๖๖ อนตั ตลกั ขณสูตร “ภิกษทุ ้งั หลาย เรายอมไมขัดแยง กบั ชาวโลก แตช าวโลก (คือ สัจจกนิครนถ, อุตติยปริพาชก, เวขนสปริพาชก, อัสสลายนมาณพ และอุปาลิคฤหบดี เปนตน) ยอมขัดแยงกับเรา ผูกลาวความจริงยอม ไมขัดแยงกับใครๆ ในโลก” พระดํารัสนี้แสดงวา ไมเฉพาะแตพระผูมีพระภาคเทาน้ัน แตใครก็ตามท่ีกลาวอธิบายความจริงตามที่พระองคไดทรงสอนไว เพ่ือใหอีกฝายหน่ึงเขาใจ ยอมไมเรียกวาเปนการโตเถียงหรือทะเลาะ วิวาท เพราะเปนการชวยใหผูที่ขาดความรูความเขาใจท่ีถูกตองได หายจากความเช่ือที่ผิดๆ ทานพระสารีบุตรบรรลุเปนพระอรหันต ในระหวางที่พระผูมีพระภาคไดทรงสนทนาอยูกับทีฆนข- ปริพาชกวาดวยการกําหนดรูเวทนา ๓ อยาง และวาดวยการบรรลุ อรหัตตผลที่อาจมีไดดวยการกําหนดรูเวทนาน้ัน ทานพระสารีบุตร นั่งถวายอยูงานพัด ณ เบ้ืองพระปฤษฎางคพระผูมีพระภาค เมื่อ ไดยินพระผูมีพระภาคตรัสเทศนาเกี่ยวกับเวทนา ๓ อยาง โดยที่ ขณะน้ันทานไดบรรลุธรรมเปนพระโสดาบันแลว จึงไดบรรลุเปน พระอรหันตในขณะท่ีกําลังถวายงานพัดอยูนั้นเอง
อนัตตลักขณสูตร ๖๗ ในอนุปทสูตรไดกลาวถึงการบรรลุอรหัตตมรรคของพระ สารีบุตรดังนี้ คือ พระสารีบุตรเขาปฐมฌาน ทุติยฌาน เปนตน เมื่อออกจากฌานไดกําหนดรูองคฌานไปตามลําดับ ไดบรรลุเปน พระอรหันตในวันที่ ๑๕ ของการปฏิบัติ๑๕ ในพระสูตรอีกสูตรหนึ่ง กลาววา พระสารีบุตรไดระบุวา ทานไดบรรลุเปนพระอรหันตดวย การกําหนดรูรูปนามภายใน ในท่ีน้ีอาจประมวลความในพระสูตร ทั้งสามน้ีไดวา พระสารีบุตรไดเขาฌานในขณะฟงพระสูตรน้ีแลว ออกจากฌานกําหนดเวทนาที่ปรากฏชัดเจนในขณะน้ัน จึงบรรลุ อรหัตตมรรคได พระพุทธองคตรัสถึงปฏิปทาของพระสารีบุตรวา ทานเขา ปฐมฌานกอนแลวกําหนดรูธรรม ๑๖ อยางมีวิตกเปนตนซึ่งปรากฏ ในฌานจิตตุปบาท ธรรมเหลานั้นปรากฏการเกิดขึ้น ตั้งอยู และดับไป ซง่ึ เปน เบอ้ื งตน ทา มกลาง และทสี่ ดุ ทา นจงึ รชู ดั วา ธรรมเหลา นไ้ี มม มี า กอนจะเขาปฐมฌาน แตเกิดข้ึนในขณะเขาฌานน้ี ทั้งเม่ือเกิดขึ้นแลว ยอมดับไป ทานเขารูปฌานและอรูปฌานแลวกําหนดรูธรรมในฌาน ตามนัยน้ีจนถึงอากิญจัญญายตนะ ทานรับรูถึงองคฌานบางอยางที่ อันตรธานไปและศรัทธาเปนตนเพ่ิมพูนมากขึ้นในฌานขั้นสูงๆ เมื่อ ปฏิบัติอยางน้ีครบ ๑๕ วันก็บรรลุธรรมเปนพระอรหันต การปฏิบัติ ตามนัยน้ีชื่อวา อนุปทธัมมวิปสสนา
๖๘ อนตั ตลักขณสตู ร สวนทีฆนขปริพาชกผูเปนหลานน้ันไดดวงตาเห็นธรรม บรรลุ เปนพระโสดาบันในขณะท่ีฟงพระสูตร พึงเขาใจวา ทีฆนขปริพาชกได บรรลุธรรมเปนพระโสดาบันดวยการเจริญวิปสสนากําหนดรูเวทนาที่ เกิดขึ้นในขณะฟงพระธรรมเทศนา การประชุมสาวกสันนิบาต เม่ือจบพระธรรมเทศนา พระผูมีพระภาคไดเหาะจากภูเขา คิชฌกูฏไปยังวัดเวฬุวันดวยอิทธิฤทธิ์ และทรงประชุมสาวกทั้งหลาย พระสารีบุตรก็ไดทราบการประชุมสาวกสันนิบาตดวยญาณ จึงเหาะ ไปที่วัดเวฬุวันเพื่อรวมในการประชุมดวยเชนกัน ในสาวกสนั นบิ าตนี้ หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา จาตุรงคสันนิบาต มีเหตุการณสําคัญเกิดขึ้น พรอมกัน ๔ ประการ คือ ๑) เปน วนั ขนึ้ ๑๕ คา่ํ เดอื นมาฆะ ดวงจนั ทรเ สวยมาฆนกั ษตั ร ฤกษ ๒) พระสงฆ ๑,๒๕๐ รูป ที่พระพุทธองคไดสงไปเผยแพร พระพุทธศาสนาตามแควนตางๆ ไดมาประชุมพรอมกันโดยมิได นัดหมาย ๓) พระสงฆทั้งหมดลวนเปนพระอรหันตผูไดอภิญญา ๖ ๔) พระสงฆทั้งหมดลวนเปนภิกษุที่พระพุทธเจาทรงบวช ใหดวยพระองคเอง ดวยวิธีเอหิภิกษุอุปสัมปทาทั้งส้ิน๑๖
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๖๙ “ภิกษุทั้งหลาย เรายอมไมขัดแยง กับชาวโลก แตชาวโลก (คือ สัจจกนิครนถ, อุตติยปริพาชก, เวขนสปริพาชก, อัสสลายน- มาณพ และอุปาลิคฤหบดี เปนตน) ยอม ขัดแยงกับเรา ผูกลาวความจริงยอมไม ขัดแยงกับใครๆ ในโลก”
๗๐ อนัตตลกั ขณสูตร “ทีฆนขะ เวทนามี ๓ อยางนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุข- เวทนา สมัยใดบุคคลไดเสวยเวทนาอยางใด อยางหน่ึง สมัยนั้นก็ไมไดเสวยเวทนาอีก สองอยางที่เหลือ เพราะเวทนาเกิดขึ้นทีละ อยางเทานั้น มีสภาพไมเที่ยง ถูกปจจัย ปรุงแตงข้ึน [สังขตะ] อาศัยปจจัยเกิดข้ึน [ปฏิจจสมุปปาท] มีความสิ้นไป [ขยธรรม] เส่ือมไป [วยธรรม] คลายไป [วิราคธรรม] ดับไปเปนธรรมดา [นิโรธธรรม]”
๓ สัญญาและสังขารไมใชอัตตา พระพุทธเจาตรัสตอไปวา สฺา ภิกฺขเว อนตฺตา. “ภิกษุทั้งหลาย สัญญามิใชอัตตา” สัญญามี ๖ อยาง คือ ๑) สัญญาที่เกิดจากการกระทบทางตา ๒) สัญญาที่เกิดจากการกระทบทางหู ๓) สัญญาที่เกิดจากการกระทบทางจมูก ๔) สัญญาที่เกิดจากการกระทบทางลิ้น ๕) สัญญาท่ีเกิดจากการกระทบทางกาย ๖) สัญญาท่ีเกิดจากการกระทบทางใจ
๗๒ อนัตตลกั ขณสูตร คนท่ัวไปมักคิดวา ทุกคร้ังที่ไดเห็นรูป ไดยินเสียง ไดสัมผัส สิ่งตางๆ หรือไดรูเรื่องราวตางๆ ตัวตนของเขาเปนผูเห็น ผูไดยิน เปนตน และเปนผูจําสิ่งที่ไดเห็น หรือไดยินเปนตนเหลาน้ัน เม่อื คนเราเหน็ รปู อยางใดอยา งหนึ่ง ก็จะจาํ หมายไววา รูปนนั้ เปนผูชาย ผูหญิง หรือจะจําไววาเห็นท่ีไหน เม่ือไร เมื่อไดยินเสียงก็ จะจําวา เปนเสียงผูหญิงหรือผูชาย ไดยินที่ไหน เมื่อไร การรับรูหรือ การสําคัญผิดวามีตัวตนเปนผูรับรูส่ิงเหลาน้ัน โดยคิดวา “ฉันเปนผู จําได ฉันมีความจําที่ดีมาก” พระผูมีพระภาคตรัสไววาความเห็น อยางนี้เปนความเห็นท่ีผิด การจําไดหมายรูนี้ ไมมีผูใดกระทําทั้งสิ้น เปนแตเพียงสภาวธรรมอยางหนึ่งที่เกิดข้ึนโดยปราศจากตัวตน เปน เพียงธรรมชาติท่ีเปนอนัตตา เหตุที่สัญญาไมใชอัตตา พระผูมีพระภาคตรัสอธิบายตอไปวา สฺ า จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ สฺ า อาพาธาย สํวตฺเตยฺย. ลพฺเภถ จ “สฺ าย เอวํ เม สฺ า โหตุ, เอวํ เม สฺ า มา อโหสี”ติ.
