45 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 หลังได้รบั การจดั การเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ทักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ สูงกว่าก่อนได้รบั การจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .01 สภุ ทั รา ภูษิตรัตนาวลี (2562, บทคดั ยอ่ ) ได้วิจัยการพฒั นารปู แบบการ จัดการเรยี นรู้เชิงรกุ สำหรับคณาจารยว์ ิทยาลยั เทคโนโลยีภาคใต้ ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจดั การเรียนรู้เชิงกสำหรับคณาจารย์วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคใต้ทีพ่ ฒั นาขึน้ เรียกว่า POARE Model ซึ่งมีขั้นตอนสำคัญของการจัดการเรียนรู้ คือ อาจารย์เตรียมความ พร้อม (P) นักศึกษาทราบทิศทางในการเรียน (0) นกั ศึกษาเรียนรู้โดยการปฏิบตั ิ (A) อาจารย์ส่งเสริมพฤติกรรมการเรียนรเู้ ชิงรกุ (R) และ ประเมินผลการเรียนรู้รอบด้าน (E) ซึ่งรปู แบบการจัดการเรียนรู้เชงิ รุกที่สรา้ งข้นึ มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพเป็นไป ตามเกณฑ์ทีก่ ำหนดไว้ (75/75) 2) เม่อื นำรปู แบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุกไปทดลองใช้ พฤติกรรมการเรียนรู้เชิงรกุ ของนักศึกษากล่มุ ทดลองและกล่มุ ควบคมุ แตกต่างกัน อยา่ งมี นัยสำคัญทางสถิติที่ ระดบั .001 โดยพฤติกรรมการเรียนรเู้ ชงิ รกุ ของนกั ศึกษากลุ่มทดลอง ที่อาจารย์จดั การเรยี นรู้โดยใช้รปู แบบการจัดการเรียนรู้เชงิ รกุ มคี ่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่ม ควบคมุ ทีอ่ าจารย์จดั การเรียนรู้โดยใช้รปู แบบปกติ และนกั ศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ ตามรปู แบบการเรียนรู้เชิงรุกมีความพงึ พอใจต่อการจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ ในภาพรวมอยูใ่ น ระดบั ดี กชภทั ร์ สงวนเครือ (2562, บทคัดยอ่ ) ได้วิจยั โปรแกรมเสริมสรา้ ง สมรรถนะครูในการจดั การเรียนรเู้ ชงิ รุกตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา สังกดั สำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบการจัดการเรียนรู้ เชงิ รุกตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา สงั กัดสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน ประกอบด้วย 5 องคป์ ระกอบ 10 ตวั บง่ ชี้ ยืนยันโดยผู้ทรงคุณวุฒิ โดยรวมอยใู่ นระดับมาก ทีส่ ดุ และผลการศกึ ษาตัวบ่งชีส้ มรรถนะครูในการจดั การเรียนรู้เชิงรกุ ตามแนวทางสะเต็ม ศกึ ษา ยืนยนั โดยผู้ทรงคุณวุฒิ โดยรวมอยูใ่ นระดับมากที่สุด 2) สภาพปัจจุบนั ของ สมรรถนะครใู นการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รกุ ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษา สงั กัดสำนกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน โดยรวมอย่ใู นระดับปานกลาง และสภาพทีพ่ ึง ประสงค์ของสมรรถนะครใู นการจดั การเรียนรู้เชิงรกุ ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษา สงั กัด สำนักงานคณะกรรมกรการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน โดยรวมอยใู่ นระดับมากทีส่ ดุ สำหรับวิธีการ เสริมสรา้ งสมรรถนะ 3) โปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะครใู นการจดั การเรียนรู้เชิงรุกตาม แนวทางสะเต็มศกึ ษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน ทีพ่ ัฒนาขนึ้ มี
46 องค์ประกอบโปรแกรม ได้แก่ (1)หลกั การและแนวคิดของโปรแกรม (2) วัตถุประสงค์ของ โปรแกรม (3) รูปแบบและวิธีการพัฒนา (4) เนือ้ หาและสาระสำคญั ของโปรแกรม (5) การ ประเมินผลโปรแกรม ซึง่ ประกอบด้วย 5 Module คือ 1)ความรขู้ องครเู กีย่ วกับเป้าหมาย การสอนสะเตม็ ศกึ ษา 2) ความรขู้ องครเู กีย่ วกบั หลักสูตรสะเต็มศกึ ษา 3) ความรขู้ องครู เกีย่ วกบั ความเข้าใจในผู้เรยี น 4) ความรู้ของครเู กี่ยวกบั กลวิธีการสอนสะเต็มศกึ ษา และ 5) ความรู้ของครเู กี่ยวกบั การประเมนิ การเรียนรู้ ใช้ระยะเวลา 180 ชัว่ โมง วธิ ีการ พัฒนาได้แก่ 1) การประชุมปฏิบัติการ 2) การเรียนรดู้ ้วยตนเอง 3) การสอนงาน 4) กระบวนการพีเ่ ลีย้ ง และ 5) การนเิ ทศ การดำเนินการพฒั นามี 4 ข้ัน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การ ประเมินก่อนการพฒั นา ขนั้ ที่ 2 การพัฒนา ขน้ั ที่ 3 การบูรณาการความรู้ และข้ันที่ 4 การ ประเมินหลังการพัฒนา ผลการประเมนิ โดยผทู้ รงคุณวุฒิ พบว่า มีความเปน็ ประโยชน์ ความเปน็ ไปได้ และความเหมาะสม อยใู่ นระดับมากทีส่ ุดครใู นการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ ตาม แนวทางสะเตม็ ศกึ ษา สังกดั สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน เรยี งตามลำดบั ความถีจ่ ากมากไปหาน้อย ได้แก่ การประชุมปฏิบตั ิการ การเรียนรดู้ ้วยตนเอง การสอนงาน กระบวนการพีเ่ ลี้ยง และการนเิ ทศ 4) ผลการนำโปรแกรมเสริมสร้าง สมรรถนะครใู นการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุกตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา สังกัดสำนักงงนคณะ กรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานไปใช้ พบวา่ 1) ผลอารทคสอบความรเู้ กี่ยวกบั สมรรถนะครู ในการจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา สงั กัดสำนกั งานคณะกรรมการ การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน มคี ะแนนก่อนพฒั นาได้คะแนนเฉลี่ย 17.17 คิดเปน็ รอ้ ยละ 57.22 และ มีคะแนนหลังการพัฒนาได้คะแนนเฉลีย่ 25.47 คิดเป็นร้อยละ 84.89 2) ผลการประเมิน สมรรถนะครใู นการจัดการเรียนรเู้ ชงิ รุกตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน กอ่ นการพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับป่านกลาง หลัง การพฒั นาโดยรวมอยใู่ นระดบั มากทีส่ ุด และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของ ผเู้ ข้าร่วมโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะครูในการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ ตามแนวทางสะ เตม็ ศกึ ษา สังกัดสำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน โดยรวมทกุ ด้านอยูใ่ นระดบั มากที่สดุ กนกวรรณ ฉัตร์แก้ว (2562, บทคัดย่อ) ได้วิจยั การจัดการเรียนรู้เชิงรกุ ใน ยคุ ประเทศไทย 4.0 ของครูผสู้ อนระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ผลการวิจัยพบว่า 1) การ จดั การเรยี นรู้เชิงรกุ ของครูผสู้ อน ในภาพรวม ปฏิบตั ิอย่ใู นระดับมาก 2) ความคิดเห็นของ ผเู้ รียนเกี่ยวกบั การจดั การเรียนรเู้ ชงิ รกุ ของครูผสู้ อน ในภาพรวมปฏิบตั ิอยใู่ นระดับมาก
47 3) ผลการเปรียบเทียบการปฏิบัติการจดั การเรียนรเู้ ชิงรุกของครูผสู้ อนมคี ่าเฉถี่ยมากกว่า ความคิดเห็นของผู้เรียน แตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 และ.05 4) ผลการสังเกตพฤติกรรมการจดั การเรยี นรู้เชิงรกุ ของครูผสู้ อนในภาพรวม ปฏิบัติอยู่ใน ระดบั ปานกลาง และผเู้ รียนมีพฤติกรรมการเรยี น ในภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก วาสนา บุญมาก (2562, บทคดั ย่อ) ได้วิจัยการพฒั นารปู แบบการนเิ ทศแบบ บูรณาการเพือ่ ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรยี นรู้เชิงรุกของครู ระดับการศกึ ษาขั้น พืน้ ฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ขอ้ มูลพืน้ ฐานเกี่ยวกับการนิเทศแบบบรู ณาการ เพื่อส่งเสริม สมรรถนะการจดั การเรียนรู้เชงิ รุก พบวา่ เป็นการนเิ ทศที่นำการนเิ ทศแบบคลินิก (Clinic supervision) การนเิ ทศแบบชีแ้ นะทางปญั ญา (Cognitive coaching) และการนเิ ทศแบบพี่ เลี้ยง (Mentoring) บูรณาการรว่ มกัน มีหลกั การที่ผู้นิเทศจะให้คำชี้แนะแกผ่ รู้ ับการนิเทศที่ สามารถพฒั นาได้ดว้ ยตนเอง และให้คำปรึกษา คำแนะนำแก่ผู้รบั การนเิ ทศที่มี ประสบการณน์ อ้ ย หรอื เริ่มงานให้ได้รบั การพัฒนา และสง่ เสริมการจดั กิจกรรมการเรียน การสอนที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในการพฒั นาคณุ ภาพการเรียนการสอนใหม้ ี ประสิทธิภาพ 2) รปู แบบการนเิ ทศแบบนณู าการ เพือ่ ส่งเสริมสมรรถนะการจดั การเรียนรู้ เชงิ รุกของครรู ะดบั การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานที่สร้างขนึ้ มี 5 องคป์ ระกอบ ได้แก่ หลกั การ วตั ถุประสงค์ เน้ือหา กิจกรรมการนิเทศ และกาวัดและประเมินผล โดยมีกิจกรรมการ นิเทศ 3 ขน้ั ตอน ดังน้ี ขั้นที่ 1 การวางแผนกำหนดทิศทาง ขั้นที่ 2 การปฏิบัติการนเิ ทศ ขั้นที่ 3 การเรยี นรเู้ พือ่ พฒั นา ซึ่งผลการประเมินรปู แบบการนิเทศแบบบูรณาการ เพื่อ ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และคู่มือการใชร้ ูปแบบการนเิ ทศแบบบรู ณา การมี พบว่า มคี วามเหมาะสมอยูใ่ นระดบั มากท้ังสองรายการสว่ นผลการทคลองใชร้ ปู แบบ การนเิ ทศแบบบูรณาการ พบว่าครูผู้สอนตระหนักถึงความสำคญั และจำเป็นของการ จัดการเรยี นการสอนทีม่ ุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีส่วนรว่ มและแลกเปลีย่ น ประสบการณใ์ นการจดั การเรียนรู้เชิงรกุ 3) ผลการศกึ ษาการใชร้ ปู แบบการนิเทศแบบ บรู ณาการ เพือ่ สง่ เสริมสมรรถนะการจดั การเรยี นรู้เชิงรุก ของควรระดับการศกึ ษาขั้น พืน้ ฐาน พบว่า ครูมคี วามรู้ความเข้าใจเกีย่ วกับการจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ หลังการสง่ เสริม สงู กวา่ กอ่ นการสงเสริมอย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีความสามารถในการ เขียนแผนการเรียนรู้เชิงรกุ ในระดบั มากที่สดุ รวมถึงทักษะการจัดการเรียนการสอนที่ ส่งเสริมการจัดการเรยี นรู้เชิงรุกอยใู่ นระดบั มากทีส่ ุดและมีเจตคติที่ดตี ่อการจัดการเรียนรู้ และ 4) ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของครทู ี่มีต่อรูปแบบการนเิ ทศแบบบรู ณาการ
48 เพือ่ ส่งเสริมสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า ครมู คี วามพึงพอใจตอ่ รปู แบบการ นิเทศแบบบรู ณาการอยูใ่ นระดบั มากที่สดุ เชิงรุก สรัญญพัชร์ แก้วศรไี ตร (2563, บทคดั ยอ่ ) ได้วิจัยการพัฒนาชดุ กิจกรรม การเรียนรภู้ าษาไทยเพื่อการส่ือสารเรือ่ งคำและหนา้ ทีข่ องคำ โดยใช้การจดั การเรียนรู้ เชงิ รกุ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัยพบวา่ 1) ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ภาษาไทยเพือ่ การสือ่ สารเรื่องคำและหน้าที่ของคำโดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก สำหรบั นักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากบั 80.56/80.65 ซึง่ สูงกว่าเกณฑท์ ีต่ ้ัง ไว้ที่ 80/80 2) นกั เรียนมผี ลสัมฤทธิท์ างการเรยี นหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ทีพ่ ฒั นาขึน้ สูงกว่ากอ่ นเรียน อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดบั .05 3) นักเรียนมที ักษะการ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองหลงั เรยี นด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึน้ คิดเป็นร้อยละ 90.16 อยใู่ นระดับมากที่สดุ 4) นักเรียนมคี วามพึงพอใจตอ่ การเรียนด้วยชดุ กิจกรรมการ เรียนรู้ทีพ่ ฒั นาขึน้ อยู่ในระดับมาก (������̅ = 4.18, S.D. = 0.56) Christou et al. (2007, pp. 1-5) ได้ศึกษาการเคลือ่ นไหวของนกั เรียนใน ระหว่างการเรียนรโู้ ดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก จากการศกึ ษาพบว่า การเคลื่อนไหวใน ระหว่างการเรียนรใู้ นการสอนเกี่ยวกบั ความรสู้ ึกเชิงเรขาคณิต นกั เรียนได้สังเกตและลงมอื กระทำทำให้นกั เรียนสามารถสร้างความรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง มคี วามสนใจในระหว่างการเรียน รู้อยตู่ ลอดงานวิจัยนี้ยังสนบั สนุนให้ผู้สอนเปน็ ผชู้ ่วยเหลือนกั เรียนให้สามารถสร้างความรู้ ด้วยตนเองและผสู้ อนต้องใหค้ วามสนใจในทุกสถานการณ์ทีน่ กั เรียนได้ลงมอื กระทำ Savec and Devetak (2013, pp. 1113-1121) ได้ทำการวิจยั เกีย่ วกับการ จัดการเรยี นรู้เชิงรกุ ในเนือ้ หาวิชาเคมีเพื่อเพิม่ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นของผู้เรยี น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ของประเทศสโลวาเนีย โดยเปรียบเทียบกบั กลมุ่ ที่ได้รบั การจดั การ เรียนรู้แบบบรรยาย ผลการวิจยั พบว่า ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของกลุ่มทีไ่ ด้รับการ จัดการเรยี นรู้เชิงรกุ สูงกว่ากลุม่ ที่ได้รับการ จัดการเรียนรแู้ บบบรรยายอย่างมนี ัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .0s โดยเฉพาะ ในด้านพทุ ธิพิสัยและด้านทักษะพิสัย แต่ผเู้ รียนจะต้องใช้ เวลาในการปรับตัวในการเรียนรู้มากกวา่ แบบบรรยาย พร้อมทั้งครผู ู้สอนจะต้องมีความ ชำนาญในการสอนอีกด้วย
49 แนวคิดเกี่ยวกับสมรรถนะ แนวคิดเกี่ยวกบั สมรรถนะหรอื ขีดความสามารถในการทำงาน (Competency) เกิดข้ึนในชว่ งตน้ ของศตวรรษที่ 1970 โดยนกั วิชาการชื่อ David McClelland ซึง่ ได้ ทำการศกึ ษาวิจยั วา่ ทำไมบุคลากรทีท่ ำงานในตำแหน่งเดียวกนั จงึ มผี ลงานทีแ่ ตกต่างกัน McClelland จงึ ทำการศกึ ษาวิจยั โดยแยกบคุ ลากรทีม่ ผี ลการปฏิบัติงานดีออกจากบคุ ลากร ทีม่ ผี ลการปฏิบัติงานพอใช้ แล้วจึงศกึ ษาว่าบคุ ลากรท้ัง 2 กลมุ่ มีผลการทำงานทีแ่ ตกตา่ ง กนั อย่างไร ผลการศกึ ษาทำให้สรุปได้วา่ บุคลากรทีม่ ีผลการปฏิบตั ิงานดีจะมีส่งิ หน่ึงที่ เรียกวา่ สมรรถนะ (Competency) (จริ ประภา อคั รบวร, 2549, หนา้ 58) และในปี ค.ศ. 1973 McClelland ได้เขียนบทความวชิ าการเร่ือง “Testing for Competence rather than Intelligence” ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของแนวคิดเรอื่ งสมรรถนะที่สามารถอธิบาย บุคลิกลกั ษณะของคนวา่ เปรียบเสมือนกบั ภูเขาน้ำแขง็ (Iceberg) ภาพประกอบ 3 แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง (The Iceberg Model) ที่มา: (ชูชยั สมิทธิไกร, 2550, หน้า 29) จากภาพประกอบ 3 สามารถอธิบายได้วา่ คุณลกั ษณะของบคุ คลนั้น เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแขง็ ที่ลอยอยใู่ นน้ำ โดยมีสว่ นหน่ึงที่เป็นส่วนน้อยลอยอยเู่ หนือน้ำซึ่ง สามารถสงั เกตและวัดได้ง่าย ได้แก่ ความรู้สาขาต่างๆ ทีไ่ ด้เรียนมา (Knowledge) และสว่ น ของทักษะ ได้แก่ ความเช่ยี วชาญ ความชำนาญพิเศษด้านตา่ งๆ (Skill) สำหรับส่วนของ ภเู ขาน้ำแข็งที่จมอยใู่ ต้น้ำซึง่ เปน็ ส่วนที่มปี ริมาณมากกว่านนั้ เปน็ สว่ นที่ไม่อาจสังเกตได้ ชดั เจนและวดั ได้ยากกวา่ และเปน็ สว่ นที่มีอทิ ธิพลตอ่ พฤติกรรมของบุคคลมากกว่า ได้แก่
