๑๖ อนตั ตลกั ขณสูตร ในพรหมชาลสูตร ไดตรัสถึงการเกิดขึ้นของความเห็นผิด อยางหนึ่งท่ีเรียกวา เอกัจจสัสสตทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดวาโลก บางอยางเที่ยง ซึ่งก็คือพระเปนเจาเปนผูเที่ยงแทแนนอนน้ันเอง กําเนิดของความเช่ือเกี่ยวกับการสรางโลก เมื่อโลกพินาศลงไปแลว ก็เปนเวลาท่ีเริ่มสรางโลกขึ้นใหม พรหมองคแรกที่อุบัติขึ้นในพรหมโลกมองไปโดยรอบ แลวคิดวา “เราเปนมหาพรหม เปนผูชนะ ไมมีผูใดชนะเรา เราเปนผูเห็น สรรพสิ่ง เปนผูมีศักดิ์ใหญ เปนผูเสกสรางสรรพสิ่งในโลก เปนผู ประเสริฐสุด ผูแตงตั้งสัตวทั้งหลาย มีความชํานาญ เปนบิดาของ สรรพส่ิงทั้งอดีตและอนาคต”๗ ตอมาเมื่อพรหมองคอ่ืนๆ มาอุบัติขึ้นในพรหมโลกนั้นก็เชื่อ ตามเชนเดียวกัน บรรดาพรหมเหลานั้นเม่ือจุติจากพรหมโลกแลว ไปเกิดในมนุษยโลก บางคนสามารถระลึกชาติที่เคยเปนพรหมได ก็ประกาศวา มหาพรหมเปนผูสรางโลก เปนผูคงอยูย่ังยืน แตเหลา สัตวโลกที่มหาพรหมสรางน้ันไมเที่ยง ตองแตกดับตายไป คนอ่ืน ท่ีไดยินคําปาวประกาศตามความเช่ือจากประสบการณสวนตัวนี้ ก็พลอยเช่ือตามไปดวย
อนตั ตลักขณสูตร ๑๗ คําอธิบายของพระผูมีพระภาคขางตนน้ี ทําใหเขาใจได วาความเช่ือเรื่องกําเนิดโลกเริ่มตนข้ึนอยางไร และพระเจาผูสราง โลกที่สถิตอยูบนสวรรคนั้น ก็คงจะเปนทาวมหาพรหมที่อุบัติขึ้นใน พรหมโลกเปนองคแรกหลังจากโลกไดสรางขึ้นมาใหมนั้นเอง และ ปรมอัตตะก็หมายถึงอัตตะของทาวมหาพรหม ดังน้ัน คําสอนของ พระพุทธองคจึงสรุปไดวา ปรมอัตตะของทาวมหาพรหมนั้นก็เปน อยางเดียวกับชีวอัตตะของสัตวโลกอ่ืน เปนแตเพียงการเขาใจผิดวา กระบวนการเกิดดับของรูปนามท่ีเปนไปอยางตอเน่ืองนั้นเปนอัตตา ตัวตน แตแทท่ีจริงแลว ส่ิงท่ีเรียกวาอัตตาตัวตนนั้นเปนเพียงกระแส ของรูปนามท่ีดําเนินไปอยางตอเน่ืองเทานั้น อัตตาตัวตนไมใชสิ่งที่มี อยูจริง เปนเพียงส่ิงสมมุติข้ึนจากจินตนาการเทาน้ัน นอกจากน้ัน รูปนามของทาวมหาพรหมก็ไมแตกตางอะไร กับรูปนามของสัตวท้ังหลาย ซึ่งตองเปนไปตามกฎของความไมเท่ียง คือเม่ืออายุขัยของทาวมหาพรหมสิ้นสุดลง ทาวมหาพรหมก็จะตอง จุติจากพรหมโลก ท่ีจริงแลว ทาวมหาพรหมเองก็ไมสามารถบังคับ บัญชาใหอะไรๆ เปนไปอยางที่ตองการไดทั้งหมด และไมสามารถ ประคับประคองรูปรางกายของตนใหคงอยูตามความตองการได ตลอดไป ดังน้ัน รูปของทาวมหาพรหมจึงไมใชอัตตาตัวตน แตเปน อนัตตา คือไมใชตัวตน
๑๘ อนตั ตลกั ขณสตู ร อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในอัตตา) คนทั่วไปมักยึดมั่นความเห็นวา ทุกคนมีวิญญาณหรืออัตตา ตัวตนท่ีย่ังยืนอยูตลอดชีวิต ซ่ึงเปนความเห็นของพวกอุจเฉททิฏฐิท่ี เชื่อวาเม่ือคนเราตายวิญญาณหรือตัวตนก็หายสูญไปหมดไมมีอะไร เหลือ สวนพวกสัสสตทิฏฐิเช่ือวา เม่ือคนเราตายไปแลววิญญาณหรือ ตัวตนของเขาไมสูญหายไป เพียงแตยายไปเกิดในรางใหมเทานั้น ตามความเห็นของพวกสัสสตทิฏฐิ รูป ของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายประกอบดวย ๒ สวน คือ กายหยาบ และ กายละเอียด เม่ือส้ินชีวิต ลงกายหยาบกถ็ กู ทาํ ลายไป สว นกายละเอยี ด น้ันจะออกจากรางเกาไปสูรางใหม และจะ ยังคงอยูตลอดไปไมมีวันสูญสลาย บัดนี้เราไดอธิบายเร่ืองความเชื่อประเภทตางๆ ที่เก่ียวกับ อัตตาพรอมท้ังกําเนิดของความเชื่อเหลาน้ันอยางละเอียดเพื่อให เขาใจแนวคิดเกี่ยวกับอนัตตา วิญญาณ และความไมใชตัวตนได ชัดเจนยิ่งขึ้น แมในบรรดาผูที่เปนพุทธศาสนิกชนก็ยังมีจํานวนไม นอยที่เช่ือวา ส่ิงท่ีเรียกวาวิญญาณหรือตัวตนนั้นมีอยูจริง ถึงแมวา จะไมแสดงความเห็นนี้ออกมาอยางโจงแจงดวยการพูดหรือการเขียน กต็ าม แตพ วกเขาก็มีความเชอ่ื อยูวา เม่ือส่ิงมีชีวิตตายลง วิญญาณของ
อนตั ตลักขณสตู ร ๑๙ เขาก็ลอยออกจากรางโดยผานทางจมูกหรือทางปาก และเม่ือมีการ ปฏิสนธิข้ึนในครรภมารดา วิญญาณก็จะเขาไปอยูในรางของทารก โดยผานเขาไปทางจมูก ทางปาก หรือทางหนาทองของมารดา และ วิญญาณนี้ก็จะดําเนินตอไปในรางใหม ความเห็นเชนนี้เปนของพวก ท่ีเชื่อวามีวิญญาณ ความเขาใจผิดเก่ียวกับอัตตา ตามความเปนจริงน้ัน ความตาย หมายความวา การดําเนิน ไปของกายและจิตไดส้ินสุดลง หลังจากท่ีจุติจิตดับ ชีวิตก็ดับลง กระแสของรูปนามที่ไดเคยเกิดดับติดตอกันไปนั้นก็ขาดสะบ้ันลง แตไมมีสิ่งใดท่ีเรียกวาวิญญาณหลุดลอยออกจากรางไป การเกิดใหม หมายถึงการเกิดข้ึนของปฏิสนธิจิตในภพใหมพรอมทั้งอายตนะซึ่ง เปนฐานท่ีเกิดของปฏิสนธิจิต ในวาระสุดทายของชีวิตกอนที่จุติจิต จะดับนั้น มรณาสันนวิถี (วิถีจิตในขณะใกลตาย) ไดรับเอาอารมณ อยางหน่ึงในอารมณ ๓ อยาง ท่ีเรียกวา กรรม กรรมนิมิต หรือ คตินิมิต๘ แลวยึดเอาเปนอารมณของปฏิสนธิจิตท่ีนําใหไปเกิดใน ภพใหม กระบวนการน้ีเปนการเช่ือมตอระหวางภพเกากับภพใหม หรือเรียกวาเปนการปฏิสนธิในภพใหม
๒๐ อนัตตลกั ขณสตู ร หลังจากปฏิสนธิจิตดับลง จิตท่ีเกิดตอๆ มาคือภวังคจิตทํา หนาท่ีรักษาภพ และทําใหชีวิตดําเนินตอไปตามแรงกรรมท่ีผูน้ันได ทําไวในชาติกอนๆ เมื่อมีอารมณตางๆ เชน รูปารมณ (สีตางๆ) หรือ สัททารมณ (เสียงตางๆ) เปนตน มากระทบทางจักขุทวาร (ตา) หรือ โสตทวาร (หู) เปนตน ก็จะเกิดจักขุวิญญาณจิต หรือโสตวิญญาณจิต เปนตน ข้ึนมาตัดกระแสของภวังคจิต เพ่ือรับอารมณทางตา หรือ ทางหูเปนตน การเกิดข้ึนของจิตดวงใหมในภพใหมตามท่ีถูกปรุงแตง โดยกรรมท่ีทําไวในภพกอนๆ น้ัน เรียกตามโวหารของชาวโลกวา เปนการเคลื่อนจากภพเกาไปสูภพใหม แตตามความเปนจริงน้ัน ไม ไดมีวิญญาณที่ยายจากภพเกาไปสูภพใหมแตอยางใด ถาไมเขาใจอัตตวาทุปาทาน ก็จะไมเขาใจอนัตตา คนจํานวนมากไมเขาใจความเปนอนัตตา ก็เพราะไมเขาใจ เก่ียวกับการยึดม่ันอัตตา (อัตตวาทุปาทาน) ตามท่ีไดอธิบายมาแลว แตกลับเขาใจวา อัตตวาทุปาทานคือการยึดถือรูปรางสัณฐานของ สิ่งตางๆ วาเปนสิ่งน้ันส่ิงนี้ เชน การสําคัญหมายวานี้คือตนไม คือ กอนหิน คือบาน คือวัด เปนตน พวกเขาคิดวาการปลอยวางอัตตา อยางแทจริง คือการไมยึดติดกับรูปรางสัณฐานหรือสมมุติบัญญัติ แตจะตองมองเห็นหรือรับรูเพียงสภาวปรมัตถเทาน้ัน
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๒๑ ความจริงน้ัน เพียงแคการรับรูรูปรางสัณฐานอันเปนสมมุติ- บัญญัติไมไดแสดงวาเปนอัตตวาทุปาทาน และไมไดหมายความวา เมื่อสามารถรับรูเพียงสภาวปรมัตถจะเปนการเขาใจหลักการเรื่อง อนัตตา การรับรูรูปรางสัณฐานของส่ิงไมมีชีวิตตางๆ เชน ตนไม กอนหิน บาน วัด ไมไดแปลวามีความเชื่อเร่ืองอนัตตา หรือมีการ ยึดม่ันอัตตา แตเปนเพียงการยึดมั่นในสมมุติบัญญัติเทาน้ัน อัตตวาทุปาทาน คือการเช่ือวาสัตวโลกท่ีมีชีวิตจิตใจ เชน มนุษย เทวดา หรือสัตวตางๆ น้ันมีวิญญาณ หรืออัตตาตัวตน เชน ท่ีเราคิดวาตัวเราเอง หรือสิ่งมีชีวิตอื่นมีวิญญาณ หรืออัตตาตัวตน ดังจะเห็นไดวา อรูปพรหม (พรหมที่มีเพียงนามขันธแตปราศจาก รูปขันธ) ไมรับรูรูปรางสัณฐานของตน แตอรูปพรหมที่ยังเปนปุถุชน ก็ยังไมหลุดพนจากอัตตวาทุปาทาน คือ ยังเช่ือวาตนเองมีอัตตา ตัวตนอยู ตอเมื่อไดเพิกถอนความยึดมั่นวาตนเองและสัตวโลกอื่น ลวนมีอัตตาตัวตนไดแลว และมีความเขาใจที่ถูกตองวา สัตวโลก ท้ังปวงเปนเพียงสภาวธรรมรูปนามท่ีเกิดดับอยูอยางตอเนื่องเทาน้ัน จึงจะเรียกไดวามีปญญาท่ีหยั่งเห็นความเปนอนัตตาแลว
