู่ นระดบั พอใช้ ตา่ กวา่ 6 คะแนน อยู่ในระดับควรปรบั ปรุง สรปุ การประเมนิ ลงชื่อ…………………………………………ผู้ประเมิน ผ่าน……………………. (นางสาวศิรวิ รรณ มุนินคา) ไมผ่ ่าน……………….. ………./………./……….
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 3 กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 - 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หน่วยที่ 1 เรือ่ ง การใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์และเทคนิคพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชั่วโมง แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่อื ง เทคนิคพื้นฐานทางวทิ ยาศาสตร์ ผู้สอน นางสาว ศริ ิวรรณ มุนินคา 1. ผลการเรียนรู้ 1. ระบุช่ืออปุ กรณว์ ทิ ยาศาสตร์และสามารถใช้ได้อยา่ งถกู ต้อง 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. นักเรยี นมีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับเทคนคิ พื้นฐานทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ (K) 2. นักเรียนสามารถปฏิบตั ิกิจกรรมเทคนิคพ้นื ฐานทางวิทยาศาสตรไ์ ด้อย่างถูกตอ้ ง (P) 3. นกั เรยี นเป็นผู้ทมี่ ีวินยั ใฝ่เรยี นรู้ และมุง่ มนั่ ในการทางาน (A) 3. สาระการเรียนรู้ 1. เทคนิคพืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ 4. ทกั ษะการเรยี นรู้ 1. ทักษะวิทยาศาสตร์ - การสังเกต - การทดลอง - การอภปิ รายและลงข้อสรุป 5. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ - มวี ินยั - ใฝเ่ รยี นรู้ - มงุ่ มัน่ ในการทางาน 6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน/สมรรถนะของศตวรรษท่ี 21 - ความสามารถในการสอ่ื สาร - ความสามารถในการคิด - ความสามารถในการแก้ปญั หา
7. สาระสาคญั การเรยี นภาคปฏิบตั ิในห้องปฏิบัติการทดลองเพอื่ ให้การทดลองไดผ้ ลดหี รอื มคี วามผิดพลาดนอ้ ยท่ีสุด และเกิดความปลอดภัยต่อผู้ทดลองเองจึงมีข้อเสนอแนะ ข้อควรปฏิบัติท่ัวๆ ไปหรือท่ีเรียกว่า เทคนิคพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ การดมสาร การเขย่าสาร การเตรียมสไลด์สด การใช้แว่นขยาย การให้ความร้อนแก่ สาร การล้างเครอื่ งแก้ว และข้อปฏิบตั กิ ารใชห้ อ้ งปฏิบัติการ 8. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) ครูนาเขา้ สบู่ ทเรยี น โดยใช้คาถามถามนกั เรียน ดังนี้ 1. นกั เรยี นรหู้ รอื ไมว่ ่าเทคนคิ พื้นฐานทางวทิ ยาศาสตร์ คืออะไร (แนวการตอบ: ขอ้ ควรปฏบิ ตั ทิ ั่วๆ ไปในหอ้ งปฏิบัตกิ ารทดลอง) 2. แล้วเทคนคิ พ้นื ฐานทางวทิ ยาศาสตรม์ อี ะไรบา้ ง (แนวการตอบ: การดมสาร การเขย่าสาร การเตรียมสไลด์สด การใช้แว่นขยาย การให้ความร้อนแก่ สาร การลา้ งเครื่องแก้ว และข้อปฏบิ ตั กิ ารใช้ห้องปฏิบตั ิการ) ขน้ั ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครใู ห้นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกันสืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั เทคนิคพืน้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์จากอินเทอร์เน็ต หรือหอ้ งสมดุ โรงเรียน 2. เม่ือนักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลเสร็จ ครูอธิบายเทคนิคพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เพ่ิมเติมแก่ นกั เรียน จากน้ันครใู ชค้ าถามเพ่ือทดสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน ดังนี้ 2.1 การดมสารมีวธิ กี ารอยา่ งไร (แนวการตอบ: ควรใชม้ อื ข้างหน่งึ ถือภาชนะโดยใหป้ ากภาชนะอยใู่ นระดับตา่ กวา่ จมูกและอยหู่ ่าง จากจมูกพอสมควร ใช้มืออีกข้างหนึ่งโบกใหไ้ อของสารผ่านเขา้ จมูกช้าๆ) 2.2 เพราะเหตุใดจึงไมค่ วรสดู ดมกลิน่ ของสาร ไอ หรอื ควันโดยตรง (แนวการตอบ: สารเคมีบางชนดิ มีอันตราย) 2.3 การเขย่าสารในบีกเกอร์หรือขวดแก้วรปู ชมพู่ ถา้ ไมม่ เี ครอื่ งเขยา่ สารสามารถทาไดโ้ ดยวิธกี ารใด (แนวการตอบ: หมนุ สารละลายดว้ ยข้อมือให้สารเป็นเนอื้ เดยี วกนั โดยจบั สว่ นปลายของภาชนะที่ ใส่สารแลว้ หมนุ ดว้ ยข้อมือใหส้ ารขา้ งในไหลวนไปทศิ ทางเดยี วกัน) 2.4 ในการให้ความร้อนแก่สารเคมี เมอื่ สงั เกตพบวา่ อณุ หภูมิมากจนทาใหส้ ารเดือดแรงเกนิ ไปควรจะ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร (แนวการตอบ: ดับตะเกียงหรอื เล่ือนตะเกียงออก)
2.5 เมอ่ื เส้อื ผ้าที่นกั เรียนสวมอยู่ตดิ ไฟ นกั เรยี นจะมีวิธกี ารดบั ไฟอย่างไร (แนวการตอบ: พยายามดับไฟก่อน โดยนอนกลิง้ ลงบนพนื้ แลว้ บอกใหเ้ พื่อนๆ ชว่ ย โดย ใช้ผา้ หนาๆ คลมุ รอบตวั หรอื ใชผ้ า้ เช็ดตัวทเ่ี ปียกคลมุ บนเปลวไฟให้ดับก็ได)้ 2.6 เม่ือเกิดไฟไหมใ้ นห้องปฏบิ ตั ิการ นักเรยี นจะทาอย่างไร (แนวการตอบ: จะต้องรีบดับตะเกยี งในหอ้ งปฏิบัติการใหห้ มด และนาสารทีต่ ดิ ไฟง่ายออกไปให้ ห่างจากไฟมากที่สุด) 3. ครูให้นักเรียนทากิจกรรมเทคนิคพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ พร้อมท้ังบนั ทกึ ลงในใบงาน เร่ือง เทคนิค พ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ หลังจากที่ทากิจกรรมเสร็จตัวแทนกลมุ่ ออกมานาเสนอผลการทากจิ กรรม หน้าช้ันเรียน ขน้ั ท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) ครูและนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเพอ่ื สรา้ งข้อสรปุ รว่ มกัน โดยให้ไดข้ อ้ สรปุ ดงั นี้ เทคนิคพ้ืนฐานทางวิทยาศาสตร์ช่วยให้การเรียนภาคปฏิบัติในห้องปฏิบัติการทดลองได้ผลดีหรือมี ความผิดพลาดนอ้ ยทส่ี ุด และเกิดความปลอดภัยตอ่ ผทู้ ดลองเอง ขน้ั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครใู หค้ วามรู้เพมิ่ เติมเก่ยี วกับการทาความสะอาดบรเิ วณทปี่ นเป้ือนสารเคมี ดงั น้ี อุบตั เิ หตุจากสารเคมหี กในห้องปฏบิ ัตกิ ารเป็นสงิ่ ทเี่ กดิ ขึน้ ได้ตลอดเวลา ถ้าทาปฏบิ ตั ิการโดยขาดความ ระมดั ระวัง แต่เมือ่ เกดิ ข้ึนแลว้ จะต้องรบี การจัดสารเคมีทปี่ นเปือ้ นและทาความสะอาดอยา่ งถกู วธิ ี เพื่อปอ้ งกนั อันตรายจากสารเหลา่ นัน้ สารเคมีแต่ละชนดิ มีสมบัติและความเป็นอันตรายแตกตา่ งกัน จงึ ต้องมคี วามรู้ความ เข้าใจเก่ียวกับการทาความสะอาดบรเิ วณทปี่ นเปอื้ นสารเคมเี หล่าน้ัน ซึง่ มีข้อแนะนาดงั ต่อไปน้ี (1) สารท่ีเป็นของแข็ง ควรใช้แปรงกวาดสารมารวมกัน ตกั สารใสใ่ นกระดาษแข็งแล้วนาไปทาลาย (2) สารละลายกรด ควรใช้น้าล้างบริเวณท่ีมีสารละลายกรดหก เพ่ือทาให้กรดเจือจางลงและใช้ สารละลายโซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนตเจอื จางลา้ ง เพ่ือทาลายสภาพกรดแลว้ ล้างดว้ ยนา้ อีกครั้ง (3) สารละลายเบส ควรใช้น้าล้างบรเิ วณทม่ี ีสารละลายเบสหกและซับนา้ ใหแ้ ห้ง เนอ่ื งจากสารละลาย เบสทีห่ กบนพน้ื จะทาใหพ้ นื้ บรเิ วณน้นั ลื่น ต้องทาความสะอาดลกั ษณะดังกล่าวหลายๆ คร้ังและถ้ายงั ไม่หายลนื่ อาจตอ้ งใชท้ รายโรยแลว้ เก็บกวาดทรายออกไป (4) สารที่เปน็ น้ามัน ควรใชผ้ งซกั ฟอกล้างสารที่เปน็ น้ามนั และไขมันจนหมดคราบน้ามันและพืน้ ไม่ล่ืน หรือทาความสะอาดโดยใช้ทรายโรย เพื่อซบั นา้ มันให้หมดไป (5) สารท่ีระเหยง่าย ควรใช้ผ้าเช็ดบรเิ วณท่ีสารหยดหลายครัง้ จนแห้ง และในขณะเช็ดถูจะต้องมกี าร ปอ้ งกนั ไม่ใหส้ ัมผัสผวิ หนงั หรือสูดไอของสารเขา้ ร่างกาย
(6) สารปรอท กวาดสารปรอทกองรวมกันแลว้ ใช้เคร่ืองดดู เกบ็ รวบรวมไว้ ในกรณีทพี่ ื้นทส่ี ารปรอทหก มรี อยแตกหรือรอยรา้ วจะมสี ารปรอทแทรกเขา้ ไปอยู่ขา้ งในตอ้ งปิดรอยแตก หรอื รอยร้าวนั้นดว้ ยการทาขผ้ี ง้ึ ทบั รอยดังกล่าว เพ่ือกันการระเหยของปรอทหรอื อาจใช้ผงกามะถันโรยบนปรอท เพื่อให้เกิดเป็นสารประกอบ ซลั ไฟดแ์ ล้วเกบ็ กวาดอีกครงั้ หน่ึง ข้นั ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล (Evaluation) 2. ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายเกีย่ วกบั “เทคนคิ พนื้ ฐานทางวิทยาศาสตร์” 3. นกั เรียนแต่ละคนพจิ ารณาวา่ มีจดุ ใดบ้างทีย่ ังไม่เขา้ ใจหรอื ยังมขี ้อสงสัย ถ้ามีครชู ่วยอธบิ ายเพมิ่ เตมิ ให้ นกั เรียนเข้าใจ 9. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 9.1 ส่ือ - ส่ือการสอน Power Point เรอื่ ง เทคนคิ พน้ื ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ - ใบงาน เรอ่ื ง เทคนิคพนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์ - แบบประเมินพฤติกรรมการทางานกลุ่ม - แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ 9.2 แหล่งการเรียนรู้ - หอ้ งเรยี นวิทยาศาสตร์ - ห้องสมุดโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 10. การวัดและการประเมนิ ผล 10.1 การวดั ผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีการวัด เครือ่ งมือ 1. ด้านความรู้ (K) - นกั เรยี นทาใบงาน เร่ือง - ใบงาน เร่อื ง เทคนคิ - นกั เรยี นมีความร้คู วามเขา้ ใจเกีย่ วกบั เทคนคิ พื้นฐานทาง พืน้ ฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคนคิ พนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ วทิ ยาศาสตร์ 2. ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) - ครสู งั เกตพฤตกิ รรมใน - แบบประเมนิ พฤติกรรม - นกั เรยี นสามารถปฏิบัติกจิ กรรมเทคนิค การทางานกลมุ่ ของ ในการทางานกลมุ่ พนื้ ฐานทางวิทยาศาสตรไ์ ดอ้ ย่างถูกตอ้ ง นักเรียน 3. ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) - ครูประเมินคุณลักษณะ - แบบประเมิน - นักเรียนเป็นผู้ท่ีมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ อันพงึ ประสงค์ คณุ ลกั ษณะอันพึง มุ่งมน่ั ในการทางาน ประสงค์
10.2 เกณฑ์การประเมินผล ระดบั คุณภาพ 10.2.1 ดา้ นความรู้ (K) (4) (3) (2) (1) ดีมาก ดี พอใช้ ปรับปรงุ - นกั เรียนมคี วามรู้ความ นกั เรียนได้ นกั เรียนได้ นักเรยี นได้ นกั เรยี นได้ เขา้ ใจเกย่ี วกบั เทคนคิ พ้ืนฐาน คะแนนจากการ คะแนนจากการ คะแนนจากการ คะแนนจากการ ทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ ทาใบงาน 9-10 ทาใบงาน 7-8 ทาใบงาน 5-6 ทาใบงานตา่ กว่า คะแนน คะแนน คะแนน 5 คะแนน ระดับคุณภาพ 10.2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (4) (3) (2) (1) (P) ดมี าก ดี พอใช้ ปรบั ปรงุ - นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิ นกั เรียนได้ นักเรียนได้ นกั เรียนได้ นักเรียนได้ กจิ กรรมเทคนคิ พ้ืนฐานทาง คะแนนจากการ คะแนนจาก คะแนนจาก คะแนนจากการ วทิ ยาศาสตรไ์ ดอ้ ยา่ งถกู ต้อง ประเมิน การประเมิน การประเมิน ประเมิน พฤติกรรมการ พฤติกรรมการ พฤตกิ รรมการ พฤติกรรมการ ทางานกลมุ่ ทางานกลมุ่ ทางานกลมุ่ ทางานกลมุ่ ตา่ 18-20 คะแนน 14-17 คะแนน 10-13 คะแนน กว่า 10 คะแนน 10.2.3 คุณลกั ษณะ (A) ระดับคุณภาพ - นักเรียนเป็นผทู้ ี่มวี ินยั ใฝ่ (4) (3) (2) (1) เรียนรู้ และมงุ่ มัน่ ในการทางาน ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง นกั เรยี นได้ นกั เรยี นได้ นกั เรียนได้ นักเรยี นได้ คะแนนจากการ คะแนนจาก คะแนนจาก คะแนนจากการ ประเมนิ การประเมนิ การประเมนิ ประเมิน คุณลักษณะ คุณลกั ษณะ คุณลกั ษณะ คุณลกั ษณะอนั อนั พึงประสงค์ อันพงึ ประสงค์ อันพงึ ประสงค์ พงึ ประสงค์ต่า 11-12 คะแนน 9-10 คะแนน 6-8 คะแนน กว่า 6 คะแนน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232