50 บทบาทที่แสดงออกตอ่ สงั คม (Social role) ภาพลกั ษณ์ของบคุ คลทีม่ ตี ่อตนเอง (Self- image) คุณลักษณะส่วนบุคคล (Trait) และแรงจูงใจ (Motive) ส่วนทีอ่ ยูเ่ หนือน้ำเปน็ สว่ นที่ มีความสมั พันธ์กบั เชาวน์ปัญญาของบุคคล ซึง่ การที่บคุ คลมีความฉลาดสามารถเรียนรู้ องค์ความรู้ตา่ งๆ และทักษะได้นน้ั ยังไม่เพียงพอทีจ่ ะทำให้มผี ลการปฏิบตั ิงานที่โดดเด่น จงึ จำเป็นต้องมีแรงผลกั ดันเบือ้ งลกึ คณุ ลักษณะส่วนบุคคล ภาพลักษณข์ องบคุ คลทีม่ ตี อ่ ตนเอง และบทบาททีแ่ สดงออกต่อสงั คมอย่างเหมาะสมด้วย จงึ จะทำให้บุคคลกลายเป็นผู้ ที่มผี ลงานโดดเดน่ ได้ สรุปได้วา่ สมรรถนะ (Competency) เป็นคุณลกั ษณะเชงิ พฤติกรรมที่ทำให้ บุคคลปฏิบัติงานได้ผลงานทีโ่ ดดเด่นกวา่ คนอืน่ ๆ ในสถานการณท์ ีห่ ลากหลาย ซึ่ง พฤติกรรมทีเ่ กิดข้ึนนนั้ ประกอบด้วยสองสว่ นคือ ส่วนที่สามารถสงั เกตและวดั ได้ เช่น ความรู้ ทกั ษะด้านต่าง ๆ และอกี สว่ นเปน็ ส่วนทีไ่ ม่สามารถสงั เกตและอาจวัดได้ยาก เช่น แรงจูงใจ ความคิด ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่เบือ้ งลกึ และเป็นสว่ นที่จะกระตุ้นใหบ้ ุคคลแสดง ลักษณะออกมาต่อสงั คมได้ 1. ความหมายของสมรรถนะ กรุณา โถชารี (2560, หนา้ 27) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง คณุ ลักษณะเชงิ พฤติกรรมของแตล่ ะบุคคลที่แสดงออกถึงความรู้ ทกั ษะ และความสามารถ ในการปฏิบตั ิหน้าที่ให้เกิดความสำเร็จตามมาตรฐานหรือสงู กว่ามาตรฐานที่องคก์ าร กำหนดเอาไว้ โดยพฤติกรรมที่แสดงออกในการปฏิบตั ิหนา้ ทีต่ อ้ งเป็นพฤติกรรมที่สามารถ วดั และสงั เกต ได้ว่า บุคคลน้ันเป็นผมู้ ีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และคณุ ลกั ษณะทีโ่ ดด เด่นในองคก์ าร สำนกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (2548, หน้า 5-6) ได้ให้ ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะหรอื พฤติกรรมทีแ่ สดงออกอนั เป็นผลมา จากความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ ซึ่งทำให้บคุ คลสร้างผลงานได้โดดเด่นกวา่ เพือ่ นร่วมงาน ในองคก์ าร อารีวรรณ์ นอ้ ยดี (2553, หน้า 15) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง คุณลกั ษณะเชิงพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากความรู ความสามารถ ทักษะ และ คุณลักษณะอื่น ๆ ทีท่ ำใหบ้ ริหารสถานศกึ ษาสามารถสร้างผลงานได้โดดเดนกวา ร่วมงาน คนอืน่ ๆ
51 วิไลวรรณ สิทธิ (2560, หน้า 17) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง คุณลกั ษณะของบุคคลเกี่ยวกับผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ทีเ่ กี่ยวข้องกับการทำงานและเป็นคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่ทำให้บุคลากรในองค์กร ปฏิบตั ิงานได้ผลงานทีโ่ ดดเดน่ กวา่ คนอื่น ๆ วนั วิสา วเิ ชียรรัตน์ (2561, หนา้ 39) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง ความรู้ ความชำนาญ ความสามารถ ทักษะ หรอื คณุ ลกั ษณะของผู้ดำรง ตำแหนง่ นน้ั ๆ ทีอ่ ยู่ภายใต้ผลการปฏิบัติงานที่ประสบความสำเร็จตามเกณฑท์ ีก่ ำหนดหรอื สงู กวา่ และทำให้เกิดผลงานทีเ่ ปน็ เลิศ ซึง่ มีผลทั้งตอ่ ตนเองและความสำเร็จขององค์การ คณุ ลักษณะเหล่านี้ ได้แก่ ความรู้ ทักษะ คุณลกั ษณะเฉพาะ มโนทศั น์ในตนเอง และ แรงจูงใจในการทำงาน ผสมผสานกันจนทำให้บุคคลเหล่าน้ันแสดงออกมาเปน็ การกระทำ หรอื พฤติกรรม ทีส่ ่งผลใหก้ ารดำเนินงานบรรลุผลสำเร็จตามวิสยั ทศั นแ์ ละวตั ถุประสงค์ ขององคก์ ารได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล ธัญญลักษณ์ เวชกามา (2562, หน้า 32) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง ความรู้ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะที่จำเปน็ ของบุคคลในการทำงานให้ประสบ ผลสำเร็จ มีผลงานได้ตามเกณฑ์ หรอื มาตรฐานทีก่ ำหนดหรอื สงู กว่าเปน็ พฤติกรรมที่ แสดงออกถึงความรู้ ทักษะ และคุณลกั ษณะสว่ นบคุ คลในการประกอบอาชีพและการ บริหารงานตามตำแหน่งหน้าที่ โดยจะมีผลปฏิบัติการดีกว่าเกณฑม์ าตรฐาน คณุ ลักษณะ เชงิ พฤติกรรมของบุคคลที่เปน็ ผลมาจากความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ ทัศนคติ และ คุณลกั ษณะสว่ นบุคคลทีส่ ่งผลต่อการปฏิบตั ิงาน ทำให้งานมปี ระสิทธิภาพ สรา้ งผลงานได้ โดดเดน่ กวา่ บุคคลอืน่ และเกิดผลงานสงู สดุ ตามทีอ่ งค์กรต้องการ สุปราณี อรรถประจง (2562, หนา้ 18) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะพืน้ ฐานของบคุ คล ซึ่งมคี วามสมั พันธ์ตอ่ การปฏิบตั ิงานที่มี ประสิทธิผลหรอื เป็นไปตามเกณฑ์ หรอื การมีผลงานที่โดดเดน่ กวา่ ในการทำงานหรือ สถานการณ์น้ัน โชติกา กณุ สิทธิ์ (2563, หน้า 126) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ คอื คณุ สมบัติที่มอี ยใู่ นตัวบุคคล ได้แก่ ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติที่บคุ คลใดบุคคลหนึ่งพงึ มใี น การปฏิบัติงานหรือกระทำสิ่งต่างๆ ได้ตามมาตรฐานและมีประสิทธิภาพและ/หรือสูงกว่า เกณฑ์อา้ งอิงหรอื เป้าหมายทีก่ ำหนดไว้
52 Boyatzis (1982, p. 58) ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง สิง่ ทีม่ อี ยใู่ น ตวั บุคคล ซึง่ ถือเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบคุ คลเพื่อให้บรรลถุ ึงความต้องการของงาน ภายใต้ปัจจัยสภาพแวดล้อมขององคก์ าร และทำใหบ้ คุ คลม่งุ มน่ั สู่ผลลัพธ์ที่ตอ้ งการ McClelland (2001, pp. 12) ได้ให้ความหมายของสมรรถนะ หมายถึง สมรรถนะเป็นบคุ ลิกลักษณะที่ซอ่ นอยูภ่ ายในปจั เจกบคุ คล ซึง่ สามารถผลกั ดันให้เป็น ปจั เจกบุคคลนั้นสร้างผลการปฏิบตั ิงานที่ดี หรอื ตามเกณฑท์ ีก่ ำหนดในงานที่ตนรบั ผิดชอบ และได้เปรียบเทียบความหมายของสมรรถนะทีอ่ ธิบายบคุ ลิกคุณลกั ษณะของคนว่า เปรียบเสมอื นภูเขาน้ำแข็ง Spencer and Spencer (1993, p. 9) กล่าววา่ สมรรถนะ หมายถึง คุณลักษณะพืน้ ฐานทีม่ ีอยู่ในตวั บคุ คล ได้แก่ แรงจงู ใจ อุปนิสัย อัตมโนทัศน์ ความรู้ และ ทักษะ ซึง่ คณุ ลักษณะเหล่านีจ้ ะเปน็ ตัวผลักดันหรอื มีความสัมพนั ธเ์ ชิงเหตุผล ให้บคุ คล สามารถปฏิบัติงานตามหน้าทีค่ วามรับผิดชอบหรอื สถานการณต์ ่างๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพและ/หรอื สูงกวา่ เกณฑ์อ้างองิ หรอื เป้าหมายที่กำหนดไว้ กล่าวโดยสรุป สมรรถนะ หมายถึง ความสามารถเชงิ พฤติกรรมของแต่ละ บคุ คลในการปฏิบัติงาน โดยใช้ความรู้ ทักษะและคุณลักษณะเป็นตัวผลักดนั ให้บุคคลนั้น สร้างผลการปฏิบัติงานทีด่ ี หรอื เปน็ ไปตามเกณฑ์ทีก่ ำหนด ส่งผลใหก้ ารดำเนินงานบรรลุ ตามวัตถปุ ระสงคข์ ององค์การได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล 2. องคป์ ระกอบของสมรรถนะ สมรรถนะของบคุ คลเปน็ คุณลักษณะของบคุ คลที่เกีย่ วข้องกบั ผลการ ปฏิบตั ิงาน ซึ่งสมรรถนะมีความสำคัญต่อบุคคลในการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ได้มนี กั การศกึ ษาได้กล่าวถึงองค์ประกอบของสมรรถนะไว้แตกตา่ งกนั ดังนี้ สุรชัย พรหมพนั ธ์ (2554, หน้า 188) ได้กล่าววา่ สมรรถนะมอี งคป์ ระกอบ หลักทีเ่ กี่ยวพนั ธแ์ ละสนับสนนุ กันและกนั 3 ประการ คือ 1. การแสดงออกทางความรู้ (knowledge) 1.1 ประเภทของความรู้ 1.1.1 ความรู้ในตวั ของมนุษย์หรือความรู้โดยนัย (tacit knowledge) หมายถึง ความรู้เฉพาะตวั ที่เกิดจากประสบการณ์ การศกึ ษา การสนทนา การฝึกอบรม เจตคติแตล่ ะบคุ คล เปน็ ความรบู้ วกกับสติปัญญาและประสบการณ์
53 1.1.2 ความรเู้ ชิงประจกั ษท์ ี่ปรากฏชดั เจน (explicit knowledge) หมายถึง ความรู้ทีไ่ ด้ถา่ ยทอดจากบคุ คลออกมาในรปู ของการบันทึกตามรูปแบบต่าง ๆ ซึ่ง เปน็ สารสนเทศ 1.2 ลักษณะความรู้ในองค์กร 1.2.1 ความรพู้ ืน้ ฐาน (core knowledge) เป็นความรู้ใน ระดบั พืน้ ฐานทีท่ กุ คนในองค์กรตอ้ งการหรอื ต้องรู้ 1.2.2 ความรเู้ ฉพาะ (advanced knowledge) เปน็ ความรู้ที่ทำให้ องค์กรไปสู่จดุ ของการแข่งขันได้ เปน็ ความรู้ที่ความเฉพาะเจาะจงซึง่ แตกตา่ งจากคู่แขง่ 1.2.3 ความรทู้ ี่เป็นเลิศ (innovative knowledge) เป็นความรู้ทีท่ ำ ให้องคก์ รเป็นเลิศ สามารถเป็นผู้นำทางการตลาดได้ 2. การแสดงออกทางทกั ษะ (skill) เป็นสิ่งจำเปน็ ต่อการดำรงชีวติ ของ มนุษย์ ซึ่งมีอยู่ 2 อย่าง คือ 2.1 ทกั ษะท่ัวไป (generic skills) หมายถึง ทกั ษะท่ัวไปเปน็ ทกั ษะที่ มนษุ ย์ต้องใช้ทุกวันเพือ่ การมีชีวติ อยู่ 2.2 ทักษะวิชาชีพ (profession skills) หมายถึง ทกั ษะที่มนุษย์ จำเป็นต้องมีเพอ่ื ใช้ในการหาเลี้ยงชีพ ดังนนั้ ทักษะท้ังสองอย่างถือได้ว่าเป็นการตอ่ ยอดจากความรู้ แล้ว นำไปส่กู ารปฏิบตั ิการพัฒนาการฝกึ ฝนให้เกิดขึ้น โดยมีช่วงของระยะเวลา จากการ ปฏิบัติงานจนกลายเปน็ ทกั ษะในเรอ่ื งนนั้ ๆ ทีท่ ำการหล่อหลอม 3. การแสดงออกทางคุณลักษณะของบคุ คล (attributes) ได้แก่ บทบาท ทีแ่ สดงออกตอ่ สังคม (social role) ภาพลักษณ์ของบุคคลที่มตี ่อตนเอง (self-image) ความเชื่อ (trait) และแรงจูงใจ (motive) มกุ ดา เรอื งสุวรรณ (2556, หนา้ 15) ได้สรุปองคป์ ระกอบของสมรรถนะมี 3 ส่วนสำคัญ คือ ความรู้ ทักษะและคณุ ลกั ษณะส่วนบุคคลที่จำเป็นตอ่ การทำงานของบุคคล ให้ประสบผลสำเร็จ สูงกวา่ มาตรฐานทวั่ ไป ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ดงั น้ี 1. ความรู้ (Knowledge) คือ สิ่งทีอ่ งค์การต้องการให้ “รู้” เชน่ ความรู้ ความเข้าใจในกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้องกับองคก์ าร
54 2. ทักษะ (Skill) คือ ส่งิ ที่องค์การตอ้ งการให้ “ทำ” เชน่ ทกั ษะด้าน ICT ทักษะ ดา้ นเทคโนโลยีการบริหารสมัยใหมเ่ ป็นสิง่ ที่ต้องผา่ นการเรียนรู้และฝกึ ฝนเป็น ประจำจนเกิด เปน็ ความชำนาญในการใช้งาน 3. คณุ ลกั ษณะส่วนบุคคล (Attributes) คือ สิง่ ที่องคก์ ารตอ้ งการใช้ “เปน็ ” เช่น ความใฝร่ ู้ ความซื่อสัตย์ ความรักในองค์การและความมุ่งม่นั ในความสำเร็จ เยาวลกั ษณ์ มูลสระคู (2558, หนา้ 34) ได้สรุปองคป์ ระกอบของสมรรถนะ แบง่ เปน็ 3 องคป์ ระกอบ ได้แก่ ความรู้ ทกั ษะ คณุ ลกั ษณะทีอ่ ยู่ในตวั บุคคล ซึง่ ทำใหบ้ คุ คล แสดงพฤติกรรมทีม่ ุ่งไปส่เู ป้าหมาย ภทั ราพร ประภาศรี (2562, หนา้ 22) ได้สรปุ องค์ประกอบองค์ประกอบของ สมรรถนะ มี 5 ด้าน ได้แก่ ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) ทัศนคติ (Self-Concept) อุปนิสยั (Trait) และแรงจูงใจ (Motive) ซึง่ จะช่วยใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมทีม่ ุ่งไปสู่ ความสำเร็จในการทำงาน สภุ าพรรณ ธะยะธง (2562, หนา้ 18-19) ได้สรปุ องคป์ ระกอบของ สมรรถนะได้ดังน้ี 1. ความรู้ (knowledge) คือ ผลจากการขดั เกลาและเลือกใช้สารสนเทศ โดยมีการจัด ระบบความคิดเสียใหม่ ให้เปน็ “ความรู้และความเชีย่ วชาญเฉพาะเรื่อง 2. ทักษะ (Skill) คือ ความสามารถในการทำงานได้ด้วยความคลอ่ งแคลว่ ซึ่งการพิจารณา วา่ ผรู้ ับการฝึกมีทกั ษะดีหรือไม่นั้น สามารถดไู ด้ด้วยตัวแปร 3 ตัว คอื เวลาที่ใชป้ ฏิบตั ิ การสังเกต ขณะปฏิบัติงาน และผลของงาน 3. ทัศนคติ (attitude) คือ ความรสู้ ึกนึกคิด และความโน้มเอียงของบคุ คล ทีม่ ตี อ่ ข้อมูล ข่าวสาร และการเปิดรับรายการ กรองสถานการณท์ ีไ่ ด้รับมา 4. บคุ ลิกภาพ (personality) คือ ลกั ษณะเฉพาะของบุคคลที่บ่งบอกความ แตกต่างระหว่างบคุ คล 5. แรงจงู ใจ (motivation) คือ พลงั ผลกั ดันให้คนมพี ฤติกรรม และยัง กำหนดทิศทาง และเป้าหมายของพฤติกรรมนน้ั โชติกา กณุ สิทธิ์ (2563, หน้า 130) ได้สรุปองคป์ ระกอบของสมรรถนะได้ 3 ด้าน คอื ดา้ นความรทู้ ี่เกี่ยวข้องกบั งานปฏิบัติ (Knowledge) ด้านทักษะทีจ่ ำเป็นตอ่ การ ปฏิบตั ิงาน (Skills) และด้านคณุ ลักษณะเฉพาะบุคคลที่เอือ้ หรอื จำเป็นตอ่ การปฏิบัติงาน (Personal Attributes)
55 Boyatzis (1982 p. 40) ได้อธิบายองคป์ ระกอบของสมรรถนะไว้ดงั น้ี 1. แรงจงู ใจ (Motives) คือ เร่อื งทีเ่ กี่ยวกบั การกำหนดเป้าหมายหรอื สถานการณ์ ในรปู แบบทีห่ ลากหลายทีผ่ ลักดนั และนำไปสพู่ ฤติกรรมของแต่ละบุคคล 2. ลกั ษณะเฉพาะ (Traits) คือ ลักษณะเฉพาะหรอื อปุ นิสัยของแตล่ ะคน ในการ ตอบสนองต่อส่งิ กระตุ้นที่เหมอื นกนั แรงจูงใจและลกั ษณะเฉพาะตวั เกิดข้ึนได้ท้ังใน ระดับที่มสี ติและไมม่ ีสติ 3. ภาพลักษณ์ (Self-images) คือ ความเข้าใจตนเองและการประเมิน ความเข้าใจ คําจาํ กัดความนีม้ าพร้อมกับการสร้างแนวความคิดและการนับถือตนเอง 4. บทบาททางสังคม (Social roles) คือ การรับรู้ว่าตนเองประพฤติตาม บรรทัด ฐานในสังคมทีเ่ ป็นที่ยอมรบั และเหมาะสมกับกลุ่มหรอื องค์กรทางสังคมทีต่ นอยู่ 5. ทักษะ (Skills) คือ ความสามารถในการแสดงออกพฤติกรรมทีเ่ ปน็ ระบบและตอ่ เนอื่ งจนบรรลุเป้าหมายของการทำงาน Spencer and Spencer (1993 p. 55) กลา่ วว่าสมรรถนะประกอบด้วยปัจจัย 5 ประการ คอื 1. แรงขบั (Motives) คือ สิง่ ที่กระตุ้นใหค้ นคิดหรอื แสดงพฤติกรรม ออกมา สิ่งทีจ่ ะผลกั ดนั ชีท้ างและเลือกทีจ่ ะให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา เพือ่ ให้บรรลุ เป้าหมาย 2. คุณลักษณะ (Traits) เป็นคณุ ลกั ษณะทั้งทางกายภาพและคณุ ลักษณะ ภายใน เช่น การควบคุมอารมณ์ 3. การรบั รู้ตนเอง (Self-concept) ประกอบด้วย ทศั นคติ ค่านยิ มและ ภาพลักษณ์ ที่แตล่ ะคนรับรู้เกีย่ วกบั ภาพลกั ษณ์ของตน หรอื สิ่งทีบ่ ุคคลเชอ่ื ว่าตนเองเป็น 4. ความรู้ (Knowledge) เปน็ ข้อมลู ที่คนแตล่ ะคนรวบรวมและสะสม เอาไว้ คนทีน่ า่ เชือ่ ถือและไว้วางใจได้ หรอื เขามีลักษณะเป็นผู้นำ เปน็ ต้น 5. ทกั ษะ (Skill) คือ ความสามารถในการทำงาน ท้ังงานที่ต้องใช้ทกั ษะ ทางกายและทกั ษะทางความคิด McClelland (2001, pp. 12-13) กลา่ วว่าองค์ประกอบของสมรรถนะ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1. ความรู้ (knowledge) คือ ความรเู้ ฉพาะในเร่อื งทีต่ ้องรู้ เป็นความรู้ที่ เป็นสาระสำคัญ เชน่ ความรู้เรอ่ื งกอ่ สร้าง เรือ่ งการวิจัย รู้เร่อื งโหราศาสตร์ เป็นต้น