๒๒ อนัตตลักขณสูตร อัตตวาทุปาทาน ๔ ประเภท อัตตวาทุปาทาน ความยึดม่ันวามีอัตตาตัวตนนั้น แบงเปน ๔ ประเภท คือ ๑) ความยึดม่ันในสามีอัตตะ คือ เช่ือวาในรางกายของ สัตวโลกมีอัตตาเปนผูปกครองและควบคุมความคิดและการกระทํา ของสัตวน้ัน สามีอัตตาคือผูทําใหเดิน ยืน นั่ง นอน พูด เปนตนตาม ความประสงคของตน พระพุทธองคทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรเพื่อประสงคจะ กําจัดความเห็นผิดที่เกี่ยวกับอัตตวาทุปาทาน ในขณะท่ีทรงแสดง พระสูตรน้ีเปนครั้งแรกแกภิกษุปญจวัคคียน้ัน ภิกษุปญจวัคคียได บรรลุธรรมเปนพระโสดาบันแลวท้ัง ๕ รูป ดังน้ัน อาจมีขอสงสัยได วา พระโสดาบันบุคคลยังมีอัตตวาทุปาทานอยูอีกหรือ ขอตอบวา พระโสดาบันละอัตตวาทุปาทานไดแลว แตยังมีมานะเหลืออยู พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันไดกําจัดสังโยชน (กิเลสเครื่อง รอยรัดสัตวทั้งหลายใหติดอยูในความทุกข) ๓ อยางไดอยางสิ้นเชิง ไดแก สักกายทิฏฐิ (ความยึดมั่นในตัวตน), วิจิกิจฉา (ความลังเล สงสัย), สีลัพพตปรามาส (ความยึดม่ันในการปฏิบัติผิดคือศีลพรต นอกศาสนาวาเปนทางหลุดพน) แตพระโสดาบันยังมีอัสมิมานะ (ความทะนงตนในความดีหรือในฐานะของตน) แตความทะนงตน
อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๓ ของพระโสดาบันน้ันเปนความทะนงในคุณสมบัติที่มีอยูจริงเทานั้น ไมใชทะนงตนในคุณสมบัติที่ไมมีอยูในตน ดังน้ัน พระโสดาบันจึงยังตองปฏิบัติวิปสสนาตอไปเพ่ือละ อัสมิมานะที่เปนสังโยชนเคร่ืองรอยรัดท่ียังไมไดกําจัดใหสิ้นไป เมื่อ วิปสสนาญาณแกกลาย่ิงข้ึน อัสมิมานะสังโยชนจะเบาบางลงดวย สกทาคามิผล แตก็ยังไมไดถูกกําจัดใหหมดไปทีเดียว หลังจากนั้น อนาคามิผลก็จะทําใหเบาบางลงไปอีก แตก็เปนแคการกําจัดไดเพียง บางสวนเทาน้ัน ตอเมื่อบรรลุถึงอรหัตตมรรคแลว อัสมิมานะจึงถูก กําจัดไดหมดสิ้นอยางเปนการถอนรากถอนโคน ดังน้ัน จึงกลาวไดวา พระผูมีพระภาคทรงเทศนาอนัตตลักขณสูตรใหแกภิกษุปญจวัคคีย เพื่อถอนอัสมิมานะที่ยังหลงเหลืออยูในจิตของพวกทาน แมวาทั้ง ๕ ทานนั้นไดบรรลุโสดาปตติผลแลว ๒) ความยึดม่ันในนิวาสีอัตตะ คือ เชื่อวามีอัตตาตัวตนที่ อาศัยอยูในรางกายของสัตวอยางถาวร คนท่ัวไปเชื่อวา มีอัตตาตัวตนอาศัยอยูในรางกายต้ังแต เกิดจนกระท่ังตาย บางพวกเช่ือวา นิวาสีอัตตะน้ีแตกสลายไปเม่ือ ตายลง ความเห็นผิดน้ีจัดเขาประเภทอุจเฉททิฏฐิ แตบางพวกเชื่อ วานิวาสีอัตตะน้ันยังคงอยูไมสูญสลายไปหลังจากการตาย แตไดยาย ไปอยูในที่แหงใหม ไปเกิดในรางใหมภพใหม น้ีเปนความเห็นผิด
๒๔ อนัตตลกั ขณสตู ร ประเภทสัสสตทิฏฐิ พระผูมีพระภาคทรงประสงคจะกําจัดทิฏฐิทั้ง สองน้ีพรอมท้ังอัสมิมานะจึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร เพ่ือกําจัด อัสมิมานะของภิกษุปญจวัคคียและพระอริยบุคคลอื่นๆ อีกทั้งเพื่อ กําจัดอุจเฉททิฏฐิและสัสสตทิฏฐิพรอมทั้งอัสมิมานะของปุถุชน ตราบใดที่คนเรายังยึดม่ันวามีอัตตาตัวตนที่ยั่งยืนอยูใน รางกายของเรา ตราบน้ันเราก็ยังเชื่อวาเราสามารถควบคุมบังคับ บัญชาใหรูปของเราเปนไปตามความตองการของเรา จึงควรเขาใจ วา อนัตตลักขณสูตรที่พระพุทธองคทรงแสดงนั้น มีจุดมุงหมาย เพื่อกําจัดสามีอัตตวาทุปาทานใหหมดไป และเพื่อกําจัดนิวาสี- อัตตวาทุปาทานใหส้ินไปดวย เม่ือสามีอัตตวาทุปาทานถูกกําจัด แลวอัตตวาทุปาทานพรอมทั้งความเห็นผิดอื่นๆ ก็จะถูกกําจัดให สิ้นไปพรอมกันดวย ๓) ความยึดม่ันในการกอัตตะ คือ เช่ือวามีอัตตาตัวตนท่ี เปนผูจัดแจงใหกระทํากรรมทุกอยาง ท้ังท่ีเปนกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ดังนั้น การกอัตตวาทุปาทานจึงเปนความยึดมั่นในสังขาร- ขันธ คือกลุมเจตสิกท่ีปรุงแตงจิต เร่ืองนี้จะพูดถึงอยางละเอียด ในบทท่ีวาดวยสังขารขันธ
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๒๕ ๔) ความยึดมั่นในเวทกอัตตะ คือ เชื่อวามีอัตตาตัวตนท่ี เปนผูเสวยความรูสึกสุขทุกข เปนความเชื่อวา ความรูสึกทั้งหมด ไมวาความรูสึกเปนสุข (สุขเวทนา) เปนทุกข (ทุกขเวทนา) หรือ วางเฉย (อุเบกขาเวทนา) ก็ตาม มีอัตตาตัวตนเปนผูเสวยเวทนาน้ัน เร่ืองเวทนาขันธจะขอกลาวอยางละเอียดตอไป หลังจากท่ีไดอธิบายเร่ืองรูปขันธหรือกองรูปเปนอนัตตา มาพอสมควรแลว ตอไปจะขออธิบายเก่ียวกับการปฏิบัติของผูที่ เจริญวิปสสนา เพื่อใหหยั่งเห็นอนัตตลักษณะของรูปขันธที่เราไมมี อํานาจบังคับบัญชาได และเขาใจไดวาเกิดขึ้นไดอยางไร การหย่ังเห็นความเปนอนัตตา ในขณะเจริญวิปสสนากรรมฐาน เน่ืองจากขาพเจาไดเคยอธิบายวิธีปฏิบัติวิปสสนาภาวนา อยางละเอียดมาแลวหลายครั้ง และเคยตีพิมพเผยแพรเปนเลมแลว ดังนั้นจึงขอสรุปเพียงสั้นๆ ดังนี้คือ การเจริญวิปสสนาภาวนาเปนวิธีประกอบดวยการกําหนดรู อุปาทานขันธ (ท่ีตั้งแหงความยึดมั่น) ๕ อยาง ซ่ึงปรากฏในขณะท่ีมี การเห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส และคิดนึก สําหรับผูเร่ิมปฏิบัติ จะรูสึกวามีความยากลําบากในการกําหนดรูสภาวธรรมการเห็น การ
๒๖ อนตั ตลกั ขณสูตร ไดยินเปนตน ในขณะท่ีปรากฏ ดังนั้นจึงตองเร่ิมดวยการกําหนดรู เพียงสภาวธรรมสองหรือสามอยางท่ีปรากฏชัดเทาน้ัน ยกตัวอยาง เชน ในขณะนั่งสมาธิ ผูปฏิบัติอาจกําหนดรูสภาวะตึง และสภาวะ ตั้งตรงท่ีรูสึกในรางกายของตน และบริกรรมวา “นั่งหนอ น่ังหนอ” ถารูสึกวาการปฏิบัติเชนนี้งายเกินไป เพราะการกําหนด “น่ังหนอ น่ังหนอ” ไมตองใชความพยายามมากนัก ก็อาจกําหนดสภาวะสัมผัส เพ่ิมขึ้น โดยบริกรรมวา “ถูกหนอ น่ังหนอ” “ถูกหนอ น่ังหนอ” แต สภาวะพองยุบของทองเปนความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนรูสึกไดงายกวา ดังน้ัน ถาผูปฏิบัติต้ังสติกําหนดวา “พองหนอ” เมื่อทองพองข้ึน และ “ยุบหนอ” เม่ือทองยุบลง ก็จะรูชัดถึงสภาวะตึงขึ้นหรือหยอนลง ภายในทอง รูถึงลักษณะ, หนาท่ี (รสะ), อาการปรากฏ (ปจจุปฏฐาน) และเหตุใกล (ปทัฏฐาน) ของวาโยธาตุ (ธาตุลม) การพิจารณาและ การบริกรรมอยางน้ีสอดคลองกับความในคัมภีรวิสุทธิมรรคซ่ึงกลาว วา จะรูชัดลักษณะที่แทจริงของรูปนามไดดวยการสังเกตลักษณะ หนาที่ ปจจุปฏฐาน (อาการปรากฏ) และปทัฏฐาน (เหตุใกล) ของ รูปนาม๙ ดังนั้น เราจึงสอนผูปฏิบัติใหมใหเริ่มดวยการสังเกตสภาวะ พองยุบของทอง แตการเจริญวิปสสนาไมใชประกอบดวยการกําหนด รูสภาวะพองยุบของทองเพียงอยางเดียว ในขณะที่กําลังกําหนดรู
อนัตตลักขณสูตร ๒๗ สภาวะพองยุบของทองอยูน้ัน ถามีความคิดอยางใดอยางหนึ่งแทรก เขามาผูปฏิบัติจะตองกําหนดรูสภาวะคิดนั้นดวย และถาเกิดความ เมื่อย รอน หนาว หรือปวด ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูอาการเหลาน้ันเชน เดียวกัน ถาผูปฏิบัติคูหรือเหยียดแขนขา ก็จะตองกําหนดสภาวะ เคล่ือนไหวเหลานั้นดวย ในขณะที่นั่งกําหนดสภาวะพอง ยุบ นั่ง ถูก ตามท่ีปรากฏ อยูนั้น อาจมีความตองการเปล่ียนอิริยาบถเพื่อบําบัดความรูสึกเจ็บ ปวด หรือรอน ท่ีเกิดขึ้นบริเวณแขนขาที่ตองงออยู ผูปฏิบัติพึงกําหนด รูความตองการท่ีจะเปล่ียนอิริยาบถทันทีท่ีความตองการเกิดขึ้น แต ใหนั่งอยูนิ่งๆ กอน อยาทําตามความตองการท่ีจะเหยียดแขนขาโดย ทันที ผูปฏิบัติพึงพยายามอดทนตอความไมสบายกายนั้นใหนาน ท่ีสุดเทาท่ีจะทนได และเม่ือความตองการเหยียดแขนขาเกิดข้ึนอีก เขาก็พึงกําหนดรูความตองการเหมือนคร้ังกอนโดยไมเปลี่ยนอิริยาบถ ตอเม่ือความเจ็บปวดทรมานน้ันมากจนสุดจะทนทานตอไปได จึง คอยๆ เหยียดแขนขาอยางชาๆ และในขณะเดียวกันก็ไมลืมที่จะ บริกรรมวา “เหยียดหนอ เหยียดหนอ” ในขณะทีก่ าํ ลังเจรญิ ภาวนาอยนู น้ั ผูปฏบิ ัติจาํ เปน ตอ งเปลยี่ น อิริยาบถหลายคร้ังเพราะความปวดเม่ือย เม่ือตองเปล่ียนอิริยาบถ บอย ก็จะเห็นชัดวารางกายเปนเหตุใหเกิดทุกข แมวามีความต้ังใจจะ
