ใบความรู้ การสกดั ด้วยตัวทาละลาย ( Solvent extraction ) เป็นวธิ กี ารแยก สารท่เี ป็นของเหลว หรือของแขง็ ปนอยู่กบั ของแขง็ โดยอาศัยสมบัตขิ อง การละลายของสาร หลักการสาคัญของการสกดั ด้วยตวั ทาละลายคอื การ เลือกตัวทาละลายท่เี หมาะสมในการสกดั สารท่ตี ้องการออกมาให้ได้มาก ท่สี ดุ โดยหลักการในการเลือกตัวทาละลายทเ่ี หมาะสม มขี ้อควรคานึงดังต่อไปน้ี 1. ต้องละลายสารท่ตี ้องการสกดั ได้ดี 2. ไม่ทาปฏกิ ริ ิยากบั สารท่ตี ้องการสกดั 3. ถ้าต้องการแยกสี ตัวทาละลายจะต้องไม่มสี ี ถ้าต้องการแยกกล่ิน ตัวทา ละลายต้องไม่มีกล่ิน 4. ไม่มพี ิษ มจี ุดเดอื ดต่า และแยกตวั ออกจากสารท่ตี ้องการสกดั ได้ง่าย 5. ไม่ละลายปนเป็นเน้ือเดยี วกบั สารท่นี ามาสกดั 6. มีราคาถูก การสกดั ด้วยตวั ทาละลาย เป็นวิธที ่ใี ช้กนั อย่างกว้างขวาง ใน อตุ สาหกรรม เช่น การสกดั นา้ มันพืชเพ่ือใช้ประกอบอาหาร โดยนา วตั ถุดบิ มาจากเมลด็ ของพืชชนดิ ต่าง ๆ ได้แก่ เมลด็ ทานตะวัน ถ่ัวเหลือง ปาลม์ ถ่วั ลิสง ข้าวโพด เมลด็ บวั งา และราข้าว ในการสกดั นา้ มันพืชนิยม ใช้เฮกเชนเป็นตัวทาละลาย หลังการสกดั จะได้สารละลายท่มี นี า้ มันพืช ละลายอยู่ในเฮกเซน จากน้นั นาไปกรองเอากากเมลด็ พืชออก แล้วนา สารละลายไปกล่ันแยกลาดับ
ส่วนเพ่ือแยกเฮกเซนจะได้นา้ มนั พืช ซ่ึงต้องนาไป ฟอกสี ดูดกล่ิน และกาจัดสารอ่นื ๆ ออกก่อน จงึ จะได้นา้ มนั พืชสาหรับใช้ปรงุ อาหาร ท้งั น้ี การสกดั ด้วยตัวทาละลาย เป็นวธิ กี ารแยกสารท่ใี ช้มากในชีวิตประจาวัน เป็นการแยกสาร ท่ตี ้องการออกจากส่วนต่าง ๆ ของพืชหรือจากของผสม ต้องเลือกตวั ทาละลายท่เี หมาะสมในการสกดั สารท่ตี ้องการ ตวั ทาละลายท่นี ิยมใช้ในการสกดั ได้แก่ นา้ เบนซิน อเี ทอร์ โทลูอนี และเฮ กเซน สาหรับการสกดั นา้ มันพืชนยิ มใช้เฮกเซน ในการสกดั นา้ มนั พืชน้นั เม่ือใช้เฮกเซนสกดั นา้ มันออกจากพืชแล้วต้องนาสารละลายท่ไี ด้ไปกล่ัน เพ่ือแยก เฮกเซนออกไปจากสารท่สี กดั ได้ ต่อจากน้ันจงึ กาจัดสแี ละกล่ิน จนได้นา้ มนั พืชบริสทุ ธ์ิ ประโยชน์ของการสกดั ด้วยด้วยตวั ทาละลาย 1. ใช้สกดั นา้ มันพืชจากเมลด็ พืช เช่น นา้ มันงา ถ่วั ปาล์ม นุ่น บวั เป็นต้น นยิ มใช้เฮกเซนเป็นตวั ทาละลาย 2. สกดั สารมีสอี อกจากพืช 3. ใช้สกดั นา้ มนั หอมระเหยออกจากพชื 4. ใช้สกดั ยาออกจากสมุนไพร
การวดั และประเมนิ ผล แบบทดสอบเร่ือง การแยกสารผสมโดยการสกดั ด้วยตัวทาละลาย 1. ตวั ทาละลายท่นี ิยมใช้สกดั นา้ มันพืช คือข้อใด ก นา้ กล่ัน ข เอทานอล ค เฮกเซน ง อเี ทน 2. นาสารละลาย 4 ชนิดมาสกดั สจี ากดอกอญั ชัน ได้ผลดงั ภาพสารชนิดใด ควรนามาทาตวั ละลายเพ่ือสกดั สจี ากดอกอญั ชัน กA ขB คC งD 3. การสกดั ด้วยตัวทาละลาย ใช้หลกั การในข้อใด ก ตัวทาละลายต้องละลายสารท่เี จอื ปนได้ดี ข สารท่ตี ้องการสกดั ต้องไม่ละลายในตัวทาละลาย ค สารท่ตี ้องการสกดั ต้องละลายในตวั ทาละลายได้ ง ตวั ทาละลายอาจละลายหรือไม่ละลายสารทต่ี ้องการสกดั
4. จงพิจารณาข้อความต่อไปน้ี ข้อความในตัวเลือกใดกล่าวถูกต้อง ก.แยกเกลือแกงออกจากของผสมของเกลือแกงและการบูรโดยการเผา ข.นากเป็นสารละลาย มสี ่วนผสมระหว่างทองแดง ทองคา และเงิน โดย มีทองแดงเป็ นตัวทาละลาย ค.สกดั นา้ ตาลทรายออกจากนา้ อ้อยโดยการตกผลึก ก ข้อ ก และ ข ข ข้อ ก และ ค ค ข้อ ข และ ค ง ท้งั ข้อ ก ข และ ค 5. วธิ กี ารใดไม่เก่ยี วข้องกบั การแยกสารให้บริสทุ ธ์ิ ก โครมาโทกราฟี ข การกล่ัน ค การตกผลึก ง การทาละลาย 6. วิธกี ารใดท่ใี ช้แยกตวั ทาละลายและตวั ถูกละลายออกจากสารละลายได้ ก การตกผลึก ข การระเหย ค การกล่ัน ง ได้ท้งั 3 วิธี
7. สกดั ยาออกจากสมุนไพรเป็นการแยกสารแบบใด ก การกล่ัน ข โครมาโทกราฟี ค การสกดั ด้วยตัวทาละลาย ง การตกผลึก 8. ตวั ทาละลายท่นี ยิ มใช้ในการสกดั มีอะไร้บ้าง ก นา้ เกลือ เบนซิน ข อเี ทอร์ โทลูอนี และเฮกเซน ค นา้ ดีเซล ง นา้ เช่ือม นา้ เกลือ นา้ 9. การสกดั ด้วยตวั ทาละลายแยกสารประเภทใดได้บ้าง ก ของแขง็ ข ของเหลว ค แกส๊ ง ของแขง็ ของเหลวและแกส๊ 10. เปลือกส้ม สามารถใช้วิธใี ด เพ่ือแยกเอาน้มนั หอมระเหยออกมาได้ ก การสกดั ด้วยตวั ทาละลาย ข การกรอง ค การระเหยให้แห้ง ง การกล่ันแบบไอนา้
ขอ้ คาตอบ 1ค 2ง 3ข 4ง 5ง 6ง 7ค 8ข 9ง 10 ก
แบบประเมินช้ ินงาน กาหนดเกณฑป์ ระเมนิ ไว้ท่รี ้อยละ 70 เป็นเกณฑผ์ ่าน เลขที่ ชื่อ-นามสกลุ ผลการ รวมคะแนน คิดเป็ นรอ้ ยละ สรุป ประเมิน 12345 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 รวม
แบบประเมินทกั ษะสาคญั ในการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ เล ชือ่ -นามสกลุ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ รวม ค่าเฉลีย่ ระดบั ขที่ คะแนน ทกั ษะ ทกั ษะใน ทกั ษะการสรา้ งขอ้ กระบวนการ ศตวรรษ โตแ้ ยง้ ทาง ที่ 21 วิทยาศาสตร์ 123456 1 2 1 2345 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 รวม
แบบประเมินดา้ นคุณลกั ษณะ/เจตคติ เลขที่ ชื่อ-นามสกลุ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ รวม ค่าเฉลยี่ ระดบั 1 2 3 4 คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 รวม
เอกสารหมายเลข 4 แบบบนั ทึกหนว่ ยการเรยี นรยู้ อ่ ย (แผนการจดั การเรยี นรู้) หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 เรอื่ ง สารละลายและสารผสม หน่วยการเรียนรยู้ อ่ ยท่ี 7 เรอ่ื ง การละลาย รหัสวชิ า/ช่อื วชิ า วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับช้ันนกั เรยี นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เวลา 2 ชวั่ โมง ผ้สู อน นางสาวรัตตญิ า มาลาอี โรงเรียนสเุ หร่าปากคลอง 20 มาตรฐานการเรยี นรู้ : ว2.1เขา้ ใจสมบัตขิ องสสารองคป์ ระกอบของสสารความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้างและแรงยดึ เหน่ยี วระหวา่ งอนภุ าคหลกั และธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสารการเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตวั ชว้ี ัด : 4.ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผลของชนิดตวั ละลาย ชนดิ ตวั ทาละลาย อณุ หภูมทิ ่มี ีต่อ สภาพละลายได้ของสาร รวมทั้งอธิบายผลของความดนั ทีม่ ีต่อสภาพละลายได้ของสาร โดยใช้สารสนเทศ จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1.ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธบิ ายผลของชนิดตวั ละลาย ชนิดตวั ทาละลาย ท่ีมตี อ่ สภาพ ละลายได้ ของสาร 2.อธิบายผลของชนดิ ตวั ละลาย ชนดิ ตวั ทาละลาย ทีม่ ตี ่อสภาพละลายไดข้ องสารโดยใชส้ ารสนเทศ สาระสาคัญ : สารละลายอาจมสี ถานะเป็นของแข็ง ของเหลวและแก๊ส สารละลายประกอบดว้ ยตวั ทาละลายและตวั ละลาย กรณีสารละลายเกิดจากสารทม่ี ีสถานะเดียวกัน สารทม่ี ปี ริมาณมากที่สุดจดั เปน็ ตัวทาละลาย กรณีสารละลายเกดิ จาก สารท่ีมสี ถานะตา่ งกัน สารท่ีมสี ถานะเดยี วกนั กับสารละลายจัดเป็นตวั ทาละลาย สารละลายที่ตวั ละลายไม่สามารถ ละลายในตวั ทาละลายได้อกี ท่อี ณุ หภมู ิหน่ึง ๆ เรียกวา่ สารละลายอ่มิ ตัว เป้าหมายการเรยี นร/ู้ สาระการเรียนรู้ 1. ด้านความรู้ ผลของชนิดตวั ละลาย ชนดิ ตัวทาละลาย ทีม่ ตี อ่ สภาพละลายของสาร 2. ดา้ นทักษะสาคัญในการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 2.1 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 2.1.1 ทักษะการสงั เกต 2.1.2 ทกั ษะการตงั้ สมมตฐิ าน
2.1.3 ทักษะการทดลอง 2.1.4 ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมลู 2.1.5 ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงข้อสรปุ 2.1.6 ทกั ษะการจัดกระทาและสอื่ ความหมาย 2.2 ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 2.2.1 การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณและการแกป้ ัญหา 2.2.2 ด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทมี และภาวะผู้นา 2.2.3 ด้านการสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทันสอื่ 2.3 ทกั ษะการสรา้ งขอ้ โตแ้ ย้ง 3. ด้านเจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ 3.1 ความอยากรอู้ ยากเห็น 3.2 ความละเอยี ดรอบคอบ 3.3 ความใจกว้าง 3.4 ยอมรับความเหน็ ตา่ ง ชิ้นงาน/ภาระงาน แผนภาพเรอื่ งการละลายของสารในตวั ทาละลาย กจิ กรรมการเรียนรู้ (รปู แบบการเรยี นการสอนสรา้ งข้อโต้แย้งในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้) ข้ันที่ 1 สร้างความสนใจและมอบหมายงาน 1.1 ครใู หน้ ักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายแสดงความคดิ เห็น โดยใช้คาถามดังตอ่ ไปน้ี - นกั เรยี นคิดวา่ สารละลายหมายถงึ อะไร - นกั เรียนคิดวา่ สารละลายมีองคป์ ระกอบใดบา้ ง 1.2 ครูใหน้ กั เรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลมุ่ พร้อมเลอื กหวั หนา้ กลุ่ม และเลขานกุ าร 1.3 ครูให้นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ เลอื กสารกลมุ่ ละ 2 ชนดิ ดงั ตอ่ ไปน้ี น้าตาลทราย พิมเสน แมกนีเซยี มซัลเฟต และเกลือ
ข้นั ที่ 2 สรา้ งขอ้ โตแย้งจากการสารวจและคน้ หา 2.1 ใหต้ ัวแทนกลุม่ ออกมารับชดุ กจิ กรรมการละลายของสารในตวั ทาละลาย 2.2 ครูแนะนาการใช้ชุดกิจกรรมการละลายของสารในตวั ทาละลาย 2.3 ให้สมาชกิ ภายในกลุ่มรว่ มกนั ออกแบบการทดลองและแบบบันทึกการทดลอง 2.4 ทาการทดลองเรอื่ งการละลายของสารในตวั ทาละลาย ตามทีน่ กั เรียนออกแบบการทดลอง 2.5 นักเรียนทาการสรา้ งขอ้ โต้แยง้ โดยมอี งคป์ ระกอบดังน้ี 1) ข้อกล่าวอ้าง (Claim) เปน็ การนา เสนอผลท่ไี ด้จากการศึกษา ค้นคว้า ทดลองหรอื เป็นการนา เสนอ ความคดิ เหน็ ของตนเองต่อประเด็นซง่ึ กาลงั เป็นท่พี ิจารณา 2) เหตผุ ลสนบั สนนุ ขอ้ กลา่ วอา้ ง (Warrant) เปน็ การใชเ้ หตุผลในการแสดงความสมั พันธร์ ะหว่างขอ้ มูลท่ี ไดจ้ ากการศึกษาค้นคว้าทดลองกับขอ้ กล่าวอา้ ง เพ่ือสนบั สนุนให้ข้อกลา่ วอา้ งทนี่ าเสนอมีความน่าเชอื่ ถอื ซึง่ เหตุผล สนบั สนนุ ขอ้ กลา่ วอ้างนีอ้ าจไดร้ บั การโต้แย้งหรือคัดค้านจากผอู้ น่ื กไ็ ด้ 3) หลักฐานสนบั สนนุ เหตุผล(Evidence) เปน็ การนาเสนอข้อเท็จจรงิ หรอื ขอ้ มลู เพือ่ ประกอบการ อธิบายเหตุผลที่ใชส้ นบั สนนุ ข้อกล่าวอ้างเพือ่ ทา ใหข้ ้อกล่าวอา้ งนนั้ เป็นทยี่ อมรบั โดยหลกั ฐานน้ันอาจได้มาจากการ สังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ โดยใช้ประสาทสัมผสั ทัง้ 5 ซง่ึ ขอ้ ที่ได้จากการศกึ ษางานวิจยั หรอื การทดลองอน่ื ท่มี ีผ้เู กบ็ รวบรวมไว้แลว้ ทั้งน้หี ลกั ฐานสนับสนุน เหตผุ ลจะตอ้ งมาจากแหลง่ ขอ้ มลู ท่ีมคี วามนา่ เชื่อถือหรือสามารถทาการทดลอง ซา้ แลว้ ใหผ้ ลเช่นเดียวกบั ผลทน่ี าเสนอได้ 4) ขอ้ กล่าวอา้ งที่ต่างออกไป (Counter claim) เปน็ ขอ้ โต้แยง้ ท่ีเกดิ ข้ึนจากการใหเ้ หตผุ ลต่อขอ้ กลา่ วอ้าง ที่มีผู้นา เสนอไว้ในตอนแรกซงึ่ แตกต่างไปจากเดิม กลา่ วคือเป็นการใหเ้ หตผุ ล ตอ่ ข้อกลา่ วอ้างจากมมุ มองใหม่ๆ ทผ่ี ู้นา เสนอขอ้ กล่าวอา้ งไม่ไดก้ ล่าวถึง หรอื ไมไ่ ด้นา มาพจิ ารณา ไวใ้ นการนา เสนอข้อกล่าวอ้างในตอนแรก ทา ใหข้ อ้ กลา่ ว อ้างเดมิ มคี วามน่าเช่ือถอื นอ้ ยลง เป็นกระบวนการท่นี า มาใชเ้ พ่ือหาทางขจดั ขอ้ ผิดพลาดของขอ้ กล่าวอ้างท่ไี ด้สร้างข้ึน ไว้ในตอนแรก 5) การโตแ้ ยง้ กลบั (Rebuttal) เป็นการโตแ้ ยง้ เพอ่ื ทาใหข้ ้อกลา่ วอา้ งท่ตี ่างออกไปจาก ขอ้ กลา่ วอ้างเดมิ มีความน่าเชือ่ ถอื ลดลงและตกไปในท่สี ดุ โดยการหาพยานหลกั ฐานและการให้ เหตผุ ลทม่ี คี วามน่าเชอ่ื ถอื มากกว่ามา สนบั สนนุ เท็จจริงหรือขอ้ มูลที่เปน็ ไปได้ เช่น สี กลิน่ รูปรา่ ง สถานะ เปน็ ตน้ รวมถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ หรือข้อมลู 2.6 นาผลการทดลองมาสรุปเปน็ แผนภาพ ข้ันท่ี 3 นาเสนอและรับฟงั การประเมินแบบกล่มุ 3.1 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ นาความรู้ทไี่ ดจ้ ากการปฏบิ ัติกจิ กรรมมานาเสนอในรปู แบบของแบบแผนภาพ เพื่อ อธิบายผลการทดลอง 3.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่ม รว่ มกนั ประเมินข้อมลู ใหก้ บั กล่มุ ทน่ี าเสนอ
