Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อนัตตลักขณสูตร

อนัตตลักขณสูตร

Published by tripika.ebook, 2021-04-01 12:50:55

Description: อนัตตลักขณสูตรเป็นพระสูตรที่ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ผู้ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ส่งผลให้ปัญจวัคคีย์ทุกรูปบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ พระสูตรนี้ว่าด้วยขันธ์ ๕ ว่าเป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นเรา ของเรา บุรุษ หรือสตรี

Keywords: อนัตตลักขณสูตร,พระอภิธรรม,พระไตรปิฎก

Search

Read the Text Version

๑๖๖ อนัตตลกั ขณสูตร เม่ือไดทรงแสดงใหเห็นวา รูปเปนอนิจจังและทุกขังแลว พระผูมีพระภาคไดทรงสอนพระปญจวัคคียไมใหเห็นรูปวาเปน อัตตาวา รูปน้ีเปนของเรา รูปน้ีเปนเรา รูปนี้เปนอัตตาของเรา จึง ตรัสถามวา ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ “เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตา”ติ. โน เหตํ ภนฺเต. “รูปใดไมเท่ียง เปนทุกข แปรเปล่ียนอยูเปนธรรมดา ควร หรือท่ีจะยึดถือวา รูปน้ีเปนของเรา รูปนี้เปนเรา รูปนี้เปนอัตตา ของเรา” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมควร พระพุทธเจาขา” การยึดถือดวยตัณหาวา “รูปน้ีเปนของเรา” ในบรรดาความยึดถือทั้ง ๓ อยางน้ัน การยึดถือวา “รูปน้ี เปนของเรา” เปนการยึดถือดวยตัณหา การยึดถือวา “รูปนี้เปนเรา” เปนการยึดถือดวยมานะ ความถือตัว การยึดถือวา “รูปนี้เปนอัตตา ของเรา” เปนการยึดถือดวยทิฏฐิ ความเห็นผิด เม่ือเรายินดีพอใจ ส่ิงใดดวยตัณหา แมวาส่ิงนั้นจะไมใชของเรา ก็เรียกไดวาเปนการ ยึดถือวาน่ันเปนของเรา เหมือนการไปเท่ียวตลาดนัดแลวเห็นของท่ี สวยงาม เราก็เกิดความยินดีเหมือนกับวาไดของสิ่งน้ันเปนของเรา

อนัตตลกั ขณสตู ร ๑๖๗ เม่ือเห็นเส้ือหรือผานุงที่ชอบ ก็จินตนาการวาเรากําลังสวมใสอยู รองเทาก็เชนเดียวกัน เราใสมันในความคิดของเรา ราวกับวาเปน เจาของรองเทาน้ันแลว เรายึดถือทุกสิ่งไมวาจะมีชีวิตหรือไมมีชีวิต วาเปนของเราหากเปนส่ิงที่เราชอบ ดังน้ัน พระผูมีพระภาคจึงตรัส ถามวา ควรหรือที่จะยึดถือดวยตัณหาวา “รูปนี้เปนของเรา” ในส่ิงที่ ไมเท่ียง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา หมายความวา ควร หรือท่ีจะพอใจในความทุกขที่นากลัว รูปในรางกายของเรามีการเกิดดับอยูตลอดเวลา ถาเห็น สภาวธรรมที่เกิดดับตามความเปนจริง เราก็จะมีความหวาดกลัว เหมือนอยูในบานเกาดังท่ีไดกลาวแลว แมวาเราจะรูสึกสุขสบายดี ในตอนน้ี แตก็ไมแนวาจะเปลี่ยนเปนความทุกขเม่ือไรเพราะทุกอยาง เกิดขึ้นตามเหตุปจจัย เม่ือตระหนักรูวารูปไมเที่ยงแมขณะเดียว รูป จึงเปนทุกขท่ีนากลัว เราจะพอใจในรูปไดอยางไร เราจะเลือกคนท่ี จะปวยหนักหรือคนใกลตายมาเปนคูชีวิตของเราดวยความยินดีหรือ คงไมมีใครทําเชนนั้นดวยความยินดีถาไดรูลวงหนาวาจะเกิดอะไรข้ึน ในทํานองเดียวกัน ผูปฏิบัติธรรมท่ีเห็นการเกิดข้ึนและดับไป ติดตอกันไมขาดสายของรูปนาม ยอมเห็นความทุกขที่หวาดกลัวใน รูปนามและยอมไมปรารถนาจะยึดถือรูปวาเปนของเรา ดวยเหตุนั้น พระปญจวัคคียจึงทูลตอบพระผูมีพระภาควา “ไมควรเลยท่ีจะยึดถือ รูปวา รูปนี้เปนของเรา”

๑๖๘ อนัตตลักขณสูตร การยึดถือดวยมานะวา “รูปน้ีเปนเรา” การยึดถือในรูปวา “รูปนี้เปนเรา” เปนการยึดถือดวยมานะ คือความถือตน ความสําคัญตน เมื่อมีตามีหูท่ีดี สามารถเห็นและ ไดยินชัดเจน เราก็จะมีความภูมิใจในตาและหูวา “ฉันมีตาดี มีหูดี ฉันสวย ฉันมีเสียงไพเราะ ฉันมีสุขภาพดี ฉันแข็งแรง” ความสําคัญ ตนพัฒนาขึ้นจากการเปนเจาของส่ิงตางๆ โดยมีความเขาใจผิดวา สิ่งเหลานั้นคงทนและย่ังยืน เรายึดถือรูปตางๆ เชน ตา หู รูปารมณ ดวยความเขาใจผิดวาเปนส่ิงท่ียั่งยืน ยกตัวอยางคนที่มีแกวแหวนเงิน ทองซอนอยูในสถานท่ีแหงหน่ึง เขามีความภาคภูมิใจในทรัพยสมบัติ ของตน แตเมื่อรูวาขุมทรัพยของเขาไดถูกขโมยไปไมมีเหลือ ความ ภาคภูมิใจของเขาก็สลายไปเหมือนฟองสบูแตก ในทํานองเดียวกัน การยึดถือรูปตางๆ เชน ตา หู เปนตน ท่ีเกิดข้ึนในขณะท่ีเห็น และไดยิน เปนตน แลวคิดวาเปนสิ่งท่ีคงทน ความภาคภูมิใจก็จะเกิดขึ้นในส่ิงเหลานั้น แตสําหรับผูปฏิบัติท่ี กําหนดรูสภาวธรรมอยูทุกขณะ ยอมรูวาส่ิงเหลานี้เกิดข้ึนแลวก็ดับ ไปในทันที ดังนั้น เม่ือพระผูมีพระภาคตรัสถามพระปญจวัคคียวา “ควรหรือที่จะยึดถือรูปวา รูปนี้เปนเรา” พระปญจวัคคียจึงทูลตอบ วา “ไมควร พระพุทธเจาขา” คําถามและคําตอบนี้แสดงใหเห็นวา

อนตั ตลักขณสตู ร ๑๖๙ มานะเกิดขึ้นเมื่อมีการเห็นรูปวาเที่ยง และมานะไมเกิดเมื่อรูวารูป ไมเที่ยง การยึดถือดวยทิฏฐิวา “รูปน้ีเปนอัตตาของเรา” การยึดถือวา “รูปน้ีเปนอัตตาของเรา” เปนการ ยึดถือดวยทิฏฐิ คือความเห็นผิด เม่ือเราเชื่อวารูปใน รางกายของเราเปนสิ่งท่ีย่ังยืน และบังคับบัญชาใหเปน ไปตามความตองการของเราได ก็จะเกิดความเห็นผิดวา รูปนี้เปนอัตตาของเรา แตเมื่อผูปฏิบัติเห็นดวยปญญาวา รูปไมเที่ยง เกิดข้ึนแลวดับไปตลอดเวลา เปนทุกขเพราะ ไมคงทน มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ก็จะไมยึดม่ันใน รูปวาเปนอัตตา เมื่อผูปฏิบัติตระหนักวาไมสามารถบังคับ บัญชารูปวา “ขอใหทุกสิ่งจงดีอยูเสมอ จงอยาใหสิ่งไมดี เกิดข้ึน รูปที่ดีจงคงอยูตลอดไป” จึงไมเห็นวามีอะไรที่จะ พึงยึดถือในรูปวาเปนอัตตา ดังน้ัน เม่ือพระพุทธองคตรัส ถามวา “ควรหรือท่ีจะยึดถือรูปวา รูปนี้เปนอัตตาของเรา” พระปญจวัคคียไดทูลตอบวา “ไมควร พระพุทธเจาขา” ดวยคําถามนี้ พระองคทรงแสดงใหเห็นไดชัดวา เม่ือรูวา

๑๗๐ อนตั ตลกั ขณสตู ร รูปแปรปรวนอยูทุกขณะ จึงไมควรยึดถือรูปวาเปนอัตตา ขอความ วา “แปรปรวนอยูทุกขณะ” ในคําถามนี้ พึงทราบวาเปนเคร่ืองหมาย ของอนัตตา เน้ือความในพระสูตรที่เปนคําถามของพระผูมีพระภาคและ คําตอบของพระปญจวัคคีย มีดังตอไปนี้ “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสําคัญความขอนั้นเปนไฉน รูปเท่ียง หรือไมเท่ียง” “ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา” “รูปใดไมเท่ียง รูปน้ันเปนทุกขหรือเปนสุข” “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” “รูปใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นรูปน้ันวา รูปน้ีเปนของเรา รูปนี้เปนเรา รูปน้ีเปน อัตตาของเรา” ... “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” “เวทนาเท่ียงหรือไมเที่ยง” ... “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” “สัญญาเที่ยงหรือไมเท่ียง” ... “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” “สังขารเท่ียงหรือไมเท่ียง” ... “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” “วิญญาณเที่ยงหรือไมเท่ียง” ... “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา”

๖ เวทนาไมเที่ยงเปนตน ตอไปจะอธิบายเก่ียวกับคําถามคําตอบ เรื่องเวทนาเท่ียง หรือไมเท่ียง มีขอความในพระสูตรน้ีวา เวทนา นิจฺจา วา อนิจฺจา วาติ. อนิจฺจา ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “เวทนาเที่ยงหรือไมเท่ียง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” ขออธิบายเกี่ยวกับเวทนาเพ่ิมเติมจากที่กลาวไวในบทกอน ดังนี้

๑๗๒ อนัตตลกั ขณสูตร เวทนาแบงออกเปน ๓ ชนิด คือ สุขเวทนา ความรูสึกสุข, ทุกขเวทนา ความรูสึกทุกข, และอทุกขมสุขเวทนา ความรูสึกไมสุข ไมทุกข ปุถุชนคนธรรมดาเห็นวาความรูสึกท้ังสามอยางนี้เปนอัตตา ที่อยูในกายของตน เรียกวา นิวาสีอัตตา และเวทกอัตตา การยึดม่ันนิวาสีอัตตา คือความเช่ือวามีอัตตาท่ีเท่ียงแทไมมี ตายอยูในรางกายของตน คนท่ัวไปเช่ือวา มีอัตตาอยูภายในรางกาย ของตนนับต้ังแตปฏิสนธิจนกระทั่งตาย บางคนเชื่อวาอัตตานี้ยังคง อยูแมรางกายแตกสลายไป นิวาสีอัตตาน้ีเปนผูเสวยความรูสึกสุขหรือทุกข ทั้งทางกาย และทางใจ จึงเรียกวา เวทกอัตตา คนท่ัวไปมักเชื่อวาเวทนาทั้ง ๓ อยางนี้เปนสิ่งเท่ียงแท ความจริง เมื่อรูสึกสุข ก็ไมมีความรูสึกทุกข หรือความรูสึกไมสุขไมทุกข, เมื่อเปนทุกข ก็ไมมีความรูสึกสุข หรือ ความรูสึกไมสุขไมทุกข และเมื่อรูสึกเฉยๆ ไมสุขไมทุกข ความรูสึก สุขหรือทุกขก็ไมมี ดังนั้น ความรูสึกจึงไมเท่ียงแท ไมวาจะเปนความ รูสึก ทุกข หรือเฉยๆ ก็เกิดข้ึนตามเหตุปจจัยและต้ังอยูเพียงช่ัวขณะ แลวดับไป คนท่ไี มเคยเจรญิ ภาวนายอ มไมส ามารถตามรูความรูสกึ ทเ่ี กดิ ขึ้นเฉพาะหนาไดทันปจจุบันขณะ จึงมีความเขาใจผิดวาความรูสึก ๓ อยางนี้เกิดขึ้นพรอมกันไดในคราวเดียว ตัวอยางเชน เม่ือรูสึก