๒๘ อนัตตลักขณสตู ร นั่งนิ่ง ๆ โดยไมขยับเขย้ือนใหครบ ๑ หรือ ๒ ชั่วโมง แตก็ไมสามารถ ทําไดอยางที่ต้ังใจไว จึงเห็นประจักษแกใจวารูปท่ีเปนเหตุใหเกิดทุกข อยูตลอดเวลาน้ี ไมใชอัตตาตัวตน การที่เราไมสามารถดํารงอยูในอิริยาบถเดียวไดนาน ไมวา จะนั่ง นอน หรือยืน จึงทําใหเขาใจวารูปไมเปนไปตามความตองการ ของเราและไมสามารถบังคับบัญชาได เพราะรูปไมอยูในการควบคุม ของเรา รูปจึงไมใชอัตตาตัวตนของเรา เปนแตเพียงรูปธรรมท่ีเกิดขึ้น เปนไปตามเหตุปจจัยเทานั้น การเขาใจเชนน้ีเปนปญญาท่ีเกิดจาก การหยั่งเห็นความเปนอนัตตา นอกจากน้ี ในขณะที่เจริญวิปสสนาในทานั่งหรือนอนอยูน้ัน เราจําเปนตองลุกไปเขาหองน้ําหลายครั้ง จึงเขาใจอีกดวยวารูปบีบ คั้นใหเปนทุกขเพราะไมยอมเปนไปตามความตองการ บังคับบัญชา ไมได ในขณะที่พิจารณาพฤติกรรมของรูปอยูนั้น ความเบียดเบียน บีบค้ันของรูปก็ปรากฏข้ึนใหเห็น เมื่อส่ิงสกปรกตางๆ เชน นํ้ามูก นํ้าลาย เสมหะ นํ้าตา เหงื่อ เปนตน ไดไหลออกจากรางกาย ยอม แสดงใหเห็นไดวาเราไมสามารถรักษาความสะอาดของรูปใหคง อยูตลอดไปได เม่ือรูปไมยอมอยูในการควบคุมของเรา รูปจึงไมใช อัตตาตัวตนของเรา
อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๙ ยิ่งไปกวานั้น รูปยังเบียดเบียนบีบค้ันเราดวยความหิว ความ กระหาย ความชรา และความตาย ความทุกขเหลาน้ีเปนส่ิงที่เห็น ไดชัด แตก็เปนไปไดวาคนที่ไมไดสนใจจริงจังในเร่ืองน้ี อาจยังมี ความเห็นวารูปเปนอัตตาตัวตนของเขาอยู ตอเม่ือไดมีการกําหนด รูลักษณะของรูปอยางมีสติเทานั้น จึงจะเห็นไดชัดเจนวารูปเปน อนัตตา ไมใชอัตตาตัวตน เปนแตเพียงรูปธรรมท่ีเกิดข้ึนเปนไปตาม เหตุปจจัยของมันเทาน้ัน ตัวอยางเทาที่ไดยกมาน้ี คงพอช้ีใหเห็นความเปนอนัตตาของ รูป ผูปฏิบัติท่ีเจริญวิปสสนากําหนดรูสภาวธรรมของรูปอยางจริงจัง จะมีประสบการณมากมายท่ีแสดงใหเห็นไดชัดถึงความเบียดเบียน บีบค้ันของรูปท่ีเราไมสามารถบังคับบัญชาหรือจัดการใหเปนไปตาม ความตองการของเราได
๓๐ อนตั ตลักขณสตู ร ดังน้ัน ในระหวางท่ีกําลังเจริญสติกําหนดรู สภาวธรรมทางกาย เชน สภาวะพอง ยุบ น่ัง คู เหยียด ผูปฏิบัติธรรมไดรูเห็นทุกขที่เกิดข้ึนเพราะรูป และ ความไมอยูในบังคับบัญชาของรูปนั้น ปญญารูแจง ยอมเกิดขึ้นแกผูปฏิบัติวา “แมรูปท่ีอยูในรางกายจะ ดูคลายกับเปนอัตตาตัวตนของเรา แตเนื่องจากรูป บีบค้ันใหเราเปนทุกข เพราะรูปไมเปนไปตามความ ตองการ และเราไมสามารถควบคุมบังคับบัญชาได รูป จึงไมใชอัตตาตัวตนของเรา เราไดหลงผิดมาตลอดเวลา วารูปเปนอัตตาตัวตนของเรา”
๒ เวทนาไมใชอัตตา คนทั่วไปพอใจกับการมีความรูสึกท่ีดี และไมพอใจที่กับ ความรูสึกที่ไมดี แตไมวาจะเปนความรูสึกดีหรือไมดีก็ตาม คน ทั้งหลายมักจะเขาใจวา “เรา” เปนผูรูสึก เรารูสึกพอใจ เรารูสึกไม พอใจ แตตามความเปนจริงแลว ความรูสึกไมใชอัตตาตัวตน ไมใช วิญญาณ แตเปนอนัตตา พระพุทธองคตรัสเทศนาถึงความจริง ขอนี้ไว ดังน้ี เวทนา ภิกฺขเว อนตฺตา. “ภิกษุท้ังหลาย เวทนามิใชอัตตา” เวทนาแบงเปน ๓ ชนิด คือ ๑) สุขเวทนา ความรูสึกเปนสุข ๒) ทุกขเวทนา ความรูสึกเปนทุกข
๓๒ อนัตตลักขณสูตร ๓) อุเบกขาเวทนา ความรูสึกวางเฉย ไมเปนสุขหรือทุกข อุเบกขาเวทนา โดยท่ัวไปเปนความรูสึกที่ไมชัดเจน สวน สุขเวทนา และทุกขเวทนาเปนความรูสึกท่ีชัดเจนซึ่งคนทั่วไปมักจะ ใหความสําคัญมากกวา เวลาที่อากาศรอนเราจะรูสึกเปนสุขถาไดสัมผัสกับลมเย็น หรือนํ้าเย็น ในเวลาท่ีอากาศหนาว เราจะรูสึกเปนสุขถาไดหมผา ขนสัตวอุนๆ หรือเวลาท่ีเราไดเหยียดแขนขาหรือเปล่ียนอิริยาบถ หลังจากนั่งสมาธินานๆ ทําใหรูสึกสบายหายเม่ือย ความรูสึกสุข สบายที่เกิดจากการไดสัมผัสกับส่ิงนาร่ืนรมยเหลานี้ ชาวโลกมักเห็น วาเปนอัตตาตัวตน คือ เราเปนผูรูสึกสุขสบาย ดังน้ันจึงพยายาม แสวงหาความรูสึกที่สุขสบายใหตนเอง เมื่อสัมผัสกับสิ่งที่ไมนาปรารถนา เชน ความรอน ความ เม่ือยแขนขา หรือความหนาวเย็น ความคัน เปนตน ซ่ึงจัดเปน ทุกขเวทนา ชาวโลกก็มักเห็นวาทุกขเวทนาเปนอัตตาตัวตน เรา เปนทุกข เราไมสบาย ดังน้ันจึงพยายามหลีกเล่ียงสิ่งท่ีทําใหเกิด ทุกขเวทนาใหมากท่ีสุด นอกจากเวลาเจ็บปวยที่จําเปนตองประสบ กับทุกขเวทนาอยางหลีกเลี่ยงไมได นอกจากน้ี เวลานึกถึงสิ่งของเร่ืองราวที่ทําใหสุขใจหรือ ดีใจ เรียกวา สุขเวทนาทางใจ (หรือ โสมนัสเวทนา) เวลาคิดถึง
อนัตตลกั ขณสูตร ๓๓ สิ่งของเร่ืองราวท่ีทําใหเกิดความผิดหวัง ทอแท เศราใจ เรียกวา ทุกขเวทนาทางใจ (หรือโทมนัสเวทนา) สวนเวลาที่คิดถึงเรื่องปกติ ในชีวิตประจําวันทําใหเกิดความรูสึกวางเฉย เรียกวา อุเบกขาเวทนา เวทนาทางใจ ๓ อยางนี้ เกี่ยวกับการคิด หรือจินตนาการ เมื่อประสบกับเวทนาตางๆ เหลานี้ คนเราก็เขาใจไปวาความรูสึก เหลานี้เปนอัตตาตัวตน โดยคิดวา เราดีใจ เราสุขใจ เราเศราใจ เรา ไมสบายใจ เรารูสึกเฉยๆ เม่ือประสบกับรูป เสียง กล่ิน รส หรือสัมผัสท่ีดี ก็จะเกิดสุข เวทนาข้ึน ชาวโลกมักคิดวามีอัตตาของตนเปนผูรูสึกวา “เราสบายใจ เราสุขใจ” ดังน้ัน จึงพยายามไขวควาหาส่ิงดี ท่ีจะทําใหตนเปนสุข เชน ไปเที่ยวตามสถานบันเทิง เพื่อจะไดเห็นรูปที่สวยงาม ไดยินเสียง ท่ีไพเราะ ใชดอกไมท่ีมีกลิ่นหอมและน้ําหอมเพ่ือจะไดสูดกลิ่นหอม อยูเสมอ และพยายามแสวงหาอาหารที่อรอยไมวาจะหายากหรือมี ราคาแพงเพียงไร หากเวลาใดที่ตองประสบกับรูป เสียง กล่ิน รส และสัมผัสท่ี ไมดี ก็จะรูสึกไมพอใจ แลวยึดถือความรูสึกเหลาน้ีวาเปนตัวตน และ จะพยายามหลีกเล่ียงไมยอมเก่ียวของกับส่ิงของหรืออารมณท่ีไม นารื่นรมยเหลาน้ี
๓๔ อนัตตลกั ขณสูตร สําหรับเหตุการณตางๆ ท่ีเราพบเห็นหรือไดยินในชีวิต ประจําวัน มักจะทําใหรูสึกเฉยๆ ไมรูสึกยินดีหรือยินรายแตอยางใด ความรูสึกวางเฉยน้ีก็ถูกยึดถือวาเปนตัวตนของเราอีกเหมือนกัน คนเราสวนมากมักจะไมพอใจในความรูสึกเฉยๆ นี้เทาไรนัก จึง พยายามแสวงหาอารมณที่ดี เพื่อใหเกิดความพอใจและเปนสุข การเทียบเคียงพระอภิธรรมและพระสูตร ตามหลักพระอภิธรรมกลาววา ในขณะที่เห็น ไดยิน รูกลิ่น และล้ิมรส เราไมมีความรูสึกชอบหรือไมชอบเกิดขึ้น เปนแตเพียง อุเบกขาเวทนาเทาน้ัน แตในพระสุตตันตปฎก๑๐ มีพระสูตรหลายสูตร ท่ีกลาวถึงการที่สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนาเกิดขึ้น ทางทวารท้ัง ๖ และมีพระสูตรท่ีสอนใหกําหนดรูเวทนาเหลานี้ ในขณะท่ีเห็น ไดยิน เปนตนเพ่ือใหเขาใจใน เวทนาเหลา น้นั ตามความเปน จรงิ ในวสิ ทุ ธมิ รรค มหาฎีกา๑๑ อธิบายถึงการเกิดขึ้นของสุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขาเวทนาในขณะที่เห็น ไดยิน เปนตน ดังน้ี