56 2. ทกั ษะ (skill) คือ สิ่งทีต่ ้องการใหท้ ำได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ เช่น ทกั ษะทางคอมพิวเตอร์ ทักษะการทำอาหาร ทกั ษะการพูด เปน็ ต้น ทักษะที่เกิดได้นน้ั มา จากพืน้ ฐานทางความรู้ และสามารถปฏิบัติได้อยา่ งแคล่วคล่องว่องไว 3. ความคิดเห็นเกี่ยวกบั ตนเอง (self – image) คือ เจตคติ คา่ นยิ ม และ ความคิดเห็นเกีย่ วกับภาพลักษณ์ของตน หรอื สิง่ ที่บุคคลเชอ่ื วา่ ตนเองเปน็ เช่น ความมนั่ ใจ ในตนเอง เป็นต้น 4. บคุ ลิกลักษณะประจำตวั ของบคุ คล (traits) เปน็ สิง่ ทอี่ ธิบายถึงบคุ คล น้ัน เชน่ คนที่นา่ เชือ่ ถือและไว้วางใจได้ หรือมีลกั ษณะเป็นผู้นำ เป็นต้น 5. แรงจูงใจ/เจตคติ (motives/attitude) เปน็ แรงจงู ใจ หรือแรงขับภายใน ซึง่ ทำให้บุคคลแสดงพฤติกรรมที่มุง่ ไปสู่เป้าหมาย หรือมุ่งสคู่ วามสำเรจ็ เป็นต้น Kaplan, & Norton (2004, pp.231-232) ได้แบง่ องคป์ ระกอบของสมรรถนะ เป็น 3 องค์ประกอบ ดงั นี้ 1. ความรู้ (Knowledge) คือ ความรทู้ ีเ่ หมาะสมต่องานที่องคก์ ารกำหนด เช่น รู้เรอ่ื งงานที่จะทำ รเู้ รือ่ งลูกค้า เป็นต้น 2. ทักษะ (Skill) คือ ทกั ษะที่สอดคล้องกบั ความรู้ เช่น ทกั ษะในการตอ่ รอง ทักษะใน การให้คำปรึกษา และทักษะในการบริหารโครงการ เปน็ ต้น 3. คุณค่า (Values) หมายถึง กลุ่มของคุณลกั ษณะพิเศษหรอื พฤติกรรมที่ สร้าง ผลงานที่โดดเดน่ งานบางอย่างต้องทำเปน็ ทีม และงานบางอย่างตอ้ งทำคนเดียว การสรา้ งคุณคา่ ให้กลมกลืนกบั งานจงึ เปน็ สิ่งจำเป็น จากการศกึ ษาหลกั การของนักวิชาการที่กลา่ วมาข้างต้น ผวู้ ิจัยสามารถ สังเคราะหอ์ งคป์ ระกอบของสมรรถนะ สรปุ ได้ดงั ตาราง 4
57 ตาราง 4 การสังเคราะห์องคป์ ระกอบของสมรรถนะ องคป์ ระกอบของสมรรถนะ สุร ัชย พรหม ัพน ์ธ (2554) มุกดา เ ืรองสุวรรณ (2556) เยาวลักษ ์ณ มูลสระ ูค (2558) ภัทราพร ประภาศ ีร (2562) สุภาพรรณ ธะยะธง (2562) โช ิตกา ุกณสิท ิ์ธ (2563) Boyatzis (1982) Spencer and Spencer (1993) McClelland (2001) Kaplan, & Norton (2004) ความถี่ ผู้ ิวจัย ความรู้ (knowledge) √√√√√√ √√√9√ ทักษะ (skill) √ √ √ √ √ √ √ √ √ √ 10 √ ทัศนคติ (attitude) √ √2 บคุ ลิกภาพ (personality) √1 แรงจงู ใจ (motivation) √√ √√ 4 การรับรู้ตนเอง (Self-concept) √√ 2 อปุ นสิ ยั (Traits) √ √√ 3 ความคิดเหน็ เกี่ยวกับตนเอง (self – √√√ 3 image) บทบาททางสังคม (Social roles) √1 คณุ คา่ (Values) √1 คณุ ลกั ษณะส่วนบคุ คล (Attributes) √ √ √ √ √ 5 √ จากตาราง 4 ผลการสงั เคราะห์องค์ประกอบของสมรรถนะของ นกั วิชาการท้ังในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 10 ท่าน พบว่า มอี งค์ประกอบของ สมรรถนะหลายองค์ประกอบทีม่ คี วามสอดคล้องกนั และมีความแตกต่างกัน หาก พิจารณาโดยนยั แล้วก็ล้วนเปน็ หลักการทีม่ ีความสมั พนั ธ์กนั ท้ังสิน้ ผู้วจิ ยั จงึ ใชเ้ กณฑ์ ความถี่รอ้ ยละ 50 ขึน้ ไปในการเลือก ซึง่ องค์ประกอบของสมรรถนะ สามารถแบ่งออกได้ 3 องค์ประกอบ ดงั นี้ 1) ความรู้ (knowledge) 2)ทกั ษะ (skill) 3) คณุ ลักษณะสว่ นบคุ คล (Attributes)
58 3. ประเภทของสมรรถนะ ได้มผี กู้ ลา่ วถึงประเภทของสมรรถนะไว้ดังนี้ อาภรณ์ ภวู่ ทิ ยพนั ธ์ (2547, หนา้ 65) ได้แบง่ สมรรถนะออกเปน็ 4 ประเภท ดงั น้ี 1. สมรรถนะหลัก (Core Competency) หมายถึง ความสามารถหลกั ซึ่ง สะท้อนให้เหน็ พฤติกรรมของคนทีจ่ ะช่วยสนบั สนนุ ให้องคก์ รสามารถบรรลุเป้าหมายและ ภารกิจตามวิสยั ทศั น์ที่กำหนดและหมายถึงลกั ษณะพฤติกรรมของคนที่สะท้อนใหเ้ หน็ ถึง ความรทู้ ักษะและคุณลกั ษณะเฉพาะของคนในทุกระดับและทกุ กลมุ่ งานที่องคก์ รต้องการ ให้มี 2. สมรรถนะในการบริหารจดั การ (Managerial Competency) หมายถึง ความสามารถในการจดั การซึ่งสะท้อนใหเ้ ห็นถึงทักษะในการบริหารจดั การงานต่างๆ และ หมายถึงความสามารถทีม่ ไี ด้ทั้งในระดบั ผบู้ ริหารและระดับพนกั งานโดยจะแตกตา่ งกนั ตาม บทบาทและหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบ (Role-Based) 3. สมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) หมายถึง ความสามารถในงานซึ่งสะท้อนใหเ้ หน็ ถึงความรทู้ ักษะและคุณลักษณะเฉพาะของงาน ตา่ งๆ (Job Based) หนา้ ที่ทีแ่ ตกต่างกนั ความสามารถในงานย่อมแตกต่างกันสามารถเรียก Functional Competency เปน็ Job Competency หรอื Technical Competency 4. สมรรถนะสว่ นบคุ คล (Individual Competency) หมายถึง ความสามารถเฉพาะบุคคลซึ่งสะท้อนให้เหน็ ถึงความรู้ทกั ษะและคุณลักษณะเฉพาะของ บุคคลทีเ่ กิดขึน้ จรงิ ตามหน้าที่ทีไ่ ด้รับมอบหมายหน้าที่เหมอื นกนั ไมจ่ ำเป็นว่าคนที่ปฏิบตั ิงาน ในหน้าทีน่ น้ั จะต้องมคี วามสามารถทีเ่ หมอื นกนั สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (2548, หน้า 9-13) ได้จดั ทำ โมเดลสมรรถนะสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย ประกอบด้วยสมรรถนะ 2 ประเภท คอื สมรรถนะหลักสำหรบั ข้าราชการพลเรือนไทยทุกคน และสมรรถนะประจำกล่มุ งาน สำหรับแตล่ ะกลมุ่ งาน จำแนกได้ดงั น้ี 1. สมรรถนะหลัก คือ คุณลักษณะรว่ มของข้าราชการพลเรือนไทยทั้ง ระบบ เพือ่ หลอ่ หลอมคา่ นิยมและพฤติกรรมทีพ่ ึงประสงคร์ ว่ มกันประกอบด้วยสมรรถนะ 5 สมรรถนะ คอื 1.1 การมุ่งผลสัมฤทธิ์ (achievement motivation)
59 1.2 การบริการที่ดี (service mind) 1.3 การส่ังสมความเชย่ี วชาญในงานอาชีพ (expertise) 1.4 จรยิ ธรรม (integrity) 1.5 ความรว่ มแรงรว่ มใจ (teamwork) 2. สมรรถนะประจำกล่มุ งาน คอื สมรรถนะทีก่ ำหนดเฉพาะสำหรับกลมุ่ งาน เพือ่ สนบั สนุนให้ข้าราชการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมแก่หน้าที่และส่งเสริมให้ปฏิบัติ ภารกิจในหนา้ ทีไ่ ด้ดียิง่ ขึน้ โดยโมเดลสมรรถนะกำหนดให้แต่ละกลุม่ งานมีสมรรถนะประจำ กลุ่มงานละ 3 สมรรถนะ (ยกเว้นกล่มุ งานนกั บริหารระดับสงู มี 5 สมรรถนะ สมรรถนะ ประจำกลุ่มงานมี ทั้งหมด 20 สมรรถนะดว้ ยกัน คือ 2.1 การคิดวิเคราะห์ (analytical thinking) 2.2 การมองภาพองคร์ วม (conceptual thinking) 2.3 การพฒั นาศกั ยภาพคน (caring & developing others) 2.4 การสง่ั การตามอำนาจหนา้ ที่ (holding people accountable) 2.5 การสบื เสาะหาข้อมูล (information seeking) 2.6 ความเข้าใจขอ้ แตกต่างทางวัฒนธรรม (Cultural sensitivity) 2.7 ความเข้าใจผอู้ ื่น (interpersonal understanding) 2.8 ความเข้าใจองคก์ รและระบบราชการ (Organizational awareness) 2.9 การดำเนินการเชิงรุก (proactiveness) 2.10 ความถกู ต้องของงาน (concern for order) 2.11 ความมนั่ ใจในตนเอง (Self-confidence) 2.12 ความยืดหยุ่นผอ่ นปรน (flexibility) 2.13 ศลิ ปะการสื่อสารจงู ใจ (communication & influencing) 2.14 สภาวะสภาวะผนู้ ำ (leadership) 2.15 สนุ ทรียภาพทางศิลปะ (aesthetic quality) 2.16 วิสัยทศั น์ (Visioning) 2.17 การวางกลยุทธภ์ าครฐั (Strategic orientation) 2.18 ศักยภาพเพื่อน การปรบั เปลี่ยน (Change leadership) 2.19 การควบคมุ ตนเอง (self - control)
60 2.20 การให้อานาจแก่ผู้อื่น (empowering others) โดยงานที่จัดอย่ใู นกลุ่มงานเดียวกนั จะมีลกั ษณะงาน วตั ถปุ ระสงคข์ องงาน และ ผลสัมฤทธิ์ของงานคล้ายคลึงกัน ดงั นั้นผู้ที่ดำรงตำแหนง่ ในกลุม่ งานเดียวกัน ไมว่ ่าจะใน ตำแหนง่ ใด ควรมีสมรรถนะ (คุณลักษณะเชงิ พฤติกรรมประจำงาน) เหมอื นกัน เพือ่ ให้ ได้ผลการปฏิบัติงานทีด่ ีเลิศ จริ ประภา อคั รบวร (2549, หนา้ 68) กล่าวว่า สมรรถนะในตำแหน่งหนง่ึ ๆ จะประกอบไปด้วย 3 ประเภท ได้แก่ 1) สมรรถนะหลัก (Core competency) คือ พฤติกรรมที่ดีที่ทกุ คนใน องค์การตอ้ งมี เพื่อแสดงถึงวัฒนธรรมและหลกั นิยมขององคก์ าร 2) สมรรถนะบริหาร (Professional competency) คือ คุณสมบัติ ความสามารถด้านการบริหารทีบ่ คุ ลากรในองค์การทุกคนจำเปน็ ต้องมใี นการทำงาน เพื่อให้งานสำเรจ็ และสอดคล้องกบั แผนกลยทุ ธ์ วิสัยทศั น์ ขององค์การ 3) สมรรถนะเชิงเทคนิค (Technical competency) คือ ทักษะด้านวิชาชีพ ที่จำเป็นในการนำไปปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จ โดยจะแตกต่างกันตามลกั ษณะงาน โดย สามารถจำแนกได้ 2 สว่ นย่อย ได้แก่ สมรรถนะเชิงเทคนิคหลกั (Core technical competency) และสมรรถนะเชงิ เทคนิคเฉพาะ (Specific technical competency) ณรงค์วิทย์ แสนทอง (2550, หนา้ 10) ได้แบง่ สมรรถนะออกเป็น 3 ประเภท ดังน้ี 1. สมรรถนะหลัก (Core Competency) หมายถึง บุคลิกของคนทีส่ ะท้อน ให้เห็นถึงความรู้ ทักษะ ทศั นคติ ความเชอ่ื และอปุ นิสยั ของคนในองคก์ รณโ์ ดยรวมทีจ่ ะ ช่วยสนบั สนนุ ให้องค์การบรรลุเป้าหมายตามวิสยั ทศั น์ได้ 2. สมรรถนะตามสายงาน (Job Competency) หมายถึง บุคลิกของคนที่ สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ ทกั ษะ ทัศนคติ ความเชือ่ และอปุ นิสยั ทีจ่ ะชว่ ยส่งเสริมให้คนน้ันๆ สามารถสร้างผลงานในการปฏิบัติงานตำแหนง่ นนั้ ๆ ได้สงู กว่ามาตรฐาน 3. สมรรถนะส่วนบคุ คล (Personal Competency) หมายถึง บคุ ลิกของคน ทีส่ ะท้อนใหเ้ ห็นถึงความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ความเช่ือ และอุปนิสัยทีท่ ำให้บคุ คลนั้นมี ความสามารถในการทำสิง่ ใดสิ่งหนึง่ ได้โดดเด่นกว่าคนทัว่ ไป เช่น สามารถอาศัยอย่กู บั แมง ป่องหรอื อสรพิษได้ เป็นต้น ซึง่ เรามักจะเรียกสมรรถนะสว่ นบคุ คลว่าความสามารถพิเศษ สว่ นบคุ คล
61 เทือ้ น ทองแก้ว (2552, หน้า 22) จำแนกสมรรถนะเป็น 5 ประเภท คือ 1. สมรรถนะส่วนบุคคล หมายถึง สมรรถนะที่แต่ละคนมีเปน็ ความสามารถเฉพาะตน คนอนื่ ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เช่น การตอ่ สู้ป้องกันตัว ความสามารถ ของนกั ดนตรี นักกายกรรม และนกั กีฬา เปน็ ต้น ลกั ษณะเหล่าน้ยี ากที่จะ เลียนแบบหรอื ต้องมีความพยายามสูงมาก 2. สมรรถนะเฉพาะงาน หมายถึง สมรรถนะของบุคคลกับการทำงานใน ตำแหนง่ หรือบทบาทเฉพาะตวั เช่น อาชีพนกั สำรวจ ก็ต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ ตวั เลข การคิดคำนวณ ความสามารถในการทำบัญชี เปน็ ต้น 3. สมรรถนะองค์การ หมายถึง ความสามารถพิเศษเฉพาะองคก์ าร เท่านั้น เช่น บริษทั ผลติ รถยนต์ ต้องมีความสามารถในการผลิตรถยนต์ เปน็ ต้น 4. สมรรถนะหลกั หมายถึง ความสามารถสำคัญที่บคุ คลต้องมีหรอื ต้อง ทำ เพือ่ ให้บรรลผุ ลตามเป้าหมายที่ตง้ั ไว้ เชน่ พนกั งานธรุ การตอ้ งมคี วามสามารถในการใช้ คอมพิวเตอร์ หรอื ติดตอ่ ประสานงาน เปน็ ต้น 5. สมรรถนะในงาน หมายถึง ความสามารถของบคุ คลที่มตี ามหน้าทีท่ ี่ รับผิดชอบ ตำแหนง่ หนา้ ที่อาจเหมอื นกัน แตค่ วามสามารถตามหน้าทีต่ า่ งกนั เช่น พนกั งาน ขาย เหมอื นกนั แต่มคี วามสามารถในการขาย หรอื ความสามารถในการพดู ต่างกนั เป็นต้น อารีวรรณ์ นอ้ ยดี (2553, หน้า 19) ได้สรุปประเภทของสมรรถนะ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สมรรถนะหลักและสมรรถนะในงาน สมรรถนะหลกั เป็นความสามารถที่ บคุ คลต้องมตี ้องทำ สมรรถนะในงานเปน็ ความสามารถของบุคคลตามหน้าที่ที่รับผดิ ชอบ ชูชัย สมิทธิไกร (2556, หนา้ 25) กล่าวว่า สมรรถนะของบคุ ลากรสามารถ จำแนกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. สมรรถนะหลกั คือ สมรรถนะทีบ่ ุคลากรในองคก์ รจำเปน็ ต้อง เหมอื นกนั ทุกคนไมว่ า่ จะอยู่ในสายงานใด หรอื ระดับตำแหน่งใดกต็ าม 2. สมรรถนะตามสายงาน คือ สมรรถนะที่เป็นความรู้ความทกั ษะที่ จำเป็นในการปฏิบัติงานตามสายงานนั้นๆ 3. สมรรถนะตามบทบาท คือ สมรรถนะที่บุคลากรในระดับบริหาร จำเปน็ ต้อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่และบทบาทการเป็นผู้บริหารได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากที่สุด องค์กรบางแห่งอาจเรียกสมรรถนะประเภทนี้ว่า สมรรถนะเชงิ การ จดั การ
62 สจุ ิตรา พันธศรี (2559, หน้า 53-54) ได้สรปุ ประเภทของสมรรถนะ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1) สมรรถนะขององคก์ ร เป็นสมรรถนะระดับองคก์ รที่บคุ คลทกุ ระดบั ขององค์กรต้องมีเพ่อื ให้การปฏิบัติงานบรรลุผลสัมฤทธิ์ โดยเป็นสมรรถนะหลกั ซึง่ ส่งผลใหอ้ งค์กรมีผลงานที่แตกตา่ งจากองค์กรอ่ืนๆ 2) สมรรถนะเกีย่ วกบั งาน เปน็ สมรรถนะระดับบุคคลทีบ่ คุ คลจะต้องมเี พื่อให้การปฏิบตั ิงานในภารกิจหรอื ตำแหน่งตา่ งๆ ประสบความสำเรจ็ ได้ผลผลิตตามที่องค์กรตอ้ งการ สปุ ราณี อรรถประจง (2562, หน้า 20) ได้สรปุ ประเภทของสมรรถนะ ออกเปน็ 3 ประเภทหลัก ๆ คือ 1) สมรรถนะหลัก (Core Competency) 2) สมรรถนะตาม สายงาน (Functional Competency) และ 3) สมรรถนะส่วนบุคคล (Individual Competency) McClelland (2001, pp. 15) กล่าวว่า สมรรถนะสามารถจำแนกได้เปน็ 5 ประเภท คือ 1. สมรรถนะส่วนบุคคล (Personal Competencies) หมายถึง สมรรถนะที่ แตล่ ะคนมี เปน็ ความสามารถเฉพาะตวั คนอน่ื ไมส่ ามารถลอกเลียนแบบได้ เช่น การแสดง บทบู๊ของนกั แสดงจีน เฉินหลง ความสามารถของนกั ดนตรี นักกายกรรม และนกั กีฬา เปน็ ต้น ลักษณะเหล่านีย้ ากที่จะเลียนแบบ หรอื ต้องมีความพยายามสงู มาก 2. สมรรถนะเฉพาะงาน (Job Competencies) หมายถึง สมรรถนะของ บคุ คลกบั การทำงานในตำแหนง่ หรอื บทบาทเฉพาะตวั เชน่ อาชีพนกั วิจัย กต็ ้องมี ความสามารถในการวิเคราะห์ขอ้ มลู การคิดคำนวณ นักบญั ชตี ้องมีความสามารถในการ ทำบญั ชี นกั การตลาดต้องมีความสามารถในการขาย เป็นต้น 3. สมรรถนะองค์การ (Organization Competencies) หมายถึง ความสามารถพิเศษเฉพาะองคก์ ารนน้ั เท่านั้น เช่น บริษัทเนช่นั แนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษทั ที่มคี วามสามารถในการผลิตเครื่องใชไ้ ฟฟ้า หรอื บริษัทฟอรด์ (มอเตอร์) จำกัด มีความสามารถในการผลติ รถยนต์ เปน็ ต้น หรอื บริษทั ที โอ เอ (ประเทศไทย) จำกัด มีความสามารถในการผลติ สี เป็นต้น 4. สมรรถนะหลัก (Core Competencies) หมายถึง ความสามารถสำคัญ ทีบ่ คุ คลต้องมี หรือต้องทำเพือ่ ให้บรรลผุ ลตามเป้าหมายทีต่ งั้ ไว้ เชน่ พนักงานเลขานกุ าร สำนกั งาน ต้องมสี มรรถนะหลกั คือ การใชค้ อมพิวเตอรไ์ ด้ติดตอ่ ประสานงานได้ดี เป็นต้น หรอื ผู้จัดการบริษัทต้องมีสมรรถนะหลัก คือ การสื่อสาร การวางแผน และการบริหาร จัดการ และการทำงานเปน็ ทีม เป็นต้น