อนัตตลักขณสูตร ๑๗๓ เจ็บปวดท่ีรางกาย เขาไดยินขาวดีแลวเกิดความยินดี หรือบางทีกําลัง รูสึกสบายกาย ก็คิดไปถึงเรื่องท่ีทําใหไมสบายใจ ในเวลาน้ัน เขาก็ เขาใจไปเองวาความรูสึกสุขและทุกขเกิดขึ้นพรอมกันเพราะไมอาจ แยกจิต ๒ ดวง หรือความรูสึก ๒ อยางออกจากกันได แตในความ เปนจริงแลว ความรูสึกเกิดไดทีละอยางเทาน้ัน ดังน้ัน เม่ือผูปฏิบัติที่กําหนดรูสภาวะพองยุบของทองอยาง ตอเนื่องอยู เกิดความรูสึกเจ็บปวดท่ีรางกาย เขาพึงเบนความสนใจไป ที่ความรูสึกเจ็บปวดน้ันและกําหนดวา “เจ็บหนอ เจ็บหนอ” ติดตอ กัน ถาสมาธิของเขาแกกลาพอ ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็จะคอยๆ ลด นอยลง ในระหวางท่ีกําลังกําหนดรูอยูน้ัน และดับไปในที่สุด สําหรับ ผูปฏิบัติบางคน ความเจ็บปวดจะหายไปอยางรวดเร็วราวกับปลิดทิ้ง เม่ือไมมีความเจ็บปวดหรือความรูสึกเปนสุขที่จะตองกําหนด ผูปฏิบัติ ก็พึงกลับไปกําหนดสภาวะพองยุบของทองตอไปตามปกติ ซ่ึงเทากับ เปนการกําหนดความรูสึกวางเฉยน่ันเอง ในขณะที่กําหนดความรูสึก วางเฉยอยูนั้น หากมีความรูสึกสุขหรือทุกขเกิดขึ้นก็พึงหันความสนใจ ไปกําหนดความรูสึกสุขหรือทุกข ดวยวิธีการอยางนี้ ผูปฏิบัติจะเกิด ปญญาเห็นแจงวา เวทนาไมเที่ยง เปนการรูความแตกตางของเวทนา แตละอยางที่เกิดตอกันในปจจุบันขณะที่เพิ่งจะส้ินสุดลง เรียกวา สันตติปจจุบัน คือ ปจจุบันสืบเนื่องจากอดีตที่เพ่ิงจะสิ้นสุดลง

๑๗๔ อนัตตลกั ขณสูตร ผูปฏิบัติท่ีไดบรรลุถึงอุทยัพพยญาณและภังคญาณในขณะท่ี กําหนดรูสุขเวทนา จะรูวาสุขเวทนาน้ันเกิดข้ึนและดับไปเปนชวงๆ ที ละชวง เชนเดียวกับท่ีสภาวะพองยุบของทองก็เกิดขึ้นและดับไปเปน ชวงๆ ทีละชวง เม่ือมีสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาเกิดดับเปนชวง สลับกันไป ไมแยกจากกันและไมเกิดอยางเดียวติดตอกันเปนสาย หรือเม่ือมีทุกขเวทนากับอุเบกขาเวทนาเกิดดับเปนชวงสลับกันไป ผูปฏิบัติยอมสามารถกําหนดรูเวทนาท้ังสองอยางไดโดยไมปะปนกัน เมื่อผูปฏิบัติสังเกตเห็นวาความรูสึกตางๆ เกิดขึ้นแลวดับไปในทันที ยอมตระหนักรูวาเวทนาไมเท่ียง ลักษณะเชนนี้เปนการรูเห็นเวทนา ในขณะปจจุบันที่ปรากฏเปนชวงอยูเฉพาะหนาดวยขณปจจุบัน คือ ปจจุบันท่ีกําลังเกิดข้ึนจริงๆ ดังนั้น ผูปฏิบัติจึงควรกําหนดรูสภาวะ พอง สภาวะยุบ และสภาวะปวดในขณะท่ีปรากฏอยูนั้น เพื่อจะได เห็นการเกิดดับทีละสวนดวยขณปจจุบันดังกลาว ดวยเหตุนี้ ผูปฏิบัติที่กําลังเฝาดูสภาวธรรมที่เกิดข้ึนทางทวาร ท้ัง ๖ ในขณะกําหนดวา “เห็นหนอ ไดยินหนอ สัมผัสหนอ คิดหนอ” เปนตนน้ัน ยอมเห็นชัดสุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนาที่เกิด ข้ึนในขณะเห็น เปนตน เกิดข้ึนและดับไปในทันที ดังน้ัน ผูปฏิบัติจึง รูไดจากประสบการณของตนวา เวทนาทุกอยางมีลักษณะไมเที่ยง

อนัตตลักขณสตู ร ๑๗๕ พระปญจวัคคียไดบรรลุเปนพระโสดาบันดวยการกําหนดรู ในทํานองเดียวกันน้ี ดังน้ันเม่ือพระผูมีพระภาคตรัสถามวา “เวทนา เที่ยงหรือไมเที่ยง” จึงทูลตอบวา “ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา” เม่ือเห็นวาเวทนาท้ัง ๓ อยางไมเที่ยง ยอมเห็นดวยวาเปน ทุกข ไมใชตัวตน เปนเพียงสภาวธรรม พระผูมีพระภาคจึงตรัสถาม ตอไปอีก ดังขอความวา ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. “เวทนาใดไมเท่ียง เวทนาน้ันเปนทุกขหรือเปนสุข” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” คนทั่วไปชอบความสุข คิดวาความสุขเปนส่ิงเที่ยงแทและ ย่ังยืน เมื่อไดเห็นความสุขดับลงไปทุกๆ ขณะ ไมยั่งยืนอยูแมเพียง เศษเส้ียวของวินาที ก็จะหมดความหลงใหลในความสุข แตเพราะ ตองการไดรับความสุข จึงตองด้ินรนขวนขวายเพื่อใหไดความสุขมา ไมใชเพียงช่ัวโมงเดียว วันเดียว หรือปเดียว แตตองดิ้นรนไปตลอด ชีวิต และในที่สุดก็ตายไปในขณะที่กําลังพยายามแสวงหาความสุข อยูนั้นเอง ไมมีส่ิงใดท่ีจะยึดเปนท่ีพึ่งได และถึงจะไมไดรับความสุข ที่แสวงหา ก็ยังตองพยายามหาทางหลีกเลี่ยงความทุกข ความไม นาพอใจตางๆ ซ่ึงหมายความวา เขาจะตองพยายามรักษาตนใหมี

๑๗๖ อนัตตลักขณสูตร อุเบกขาเวทนาอยูเสมอ และแมในขณะท่ีพยายามแสวงหาอุเบกขา- เวทนาอยูนี้ ความเจ็บปวดกายและความเศราเสียใจก็อาจเปนเหตุ ใหเกิดทุกขเวทนาขึ้นได ทั้งนี้เพราะความสุขกายสุขใจนั้นไมเท่ียง และเพราะสุขเวทนารวมท้ังอุเบกขาเวทนาไมเท่ียงจึงไมนาไววางใจ การแสวงหาสุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาเปนความทุกข และเม่ือ ดับไปก็เปนความทุกข เพราะมีทุกขเวทนาเขามาแทนท่ี โดยเฉพาะ อยางยิ่งเมื่อสุขเวทนาดับไป เราอาจตกอยูในหวงแหงความทุกขท่ี ใหญหลวง ยกตัวอยางพอแมท่ีมีความยินดีเม่ือลูกเกิดมา แตตอมา ลูกตายจากไปอยางกะทันหัน หรือในครอบครัวที่อบอุนมีความสุข อยูมาภายหลังคนในครอบครัวตายหรือจากไป หรือคนท่ีรํ่ารวยเปน เศรษฐีตองสูญเสียทรัพยสมบัติไป พวกเขายอมตองประสบกับความ ทุกขอยางมหันต ซ่ึงอาจทําใหถึงกับตรอมใจตายได ดังนั้น เวทนาจึง นากลัวเพราะลักษณะท่ีไมเที่ยง ลําดับตอมาในพระบาลีตรัสวา ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตาติ. โน หิ เอตํ ภนฺเต. “เวทนาใดไมเท่ียง เปนทุกข มีความแปรปรวนไปเปน ธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นวา เวทนานี้เปนของเรา เวทนาน้ีเปน เรา เวทนาน้ีเปนอัตตาของเรา”

อนตั ตลกั ขณสตู ร ๑๗๗ “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” คําถามคําตอบน้ีเปนทํานองเดียวกับการถามตอบเรื่องรูป ตางกันแตเพียงคําวา รูป ไมไดหมายเอาเฉพาะรูปที่อยูในรางกาย ของเรา แตรวมถึงรูปภายนอกท้ังที่มีชีวิต และไมมีชีวิตอีกดวย สวน คําวา เวทนา หมายเอาเวทนาภายในที่เรายึดถือวาเปนของเราเทานั้น เม่ือรูสึกเปนสุข เราก็ยึดถือสุขเวทนาวาเปนของเราดวยตัณหาวา “เวทนาน้ีเปนของเรา” เมื่อเรามีอุเบกขาเวทนา เปนความรูสึกท่ีไม ทุกข จึงจัดเขาในพวกสุขเวทนา แมวาความยึดถืออุเบกขาเวทนาจะ ไมรุนแรงเทาสุขเวทนา แตเราก็ยังพอใจในอุเบกขาเวทนาเพราะถึง จะไมใชสุขแตก็ไมใชทุกข เปนเพียงรูสึกเฉยๆ สวนความรูสึกทุกข คือทุกขเวทนานั้น แนนอนวาไมเปนท่ีปรารถนา แตเราก็ยังคิดวา “เราเปนคนรูสึกทุกข” ดังน้ัน จึงจัดวามีการยึดถือทุกขเวทนาวา “เวทนาน้ีเปนของเรา” อยูน้ันเอง การยึดถือเวทนาเชนท่ีกลาวมานี้ เกิดข้ึนเพราะความหลง ไมรูตามความเปนจริงถึงลักษณะที่ไมเท่ียง เปนทุกข และแปรปรวน ไปเปนธรรมดาของเวทนา ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูเวทนาที่เกิดขึ้นขณะ นั้นยอมรูไดในทันทีถึงลักษณะที่บีบคั้นของเวทนา ความจริงแลวผู ปฏิบัติกับบุคคลธรรมดาจะมีความเขาใจเก่ียวกับเวทนาตางกันมาก คนธรรมดาเห็นเวทนาวาเกี่ยวกับตน เชน ฉันทุกข ฉันสุข ฉันเจ็บ และ

๑๗๘ อนตั ตลักขณสูตร ฉันจะดีใจมากถาหายเจ็บ สวนนักปฏิบัติยอมเขาใจวาเวทนาน้ีเปน เพียงสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นแลวก็ดับไปไมขาดสาย และเม่ือเกิดความ ไมสบายใจก็เขาใจวาเปนสภาวะที่ไมนาปรารถนาอยางหนึ่งท่ีแทรก เขามาในการสืบตอแหงสภาวธรรมรูปนามเทาน้ัน ผูปฏิบัติยอมเขาใจ วามันเปนสภาวธรรมอีกอยางหนึ่งท่ีเกิดข้ึนแลวดับไปซ่ึงแทรกเขามา ในระหวางสภาวธรรมอันแรกท่ีกําลังกําหนดรูอยู และผูปฏิบัติยอมรู เห็นไดในทันทีถึงลักษณะท่ีเบียดเบียนบีบค้ันของมัน เปรียบเหมือน เปนหนามท่ีฝงอยูในเนื้อ สวนความรูสึกสุขนั้นดูเผินๆ เหมือนจะเปนความรูสึกท่ีนา ปรารถนา เปนสิ่งดีตราบเทาท่ีมันยังคงอยู แตความสุขนี้ก็ตองใช ความพยายามเปนอันมากเพื่อแสวงหา และความพยายามนี้จัดวา เปนความทุกข ย่ิงถาตองทําช่ัวเพ่ือใหไดมาซึ่งความสุข ก็จะตองได รับผลเปนความทุกขในอบายอยางแนนอน การยินดีพอใจในสุข เวทนาที่เกิดข้ึนยอมทําใหตองเวียนวายอยูในสังสารวัฏตอไป และ การเกิดยอมนํามาซึ่งความทุกขทั้งหลาย เชน ความแกและความตาย เปนตน เม่ือความสุขนั้นหายไป ความยึดมั่นในความสุขก็จะทําใหเกิด ความทุกขที่รุนแรง ดังน้ันสุขเวทนาจึงจัดวาเปนความทุกข สําหรับ อุเบกขาเวทนาน้ัน ก็พึงจัดเปนความทุกขเพราะเปนสภาพที่ไมเที่ยง ดังที่ไดอธิบายแลว