ข้ันที่ 4 ทาความเขา้ ใจภายในกลมุ่ และสรปุ ขอ้ โตแย้งรายบคุ คล 4.1 นักเรยี นรว่ มกันสรุปผลโดยนาขอ้ เสนอแนะหรอื ขอ้ คดิ เห็นท่ีไดจ้ ากการนาเสนอมาทาความเขา้ ใจ ภายในกลมุ่ 4.2 นักเรียนสรปุ องค์ความรทู้ ่ไี ดจ้ ากการโต้แย้งกับเพอ่ื น ๆ ลงในชดุ กจิ กรรมการละลายของสารในตวั ทา ละลาย 4.3 ครใู หน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบ เรอ่ื งการละลายของสารในตัวทาละลาย ข้นั ท่ี 5 ขยายความร้สู ่เู ร่ืองใหม่ 5.1 ครตู ัง้ คาถามเพื่อต่อยอดความรู้ของนกั เรยี น - นกั เรยี นคิดวา่ สารละลายในชวี ิตประจาวนั ของเรามอี ะไรบา้ ง - นักเรยี นคิดวา่ ปจั จยั ใดบ้างที่ผลต่อการละลาย ขน้ั ท่ี 6 การประเมนิ ผล 6.1 ประเมินความรู้ของผเู้ รียนจาก -แผนภาพ -การนาเสนอผลการทากจิ กรรม -การทดสอบ 6.2 ประเมินทกั ษะจากการสังเกตพฤตกิ รรมของนักเรยี น -ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ -ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 -ทักษะการสรา้ งขอ้ โตแ้ ยง้ 6.3 ประเมินเจตคติทางวิทยาศาสตรจ์ ากการสงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรียน สอื่ /นวัตกรรม และแหล่งเรยี นรู้ - ชุดกิจกรรมการละลายของสารในตวั ทาละลาย
การวัดและประเมนิ ผล วิธีการประเมิน เครือ่ งมือ เกณฑ์ ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 70 ประเดน็ การประเมนิ 1. แผนภาพ 1.แบบประเมนิ RUBIC 1. ด้านความรู้ 2. การนาเสนอหนา้ ช้นั 2. แบบทดสอบปรนยั ผลของชนดิ ตวั ละลาย เรียน 4 ตวั เลือก ชนดิ ตัวทาละลาย ทมี่ ีต่อ 3. การทดสอบ สภาพละลายของสาร 2. ดา้ นทกั ษะสาคัญในการ สงั เกตพฤตกิ รรมขณะ แบบประเมนิ RUBIC ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดขี ึ้นไป เรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ทากจิ กรรม 2.1 ทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 1. ทกั ษะการสงั เกต 2. ทกั ษะการตง้ั สมมตฐิ าน 3.ทักษะการกาหนดและ ควบคุมตัวแปร 4. ทักษะการทดลอง 5. ทกั ษะการลงความเห็น จากขอ้ มูล 6. ทกั ษะการตคี วามหมาย ข้อมูลและลงขอ้ สรปุ 7. ทักษะการจดั กระทาและ สอ่ื ความหมาย 2.2 ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ สังเกตพฤตกิ รรมขณะ แบบประเมนิ RUBIC ผา่ นเกณฑร์ ะดบั ดีขนึ้ ไป 21 ทากิจกรรม 1.การคิดอย่างมี วิจารณญาณและการ แกป้ ัญหา 2. ด้านความร่วมมอื การ ทางานเปน็ ทีมและภาวะ ผู้นา 3 ด้านการส่ือสาร สารสนเทศและการรู้เท่าทัน สื่อ 2.3 ทักษะการสร้าง สงั เกตพฤตกิ รรมขณะ แบบประเมนิ RUBIC ผ่านเกณฑ์ระดบั ดีขึน้ ไป ขอ้ โต้แย้ง ทากิจกรรม
3. ด้านเจตคติทาง สังเกตพฤตกิ รรมขณะ แบบประเมนิ RUBIC ผ่านเกณฑ์ระดบั ดขี ึ้นไป วิทยาศาสตร์ ทากิจกรรม 1. ความอยากรู้อยากเห็น 2. ความละเอียดรอบคอบ 3.ความใจกว้าง 4. ยอมรับความเหน็ ตา่ ง แบบบันทึกหลงั การสอน พฤตกิ รรมที่พบ แนวทางแกไ้ ข ประเด็นปญั หาทพ่ี บ 1. ด้านพฤติกรรมผู้เรียน 2. ดา้ นการเรยี นการสอน
แบบประเมนิ ด้านความรู้ กาหนดเกณฑ์ประเมนิ ไว้ท่ีรอ้ ยละ 70 เป็นเกณฑผ์ ่าน ลาดับท่ี ชื่อ-นามสกุล ผลการประเมนิ ความร้*ู รวมคะแนน คิดเปน็ สรปุ 123 (25 คะแนน) รอ้ ยละ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 * หมายถงึ 1 การประเมนิ ความร้ดู า้ นการนาเสนอผลงาน 6 คะแนน 2 การประเมนิ ความรู้ด้านการทดสอบ 10 คะแนน 3 การประเมนิ ความรู้ดา้ นชนิ้ งาน 9 คะแนน (ลงชอ่ื ) ................................ผู้ประเมิน ( .......................................)
เกณฑ์การประเมนิ การนาเสนอผลงาน ผลการนาเสนอ เกณฑพ์ ิจารณาผลการนาเสนอ 1. ด้านเนื้อหาสาระหรือความรู้ ปฏบิ ตั ิครบทุกขอ้ : 3 คะแนน พฤตกิ รรมตามลาดับขนั้ : ปฏิบตั บิ างข้อ : 2 คะแนน 1. นาเสนอเน้ือหาถกู ต้อง ชดั เจน ปฏิบัติ 1 ขอ้ : 1 คะแนน 2. นาเสนอเป็นลาดับข้ันตอน 3. ตอบข้อซกั ถามไดต้ รงประเดน็ 2. ลลี าท่าทางการใชภ้ าษาและความชดั เจนของการ สือ่ สารขอ้ มูล พฤตกิ รรมตามลาดับขน้ั : 1. ใช้ภาษาถกู ต้องตามหลกั ภาษาไทย 2. ใชก้ ริ ิยา วาจา ทา่ ทางเหมาะสม 3. นาเสนอไดน้ ่าสนใจ เกณฑ์ประเมนิ การทดสอบ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ตอบถกู ขอ้ ละ 1 คะแนน การประเมนิ การทดสอบ แบบทดสอบ เรอื่ ง การละลายของสารในตวั ทาละลาย แบบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จานวน 10 ขอ้
เกณฑ์การประเมนิ ช้ินงาน เกณฑ์การให้คะแนน การประเมินชิน้ งาน 1.การคิดวิเคราะห์ พฤตกิ รรมตามลาดับขน้ั 1.มีการจบั ประเดน็ สาคญั ขยายความ ยกตวั อย่าง เปรยี บเทยี บและสรปุ ความคดิ รวบยอดไดด้ ี 2.มกี ารจบั ประเด็นสาคัญได้ แต่ขยายความหรือ ยกตวั อย่างไมไ่ ด้ 3.มกี ารจับประเดน็ สาคัญได้นอ้ ย 2.การส่ือความหมาย ปฏบิ ตั ิครบทกุ ขอ้ : 3 คะแนน พฤตกิ รรมตามลาดบั ขั้น ปฏิบัติบางขอ้ : 2 คะแนน 1.สือ่ ความหมายได้ถกู ตอ้ ง ตรงประเด็นและเขา้ ใจง่าย ปฏบิ ตั ิ 1 ข้อ : 1 คะแนน 2.ส่ือความหมายไม่ถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ 3.สอ่ื ความหมายไดน้ ้อย ไมต่ รงประเดน็ 3.มีความคดิ สรา้ งสรรค์ พฤตกิ รรมตามลาดบั ข้ัน 1.ผลงานมรี ูปแบบนา่ สนใจ มคี วามสมั พนั ธ์กบั หัวขอ้ ท่ี กาหนด มีการตกแต่งสวยงาม 2.ผลงานมคี วามสัมพนั ธ์กับหวั ข้อทก่ี าหนด แตไ่ ม่ ดึงดูดความสนใจ 3.ผลงานมคี วามสัมพันธก์ ับหวั ขอ้ ทก่ี าหนดนอ้ ยมาก
แบบประเมินทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ลาดบั ช่ือ-นามสกลุ ทกั ษะกระบวนการทาง รวมคะแนน ค่าเฉล่ยี ระดับ ที่ วทิ ยาศาสตร์ * 1234567 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 *หมายถงึ ระดับคุณภาพ 1 ทกั ษะการสงั เกต คะแนนเฉล่ยี ระหว่าง ระดบั 2 ทกั ษะการตัง้ สมมติฐาน 4.51 – 5.00 ดีเย่ียม 3 ทกั ษะการกาหนดและควบคมุ ตัวแปร 4 ทกั ษะการทดลอง 3.51 – 4.50 ดมี าก 5 ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู 6 ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ 2.51 – 3.50 ดี 7 ทกั ษะการจดั กระทาและส่อื ความหมายข้อมูล 1.51 – 2.50 พอใช้ 1.00 – 1.50 ปรับปรงุ (ลงชอ่ื ) ................................ผปู้ ระเมิน ( .......................................)
