๒๑๖ อนตั ตลกั ขณสตู ร ที่เกิดข้ึนในขณะกอน ก็ไดดับไปแลว ไมคงอยูจนถึงขณะปจจุบัน ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูอยูยอมเขาใจไดวา เวทนาไมวาจะเปนสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาก็ตาม ยอมปรากฏอยูเพียง ช่ัวขณะแลวดับไป เกิดข้ึนใหมแลวก็ดับไปอยูตลอดเวลา จึงอนุมาน รูไดวา เวทนาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตก็จะดับไปในทันทีที่เกิดข้ึนเชน เดียวกัน ดังนั้น จึงควรหมั่นพิจารณาเวทนาโดยกาลท้ัง ๓ ดังนี้ ๑) เวทนาในอดีต ไดดับไปแลวในอดีต ไมคงอยูถึงปจจุบัน เพราะไดดับไปแลว จึงไมเที่ยง เพราะไมเท่ียง จึงไมนาพอใจ เชื่อถือ ไมได เปนสิ่งท่ีนากลัว เปนทุกขแทๆ ทุกขเวทนาที่ทนไดยากก็นากลัว เชนเดียวกัน เพราะมันเบียดเบียน และเพราะไมใชตัวตนท่ีควบคุม ได (สามีอัตตา) ไมใชตัวตนที่ย่ังยืน (นิวาสีอัตตา) ไมใชตัวตนท่ีเสวย ความรูสึกตางๆ (เวทกอัตตา) จึงไมใชตัวตนท่ีมีแกนสาร เปนเพียง สภาวธรรมท่ีเปนอนัตตาเทาน้ัน ๒) เวทนาในปจจุบัน ก็กําลังดับไปในปจจุบัน ไมคงทนอยู ถึงอนาคต เพราะกําลังดับสิ้นไป จึงไมเที่ยง เพราะไมเท่ียง จึงเปน ทุกขท่ีนากลัว และเพราะเปนส่ิงที่ควบคุมไมได ไมคงทนถาวร จึง ไมใชตัวตนท่ีมีแกนสาร เปนเพียงสภาวธรรมท่ีเปนอนัตตา ๓) เวทนาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตก็จะดับไปในอนาคต ไม ยืนยาวไปถึงภพหนา เพราะจะตองหมดส้ินไป จึงไมเท่ียง และเพราะ
อนตั ตลักขณสูตร ๒๑๗ ไมเท่ียง จึงเปนทุกข และเพราะเปนส่ิงท่ีควบคุมไมได จึงไมใชตัวตน ท่ีมีแกนสาร เปนเพียงสภาวธรรมท่ีเปนอนัตตา สําหรับวิธีตรึกตรองในขณะกําหนดรูเวทนา มีแนวทางให หมั่นพิจารณา ดังน้ี ๑) ความรูสึกเมื่อย รอน ปวด ไมสบาย ท่ีผานมาเมื่อครูได ดับไปแลว ไมไดอยูถึงปจจุบันที่กําลังรูสึกสบายอยูน้ี แตไดดับไปใน ทันทีท่ีรูสึกเมื่อย รอน ปวด ไมสบายน้ันเอง เน่ืองจากมันไดดับไป เชนน้ี มันจึงไมเท่ียง และเพราะมันไมเท่ียง จึงเปนทุกขท่ีนากลัว แมความรูสึกสุขสบายท่ีเกิดขึ้นในอดีต ก็ไมคงอยูจนถึงขณะที่กําลัง เจ็บปวดอยางรุนแรงอยูตอนนี้ แตมันไดดับไปในขณะที่รูสึกสุขสบาย นั้นเอง ดังนั้น จึงไมเท่ียง เพราะไมเที่ยง จึงเปนทุกข เวทนาทุกชนิด ไมวาจะเปนสุข ทุกข หรือไมสุขไมทุกข ไมใชตัวตนท่ีมีแกนสาร เปน เพียงสภาวธรรมที่เปนอนัตตาเทาน้ัน ๒) สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนาในปจจุบัน ก็ ดับไปในขณะท่ีกําหนดรูอยู จึงไมเท่ียง เปนทุกข ไมใชตัวตน ๓) สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนาในอนาคต ก็ จะดับไปในขณะท่ีเกิดขึ้น ดังน้ัน จึงไมเท่ียง เปนทุกข ไมใชตัวตน
๒๑๘ อนตั ตลกั ขณสตู ร ขอใหหมั่นระลึก ดังน้ี สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนา ไมเท่ียง ดับไปใน ขณะท่ีกําหนดรู ฉันใด เวทนาท่ีเกิดแลวในอดีต ก็ดับไปแลวในขณะ ที่เกิดข้ึน ฉันน้ัน ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวทนาที่จะเกิดข้ึนในอนาคต ก็จะดับไปในขณะที่เกิดข้ึนเชนกัน จึง มีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เม่ือไดเห็นดวยตนเองแลววา เวทนาในรางกายเรามีสภาวะ ดับไป ก็ควรตองพิจารณาเวทนาในรางกายผูอ่ืน และในสัตวโลก ทั้งหมดดวย โดยระลึกวา “เวทนาในรางกายของเรามีการเกิดขึ้นและดับไปในขณะ ท่ีกําหนดรู ฉันใด เวทนาในรางกายคนอื่นและสัตวโลกทั้งหมดก็ จะดับไปเชนกัน ฉันน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” การพิจารณาเวทนาภายในและภายนอก (๔-๕) คัมภีรวิสุทธิมรรค๕๗กลาววา “ดังที่ไดพิจารณารูป ๒ อยาง มาแลว คือ รูปภายในและรูปภายนอก รูปภายในไมกลายเปนรูป ภายนอก และรูปภายนอกไมกลายเปนรูปภายใน ผูปฏิบัติก็พึง พิจารณาเวทนา ๒ อยาง คือเวทนาภายในและเวทนาภายนอกใน ทํานองเดียวกัน” เวทนาภายในไมไดออกไปภายนอก เวทนาภายนอก
อนัตตลักขณสตู ร ๒๑๙ ก็ไมเขามาถึงภายใน ผูปฏิบัติพึงพิจารณาโดยวิธีน้ี แตอาจมีผูแปล ความแลวถามวา ถาเชนนั้น เวทนาภายในกายเราก็ไมออกไปถึง รางกายคนอื่น และเวทนาในกายคนอ่ืนไมมาถึงกายของเราใชหรือ ไม ความจริง ไมนาจะมีใครเช่ือวาเวทนาของเราจะไปถึงบุคคลอ่ืนได และเวทนาของคนอื่นก็ไมมาถึงเรา การพิจารณาดังกลาวน้ีมุงหมาย ถึงการเปลี่ยนอารมณ จากอารมณภายนอกเปนอารมณภายใน และ จากอารมณภายในเปนอารมณภายนอก เมื่อเวทนาท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัยอารมณภายในเปนเหตุ ไดถูก แทนที่โดยเวทนาท่ีเกิดข้ึนโดยอาศัยอารมณภายนอกเปนเหตุ คน ทั่วไปจะคิดวา เวทนาภายในไดกลายเปนเวทนาภายนอก และใน ทางกลับกัน เม่ือเวทนาภายนอก ท้ังท่ีเปนทุกขเวทนาหรือสุขเวทนา ที่เกิดข้ึนจากอารมณภายนอก ไดถูกแทนที่โดยเวทนาท่ีเกิดข้ึนอาศัย อารมณภายใน คนท่ัวไปก็คิดวาเวทนาภายนอกไดกลายเปนเวทนา ภายใน หรืออีกนัยหน่ึง เมื่อเวทนาท่ีเกิดจากอารมณที่อยูไกล ไดถูก แทนท่ีโดยเวทนาท่ีเกิดจากอารมณที่อยูใกล คนทั่วไปก็คิดวาเวทนาที่ อยูไกล ไดกลายเปนเวทนาที่อยูใกล หรือในทางตรงกันขามก็เปนไป ในทํานองเดียวกัน แตความหมายที่มุงเอาในท่ีน้ี คือ เปนการเปลี่ยน อารมณท่ีเปนเหตุเกิดของเวทนาระหวางอารมณภายนอกกับอารมณ ภายใน และระหวางอารมณท่ีอยูใกลกับอารมณท่ีอยูไกล
๒๒๐ อนตั ตลักขณสตู ร ผูปฏิบัติที่เฝากําหนดรูสภาวธรรมรูปนามในขณะที่เกิดข้ึน ยอมกําหนดรูความเจ็บปวด เปนตนท่ีเกิดขึ้นในรางกาย และในขณะ ที่กําหนดรูอยูนั้น ถาหากจิตไดหลุดจากอารมณนั้นไปรับรูอารมณ ภายนอก แลวเกิดความรูสึกดีใจหรือเสียใจที่มีอารมณภายนอก เปนเหตุ ก็พึงกําหนดรูความรูสึกเหลาน้ันวา ดีใจหนอ หรือ เสียใจ หนอเปนตน ดวยเหตุนั้น ในขณะท่ีกําลังกําหนดรูอยูอยางจดจอน้ัน เวทนาอันแรกท่ีเปนความเจ็บปวดกาย ไมไดออกไปภายนอก แตได ดับส้ินไปในภายในน้ันเอง และตอมาความสนใจไดเคลื่อนไปอยูที่ อารมณภายนอก กอใหเกิดเวทนาใหมขึ้น ผูปฏิบัติยอมเขาใจความ เปลี่ยนแปลงวามีการเปลี่ยนจากเวทนาภายนอกเปนเวทนาภายใน เม่ือเวทนาภายนอกท่ีเปนความดีใจไดดับไป แลวมีเวทนาภายในคือ ความรูสึกปวดเกิดข้ึนแทนที่ เวทนาภายในไมไดออกไปภายนอก เวทนาภายนอกไมไดเขามาภายใน เวทนา แตละอยางไดเกิดข้ึนและดับไปในขณะที่ เกิดขึ้นน้ันเอง ดังนั้นเวทนาจึงมีลักษณะ เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนตั ตลักขณสูตร ๒๒๑ การพิจารณาเวทนาท่ีหยาบและละเอียด (๖-๗) ในขณะท่ีประสบกับเวทนาอยางหยาบ เชน ความรูสึกเจ็บ ปวด เปนตน แลวเกิดความรูสึกที่เปนเวทนาอยางละเอียดขึ้น คน ท่ัวไปก็จะคิดวา เวทนาอยางหยาบไดเปล่ียนเปนเวทนาอยางละเอียด หรือเมื่อความไมสบายเล็กนอยซ่ึงเปนเวทนาอยางละเอียดกลาย เปนความปวดรุนแรงซ่ึงเปนเวทนาอยางหยาบ ก็จะเช่ือวาเวทนา ละเอียดไดเติบโตข้ึนเปนเวทนาอยางหยาบ แตผูปฏิบัติท่ีเฝากําหนด รูอยูอยางจดจอยอมจะเห็นวา ทันทีที่กําหนดรู เวทนาก็แตกไปเปน สวนๆ และดับไปอยางรวดเร็ว จึงรูวาเวทนาอยางละเอียดไมไดกลาย เปนเวทนาอยางหยาบ เวทนาอยางหยาบก็ไมไดกลายเปนเวทนา อยางละเอียด หากแตเวทนาเกาไดดับไป แลวมีเวทนาใหมเกิดขึ้น แทนที่ เปนเพียงสภาพที่เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปนการรูเห็น ดวยปญญาของผูปฏิบัติโดยตรง ความเจ็บปวดอยางรุนแรง ไมได กลายเปนความเจ็บปวดเล็กนอย และความ เจ็บปวดเล็กนอย ก็ไมไดกลายเปนความ เจ็บปวดรุนแรง แตไดดับไปในขณะที่เกิดข้ึน น้ันเอง ดังน้ัน เวทนาจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