อนตั ตลกั ขณสูตร ๑๗๙ พึงเห็นเวทนา ๓ อยางตามความเปนจริง ในเวทนาสังยุตต พระพุทธเจาทรงแสดงวิธีกําหนดรูเวทนา ดังน้ี โย สุขํ ทุกฺขโต อทฺท ทุกฺขมทฺทกฺขิ สลฺลโต อทุกฺขมสุขํ สนฺตํ อทฺทกฺขิ นํ อนิจฺจโต ส เว สมฺมทฺทโส ภิกฺขุ ปริชานาติ เวทนา.๔๒ “ภิกษุใดตามเห็นสุขวาเปนทุกข ตามเห็นทุกขวาเปนหนาม ตามเห็นอุเบกขาวาเปนทุกขเพราะไมเที่ยง ภิกษุน้ันชื่อวาเห็น เวทนาโดยชอบ (เพื่อไมใหเกิดความเห็นผิดวาเที่ยง เปนสุข และเปน อัตตา) และท่ัวถึง (ตามที่ควรรู)” ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรมอยูตลอดเวลายอมหย่ังเห็น ทุกขเวทนาวาเปนทุกขเหมือนหนามตํา เห็นสุขเวทนาวาเปนความ ทุกขท่ีนากลัวเพราะจะตองคอยแสวงหาอยูเสมอและเปนเหตุใหเกิด ทุกขเมื่อหายไป เห็นอุเบกขาวาเปนความทุกขเพราะไมเท่ียงและตอง ใชความพยายามในการรักษาใหคงอยู ดังน้ัน เม่ือพระผูมีพระภาค ตรัสถามวา “ควรหรือท่ีจะตามเห็นเวทนาวา เวทนานี้เปนของเรา เวทนานี้เปนเรา เวทนานี้เปนอัตตาของเรา” พระปญจวัคคียจึงทูล ตอบวา “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา”

๑๘๐ อนัตตลกั ขณสตู ร เหตุท่ีเวทนาเปนอนัตตา เราไดอธิบายไวดวยอนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะ ทําใหเห็นไดชัดวาเวทนาไมใชอัตตา เพราะเวทนา มีลักษณะท่ีบีบคั้นเบียดเบียนซึ่งเปนลักษณะของทุกข สัญญาไมเที่ยงเปนตน สฺา นิจฺจา วา อนิจฺจา วาติ. อนิจฺจา ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สัญญาเที่ยงหรือไมเท่ียง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” สัญญามี ๖ อยาง คือ ๑) การหมายรูรูป ๒) การหมายรูเสียง ๓) การหมายรูกลิ่น ๔) การหมายรูรส ๕) การหมายรูโผฏฐัพพะ และ ๖) การหมายรูสิ่งที่เราคิดนึก สัญญาเปนผูจําอารมณตางๆ ท่ีเราได พบเห็นมากอน เปนสิ่งสําคัญและจําเปนสําหรับการเรียนรูและการ ทรงจําสิ่งที่ไดเรียนรูเอาไว สัญญาที่ดีจะจําส่ิงที่ไดเห็นหรือไดยินไว ไดนาน แมวาจะไดเห็นหรือไดยินเพียงครั้งเดียว คนทั่วไปเขาใจผิด วาการจําไดหมายรูน้ีเท่ียงแท ดี และเปนอัตตา แตสัญญาเม่ือไดหมายรูสิ่งท่ีเห็นแลวก็ดับไป มีสัญญาดวง ใหมเกิดข้ึนมาแทน ส่ิงที่เราจําไดในภายหลังนั้นเปนการทําหนาท่ีของ สัญญาที่เกิดตอๆ มา สําหรับการไดยินเปนตนก็เชนเดียวกัน สัญญา ท่ีจดจําสิ่งท่ีไดยินคร้ังแรกไดดับไปแลว โดยมีสัญญาท่ีเกิดตอๆ มาทํา

อนัตตลกั ขณสตู ร ๑๘๑ หนาท่ีหมายรูเสียงน้ัน ผูปฏิบัติที่กําหนดรูทุกส่ิงที่เห็นหรือไดยินยอม หมายรูและจําส่ิงที่เห็นและไดยินน้ันแลวสัญญาก็ดับไป เมื่อผูปฏิบัติ ไดรูอยางน้ีเขาก็สรุปไดวาสัญญาก็ไมเที่ยง พระปญจวัคคียก็รูเห็น ความจริงขอน้ี เม่ือพระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สัญญาเที่ยงหรือไม เท่ียง” จึงทูลวา “ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา” เพราะพระปญจวัคคีย ประจักษชัดวาสภาวะหมายรูไดดับไปอยางรวดเร็วในขณะที่ไดยิน พระดํารัสของพระผูมีพระภาคอยูน้ันเอง ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. “สัญญาใดไมเที่ยง สัญญานั้นเปนทุกขหรือเปนสุข” “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตํุ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตาติ. โน เหตํ ภนฺเต. “สัญญาใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนไปเปนธรรมดา ควรหรือท่ีจะตามเห็นวา สัญญาน้ีเปนของเรา สัญญานี้เปนเรา สัญญา น้ีเปนอัตตาของเรา” “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” คาํ ถามคําตอบเหลานเ้ี ปน แบบเดียวกนั กบั ท่ีไดอธิบายมาแลว สิ่งสําคัญที่ควรรูก็คือ สัญญาถูกยึดถือดวยตัณหาและมานะ ปุถุชน ท่ัวไปท่ีไมไดกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามอยูอยางตอเน่ือง ก็จะมีความ

๑๘๒ อนัตตลักขณสตู ร พอใจในสัญญา (หรือการหมายรูของสัญญา) แลวยึดถือวา “สัญญาน้ี เปนของเรา” เขาคิดวาเขามีความจําดีกวาคนอ่ืน และภูมิใจในความ จําของเขา ซึ่งเปนการยึดถือดวยมานะวา “สัญญาน้ีเปนเรา” เขาคิด ดวยวา การเห็นหรือการไดยินทุกครั้งนั้น เขาเปนผูหมายรูและจําได ซึ่งเปนการยึดถือดวยมิจฉาทิฏฐิวา “สัญญาน้ีเปนอัตตาของเรา” ที่จริงสัญญาที่จําอารมณทุกอยางท่ีเห็นเพ่ือจะไดไมลืมนี้ ไม เท่ียง เพราะสัญญาเกิดข้ึนแลวดับไปในทันที ผูปฏิบัติที่มีสติกําหนดรู อยูตลอดเวลายอมรูวาสัญญาไมเที่ยงเพราะไดเห็นสัญญาเกิดขึ้นแลว ดับไปในทันที เปนทุกข ไมนาพอใจเพราะไมเท่ียง สัญญาอาจจําสิ่ง ที่นาเกลียดนากลัว ฉะน้ันมันจึงเบียดเบียนบีบค้ันใหเปนทุกข มันไม คงท่ีแตแปรปรวนอยูเสมอ ดังน้ัน สัญญาจึงไมใชส่ิงท่ีนาปรารถนา วาเปนความสุข ไมใชส่ิงท่ีนาภาคภูมิใจวายั่งยืน ไมใชสิ่งที่พึงยึดถือ วาเปนอัตตา เหตุนี้ พระปญจวัคคียจึงทูลตอบวา “ไมควรเลยที่จะ ตามเห็นสัญญาวา สัญญาน้ีเปนของเรา สัญญานี้เปนเรา สัญญานี้ เปนอัตตาของเรา” สังขารไมเที่ยงเปนตน สงฺขารา นิจฺจา วา อนิจฺจา วาติ. อนิจฺจา ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สังขารเที่ยงหรือไมเท่ียง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา”

อนัตตลักขณสตู ร ๑๘๓ สังขารคือเจตนาท่ีเปนเหตุใหกระทํากรรมทั้งทางกาย ทาง วาจา และทางใจ เมื่อวาโดยปรมัตถคําวา สังขาร หมายถึงสภาวะ ท่ีปรุงแตงจิต เรียกวา เจตสิก ซึ่งมี ๕๐ ชนิดดวยกันโดยมีเจตนา เจตสิก คือความจงใจ เปนหัวหนา สังขารที่มีเจตนาเปนหัวหนานี้ เปนเหตุใหมีการกระทํากรรมทางกายทุกชนิด เชน เดิน ยืน น่ัง นอน คู เหยียด เคล่ือนไหว เปนตน การกระทํากรรมทางวาจาก็มีสังขาร เปนตัวกระตุนเชนเดียวกัน ในขณะที่เราพูดอยูนี้ก็เพราะสังขารเปน ผูจูงใจใหพูด ทุกคําท่ีพูดและสวดมนตลวนมีสังขารเปนผูกระตุน การคิดหรือจินตนาการทุกอยางก็มีสังขารเปนผูชักนําอยูเบื้องหลัง ทั้งสิ้น ปุถุชนท่ัวไปคิดวาการกระทํากรรมตางๆ ท้ังกายกรรม วจี- กรรม และมโนกรรม ลวนมี “ตัวเรา” เปนผูกระทําทั้งสิ้น และเชื่อวา ตัวผูกระทําน้ียั่งยืนถาวร แตผูปฏิบัติท่ีกําหนดสภาวะพองและสภาวะ ยุบของทองอยางต้ังใจนั้น เมื่อมีความคิดผุดข้ึนมาในใจก็กําหนดรู ความคิดนั้นทันที เขาจะเห็นวาเจตนาที่ประกอบดวยโลภะไดกระตุน ใหเกิดความอยากขึ้นไดและเรงเราใหรีบไปเอาสิ่งท่ีตองการ ผูปฏิบัติ ควรกําหนดรูมโนกรรมน้ันวา “ชอบหนอ อยากไดหนอ” หรือเจตนา ที่ประกอบดวยโทสะกอใหเกิดความโกรธ เขายอมกําหนดรูความ โกรธน้ันวา “โกรธหนอ โกรธหนอ” และเมื่อเจตนาประกอบดวย

๑๘๔ อนัตตลักขณสตู ร โมหะ (ความหลง) ก็ทําใหคิดจะทําส่ิงผิด เขายอมกําหนดรูความคิด เหลานั้น เมื่อเจตนาประกอบดวยมานะ (ความทะนงตน) ก็จะทําให เกิดความเยอหยิ่ง จึงควรตองกําจัดความเยอหยิ่งนี้ใหหมดไปดวย การกําหนดวา “หย่ิงหนอ หย่ิงหนอ” เมื่อเจตนาประกอบดวยความ อิจฉาริษยา ผูปฏิบัติก็จะตองกําหนดความอิจฉาริษยาท่ีเกิดข้ึน เม่ือเจตนาประกอบดวยศรัทธา จะทําใหเกิดความเล่ือมใส ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ กระตุนใหอยากจะไปกราบไหวบูชา ผูปฏิบัติพึงกําหนดความคิดเหลาน้ีทันทีท่ีผุดข้ึนมาวา “เล่ือมใสหนอ เลื่อมใสหนอ” สวนเจตนาที่ประกอบดวยอกุศลก็จะชักนําใหคิดใน ทางอกุศล โดยจะพยายามขัดขวางไมใหเกิดความเล่ือมใส เจตนาท่ี ประกอบดวยกุศลจะชักนําใหทํากุศล เจตนาอาจประกอบดวยกุศล อยางอื่น เชน สติท่ีทําใหระลึกได หรือเมตตาที่ทําใหมีความปรารถนา ดี คิดหาทางท่ีจะทําใหผูอ่ืนเปนสุข เจตนาอาจประกอบดวยกรุณา ทําใหเกิดความสงสารผูที่ตกทุกข คิดหาทางท่ีจะชวยใหผูอ่ืนพนทุกข ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูสภาวธรรมทางจิตเหลาน้ีทันทีท่ีเกิดขึ้น ขณะท่ีกําหนดสภาวะพองยุบของทองอยูนั้น ถาเกิดความ รูสึกเมื่อยหรือรอน พึงกําหนดรูความรูสึกเหลานั้น และในขณะท่ี กําหนดรูอยูน้ัน อาจมีความตองการจะคู เหยียด หรือเปล่ียนอิริยาบถ ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูความตองการน้ัน หรืออาจมีความตองการจะกม