อนัตตลักขณสูตร ๓๕ “แมจะมีการระบุไววา จักขุวิญญาณจิตเกิดข้ึนพรอมกับ อุเบกขาเวทนา แตผลของอกุศลกรรมยอมมีลักษณะเปนความทุกข อกุศลกรรมยอมไมสามารถสงผลเปนความสุขไดเลย ในทํานอง เดียวกัน กุศลกรรมยอมใหผลเปนความสุข การกระทําท่ีดีงาม ทุกอยางยอมใหผลเปนความสุขท้ังสิ้น” คําอธิบายน้ีถูกตองเหมาะสมและสามารถพิสูจนไดจาก ประสบการณจริง กลาวคือ เม่ือมีการเห็นรูปท่ีสวยงาม ความรูสึก ชื่นชมและยินดีพอใจยอมเกิดข้ึนในขณะที่ไดรับรูปารมณที่ดีน้ัน และเม่ือมีการเห็นรูปท่ีนาเกลียดนากลัวหรือนาสะอิดสะเอียน เรา ก็จะเกิดความรูสึกกลัวหรือเกลียดข้ึนมาทันทีที่เห็นรูปท่ีไมดีน้ัน ใน กรณีท่ีเปนการไดยินเสียง ความรูสึกตอบสนองอารมณที่มากระทบ นั้นจะชัดเจนมากย่ิงกวาการเห็นรูป เม่ือไดยินเสียงไพเราะนาฟง เรา จะรูสึกสบายหู เม่ือไดยินเสียงท่ีดังมากๆ ผูฟงก็จะรูสึกแสบแกวหู อยางสุดจะทนทาน การไดกลิ่นกอใหเกิดความรูสึกท่ีชัดเจนเชน เดียวกัน เม่ือไดสูดดมกล่ินหอม จมูกก็จะรูสึกสบาย แตถาหากสูด ดมกล่ินบูดเนาก็จะทําใหรูสึกคลื่นไส ปวดศีรษะหรือเปนลม และถา กลิ่นที่สูดเขาไปนั้นมีพิษรายแรงก็อาจทําใหถึงตายได แตส่ิงที่สงผล ใหเห็นไดชัดเจนที่สุดก็คือการกิน เมื่อกินอาหารอรอยจะทําใหเกิด ความรูสึกเปนสุขท่ีลิ้น รสท่ีขมหรือยาบางชนิดทําใหรูสึกไมชอบหรือ
๓๖ อนัตตลกั ขณสูตร ไมพอใจ หากสิ่งท่ีกินน้ันเปนยาพิษหรือมีสารพิษเจือปนก็จะทําให ทุกขทรมานหรืออาจถึงแกความตายได แมจะระบุไววาจักขุวิญญาณเปนตนเกิดพรอมดวยอุเบกขา- เวทนา แตอุเบกขาเวทนาที่เปนผลของกรรมชั่วยอมมีลักษณะเปน ทุกขและไมนาพอใจ สวนอุเบกขาเวทนาท่ีเปนผลของกรรมดียอมมี ลักษณะเปนสุขและนายินดีพอใจ ดังน้ัน ตามที่กลาวไวในคัมภีรฎีกา จึงเหมาะสมอยางยิ่ง และสอดคลองกับขอความในพระสูตรซึ่งตรัส วาเวทนาทั้ง ๓ ชนิดเกิดขึ้นในขณะเห็นเปนตน และเปนไปได อีกอยางหน่ึงวา เวทนาเหลาน้ันที่กลาวถึงในพระสูตรดังกลาวนี้ หมายเอาชวงท่ีชวนจิตเกิดขึ้นเสวยอารมณในจักขุทวารวิถีเปนตน การเขาใจผิดวาเวทนาเปนอัตตา ความพอใจและไมพอใจในอารมณตางๆ ขณะท่ีเห็น ไดยิน รู กล่ิน ล้ิมรส สัมผัส หรือคิดนึกจึงจัดเปนเวทนาท้ังสิ้น เม่ือเกิดความ รูสึกพอใจก็คิดวาเปนตัวเราท่ีพอใจ “ฉันชอบ ฉันพอใจ” เม่ือเกิด ความรูสึกไมพอใจก็คิดวาเปนตัวเราท่ีไมพอใจ “ฉันไมชอบ ฉันไม พอใจ” หรือ “เม่ือตะก้ีนี้ฉันชอบ แตเดี๋ยวนี้ฉันไมชอบแลว” เมื่อ เกิดความรูสึกวางเฉยก็คิดวา “ฉันไมรูสึกยินดียินรายอะไร ฉันรูสึก เฉยๆ” นี้คือความยึดมั่นวาเวทนาเปนอัตตาตัวตนของเรา โดยเชื่อ
อนัตตลักขณสตู ร ๓๗ วาตัวเราเปนผูรูสึกชอบ ไมชอบ หรือเฉยๆ เรียกวา เวทกอัตตะ คือ ความเชื่อในอัตตาตัวตนวาเปนผูเสวยความรูสึกตางๆ ปุถุชนทั่วไปมักมีความยึดม่ันอัตตาตัวตนในลักษณะนี้ ใน วรรณกรรมอินเดียกลาววาเวทนาคืออัตตา หรือเปนคุณลักษณะ อยางหนึ่งของอัตตา ในประเทศสหภาพพมาดูเหมือนวาจะไมไดมี การยืนยันความเห็นในเร่ืองน้ีไวเปนลายลักษณอักษร แตก็ยังคงมี ความยึดมั่นอยูวา เมื่อใดที่มีความสุขก็คิดวา “ฉันเปนสุข” เมื่อใดพบ อุปสรรคหรือมีปญหาก็คิดวา “ฉันเปนทุกข” ท้ังนี้ก็เพราะวา สิ่งไมมี ชีวิตเชนกอนหินหรือทอนไมไมรูสึกรอนหรือหนาว เม่ือถูกความรอน หรือถูกความเย็น ไมรูสึกดีใจหรือเสียใจ แตสิ่งมีชีวิตเมื่อพบเหตุการณ ทด่ี กี ร็ ูสึกดีใจ เม่ือพบเหตุการณท ีไ่ มด ีกร็ ูส กึ เสียใจ คนเราจึงสันนษิ ฐาน เอาวา เปนเพราะส่ิงมีชีวิตน้ันมีวิญญาณ หรืออัตตาตัวตนเปนผูเสวย ความรูสึกสุขและทุกข แตความจริงน้ัน เวทนาไมใชอัตตาตัวตน เปนเพียงสภาวธรรมหน่ึงท่ีเกิดข้ึนและดับไปตาม เหตุปจจัย ดังนั้น พระพุทธองคจึงทรงประกาศ ความจริงท่ีทุกคนควรรูและควรเขาใจวา “ภิกษุ ทั้งหลาย เวทนามิใชอัตตา”
๓๘ อนัตตลกั ขณสตู ร เหตุที่เวทนาไมใชอัตตา เวทนา จ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ เวทนา อาพาธาย สํวตฺเตยฺย, ลพฺเภถ จ “เวทนาย เอวํ เม เวทนา โหตุ, เอวํ เม เวทนา มา อโหสี”ติ. “ถาเวทนาน้ีเปนอัตตาแลว เวทนาน้ีคงไมเปนไปเพื่อ เบียดเบียน และบุคคลคงไดการจัดแจงในเวทนาวา เวทนาของเรา จงเปนอยางน้ีเถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) เวทนาของเราอยาไดเปน อยางน้ันเลย (จงเปนอยาเปนทุกขเลย)” ถาเวทนาเปนอัตตาของเราก็ไมควรทําใหเราเปนทุกข เพราะ ตามธรรมดาคนเรายอมไมกอทุกขใหแกตนเอง เราควรจะบังคับ บัญชาเวทนาได เวทนาควรทําใหเราเปนสุขอยูเสมอ เพราะเรา ตองการแตความสุขไมตองการความทุกข ถาเวทนาเปนไปตามความ ตองการของเราอยูเสมอเราจึงจะเรียกวาเวทนาเปนตัวตนของเรา ขอความที่สมมติวา “ถาเวทนาเปนตัวตนของเรา” เพื่อให ฉุกใจไดคิดวา เวทนาทําใหเราเปนทุกขหรือเปนสุข และเปนไปตาม ความตองการของเราตลอดเวลาหรือไม เม่ือพิจารณาใหดีแลวก็ จะเห็นไดชัดวา เมื่อใดมีเวทนาเกิดข้ึน ก็มักจะทําใหเราเปนทุกข เรื่อยไป และไมเปนไปตามความตองการของเราท่ีอยากจะรูสึก เปนสุขจากการไดรับรูปสวย เสียงไพเราะ กล่ินหอม อาหารอรอย
อนัตตลักขณสูตร ๓๙ สัมผัสออนนุม เปนตน โดยทั่วไปทุกขเวทนามีมากกวาสุขเวทนา เราไมสามารถมีสุขเวทนามากตามที่ตองการเพราะเวทนาไมใชอัตตา ตัวตนของเรา แตเปนไปตามเหตุปจจัย หลักฐานท่ีช้ีชัดวาเวทนาไมใชอัตตา ยสฺมา จ โข ภิกฺขเว เวทนา อนตฺตา, ตสฺมา เวทนา อาพาธาย สํวตฺตติ. น จ ลพฺภติ เวทนาย เอวํ เม เวทนา โหตุ, เอวํ เม เวทนา มา อโหสีติ. “แตเพราะเวทนาเปนอนัตตา จึงเปนไปเพื่อเบียดเบียน และบุคคลยอมไมไดการจัดแจงในเวทนาวา เวทนาของเราจงเปน อยางน้ันเถิด (จงเปนสุขอยูเสมอ) เวทนาของเราอยาไดเปนอยางนั้น เลย (จงอยาเปนทุกขเลย)” แทท่ีจริง เวทนาไมใชตัวตน มันจึงบีบคั้นเราดวยความทุกข กายและทุกขใจ และไมอยูในบังคับบัญชาเพราะเราไมสามารถสั่งให มันเปนสุขอยูเสมออยาใหมีความทุกขเลย อยางไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ยึดม่ันความเห็นผิดในอัตตาและ ตัณหาอยางเหนียวแนน มีความเช่ือวาเวทนาเปนความสุข และยึดถือ วาเวทนาเปนอัตตาตัวตน ท้ังท่ีหากพิจารณาใหดีแลวจะเห็นไดวา ขณะท่ีเปนความสุขนั้นมีนอยกวาเม่ือเทียบกับความทุกขซึ่งมีมาก
๔๐ อนัตตลกั ขณสตู ร เวทนาทําใหเกิดทุกขไดอยางไร หากเราตองการมีความสุขสบาย ก็จําเปนตองพยายามแกไข เปล่ียนแปลงสถานการณใหเหมาะสมเพื่อแกทุกขอยูเสมอ เชน เมื่อ ตองนั่งอยูในทาเดียวนานๆ จะเกิดความไมสบาย ปวดเม่ือย เหน็บชา รอน ทําใหตองคอยพลิกเปล่ียนอิริยาบถเพ่ือใหคลายความเจ็บปวด แมกระท่ังดวงตาของเราก็ถูกเวทนาบีบคั้นอยางเห็นไดชัด เพราะเรา ตองคอยกระพริบตาอยูตลอดเวลามิฉะน้ันดวงตาก็จะเหนื่อยลาแหง และแสบจนทนไมได สวนอวัยวะอ่ืนๆ ก็ตองไดรับการบริหารดูแล อยูเสมอเชนเดียวกัน แตถึงแมจะคอยแกไขปรับปรุงอยูตลอดเวลา แลวก็ตาม บางคร้ังเวทนาที่รุนแรงก็อาจทําใหเกิดความเจ็บปวดทุกข ทรมานอยางใหญหลวงจนกอใหเกิดโรครายแรงท่ีอาจถึงกับทําใหเสีย ชีวิตได มีหลายกรณีที่ผูปวยทนความทุกขบีบค้ันไมไหว ไดตัดสินใจ ฆาตัวตายเพื่อหนีทุกขก็มี ความทุกขทางกายน้ีมิไดเกิดข้ึนโดยมีเวทนาเปนตนเหตุเพียง อยางเดียว รูปก็มีสวนบีบค้ันใหเกิดทุกขดวย เพราะเปนตนตอท่ีกอ ปญหาใหเกิดขึ้น ดังไดกลาวไวในบทกอน สวนความทุกขทางใจน้ันเกิดข้ึนจากเวทนาโดยตรงโดยไม ตองมีรูปเปนตนเหตุ เมื่อคนอันเปนท่ีรัก เชน พอ แม สามี ภรรยา บุตร ธิดา ไดตายไป เวทนาก็ทําใหผูที่สูญเสียเกิดความเศราโศก