เกณฑ์การประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เกณฑพ์ จิ ารณาทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ทักษะการสังเกต พฤตกิ รรมตามลาดับข้นั : 1. มีความสนใจในเรื่องท่เี รยี น 2. กระตอื รือรน้ ตอ่ กจิ กรรมทีป่ ฏิบตั ิ 3. ชอบซกั ถาม 2. ทักษะการต้งั สมมตฐิ าน พฤตกิ รรมตามลาดับขั้น : 1. ตงั้ สมมตฐิ านได้สอดคลอ้ งกับปัญหา บางสว่ น 2. ต้งั สมมตฐิ านไดส้ อดคล้องกบั ปญั หา แต่แสดง ความสัมพันธร์ ะหว่างเหตุและผลไม่ชัดเจน 3. ตงั้ สมมติฐานไดส้ อดคลอ้ งกบั ปญั หาและแสดง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเหตแุ ละผลไดอ้ ย่างชัดเจน 3. ทกั ษะการกาหนดและควบคมุ ตวั แปร ปฏิบตั ิ 3 ขอ้ : 3 คะแนน พฤตกิ รรมตามลาดบั ข้นั : ปฏบิ ตั ิ 2 ข้อ : 2 คะแนน ปฏบิ ัติ 1 ข้อ : 1 คะแนน 1. ขอ้ ความบอกถึงข้อมลู ที่ตอ้ งการรวบรวม 2. ตัวแปรกาหนดจากปัญหาและผลตอ่ ตัวแปร ตาม 1 ตัว 3. ตัวแปรกาหนดจากปญั หาและผลตอ่ ตัวแปร ตามมากกว่า 1 ตวั 4. ทักษะการทดลอง พฤตกิ รรมตามลาดับข้นั : 1. สามารถออกแบบการทดลองได้ 2. สามารถปฏิบัตกิ ารทดลอง ใชอ้ ุปกรณ์ ต่าง ๆ ได้ถกู ต้องและเหมาะสม 3. บันทึกผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ ง
5. ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู ปฏิบัติ 3 ข้อ : 3 คะแนน พฤตกิ รรมตามลาดับข้ัน : ปฏบิ ัติ 2 ขอ้ : 2 คะแนน 1.ลงความเหน็ โดยอาศัยหลักฐานทไี่ ดจ้ ากการสงั เกต ปฏบิ ตั ิ 1 ขอ้ : 1 คะแนน หรอื ท่ีไดจ้ ากการทากจิ กรรม บางสาวน 2. ลงความเหน็ โดยอาศัยหลักฐานท่ไี ดจ้ ากการสังเกต หรอื ที่ไดจ้ ากการทากิจกรรม 3. ลงความเหน็ โดยอาศยั หลกั ฐานทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกต หรือ ท่ไี ด้จากการทากิจกรรมครบถ้วน 6. ทักษะการตคี วามหมายของขอ้ มูลและการลงขอ้ สรุป พฤตกิ รรมตามลาดับขนั้ : 1. ตีความหมายของขอ้ มลู ทีม่ อี ยู่อย่าง ตรงไปตรงมา 2. ตคี วามหมายของข้อมลู ที่มอี ยอู่ ยา่ ง ตรงไปตรงมา และคลอ่ งแคลว่ 3. บรรยายลักษณะของขอ้ มลู ท่ีมีอยู่ได้ 7.ทกั ษะการจัดกระทาข้อมูลและสอ่ื ความหมาย พฤตกิ รรมตามลาดับข้นั : 1. มกี ารนาผลการสังเกต การทดลอง มาจดั กระทาได้ ถูกตอ้ งบางส่วน 2. มีการนาผลการสงั เกต การทดลอง มาจัดกระทาได้ ถกู ตอ้ ง แตย่ งั ไม่ชดั เจนหรอื ไมส่ มบูรณ์ 3. มีการนาผลการสังเกต การทดลอง มาจดั กระทาที่ ถูกตอ้ งชดั เจนและสมบรู ณ์
แบบประเมนิ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ลาดับ ชอ่ื -นามสกลุ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี รวม คา่ เฉลย่ี ระดับ ที่ 21 * คะแนน 123 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 * หมายถงึ ระดับคณุ ภาพ 1 การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและการแกป้ ญั หา คะแนนเฉลยี่ ระหว่าง ระดบั 2 ดา้ นความรว่ มมือ การทางานเปน็ ทมี และภาวะผู้นา 3 ดา้ นการสื่อสารสารสนเทศและการร้เู ทา่ ทนั สอื่ 4.51 – 5.00 ดีเย่ียม 3.51 – 4.50 ดีมาก 2.51 – 3.50 ดี 1.51 – 2.50 พอใช้ 1.00 – 1.50 ปรับปรุง (ลงชือ่ ) ................................ผ้ปู ระเมนิ ( .......................................)
เกณฑ์การประเมินทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 เกณฑพ์ จิ ารณาทักษะทางวิทยาศาสตร์ 1. การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและการแก้ปญั หา พฤตกิ รรมตามลาดบั ขั้น : ปฏิบัติ 3 ข้อ : 3 คะแนน ปฏิบัติ 2 ข้อ : 2 คะแนน 1. สามารถแก้ปัญหาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ปฏบิ ัติ 1 ข้อ : 1 คะแนน ท่เี ผชญิ ได้ 2. ใช้เหตุผลในการแกป้ ญั หา 3. แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์ความรูม้ าใช้ ในการ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หา 2. ดา้ นความร่วมมือ การทางานเปน็ ทีมและ ภาวะผ้นู า พฤตกิ รรมตามลาดับขั้น : 1. ทางานรว่ มกันอย่างมีประสิทธภิ าพ 2. เคารพการตดั สนิ ใจของกลมุ่ 3.รับผดิ ชอบรว่ มกัน 3. ด้านการสอ่ื สารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สื่อ พฤตกิ รรมตามลาดับขัน้ : 1. สามารถเลือกใชเ้ ครื่องมอื ทถ่ี ูกต้อง เหมาะสมเพอ่ื สร้างส่ือ 2. เข้าใจวัตถุประสงค์ของการสร้างสอ่ื 3. เข้าใจกฎหมายในการใช้สอื่ ของผอู้ ืน่ หรือแหลง่ ขอ้ มลู อนั มีลขิ สทิ ธ์ิ
แบบประเมินทักษะการสรา้ งขอ้ โต้แยง้ ทักษะการสร้างขอ้ ลาดับที่ ชอ่ื -นามสกลุ โต้แยง้ * รวมคะแนน คา่ เฉลี่ย ระดับ 12345 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 * หมายถงึ ระดับคุณภาพ 1.ข้อกล่าวอ้าง 2. เหตุผลสนบั สนุนขอ้ กลา่ วอา้ ง คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ระดบั 3. หลักฐานสนบั สนุนเหตผุ ล 4. ขอ้ กล่าวอ้างท่ีต่างออกไป 4.51 – 5.00 ดีเยี่ยม 5. การโตแ้ ย้งกลบั 3.51 – 4.50 ดีมาก 2.51 – 3.50 ดี 1.51 – 2.50 พอใช้ 1.00 – 1.50 ปรับปรุง (ลงช่ือ) ................................ผูป้ ระเมิน ( .......................................)