63 5. สมรรถนะในงาน (Functional Competencies) หมายถึง ความสามารถ ของบคุ คลที่มตี ามหน้าทีท่ ีร่ ับผดิ ชอบ ตำแหนง่ หน้าทีอ่ าจเหมอื น แตค่ วามสามารถตาม หนา้ ที่ต่างกัน เช่น ครูอาจารยเ์ หมือนกนั แต่มคี วามสามารถต่างกัน บางคนมสี มรรถนะ ทางการเปน็ วิทยากร การเป็นพิธีกร ความสามารถในการพูดเปน็ สรุปได้วา่ ประเภทของสมรรถนะ ออกเป็น 3 ประเภทหลกั ๆ คือ 1) สมรรถนะหลัก (Core Competency) 2) สมรรถนะตามสายงาน (Functional Competency) และ 3) สมรรถนะส่วนบคุ คล (Individual Competency) 4. การประเมินสมรรถนะ ประกอบ กลุ เกลีย้ ง (2548, หนา้ 41-43) ได้เสนอแนวคิดในการวดั และ ประเมินผลการเรียนรู้และความสามารถ Bloom's Taxonomy ของมนษุ ย์ไว้ 3 ประเภท คือ 1. การวัดความรแู้ ละทักษะ (Cognitive Domain) เป็นการวัด ความสามารถทางสตปิ ญั ญาที่สังเกตได้และสังเกตไม่ได้ จากสูงไปต่ำ ดงั นี้ 1.1 การประเมินค่า (Evaluation) 1.2 การสังเคราะห์ (Synthesis) 1.3 การวเิ คราะห์ (Analysis) 1.4 การประยุกตใ์ ช้ (Application) 1.5 ความเข้าใจ (Comprehension) 1.6 ความรู้ ความจำ (Knowledge) 2. การวัดพฤติกรรมการปฏิบัติงาน (Affective Domain) วัดการ แสดงออกของทัศนคติ ความสนใจ ความตง้ั ใจ จากสงู ไปต่ำ ดังนี้ 2.1 คา่ นิยม (Internalizing Value) 2.2 การสาบความสำคญั (Organization) 2.3 การให้คณุ ค่า (Valuing) 2.4 การตอบสนอง (Responding to Phenomena) 3. การวัดผลสมั ฤทธิข์ องการปฏิบตั ิงาน (Psychomotor Doman) วัดการ แสดงออกในรูปความถนดั หรอื ผลงานการประจากการทำงานจากระดบั สงู ไปต่ำ ดังน้ี 3.1 การแสดงออกอย่างยอดเยีย่ ม (Best ) Practice) 3.2 การแสดงออกชดั เจน (Articulation) 3.2 การแสดงออกชัดเจน (Articulation)
64 3.3 ความแมน่ ยำถูกต้อง (Precision) 3.4 ความชำนาญ (Manipulation) 3.5 การเลียนแบบ (Imitation) วนั วิสา วเิ ชียรรตั น์ (2561, หนา้ 46) ได้สรุปการประเมินสมรรถนะ (Competency assessment) เปน็ กระบวนการประเมินด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะ และพฤติกรรม ในการปฏิบัติงานของบคุ ลากรในขณะนั้นเปรียบเทียบกบั ระดับสมรรถนะที่ องคก์ รคาดหวังในตำแหน่งงานนั้นว่าได้ตามทีค่ าดหวังหรอื มีความแตกต่างกันมากน้อย เพียงใด โดยวิธีการประเมินสมรรถนะขึ้นอยกู่ ับวัตถุประสงคข์ องการนำผลการประเมิน สมรรถนะไปใช้ และควรประเมินอยา่ งเป็นระบบ ซึง่ ในการประเมนิ แตล่ ะคร้ังสามารถใช้ หลายวิธีรว่ มกันได้ เพือ่ ให้สมรรถนะครบถ้วนและตรงตามตอ้ งการ แบบแระเมินสมรรถนะ ทีน่ ยิ มกันเพรห่ ลาย ได้แก่ แบบประเมินที่ใช้ความถีห่ รือปริมาณกำหนดระดับ (Likert Scale) ขจรศักดิ์ ศริ ิมยั และคณะ (2564, Online) ได้กล่าวถึงการประเมินสมรรถนะ (Competency Assessment) หมายถึง กระบวนการในการประเมิน ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ และพฤติกรรมการทำงานของบคุ คลในขณะน้ันเปรียบเทียบกบั ระดับ สมรรถนะที่ องคก์ รคาดหวังในตำแหน่งงานน้ันๆ ว่าได้ตามทีค่ าดหวังหรอื มีความแตกต่างกันมาก นอ้ ย เพียงใดการประเมินสมรรถนะควรมีลกั ษณะ ดังนี้ 1. ประเมินอย่างเปน็ ระบบ (Systematic) 2. มีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการประเมินอย่างชดั เจน (Objective) 3. เปน็ กระบวนการทีส่ ามารถวดั ประเมินได้ (Measurable) 4. เครื่องมอื มีความเที่ยง (Validity) และความเช่ือถือได้ (Reliability) วตั ถุประสงคข์ องการประเมินสมรรถนะในการทำงาน 1. เพื่อใช้ในการพัฒนาบุคลากรและเพือ่ ใช้ในการปรบั ปรุงงาน 2. เพื่อพฒั นาบุคลากรใหส้ ามารถทำงานใหบ้ รรลุเป้าหมายขององคก์ ร 3. เพื่อให้เหน็ ภาพปัญหาและอุปสรรคในการทำงานเพือ่ เปน็ ข้อมลู ในการ ปรบั ปรุงระบบและพัฒนาบุคลากร 4. เพื่อให้บรรยากาศในการทำงานรว่ มกนั ของบคุ ลากรเปน็ ไปอย่าง สร้างสรรคแ์ ละร่วมกันพัฒนาองค์กรใหบ้ รรลุตามเป้าหมาย 5. เพื่อเป็นส่วนหน่ึงของการพิจารณาความดี ความชอบประจำปีของ พนกั งานผรู้ ับผิดชอบในการประเมินสมรรถนะ
65 รูปแบบการประเมินสมรรถนะ 1. การประเมินโดยผู้บังคับบัญชา (Boss Assessment) เปน็ เทคนิคการ ประเมิน สมรรถนะที่ให้ผบู้ ังคบั บญั ชาเป็นผู้ประเมินผใู้ ต้บังคับบัญชาฝ่ายเดียวเพราะเช่อื ว่า ผบู้ ังคับบัญชา จะรู้จักผู้ใต้บังคับบัญชามากทีส่ ุด และต้องรับผดิ ชอบการทำงานของ ผใู้ ต้บงั คับบัญชา ข้อจำกดั คือ ผบู้ งั คบั บญั ชาอาจไม่เหน็ พฤติกรรมของผใู้ ต้บังคับบัญชา ตลอดเวลา การประเมินจากผู้บังคบั บัญชา ใกล้ชิดแต่เพียงฝ่ายเดียวอาจไม่สามารถให้ คำแนะนำที่เปน็ ประโยชนต์ ่อการทำงาน และอาจมีความ เอนเอียงหรอื อคติกับลูกน้องบาง คนได้ 2. การประเมนิ ตนเองและผู้บงั คับบญั ชา (Self & Boss Assessment) เป็น เทคนิคการ ประเมินสมรรถนะที่ได้รบั ความนยิ มมากที่สุด เพราะเปิดโอกาสใหท้ ้ังใต้บังคบั บญั ชาและ ผบู้ ังคับบญั ชาร่วมกนั ประเมิน มีการพดู คยุ ปรึกษาหารอื และตกลงร่วมกัน วิธีนี้ ทำได้งา่ ย ประหยัด ค่าใช้จ่าย แต่ข้อจำกัด คอื บางครงั้ ผลการประเมินทีพ่ นักงานประเมิน กบั ผบู้ ังคับบัญชาอาจมีผล ประเมินไมต่ รงกัน ทำให้ตกลงกนั ไม่ได้ ส่งผลใหเ้ กิดความ ขัดแย้งวธิ ีแก้ไข คือพนักงานและ ผบู้ งั คบั บญั ชาต้องบนั ทึกพฤติกรรมระหว่างช่วงเวลาการ ประเมินไว้ให้ชดั เจนและนำมาใช้ประกอบ ในชว่ งการสรุประดับสมรรถนะร่วมกัน การ ประเมินตนเองและผบู้ ังคบั บัญชา (Self & Boss Assessment) มีขน้ั ตอน ดังนี้ 2.1 ตัวบคุ ลากรประเมินสมรรถนะของตนเอง 2.2 ผบู้ งั คบั บญั ชาประเมินสมรรถนะของบุคลากรทีเ่ ป็น ผใู้ ต้บงั คบั บญั ชา 2.3 ปรึกษาหารอื และสรุป โดยความเหน็ รว่ มของผู้บังคับบญั ชาและ ผใู้ ต้บังคบั บัญชา 2.4 คณะกรรมการบคุ คลของแตล่ ะหนว่ ยงาน/องค์กร ให้ความ เหน็ ชอบผลการประเมิน 2.5 ผบู้ ังคับบญั ชา และฝ่ายทรัพยากรบุคคลของแต่ละหน่วยงาน/ องค์กรใหก้ ารดูแลพฒั นาบคุ ลากรใหม้ ีสมรรถนะตามความคาดหวังขององคก์ ร ข้อจำกดั ของวิธีน้ีก็คือ การประเมินตนเอง ผู้ประเมินมักจะประเมินตนเองสูงกว่าความเป็นจริง หรอื สูงกว่าที่ผบู้ ังคบั บัญชาประเมินให้ และผบู้ ังคับบญั ชาก็มกั จะประเมินสมรรถนะของลูกน้อง ต่ำ กว่าความเปน็ จริง และมักมีความขัดแย้งเกิดข้ึนเม่ือมาปรึกษาหารอื สรุปรว่ มกับ ผบู้ ังคบั บญั ชา แนวทางแก้ไขคือ ผบู้ ังคบั บญั ชาจะต้องบันทึกพฤติกรรมต่างๆ ทีเ่ กี่ยวกบั
66 สมรรถนะของผู้ใต้บังคบั บัญชา ในชว่ งประเมินไว้เป็นหลกั ฐานขณะเดียวกนั ใต้บังคับบัญชา ก็จะตอ้ งบันทึกพฤติกรรมต่างๆ ที่ เกีย่ วกับสมรรถนะของตนไว้เป็นหลักฐานเช่นเดียวกัน และนำมาใช้ยืนยันในช่วงปรึกษาหารอื และ สรปุ สมรรถนะรว่ มกัน นอกจากนี้ บังคับบญั ชา ควรมีทักษะในการให้คำปรึกษาทีด่ แี ก่ ผู้ใต้บังคับบญั ชา 3. การประเมินโดยใช้แบบทดสอบ (Test : Knowledge & Skill) เปน็ เทคนิคการ ประเมินสมรรถนะโดยใช้แบบทดสอบวัดความรหู้ รอื ทักษะตามสมรรถนะที่ กำหนด เชน่ แบบ ปรนัยเลือกตอบ แบบอัตนัยโดยใหผ้ เู้ ข้าทดสอบเขียนอธิบายคำตอบ แบบทดสอบประเภทนี้ ออกแบบมาเพื่อวดั ความสามารถของบุคคล (Can do) ภายใต้ เง่อื นไขของการทดสอบ ตวั อย่าง ของแบบทดสอบประเภทนี้ ได้แก่ แบบทดสอบ ความสามารถทางสมองโดยทว่ั ไป (General Mental Ability) แบบทดสอบที่วดั ความสามารถเฉพาะ เชน่ Spatial Ability หรือความเข้าใจ ด้านเครื่องยนตก์ ลไก และ แบบทดสอบทีว่ ดั ทกั ษะ หรอื ความสามารถทางด้านร่างกาย เปน็ ต้น 4. การประเมินพฤติกรรมจากเหตกุ ารณ์หรอื สถานการณท์ ีส่ ำคญั ๆ (Critical Incident) เป็นเทคนิคการประเมนิ สมรรถนะที่มุ่งเน้นให้ผู้ประเมินพฤติกรรมบนั ทึก พฤติกรรมหลักๆ จาก เหตุการณ์หรือสถานการณท์ ีผ่ ถู้ ูกประเมินแสดงพฤติกรรมและนำมา เปรียบเทียบกบั ระดับสมรรถนะ ที่คาดหวัง ว่าสงู หรอื ต่ำกว่า 5. การเขียนเรียงความ (Written Essay) เปน็ วิธีการประเมนิ ทีง่ า่ ยที่สดุ โดยใหผ้ ถู้ ูกประเมิน เขียนบรรยายผลการปฏิบตั ิงานในชว่ งเวลาที่ผ่านมาว่า ตนใช้ความรู้ ทกั ษะและพฤติกรรมอะไรบ้าง หลงั จากนั้นผปู้ ระเมินจะวิเคราะหพ์ ฤติกรรมจากเรียงความ ว่าผู้ถกู ประเมินมสี มรรถนะแตล่ ะตวั อยู่ ระดับใด 6. ประเมินโดยการสมั ภาษณ์ (Interview) เปน็ เทคนิคทผี่ บู้ งั คบั บญั ชา หรอื ผปู้ ระเมินทำการ สัมภาษณ์ผใู้ ต้บงั คับบัญชาตามสมรรถนะที่กำหนด และประเมินว่า เขามสี มรรถนะอยรู่ ะดับใด การใช้ เทคนิคน้มี ีข้อจำกดั คือตอ้ งใชเ้ วลามากในกรณีที่มี ผใู้ ต้บังคบั บัญชามากต้องเสียเวลามาก วิธีการน้ี เหมาะสำหรับใช้ในการสัมภาษณ์เพือ่ เลื่อนตำแหนง่ งาน หรอื สัมภาษณ์คนเข้าทำงาน เปน็ ต้น 7. การประเมินโดยใช้แบบสอบถาม (Rating Scale) เป็นเทคนิคการ ประเมินสมรรถนะที่ สร้างแบบประเมินโดยใช้มาตราส่วนประมาณคา่ ซึง่ แบบประเมิน พฤติกรรมน้ีสร้างได้หลายแบบ แบบ ทีน่ ยิ มกนั แพรห่ ลายได้แก่แบบประเมินที่ใชค้ วามถี่หรื อปริมาณกำหนดระดบั (Likert Scale)
67 8. การประเมินจากพฤติกรรมการปฏิบัติงาน (Behaviorally Anchored Rating: BARS) เป็นเทคนิคการประเมินสมรรถนะทีม่ ุ่งประเมินพฤติกรรมหลักที่คาดหวงั (Key Result Areas) ในสมรรถนะตัวนั้นๆ โดยแบง่ ช่วงการให้คะแนนของแต่ละพฤติกรรมที่ แสดงออกระหว่าง 1-9 ช่วงตามแนวดิ่งลงมา สำหรบั ผู้ประเมินอาจเปน็ ได้ทั้งผบู้ ังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผใู้ ต้บงั คบั บัญชา หรอื ร่วมกนั ทั้ง 3 ฝ่ายเพือ่ ประเมินสมรรถนะของบคุ ลากร 9. ประเมินแบบสามร้อยหกสิบองศา (360 Evaluation) การประเมนิ สมรรถนะแบบ 360 นี้ เป็นการประเมนิ โดยใช้เครื่องมอื ที่เป็นแบบสอบถาม (Rating Scale) หรอื แบบประเมิน จากพฤติกรรม การปฏิบตั ิงาน (Behaviorally Anchored Rating : BARS) โดยใหผ้ ทู้ ี่เกีย่ วข้องกบั ผถู้ กู ประเมินเป็นผู้ ประเมินสมรรถนะ เช่น ผบู้ ังคบั บญั ชา เพื่อน รว่ มงาน ลกู น้อง ลกู ค้า เปน็ ต้น และเมือ่ ทกุ คนประเมิน เสร็จแล้วก็หาข้อสรุปว่าผถู้ ูก ประเมินมสี มรรถนะอยใู่ นระดบั ใด ขอ้ ดีของการประเมินแบบนกี้ ็คือการ ประเมินโดยบุคคล หลายคนหลายระดับทำให้มีหลายมุมมอง ลดอคติจากการประเมินโดยบุคคลคน เดียว ข้อจำกัดคือมีภาระเอกสารจำนวนมาก บางครง้ั ผปู้ ระเมินมีความเกรงใจทำให้ประเมินสูง กว่า ความเปน็ จรงิ หรอื เกิดพฤติกรรมฮ้ัวซึง่ กนั และกันเป็นต้น 10. การประเมินแบบศูนยท์ ดสอบ (Assessment Center) เปน็ เทคนิคการ ประเมินทีใ่ ช้ เทคนิคหลายๆ วธิ ีรว่ มกันและใช้บคุ คลหลายคนร่วมกันประเมิน เช่น แบบสอบถาม การสังเกต พฤติกรรม การสัมภาษณ์ การทดสอบ การใช้แบบวดั ทาง จติ วิทยา กรณีศกึ ษา เปน็ ต้น ขอ้ ดีของ การประเมินแบบนคี้ ือผลการประเมินมคี วามเทีย่ ง และความเชอ่ื ถือได้สงู เพราะใช้เทคนิคหลายวิธี รว่ มกัน ใชค้ นหลายคนช่วยกนั ประเมิน ส่วนข้อจำกดั กค็ ือต้องเสียค่าใช้จ่ายสงู ใช้เวลามาก เปน็ ต้น 5. การพัฒนาสมรรถนะครู สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน (2553, หนา้ 25-38) สรปุ ได้วา สมรรถนะครู ประกอบด้วยสมรรถนะหลกั และสมรรถนะประจำสายงาน ดังนี้ 1. สมรรถนะหลกั ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ ดังน้ี 1.1 การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน (Working achievement motivation) 1.2 การบริการที่ดี (Service mind) 1.3 การพัฒนาตนเอง (Self-development) 1.4 การทำงานเปน็ ทีม (Team work)
68 1.5 จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู (Teacher’s Ethics and Integrity) 2. สมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) ประกอบด้วย 6 สมรรถนะ ดังน้ี 2.1 การบริหารหลักสตู รและการจดั การเรียนรู้ (Curriculum and Learning Management) 2.2 การพฒั นาผเู้ รียน (Student Development) 2.3 การบริหารจดั การชั้นเรียน (Classroom Management) 2.4 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจยั เพือ่ พัฒนาผู้เรียน (Analysis & Synthesis & Classroom Research) 2.5 ภาวะผนู้ ำครู (Teacher Leadership) 2.6 การสรา้ งความสมั พนั ธ์และความร่วมมอื กบั ชุมชนเพื่อการจดั การ เรียนรู้ (Relationship & Collaborative – Building for Learning Management) สมรรถนะหลัก (Core competency) ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ ดังนี้ สมรรถนะที่ 1 การม่งุ ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน (Working Achievement Motivation) หมายถึง ความมุ่งมัน่ ในการปฏิบัติงานในหนา้ ทีใ่ ห้มีคุณภาพ ถูกต้อง ครบถ้วนสมบรู ณ์ มีความคิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ โดยมีการวางแผน กำหนดเป้าหมาย ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน และปรบั ปรุงพฒั นาประสิทธิภาพและผลงานอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งมีตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 1 ความสามารถในการวางแผนการกำหนดเป้าหมาย การ วิเคราะห์ สงั เคราะหภ์ ารกิจงาน รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. วิเคราะหภ์ ารกิจงานเพือ่ วางแผนการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ 2. กำหนดเป้าหมายในการปฏิบัติงานทุกภาคเรียน 3. กำหนดแผนการปฏิบตั ิงานและการจัดการเรยี นรู้อย่างเป็น ขั้นตอน ตัวบง่ ชีท้ ี่ 2 ความมงุ่ มนั่ ในการปฏิบตั ิหน้าทีใ่ ห้มีคณุ ภาพ ถกู ต้อง ครบถ้วนสมบรู ณ์ รายการพฤติกรรมประกอบด้วย 1. ใฝเ่ รียนรู้เกีย่ วกับการจัดการเรียนรู้