อนตั ตลักขณสูตร ๑๘๕ หรือเงยศีรษะ เอนไปขางหนาหรือขางหลัง ลุกขึ้นและเดิน เปนตน ผูปฏิบัติพึงกําหนดรูการกระทําทางกายเหลาน้ีซึ่งถูกกระตุนโดย เจตนาท้ังส้ิน นอกจากนี้ เจตนายังกระตุนใหเกิดการกระทําทางวาจา โดย กระตุนเตือนและชักนําวาควรจะพูดอะไร พูดอยางไร เหมือนท่ีขณะ นี้ขาพเจากําลังพูดตามท่ีเจตนาตองการใหพูด ผูปฏิบัติที่กําหนดรู กิจกรรมของเจตนาอยูตลอดเวลาจะรูดวยประสบการณของตนวา กิจกรรมเหลาน้ีเกิดขึ้นแลวดับไปในทันทีจึงไมเที่ยง พระปญจวัคคีย ซ่ึงขณะนั้นไดบรรลุเปนพระโสดาบันแลวไดหยั่งเห็นอนิจจลักษณะ จากประสบการณของตนเอง และในขณะที่ฟงอนัตตลักขณสูตรก็ กําหนดรูการเกิดข้ึนและดับไปของสังขารตางๆ เชน ผัสสะ เจตนา มนสิการ ศรัทธา เปนตน เม่ือพระผูมีพระภาคตรัสถามวา “สังขาร เท่ียงหรือไมเที่ยง” จึงทูลตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” ดัง ขอความวา ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. “สังขารใดไมเท่ียง สังขารนั้นเปนทุกขหรือเปนสุข” “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตาติ. โน หิ เอตํ ภนฺเต.

๑๘๖ อนตั ตลกั ขณสูตร “สังขารใดไมเท่ียง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นวา สังขารน้ีเปนของเรา สังขารนี้เปนเรา สังขารน้ีเปนอัตตาของเรา” “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” คําถามคําตอบเหลาน้ีก็เหมือนกับท่ีไดแสดงมาแลว ในท่ีนี้ ควรรูเพียงวาการยึดม่ันสังขารเกิดขึ้นดวยตัณหา มานะ และทิฏฐิ และจะปลดเปล้ืองการยึดม่ันเหลานี้ออกไปไดอยางไร คนท่ัวๆ ไปท่ีไมไดกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามที่ปรากฏอยู เฉพาะหนามักจะเขาใจวา สังขารที่มีเจตนาเปนหัวหนาน้ีดีงาม นาปรารถนา และมีความยินดีในสังขารของตน จัดเปนการยึดถือ ดวยตัณหา ถาคิดวากิจกรรมเหลาน้ี เขาสามารถทําไดดีกวาคนอื่นๆ เปนการยึดถือดวยมานะ ถาคิดวาเขาเปนผูเดิน หยุด น่ัง คู เหยียด เคลื่อนไหว เปนตน ก็จะเปนการยึดถือดวยทิฏฐิวา ฉันทํา ฉันพูด ฉันคิด ฉันเห็น ฉันไดยิน เปนตน การยึดถือดวยทิฏฐิเนื่องจากมีการ ยึดถือตัวบุคคลที่เปนผูกระทํา เรียกวา การยึดมั่นการกอัตตา การเช่ือ วาการกระทําทุกอยางทั้งทางกาย วาจา และใจ มีตัวตนเปนผูกระทํา เรียกวา การกอัตตวาทุปาทาน สวนการยึดมั่นวามีอัตตาที่ไมตาย อาศัยอยูในรางกายของตนเรียกวา นิวาสีอัตตวาทุปาทาน และการ เช่ือวาอัตตาท่ีอยูในตัวเราน้ีกระทําการตางๆ ตามที่ตนเองตองการ

อนตั ตลักขณสตู ร ๑๘๗ เชน ยืน น่ัง คู เหยียด พูด คิด และอยูในอํานาจของตนท่ีจะบังคับ บัญชาใหเปนไปตามความตองการได นี้เรียกวา สามีอัตตวาทุปาทาน ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามอยูเสมอยอมเห็นวา ความตองการจะคิด เห็น ไดยิน คู เหยียด เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกข้ึน เดิน พูด เปนตนนี้ เกิดขึ้นและดับไปในทันทีที่ไดมีการกําหนดรู เขาตระหนักวาสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นและดับไปอยูตลอดเวลาเชนนี้ เปนส่ิงไมเท่ียง จึงไมนายินดีพอใจ เชื่อถือไมได เปนเพียงความทุกข ไมมีอะไรที่จะยึดถือดวยความพอใจไดวา สังขารนี้เปนของเรา ไมมี อะไรท่ีจะยึดถือดวยความภูมิใจไดวา สังขารนี้เปนเรา และไมมีอะไร จะยึดถือดวยความเห็นผิดวา สังขารน้ีเปนอัตตาของเรา ในขณะท่ี พระปญจวัคคียกําลังฟงพระสูตรอยูนั้น ไดเห็นสังขารเกิดขึ้นและ ดับไป จึงทูลตอบวา “ไมควรที่จะตามเห็นสังขารที่ไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดาวา สังขารน้ีเปนของเรา สังขารนี้เปน เรา สังขารน้ีเปนอัตตาของเรา” วิญญาณไมเท่ียงเปนตน วิฺาณํ นิจฺจํ วา อนิจฺจํ วาติ. อนิจฺจํ ภนฺเต. พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “วิญญาณเที่ยงหรือไมเที่ยง” พระปญจวัคคียทูลตอบวา “ไมเที่ยง พระพุทธเจาขา”

๑๘๘ อนตั ตลกั ขณสูตร วิญญาณ หมายความวา จิต หรือ สภาวะรูอารมณ คําวา สภาวะรูอารมณน้ี ปกติไมใชกับคําวา วิญญาณ เพราะแมแต เจตสิก (สภาวธรรมที่ประกอบกับจิต) เชน เจตนา โลภะ และโทสะ คนทั่วไป ก็เรียกกันวา จิต เพราะจิตเปนหัวหนาในการรูอารมณ ดังน้ัน จะขอ ใชคําวา จิต แทนคําวา วิญญาณ ในบทนี้ ผูที่ไมสามารถเฝาสังเกตและกําหนดรูจิตท่ีเกิดขึ้นและดับไป มักคิดวาจิตเปนสภาวธรรมท่ีคงทน ย่ังยืน และคิดวามีจิตดวงเดียว เปนผูรับรูการเห็น การไดยิน การรูกลิ่น การลิ้มรส การสัมผัส และ การคิดนึก จิตดวงเดียวกันน้ีเปนผูเห็น ไดยิน รูกลิ่น เปนตนเปนเวลา นานๆ จิตในวัยเด็กจะอยูไปจนกระทั่งตาย กลาวคือตลอดชีวิตของ คนๆ หน่ึงมีจิตดวงเดียวทําหนาท่ีต้ังแตเกิดจนตาย บางยังเช่ืออีกวา จิตดวงนี้เม่ือตายไปจะยายไปอยูในภพใหม ความเชื่อของคนทั่วไป เปนแบบน้ีซึ่งเขาใจวาจิตเท่ียงแทและยั่งยืน ผูปฏิบัติที่เฝาสังเกตดูสภาวธรรมรูปนามในขณะที่กําหนดรู สภาวะพองยุบของทองน้ัน เม่ือสังเกตเห็นความคิดท่ีผุดขึ้นมาก็จะ กําหนดรูการคิดนั้น และความคิดก็จะดับไปในทันท่ีที่กําหนด ทําให ผูปฏิบัติเขาใจไดวา ความคิดไมมีมากอนหนาน้ี ตอมาไดเกิดข้ึนแลว ก็ดับไปในทันที ท่ีเคยนึกวาการคิดเปนส่ิงคงทน เพราะไมไดกําหนดรู มากอน เม่ือไดกําหนดรูความคิดน้ัน จึงเห็นวาความคิดไดดับไปอยาง

อนตั ตลกั ขณสูตร ๑๘๙ รวดเร็ว เด๋ียวนี้ และไดรูตามความเปนจริงแลววา ความคิดมีลักษณะ ไมเท่ียง ในขณะไดยินก็เชนเดียวกัน ถาผูปฏิบัติกําหนดวา “ไดยิน หนอ ไดยินหนอ” โสตวิญญาณจิตก็จะเกิดดับติดตอกันอยางรวดเร็ว ในทํานองเดียวกัน ผูปฏิบัติก็สามารถกําหนดรูฆานวิญญาณจิต และ ชิวหาวิญญาณจิตวาไดเกิดขึ้นและดับไปติดตอกันอยางรวดเร็ว จิตท่ี รูสัมผัสที่เกิดขึ้นท่ัวรางกายก็เชนกัน ผูปฏิบัติจะสามารถกําหนดรู กายวิญญาณจิตที่เกิดดับอยางรวดเร็วตามท่ีตางๆ ในรางกายได เมื่อสมาธิมีพลังแกกลาข้ึน ผูปฏิบัติจะสามารถกําหนดรูจิตที่เกิดดับ ไดละเอียดขึ้นโดยจะเห็นการเกิดดับขาดเปนตอนๆ ตอเน่ืองกันไป ดังนั้น จึงเห็นประจักษวา จิตท่ีเห็น ไดยิน สัมผัส คิดนึก เปนตนเปน จิตคนละดวงไมปะปนกัน เกิดข้ึนและดับไปติดตอกันอยางรวดเร็ว จิตทั้งหมดน้ันไมเที่ยง ไมย่ังยืน จิตท่ีตองการจะคู เปล่ียนอิริยาบถ ลุกข้ึน เดิน เปนตน เกิด ข้ึนใหมตลอดเวลาและดับไปในทันที จิตท่ีรับรูสภาวธรรมตางๆ ก็ ดับไปทันทีท่ีกําหนดรู ดังน้ัน จิตท่ีรูอารมณตางๆ เกิดข้ึนและดับเปน ธรรมดา จึงไมเที่ยง พระปญจวัคคียไดหยั่งรูความจริงน้ีและบรรลุเปน พระโสดาบัน และในขณะท่ีฟงอนัตตลักขณสูตรอยูน้ัน ก็ไดเห็นความ ไมเที่ยงจากการเกิดข้ึนและดับไปของจิตตางๆ เชน จักขุวิญญาณ

๑๙๐ อนตั ตลักขณสูตร โสตวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ เปนตน ดังนั้น เม่ือ พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “วิญญาณเที่ยงหรือไมเที่ยง” จึงไดทูล ตอบวา “ไมเท่ียง พระพุทธเจาขา” ซ่ึงผูปฏิบัติที่มีสติกําหนดรูอยู เสมอยอมเขาใจไดดี ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วา ตํ สุขํ วาติ. ทุกฺขํ ภนฺเต. “วิญญาณใดไมเท่ียง วิญญาณน้ันเปนทุกขหรือเปนสุข” “เปนทุกข พระพุทธเจาขา” ยํ ปนานิจฺจํ ทุกฺขํ วิปริณามธมฺมํ, กลฺลํ นุตํ สมนุปสฺสิตํุ เอตํ มม, เอโสหมสฺมิ, เอโส เม อตฺตาติ. โนหิ เอตํ ภนฺเต. “วิญญาณใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความแปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นวา วิญญาณน้ีเปนของเรา วิญญาณน้ีเปนเรา วิญญาณน้ีเปนอัตตาของเรา” “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” คําถามคําตอบเหลาน้ีก็เหมือนกับท่ีไดแสดงแลว ในที่น้ีเรา ควรรูเพียงวาการยึดมั่นวิญญาณเกิดข้ึนดวยตัณหา มานะ และทิฏฐิ และจะปลดเปลื้องความยึดม่ันเหลาน้ีไดอยางไร ปุถุชนท่ียังไมสามารถกําหนดรูจิตท่ีเกิด ณ ทวารท้ัง ๖ ในทุก ขณะที่เห็น ไดยิน รูกล่ิน ลิ้มรส สัมผัส และคิดนึก จะมีความยินดีใน