เกณฑ์การประเมนิ ทกั ษะการโตแ้ ย้ง ทักษะการโต้แยง้ เกณฑ์การใหค้ ะแนน พฤตกิ รรมตามลาดบั ขน้ั ปฏบิ ตั ิครบทุกขอ้ : 3 คะแนน 1. ข้อกลา่ วอา้ ง ปฏบิ ัติบางข้อ : 2 คะแนน 2. เหตุผลสนบั สนุนข้อกล่าวอา้ ง ปฏิบตั ิ 1 ขอ้ : 1 คะแนน 3. หลกั ฐานสนบั สนุนเหตผุ ล 4. ข้อกล่าวอ้างท่ตี า่ งออกไป 5. การโตแ้ ย้งกลบั
แบบประเมนิ เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์ ลาดบั ท่ี ชื่อ-นามสกลุ เจตคตทิ าง รวมคะแนน คา่ เฉลีย่ ระดับ วิทยาศาสตร์ * 1234 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 * หมายถึง ระดบั คุณภาพ 1 ความอยากรอู้ ยากเห็น 2 ความละเอยี ดรอบคอบ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ระดบั 3 ความใจกว้าง 4 ยอมรบั ความเหน็ ตา่ ง 4.51 – 5.00 ดีเยี่ยม 3.51 – 4.50 ดมี าก 2.51 – 3.50 ดี 1.51 – 2.50 พอใช้ 1.00 – 1.50 ปรบั ปรงุ (ลงชอื่ ) ................................ผปู้ ระเมนิ ( .......................................)
เกณฑ์การประเมนิ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ เกณฑพ์ จิ ารณาเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ความอยากรอู้ ยากเหน็ พฤตกิ รรมตามลาดับข้ัน : 1. มีความสนใจในเรอ่ื งทเี่ รยี น 2. กระตือรือรน้ ต่อกิจกรรมทีป่ ฏบิ ตั ิ 3. ชอบซกั ถาม 2. ความละเอยี ดรอบคอบ ปฏบิ ตั ิ 3 ขอ้ : 3 คะแนน พฤตกิ รรมตามลาดบั ขน้ั : ปฏิบตั ิ 2 ขอ้ : 2 คะแนน ปฏบิ ัติ 1 ข้อ : 1 คะแนน 1.ทางานอยา่ งมีระเบียบและเรยี บรอ้ ย 2.ตรวจสอบความเรยี บร้อยของงาน 3.มกี ารวางแผนการทางานและจดั ระบบ การ ทางาน 3. ความใจกวา้ ง พฤตกิ รรมตามลาดับขั้น : 1.เตม็ ใจที่จะทบทวน หรือเปลีย่ นความคดิ เหน็ และ ขอ้ สรปุ 2. มีความปรารถนาทีร่ ับความรู้ความคดิ เหน็ ใหมๆ่ 3. ยอมรับความคดิ เหน็ หรือวิธกี ารแปลก ๆ 4. การยอมรบั ความเห็นต่าง พฤตกิ รรมตามลาดับขัน้ : 1.รับฟงั ความคิดเหน็ ท)ี ตวั เองยังไมเ่ ข้าใจ และ พรอ้ มท่ีจะทาความเข้าใจ 2.ไมย่ ดึ มนั ในความคดิ ของ ตนเองและ ยอมรบั การเปล่ยี นแปลง 3.รับฟังคาวิพากษว์ ิจารณ์ ขอ้ โตแ้ ยง้ หรอื ข้อคิดเห็นท่มี เี หตุผลของผู้อ่ืน
ชุดกิจกรรม การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง การละลายของสารในตัวทำละลาย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนสุเหร่าปากคลอง ๒o ชื่อ-นามสกุล......................................................................เลขที่............ นางสาวรัตติญา มาลาอี นักศึกษาชั้นปีที่ ๓ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป
คำนำ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๗ เรื่อง สารละลาย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ชุดนี้จัดทำขึ้นจากการศึกษา ตัวชี้วัดหลักสูตรการเรียนรู้แกนกลางศึกษาขั้นพื้นฐานพ.ศ.๒๕๕๑(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐ ) การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์โดยการบรรยายเป็นหลักทำให้การ เรียน การสอนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ทำให้ผู้เรียนขาดเจตคติ ทักษะ และกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นี้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้ น ผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งเน้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทำกิจกรรม นำไปใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทางด้านความรู้มีพฤติกรรมการทำงานกลุ่มที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนมีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่ดี ทางผู้จัดทำหวังเป็ นอย่างยิ่งว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นี้จะเป็ นประโยชน์ ต่อคุณครูผู้สอนและผู้เรียนที่นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้เป็ น อย่างดี รัตติญา มาลาอี
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข คำชี้แจง 1 กิจกรรมการละลายของสารในตัวทำละลาย 2 แบบทดสอบ 7 เฉลยแบบทดสอบ 9 ใบความรู้ 10
คำชี้แจง 1. นักเรียนอ่านข้อแนะนำการใช้ชุดกิจกรรมแล้วปฏิบัติตามทุกขั้นตอน 2. นักเรียนตั้งใจตอบคำถามในการทำกิจกรรมอย่างเต็มความสามารถ 3. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆละ 3-4 คน 4. ทำความเข้าใจกับจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระสำคัญ 5. ศึกษาและปฏิบัติกิจกรรมทุกขั้นตอน 6. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน
กิจกรรม : การละลายของสารในตัวทำละลาย จุดประสงค์ 1.ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผลของชนิดตัวละลาย ชนิดตัวทำละลาย ที่มีต่อสภาพละลายได้ของสาร 2.อธิบายผลของชนิดตัวละลาย ชนิดตัวทำละลาย ที่มีต่อสภาพละลายได้ ของสารโดยใช้สารสนเทศ อุปกรณ์ 1.หลอดทดลองขนาดกลาง 4 หลอด 2 .ช้อนตักสารเบอร์ 2 3. ที่ตั้งหลอดทดลอง 4. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 5. แบบทดสอบ สารเคมี 1. น้ำกลั่น 2. เอทานอล 3. น้ำตาลทราย 4.พิมเสน 5. แมกนีเซียมซัลเฟต 6. เกลือ
คำชี้แจง : ให้นักเรียนออกแบบการทดลอง ในการอธิบายผลของ ชนิดตัวละลาย ชนิดตัวทำละลาย ที่มีต่อสภาพละลายได้ของสาร
สมมติฐาน : ตัวแปรต้น : ตัวแปรตาม : ตัวแปรควบคุม : ตารางบันทึกผลการทดลอง
ให้นักเรียนสรุปผลการทดลองเป็นแผนภาพ
สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการสร้างข้อโต้แย้ง