อนัตตลกั ขณสูตร ๔๑ เสียใจ ในทํานองเดียวกัน การสูญเสียทรัพยสมบัติก็กอใหเกิดความ โทมนัสเศราโศกอยางใหญหลวง บางคร้ังถึงกับทําใหตรอมใจตายก็ มี นอกจากน้ี ยังมีความโทมนัสเพราะปญหาชีวิตที่หาทางออกไมได การตองพลัดพรากจากเพื่อนฝูงและคนท่ีใกลชิด ความหวังและความ ปรารถนาที่ไมเปนไปตามความตองการ เหลาน้ีก็เปนความทุกขใจท่ี เกิดจากเวทนา แมส ุขเวทนาคือความรสู กึ ทีเ่ ปนสขุ ก็กลายเปนทกุ ขไ ดใ นเวลา ตอมา เพราะสุขเวทนาไมอยูตลอดไป เมื่อสุขเวทนาส้ินสุดลงก็ทําให เกิดความเสียดายและอยากใหไดอีก คนเราจึงตองพยายามจะรักษา ความรูสึกเปนสุขนี้ไวใหนานเทานาน บางครั้งถึงกับยอมเส่ียงชีวิต เพื่อแลกกับความรูสึกเปนสุข ถาพยายามหาความสุขดวยวิธีท่ีผิด กฎหมายหรือผิดศีลธรรม ผูนั้นก็จะตองถูกลงโทษสําหรับกรรมไมดีที่ ไดทําลงไป ซึ่งจะใหผลเปนความทุกขในชาติปจจุบันหรือใหไปเกิดใน ทุคติภูมิในชาติตอๆ ไป จะเห็นไดวา สุขเวทนาก็เปนเหตุใหเกิดทุกข ไดเหมือนกัน สวนอุเบกขาเวทนา (ความรูสึกวางเฉย) มีลักษณะคลายสุข เวทนาซ่ึงใหผลเปนความสุขความสบาย ทําใหเราตองพยายามอยู ตลอดเวลาที่จะใหอุเบกขาเวทนานี้ดํารงอยูได ความพยายามนี้กลาย เปนภาระหนักท่ีกอใหเกิดความลําบาก ท้ังสุขเวทนาและอุเบกขา-
๔๒ อนัตตลักขณสูตร เวทนาต้ังอยูไมนาน มีลักษณะท่ีจะตองเปลี่ยนไปดับไปอยูเสมอ ทําให เราตองพยายามอยางหนักท่ีจะรักษาความรูสึกท้ังสองนี้ไวไมใหหาย ไป ความพยายามดังกลาวเปนทุกขท่ีเกิดจากเวทนา ถาปราศจากเวทนา เราก็จะไมมีความสุขหรือความทุกข ไม วาทางกายหรือทางใจ เชนเดียวกับตนซุง เสา กอนหิน หรือกอนดิน ที่ไมมีความทุกขแมแตนอยไมวาจะถูกสับ ตี บด เผา เพราะไมรูสึก อะไร แตกระแสรูปนามที่ประกอบดวยเวทนา จะตองไดรับความทุกข ตางๆ อยูตลอดเวลา เวทนาไมเปนไปตามบังคับบัญชา เราไมสามารถจัดแจงใหสิ่งตางๆ เปนไปตามความตองการ ของเราเพ่ือใหเราเห็นและไดยินแตส่ิงท่ีนาพอใจ หรือไดกล่ินและ ไดลิ้มรสที่หอมและอรอยอยูเสมอ ถึงแมวาจะพยายามเลือกสรรส่ิง ท่ีนาดู นาดม และนากิน แตส่ิงเหลาน้ีก็ไมคงทน เราช่ืนชมไดไมนาน ก็สิ้นไปสลายไป ไมสามารถควบคุมใหเปนไปตามความตองการ และ บํารุงรักษาใหคงอยูในสภาพท่ีนาพอใจไดตลอดไป เมื่อรูปที่สวยงามเปนตนดับไป ก็จะเกิดรูปท่ีไมสวยงามขึ้นมา แทนท่ี ทําใหเราไมชอบใจ สวนเสียงที่ไมไพเราะจะบีบคั้นย่ิงกวารูป ที่ไมสวยงาม กล่ินที่ไมดีก็ทําใหเราเปนทุกขมากกวาเสียงท่ีไมไพเราะ
อนัตตลกั ขณสูตร ๔๓ และรสที่ไมนาพึงพอใจก็ยิ่งรายกวากล่ินท่ีไมดี ย่ิงไปกวาน้ัน สารพิษ บางอยางถากลืนเขาไปก็อาจทําใหตายได ที่รายที่สุดก็คือสัมผัส ที่ไมนาปรารถนา เม่ือถูกหนามตํา หกลม หรือถูกอาวุธ ถูกไฟลวก เปนโรค ยอมทําใหเราเจ็บปวดมากจนบางคร้ังตองรองครวญคราง และอาจทําใหเสียชีวิตได นี้เปนตัวอยางของทุกขเวทนาที่เราไม สามารถบังคับบัญชาได ท่ีกลาวมาขางตนน้ีเปนเวทนาท่ีประสบในโลกมนุษย สวน เวทนาในอบายภูมิท้ัง ๔ น้ันย่ิงเปนทุกขมากมายกวาในโลกมนุษย สัตวตางๆ เชน วัว ควาย เปด ไก สุกร เปนตน ตองประสบความ ทุกขอยูตลอดเวลาโดยไมมีผูใดจะชวยขจัดความทุกขเหลาน้ันให เบาบางลง พวกเปรตก็ยิ่งตองรับความทุกขมากกวาสัตวเดรัจฉาน และสัตวในนรกก็ยิ่งทนทุกขมากที่สุด เราไมควรที่จะคิดลําพองใจ วาเราไมมีวันจะตกไปอยูในอบายภูมิท้ัง ๔ เพราะตราบใดท่ีเรายัง ไมไดบรรลุเปนพระอริยบุคคลแลว ตราบน้ันก็ยังวางใจไมไดวาจะ พนจากการตกไปสูอบายภูมิไดอยางเด็ดขาด ดังนั้น เวทนาจึงยัง บีบค้ันสัตวโลกอยูทั้งหมด และเนื่องจากเราไมสามารถบังคับบัญชา เวทนา เชน ความทุกขใจที่เกิดขึ้นไดโดยท่ีเราไมตองการ จึงเปนขอ พิสูจนวา เวทนาไมอยูในการควบคุมบังคับบัญชาของ ดังน้ันเวทนา จึงไมใชอัตตาตัวตนของเรา
๔๔ อนัตตลกั ขณสูตร ในพระสูตรนี้ไดกลาววา เวทนาท่ีปรากฏในรางกายเราน้ัน มักจะทําใหเปนทุกขและไมเปนไปตามความตองการของเรา แตถึง กระนั้นก็ตาม ปุถุชนทั่วไปก็ยังยึดมั่นในตัวตนอยางน้ีวา “ฉันเปน ทุกขหลังจากไดรับความสุข, หลังจากตองทนทุกขอยูนาน ฉันก็พบ ความสุขเมื่อทุกส่ิงทุกอยางเปนไปตามความตองการของฉัน” ความ ยึดม่ันเวทนาวาเปนอัตตาตัวตนเปนสิ่งท่ียากจะกําจัดใหหมดไปได ความเห็นผิดวาเวทนาเปนอัตตาตัวตนน้ีจะถูกกําจัดไปไดตอเมื่อ ผูปฏิบัติไดเห็นลักษณะของเวทนาตามความเปนจริงจากประสบ- การณของตนเองเทานั้น การรูเห็นลักษณะของเวทนาน้ีจะเกิด ข้ึนไดดวยการกําหนดรูเวทนาตามหลักของสติปฏฐาน หรือทาง สายกลางที่พระพุทธองคตรัสเทศนาไว วิธีการละความยึดมั่นใน อัตตาดวยการกําหนดรูเวทนา มีแนวทางดังตอไปน้ี หลังจากผูปฏิบัติที่ต้ังสติกําหนดรูสภาวะพองยุบและ สภาวะน่ังเปนตนไดระยะหน่ึง ก็จะสังเกตเห็นความรูสึกเจ็บปวด เม่ือย รอน เปนตน ที่เกิดขึ้นในรางกายของตน ผูปฏิบัติจะตองใสใจ กับความรูสึกเหลานี้ และบริกรรมในใจวา “ปวดหนอ ปวดหนอ” “เมื่อยหนอ เม่ือยหนอ” หรือ “รอนหนอ รอนหนอ” ในขณะท่ี ความรูสึกนั้นปรากฏชัด ในระยะเริ่มตนเม่ือสมาธิยังไมมีกําลังมาก นัก ความรูสึกไมสบายเหลานี้จะเพิ่มความรุนแรงข้ึนเรื่อยๆ ผูปฏิบัติ
อนัตตลกั ขณสตู ร ๔๕ พึงอดทนตอความเจ็บปวดไมสบายเหลานี้ใหนานท่ีสุดเทาที่จะทนได และกําหนดรูความรูสึกเหลานี้ในขณะท่ีปรากฏ ตอมาเมื่อสมาธิแก กลาขึ้น ความเจ็บปวดจะคอยๆ ลดนอยลงและเริ่มจางหายไป เม่ือ สมาธิมีความแกกลามากข้ึนอีก ความเจ็บปวดก็จะหายไปราวกับ ปลิดทิ้งในขณะที่กําหนดรูอยูน้ันเอง หลังจากน้ันเวทนาก็อาจไมกลับ มารบกวนผูปฏิบัติอีก ตัวอยางในเรื่องนี้มีมากมาย เชน ทานพระมหากัสสปะและ พระเถระอื่นๆ เม่ือสดับโพชฌังคสูตรแลวไดหายจากโรคตางๆ ที่กําลัง เปนอยู แตสําหรับผูปฏิบัติที่สมาธิยังไมแกกลานั้น จะพบวาความ รูสึกเจ็บปวดอาจหายจากท่ีแหงหนึ่งแตยายไปปรากฏอยู ณ ท่ีอีก แหงหน่ึง แตเมื่อต้ังสติกําหนดรูเวทนาท่ีเกิดข้ึนใหมอีก เวทนานั้นก็ จะหายไป แตกลับมีเวทนาอยางใหมเกิดขึ้นในสถานท่ีอ่ืนอีก เมื่อได กําหนดรูทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นและดับไปอยูเรื่อยๆ เชนนี้เปนระยะ เวลาพอสมควร ผูปฏิบัติก็จะเกิดความรูเห็นดวยประสบการณจริง ของตนเองวา “เวทนาเปนสภาพบีบคั้น ไมอยูในอํานาจบังคับบัญชา ใหเปนไปตามความตองการได ทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนาจึงไมใช อัตตาตัวตนของเรา” นี้เปนปญญาที่เกิดขึ้นเมื่อหย่ังเห็นความเปน อนัตตา
๔๖ อนตั ตลักขณสูตร ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูการดับไปของเวทนาจะจําไดถึงความ บีบค้ันท่ีเพ่ิงดับไป และรูเห็นดวยวาการดับไปมิไดเปนไปตาม อํานาจบังคับบัญชาของเขา แตเปนผลของสมาธิท่ีมีกําลังแกกลา มากข้ึน เวทนาจึงไมอยูในบังคับบัญชาของผูใด ผูปฏิบัติจึงรูชัดวา ท้ังสุขเวทนาและทุกขเวทนาลวนเปนไปตามธรรมชาติของมันเอง เกิดข้ึนตามเหตุปจจัย ไมเปนอัตตาตัวตนแตเปนอนัตตา นอกจากนี้ การเกิดดับอยางไมจบส้ินของเวทนาในขณะท่ีกําหนดรูอยูน้ันก็ยัง แสดงใหเห็นวาเวทนาไมใชอัตตาตัวตน เมื่อผูปฏิบัติบรรลุวิปสสนาญาณขั้นอุทยัพพยญาณ คือ ปญญาท่ีรูเห็นความเกิดขึ้นและดับไปของรูปนาม ก็จะสังเกตเห็นวา สามารถกําหนดรูไดอยางสะดวกสบายและงายขึ้น ทุกขเวทนาหายไป มีสุขเวทนาปรากฏแทนที่ แตความสุขก็ดํารงอยูไดไมตลอดแมจะ ตองการใหคงอยูตอไปนานๆ ก็ตาม เพราะเมื่อสมาธิหยอนกําลังลง สุขเวทนาก็ดับไปและอาจไมเกิดขึ้นอีกไมวาเขาจะอยากใหมันคงอยู มากเทาไร จึงเห็นไดวา เวทนาเปนไปตามเหตุปจจัย ไมขึ้นอยูกับ อํานาจบังคับบัญชาของผูใด เวทนาจึงไมใชอัตตาตัวตนท่ีแทจริง ขอ น้ีเปนการเห็นแจงอนัตตลักษณะของเวทนาที่เกิดจากประสบการณ จริงของผูปฏิบัติ