อนัตตลกั ขณสตู ร ๑๙๑ จิตเหลานั้นวาน่ันจิตของเรา เขามีความพอใจในจิตท่ีเกิดข้ึนขณะน้ัน รวมถึงจิตท่ีเกิดในอดีต และจิตที่จะเกิดในอนาคต น่ีเปนการยึดถือ ดวยตัณหา แตผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสภาวธรรมทุกอยางที่เกิดอยูขณะ นั้นยอมเห็นวาจิตที่เกิดเมื่อไดเห็นรูปหรือเสียงท่ีดี ซึ่งสงผลใหเกิด ความพอใจน้ันไดดับไปหมดในขณะท่ีกําลังกําหนดรูอยูนั้นเอง ดังนั้น จึงไมยินดีในจิต และไมอยากไดจิตเหลาน้ัน ดวยวิธีนี้จะปลดเปล้ือง ความยึดถือดวยตัณหา ปุถุชนที่ไมสามารถกําหนดรูจิตยอมไมรูถึงความแตกตาง ระหวางจิตท่ีเกิดกอนกับจิตท่ีเกิดทีหลัง เขาคิดวาจิตเม่ือคร้ังยังเด็กก็ เปนดวงเดียวกับจิตในปจจุบัน จิตดวงเดิมนั้นยังทําหนาท่ีเห็น ไดยิน รู สัมผัส คิดนึกเปนตน การเช่ือวาจิตเปนส่ิงคงทนถาวรและมีคุณสมบัติ เหนือกวาคนอ่ืนสงผลใหเกิดความภูมิใจวา “ฉันรูดี ฉันไมยอมใหใคร มาหลอกลวง ฉันใจกลา” เปนตน น่ีเปนการยึดถือดวยมานะ แตผู ปฏิบัติที่กําหนดรูสภาวธรรมอยูอยางระมัดระวัง ยอมสังเกตเห็นวา จิตท่ีเห็น ไดยิน รูสัมผัส เปนตนนั้นดับไปในทันทีท่ีกําหนดเห็น เขา ยอมรูวาจิตเหลาน้ันมีลักษณะไมเท่ียง เปรียบเหมือนคนที่รูวาตนเอง กําลังจะตายยอมไมมีความหย่ิงยะโส ผูปฏิบัติท่ีเห็นความไมเท่ียงของ

๑๙๒ อนตั ตลักขณสูตร จิตยอมไมยึดถือจิตดวยมานะ วิธีน้ีเปนการปลดเปลื้องความยึดถือ จิตดวยมานะ ปุถุชนท่ัวไปมักจะเช่ือวา “ฉันเปนผูเห็น ไดยิน รูกล่ิน รูสัมผัส คิดนึก ฉันรูจักส่ิงตางๆ ฉันตองการจะคู เหยียด เดิน การพูด การคิด การกระทําทุกๆ อยาง จิตของฉัน ตัวฉันเปนคนทําท้ังน้ัน” น่ีเปนการ ยึดมั่นในการกอัตตา การเชื่อวาตนเปนผูกระทํากรรมทุกอยาง ทั้งท่ีเปนกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เรียกวา การกอัตตวาทุปาทาน คือ การ ยึดม่ันในการกอัตตา การยึดม่ันในการกระทํากรรมตางๆ อาจจัดเปนสังขาร แต สังขารก็อาจเกี่ยวกับจิตไดดวย โดยทั่วไป ความตองการจะคู เหยียด เดิน พูด มักจะหมายถึงจิต ดังน้ันความตองการจะกระทํากรรมจึงจัด อยูในประเภทจิตหรือวิญญาณ ความเช่ือวา จิตเปนอัตตาที่เที่ยงแท อยูในตัวบุคคล และอัตตาน้ีเปนผูเห็น ไดยิน เปนตน เรียกวา นิวาสี- อัตตวาทุปาทาน คือการยึดม่ันในนิวาสีอัตตา สวนการเชื่อวามีอัตตา ที่เที่ยงแทอยูในตัวบุคคล เรียกวา นิวาสีอัตตวาทุปาทาน คือ การ ยึดม่ันในนิวาสีอัตตา สําหรับผูปฏิบัติที่กําหนดรูสภาวธรรมอยูตลอดเวลา ขณะ ที่กําหนดวา “คิดหนอ คิดหนอ” จิตท่ีคิดก็ดับไป ขณะที่กําหนด

อนัตตลักขณสตู ร ๑๙๓ วา “ไดยินหนอ ไดยินหนอ” โสตวิญญาณก็ดับไป ขณะท่ีกําหนดวา “สัมผัสหนอ สัมผัสหนอ” กายวิญญาณก็ดับไป ขณะที่กําหนดวา “เห็นหนอ เห็นหนอ” จักขุวิญญาณก็ดับไป เม่ือผูปฏิบัติไดเห็นการ ดับของจิตในขณะท่ีกําหนดอยูก็ตระหนักชัดวา จิตตางๆ ท่ีทําหนาท่ี คิด ไดยิน รูสัมผัส เห็น และจิตที่กําหนดรู เปนเพียงสภาวธรรม ท่ีเกิดข้ึนตามเหตุปจจัยของตนแลวก็ดับไป จิตเหลาน้ีไมใชตัวตน ไมใชอัตตาท่ียั่งยืน ความเขาใจเกิดข้ึนไดดวยวิธีน้ีตามพระพุทธดํารัสเปนตน วา จกฺขุฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิฺาณํ (จักขุวิญญาณ เกิดขึ้นไดเพราะมีตาและรูป)๔๓ นอกจากนั้น โสตวิญญาณเกิดข้ึน ไดเพราะมีหูและเสียง กายวิญญาณเกิดขึ้นไดเพราะมีกายและ โผฏฐัพพารมณ มโนวิญญาณเกิดข้ึนไดเพราะมีภวังคจิตและ ธรรมารมณ จิตที่กําหนดรูเกิดขึ้นไดเพราะมีความต้ังใจจะกําหนด และอารมณที่พึงกําหนด จิตเหลานี้เกิดข้ึนไดเพราะมีเหตุปจจัยมา ประชุมกันอยางพรอมมูล ไมวาเราตองการจะใหเกิดหรือไมก็ตาม หากไมมีเหตุปจจัยที่เหมาะสม จิตก็ไมเกิด ถึงเราอยากใหจิตที่นา พอใจคงอยูนานๆ ก็ไมอาจจะคงอยูได จิตนั้นเมื่อเกิดแลวก็ดับไป ในทันที

๑๙๔ อนตั ตลกั ขณสูตร ดังนั้น ผูปฏิบัติจึงสามารถตัดสินใจไดดวยความรูจาก ประสบการณของตนเองวา “จิตไมใชอัตตาผูกระทํากรรมตางๆ ซึ่ง เท่ียงแทและสามารถบังคับบัญชาใหเปนไปตามความตองการของ เรา แตเปนเพียงสภาวธรรมท่ีเกิดข้ึนตามเหตุปจจัยและดับไป ในทันที พระปญจวัคคียเปนผูมีปญญาเหนือปุถุชนเพราะไดบรรลุ โสดาปตติมรรคญาณ หลุดพนจากความยึดมั่นแลว ดังน้ันเมื่อ พระผูมีพระภาคตรัสถามวา “จิตใดไมเที่ยง เปนทุกข มีความ แปรปรวนเปนธรรมดา ควรหรือท่ีจะตามเห็นวา จิตนี้เปนของเรา จิตน้ีเปนเรา จิตน้ีเปนอัตตาของเรา” จึงทูลตอบวา “ไมควรเลย พระพุทธเจาขา” ลําดับตอไปจะเปนการอธิบายสวนท่ี ๓ ของพระสูตรเกี่ยวกับ การพิจารณาเพ่ือกําจัดความยึดม่ัน การพิจารณารูป ตสฺมาติห๔๔ ภิกฺขเว ยํ กิฺ จิ รูป อตีตานาคตปจฺจุปนฺนํ, อชฺฌตฺตํ วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกํ วา สุขุมํ วา, หีนํ วา ปณีตํ วา, ยํ ทูเร สนฺติเก๔๕ วา, สพฺพํ รูป “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺาย ทฏพฺพํ.

อนตั ตลักขณสตู ร ๑๙๕ “ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น รูปอยางใดอยางหนึ่งในโลก น้ี ท้ังที่เปนอดีต อนาคต และปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบ หรือละเอียด เลวหรือดี ไกลหรือใกล เธอท้ังหลายพึงเห็นรูปท้ังหมด น้ันดวยปญญาอันชอบตามความเปนจริงอยางน้ีวา รูปน้ีมิใชของเรา รูปน้ีมิใชเรา รูปน้ีมิใชอัตตาของเรา” ในพระดํารัสขางตนนี้ ไดจําแนกรูปเปน ๑๑ อยางดวยกัน คือ รูปที่เปนอดีต อนาคต ปจจุบัน เปนตน เมื่อวาโดยกาลเวลา จําแนกเปนรูปอดีต อนาคต หรือปจจุบัน รูปอดีต หมายความวา รูปที่เกิดและดับไปแลวในอดีตชาติ หรือในปจจุบันชาติ รูปอนาคต หมายความวา รูปท่ียังไมเกิด ซึ่งจะเกิดข้ึน ณ เวลาหน่ึงในอนาคต รูปปจจุบัน หมายความวา รูปที่กําลังเกิดอยูในปจจุบันขณะ เม่ือวา ตามลําดับแหงการเกิดขึ้นก็หมายถึง รูปท่ีเกิดขึ้นแลว รูปที่กําลังเกิด และรูปที่จะเกิดในอนาคต ดังนั้น เม่ือจําแนกรูปโดยกาลทั้ง ๓ อยาง น้ีแลว ก็หมายถึงรูปท้ังหมด ท้ังท่ีมีชีวิตและไมมีชีวิตเปนตนดวย สาวกควรพิจารณารูปชนิดใด เพื่อประโยชนในการเจริญวิปสสนา สาวกพึงกําหนดรูรูป นามท่ีเกิดภายในกายของตน ดังท่ีไดแสดงไวชัดเจนในอรรถกถา

๑๙๖ อนัตตลักขณสตู ร และฎีกาของอนุปทสูตรในอุปริปณณาสก สวนรูปนามอ่ืนเพียง อนุมานรูก็พอแลว๔๖ ดังนั้นผูปฏิบัติจึงตองรูชัดสภาวธรรมรูปนาม ท่ีเกิดขึ้นภายในกายของตนตามท่ีเปนจริงดวยวิปสสนาปญญา สภาวธรรมรูปนามท่ีเปนอนาคตนั้นแมจะเกิดข้ึนภายในกาย ของเรา ก็รูไดโดยอนุมานเทาน้ัน ไมสามารถรูโดยประจักษแจงได เพราะเปนรูปที่ยังไมเกิดขึ้น สวนรูปในอดีตก็ไมสามารถรูเห็นไดตาม ความเปนจริง ไดแตคาดเดาเทานั้น แมรูปในชาติปจจุบัน แตเกิดข้ึน หลายป หลายเดือน หรือหลายวันมาแลว ก็ยังยากที่จะเห็นได แมแต รูปท่ีเกิดเม่ือสองสามช่ัวโมงกอนก็ยังไมสามารถรูสภาวะที่แทจริงได เพราะปุถุชนท่ัวไปเม่ือไดเห็น ไดยินหรือไดสัมผัสก็จะเกิดความยึดถือ ทันทีวาเปน เรา เขา ชาย หญิง เปนตน ซ่ึงเปนสมมุติบัญญัติ พึงกําหนดรูรูปปจจุบันเทานั้นในเบ้ืองแรก ดังที่ตรัสไวในภัทเทกรัตตสูตรวา ปจฺจุปฺปนฺนฺจ ยํ ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ. “บุคคลพึงเจริญวิปสสนา กําหนดรูเฉพาะปจจุบันขณะ ในขณะนั้นๆ ที่สภาวะเห็น ไดยิน ฯลฯ กําลังเกิดข้ึนอยูเทานั้น”๔๗ ในสติปฏฐานสูตรก็ตรัสไวเชนกันวา ในเบ้ืองตนพึงกําหนด