แบบทดสอบ เรื่อง การละลายของสารในตัวทำละลาย คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เพียงคำตอบเดียว 1. น้ำเชื่อมซึ่งเป็นสารละลายที่เกิดจากน้ำตาลทรายละลายในน้ำ โดยที่น้ำตาลมี สถานะเป็นของแข็ง ดังนั้นน้ำตาลอยู่ในฐานะใด ก. ตัวละลาย ข. ตัวทำละลาย ค. สารประกอบ ง. สารแขวนลอย 2. นากมีส่วนประกอบเป็นทองแดง 60% ทองคำ 35% สังกะสี 5% นากมี อะไรเป็นตัวทำละลาย ก.ทองคำ ข. ทองแดง ค. สังกะสี ง. เหล็ก 3.ถ้านำเกลือแกงไปละลายน้ำ คนให้ละลายจนหมด แล้วคนต่อไปพร้อมกันเติม เกลือแกงเพิ่มจนไม่สามารถละลายได้ เรียกสภาวะเช่นนี้ว่าอย่างไร ก.การอิ่มตัว ข. การควบแน่น ค.การละลายยิ่งยวด ง.การระเหย 4.สารชนิดหนึ่ง ๆ นักเรียนจะทราบได้อย่างไรว่า สารใดเป็นตัวทำละลายและ สารใดเป็นตัวละลาย ก.ดูสถานะของสาร ข.ดูสีผิวของสารละลายนั้น ค.ดูลักษณะเนื้อสาร ง.ดูปริมาณตัวละลายและตัวทำละลาย 5. ข้อใดกล่าวถึงสารละลายได้ถูกต้อง ก. สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันตลอดทุกส่วน ข. สารที่มีเนื้อสารมองดูใส ไม่มีสีกลิ่น รส ค. สารที่ไม่บริสุทธิ์เกิดจากสารบริสุทธิ์ตั้งแต่ 2 ชนิดมาผสมกัน ง. สารที่มีจุดหลอมเหลวต่ำกว่า 100 องศา เซลเซียส 6.มีสารอยู่ 3 ชนิดผสมกันอยู่ สาร ก 30% สาร ข 20% และสาร ค 50% สารใดเป็นตัวทำละลาย ก. สาร ก อย่างเดียว ข. สาร ข อย่างเดียว ค. สาร ค อย่างเดียว ง. สาร ก และสาร ค
ข้อมูลต่อไปนี้ใช้ตอบคำถามข้อ 7 7. จากข้อมูลในตารางข้อใดข้อใดเป็นตัวทำละลาย ก. น้ำตาลทรายเป็นตัวทำละลายในน้ำอัดลม ข. ทองแดงเป็นตัวทำละลายในนาก ค. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นตัวทำละลาย ในน้ำอัดลม ง. ทองคำเป็นตัวทำละลายในนาก 8. สารในตัวเลือกใดจัดเป็นสารละลายทุกชนิด ก. นาก สุรา อากาศ ข. น้ำทะเล น้ำคลอง น้ำฝน ค.น้ำนม น้ำเกลือ น้ำเชื่อม ง. ฝรั่ง มะม่วง มะขามป้อม 9. สมบัติที่สำคัญที่สุดของสารละลายคืออะไร ก.ทุกโมเลกุลมีขนาดเท่ากัน ข.โมเลกุลของสารเหมือนกัน ค.โมเลกุลของสารแตกต่างกัน ง.โมเลกุลของสารปะปนและ กระจายทั่ว ๆ กัน 10. เมื่อนำทองแดงผสมกับสังกะสี ได้สารใหม่มีชื่อว่าทองเหลือง ข้อสรุปใดถูกต้อง ก.ทองเหลืองเป็นสารเนื้อผสม ข.ทองเหลืองเป็นสารบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง ค.ทองเหลืองมีทองแดงเป็นตัวทำละลายและสังกะสีเป็น ตัวละลาย ง.ทองเหลืองมีทองแดงเป็นตัวละลายและสังกะสีเป็น ตัวทำละลาย
เฉลยแบบทดสอบ ข้อที่ คำตอบ 1. ก. 2. ข. 3. ก. 4. ง. 5. ค. 6. ค. 7. ข. 8. ก. 9. ง. 10. ค.
การละลายของสาร ในตัวทำละลาย การละลาย (Dissolve) คือ การที่สารชนิดหนึ่ง (ตัวถูกละลาย) แตกตัว ออกเป็นอนุภาคเล็ก ๆ และแทรกตัวในสารอีกชนิดหนึ่ง (ตัวทำละลาย) โดย ทั่วไปเราพิจารณาว่า - สารที่มีปริมาณมากกว่าเป็น ตัวทำละลาย (Solvent) - สารที่มีปริมาณน้อยกว่าเป็น ตัวถูกละลาย (Solute) - สารละลายที่มีน้ำเป็นตัวทำละลายเรียกว่า aqueous solution (aq) สารชนิดเดียวกันละลายในตัวทำละลายต่างชนิดได้แตกต่างกัน คือ 1) สารบางชนิดอาจไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในตัวทำละลายชนิดอื่น เช่น ลูกเหม็น เชลแล็ก ไม่ละลายน้ำ แต่ละลายในแอลกอฮอล์ 2) สารบางชนิดอาจละลายได้ในตัวทำละลายหลายชนิด เช่น สีผสมอาหารละลายในน้ำ และละลายในแอลกอฮอล์ เมื่อใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สามารถแบ่งสารออกเป็น 2 ประเภท คือ สารที่ละลายน้ำและสารที่ไม่ละลายน้ำ จะเห็นว่าสารต่างชนิดกันละลายน้ำ ได้ต่างกัน ถ้าตัวละลายเป็นของแข็งละลายในตัวทำละลายที่เป็นของเหลว ตัวละลายจะแพร่ในตัวทำละลาย เมื่อตัวละลายละลายหมด จะมองเห็น สารละลายเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีตะกอน เนื่องจากตัวละลายที่เป็นของแข็ง แทรกอยู่ในตัวทำละลาย เช่น การละลายของน้ำตาลในน้ำ การละลาย ของเกลือในน้ำ เป็นต้น ในกรณีที่ตัวละลายไม่ละลายในตัวทำละลาย แสดงว่าตัวละลายไม่สามารถแทรกตัวในตัวทำละลายชนิดนั้นได้ จึงมอง เห็นไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ความรู้เกี่ยวกับการละลายของสารในตัวทำละลายต่าง ๆ นำไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้หลายประการ เช่น สามารถใช้ตัวทำละลาย สลายคราบต่าง ๆ ที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ เช่น ใช้แอลกอฮอล์ (เอทานอล) ลบรอยหญ้าหรือรอยหมึกจาง ๆ , น้ำเกลือลบรอยเลือด , น้ำนมลบรอย หมึก หรือ การนำเชลแล็กไปละลายในแอลกอฮอล์ก่อนแล้วจึงนำ สารละลายเชลแล็กไปทาไม้หรือเฟอร์นิเจอร์ เพื่อให้เกิดความสวยงามและ รักษาเนื้อไม้ เป็นต้น ประเภทของสารละลาย สารละลายมีหลายประเภท หากใช้เกณฑ์ในการจำแนก จะแบ่งสารละลาย ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. จำแนกตามสถานะของสารละลาย แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1.1 ของแข็ง เช่น เหรียญบาท ทองเหลือง นาก 1.2 ของเหลว เช่น สารละลายคอปเปอร์ (II) ซัลเฟต น้ำ เชื่อม น้ำเกลือ 1.3 แก๊ส เช่น แก๊สหุงต้ม อากาศ 2. จำแนกตามปริมาณของตัวละลาย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 สารละลายอิ่มตัว (Saturated solution) คือ สารละลายที่ตัวละลาย ไม่สามารถละลายในตัวทำละลายได้เพิ่มขึ้นอีกเมื่อตัวทำละลายและอุณหภูมิคงที่ ซึ่งอาจเป็นสารละลายอิ่มตัวพอดี หรือสารละลายอิ่มตัวเหลือเฟือ ถ้าเพิ่มความ ร้อนให้สารละลายอิ่มตัวเหลือเฟือละลายได้อีก จะได้สารละลายอิ่มตัวยิ่งยวด 2.2 สารละลายไม่อิ่มตัว (Unsaturated solution) คือ สารละลายที่ตัว ละลายยังสามารถละลายในตัวทำละลายได้อีก
เอกสารหมายเลข 4 แบบบันทกึ หนว่ ยการเรียนรู้ย่อย (แผนการจัดการเรยี นร)ู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรอื่ งสารละลายและสารผสม หน่วยการเรยี นรูย้ อ่ ยท่ี 8 เรื่องปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ สภาพการละลายได้ของสาร รหัสวชิ า/ชื่อวชิ า วิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวสภุ าวี อสุ าหะ โรงเรยี นสเุ หร่าลำชะลา่ (ลำชะล่าประชาสรรค์) มาตรฐานการเรยี นรู้: ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้าง และแรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งอนภุ าคหลักและธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสารการเกิดสารละลายและการ เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวชวี้ ัด : 4.ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธบิ ายผลของชนดิ ตัวละลาย ชนดิ ตัวทำละลาย อุณหภมู ิท่มี ตี ่อสภาพละลายไดข้ อง สารรวมทงั้ อธบิ ายผลของความดนั ท่มี ตี ่อสภาพละลายได้ของสาร โดยใช้สารสนเทศ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.ออกแบบการทดลองและทดลองอณุ หภูมแิ ละความดันที่มีต่อสภาพละลายไดข้ องสาร 2.อธบิ ายชนดิ อณุ หภูมิและความดันทีม่ ีตอ่ สภาพละลายไดข้ องสาร สาระสำคัญ : สภาพละลายได้ของสารในตวั ทำละลายเปน็ คา่ ทบี่ อกปริมาณของสารทลี่ ะลายได้ในตัวทำละลาย 100 กรัม จนไดส้ ารละลายอมิ่ ตวั ณ อุณหภูมแิ ละความดนั หนง่ึ ๆ สภาพละลายไดข้ องสารบง่ บอกความสามารถในการละลายได้ของตวั ละลาย ในตวั ทำละลาย ซึง่ ความสามารถในการละลายของสารขึน้ อยกู่ ับชนดิ ของตัวทำละลาย ตัวละลาย อณุ หภูมิและความดนั เป้าหมายการเรยี นรู้/สาระการเรยี นรู้ 1.ดา้ นความรู้ ความสามารถในการละลายของสารขน้ึ อยู่กบั ชนดิ ของตัวทำละลาย ตัวละลาย อุณหภมู ิและความดัน 2.ดา้ นทักษะสำคัญในการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ 2.1 ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 2.1.1.ทกั ษะการสังเกต 2.1.2.ทกั ษะการตง้ั สมมติฐาน 2.1.3.ทกั ษะการกำหนดและควบคุมตัวแปร 2.1.4.ทักษะการทดลอง 2.1.5.ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู 2.1.6.ทักษะการตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ 2.1.7.ทักษะการจดั กระทำและส่อื ความหมายขอ้ มูล 2.2 ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 2.2.1.ทกั ษะดา้ นการคิดอย่างมวี ิจารณญาณและการแก้ปัญหา 2.2.2.ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทำงานเป็นทมี และภาวะผนู้ ำ 2.2.3.ด้านการสื่อสารสารสนเทศและการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื 2.3 ทักษะการสรา้ งขอ้ โตแ้ ย้ง 3.ด้านเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ 3.1.ความอยากรู้อยากเห็น 3.2.ความละเอยี ดรอบคอบ 3.3.ความใจกว้าง 3.4.ยอมรับความเหน็ ต่าง
ชิ้นงาน/ภาระงาน แผนผังความคิด กจิ กรรมการเรยี นรู้ (รูปแบบการเรียนการสอนสรา้ งข้อโตแ้ ย้งในกระบวนการสบื เสาะหาความรู้) ข้ันตอนท่ี 1 : สรา้ งความสนใจและมอบหมายงาน 1.1.ใชค้ ำถามกระตุ้นความสนใจของนักเรียน ดงั ต่อไปน้ี - นกั เรียนคิดวา่ ปจั จยั ใดบา้ งทีม่ ผี ลต่อการละลายไดข้ องสาร - ให้นกั เรยี นยกตวั อยา่ งว่าในชีวติ ประจำวันนักเรียนทำให้สารชนดิ ตา่ งๆละลายได้ด้วยวธิ ใี ด 1.2.ให้นกั เรียนได้ศกึ ษาปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การละลายได้ของสารจากเอกสารและแหล่งขอ้ มลู ต่างๆ ขั้นตอนท่ี 2 : สรา้ งข้อโตแ้ ย้งจากการสำรวจและค้นหา 2.1.ครูใหน้ ักเรียนแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 4-5 คน 2.2.นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มออกมารับวัสดุอปุ กรณท์ ่จี ะใชใ้ นการทดลอง ดงั น้ี - หลอดทดลองขนาดใหญ่ - บกี เกอร์ - ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ - กระบอกตวง - ชอ้ นตกั สาร - แท่งแก้วคนสาร - เทอร์โมมิเตอร์ - จุนสี - น้ำกลน่ั - นำ้ อดั ลม 2.3.นักเรยี นภายในกลุ่มร่วมกนั ออกแบบการทดลอง 2.4.นกั เรยี นทำการทดลองตามข้ันตอนท่ไี ด้ออกแบบไว้ 2.5.สังเกตแลว้ บันทกึ ลงในแบบบนั ทกึ ผลการทดลอง 2.6.จากน้ันใหน้ ักเรยี นทำการสร้างขอ้ โตแ้ ย้ง โดยมอี งค์ประกอบดังนี้ 1.ข้อกล่าวอ้าง (Claim) เป็นการนำเสนอผลที่ได้จากการศกึ ษา ค้นคว้า ทดลองหรือเป็นการนำเสนอความ คดิ เหน็ ของตนเองต่อประเด็นซง่ึ กำลังเป็นท่พี ิจารณา 2.เหตผุ ลสนบั สนุนขอ้ กลา่ วอา้ ง (Warrant) เปน็ การใชเ้ หตุผลในการแสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างขอ้ มูลท่ไี ด้จาก การศึกษาคน้ คว้าทดลองกบั ข้อกล่าวอา้ ง เพื่อสนับสนนุ ให้ขอ้ กล่าวอา้ งที่นำเสนอมีความนา่ เช่ือถือ ซึ่งเหตุผลสนับสนนุ ขอ้ กล่าวอา้ ง นี้อาจได้รบั การโตแ้ ย้งหรอื คัดค้านจากผอู้ ่นื ก็ได้ 3.หลกั ฐานสนับสนนุ เหตุผล (Evidence) เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงหรือข้อมลู เพ่ือประกอบการอธิบายเหตผุ ลท่ี ใชส้ นบั สนนุ ขอ้ กล่าวอ้าง เพอื่ ทำใหข้ อ้ กลา่ วอ้างนัน้ เปน็ ที่ยอมรับ โดยหลักฐานนัน้ อาจไดม้ าจากการสงั เกตปรากฏการณ์ตา่ งๆ โดย ใชป้ ระสาทสมั ผัสทั้ง 5 ซ่ึงข้อท่ีได้จากการศึกษางานวจิ ัยหรอื การทดลองอนื่ ทม่ี ีผู้เก็บรวบรวมไวแ้ ล้ว ท้งั นี้หลกั ฐานสนับสนนุ เหตุผล จะต้องมาจากแหล่งขอ้ มูลท่ีมคี วามน่าเชอ่ื ถอื หรือสามารถทำการทดลองซำ้ แลว้ ให้ผลเชน่ เดียวกับผลทน่ี ำเสนอได้ 4.ขอ้ กลา่ วอ้างทต่ี า่ งออกไป (Counter claim) เปน็ ขอ้ โต้แย้งท่ีเกิดข้นึ จากการใหเ้ หตุผลต่อข้อกล่าวอ้างท่มี ีผู้ นำเสนอไว้ในตอนแรกซ่งึ แตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือเป็นการให้เหตุผลต่อข้อกล่าวอา้ งจากมุมมองใหม่ๆ ทผี่ ูน้ ำเสนอข้อกล่าวอ้าง ไมไ่ ด้กล่าวถึงหรอื ไม่ได้นำมาพจิ ารณาไวใ้ นการนำเสนอขอ้ กลา่ วอ้างในตอนแรก ทำให้ขอ้ กลา่ วอา้ งเดมิ มคี วามน่าเช่ือถือน้อยลง เปน็ กระบวนการท่นี ำมาใช้เพอ่ื หาทางขจดั ข้อผดิ พลาดของข้อกลา่ วอา้ งทีไ่ ดส้ รา้ งขนึ้ ไวใ้ นตอนแรก 5.การโต้แยง้ กลับ (Rebuttal) เป็นการโตแ้ ย้งเพ่ือทำใหข้ ้อกลา่ วอา้ งที่ต่างออกไปจากขอ้ กล่าวอา้ งเดิม มีความ น่าเช่ือถือลดลงและตกไปในท่ีสดุ โดยการหาพยานหลักฐานและการให้เหตผุ ลท่ีมีความน่าเชอื่ ถือมากกวา่ มาสนับสนนุ ขอ้ เท็จจรงิ หรอื ขอ้ มูลที่เปน็ ไปได้ เช่น สี กล่นิ รูปรา่ ง สถานะ เปน็ ตน้ รวมถงึ ข้อเท็จจรงิ หรือข้อมูล