๒๒๒ อนตั ตลกั ขณสตู ร การพิจารณาเวทนาท่ีเลวและเวทนาที่ดี (๘-๙) ความรูสึกเจ็บปวดกายนั้น จัดเปนเวทนาชนิดเลว สวน ความรูสึกสบายกายจัดเปนเวทนาชนิดดี ในทํานองเดียวกัน ความ ไมสบายใจ เสียใจ เศราใจ หมนหมอง จัดเปนเวทนาชนิดเลว สวน ความดีใจ สุขใจ เปนตน จัดเปนเวทนาชนิดดี หรืออีกนัยหน่ึง ความ รูสึกโกรธ อึดอัด จัดเปนเวทนาที่เลว ความรูสึกเปนสุข ความยินดี พอใจในความงามของวัตถุบูชาเชนพระพุทธรูป ก็จัดวาเปนเวทนา ท่ีดี แตเนื่องจากเวทนาเปล่ียนไปตามอารมณท่ีมากระทบอยูเสมอ คนทั่วไปจึงคิดวาเวทนาท่ีเลวไดกลายเปนเวทนาท่ีดี หรือเวทนาที่ดี กลายเปนเวทนาท่ีเลว แตผูปฏิบัติยอมรูวา เวทนาดับไปในทันทีท่ี กําหนดรู ดังนั้นจึงรูวา เวทนาที่ดีไมไดกลายเปนเวทนาท่ีเลว และ เวทนาที่เลวไมไดกลายเปนเวทนาท่ีดี แตไดดับไปในขณะที่เกิดข้ึน นั้นเอง ดังน้ันเวทนาจึงไมเท่ียง ความรูสึกเจ็บปวดที่เปนเวทนาอยางเลวน้ัน ไมไดกลายเปน ความรูสึกเปนสุขที่จัดเปนเวทนาอยางดี และเวทนาอยางดีก็ไมได กลายเปนเวทนาอยางเลว แตไดดับไปต้ังแตขณะท่ีเกิดข้ึน และมี ลักษณะที่เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๒๓ การพิจารณาเวทนาท่ีอยูไกลและเวทนาที่อยูใกล (๑๐-๑๑) เวทนาที่อยูไกลและเวทนาท่ีอยูใกล ไดกลาวถึงไปแลว จึง สรุปไดวาเวทนาที่เกิดโดยอาศัยอารมณท่ีอยูหางไกลไมไดกลายเปน เวทนาที่เกิดขึ้นโดยอาศัยอารมณที่อยูใกล เวทนาที่เกิดจากอารมณ ที่อยูใกลไมไดกลายเปนเวทนาท่ีเกิดจากอารมณที่อยูไกล แตไดดับ ไปในขณะท่ีเกิดขึ้นและกําหนดรู ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา บัดนี้เราไดอธิบายเวทนาครบทั้ง ๑๑ ชนิดแลว ตอไปเราจะ อธิบายเกี่ยวกับสัญญา ความหมายรู ในทํานองเดียวกัน การพิจารณาสัญญา ๑๑ อยาง พระพุทธองคตรัสวา ยา กาจิ สฺ า อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา, อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปณีตา วา, ยา ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพา สฺ า “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพํ. “สัญญาอยางใดอยางหน่ึง ท้ังที่เปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอท้ังหลายพึงเห็นสัญญาทั้งหมดน้ันดวยปญญาอันชอบ
๒๒๔ อนตั ตลักขณสตู ร ตามความเปนจริงอยางนี้วา สัญญาน้ีมิใชของเรา สัญญานี้มิใชเรา สัญญานี้มิใชอัตตาของเรา” พระบรมศาสดาทรงสอนใหพิจารณาสัญญา ๑๑ อยาง เชน อดีต ปจจุบัน และอนาคต เปนตน เพื่อใหเห็นสัญญาโดยความเปน อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในที่นี้ อดีตสัญญา หมายถึง การหมายรู ท่ีไดประสบในภพกอนๆ รวมทั้งการหมายรูท่ีเกิดขึ้นในชาติน้ี ซ่ึง อาจเปนหลายเดือนมาแลว หรือท่ีเพ่ิงจะเกิดข้ึนเม่ือไมนานมาน้ี สําหรับสัญญาที่เกิดขึ้นในอดีตน้ัน ยอมแนนอนวามันไดดับไปนาน แลว แตผูที่มีความยึดมั่นในอัตตาสูงก็อาจมีความเห็นวา อัตตาซึ่ง เปนผูจดจําหมายรูสิ่งตางๆ ในอดีตชาติก็ยังเปนผูจําหมายรูส่ิงตางๆ ในปจจุบันตอไป การจําไดหมายรูที่ในอดีตชาติและที่กําลังเกิดขึ้น ในปจจุบันเปนการกระทําของอัตตาอันเดียวกัน และแมในชาติน้ี การจําไดหมายรูในวัยเยาว และในเวลาที่เพิ่งจะผานไปก็เปนการ กระทําของอัตตาเดียวกัน ผูปฏิบัติที่เฝาสังเกตการเกิดขึ้นและดับไปของสภาวะคิด นึก สัมผัส เห็น หรือไดยิน เปนตนอยางจดจอ ยอมเห็นไดวา การ หมายรูเสียงไดดับไปในขณะท่ีกําหนดรูวา “ไดยินหนอ ไดยินหนอ” การหมายรูรูปไดดับไปในขณะที่กําหนดรูวา “เห็นหนอ เห็นหนอ” สําหรับการหมายรูความคิดนึกก็เชนเดียวกัน ไดดับไปในขณะที่
อนัตตลักขณสตู ร ๒๒๕ กําหนดรูวา “คิดหนอ คิดหนอ” เม่ือไดสังเกตเห็นเชนน้ี ก็ยอมเขา ใจไดจากประสบการณของตนเองวา สัญญาไมย่ังยืน เพราะมันไม ยืนยาวแมเพียงช่ัววินาทีเดียว และมีสภาพท่ีดับไปส้ินไปอยูไมขาด สาย จึงไมจําเปนตองกลาวถึงสัญญาในอดีตชาติ หรือแมในชาติ น้ีก็ตาม เพราะสัญญาท่ีเกิดขึ้นในขณะที่แลวมาไมไดยืนยาวมาถึง ขณะปจจุบัน แตไดดับส้ินไปแลว ดังน้ัน ผูปฏิบัติจึงสามารถตัดสิน ใจไดดวยตนเองวา สัญญาที่เกิดข้ึนเม่ือขณะที่แลวน้ัน บัดนี้ไดดับ ไปแลว และสัญญาท่ีเกิดขึ้นหมายรูการเห็น การไดยิน การสัมผัส ในขณะนี้ก็ไดดับไปในขณะน้ี สัญญาเกิดขึ้นแลวก็ดับไปอยูตลอด เวลา จึงสรุปไดวา แมสัญญาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตก็จะดับไปทันที ในขณะท่ีเกิดข้ึนน่ันเอง ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาสัญญาโดยกาล ทั้ง ๓ ดังน้ี ๑) สัญญาที่หมายรูรูป เสียง เปนตน ในอดีต ไดดับไปแลว ในอดีต ไมยืนยาวมาถึงปจจุบัน ดวยเหตุท่ีมันไดดับส้ินไปแลว จึงไม เท่ียง เพราะไมเที่ยงจึงเปนทุกข และเพราะบังคับบัญชาไมได ไมมี แกนสาร จึงไมใชอัตตา เปนเพียงสภาพที่ไมใชตัวตน ๒) สัญญาในชาติปจจุบันยอมดับส้ินไปในชาติปจจุบัน ไม ยืนยาวไปถึงชาติหนา ดวยเหตุท่ีมันดับส้ินไป จึงไมเที่ยง เพราะมัน ไมเที่ยง มันจึงเปนทุกข และเพราะไมมีแกนสาร จึงไมใชอัตตา
๒๒๖ อนัตตลักขณสตู ร ๓) สัญญาท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตก็จะดับส้ินไปในอนาคต น้ันเอง ไมยืนยาวไปถึงภพตอๆ ไป จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เม่ือผูปฏิบัติรูเห็นลักษณะของสัญญาท่ีปรากฏในขณะที่ กําหนดรูอยูในปจจุบันแลว ก็จะสามารถอนุมานรูลักษณะของสัญญา ในอดีต และอนาคต รวมทั้งสัญญาของสัตวโลกทั้งหมดดวย สัญญาในปจจุบันไมเที่ยง กําลังดับไปในปจจุบันขณะ ฉันใด สัญญาในอดีตก็ไดดับไปแลวในขณะที่เกิดขึ้นในอดีต ฉันน้ัน สัญญาที่ จะเกิดในอนาคตก็จะดับไปในขณะที่เกิดขึ้นในอนาคตน้ันเอง สําหรับ สัญญาภายในตนเอง และสัญญาในบุคคลอ่ืนๆ ทั่วโลก ก็ดับไปสิ้นไป ในขณะท่ีเกิดนั้นเอง จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะเห็นชัดวาสัญญาท่ีจําไดหมายรูน้ี มีลักษณะไมเท่ียง เม่ือคิดถึงวาขณะนี้เราไดลืมสิ่งที่เคยเรียน หรือตําราเคยทองจํามา ในอดีต จึงควรพิจารณาเกี่ยวกับสัญญาภายในและสัญญาภายนอก ดังน้ี (๔-๕) สัญญาที่หมายรูเก่ียวกับตัวเรา ไมไดยืนยาวถึงขณะ ที่หมายรูเก่ียวกับสิ่งภายนอก และสัญญาท่ีหมายรูส่ิงภายนอก ไมได ยืนยาวมาถึงขณะที่หมายรูอารมณภายใน แตไดดับไปในขณะที่เกิด ข้ึนนั้นเอง ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนัตตลักขณสตู ร ๒๒๗ สัญญาที่หมายรูเก่ียวกับตัณหาโลภะ โทสะพยาบาท มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา และความฟุงซานรําคาญใจ อกุศลสัญญาเหลาน้ีเปน สัญญาอยางเลว สวนสัญญาที่หมายรูเก่ียวกับศรัทธาในพระพุทธเจา เปนตน และสัญญาเกี่ยวกับพระสูตรตางๆ คําสอนที่ดีจากอาจารย และบิดามารดา กุศลสัญญาเหลานี้จัดเปนสัญญาอยางละเอียด เปนสัญญาท่ีดี สวนสัญญาหยาบจัดเปนสัญญาอยางเลว กลาวอีกนัย หน่ึง สัญญาท่ีหมายรูอารมณท่ีเห็นไดชัด จัดเปนสัญญาอยางหยาบ สวนสัญญาท่ีหมายรูอารมณที่สุขุมดีงาม จัดเปนสัญญาละเอียด นอกจากนี้ การคิดถึงสิ่งท่ีอยูไกล หรือสิ่งที่ละเอียด และหมายรูใน ส่ิงเหลานี้ จัดวาเปนสัญญาท่ีอยูไกล การหมายรูในส่ิงท่ีหยาบ หรือ อยูใกล จัดเปนสัญญาใกล อารมณภายในรางกายเราจัดเปนสัญญา ใกล เราควรพิจารณาสัญญาที่เหลือ ดังนี้ (๖-๗) สัญญาหยาบไมยืนยาวมาถึงขณะเกิดของสัญญา ละเอียด สัญญาละเอียดไมยืนยาวมาถึงขณะเกิดของสัญญาหยาบ แตไดดับไปในขณะท่ีเกิดน้ันเอง ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (๘-๙) สัญญาเลวไมยืนยาวมาถึงขณะเกิดของสัญญาดี สัญญาดีไมยืนยาวมาถึงขณะเกิดของสัญญาเลว แตไดดับไปในขณะ ท่ีเกิดน้ันเอง ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๒๒๘ อนัตตลักขณสตู ร (๑๐-๑๑) สัญญาไกลไมยืนยาวมาถึงขณะเกิดของสัญญา ใกล สัญญาใกลไมยืนยาวมาถึงขณะเกิดของสัญญาไกล แตไดดับไป ในขณะที่เกิดนั้นเอง ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การพิจารณาสังขาร ๑๑ อยาง พระพุทธองคตรัสวา เย เกจิ สงฺขารา อตีตานาคตปจฺจุปนฺนา, อชฺฌตฺตํ วา พหิทธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปณีตา วา, เย ทูเร สนฺติเก วา, สพฺเพ สงฺขารา “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพํ. “สังขารอยางใดอยางหน่ึง ท้ังท่ีเปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นสังขารท้ังหมดนั้นดวยปญญาอันชอบ ตามเปนจริงอยางนี้วา สังขารน้ีมิใชของเรา สังขารนี้มิใชเรา สังขาร น้ีมิใชอัตตาของเรา” คําสอนของพระพุทธองคใหพิจารณาสังขาร ๑๑ ชนิด เชน อดีต ปจจุบัน และอนาคตเปนตน เพ่ือใหเห็นอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะของสังขาร
อนัตตลักขณสตู ร ๒๒๙ พึงสังเกตวา มีธรรมจํานวนมากจัดเขาในสังขารขันธ ใน เจตสิก ๕๒ อยาง เม่ือนับ ยกเวนเวทนาและสัญญาดังที่กลาวไปแลว เจตสิก ๕๐ อยางท่ีเหลือจัดอยูในสังขารขันธท้ังหมด กลาวโดยยอ สังขารขันธคือเจตสิก ๕๐ อยางเหลาน้ี เปนแรงผลักดันใหมีการ กระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจ สังขารขันธเปนตนเหตุใหทําอิริยาบถใหญทั้ง ๔ คือ เดิน ยืน น่ัง นอน เหมือนเปนผูออกคําสั่งวา “จงเดิน จงยืน จงนั่ง” นอกจากน้ียังทําใหเกิดการคู การเหยียด การเคลื่อนไหว การยิ้ม เปนตน ราวกับเปนผูบงการใหคู เหยียด เคลื่อนไหว ยิ้ม หรือรองไห และสังขารก็เปนเหตุใหทําวจีกรรม ราวกับเปนผูสั่งการวา “จงพูด อยางนี้” และสังขารอีกเหมือนกันที่ทําให คิด เห็น ไดยิน เปนตน ดังนั้น ถาจะถามวา สังขารในอดีต เชน ความประสงค จะเดิน ยืน หรือพูด ไมอาจยืนยาวมาถึงปจจุบัน ใชหรือไม มันไมได ดับไปส้ินไปในอดีตหรือไร ขอนี้นาจะเห็นไดชัดแลววา ความประสงค จะทํา พูด หรือคิดในอดีตชาติ ไดดับไปแลวในอดีตชาติ ไมคงอยูถึง ปจจุบัน แตก็ยังมีบางคนท่ียึดม่ันกับความเช่ือวา “ฉันเปนผูทํากรรม ทุกอยาง กรรมทุกอยางถูกกระทําโดยฉัน” เช่ือมั่นวามีอัตตาที่ยั่งยืน จากภพหนึ่งสูอีกภพหน่ึงโดยเขาใจวา “ฉันเปนผูทํากรรมทุกอยางใน อดีตชาติ และเปนผูทํากรรมทุกอยางในปจจุบันชาติ” คนเหลาน้ัน จัดเปนพวกอัตตวาทุปาทาน เชื่อในการกอัตตาท่ียั่งยืนตลอดกาล
๒๓๐ อนัตตลกั ขณสูตร แตผ ปู ฏบิ ตั ทิ เี่ ฝา สงั เกตสภาวะพองยบุ เมอื่ มคี วามรสู กึ คนั เกดิ ข้ึน เขายอมกําหนดวา “คันหนอ คันหนอ” และในขณะที่กําหนดอยู นั้นเกิดความตองการจะเกาบริเวณท่ีรูสึกคัน ก็กําหนดความตองการ น้ันทันทีวา “อยากเกาหนอ อยากเกาหนอ” ในขณะนั้น เขายอมเห็น สังขาร คือความตองการจะเกาดับไปทุกคร้ังท่ีกําหนดรู และเมื่อรูสึก เมื่อยก็กําหนดวา “เม่ือยหนอ เม่ือยหนอ” ถามีความตองการจะคูขา หรือเหยียดขาเกิดข้ึนก็จะตองกําหนดรูความตองการน้ันทันที สังขาร คือความตองการจะคูหรือเหยียด หรือเปล่ียนอิริยาบถ จะดับไปทุกๆ คร้ังที่กําหนดรู ดวยวิธีการอยางน้ี ผูปฏิบัติยอมเห็นสังขาร คือความ ตองการที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ พูด และคิด ดับสิ้นไป การพิจารณาสังขารโดยกาล ๓ (๑-๓) ผูปฏิบัติที่เจริญกรรมฐานอยูอยางตอเนื่องน้ัน อาจไมตองพูด ถงึ สงั ขารในอดตี ชาติ เพราะเขายอ มเหน็ สงั ขารทเ่ี กดิ ขน้ึ ในปจ จบุ นั นน้ั ดับไปอยูตลอดเวลา การที่ไดเห็นเชนน้ีทําใหเขาเขาใจวา สังขารใน อดีตชาติไมไดยืนยาวมาจนถึงปจจุบันชาติ และสังขารในปจจุบันชาติ ก็ไมไดยืนยาวไปถึงอนาคตชาติ สังขารในอนาคตชาติจะไมยืนยาว ไปจนถึงภพตอๆ ไป แตไดดับไปในขณะท่ีเกิดข้ึนน้ันเอง ผูปฏิบัติท่ี ไดเห็นกระบวนการเกิดดับดวยตนเองเชนนี้ยอมรูไดดวยปญญาของ ตนเองวา สังขารไมเท่ียง เปนทุกข และเปนอนัตตา
อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๓๑ วิธีการพิจารณาสังขารโดยกาล ๓ ควรหมั่นระลึก ดังนี้ ๑) สังขารในอดีต (เจตนาในการทํากรรม) ไดดับไปแลวใน อดีต ไมไดยืนยาวมาถึงขณะปจจุบัน ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๒) สังขารที่กําลังเกิดในปจจุบัน (เจตนาในการทํากรรม) ไมยืนยาวไปถึงอนาคต เพราะกําลังดับไปในขณะปจจุบัน ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓) สังขารท่ีจะเกิดในอนาคต (เจตนาในการทํากรรม) ไม ยืนยาวไปถึงขณะถัดไปในอนาคต เพราะจะดับสิ้นไปในขณะท่ีเกิด ข้ึน ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สําหรับวิธีตรึกในขณะท่ีพิจารณาสังขาร มีแนวทางพิจารณา ดังน้ี ๑) ความตองการจะยางเทาขวาที่เกิดขึ้นเมื่อขณะที่แลว ไมไดยืนยาวมาถึงขณะท่ีตองการจะยางเทาซาย ความตองการท่ีจะ ยางเทาซาย ไมไดยืนยาวมาถึงขณะท่ีตองการจะยางเทาขวา แตได ดับไปในขณะท่ีเกิดขึ้นน้ันเอง ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในทํานองเดียวกัน สังขารในอดีต ไมไดยืนยาวมาถึงปจจุบัน แตไดดับไปในขณะที่เกิดข้ึนนั้นเอง ดังนั้นจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๒๓๒ อนตั ตลักขณสตู ร ๒) สังขาร คือเจตนาท่ีจะทํากรรม หรือเจตนาท่ีจะกําหนด รูอยางระมัดระวัง ซึ่งกําลังเกิดข้ึนในปจจุบันขณะ ไมยืนยาวถึง ขณะตอไป แตไดดับไปส้ินไปในขณะที่เกิด และมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓) สังขาร คือเจตนาท่ีจะทํากรรมหรือเจตนาที่จะกําหนดรู อยางระมัดระวัง ซ่ึงจะเกิดขึ้นในอนาคต ไมยืนยาวถึงขณะตอไปใน อนาคต แตจะดับสิ้นไปในขณะที่เกิด ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อมีความรูความเขาใจในขณะกําหนดรูสังขารท่ีเกิดขึ้น ในปจจุบัน ผูปฏิบัติก็อาจอนุมานรูไดวาสังขารในอดีตและอนาคต รวมทั้งสังขารท่ีเกิดในสัตวโลกท้ังหมด ยอมเปนไปในทํานองเดียวกัน คือ ดับไปในขณะท่ีเกิดนั้นเอง จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แมสังขารภายในเรา หรือในคนอ่ืน และในสัตวโลกทั้งหมด ก็จะดับ ส้ินไปเชนเดียวกับสังขารที่กําลังกําหนดรูอยูในปจจุบันขณะน้ี สังขาร ท้ังหมดจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนัตตลักขณสตู ร ๒๓๓ สังขารภายในและภายนอก (๔-๕) สังขารหยาบและละเอียด (๖-๗) สังขารที่คิดเก่ียวกับอารมณภายในจัดเปนสังขารภายใน สังขารท่ีเกิดขึ้นเกี่ยวกับอารมณภายนอก จัดเปนสังขารภายนอก เชน คิดจะแสวงหาหรือทําลายสังหาริมทรัพย หรืออสังหาริมทรัพย ท่ีอยูภายนอกตัวเรา เรียกวา สังขารภายนอก สังขาร คือเจตนาในการทํากรรมท่ีเก่ียวกับอารมณภายใน ยอมดับไปในขณะท่ีเกิดข้ึน ไมยืนยาวถึงขณะตอไปท่ีคิดถึงการทํา กรรมที่เกี่ยวกับอารมณภายนอก ฉะนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การคิดจะทํากรรมที่รุนแรง จัดเปนสังขารหยาบ การคิดจะ ทํากรรมที่สุขุมดีงาม จัดเปนสังขารละเอียด สังขารหยาบไมไดกลาย เปนสังขารละเอียด สังขารละเอียดไมไดกลายเปนสังขารหยาบ แต ดับไปในขณะท่ีเกิดข้ึนน้ันเอง ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
๒๓๔ อนัตตลักขณสูตร การพิจารณาสังขารเลวและสังขารดี (๘-๙) สังขารไกลและสังขารใกล (๑๐-๑๑) การคิดจะทําและการทําอกุศลและทุจริตท้ังหมด จัดเปน สังขารเลว สวนการคิดจะทําและการทํากุศลจัดเปนสังขารดี ใน บรรดากุศลกรรมท้ังหมด การรักษาศีลจัดเปนกุศลท่ีดีกวาการให ทาน การเจริญภาวนาจัดเปนกุศลที่ดีกวาการรักษาศีล การเจริญ วิปสสนาภาวนาจัดเปนกุศลท่ีดีกวาการเจริญสมถภาวนา สังขารเลวไมไดยืนยาวจนถึงขณะเกิดข้ึนของสังขารดี สังขารดีก็ไมไดยืนยาวจนถึงขณะเกิดข้ึนของสังขารเลว แตไดดับไป ในขณะที่เกิดข้ึนนั้นเอง จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สังขารท่ีคิดจะบริจาคทานไมไดยืนยาวจนถึงขณะเกิดขึ้น ของสังขารท่ีคิดจะรักษาศีล สังขารที่คิดจะรักษาศีลก็ไมไดยืนยาว จนถึงขณะเกิดขึ้นของสังขารที่คิดจะบริจาคทาน เจตนาท่ีจะรักษา ศีลไมยืนยาวถึงขณะเกิดข้ึนของเจตนาท่ีจะเจริญภาวนา เจตนาท่ี จะเจริญภาวนาไมยืนยาวถึงขณะเกิดขึ้นของเจตนาท่ีจะรักษาศีล เจตนาท่ีจะเจริญสมถภาวนาไมยืนยาวถึงขณะเกิดขึ้นของเจตนาท่ี จะเจริญวิปสสนาภาวนา เจตนาท่ีจะเจริญวิปสสนาภาวนาไมยืนยาว ถึงขณะเกิดขึ้นของเจตนาที่จะเจริญสมถภาวนา เจตนาเหลาน้ันได ดับลงในขณะท่ีเกิดข้ึนนั้นเอง จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๓๕ การกําหนดรูสังขารที่เปนอกุศลและกุศลเปนเร่ืองท่ีละเอียด มาก แตสําหรับผูปฏิบัติท่ีเจริญภาวนาอยูตลอดเวลายอมรูไดจาก ประสบการณของตนเองวา สังขารเหลาน้ีดับไปในขณะท่ีเกิดอยาง ไมขาดสาย ยกตัวอยางเชน ในขณะท่ีกําหนดสภาวะพองยุบของ ทองอยูนั้น ถามีความคิดอยากไดเกิดขึ้น และผูปฏิบัติกําหนดวา “อยากไดหนอ” ความคิดอยากไดก็ดับไปในทันทีกอนที่จะถึงขณะ เกิดของกุศลจิตท่ีทําหนาท่ีกําหนดรู ผูปฏิบัติที่เจริญวิปสสนาจนถึง ขั้นภังคญาณยอมรูจักปรากฏการณน้ีเปนอยางดี เมื่อรูสึกยินดีขณะ คิดถึงการบริจาคทานของตน และกําหนดวา “ดีใจหนอ ดีใจหนอ” ทันทีท่ีกําหนดรู ผูปฏิบัติที่บรรลุภังคญาณแลวยอมเห็นอยางชัดเจน วา กุศลสังขารที่คํานึงถึงการบริจาคทานนั้นไดดับลงในทันทีกอน ขณะเกิดขึ้นของจิตท่ีกําหนดรู นอกจากน้ี ในขณะกําหนดรูสภาวะ พองยุบของทอง หากมีความคิดฟุงซานแทรกเขามา ก็พึงกําหนด รูความคิดฟุงซานนั้น เจตนาท่ีกําหนดรูสภาวะพองยุบของทองได เกิดข้ึนและดับไปกอนจะถึงขณะเกิดขึ้นของความคิดฟุงซาน และ ความคิดฟุงซานก็ไดดับไปกอนจะถึงขณะเกิดขึ้นของการกําหนดรู ดวยการกําหนดรูเชนนี้ ผูปฏิบัติจึงเห็นทุกขณะที่สังขารเกาดับไป กอนที่สังขารใหมจะเกิด ถายังไมเห็นปรากฏการณตามน้ี ก็แสดงวา ปญญายังไมไดบรรลุถึงขั้นภังคญาณ