อนัตตลกั ขณสูตร ๑๙๗ รูสภาวธรรมที่กําลังเกิดอยูในปจจุบันขณะ เชน ในขณะเดิน ยืน น่ัง นอน๔๗ ผูปฏิบัติธรรมพึงกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามท่ีปรากฏข้ึน ทางทวารท้ัง ๖ ทุกคร้ังที่มีการเห็น ไดยิน รูกลิ่น ล้ิมรส สัมผัส และ คิดนึก ใหทันในปจจุบันขณะ เชนเดียวกับผูปฏิบัติที่กําลังกําหนดรู สภาวะพอง ยุบ นั่ง หรือกระทบสัมผัสอยูในขณะน้ี การกําหนดรูใน ลักษณะนี้จะสงผลใหสมาธิทวีพลังแกกลาข้ึน ผูปฏิบัติจะเห็นความ แตกตางระหวางสภาวะยุบกับจิตที่กําหนดรูสภาวะยุบนั้น การขยาย ตัว แรงดัน และการเคล่ือนไหวในขณะพองขึ้น ไมยืนยาวมาถึงขณะ ยุบแตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะท่ีพองขึ้นเทาน้ัน สวนการยุบตัว และการ เคล่ือนไหวในขณะที่ยุบลง ก็ไมยืนยาวมาถึงขณะพอง แตดับลงใน ขณะที่ยุบน้ัน ในเวลาเดิน การเหยียดเทาและการเคลื่อนไหวในขณะที่เทา ขวายางออกไป ไมยืนยาวมาถึงขณะที่เทาซายยางออกไป ในทํานอง เดียวกัน รูปยางเทาซายก็ไมอยูถึงรูปยางเทาขวา แตดับไปทันทีที่ ปรากฏข้ึน รูปในขณะยก ก็ไมอยูถึงขณะยาง รูปในขณะยาง ก็ไมอยู ถึงขณะเหยียบ รูปท้ังหมดน้ียอมดับไปในทันทีท่ีปรากฏข้ึน ในทํานองเดียวกัน ในขณะคูและขณะเหยียด สภาวะแตละ อยางก็ดับไปในทันทีท่ีปรากฏข้ึน เมื่อสมาธิมีพลังแกกลามากข้ึน

๑๙๘ อนัตตลกั ขณสูตร ผูปฏิบัติจะสังเกตเห็นวา ในขณะท่ีกําลังคูหรือเหยียดนั้น สภาวะ เกิดดับน้ันเกิดข้ึนติดตอกันอยางรวดเร็วแมวารางกายยังอยูในทาเดิม ผูปฏิบัติจึงตระหนักวา เหตุท่ีไมไดเห็นปรากฏการณเชนน้ีมากอน เพราะไมไดมีการกําหนดรูอยางระมัดระวัง เดี๋ยวนี้เราไดกําหนดรู รูปนามอยางตั้งใจ จึงเห็นไดวารูปนามไมไดต้ังอยูจากขณะหนึ่งสู อีกขณะหนึ่ง หากแตมันดับไปต้ังแตมันเร่ิมเกิดข้ึน ดังน้ัน รูปที่เกิดข้ึน ในขณะกอนจึงไมไดตั้งอยูถึงขณะปจจุบัน แตมันไดดับไปกอน รูปที่ ตั้งอยูในปจจุบัน เชน พอง ยุบ คู เหยียด ยก เหยียบ หรือเคล่ือนไหว เหลาน้ีไมตั้งอยูถึงขณะตอไป แตไดดับไปในทันที รูปเดินก็ดับไปต้ังแต ขณะท่ีปรากฏขึ้น ดังนั้น รูปทุกชนิดจึงไมเท่ียง เกิดข้ึนและดับไปอยู ตลอดเวลา เปนทุกข ไมใชอัตตา เปนเพียงสภาวธรรมท่ีบังคับบัญชา ใหเปนไปตามความตองการไมได เพราะเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุ ปจจัย เปนความจริงที่ผูปฏิบัติจะตระหนักรูไดจากประสบการณใน การปฏิบัติของตนเองเทานั้น ดังน้ัน พระผูมีพระภาคจึงพรํ่าสอนให สาวกพากเพียรในการปฏิบัติวิปสสนาจนกระทั่งเกิดปญญาเขาใจวา จิตน้ีไมใชของเรา

อนัตตลกั ขณสตู ร ๑๙๙ การรูเห็นวานั่นไมใชของเราและอนิจจลักษณะเปนตน ในคําวา เนตํ มม (ส่ิงน้ีมิใชของเรา) อาจมีคําถามวา ควร ใชขอความขางตนนี้เปนคําบริกรรมในขณะกําหนดรูสภาวธรรมรูป นามหรือไม ตอบวา ไมควรใชเปนคําบริกรรม การเจริญภาวนาควร กระทําเพ่ือใหรูสภาวะท่ีแทจริงของอนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ การรูสภาวะที่แทจริงของอนิจจลักษณะเปนตน นั้น ก็คือการรูความหมายของคําวา เนตํ มม ซึ่งคํานี้เปนศัพทเกา ในภาษาบาลี ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ฉันนสูตร มีขอความตอน หนึ่งที่ทานพระสารีบุตรถามพระฉันนะวา ทานรูเห็นวา “ส่ิงนี้ของ เรา ส่ิงนี้เปนเรา ส่ิงน้ีเปนอัตตาของเราหรือ”๔๙ และพระฉันนะตอบ วา “กระผมรูเห็นวา สิ่งน้ีมิใชของเรา สิ่งนี้มิใชเรา ส่ิงนี้มิใชอัตตา ของเรา”๕๐ ในคัมภีรอรรถกถาอธิบายวา “พระฉันนะเห็นเปนเพียง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”๕๑ การเห็นวา “สิ่งนี้มิใชของเรา” ก็เหมือนการเห็นการเกิดขึ้น และดับไปอยางไมขาดสาย จึงตระหนักวาไมมีอะไรนายินดีพอใจ หรือนาไววางใจ มีแตเพียงความทุกข การเห็นวา “ส่ิงนี้มิใชเรา” ก็เหมือนกับการเห็นวารูปนามไมเท่ียง มานะความถือตัวเกิดขึ้น เพราะความเชื่อวารูปนามนั้นยั่งยืน เมื่อไดรูตามความเปนจริงวามัน

๒๐๐ อนัตตลักขณสตู ร ไมเที่ยงจึงไมมีอะไรใหภาคภูมิใจ การเห็นวา “ส่ิงน้ีมิใชอัตตาของเรา” ก็เหมือนกับการเห็นวามันไมใชอัตตา การไมไดกําหนดรูสภาวธรรม รูปนามท่ีปรากฏทางทวารทั้ง ๖ ทําใหเชื่อวารูปนามเหลานั้นเท่ียง แท สงผลใหเกิดมานะข้ึนวา “ส่ิงนี้เปนเรา” แตเมื่อไดเห็นวาสภาวธรรมรูปนามไมไดคงอยูแมเพียงชั่ว พริบตา ทุกสิ่งทุกอยางไมเที่ยง มานะก็ไมสามารถเกิดขึ้นได เม่ือไร เห็นรูปนามเปนอนัตตา เมื่อน้ันก็จะไมยึดถือวามันเปนอัตตา ปุถุชนท่ัวไปที่ไมสามารถกําหนดรูสภาวธรรมรูปนามในขณะ เห็น หรือไดยินเปนตน ก็มักจะเช่ือวา รูปที่เกิดขึ้นในขณะเห็นนั้น ตั้งอยูจนกลายไปเปนรูปที่เกิดขึ้นในขณะไดยิน หรือกลับกัน คือ ต้ังอยูจากขณะไดยินจนถึงขณะเห็น แลวเชื่ออีกดวยวา การเห็น การไดยิน การสัมผัส เปนตนเหลาน้ี เปนการกระทําของฉันคนเดียว การเชื่ออยางน้ีเรียกวาเปนการยึดมั่นความเห็นวาเท่ียง แตผูปฏิบัติที่เฝาสังเกตสภาวธรรมอยูตลอดเวลาน้ันยอมรู วา รูปที่เกิดในขณะเห็นก็ดับไปในขณะเห็น ไมต้ังอยูจนถึงขณะไดยิน รูปท่ีเกิดในขณะไดยินก็ดับไปในขณะไดยิน ไมตั้งอยูจนถึงขณะเห็น การเห็น การไดยิน การสัมผัส การคิดนึก เปนสภาวธรรมที่เกิดข้ึนใหม ตลอดเวลา น่ีเรียกวาเปนการรูเห็นความไมเที่ยงตามความเปนจริง เมื่อรูอยางนี้แลว ผูปฏิบัติยอมเขาใจไดวา รูปท่ีเปนอดีตยอมดับไป

อนตั ตลักขณสตู ร ๒๐๑ ในอดีต ไมตั้งอยูจนถึงปจจุบัน รูปปจจุบันก็ดับไปในทันทีท่ีกําหนดรู ไมต้ังอยูจนถึงอนาคต เขายอมอนุมานรูไดอีกวารูปในอนาคตก็จะดับ ลงทันทีเม่ือถูกกําหนดรู เขารูวารูปไมต้ังอยูแมเพียงชั่วพริบตาเดียว เม่ือผูปฏิบัติรูอยางน้ีแลว ความยึดม่ันดวยตัณหาวา “รูปนี้เปนของ เรา” ความยึดม่ันดวยมานะวา “รูปน้ีเปนเรา” ความยึดม่ันดวยทิฏฐิ วา “รูปนี้เปนอัตตาของเรา” ท้ังสามอยางน้ีก็จะไมมีโอกาสเกิดข้ึนได พระผูมีพระภาคทรงสอนใหพระปญจวัคคียพิจารณาอยางนี้เพื่อ ใหละความยึดม่ันดวยตัณหาและมานะ สวนปุถุชนน้ันก็ถูกสอนให พิจารณาเพ่ือละความยึดมั่นดวยทิฏฐิ ทรงสอนพระโสดาบันใหหยั่งเห็นอนัตตา นาฉงนวาเหตุใดพระผูมีพระภาคจึงทรงสอนพระปญจวัคคีย ซ่ึงบรรลุเปนพระโสดาบันแลวใหละอัตตาวา ขันธไมใชอัตตาของ เรา เพราะในคัมภีรวิสุทธิมรรค๕๒กลาววา พระโสดาบันบุคคลไดละ ความเห็นผิดที่เรียกวา ทิฏฐิวิปลลาส พรอมท้ังสัญญาวิปลลาส และ จิตตวิปลลาสไดแลว ก็เม่ือพระโสดาบันไดละอัตตวิปลลาส ๓ อยาง ไดแลว ยังมีอัตตวิปลลาสชนิดไหนที่ทรงสอนใหพระปญจวัคคียขจัด ใหหมดไป เราไดอธิบายในบทแรกของหนังสือวา อนัตตลักขณสูตร เปนพระสูตรท่ีทรงสอนวิธีพิจารณาเพื่อละอัสมิมานะ ซึ่งคลายกับ การยึดมั่นอัตตา ทั้งน้ีเพราะพระโสดาบันยังมีมานะเหลืออยู ดังน้ัน

๒๐๒ อนัตตลกั ขณสูตร คําสอนใหพิจารณาวา “รูปน้ีมิใชอัตตาของเรา” จึงไมใชคําสอนให กําจัดอัสมิมานะ ถาอยางนั้นคําสอนน้ีหมายถึงใหกําจัดความยึดม่ัน อะไร ประเด็นนี้จึงพึงใครครวญ ปญหาน้ีไมใชเร่ืองงายท่ีจะวิเคราะหและหาคําตอบท่ีชัดเจน แตจะขอเสนอความเห็นเพื่ออธิบายปญหานี้ ดังนี้คือ ๑) ในสีลวันตสูตร๕๓ กลาววา พระอรหันตก็ยังเจริญภาวนา เก่ียวกับอนัตตลักษณะ แมวาพระโสดาบันจะไมมีอัตตวาทุปาทาน ที่จะตองกําจัด แตทานก็ยังตองรูเห็นอนัตตลักษณะเชนเดียวกับ พระอรหันตเพ่ือการบรรลุมรรคผลข้ันสูงขึ้น ๒) พระโสดาบันไดหลุดพนจากทิฏฐิวิปลลาสที่เขาใจผิดวา เท่ียงและเปนตัวตนแลวอยางไมตองสงสัย สวนสัญญาวิปลลาสน้ัน พระโสดาบันจะละไดช่ัวคราวเฉพาะเวลาท่ีมนสิการเพ่ือละสัญญา- วิปลลาสเทาน้ัน ในขณะนั้นจึงจะเรียกไดวาพนไปจากความจําหมาย ผิดวาอัตตาเท่ียง เพราะถาหากกลาววา พระโสดาบันพนจากความ เห็นผิดเหลาน้ีตลอดเวลา โดยที่ทานไมตองใสใจรูเห็นความไมเที่ยง และความเปนอนัตตาของรูปนาม ก็เทากับวาเราจัดใหพระโสดาบัน มีคุณสมบัติอยูในระดับเดียวกันกับพระอรหันต ซ่ึงหมายความวา พระโสดาบันจะตองรูแจงสภาวะเห็น หรือไดยิน เปนตน วาเปนเพียง สภาวธรรมที่ไมเท่ียง ทานก็คงจะตองปราศจากมานะและกามราคะ