อนัตตลักขณสูตร ๗๓ “ถาสัญญานี้เปนอัตตาแลว สัญญานี้คงไมเปนไปเพื่อ เบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงในสัญญาวา สัญญาของเรา จงเปนอยางนี้เถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) สัญญาของเราจงอยาไดเปน อยางนั้นเลย (จงอยาเปนทุกขเลย)” ถาสัญญาเปนตัวตนของเราจริง ก็ไมพบเหตุผลอ่ืนใดท่ีจะ เบียดเบียนทําใหตัวเราเองตองลําบาก เพราะโดยทั่วไปแลวคนเราจะ ไมเบียดเบียนหรือทําอันตรายตนเอง เราจะตองสามารถจัดการให ตนเองไดพบและจดจําแตสิ่งที่ดี แตสัญญาน้ันเบียดเบียนใหเปนทุกข และไมเปนไปตามความตองการของเรา จึงไมใชอัตตาตัวตนของเรา ทรงประกาศวาสัญญาเปนอนัตตา ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว สฺ า อนตฺตา, ตสฺมา สฺ า อาพาธาย สํวตฺตติ, น จ ลพฺภติ สฺ าย เอวํ เม สฺ า โหตุ, เอวํ เม สฺ า มา อโหสีติ. “แตเพราะสัญญาเปนอนัตตา จึงเปนไป เพ่ือเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจง ในสัญญาวา สัญญาของเราจงเปนอยางนั้นเถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) สัญญาของเราอยาไดเปน อยางน้ัน (จงอยาไดเปนทุกขเลย)”
๗๔ อนัตตลกั ขณสตู ร เราอาจพิจารณาสัญญาในดานบวก เชน การจําไดหมายรู เกี่ยวกับลักษณะของส่ิงของตางๆ หรือการกําหนดจดจําขอมูลตางๆ ท่ีไดศึกษาเลาเรียนมาท้ังท่ีเปนโลกียะและโลกุตตระ ก็จัดวาเปนส่ิง ท่ีดีมีประโยชน แตการจดจําสิ่งที่ทําใหเศราโศกเสียใจ หรือสิ่งท่ี นาเกลียดน้ัน เปนลักษณะที่ไมดีของสัญญาท่ีทําใหเปนทุกข บางคน เศราเสียใจกับความทรงจําเกี่ยวกับคนที่รักที่ตองพลัดพรากจาก กันไป เชน บุตร ธิดา สามี ภรรยา หรือการสูญเสียทรัพยสมบัติ เปนตน ความทรงจําที่ตามมายํ้าเตือนเปนเหตุใหเกิดความระทม ทุกขอยูตลอดเวลา จนกวาความจํานั้นจะเลือนหายไป ความทุกขจึง จะหมดไปได ดังน้ันสัญญาท่ีทําหนาที่จดจําสิ่งตางๆ นี้ จึงเปนสิ่งที่ เบียดเบียนใหเกิดทุกข ตราบใดท่ีสัญญายังยอนจําการพลัดพราก จากคนท่ีรักและการสูญเสียทรัพยสมบัติ ความทุกขก็จะยังมีอยู ตราบน้ัน บางครั้งความเศราเสียใจนี้อาจมีผลรุนแรงทําใหถึงแก ความตายได อีกตัวอยางหนึ่ง คือการนึกถึงส่ิงที่นารังเกียจในรับประทาน อาหาร มักจะทําใหหายหิวไปได หรือการไดเห็นศพในตอนกลางวัน อาจทําใหนอนฝนรายในตอนกลางคืนก็ได บางคนจินตนาการถึง เหตุการณรายขึ้นมาเองแลวเก็บมากังวลจนไมเปนอันกินอันนอน ดังน้ัน จะเห็นไดวาสัญญาเบียดเบียนใหเปนทุกขดวยการยอนรําลึก
อนัตตลกั ขณสตู ร ๗๕ ถึงเรื่องไมดีตางๆ สัญญาจึงไมใชอัตตา แตเปนอนัตตาท่ีเกิดข้ึน เพราะมีเหตุปจจัยปรุงแตงใหเกิดข้ึน สัญญาไมเปนไปตามความตองการ คือใหจดจําเฉพาะ ประสบการณท่ีดีมีประโยชน และใหลืมประสบการณที่ทําใหเสียใจ และเปนทุกข เมื่อไมเปนไปตามความตองการ ไมเปนไปตามบังคับ บัญชาของเรา มันจึงไมใชอัตตาตัวตน แตเปนอนัตตาท่ีเกิดข้ึนเพราะ มีเหตุปจจัยปรุงแตงใหเกิดข้ึน แตสําหรับคนทั่วไป เมื่อยอนระลึกถึงประสบการณในอดีต ที่อยูในความทรงจํา ก็จะคิดวา “ฉันเปนผูจําเรื่องราวไวในใจของ ฉัน ฉันเปนผูระลึกนึกถึงความทรงจําเหลานี้” แลวยึดมั่นความเชื่อน้ี วามีบุคคลหรืออัตตาเปนผูทรงจําประสบการณในอดีต และตัวเขา เปนผูยอนระลึกถึงประสบการณเหลาน้ัน ความเช่ือท่ีผิดๆ อยางนี้ เกิดขึ้น เพราะขาดการกําหนดรูในขณะท่ีเห็น ที่ไดยิน เปนตน และเพราะไมไดรูเห็นสภาวธรรมของรูปนามตามความเปนจริงดวย วิปสสนาปญญา เมื่อผูปฏิบัติไดรูเห็นการเกิดดับของสภาวะเห็นหรือสภาวะ ไดยินเปนตนตามความเปนจริงดวยวิปสสนาปญญาแลว ก็จะเกิด ความเขาใจท่ีถูกตองวา สัญญาเปนเพียงสภาวธรรมอยางหน่ึงท่ีเกิด ข้ึนและดับไปอยูตลอดเวลา
๗๖ อนัตตลกั ขณสูตร อาจมีคําถามวา ในเม่ือสัญญามีลักษณะไมเท่ียง การยอน ระลึกถึงเรื่องราวที่ไดรูหรือจําไดในอดีตจะเกิดข้ึนไดอยางไร ใน เร่ืองนี้อธิบายไดวา ความทรงจําไดถูกสงตอจากสัญญาที่เกิดกอน มายังสัญญาท่ีเกิดหลังๆ และเมื่อการสืบตอความทรงจําจากสัญญา ที่เกิดกอนๆ มายังสัญญาท่ีเกิดตอๆ มานั้น มีพลังเพิ่มมากขึ้น ก็จะ ทําใหคนบางคนสามารถยอนระลึกถึงเร่ืองราวในอดีตชาติที่ผานมา แลวได โดยลักษณะเชนนี้เปนการอธิบายถึงการทํางานของสัญญา ในการสืบตอความทรงจําจากภพๆ หนึ่งไปสูอีกภพหน่ึง หลังจากที่ จุติจิตในภพกอนดับไป และปฏิสนธิจิตและภวังคจิตในภพใหมเกิด ขึ้นตอมา การสงตอความทรงจําจากสัญญาท่ีเกิดกอนไปยังสัญญา ท่ีเกิดตอมา จึงทําใหเราสามารถจําเร่ืองราวท้ังท่ีเปนกุศลและอกุศล ท่ีนาพอใจและไมนาพอใจ บางครั้งประสบการณในอดีตอาจผุดข้ึน มาเองในความทรงจําโดยที่เราไมไดตั้งใจคิดถึงเลยก็ได บางคร้ัง เมื่อ สมาธิมีกําลังมากขึ้น ผูปฏิบัติที่เจริญสติปฏฐานภาวนาอยูก็อาจ คิดถึงส่ิงท่ีเกิดข้ึนในอดีตหรือในวัยเด็ก ผูปฏิบัติพึงกําจัดไปโดยการ กําหนดรูความคิดนึกน้ันในทันทีท่ีเกิดข้ึนโดยไมตองใสใจตอเรื่องราว บางคร้ังผูปฏิบัติอาจนึกเสียใจกับความผิดพลาดในอดีต หรือกังวล กับคําพูดหรือการกระทําของตนทําใหจิตใจกระสับกระสายในขณะ
อนัตตลกั ขณสตู ร ๗๗ ปฏิบัติ ความกังวลเปนอุปสรรคสําคัญทําใหสมาธิและวิปสสนาไม กาวหนาเทาท่ีควร ผูปฏิบัติจึงควรกําจัดความกังวลดวยการกําหนด รูใหทัน เนื่องจากสัญญาทําใหเรารําลึกเร่ืองราวในอดีตอันเปนเหตุ ใหเกิดความวิตกกังวล จึงเปนสิ่งที่เบียดเบียนใหเปนทุกข ดังนั้น สัญญาจึงไมใชอัตตาตัวตนของเรา อัตตาท่ีถูกสัญญายึดม่ันมี ๓ อยาง คือ สามีอัตตา นิวาสี- อัตตา และการกอัตตา การยึดมั่นในสามีอัตตา หมายความวา การคิดวาเราสามารถ บังคับใหสัญญาเปนไปตามความตองการของเรา เชน ตองการใหจํา บางอยาง ไมใหจําบางอยาง ในอนัตตลักขณสูตรทรงปฏิเสธความ ยึดม่ันในสามีอัตตา ดวยขอความวา “บุคคลยอมไมไดการจัดแจง ในสัญญาวา สัญญาของเราจงเปนอยางนี้เถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) สัญญาของเราจงอยาไดเปนอยางน้ันเลย (จงอยาเปนทุกขเลย)” การยึดมั่นในนิวาสีอัตตา หมายความวา การคิดวามีอัตตา ตัวตนอยูในรางกายน้ี ทําหนาท่ีจําสิ่งตางๆ ความยึดม่ันในนิวาสี- อัตตาน้ี สามารถกําจัดไดดวยการกําหนดรูเมื่อมีการจําเกิดขึ้นวา สัญญานี้เปนเพียงสภาวธรรมอยางหนึ่งท่ีเกิดขึ้นตามเหตุปจจัยเทานั้น การกําหนดเชนน้ีจะทําใหผูปฏิบัติเกิดปญญารูเห็นไดวา สัญญามี การเกดิ ขึ้นและดับไปอยูตลอดเวลา และดวยการกาํ หนดรูความทรงจาํ
๗๘ อนัตตลกั ขณสูตร ท่ีผุดขึ้นมาในมโนทวาร ผูปฏิบัติก็จะเกิดความเขาใจไดวา ไมมีสัญญา ที่เท่ียงแทยั่งยืน มีเพียงสภาวธรรมที่เกิดข้ึนแลวก็ดับไปอยูตลอดเวลา ความเขาใจเชนนี้ทําใหผูปฏิบัติเห็นประจักษวา ไมมีอัตตาตัวตนที่ ยั่งยืนที่เปนผูทําหนาท่ีจดจําสิ่งของเร่ืองราวตางๆ การยึดมั่นในการกอัตตา คือ การเชื่อวามีอัตตาหรือตัวเรา เปนผูกระทําการจดจําหรือรําลึกถึงสิ่งตางๆ การยึดม่ันชนิดน้ีสามารถ ละไดดวยการกําหนดรูในขณะปฏิบัติเชนกัน เม่ือสัญญาปรากฏข้ึน ในขณะที่เห็นรูป หรือไดยินเสียงก็ตาม ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูการเกิด ดับของสัญญานั้น เมื่อเห็นชัดวาสัญญาไดเกิดข้ึนและดับไปในขณะท่ี กําหนดรูอยูนั้น ก็จะรูวาสัญญาในรูปและเสียงเปนตนนั้น เปนเพียง สภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนและดับไปติดตอกันอยูตลอดเวลา ไมมีอัตตา ตัวตนหรือผูใดทําใหเกิดข้ึน และเน่ืองจากสัญญาเปนส่ิงที่บังคับ บัญชาไมได ควบคุมไมได ผูปฏิบัติจึงเห็นไดวาสัญญาไมใชอัตตา ตัวตน พระพุทธองคไดตรัสอนัตตลักขณสูตรเพื่อขจัดความยึดมั่น ในอัตตาดวยการรูเห็นขันธ ๕ ตามความเปนจริงจากประสบการณ ในการปฏิบัติ สญั ญาท่ีเกดิ ข้ึนในขณะเห็นรปู หรือไดย นิ เสยี งเปนตน มีความ แตกตา งจากการกําหนดรสู ภาวะเห็นหรอื ไดย ินในขณะเจริญวิปส สนา ตามหลักสติปฏฐาน กลาวคือ สัญญาที่เกิดข้ึนในขณะเห็นรูปตาม