๒๓๖ อนัตตลกั ขณสูตร สังขารท่ีคิดถึงอารมณท่ีอยูไกล ไมไดยืนยาวถึงสังขารท่ี คิดถึงอารมณท่ีอยูใกล แตดับไปตั้งแตขณะที่เกิด และในทางกลับกัน ก็เปนไปในทํานองเดียวกัน สังขารเหลาน้ันดับไปตั้งแตขณะท่ีเกิด นั่นเอง ดังนั้น สังขารจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การพิจารณาวิญญาณ ๑๑ อยาง พระพุทธองคตรัสตอไปวา ยํ กิฺ จิ วิฺ าณํ อตีตานาคตปจฺจุปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทธา วา, โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, เย ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพํ วิฺ าณํ “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพํ. “วิญญาณอยางใดอยางหนึ่ง ท้ังที่เปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นวิญญาณทั้งหมดน้ันดวยปญญาอันชอบ ตามเปนจริงอยางน้ีวา วิญญาณนี้มิใชของเรา วิญญาณนี้มิใชเรา วิญญาณน้ีมิใชอัตตาของเรา” คําสอนของพระพุทธองคนี้ใหพิจารณาวิญญาณ ๑๑ ชนิด เชน อดีต ปจจุบัน และอนาคตเปนตน เพื่อใหเห็นความไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตนของวิญญาณ
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๓๗ ในบทท่ี ๖ ของพระสูตรนี้ ไดอธิบายแลววา การพิจารณา โดยความเปนอนิจจัง ตรงกับการพิจารณาวา “ส่ิงนี้มิใชเรา” การ พิจารณาโดยความเปนทุกข ตรงกับการพิจารณาวา “สิ่งนี้มิใชของ เรา” และการพิจารณาโดยความเปนอนัตตา ตรงกับการพิจารณา วา “สิ่งน้ีมิใชอัตตาของเรา” ในบรรดานามขันธทั้ง ๔ น้ัน (เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ) กลาวไดวาวิญญาณ หรือจิต เปน สภาวธรรมที่สําคัญท่ีสุด ในภาษาท่ีพูดกันท่ัวไปก็ยังเรียกเจตสิก (สภาวธรรมที่ปรุงแตงจิต) เชน โลภะ โทสะ วา โลภจิต โทสจิต อีกท้ังในคัมภีรอรรถกถาท่ัวไปมักไดแสดงเรื่องจิตไวเปนอันดับแรก กอนจะอธิบายเจตสิกเปนอันดับตอมา ในที่นี้จึงเห็นวาควรอธิบาย เร่ืองจิตอยางละเอียดดวยเชนเดียวกัน วิญญาณท่ีเปนอดีตอาจหมายถึงจิตที่เกิดในอดีตชาติ หรือ จิตท่ีเกิดในวัยเยาว หรือจิตท่ีเกิดในวันกอน เดือนกอน ปกอน หรือ แมแตจิตท่ีเกิดในขณะกอนก็จัดเปนอดีตวิญญาณดวย จิตที่เกิดใน ชาติที่แลว ไมไดยืนยาวมาถึงชาติน้ี แตไดดับไปแลวในอดีตชาติ
๒๓๘ อนตั ตลกั ขณสูตร แตบางคนที่ยังมีความยึดม่ันอยางแรงกลาในอัตตาตัวตน จะไมสามารถเขาใจเร่ืองนี้ เพราะพวกที่ยึดมั่นในอัตตวาทุปาทาน เช่ือวา วิญญาณหรือจิตนั้นเปนอัตตาตัวตน เมื่อรางกายเดิมแตก ทําลายไป วิญญาณก็ละรางเดิมยายไปอยูในรางใหมในชาติปจจุบัน วิญญาณน้ีไดครอบครองรางใหมตั้งแตปฏิสนธิในครรภมารดาจนถึง ปจจุบัน และจะอยูในรางน้ีตอไปจนกระท่ังตาย หลังจากน้ันก็จะออก จากรางน้ีไปอยูในรางใหมในชาติใหมเร่ือยไป ความเชื่อนี้ไดบรรยาย ไวแลวในเรื่องของสาติภิกษุ ในบทที่ ๕ ของพระสูตรนี้ จิตในชาติหน่ึงๆ เกิดขึ้นไดอยางไร ผูปฏิบัติธรรมยอมรูเห็นจากประสบการณในการปฏิบัติ ของตนเองวาจิตเกิดดับอยางรวดเร็ว ไมยืนยาวแมเพียงวินาทีเดียว กระบวนการเกิดข้ึนและดับไปของจิตไดกลาวไวแลวในบทท่ี ๑ วา ในขณะใกลตายจากภพหน่ึง จะมีวิถีจิตช่ือวา มรณาสันนวิถี เกิดขึ้น รับเอาอารมณอยางใดอยางหน่ึงใน ๓ อยาง คือ กรรม กรรมนิมิต- อารมณ และคตินิมิตอารมณ ขั้นตอนการเกิดมรณาสันนวิถี คือ เม่ือภวังคจิต (ภวังคุ- ปจเฉทะ) ที่เกิดขึ้นตัดกระแสภวังคไดดับลงแลว และอาวัชชนจิต เกิดขึ้นพิจารณาอารมณที่ปรากฏทางปญจทวารหรือมโนทวาร จิตน้ี รบั อารมณที่สะทอ นถึงกรรมดหี รอื กรรมช่ัวทไ่ี ดกระทาํ ในชาติปจจบุ นั
อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๓๙ (กรรม) หรืออารมณที่เปนนิมิตหรือเคร่ืองหมายของกรรมดีหรือ กรรมช่ัวที่ไดกระทํา (กรรมนิมิต) หรืออารมณท่ีเปนนิมิตหรือ เครื่องหมายของสถานที่ท่ีจะไปเกิดใหมในภพตอไป (คตินิมิต) เมื่ออาวัชชนจิตที่ยึดเหนี่ยวกรรม กรรมนิมิต หรือคตินิมิต เปนอารมณไดดับลงแลว ชวนจิตก็เกิดขึ้น ๕ ขณะจิต เสพอารมณ เดียวกับอาวัชชนจิต เมื่อชวนจิตดับลงขณะท่ีเสพอารมณนั้นอยู ตทาลัมพนจิตก็เกิดข้ึน ๒ ขณะจิต รับอารมณตอจากชวนจิต เมื่อ ตทาลมั พนจติ ดับลง ภวงั คจติ ก็เกิดข้ึนตอไปอกี ๑ หรือ ๒ ขณะจติ แลว ดับลงเปนคร้ังสุดทาย ภวังคจิตที่ดับลงเปนดวงสุดทายในภพหน่ึงๆ นี้ เรียกวา จุติจิต ซึ่งเปนจิตที่ทําหนาที่เคลื่อนจากภพเกา เมื่อจุติจิตดับลง ปฏิสนธิจิตในภพใหมก็เกิดข้ึนตอจากจุติ- จิตทันที สวนภพท่ีจะไปเกิดนั้นข้ึนอยูกับกุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ที่ปรากฏใหเห็นในมรณาสันนวิถี ซ่ึงผูตายไดยึดเหนี่ยวเปนอารมณ ในขณะกอนเสียชีวิต ปฏิสนธิจิตน้ีทําหนาท่ีสืบตอภพใหมกับภพเกา เม่ือปฏิสนธิจิตดับลงแลว ภวังคจิตก็เกิดข้ึนตอมาหลายขณะ เม่ือ รูป หรือเสียง เปนตน มาปรากฏที่จักขุทวาร หรือโสตทวาร เปนตน ปญจทวาราวัชชนจิตก็เกิดขึ้นตัดกระแสภวังคขาดแลวจักขุวิญญาณ- จิต หรือโสตวิญญาณจิตเปนตนก็เกิดขึ้นรับอารมณทางปญจทวาร ตอไปนี้เปนกระบวนการท่ีเกิดขึ้นเม่ือมีการเห็นรูป หรือไดยินเสียง
๒๔๐ อนัตตลกั ขณสตู ร เปนตน ตามปรากฏการณของการเกิดวิญญาณขึ้นรับอารมณนี้ จิต จะเกิดข้ึนทีละดวง เม่ือจิตดวงหน่ึงดับไป จิตดวงใหมก็เกิดข้ึนแลว ดับไปตอเน่ืองกันเปนกระแส จุติจิตในภพกอนไดดับไปแลวในภพ กอน สวนจิตในภพน้ีก็เปนจิตที่เกิดข้ึนใหม โดยมีกรรมเกาเปนปจจัย ใหเกิด จิตทุกดวงเปนจิตท่ีเกิดข้ึนใหม ไมใชเปนการสืบตอของจิต ดวงเกา ดังน้ัน ผูปฏิบัติที่เฝากําหนดรูสภาวะพองและยุบอยูนั้น เมื่อเกิดความคิดแทรกเขามายอมกําหนดรูความคิดนั้น ความคิดหรือ จิตท่ีคิดนั้นก็จะดับไปในทันทีที่ถูกกําหนดรู เมื่อไดเห็นปรากฏการณน้ี ก็จะสรุปไดวา การตายหมายถึงการสิ้นสุดของกระแสการเกิดดับ ของจิตหลังจากท่ีจุติจิตไดดับลง และการเกิดใหมหมายถึงการเกิด ข้ึนของจิตดวงใหม ในสถานที่แหงใหม ในภพใหม และภวังคจิตก็คือ จิตท่ีเกิดข้ึนตอเน่ืองกันอยูตลอดเวลาดวยแรงกรรม โดยภวังคจิตดวง แรกท่ีเกิดข้ึนในภพใหมในขณะปฏิสนธิ เรียกวา ปฏิสนธิจิต สวนจิต ท่ีรับรูสภาวธรรมการเห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส คิดนึก เปนตน นั้น เปนจิตที่เกิดขึ้นใหมโดยมีภวังคจิตเปนที่ต้ัง จากการไดเห็น กระบวนการเกิดข้ึนและดับไปของจิตดวยประสบการณของตนเอง น้ี ทําใหผูปฏิบัติสามารถอนุมานรูไดวา การเกิดข้ึนและดับไปของ จุติจิตและปฏิสนธิจิตก็เปนไปในทํานองเดียวกัน
อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๔๑ การรูกฎของปฏิจจสมุปบาทดวยการรูกรรมวัฏ และวิปากวัฏ เมื่อไดรูเห็นวาจิตดวงใหมเกิดข้ึนดวยการปรุงแตงของกรรม ก็เทากับวาเกิดความเขาใจในกฎของปฏิจจสมุปบาทดวยปญญาที่ เขาใจเกี่ยวกับกรรมวัฏและวิปากวัฏ ดังนั้น คัมภีรวิสุทธิมรรคจึง กลาววา “เมื่อไดรูเหตุใหเกิดรูปและนามดังนี้แลว (วาไมมีผูท่ีกระทํา หรือผูเสวยผลของการกระทําใดๆ เปนเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น จากเหตุปจจัยตอเน่ืองกันไปตามวนเวียนแหงกรรมวัฏและวิปากวัฏ เทานั้น) และเม่ือไดละความลังเลสงสัย (วาอัตตามีอยูหรือไม เรา เกิดมาเพื่ออะไร) เก่ียวกับธรรมในกาลทั้ง ๓ แลว เขายอมจะเขาใจ ธรรมที่เกิดข้ึนทั้งในอดีต อนาคต และปจจุบันไดวา เปนไปตาม กระบวนการแหงการจุติและปฏิสนธิ”๕๘ ในที่นี้ คําวา “วนเวียนแหงกรรมวัฏ” หมายรวมถึงปจจัย ตางๆ เชน อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และสังขาร นอกจากนี้ การเขาใจ เร่ืองปฏิสนธิจิตโดยเปรียบเทียบกับจิตท่ีเกิดในภพปจจุบัน ก็จะทําให เขาใจไดวา ปฏิสนธิจิตก็คือจิตดวงแรกท่ีเกิดข้ึนในภพใหมหลังจาก จุติจิตไดดับไปในภพเกา และดวยการรูเห็นจิตท่ีเกิดในภพปจจุบัน ผูปฏิบัติยอมสามารถอนุมานรูจิตท่ีเกิดแลวในภพอดีต และท่ีจะเกิด ในภพอนาคตดวย และการรูเห็นจิตก็หมายถึงการรูเห็นเจตสิกอัน