69 2. ริเรม่ิ สร้างสรรค์ในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ 3. แสวงหาความรทู้ ี่เกีย่ วกับวิชาชีพใหมๆ่ เพือ่ พฒั นาตนเอง ตวั บง่ ชีท้ ี่ 3 ความสามารถในการตดิ ตามประสิทธิผลการปฏิบัติงาน รายการพฤติกรรมได้แก่ ประเมินผลการปฏิบัติงานของตนเอง ตัวบง่ ชีท้ ี่ 4 ความสามารถในการพัฒนาการปฏิบัติงานให้มี ประสิทธิภาพอย่างต่อเนอ่ื ง เพือ่ ให้งานประสบความสำเร็จ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ใช้ผลการประเมินการปฏิบตั ิงานมาปรบั ปรุง พฒั นาการทำงาน ให้ดียิ่งขึน้ 2. พัฒนาการปฏิบตั ิงานเพื่อตอบสนองความตอ้ งการของผู้เรยี น ผปู้ กครองและชุมชน สมรรถนะที่ 2 การบริการที่ดี (Service Mind) หมายถึง ความตง้ั ใจและ ความเต็มใจในการให้บริการ และการปรับปรงุ ระบบบริการให้มปี ระสิทธิภาพอยา่ งตอ่ เนือ่ ง เพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการของผู้รับบริการ ซึ่งมีตวั บ่งชี้ ดงั นี้ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 1 ความต้ังใจและเตม็ ใจในการให้บริการ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ทำกิจกรรมตา่ ง ๆ เพือ่ ประโยชน์สว่ นรวมเมอ่ื มีโอกาส 2. เต็มใจภาคภูมใิ จ และมีความสุขในการใหบ้ ริการแก่ผู้รบั บริการ ตัวบ่งชีท้ ี่ 2 การปรบั ปรุงบริการให้มปี ระสิทธิภาพ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ศึกษาความตอ้ งการของ ผรู้ บั บริการ และนำข้อมลู ไปใช้ในการ ปรบั ปรุง 2. ปรบั ปรงุ และพฒั นาระบบการให้บริการใหม้ ีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ 3 การพัฒนาตนเอง (Self- Development) หมายถึง การศกึ ษาค้นคว้า หาความรู้ ติดตามและแลกเปลีย่ นเรียนรู้องคค์ วามรใู้ หม่ๆ ทางวิชาการ และวิชาชีพ มีการสร้างองค์ความรแู้ ละนวตั กรรม เพือ่ พฒั นาตนเอง และพัฒนางาน ซึ่งมี ตัวบง่ ชี้ ดังน้ี ตวั บ่งชีท้ ี่ 1 การศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ ตดิ ตามองคค์ วามรใู้ หม่ๆทาง วิชาการและวิชาชีพรายการ พฤติกรรม ได้แก่ ศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ มงุ่ ม่ันและแสวงหา
70 โอกาสพัฒนาตนเองด้วยวิธีการ ที่หลากหลาย เช่น การเข้ารว่ มประชมุ สัมมนา การศกึ ษาดู งาน การค้นคว้าด้วยตนเอง ตวั บ่งชีท้ ี่ 2 สร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมในการพัฒนาองคก์ รและ วิชาชีพ รายการพฤติกรรมประกอบด้วย 1. รวบรวม สังเคราะหข์ อ้ มูล ความรู้ จัดเป็นหมวดหมู่และ ปรบั ปรุงใหท้ นั สมัย 2. สร้างองค์ความรแู้ ละนวัตกรรมเพื่อพัฒนาการจดั การเรยี นรู้ องคก์ รและวิชาชีพ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 3 การแลกเปลีย่ นความคิดเห็น และสร้างเครือข่าย รายการ พฤติกรรมประกอบด้วย 1. แลกเปลีย่ นเรียนรู้กับผอู้ ื่นเพื่อพฒั นาตนเองและพฒั นางาน 2. ให้คำปรึกษาแนะนำ นเิ ทศ และถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ ทางวิชาชีพแก่ผอู้ ื่น 3. มีการขยายผลโดยสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ สมรรถนะที่ 4 การทำงานเป็นทีม (Team Work) หมายถึง การให้ความ ร่วมมอื ช่วยเหลอื สนบั สนุนเสริมแรงใหก้ ำลงั ใจแก่เพื่อนร่วมงาน การปรับตวั เข้ากบั ผอู้ ืน่ หรอื ทีมงาน แสดงบทบาทการเปน็ ผู้นำหรือผู้ตามได้อย่างเหมาะสมในการทำงานร่วมกบั ผอู้ ืน่ เพือ่ สร้างและดำรงสัมพนั ธภาพของสมาชิก ตลอดจนเพือ่ พฒั นาการจัดการศึกษาให้ บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึง่ มีตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 1 การให้ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลือสนบั สนนุ เพื่อนร่วมงาน รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. สร้างสัมพนั ธภาพที่ดใี นการทำงานร่วมกบั ผอู้ ืน่ 2. ทำงานรว่ มกับผอู้ ื่นตามบทบาทหนา้ ที่ทีไ่ ด้รับมอบหมาย 3. ช่วยเหลอื สนับสนุน เพื่อนร่วมงานเพื่อสเู่ ป้าหมายความสำเร็จ ร่วมกนั ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 การเสริมแรงให้กำลงั ใจเพื่อนรว่ มงาน รายการพฤติกรรม ได้แก่ ใหเ้ กียรติ ยกยอ่ งชมเชย ให้กำลังใจแกเ่ พือ่ นร่วมงานในโอกาสทีเ่ หมาะสม ตวั บ่งชีท้ ี่ 3 การปรับตัวเข้ากับกลมุ่ คนหรอื สถานการณ์ที่หลากหลาย รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย
71 1. มีทกั ษะในการทำงานร่วมกับบคุ คล/กลุ่มบคุ คลได้อยา่ งมี ประสิทธิภาพทั้งภายใน และ ภายนอกสถานศกึ ษาและในสถานการณ์ต่างๆ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 4 การแสดงบทบาทผนู้ ำหรอื ผตู้ ามรายการพฤติกรรม ได้แก่ แสดงบทบาทผนู้ ำหรอื ผตู้ ามในการ ทำงานร่วมกับผอู้ ื่นได้อย่างเหมาะสมตามโอกาส ตวั บง่ ชีท้ ี่ 5 การเข้าไปมีส่วนรว่ มกับผอู้ ื่นในการพัฒนาการจดั การศกึ ษาให้บรรลุผลสำเรจ็ ตามเป้าหมาย รายการพฤติกรรมประกอบด้วย 1. แลกเปลีย่ น/รบั ฟงั ความคิดเห็นและประสบการณ์ภายในทีมงาน 2. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ รบั ฟงั ความคิดเหน็ และประสบการณ์ ระหว่างเครือข่ายและทีมงาน 3. ร่วมกบั เพื่อนร่วมงานในการสรา้ งวัฒนธรรมการทำงานเป็นทีม ให้เกิดข้ึนในสถานศกึ ษา สมรรถนะที่ 5 จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู (Teacher’s Ethics and Integrity) หมายถึง การประพฤติปฏิบตั ิตนถูกต้องตามหลกั คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครู เปน็ แบบอย่างที่ดแี กผ่ ู้เรียน และสังคม เพือ่ สรา้ งความศรัทธาใน วิชาชีพครู ซึ่งมีตวั บ่งชี้ ดังนี้ ตวั บ่งชีท้ ี่ 1 ความรกั และความศรทั ธาในวิชาชีพ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. สนบั สนุน และเข้าร่วมกิจกรรมการพฒั นาจรรยาบรรณวิชาชีพ 2. เสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชนต์ ่อวิชาชีพและเป็นสมาชิกที่ดขี อง องค์กรวิชาชีพ 3. ยกย่อง ชื่นชมบคุ คลที่ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ 4. ยึดมั่นในอุดมการณ์ของวิชาชีพ ปกป้องเกียรตแิ ละศักดิศ์ รีของ วิชาชีพ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 มีวนิ ัย และความรบั ผดิ ชอบในวิชาชีพ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ซือ่ สัตย์ต่อตนเอง ตรงตอ่ เวลา วางแผนการใช้จ่าย และใช้ ทรพั ยากรอยา่ งประหยัด 2. ปฏิบัติตนตามกฎ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั และวัฒนธรรมที่ดีของ องค์กร
72 3. ปฏิบัติตนตามบทบาทหน้าที่ และมงุ่ มั่นพัฒนาการประกอบ วิชาชีพให้ก้าวหน้า 4. ยอมรับผลอันเกิดจากการปฏิบตั ิหนา้ ทีข่ องตนเอง และหาแนว ทางแก้ไขปญั หา ตัวบง่ ชีท้ ี่ 3 การดำรงชีวติ อย่างเหมาะสม รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ปฏิบัติตน ดำเนินชีวติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้ เหมาะสมกบั สถานะ 2. รกั ษาสิทธิประโยชนข์ องตนเอง และไม่ละเมิดสิทธิของผู้อ่นื 3. เอือ้ เฟื้อเผือ่ แผ่ ชว่ ยเหลือ และไมเ่ บียดเบียนผู้อ่ืน ตัวบ่งชีท้ ี่ 4 การปฏิบตั ิตนเป็นแบบอยา่ งทีด่ ี รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ปฏิบตั ิตนได้เหมาะสมกับบทบาทหนา้ ที่ และสถานการณ์ 2. มีความเปน็ กัลยาณมิตรต่อผู้เรยี น เพือ่ นรว่ มงาน และ ผรู้ ับบริการ ปฏิบตั ิตนตาม หลกั การครองตน ครองคน ครองงานเพื่อให้การปฏิบัติงาน บรรลุผลสำเร็จ เปน็ แบบอย่างที่ดีในการ สง่ เสริมผอู้ ืน่ ใหป้ ฏิบตั ิตนตามหลกั จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครู และพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับ สมรรถนะที่ 1 การบริหารหลักสตู รและการจัดการเรียนรู้ (Curriculum and Learning Management) หมายถึง ความสามารถในการสรา้ งและพฒั นาหลักสูตรการ ออกแบบการเรียนรอู้ ยา่ งสอดคล้องและเปน็ ระบบ จดั การเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ ใช้ และพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยี และการวัด ประเมินผล การเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผเู้ รียน อยา่ งมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ประกอบด้วยตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 การสร้างและการพฒั นาหลักสตู ร รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. สร้างพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ทีส่ อดคล้องกับ หลกั สูตรแกนกลาง และหลักสตู รท้องถิ่น 2. ประเมินการใช้หลักสตู รและนำผลการประเมินไปใช้ในการ พฒั นาหลักสูตร
73 ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 ความรู้ ความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. กำหนดผลการเรียนรู้ของผเู้ รียนทีเ่ น้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยกุ ต์รเิ ริ่มที่ เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ ความแตกต่างและธรรมชาติของผเู้ รียนเปน็ รายบคุ คล 2. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อยา่ งหลากหลายเหมาะสม สอดคล้องกบั วัยและความต้องการของผู้เรยี นและชุมชน 3. เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้ การ จดั กิจกรรม และการประเมินผลการเรียนรู้ 4. จัดทำแผนการเรียนรู้อยา่ งเปน็ ระบบโดยบรู ณาการอย่าง สอดคล้องเช่อื มโยงกนั มกี ารนำผลการออกแบบการเรียนรู้ไปใช้ในการจัดการเรียนรแู้ ละ ปรับใช้ตามสถานการณ์อย่างเหมาะสมและเกิดผลการเรียนรกู้ บั ผเู้ รียนตามที่คาดหวงั 5. ประเมินผลการออกแบบการเรียนรเู้ พื่อนำไปใช้ในการปรบั ปรงุ พฒั นา ตวั บง่ ชีท้ ี่ 3 การจัดการเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ รายการ พฤติกรรม ประกอบด้วย 1. จดั ทำฐานข้อมลู เพือ่ ออกแบบการเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ 2. ใช้รูปแบบ/เทคนิควิธีการสอนอยา่ งหลากหลายเพื่อใหผ้ เู้ รียน พัฒนาเต็มศักยภาพ 3. จัดกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ปลูกฝงั /ส่งเสริมคุณลักษณะอนั พึง ประสงคแ์ ละสมรรถนะ 4. ใช้หลกั จติ วิทยาในการจัดการเรียนรู้ให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ อย่างมีความสขุ และของผเู้ รียน พฒั นาอย่างเตม็ ศกั ยภาพ 5. ใช้แหล่งเรียนรู้และภมู ปิ ัญญาท้องถิน่ ในชุมชนในการจดั การ เรียนรู้ 6. พฒั นาเครอื ข่ายการเรียนรรู้ ะหว่างโรงเรียนกับผปู้ กครองและ ชมุ ชน
74 ตัวบ่งชีท้ ี่ 4 การใช้และการพฒั นาส่อื นวัตกรรมเทคโนโลยีการจัดการ เรียนรู้อยา่ ง หลากหลาย เหมาะสมกับเนือ้ หาและกิจกรรมการเรยี นรู้ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. การใชส้ ื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรอู้ ย่าง หลากหลาย เหมาะสมกบั เนือ้ หาและกิจกรรมการเรยี นรู้ 2. สืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอรเ์ นต็ เพื่อพฒั นาการจดั การ เรียนรู้ 3. ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอรใ์ นการผลิตสื่อ/นวตั กรรมทีใ่ ช้ในการ จดั การเรยี นรู้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 5 การวัดและประเมินผลการจดั การเรียนรู้ รายการ พฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ออกแบบวิธีการวัดและประเมินผลอย่างหลากหลาย และ เหมาะสมกบั เนือ้ หา กิจกรรมการเรยี นรู้และผเู้ รียน 2. สร้างและนำเครือ่ งมอื วัดและประเมินผลไปใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสม 3. วดั และประเมินผลผเู้ รียนตามสภาพจริง 4. นำผลการประเมินผลการเรียนรู้มาใช้ในการพฒั นาการจดั การ เรียนรู้ สมรรถนะที่ 2 การพฒั นาผู้เรียน (Student Development) หมายถึง ความสามารถในการปลูกฝังคณุ ธรรมจรยิ ธรรม การพัฒนาทักษะชีวิต สุขภาพกาย และ สขุ ภาพจิต ความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเป็นไทย การจดั ระบบดูแล ชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนเพื่อพัฒนาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพ ซึง่ มีตัวบ่งชี้ ดงั นี้ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 การปลูกฝงั คณุ ธรรม จริยธรรมให้แกผ่ เู้ รียน รายการ พฤติกรรม ประกอบด้วย 1. สอดแทรกคุณธรรมจรยิ ธรรมแกผ่ เู้ รียนในการจดั การเรียนรู้ใน ชั้นเรยี น 2. จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมโดยใหผ้ เู้ รียนมีส่วน ร่วมในการวางแผน
75 3. จัดทำโครงการ/กิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรมจรยิ ธรรมให้แก่ ผเู้ รียนกิจกรรม ตวั บ่งชีท้ ี่ 2 การพัฒนาทักษะชีวติ และสขุ ภาพกาย และสุขภาพจิต ผเู้ รียน รายการ พฤติกรรม ได้แก่ จัดกิจกรรมเพือ่ พัฒนาผเู้ รียนด้านการดูแลตนเอง มี ทักษะในการเรียนรู้ การทำงาน การอย่รู ่วมกันในสังคมอย่างมีความสขุ และรู้เทา่ ทันการ เปลี่ยนแปลง ตัวบ่งชีท้ ี่ 3 การปลูกฝงั ความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความ เปน็ ไทยใหแ้ กผ่ เู้ รียนรายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. สอดแทรกความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเปน็ ไทย ให้แก่ผเู้ รียน 2. จดั ทำโครงการ/กิจกรรมสง่ เสริมความเปน็ ประชาธิปไตย ความ ภูมใิ จในความเปน็ ไทย ตัวบง่ ชีท้ ี่ 4 การจดั ระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ให้ผู้เรยี น คณะครผู ู้สอน และผปู้ กครองมสี ่วนร่วมในการดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียนรายบุคคล 2. นำข้อมลู นกั เรียนไปใช้ชว่ ยเหลอื พัฒนา ผเู้ รียนทั้งด้านการ เรียนรู้และปรบั พฤติกรรมรายบคุ คล 3. จดั กิจกรรมเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาและส่งเสริมพฒั นาผเู้ รียน ให้แกน่ กั เรียนอยา่ ง ท่วั ถึง สง่ เสริมให้ผเู้ รียนปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมกบั คา่ นยิ มที่ดีงาม 4. ดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียนอยา่ งท่ัวถึง ทันการณ์ สมรรถนะที่ 3 การบริหารจัดการชั้นเรยี น (Classroom Management) หมายถึง การจัดบรรยากาศการเรยี นรู้ การจัดทำข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจำช้ัน เรียน/ประจำวิชา การกำกบั ดูแลช้ันเรยี นรายชั้น/รายวิชา เพื่อสง่ เสริมการเรยี นรู้อย่างมี ความสขุ และความปลอดภัยของผเู้ รียน ซึ่งมีตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 จัดบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรคู้ วามสุขและความ ปลอดภัยของผู้เรียน รายการ พฤติกรรม ประกอบด้วย 1. จดั สภาพแวดล้อมภายในหอ้ งเรียน และภายนอกหอ้ งเรียนที่เอื้อ ตอ่ การเรียนรู้