อนตั ตลกั ขณสูตร ๒๐๓ เหมือนพระอรหันต แตความจริงมิไดเปนเชนนั้น ดังนั้น ในขณะที่ ไมไดมนสิการกรรมฐานพระโสดาบันอาจมีสัญญาวิปลลาส มีความ เห็นผิดเก่ียวกับสิ่งตางๆ ได เพราะเหตุนี้ พระผูมีพระภาคทรงมี พระประสงคใหพระปญจวัคคียกําจัดสัญญาวิปลลาส จึงทรงสอนให รูเห็นอนัตตลักษณะ ๓) ขออางอิงจากคําอธิบายของพระเขมกะซึ่งไดบรรลุเปน พระอนาคามีแลว กลาววา ทานไมยึดถือรูปวา “รูปนี้เปนเรา” ไม ถือในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณทีละอยางวาเปนเรา แตทาน ยังไมพนจากการยึดถือในขันธ ๕ ทั้งหมดวาเปนเรา๕๔ สําหรับ พระโสดาบันก็เปนทํานองเดียวกัน ทานไมมีการยึดมั่นในขันธแตละ อยาง เชน รูปขันธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ เปนตนวาเปนเรา แตยัง ไมพนจากสัญญาวิปลลาสในขันธ ๕ ทั้งหมด จึงยังเขาใจวาเปนบุรุษ หรือสตรีอยู ทําใหไมพนจากกามราคะจนกระท่ังยังมีครอบครัวอยู ดังนั้น จึงถือวาพระผูมีพระภาคทรงสอนใหพระปญจวัคคียรูเห็น อนัตตลักษณะเพ่ือใหพนจากสัญญาวิปลลาสในเรื่องทั่วไป และทิฏฐิ- วิปลลาส ท่ีกลาวมานี้เปนการคิดอธิบายเพื่อไมใหขัดแยงกับคัมภีร อรรถกถาที่กลาววา พระโสดาบันพนแลวจากสัญญาวิปลลาสและ ทิฏฐิวิปลลาสเก่ียวกับอัตตา ดังท่ีกลาวไวขางตน

๒๐๔ อนตั ตลักขณสูตร ปุถุชนทั่วไปท่ีไมสามารถกําหนดรูสภาวธรรม รูปนามในขณะเห็น หรือไดยินเปนตน ก็มักจะเชื่อวา รูปที่เกิดขึ้นในขณะเห็นน้ันต้ังอยูจนกลายไปเปนรูปที่ เกิดข้ึนในขณะไดยิน หรือกลับกันคือตั้งอยูจากขณะ ไดยินจนถึงขณะเห็น แลวเชื่ออีกดวยวา การเห็น การ ไดยิน การสัมผัส เปนตนเหลาน้ี เปนการกระทําของ ฉันคนเดียว การเชื่ออยางน้ีเรียกวา เปนการยึดม่ัน ความเห็นวาเท่ียง

๗ การพิจารณาขันธ ๕ ดวยนัย ๑๑ อยาง การพิจารณารูป ๑๑ อยาง ตอไปน้ีจะขออธิบายเก่ียวกับการพิจารณารูปอดีต ปจจุบัน และอนาคต โดยความเปนอนิจจัง เปนตน ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรู รูปนามในขณะท่ีเกิดข้ึนและดับลงไปในทันที จะรูไดวาสภาวธรรม ท้ังหลายมีลักษณะไมเที่ยง เปนทุกข ไมใชตัวตน ผูท่ีไดตระหนักรู อยางน้ีแลวจะสามารถตัดสินจากประสบการณของตนเองวา รูปที่ เกิดขึ้นในอดีตไมไดยืนยาวมาถึงปจจุบัน และรูปที่เกิดขึ้นในปจจุบัน ก็ไมยืนยาวไปจนถึงอนาคต รูปทั้งหลายนั้นดับไปในทันทีท่ีเกิดข้ึน ดังนั้นจึงไมเท่ียง เพราะมันไมเที่ยงจึงเปนทุกข และไมใชตัวตน เปน

๒๐๖ อนตั ตลกั ขณสูตร เพียงสภาวธรรมเทาน้ัน ขอใหทานท้ังหลายฟงสาธยายวิธีพิจารณา ตามแนวทางในวิสุทธิมรรค๕๕ และโปรดพยายามนอมใจตามไปดวย ๑) รูปในอดีตไดดับไปแลว ไมยืนยาวมาถึงปจจุบัน เพราะ มันดับไปส้ินไป มันจึงไมเท่ียง, เพราะมันดับไปสิ้นไปอยูตลอดเวลา มันจึงนากลัว เปนความทุกขแทๆ, เพราะมันไมสามารถควบคุมได จึงไมใชสามีอัตตา มันไมใชตัวตนที่ยั่งยืน จึงไมใชนิวาสีอัตตา มัน ไมใชผูกระทํากรรมตางๆ จึงไมใชการกอัตตา มันไมใชผูรับรูอารมณ ตางๆ จึงไมใชเวทกอัตตา รูปไมใชตัวตนท่ีมีสาระ เปนเพียงสภาว- ธรรมที่เปนอนัตตา ๒) รูปในปจจุบันก็ดับไปในปจจุบัน ไมยืนยาวจนถึงอนาคต เพราะมันดับไปส้ินไป มันจึงไมเที่ยง เพราะมันดับไปส้ินไปอยูตลอด เวลา มันจึงนากลัว เปนความทุกขแทๆ เพราะมันไมสามารถควบคุม ได จึงไมใชสามีอัตตา มันไมใชตัวตนท่ีย่ังยืน จึงไมใชนิวาสีอัตตา มัน ไมใชผูกระทํากรรมตางๆ จึงไมใชการกอัตตา มันไมใชผูรับรูอารมณ ตางๆ จึงไมใชเวทกอัตตา รูปไมใชตัวตนท่ีมีสาระ เปนเพียงสภาว- ธรรมท่ีเปนอนัตตา

อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๐๗ ๓) รูปท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคตก็จะดับไปในอนาคตน้ันเอง ไม ยืนยาวตอไปถึงภพหนา เพราะรูปดับไปสิ้นไปจึงไมเท่ียง เพราะมัน ดับไปส้ินไปอยูตลอดเวลา จึงนากลัว เปนทุกขแทๆ ไมใชตัวตน ไมมี แกนสาร เปนเพียงสภาวธรรมที่เปนอนัตตา นี้เปนวิธีพิจารณาลักษณะท่ีแทจริงของรูปโดยทั่วไป ตอไปนี้ เราจะสาธยายวิธีพิจารณาอยางละเอียด ๑) รูปอดีตในขณะท่ีเกิดเปนคร้ังสุดทาย ไมยืนยาวถึงขณะ ดับ รูปสุดทายในขณะดับ ไมยืนยาวมาถึงขณะเกิด แตไดดับไปใน ขณะเกิดขึ้นและดับไปนั้นเอง จึงไมเที่ยง เพราะรูปไมเที่ยงจึงเปน ทุกข เพราะมันไมอยูในบังคับบัญชาจึงเปนอนัตตา รูปสุดทายของขณะที่เห็นและไดยิน ไมยืนยาวถึงขณะท่ี เห็นและไดยินในปจจุบัน ไดดับไปในทันทีต้ังแตขณะท่ีเกิดขึ้น ดังน้ัน มันจึงไมเท่ียง เปนทุกข เปนเพียงสภาวธรรมที่เปนอนัตตา ๒) รูปที่กําลังเกิดอยูในขณะน้ี ไมยืนยาวถึงขณะดับ และ รูปท่ีกําลังดับก็ไมยืนยาวถึงขณะเกิด ไดดับไปในเวลาที่เกิดและดับ น้ันเอง ดังน้ัน รูปจึงไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา รูปปจจุบันที่เกิดข้ึนในขณะที่กําลังเห็นและไดยินน้ัน ไมได ยืนยาวอยูจนถึงขณะถัดไป แตไดดับไปในขณะท่ีเห็นและไดยิน น้ันเอง ดังนั้นรูปปจจุบันจึงไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา

๒๐๘ อนัตตลักขณสูตร ๓) รูปที่จะเกิดขึ้นและดับไปในอนาคตน้ัน จะไมยืนยาวไป จนถึงระยะถัดไปในอนาคต แตจะดับไปในขณะท่ีเกิดข้ึนน้ันเอง ดังน้ันรูปอนาคตจึงไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา นี่เปนวิธีพิจารณารูปอดีต ปจจุบัน และอนาคตในขณะที่ กําหนดรูการเกิดขึ้นและดับไปของสภาวธรรมรูปนามที่เกิดอยูเฉพาะ หนา และเปนวิธีที่จะอนุมานรูรูปอดีตและรูปอนาคตจากการกําหนด รูรูปปจจุบัน เราอาจอนุมานรูไดวา รูปในปจจุบันขณะ เชน สภาวะพอง ยุบ คู เหยียด ยก ยาง เหยียบ เห็น ไดยิน เปนตน มีการเกิดขึ้นและ ดบั ไปในทนั ทที กี่ าํ หนดรู ฉนั ใด รปู ในอดตี กม็ สี ภาวะพอง ยบุ คู เหยยี ด ยก ยาง เหยียบ เห็น ไดยิน ที่มีการเกิดข้ึนและดับไปในทันทีท่ีกําหนด รูเหมือนกัน ฉันน้ัน จึงมีลักษณะไมเที่ยง เปนทุกข และเปนอนัตตา เชนเดียวกัน เม่ือไดรูเห็นดวยประสบการณของตนเองวารูป ภายในรางกายของตนไดมีการดับไปทันทีที่เกิดขึ้น ก็ สามารถอนุมานรูรูปในรางกายของคนอ่ืนท่ัวทั้งโลกไดวา มีการเกิดขึ้นและดับไปในทันทีที่กําหนดรูเชนเดียวกัน ดังนั้น รูปของคนอ่ืนทั่วทั้งโลกจึงมีลักษณะไมเที่ยง เปน ทุกข ไมใชตัวตนดวยเหมือนกัน

อนัตตลกั ขณสูตร ๒๐๙ การพิจารณารูปภายในและรูปภายนอก คนท่ัวไปนึกวา เวลาที่เราบวนนํ้าลาย หรือขับถายอุจจาระ ปสสาวะ จัดเปนการขับถายรูปท่ีอยูภายในรางกายของเราออกไป ภายนอก เวลาท่ีเราบริโภคอาหารหรือหายใจเขา เปนการนําเอารูป ภายนอกเขามาภายในรางกาย แตความจริงไมใชเชนน้ัน เพราะรูปมี การเกิดข้ึนและดับไปในทันทีในสถานที่ท่ีมันเกิดน้ันเอง แลวรูปใหม ก็เกิดข้ึนแทนในที่แหงใหม ผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูอยูอยางตอเนื่องจะ เห็นการดับไปของรูปในที่ๆ มันเกิด ข้ันตอนของการเห็นการเกิดดับของรูปเปนดังน้ีคือ เม่ือสติ และสมาธิมีกําลังแกกลา ผูปฏิบัติจะเห็นวาในขณะที่กําหนดสภาวะ พองยุบของทองอยูน้ัน จะเห็นลมหายใจออกขาดออกเปนชวงๆ จาก ทรวงอก ลําคอ และจมูก ตามลําดับจนกระท่ังผานออกจากรางกาย และเห็นลมหายใจเขาคอยๆ ดันเขาสูรางกายทีละนอยๆ เปนชวงๆ ผูปฏิบัติท่ีสูบยาสูบจะรูวา ควันยาสูบที่ออกจากรางกายและดันเขา สูรางกายน้ัน ประกอบดวยชวงเล็กๆ ติดตอกันเปนสาย ในขณะ ดื่มน้ํา ก็จะเห็นอาการเชนเดียวกันน้ี เม่ือน้ําคอยๆ ดันเขาสูลําคอ ดังนั้น รูปภายในจึงไมไดออกไปขางนอก และรูปภายนอกก็ไมไดเขา มาขางใน แตไดดับไปหายไปในสถานท่ีๆ มันเกิดน่ันเอง รูปจึงไมเที่ยง เปนทุกข และไมใชตัวตน