๒๔๒ อนตั ตลกั ขณสตู ร เปนธรรมที่ปรุงแตงจิต ซึ่งเกิดพรอมกับจิต ตลอดจนหทัยวัตถุอันเปน ที่อาศัยเกิดของจิตดวย ดังน้ัน คัมภีรวิสุทธิมรรคจึงกลาววา “เขายอม เขาใจธรรมท่ีเกิดข้ึนในอดีต อนาคต และปจจุบัน” การพิจารณาจิตโดยกาล ๓ ดวยการพิจารณาดังไดกลาวแลวผูปฏิบัติจึงรูไดวา เริ่มตน จากปฏิสนธิจิตซึ่งเปนจิตดวงแรกท่ีเกิดขึ้นในภพใหม แลวก็จะมีจิต ดวงอื่นเกิดข้ึนและดับไปติดตอกันไมขาดสาย เขายอมรูชัดวา จิตใน ภพกอนไดดับไปในภพกอน ไมไดยืนยาวมาถึงภพปจจุบัน และจิต ในภพปจจุบันดับไปในขณะที่เกิดข้ึน เขาจึงสามารถอนุมานรูจิต ทั้งหมดทั้งท่ีเปนอดีต อนาคตและปจจุบันไดจากประสบการณของ ตน วิธีตรึกในการพิจารณาจิตโดยกาล ๓ มีดังน้ี ๑) จิตในอดีตไมยืนยาวมาถึงปจจุบัน แตไดดับไปในอดีต จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๒) จิตในปจจุบันไมยืนยาวไปถึงภพอนาคต แตกําลังดับไป ส้ินไปในปจจุบัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓) จิตในอนาคตไมยืนยาวไปถึงภพตอๆ ไป แตไดดับไปใน ขณะที่เกิดขึ้นน้ันเอง จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผูปฏิบัติที่เฝาสังเกตสภาวะพองยุบของทองอยางตอเน่ือง
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๔๓ ถาเกิดมีความคิดแทรกเขามา พึงกําหนดวา “คิดหนอ คิดหนอ” ความคิดนั้นก็จะดับไป ถาไดยินเสียง พึงกําหนดวา “ไดยินหนอ ไดยินหนอ” โสตวิญญาณจิต (ท่ีรับรูเสียง) ก็จะดับไปทันที เขายอม ไมคิดเหมือนคนท่ัวไปวา เขายังไดยินเสียงตอไปเปนเวลานาน แตจะ รูเห็นวา การไดยินของเขานั้นขาดเปนชวงๆ คือ ไดยินแลวไมไดยิน ชั่วขณะ โดยโสตวิญญาณไดดับไปเปนชวงๆ ตอเน่ืองกันไป ในทํานองเดียวกัน ขณะที่กําลังกําหนดรูกายวิญญาณจิตที่ รูสัมผัส ก็จะเห็นกายวิญญาณจิตดับไปอยางรวดเร็ว เมื่อสมาธิย่ิง แกกลามากขึ้น จักขุวิญญาณจิตจะเกิดขึ้นและดับไปติดตอกันอยาง รวดเร็ว พึงกําหนดรูฆานวิญญาณ และชิวหาวิญญาณในทํานอง เดียวกัน และพึงกําหนดรูจิตที่กําหนดรูจนเห็นการเกิดขึ้นและดับไป ดวย กลาวโดยสรุป ทุกคร้ังที่กําหนดรูอารมณทุกๆ อยาง ท้ังอารมณ และจิตที่รูอารมณก็ดับไปเปนคูๆ อยางไมขาดสาย สําหรับผูปฏิบัติท่ีเห็นสภาวธรรมอยางชัดเจน จักขุวิญญาณ ไมยืนยาวไปถึงขณะที่กําหนดรู ขณะคิด และขณะไดยิน แตไดดับ ไปในขณะท่ีเห็นนั่นเอง ดังนั้นจึงรูชัดวาจักขุวิญญาณเปนส่ิงไมเท่ียง ในทํานองเดียวกัน จิตที่กําหนดรู จิตที่คิด และจิตที่ไดยินในขณะกอน ก็ไมยืนยาวถึงขณะที่กําหนดรู คิด และไดยิน ในปจจุบัน ดวยเหตุน้ัน ผูปฏิบัติจึงรูไดวา จิตไมเที่ยง
๒๔๔ อนัตตลักขณสูตร แนวทางการพิจารณาจิตที่เกิดดับ มีดังน้ี ๑) จักขุวิญญาณ (จิตเห็น) โสตวิญญาณ (จิตไดยิน) กาย- วิญญาณ (จิตรูสัมผัส) และมโนวิญญาณ (จิตคิด) เปนตน ซ่ึงปรากฏ ข้ึนในขณะกอน ไมยืนยาวถึงขณะที่เห็น ไดยิน เปนตนในปจจุบัน แต ไดดับไปสิ้นไปแลว ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๒) จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ กายวิญญาณ และมโน- วิญญาณ เปนตน ซ่ึงปรากฏข้ึนในขณะปจจุบัน ไมยืนยาวถึงขณะ ตอไปที่เห็น ไดยิน เปนตน แตกําลังดับไปสิ้นไปในขณะนี้ ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓) จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ เปนตน ซ่ึงจะปรากฏขึ้นใน อนาคต ไมยืนยาวถึงขณะตอไปในอนาคต แตจะดับไปส้ินไป ดังนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เม่ือไดรูเห็นการเกิดขึ้นและดับไปของจิตในกายของตนโดย ประจักษแลว ผูปฏิบัติก็สามารถอนุมานรูไดวา จิตทั้งหมดท่ีไดกําหนด รูแลวในอดีต จิตที่ยังไมไดกําหนดรูในอนาคต จิตของบุคคลอื่น และของสัตวโลกท้ังหมด ยอมมีการเกิดขึ้นและดับไปในลักษณะ เดียวกัน ทําใหสามารถสรุปไดวา จิตที่ถูกกําหนดรูในปจจุบันมี ลักษณะไมเท่ียง ฉันใด จิตของคนอื่นก็จะเกิดขึ้นแลวก็ดับไป ฉันนั้น และจิตท่ัวทั้งโลกก็จะเกิดขึ้นแลวก็ดับไปเชนเดียวกัน ดังน้ัน จิต ท้ังหมดจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๔๕ การพิจารณาจิตภายในและภายนอก (๔-๕) จิตที่มีอารมณภายใน ไมคงอยูจนถึงขณะที่มีอารมณ ภายนอก และจิตท่ีมีอารมณภายนอก ไมคงอยูจนถึงขณะที่มีอารมณ ภายใน ในขณะจิตท่ีมีอารมณใดอารมณหนึ่ง จิตน้ันยอมดับไปสิ้นไป ในขณะนั้น จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การพิจารณาจิตหยาบและละเอียด จิตท่ีประกอบดวยโทสะจัดเปนจิตหยาบ จิตอยางอ่ืนเม่ือ เทียบกับโทสะจิตแลวจัดวาเปนจิตละเอียด จิตที่ประกอบดวยโทสะ กลาจนอาจถึงกับฆา ทรมาน หรือทําลายทรัพยสินของผูอ่ืนได กลาววาจาช่ัวหยาบ จัดเปนจิตหยาบ สวนจิตที่ประกอบดวยความ หงุดหงิดรําคาญ และจิตท่ีประกอบดวยความโลภจัดเปนจิตละเอียด แตจิตท่ีประกอบดวยความโลภอยางรุนแรงจนทําใหขโมยทรัพยสิน ของผูอ่ืน ทําผิดศีลธรรม กลาววาจาช่ัวหยาบ จัดเปนจิตหยาบ สวน จิตท่ีประกอบดวยความตองการอยางปกติเปนจิตละเอียด จิตท่ี ประกอบดวยความหลงหรือความโงเมื่อเทียบกับจิตโลภและจิตโกรธ แลวก็จัดเปนจิตละเอียด แตจิตโงเขลาที่เพงโทษติเตียนไมเคารพตอ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆจัดเปนจิตหยาบ จิตท่ีลังเลสงสัย และฟุงซานอยางปกติธรรมดาจัดเปนจิตละเอียด จิตท่ีเปนกุศลจัด
๒๔๖ อนัตตลักขณสตู ร เปนจิตท่ีละเอียดเม่ือเทียบกับจิตที่เปนอกุศล และบรรดากุศลจิต ดวยกัน จิตที่ประกอบดวยปติโสมนัสจัดเปนจิตหยาบ สวนจิตท่ี ประกอบดวยอุเบกขาจัดเปนจิตละเอียด ผูปฏิบัติที่ตั้งใจกําหนดรูอยูตลอดเวลา เมื่อกําลังกําหนดรู การเกิดขึ้นและดับไปของจิตหยาบและจิตละเอียดอยูน้ัน จะพบวา จิตหยาบก็ไมคงอยูถึงขณะเกิดข้ึนของจิตละเอียด และจิตละเอียดก็ ไมคงอยูจนถึงขณะเกิดขึ้นของจิตหยาบ แตไดดับไปในขณะท่ีเกิดขึ้น น่ันเอง ในขณะท่ีผูปฏิบัติกําลังกําหนดรูสภาวะพองยุบอยูน้ัน ถา จิตท่ีประกอบดวยราคะเกิดข้ึนก็กําหนดรูวาจิตท่ีประกอบดวยราคะ เกิดขึ้น น้ีคือการกําหนดรูจิตท่ีประกอบดวยราคะตามความเปนจริง ดังท่ีตรัสไวในสติปฏฐานสูตรวา สราคํ จิตฺตํ สราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ.๕๙ “ยอมรูชัดจิตท่ีมีราคะวาเปนจิตท่ีมีราคะ” เม่ือไดกําหนดรูเชนนี้ จิตท่ีประกอบดวยราคะน้ันก็ดับไป และหลังจากน้ัน กระแสจิตท่ีกําหนดรูอันเปนกุศลจิต และกิริยาจิต ตลอดจนวิปากจิตที่เกิดข้ึนทําหนาที่เห็น ไดยิน เปนตนก็เกิดข้ึนตอๆ มา กุศลจิต กิริยาจิต และวิปากจิตเหลานี้จะถูกกําหนดรูวา เห็นหนอ ไดยินหนอ สัมผัสหนอ รูหนอ เปนตน ตามความเปนจริง ดังท่ีตรัส
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๔๗ ไวในสติปฏฐานสูตรวา วีตราคํ วา จิตฺตํ วีตราคํ จิตฺตนฺติ ปชานาติ ๖๐ (ยอมรูชัดจิตท่ีไมมีราคะวาเปนจิตที่ไมมีราคะ) การกําหนดรูจิตท่ีประกอบดวยราคะและจิตที่ไมประกอบ ดวยราคะตามท่ีกลาวมานี้ เปนการพิจารณาจิตดวยสติ ตามท่ีกลาวไวในคัมภีรอรรถกถา๖๑ ทานไดใหคํานิยามจิตท่ี ประกอบดวยราคะวาหมายถึงโลภมูลจิต (จิตที่มีโลภะเปนมูลเหตุ) ซึ่งจําแนกเปน ๘ ชนิด ดังน้ัน ถาจิตประกอบดวยราคะ ก็จะตองเปน จิตดวงใดดวงหนึ่งในโลภมูลจิต ๘ ดวงน้ี แตหากเพียงแตตรึกตรอง เกี่ยวกับโลภมูลจิต ๘ ชนิดวาเปนจิตท่ีประกอบดวยราคะ (สราคจิต) ยอมไมใชเปนการพิจารณาจิตดวยสติ นอกจากน้ัน คัมภีรอรรถกถา๖๒ ไดกลาววา วีตราคะ คือจิต ท่ีไมประกอบดวยราคะ หมายถึง โลกียกุศลจิต และอัพยากตจิต เทาน้ัน เพราะเปนอารมณของวิปสสนาญาณได สวนโลกุตตรจิตไม จัดเปนวีตราคะ (จิตท่ีปราศจากราคะ) หรือ วีตโทสะ (จิตท่ีปราศจาก โทสะ) เปนตน เพราะเปนฐานะท่ีกลาวถึงการกําหนดรูดวยวิปสสนา- ญาณ สวนโทสมูลจิต (จิตที่มีโทสะเปนมูลเหตุ) ๒ ดวง และโมหะ มูลจิต (จิตท่ีมีโมหะเปนมูลเหตุ) ๒ ดวง ก็ไมเรียกวาเปน วีตราคะ เชนกัน