อนตั ตลักขณสตู ร ๔๗ ยิ่งไปกวาน้ัน ผูปฏิบัติยังไดเห็นอนัตตลักษณะของเวทนา อยางชัดเจนในทุกครั้งที่กําหนดรูการดับของเวทนา ในระยะแรก ของการปฏิบัติ ผูปฏิบัติตองไดรับทุกขเวทนาทางกาย เชน เม่ือย ปวด คัน รอน เปนตน บางครั้งก็ไดรับทุกขทางใจเพราะความผิดหวัง หดหูทอถอย กลัว หรือขยะแขยง ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูทุกขเวทนา เหลานั้นดวย และจะรูเห็นวาในขณะที่ทุกขเวทนาปรากฏอยูนั้น สุขเวทนายอมไมเกิดขึ้น บางคร้ังสุขเวทนาที่ดีย่ิงท้ังทางกายและทางใจไดเกิดข้ึนกับ ผูปฏิบัติในขณะปฏิบัติ เชนเมื่อระลึกถึงเหตุการณหรือความรูสึกท่ี ดีๆ ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูสุขเวทนาเหลาน้ันเชนกัน และก็จะรูเห็นวา ในขณะท่ีสุขเวทนาปรากฏอยูน้ัน ทุกขเวทนาก็ไมเกิดขึ้น แตวาโดยรวมแลว อารมณกรรมฐานท่ีผูปฏิบัติกําหนด สวนใหญก็คือการเกิดข้ึนและดับไปของรูปนาม เชน สภาวะพอง และยุบของทองซ่ึงไมเกี่ยวกับความรูสึกสุขหรือทุกข ผูปฏิบัติพึง กําหนดรูอุเบกขาเวทนาที่ปรากฏในขณะนั้น และยอมรูวาเม่ือความ
๔๘ อนตั ตลกั ขณสูตร รูสึกวางเฉยเกิดขึ้น ความรูสึกสุขหรือทุกขก็ไมปรากฏขึ้น ดวย ประสบการณเชนนี้จึงรูชัดวา เวทนาเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งแลว ก็ดับไป เปนส่ิงที่ไมยั่งยืน จึงไมพึงถือวาเปนอัตตาตัวตน ลําดับตอไปจะยกตัวอยางเรื่องทีฆนขสูตร เพ่ือแสดงให เห็นข้ันตอนของการบรรลุธรรม โดยจะขอเลายอนไปถึงเรื่องท่ีทาน พระสารีบุตรไดดวงตาเห็นธรรม การแสวงหาธรรมและการไดธรรมจักษุของทาน พระสารีบุตร ชายหนุมสองคน คือ อุปติสสะและโกลิตะ ซ่ึงตอมาก็คือ ทานพระสารีบุตรและทานพระโมคคัลลานะนั้นเอง ไดออกบวชอยู ในสํานักของสัญชัยปริพาชกเพื่อแสวงหาหนทางหลุดพนจากความ แก ความเจ็บ และความตาย ทั้งสองทานเรียนรูลัทธิของสัญชัย ปริพาชกไดท้ังหมดภายในเวลาไมก่ีวัน และไมเห็นสาระในคําสอน เหลานั้นจึงชวนกันออกจากสํานักแลวทองเที่ยวไปในมัชฌิมประเทศ เพ่ือแสวงหาโมกษะตอไป เมื่อไมพบโมกษะที่แสวงหา จึงกลับมายังกรุงราชคฤหอีก วันหนึ่งอุปติสสมาณพบังเอิญไดพบทานพระอัสสชิซ่ึงเปนหนึ่งใน ภิกษุปญจวัคคียในขณะที่ทานเดินบิณฑบาตอยูในกรุงราชคฤห มี
อนตั ตลักขณสูตร ๔๙ ความเล่ือมใสในอิริยาบถของทาน จึงเดินตามหลังทานพระอัสสชิ เม่ือพระเถระไดบิณฑบาตแลวมองหาท่ีสําหรับฉันอาหาร อุปติสส- มาณพไดปูลาดอาสนะ และถวายนํ้าดื่มจากขวดนํ้าของตน เม่ือ พระเถระฉันเสร็จแลวจึงไดถามถึงศาสดาและคําสอน พระเถระ ตอบวาพระสัมมาสัมพุทธเจาเปนศาสดาของทาน สําหรับคําสอน ของพระศาสดาน้ัน ทานเพ่ิงบวชเขามาไมนานจึงไมอาจแสดงธรรมได อยางกวางขวาง อุปติสสปริพาชกกลาววา “ขอไดโปรดบอกขาพเจา เทาท่ีทานทราบเถิด” ทานพระอัสสชิเถระจึงไดกลาวแกอุปติสสะถึงคําสอนของ พระศาสดาอยางส้ันๆ วา เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํุ ตถาคโต อาห เตสฺจ โย นิโรโธ เอวํวาที มหาสมโณ. “ธรรมเหลาใด (ทุกขสัจ) เกิดแตเหตุ (สมุทยสัจ) พระตถาคต ตรัสเหตุของธรรมเหลาน้ัน และความดับของธรรมเหลานั้น (นิโรธ- สัจ) พระมหาสมณะตรัสอยางน้ี”
๕๐ อนัตตลกั ขณสูตร แมวาคําสอนของพระพุทธองคท่ีทานพระอัสสชิไดกลาว แกอุปติสสะน้ัน มีขอความเพียงยอๆ แตก็เพียงพอท่ีทําใหอุปติสส- ปริพาชกไดธรรมจักษุบรรลุโสดาปตติผล สําเร็จเปนพระโสดาบัน บุคคล การบรรลุธรรมอยางรวดเร็วของอุปติสสะปริพาชกน้ันอาจ เกิดจากการสั่งสมปญญามามากในอดีตชาติ จนกระทั่งมีปญญา เทียบเทาพระโสดาบัน แตเน่ืองจากทานไดต้ังความปรารถนาเปน พระอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจาในอนาคต จึงมิไดบรรลุ อริยมรรคขั้นใด จนในชาติสุดทายนี้ซ่ึงความปรารถนาน้ันจะสัมฤทธ์ิ ผล เม่ือทานไดสดับธรรมเพียงยอๆ แตมีเนื้อความแจมแจง จึง สามารถบรรลุวิปสสนาญาณข้ันตางๆ จนสําเร็จเปนพระโสดาบัน กอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจาจะทรงประกาศพระศาสนาน้ัน คนท่ัวไปเช่ือกันวา “คนแตละคนมีจิตวิญญาณหรืออัตตาตัวตน ซึ่งเปนแกนสารท่ีเที่ยงแทถาวรประจําอยูภายใน จิตวิญญาณหรือ อัตตาตัวตนน้ีไมใชเกิดข้ึนชั่วขณะแลวดับไปตามเหตุปจจัย หาก จะดํารงคงอยูอยางถาวร” แตคําสอนของพระพุทธองคที่ทานพระ อัสสชิแสดงแกอุปติสสะนั้นกลาววาไมมีสิ่งที่เรียกวาอัตตาตัวตนท่ี
อนตั ตลกั ขณสูตร ๕๑ เที่ยงแทถาวร ความจริงเปนเพียงทุกขสัจ ซึ่งไดแกรูปนามที่เปนผล สืบเนื่องมาจากตัณหา ความทะยานอยาก ซ่ึงเรียกอีกอยางหนึ่งวา สมุทยสัจ (เหตุใหเกิดทุกข) ผลที่เกิดจากสมุทยสัจน้ันก็ไมใชอะไรอื่น นอกจากรูปนามที่ประกอบกันข้ึนเปนคนในขณะท่ีทําการเห็น ไดยิน เปนตนน่ันเอง อุปติสสะปริพาชกเม่ือไดฟงแลวก็รูไดทันทีวา “มีเพียงสภาว- ธรรมรูปกับนามท่ีเกิดดับอยูตลอดเวลาในขณะเห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ินรส สัมผัส และคิดนึก สภาวธรรมเหลาน้ีเร่ิมปรากฏมีข้ึนต้ังแต เกิด โดยเปนผลของตัณหาความทะยานอยาก และอุปาทานความ ยึดมั่นถือมั่นในชีวิตและภพของตน” ท้ังนี้ควรเขาใจวา อุปติสสะ- ปริพาชกไดเจริญวิปสสนาดวยการกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามท่ี แปรเปล่ียน เกิดดับไป แมในขณะที่สดับคําสอนของพระอัสสชิอยู น้ันเอง แลวบรรลุวิปสสนาญาณขั้นตางๆ ตามลําดับจนสําเร็จเปน พระโสดาบันภายในเวลาเพียงพริบตาเดียว เม่ืออุปติสสะบรรลุธรรมแลว ไดถามพระเถระวา “ขาแต ทานผูเจริญ เวลานี้พระบรมศาสดาประทับอยูท่ีใดขอรับ” เม่ือได ทราบวาพระองคประทับอยูที่วัดเวฬุวัน ก็นิมนตใหพระเถระไป เขาเฝาพระพุทธเจากอน ตนเองจะกลับไปหาสหายและจะพากันไป เฝาพระบรมศาสดาในภายหลัง แลวรีบกลับไปหาโกลิตะ เม่ือโกลิตะ
๕๒ อนตั ตลักขณสูตร เห็นอุปติสสะเดินมาแตไกลดวยใบหนาที่ผองใสจึงถามวา “สหาย ทา นไดพ บอมตธรรมแลว หรอื ไร” อปุ ตสิ สะกไ็ ดเ ลา เหตกุ ารณท เี่ กดิ ข้นึ พรอมทั้งกลาวคาถาที่ทานพระอัสสชิไดแสดงหัวขอธรรมแกโกลิตะ โกลิตะก็ไดดวงตาเห็นธรรมบรรลุเปนพระโสดาบันเชนเดียวกัน สองสหายตกลงกันวาจะไปเฝาพระบรมศาสดา แตกอนจะ ไปไดเขาไปหาอาจารยสัญชัยปริพาชกและชักชวนใหรวมเดินทางไป เฝาพระผูมีพระภาคดวยกัน แตสัญชัยปริพาชกเปนผูมีมานะแรงกลา ถือตนวาเปนเจาสํานักใหญมีคนเคารพนับถือมากมาย ไมสามารถ ลดตัวลงไปเปนศิษยใครไดจึงไมยอมไปดวย จึงกลาววา “ทานจะไป ก็ไปเถิด เราไมตองการจะไป ตัวเรานี้เปรียบเหมือนถังนํ้าใหญ ไม สามารถลดตัวลงไปเปนหมอตักน้ําเล็กๆ ได” สองสหายไดเตือน อาจารยสัญชัยปริพาชกวา “พระผูมีพระภาคเปนพระพุทธเจาท่ี แทจริง คนท้ังหลายจะตองขอไปเปนศิษย” แตสัญชัยปริพาชกตอบ วา “ไมตองหวงในเรื่องนั้น ในโลกน้ีมีคนโงมากกวาคนฉลาด ให คนฉลาดไปหาพระสมณโคดม สวนคนโงท่ีมีอยูมากกวาก็มาหาเรา เชิญพวกทานไปกันตามสบายเถิด” หลังจากน้ัน อุปติสสะและโกลิตะก็ไดพาเอาบริวารของตน จํานวนสองรอยหาสิบคนไปเฝาพระผูมีพระภาค เมื่อไดฟงพระธรรม เทศนาแลวบริวารท้ังหมดไดบรรลุอรหัตตผล เวนอุปติสสะและ
อนัตตลกั ขณสตู ร ๕๓ โกลิตะผูเปนหัวหนา ตอจากน้ันพระพุทธองคไดประทานอุปสมบท ใหทั้งหมดดวยวิธีเอหิภิกษุอุปสัมปทา ภายหลังจากบวชแลว ทาน อุปติสสะไดมีชื่อวา พระสารีบุตร และทานโกลิตะมีช่ือวา พระ โมคคัลลานะ ต้ังแตน้ันเปนตนมา เม่ือไดอุปสมบทเปนพระภิกษุในพระศาสนาแลว ทานท้ังสอง กไ็ ดบ าํ เพญ็ ภาวนาตอ ไป พระโมคคลั ลานเถระไดบ รรลอุ รหัตตผลหลงั จากอุปสมบทแลวเจ็ดวัน สวนพระสารีบุตรเถระยังคงเจริญวิปสสนา ดวยวิธีอนุปทวิปสสนา (การหยั่งเห็นธรรมตามลําดับสมาบัติและ องคฌาน หมายความวา การเขาฌานตามลําดับสมาบัติ แลวออก จากฌานหนึ่งๆ แลวจึงกําหนดรูองคฌานพรอมดวยผัสสะเปนตนท่ี เกิดรวมกับองคฌาน) จนกระทั่งถึงวันเพ็ญเดือน ๓