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๗๙ ปกตินั้น เกิดขึ้นเพื่อเก็บรายละเอียดของส่ิงท่ีไดเห็นหรือไดยินไวใน ความทรงจําเพ่ือจะไดร้ือฟนขึ้นมาในภายหลังได อาจจะเปนการจํา รูปรางสัณฐาน หรือลักษณะของส่ิงที่เห็นหรือไดยิน แตการกําหนดรู สภาวะเห็นหรือไดยินในขณะเจริญวิปสสนาตามหลักสติปฏฐานนั้น เปนเพียงการเห็นวาเปนรูปนามที่เกิดข้ึนแลวดับไป เพ่ือใหเห็นความ ไมเที่ยง เปนทุกข และปราศจากตัวตนเทานั้น สังขารไมใชอัตตา พระพุทธองคตรัสถึงสังขารตอไปวา สงฺขารา อนตฺตา. “ภิกษุท้ังหลาย สังขารมิใชอัตตา” สังขารมี ๒ อยาง คือ สภาวะถูกปรุงแตง และสภาวะ ปรุงแตง สภาวะถูกปรุงแตง หมายถึง กองขันธที่เกิดขึ้นโดยมีกรรม จิต อุตุ และอาหารเปนปจจัย หลังจากปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม จิตและเจตสิกท่ีเปนผลของกรรมก็เกิดขึ้น วิปากจิตและเจตสิกท่ี ประกอบ หทัยวัตถุ และกรรมชรูปตางๆ มี ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ก็เกิดตามมา รูปและนามเหลาน้ีจัดเปนสภาวะถูกปรุงแตง คือเปน ผลวิบากของกรรมท่ีทําไวในอดีตชาติ จึงเรียกวา เปนสังขารท่ีถูก
๘๐ อนตั ตลักขณสูตร กรรมปรุงแตง ในทํานองเดียวกัน จิตตชรูป คือ รูปที่เกิดจากจิต ก็ เปนผล (วิบากสังขาร) ที่ถูกปรุงแตงดวยเหมือนกัน จึงทําใหเกิดการ เปล่ียนแปลงอิริยาบถตางๆ เชน การคู การเหยียด การเคลื่อนไหว การเดิน การยืน การนั่ง การพูด การย้ิม เปนตน เหลาน้ีเปนสังขาร ท่ีมีจิตเปนปจจัยปรุงแตงใหเกิดข้ึน เกี่ยวกับจิตและเจตสิกที่ประกอบกับจิตน้ัน ท้ังสองเปนท้ัง ผูปรุงแตง และผูถูกปรุงแตงของกันและกัน รูปที่มีอุตุหรือฤดูเปนปจจัยปรุงแตงใหเกิดขึ้น จัดวาเปน วิบากสังขารของอุตุ และรูปท่ีมีอาหารเปนปจจัยปรุงแตงใหเกิดขึ้น ก็เรียกวาเปนวิบากสังขารของอาหาร นอกจากน้ัน จิตและเจตสิกท่ีเกิดหลังๆ ก็มีจิตและเจตสิก ที่เกิดกอนๆ เปนปจจัยปรุงแตงใหเกิดขึ้น กองขันธเหลาน้ีเรียกวา วิบากสังขาร ท่ีมีกรรม จิต อุตุ และอาหารเปนปจจัยปรุงแตงให เกิดขึ้น ดังพระพุทธวจนวา สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา (สังขารทั้งปวงไมเที่ยง) คือ ทุกส่ิงที่ ถูกปจจัยปรุงแตงไมเที่ยง สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา (สังขารทั้งปวงเปนทุกข) คือ ทุกสิ่งที่ ถูกปจจัยปรุงแตงถูกบีบค้ันดวยความเกิดดับ
อนัตตลกั ขณสตู ร ๘๑ รูปขันธและนามขันธท่ีเกิดขึ้นในขณะเห็น ไดยิน เปนตน น้ัน เรียกอีกอยางหน่ึงวา อุปาทานขันธ ๕ เปนสิ่งท่ีพึงเห็นแจง ดวยวิปสสนาปญญาวาเปนสิ่งท่ีไมเท่ียง เปนทุกข และไมใชตัวตน พระผูมีพระภาคตรัสพระดํารัสขางตนใหเราเห็นลักษณะท้ังสาม ของส่ิงเหลาน้ี การจะเห็นไตรลักษณของรูปนามได จะตองกําหนด รูสภาวะเห็นหรือไดยินเปนตนใหทันในขณะที่เกิดขึ้น เม่ือกําหนดรู อยูอยางน้ี สมาธิก็จะมีกําลังมากขึ้น ทําใหผูปฏิบัติสามารถรูเห็น การเกิดขึ้นและดับไปในทันทีติดตอกันอยางรวดเร็วของรูปนาม ใน คัมภีรอรรถกถา๑๗ เรียกลักษณะเชนน้ีวา หุตฺวา อภาวโต อนิจฺจา (ไมเท่ียง เพราะเกิดข้ึนแลวดับไป) และ อุทยพฺพยปฏิปฬนา ทุกฺขา (เปนทุกข เพราะถูกบีบคั้นดวยความเกิดดับอยูเสมอ) ความเห็นที่ขัดแยงกับคําสอนของพระพุทธเจา มีผูสอนผิดเก่ียวกับบทที่วา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา โดย กลาววา สังขาร หมายถึง การกระทํา และอธิบายวา การกระทํา ทุกอยางเปนทุกข ดังนั้น จึงสอนไมใหทําความดีตางๆ เชน บริจาค ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพราะการกระทําเหลาน้ีเปนเหตุให เกิดทุกข ควรปลอยใหใจเปนไปตามธรรมชาติ คําสอนเชนนี้เปนที่ พอใจของคนท่ีไมไดศึกษาอบรม และพวกท่ีไมตองการทําความเพียร
๘๒ อนตั ตลักขณสูตร ในการเจริญสมถะวิปสสนา คําสอนเชนน้ีขัดแยงกับคําสอนของ พระพุทธเจาอยางสิ้นเชิง และเปนการปฏิเสธคําสอนของพระพุทธองค ในพระบาลีวา สพฺเพ สงฺขารา นั้น คําวา สงฺขารา คือ สภาวะ ถูกปจจัยปรุงแตง มิใชหมายความวา การกระทํา หรือการขวนขวาย พยายามกระทําความดี ดังนั้น สพฺเพ สงฺขารา จึงหมายความวา สภาวะอันเปนผลที่ถูกปจจัยปรุงแตง จึงมีสภาพไมเท่ียงและเปนทุกข ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูสังขารที่ปรากฏอยูในรางกายของตนอยาง ระมัดระวัง เพื่อใหเห็นธรรมชาติท่ีแทจริงของสังขารและเกิดความ เบื่อหนายคลายความพอใจในสังขารเหลานั้น ความหมายของสังขารในพระสูตรน้ี คําวา สังขาร ในพระสูตรนี้ หมายถึง สังขารขันธ ซ่ึงเปน หนึ่งในเบญจขันธ อันไดแก ธรรมที่ประกอบกับจิต เปนส่ิงท่ีปรุงแตง จิตและทําใหเกิดความพยายามทํากรรมข้ึน ในสังยุตตนิกาย ขันธสังยุตต ไดใหคํานิยามไวดังนี้วา สภาวะทําใหเกิดการกระทํากรรมทางกาย วาจา และใจ เรียกวา สังขาร (หรือ สังขารขันธ)๑๘ ในบรรดาขันธท้ัง ๕ นั้น รูปขันธ เปน รูป คือ สิ่งที่มีลักษณะแปรเปลี่ยนไปเพราะปจจัยที่ตรงขามมีความ เย็นและความรอนเปนตน (จะเห็นไดวา เมื่อรางกายของเราพบกับ
อนตั ตลักขณสตู ร ๘๓ ความเย็นหรือความรอน ก็เปลี่ยนแปลงในทันทีใหมีสภาพเย็นจนส่ัน หรือทําใหเหงื่อออก) รูปขันธไมสามารถกระทํากรรมหรือเปล่ียนแปลง อะไรดวยตนเอง แตเปนรูปธรรมท่ีเห็นได ดังนั้น การปรุงแตงตางๆ ของสังขารจึงปรากฏใหเห็นไดที่รูปขันธ ทําใหเห็นหรือเขาใจไปวา รูปขันธเปนผูกระทําส่ิงตางๆ เหลานั้น สวนเวทนาขันธ เปนผูเสวย เวทนา คือเปนผูรูสึกสุข ทุกข หรือวางเฉยไมสุขไมทุกข เวทนาไม สามารถกระทํากรรม หรือกอใหเกิดผลวิบากแตอยางใด สําหรับ สัญญาขันธน้ัน เปนเพียงผูจดจําส่ิงของเรื่องราวตางๆ คลายกับ เสมียนในสํานักงานท่ีคอยจดบันทึกขอมูลตางๆ ไวสําหรับอางอิงใน วันขางหนา และวิญญาณขันธ ก็เปนเพียงผูรับรูวาไดมีการเห็นรูป ไดยินเสียง เปนตนเทานั้น วิญญาณไมสามารถทําใหเกิดการกระทํา ใดๆ ได ผูที่มีหนาท่ีจัดแจงใหเกิดการกระทํากรรมทางกาย วาจา ใจ เชน เดิน ยืน นั่ง นอน คู เหยียด เคล่ือนไหว ยิ้ม พูด คิด ดู ฟง เปนตนนั้น คือ สังขารขันธ ซ่ึงเปนผูสั่งใหเดิน ยืน นั่ง นอน เปนตน การกระทําทั้งหมดไมวาจะเปนกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม มีสังขารขันธเปนผูสั่งผูจัดแจงท้ังสิ้น