๒๔๘ อนตั ตลักขณสตู ร เมื่อผูปฏิบัติกําหนดรูจิตท่ีประกอบดวยราคะ จิตที่ประกอบ ดวยราคะนั้นก็ดับลงไปทันที และจิตที่เกิดตอมาก็ตองเปนกุศลจิต กิริยาจิต หรืออัพยากตจิตเทาน้ัน โดยปกติโทสมูลจิตและโมหมูลจิต จะไมเกิดในขณะหลังจากที่โลภมูลจิตดับลง ดังนั้น ในขณะนั้นจึงมี แตกุศลจิตที่ทําหนาท่ีกําหนดรู หรือวิปากอัพยากตจิต อาวัชชน- อัพยากตจิตท่ีทําหนาท่ีเห็นเปนตนและกุศลชวนจิตเทาน้ันที่เกิดข้ึน และถูกกําหนดรูตอจากโลภมูลจิต เหตุนี้ คําจํากัดความของวีตราคะ (จิตที่ปราศจากราคะ) อันไดแกกุศลจิต และอัพยากตจิต จึงถูกตอง ตรงตามธรรมชาติ และตรงตามสภาวะท่ีผูปฏิบัติธรรมไดพบจาก ประสบการณในการปฏิบัติจริง เม่ือโทสมูลจิตเกิดขึ้นในขณะท่ีกําหนดรูสภาวะพองและ ยุบของทอง ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูโทสมูลจิตนั้น และโทสมูลจิตก็จะ ดับลงทันที ตอจากน้ันจิตที่เกิดข้ึนแทนท่ี ไดแก กุศลจิตท่ีกําหนดรู อัพยากตจิต และกุศลชวนจิตที่ทําหนาที่เห็น เปนตน ผูปฏิบัติรูชัด วา จิตนี้เปนจิตท่ีปราศจากโทสะดวยการกําหนดรู เม่ือจิตที่ประกอบ ดวยโมหะ คือ จิตท่ีมีวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย หรือจิตที่มีอุทธัจจะ ความฟุงซาน เกิดข้ึน ผูปฏิบัติก็จะกําหนดรูทําใหจิตน้ันดับไป หลัง จากนั้นก็มีกุศลจิตท่ีกําหนดรู อัพยากตจิต และกุศลชวนจิตที่ทํากิจ เห็นเปนตนเกิดข้ึนแทน ผูปฏิบัติก็รูจิตท่ีปราศจากโมหะ คือ วีตโมหะ ดวยการกําหนดรู
อนัตตลักขณสตู ร ๒๔๙ นอกจากนั้น เมื่อจิตที่ประกอบดวยถีนะ ความงวง และมิทธะ ความหดหูทอถอย เกิดแทรกเขามาในขณะกําหนดรูสภาวะพองยุบ อยูนั้น ผูปฏิบัติก็ตองกําหนดรูวา “งวงหนอ หดหูหนอ” จิตน้ันก็ จะดับไปในทันที และสติก็จะเกิดขึ้นแทนที่ ผูปฏิบัติพึงกําหนดจิตที่ ประกอบดวยสติเชนน้ีกอน แลวจึงกลับไปกําหนดสภาวะพองยุบตอ ไปตามเดิม และในขณะท่ีกําลังกําหนดสภาวะพองยุบอยูนั้น ถามีความ ฟุงซานรําคาญใจ (อุทธัจจกุกกุจจะ) เกิดขึ้น ก็พึงกําหนดวา “ฟุงซาน หนอ รําคาญใจหนอ คิดหนอ” เปนตน จิตเหลานั้นก็จะดับไปทันที และจิตท่ีเกิดขึ้นแทนที่จะเปนจิตท่ีสงบ ผูปฏิบัติพึงกําหนดจิตที่สงบน้ี ดวย (จิตที่เรียกวา มหัคคตจิต และอนุตตรจิต เปนรูปฌานจิตและ อรูปฌานจิต การกําหนดจิตเหลานั้นเก่ียวกับผูไดฌานแลวเทาน้ัน ไมเก่ียวกับคนทั่วไปท่ีไมไดบรรลุฌาน) เม่ือสมาธิมีกําลังขึ้นและจิตมุงอยูกับอารมณกรรมฐานอยาง แนวแน ผูปฏิบัติจะสามารถกําหนดจิตที่สงบน้ีไดโดยไมตองพยายาม มาก เม่ือความรําคาญใจปรากฏข้ึน ก็จะถูกกําหนดรู หลังจากนั้นจิต ก็กลับเปนจิตที่สงบอีก เม่ือการเปล่ียนแปลงทั้งหมดน้ีของจิตไดรับ การกําหนดรูอยางต้ังใจ จิตที่ถูกกําหนดรูและพิจารณานี้ เรียกวา วิมุตตะ ปราศจากกิเลสเครื่องเศราหมอง สวนจิตท่ีพลาดจากการ
๒๕๐ อนตั ตลกั ขณสูตร กําหนดรูซึ่งจะตองไดรับการกําหนดรูและพิจารณา เรียกวา อวิมุตตะ ไมปราศจากกิเลสเครื่องเศราหมอง ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูสภาวะของ จิตท้ังสองอยางน้ี วิธีการพิจารณาจิตตามที่พระผูมีพระภาคทรงสอนไวใน สติปฏฐานสูตรดังท่ีกลาวมา และตามวิธีนี้ จิตท่ีประกอบดวยราคะ จิตที่ประกอบดวยโทสะ จิตที่ประกอบดวยอุทธัจจะและกุกกุกจะ จัดเปนจิตหยาบ เม่ือจิตดังกลาวดับไปแลว และมีกุศลจิต อัพยา- กตจิต ซึ่งเกิดขึ้นแทนท่ีจัดเปนจิตละเอียด ดังน้ัน ผูปฏิบัติที่กําหนด รูสภาวธรรมที่ปรากฏอยูเฉพาะหนาจึงเห็นไดวา จิตหยาบไมคงอยู จนถึงขณะเกิดของจิตละเอียด เปนตน (๖-๗) จิตหยาบไมคงอยูจนถึงขณะเกิดของจิตละเอียด จิตละเอียดไมคงอยูจนถึงขณะเกิดของจิตหยาบ แตไดดับไปในขณะ ท่ีเกิดน้ันเอง ดังน้ันจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การพิจารณาจิตเลวและจิตดี (๘-๙) จิตเลว คืออกุศลจิตจะไมคงอยูจนถึงขณะเกิดของ จิตดี คือกุศลจิตและอัพยากตจิต ท้ังกุศลจิตและอัพยากตจิตก็ไม คงอยูจนถึงขณะเกิดของอกุศลจิต แตไดดับส้ินไปในขณะท่ีเกิดขึ้น น้ันเอง จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กุศลจิตที่บริจาค ทานไมคงอยูถึงขณะเกิดของกุศลจิตท่ีรักษาศีลหรือเจริญภาวนา
อนตั ตลักขณสูตร ๒๕๑ กุศลจิตท่ีรักษาศีลหรือเจริญภาวนาไมคงอยูถึงขณะเกิดของกุศลจิต ที่บริจาคทาน กุศลจิตท่ีรักษาศีลไมคงอยูถึงขณะเกิดของกุศลจิตที่ เจริญภาวนา กุศลจิตท่ีเจริญภาวนาไมคงอยูถึงขณะเกิดของกุศลจิต ท่ีรักษาศีล กุศลจิตที่เจริญสมถภาวนาไมคงอยูถึงขณะเกิดของ กุศลจิตที่เจริญวิปสสนาภาวนา กุศลจิตท่ีเจริญวิปสสนาภาวนาไม คงอยูถึงขณะเกิดของกุศลจิตที่เจริญสมถภาวนา เพราะจิตเหลานั้น ไดดับไปส้ินไปในขณะเกิดขึ้นน้ันเอง การพิจารณาจิตไกลและจิตใกล ปุถุชนทั่วไปที่ไมเคยเจริญสติกําหนดรูสภาวธรรมในขณะ เห็น หรือไดยินเปนตน เมื่อมองดูรูปท่ีอยูใกลหลังจากไดมองรูปที่ อยูไกล ก็คิดวาจิตที่เห็นรูปไกลไดเขามาใกล และเม่ือมองดูรูปที่อยู ไกลหลังจากมองรูปที่อยูใกล ก็คิดวาจิตที่เห็นรูปใกลไดขยับออกไป อยูไกล ในทํานองเดียวกัน เมื่อไดยินเสียงที่อยูใกลหลังจากไดยิน เสียงท่ีอยูไกล ก็คิดวาจิตที่ไดยินเสียงไกลไดขยับเขามาใกล เม่ือไดยิน เสียงที่อยูไกลหลังจากไดยินเสียงท่ีอยูใกล ก็คิดวาจิตท่ีไดยินเสียง ใกลไดขยับออกไปไกล เมื่อไดกล่ินจากรางกายตนเองหลังจากได กล่ินท่ีอยูไกลออกไป ก็คิดวาจิตที่ไดกลิ่นนั้นไดขยับเขามาใกล เม่ือ ไดกล่ินจากที่ไกลหลังจากไดกลิ่นจากกายตนเอง ก็คิดวาจิตท่ีรูกล่ิน ใกลไดขยับออกไปไกล
๒๕๒ อนตั ตลกั ขณสูตร ในขณะที่กําลังรูสัมผัสท่ีอยูไกล เชนที่เทาของตน แลวรูสัมผัส ที่อยูใกล เชนที่หนาอก ก็จะคิดวาสัมผัสท่ีอยูไกลไดขยับเขามาใกล ในทางกลับกันก็เปนไปในทํานองเดียวกัน ในขณะท่ีกําลังนึกถึงส่ิง ท่ีอยูไกลแลวเกิดคิดถึงส่ิงที่อยูใกล เราก็จะรูสึกวาจิตที่อยูไกลได ขยับเขามาใกล ในทางกลับกันก็เปนไปในทํานองเดียวกัน นอกจาก น้ัน ในขณะท่ีกําลังเห็นสิ่งท่ีอยูไกล ถาเราไดยินเสียงท่ีอยูใกล ก็จะ รูสึกเหมือนกับจิตเห็นที่อยูไกลไดขยับเขามาใกลแลวเปล่ียนเปนจิต ไดยิน เปนตน กลาวโดยสรุปก็คือ เปนความเช่ือของคนทั่วไปวา มี จิตที่เที่ยงแทถาวรเพียงดวงเดียว และจิตดวงน้ีเปนผูเห็นผูรูทุกสิ่ง ไมวาจะอยูใกลหรือไกล ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวะเห็น ไดยิน รูกลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และคิดนึกทุกอยางอยูอยางตอเน่ือง ยอมรูไดจากประสบการณของ ตนเองวา จิตที่อยูไกลไมไดขยับเขามาใกล จิตท่ีอยูใกลก็ไมไดเคลื่อน ออกไปไกล แตไดดับไปในขณะเกิดของตนนั้นเอง ในการพิจารณาจึง ควรระลึก ดังน้ี (๑๐-๑๑) จิตท่ีรูการเห็น ไดยิน คิดนึกเปนตน ท่ีอยูไกลไม ไดขยับเขามาใกล จิตที่รูการเห็น ไดยิน คิดนึกเปนตน ที่อยูใกลไม ไดเคล่ือนออกไปไกล แตไดดับไปในขณะเกิดของตนนั้นเอง ดังน้ัน จึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๕๓ การพิจารณาจิต ๑๑ อยางไดอธิบายไวโดยสมบูรณแลว จึงขอทบทวนวิธีพิจารณาดังนี้ “จิตทั้งหมด ไมวาจะเปนจิตในอดีต อนาคต หรือปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกลหรือใกล พึงพิจารณาดวยปญญาของตนเองใหเห็น ตามความเปนจริงวา วิญญาณน้ีมิใชของเรา วิญญาณนี้มิใชเรา วิญญาณน้ีมิใชอัตตาของ เรา”
๒๕๔ อนตั ตลกั ขณสูตร เมื่อจุติจิตดับลงไป ปฏิสนธิจิตในภพใหมก็ เกิดขึ้นตอจากจุติจิตน้ันทันที สวนภพท่ีจะไปเกิดน้ัน ขึ้นอยูกับกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมท่ีปรากฏใหเห็น ในมรณาสันนวิถี ซ่ึงผูตายไดยึดเหนี่ยวเปนอารมณใน ขณะกอนตาย ............. ................. ตามปรากฏการณของการเกิด วิญญาณข้ึนรับอารมณนี้ จิตจะเกิดข้ึนครั้งละดวง เมื่อจิตดวงหนึ่งดับไป จิตดวงใหมก็เกิดข้ึนแลวดับไป ตอเนื่องกันเปนกระแส จุติจิตในภพกอนน้ันไดดับลง ไปแลวในภพกอน สวนจิตในภพนี้ก็เปนจิตท่ีเกิดข้ึน ใหมโดยมีกรรมเกาเปนปจจัยใหเกิด จิตทุกดวงเปน จิตท่ีเกิดขึ้นใหม ไมใชเปนการสืบตอของจิตดวงเกา ..............