2.7.ให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกนั สรุปและอภปิ ราย จากนน้ั ใหส้ รา้ งช้นิ งานโดยทำแผนผงั ความคิด เรอ่ื ง ปัจจยั ที่มผี ลตอ่ สภาพการละลายไดข้ องสาร ขั้นตอนที่ 3 : นำเสนอและรบั ฟงั การประเมนิ แบบกลุ่ม 3.1.ให้นกั เรียนนำเสนอขอ้ มลู ท่ไี ดจ้ ากแผนภาพเรือ่ ง ปัจจัยที่มีผลต่อสภาพละลายไดข้ องสาร 3.2.นักเรยี นร่วมกันประเมินและสรุปข้อโต้แย้งใหก้ ับกลมุ่ ทน่ี ำเสนอ ข้ันตอนที่ 4 : ทำความเข้าในภายในกลุ่มและสรุปขอ้ โตแ้ ย้งรายบุคคล 4.1.นำขอ้ โต้แย้งหรือข้อเสนอแนะท่ไี ด้ มาทำความเข้าใจและสรปุ ผลภายในกลุม่ 4.2.ให้นกั เรียนนำผลสรุปทีไ่ ด้ภายในกลุม่ มาสรปุ เปน็ ความรู้ของตนเอง ข้ันตอนท่ี 5 : ขยายความรู้สู่เร่อื งใหม่ 5.1.ครูตงั้ คำถามเพ่อื กระตุ้นให้นักเรียนเกิดการขยายความรไู้ ปสู่ความคิดใหมๆ่ และนำไปสกู่ ารหา คำตอบ โดยการตัง้ คำถามวา่ - ปัจจัยที่มีผลต่อสภาพการละลายได้ของสารมอี ะไรบ้าง - นักเรียนสามารนำความร้เู รื่อง ปจั จัยท่มี ีผลต่อสภาพการละลายไดข้ องสารไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจำวนั อยา่ งไร - สารละลายทเี่ ราเหน็ ในชีวติ ประจำวนั มคี วามเข้มข้นต่างกนั หรอื ไม่ ขน้ั ตอนที่ 6 : การวดั และประเมินผล 6.1.ประเมนิ ด้านความรู้ - แผนผังความคดิ - แบบทดสอบปรนัยเรอื่ งปัจจยั ทีม่ ผี ลตอ่ สภาพการละลายไดข้ องสาร - การนำเสนอผลการทำกิจกรรม 6.2.ประเมินทกั ษะจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรยี น - ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - ทกั ษะแห่งสตวรรษท่ี 24 - ทักษะการสร้างขอ้ โตแ้ ยง้ 6.3.ประเมินเจตคติทางวิทยาสาสตร์โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี น สื่อ/นวัตกรรม และแหล่งเรียนรู้ 1.ชดุ กิจกรรมปัจจยั ท่มี ีผลต่อสภาพการละลายได้ของสาร 2.อปุ กรณก์ ารทดลอง
การวัดและประเมินผล วธิ ีการประเมิน เคร่ืองมอื เกณฑ์ ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 ประเด็นการประเมิน -แบบทดสอบ เรอ่ื ง ปัจจัยท่ี แบบทดสอบ ด้านความรู้ มผี ลตอ่ สภาพการละลายได้ แบบประเมิน Rubrics 1.ปจั จยั ท่มี ีผลต่อสภาพการ ของสาร ละลายได้ของสาร -แผนผังความคดิ ดา้ นทกั ษะ / กระบวนการ 1.ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 1.1.ทกั ษะการสังเกต 1.2.ทกั ษะการทดลอง 1.3.ทกั ษะการลงความเห็น สงั เกตพฤติกรรมขณะผู้เรยี น แบบประเมนิ Rubrics ผา่ นเกณฑร์ ะดับดขี ึน้ ไป จากขอ้ มลู ทำกจิ กรรม แบบประเมิน Rubrics ผ่านเกณฑ์ระดับดีขึ้นไป แบบประเมิน Rubrics ผ่านเกณฑร์ ะดบั ดขี ึ้นไป 1.4.ทักษะการตีความหมาย ข้อมูลและลงขอ้ สรุป 1.5.ทกั ษะการจดั กระทา และสอื่ ความหมาย 1.6.ทกั ษะกาตงั้ สมมติฐาน 2.ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 สงั เกตพฤตกิ รรมขณะผเู้ รยี น 2.1.ทกั ษะดา้ นการคดิ อย่างมี ทำกิจกรรม วจิ ารณญาณและการแก้ปัญหา สังเกตพฤตกิ รรมขณะผู้เรยี น 2.2.ทกั ษะดา้ นความร่วมมือ ทำกจิ กรรม การทำงานเปน็ ทมี และภาวะ ผู้นำ 3.ทักษะการโตแ้ ย้ง ดา้ นคุณลกั ษณะ / เจตคติ สงั เกตพฤตกิ รรมขณะผู้เรยี น แบบประเมนิ Rubrics ผา่ นเกณฑ์ระดับดีข้ึนไป 1.ความอยากรู้อยากเหน็ ทำกิจกรรม 2.ความละเอยี ดรอบคอบ 3.ความใจกวา้ ง 4.ยอมรบั ความเหน็ ต่าง
บนั ทกึ หลังการสอน พฤติกรรมท่ีพบ แนวทางแกไ้ ข ประเดน็ ปญั หาที่พบ 1. ด้านพฤตกิ รรมผู้เรยี น 2. ดา้ นการเรียนการสอน
แบบประเมนิ ด้านความรู้ กำหนดเกณฑ์ไวท้ ร่ี ้อยละ 70 เปน็ เกณฑ์ผา่ น ผลการประเมินความรู้* รวม คดิ เป็นรอ้ ยละ สรุป (20 คะแนน) ลำดบั ท่ี ช่อื -นามสกลุ 123 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 * หมายถงึ 1.ประเมินความรู้ด้านการนำเสนอผลงาน 2.การประเมนิ ความรดู้ ้านการทดสอบ 3.การประเมินความรู้ดา้ นช้ินงาน (ลงชอ่ื ) ....................................ผ้ปู ระเมนิ ( ............................................ )
เกณฑ์การนำเสนอ ผลการนำเสนอ เกณฑ์พจิ ารณาผลการนำเสนอ 1. ด้านเน้ือหาสาระหรือความรู้ ปฏิบตั ิครบทกุ ข้อ : 3 คะแนน พฤติกรรมตามลำดับขน้ั : ปฏบิ ัติบางข้อ : 2 คะแนน ปฏิบัติ 1 ข้อ : 1 คะแนน 1. นำเสนอเน้ือหาถกู ต้อง ชัดเจน 2. นำเสนอเปน็ ลำดับข้นั ตอน 3. ตอบขอ้ ซักถามไดต้ รงประเด็น 2. ลลี าท่าทางการใชภ้ าษาและความชัดเจนของการ สอื่ สารขอ้ มูล พฤตกิ รรมตามลำดับขนั้ : 1. ใชภ้ าษาถกู ต้องตามหลกั ภาษาไทย 2. ใชก้ ิรยิ า วาจา ท่าทางเหมาะสม 3. นำเสนอไดน้ า่ สนใจ เกณฑ์ประเมินแบบทดสอบ เกณฑ์การใหค้ ะแนน ตอบถูกขอ้ ละ 1 คะแนน รายการประเมิน แบบทดสอบ เรอ่ื ง ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ สภาพละลายได้ของสาร แบบปรนยั 4 ตวั เลอื ก จำนวน 10 ข้อ
เกณฑก์ ารประเมนิ ช้นิ งาน การประเมนิ ชนิ้ งาน เกณฑ์การให้คะแนน 1. รูปแบบช้นิ งาน พฤตกิ รรมตามลำดบั ขั้น : 1. เนือ้ หามคี วามถูกต้อง 2. มีรายละเอียดครอบคลุม 3. ภาษาทใ่ี ชม้ คี วามถูกตอ้ งสมบรู ณ์ 2.การสื่อความหมาย ปฏบิ ัตคิ รบทุกขอ้ : 3 คะแนน พฤตกิ รรมตามลำดบั ขน้ั : ปฏิบตั บิ างขอ้ : 2 คะแนน ปฏบิ ตั ิ 1 ขอ้ : 1 คะแนน 1. ส่อื ความหมายไดถ้ กู ต้อง ตรงประเดน็ และเข้าใจงา่ ย 2. สอ่ื ความหมายไม่ถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ 3. สื่อความหมายไดน้ อ้ ย ไม่ตรงประเดน็ 3.มีความคดิ สร้างสรรค์ พฤติกรรมตามลำดับขนั้ : 1. มกี ารจดั เรยี งรูปแบบไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2. มีความน่าสนใจ 3. มสี สี ันสวยงาม
แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ลำดบั ที่ ชื่อ-นามสกลุ ทักษะกระบวนการทาง รวมคะแนน ค่าเฉล่ีย ระดับ วิทยาศาสตร*์ 1 2 123 4 5 6 7 3 4 1.ทักษะการสังเกต ระดบั คณุ ภาพ 5 2.ทักษะการตั้งสมมติฐาน 6 3.ทักษะการกำหนดและควบคุมตวั แปร 7 4.ทกั ษะการทดลอง 8 5.ทักษะการลงความเหน็ จากขอ้ มลู 9 6.ทักษะการตคี วามหมายขอ้ มูลและลงขอ้ สรปุ 10 7.ทักษะการจัดกระทำและส่อื ความหมายขอ้ มูล 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 * หมายถงึ คะแนนเฉลี่ยระหว่าง ระดบั 4.51 - 5.00 ดีเยี่ยม 3.51 - 4.50 ดีมาก 2.51 - 3.50 ดี 1.51 - 2.50 พอใช้ 1.00 – 1.50 ปรับปรงุ (ลงชอื่ ) ....................................ผปู้ ระเมนิ ( ............................................ )
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224