๘๔ อนัตตลักขณสูตร ถามีความเห็นวาการกระทําท้ังหลายมีอัตตาตัวตนเปนผู สั่งใหกระทํา เชนน้ีจัดเปนความเห็นผิดวาสังขารเปนอัตตา เรียกวา การกอัตตวาทุปาทาน ถามีความเห็นวาอัตตาซ่ึงเปนผูกระทํากรรมตางๆ นี้ สถิต อยูในรางกายของตน เชนนี้จัดเปนความเห็นผิดท่ีเรียกวา นิวาสี- อัตตวาทุปาทาน ถามีความเห็นวาอัตตาท่ีอาศัยอยูในรางกายของตนนี้ สามารถทําสิ่งตางๆ ไดตามความปรารถนาของตน และเห็นวาการ กระทําตางๆ ของตนน้ันขึ้นอยูกับความตองการของตน เชนน้ีจัด เปนความเห็นผิดท่ีเรียกวา สามีอัตตวาทุปาทาน ในความเห็นผิดท้ัง ๓ อยางท่ีกลาวมาขางตนน้ี ไดมีการ ยึดม่ันสังขารวาเปนอัตตาตัวตน แตในความเปนจริงน้ัน ไมมีคนหรือ สัตวหรือใดท่ีเราจะสามารถยึดถือวาเปนอัตตาตัวตนไดเลย มีแต เพียงสภาวธรรมที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติโดยอาศัยเหตุปจจัยเทานั้น พระผูมีพระภาคจึงทรงสอนวา สังขารไมใชอัตตาตัวตนที่เปนผูกระทํา ส่ิงตางๆ แตในความเขาใจของปุถุชนคนทั่วไปน้ัน ก็ยังเห็นวามีตัวตน เปนผูกระทํากิจ หรืออิริยาบถตางๆ เชน เดิน ยืน นั่งเปนตน
อนัตตลกั ขณสตู ร ๘๕ เหตุที่สังขารไมใชอัตตา พระผูมีพระภาคทรงปฏิเสธความเห็นนี้โดยตรัสเหตุท่ีสังขาร ไมใชอัตตาวา สงฺขารา จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺสํสุ, นยิทํ สงฺขารา อาพาธาย สํวตฺเตยฺยุํ, ลพฺเภถ จ สงฺขาเรสุ “เอวํ เม สงฺขารา โหนฺตุ, เอวํ เม สงฺขารา มา อเหสุนฺ”ติ. “ถาสังขารนี้เปนอัตตาแลว สังขารนี้คงไมเปนไปเพื่อ เบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงในสังขารวา สังขารของเรา จงเปนอยางน้ีเถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) สังขารของเราจงอยาไดเปน อยางน้ันเลย (จงอยาเปนทุกขเลย)” สังขาร หมายถึง สภาวะของจิตท่ีมีเจตนา (ความจงใจ) เปนประธาน สภาวะของจิตน้ี เรียกวา เจตสิก มีอยู ๕๒ อยาง เม่ือ ยกเวนเวทนา และสัญญา ท่ีกลาวถึงขางตนแลว เจตสิกที่เหลือ ๕๐ อยาง รวมเรียกวา สังขาร จัดเปนสังขารขันธ และเม่ือตรัสถึง สังขาร ในพระสูตรตางๆ ทรงยกเอาเพียงเจตนาเจตสิกอยางเดียว เปนประธานในการทํากรรมตางๆ แตในพระอภิธรรมปฎกนั้น สังขาร ขันธยังหมายถึงเจตสิกอื่นๆ เชน ความใสใจ (มนสิการ), การตรึก อารมณ (วิตก), การตรองอารมณ (วิจาร), ความอิ่มใจ (ปติ), ความ โลภอยากได (โลภะ), ความโกรธ (โทสะ), ความหลง (โมหะ), ความ
๘๖ อนัตตลกั ขณสตู ร ไมโลภ (อโลภะ), ความไมโกรธ (อโทสะ), ความไมหลง (ปญญา) เปนตน สภาวะของจิตเหลานี้ลวนสามารถทําใหเกิดการกระทํา กรรมไดท้ังสิ้น เจตสิกทั้ง ๕๐ อยางน้ีเปนตนเหตุหรือเปนปจจัยท่ี อุปการะใหเกิดการกระทํากรรมทุกอยาง บงการใหเกิดการเดิน ยืน น่ัง นอน คูเขา เหยียดออก ย้ิม และพูด เปนตน นอกจากยังเปนผู ส่ังการ หรือเปนเหตุใหเกิดการกระทําทางใจ และเกิดการรับรู อารมณที่มากระทบ เชน การเห็น การไดยิน การคิดนึก เปนตน สังขารเปนเหตุใหเกิดทุกขไดอยางไร พระผูมีพระภาคทรงตักเตือนใหพิจารณาวา “ถาสังขารที่ เปนผูจัดแจงปรุงแตงการกระทํากรรมของเราทั้งหมดน้ี จะพึงเปน อัตตาตัวตนของเรา มันก็ไมควรเปนไปเพื่อบีบค้ันใหเปนทุกข” แตท่ี จริงน้ัน สังขารบีบค้ันใหเปนทุกขดวยประการตางๆ เชน หากกระทํา กรรมตา งๆ ดว ยความตอ งการหรอื ดว ยความโลภ เรากจ็ ะเหนด็ เหนอ่ื ย และลําบากในภายหลัง หรือหากพูดในส่ิงท่ีไมควรพูด ก็จะทําใหเรา ตองอับอาย หรือหากทําส่ิงผิดกฎหมาย เราก็จะตองถูกบานเมือง ลงโทษ หรือหากถูกไฟรักเผาใจใหเรารอน เราก็จะกินไมได นอนไม หลับ ดังนี้เปนตน การทํากรรมชั่วตางๆ เชน ลักทรัพย หรือพูดเท็จ ก็จะทําใหเราตองไปเกิดในอบายภูมิ ไดรับแตความทุกขอยางสาหัส
อนตั ตลกั ขณสูตร ๘๗ ในทํานองเดียวกัน การกระทํากรรมไมวาจะเปนทางกาย หรือทางวาจาก็ตามดวยเจตนาที่ประกอบดวยความโกรธหรือความ เกลียด ก็เปนส่ิงท่ีไมฉลาดเลย เพราะจะทําใหไดรับแตความทุกข ทรมาน สวนการกระทํากรรมดวยเจตนาที่ประกอบดวยความหลงผิด ความเยอหยิ่ง หรือดวยความเช่ือท่ีผิด ก็ยอมทําใหเกิดทุกขในชาติน้ี และนําใหไปเกิดในอบายในชาติตอๆ ไป ที่กลาวมาน้ีเปนความทุกข ท่ีเกิดข้ึนเพราะสังขารเปนเหตุ สังขารไมเปนไปตามความปรารถนาของเรา ถาสังขารเปนอัตตาตัวตนของเรา เราก็จะตองบังคับบัญชา ใหสังขารเปนไปตามความปรารถนาของเรา คือใหทําแตส่ิงที่เปน กุศล ซึ่งกอใหเกิดผลที่ดีงามตามความตองการของเราเทานั้น และ ไมทํากรรมที่กอใหเกิดทุกขหรือทําใหเกิดอันตรายแกตัวเรา แตใน ความเปนจริงนั้น เราไมอาจส่ังหรือบังคับใหสังขารเปนไปตามความ ปรารถนาของเราได เราจึงทําส่ิงท่ีไมควรกระทํา พูดส่ิงที่ไมควรพูด คิดสิ่งที่ไมควรคิด ดวยเหตุนี้ จึงเห็นไดวา สังขารไมเปนไปตาม ความปรารถนาของเรา ไมอยูในบังคับบัญชาของเรา สังขารจึงไมใช อัตตาตัวตนของเรา พระผูมีพระภาคจึงตรัสขอความตอไปนี้เพ่ือ ใหเราเห็นความจริงขอนี้วา
๘๘ อนัตตลกั ขณสูตร ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว สงฺขารา อนตฺตา, ตสฺมา สงฺขารา อาพาธาย สํวตฺตนฺติ, น จ ลพฺภติ สงฺ- ขาเรสุ “เอวํ เม สงฺขารา โหนฺตุ, เอวํ เม สงฺขารา มา อเหสุนฺ”ติ. “แตเพราะสังขารเปนอนัตตา จึงเปนไป เพ่ือเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจง ในสังขารวา สังขารของเราจงเปนอยางน้ันเถิด (จงเปนกุศลอยูเสมอ) สังขารของเราอยาไดเปน อยางนั้น (จงอยาเปนอกุศลเลย)” ดังนั้น สังขารซ่ึงไดแกเจตนาในการกระทํากรรมจึงไมใช อัตตาตัวตน เปนแตเพียงสภาวธรรมอยางหน่ึงเทานั้น ไมมีแกนสาร เกิดข้ึนตามเหตุปจจัยของตน สังขารจึงมีสภาพเบียดเบียนทําใหเกิด ทุกขดังท่ีไดกลาวมาขางตน ย่ิงถาหากไปคบเพื่อนที่ไมดี และไดรับ การชี้แนะที่ผิดๆ จากครูอาจารยท่ีมีมิจฉาทิฏฐิ เราก็จะทําส่ิงท่ีไม ควรทํา พูดในส่ิงที่ไมควรพูด และคิดในสิ่งที่ไมควรคิด หากเปนเร่ือง ที่เก่ียวกับทางโลก ก็จะทําใหเรากระทํากรรมท่ีนาติเตียน หรือทํา ส่ิงผิดกฎหมาย หรือกลายเปนคนข้ีเหลาเมายา หรือติดการพนัน เปนตน นอกจากนี้ ความโลภหรือความโกรธอาจทําใหพูดในสิ่งท่ี ไมสมควรพูด ส่ิงเหลาน้ียอมเปนเหตุใหตองเสียทรัพย ถูกลงโทษ
อนตั ตลกั ขณสูตร ๘๙ ตามกฎหมาย และสูญเสียพรรคพวกเพ่ือนฝูง สวนในทางธรรมนั้น การทําบาป เชน ฆาสัตวตัดชีวิต พูดปดเปนตน ก็เปนเหตุใหไดรับ ความทุกขจากการไปเกิดในอบายภูมิ ดังน้ัน สังขารจึงเบียดเบียน ทําใหเปนทุกขดวยการทําใหไดรับผลวิบากท่ีไมดี จะกลาวถึงเร่ืองที่ อกุศลสังขารใหผลเปนความทุกขเพราะการกลาวราย ดังนี้ เร่ืองเปรตท่ีถูกเข็มท่ิมแทง ครั้งหนึ่ง ทานพระลักขณะและทานพระมหาโมคคัลลานะ ไดลงจากยอดเขาคิชฌกูฏเพื่อบิณฑบาต ในขณะเดินลงมานั้นพระ มหาโมคคัลลานะไดเห็นเปรตตนหน่ึงดวยทิพยจักษุ เปรตนั้นมีเข็ม ทิ่มแทงทะลุอยูท่ัวรางกาย เข็มบางเลมแทงเขาทางศีรษะทะลุออก ทางปาก เข็มบางเลมแทงเขาทางปากทะลุออกทางอก บางเลมแทง เขาทางหนาอกทะลุออกทางทอง บางเลมแทงเขาทางทองทะลุออก ทางขาออน บางเลมแทงเขาทางขาออนทะลุออกทางแขง บางเลม แทงเขาทางแขงทะลุออกทางฝาเทา เปรตตนน้ันมีความทุกขทรมาน อยางแสนสาหัสและตองวิ่งพลานไปดวยความเจ็บปวดอยางที่สุด
๙๐ อนตั ตลักขณสูตร บรรดาเข็มเหลานั้นก็ไลตามไปทิ่มแทงไมวาเขาจะว่ิงหนีไป ท่ีใด เมื่อทานพระมหาโมคคัลลานะเห็นเปรตแลว ไดพิจารณาวา ทานไดหลุดพนจากวิบากของกรรมที่จะทําใหตองไปเกิดเปนเปรตแลว จึงแสดงอาการยิ้มขึ้นดวยความพอใจในความหลุดพนของทาน ทานพระลักขณะสังเกตเห็นจึงถามสาเหตุที่ทําใหทานย้ิม เนื่องจากทานพระลักขณะยังไมบรรลุทิพยจักษุญาณจึงไม สามารถเห็นเปรตได หากทานพระมหาโมคคัลลานะเลาเรื่องเปรต ใหฟงก็อาจไมเช่ือ ดังนั้น ทานพระมหาโมคคัลลานะจึงไดแตบอก ใหถามทานในภายหลังเมื่อเขาไปเฝาพระผูมีพระภาคแลว หลังจากที่ฉันภัตตาหารแลว ทั้งสองทานไดพากันเขาไปเฝา พระผูมีพระภาค ทานพระลักขณะไดถามซ้ําถึงสาเหตุที่ทานพระ มหาโมคคัลลานะแสดงอาการย้ิมเม่ือลงมาจากเขาคิชฌกูฏ คราวน้ี ทานพระมหาโมคคัลลานะไดตอบวา ทานไดเห็นเปรตกําลังถูกเข็ม ไลท่ิมแทงทรมานอยู และการที่ทานย้ิมนั้นก็เพราะทานทราบวาตัว ทานไดพนจากอกุศลสังขารที่จะนําใหไปเกิดเปนเปรตแลว