๕๔ อนัตตลักขณสตู ร ในวันเพ็ญเดือน ๓ ทีฆนขปริพาชกซ่ึงยังอยูกับอาจารย สัญชัยปริพาชกคิดวา “ทานอุปติสสะซึ่งเปนลุงของเรา เม่ือไปหา อาจารยเจาลัทธิอ่ืนมักจะกลับมาในเวลาไมนาน แตคร้ังนี้ไปเฝา พระสมณโคดมถึงก่ึงเดือนแลวยังไมกลับมา ท้ังไมไดสงขาวมาดวย เราพึงตามไปเพ่ือจะไดรูวาคําสอนของพระสมณโคดมมีแกนสาร หรือไม” แลวจึงไดเดินทางไปหาพระสารีบุตรเพื่อไตถามเกี่ยวกับ คําสอนของพระพุทธองค ทีฆนขสูตร๑๒ ในวันน้ัน พระผูมีพระภาคประทับอยู ณ ถํ้าสุกรขาตาบน เขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห โดยมีพระสารีบุตรถวายงานพัด อยูเบื้องพระปฤษฎางค ปริพาชกชื่อทีฆนขะไดเขาไปเฝาพระผูมี- พระภาคถึงที่ประทับ คร้ันผานการปราศรัยกันพอสมควรแลวได กราบทูลวา “ทานพระโคดม ขาพเจามีความเห็นอยางน้ีวา ส่ิง ท้ังหลายไมควรแกเรา” คําพูดนี้หมายความวาทีฆนขปริพาชกไม ชอบลัทธิใดเลย คือลัทธิของพวกสัสสตทิฏฐิที่เชื่อวาเมื่อภพเกา ดับไปแลวมีภพใหมเกิดขึ้นตอมา หรือลัทธิอุจเฉททิฏฐิของตนเอง ที่เช่ือวาวิญญาณขาดสูญไปหลังจากการตาย เมื่อพูดวาสิ่งทั้งหลาย ไมควรแกเขา จึงเปนการประกาศวาเขาไมชอบลัทธิท้ังสองอยางน้ัน
อนัตตลักขณสตู ร ๕๕ ดังน้ันพระผูมีพระภาคจึงตรัสถามวา “แมความเห็นของทานวา สิ่ง ท้ังปวงไมควรแกเรานั้น ก็ไมควรแกทานดวยหรือ” ทีฆนขปริพาชกทูลตอบอยางแบงรับแบงสูวา “ถาหากวา ความเห็นน้ีสมควรแกขาพเจา ความเห็นนั้นก็พึงเปนเชนเดียวกัน” ธรรมดาของพวกท่ียังยึดมั่นความเห็นผิด เม่ือรูตัววาความเห็นหรือ คําพูดของตนไมถูกตองก็จะพยายามแกตัวไป เพ่ือใหทีฆนขะเปดเผยความเชื่อที่แทจริงของตน พระผูมี- พระภาคจึงตรัสวา “ความเห็นของพวกสัสสตทิฏฐิ ใกลขางกิเลสอัน เปนไปดวยความใคร ใกลขางกิเลสเคร่ืองผูกสัตวไว ใกลขางกิเลส เปนเหตุเพลิดเพลิน ใกลขางกิเลสเปนเหตุกล้ํากลืน ใกลขางกิเลส เปนเหตุยึดมั่น, สวนความเห็นของพวกอุจเฉททิฏฐิ ใกลขางธรรม ไมเปนไปดวยความใคร ใกลขางธรรมไมเปนเคร่ืองผูกสัตวไว ใกล ขางธรรมไมเปนเหตุเพลิดเพลิน ใกลขางธรรมไมเปนเหตุกลํ้ากลืน ใกลขางธรรมไมเปนเหตุยึดมั่น” เมื่อพระผูมีพระภาคตรัสอยางนี้แลว ทีฆนขปริพาชกได กราบทูลพระผูมีพระภาควา “ทานพระโคดมทรงยกยองความเห็น ของขาพเจา ทานพระโคดมยกยองความเห็นของขาพเจา” แทท่ีจริงนั้น พระผูมีพระภาคเพียงแตตรัสอธิบายคุณและ โทษของความเห็นสองชนิด คือ สัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิ
๕๖ อนัตตลักขณสตู ร พวกสัสสตทิฏฐิเกลียดและหลีกเล่ียงการทําบาปอกุศลเพ่ือจะได ไมตองรับผลกรรมในภพตอๆ ไป พวกน้ีจึงขวนขวายทํากุศล แต พวกเขาก็เพลิดเพลินยินดีกับความสุขที่เปนเหตุใหเกิดภพใหม จึง เปนการยากที่จะสละละท้ิงความเช่ือที่เปนสัสสตทิฏฐิ ซ่ึงเช่ือวา “อัตตาตัวตนเปนสิ่งที่เที่ยงแทถาวร ไมมีการสูญสลายไป แตจะคง อยูตลอดกาล” ดังนั้น แมผูที่ประกาศตนวาเปนพุทธศาสนิกชนก็ ยังยากท่ีจะยอมรับวา ไมมีตัวตน ไมมีวิญญาณ มีแตเพียงกระแส รูปนามที่เกิดดับติดตอกันไปไมขาดสายเทาน้ัน สําหรับพระอรหันต ท่ีละความยึดมั่นในอัตตาไดอยางสิ้นเชิงแลว ก็จะไมมีการเกิดขึ้น ของรูปนามอีกหลังจากการปรินิพพาน กระแสของรูปนามก็จะหยุด ลงอยางส้ินเชิง คนเหลานี้ พอใจที่จะเชื่อวาหลังจากปรินิพพานแลว รูปนามของพระอรหันตยังมีการเกิดข้ึนอยูตอไป โดยเปนรูปนาม ชนิดพิเศษ ในเร่ืองนี้ คัมภีรอรรถกถา๑๓กลาววา พวกสัสสตทิฏฐิรูวา มีชาติปจจุบันและชาติหนา และรูวาทําดีไดผลดี ทําชั่วไดผลชั่ว จึงขวนขวายในการทําดี และหลีกเล่ียงการทําชั่ว แตความยินดี ในความสุขก็เปนเหตุใหเกิดภพใหม และแมวาพวกเขาไดเขาใกล
อนัตตลักขณสตู ร ๕๗ พระผูมีพระภาคและพระอรหันตสาวกก็ยังยากที่จะสละทิ้งความเช่ือ น้ีไดในทันที ดังน้ันจึงกลาวไดวา ความเชื่อของพวกสัสสตทิฏฐินั้น แมวาจะมีขอเสียไมมากนัก แตก็เปนความเช่ือท่ีละทิ้งไดยาก สําหรับพวกอุจเฉททิฏฐินั้นตรงกันขาม พวกเขาไมรูวามี ชาติกอนและชาติหนา ไมรูวาทําดีไดผลดี ทําชั่วไดผลช่ัว จึงไม ขวนขวายในการทําดี และไมมีความกลัวที่จะทําช่ัว ทั้งไมมีความ เพลิดเพลินพอใจในความสุขที่ทําใหเกิดภพใหม (เพราะไมเช่ือวามี ชาติหนา) แตเมื่อพวกเขาไดเขาใกลพระผูมีพระภาค และพระอรหันต ก็สามารถละทิ้งความเชื่อของตนทันที ดังนั้นจึงกลาวไดวาความเช่ือ ของพวกอุจเฉททิฏฐิน้ัน แมมีโทษมากแตก็ละท้ิงไดโดยงาย ทีฆนขปริพาชกไมทราบเหตุผลท่ีพระบรมศาสดาไดตรัส พระดํารัสน้ัน เขาใจวาพระองคทรงยกยองลัทธิของตนที่กลาววา เมื่อตายแลวไมมีการเกิดในภพใหมตอไปอีก เขาจึงกลาววา “ทาน พระโคดมทรงยกยองความเห็นของขาพเจา ทานพระโคดมทรง ยกยองความเห็นของขาพเจา” พระพุทธองคประสงคใหเขาละท้ิง ความเห็นนั้นจึงไดตรัสวิจารณเปรียบเทียบลัทธิ ๓ อยาง ที่มีอยู ในสมัยน้ัน คือ สัสสตทิฏฐิที่กลาววา “สิ่งท้ังหลายควรแกเรา” อุจเฉททิฏฐิท่ีกลาววา “ส่ิงทั้งหลายไมควรแกเรา” และสัสสตทิฏฐิ อีกพวกหน่ึงที่กลาววา “บางส่ิงควรแกเรา บางสิ่งไมควรแกเรา”
๕๘ อนตั ตลกั ขณสตู ร กลาวโดยสรุปคือ ผูท่ียึดม่ันในลัทธิใดลัทธิหน่ึงก็ยอมเห็น วาความเชื่อของตนเทาน้ันถูก ความเช่ือนอกนั้นผิด เม่ือเปนดังน้ีก็ จะเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น เมื่อเกิดการทะเลาะวิวาทกันก็ยอม มีการเบียดเบียนทํารายกัน ดังน้ัน พระผูมีพระภาคจึงทรงสอนให ละความเห็นผิดทั้งสามน้ันเสีย อาจมีคําถามเกิดขึ้นวา ความเชื่อของชาวพุทธที่วา มีการ เกิดใหมในภพใหมเพราะมีกรรมของแตละคนเปนปจจัยปรุงแตงน้ัน เหมือนกับความเชื่อของฝายสัสสตทิฏฐิหรือไม ตอบไดวา ไมเหมือน เพราะการเกิดใหมมีข้ึนเพราะมีกรรมของแตละคนเปนปจจัยนั้น ไมไดหมายถึงการยายท่ีอยูของอัตตาจากรางหน่ึงไปอยูอีกรางหน่ึง หากแตหมายความถึงการเกิดขึ้นของรูปและนามท่ีเปนผลมาจาก กรรมที่ผูน้ันไดกระทํามาในอดีต แตความเช่ือของฝายสัสสตทิฏฐินั้น เห็นวา มีอัตตาตัวตนที่เท่ียงแทถาวรท่ีอยูในชาติน้ี ซ่ึงเม่ือตายไป อัตตาตัวตนนี้ก็ยายไปอยูในภพใหม ดังนั้น ความเชื่อของชาวพุทธ กับความเชื่อของฝายสัสสตทิฏฐิจึงตางกันอยางสิ้นเชิง คําถามยังอาจเกิดข้ึนอีกวา คําสอนในพระพุทธศาสนาวา รูปและนามดับสิ้นไปหลังจากการปรินิพพานของพระอรหันตโดย ไมมีการเกิดในภพใหมอีกน้ัน เปนอยางเดียวกันกับความเช่ือของ ฝายอุจเฉททิฏฐิซึ่งเชื่อวาเมื่อตายไปแลวอัตตาก็ดับสูญไปไมมีอะไร
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๕๙ เหลือหรือไม ในเร่ืองน้ีมีความตางกันระหวางความเชื่อทั้งสองอยาง สิ้นเชิง ทั้งนี้ก็เพราะฝายอุจเฉททิฏฐิเช่ือวากอนที่จะตายน้ัน แตละ บุคคลมีอัตตาตัวตนปกครองอยู เมื่อตายไป อัตตานี้ก็แตกทําลาย ขาดสูญไปเองโดยไมตองพยายามทําอะไรเปนพิเศษเพื่อใหอัตตา หายไป นอกจากน้ี ยังมีพวกวัตถุนิยมซึ่งเช่ือวารางกายนี้ไมมีอัตตา ตัวตนปกครองอยู และเม่ือตายไปทุกส่ิงก็สลายไปหมดก็ไมมีอะไร เหลืออยู ความรูสึกสุขและทุกขก็ไดเสวยในขณะท่ีมีชีวิตอยูเทานั้น แตการยึดม่ันวามีความพอใจและไมพอใจในขณะที่มีชีวิตอยูน้ีก็ยัง จัดวาเปนความยึดม่ันอัตตาอยูนั่นเอง พระพุทธองคทรงสอนวาไมมี ส่ิงที่เรียกวาอัตตาตัวตน กอนที่พระอรหันตจะปรินิพพาน มีเพียง กระแสการเกิดขึ้นและดับไปติดตอกันของรูปและนามเทานั้น ความ รูสึกสุขและทุกขก็เปนสภาพของจิตท่ีเรียกวาเวทนาท่ีมีการเกิดดับ อยูตลอดเวลาเชนเดียวกัน หลังจากพระอรหันตปรินิพพาน กระแสรูป และนามก็ดับลง แตการดับนี้ไมไดมีข้ึนไดเอง แตเปนเพราะอริยมรรคไดทําลายกิเลสและกรรม ที่เปนตนเหตุใหเกิดรูปนาม ดังน้ัน เม่ือตนเหตุ คือกิเลสและกรรมไดถูกกําจัดไปแลว ก็ไมมีการ
๖๐ อนัตตลกั ขณสูตร เกิดข้ึนใหมของรูปนาม จึงเห็นไดวา การดับหลังจาก ปรินิพพานกับการดับแบบท่ีเชื่อกันในฝายวัตถุนิยม น้ันตางกันอยางสิ้นเชิง นอกจากน้ี ยังอาจมีคําถามเพิ่มเติมวา ความ เห็นตางที่โตเถียงกันระหวางพวกท่ีเชื่อวาไมมีอัตตา กับพวกท่ีเช่ือวามีอัตตาน้ันเปนไปทํานองเดียวกันกับ ที่พวกสัสสตทิฏฐิวิวาทโตเถียงกับพวกอุจเฉททิฏฐิ หรือไม ขอนี้ตอบไดวา การสอนหรือเทศนาเกี่ยวกับ สัมมาทิฏฐินี้ไมถือวาเปนการโตเถียง แตควรถือวา เปนการเปดเผยความจริงเพ่ือประโยชน และความ สุขของคนหมูมาก และความจริงนี้ก็คือ มีแตสภาว- ธรรมรูปนามที่เปล่ียนแปลงเกิดดับอยูตลอดเวลา กลาวคือรูปนามเกาดับไปมีรูปนามใหมเกิดขึ้นมา แทนท่ี ไมมีส่ิงที่เรียกวาอัตตาตัวตนที่คงทนอยู ตลอดไป ความจริงน้ีเรียกวา กฎของอนัตตา หรือ
อนตั ตลกั ขณสตู ร ๖๑ เรียกอีกอยางหน่ึงวาเปนสัมมาทิฏฐิ การอธิบายความจริงท่ีเปน สัมมาทิฏฐิไมถือวาเปนการโตเถียงหรือโจมตีความเชื่ออื่น หากแต เปนการชวยใหผูท่ีไมรูความจริงไดเขาใจอยางถูกตอง ดังนั้น สําหรับ ผูท่ีมีสัมมาทิฏฐิเกี่ยวกับอนัตตาอยูแลว ยอมไมเขาไปเก่ียวของกับ การวิวาทโตเถียงในเร่ืองนี้ หลังจากท่ีไดทรงเตือนใหละความเห็นผิด ๓ อยาง คือ สัสสตทิฏฐิ อุจเฉททิฏฐิ และสัสสตทิฏฐิอยางออน พระผูมีพระภาค ทรงแนะนําใหละความยึดมั่นในรางกายดวยพระดํารัสวา “ทีฆนขะ กายนี้เปนท่ีประชุมมหาภูตรูปทั้งสี่ เกิดขึ้นจาก เลือดของมารดาและน้ําเช้ือของบิดา เจริญดวยอาหาร เชนขาวสุก และขนมเปนตน ไมมีความคงทน ตองบํารุงดวยการนวดเฟนและ ขัดสีกันเปนนิจ มีความแตกกระจัดกระจายเปนธรรมดา ทานควร พิจารณากายน้ีโดยความเปนของไมเท่ียง เปนทุกข เปนโรค เปนดัง หัวฝ เปนดังหนาม เปนความลําบาก เปนความเจ็บไข เปนดังผูอื่น เปนของทรุดโทรม เปนของวางเปลา เปนของมิใชตน เม่ือทาน พิจารณาเห็นกายน้ี โดยความเปนของไมเท่ียง เปนทุกข เปนโรค เปน ดังหัวฝ เปนดังหนาม เปนความลําบาก เปนความเจ็บไข เปนดังผูอื่น เปนของทรุดโทรม เปนของวางเปลา เปนของมิใชตนอยู ทานยอมละ ความพอใจในกาย ความเย่ือใยในกาย ความยึดมั่นในกายได”
๖๒ อนัตตลกั ขณสตู ร เม่ือไดตรัสกรรมฐานที่เกี่ยวกับรูปแลว พระผูมีพระภาคจึง ไดตรัสเทศนาถึงกรรมฐานที่เกี่ยวกับนามตอไป ดังน้ี “ทีฆนขะ เวทนามีสามอยางน้ี คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา และอทุกขมสุขเวทนา สมัยใดบุคคลไดเสวยเวทนาอยางใดอยางหน่ึง สมัยน้ันก็ไมไดเสวยเวทนาอีกสองอยางท่ีเหลือ เพราะเวทนาเกิดข้ึน ทีละอยางเทานั้น มีสภาพไมเท่ียงถูกปจจัยปรุงแตงขึ้น [สังขตะ] อาศัยปจจัยเกิดข้ึน [ปฏิจจสมุปปาท] มีความสิ้นไป [ขยธรรม] เส่ือม ไป [วยธรรม] คลายไป [วิราคธรรม] ดับไปเปนธรรมดา [นิโรธธรรม]” พระพุทธองคทรงแสดงลักษณะของเวทนาดวยศัพทเหลานี้ โดยมุงใหเปนแนวทางสําหรับการพิจารณา เมื่อผูปฏิบัติพิจารณารู เห็นเวทนาโดยลักษณะเหลาน้ีอยูเนืองๆ ก็จะเห็นประจักษความเกิด ข้ึนใหมๆ ตามเหตุปจจัย รวมไปถึงความดับไปของเวทนาท่ีกําหนดรู อยูนั้นได ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามดวยการกําหนดสภาวะ พองยุบของทองเปนเบ้ืองแรก ตอมาเม่ือรูสึกปวดก็กําหนดเวทนา น้ันวา “ปวดหนอ” “ปวดหนอ” เม่ือรูสึกเสียใจก็กําหนดวา “เสียใจ หนอ” “เสียใจหนอ” เม่ือรูสึกดีใจก็กําหนดความรูสึกนั้นวา “ดีใจ หนอ” “ดีใจหนอ” ถาไมมีความรูสึกที่ชัดเจน คือไมมีความดีใจหรือ เสียใจ ก็พึงต้ังสติกําหนดรูท่ีสภาวะทางกายหรือจิตท่ีปรากฏชัดเจน
อนตั ตลกั ขณสูตร ๖๓ ในขณะที่ผูปฏิบัติกําหนดรูเวทนาอยูอยางระมัดระวัง ก็จะ เห็นไดวาสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาน้ันเกิดข้ึนและดับไปติดตอกัน อยางรวดเร็ว จนปรากฏเหมือนหนึ่งหยาดน้ําฝนท่ีตกตองกายของ ผูที่เดินอยูทามกลางสายฝนแลวสลายไป เวทนาน้ันคลายกับตกลง มาจากภายนอกกาย เหมือนหยาดน้ําฝนท่ีตกจากภายนอกลงมาถูก กายของตน เม่ือรูเห็นสภาวะนี้อยางชัดเจน ผูปฏิบัติก็เกิดความรูวา เวทนามีสภาพไมเที่ยง เปนทุกขเพราะถูกเบียดเบียนดวยความเกิด ดับอยูเปนนิจ ไมใชตัวตนเพราะไมมีแกนสาร พระผูมีพระภาคจึง ตรัสวา เมื่อเกิดความรูอยางนี้ ผูปฏิบัติก็เบ่ือหนายคลายกําหนัดใน เวทนาท้ังปวง การบรรลุนิพพิทาญาณดวยการกําหนดรูเวทนา “ทีฆนขะ เมื่อผูปฏิบัติรูแจงความไมเท่ียงในเวทนาท้ัง ๓ อยางแลว ยอมเบ่ือหนายทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา และอุเบกขา- เวทนา” การเจริญวิปสสนาดวยการกําหนดรูเวทนามีจุดมุงหมายเพื่อ บรรลุนิพพิทาญาณ คือ ปญญาเบ่ือหนายรูปนาม เม่ือผูปฏิบัติรูเห็น ความเกิดและความดับอยูตลอดเวลาก็จะประจักษชัดถึงความไม ย่ังยืนของเวทนาท้ังหลาย และเม่ือเห็นประจักษความไมยั่งยืนจาก ประสบการณของตนเองก็จะเกิดความเบ่ือหนาย
๖๔ อนตั ตลักขณสตู ร มีขอสังเกตวา ในทีฆนขสูตรนี้ไมไดตรัสสอนใหพิจารณารูป โดยแยกเปนสวนยอยๆ แตพึงพิจารณารูปขันธท้ังหมด นักปฏิบัติพึง ระมัดระวังในขอนี้ จากขอความที่ยกมาขางตน เห็นไดชัดวาผูปฏิบัติ สามารถพัฒนาปญญาท่ีเกิดความเบื่อหนายไดโดยไมจําเปนจะตอง พิจารณารูป ๒๘ อยางตามท่ีจําแนกไวในตําราอภิธรรมแตอยางใด ย่ิงไปกวานั้น ในการพิจารณากําหนดรูนาม ไดตรัสไวเฉพาะ เวทนา ๓ อยางเทาน้ัน มิไดทรงสอนใหกําหนดรูถึงจิตหรือเจตสิกอ่ืนๆ แตอยางใด จึงสรุปไดวาการกําหนดรูเพียงเวทนา ๓ อยางในขณะท่ี ปรากฏก็สามารถยังปญญาท่ีเบ่ือหนายใหเกิดข้ึนไดแลว และพึงจํา ไววาจะตองกําหนดพิจารณาเวทนาทั้ง ๓ อยางแลวแตวาอยางไหน ปรากฏชัดในแตละขณะ มิใชใหกําหนดเพียงทุกขเวทนาเทาน้ัน บรรลุมรรคผลดวยนิพพิทาญาณ ตอจากนั้น พระผูมีพระภาคไดตรัสถึงการบรรลุมรรคญาณ ผลญาณ และปจจเวกขณญาณ หลังจากพิจารณาเวทนาจนเกิดความ เบ่ือหนายคลายกําหนัด กลาวคือ เม่ือผูปฏิบัติเบ่ือหนายยอมคลาย กําหนัด มรรคญาณก็พัฒนาขึ้น เพราะความเบ่ือหนายคลายกําหนัด หรือเพราะปญญาในอริยมรรคไดทําลายตัณหาความทะยานอยาก
อนตั ตลักขณสูตร ๖๕ ใหหมดไป ผูปฏิบัติก็หลุดพน หรือกลาวอีกอยางหนึ่ง อรหัตตผลเกิด ขึ้นเม่ือผูปฏิบัติหลุดพนจากตัณหา หลังจากนั้นปจจเวกขณญาณก็ เกิดขึ้นวา “ชาติสิ้นแลว พรหมจรรยอยูจบแลว กิจที่ควรทําไดทํา สําเร็จแลว กิจอื่นเพื่อความเปนอยางนี้มิไดมี” ดวยคําพูดเพียงเทานี้ พระผูมีพระภาคไดทรงแสดงวา อรหัตตผลไดบรรลุแลว และปจจเวกขณญาณไดพิจารณาทบทวน แลว หลังจากน้ันทรงอธิบายตอไปวา ภิกษุผูมีจิตหลุดพนแลวอยางนี้ ยอมไมวิวาทแกงแยงกับใคร ดวยพระดํารัสวา “ทีฆนขะ ภิกษุผูมีจิตหลุดพนจากอาสวะแลวอยางน้ี ยอมไม วิวาทแกงแยงกับใครๆ โวหารใดท่ีชาวโลกพูดกัน เชน เรา ทาน ชาย หญิง เปนตน ก็พูดไปตามโวหารน้ัน แตไมยึดม่ันดวยทิฏฐิวาชื่อเรียก เหลานั้นเปนส่ิงท่ีมีอยูจริง เธอไมวิวาทกับใครๆ เพราะไดรูความจริง และยอมพูดแตความจริงเทานั้น” ผูพูดความจริงไมขัดแยงกับใครๆ นอกจากน้ี พระพุทธองคตรัสไวในสังยุตตนิกาย ขันธสังยุตต ปุปผสูตรวา นาหํ ภิกฺขเว โลเกน วิวทามิ. โลโกว มยา วิวทติ. น ภิกฺขเว ธมฺมวาที เกนจิ โลกสฺมึ วิวทติ.๑๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384