76 2. ส่งเสริมการมีปฏิสมั พนั ธ์ที่ดรี ะหว่างครูกบั ผเู้ รียน และผเู้ รียน กบั ผเู้ รียน 3. ตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องเรียนให้พรอ้ มใชแ้ ละ ปลอดภัยอยู่เสมอ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 2 จัดทำข้อมลู สารสนเทศและเอกสารประจำช้ันเรียน ประจำวิชา รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. จัดทำขอ้ มลู สารสนเทศของนักเรียนเปน็ รายบุคคลและเอกสาร ประจำชั้นเรยี นอย่างถกู ต้องครบถ้วนเป็นปจั จุบัน 2. นำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ในการพัฒนาผเู้ รียนได้เตม็ ศกั ยภาพ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 3 กำกับดแู ลช้ันเรียนรายช้ัน/รายวิชา รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. ให้ผู้เรยี นมีสว่ นร่วมในการกำหนดกฎ กติกา ข้อตกลงในชน้ั เรียน 2. แก้ปัญหาพัฒนานักเรียนด้านระเบียบวินัยโดยการสร้างวินยั เชิง บวกในช้ันเรียน 3. ประเมินการกำกับดูแลชั้นเรียนและนำผลการประเมินไปใช้ใน การปรบั ปรงุ พฒั นา สมรรถนะที่ 4 การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และการวิจยั เพื่อพฒั นาผเู้ รียน (Analysis & Synthesis & Classroom Research) หมายถึง ความสามารถในการทำความ เข้าใจ แยกประเด็นเปน็ ส่วนย่อย รวบรวม ประมวลหาข้อสรุปอยา่ งมีระบบและนำไปใช้ใน การวิจัยเพื่อพัฒนาผเู้ รียน รวมทั้งสามารถวิเคราะห์องค์กรหรอื งานในภาพรวมและ ดำเนนิ การแก้ปญั หา เพือ่ พัฒนางานอย่างเป็นระบบ ซึง่ มีตัวบ่งชี้ ดังน้ี ตวั บ่งชีท้ ี่ 1 การวิเคราะห์ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. สำรวจปญั หาเกีย่ วกบั นักเรียนทีเ่ กิดข้ึนในช้ันเรยี นเพื่อวาง แผนการพัฒนาวิจัย เพื่อพัฒนาผเู้ รียน 2. วิเคราะหส์ าเหตุของปัญหาเกี่ยวกบั นกั เรียนทีเ่ กิดข้ึนในช้ันเรยี น เพื่อกำหนดทางเลือกในการแก้ปญั หา 3. มีการวิเคราะหจ์ ดุ เดน่ จุดด้อย อุปสรรคและโอกาส ความสำเร็จของการวิจยั เพื่อ แก้ปัญหาทีเ่ กิดขึน้ ในช้ันเรียน
77 ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 การสงั เคราะห์ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. รวบรวม จำแนกและจดั กล่มุ ของสภาพปัญหาของผเู้ รียน แนวคิด ทฤษฎีและวธิ ีการแก้ไขปญั หาเพอ่ื สะดวกตอ่ การนำไปใช้ 2. มีการประมวลผลหรอื สรุปข้อมลู สารสนเทศทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อ การแก้ไขปัญหาในชั้นเรยี น โดยใช้ขอ้ มูลรอบด้าน ตวั บง่ ชีท้ ี่ 3 การวิจยั เพือ่ พัฒนาผเู้ รียน รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. จดั ทำแผนการวิจยั และดำเนินกระบวนการวิจัยอย่างเปน็ ระบบ ตามแผนดำเนินการวิจัยทีว่ างไว้ 2. ตรวจสอบความถกู ต้อง และความน่าเชื่อถอื ของผลการวิจัย อย่างเป็นระบบมีการนำ ผลการวิจยั ไปประยกุ ตใ์ ช้ในกรณีศึกษาอืน่ ๆ ที่มีบริบทของปญั หา ที่คล้ายคลึงกนั สมรรถนะที่ 5 ภาวะผนู้ ำครู (Teacher Leadership) หมายถึง คณุ ลกั ษณะและพฤติกรรมของครูที่แสดงถึงความเกีย่ วข้องสมั พันธ์ส่วนบุคคล และการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันทั้งภายในและภายนอกห้องเรียนโดยปราศจากการใช้ อิทธิพลของผู้บริหารสถานศกึ ษา กอ่ ใหเ้ กิดพลังแห่งการเรียนรู้เพอ่ื พัฒนาการจัดการ เรียนรู้ให้มีคณุ ภาพ ซึง่ มีตัวบง่ ชี้ ดังนี้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 1 วฒุ ิภาวะความเปน็ ผู้ใหญท่ ีเ่ หมาะสมกบั ความเป็นครู (Adult development) รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. พิจารณาทบทวน ประเมินตนเองเกี่ยวกบั พฤติกรรมที่ แสดงออกต่อผเู้ รียนและและมีความรับผดิ ชอบตอ่ ตนเองและสว่ นรวมผอู้ ืน่ 2. เห็นคุณคา่ ให้ความสำคัญในความคดิ เห็นหรอื ผลงาน และให้ เกียรตแิ กผ่ อู้ ืน่ 3. กระตนุ้ จูงใจ ปรับเปลี่ยนความคิดและการกระทำของผู้อน่ื ให้มี ความผูกพนั และมงุ่ ม่ันตอ่ เป้าหมายในการทำงานรว่ มกนั ตวั บ่งชีท้ ี่ 2 การสนทนาอย่างสรา้ งสรรค์ (Dialogue) รายการ พฤติกรรม ประกอบด้วย 1. มีปฏิสัมพนั ธ์ในการสนทนา มบี ทบาท และมีสว่ นร่วมในการ สนทนาอยา่ งสรา้ งสรรคก์ บั ผอู้ ืน่ โดยมุ่งเน้นไปทีก่ ารเรียนรขู้ องผเู้ รียนและพัฒนาวิชาชีพ
78 2. มีทักษะการฟัง พูด และการตงั้ คำถาม เปิดใจกว้าง ยืดหยุน่ ยอมรับทศั นะทีห่ ลากหลายของผู้อ่นื เพื่อเปน็ แนวทางใหมๆ่ ในการปฏิบัติงาน 3. สืบเสาะข้อมลู ความรทู้ างวิชาชีพใหมๆ่ ที่สร้างความท้าทายใน การสนทนาอย่างสร้างสรรคก์ ับผอู้ ื่น ตวั บง่ ชีท้ ี่ 3 การเป็นบุคคลแหง่ การเปลี่ยนแปลง (Change agency) รายการพฤติกรรมประกอบด้วย 1. ให้ความสนใจกบั สถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นปัจจุบนั โดยมีการ วางแผนอยา่ งมวี ิสัยทศั น์ ซึ่งเชื่อมโยงกับวิสัยทศั น์ เป้าหมาย และพนั ธกิจของโรงเรียน ร่วมกับผอู้ ืน่ 2. ริเร่มิ การปฏิบตั ิหนา้ ที่นำไปส่กู ารเปลี่ยนแปลงและการพัฒนา นวตั กรรม 3. กระตนุ้ ผอู้ ืน่ ให้มีการเรียนรแู้ ละความร่วมมอื ในวงกว้างเพื่อ พัฒนาผเู้ รียน สถานศกึ ษาและวชิ าชีพ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 1 การพิจารณางานอยา่ งไตร่ตรอง (Reflective practice) รายการพฤติกรรมประกอบด้วย 1. พิจารณาไตร่ตรองความสอดคล้องระหว่างการเรยี นรู้ของ นกั เรียนและการจัดการการเรียนรู้ 2. สนบั สนุนความคิดริเรม่ิ ซึ่งเกิดจากการพิจารณาไตร่ตรองของ เพื่อนรว่ มงานและมี สว่ นร่วมในการพฒั นานวตั กรรมต่างๆ 3. ใช้เทคนิควิธีการหลากหลายในการตรวจสอบประเมินการ ปฏิบตั ิงานของตนเอง และผลการดำเนินงานสถานศกึ ษา ตัวบ่งชีท้ ี่ 5 การมุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิผ์ เู้ รียน (Concern for improving pupil achievement) รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. กำหนดเป้าหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ที่ท้าทาย ความสามารถของตนเองตามสภาพจรงิ และปฏิบตั ิให้บรรลผุ ลสำเร็จได้ 2. ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นรอบด้านของผเู้ รียนตอ่ ผปู้ กครองและ ผเู้ รียนอย่างเป็นระบบ 3. ยอมรับข้อมูลป้อนกลับเกี่ยวกับความคาดหวังด้านการเรียนรู้ ของผู้เรยี นจากผปู้ กครอง
79 4. ปรับเปลี่ยนบทบาทและการปฏิบตั ิงานของตนเองให้เอือ้ ต่อการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผเู้ รียน 5. ตรวจสอบข้อมลู การประเมินผู้เรยี นอย่างรอบด้าน รวมไปถึง ผลการวิจยั หรอื องค์ ความรู้ต่าง ๆ และนำไปใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิผ์ ู้เรยี นอย่างเป็น ระบบ สมรรถนะที่ 6 การสร้างความสัมพันธ์และความรว่ มมือกับชุมชนเพื่อ การจดั การเรียนรู้ (Relationship & Collaborative – Building for Learning Management) หมายถึง การประสานความร่วมมอื สร้างความสัมพนั ธ์ทีด่ ี และเครอื ข่ายกับผปู้ กครอง ชมุ ชน และองคก์ รอื่นๆ ท้ังภาครัฐและเอกชน เพื่อสนบั สนุนสง่ เสริมการจดั การเรียนรู้ ซึ่งมี ตวั บง่ ชี้ ดังน้ี ตัวบ่งชีท้ ี่ 1 การสร้างความสมั พันธ์และความรว่ มมอื กับชมุ ชนเพื่อการ จดั การเรยี นรู้ รายการพฤติกรรม ประกอบด้วย 1. กำหนดแนวทางสรา้ งความสัมพนั ธท์ ี่ดี และความรว่ มมอื กับ ชมุ ชน 2. ประสานให้ชมุ ชนเข้ามามีสว่ นรว่ มในกิจกรรมตา่ งๆ ของ สถานศกึ ษา 3. ให้ความร่วมมอื ในกิจกรรมต่างๆ ของชมุ ชน 4. จัดกิจกรรมทีส่ ร้างความสมั พันธ์และความรว่ มมอื กับ ผปู้ กครอง ชุมชน และองคก์ รอ่นื ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนเพือ่ การจดั การเรียนรู้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 2 การสร้างเครอื ข่ายความร่วมมอื เพื่อการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การสร้างเครือข่าย ระหวา่ งครู ผปู้ กครอง ชุมชน และองค์กรอื่นๆ ท้ังภาครัฐและ ภาคเอกชน เพื่อสนบั สนนุ ส่งเสริมการ จัดการเรียนรู้จากสมรรถนะและตัวบ่งชี้ สรุปได้ว่า สมรรถนะครูไทย แบ่งเปน็ สมรรถนะหลกั (Core competency) ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การมงุ่ ผลสมั ฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน 2) การบริการทีด่ ี 3) การพัฒนาตนเอง 4) การทำงานเป็นทีม และ 5) จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู และสมรรถนะประจำสายงาน (Functional competency) ประกอบด้วย 6 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การบริหารหลกั สูตรและการจดั การเรียนรู้ 2) การพัฒนาผเู้ รียน 3) การบริหารจัดการ ช้ันเรยี น 4) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยเพื่อพฒั นาผเู้ รียน 5) ภาวะผนู้ ำครู และ 6) การสรา้ งความสัมพนั ธแ์ ละความร่วมมอื กับชุมชนเพื่อการจดั การเรียนรู้
80 6. สมรรถนะครู อนุชิต จนั ศิลา (2559, หน้า 21) ได้ให้ความหมายสมรรถนะครูผู้สอน หมายถึง ความรู้ ความสามารถหรือทักษะกระบวนการทีเ่ กี่ยวข้องกบั กระบวนการเรียนรู้ เจตคติ หรือกระบวนการคิด ของครูเพือ่ การจัดการเรียนการสอนทีม่ ีประสิทธิภาพ ซึ่งครู จะแสดงออกทางพฤติกรรมในการปฏิบัติงาน โดยความสามารถนี้จะเปน็ ผลสบื เนือ่ งมาจากความรคู้ วามเข้าใจของครู ต่อเน้ือหาวิชา เทคนิควิธีการสอน และการเรียนรู้ ของผู้เรยี น สธุ ี บูรณะแพทย์ (2557, หน้า 23) ได้ให้ความหมายสมรรถนะครูผสู้ อน หมายถึง พฤติกรรมซึง่ เกิดจากการรวมความรู้ ทกั ษะ คณุ ลักษณะ ทัศนคติ และแรงจงู ใจ ของบุคคล และส่งผลตอ่ ความสำเร็จในการปฏิบตั ิงานตามบทบาทหนา้ ที่อย่างโดดเด่น วิไลวรรณ สิทธิ (2560, หน้า 24) ได้ให้ความหมายสมรรถนะครผู ู้สอน หมายถึง ความรู้ ทกั ษะกระบวนการและเจตคตขิ องครเู พือ่ การจดั การเรียนการสอนทีม่ ี ประสิทธิภาพ ซึง่ ครูจะแสดงออกทางพฤติกรรมในการปฏิบัติงาน โดยความสามารถนี้จะ เป็นผลสืบเนือ่ งมาจากความรคู้ วามเข้าใจของครตู ่อเนื้อหาวิชา เทคนิควิธีการสอน และการ เรียนรู้ของผเู้ รียน กล่าวสรปุ ได้วา่ สมรรถนะครูผู้สอน หมายถึง ความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะของครูที่จำเปน็ ตอ่ การปฏิบัติงานในวิชาชีพครใู ห้บรรลุผลอย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งครูจะแสดงออกทางพฤติกรรมในการปฏิบตั ิงานให้บรรลุผลอยา่ งมี ประสิทธิภาพ โดยความสามารถนี้จะเปน็ ผลสืบเนือ่ งมาจากความรคู้ วามเข้าใจของครูต่อ เนือ้ หาวิชา เทคนิควิธีการสอน และการเรียนรู้ของผเู้ รียน 7. สมรรถนะครผู สู้ อนโดยทว่ั ไป ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดด้านสมรรถนะครูผู้สอนจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับ การพัฒนาสมรรถนะครผู ู้สอน ดังน้ี มานิตย์ นาคเมือง (2552, หน้า 211-212) ได้กล่าวไว้ว่า สมรรถนะ ประจำสายงานของครผู ู้สอนในสถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ ดังน้ี 1. สมรรถนะการจัดการเรยี นรู้ 2. สมรรถนะการพฒั นาผเู้ รียน 3. สมรรถนะการบริหารจดั การช้ันเรยี น
81 4.สมรรถนะการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และวจิ ยั 5. สมรรถนะการทำงานรว่ มกบั ชมุ ชน ชัชวาล เจริญบุญ (2554, หน้า 163-164) ได้กล่าวไว้ว่า ปัจจัยที่มีผลตอ่ การจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ ประกอบด้วย 5 ปจั จยั ดังน้ี 1. ปัจจัยด้านการพัฒนาครู ได้แก่ 1.1 ส่งเสริมให้ครเู ข้ารว่ มการประชมุ อบรม และสมั มนา 1.2 ส่งเสริมให้ครูพัฒนาตนเองให้มคี วามรู้ และทักษะ ด้านคอมพิวเตอร์ 1.3 ส่งเสริมการพัฒนากระบวนการสอนสร้างนวตั กรรม และการทำวิจัยในช้ันเรยี น 1.4 โรงเรียนส่งเสริมพัฒนาบคุ ลากร 1.5 การจัดสวสั ดิการเครอื ขา่ ยการเรียนรู้ที่เอือ้ ต่อการพัฒนาครู 2. ปจั จัยด้านเจตคติต่อการสอนที่เน้นผู้เรยี นเป็นสำคญั 3. ปจั จยั ด้านความพึงพอใจในงานของครู 4. ปจั จัยด้านการสนับสนุนการทำงานของครู 5. ปัจจัยด้านคณุ ลกั ษณะด้านวิชาชีพครู สมนึก ลิ้มอารีย์ (2552, หน้า 59-60) ได้กล่าวไว้ว่า สมรรถนะหลักของ บคุ ลากรทางการศกึ ษาที่ปฏิบัติงานในสานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาขอนแกน่ เขต 3 มี ความสำคัญต่อการปฏิบัติงานเรียงจากมากไปหาน้อย ดงั น้ี 1. ดา้ นมจี รยิ ธรรม 2. ดา้ นทำงานเป็นทีม 3. ด้านมจี ติ ม่งุ บริการ 4. ด้านส่ังสมความเช่ยี วชาญในงาน 5. ด้านมุ่งผลสมั ฤทธิ์ กล่าวสรุปได้ว่า สมรรถนะของครูผู้สอนโดยทั่วไป เป็นความสามารถ ด้านตา่ งๆ ทีแ่ สดงออกมาเพื่อที่จะทำให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุตามเป้าหมายที่วาง ไว้ ประกอบด้วย สมรรถนะดา้ นความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลักษณะในการจดั การเรียนการสอน
82 8. สมรรถนะผู้ประกอบวิชาชีพครูตามประกาศของคุรุสภา สำนกั งานเลขาธิการคุรสุ ภา (2549, หน้า 285-295) ได้กลา่ วไว้ว่า สาระความรู้ และสมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาตามมาตรฐานความรู้ และประสบการณ์วิชาชีพ ประกอบด้วย 2 ด้าน ดังต่อไปนี้ ด้านที่ 1 สาระความรู้และสมรรถนะของผปู้ ระกอบวิชาชีพครตู ามมาตรฐาน ความรู้ 1. ภาษาและเทคโนโลยีสำหรบั ครู ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 1.1 สามารถใช้ทกั ษะในการฟงั การพูด การอ่าน การเขียน ภาษาไทย เพือ่ การสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง 1.2 สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพดู การอ่าน การเขียน ภาษาอังกฤษหรอื ภาษาต่างประเทศอน่ื ๆ เพือ่ การสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง 1.3 สามารถใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพ้ืนฐาน 2. การพัฒนาหลกั สตู ร ประกอบด้วย สมรรถนะ ดังนี้ 2.1 สามารถวิเคราะหห์ ลกั สูตร 2.2 สามารถปรับปรุงและพัฒนาหลกั สูตรได้อย่างหลากหลาย 2.3 สามารถประเมินหลักสูตรได้ท้ังกอ่ นและหลังการใช้หลกั สตู ร 2.4 สามารถจดั ทำหลักสูตร 3. การจดั การเรียนรู้ ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 3.1 สามารถนำประมวลรายวิชามาจดั ทำแผนการเรียนรู้ รายภาค และตลอดภาค 3.2 สามารถออกแบบการเรียนรทู้ ีเ่ หมาะสมกบั วัยของผเู้ รียน 3.3 สามารถเลือกใช้ พัฒนาและสร้างสือ่ อปุ กรณ์ทีส่ ่งเสริมการ เรียนรู้ของผเู้ รียน 3.4 สามารถจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและ จำแนกระดบั การเรียนรู้ของผเู้ รียนจากการประเมินผล 4. จติ วิทยาสำหรับครู ประกอบด้วย สมรรถนะ ดังนี้ 4.1 เข้าใจธรรมชาติของผู้เรียน 4.2 สามารถช่วยเหลือผู้เรยี นให้เรียนรแู้ ละพฒั นาได้ตามศกั ยภาพ ของตน