อนัตตลักขณสูตร ๙๑ พระผูมีพระภาคจึงตรัสชมเชยวา “สาวกของเราเปนผูมี ทิพยจักษุ เราตถาคตไดเห็นเปรตตนนี้ในคืนที่ตรัสรู ขณะท่ีน่ังอยูบน โพธิบัลลังก แตเพราะไมมีผูอื่นรูเห็นเปนพยานในขณะน้ัน เราจึง มิไดกลาวเร่ืองน้ีกับผูใด บัดน้ี โมคคัลลานะเปนพยานยืนยันแลว เรา จะเลาเรื่องของเปรตตนนี้ เปรตตนนี้เม่ือคร้ังเปนมนุษยไดทําความผิดรายแรงโดยได กลาวรายปายสีคนอ่ืนดวยเจตนาช่ัว เม่ือตายลงไดไปเกิดในนรก ตองทนทุกขทรมานเปนเวลาหลายแสนป เม่ือตายจากนรกก็ตอง มาเกิดเปนเปรตดวยเศษแหงกรรมนั้น คนธรรมดาจะไมสามารถมองเห็นเปรตได พระลักขณะจึง มองไมเห็นเปรตตนนั้น และเข็มที่ตามท่ิมแทงเปรตน้ันก็ไมไดรวงลง มาทิ่มแทงสัตวอ่ืนๆ แตคอยตามทรมานเปรตที่ทํากรรมชั่วเพราะ อกุศลเจตนาน้ันแตผูเดียว ทานพระมหาโมคคัลลานะยังไดเห็นเปรตอื่นๆ อีก เชน เปรตท่ีเมื่อครั้งเปนมนุษยเคยเปนคนฆาวัว ก็จะถูกแรง กา และ เหยี่ยวไลตามจิกดวยจะงอยปากที่แหลมคม จนเปรตท่ีนาสงสาร ตนน้ันตองรองโหยหวนดวยความทรมานในขณะที่พยายามว่ิงหนี จากการโจมตีของนกเหลานั้น
๙๒ อนัตตลักขณสูตร เปรตอีกตนหนึ่งเม่ือคร้ังเปนมนุษยมีอาชีพเปนพรานลานก ตองมาเกิดเปนเปรตที่มีรูปรางเหมือนช้ินเน้ือ และถูกแรง กา และ เหย่ียวไลลาเชนเดียวกัน สวนเปรตที่เคยเปนคนฆาแกะก็เกิดเปน เปรตท่ีไมมีหนังหุมรางกาย จึงปรากฏเหมือนกอนเนื้อแหวงว่ิน ถูก แรงกาไลตามจิก และตองว่ิงหนีพลางกรีดรองอยางโหยหวนเชน เดียวกัน เปรตท่ีเคยเปนคนฆาหมูมีมีดและดาบสองคมหลนลงมา เฉือนรางกาย สวนเปรตท่ีเคยเปนพรานลาสัตวปาก็มีหอกปกตาม รางกาย พวกเปรตพยายามวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงพรอมกับกรีด เสียงรองโหยหวน นอกจากนี้ ทานพระมหาโมคคัลลานะยังไดพบเห็นเปรตท่ี ไดรับทุกขทรมานเพราะอกุศลสังขารอื่นๆ เชน ทรมานผูอ่ืน และ เปนชูกับสามีหรือภรรยาผูอ่ืน ท้ังหมดนี้เปนตัวอยางแสดงใหเห็น ถึงความทุกขที่มีอกุศลสังขารเปนเหตุ พวกสัตวนรกและสัตวเดรัจฉานตองไดรับทุกขทรมาน เพราะอกุศลสังขารที่ไดกระทําในอดีต แมมนุษยก็เชนเดียวกัน ความทุกขท่ีเกิดจากความยากลําบากในการหาเล้ียงชีพ จากการ เจ็บไขไดปวย และจากการถูกขมเหงรังแก เหลาน้ีมีสาเหตุมาจาก อกุศลสังขารที่ไดทําไวในอดีตชาติท้ังสิ้น อกุศลสังขารเบียดเบียน
อนตั ตลักขณสตู ร ๙๓ ทําใหเราเปนทุกข ก็เพราะมันไมใชอัตตาตัวตนของเรา เราจึงไม สามารถสั่งไมใหอกุศลสังขารเกิด หรือบงการใหมีแตกุศลสังขาร เกิดขึ้นเทาน้ัน ผูปฏิบัติจะมีประสบการณวา ในขณะที่เจริญภาวนา ยอมตองการใหมีวิปสสนาสังขาร คือเจตนาในการเจริญวิปสสนา เทานั้นเกิดข้ึน แตกลับปรากฏวา มีความคิดฟุงซานแทรกเขามา โดยเฉพาะในระยะเร่ิมตน จะมีความโลภและความอยากเปนตัว ชักชวนใหเกิดความคิดไปตางๆ นานา เชนวาการปฏิบัติแนวนั้นหรือ แนวนี้นาจะดีกวา บางคนก็คิดไปตามการชักชวนของโทสะและ มานะ (ความเกลียดและความถือตัว) วาควรจะปฏิบัติอยางน้ันหรือ อยางนี้ เปนตน ผูปฏิบัติพึงปลอยวางความคิดฟุงซานเหลานี้ดวยการ กําหนดวา “ชอบหนอ อยากหนอ คิดหนอ” เปนตน สังขารไมอยูในการควบคุมบังคับบัญชาใหเปนไปตามความ ประสงคของเรา เปนแตเพียงธรรมชาติที่ไมมีแกนสาร เปนไปตามเหตุ ปจจัย เปรียบไดกับสายฝน แสงอาทิตย หรือสายลม เราไมสามารถ ส่ังหรือบังคับฝนใหตกได บางคร้ังเราตองการใหฝนตก แตฝนก็ไมตก นอกเสียจากวามีปจจัยท่ีเหมาะสมเชน มีเมฆฝน มีความช้ืนในอากาศ และมีลมพัดมา เมื่อมีปจจัยพรอมฝนก็จะตก แมวาเราจะไมตองการ ใหฝนตกก็ตาม
๙๔ อนตั ตลกั ขณสตู ร ในทํานองเดียวกัน ถาดวงอาทิตยถูกเมฆบัง ก็จะไมมีแสงแดด แมวาเราอยากจะไดแดด เมื่อใดไมมีเมฆบัง ดวงอาทิตยก็จะสองแสง ไมวาเราตองการแสงแดดหรือไม สวนลมก็จะพัดเมื่อช้ันบรรยากาศ มีสภาพเหมาะสม ถาสภาพไมเหมาะสมลมก็ไมพัด ไมวาเราจะ ตองการลมสักเทาไรก็ตาม ธรรมชาติภายนอกเหลานี้ไมเปนไปตาม ความตองการของเรา ไมอยูในอํานาจของเรา ในทํานองเดียวกัน การทํางานของสังขารท่ีเปนธรรมชาติภายในของเรา เปนส่ิงท่ีเรา ควบคุมใหเปนไปตามความตองการของเราไมได แตเปนไปตามเหตุ ปจจัยของตน สังขารจึงเปนไปเพื่อใหเกิดทุกข ย่ิงไปกวานั้น เรายัง ไมสามารถบังคับหรือบงการแกสังขารวา “จงเปนสุขอยูเสมอเถิด จงอยาไดเปนทุกขเลย” ดังนั้นสังขารจึงไมใชอัตตาตัวตนของเรา การเห็นแจงอนัตตาเกิดขึ้นไดอยางไร สําหรับผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามอยูทุกขณะ จะสังเกตเห็นไดวา สังขารไมเปนไปตามความปรารถนา เพราะเปน ธรรมชาติท่ีไมอยูในบังคับบัญชาของใคร ในขณะที่กําลังพิจารณา สภาวะพองยุบของทอง หรือการเคลื่อนไหวอิริยาบถ พรอมกับ กําหนดรูวา “พองหนอ ยุบหนอ น่ังหนอ ถูกหนอ” เปนตนอยูนั้น เม่ือความปวดเมื่อยเกิดข้ึน เขาก็จะกําหนดวา “เม่ือยหนอ เม่ือย หนอ” และหลังจากน้ันก็เกิดความอยากจะเปล่ียนอิริยาบถ ความ
อนตั ตลักขณสตู ร ๙๕ อยากเปล่ียนอิริยาบถน้ีไมใชอะไรอื่นนอกจากสังขารขันธคือการ ทํางานของจิตท่ีมีเจตนาเปนหัวหนา ตัวเจตนาส่ังการอยางเงียบๆ วา “เปลี่ยนอิริยาบถเถอะ เปล่ียนอิริยาบถเถอะ” แมวาผูปฏิบัติ จะตองการปฏิบัติในอิริยาบถเดิมตอไป แตในที่สุดก็ตองเปล่ียน อิริยาบถไปตามการรบเราของเจตนา ลักษณะเชนน้ีเปนตัวอยางของ สังขารที่ไมพึงปรารถนา ในทํานองเดียวกัน ขณะที่กําลังกําหนดความรูสึกวา “ปวด หนอ รอนหนอ คันหนอ” อยูนั้น ผูปฏิบัติก็ไดเปล่ียนอิริยาบถไป ตามบัญชาของสังขารท่ีเขาไมสามารถตานทานได และในระหวาง เจริญสมาธิ อาจมีความคิดเก่ียวกับอารมณท่ีนายินดีพอใจผุดข้ึน มา ซ่ึงเปนสังขารท่ีผูปฏิบัติมิไดปรารถนาใหเกิดขึ้น และจําเปนตอง พยายามขจัดไปดวยการกําหนดรูอยางไมทอถอย สังขารอาจชักชวน ใหผูปฏิบัติเดินไปคุยกับคนนั้นคนน้ี หรือไปเที่ยวดูสิ่งนั้นส่ิงนี้ หรือ ไปทํางานอยางใดอยางหน่ึง สิ่งเหลานี้เปนสังขารที่ไมนาปรารถนา เกิดขึ้นเองไมวาผูปฏิบัติจะยินดีพอใจใหเกิดขึ้นหรือไมก็ตาม นี้คือ ลักษณะของสังขารท่ีไมอยูในอํานาจ เปนธรรมชาติท่ีบังคับบัญชา ไมได ผูปฏิบัติจึงไมควรยินดีใหเกิดขึ้น แตพึงมีสติกําหนดรูจนกระทั่ง สังขารนั้นดับไป
๙๖ อนัตตลกั ขณสูตร การคิดวามีอัตตาตัวตนท่ีบังคับบัญชาไดควบคุมได เปนการ ยึดมั่นในสามีอัตตา ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามท่ีเกิดข้ึน เฉพาะหนาในปจจุบันขณะ จะสังเกตเห็นไดวาส่ิงท่ีปรารถนาใหเกิด ก็ไมเกิด แตส่ิงท่ีไมปรารถนาใหเกิดก็กลับเกิดข้ึน ดวยวิธีพิจารณา นี้ ผูปฏิบัติจะสามารถละความยึดมั่นในสามีอัตตา และเม่ือเฝาตาม สังเกตกระบวนการเกิดขึ้นและดับไปของรูปนามท่ีเปนไปติดตอกัน อยางรวดเร็ว และเห็นวาแมส่ิงที่ตนปรารถนาจะใหคงอยูนาน ก็ยัง ดับไป เขาก็จะละความยึดม่ันในสามีอัตตาไปได เมื่อเห็นวาไมมีอะไร ท่ีอยูคงทน ทุกส่ิงทุกอยางตองแตกดับไป เขาก็จะละความยึดม่ันใน นิวาสีอัตตา ซ่ึงเช่ือวามีอัตตาตัวตนที่เที่ยงแทถาวรซึ่งเปนแกนสาร อยูในตัวของเขาไปได เม่ือผูปฏิบัติหย่ังเห็นวา เหตุการณอยางใดอยางหน่ึงที่จะ เกิดขึ้นไดนั้น ตองมีเหตุปจจัยพรอมจึงจะเกิดขึ้นได ยกตัวอยางเชน การเกิดขึ้นของจักขุวิญญาณ จะตองมีตา และรูปารมณ คือภาพอยาง ใดอยางหนึ่ง ตลอดจนตองมีแสงสวางเพียงพอ และตองมีความตั้งใจ ท่ีจะดูดวย ดังน้ัน เมื่อมีตาและรูปารมณที่ชัดเจน การเห็นก็ยอม เกิดข้ึนได การไดยินเสียงก็เชนเดียวกัน จะเกิดขึ้นไดตองมีหู เสียง ชองวางท่ีไมมีอะไรขวางกั้น และความต้ังใจที่จะฟง เม่ือมีหูและ เสียงท่ีชัดเจน การไดยินก็ยอมเกิดขึ้นได สวนการกระทบสัมผัส จะ
อนตั ตลักขณสูตร ๙๗ เกิดขึ้นไดก็ตอเม่ือมีรางกาย มีส่ิงท่ีมากระทบ มีประสาทสัมผัสที่ รางกาย และความตั้งใจที่จะสัมผัส การพิจารณาเห็นวา กิริยาการเห็น ไดยิน และสัมผัสน้ัน เกิดขึ้นเม่ือมีปจจัยเกี่ยวของมาประชุมกันพรอม ยอมทําใหผูปฏิบัติ สรุปไดวา ไมมีอัตตาหรือตัวตนอยางหน่ึงอยางใดท่ีสามารถดล บันดาลใหเกิดการเห็น ไดยิน หรือสัมผัสขึ้นได ดังน้ัน เขาจึงละ ความยึดมั่นวามี การกอัตตา คือ ผูท่ีคอยบงการจัดแจงใหมีการทํา กรรมตางๆ พระผูมีพระภาคทรงประสงคจะกําจัดความยึดม่ันใน การกอัตตาของเรา จึงไดทรงสอนวา สังขารซึ่งไดแกเจตนาในการ ทํากรรมน้ัน ไมใชตัวตน
๙๘ อนตั ตลกั ขณสตู ร สังขารไมอยูในการควบคุมบังคับบัญชาใหเปน ไปตามความประสงคของเรา เปนแตเพียงธรรมชาติ ที่ไมมีแกนสาร เปนไปตามเหตุปจจัย เปรียบไดกับ สายฝน แสงอาทิตย หรือสายลม เราไมสามารถสั่ง หรือบังคับฝนใหตกได บางคร้ังเราตองการใหฝนตก แตฝนก็ไมตกนอกเสียจากวามีปจจัยท่ีเหมาะสม เชน มีเมฆฝน มีความช้ืนในอากาศ และมีลมพัดมา เม่ือ มีปจจัยพรอมฝนก็จะตก แมวาเราจะไมตองการให ฝนตกก็ตาม
๔ วิญญาณไมใชอัตตา พระพุทธองคตรัสวาวิญญาณเปนอนัตตาตอจากสังขารวา วิฺ าณํ ภิกฺขเว อนตฺตา. “ภิกษุท้ังหลาย วิาณมิใชอัตตา” คําวา วิญญาณ หมายถึง จักขุวิญญาณ (จิตท่ีเกิดทางตา), โสตวิญญาณ (จิตท่ีเกิดทางหู), ฆานวิญญาณ (จิตท่ีเกิดทางจมูก), ชิวหาวิญญาณ (จิตที่เกิดทางล้ิน), กายวิญญาณ (จิตที่เกิดทางกาย), และมโนวิญญาณ (จิตท่ีเกิดทางใจ) เรามักจะคิดวา วิญญาณ ๖ อยางน้ีเปนตัวตนของเรา เราเปนคนเห็น เราเปนคนไดยิน เม่ือเรา คิดอยางนี้เราจึงสรุปวาวิญญาณ ๖ อยางน้ีเปนเรา ทําใหเกิดความ
๑๐๐ อนตั ตลักขณสตู ร ยึดมั่นวาเปนตัวตนของเรา เพราะเราเห็นวาสิ่งที่ไมสามารถรับรูได เชน ทอนไม เสา กอนดิน กอนหิน เปนสิ่งไมมีชีวิต จึงคิดวาจิตที่รู อารมณทางตา จิตท่ีรูอารมณทางหูเปนตน เปนอัตตาตัวตน แตใน ความเปนจริงแลว จักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ เปนตนนี้ ไมใช อัตตาตัวตนพระผูมีพระภาคจึงตรัสวา วิญญาณไมใชตัวตน และทรง อธิบายเหตุผลวาทําไมวิญญาณจึงไมใชอัตตาตัวตนตอไป เหตุท่ีวิญญาณไมใชตัวตน วิฺาณฺ จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ วิฺาณํ อาพาธาย สํวตฺเตยฺย, ลพฺเภถ จ วิฺาเณ “เอวํ เม วิฺาณํ โหตุ, เอวํ เม วิฺาณํ มา อโหสี”ติ. “ถาวิญญาณน้ีเปนอัตตาแลว วิญญาณน้ีคงไมเปนไปเพื่อ เบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงในวิญญาณวา วิญญาณของ เราจงเปนอยางนี้เถิด (จงเปนกุศลอยูเสมอ) วิญญาณของเราอยาได เปนอยางน้ันเลย (จงอยาเปนอกุศลเลย)” ถาวิญญาณจะพึงเปนอัตตาตัวตนของเราแลว ก็คงไมเปนไป เพื่อความเจ็บปวย เพราะตัวตนของเราไมควรเบียดเบียนเราใหเปน ทุกข และเราจะตองสามารถจัดการกับจิตใจของเราใหมีแตความคิด ท่ีเปนกุศลอยูเสมอ และไมใหจิตใจของเราคิดในเร่ืองบาปอกุศล แต
อนตั ตลักขณสูตร ๑๐๑ ในความเปนจริงน้ัน จิตของเรามักจะคิดในเรื่องท่ีทําใหเราเปนทุกข และไมอยูในการควบคุมบังคับบัญชาของเรา ดังน้ัน วิญญาณจึงไมใช อัตตาตัวตนของเรา ทรงประกาศวาวิญญาณไมใชอัตตาตัวตน ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว วิฺาณํ อนตฺตา, ตสฺมา วิฺาณํ อาพาธาย สํวตฺตติ. น จ ลพฺภติ วิฺาเณ “เอวํ เม วิฺาณํ โหตุ, เอวํ เม วิฺาณํ มา อโหสี”ติ. “แตเพราะวิญญาณเปนอนัตตา จึงเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจงในวิญญาณวา วิญญาณของเราจง เปนอยางนี้เถิด (จงเปนกุศลอยูเสมอ) วิญญาณของเราอยาไดเปน อยางนั้นเลย (จงอยาเปนอกุศลเลย) ในบรรดานามธรรม ๕๓ ชนิด ไดแก จิต (วิญญาณ) ๑ และ เจตสิก (สภาวธรรมท่ีประกอบกับจิต, สภาวะของจิต) ๕๒ ชนิดนั้น คนทั่วไปมักจะคุนเคยกับจิตมากกวาเจตสิก คนจะพูดถึงจิตหรือใจ แตจะไมพูดถึงเจตสิก เชน ผัสสะ เจตนา สัญญา เวทนา เปนตน นอกจากน้ัน คนสวนมากจะมีความยึดม่ันจิตวาเปนอัตตาตัวตนของ เขา “ฉันเปนผูเห็น, ฉันเห็น” “ฉันเปนคนไดยิน, ฉันไดยิน” เปนตน ไมเฉพาะมนุษยเทานั้นท่ียึดมั่นอยางนี้ แมแตเทวดาและเหลาสัตว
๑๐๒ อนตั ตลักขณสตู ร ประเภทอ่ืนก็ยึดมั่นจิตหรือวิญญาณวาเปนอัตตาตัวตนเชนเดียวกัน แตความจริงนั้น วิญญาณไมใชอัตตาตัวตน จึงมักทําใหเราเปนทุกข วิญญาณนําทุกขมาใหอยางไร วิญญาณกอใหเกิดทุกข คือ เม่ือเราเห็นภาพที่นาเกลียด นากลัว ไดยินเสียงท่ีไมนาฟง ไดยินเรื่องราวท่ีไมนายินดี ไดกลิ่น ท่ีนาสะอิดสะเอียน เม่ือเสพอาหารที่ไมอรอย หรือเมื่อถูกตอง สัมผัสกับสิ่งท่ีระคายเคือง รวมท้ังเม่ือคิดถึงเร่ืองท่ีทําใหไมสบายใจ หรือทําใหเศราหมอง ทุกชีวิตยอมอยากประสบกับสิ่งที่ดีงามนาพอใจ เชน ไดเห็น ภาพสวยงาม แตบางครั้งก็ตองพบเห็นภาพท่ีนาเกลียดนากลัว สวน บางคนโชครายอาจตองพบเห็นแตสิ่งท่ีไมนาพอใจเปนสวนมาก แสดงใหเห็นวาจักขุวิญญาณมักจะนําทุกขมาให นอกจากนี้แลว คน ท่ัวไปมักอยากไดยินแตเสียงท่ีร่ืนหู และคําพูดที่ไพเราะออนหวาน แตก็กลับมีเหตุปจจัยทําใหตองไดยินเสียงท่ีไมนาฟง หรือบางคนก็ โชครายตองไดยินเสียงดังแสบแกวหู คําพูดขูตะคอก หรือคําตําหนิ
อนตั ตลักขณสูตร ๑๐๓ ติเตียนอยูเกือบตลอดเวลา สิ่งเหลาน้ีแสดงวาโสตวิญญาณบีบคั้น ทําใหเปนทุกข นอกจากนั้น ทุกคนยอมอยากไดดมกลิ่นหอมสดช่ืน แตก็ตองทนสูดดมกลิ่นบูดเนา ก็แสดงใหเห็นวาฆานวิญญาณนํา ทุกขมาให ความทุกขท่ีเกิดจากจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ หรือฆาน- วิญญาณ อาจเห็นไดไมชัดเจนในโลกมนุษย แตในโลกของเดรัจฉาน เปรต และนรก จะเห็นไดชัดมาก สัตวเดรัจฉานตองไดพบกับภาพ ที่นาเกลียด ไดยินเสียงท่ีนากลัวอยูเกือบตลอดเวลา สัตวที่มีชีวิตอยู ในท่ีสกปรกก็ตองทนรับกล่ินเหม็นอยูตลอดเวลา พวกเปรตหรือพวก สัตวนรกตองทนกับสภาพที่เลวรายกวาสัตวเดรัจฉาน ตองจมอยูกับ ความทุกข เห็นแตภาพไมนาดู ไดยินเสียงไมนาฟง และไดกล่ินไม นาดม ในนรกบางขุมนั้นไมมีอะไรที่นาดู นาฟง หรือนาสัมผัสเลย พวกสัตวนรกท้ังหมดนั้นตองถูกบีบค้ันใหเปนทุกขดวยการรับรูของ วิญญาณทั้ง ๖ คนท่ัวไปพอใจที่จะไดเสพอาหารที่มีรสอรอย แตคนที่โชค ไมดีก็จําตองกินอาหารท่ีไมอรอยเพ่ือใหดํารงชีวิตอยูได นี่คือการท่ี ชิวหาวิญญาณบีบค้ันใหเราเปนทุกข ในอบายภูมิท้ัง ๔ การบีบคั้น จากชิวหาวิญญาณก็ย่ิงชัดเจนมากขึ้น นอกจากน้ีมนุษยเรายอม ตองการไดรับแตสัมผัสที่สบาย แตบางครั้งเราก็จําตองทนกับสัมผัส ที่ไมสุขสบาย เชน ในเวลาท่ีเจ็บปวยเปนตน บางคร้ังความทุกข