๘ การพัฒนาวิปสสนาญาณ ในอนัตตลักขณสูตรที่ทรงแสดงน้ันแบงเปน ๔ ตอน คือ ตอนท่ี ๑ วาดวยคําสอนเก่ียวกับขันธ ๕ ไดแก รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ ยอมเปนไป เพื่อเบียดเบียน ดังนั้นจึงไมใชอัตตาตัวตน เพราะบังคับบัญชาไมได ไมอยูในความควบคุม ตอนที่ ๒ วาดวยคําถามวา “ขันธ ๕ เท่ียงหรือไมเที่ยง? เปนทุกขหรือเปนสุข” และทรงอธิบายวาไมควรตามเห็นส่ิงท่ีไมเท่ียง เปนทุกข เปลี่ยนแปลงอยูเสมอวาเปนของเรา เปนเรา เปนอัตตา ของเรา
๒๕๖ อนัตตลักขณสตู ร ตอนท่ี ๓ วาดวยการจําแนกขันธ ๕ ออกเปน ๑๑ อยาง และวิธีพิจารณาตรึกตรองขันธ ๕ เพ่ือใหเห็นวา ไมใชของเรา ไมใช เรา ไมใชอัตตาของเรา ตอนท่ี ๔ พระผูมีพระภาคทรงสอนวา ผูปฏิบัติที่รูเห็น อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะของสภาวธรรม แลวนั้น จะพัฒนาวิปสสนาญาณข้ึนไปตามลําดับไดอยางไร และ นิพพิทาญาณที่เปนทางนําไปสูปญญาในมรรคผลท่ีสูงข้ึนตามลําดับ บรรลุเปนพระอรหันตขีณาสพนั้น เกิดข้ึนไดอยางไร เนื้อความทั้งสามตอนแรกไดอธิบายไวครบถวนแลว ในบท สุดทายของธรรมเทศนา และในหนังสือนี้จะอธิบายเนื้อความตอน สุดทายของพระสูตร วิปสสนาญาณพัฒนาข้ึนไดอยางไร เอวํ ปสฺสํ ภิกฺขเว สุตฺวา อริยสาวโก รูปสฺมิมฺป นิพฺพินทติ, เวทนายป นิพฺพินฺทติ, สฺ ายป นิพฺพินฺทติ, สงฺขาเรสุป นิพฺพินฺทติ, วิฺ าณสฺมิมฺป นิพฺพินฺทติ. “ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผูไดสดับแลว เห็นอยูอยางนี้ ยอมเบื่อหนายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ”
อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๕๗ พระผูมีพระภาคทรงสอนถึงการเกิดขึ้นของนิพพิทาญาณ คือ ปญญาท่ีเบื่อหนายในรูปนามทั้งปวง ดวยคําวา “เห็นอยูอยางน้ี” ใน ขอความขางตน ซ่ึงหมายถึงการเห็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณวาไมใชของเรา ไมใชเรา ไมใช อัตตาของเรา ผูปฏิบัติท่ีไดฟงคําสอนของพระพุทธองคแลว เปนผูมี ท้ังปญญาจากการฟง และปญญาจากประสบการณในการปฏิบัติ ผูปฏิบัติไดเรียนรูจากการฟงวา การจะเห็นอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ในขันธ ๕ อันไดแก รูปขันธ เวทนา ขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธไดน้ัน ผูปฏิบัติจะ ตองกําหนดรูทุกๆ ครั้งที่เห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส คิดนึก และ จะตองเขาใจอุปาทานขันธท้ัง ๕ วาเปนเพียงรูปกับนามเทาน้ัน และ เขาใจวาการกําหนดรูนั้นเปนนาม ผูปฏิบัติจะตองเรียนรูจากการฟง คําสอนเก่ียวกับเหตุและผล เกี่ยวกับธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นและดับไป ตลอดเวลา เปนสภาพท่ีไมเท่ียง เปนทุกข หาสาระไมได ท้ังหมดน้ี เปนความเขาใจท่ีไดจากการฟงหรือจากการศึกษา ผูปฏิบัติจึงเปน ผูเพียบพรอมดวยความเขาใจอันเปนสุตมยปญญากอนที่จะเริ่มตน การปฏิบัติธรรม
๒๕๘ อนตั ตลักขณสตู ร ตอมา ขณะที่ผูปฏิบัติกําหนดรูสภาวะพอง ยุบ คู เหยียด เคลื่อนไหว ยาง เหยียบ รูสึกถึงความแข็ง ออน รอน หนาว เห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส ผูปฏิบัติจะเขาใจไดวา อารมณท่ีกําลัง กําหนดรูอยูน้ันเปนรูป และจิตท่ีกําหนดรูเปนนาม มีแตเพียงรูปกับ นามนี้เทานั้น การกําหนดรูจักขุวิญญาณ หรือโสตวิญญาณ เปนนาม สวนวัตถุซึ่งเปนที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณและโสตวิญญาณเปนรูป มีเพียงรูปกับนามสองอยางน้ีเทาน้ัน ความเขาใจดวยวิธีน้ีเปนปญญา ที่เกิดจากประสบการณในการปฏิบัติของตน นอกจากนี้ เมื่อผูปฏิบัติตองการจะคู เขาจึงคู เมื่อตองการ เหยียด เขาจึงเหยียด เมื่อตองการจะเดิน เขาจึงเดิน เมื่อไดกําหนด รูปรากฏการณทั้งหมดนี้จึงเขาใจไดวา เขาคูเพราะมีความตองการ จะคู เขาเหยียดเพราะมีความตองการจะเหยียด เขาเดินเพราะมี ความตองการจะเดิน ไมมีอัตตาตัวตนใดๆ ที่สั่งบังคับใหคู เหยียด หรือเดิน มีเพียงเหตุและผลที่เก่ียวเนื่องดวยเหตุนั้นๆ เชนน้ีก็เปน ปญญาที่เกิดข้ึนจากประสบการณในการปฏิบัติของตน เมื่อใดที่ละเลยไมไดกําหนดรูสภาวธรรมรูปนาม ก็จะไม สามารถเห็นสิ่งตางๆ ตามความเปนจริง ดังนั้นเขาจึงมีความยินดี พอใจในอารมณตางๆ ที่ไดรับ จากน้ันความยินดีพอใจก็กลายเปน ความกระหายอยากไดรับอารมณน้ันอีก และเพราะความกระหาย
อนัตตลกั ขณสูตร ๒๕๙ อยากได จึงตองขวนขวายพยายามแสวงหาสิ่งตางๆ มาเพื่อดับ ความกระหาย จึงเกิดการกระทํากรรมท่ีเปนกุศลบาง เปนอกุศลบาง เจตนาในการทํากรรมตางๆ เหลาน้ีสงผลใหเกิดภพใหม ดวยวิธีนี้ จึงทําใหเขาใจกฎแหงปฏิจจสมุปบาทท่ีเก่ียวกับการอาศัยกันเกิดขึ้น ของสภาวธรรมตางๆ นอกจากน้ัน ท้ังอารมณท่ีเปนรูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ และจิตที่กําหนดรูตางก็เกิดขึ้นและดับไปอยูตลอดเวลา ผูปฏิบัติจึงรูไดตามคําสอนของพระผูมีพระภาควาสภาวธรรมเหลาน้ี ลวนแตมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาท้ังส้ิน การพัฒนาปญญาขั้นตางๆ นั้นจะเริ่มตนจากปญญาที่แยก ความแตกตางระหวางรูปกับนาม พัฒนาไปจนถึงปญญาที่หยั่งเห็น อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ซึ่งเปนปญญาท่ีได จากการปฏิบัติวิปสสนาภาวนาจนเห็นประจักษดวยประสบการณ ของตนเอง มิใชจากการไดยินไดฟงหรือศึกษาจากตํารา บุคคลท่ี สามารถรูเห็นอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะไดอยาง ถูกตองตรงตามความเปนจริงจากประสบการณของตนเอง คือผู ท่ีไดรับการสั่งสอนอบรมมาดีแลว และประกอบดวยปญญาที่เกิด จากไดยินไดฟงและการศึกษา และจากประสบการณในการปฏิบัติ ของตนเอง สําหรับพระปญจวัคคียท่ีสดับพระธรรมเทศนาเรื่อง
๒๖๐ อนัตตลกั ขณสตู ร อนัตตลักขณสูตรจากพระผูมีพระภาคอยูนั้น เปนผูท่ีไดบรรลุเปน พระโสดาบันทั้งหมดแลว จึงเปนผูที่เพียบพรอมดวยปญญาท้ังสอง อยาง และถือวาเปนผูที่ไดรับการส่ังสอนอบรมมาดีแลว เหลาสาวกของพระผูมีพระภาคท่ีไดรับการสั่งสอนอบรม มาดีแลว ยอมมีปญญาหย่ังเห็นขันธ ๕ คือ รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ สังขารขันธ และวิญญาณขันธ ท่ีปรากฏข้ึนในขณะเห็น ไดยิน สัมผัส หรือคิดนึกเปนตน โดยความเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผูปฏิบัติที่หย่ังเห็นดวยวิธีน้ีจะพัฒนาไปสูข้ันอุทยัพพยญาณ อันเปน ญาณหรือปญญาท่ีรูเห็นความเกิดข้ึนและดับไปอยางรวดเร็วของรูป และนาม คัมภีรวิสุทธิมรรค๖๔กลาววา เม่ือบรรลุถึงญาณน้ี ผูปฏิบัติ อาจเห็นนิมิตเปนแสงสวาง และมีความสุขอยางไมเคยมีมากอน เกิด ปติอยางทวมทน กายและจิตมีความสงบ เบา นุมนวล คลองแคลว และซ่ือตรง ดังน้ันจึงรูสึกเปนสุขอยางบอกไมถูกทั้งทางกายและทาง ใจ สติของเขาก็ต้ังม่ันอยูดีจนอาจกลาวไดวาไมมีอะไรเลยท่ีเขาไมได ระลึกรู ปญญาของเขาก็เฉียบคมจนเหมือนจะไมมีอะไรที่ไมสามารถ เขาใจได ความเช่ือมั่นในพระศาสนาก็เพ่ิมพูนขึ้น และศรัทธาความ เล่ือมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆก็เกิดมีความกระจาง สวางไสวอยางไมเคยเปนมากอน