83 4.3 สามารถใหค้ ำแนะนำชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน 4.4 สามารถสง่ เสริมความถนัดและความสนใจของผเู้ รียน 5. การวัดและประเมินผลการศกึ ษา ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 5.1 สามารถวดั และประเมินผลได้ตามสภาพความเปน็ จริง 5.2 สามารถนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรงุ การจัดการ เรียนรู้และหลกั สูตร 6. การบริหารจดั การในห้องเรียน ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 6.1 มีภาวะผนู้ ำ 6.2 สามารถบริหารจดั การในชั้นเรียน 6.3 สามารถสื่อสารได้อยา่ งมคี ุณภาพ 6.4 สามารถในการประสานประโยชน์ 6.5 สามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการ 7. การวิจยั ทางการศกึ ษา ประกอบด้วย สมรรถนะ ดังน้ี 7.1 สามารถนำผลการวิจัยไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน 7.2 สามารถทำวิจัยเพื่อพฒั นาการเรียนการสอน และพัฒนา ผเู้ รียน 8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศกึ ษา ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 8.1 สามารถเลือกใช้ ออกแบบ สรา้ งและปรบั ปรงุ นวตั กรรม เพือ่ ให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ทีด่ ี 8.2 สามารถพฒั นาเทคโนโลยีและสารสนเทศเพือ่ ให้ผเู้ รียนเกิด การเรียนรทู้ ีด่ ี 8.3 สามารถแสวงหาแหล่งเรียนรทู้ ี่หลากหลายเพือ่ สง่ เสริมการ เรียนรู้ของผเู้ รียน 9. ความเปน็ ครู ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 9.1 รกั เมตตา และปรารถนาดีตอ่ ผเู้ รียน 9.2 อดทนและรบั ผดิ ชอบ 9.3 เปน็ บคุ คลแหง่ การเรียนรแู้ ละเป็นผนู้ ำทางวิชาการ 9.4 มีวสิ ัยทัศน์
84 9.5 ศรทั ธาในวิชาชีพครู 9.6 ปฏิบตั ิตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู ด้านที่ 2 สาระการฝึกทกั ษะและสมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชีพครู ตามมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ 1. การฝึกปฏิบตั ิวชิ าชีพระหวา่ งเรียน ประกอบด้วย สมรรถนะ ดังน้ี 1.1 สามารถศึกษาและแยกแยะผู้เรยี นได้ตามความแตกต่างของ ผเู้ รียน 1.2 สามารถจดั ทำแผนการเรียนรู้ 1.3 สามารถฝึกปฏิบตั ิการสอน ตงั้ แต่การจัดทำแผนการสอน ปฏิบัติการสอนประเมินผลและปรบั ปรงุ 1.4 สามารถจัดทำโครงงานทางวิชาการ 2. การปฏิบัติการสอนในสถานศกึ ษาในสาขาวิชาเฉพาะ ประกอบด้วย สมรรถนะ ดงั นี้ 2.1 สามารถจัดการเรียนรู้ในสาขาวิชาเฉพาะ 2.2 สามารถประเมิน ปรบั ปรุง และพัฒนาการจดั การเรียนรู้ ให้ เหมาะสมกบั ศกั ยภาพของผู้เรียน 2.3 สามารถทำวิจยั ในช้ันเรียนเพื่อพัฒนาผู้เรยี น 2.4 สามารถจัดทำรายงานผลการจัดการเรียนรู้และการพฒั นา ผเู้ รียน 9. สมรรถนะครูของสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน (2553, หนา้ 1-15) ได้กลา่ ว ไว้ว่า สมรรถนะและตัวบง่ ชี้ของครูไทย แบ่งออกเป็นสมรรถนะหลกั (Core Competency) ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ และสมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) ประกอบด้วย 6 สมรรถนะ ดงั น้ี สมรรถนะหลกั (Core Competency) ประกอบด้วย 5 สมรรถนะ ดังน้ี สมรรถนะที่ 1 การมุง่ ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบตั ิงาน (Working Achievement Motivation) หมายถึง ความมุ่งม่ันในการปฏิบตั ิงานในหนา้ ที่ให้มีคุณภาพ ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ มีความคิดริเร่มิ สร้างสรรค์ โดยมีการวางแผน กำหนดเป้าหมาย
85 ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน และพฒั นาปรบั ปรงุ ประสทิ ธิภาพและผลงานอย่าง ต่อเนือ่ ง ประกอบด้วย ตวั บ่งชี้ ดังน้ี ตัวบ่งชีท้ ี่ 1 ความสามารถในการวางแผน การกำหนดเป้าหมาย การวิเคราะหส์ ังเคราะห์ภารกิจงาน ตวั บ่งชีท้ ี่ 2 ความมงุ่ มนั่ ในการปฏิบตั ิหน้าทีใ่ ห้มีคุณภาพ ถูกต้อง ครบถ้วนสมบรู ณ์ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 3 ความสามารถในการตดิ ตามประเมินผลการ ปฏิบตั ิงาน ตัวบ่งชีท้ ี่ 4 ความสามารถในการพฒั นาการปฏิบัติงานให้มี ประสิทธิภาพอย่างต่อเนอ่ื ง สมรรถนะที่ 2 การบริการที่ดี (Service Mind) หมายถึง ความตง้ั ใจ และความเต็มใจในการให้บริการ และการปรบั ปรงุ ระบบบริการให้มปี ระสิทธิภาพอยา่ ง ต่อเนือ่ งเพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการของผรู้ ับบริการ ประกอบด้วย ตัวบง่ ชี้ ดังน้ี ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 ความต้ังใจและเตม็ ใจในการให้บริการ ตวั บ่งชีท้ ี่ 2 การปรับปรงุ ระบบบริการให้มปี ระสิทธิภาพ สมรรถนะที่ 3 การพัฒนาตนเอง (Self-Development) หมายถึง การศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ ตดิ ตามและแลกเปลี่ยนเรียนรู้องคค์ วามรใู้ หมๆ่ ทางวิชาการ และวิชาชีพ มีการสร้างองค์ความรแู้ ละนวตั กรรมเพื่อพัฒนาตนเองและพฒั นางาน ประกอบด้วย ตวั บ่งชี้ ดงั น้ี ตวั บ่งชีท้ ี่ 1 การศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ ตดิ ตามองค์ความรใู้ หมๆ่ ทางวิชาการและวิชาชีพ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 การสร้างองค์ความรู้และนวตั กรรมในการพัฒนา องค์กร และวิชาชีพ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 3 การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างเครือขา่ ย สมรรถนะที่ 4 การทำงานเปน็ ทีม (Team Work) หมายถึง การให้ ความรว่ มมอื ช่วยเหลอื สนับสนุน เสริมแรงให้กาลังใจแก่เพือ่ นรว่ มงาน การปรบั ตัวเข้ากบั ผอู้ ืน่ หรือทีมงาน แสดงบทบาทของการเปน็ ผนู้ ำหรอื ผตู้ ามได้อย่างเหมาะสมในการทำงาน รว่ มกับผอู้ ืน่ เพือ่ สร้างและดำรงสัมพันธภาพของสมาชิก ตลอดจนเพือ่ พัฒนาการจัด การศกึ ษาให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย ประกอบด้วย ตวั บง่ ชดี้ งั นี้
86 ตวั บง่ ชีท้ ี่ 1 การให้ความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื และสนับสนุนเพือ่ น ร่วมงาน ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 การเสริมแรงให้กำลังใจเพือ่ ร่วมงาน ตวั บ่งชีท้ ี่ 3 การปรบั ตัวเข้ากบั กล่มุ คนหรอื สถานการณ์ที่ หลากหลาย ตัวบ่งชีท้ ี่ 4 การแสดงบทบาทผนู้ ำหรอื ผตู้ าม ตวั บ่งชีท้ ี่ 5 การเข้าไปมีสว่ นรว่ มกับผอู้ ื่นในการพัฒนาการจัด การศกึ ษาให้บรรลุผลสำเรจ็ ตามเป้าหมาย สมรรถนะที่ 5 จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู (Teacher’s Ethics and Integrity) หมายถึง การประพฤติปฏิบตั ิตนถูกต้องตามหลกั คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครู เปน็ แบบอย่างทีดแี ก่ผเู้ รียนและสงั คม เพือ่ สรา้ งความศรทั ธาใน วิชาชีพครู ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 1 ความรักและศรัทธาในวิชาชีพ ตวั บง่ ชีท้ ี่ 2 มีวนิ ัยและความรบั ผิดชอบตอ่ วิชาชีพ ตวั บ่งชีท้ ี่ 3 การดำรงชีวติ ที่เหมาะสม สมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) ประกอบด้วย 6 สมรรถนะ ดงั นี้ สมรรถนะที่ 1 การบริหารหลักสตู รและการจดั การเรียนรู้ (Curriculum and Learning Management) หมายถึง ความสามารถในการสร้างและพัฒนา หลกั สูตร การออกแบบการเรียนรู้อยา่ งสอดคล้องและเปน็ ระบบ จัดการเรียนรโู้ ดยเน้น ผเู้ รียนเป็นสำคัญ ใช้และพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยี และการวดั ประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผเู้ รียนอย่างมปี ระสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสดุ ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้ ดังนี้ ตวั บ่งชีท้ ี่ 1 การสร้างและพัฒนาหลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกบั หลกั สตู รแกนกลางและท้องถิ่น ตัวบง่ ชีท้ ี่ 2 ความรคู้ วามสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 3 การจดั การเรียนรทู้ ี่เน้นผเู้ รียนเป็นสำคญั ตวั บง่ ชีท้ ี่ 4 การใช้และพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการ จดั การเรยี นรู้ ตวั บ่งชีท้ ี่ 5 การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
87 สมรรถนะที่ 2 การพัฒนาผเู้ รียน (Student Development) หมายถึง ความสามารถในการปลกู ฝังคุณธรรมจรยิ ธรรม การพัฒนาทักษะชีวิต สขุ ภาพกายและ สขุ ภาพจิต ความเปน็ ประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเปน็ ไทย การจัดระบบดูแลชว่ ยเหลือ ผเู้ รียนเพือ่ พฒั นาผเู้ รียนให้มีคุณภาพ ประกอบด้วย ตวั บง่ ชี้ ดังนี้ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 การปลูกฝงั คณุ ธรรมจรยิ ธรรมให้กับผู้เรยี น ตวั บ่งชีท้ ี่ 2 การพัฒนาทักษะชีวติ และสุขภาพกาย สุขภาพจิต ผเู้ รียน ตัวบ่งชีท้ ี่ 3 การปลกู ฝงั ความเปน็ ประชาธิปไตย ความภูมิใจ ในความเปน็ ไทยใหแ้ ก่ผเู้ รียน ตัวบ่งชีท้ ี่ 4 การจัดระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน สมรรถนะที่ 3 การบริหารจัดการชั้นเรียน (Classroom Management) หมายถึง การจัดบรรยากาศการเรยี นรู้ การจัดทาข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจำชั้น เรียน/ประจาวิชา การกำกับดูแลช้ันเรยี น/รายวิชา เพือ่ ส่งเสริมการเรียนรู้อยา่ งมคี วามสขุ และความปลอดภัยของผู้เรียน ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้ ดังน้ี ตัวบ่งชีท้ ี่ 1 จัดบรรยากาศที่สง่ เสริมการเรยี นรู้ ความสขุ และความ ปลอดภัยของผู้เรียน ตัวบง่ ชีท้ ี่ 2 จัดทำข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจำชั้นเรียน/ ประจำวิชา ตวั บ่งชีท้ ี่ 3 กำกับดแู ลช้ันเรียนรายชั้น/รายวิชา สมรรถนะที่ 4 การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และการวิจยั เพื่อพฒั นา ผเู้ รียน (Analysis & Synthesis & Classroom Research) หมายถึง ความสามารถในการทำ ความเข้าใจ แยกประเด็นเป็นส่วนยอ่ ย รวบรวม ประมวลหาข้อสรปุ อย่างเป็นระบบและ นำไปใช้ในการวิจยั เพื่อพัฒนาผเู้ รียน รวมทั้งสามารถวิเคราะหอ์ งคก์ รหรอื งานในภาพรวม และดำเนินการแก้ไขปญั หาเพือ่ พัฒนางานอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย ตัวบ่งชี้ ดงั นี้ ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 การวิเคราะหร์ ายการพฤติกรรม ตัวบ่งชีท้ ี่ 2 การสงั เคราะห์รายการพฤติกรรม ตวั บ่งชีท้ ี่ 3 การวิจยั เพือ่ พัฒนาผเู้ รียน สมรรถนะที่ 5 ภาวะผนู้ ำครู (Teacher Leadership) หมายถึง คณุ ลักษณะและพฤติกรรมของครูที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องสมั พนั ธส์ ว่ นบคุ คล และ
88 การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ซึ่งกันและกนั ทั้งภายในและภายนอกห้องเรยี น โดยปราศจากการใช้ อิทธิพลของผู้บริหารสถานศึกษา ก่อใหเ้ กิดพลังแห่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการจดั การเรียนรู้ ให้มคี ุณภาพ ประกอบด้วย ตัวบง่ ชี้ ดังนี้ ตวั บ่งชีท้ ี่ 1 วฒุ ิภาวะความเป็นผใู้ หญ่ทีเ่ หมาะสมกับความเป็นครู (Adult Development) ตัวบ่งชีท้ ี่ 2 การสนทนาอย่างสรา้ งสรรค์ (Dialogue) ตัวบ่งชีท้ ี่ 3 การเป็นบุคคลแหง่ การเปลี่ยนแปลง (Change Agency) ตวั บ่งชีท้ ี่ 4 การปฏิบตั ิงานอย่างไตรต่ รอง (Reflective Practice) ตัวบง่ ชีท้ ี่ 5 การม่งุ พัฒนาผลสัมฤทธิผ์ เู้ รียน (Concern for Improving Pupil Achievement) สมรรถนะที่ 6 การสร้างความสมั พนั ธแ์ ละความรว่ มมือกับชุมชนเพือ่ การจัดการเรียนรู้ (Relationship & Collaborative-Building for Learning Management) หมายถึง การประสานความรว่ มมอื สร้างความสัมพันธ์ที่ดแี ละสร้างเครือขา่ ยกบั ผู้ปกครอง ชุมชนและองคก์ รอืน่ ๆ ท้ังภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนส่งเสริมการจดั การเรียนรู้ ประกอบด้วย ตวั บง่ ชี้ ดงั น้ี ตัวบง่ ชีท้ ี่ 1 การสร้างความสัมพนั ธแ์ ละความร่วมมอื กับชุมชนเพื่อ จัดการเรยี นรู้ ตัวบ่งชีท้ ี่ 2 การสร้างเครอื ข่ายความรว่ มมอื เพือ่ การจัดการเรียนรู้ จากการศกึ ษาสมรรถนะครูสำหรบั การสอนทวั่ ไป สมรรถนะผปู้ ระกอบ วิชาชีพครูตามประกาศของคณะกรรมการครุ สุ ภา และสมรรถนะครูของสำนกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน สามารถสรปุ ได้วา่ สมรรถนะของครูผสู้ อน หมายถึง คณุ ลักษณะของบุคคลที่เกีย่ วข้องกับการปฏิบตั ิการสอนทีแ่ สดงออกมาเป็นคณุ ลกั ษณะ เชงิ พฤติกรรมและสามารถวัดได้ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ ความรู้ ทกั ษะ และคุณลักษณะ 10. สมรรถนะของครผู ู้สอนในศตวรรษท่ี 21 วิจารณพ์ านิช (2555 , หน้า 16-21) ได้กลา่ วถึง ทกั ษะเพื่อการดำรงชีวิตใน ศตวรรษที่ 21 วา่ สาระวิชามีความสำคัญแต่ไม่เพียงพอสำหรบั การเรียนรู้เพื่อการดำรงชีวติ ในศตวรรษที่ 21 ปัจจบุ ันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรอื subject matter) ควรเปน็ การ เรียนจากการค้นคว้าเองของนักเรียน โดยครูชว่ ยแนะนำ และชว่ ยออกแบบกิจกรรมทีช่ ่วย