๑๐๔ อนัตตลกั ขณสตู ร ทางกายก็รุนแรงจนกระท่ังผูปวยอาจจะอยากตายไปเพ่ือใหพนทุกข ก็มี แตความทุกขในมนุษยโลกน้ัน ถึงจะมากเพียงใดก็ไมสามารถ เปรียบไดกับความทุกขในอบายภูมิท้ัง ๔ คนท่ัวไปตองการมีชีวิตที่ปราศจากความวิตกกังวล แตก็ไม สามารถจะมีแตความสุขใจตลอดเวลาได ท่ีจริงมีคนจํานวนมากท่ีตก อยูในความวิตกกังวล ผิดหวัง เศราโศก และคนบางคนก็จมปลักอยู กับความทุกขใจตลอดชีวิตโดยไมเคยวางเวนแมเพียงช่ัวขณะเดียว น้ี เปนความบีบค้ันของมโนวิญญาณใหเราเปนทุกข๑๙ วิญญาณไมอยูในบังคับบัญชาของเรา วิญญาณเกิดข้ึนเมื่อมีเหตุปจจัยใหเกิด และไมอยูในความ ควบคุมของเรา แมวาเราอยากไดเห็นรูปารมณท่ีดี ถาไมมีภาพที่ สวยงามมาใหเห็น ก็ไมสามารถเห็นได แตกลับไดเห็นสิ่งนาเกลียด นากลัว เพราะมีภาพน้ันมาอยูตรงหนา เม่ือลืมตาดูจึงตองเห็น รูปารมณท่ีไมดี เชนน้ีเปนตัวอยางของการท่ีจักขุวิญญาณไมอยูใน บังคับบัญชาของเรา แตเกิดขึ้นเองตามเหตุปจจัยที่เหมาะสม แมจะอยากไดยินแตเสียงที่นาฟง หากไมมีเสียงท่ีไพเราะ หรือคําพูดที่ออนหวานแววมา ก็จะไมสามารถไดยินเสียงท่ีนาฟง ดังนั้นจึงจําเปนตองหาวิทยุหรือเคร่ืองเสียงมาเปดเพื่อจะไดมีเสียงท่ี
อนัตตลักขณสูตร ๑๐๕ นาฟงใหไดยินอยูทุกขณะท่ีตองการ แมจะไมอยากฟงเสียงท่ีไมนาฟง แตถามีเสียงดังกลาวเกิดข้ึน ก็จําตองไดยิน ดังนั้น โสตวิญญาณจึง เปนส่ิงที่บังคับบัญชาไมได ยอมเกิดขึ้นเองตามเหตุปจจัยที่เหมาะสม ในทํานองเดียวกัน แมจะอยากไดกลิ่นหอม ถาหากไมมีกล่ิน หอมโชยมา ก็ยอมไมไดสูดดมกล่ินหอมตามที่ตองการ คนเราจึงมักใช น้ําหอมหรือหาดอกไมกล่ินหอมมา แตถึงแมจะไมอยากสูดดมกลิ่น ที่ไมดี ถาหากมีกลิ่นเหม็นโชยมา ก็จะตองทนดมกลิ่นเหม็นน้ัน และ อาจตองทนตออาการปวดศีรษะเปนตนท่ีเปนผลจากการสูดดมกลิ่น เหม็นน้ันดวย เชนน้ีเปนตัวอยางแสดงวา ฆานวิญญาณไมเปนไปตาม ความตองการของเรา แตเกิดข้ึนเองเมื่อไดเหตุปจจัยท่ีเหมาะสม แมจะชอบรสอรอย แตจิตที่รับรูรสอรอยน้ันจะเกิดขึ้นได ก็ตอเม่ือไดรับประทานอาหารท่ีอรอย ไมอาจจะเกิดขึ้นไดหากไมได รบั ประทานอาหารรสดี ฉะนน้ั คนเราจงึ พยายามแสวงหาอาหารอรอ ย รับประทานอยางไมรูจักเบ่ือ เม่ือมีอาการเจ็บปวยก็จําตองเยียวยา ดวยการเสพยาขมท้ังๆ ท่ีตนไมชอบ นี้จึงเปนตัวอยางแสดงใหเห็นวา ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นเองตามเหตุปจจัย ไมอยูในความควบคุมหรือ ภายใตคําส่ังของผูใด การไดสัมผัสท่ีสบายนั้น จะเกิดข้ึนไดตอเม่ือมีส่ิงที่นาสัมผัส มากระทบ เชน เส้ือผาที่ออนนุม ท่ีนอนที่น่ังท่ีสบาย เปนตน ดังน้ัน
๑๐๖ อนัตตลักขณสตู ร คนเราจึงพยายามบําเรอตนเองดวยส่ิงท่ีใหสัมผัสที่เปนสุข ในคราวท่ี อากาศรอนจัดหรือหนาวจัด หรือเมื่อประสบกับอันตรายตางๆ เชน หนาม ของปลายแหลม ไฟ หรืออาวุธ หรือเราเจ็บปวยอยางหนัก ยอมตองทนทุกขกับกายสัมผัสท่ีไมนาปรารถนาตางๆ ซึ่งเกิดข้ึนเอง ตามเหตุปจจัย ทุกคนตองการมีชีวิตท่ีสุขกายสบายใจ ซ่ึงตองอาศัยทรัพยสิน เงินทองเพียงพอ ดังน้ันจึงจําเปนตองพยายามอยูตลอดเวลาเพ่ือ ใหดํารงชีวิตอยูไดดวยความสุขสบาย และในขณะที่กําลังพยายาม แสวงหาเงินทองเพ่ือบํารุงความสุขในชีวิตอยูนั้น ก็อาจไดรับความ ไมสบายใจจากปญหาในชีวิตประจําวัน หรือเกี่ยวกับคนที่เรารัก การตายของสามีหรือลูก ปญหาทางการเงินหรือการคาขาย ความแก ชรา ความเจ็บปวย เปนตน สิ่งเหลาน้ีเปนตัวอยางของการท่ีใจหรือ มโนวิญญาณไมเปนไปตามความตองการของเรา แตปรากฏเกิดข้ึน ตามเหตุปจจัย ผลที่เกิดจากเหตุ คํากลาววา “เปนไปตามเหตุปจจัย” หมายความวา ผล ยอมเกิดจากเหตุ หรือสิ่งแวดลอมท่ีเปนเหตุยอมทําใหผลเกิดข้ึน หมายถึงวาเหตุดียอมใหผลดี เหตุช่ัวยอมใหผลชั่ว เราไมสามารถ ยังผลใหเกิดขึ้นดวยความตองการของเราเพียงอยางเดียว แตผล
อนัตตลกั ขณสตู ร ๑๐๗ ยอมเกิดขึ้นไดเมื่อมีเหตุปจจัยพรอมโดยท่ีไมสามารถบังคับใหเปน อยางอื่นได ดังนั้น สิ่งเหลาน้ีจึงไมใชอัตตาตัวตน พระพุทธองคจึง ตรัสวา มโนวิญญาณไมใชตัวตน บังคับบัญชาใหเปนไปตามความ ตองการไมได พระผูมีพระภาคทรงสอนเชนน้ีก็เพื่อใหละความยึดม่ันใน สามีอัตตาท่ีเชื่อวามีตัวตนอยูภายในตัวเรา และเราสามารถควบคุม ใหเปนไปตามความตองการได และเม่ือละสามีอัตตาไดแลว ความ ยึดม่ันในนิวาสีอัตตาที่เชื่อวามีอัตตาท่ีเที่ยงแทอยูในตัวเรา ก็จะถูก ขจัดไปดวย เพราะเม่ือเห็นชัดวา จิตเปนผลท่ีเกิดขึ้นจากเหตุปจจัย เม่ือเกิดขึ้นแลวก็ดับไปในทันที ทําใหรูชัดวา ไมมีสิ่งท่ีเรียกวาอัตตา ตัวตนที่เท่ียงแทถาวร ตัวอยางเชน จิตท่ีรับรูอารมณทางตา เรียกวา จักขุวิญญาณจิตนั้นเกิดขึ้นไดก็เพราะมีตาและรูป โสตวิญญาณจิต เกิดข้ึนเพราะมีหูและเสียง ฆานวิญญาณจิตเกิดขึ้นเพราะมีจมูกและ กลิ่น ชิวหาวิญญาณจิตเกิดขึ้นไดเพราะมีลิ้นและรส กายวิญญาณจิต เกิดข้ึนไดเพราะมีกายและสิ่งที่มาสัมผัส และมโนวิญญาณจิตเกิดขึ้น ไดเพราะมีมนายตนะ (ภวังคจิต) และธรรมารมณ (มโนสัมผัส) ที่มา กระทบ เมื่อไดรูเห็นถึงเหตุปจจัยแหงการเกิดขึ้นของปรากฏการณท่ี เปนผลเหลานี้แลว ความเขาใจผิดวามีอัตตาตัวตนท่ีเท่ียงแทถาวร คือ นิวาสีอัตตา ก็จะถูกกําจัดใหหมดไป
๑๐๘ อนตั ตลกั ขณสูตร ผูปฏิบัติที่กําหนดรูสภาวธรรมรูปนามที่เกิดข้ึนในปจจุบัน ขณะอยูน้ัน จะเห็นไดอยางชัดเจนวา จักขุวิญญาณจิตเกิดข้ึนโดย อาศัยเหตุปจจัยคือตาและรูป ไมมีอัตตาตัวตนเปนผูทําใหมีการเห็น เกิดข้ึน และเขาใจชัดวาจักขุวิญญาณจิตเกิดข้ึนไดเพราะมีเหตุปจจัย ที่เหมาะสม ดวยวิธีนี้ จึงสามารถขจัดความยึดม่ันในการกอัตตาท่ี เชื่อวา การกระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจลวนเกิดข้ึนโดยมี อัตตาตัวตนทําใหเกิดขึ้น สําหรับผูท่ีไมสามารถหย่ังเห็นวิญญาณ (จิตท่ีรับรูอารมณ) ตามความเปนจริง ดวยการกําหนดรูสภาวธรรมที่เกิดข้ึนในปจจุบัน ขณะ ก็จะยึดมั่นวาจิตคือสามีอัตตา นิวาสีอัตตา หรือ การกอัตตา และดูเหมือนวาวิญญาณขันธน้ีเปนส่ิงที่คนท่ัวไปยึดมั่นวาเปนอัตตา ตัวตนมากกวาอยางอื่น ในปจจุบันนี้ คนท่ัวไปมักเรียกวิญญาณขันธ วา วิญญาณหรืออัตตา สวน เวทนาขันธ สัญญาขันธ และสังขารขันธ แมวาจะเปนสภาวะท่ีปรุงแตงจิตโดยตรง จะไมถูกกลาวถึงมากนัก คนทั่วไปมักจะกลาวกันวาจิตเปนผูรับความรูสึก จดจํา และกระทํา สิ่งตางๆ ในสมัยพุทธกาล มีภิกษุรูปหนึ่งช่ือวา สาติภิกษุ เปนผูมีความ ยึดมั่นผิดวาวิญญาณเปนอัตตา ดังมีเรื่องโดยสังเขปดังตอไปน้ี
อนัตตลักขณสูตร ๑๐๙ เรื่องของสาติภิกษุ สาติภิกษุไดกลาววาตนเขาใจคําสอนของพระพุทธองคเปน อยางดี และอางวาพระองคทรงสอนวา ตเทวิทํ วิฺ าณํ สนฺธาวติ สํสรติ อนฺ ํ .๒๐ “วิญญาณนี้น่ันแหละยอมเรรอนทองเท่ียวไปเสมอ มิใช วิญญาณอ่ืน” ขอนี้หมายความวา วิญญาณท่ีทองเที่ยวจากภพหนึ่งสูอีกภพ หน่ึงน้ันเปนวิญญาณดวงเดียวกัน หาใชเปนวิญญาณคนละดวงไม สาติภิกษุเขาใจและเชื่อเชนนั้นโดยอางอิงเร่ืองราวในชาดก เชน พระเวสสันดร พญาชางฉัททันต ภูริทัตตนาคราช มาเกิดเปน พระพุทธเจา ในพระชาติสุดทายของพระพุทธเจาน้ันไมมีรูปขันธของ พระเจาเวสสันดร ของพญาชางฉัททันต หรือของภูริทัตตนาคราช แต จิตของพระพุทธเจาก็คือจิตดวงเดียวกันกับจิตของพระเจาเวสสันดร พญาชางฉัททันต และของภูริทัตตนาคราชเปนตน เขาเช่ือวาจิตของ พระโพธิสัตวไมไดดับสูญไป แตยังคงเวียนวายอยูในภพชาติตางๆ และไดกลาวตูวาเปนคําสอนของพระพุทธองค ความเห็นผิดเชนน้ี คือความยึดม่ันในนิวาสีอัตตา เหลาภิกษุสาวกรูปอื่นไดพยายามอธิบายวาความเห็นเชนนั้น
๑๑๐ อนตั ตลกั ขณสูตร เปนความเห็นผิด แตสาติภิกษุก็คงยืนยันวาตนรูธรรมท่ีพระพุทธองค ทรงแสดงไดดีกวาภิกษุรูปใด เม่ือภิกษุเหลาน้ัน ไมอาจปลดเปล้ืองสาติภิกษุจากมิจฉา- ทิฏฐินั้นได จึงเขาไปเฝาพระผูมีพระภาค แลวกราบทูลใหทรงทราบ พระผูมีพระภาคจึงมีรับสั่งใหหาสาติภิกษุมาเขาเฝาเพื่อสอบสวน เรื่องราว สาติภิกษุทูลวา ไดกลาวเชนนั้นจริง เพราะในชาดกตางๆ ที่พระพุทธองคทรงเลาน้ัน วิญญาณในชาติปจจุบันก็เปนดวงเดียว กับวิญญาณในอดีตชาติ วิญญาณน้ันไมไดสลายไปแตทองเที่ยวจาก ภพหน่ึงไปสูอีกภพหนึ่ง พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “วิญญาณนั้นเปนอยางไร” สาติภิกษุทูลวา “ขาแตพระองคผูเจริญ วิญญาณคือสภาวะ ท่ีพูดได รูสึกได ยอมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งท่ีเปนกรรมดี และไมดี ในภพนี้บาง ในภพน้ันบาง” พระผูมีพระภาคตรัสวา “โมฆบุรุษ เธอรูธรรมอยางนี้ที่ เราแสดงแกใครเลา เราอธิบายดวยประการตางๆ แลวมิใชหรือวา วิญญาณอาศัยปจจัยประชุมกันจึงเกิดขึ้น เราอธิบายแลวมิใชหรือ วา ความเกิดแหงวิญญาณโดยไมมีปจจัยนั้นไมมี แมกระน้ัน เธอก็ยัง เขาใจคําสอนของเราผิด ท้ังยังกลาวตูวาน่ันเปนคําสอนของเรา เธอ ไดทําความผิดครั้งแลวคร้ังเลา เพราะทิฏฐิชั่วท่ีตนถือนั้น ความเห็น นั้นของเธอจักนําความทุกขมาใหเธอตลอดกาลนาน”
อนตั ตลักขณสตู ร ๑๑๑ อยางไรก็ตาม สาติภิกษุก็ไมยอมละความแห็นผิดท่ีตนเชื่อม่ัน พระพุทธองคจึงตรัสกับภิกษุท้ังหลายวา “เธอเคยไดยินวาเราไดกลาวธรรมะอยางท่ีสาติภิกษุพูดหรือ ไม” “ไมเคย พระพุทธเจาคะ ขาพระองคเคยไดยินวา วิญญาณ อาศัยปจจัยเกิดขึ้น และการเกิดข้ึนแหงวิญญาณโดยไมมีปจจัยนั้น ยอมไมมี” พระพุทธองคตรัสอธิบายตอไปอีกวา “วิญญาณแตละอยางเกิดขึ้นโดยอาศัยปจจัยของตนๆ วิญญาณอาศัยปจจัยใดเกิดขึ้น ก็เรียกชื่อตามปจจัยที่วิญญาณนั้น อาศัยเกิด เชน วิญญาณอาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็เรียกวา จักขุวิญญาณ, วิญญาณอาศัยโสตะและเสียงท้ังหลายเกิดข้ึน ก็เรียก วา โสตวิญญาณ, วิญญาณอาศัยฆานะและกล่ินท้ังหลายเกิดข้ึน ก็ เรียกวา ฆานวิญญาณ, วิญญาณอาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็เรียกวา ชิวหาวิญญาณ, วิญญาณอาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลาย เกิดขึ้น ก็เรียกวา กายวิญญาณ, วิญญาณอาศัยมนะและธรรมารมณ ทั้งหลายเกิดข้ึน ก็เรียกวา มโนวิญญาณ เปรียบเหมือนไฟอาศัยเช้ือ ใดติดขึ้น ก็เรียกตามชื่อของเชื้อนั้นๆ เชน ไฟอาศัยไมติดขึ้น ก็เรียก วา ไฟไม, ไฟอาศัยปาติดขึ้น ก็เรียกวา ไฟปา, ไฟอาศัยหญาติดข้ึน
๑๑๒ อนัตตลักขณสตู ร ก็เรียกวา ไฟหญา, ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็เรียกวา ไฟโคมัย เปนตน ในทํานองเดียวกัน วิญญาณอาศัยปจจัยใดเกิดข้ึน ก็เรียกช่ือตาม ปจจัยนั้นๆ” ในพระสูตรท่ีวาดวยความเห็นผิดของสาติภิกษุนี้ พระพุทธ- องคยังไดทรงแสดงความเปนเหตุเปนผลตามนัยแหงปฏิจจสมุปบาท โดยพิสดารอีกดวย ในท่ีนี้จะขออธิบายเฉพาะอุปมาดวยไฟชนิดตางๆ เมอื่ ไฟปา เกดิ ขน้ึ ไฟอาจเรม่ิ ขนึ้ จากการเผาเศษขยะหรอื ใบไม แหง ถายังมีเชื้อไฟปอนอยูเรื่อยๆ และไมมีคนไปดับไฟน้ัน ไฟก็จะลุก ไหมแผขยายออกไป และดูคลายกับวา ไฟกองเดียวกันน้ีไดลุกไหม ตอเนื่องอยูตลอดเวลา แตถาสังเกตใหดีจะเห็นวา ไฟที่ไหมขยะ ไมใช ไฟที่ไหมหญา ไฟหญาก็ไมใชไฟขยะ และไฟที่ไหมใบไมใบหนึ่ง ก็ไมใช ไฟท่ีไหมใบไมใบอื่น ถึงแมจะเปนวิญญาณคนละอยางกันก็ตาม คนท่ัวไปก็ยังเห็น เหมือนกับวาจักขุวิญญาณกับโสตวิญญาณเปนวิญญาณอันเดียวกัน แตสําหรับผูที่สังเกตดูอยางระมัดระวังจะสามารถแยกวิญญาณตางๆ ตามปจจัยที่เปนเหตุใหเกิดได และเม่ือสังเกตดูวิญญาณเพียงอยาง เดียว เชนจักขุวิญญาณ ก็จะสามารถเห็นไดวา มีจักขุวิญญาณตาง ชนิดกัน เกิดขึ้นจากสีตางกัน เชนจักขุวิญญาณที่เกิดจากสีขาว เกิด จากสีดํา เปนตน ถาหากจํากัดใหเหลือสีขาวอยางเดียว ผูปฏิบัติที่
อนตั ตลักขณสตู ร ๑๑๓ กําหนดรูอยางตอเน่ืองจนกระท่ังบรรลุอุทยัพพยญาณและภังคญาณ จะสังเกตเห็นวาวิญญาณท่ีเกิดจากแสงสีขาวก็มีการเกิดดับติดตอกัน เปนทิวแถวอยางชัดเจน เมื่อวิญญาณดวงกอนดับไป ก็มีวิญญาณดวง ใหมเกิดตอมา ในกรณีของการไดยินจะสังเกตเห็นความแตกตางไดชัดเจน กวาการเห็น สําหรับการไดกล่ิน และล้ิมรส ก็สามารถสังเกตเห็นได ชัดเจนเชนเดียวกัน และสภาวะท่ีสามารถสังเกตเห็นไดมากอยางและ ชัดเจนท่ีสุดไดแกการสัมผัส เมื่อมีความรูสึกเจ็บ พึงกําหนดวา “เจ็บหนอ เจ็บหนอ” เพื่อ ใหเราสามารถสังเกตเห็นกายวิญญาณที่เกิดขึ้นรับรูความเจ็บทันที ท่ีเกิดข้ึน ในทํานองเดียวกัน เราก็สามารถกําหนดรูมโนวิญญาณท่ี เกิดข้ึนทุกคร้ังที่คิดนึกเรื่องราวตางๆ ในขณะน่ังกําหนดสภาวะพอง ยุบของทองอยูนั้น ถามีความคิดแทรกเขามาก็พึงกําหนดความคิด น้ันทันทีที่เกิดขึ้น ความคิดน้ันก็จะดับไปเมื่อมีการกําหนดรู แตถา ความคิดยังเกิดข้ึนตอเนื่องในอารมณนั้นอีก ก็ใหกําหนดทุกคร้ัง และ ถาจิตเปล่ียนไปคิดเร่ืองอื่น ก็ใหกําหนดรูทุกคร้ังไป เมื่อผูปฏิบัติสามารถกําหนดรูการเกิดขึ้นของวิญญาณชนิด ตางๆ เขาก็จะรูเห็นไดดวยตนเองถึงลักษณะท่ีไมเท่ียงของวิญญาณ ซึ่งมีลักษณะเปนทุกขเพราะทนอยูไมได ตองเกิดและดับตลอดเวลา
๑๑๔ อนตั ตลกั ขณสตู ร และมีลักษณะท่ีไมมีแกนสาร เกิดขึ้นตามเหตุปจจัย บังคับบัญชา ใหเปนไปตามความตองการไมได การรูเห็นลักษณะท้ังสามอยางน้ี ดวยประสบการณตรงของตนเองนี้เปนส่ิงสําคัญอยางย่ิง การอธิบายความเปนอนัตตาของขันธทั้ง ๕ คือ รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธจบเพียงน้ี ตอไปจะขอทบทวนเก่ียวกับความยึดม่ันอัตตา ๔ ประเภท ความยึดม่ันในอัตตา ๔ ประเภท ๑) ความเช่ือวามีอาตมันหรือวิญญาณอยูในตัวเรา ที่จะ บังคับบัญชาใหเปนไปตามความตองการได เรียกวา ยึดมั่นสามีอัตตา ๒) ความเชื่อวาวิญญาณที่เท่ียงแทถาวรอยูในตัวเรา เรียกวา ยึดม่ันนิวาสีอัตตา ๓) ความเช่ือวามีวิญญาณท่ีทํากรรมทางกาย วาจา และใจ ในตัวเรา เรียกวา ยึดมั่นการกอัตตา ๔) ความเช่ือวามีวิญญาณที่เสวยความรูสึกท้ังดีและไมดีอยู ในตัวเรา เรียกวา ยึดม่ันเวทกอัตตา
อนัตตลกั ขณสตู ร ๑๑๕ ขอความในเผณปณฑูปมสูตร มีขอความในสังยุตตนิกาย เผณปณฑูปมสูตร๒๑ ซ่ึงสามารถ นํามาอธิบายเพื่อเสริมความเขาใจเก่ียวกับขันธ ๕ ดังนี้ รูปเหมือนฟองน้ํา รูปเปนเหมือนฟองนํ้าที่ลอยอยูในแกงและลําธาร เปนเพียง ฟองอากาศท่ีขังอยูในหยาดนํ้า กลุมฟองนํ้าท่ีมีอากาศอยูภายในนี้ เกาะกันเปนกอนขนาดเทากําปน เทาศีรษะคน เทาตัวคน หรือ ใหญกวานั้น มองดูเผินๆ กลุมฟองนํ้าอาจดูเหมือนมีแกนสาร แต เมื่อสังเกตดูใหดีจะเห็นวาไมมีเลย รางกายของคนเราน้ีก็เชนกัน ประกอบดวยศีรษะ ลําตัว มือและเทา เปนชาย เปนหญิง ดูคลาย จะมีสาระแกนสาร ดูคลายจะเที่ยงแทถาวร ดูสวยงามนารัก ราวกับ เปนส่ิงมีชีวิต รางกายไมมีแกนสาร เม่ือวิเคราะหดูรางกายของเราน้ี ก็จะเห็นวาไมตางอะไรกับ กลุมฟองนํ้า กลาวคือไมมีแกนสาร เปนเพียงการประชุมกันของสวน ประกอบท่ีนาเกลียด ๓๒ อยาง ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เปนตน และเม่ือวิเคราะหใหละเอียดย่ิงขึ้นไปอีก ก็จะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384