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๒๖๑ แตปรากฏการณท่ีพิเศษนาประทับใจทั้งหมดน้ีเปนส่ิงที่ผู ปฏิบัติจะตองกําหนดรูและท้ิงไปไมยึดติด เม่ือไดกําหนดรูและไม ยึดติดแลว เขาก็จะผานญาณขั้นน้ีไปถึงภังคญาณ อันเปนญาณข้ัน ตอไปในภังคญาณน้ี อารมณท่ีถูกกําหนดรูและจิตที่รูอารมณจะ เหมือนกับดับไปสลายไปเปนคูๆ ตัวอยางเชน เมื่อกําหนดสภาวะ พอง สภาวะพองและจิตท่ีรูอาการพองก็ดับลงไปทันที สภาวะพอง แตละคร้ังก็ปรากฏข้ึนเหมือนกับเปนการดับตามกันไปในทุกขณะท่ี กําหนดรู บางครั้งเหมือนกับอารมณที่กําหนดรูน้ันไดดับไปกอน แลว จิตท่ีกําหนดรูจึงเกิดข้ึนตอมา ซ่ึงในความจริงก็เปนเชนน้ัน เม่ือผู ปฏิบัติกําหนดรูความคิดที่ผุดข้ึนมา จิตที่กําหนดรูจะเกิดขึ้นไดก็ ตอเม่ือจิตที่คิดนั้นไดดับไปแลว และในการกําหนดรูอารมณอ่ืนๆ ก็ เปนไปในทํานองเดียวกัน จิตท่ีกําหนดรูจะเกิดข้ึนไดก็ตอเม่ืออารมณ ท่ีถูกกําหนดรูไดดับไปกอนแลว แตในขณะที่ปญญายังไมแกกลาพอ ผูปฏิบัติก็จะเห็นเหมือนกับวาอารมณท่ีถูกกําหนดรูไดดับไปพรอมกัน กับจิตท่ีกําหนดรู ขอน้ีสอดคลองกับพระสูตรซ่ึงสอนใหกําหนดรู สภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนในปจจุบันขณะเทานั้น๖๔
๒๖๒ อนัตตลกั ขณสตู ร เมื่อผปู ฏิบตั ไิ ดเ หน็ การดบั ไปติดตอกนั อยางรวดเรว็ เชนนีแ้ ลว ยอมตระหนักวาความตายอาจเกิดข้ึนไดไมขณะใดก็ขณะหนึ่ง และ น่ีเปนสถานการณท่ีนากลัวอยางยิ่ง ปญญาที่เห็นรูปนามเปนภัยอัน นากลัวน้ีเรียกวาภยญาณ เม่ือเห็นความนากลัวก็เกิดความเขาใจวา สิ่งท่ีนากลัวน้ีเปนโทษ ปญญานี้เรียกวา อาทีนวญาณ ผูปฏิบัติไมมี ความพอใจในรูปนามท่ีเปนทุกขเปนโทษน้ีอีกตอไป และเกิดปญญา เห็นรูปนามเปนสิ่งที่นาเกลียด นาเบ่ือหนาย นี่คือ นิพพิทาญาณ พระผูมีพระภาคทรงหมายถึงญาณน้ีเมื่อตรัสวา รูปสฺมิมฺป นิพฺพินฺทติ (ยอมเบ่ือหนายในรูป) กอนท่ีปญญาจะพัฒนามาถึงข้ันนิพพิทาญาณ คนทั่วไปจะ มีความพึงพอใจในรูปกายของตนในภพนี้ และมีความยินดีพอใจเม่ือ คาดหวังวาจะไดอัตภาพเปนคนหรือเปนเทวดาในภพหนา เขาจะ รอคอยดวยความกระตือรือรนที่จะไดรางกายมนุษยหรือเทวดาท่ี สวยงามและแข็งแรงในภพหนา แตเมื่อเกิดนิพพิทาญาณข้ึนแลว ก็จะ ไมรูสึกพึงพอใจในรางกายอีกตอไป เพราะสิ่งที่เขาใจกันวาเปนความ สุขในชีวิตมนุษยนี้ แทจริงก็คือการเกิดขึ้นและดับไปติดตอกันไมขาด สายของรูปและนาม (หรือกายและจิต) เทานั้น และเขายังสามารถ จินตนาการไดวา แมความสุขของเทวดาในเทวโลกก็ประกอบดวย การเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลาของรูปและนาม ซึ่งไดรูเห็นแลววา
อนตั ตลักขณสตู ร ๒๖๓ เปนของนาเกลียดนาขยะแขยง เหมือนกับชาวประมงท่ีจับคองูเหา เพราะคิดวาส่ิงที่ตนจับอยูนั้นเปนปลา แตเม่ือเห็นวาเปนงูเหาที่มี พิษรายแรง ก็เกิดความกลัวและความเกลียด ตองการจะโยนท้ิงไป นอกจากนี้ กอนที่จะบรรลุนิพพิทาญาณ เขามีความยินดี พอใจในเวทนา คือความรูสึกทั้งหมดที่ไดรับอยูในขณะปจจุบัน และ อยากจะไดรับความรูสึกที่นาปรารถนาในมนุษยโลกหรือเทวโลกใน ภพขางหนา เขามีความยินดีในสัญญา การจําไดหมายรูท่ีดีซ่ึงไดรับ อยูในปจจุบัน และอยากจะไดสัญญาที่ดีในภพขางหนา เขามีความ ยนิ ดใี นสงั ขาร คอื ความคดิ และการกระทาํ ตา งๆ ในภพปจ จบุ นั รวมไป ถึงความคิดและการกระทําท่ีจะมีในภพขางหนา บางคนยังสวดมนต ขอใหไดเกิดเปนมนุษยในชาติหนาและหากไดเกิดมาเปนมนุษยก็ขอ ใหไดทําสิ่งนั้นส่ิงน้ี หรือบางคนก็เพลิดเพลินกับการวาดจินตนาการ ถึงส่ิงที่อยากจะทําในชาติน้ี และรอคอยดวยความต้ังใจจะทําสิ่ง เดียวกันในชาติตอๆ ไปขางหนา แตเมื่อไดบรรลุนิพพิทาญาณ เขา จะไดเห็นการเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลาของเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณตามท่ีเปนจริง จึงรูสึกเบ่ือหนายในสิ่งเหลานี้ และ อนุมานรูวา เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ในภพหนาไมวา จะไปเกิดเปนมนุษยหรือเทวดาก็จะดับไปอยางรวดเร็วเชนเดียวกับ ที่เกิดขึ้นและดับไปอยางรวดเร็วในภพน้ี เม่ือพิจารณาอยางนี้แลว
๒๖๔ อนัตตลกั ขณสูตร ยอมรูสึกเบ่ือหนาย และไมพอใจในขันธท้ังหมด การรูสึกเบ่ือหนาย เกลียดชังขันธทั้งหมดอยางแทจริงเปนสิ่งสําคัญอยางย่ิง เมื่อเกิดความรูสึกเบ่ือหนายเกลียดชังในขันธ ๕ อยาง แทจริงแลวเทาน้ัน ปญญาที่ปรารถนาจะหลีกหนีหรือละท้ิงขันธ ๕ จึงจะเกิดข้ึน และเขาจึงทําความพยายามอยางแข็งขันตอไปเพ่ือจะ ไดเปนอิสระจากขันธ ๕ ในตอนน้ี สังขารุเปกขาญาณจะปรากฏข้ึน และเมื่อพัฒนาแกกลาจนเต็มที่ ก็จะเห็นแจงพระนิพพานโดยการ บรรลุมรรคญาณและผลญาณ เปนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันตตามลําดับ ดังนั้นจึงจําเปนจะตอง พยายามปฏิบัติดวยวิริยะอุตสาหะที่แรงกลาเพ่ือใหเกิดนิพพิทาญาณ นิพพิทาญาณเกิดขึ้นเม่ือเห็นอนิจจลักษณะ พระพุทธองคตรัสวา ยทา ปฺ าย ปสฺสติ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา.๖๕ อถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข “เมื่อใด บุคคลรูเห็นดวยปญญาวา สังขารท้ังปวงไมเที่ยง เม่ือน้ัน เขายอมเบื่อหนายในทุกข น้ีเปนทางแหงความหมดจด” ขอนี้มีคําอธิบายวา สังขารท้ังปวง ซ่ึงมีปจจัย ๔ อยาง คือ กรรม จิต อุตุ และอาหารเปนผูปรุงแตงใหเกิดขึ้น มีลักษณะไมเที่ยง
อนัตตลักขณสูตร ๒๖๕ เมื่อบุคคลหยั่งเห็นความจริงขอนี้ดวยวิปสสนาญาณคือนิพพิทาญาณ เขายอมเกิดความเบื่อหนายเกลียดชังในทุกขท้ังหมด ไดแก สังขาร คือรูปและนาม ความเบื่อหนายเกลียดชังนี้เปนทางที่ถูกตองและ แทจริงท่ีจะนําไปสูพระนิพพานอันเปนอิสระจากกิเลสและทุกข ท้ังปวง ผูปฏิบัติที่กําหนดรูสภาวธรรมการเห็น ไดยิน สัมผัส คิดนึก เปนตนที่เกิดข้ึนทุกคร้ัง ยอมเห็นชัดวามีเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น และดับไปอยางรวดเร็วเทาน้ัน จึงสามารถหยั่งเห็นสรรพสิ่งตามที่ เปนจริง กลาวคือ มีสภาพไมเที่ยง แปรเปล่ียนอยูตลอดเวลา ไม คงทนถาวร ดวยปญญาท่ีเห็นความไมเที่ยงน้ัน จึงตระหนักวา ไมมี อะไรที่นาร่ืนรมยหรือนาปรารถนาในกายและจิตที่เปนปจจุบัน สวน กายและจิตที่เปนอนาคตนั้นก็มีสภาพไมเท่ียง จึงไมนาร่ืนรมย หรือ นาปรารถนาแตอยางใด เหตุนั้น จึงเกิดความเบ่ือหนายเกลียดชัง อยากหนีใหพนจากรูปนามน้ี และพยายามอยางเต็มที่เพ่ือจะไดเปน อิสระดวยการเจริญวิปสสนาอยางตอเนื่อง และดวยการปฏิบัติอยาง เขมแข็งนี้เองสงผลใหสังขารุเปกขาญาณปรากฏข้ึน และเห็นแจง พระนิพพานดวยมรรคญาณและผลญาณ ดังน้ัน พระผูมีพระภาคจึง สอนวา วิปสสนาที่ใหเกิดความเบื่อหนายเกลียดชังในรูปนามเปนทาง สูพระนิพพานอยางแทจริง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384