89 ให้นกั เรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรยี นรู้ของตนเองได้ สาระวิชา หลกั (Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่ และภาษาสำคญั ของโลก ศลิ ปะคณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภมู ศิ าสตร์ และ ประวัติศาสตรโ์ ดยวิชาแกนหลกั นี้จะนำมาสู่การกำหนดเปน็ กรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์ สำคญั ตอ่ การจัดการเรียนรู้ในเน้ือหาเชิงสหวทิ ยาการ (Interdisciplinary) หรอื หวั ข้อสำหรับ ศตวรรษที่ 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจ ในเนื้อหา วิชาแกนหลกั และสอดแทรกทกั ษะ แห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลัก ดงั นี้ 1. ทกั ษะด้านการเรียนรู้และนวตั กรรม จะเป็นตวั กำหนดความพร้อมของ นกั เรียนเข้าสโู่ ลกการทำงานทีม่ คี วามซับซ้อนมากขึ้นในปจั จุบัน ได้แก่ ความรเิ ริ่ม สร้างสรรค์และนวตั กรรม การคิดอย่างมวี ิจารณญาณและการแก้ปัญหา และการส่ือสาร และการรว่ มมอื 2. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนื่องดว้ ยในปจั จบุ นั มีการ เผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสารผ่านทางสอ่ื และเทคโนโลยีมากมาย ผเู้ รียนจงึ ตอ้ งมคี วามสามารถใน การแสดงทักษะการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ ในหลายด้าน ได้แก่ ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรเู้ กีย่ วกบั สือ่ และความรดู้ ้านเทคโนโลยี 3. ทกั ษะด้านชีวติ และอาชีพ ในการดำรงชีวิตและทำงานในยคุ ปัจจุบันให้ ประสบความสำเรจ็ นักเรียนจะต้องพัฒนาทกั ษะชีวติ ที่สำคญั ได้แก่ ความยืดหย่นุ และการ ปรับตวั การรเิ ริ่มสร้างสรรค์และ เป็นตวั ของตัวเอง ทกั ษะสงั คมและสงั คมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรอื ผู้ผลิต (Productivity) และ ความรับผดิ ชอบเช่ือถือได้ (Accountability) และ ภาวะผนู้ ำและความรับผดิ ชอบ (Responsibility) แนวทางการจดั การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทีเ่ น้นสมรรถนะทางสาขาวิชาชีพ การจัดทำแนวทางการจดั การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เน้นสมรรถนะทางสาขาวิชาชีพเพือ่ พัฒนาทักษะแห่งอนาคตในศตวรรษที่ 21 ยึดกรอบของระบบสนับสนนุ การเรียนรู้ใน ศตวรรษที่ 21 ดังน้ี 1. ระบบมาตรฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Standards) 1.1 การใชข้ ้อมลู ความจริงจากกระบวนการสังเกต ต้ังประเด็นคำถาม จากแหล่งเรียนรู้ชมุ ชนเชอ่ื มโยงไปส่สู าระการเรียนรรู้ ายวิชา 1.2 การบูรณาการความรู้ และความซ้ำซ้อนของเนือ้ หาสาระ 1.3 การสร้างทักษะการสืบค้น รวบรวมความรู้
90 1.4 การสร้างความรู้ ความเข้าใจเชิงลึกมากกว่าแบบผวิ เผนิ 1.5 การสร้างความเช่ยี วชาญตามความถนดั และสนใจใหเ้ กิดกบั ผเู้ รียน 1.6 การใช้หลักการวัดประเมินผลทีม่ คี ุณภาพระดับสูง 2. ระบบการประเมินทกั ษะในศตวรรษที่ 21 (Assessment of 21st Century Skills) 2.1 สรา้ งความสมดลุ ในการประเมินผลเชิงคณุ ภาพ (ความรู้ ความ ถนัดสาขาอาชีพ ทัศนคติต่อการทำงานและอาชีพ) 2.2 นำประโยชน์ของผลสะท้อนจากการปฏิบัติของผู้เรียนมาปรับปรงุ การแก้ไขงาน (เคร่อื งมือวดั ผลตามสภาพจริงการปฏิบัติ ทัศนคติ และความร)ู้ 2.3 ใชเ้ ทคโนโลยีเพื่อยกระดบั การทดสอบวดั และประเมินผลใหเ้ กิด ประสิทธิภาพสูงสุด(คลงั ข้อสอบระบตุ ัวช้วี ดั มาตรฐานรายวิชา ระบุระดบั ขั้นพฤติกรรม) 2.4 สร้างและพัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (Portfolios) และเส้นทาง การศกึ ษาต่อสกู่ ารประกอบอาชีพ (Career Path) ของผู้เรยี นใหเ้ ป็นมาตรฐานและมี คณุ ภาพ 3. ระบบหลกั สูตรและการสอนในศตวรรษที่ 21 (21st Century Curriculum & Instruction) 3.1 สอนให้เกิดทักษะการเรียนในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นเชิงสห วิทยาการ (Interdisciplinary: ความรทู้ ีไ่ ด้จากหลายสาขาวิชาประกอบกัน) ของวิชาแกน หลกั 3.2 สรา้ งโอกาสทีจ่ ะประยุกต์ทักษะเชิงบูรณาการข้ามสาระเนื้อหา และสร้างระบบการเรียนรทู้ ี่เน้นสมรรถนะเป็นฐาน (Competency-based) 3.3 สรา้ งนวัตกรรมและวิธีการเรียนรใู้ นเชิงบูรณาการทีม่ เี ทคโนโลยี เป็นตวั เกือ้ หนนุ การเรียนรู้แบบสืบค้น และวธิ ีการเรียนจากการใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based) 3.4 บรู ณาการแหล่งเรยี นรู้ (Learning Resources) จากชมุ ชนเข้ามาใช้ ในโรงเรยี นตามกระบวนการเรียนรู้แบบ Project-Based Learning: PBL 4. ระบบการพัฒนาทางวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 (21st Century Professional Development)
91 4.1 ฝึกฝนทกั ษะความรู้ความสามารถในเชงิ บรู ณาการ 4.2 ใช้มิตขิ องการสอนด้วยเทคนิควิธีการสอนทห่ ีลากหลาย 4.3 ฝกึ ฝนทักษะความรคู้ วามสามารถในเชงิ ลกึ เกีย่ วกบั การแก้ปญั หา การคิดแบบวิจารณญาณ 4.4 สามารถวิเคราะหผ์ ู้เรียนได้ทั้งรปู แบบการเรียน สติปญั ญา จดุ อ่อน จุดแขง็ ในตัวผเู้ รียนและสามารถวิจัยเชิงคุณภาพที่ม่งุ ผลต่อคณุ ภาพของผู้เรียน 4.5 พัฒนาความสามารถให้สงู ข้ึน นำไปใช้สำหรบั การกำหนดกลยุทธ์ และจดั ประสบการณ์ทางการเรียนได้เหมาะสมกับบริบททางการเรยี นรู้ 4.6 ประเมินผู้เรยี นอย่างต่อเนือ่ ง เพือ่ สร้างทกั ษะและเกิดการ พฒั นาการเรียนรู้ 4.7 แบ่งปนั ความรู้ระหว่างชุมชนทางการเรยี นรู้ โดยใช้ช่องทาง หลากหลายในการสอ่ื สารใหเ้ กิดข้ึน 5. ระบบสภาพแวดล้อมทางการเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Environment) 5.1 สรา้ งสรรค์แนวปฏิบัติทางการเรียน การรบั การสนับสนุนจาก บคุ ลากรและสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เกื้อหนุน เพือ่ ชว่ ยใหก้ ารเรียนการสอนบรรลุผล 5.2 สนบั สนนุ ทางวิชาชีพแก่ชมุ ชนทั้งในด้านการให้การศึกษา การมี ส่วนร่วม การแบง่ ปันสิ่งปฏิบตั ิทีเ่ ป็นเลิศระหวา่ งกันรวมทั้งการบูรณาการหลอมรวมทักษะ หลากหลายสู่การปฏิบัติในช้ันเรียน 5.3 สรา้ งผู้เรยี นเกิดการเรียนรจู้ ากสิง่ ที่ปฏิบัติจรงิ ตามบริบท โดยเฉพาะการเรียนแบบโครงงาน 5.4 สร้างโอกาสในการเข้าถึงสอ่ื เทคโนโลยีเครือ่ งมอื หรือแหล่งการ เรียนรู้ทีม่ คี ุณภาพคณุ ลกั ษณะจำเป็น 8 ประการสำหรับผเู้ รียนยคุ Gen Net/Tweenies 1) ความรบั ผดิ ชอบและพึง่ พาตนเองในการเรียนรู้ (Autonomous Learning) หมายถึง ความสามารถของผเู้ รียนในการวางแผนการเรียนรู้ของตนเอง ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ของตน รู้จักวิธีการในการไปถึงเป้าหมายน้ันๆ อยา่ งยืดหยุน่ ตลอดจนการมวี ินัยในการเรียนรู้ของตนเอง โดยที่ไม่ต้องให้มีผู้ใดมาบังคบั รวมท้ังการมี ความเปน็ ผู้ใหญ่ภายในตนเอง ทกั ษะประการแรกนี้ ถือว่ามีความสำคัญมากเป็นอันดบั แรก และเปน็ ทักษะทีต่ อ้ งการ การปลกู ฝงั ไม่เพียงแต่จากครูผสู้ อน จากระบบการศกึ ษา หรอื
92 จากสงั คมเท่านั้น หากยงั ต้องอาศยั สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลกู ฝังจาก ครอบครวั เป็นสำคญั 2) ทกั ษะด้านการคิด (Thinking Skills) หมายถึง การที่ผู้เรียน สามารถพัฒนาหรอื ได้รบั การฝึกฝนทักษะการคิดอย่างมีระบบ ส่งผลใหส้ ามารถคิดได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพการฝึกฝนทกั ษะด้านการคิดนน้ั ประกอบไปด้วยการคิดในหลาย ลกั ษณะ แต่ที่สำคญั มากสำหรบั ผเู้ รียนยคุ Gen Net/Tweenies ได้แก่ การพัฒนาทกั ษะการ คิดอย่างสร้างสรรค์ (Creative Learners) การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinkers) การคิด ไตรต่ รอง (Reflective Thinking) รวมทั้ง ทกั ษะในการคิดแก้ปัญหา (Problem Solvers) 3) ทกั ษะในการทำงานรว่ มกบั ผอู้ ื่นอยา่ งมีประสิทธิภาพ (Effective Collaborators) หมายถึง การที่ผเู้ รียนมีความสามารถในการประสานงานกับผอู้ ื่นได้เป็น อยา่ งดี มที กั ษะของการเป็นผู้นำรวมท้ังการเป็นผตู้ ามทีด่ ี สามารถสือ่ สารกบั ผอู้ ืน่ ในการ ดำเนนิ งานต่างๆ เชน่ การมอบหมายงาน การถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ เป้าหมาย ร่วมกันใหก้ ับผรู้ ่วมงานอ่ืนๆ ได้ รวมท้ังการเป็นผู้ฟังและผรู้ ว่ มปฏิบัติงานทีด่ ี โดยผู้เรียน Gen Net/Tweenies ควรได้รับการฝึกใหม้ ีทกั ษะในการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Collaborative Learning) โดยทักษะที่ตอ้ งมุ่งเน้น ได้แก่ ทักษะพืน้ ฐานด้านการสอ่ื สาร (Communication Skill) อย่างมปี ระสิทธิภาพ 4) ทกั ษะในการสืบเสาะค้นหา (Enquirers) หมายถึง การที่ผเู้ รียนมี คุณลักษณะของการเป็นนักสำรวจที่ดีชอบที่จะศกึ ษาค้นคว้าสิ่งต่างๆ เพื่อพิสูจน์สมมตฐิ าน ของตน โดยสังเกตเปรียบเทียบความเหมอื นความแตกต่าง รวมท้ังสบื ค้นเพื่อการศกึ ษา ค้นคว้า ความรู้ ข้อมลู สารสนเทศที่มอี ยู่อยา่ งมหาศาลท้ังในปัจจบุ นั และในอนาคต ทักษะ สำหรับการสืบเสาะค้นหานี้ ครอบคลมุ การทีผ่ เู้ รียนจะต้องมที กั ษะในการเลือกสรร/คดั กรองสารสนเทศที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถค้นหาสารสนเทศที่ต้องการได้อย่างเที่ยงตรง รวดเรว็ อย่างมปี ระสิทธิภาพ 5) ความกระตอื รอื ร้น (Active Learners) หมายถึง การทีผ่ ู้เรยี น จะต้องเปน็ ผู้เรียนในลักษณะเชงิ รกุ กล่าวคือไมเ่ ป็นเพียงผู้ฟงั (นิ่งๆ) ที่ดีในช้ันเรยี นหรอื ใน การเรียนออนไลน์ผเู้ รียนเชิงรกุ หมายถึงการที่ผเู้ รียนจะต้องเป็นผู้ร่วมมอื ที่ดขี องผเู้ ชีย่ วชาญ ในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง สำหรับในการเรียนจากผู้เชีย่ วชาญนั้น ผู้เรยี นควรใหค้ วามใส่ใจใน การเรียนรู้ (Attentive) ศกึ ษาเนือ้ หา รจู้ ักถาม/ตอบคำถามในบริบทที่เอื้ออำนวยตอ่ การ
93 เรียนรู้ที่มคี วามหมายใหด้ ียิ่งข้ึน รวมท้ัง การฝกึ ฝนทักษะในด้านการแสดงออกหรอื แสดง ความคิดเห็นอย่างเหมาะสมและถกู กาลเทศะ 6) ทกั ษะพืน้ ฐานดา้ นไอซีที (ICT Skills) ในที่น้ีไมไ่ ด้หมายเฉพาะถึง การที่ผเู้ รียนมีทักษะพืน้ ฐานในด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอรป์ ฏิบัติการ หรอื โปรแกรม สำนกั งานเทา่ น้ัน หากหมายรวมถึงการทีผ่ ู้เรียนสามารถดูแลรกั ษาเครือ่ งมอื และ/หรอื ระบบต่างๆ ได้ในระดบั พืน้ ฐาน นอกจากนี้ยังหมายถึงความสามารถของผู้เรียนใน การใชเ้ ทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสือ่ สารโทรคมนาคมในการเรียนรู้อย่างมปี ระสิทธิภาพ ครอบคลมุ ทกั ษะตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง ได้แก่ ทักษะในการสืบค้น (Search Skills) ทักษะในด้าน การใชเ้ ครือ่ งมอื ติดตอ่ ส่ือสารผ่าน ICT และ/หรอื ทกั ษะในการเลือกใช้ซอฟต์แวรท์ ี่ เหมาะสม เปน็ ต้น 7) ทักษะในด้านการใชภ้ าษาสากล (Second Language Skills) หมายถึง การพฒั นาผเู้ รียนให้มที กั ษะ ความรู้และความสามารถในการใช้ภาษาทีส่ อง เปน็ ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแมห่ รอื ภาษาหลกั ของสงั คมทีต่ นอาศยั อยใู่ นระดบั ทีส่ ามารถติดตอ่ สื่อสารกับผอู้ ืน่ ได้เป็นอย่างดี ภาษาสากลสำหรบั สงั คมไทยทีถ่ ือได้ว่าสำคญั มากทีส่ ดุ คอื ภาษาอังกฤษ เพราะถือเป็นภาษาสากลที่ได้รบั การ นำไปใช้อย่างแพรห่ ลายมากทีส่ ดุ ในโลกอินเทอรเ์ นต็ ดังนั้น ในการเตรียมความพร้อมของ ผเู้ รียนสำหรับการเรียนรู้ในยคุ สมยั หน้านั้น ควรมกี ารเตรยี มพร้อมผเู้ รียนในด้าน ภาษาอังกฤษ 8) ความสนใจในวัฒนธรรม (Engaged with Cultures) และความ ตระหนกั ถึงความเป็นไปในโลก (World Awareness)หมายถึง การปลกู ฝังให้ผเู้ รียนเป็นผู้ที่ ใส่ใจและเหน็ คณุ ค่าในวฒั นธรรมของตนเอง อย่างนอ้ ยในระดับทีเ่ พียงพอที่จะทำใหร้ ู้จัก ตนเอง รู้จัก “ราก” หรอื ประวัติศาสตร์ของตนเองและสังคมทีอ่ าศัยอยู่ (Self-Identity) เพือ่ จะได้สามารถเปรียบเทียบความเหมือน หรอื แตกต่างกบั สังคม/โลกรอบตนเองได้โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในยุคแห่งโลกาภวิ ัตน์ (Globalization) ซึ่งการ เช่อื มตอ่ กนั บนโลกสามารถเกิดข้ึนได้ภายในพริบตา ความแตกต่างทางวัฒนธรรมนับวันจะ น้อยลงทุกทีการที่พลเมืองในสงั คมใดสามารถจะคงไว้ในวัฒนธรรมที่ดขี องตนเองไว้ได้ ใน ขณะเดียวกนั กส็ ามารถเปิดรับวฒั นธรรมและความเป็นไปในทางทีด่ ีของโลกภายนอกได้ก็ จะทำให้สังคมนนั้ มีความได้เปรียบเหนอื สงั คมทีไ่ ม่รู้จกั เหน็ คณุ ค่าในวัฒนธรรมของตนเอง และคอยที่จะรับเอาวัฒนธรรมของคนอ่ืนๆ เข้ามาเพียงทางเดียว
94 คุณลกั ษณะจำเปน็ 8 ประการของผเู้ รียนในอนาคต หรือ Gen Net/ Tweenies เปน็ คุณลกั ษณะที่ สำคัญตอ่ การเรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมของศตวรรษที่ 21 อยา่ งมี ประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากตัวผเู้ รียนเองแล้วน้ัน ผู้สอนหรอื ผทู้ ีเ่ กีย่ วข้องในการจดั การศกึ ษา เรียนรคู้ รอบครวั และผเู้ กีย่ วข้องทุกฝ่ายควรหันมาให้ความสำคัญกับคุณลกั ษณะดังกลา่ ว เพื่อร่วมกันเตรียมความพร้อมสำหรบั ผู้เรยี นต่อไป คุณลักษณะของผสู้ อนในศตวรรษที่ 21 (21st Century Teachers) เมื่อผู้เรยี น ยคุ Gen Net/Tweenies ต้องการคุณลักษณะที่จำเป็น 8 ประการเพื่อการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพในสิ่งแวดล้อมของศตวรรษที่ 21 ผู้สอนก็จำเป็นต้องมีทกั ษะ 8 ประการ ด้วยกัน เพือ่ ทีจ่ ะสร้าง/ส่งมอบ/ถา่ ยทอดความรู้และทกั ษะให้แก่ผเู้ รียนได้ เรียกว่าเป็น ผสู้ อนพันธุ์ C (C-Teachers) C-Teachers ในทีน่ ้ีไมไ่ ด้หมายถึง ผู้สอนระดบั ซีแต่อย่างใด หากหมายความ ถึง ผสู้ อนที่มที กั ษะต่าง ๆ ซึง่ มคี วามจำเปน็ ตอ่ การเรียนการสอนในอนาคตนั่นเอง C- Teachers1 ประกอบไปด้วยทกั ษะที่จำเปน็ 8 ประการได้แก่ 1. C-Content หมายถึง การที่ผู้สอนตอ้ งเปน็ ผเู้ ช่ยี วชาญเนือ้ หาทีต่ น รับผิดชอบในการสอน C-Content ถือเป็นลกั ษณะที่จำเป็นอยา่ งที่สดุ และขาดไมไ่ ด้สำหรับ ผสู้ อน เพราะถึงแม้ผสู้ อนจะมีทกั ษะ C อื่นที่เหลอื ทั้งหมด แต่หากขาดซึ่งความเชีย่ วชาญใน เนือ้ หาการสอนของตนแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ผเู้ รียนจะสามารถเรียนรจู้ ากกิจกรรมที่ เกิดข้ึนจากผู้สอนทีไ่ ม่แม่นในเนือ้ หา หรอื ไมเ่ ข้าใจในสิง่ ที่ตนพยายามถ่ายทอด/ส่งผ่านให้แก่ ผเู้ รียน 2. C-Computer (ICT) Integration หมายถึง การที่ผสู้ อนมที กั ษะในการใช้ คอมพิวเตอร์ในการบูรณาการกบั การเรียนการสอนในช้ันเรียน เหตุผลสำคญั ที่ผสู้ อน จำเปน็ ต้องมีทกั ษะด้านการประยกุ ต์คอมพิวเตอรเ์ ปน็ เครื่องมอื หนึ่งในการออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ นอกจากจะเป็นการตดิ อาวุธด้านทกั ษะในการใช้ ICT โดยทางอ้อม ให้แก่ผเู้ รียนแล้ว หากมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมปี ระสิทธิภาพก็ยงั สามารถ สง่ เสริมทักษะกระบวนการคิดของผู้เรยี นได้เป็นอย่างดี 3. C-Constructionist หมายถึง การที่ผสู้ อนเปน็ ผู้สร้างสรรคม์ คี วาม เข้าใจเกี่ยวกบั แนวคิด Constructionism ซึ่งมุ่งเน้นวา่ การเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้น้ันเปน็ เร่อื ง ภายในของตวั บุคคลจากการที่ได้ลงมือทำกิจกรรมใดๆ ให้เกิดการ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213