๒๑๐ อนัตตลักขณสูตร (๔-๕) รูปภายในไมไดออกไปภายนอก รูปภายนอกไมได เขามาภายใน แตไดดับไปหายไปในภายในหรือภายนอกซ่ึงเปนท่ีๆ มันเกิด ดังน้ัน รูปจึงมีลักษณะเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา การพิจารณารูปหยาบและรูปละเอียด คนท่ัวไปเชื่อวารูปท่ีละเอียดออนในวัยเด็กของเราคอยๆ กลายเปนรูปที่หยาบกระดางเมื่อเรามีอายุมากข้ึน รูปที่แข็งแรง เบา และสวยงาม ก็กลับกลายเปนรูปออนแอ หนัก ไมสวยงาม หรือรูปที่ ออนแอ หนัก ไมงาม กลับกลายเปนรูปท่ีแข็งแรง เบา และสวยงาม แตผูปฏิบัติท่ีกําหนดรูสัมผัสของรางกายอยูอยางตอเนื่องจะเห็นได วา รูปเหลาน้ันไดดับไป แตกไปเปนช้ินเล็กชิ้นนอยแมในขณะท่ีเฝา กําหนดรูอยูน้ันเอง เมื่อไดเห็นอยางนี้ เขายอมรูไดวา รูปหยาบไมได กลายมาเปนรูปละเอียด และรูปละเอียดก็ไมไดกลายไปเปนรูปหยาบ รูปเย็นไมไดกลายเปนรูปรอน รูปรอนไมไดกลายเปนรูปเย็น รูปหยาบ รูปกระดาง รูปเหยียด รูปเคล่ือนไหว ไมไดกลายเปนรูปละเอียด รูปออน รูปนิ่ง หากแตรูปเหลานั้นไดดับไปเสียในทันทีที่เกิดข้ึนน้ัน เอง ดังน้ัน รูปจึงไมเท่ียง เปนอนัตตา

อนัตตลกั ขณสตู ร ๒๑๑ (๖-๗) รูปหยาบในรางกายน้ี ไมไดกลายเปนรูปละเอียด รูปละเอียดไมไดกลายเปนรูปหยาบ แตไดดับไปตั้งแตขณะท่ีเกิดข้ึน ดังนั้นรูปจึงไมเท่ียง เปนทุกข ไมใชตัวตน การพิจารณารูปเลวและรูปดี โดยปกติคนเราเชื่อวารูปท่ีไมแข็งแรงหรือรูปท่ีเลว กลาย เปนรูปท่ีแข็งแรงและดี รูปหนุมสาวกลายเปนรูปคนชรา แตผูปฏิบัติ ที่คอยตามดูรูปอยูอยางตอเนื่องต้ังแตการเกิดข้ึนของรูป จะเห็นวา รูปที่ปรากฏข้ึนนั้นก็ดับไปตั้งแตถูกกําหนดรู ดังนั้น เขาจึงเห็นไดวา รูปท่ีเลวนั้น ไมไดกลายเปนรูปที่ดี และรูปที่ดีก็ไมไดกลายเปนรูปท่ี เลว รูปเหลาน้ันไดดับไปในทันทีที่เกิดข้ึน ดังนั้นมันจึงไมเที่ยง เปน ทุกข ไมใชตัวตน (๘-๙) รูปท่ีเลวในรางกายน้ี ไมไดกลายเปนรูปที่ดี รูปท่ีดี ไมไดกลายเปนรูปท่ีเลว แตไดดับไปต้ังแตขณะท่ีเกิดขึ้น ดังนั้นรูป จึงเปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

๒๑๒ อนตั ตลักขณสตู ร การพิจารณารูปไกลและรูปใกล โดยปกติคนเราเช่ือวา เมื่อมีคนมาจากท่ีหางไกล คนๆ น้ันได มาพรอมกับรูปของเขาเปนระยะทางไกล เมื่อคนที่อยูใกลเดินทางไป ในท่ีหางไกล เขายอมพารูปของเขาจากท่ีใกลไปยังที่ไกล แตสําหรับ ผูปฏิบัติที่กําหนดรูสภาวธรรมรูปนามอยูเสมอนั้น ยอมเห็นวาใน ขณะท่ีเฝาดูรูปที่เหยียดออกนั้น รูปเหยียดไดดับไปเปนชวงๆ ติดตอ กัน จนปรากฏวารูปไดจางหายไปอยางรวดเร็วโดยไมไดเคล่ือนท่ีไป เลย ในขณะท่ีเฝาดูรูปท่ีคูเขา รูปคูก็ดับไปเปนชวงๆ จนจางหายไป อยางรวดเร็วโดยไมไดเคล่ือนท่ีไปเลย เม่ือไดเห็นเชนน้ี ผูปฏิบัติจึง เช่ือวา รูปใกลไมไดเคลื่อนไปไกล และรูปไกลไมไดเคล่ือนเขามาใกล เพราะรูปเหลานั้นไดดับไปในทันทีที่เกิดขึ้น ดังน้ัน รูปจึงไมเท่ียง เปน ทุกข ไมใชตัวตน ในขณะที่มองดูคนท่ีอยูไกลคอยๆ เคล่ือนเขามาใกล และ กําหนดวา “เห็นหนอ เห็นหนอ” รูปของคนๆ น้ันก็จะดับไปทีละ สวน ๆ จนจางหายไปอยางรวดเร็ว ในขณะมองดูคนท่ีอยูใกลเคลื่อน หางออกไป และกําหนดวา “เห็นหนอ เห็นหนอ” รางของคนๆ น้ันก็ ดับไปทีละสวนๆ จนจางหายไปอยางรวดเร็ว ดังน้ัน รูปไกลไมไดเขา มาใกล รูปใกลไมไดเคลื่อนไกลออกไป รูปเกาดับไปและรูปใหมเกิด ขึ้นมาแทนจึงทําใหดูเหมือนกับคนไดเคล่ือนใกลเขามา หรือเคลื่อน

อนตั ตลักขณสูตร ๒๑๓ หางออกไป ผูปฏิบัติที่บรรลุภังคญาณแลวและมีปญญาแกกลาแลว เทานั้นจึงจะสามารถเห็นสภาวธรรมตามความเปนจริงดังที่อธิบาย มานี้ได สวนคนที่ปญญายังไมแกกลาไมอาจจะรูเห็นไดอยางชัดเจน เชนนั้น ในขณะที่เดินจงกรม ผูปฏิบัติกําหนดรูสภาวะยก ยาง หรือ เหยียบ เปนตนอยู สภาวะยกปรากฏเปนสวนหน่ึงตางหากแยกจาก ยางและเหยียบ เม่ือญาณพัฒนาแกกลาข้ึนจะเห็นการเคลื่อนไหว ของรางกายแขนขาเปนเหมือนภาพท่ีเกิดดับติดตอกันอยางรวดเร็ว จนพราจางแลวดับลงไป เม่ือเห็นอยางน้ี ก็จะสรุปไดวา รูปไมได เคลื่อนจากท่ีหน่ึงสูอีกสถานท่ีหน่ึง แตไดดับส้ินไป ณ สถานท่ีที่มัน เกิดน่ันเอง ความรูอยางน้ีตรงกับขอความในคัมภีรวิสุทธิมรรควา สภาวปรมัตถไมไดเคล่ือนจากสถานท่ีหน่ึงไปอีกท่ีหนึ่ง แตไดดับ ส้ินไป ณ สถานท่ีที่มันเกิดน่ันเอง๕๖ (๑๐-๑๑) รูปไกลไมไดเคล่ือนเขามาใกล รูปใกล ก็ไมได เคล่ือนออกไปไกล แตไดดับสิ้นไป ณ สถานท่ีท่ีมันเกิดนั้นเอง ดังน้ัน รูปจึงมีลักษณะไมเท่ียง เปนทุกข เปนอนัตตา ท้ังหมดน้ีเปนการอธิบายเร่ืองการพิจารณารูป ๑๑ ชนิดวา “รูปนี้มิใชของเรา รูปนี้มิใชเรา รูปน้ีมิใชอัตตาของเรา” วาโดยสรุปตามขอความในพระสูตรนี้วา

๒๑๔ อนัตตลักขณสตู ร เธอท้ังหลายพึงตามเห็นรูป ท้ังท่ีเปนอดีต ปจจุบัน หรืออนาคต ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ใกลหรือไกล ดวยปญญาอันชอบตามความเปนจริงอยางนี้ วา รูปนี้มิใชของเรา รูปน้ีมิใชเรา รูปน้ีมิใชอัตตา ของเรา” การพิจารณาเวทนา ๑๑ อยาง พระพุทธองคตรัสตอไปวา ยา กาจิ เวทนา อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนา, อชฺฌตฺตา วา พหิทฺธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปณีตา วา, ยา ทูเร สนฺติเก วา, สพฺพา เวทนา “เนตํ มม, เนโสหมสฺมิ, น เมโส อตฺตา”ติ เอวเมตํ ยถาภูตํ สมฺมปฺปฺ าย ทฏพฺพํ. “เวทนาอยางใดอยางหน่ึง ทั้งท่ีเปนอดีต อนาคต หรือ ปจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือดี ไกล หรือใกล เธอทั้งหลายพึงเห็นเวทนาทั้งหมดน้ันดวยปญญาอันชอบ ตามความเปนจริงอยางน้ีวา เวทนานี้มิใชของเรา เวทนาน้ีมิใชเรา เวทนาน้ีมิใชอัตตาของเรา” พระพุทธดํารัสท่ีไดทรงสอนใหพิจารณาเวทนา ๑๑ อยาง

อนัตตลักขณสตู ร ๒๑๕ เพื่อใหเห็นความเปนอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาของเวทนา คําวา เวทนาที่เปนอดีต หมายถึงความรูสึกท้ังที่ไดเคยประสบในอดีตชาติ และในชาตินี้ซึ่งอาจเปนเม่ือวันกอน เดือนกอน ปกอน หรือในตอน เชาของวันน้ี ซ่ึงเห็นไดชัดวาเวทนาในชาติกอนๆ ไดดับไปแลว แตผู ท่ีเคยมีความผูกพันกับอัตตา ก็อาจเห็นไดไมชัดเจน เพราะยึดมั่นวา ตัวตนของเขาท่ีเปนผูไดรับเวทนาในชาติกอน ไดกลับมารับเวทนา เหลานั้นอีกในชาติน้ี และแมในชาตินี้ก็เชนกัน เขาไมคิดวาเวทนาที่ ไดรับเมื่อกอนนี้ ไดดับไปแลว แตเช่ือวาตัวตนของเขาท่ีเคยไดรับ เวทนาในขณะกอน ก็กําลังไดรับเวทนาเดียวกันนั้นในขณะปจจุบัน การพิจารณาเวทนาโดยเน่ืองดวยกาล ๓ (๑-๓) ในขณะที่ผูปฏิบัติเฝาดูสภาวะพองยุบอยูอยางใกลชิด หาก มีทุกขเวทนาเกิดขึ้น เชน เม่ือย รอน ปวด เปนตน ก็กําหนดรู ทุกขเวทนาน้ัน แลวเวทนาจะคอยๆ ลดนอยลง จนในที่สุดก็ดับไป เมื่อสมาธิมีกําลังมากเปนพิเศษ ผูปฏิบัติจะเห็นวาทุกขเวทนาดับไป ทุกครั้งที่กําหนดรู เมื่อไดเห็นดังน้ีเขายอมรูไดดวยประสบการณ ของตนเองวา เวทนาไมคงทนอยูนาน ไมคงอยูแมเพียงวินาทีเดียว แตเกิดขึ้นและดับไปอยางรวดเร็วตลอดเวลา จึงไมจําเปนตองพูด ถึงเวทนาในอดีตชาติ หรือท่ีเกิดข้ึนนานมาแลว เพราะแมแตเวทนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook